ด่านทดสอบที่ 3 นั้นต่างไปจากด่านทดสอบทั้ง 2 ที่พวกเขาเพิ่งจะผ่านมาอย่างสิ้นเชิง ถึงแม้มันจะเป็นภายในปราสาทเหมือนกัน แต่ว่ามันมีขนาดใหญ่กว่าปราสาทอื่นๆมาก พื้นของปราสาทนั้นไม่ได้ปกคลุมด้วยพื้นหินแต่เป็นน้ำ มันเป็นทะเลสาบขนาดใหญ่ที่มีสะพานข้ามอยู่หลายสะพาน
สะพานหยกนั้นอยู่ในรูปของพระจันทร์เสี้ยว และพวกมันก็มีกันอยู่ทั้งหมด 13 สะพานด้วยกัน พวกมันกระจายกันออกไปทั้งปราสาทและแต่ละสะพานดูเหมือนจะเชื่อมต่อกับเครื่องเทเลพอร์ตที่แตกต่างกันออกไป
และสะพานทั้ง 13 ยังทำขึ้นมาจากหยกที่แตกต่างกันออกไปอีกด้วย
รูปปั้นหินตั้งอยู่ตามรั้วของแต่ละสะพาน บางรูปปั้นดูเหมือนกับปีศาจในขณะที่รูปปั้นอื่นดูเหมือนกับเทวดา บางรูปปั้นอยู่ในรูปร่างของอสูรร้าย ขณะที่รูปปั้นอื่นดูเหมือนกับสิ่งมีชีวิตที่อ่อนโยน
ตอนนี้หานเซิ่นกำลังมองออกไปที่สะพานหยกสีม่วง รั้วของมันเป็นแถวของรูปปั้นหินที่ดูชั่วร้าย แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่หานเซิ่นมองไปที่มัน
หานเซิ่นกำลังมองไปที่จุดสูงสุดของสะพานสีม่วง ซึ่งมีรูปปั้นที่ดูเหมือนกับปีศาจตั้งอยู่ มันกำลังนั่งยองๆอยู่ตรงกึ่งกลางของสะพานด้วยปีกที่พับอยู่ ดวงตาของปีศาจกำลังจ้องมองลงไปข้างล่างราวกับว่าพวกมันกำลังหาอะไรบางอย่างกิน
ผู้หญิงคนหนึ่งถูกกำอยู่ในมือของมัน และผู้หญิงคนนั้นก็เป็นคนที่หานเซิ่นคุ้นเคย
“อี๋ซา!” หานเซิ่นเกือบที่จะกรีดร้องออกมา
มือหินของปีศาจสีม่วงจับอี๋ซาเอาไว้แน่น ถึงแม้ร่างกายของเธอจะถูกปกคลุมด้วยนิ้วมือของมัน แต่ใบหน้าของเธอก็เห็นได้อย่างชัดเจน เธอดูซีดเซียวอย่างมากและเลือดก็ไหลออกมาจากปากของเธอ มันดูเหมือนกับว่าเธอกำลังอยู่ในอากาศโคม่าและเส้นผมของเธอก็เปลี่ยนเป็นสีขาว
ถึงอย่างนั้นหานเซิ่นก็จดจำเธอได้และเขาก็มั่นใจว่านั่นคืออี๋ซา เธออยู่ในสภาพที่ย่ำแย่ แต่ใบหน้าของเธอก็ยังคงเหมือนกับที่เขาจำได้ เธอยังคงเป็นราชินีผู้ยิ่งใหญ่
‘ทำไมอี๋ซาถึงมาอยู่ที่นี่ได้? ฉันคิดว่าเธอถูกอันเดอร์โอเวอร์แบริ่งกลืนกินเข้าไปซะอีก’ หัวใจของหานเซิ่นเต้นรัวขณะที่เขาคิดต่อไปว่า
‘ที่นี่คือปราสาทที่ตั้งอยู่บนหลังของอันเดอร์โอเวอร์แบริ่งอย่างนั้นหรอ?’
เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้นี้หัวใจของหานเซิ่นก็เต้นอย่างบ้าคลั่ง
“ไม่แปลกใจเลยที่ผู้นำของเซเคร็ดไม่กลัวว่าคนอื่นจะมาขโมยสมบัติของเขา เขาได้ลงทุนอย่างมากเพื่อปกป้องทรัพย์สินของเขา
“ท่านราชินี!” หานเซิ่นตะโกนเรียกอี๋ซาที่อยู่บนสะพานโดยหวังจะปลุกเธอให้ตื่นขึ้นมา เขาสามารถบอกได้ว่าเธอยังไม่ตาย
เสียงตะโกนของหานเซิ่นดังก้องด้วยคลื่นเสียง แต่การเรียกของเขาไม่ได้กระตุ้นปฏิกิริยาใดๆจากเธอ
“หยุดตะโกนเถอะ ถึงแม้ยอดฝีมือระดับเทพเจ้าจะตะโกนใส่นาง นางก็ไม่มีทางจะได้ยินเสียงเรียกนั้น” กุนซือไวท์
“อ้า ข้าเข้าใจแล้ว” หานเซิ่นหันไปมองกุนซือไวท์
กุนซือไวท์ชี้ออกไปที่สะพานหยกและพูด “สะพานทั้ง 13 นี้มีพลังที่แตกต่างกัน การก้าวไปบนสะพานจะล็อคเจ้ากับมัน นี่คงจะต้องเป็นการทดสอบอีกอย่างที่ถูกทิ้งเอาไว้โดยผู้นำของเซเคร็ด พวกเราจะต้องเลือกสะพานที่ถูกต้อง ถ้าพวกเราอยากจะผ่านการทดสอบนี้ไปอย่างปลอดภัย”
“พลังของสะพานนี้คืออะไร?” หานเซิ่นชี้ไปที่สะพานหยกสีม่วงที่อี๋ซาอยู่
“ถ้าข้าดูไม่ผิด รูปปั้นปีศาจที่อยู่บนสะพานนั้นคือเฮลล์โกสต์ในตำนาน รูปปั้นที่จุดศูนย์กลางจะต้องเป็นราชาเฮลล์โกสต์ มันเป็นตัวแทนของพลังนรก” กุนซือไวท์พูดขณะที่มองสะพานอย่างละเอียด
“พลังนรกนี่คือพลังธาตุความตายอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นถาม
กุนซือไวท์ส่ายหัว “จากคำกล่าวในตำนาน นรกคือปลายทางของผู้ที่ตายไป แต่จริงๆแล้วนรกไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับธาตุความตาย มันเป็นส่วนย่อยของธาตุอวกาศและกาลเวลา นรกคืออีกมิติหนึ่งที่แยกไปจากโลกของพวกเรา แกนของอวกาศและกาลเวลาของที่นี่แตกต่างไปจากโลกของเรา ดังนั้นพลังนรกจึงมาจากความแตกต่างในโครงสร้างของมิติ มันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับความตายหรือความมืด”
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราจะช่วยเธอได้ยังไง?” หานเซิ่นถาม
กุนซือไวท์พูด “นอกจากการฝ่าเข้าไปแล้ว ข้าไม่คิดว่าจะมีหนทางอื่นที่จะช่วยนางได้ อวกาศและกาลเวลาเป็นธาตุที่ลึกลับอย่าง ตำนานบอกเอาไว้ว่าผู้นำของเซเคร็ดสำเร็จพลังอวกาศและกาลเวลา อี๋ซาโชคร้ายที่เลือกสะพานหยกนั้น”
หานเซิ่นขมวดคิ้ว ถ้าอี๋ซายังไม่สามารถข้ามสะพานหยกนั้นได้ นั่นก็หมายความว่ามันจะเป็นอะไรที่ยากยิ่งกว่าสำหรับเขา
