วาสนาบันดาลรัก 294 ลำเอียง

ตอนที่ 294 ลำเอียง

นางเจี่ยงเพิ่งจะพาคนออกไปจากสวนหมิงหวา เตียวหลานสาวใช้ใหญ่ที่คอยเฝ้าอยู่ที่เรือนก็ตามออกมา

 

 

“มีอันใดจึงรีบร้อนเพียงนี้?” เกิดเรื่องมากมายขึ้นเช่นนี้ นางเจี่ยงยิ่งทนไม่ได้ที่เห็นผู้คนเป็นเช่นนี้ หากมิรู้จักสุขุม ภายในจวนก็จะยิ่งวุ่นวายมากขึ้นไปอีก

 

 

“ฮู…ฮูหยิน นายท่านมากับองค์ชายหก ตอนนี้กำลังรอท่าอยู่ที่ห้องโถงเจ้าค่ะ”

 

 

“หา?” นางเจี่ยงที่มีความสุขุมเสมอมานั้นถึงกลับเปลี่ยนสีหน้า

 

 

องค์ชายหกมาจวนในยามนี้เพื่อมาเยี่ยมเจ้าสามหรือ?

 

 

เจ้าสามสำคัญกับองค์ชายหกถึงเพียงนี้เชียวหรือ?

 

 

ครั้นคิดถึงเจินเมี่ยวที่ไปยังเรือนเซี่ยเยียน นางเจี่ยงก็รู้สึกปวดศีรษะขึ้นมากกว่าเดิม

 

 

นางจึงรีบย้อนกลับไปทันที องค์ชายหกกำลังนั่งสนทนาอยู่กับนายท่านใหญ่สกุลเจินอยู่จริงๆ

 

 

นางเจี่ยงรีบถวายพระพรทันที

 

 

องค์ชายหกเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ฮูหยินเกรงใจเกินไปแล้ว ข้าแค่ว่างจึงมาเยี่ยมเท่านั้น มิทราบจิ้งเหนียงพักอยู่ที่ใดหรือ?”

 

 

นางเจี่ยงมีสีหน้าประหลาดใจ

 

 

ในใจก็กล่าวว่า ท่านมาหาอนุของตนถึงจวนด้วยสีหน้าชื่นมื่นเช่นนี้ เหมาะสมแล้วจริงๆ หรือ?

 

 

“จิ้งเหนียงพักอยู่ที่เรือนเซี่ยเยียนเพคะ”

 

 

“เอ๊ะ ข้าเหมือนจะเห็นรถม้าของจวนเจิ้นกั๋วกง เจียหมิงกลับมาที่จวนหรือ? ว่าไปแล้ว เราพี่น้องก็มิได้พบหน้ากันนานแล้ว”

 

 

มิได้พบกันนานแล้ว?

 

 

นางเจี่ยงบิดเบ้ริมฝีปากตน

 

 

เหลือเกินจริงๆ เมี่ยวเอ๋อร์เพิ่งจะขว้างน่องไก่ใส่มือสังหารในงานเลี้ยงฉลองวันตรุษ ผู้คนต่างรู้ไปทั่วทั้งเมืองหลวง องค์ชายหก อย่าบอกว่าพระองค์ไม่ทราบ!

 

 

แล้วพี่น้องอันใดกัน พูดออกมาอย่างคล่องปากทั้งที่อยู่ในจวนบิดาเมี่ยวเอ๋อร์เช่นนี้มันดีแล้วจริงๆ หรือ?

