เทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ยเองก็รีบวางถ้วยเหล้าในมือลง ยกก้นขึ้นตามจิตใต้สำนึก เห็นว่าน้องหลิงจวินไม่ได้ลุกขึ้นยืน แต่เขาก็ไม่ได้วางก้นลง เกร็งก้นค้างอยู่กลางอากาศอย่างยากลำบากเช่นนั้น ค้อมเอวลงเล็กน้อย ส่วนสตรีผู้นั้นจะมองเห็นภาพนี้หรือไม่ เทพเซียนผู้เฒ่ากลับไม่สนใจ ความโชคดีที่มาเยือนอย่างเชื่องช้าของตนส่วนนี้ ได้มาจากไหน? นอกจากสายตาเฉียบแหลมเฉพาะตัวของเจ้าขุนเขาที่สามารถมองเห็นวีรบุรุษเฒ่าผู้หยิ่งทระนงในศักดิ์ศรีอย่างเขาได้ท่ามกลางผู้คนมากหน้าหลายตาแล้ว ยังต้องอาศัยการปฏิบัติต่อคนอื่นอย่างจริงใจที่มหามรรคาสอดคล้องกับของภูเขาลั่วพั่วในส่วนนี้ด้วย ข้าเห็นคนสูงกว่าแต่กลับยอมก้มตัวต่ำก่อนนี่นะ เทพเซียนผู้เฒ่ายิ้มเอ่ย “ผู้คุมกฎมาเยือนเรือนโกโรโกโสของข้าด้วยตัวเอง เท้าอันสูงศักดิ์มาเหยียบย่ำพื้นสกปรกแห่งนี้ ช่างเป็นเกียรติของบ้านยากจนหลังนี้จริงๆ น่าจนใจที่ไม่มีสุราเลิศรสมารับรองแขก หากผู้คุมกฎฉางมิ่งไม่ถือสา…”
ฉางมิ่งยิ้มตาหยี “ถือสา”
เทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ยจึงเปลี่ยนคำพูดในทันที “ผู้คุมกฎเป็นคนตรงไปตรงมา ทำให้คนประหยัดแรงกายแรงใจจริงๆ”
ฉางมิ่งเอ่ย “เรื่องขวางทาง เจ้าระวังสักหน่อย”
เทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ยตอบเสียงทุ้มหนัก “เป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้ว! พรุ่งนี้ผินเต้าจะลงมือด้วยตัวเอง”
ก่อนหน้านี้ทางฝั่งของภูเขาลั่วพั่วไม่ได้เรียกหาเขา แค่ให้ลูกศิษย์จ้าวเติงเการับหน้าที่ทำเรื่องนี้แทน เทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ยถึงได้อดทนเอาไว้ ไม่อย่างนั้นหากพูดถึงแค่เรื่องของการรับรองผู้คน เจี่ยเฉิงก็ยอมรับว่าตัวเองอยู่ในภูเขาลั่วพั่ว ลำดับรายชื่ออย่างน้อยต้องติดห้าอันดับแรก รับเงินเดือนจากภูเขาลั่วพั่วทุกเดือน หากบอกว่ารับเงินแต่ไม่ยอมทำงาน เจี่ยเฉิงย่อมไม่รู้สึกผิดแม้แต่น้อย แต่ห่านขาวใหญ่ที่ปรากฏตัวอย่างลึกลับ แล้วยังมีผู้คุมกฎฉางมิ่งที่ไม่ว่ากับใครก็ล้วนมีรอยยิ้มส่งให้ผู้นี้? กลับไม่ปล่อยให้เขานอนเสวยสุขอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันเลยจริงๆ
เมื่อคำสั่งห้ามรายงานขุนเขาสายน้ำของใต้หล้าไพศาลถูกยกเลิก และยังมีบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำของภูเขาตะวันเที่ยงครั้งนั้น คนจากทั่วสารทิศที่มาเยือนภูเขาลั่วพั่วต่างก็กรูกันมาถึง มาจากสี่ด้านแปดทิศทั่วขุนเขาสายน้ำในหนึ่งทวีป
ไปๆ มาๆ ตลอดทั้งอาณาเขตของจังหวัดหลงโจว โรงเตี๊ยมน้อยใหญ่ล้วนมีคนเบียดเสียดกันแออัด
แน่นอนว่าคนที่มาชมความครึกครื้นที่นี่มีมากยิ่งกว่า ไม่แน่เสมอไปว่าจะต้องมีความปรารถนาอะไร ยกตัวอย่างเช่นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลของแต่ละฝ่าย เดิมทีภูเขาพีอวิ๋นขุนเขาเหนือก็เป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งหนึ่ง ทุกวันนี้มีภูเขาลั่วพั่วโผล่มาอีก บวกกับที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำของจังหวัดหลงโจวแห่งนี้มีสถานะเทพบนทำเนียบขุนเขาสายน้ำของหนึ่งทวีปที่ไม่ต่ำ เชื่อว่าอีกไม่นานภูเขาลั่วพั่วก็ต้องเผชิญกับความอึกทึกจอแจที่นักท่องเที่ยวจากทั่วสารทิศมาเยือนมากมายดุจปลาตะเพียนข้ามแม่น้ำ
ผู้ฝึกลมปราณที่ชื่นชมเลื่อมใสเซียนกระบี่ ผู้ฝึกยุทธที่ใช้ชีวิตอยู่ในยุทธภพ ต้องการเรียนวิชาหมัดเท้าจากปรมาจารย์ด้านวรยุทธทั้งหลาย และยังต้องมีเทพธิดาบนภูเขาไม่น้อยที่อยากจะไปเปิดบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำที่หน้าประตูภูเขาของภูเขาลั่วพั่ว และในบรรดานี้ก็ต้องมีปรมาจารย์ด้านวรยุทธของแต่ละแคว้นที่อยากถามหมัดกับเผยเฉียนรวมอยู่ด้วย
แน่นอนว่าไม่มีใครมาเพื่อต้องการชนะหมัด แค่อยากจะประลองฝีมือขอความรู้เท่านั้นเอง ขุนเขาสายน้ำของหนึ่งทวีป ผู้ฝึกยุทธมีมากมายดุจขนวัว แต่เผยเฉียนกลับเป็นหนึ่งในสี่ปรมาจารย์ใหญ่ด้านวิถีวรยุทธที่ผ่านการประเมินมาแล้ว ถามหมัดกับนางแล้วยังอยากจะชนะ เสียสติไปแล้วหรือไร? ลองไปถามผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจบนสนามรบเมืองหลวงแห่งที่สองที่ถูกปรมาจารย์เผยต่อยไม่กี่หมัดร่างก็เหมือนดอกไม้บานกระจายสิว่าพวกมันเห็นด้วยหรือไม่?
