” ท่านอ๋องและพระชายา ต่างก็รับเสด็จอยู่ที่ห้องโถงแล้ว ฝ่าบาททรงรับสั่งเรียก ให้นายน้อยเข้าเฝ้า……..”
แม้น้ำเสียงของเขาเบามาก แต่ตู๋กูซิงหลันก็ยังคงได้ยินแล้ว
จีเฉวียนนับว่าเป็นวิญญาณที่ไม่ยอมไปผุดไปเกิดจริงๆ ไม่ว่านางจะไปอยู่ที่ใด เป็นต้องพบเจอเขาอยู่ตลอด
” ฝ่าบาทเสด็จมาที่ตำหนักหย่งเฉิงอ๋องด้วยเหตุใดกัน? ” บุรุษหนุ่มผู้นั้นนวดขมับด้วยท่าทางปวดศีรษะอย่างรุนแรง
พ่อบ้านชราลังเลอยู่ครู่หนึ่งค่อยตอบว่า ” ฟังมาว่า…..ฝ่าบาทเสด็จมาพระราชทานราชโองการให้ด้วยพระองค์เอง”
” หืม? “
” ฝ่าบาทจะทรงแต่งตั้งพี่สาวของท่าน……เป็นหวงกุ้ยเฟย ดังนั้นจึงทรงเสด็จมาพระราชทานราชโองการ”
มารหนุ่มรู้จึกว่าสมองของเขาส่งเสียงลั่นดังเปรี้ยะ คนคล้ายจะโดนฟ้าผ่าลงมาตลอดร่าง
เรื่องนี่ ทำไมเจ้าตัวอย่างเขาถึงไม่เคยรู้เรื่องมาก่อนกัน?
ตำแหน่งหวงกุ้ยเฟย จากตำแหน่งนี้อาจจะได้เป็นฮองเฮาในภายหลัง ฝ่าบาทคิดจะโอบอุ้มเขาขึ้นไปสูงๆ จากนั้นค่อยปล่อยให้ตกลงมาตายหรืออย่างไร?
” นายน้อย……จะอย่างไรก็ขอให้ท่านไปดูที่โถงหน้าก่อนเถอะ สีพระพักตร์ฝ่าบาทดูอึมครึมอย่างยิ่ง คล้ายกับจะเสวยผู้คนเข้าไปได้อยู่แล้ว”
ท่าทางเช่นนั้นไหนเลยจะเป็นเพราะมาเรื่องหวงกุ้ยเฟยกัน”
พ่อบ้านชราอดที่จะขนลุกจนตัวสั่นไม่ได้ นับตั้งแต่อายุได้หกขวบ เขาก็เริ่มทำงานรับใช้ในตำหนักนี้แล้ว นับไปนับมาก็มีมากกว่าหกสิบปี
ยังจะมีเรื่องใดๆ ในตำหนักที่เขาไม่รู้อีกหรือ ก็ที่นายน้อยแต่งตัวเป็นหญิงมาตลอดหลายปีมานี้ เขาก็จับได้มานานแล้ว เพียงแต่แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเท่านั้น
ดูเอาเถอะ นายน้อยถึงวัยแล้ว เริ่มคิดถึงเรื่องความรัก ถึงขนาดอุ้มหญิงสาวกลับมาวางบนเตียงเช่นนี้ หากว่าท่านอ๋องและพระชายาเห็นเข้าละก็มีหวังคงได้ตีเขาจนขาหัก
ดูท่าแล้วนายน้อยเข้าวังไปแล้วคงจะได้รับผลกระทบอะไรบางอย่าง……ถึงได้ทำเรื่องเช่นนี้ขึ้นมา
ภายใต้ผ้าโปร่งผืนบาง แม่นางน้อยบนเตียงดูอ่อนแอและนุ่มนวล ชายผ้าทิ้งยาวปิดบังใบหน้าของนางเอาไว้ จนทำให้เขาไม่อาจมองเห็นนางได้อย่างชัดเจน
เขาเองก็ไม่กล้ามองมากไป ได้แต่เร่งรัดนายน้อยให้ออกไปด้านนอก
ซูเยาขมวดคิ้วแนบแน่น เขาเดินเข้ามาถึงข้างตัวตู๋กูซิงหลัน ” พิษบนร่างเจ้ายังไม่ได้ถูกขจัดจนหมด อีกทั้งยังได้รับบาดเจ็บ เจ้าอย่าได้เพ่นพ่านวุ่นวาย พักผ่อนอยู่แต่เพียงในห้องนี้เถอะ เข้าใจไหม? “