 

 

“ทูลองค์ชายโดยมิปิดบังว่าเกิดเรื่องขึ้นที่จวนเรานิดหน่อย ดังนั้นเซี่ยนจู่จึงได้กลับมาเพคะ”

 

 

ความอยากรู้วูบผ่านเข้ามาในดวงตาองค์ชายหก “เช่นนั้นข้าก็มาได้ไม่ถูกเวลาจริงๆ”

 

 

นางเจี่ยงลอบผ่อนลมหายใจอยู่ในอก

 

 

ดูท่าองค์ชายหกก็พอจะทราบว่าอันใดเหมาะสมหรือไม่อยู่บ้าง เกิดเรื่องขึ้นที่จวนก็ควรกลับไปได้แล้วกระมัง หากให้เขารู้ว่าเวลานี้อนุน้อยของตนกำลังทะเลาะกันอยู่กับเมี่ยวเอ๋อร์ นั้นคงไม่ดีแน่

 

 

องค์ชายหกจึงเอ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้าจริงใจว่า “เกิดอันใดขึ้นหรือ? หากมีอันใดให้ข้าช่วย ฮูหยินก็บอกมาได้เลย”

 

 

นางเจี่ยงที่มีความสุขุมรอบคอบอยู่เสมอถึงกลับอดยกมือขึ้นกุมหน้าผากมิได้

 

 

องค์ชายหกลูบจมูกตน “โอ๊ะ ดูท่าข้าคงจะคิดมากเกินไป”

 

 

เขาลุกขึ้นเดินออกไปด้านนอก ปากก็เอ่ยว่า “ไม่ทราบว่าเจียหมิงอยู่ที่ใดหรือ?”

 

 

นางเจี่ยงถึงกลับเซถลาจนเกือบหกล้มเพราะชายกระโปรงตนเสียแล้ว

 

 

นางจักต้องฟังผิดอย่างแน่นอน องค์ชายหกมาถึงจวนมิได้มาเยี่ยมเจ้าสามหรอกหรือ?

 

 

องค์ชายหกหันหน้ากลับมาเอ่ยด้วยสีหน้าไม่สะทกสะท้านว่า “เป็นเพราะเจียหมิงแท้ๆ ทำให้ข้ารอดพ้นอันตรายจากเรื่องที่เกิดขึ้นในวังหลวงครั้งนั้น ข้ายังมิได้เอ่ยขอบคุณนางอย่างเป็นทางการเลยสักครา”

 

 

“เซี่ยนจู่…” นางเจี่ยงลังเลขึ้นมา

 

 

หากพูดความจริงไปจะไม่มีปัญหาอันใดจริงๆ หรือ?

 

 

ในขณะที่นางลังเลอยู่นั้นก็พลันเห็นองค์ชายหกหุบยิ้มลงจึงหวาดหวั่นขึ้นมา

 

 

นางลืมไปได้อย่างไรกันว่าผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้านางนี้คือองค์ชาย!

 

 

นางเจี่ยงไม่กล้าลังเลอีก นางรีบเอ่ยขึ้นว่า “เวลานี้เซี่ยนจู่นางจะอยู่ที่เรือนเซี่ยเยียนเพคะ”

 

 

“เช่นนั้นหรือ” ดวงตาเรียวเล็กคู่นั้นขององค์ชายหกพลันหรี่ลง เผยรอยยิ้มอันเจิดจ้าขึ้น “เช่นนั้นก็ถือโอกาสไปเยี่ยมจิ้งเหนียงด้วยเสียเลย”

 

 

นางเจี่ยงจึงนำทางไปอย่างมึนงง นางรู้สึกอยู่เสมอว่าคล้ายมีบางอย่างไม่ถูกต้อง!

 

 

นายท่านใหญ่สกุลเจินเองก็นั่งลูบเคราครุ่นคิดอยู่ในห้องโถงด้วยความมึนงง เขารู้สึกเหมือนมีปัญหาเกิดขึ้นที่ตรงใดสักแห่ง!