เพราะในการประชุมบนเรือข้ามฟากก่อนหน้านี้ เฉินผิงอันบอกแล้วว่าภายในช่วงยี่สิบปีนี้ ภูเขาลั่วพั่วจะไม่รับลูกศิษย์
ดังนั้นจึงมีงานเพิ่มมาอีกอย่างหนึ่ง ทางฝั่งของภูเขาลั่วพั่วจำเป็นต้องมีคนคอยรับผิดชอบขวางทาง บอกกล่าวเรื่องนี้แก่คนนอกทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องขัดขวางไม่ให้พวกเขาขึ้นเขาไปโดยพลการ เห็นภูเขาลั่วพั่วเป็นสถานที่ชมทิวทัศน์ไป
เส้นทางที่พุ่งตรงไปยังภูเขาลั่วพั่วมีอยู่สองเส้น นอกจากทางภูเขาของอำเภอไหวหวงเส้นนั้นแล้วยังมีเส้นทางที่ทอดยาวมาจากเมืองหงจู๋ ภูเขาฉีตุน ช่วงนี้คนที่รับผิดชอบงานขวางคน ในทางแจ้งมีอวิ๋นจื่อ ป๋ายเสวียน จ้าวซู่เซี่ย และยังมีจ้าวเติงเกาลูกศิษย์ของนักพรตเฒ่าตาบอด ทำเรื่องนี้ก็ถือว่าเป็นการฝึกประสบการณ์ครั้งหนึ่ง ในทางลับก็มีผู้คุมกฎฉางมิ่งและผู้ฝึกกระบี่ชุยเหวย เพื่อป้องกันเรื่องไม่คาดฝัน มีเพียงป๋ายเสวียนที่มาร่วมวงความครึกครื้นอย่างเดียวเท่านั้น เพราะถึงอย่างไรช่วงนี้เผยเฉียนก็ไม่อยู่บนภูเขาลั่วพั่วพอดี
ทุกวันนี้ป๋ายเสวียนค่อนข้างสนิทกับผู้พิทักษ์ฝ่ายซ้ายของตรอกฉีหลงตัวนั้นค่อนข้างมาก มักจะไปนั่งยองบนพื้นถามว่าเจ้ากินหรือไม่? คนนั้นน่ะหรือ? ขอแค่เป็นวีรบุรุษที่ป่าวประกาศว่าจะถามหมัดกับเผยเฉียน ป๋ายเสวียนล้วนไม่ปล่อยผ่านไปแม้แต่คนเดียว เขาจดลงในบันทึกอย่างละเอียดทุกคน ชื่อแซ่ ฉายา ภูมิลำเนาบ้านเกิด ขอบเขตการเรียนวรยุทธ…
เฉินหลิงจวินไม่ได้เข้ามาร่วมวงทำเรื่องนี้อย่างที่หาได้ยาก หน่วนซู่และหมี่ลี่น้อยต่างก็รู้สึกแปลกใจกันอย่างมาก แน่นอนว่าเฉินหลิงจวินแสร้งวางมาดของยอดฝีมือไปอย่างนั้นเอง มารดามันเถอะ คนดีและคนเลวปะปนกัน สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าในบรรดานี้มียอดฝีมือที่สามารถต่อยเขาให้ตายด้วยหมัดเดียวอยู่หรือไม่ เพราะถึงอย่างไรในยุทธภพที่กว้างใหญ่ไพศาล ลำพังแค่ใจกล้าอย่างเดียวยังไม่พอ บนเส้นทางการฝึกตน หากไม่ใช่ม้าป่าที่หลุดจากบังเหียนก็เป็นหมูที่ถูกเลี้ยงอยู่ในเล้า แต่ละคนกร่างไม่แพ้กัน
วันนี้ทุกคนมารวมตัวนั่งกินข้าวกันบนโต๊ะตัวใหญ่ ครึกครื้นอย่างยิ่ง
ยังคงเป็นกฎเดิมที่ฟ้าผ่าก็ไม่สะเทือนข้อนั้น หากเฉินผิงอันไม่อยู่บนภูเขา ม้านั่งยาวตำแหน่งประธานจะเว้นว่างไว้ ต้องเก็บไว้ให้เจ้าขุนเขา
จูเหลี่ยน ชุยตงซาน หมี่อวี้ เฉินหน่วนซู่ หมี่ลี่น้อย เฉินหลิงจวิน จางเจียเจิน
และยังมีป๋ายเสวียนที่ชอบมาขอกินเปล่าดื่มเปล่าที่นี่
เหวยเหวินหลงไม่ค่อยปรากฏตัวนัก ไม่ใช่ว่าเป็นเพราะเขาคือเทพเซียนโอสถทองจึงไม่ต้องกินห้าธัญพืช แล้วก็ไม่ใช่ว่าท่านเทพเจ้าแห่งโชคลาภของภูเขาลั่วพั่วท่านนี้มีนิสัยรักสันโดษอย่างไร แต่เป็นเพราะเขาหลงใหลในเรื่องของการทำบัญชี สมุดบัญชีแต่ละเล่มราวกับเป็นภรรยาของเขาคนแล้วคนเล่าอย่างไรอย่างนั้น
ส่วนจ้าวซู่เซี่ยและจ้าวเติงเกา ทุกวันจะต้องเดินเท้ากลับไปที่เมืองเล็ก ผลัดกันเฝ้ายามบนถนนตอนกลางคืน คนหนึ่งคือลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเจ้าขุนเขา อีกคนหนึ่งคือผู้ถวายงานที่ได้รับการบันทึกชื่อ ทุกวันนี้ทั้งสองมีความสัมพันธ์ที่สนิทสนมกันดีมาก พวกเขากับเฉินหลิงจวิน ป๋ายเสวียน เห็นได้ชัดว่ามีนิสัยที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
เฉินหลิงจวินที่นั่งอยู่ที๋โต๊ะอาหารอดกลั้นมานานแล้ว “พ่อครัวเฒ่า ได้ยินมาว่าตอนที่เจ้าเป็นหนุ่มยังเป็นบุรุษรูปงามที่มีเพียงหนึ่งเดียวในแปดหมู่บ้านสิบลี้ด้วยหรือ?”