ตู๋กูซิงหลันเหลือบมองกิริยาที่แสนจะเป็นจริงเป็นจังของเขา นางรู้สึกคล้ายดั่งกับว่าตนเองคือชู้รักที่กำลังจะถูกสามีชาวบ้านจับได้คาเตียง
ทั้งปิดบังทั้งแอบซ่อนราวกับกลัวว่านางจะถูกใครเจอตัวเข้า
” อย่าได้ออกไปจากห้องนี้แม้แต่ก้าวเดียว รอจนข้าจัดการเรื่องราวเรียบร้อยหมดแล้วจะรีบมาหาเจ้านะ “
ยามที่เขาเดินจากไป ยังไม่วายหันกลับมากำชับนาง
ตู๋กูซิงหลันได้แต่พยักหน้า ตอบตกลงไปคำหนึ่ง
นางในตอนนี้ก็ไม่มีกำลังใดๆ พิษแม้ถูกถอนไปแล้ว แต่ว่าการบังคับแยกกายเนื้อและร่างจิตที่ถูกขัดขวางอย่างกระทันหัน ทำให้ร่างเนื้อนี้ได้รับผลสะท้อนกลับอย่างรุนแรง ตอนนี้จึงอ่อนแออย่างมาก คิดแต่เพียงจะนอนอยู่บนเตียงเท่านั้น
อีกอย่างสภาพของนางในตอนนี้ ก็ไม่มีหน้าออกไปพบกับใครเลยจริงๆ
พอเห็นนางเชื่อฟังอย่างว่าง่าย ซูเยาถึงได้คลายใจลง ติดตามพ่อบ้านชราออกไปที่ห้องโถงเบื้องหน้าอย่างวางใจ
ก่อนจากไป เขาไม่ลืมที่จะปิดประตูลงอย่างแน่นหนา อีกทั้งยังลงดานจากนอกประตูเอาไว้ด้วย
…………………………………..
ตำหนักหย่งเฉิง ห้องโถงหน้า
ที่จริงยามนี้สีพระพักตร์ของหย่งเฉิงอ๋องและพระชายาต่างก็เขียวจนคล้ำแล้ว คนทั้งสองนั่งอยู่ด้วยกัน มองดูฮ่องเต้ที่ทรงประทับนั่งอยู่บนเก้าอี้หลัก ต่างก็รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีอย่างไร้สาเหตุ
ฝ่าบาทประทับนั่งอย่างสง่างาม ราศีของพระองค์เปล่งประกาย แม้ว่าจะเพียงแค่ประทับนั่งอยู่กลับดูเหมือนต้นสนพันปีอย่างไรอย่างนั้น ทั้งสูงส่ง สง่างามด้วยพระบารมี สุดที่ผู้อื่นจะเปรียบเทียบได้
ยามนี้ แม้กระทั่งห้องโถงที่มิได้หรูหราแต่อย่างใดของพวกเขา ก็ยังดูเริ่ดหรูขึ้นไปอีกมาก
ขณะเดียวกัน ฝ่าบาทก็ทรงเริ่มเสวยน้ำชาเป็นถ้วยที่สองแล้ว
หย่งเฉิงอ๋องสองสามีภารยาต่างมองหน้ากันและกัน นับตั้งแต่ที่พวกเขาได้ยินข่าวว่าเจ้าลูกอกตัญญูผู้นั้นถูกเรียกให้ถวายตัวเป็นต้นมา จิตใจของทั้งสองก็เป็นอันไม่สงบมาโดยตลอด
วันทั้งวันได้แต่อกสั่นขวัญผวา เกรงว่าวันใดวันหนึ่งเรื่องจะแดงขึ้นมา ถูกฝ่าบาทสั่งลงพระอาญา คนทั้งตำหนักหย่งเฉิงอ๋องของพวกเขาอาจจะต้องรับโทษปิดบังหลอกลวงเบื้องสูง
พูดแล้วก็ได้แต่แอบหลั่งน้ำตาอย่างขมขื่น
เจ้าลูกทรพีคนนั้น วันๆ ไม่รู้จักใช้ชีวิตให้ดี กลับต้องการจะเข้าวังไปเป็นพระสนม เอะอะร้องไห้ขึ้นมาก็เอาแต่จะแขวนคอตาย ทำเอาพวกเขาสิ้นไร้หนทาง สุดท้ายได้แต่จำยอมส่งเขาเข้าวังไป