 

 

ณ เรือนเซี่ยเยียนที่กำลังเกิดการวิวาทยกดาบโก่งคันศรใส่กันอยู่นั้น

 

 

“น้องสี่มาได้อย่างไรกัน?” เจินจิ้งมองเจินเมี่ยวอย่างพิจารณาด้วยท่าทีเคร่งขรึมไม่ร้อนรนใดๆ

 

 

“ญาติผู้น้องของข้าตายแล้ว” ครั้นเห็นท่าทีสบายอกสบายใจของเจินจิ้งแล้ว โทสะในใจเจินเมี่ยวก็ยิ่งทวีเพิ่มขึ้น แต่ใบหน้ากับเรียบนิ่งจนทำให้คนหวั่นใจ

 

 

เจินจิ้งถอยหลังไปหนึ่งก้าวตามสัญชาตญาณ นางหยุดแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ใช่ ข้าก็ได้ยินมาเช่นนั้น น้องสี่อย่าเศร้าใจไปเลย เจ้าต้องดูแลอาสะใภ้สามอีก”

 

 

เจินเมี่ยวก็คลี่ยิ้มออกมาเช่นกัน “วางใจเถิด ข้าไม่มีทางอ่อนแอเช่นมารดาข้าแน่ เจินจิ้ง ข้าสงสัยจริงๆ ว่าเด็กสาวที่อายุเพิ่งจะสิบห้าผู้หนึ่งต้องตายไปเช่นนั้น ใจของเข้าไม่รู้สึกอันใดบ้างเลยหรือ? มิกลัวกรรมตามสนองบ้างหรือไร?”

 

 

“กรรมตามสนอง?” เจินจิ้งหัวเราะหึๆ ออกมา “น้องสี่วาจานี้ช่างถามได้ดีนัก ข้าก็อยากถามเจ้าเช่นกัน ตอนนั้นที่งานมงคลของข้าต้องล่มไปเพราะเจ้า เจ้าเคยกลัวกรรมตามสนองบ้างหรือไม่?”

 

 

เจินเมี่ยวหรี่ตาลง “ข้าไม่กลัว ต่อให้เคยทำผิดต่อเจ้าจริง แต่เจ้าก็เอาคืนไปหลายคราแล้ว เจินจิ้ง คงไม่เพราะเจ้าดวงซวย ทั้งแผนการเอาคืนยังไม่สำเร็จ จึงรู้สึกว่าตนมิเคยทำอันใดมาก่อนกระมัง?”

 

 

“ใครดวงซวย?” หน้ากากอันงามสง่าของเจินจิ้งค่อยๆ แตกร้าวออกมา นางเอ่ยย้อนถามด้วยท่าทีแค้นเคือง

 

 

เจินเมี่ยวเองก็โกรธขึ้นมาจริงๆ แล้ว หากแข่งเรื่องพูดจาเฉือนใจคน นางเคยกลัวผู้ใดที่ไหน จึงแค่นเสียงหึคราหนึ่งด้วยท่าทีเย็นชางามสง่า “แน่นอนว่าต้องเป็นเจ้าที่ดวงซวย มิเช่นนั้นคุณหนูเต็มจวนเหตุใดจึงมีแค่เจ้าที่เกิดกับอนุเล่า?”

 

 

เมื่อเห็นเจินจิ้งสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง เจินเมี่ยวก็ยิ่งเอ่ยวาจาร้ายกาจกว่าเดิม “เจ้าก็ยังไปเป็นอนุเช่นกันอีก ภายหน้าหากคลอดบุตรสาวออกมา พวกเจ้าสองแม่ลูกก็คงกลายเป็นผู้สืบทอดเจตนารมณ์ของอี๋เหนียงเจ้าแล้วกระมัง!”

 

 

“เจ้า เจ้าหุบปากเดี๋ยวนี้! ” เจินจิ้งผลักสาวใช้ตน แล้วเดินขึ้นหน้าไป “เจินเมี่ยว เจ้ายังกล้าเอ่ยถึงอี๋เหนียงของข้าอีกหรือ?”

 

 

เจินเมี่ยวแคะหูตนคราหนึ่ง “ข้าได้ยินมิผิดกระมัง นั้นเป็นอี๋เหนียง มิใช่ท่านแม่เสียหน่อย เหตุใดจึงเอ่ยถึงมิได้เล่า?”