ทุกครั้งที่ขยับตะเกียบ ไม่ว่าจะคีบข้าวหรือกับข้าว จูเหลี่ยนมักจะต้องเคี้ยวอย่างละเอียดก่อนกลืนเสมอ “ธรรมดาๆ พอจะถือว่าไม่อัปลักษณ์เท่านั้น”
เฉินหลิงจวินหัวเราะคิกคัก “ถ้าอย่างนั้นทำไมเจ้าถึงยังเป็นโสดอยู่ล่ะ เป็นเพราะตอนหนุ่มสายตาสูงเกินไป เลือกมากจนตาลาย แต่ก็ยังไม่มีแม่นางที่พึงพอใจ ถึงท้ายที่สุดเลยได้แต่เหมือนกับพี่น้องต้าเฟิงหรือ?”
จูเหลี่ยนยิ้มกล่าว “ลืมไปว่าเจ้าอายุมากกว่าข้าอีกนี่นะ?”
เฉินหลิงจวินสะอึกอึ้ง
หมี่ลี่น้อยยกมือป้องปาก กระซิบกระซาบถามพี่หญิงหน่วนซู่ “จิ่งชิงอายุเท่าไรแล้วหรือ?”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูเหลือบมองเด็กชายชุดเขียวแล้วส่ายหน้า ตอบเสียงเบา “ไม่เคยถาม ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน”
เฉินหลิงจวินตบโต๊ะดังตึง “นังเด็กโง่ ละโมบในความงามของข้าใช่หรือไม่ ถูกจับได้คาหนังคาเขาแล้วล่ะสิ ฮ่าๆ …”
ผลคือท้ายทอยถูกหมี่อวี้ตบเข้าให้หนึ่งป้าบ
เฉินหลิงจวินก้มหน้าพุ้ยข้าวในชามทันที เซียนกระบี่ใหญ่หมี่ที่อยู่ข้างกายผู้นี้จะไปมีเรื่องด้วยไม่ได้เด็ดขาดเชียว เขาจึงรู้สึกอัดอั้นอยู่บ้างเล็กน้อย
ชุยเหวยเป็นถึงผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตก่อกำเนิดของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ผลคือพออยู่กับหมี่อวี้กลับเหมือนหลานเจอปู่อย่างไรอย่างนั้น ก่อนหน้านี้เฉินหลิงจวินก็รู้สึกแล้วว่าผิดปกติ ภายหลังได้ยินคำกล่าว ‘หมี่ผ่าเอว’ มาจากพี่ใหญ่เจี่ย บวกกับเรื่องราวบางอย่างที่สนามรบของนครมังกรเฒ่า ทำเอาเฉินหลิงจวินที่ได้ยินอกสั่นขวัญผวา ตกใจจนไม่กล้าเรียกหมี่อวี้ว่าพี่น้องอยู่หลายวัน
จูเหลี่ยนมองจางเจียเจินแวบหนึ่ง
เด็กหนุ่มพูดน้อย แต่ในสายตามักจะมีรอยยิ้มอยู่เสมอ
ตอนที่มาเป็นเด็กหนุ่ม
เวลานี้กลับเป็นชายหนุ่มที่สามารถไว้หนวดเคราได้แล้ว
ยืนอยู่กับเจี่ยงชวี่ที่เป็นคนวัยเดียวกัน คนทั้งสองก็ราวกับอายุห่างกันสิบปี
อันที่จริงเจียงซ่างเจินเคยมาหาเขาเป็นการส่วนตัว บอกว่าผู้ถวายงานอันดับหนึ่งอย่างเขาจ่ายเงินสักเล็กน้อยจางเจียเจินก็สามารถฝึกตนได้แล้ว หากโชคดี ชีวิตนี้ก็มีหวังจะเลื่อนเป็นขอบเขตถ้ำสถิตของห้าขอบเขตกลาง จากนั้นก็หยุดลงแต่เพียงเท่านี้ หากโชคธรรมดา เป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสี่ขอบเขตห้า ใช้ชีวิตอยู่ได้สองรอบเจี่ยจื่อ (เจี่ยจื่อคือหนึ่งรอบหกสิบปี สองรอบเจี่ยจื่อเท่ากับหนึ่งร้อยยี่สิบปี) ก็ยังมีโอกาส แต่หากเกรงใจจริงๆ ก็สามารถยืมเงินได้ วันหน้าค่อยๆ คืนเงินโดยจ่ายผ่านเงินเดือนของภูเขาลั่วพั่วก็ได้
แต่จางเจียเจินกลับไม่ตอบตกลง เขามีแผนการเป็นของตัวเอง สุดท้ายถามคำถามสองสามข้อที่เหนือความคาดคิดกับผู้ถวายงานโจว
เวลาสองรอบเจี่ยจื่อ บางทีหนึ่งรอบเจี่ยจื่ออาจต้องเอามาใช้ตั้งใจฝึกตน กาลเวลาที่ผู้ฝึกตนบำเพ็ญตนอยู่ในภูเขา สำหรับการเปลี่ยนแปลงของอากาศร้อนหนาว สี่ฤดูหมุนเวียนเปลี่ยนผ่าน เป็นความรู้สึกที่แตกต่างจากมนุษย์ธรรมดาอย่างสิ้นเชิง แค่ปิดด่านนั่งนิ่งๆ ครั้งหนึ่งบางทีอาจต้องเสียเวลาไปหลายวันหรืออาจถึงขั้นหลายเดือน จางเจียเจินอยู่ข้างกายอาจารย์เหวยจึงได้รับการกล่อมเกลามา ต่อให้จะเรียนรู้มาได้อย่างผิวเผิน บัญชีนี้ก็คิดคำนวณได้ไม่ยาก
นอกจากนี้ยังมีบัญชีอีกก้อนที่มิอาจเลอะเลือนได้ ทุกเรื่องราวล้วนมีการแบ่งแยกจริงเท็จ ทำไมเจียงซ่างเจินถึงต้องช่วยเขา? แน่นอนว่าเห็นแก่หน้าของอาจารย์เฉิน นอกจากทรัพย์สินเงินทองแล้ว ค่าใช้จ่ายทั้งหลายล้วนเป็นน้ำใจของอาจารย์เฉิน
