“เช่นนั้นในจดหมายของหนานกงจวิ้นจู่เขียนไว้ว่าอย่างไรบ้างเจ้าคะ?” เมื่อหลีมู่ได้สติกลับมาจึงนึกถึงปัญหาที่สำคัญมากกว่านั้นขึ้นมาได้
“อืม…” ซูเหลียนอวิ้นลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “เรื่องนี้สามารถบอกเจ้าได้นะหลีมู่ แต่ว่าเจ้าต้องยืนให้มั่นนะ”
เนื่องจากเมื่อครู่ตอนที่นางรู้ว่าหนานกงมู่เสวี่ยเขียนจดหมายมาให้นาง หลีมู่ก็ตกอกตกใจปานนั้นแล้ว หากบอกหลีมู่ให้รู้อีกว่าเนื้อความในจดหมายคืออะไร…ซูเหลียนอวิ้นจึงคิดว่าควรบอกให้นางทำใจแต่เนิ่นจะดีกว่า
“เจ้าค่ะ! คุณหนูว่ามาเถิด” หลีมู่พยักหน้าอย่างหนักแน่น น้ำเสียงมั่นใจเป็นอย่างยิ่ง
“เนื้อหาในจดหมายฉบับนี้น่ะหรือ…หนานกงมู่เสวี่ยบอกว่าหากในพิธีปักปิ่นของข้ายังไม่ได้กำหนดคนมาช่วยงาน นางยินดีช่วยเหลือ” ซูเหลียนอวิ้นเอ่ยด้วยรอยยิ้มสดใส จากนั้นจึงกินน้ำแข็งไสเข้าไปอีกคำหนึ่ง
“อะไรนะ?!”
แม้ว่าเมื่อครู่หลีมู่จะคิดไว้คร่าวๆ เอาไว้ในใจแล้วว่าหนานกงมู่เสวี่ยจะเขียนอะไรมาให้คุณหนูของนางบ้าง ทว่านางกลับคิดไม่ถึงเลยว่า เนื้อหาในจดหมายจะเป็นหนานกงมู่เสวี่ยที่เป็นฝ่ายเสนอตัวรับหน้าที่ในงานพิธีปักปิ่นนี้!
นางนึกว่าหนานกงจวิ้นจู่จะเชิญคุณหนูของนางไปเที่ยวเล่นชมดอกไม้อะไรเช่นนี้!
นี่ ข่าวนี้มัน น่าตกใจมากเกินไปแล้ว
หลีมู่ถอยหลังไปครึ่งก้าว แล้วไปพิงตัวอยู่บนชั้นวางดอกไม้สำหรับการมาเยี่ยมที่อยู่ด้านหลัง นางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “คุณหนู คุณหนูพูดจริงหรือเจ้าคะ?”
หนานกงมู่เสวี่ยเมื่อดูแล้วอาจจะมีความสัมพันธ์อันดีกับคุณหนูทุกระดับในเมืองหลวง ราวกับว่าไม่ว่าผู้ใดก็สามารถคบหากับนางได้และไม่มีผู้ใดเกลียดชังนาง ทว่าในเมืองหลวงแห่งนี้กลับไม่มีผู้ใดเลยที่กล้าเผยตัวออกมาว่าเป็นเพื่อนเคียงบ่าเคียงไหล่ที่ดีที่สุดหรือเป็นเพื่อนที่ใกล้ชิดที่สุดของหนานกงมู่เสวี่ย
ผู้คนจำนวนมากย่อมเป็นฝ่ายเริ่มเข้าหาหนานกงมู่เสวี่ยก่อน ผู้คนคงเอาอกเอาใจนางกันแทบไม่ทัน แล้วทำไมนางจะต้องเป็นฝ่ายเข้าหาตนด้วยเล่า?
อีกทั้งผู้คนจำนวนมากมายในเมืองนี้ดูเผินๆ แล้วล้วนมีความสัมพันธ์อันดีกับหนานกงมู่เสวี่ยทั้งสิ้น แต่คงมีเพียงตัวนางเองเท่านั้นที่รู้ว่าพวกนางก็เป็นเพียงแค่เพื่อนที่พอคบหาได้อย่างทั่วไปเท่านั้น
เมื่อซูเหลียนอวิ้นเห็นท่าทางของหลีมู่ผ่อนคลายลงในที่สุดจึงเอ่ยต่อว่า “ในจดหมายของหนานกงจวิ้นจู่บอกว่า นางไปสืบมาจนรู้แล้วว่ากลอนบทนั้นในงานฉลองวสันตฤดูเป็นของผู้ใด ด้วยเหตุนี้จึงรู้สึกประทับใจในตัวข้าขึ้นมา? อีกทั้งยังบอกอีกว่าการกระทำของข้าในงานฉลองวสันตฤดูคืนนั้น…ให้ความรู้สึกราวกับเป็นจอมยุทธ์หญิง?”