 

 

เส้นโลหิตบนขมับของเจินจิ้งปูดโปนขึ้นมาทันใด มือสั่นเทิ้ม นางสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อสะกดกลั้นโทสะนั้นไว้ แล้วฟื้นคืนท่าทีนิ่งขรึมดังเดิม “เจินเมี่ยว ไม่ว่าเจ้าจะพูดอย่างไร ตอนนี้ญาติผู้น้องของเจ้าก็ไม่อยู่แล้ว ข้าได้ยินมาว่าแม่เจ้ายังคงเลอะเลือนไม่ได้สติ เจ้าไม่กลับไปปรนนิบัติดูแลแต่กลับมาที่นี่เพื่ออันใด?”

 

 

พูดพลางลูกท้องน้อยตนเบาๆ และเอ่ยขึ้นอีกว่า “ข้าก็จะบอกเจ้าอย่างไม่ปิดบังเช่นกันว่าข้าเองก็ไม่กลัวกรรมตามสนองดอก เพราะการตายของญาติผู้น้องเจ้าไม่เกี่ยวอันใดกับข้า หากเจ้ายังไร้เหตุผลอยู่เช่นนี้ก็เป็นแค่การก่อเรื่องให้เสื่อมเกียรติตนเท่านั้น แล้วมันก็จะค่อยๆ กัดกินตำแหน่งฮูหยินคุณชายผู้สืบทอดของเจ้าให้หมดสิ้นไป ”

 

 

“ไร้เหตุผลงั้นหรือ?” เจินเมี่ยวชำเลืองมองเจินจิ้งด้วยรอยยิ้มตาหยี พลันยกมือขึ้นฟาดลงไปที่ข้างแก้มของนางอย่างแรงและเร็วกว่าฟ้าแลบเสียอีก

 

 

เสียงเพี๊ยะดังกังวานขึ้นพาให้ทุกคนตื่นตกใจไปหมด รวมทั้งเจินจิ้งด้วย นางคิดไม่ถึงจริงๆ ว่า            เจินเมี่ยวจะกล้าตบนางที่กำลังตั้งครรภ์อยู่!

 

 

เจินเมี่ยวมองข้ามความตระหนกของคนทั้งหลายแล้วเชิดคางขึ้นเล็กน้อย “เห็นหรือไม่ แม้แต่การทำเช่นนี้ก็ยังมินับว่าไร้เหตุผล ก่อนหน้านี้ข้าเพียงพูดจาเท่านั้น เหตุใดจึงกลายเป็นก่อเรื่องอย่างไร้เหตุผลแล้วเล่า? เจินจิ้ง ข้าจะบอกเจ้าให้ หากเจ้ามิได้ตั้งครรภ์อยู่ ทารกเป็นผู้ไร้ความผิด ข้าคงกระทืบเจ้าจนกลายเป็นสุกรตัวหนึ่งไปแล้ว ถึงตอนนั้นเจ้าจะเข้าใจเองว่าอันใดคือการก่อเรื่องอย่างไร้เหตุผล!”

 

 

เจินจิ้งโกรธจนตัวสั่น พลันก็มองเห็นเงาร่างหนึ่ง นางขมวดคิ้วขึ้นทันใด แล้วกุมท้องตนนั่งลงกับพื้น เอ่ยด้วยเสียงหายใจเหนื่อยหอบว่า “บ่าวไพร่เช่นพวกเจ้าตายไปแล้วหรือไร ถึงปล่อยให้นางรังแกข้า? หรือเห็นว่านางเป็นเซี่ยนจู่ ข้าเป็นเพียงอนุที่ไม่มียศศักดิ์ใด…”

 

 

สาวใช้และแม่นมที่ติดตามมาจากตำหนักองค์ชายต่างก็หน้าเปลี่ยนสีไป ด้านหนึ่งก็เข้าไปประคองเจินจิ้ง อีกด้านก็จ้องเจินเมี่ยวด้วยความระแวดระวัง หางตาจึงหัดไปเห็นเงาตรงหน้าตนแล้วคุกเข่าลงแทบไม่ทัน “องค์ชายหก”

