ตอนที่ 633 ใต้เท้าเซ่าซือ[1]ขั้นหนึ่งระดับล่าง!
ทันทีที่ซูหลีปรับสีหน้าได้ก็เหลือบตาขึ้นมองเขาอย่างอดไม่ไหว
“เตรียมพู่กันกับหมึก” ใบหน้าของฉินเย่หานไม่มีความทุกข์ร้อน ดวงตาที่มืดครึ้มคู่นั้นขณะที่หยุดอยู่ที่ร่างของซูหลี กลับมีกลิ่นอายบางอย่างเพิ่มขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
ซูหลีถูกเขามองเช่นนี้ หัวใจจึงสั่นสะท้าน
“พ่ะย่ะค่ะ!” หวงเผยซานรีบเดินเข้ามา ฝนหมึกและส่งพู่กันให้ฉินเย่หานอย่างกระตือรือร้นยิ่ง
ดวงตาลุ่มลึกของฉินเย่หานคู่นั้นจ้องที่ซูหลีพริบตาหนึ่ง จากนั้นจึงหยิบพู่กันขึ้นมา และเริ่มตวัดเขียนตัวอักษร
หลังจากผ่านไปสักพักหนึ่ง เขาจึงวางพู่กันในมือลง และนำสิ่งที่เขียนเสร็จส่งต่อให้กับหวงเผยซาน
หวงเผยซานรับมาแล้วก็มองดูแวบหนึ่ง สีหน้าพลันเปลี่ยนไปอย่างมีความหมายลึกซึ้ง
ทว่าเขาเป็นคนเฉลียวฉลาด อีกทั้งไม่กล้าแสดงอาการอะไรออกมา เพียงจ้องมองที่พระราชโองการครู่หนึ่ง จากนั้นยิ้มแย้มให้กับซูหลีและเอ่ยว่า
“ยินดีกับถ้านฮวาซูด้วย อ้อ ไม่สิ ควรจะเป็นใต้เท้าซูแล้ว!”
ซูหลีได้ยินดังนั้นจึงอ้ำอึ้ง ใต้เท้าซูหรือ?
นางเหลือบตามองพระราชโองการในมืออย่างห้ามไม่ได้ ใบหน้าเผยความฉงนสงสัยออกมา
“ใต้เท้าซูดูเองเถิดขอรับ” ที่นี่ไม่มีผู้อื่น เมื่อเห็นว่าฉินเย่หานไม่สั่งให้หวงเผยซานอ่านเนื้อความในพระราชโองการ หวงเผยซานจึงส่งพระราชโองการไปตรงหน้าซูหลี
ให้ซูหลีอ่านเอง
ทันทีที่ซูหลีชำเลืองมอง สีหน้าพลันเปลี่ยนไปในทันที
นี่ฉินเย่หานแต่งตั้งนางเป็นขุนนางแล้ว ในพระราชโองการเขียนอย่างชัดเจน โดยการชมนางไม่กี่ประโยคก่อน จากนั้นจึงกล่าวว่าวิธีการรักษาโรคระบาดของนางใช้ได้ผล เป็นคณูปการที่ยิ่งใหญ่ จึงแต่งตั้งนางเป็นเซ่าซือ ขุนนางขั้นหนึ่งระดับล่าง!