จอมยุทธ์หญิง? ซูเหลียนอวิ้นขมวดคิ้ว ดูเหมือนว่าจะเขียนเช่นนั้นจริงๆ ?
ตอนนั้นซูเหลียนอวิ้นคิดว่าบางทีหนานกงมู่เสวี่ยอาจจะมีความเข้าใจผิดๆ เกี่ยวกับจอมยุทธ์หญิงในยุทธภพผิดไป ถึงได้คิดว่านางเป็นจอมยุทธ์หญิง…เฮ้อ ว่ากันตามจริงแล้ว วันนั้นนางเพียงเข้าตาจนก็เท่านั้น หลายๆ คำพูดที่นางพูดไปไม่ได้ผ่านกระบวนการคิดก่อนด้วยซ้ำไป
พอลองกลับมาคิดทบทวนดู ในตอนนั้นนางกล้าชนกับหยางอวี้หลิง! ความกล้านั่นมาจากที่ใดกัน! ถึงได้กล้าลงมือกับสนมคนโปรด แถมลี่หยวนตี้ยังนั่งอยู่ด้านข้างพระสนมคนโปรดอีกด้วย นางเองก็ไม่รู้ว่าในตอนนั้นนางทนแบกรับกับความกดดันเช่นนั้นได้อย่างไร แม้แต่การพูดตะกุกตะกักเพียงเล็กน้อยก็ไม่มีปรากฏ
เพราะบางครั้งเวลาที่นางโดนซูมั่วเยี่ยกับซูปั๋วชวนบ่น ตอนเถียงนางยังพูดตะกุกตะกักอยู่ด้วยซ้ำไป
ซูเหลียนอวิ้นเงยหน้าขึ้นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง นี่คงเป็นอย่างที่เขาว่ากันว่ามีได้ก็ต้องมีเสียกระมัง? ทำให้พระสนมองค์โปรดไม่พอใจ แต่กลับได้ความโปรดปรานจากจวิ้นจู่มาแทน?
โอ้โห การแลกเปลี่ยนนี้ถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว
ถึงอย่างไรคนตระกูลหยางก็ไม่ชอบขี้หน้านางอยู่แล้ว แบบนี้กระมังที่เรียกว่าดวงชงกัน
“หลีมู่ ไปนำกระดาษกับหมึกมา” นางต้องการจะตอบจดหมายกลับ
หนานกงมู่เสวี่ยเป็นฝ่ายเสนอตัวเป็นผู้ช่วยให้นางในงานครั้งนี้? นางแทบจะอดใจรอวันที่นางจะได้เห็นภาพที่คนอื่นประหลาดจนอ้าปากค้างในวันงานพิธีปักปิ่นของตัวเองไม่ได้แล้ว
หลีมู่ตอบรับคำหนึ่งจากนั้นรีบไปนำกระดาษและอุปกรณ์ต่างๆ มาครบชุด แล้ววางลงบนโต๊ะน้ำชาของซูเหลียนอวิ้นอย่างระมัดระวัง เพราะนางกลัวว่าจะทำบางอย่างพลาดไป
เพราะนี่เป็นการตอบจดหมายของจวิ้นจู่ หากมีสิ่งใดขาดตกบกพร่องไปจนเป็นอุปสรรคต่อการเขียนจะทำอย่างไร?
ซูเหลียนอวิ้นยกพู่กันขึ้นมาจุ่มหมึกจนชุ่ม ครุ่นคิดอยู่สักพักแต่กลับจรดปลายพู่กันลงไปไม่ได้ จึงยกกลับขึ้นมาใหม่อีกครั้ง การกระทำเช่นนี้ของนางเกิดขึ้นซ้ำไปซ้ำมากว่าสิบรอบ
“คุณหนู?” หลีมู่ค่อนข้างจะประหม่า ตนทำอะไรผิดไปหรือไม่? เอาพู่กันมาผิด? หรือว่าหมึกจางไป? คุณหนูชะงักไปกี่รอบแล้ว ทำไมถึงไม่ลงมือเขียนเสียที?
