“คุณหนูเจ้าคะ!” หลีมู่กลับคืนสู่อารมณ์ปกติตามเดิมแล้วจึงกล้าเดินกลับเข้าไปในห้อง เมื่อผลักประตูเข้าไปจึงเห็นซูเหลียนอวิ้นกำลังนั่งอ่านตำราอยู่ที่โต๊ะ โดยที่ไม่มีทีท่าไม่สบอารมณ์แต่อย่างใด นางจึงค่อยเบาใจขึ้น
ยังดีที่คุณหนูไม่ได้มีทีท่าหงุดหงิดอะไรแล้ว
“มีอะไรหรือ?” ซูเหลียนอวิ้นวางตำราในมือลงแล้วเอ่ยถามขึ้น
“คุณหนูหลินตอบจดหมายกลับมาแล้วเจ้าค่ะ” หลีมู่เอ่ยอย่างค่อยๆ เอ่ยด้วยความตื่นเต้น จากนั้นจึงยื่นมือทั้งสองที่มีจดหมายอยู่ให้ซูเหลียนอวิ้นทันที
ซูเหลียนอวิ้นยืดตัวขึ้นแล้วเอนตัวพิงเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน นิ้วที่เรียวยาวราวกับต้นหอมของนางรับจดหมายมาแล้วเปิดออก เมื่อเปิดเรียบร้อยแล้ว รอยยิ้มที่มุมปากของนางก็ปรากฏขึ้นอย่างห้ามไม่ได้
“คุณหนูหลินต้องตอบตกลงอย่างแน่นอนเลยใช่ไหมเจ้าคะ?”
“เจ้าว่าอย่างไรเล่า?” ซูเหลียนอวิ้นมองไปที่หลีมู่ด้วยรอยยิ้ม “นางกล้าไม่ตกลงหรือ หากไม่ตกลงข้าจะ…!” ซูเหลียนอวิ้นพยายามแค่นเสียงแข็งระหว่างที่เอ่ย
จะดีจะร้ายอย่างไรก็เป็นเพื่อนที่ดีต่อกันในการรวมหัวกันทุจริตให้คะแนนกันและกันในงานฉลองวสันตฤดูเชียวนะ หลินเหวินเสี่ยวลองไม่รับปากนางดูสิ!
“นี่เป็นข่าวดียิ่ง” หลีมู่ก็ยิ้มเช่นกัน
ในที่สุดคุณหนูก็มีเพื่อนสนิทเป็นของตัวเองเสียที นี่เป็นข่าวดียิ่ง
“เอาล่ะๆ หลีมู่เจ้าอย่ามัวแต่นั่งยิ้มอยู่” รอยยิ้มของซูเหลียนอวิ้นหายไปแล้วเอ่ยขึ้น “ข้ายังมีเรื่องที่อยากจะไหว้วานเจ้า”
“เรื่องอะไรเจ้าคะ?” ตอนนั้นหลีมู่ยืนตัวแข็ง เนื่องจากนานๆ ทีคุณหนูจะใช้คำว่าไหว้วานคำนี้ ดังนั้นตอนนี้พอบอกว่ามีเรื่องจะให้นางทำ เรื่องนั้นคงจะเป็นเรื่องที่สำคัญมากกระมัง?
“หลีมู่เจ้าไปบอกแม่เฒ่าหวางที่เป็นนายหน้าขายของนางนั้นว่าตลอดหนึ่งเดือนนี้ ข้าต้องการมะละกอที่สดใหม่ทุกเช้า และต้องเป็นมะละกอสดใหม่อย่างดีด้วยนะ!”
“ส่วนปัญหาเรื่องเงินเจ้าจงบอกนางว่าไม่ต้องกังวล ข้าจะจ่ายให้นางต่างหาก ไม่จำเป็นต้องจดไว้ในบัญชีสาธารณะ ดังนั้นให้นางวางใจไปหาซื้อมาให้ข้าให้ได้ แต่ว่า…” ซูเหลียนอวิ้นกรอกตาเล็กน้อยแล้วเอ่ยต่อว่า “แต่หากข้ารู้ความจริงว่ารับเงินจากข้าไปแล้วแต่ไม่ยอมทำอย่างเต็มที่ล่ะก็ ผลที่จะเกิดตามมาก็ให้นางคิดดูเอาเองแล้วกันว่าจะต้องรับมืออย่างไร”
“เจ้าค่ะคุณหนู! บ่าวจะต้องถ่ายทอดคำพูดทุกคำของคุณหนู คุณหนูวางใจได้” หลีมู่กลืนน้ำลายแล้วพยักหน้า ในใจของนางแอบคิดว่าทำไมจู่ๆ คุณหนูถึงได้ร้ายกาจขึ้นเช่นนี้ได้? อืม…ท่าทางเช่นนี้คงเรียกว่าร้ายกาจได้กระมัง?