ซูหลีดูแล้ว ในใจจึงรู้สึกระแวง ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น แค่คำว่าขั้นหนึ่งระดับล่าง ก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้คนรู้สึกตกใจแล้ว
ขั้นหนึ่งระดับล่างคือตำแหน่งอะไรกัน
จะว่าไปแล้ว บิดานางในอดีตก็คลุกคลีอยู่ในสนามของขุนนางหลายสิบปี ก็เป็นแค่เสนาบดีซื่อหลางกรมขุนนางฝ่ายซ้ายขั้นสามเท่านั้น ทว่าทันทีที่นางเข้ามาในราชสำนัก แม้จะได้ตำแหน่งขั้นหนึ่งระดับล่าง นี่ช่างชวนให้หมดคำพูดโดยแท้
แน่นอนว่าแม้จะอยู่ในตำแหน่งขั้นหนึ่งระดับล่าง ทว่าตำแหน่งเซ่าซือนั้น หากพูดอย่างจริงจังแล้ว แทบจะไม่มีอำนาจอะไรทั้งสิ้น
เซ่าซือ เซ่าฟู่ เซ่าเป่า ที่จริงแล้วก็คือตำแหน่งไต้ซือ ไท่ฟู่ ไท่เป่า เป็นตำแหน่งขุนนางผู้ช่วย ทว่าตำแหน่งไท่ซื่อขั้นหนึ่งเป็นตำแหน่งขุนนางใหญ่ เช่นนั้นก็จำเป็นต้องมีไท่จื่อ[2] ถึงจะสามารถมีไต้ซือได้
ตำแหน่งไต้ซือ แค่เห็นชื่อก็พอจะรู้ความหมาย ก็คือราชครูฝ่ายวังตะวันออกของไท่จือนั่นเอง
ทว่าบัดนี้ฮ่องเต้ยังเยาว์วัย อีกทั้งมิมีพระราชโอรส
ดังนั้นพวกไท่ซือ ไท่เป่าก็แค่ตำแหน่งว่างๆ เท่านั้น ฟังแล้วดูน่าฟัง ทว่าหากพูดอย่างจริงจังแล้ว ยังไม่ดีเท่าตำแหน่งเสนาบดีกรมขุนนางของบิดาซูหลี
ทว่าไต้ซือป๋ายนั้นมิเหมือนกัน แม้เขาจะเป็นไต้ซือ ทว่าสกุลป๋ายมีชื่อเสียงและอิทธิพลมาก อีกทั้งเขายังเคยอบรมสั่งสอนองค์รัชทายาทมาก่อน แม้องค์รัชทายาทพระองค์นั้นจะถูกปลดแล้วก็ตาม ทว่าหลังจากนั้นเขาก็เป็นคนที่มีสายตาคมกริบที่สามารถมองเห็นในสิ่งที่ทุกคนมองข้าม นั่นก็คือหลิงอ๋อง ซึ่งก็คือฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน เขาจึงมีอนาคตเป็นเช่นนี้
ในฐานะที่เป็นผู้อาวุโสสองรุ่น แน่นอนว่าเขาเป็นคนที่ผู้อื่นเทียบไม่ติด
ส่วนซูหลีที่เป็นเซ่าซือนั้น…
ซูหลีหรี่ตาลงเล็กน้อย นี่ช่างทำให้นางเชื่อมโยงและคิดถึงอีกคนได้อย่างง่ายๆ นั่นก็คือจี้เหิงหราน
จี้เหิงหรานคือเซ่าฟู่ ซึ่งแตกต่างจากตำแหน่งเซ่าซือของซูหลีไม่มากนัก ทว่าเขาเป็นคนสนิทของฮ่องเต้ เป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่มีอำนาจอย่างแท้จริง
บัดนี้ฮ่องเต้ทรงแต่งตั้งนางเป็นเซ่าซือขั้นหนึ่งระดับล่าง เบื้องลึกจักต้องมีความหมายอะไรบางอย่าง นี่เป็นสิ่งที่สามารถทำให้ผู้อื่นไปตริตรองอย่างละเอียดได้คำรบหนึ่ง
สรุปแล้ว นี่ก็ถือเป็นเกียรติอันดับสูงสุด
ทว่าซูหลีนั้นคู่ควรแล้ว
ไม่ใช่เพราะนางขึ้นชื่อว่าเป็นบัณฑิตถ้านฮวา ทว่าเป็นเพราะตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โรคระบาดที่ไม่มีผู้ใดสามารถควบคุมได้มาโดยตลอด กลับถูกนางแก้ปัญหาได้อย่างง่ายดาย
อีกทั้งหากรอดูต่อไป หากยังเป็นเช่นนี้ต่อ โรคระบาดสามารถควบคุมได้จริงๆ นางก็คงมีชื่อเสียงเลื่องลือไปอีกยาวนาน
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว คณูปการที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ มอบตำแหน่งเซ่าซือให้แก่นางก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลแล้ว!