“ไม่มีอะไร…” ซูเหลียนอวิ้นยกพู่กันออกอีกครั้งหนึ่งแล้วนำปลายด้ามพู่กันมาจิ้มไว้ที่คางของตน
เมื่อครู่นางอ่านจดหมายที่หนานกงมู่เสวี่ยเขียนถึงนางหลายรอบต่อหลายรอบแล้ว ตัวอักษรบนจดหมายเรียบร้อยประณีต ถ้อยคำที่ใช้ก็เป็นถ้อยคำที่สละสลวยงดงามอย่างยิ่ง
ดังนั้นพอถึงคราวที่นางต้องเป็นฝ่ายเขียนเองบ้าง นางจึงอดไม่ได้ที่จะทำการเปรียบเทียบขึ้นมา
เนื่องจากการตอบกลับจดหมายในครั้งนี้ หากนางเห็นลายมืออัปลักษณ์เช่นนี้ แล้วคิดว่าตนตาฝาดไปในงานเลี้ยงวสันตฤดู ทำให้เกิดความรู้สึกว่าเจ้าของลายมือนี้ไม่คู่ควรให้จวิ้นจู่ต้องลดตัวลงมาร่วมงานพิธีปักปิ่นแล้วเล่า? จากนั้นจึงเปลี่ยนใจไม่มาร่วมในงานพิธีปักปิ่นของนางแล้วจะทำอย่างไรเล่า? ถึงเวลานั้นนางคงร้องไห้อับอายจนไม่รู้ว่าจะเอาหน้าไปซุกไว้ที่ไหนดี
ด้วยเหตุนี้คำพูดมากมายที่ซูเหลียนอวิ้นสะสมเอาไว้เต็มท้อง ตอนนี้จึงทำได้เพียงเก็บสะสมเอาไว้ตรงนั้นก่อน…เพราะนางเขียนไม่ออก…
“คุณหนูเจ้าคะเอาเช่นนี้ดีกว่า…” หลีมู่เอ่ยขึ้น เมื่อเห็นท่าทางของซูเหลียนอวิ้นกลุ้มอกกลุ้มใจเช่นนั้นตนก็พอเดาใจนางออก “คุณหนูเขียนจดหมายให้คุณหนูหลินก่อนดีหรือไม่? จากนั้นคุณหนูค่อยเขียนจดหมายให้จวิ้นจู่โดยเทียบเอาจากจดหมายของคุณหนูหลิน”
“เป็นความคิดที่ดี” ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้า ดังนั้นในคราวนี้จึงลงมือเขียนอย่างไม่ลังเลและคล่องแคล่วราวกับก้อนเมฆและสายน้ำไหลที่ลงมือเขียนเพียงรวดเดียวจบ
ซูเหลียนอวิ้นนำจดหมายฉบับนั้นไปตากแดดไว้ที่หน้าต่าง โดยนางหวังว่าหมึกด้านบนจะแห้งเร็วขึ้นหน่อย นางมองกระดาษพลางถามหลีมู่ขึ้นว่า “หลีมู่ เจ้าคิดว่าตัวอักษรนี้เป็นอย่างไรบ้าง? ไม่ขี้เหร่กระมัง? คงไม่มีปัญหาอะไรหรอก?”
หากพิจารณาอย่างเป็นกลาง ตัวอักษรของซูเหลียนอวิ้นไม่ขี้เหร่แน่นอน แต่แน่นอนว่าต้องดูด้วยว่าเอาไปเปรียบเทียบกับของใคร หากบอกว่าเปรียบเทียบกับของหนานกงมู่เสวี่ยแล้ว แน่นอนว่าตัวอักษรของนางยังถือว่าห่างชั้นกว่าเยอะ
นั่นเป็นเพราะว่าการเขียนตัวอักษรของซูเหลียนอวิ้นฝึกเลียนแบบตามตัวอักษรตามที่สืบทอดกันมาอย่างอักษรไข่ซู[1] ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ตัวอักษรดูไม่ค่อยเป็นธรรมชาติ ไม่ได้มีเอกลักษณ์ถึงขนาดที่ทำให้จำได้ว่าผู้ใดเป็นคนเขียน
“คุณหนูเจ้าคะ คุณหนูเขียนดีมากแล้วเจ้าค่ะ” หลีมู่พยักหน้าให้เบาๆ เทียบกับอักษรที่คุณหนูเขียนเมื่อก่อนกับตอนนี้ ไม่รู้จะบรรยายอย่างไรว่าดีกว่ากี่เท่าต่อกี่เท่าแล้ว
“ข้าเองก็คิดเช่นนั้น” แน่นอนว่าของของตัวเองจะมองอย่างไรก็ดูดีที่สุด!
ในที่สุดเมื่อนำกระดาษแผ่นนั้นไปส่องกับแสงอาทิตย์ดูก็พบว่าหมึกได้แห้งไปเรียบร้อยแล้ว ซูเหลียนอวิ้นเป่าไปที่จดหมายซ้ำๆ แล้วเอ่ยว่า “หลีมู่ ชวนข้าเอาใส่ซองที อีกประเดี๋ยวให้เอาไปให้ที่คนเฝ้าประตู จดหมายฉบับนี้เป็นของคุณหนูสามตระกูลรองราชเลขากรมยุทธการ ห้ามหายอย่างเด็ดขาด”
หลีมู่รู้ถึงความสำคัญของจดหมายฉบับนี้เป็นอย่างดี แน่นอนว่านางไม่สะเพร่า จากนั้นจึงห่ออย่างระมัดระวังจนเสร็จจึงพยักหน้า “บ่าวไปเองดีกว่าเจ้าค่ะคุณหนู ให้พวกคนรับใช้พวกนั้นไป ข้ารู้สึกไม่ค่อยจะวางใจเท่าไหร่นัก”
——
[1] ตัวอักษรไข่ซู คืออักษรจีนโบราณแบบตัวบรรจง