บางทีเจียงซ่างเจินอาจมีเงินมากมายจนสามารถไม่สนใจเงินในส่วนนี้ได้จริงๆ แต่จางเจียเจินกลับมิอาจไม่คิดเป็นจริงเป็นจัง
อาจารย์เหวยไม่ชอบพูดถึงสัจธรรมเหตุผล ทว่านับตั้งแต่วันแรกที่รับเขาเข้าประตูก็ได้เอ่ยถ้อยคำที่แสดงความหวังดีกับเขา บอกว่าพวกเราที่ทำงานด้านบัญชีนี้ สิ่งที่ต้องมีติดกายมากที่สุด ไม่ใช่ความฉลาด แต่เป็นความซื่อสัตย์ เป็นมโนธรรม
ก่อนที่เจียงซ่างเจินจะลงจากภูเขาไปยังใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ได้ไปหาจูเหลี่ยน ยิ้มเอ่ยประโยคหนึ่งว่า ‘ถือว่าเจ้าสำนักเก็บสมบัติได้แล้ว’
ไม่ได้พูดถึงว่าภูเขาลั่วพั่วมีจางเจียเจินแล้วทำให้ได้กำไรเป็นเงินเทพเซียนมาหลายเหรียญ แต่เป็นเพราะภูเขาลั่วพั่วมีจางเจียเจินจะยิ่งเหมือนภูเขาลั่วพั่วมากกว่าเดิม
เพราะว่าเรื่องที่จางเจียเจินถามจากเจียงซ่างเจิน คือเรื่องที่ว่าในอนาคตตนจะสามารถกลายเป็นบุคคลประเภทผีภูเขาหรือเทพภูเขา เพื่อจะอยู่ในภูเขาไปอย่างยาวนานได้หรือไม่
เขาอยากทำเรื่องเล็กๆ เท่าที่ตัวเองจะมีความสามารถให้มากอีกหน่อย
หากไม่ได้ก็ต้องปล่อยไปตามโชคชะตาแล้ว แต่หากว่าทำได้ขึ้นมา ถ้าอย่างนั้นเขาก็จะเริ่มเก็บสะสมเงินตั้งแต่วันนี้ หากเงินไม่พอจะต้องมาขอยืมจากโจวอันดับหนึ่งแน่ จะไม่รู้สึกลำบากใจเลยแม้แต่น้อย
ตอนนั้นพวกเขาเดินเล่นไปด้วยกันท่ามกลางม่านราตรี เจียงซ่างเจินมองชายหนุ่มที่ดวงตาใสกระจ่าง นักบัญชีน้อยที่ไม่ใช่เด็กหนุ่มยากจนของกำแพงเมืองปราณกระบี่อีกต่อไปแล้วคล้ายกำลังพูดว่า อาจารย์เฉินพาข้าออกจากบ้านเกิดมาอยู่ที่นี่ ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะพยายามไม่ทำให้อาจารย์เฉินต้องผิดหวัง นี่เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดินเรื่องหนึ่ง ไม่ลำบากเลยสักนิด
เจียงซ่างเจินส่งเหล้ากาหนึ่งไปให้ จางเจียเจินบอกว่ากลับไปแล้วยังต้องอ่านบัญชีอีกหลายเล่ม คงไม่ดื่มเหล้าแล้ว เจียงซ่างเจินยิ้มเอ่ยว่าดื่มไม่เยอะก็ไม่เป็นไรหรอก ยังจะทำให้กระปรี้กระเปร่าอีกด้วย จางเจียเจินถึงได้รับเหล้ากานั้นเอาไว้
จางเจียเจินกลับไปที่ห้อง เปิดอ่านสมุดบัญชีใต้แสงตะเกียง ไม่ได้ดื่มเหล้า แค่ดีดลูกคิด บางครั้งที่ล้าจริงๆ ก็จะนวดหว่างคิ้ว แล้วหันไปมองกาเหล้าที่อยู่บนโต๊ะ กลั้นขำ พูดพึมพำกับตัวเอง ‘จางเจียเจิน เดี๋ยวนี้เก่งใหญ่แล้วนะ นี่เป็นเหล้าที่เจ้าสำนักเจียงมอบให้เจ้ากับมือตัวเองเชียวนะ!’
ไม่รู้เลยว่า เจ้าสำนักเจียงคนนั้นนั่งอยู่บนหัวกำแพง ยกสองแขนกอดอก ยิ้มตาหยี ในมือไม่มีสุรา แต่กลับเหมือนได้ดื่มสุราหมักรสกลมกล่อม
ถึงเวลาที่ภูเขาลั่วพั่วต้องทำบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำของภูเขาตัวเองขึ้นมาได้แล้ว
จูเหลี่ยนยิ้มกล่าว “รอให้คุณชายกลับมาบ้าน พวกเราก็ปรึกษากันเรื่องบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำเถอะ จัดขึ้นที่ภูเขาลูกใด ใครมาเป็นคนทำเรื่องนี้ ต้องปรึกษากันให้ดีๆ”
ป๋ายเสวียนหลุดหัวเราะพรืด “ปรึกษากะผายลมอะไร ให้เซียนกระบี่ใหญ่หมี่ยืนอยู่ตรงนั้น เทพธิดาทั่วทั้งแจกันสมบัติทวีปก็ลุ่มหลงกันได้แล้ว นั่นก็คือเงินเทพเซียนที่ไหลพรวดๆๆ มาแล้ว”
หมี่อวี้ยกตะเกียบส่าย “เทียบกับเจ้าขุนเขาแล้ว ยังห่างชั้นอยู่ไกลนัก”
ป๋ายเสวียนกลอกตามองบน “ข้าพูดว่าเจ้าเทียบกับใต้เท้าอิ่นกวานได้หรือ? ทำเป็นพูดดักคอข้าส่งเดชอะไร”
หมี่อวี้ยังคงยิ้มน้อยๆ คีบกับข้าวคำหนึ่งให้ป๋ายเสวียน “คุยเก่งขนาดนี้ต้องกินเยอะๆ หน่อย”
ป๋ายเสวียนหัวเราะหยัน “อะไรกัน คิดจะเอาอย่างเผยเฉียน อาฆาตแค้นข้าแล้วหรือ?”