กอปรกับนางไม่ได้อาศัยแค่วิธีการควบคุมโรคระบาดอย่างเดียว นางยังเป็นผู้ที่ผ่านการสอบคัดเลือกขุนนางอย่างเป็นทางการด้วย!
——
[1] เซ่าซือ เป็นชื่อตำแหน่งขุนนาง จัดเป็นตำแหน่งราชครู
[2] ไทจื่อ เป็นชื่อตำแหน่ง หมายถึงองค์รัชทายาท
ตอนที่ 634 จำคำพูดของเราไว้ให้ดี
กอปรกับสถานะนี้ของนาง จึงไม่ถือว่าเป็นการให้อะไรนางเกินกว่าเหตุ
ทว่านางถือว่าเป็นผู้ที่มีอายุน้อย ตำแหน่งเซ่าซือนี้ หากพูดอย่างจริงจังแล้ว หากฮ่องเต้ทรงมิใช้นางทำเรื่องสำคัญแล้วละก็ นี่ก็คงเป็นแค่ตำแหน่งขุนนางที่น่าฟังก็เท่านั้น
ดังนั้นการให้ตำแหน่งนี้จึงถือว่าเหมาะสมแล้ว
ข้อแรกถือเป็นการตอบแทนคณูปการของซูหลี ข้อสองเป็นการไม่ให้นางยืนอยู่ตำแหน่งสูงเกินไป
ส่วนเรื่องจะสามารถใช้ทำเรื่องสำคัญได้หรือไม่นั้น…
หวงเผยซานกวาดตามองไปยังบนโต๊ะมังกรที่ถูกเก็บเรียบร้อยอย่างห้ามไม่ได้ เรื่องทั้งหมดก็เป็นเช่นนี้แล้ว ยังจะให้พูดอะไรให้มากความอีก
“ใต้เท้าซู ยังไม่รีบขอบพระทัยฝ่าบาทอีก!” หวงเผยซานมองไปยังซูหลีที่รับพระราชโองการไว้โดยไม่พูดไม่จา เขาจึงพูดเตือนสติซูหลีด้วยเสียงแผ่วเบา
ซูหลีดึงสติกลับมาอย่างรวดเร็ว จากนั้นรีบคุกเข่าลงและเอ่ยว่า “กระหม่อมมิมีทางทำให้ฝ่าบาทผิดหวัง ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นๆ ปี!”
พูดจบ นางก็คำนับลงไปที่พื้น
การแสดงความขอบคุณนี้ ออกมาจากใจจริงของนาง
นางกลายเป็นซูหลีเกือบจะปีหนึ่งแล้ว ในที่สุดก็ก้าวเดินแต่ละก้าวจนมาถึงวันนี้
ตำแหน่งเซ่าซือนี้แม้จะไม่มีอำนาจอะไร ทว่าทุกคนก็ทราบดีว่า นี่เป็นตำแหน่งขุนนางชั้นผู้ใหญ่ ขอเพียงมีตำแหน่งขุนนางผู้ใหญ่นี้ และสามารถที่อยู่ในแวดวงขุนนาง นั่นก็ถือว่าเพียงพอแล้ว
เมื่อมีตำแหน่งเช่นนี้แล้ว นางอยากจะพลิกคดีสกุลหลี่เพื่อต้องการล้างมลทินให้กับคนจำนวนหนึ่งร้อยสี่สิบสามคน ก็คงกลายเป็นเรื่องง่ายขึ้นมาบ้างแล้ว
ฉินเย่หานได้ยินดังนั้นจึงมองนางด้วยแววตาลุ่มลึกปราดหนึ่ง ในสายตานั้นเผยความคลุมเครือบางอย่างที่ทำให้คนยากจะเข้าใจ เขาพลันเอ่ยขึ้นว่า “แม้จะเป็นเช่นนี้ ก็อย่าลืมคำพูดที่เราเคยพูดไว้!”