“อื้ม ไปสิ” ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้าให้ทีหนึ่ง จากนั้นจึงเอนกายพิงพนักเก้าอี้
“เจ้าค่ะ”
หลังจากที่หลีมู่ปิดประตูจนสนิทแล้วนั้น ซูเหลียนอวิ้นก็รีบดีดตัวขึ้นมานั่งตัวตรงอย่างรวดเร็วจากนั้นจึงถอนใจ
ใจจริงของนางรู้สึกว่าการวางท่าทางเข้มงวดเช่นนี้ไม่เหมาะสมกับนางเท่าไหร่…ทว่าเมื่อนึกถึงคำพูดของหรงซู่ที่บอกนางในวันนั้น ซูเหลียนอวิ้นจึงจำต้องทำใจเ**้ยมๆ ให้มากขึ้นหน่อย
แม่เฒ่าหวางนางนี้มีลูกชายอยู่คนหนึ่ง แต่เนื่องจากไม่ค่อยได้ใส่ใจอะไรจึงเลือกคบกับเพื่อนกินเพื่อนเที่ยวจนพากันเกเร จากนั้นจึงติดนิสัยชอบเล่นการพนันเป็นต้นมา
แม่เฒ่าหวางเป็นแม่หม้าย ดังนั้นจึงต้องเผชิญกับชะตากรรมลำบากยากแค้นกว่าจะเลี้ยงลูกจนเติบโตขึ้นมาได้ ตอนนี้แม้ว่าลูกชายตัวเองจะเกเรไม่เรียนหนังสือไปแล้ว แต่ถึงอย่างไรก็เป็นลูกที่ตัวเองอุ้มท้องถึงสิบเดือนและเป็นก้อนเนื้อก้อนหนึ่งที่ตัวเองคลอดออกมา! แล้วจะให้ใจร้ายกับลูกลงได้อย่างไร?
ตีก็ตีไปแล้ว ดุด่าก็ดุด่าไปแล้ว แม้ว่าทุกครั้งหลังจากที่โดนตีและโดนดุลูกชายของนางจะลงไปนั่งคุกเข่าบีบน้ำตาร้องไห้ราวกับเขาสำนึกผิดและจะปรับตัวแล้วจริงๆ ทว่าไม่เกินครึ่งเดือน แม่เฒ่าหวางก็ต้องกลับไปตามหาเขาที่บ่อนตามเคย
พอเวลาผ่านไปนานเข้าแม่เฒ่าหวางก็ท้อแท้สิ้นหวังและไม่สนใจอะไรอีก นางปล่อยให้ลูกของนางไปที่ใดก็ได้ตามที่อยากจะไป
ทว่าไม่นานนัก เมื่อไม่มีเงินช่วยเหลือจากแม่เฒ่าหวางแล้ว ลูกชายของนางก็ยังคงไปที่บ่อนตามเดิมแต่เนื่องจากไม่มีเงินจ่ายค่าพนันจึงโดนคนในบ่อนจับตัดนิ้วมือออกไปสองนิ้ว!
เมื่อแม่เฒ่าหวางเห็นว่าลูกชายตนเองโดนบังคับขืนใจให้ตัดนิ้วมือไปสองนิ้วเช่นนี้ ความเศร้าโศกและขมขื่นใจได้ห่อหุ้มและกลืนกินร่างกายของนาง ตั้งแต่บัดนั้นแม้ว่าลูกชายจะยังกลับไปที่บ่อนอีก หรือไม่ว่าเขาจะตัดสินใจทำอะไร นางก็ไม่เคยห้ามเขาอีกเลย
ในใจของแม่เฒ่าหวางได้แต่โทษตัวเอง นางคิดว่านางติดหนี้ลูกชายของตน
เนื่องจากนางคิดว่าหากตอนนั้นนางไม่ใจร้ายเช่นนั้น ไม่ได้ไล่คนทวงหนี้กลับไป บางทีมือของลูกชายนางอาจจะยังปลอดภัยไร้เรื่องราว?