ชุยตงซานหัวเราะหึหึ
เทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ยเองก็รีบวางถ้วยเหล้าในมือลง ยกก้นขึ้นตามจิตใต้สำนึก เห็นว่าน้องหลิงจวินไม่ได้ลุกขึ้นยืน แต่เขาก็ไม่ได้วางก้นลง เกร็งก้นค้างอยู่กลางอากาศอย่างยากลำบากเช่นนั้น ค้อมเอวลงเล็กน้อย ส่วนสตรีผู้นั้นจะมองเห็นภาพนี้หรือไม่ เทพเซียนผู้เฒ่ากลับไม่สนใจ ความโชคดีที่มาเยือนอย่างเชื่องช้าของตนส่วนนี้ ได้มาจากไหน? นอกจากสายตาเฉียบแหลมเฉพาะตัวของเจ้าขุนเขาที่สามารถมองเห็นวีรบุรุษเฒ่าผู้หยิ่งทระนงในศักดิ์ศรีอย่างเขาได้ท่ามกลางผู้คนมากหน้าหลายตาแล้ว ยังต้องอาศัยการปฏิบัติต่อคนอื่นอย่างจริงใจที่มหามรรคาสอดคล้องกับของภูเขาลั่วพั่วในส่วนนี้ด้วย ข้าเห็นคนสูงกว่าแต่กลับยอมก้มตัวต่ำก่อนนี่นะ เทพเซียนผู้เฒ่ายิ้มเอ่ย “ผู้คุมกฎมาเยือนเรือนโกโรโกโสของข้าด้วยตัวเอง เท้าอันสูงศักดิ์มาเหยียบย่ำพื้นสกปรกแห่งนี้ ช่างเป็นเกียรติของบ้านยากจนหลังนี้จริงๆ น่าจนใจที่ไม่มีสุราเลิศรสมารับรองแขก หากผู้คุมกฎฉางมิ่งไม่ถือสา…”
ฉางมิ่งยิ้มตาหยี “ถือสา”
เทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ยจึงเปลี่ยนคำพูดในทันที “ผู้คุมกฎเป็นคนตรงไปตรงมา ทำให้คนประหยัดแรงกายแรงใจจริงๆ”
ฉางมิ่งเอ่ย “เรื่องขวางทาง เจ้าระวังสักหน่อย”
เทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ยตอบเสียงทุ้มหนัก “เป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้ว! พรุ่งนี้ผินเต้าจะลงมือด้วยตัวเอง”
ก่อนหน้านี้ทางฝั่งของภูเขาลั่วพั่วไม่ได้เรียกหาเขา แค่ให้ลูกศิษย์จ้าวเติงเการับหน้าที่ทำเรื่องนี้แทน เทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ยถึงได้อดทนเอาไว้ ไม่อย่างนั้นหากพูดถึงแค่เรื่องของการรับรองผู้คน เจี่ยเฉิงก็ยอมรับว่าตัวเองอยู่ในภูเขาลั่วพั่ว ลำดับรายชื่ออย่างน้อยต้องติดห้าอันดับแรก รับเงินเดือนจากภูเขาลั่วพั่วทุกเดือน หากบอกว่ารับเงินแต่ไม่ยอมทำงาน เจี่ยเฉิงย่อมไม่รู้สึกผิดแม้แต่น้อย แต่ห่านขาวใหญ่ที่ปรากฏตัวอย่างลึกลับ แล้วยังมีผู้คุมกฎฉางมิ่งที่ไม่ว่ากับใครก็ล้วนมีรอยยิ้มส่งให้ผู้นี้? กลับไม่ปล่อยให้เขานอนเสวยสุขอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันเลยจริงๆ
เมื่อคำสั่งห้ามรายงานขุนเขาสายน้ำของใต้หล้าไพศาลถูกยกเลิก และยังมีบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำของภูเขาตะวันเที่ยงครั้งนั้น คนจากทั่วสารทิศที่มาเยือนภูเขาลั่วพั่วต่างก็กรูกันมาถึง มาจากสี่ด้านแปดทิศทั่วขุนเขาสายน้ำในหนึ่งทวีป
ไปๆ มาๆ ตลอดทั้งอาณาเขตของจังหวัดหลงโจว โรงเตี๊ยมน้อยใหญ่ล้วนมีคนเบียดเสียดกันแออัด
แน่นอนว่าคนที่มาชมความครึกครื้นที่นี่มีมากยิ่งกว่า ไม่แน่เสมอไปว่าจะต้องมีความปรารถนาอะไร ยกตัวอย่างเช่นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลของแต่ละฝ่าย เดิมทีภูเขาพีอวิ๋นขุนเขาเหนือก็เป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งหนึ่ง ทุกวันนี้มีภูเขาลั่วพั่วโผล่มาอีก บวกกับที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำของจังหวัดหลงโจวแห่งนี้มีสถานะเทพบนทำเนียบขุนเขาสายน้ำของหนึ่งทวีปที่ไม่ต่ำ เชื่อว่าอีกไม่นานภูเขาลั่วพั่วก็ต้องเผชิญกับความอึกทึกจอแจที่นักท่องเที่ยวจากทั่วสารทิศมาเยือนมากมายดุจปลาตะเพียนข้ามแม่น้ำ
ผู้ฝึกลมปราณที่ชื่นชมเลื่อมใสเซียนกระบี่ ผู้ฝึกยุทธที่ใช้ชีวิตอยู่ในยุทธภพ ต้องการเรียนวิชาหมัดเท้าจากปรมาจารย์ด้านวรยุทธทั้งหลาย และยังต้องมีเทพธิดาบนภูเขาไม่น้อยที่อยากจะไปเปิดบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำที่หน้าประตูภูเขาของภูเขาลั่วพั่ว และในบรรดานี้ก็ต้องมีปรมาจารย์ด้านวรยุทธของแต่ละแคว้นที่อยากถามหมัดกับเผยเฉียนรวมอยู่ด้วย
แน่นอนว่าไม่มีใครมาเพื่อต้องการชนะหมัด แค่อยากจะประลองฝีมือขอความรู้เท่านั้นเอง ขุนเขาสายน้ำของหนึ่งทวีป ผู้ฝึกยุทธมีมากมายดุจขนวัว แต่เผยเฉียนกลับเป็นหนึ่งในสี่ปรมาจารย์ใหญ่ด้านวิถีวรยุทธที่ผ่านการประเมินมาแล้ว ถามหมัดกับนางแล้วยังอยากจะชนะ เสียสติไปแล้วหรือไร? ลองไปถามผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจบนสนามรบเมืองหลวงแห่งที่สองที่ถูกปรมาจารย์เผยต่อยไม่กี่หมัดร่างก็เหมือนดอกไม้บานกระจายสิว่าพวกมันเห็นด้วยหรือไม่?