บ้านอื่นๆ ล้วนแต่เฝ้าวาดหวังให้บุตรสาวได้รับการโปรดปราน พวกเขาช่างดีนัก เอาแต่กราบพระไหว้เทพเจ้าขอให้ฝ่าบาทอย่างได้สนพระทัยในตัวเจ้าลูกทรพีของตน
ดังนั้นตอนที่เจ้าลูกทรพีเข้าวังไปแล้วก็บอกว่าต้องการจะไปเฝ้าสุสานยังเขาจงหลิง พวกเขาจึงพากันยกทั้งมือและเท้าสนับสนุน
ไปที่ไหนล้วนดีทั้งนั้น ของเพียงแค่ไม่ใช่วังหลวง ไม่ต้องอยู่ร่วมกันฮ่องเต้ หัวใจของพวกเขาจะได้ไม่ต้องเอาแต่ลุ่มๆ ดอนๆ อยู่ทั้งวัน
แต่ว่าตอนนี้นะสิ เขาไม่เพียงแต่กลับมาจากเขาจงหลิงแล้ว กลับยังถูกฮ่องเต้ให้ความสำคัญอีกด้วย ทุกค่ำคืนเป็นต้องถวายตัว ในวังยังมีแต่ข่าวลือออกมาว่า ฝ่าบาทมีพระประสงค์จะให้เขาคลอดพระโอสรองค์แรกถวาย!
ฟังเอาเถอะ ลูกชายของพวกเขาจะเอาอะไรคลอดลูกได้กันเฮ้อ?
สองสามีภรรยาได้แต่เกลียดตนเองที่ตั้งแต่แรกก็เอาอกเอาใจเขามากไป แม้แต่เรื่องบ้าบอเช่นเข้าวังไปเป็นพระสนมเช่นนั้นก็ยังจะไปรับปากได้
หากจะโทษก็ต้องโทษที่พวกเขาสูญเสียบุตรชายติดต่อกันไปสี่คน ถึงได้บังคับเลี้ยงดูเจ้าห้าให้เป็นบุรุษในคราบสตรีมาตั้งแต่เล็กๆ ในใจอดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดต่อเขามาโดยตลอด ดังนั้นในยามปกติจึงได้รักใคร่เอาอกเอาใจสารพัด จนถึงขั้นมิว่าอยากได้อะไรเป็นต้องได้ไปหมด
และเพราะความรักใคร่เอาอกเอาใจเช่นนี้ ทำให้เขากลายเป็นคนที่ไม่รู้จักกฎข้อห้ามใดๆ
ยามนี้ล่ะดีเลย ถึงขนาดไปรังควาญฝ่าบาท
ที่จริงพวกเขาก็สงสัยว่า ฝ่าบาทอาจจะทรงรู้ความจริงเรื่องความเป็นบุรุษของเจ้าลูกทรพีแล้วก็เป็นได้ ได้ยินมานานแล้วว่าฝ่าบาททรงโปรดปรานรักใคร่บุรุษมาโดยตลอด ท่านราชครูก็เป็นบุรุษคนโปรดของพระองค์
แต่ไหนแต่ไรฝ่าบาทมิทรงได้แตะต้องพระสนมคนใดทั้งสิ้น พอโปรดจะแตะต้องขึ้นมาก็หยุดไม่ได้เสียอย่างงั้น
นี่จะต้องเป็นเพราะว่าพระองค์ชื่นชอบบุรุษ เพราะฉะนั้นถึงได้โปรดปรานลูกชายของพวกเขา ส่วนเรื่องที่ถึงขั้นจะให้เขาคลอดพระโอรสอะไรนั้น คงจะเป็นเพียงแค่ฉากหน้าเท่านั้น
พอคิดมาถึงตรงนี้ หย่งเฉิงอ๋องสามีภรรยา ก็อดที่จะน้ำตานองหน้าไม่ได้ วันนี้มันวันอะไรกันนะ
เรื่องที่ฝ่าบาททรงโปรดปรานบุรุษ สำหรับพวกเขาแล้วก็ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องที่ควรจะยินดีหรือโศกเศร้ากันแน่น
ฝ่าบาทประทับนั่งอยู่บนเก้าอี้ประธาน สีพระพักตร์ที่ราวกับว่ามีน้ำแข็งเกาะอยู่บนใบหน้ามาตลอดพันปี ช่างน่ากลัวเหลือเกิน