ทว่าการพนันเผาผลาญไร้ที่สิ้นสุด เงินเป็นสิ่งที่ใช้หมดไปอย่างรวดเร็ว เมื่อผ่านไปนานๆ เข้า หากไม่มีเงินจะทำอย่างไร? แม่เฒ่าหวางจึงค่อยๆ หันเหความสนใจของตัวเองมาที่อาชีพนายหน้าขายของ
ซูเหลียนอวิ้นรู้ดีว่าเรื่องราวเช่นนี้ถือเป็นความบังเอิญของโชคชะตา เมื่อชาติที่แล้วตอนที่นางแอบหนีออกจากเรือน นางเลือกที่จะออกทางประตูหลัง แต่ด้วยความบังเอิญดันไปเห็นคนที่มาตามทวงหนี้กับแม่เฒ่าหวางเข้า
ตอนนั้นนางแอบอยู่ที่ประตูหลังอีกบานโดยไม่กล้าส่งเสียงออกไป นางตั้งใจฟังเรื่องราวทั้งหมดจนจบรอบหนึ่ง แม้ว่าตอนนั้นนางจะรู้ว่าแม่เฒ่าหวางแอบโกงเงิน แต่นางกลับยังใจอ่อน นางไม่ได้รายงานเรื่องนี้กับใคร ในทางตรงข้ามนางกลับช่วยแม่เฒ่าหวางเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ
แต่ในชาตินี้เล่า? ซูเหลียนอวิ้นวางตำราในมือลงแล้วเดินไปที่หน้าต่าง แล้วแง้มเปิดหน้าต่างขึ้นเพียงช่องเล็กๆ ช่องหนึ่ง ลมอุ่นๆ จึงพัดเข้ามา ทำให้การครุ่นคิดอันวุ่นวายภายในใจของนางสงบราบเรียบลง
ในชาตินี้ ซูเหลียนอวิ้นคิดว่าตัวเองอาจจะไม่ได้มีเมตตาเช่นนั้นแล้ว
มีเมตตากับคนประเภทนี้ ถือเป็นการไม่มีเมตตากับตัวเองอย่างหนึ่ง
ตระกูลซูมิใช่โรงทาน อีกทั้งเงินทั้งหมดของตระกูลซูก็มิได้มีลมพัดมาให้ถึงที่ ดังนั้นจะไม่มีการนำเงินของตระกูลตัวเองไปช่วยเหลือคนที่ไม่ได้มีความสัมพันธ์ข้องเกี่ยวใดๆ อย่างไม่มีที่สุดได้ ยิ่งไปกว่านั้นคนผู้นั้นก็ได้รับผลที่เกิดขึ้นจากการกระทำของตัวเองด้วย!
ท่านอาจารย์บอกว่านางเป็นคนที่มีพลังงานเหลือล้น แต่กลับใช้พลังนั้นไม่มากพอ
วันนี้นางได้ลั่นวาจาออกไปแล้ว ส่วนแม่เฒ่าหวางจะทำอย่างไรนั้น จะเชื่อฟังคำของนางหรือไม่นั้น? ซูเหลียนอวิ้นเองก็ไม่ค่อยแน่ใจนัก
แต่ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรกับนางมากนัก หากเชื่อฟังนาง นางก็หมดห่วงไปหนึ่งเรื่อง แต่หากไม่ฟัง? เช่นนั้นก็ดีเหมือนกันจะได้กลายเป็นหินลับมีดอันแรกให้นาง?
ไม่เลวทีเดียว
ซูเหลียนอวิ้นนวดที่ขมับตัวเอง เนื่องจากตอนนี้นางรู้สึกว่าปวดที่สมองของตัวเองเสียแล้ว เมื่อครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง นางจึงรู้สึกว่าช่วงนี้นางคิดเรื่องราวต่างๆ มากเกินไปหรือไม่? หรือว่านางจะเป็นคนที่เหมาะกับเรื่องที่ใช้แต่กำลังมากกว่าใช้สมอง
เพราะเมื่อครู่เพิ่งคิดเรื่องสำคัญไป นางจึงเริ่มรู้สึกปวดหัวขึ้นมา
เฮ้อ ซูเหลียนอวิ้นถอนหายใจ เมื่อครู่นี้ดูเหมือนว่านางจะลืมพูดบางเรื่องกับหลีมู่ไป นอกจากเรื่องที่ให้หลีมู่ไปบอกว่าต้องการมะละกอแล้ว อันที่จริงนางยังต้องการเมล็ดเหอเถา[1]มาบำรุงสมองของนางอีกด้วย
นางส่ายหัว จากนั้นยื่นมือไปหยิบตำราที่อ่านค้างไว้ครึ่งหนึ่งมา อ่านตำราต่ออีกหน่อยดีกว่าถือเป็นการหลีกหนีจากความจริงไปด้วยในตัว
……
หลังจากที่เวลาหนึ่งก้านธูปผ่านไป ซูเหลียนอวิ้นจึงวางตำราในมือของตัวเองลงดัง “ปัง” แล้วปิดตำราลง
นางคิดว่า ตำราเล่มนี้…นางได้อ่านไปไม่น้อยแล้ว ตอนนี้ถึงเวลาที่ต้องคิดถึงการลองฝึกจริงแล้วหรือไม่?
ตอนนั้นซูเหลียนอวิ้นรู้สึกตื่นเต้นมาก ทว่าเพียงชั่วครู่ความเป็นจริงกลับทำให้นางสงบลงอีกครั้ง
ข้อแรกนางไม่มีอาวุธ ข้อสองดูเหมือนว่าจะไม่มีคนเป็นคู่ซ้อมของนาง ประเด็นนี้…ดูเหมือนว่ากลายเป็นเรื่องที่ไม่รู้ว่าควรจะจัดการอย่างไรต่อดี
——
[1] หมายถึงเมล็ดวอลนัท