เพราะยังไงซะหานเซิ่นก็ยังเป็นแค่ดยุกคนหนึ่ง พลังในการต่อสู้ของเขาไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนอย่างอี๋ซาที่เป็นครึ่งเทพ
หานเซิ่นมองอี๋ซาที่อยู่ในกำมือของปีศาจ และเมื่อเขาสังเกตดีๆ เขาก็เห็นว่าเล็บของปีศาจกำลังจิกเข้าไปในเนื้อหนังของอี๋ซา มีเลือดกำลังไหลออกมาอย่างช้าๆ เลือดไหลไปตามเล็บของรูปปั้นและปลายเล็บเหล่านั้นก็ถูกย้อมเป็นสีแดง
ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป อี๋ซาก็จะเหลือเวลาอีกไม่มากก่อนที่เธอจะขาดใจตาย
พลังของสะพานนรกทำให้หานเซิ่นมองไม่เห็นพลังชีวิตของเธอ แต่เขาสามารถบอกได้ว่าเธอเหลือเวลาอีกไม่มาก
กุนซือไวท์ตรวจสอบสะพานหยกทั้ง 13 สะพาน หลังจากนั้นเขาก็เดินกลับมา เขาเริ่มทำการคำนวณ หานเซิ่นคิดว่าเขาต้องพยายามเลือกสะพานหยกที่สามารถข้ามไปได้อย่างปลอดภัย
แต่ไม่นานสีหน้าของกุนซือไวท์ก็ดูหม่นหมอง “สะพานทั้ง 13 นี้เป็นทางตัน พวกมันทั้งหมดมีพลังที่น่ากลัวคอยปกป้องอยู่ ดังนั้นมันไม่มีสะพานไหนที่จะข้ามไปได้อย่างปลอดภัย นี่ผู้นำของเซเคร็ดไม่คิดจะปล่อยให้ใครรอดไปจากที่นี่ได้อย่างปลอดภัยอย่างนั้นหรอ?”
“ไม่สิ! มันจะต้องมีหนทางอยู่!” กุนซือไวท์เริ่มเหงื่อตก นิ้วมือของเขาแว็บวับด้วยสัญลักษณ์ ขณะที่เขาทำการคำนวณต่อไป
สายตาของหานเซิ่นจ้องมองไปที่สะพานหยกสีม่วง เขาเรียกวิญญาณอสูรผีเสื้อเนตรม่วงออกมาเพื่อวิเคราะห์โครงสร้างของสะพานหยกสีม่วงนั้น
หานเซิ่นรู้ว่าอี๋ซาเป็นคนที่กล้าหาญและบางครั้งก็หยิ่งยโส แต่เธอไม่ใช่คนโง่ มันไม่มีทางที่เธอจะตัดสินใจเดินไปบนเส้นทางที่ยากที่สุด
หานเซิ่นคิดว่าอี๋ซาเลือกสะพานนรกด้วยเหตุผลบางอย่าง แต่เขาไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงได้ล้มเหลว
แต่วิญญาณอสูรเนตรม่วงไม่สามารถวิเคราะห์อะไรได้มาก สะพายหยกม่วงดูเหมือนจะถูกปกคลุมด้วยพลังบางอย่าง หานเซิ่นมองเห็นว่าโครงสร้างลำดับของมันซับซ้อนอย่างมากเหมือนกับรังนกของเขา หานเซิ่นไม่สามารถเข้าใจมันได้ และเขาก็ไม่สามารถบอกได้ว่ามันเป็นพลังแบบไหนกันแน่
“นี่แหละ! ถ้าพวกเราเดินไปบนบันไดนี้ พวกเราจะรอดผ่านไปได้”
ทันใดนั้นกุนซือไวท์ก็ชี้ออกไปที่สะพานหยกอย่างอิ่มอกอิ่มใจ
หานเซิ่นมองไปที่สะพานที่กุนซือไวท์ชี้อออกไปและเห็นว่าสะพานหยกนั้นมีสีดำสนิทราวกับหมึก รั้วของสะพายมีรูปปั้นนกที่เหมือนกับอีกาอยู่ รูปปั้นนกขนาดใหญ่ยักษ์ตั้งอยู่บนเสาหินกึ่งกลางของสะพาน