เพราะในการประชุมบนเรือข้ามฟากก่อนหน้านี้ เฉินผิงอันบอกแล้วว่าภายในช่วงยี่สิบปีนี้ ภูเขาลั่วพั่วจะไม่รับลูกศิษย์
ดังนั้นจึงมีงานเพิ่มมาอีกอย่างหนึ่ง ทางฝั่งของภูเขาลั่วพั่วจำเป็นต้องมีคนคอยรับผิดชอบขวางทาง บอกกล่าวเรื่องนี้แก่คนนอกทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องขัดขวางไม่ให้พวกเขาขึ้นเขาไปโดยพลการ เห็นภูเขาลั่วพั่วเป็นสถานที่ชมทิวทัศน์ไป
เส้นทางที่พุ่งตรงไปยังภูเขาลั่วพั่วมีอยู่สองเส้น นอกจากทางภูเขาของอำเภอไหวหวงเส้นนั้นแล้วยังมีเส้นทางที่ทอดยาวมาจากเมืองหงจู๋ ภูเขาฉีตุน ช่วงนี้คนที่รับผิดชอบงานขวางคน ในทางแจ้งมีอวิ๋นจื่อ ป๋ายเสวียน จ้าวซู่เซี่ย และยังมีจ้าวเติงเกาลูกศิษย์ของนักพรตเฒ่าตาบอด ทำเรื่องนี้ก็ถือว่าเป็นการฝึกประสบการณ์ครั้งหนึ่ง ในทางลับก็มีผู้คุมกฎฉางมิ่งและผู้ฝึกกระบี่ชุยเหวย เพื่อป้องกันเรื่องไม่คาดฝัน มีเพียงป๋ายเสวียนที่มาร่วมวงความครึกครื้นอย่างเดียวเท่านั้น เพราะถึงอย่างไรช่วงนี้เผยเฉียนก็ไม่อยู่บนภูเขาลั่วพั่วพอดี
ทุกวันนี้ป๋ายเสวียนค่อนข้างสนิทกับผู้พิทักษ์ฝ่ายซ้ายของตรอกฉีหลงตัวนั้นค่อนข้างมาก มักจะไปนั่งยองบนพื้นถามว่าเจ้ากินหรือไม่? คนนั้นน่ะหรือ? ขอแค่เป็นวีรบุรุษที่ป่าวประกาศว่าจะถามหมัดกับเผยเฉียน ป๋ายเสวียนล้วนไม่ปล่อยผ่านไปแม้แต่คนเดียว เขาจดลงในบันทึกอย่างละเอียดทุกคน ชื่อแซ่ ฉายา ภูมิลำเนาบ้านเกิด ขอบเขตการเรียนวรยุทธ…
เฉินหลิงจวินไม่ได้เข้ามาร่วมวงทำเรื่องนี้อย่างที่หาได้ยาก หน่วนซู่และหมี่ลี่น้อยต่างก็รู้สึกแปลกใจกันอย่างมาก แน่นอนว่าเฉินหลิงจวินแสร้งวางมาดของยอดฝีมือไปอย่างนั้นเอง มารดามันเถอะ คนดีและคนเลวปะปนกัน สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าในบรรดานี้มียอดฝีมือที่สามารถต่อยเขาให้ตายด้วยหมัดเดียวอยู่หรือไม่ เพราะถึงอย่างไรในยุทธภพที่กว้างใหญ่ไพศาล ลำพังแค่ใจกล้าอย่างเดียวยังไม่พอ บนเส้นทางการฝึกตน หากไม่ใช่ม้าป่าที่หลุดจากบังเหียนก็เป็นหมูที่ถูกเลี้ยงอยู่ในเล้า แต่ละคนกร่างไม่แพ้กัน
วันนี้ทุกคนมารวมตัวนั่งกินข้าวกันบนโต๊ะตัวใหญ่ ครึกครื้นอย่างยิ่ง
ยังคงเป็นกฎเดิมที่ฟ้าผ่าก็ไม่สะเทือนข้อนั้น หากเฉินผิงอันไม่อยู่บนภูเขา ม้านั่งยาวตำแหน่งประธานจะเว้นว่างไว้ ต้องเก็บไว้ให้เจ้าขุนเขา
จูเหลี่ยน ชุยตงซาน หมี่อวี้ เฉินหน่วนซู่ หมี่ลี่น้อย เฉินหลิงจวิน จางเจียเจิน
และยังมีป๋ายเสวียนที่ชอบมาขอกินเปล่าดื่มเปล่าที่นี่
เหวยเหวินหลงไม่ค่อยปรากฏตัวนัก ไม่ใช่ว่าเป็นเพราะเขาคือเทพเซียนโอสถทองจึงไม่ต้องกินห้าธัญพืช แล้วก็ไม่ใช่ว่าท่านเทพเจ้าแห่งโชคลาภของภูเขาลั่วพั่วท่านนี้มีนิสัยรักสันโดษอย่างไร แต่เป็นเพราะเขาหลงใหลในเรื่องของการทำบัญชี สมุดบัญชีแต่ละเล่มราวกับเป็นภรรยาของเขาคนแล้วคนเล่าอย่างไรอย่างนั้น
ส่วนจ้าวซู่เซี่ยและจ้าวเติงเกา ทุกวันจะต้องเดินเท้ากลับไปที่เมืองเล็ก ผลัดกันเฝ้ายามบนถนนตอนกลางคืน คนหนึ่งคือลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเจ้าขุนเขา อีกคนหนึ่งคือผู้ถวายงานที่ได้รับการบันทึกชื่อ ทุกวันนี้ทั้งสองมีความสัมพันธ์ที่สนิทสนมกันดีมาก พวกเขากับเฉินหลิงจวิน ป๋ายเสวียน เห็นได้ชัดว่ามีนิสัยที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
เฉินหลิงจวินที่นั่งอยู่ที๋โต๊ะอาหารอดกลั้นมานานแล้ว “พ่อครัวเฒ่า ได้ยินมาว่าตอนที่เจ้าเป็นหนุ่มยังเป็นบุรุษรูปงามที่มีเพียงหนึ่งเดียวในแปดหมู่บ้านสิบลี้ด้วยหรือ?”