ผ่านไปอีกพักใหญ่ในที่สุดถึงได้มองเห็นเจ้าคุณชายตัวร้ายในชุดสีแดงนั้นเดินมาอย่างรีบร้อน
ทั้งๆ ที่เห็นชัดๆ ว่าเป็นใบหน้าที่ปราษจากอันตรายใดๆ แต่ว่ากลับดูร้ายบริสุทธิ์จนผู้คนไม่อาจละสายตาไปได้
พอหย่งเฉิงอ๋องและพระชายาเห็นเขา วิญญาณก็แทบจะหลุดลอยไปครึ่งหนึ่ง สิบเก้าปีที่ผ่านมานี้ กระทั่งพวกเขายังไม่ค่อยได้เห็นลูกชายในชุดบุรุษสักเท่าไร พอมองดูไปในแวบแรก ก็นึกได้ว่าในบ้านมีบุรุษจิ้งจอกขึ้นมาคนหนึ่งเข้าจริงๆ
เมื่อคิดถึงปีนั้นที่เขาเกิดมา รอบตำหนักของหย่งเฉิงอ๋องมีแต่สรรพสัตว์มาทำความเคารพ และที่เป็นผู้นำในฝูงนั้นก็คือจิ้งจอกตัวหนึ่ง ที่เลวร้ายไปยิ่งกว่านั้น บุตรชายผู้นี้ยิ่งเติบโตก็ยิ่งงดงามน่าดูดั่งนางฟ้านางสวรรค์ สมดั่งที่นักพรตผู้นั้นได้บอกเอาไว้จริงๆ
สายพระเนตรหงส์ทั้งสองข้างของฝ่าบาทเองก็จับจ้องอยู่บนร่างของเขา ทรงเคยเห็นซูเม่ยที่เป็นสตรีมาจนคุ้นชินแล้ว พบเห็นเขาในฐานะบุรุษ ฮ่องเต้ก็ทรงแย้มสรวลขึ้นมา
พอเห็นรอยยิ้มเช่นนั้น ก็ทำให้หย่งเฉิงอ๋องสองสามีภรรยาลุกขึ้นมาในทันที อีกทั้งยังคุกเข่าลงไปถวายคำนับพระองค์
ซูเม่ยอยากจะเข้าไปประคองพวกเขาขึ้นมาเหลือเกิน เตี่ย (บิดา) และเหนียง (มารดา) จะอย่างไรก็เป็นถึงท่านอ๋องและพระชายา แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าพระพักตร์ของจีเฉวียนกลับไม่มีสิทธฺ์จะพูดจา
” ฝ่าบาท เจ้าลูกทรพีหลบลี้จากโลกภายนอกมานานหลายปี ไม่รู้จักความสูงส่งของเจ้าฟ้าเจ้าสวรรค์ ขอฝ่าบาททรงลงพระอาญา ” หย่งเฉิงลอบปาดเม็ดเหงื่อบนใบหน้า หัวใจแทบจะกระดอนออกมาจึงถึงคอหอยอยู่แล้ว
ฮ่องเต้ผู้ยิ่งใหญ่ของต้าโจว ยังลึกล้ำกว่าที่พระองค์ทรงแสดงออกเพียงภายนอกจนไม่อาจคาดเดา ด้วยเหตุนี้เขาจึงได้ถวายความสนับสนุนพระองค์มาตั้งแต่ยังไม่ได้ทรงขึ้นครองราชย์
แม้ยามปกติจะได้เข้าเฝ้า แต่ก็คิดจะอยู่ให้ไกลเข้าไว้ ด้วยเกรงว่าจะไปพูดผิดหรือทำพลาดอันใดเข้า
จีเฉวียนเห็นแล้ว ก็วางถ้วยน้ำชาในพระหัตถ์ลง ลุกขึ้นเสด็จเข้าไปหา ยื่นพระหัตถ์ไปประคองหย่งเฉิงอ๋องสองสามีภรรยาด้วยตนเอง ” ท่านอ๋องกล่าวหนักไปแล้ว เรารักถนอมกุ้ยเฟย ย่อมเสมือนรักบ้านเผื่อแผ่นกกา เจ้าต้นกล้าโทนของท่านนี้ เราเองก็ชื่นชอบเขามากเช่นกัน “
——
爱屋及乌 = รักบ้านเผื่อแผ่ถึงนกกา = Love me love my dog
你家这根独苗 = เลือดเนื้อเชื้อไขที่เป็นลูกโทนของตระกูล