 

 

เจินจิ้งถูกประคองให้ยืนขึ้นด้วยใบหน้าขาวซีด นางกุมท้องตนแล้วมองไปยังทิศทางนั้น พลันน้ำตาก็ไหลออกมา ขนตาสั่นระริก แล้วร้องเรียกขึ้นด้วยท่าทีอ่อนแอ “องค์ชาย หม่อมฉันมิได้ดูแลบุตรของพระองค์ให้ดี…”

 

 

เจินเมี่ยวหันกลับไปมองก็เห็นใบหน้าหล่อเหล่าขององค์ชายหกกำลังเหม่อลอยอยู่ เห็นชัดว่ากำลังอึ้งงันกับวาจาด่ากราดของนางนั้นเอง

 

 

ไม่ทราบด้วยเหตุใดจึงรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจขึ้นมาอย่างที่สุด

 

 

บุรุษของนางยังไม่กลับมาสักหน่อย เหตุใดบุรุษของเจินจิ้งกลับโผล่เข้ามาอย่างไม่น่าจะเป็นไปได้ จะมาหาเรื่องนางเพราะต้องการปกป้องอนุตนงั้นหรือ?

 

 

เมื่อได้ยินวาจาอันน่าสะอิดสะเอียนของเจินจิ้ง เจินเมี่ยวก็ไม่รู้สึกเสียใจกับการกระทำเมื่อครู่ของตนเลยสักนิด

 

 

ตบตีคนต้องรีบลงมือจริงๆ หากองค์ชายหกมาเร็วกว่านี้อีกก้าว นางคงไม่มีโอกาสนี้แล้ว

 

 

สายตาจ้องมองความภาคภูมิใจที่ซ่อนอยู่นั้นของเจินจิ้ง เจินเมี่ยวจึงอาศัยจังหวะที่คนเหล่านั้นคุกเข่าลงบนพื้นไม่มีผู้ใดคอยปกป้องเจินจิ้ง กระทำเรื่องอันน่าตกตะลึง

 

 

นางเปิดกระโปรงของเจินจิ้งขึ้นด้วยความรวดเร็วแล้วหันหน้าวิ่งไปหาองค์ชายหก น้ำตาคลอเอ่อเต็มนัยน์ตาทั้งสองข้าง “เสด็จพี่ นางใส่ร้ายข้า ไม่มีโลหิตสักหยด เห็นชัดว่าเด็กน้อยยังคงอยู่ในท้องนางอย่างปลอดภัย”

 

 

เขามองใบหน้าที่คุ้นเคยหน้าที่สุดนั้นแล้วแม้นจะรู้ว่ามิใช่คนเดียวกัน แต่น้ำตาขอนางก็ยังคงทำให้เขาเจ็บปวดใจขึ้นมาอย่างมิอาจห้ามได้ ทว่าท่าทีดั่งเด็กน้อยที่กำลังโมโหนั้นกลับทำให้เขารู้สึกขบขันอย่างที่สุดเช่นกัน

 

 

“ผู้ใดกล้าใส่ร้ายเจียหมิงหรือ พูดมาสิ เสด็จพี่จะทวงความเป็นธรรมให้เจ้าเอง”

 

 

หากไม่พูดยามนี้แล้วจะรอเมื่อใดกัน

 

 

เจินเมี่ยวพูดออกมาจนหมดดั่งกระบอกไม้ไผ่ที่ถูกเทคว่ำ สุดท้ายจึงสรุปว่า “ทุกอย่างก็เป็นเช่นนี้แล นางบีบบังคับให้ญาติผู้น้องของข้าต้องตาย ทั้งยังบอกว่าข้าก่อเรื่องอย่างไร้เหตุผล ข้าทนไม่ไหวจึงตบนางไปฉาดหนึ่ง ข้าตบหน้านางแต่นางกลับกุมท้องไว้ ทั้งยังบอกว่ามิได้ดูแลบุตรไว้ให้ดี เสด็จพี่หก ข้าเป็นสตรีเช่นกัน ข้าจะโหดร้ายขนาดทำลายบุตรที่อยู่ในครรภ์ของผู้อื่นเชียวหรือ? หากเรื่องนี้แพร่ออกไปข้าจะมีหน้าไปมองผู้คนได้เช่นไร?”