ทุกครั้งที่ขยับตะเกียบ ไม่ว่าจะคีบข้าวหรือกับข้าว จูเหลี่ยนมักจะต้องเคี้ยวอย่างละเอียดก่อนกลืนเสมอ “ธรรมดาๆ พอจะถือว่าไม่อัปลักษณ์เท่านั้น”
เฉินหลิงจวินหัวเราะคิกคัก “ถ้าอย่างนั้นทำไมเจ้าถึงยังเป็นโสดอยู่ล่ะ เป็นเพราะตอนหนุ่มสายตาสูงเกินไป เลือกมากจนตาลาย แต่ก็ยังไม่มีแม่นางที่พึงพอใจ ถึงท้ายที่สุดเลยได้แต่เหมือนกับพี่น้องต้าเฟิงหรือ?”
จูเหลี่ยนยิ้มกล่าว “ลืมไปว่าเจ้าอายุมากกว่าข้าอีกนี่นะ?”
เฉินหลิงจวินสะอึกอึ้ง
หมี่ลี่น้อยยกมือป้องปาก กระซิบกระซาบถามพี่หญิงหน่วนซู่ “จิ่งชิงอายุเท่าไรแล้วหรือ?”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูเหลือบมองเด็กชายชุดเขียวแล้วส่ายหน้า ตอบเสียงเบา “ไม่เคยถาม ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน”
เฉินหลิงจวินตบโต๊ะดังตึง “นังเด็กโง่ ละโมบในความงามของข้าใช่หรือไม่ ถูกจับได้คาหนังคาเขาแล้วล่ะสิ ฮ่าๆ …”
ผลคือท้ายทอยถูกหมี่อวี้ตบเข้าให้หนึ่งป้าบ
เฉินหลิงจวินก้มหน้าพุ้ยข้าวในชามทันที เซียนกระบี่ใหญ่หมี่ที่อยู่ข้างกายผู้นี้จะไปมีเรื่องด้วยไม่ได้เด็ดขาดเชียว เขาจึงรู้สึกอัดอั้นอยู่บ้างเล็กน้อย
ชุยเหวยเป็นถึงผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตก่อกำเนิดของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ผลคือพออยู่กับหมี่อวี้กลับเหมือนหลานเจอปู่อย่างไรอย่างนั้น ก่อนหน้านี้เฉินหลิงจวินก็รู้สึกแล้วว่าผิดปกติ ภายหลังได้ยินคำกล่าว ‘หมี่ผ่าเอว’ มาจากพี่ใหญ่เจี่ย บวกกับเรื่องราวบางอย่างที่สนามรบของนครมังกรเฒ่า ทำเอาเฉินหลิงจวินที่ได้ยินอกสั่นขวัญผวา ตกใจจนไม่กล้าเรียกหมี่อวี้ว่าพี่น้องอยู่หลายวัน
จูเหลี่ยนมองจางเจียเจินแวบหนึ่ง
เด็กหนุ่มพูดน้อย แต่ในสายตามักจะมีรอยยิ้มอยู่เสมอ
ตอนที่มาเป็นเด็กหนุ่ม
เวลานี้กลับเป็นชายหนุ่มที่สามารถไว้หนวดเคราได้แล้ว
ยืนอยู่กับเจี่ยงชวี่ที่เป็นคนวัยเดียวกัน คนทั้งสองก็ราวกับอายุห่างกันสิบปี
อันที่จริงเจียงซ่างเจินเคยมาหาเขาเป็นการส่วนตัว บอกว่าผู้ถวายงานอันดับหนึ่งอย่างเขาจ่ายเงินสักเล็กน้อยจางเจียเจินก็สามารถฝึกตนได้แล้ว หากโชคดี ชีวิตนี้ก็มีหวังจะเลื่อนเป็นขอบเขตถ้ำสถิตของห้าขอบเขตกลาง จากนั้นก็หยุดลงแต่เพียงเท่านี้ หากโชคธรรมดา เป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสี่ขอบเขตห้า ใช้ชีวิตอยู่ได้สองรอบเจี่ยจื่อ (เจี่ยจื่อคือหนึ่งรอบหกสิบปี สองรอบเจี่ยจื่อเท่ากับหนึ่งร้อยยี่สิบปี) ก็ยังมีโอกาส แต่หากเกรงใจจริงๆ ก็สามารถยืมเงินได้ วันหน้าค่อยๆ คืนเงินโดยจ่ายผ่านเงินเดือนของภูเขาลั่วพั่วก็ได้
แต่จางเจียเจินกลับไม่ตอบตกลง เขามีแผนการเป็นของตัวเอง สุดท้ายถามคำถามสองสามข้อที่เหนือความคาดคิดกับผู้ถวายงานโจว
เวลาสองรอบเจี่ยจื่อ บางทีหนึ่งรอบเจี่ยจื่ออาจต้องเอามาใช้ตั้งใจฝึกตน กาลเวลาที่ผู้ฝึกตนบำเพ็ญตนอยู่ในภูเขา สำหรับการเปลี่ยนแปลงของอากาศร้อนหนาว สี่ฤดูหมุนเวียนเปลี่ยนผ่าน เป็นความรู้สึกที่แตกต่างจากมนุษย์ธรรมดาอย่างสิ้นเชิง แค่ปิดด่านนั่งนิ่งๆ ครั้งหนึ่งบางทีอาจต้องเสียเวลาไปหลายวันหรืออาจถึงขั้นหลายเดือน จางเจียเจินอยู่ข้างกายอาจารย์เหวยจึงได้รับการกล่อมเกลามา ต่อให้จะเรียนรู้มาได้อย่างผิวเผิน บัญชีนี้ก็คิดคำนวณได้ไม่ยาก
นอกจากนี้ยังมีบัญชีอีกก้อนที่มิอาจเลอะเลือนได้ ทุกเรื่องราวล้วนมีการแบ่งแยกจริงเท็จ ทำไมเจียงซ่างเจินถึงต้องช่วยเขา? แน่นอนว่าเห็นแก่หน้าของอาจารย์เฉิน นอกจากทรัพย์สินเงินทองแล้ว ค่าใช้จ่ายทั้งหลายล้วนเป็นน้ำใจของอาจารย์เฉิน