คำพูด? คำพูดอะไรกัน
ซูหลีครุ่นคิดโดยไม่รู้ตัว เมื่อครู่เขากดนางไว้บนโต๊ะมังกร และทั้งบีบบังคับให้นางเอ่ยว่า นางเป็นคนของเขา…ใบหน้าของนางแดงระเรื่อ ทว่านางก็ไม่กล้าที่จะพูดอะไรออกมาอีก นางเพียงก้มศีรษะใช้น้ำเสียงตอบรับเขาโดยไม่รู้สึกตัว มิหนำซ้ำเขายังไม่กล้าเอ่ยอะไรมาอีก
ฉินเย่หานได้ยินดังนั้น ความรู้สึกภายในดวงตาก็อ่อนโยนลงถึงหลายส่วน
…
“นายน้อย!” ชุยตานเห็นซูหลีที่เดินออกมาจากภายในวัง เขาจึงรีบเข้าไปต้อนรับทันที
คราที่ซูหลีเข้าวัง เป็นระยะเวลาหนึ่งวันหนึ่งคืน จนกระทั่งตอนนี้ถึงจะออกมา จึงทำให้ผู้อื่นรู้สึกเป็นกังวล
เมื่อคืนมีขันทีผู้หนึ่งบอกเขาว่า ซูหลีเมาสุราแล้วคงต้องนอนภายในวังหลวงหนึ่งคืน
ในใจเขารู้สึกเป็นกังวลมาก ทว่าเขาไม่สามารถเข้าไปด้านในได้ จึงถูกบังคับให้ออกไปจากตรงนี้ วันนี้เขาก็มาที่นี่แต่เช้า และรออยู่ที่นี่ตลอดทั้งช่วงเช้าจนกระทั่งถึงบัดนี้ พระอาทิตย์ใกล้จะตกดินแล้วซูหลีเพิ่งจะปรากฏตัวขึ้น
ไม่รู้ว่าเรื่องเกิดอะไรขึ้นกัน
“นายน้อย ไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่” ชุยตานมองซูหลีอยู่นาน กลับเห็นซูหลีที่ดูท่าทางเหน็ดเหนื่อยมาก ขณะที่เดินเหินยังมีความเกียจคร้านอยู่บ้าง ในทางกลับกันใบหน้าเล็กจิ้มลิ้มนั้นกลับใสผ่องราวกับจะบีบน้ำออกมาได้ก็มิปาน ช่างทำให้ผู้ที่จ้องมองเกิดความไหวหวั่นเป็นอย่างมาก
แม้แต่ชุยตานยังแอบรู้สึกว่า ซูหลีนั้นดูมีเสน่ห์กว่าเมื่อวานตอนเช้าก่อนเข้าไปในวังอยู่หลายส่วน
เขาสะบัดศีรษะไปมา จากนั้นรีบสะบัดความคิดแปลกประหลาดนั้นออกไปจากสมองของตน
“ไม่เป็นไร กลับกันเถอะ” ซูหลีโบกมือไปมา ถอนหายใจลากยาว นางรู้สึกเหนื่อยมากจริงๆ ทว่าความเหน็ดเหนื่อยของนางไม่สามารถพูดกับผู้อื่นได้
หากชุยตานรู้ว่าหนึ่งวันหนึ่งคืนที่ผ่านมานางทำเรื่องอะไรในวังหลวงมาแล้วบ้าง เกรงวาคงจะตกใจจนคางร่วงหล่น
ซูหลีก็ไม่อยากเอ่ยถึงเช่นกัน สุดท้ายเรื่องนี้ก็สามารถแก้ปัญหาได้แล้ว ในเมื่อนางได้สิ่งที่ตนอยากได้แล้ว นี่ถือเป็นเรื่องดีกระมัง
“…ขอรับ” ชุยตานเห็นสีหน้าที่เหนื่อยล้าของนาง คล้ายกับว่าแม้แต่ตอนเปิดปากพูดก็ยังรู้สึกเมื่อยล้า เขาจึงไม่เอ่ยถามอะไรอีก เขาเพียงประคองนางขึ้นรถม้าเท่านั้น
จากนั้นขับรถม้าออกจากวังหลวง
เมื่อเดินทางไปครู่หนึ่ง ซูหลีพลันสั่งให้ชุยตายกลับหัวรถม้าไปทางสำนักเต๋อซั่น
ชุยตายก็ไม่ถามอะไรมาก เพียงทำตามที่ซูหลีสั่งการ