 

 

พูดพลางกัดริมฝีปากเอ่ยอีกว่า “เห็นชัดว่านางคิดการใหญ่ไปเรื่อย หลังจากบีบบังคับจนญาติผู้น้องข้าตายแล้วก็คิดจะบีบให้ข้าตายตามไปด้วย!”

 

 

เจินเมี่ยวแค่นยิ้มเย็นอยู่ในใจ

 

 

เจินจิ้งลืมไปแล้วจริงว่ายามนี้นางคือเจียหมิงเซี่ยนจู่ องค์ชายหกก็คือญาติผู้พี่ของนางอย่างถูกต้องตามหลักทุกประการ

 

 

นางก็อยากจะรู้เหมือนกันว่า องค์ชายหกจะปกป้องน้องสาวหรือปกป้องอนุเล็กๆ กันแน่!

 

 

หาก หากปกป้องอนุ ฮึ นางก็ยังมีซื่อจื่อมิใช่หรือ ซื่อจื่อเป็นคนของนาง อย่างไรก็ต้องปกป้องนางอยู่แล้ว

 

 

ครั้นคิดได้เช่นนี้ เจินเมี่ยวก็เริ่มรู้สึกเสียใจขึ้นมาเล็กน้อยที่เมื่อครู่ตบนางแค่ครั้งเดียว!

 

 

แต่เมื่อคิดดูอีกทีก็คิดว่าช่างเถิด อย่างไรเสียนางก็ตั้งครรภ์อยู่ หากทำให้เด็กแท้งออกมาจริงๆ นางเองก็ทำไม่ลง

 

 

เจินจิ้งโกรธจนแทบบ้าไปแล้ว คิดไม่ถึงว่านางจะกล้ากล่าวฟ้องเช่นนี้ นางมีสิทธิ์อันใด?

 

 

เจินจิ้งรีบวิ่งเข้าไปหยุดตรงหน้าองค์ชาย น้ำตาเกาเต็มแพขนตา ท่าทางน่าสงสาร “องค์ชาย ตั้งแต่หม่อมฉันมาอยู่ที่จวนปั๋วก็มิได้ออกไปไหนเลยแม้แต่นอกเรือนตน เหตุใดจะทำให้ญาติผู้น้องไปร่วมงานเทศกาลโคมไฟได้ ทั้งยังไปสัญญารักกับบุรุษหนุ่มอีกด้วย? น้องสี่พูดเช่นนี้เห็นชัดว่าต้องการสาดน้ำสกปรกใส่หม่อมฉัน หม่อมฉันฐานะต่ำต้อย ชื่อเสียงไม่ดีก็ช่างเถิด แต่ทารกในครรภ์ต้องมาเสื่อมเสียชื่อเสียงเพราะหม่อมฉันเป็นต้นเหตุ หม่อมฉันไหนเลยจะมีหน้าไปพบพระองค์ได้”

 

 

เจินเมี่ยวกระโดดข้ามหน้าสตรีที่ร่ำไห้ดุจดอกหลีต้องพิรุณเข้าไปหาองค์ชายหกแล้วเอ่ยว่า “เสด็จพี่ท่านดูเอาเถิด ข้าพูดไม่ผิดกระมัง นางปวดท้องแต่ยังวิ่งเร็วถึงเพียงนี้ ที่แท้แล้วผู้ใดกันแน่ที่สาดน้ำสกปรกใส่ผู้อื่น แค่มองปราดเดียวก็รู้แล้ว”