บางทีเจียงซ่างเจินอาจมีเงินมากมายจนสามารถไม่สนใจเงินในส่วนนี้ได้จริงๆ แต่จางเจียเจินกลับมิอาจไม่คิดเป็นจริงเป็นจัง
อาจารย์เหวยไม่ชอบพูดถึงสัจธรรมเหตุผล ทว่านับตั้งแต่วันแรกที่รับเขาเข้าประตูก็ได้เอ่ยถ้อยคำที่แสดงความหวังดีกับเขา บอกว่าพวกเราที่ทำงานด้านบัญชีนี้ สิ่งที่ต้องมีติดกายมากที่สุด ไม่ใช่ความฉลาด แต่เป็นความซื่อสัตย์ เป็นมโนธรรม
ก่อนที่เจียงซ่างเจินจะลงจากภูเขาไปยังใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ได้ไปหาจูเหลี่ยน ยิ้มเอ่ยประโยคหนึ่งว่า ‘ถือว่าเจ้าสำนักเก็บสมบัติได้แล้ว’
ไม่ได้พูดถึงว่าภูเขาลั่วพั่วมีจางเจียเจินแล้วทำให้ได้กำไรเป็นเงินเทพเซียนมาหลายเหรียญ แต่เป็นเพราะภูเขาลั่วพั่วมีจางเจียเจินจะยิ่งเหมือนภูเขาลั่วพั่วมากกว่าเดิม
เพราะว่าเรื่องที่จางเจียเจินถามจากเจียงซ่างเจิน คือเรื่องที่ว่าในอนาคตตนจะสามารถกลายเป็นบุคคลประเภทผีภูเขาหรือเทพภูเขา เพื่อจะอยู่ในภูเขาไปอย่างยาวนานได้หรือไม่
เขาอยากทำเรื่องเล็กๆ เท่าที่ตัวเองจะมีความสามารถให้มากอีกหน่อย
หากไม่ได้ก็ต้องปล่อยไปตามโชคชะตาแล้ว แต่หากว่าทำได้ขึ้นมา ถ้าอย่างนั้นเขาก็จะเริ่มเก็บสะสมเงินตั้งแต่วันนี้ หากเงินไม่พอจะต้องมาขอยืมจากโจวอันดับหนึ่งแน่ จะไม่รู้สึกลำบากใจเลยแม้แต่น้อย
ตอนนั้นพวกเขาเดินเล่นไปด้วยกันท่ามกลางม่านราตรี เจียงซ่างเจินมองชายหนุ่มที่ดวงตาใสกระจ่าง นักบัญชีน้อยที่ไม่ใช่เด็กหนุ่มยากจนของกำแพงเมืองปราณกระบี่อีกต่อไปแล้วคล้ายกำลังพูดว่า อาจารย์เฉินพาข้าออกจากบ้านเกิดมาอยู่ที่นี่ ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะพยายามไม่ทำให้อาจารย์เฉินต้องผิดหวัง นี่เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดินเรื่องหนึ่ง ไม่ลำบากเลยสักนิด
เจียงซ่างเจินส่งเหล้ากาหนึ่งไปให้ จางเจียเจินบอกว่ากลับไปแล้วยังต้องอ่านบัญชีอีกหลายเล่ม คงไม่ดื่มเหล้าแล้ว เจียงซ่างเจินยิ้มเอ่ยว่าดื่มไม่เยอะก็ไม่เป็นไรหรอก ยังจะทำให้กระปรี้กระเปร่าอีกด้วย จางเจียเจินถึงได้รับเหล้ากานั้นเอาไว้
จางเจียเจินกลับไปที่ห้อง เปิดอ่านสมุดบัญชีใต้แสงตะเกียง ไม่ได้ดื่มเหล้า แค่ดีดลูกคิด บางครั้งที่ล้าจริงๆ ก็จะนวดหว่างคิ้ว แล้วหันไปมองกาเหล้าที่อยู่บนโต๊ะ กลั้นขำ พูดพึมพำกับตัวเอง ‘จางเจียเจิน เดี๋ยวนี้เก่งใหญ่แล้วนะ นี่เป็นเหล้าที่เจ้าสำนักเจียงมอบให้เจ้ากับมือตัวเองเชียวนะ!’
ไม่รู้เลยว่า เจ้าสำนักเจียงคนนั้นนั่งอยู่บนหัวกำแพง ยกสองแขนกอดอก ยิ้มตาหยี ในมือไม่มีสุรา แต่กลับเหมือนได้ดื่มสุราหมักรสกลมกล่อม
ถึงเวลาที่ภูเขาลั่วพั่วต้องทำบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำของภูเขาตัวเองขึ้นมาได้แล้ว
จูเหลี่ยนยิ้มกล่าว “รอให้คุณชายกลับมาบ้าน พวกเราก็ปรึกษากันเรื่องบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำเถอะ จัดขึ้นที่ภูเขาลูกใด ใครมาเป็นคนทำเรื่องนี้ ต้องปรึกษากันให้ดีๆ”
ป๋ายเสวียนหลุดหัวเราะพรืด “ปรึกษากะผายลมอะไร ให้เซียนกระบี่ใหญ่หมี่ยืนอยู่ตรงนั้น เทพธิดาทั่วทั้งแจกันสมบัติทวีปก็ลุ่มหลงกันได้แล้ว นั่นก็คือเงินเทพเซียนที่ไหลพรวดๆๆ มาแล้ว”
หมี่อวี้ยกตะเกียบส่าย “เทียบกับเจ้าขุนเขาแล้ว ยังห่างชั้นอยู่ไกลนัก”
ป๋ายเสวียนกลอกตามองบน “ข้าพูดว่าเจ้าเทียบกับใต้เท้าอิ่นกวานได้หรือ? ทำเป็นพูดดักคอข้าส่งเดชอะไร”
หมี่อวี้ยังคงยิ้มน้อยๆ คีบกับข้าวคำหนึ่งให้ป๋ายเสวียน “คุยเก่งขนาดนี้ต้องกินเยอะๆ หน่อย”
ป๋ายเสวียนหัวเราะหยัน “อะไรกัน คิดจะเอาอย่างเผยเฉียน อาฆาตแค้นข้าแล้วหรือ?”
ชุยตงซานหัวเราะหึหึ