 

 

เจินจิ้งทราบดีว่าหากโต้แย้งอันใดในยามนี้ย่อมไม่ดีแน่ จึงทำเพียงมององค์ชายหกด้วยความอ่อนโยนและเสียใจ แม้นมิได้พูดอันใดแต่สายตาที่สื่อออกไปกลับบอกสิ้นถึงทุกความรู้สึก

 

 

องค์ชายหกกลับถูกคำเรียกว่า ‘เสด็จพี่’ ของเจินเมี่ยวทำให้หวั่นไหว นางเรียกว่าเสด็จพี่มิใช่เสด็จพี่หก

 

 

ครั้นมองท่าทีงดงามอ่อนโยนของเจินเมี่ยวแล้วหันไปมองใบหน้าโกรธขึ้งของเจินเมี่ยว หัวใจดวงนั้นก็ลำเอียงขึ้นมาอย่างที่สุด นางยกมุมปากขึ้นเอ่ยว่า “จิ้งเหนียง หากรู้สึกว่ายากที่จะเผชิญหน้ากับข้าได้ก็ทำแท้งไปเสียเถิด”

 

 

เจินจิ้งกับเจิ้นเมี่ยวเบิกตากว้างอ้าปากค้างขึ้นพร้อมกัน

 

 

“องค์ชาย!” ครานี้เจินจิ้งรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาที่หัวใจจริงๆ กระทั่งลามไปถึงท้องน้อย ร่างของนางเซถลาจนแทบจะล้มลงไปแต่แม่นมที่อยู่ด้านหลังก็มือไวจึงพยุงนาไว้ได้ทัน

 

 

เจินเมี่ยวยังคงมีสีหน้ามึนงง ในใจกลับร้องคำรามออกมาอย่างบ้าคลั่ง

 

 

องค์ชายหก ท่านช่างชั่วช้านัก บรรดาสตรีที่เรือนหลังทราบเรื่องนี้บ้างหรือไม่?

วาสนาบันดาลรัก

วาสนาบันดาลรัก

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 199.2 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


ด้วยเพราะอุบัติเหตุในงานเลี้ยงสวนดอกหลี เป็นเหตุให้เจินเมี่ยว คุณหนูสี่จวนเจี้ยนอานปั๋วถูกบังคับให้แต่งงานกับหลัวเทียนเฉิง ซื่อจื่อแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงเพื่อลบคำครหา ทว่าใครเล่าจะรู้ว่าสวรรค์กลับเล่นตลก นำพาให้คนสองคนจากแต่ละห้วงเวลามาพบกันในเหตุการณ์นั้นเอง  คนหนึ่งคือหญิงสาวจากยุคปัจจุบันที่ย้อนเวลามาสวมร่างผู้อื่น จำต้องแบกรับชื่อเสียฉาวโฉ่และกรรมที่เจ้าของร่างเดิมทิ้งไว้ให้  ส่วนอีกคนคือชายหนุ่มผู้กลับชาติมาเกิดใหม่ในร่างเดิมเพื่อล้างความอัปยศที่เคยได้รับในอดีตชาติ   กาลก่อนโชคชะตาเคยผูกด้ายแดงให้ทั้งสองได้ครองคู่ แต่เพราะ ‘นาง’ ทำตัวประดุจดอกซิ่งยื่นออกนอกกำแพง เป็นเหตุให้เขาต้องมอดม้วยไปพร้อมกับความอดสู   กาลนี้วาสนาบันดาลให้นางและเขามาบรรจบกันอีกครา เขาจึงคิดจะอาศัยบทเรียนในอดีตตัดไฟเสียแต่ต้นลม ทว่าเขาจะทำเช่นไร เมื่อพบว่าเหตุการณ์ที่เคยเกิดกลับเปลี่ยนแปลงไป รวมถึง ‘นาง’ ผู้นั้นด้วย!

Options

not work with dark mode
Reset