ผมเป็นเขย(ผู้ไม่ธรรมดา)บทที่ 79 ความรู้สึกขอบคุณของเสิ่นเจียเหวิน

บทที่ 79 ความรู้สึกขอบคุณของเสิ่นเจียเหวิน

ผมเป็นเขย(ผู้ไม่ธรรมดา) บทที่ 79 ความรู้สึกขอบคุณของเสิ่นเจียเหวิน
“อ๊ะ คุณเป็นใคร ?”

“ผมคือหลิวโป๋ฮุ่ย เหล่าซานของตระกูลหลิว”

เจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงขมวดคิ้วขึ้นทันที สีหน้าของเจ้าหน้าที่ตำรวจชายที่ยืนข้างเธอก็เปลี่ยนไปเช่นกัน เขาโน้มตัวเข้าไปใกล้เธอและเตือนเธอด้วยเสียงแผ่วเบา “พี่สาวของคนผู้นี้คือภรรยาของโจวจุ้ย”

โจวเยว่จุน รองผู้อำนวยการสำนักงานรักษาความปลอดภัยสาธารณะเองก็เป็นพี่เขยของหลิวโป๋ฮุ่ยด้วย !

เมื่อเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงขมวดคิ้วและลังเล หลิวโป๋ฮุ่ยก็รู้สึกภูมิใจอยู่พักหนึ่ง

“ที่แท้ก็เป็นบุคคลมีฐานะ” เจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงพยักหน้าเบา ๆ

“ฮ่าฮ่า มันก็ไม่เชิง สาวน้อย คุณวางใจเถอะ ผมรู้กระบวนการสอบสวนของพวกคุณดี คุณปล่อยคนของผม อีกเดี๋ยวผมจะให้ทนายไปที่สถานีตำรวจเพื่อดำเนินคดีภายหลัง ฮ่าฮ่า รบกวนด้วย” หลิวโป๋ฮุ่ยยิ้มเบา ๆ เขาสยบตำรวจห้าสิบกว่าคนด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำ นี่ทำให้ความเย่อหยิ่งก่อนหน้านี้ของเขากลับคืนมา

เสิ่นเจียเหวินเหมือนกับต้องการออกคำสั่งอะไรบางอย่าง แต่ในตอนที่กำลังจะพูดออกมากลับถูกฉินเฟยซึ่งอยู่ด้านข้างห้ามเอาไว้

หลิวโป๋ฮุ่ยกล้าอวดดีถึงขนาดนี้ เขาจะต้องมีความมั่นใจโดยธรรมชาติ แม้ว่าสิ่งนี้จะทำให้ผู้คนโกรธ แต่เมื่อได้เห็นมันหลายครั้ง เดี๋ยวก็คุ้นชินกับมันไปเอง

เสิ่นเจียเหวินเองก็ไม่ใช่เด็กผู้หญิงที่อ่อนต่อโลก แน่นอนว่าเธอก็รู้ความจริงบางอย่างในเรื่องนี้เช่นกัน แต่เธอก็อดไม่ได้ที่จะโกรธอยู่ในใจ

“พวกคุณได้ยินกันหรือเปล่า ? รบกวนพวกคุณด้วย……” เจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงเงยหน้าขึ้นมองตำรวจรอบ ๆ พร้อมกับรอยยิ้มอันเจือจาง และทันใดนั้นสีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว และเสียงของดังขึ้นอีกหลายเท่า “คุมตัวทุกคนกลับไป ห้ามปล่อยไปแม้แต่คนเดียว !”

หลังจากพูดจบ ทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ แม้แต่ผู้ช่วยของเธอที่อยู่ด้านข้างก็อดหันมามองเธอด้วยสีหน้าอันตกใจไม่ได้ คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้านายใหม่คนนี้จะไม่ไว้หน้าตระกูลหลิวเลยแม้แต่น้อย !

สีหน้าของหลิวโป๋ฮุ่ยเองก็เปลี่ยนไปเช่นกัน พูดออกมาพร้อมกับใบหน้าอันเคร่งขรึม “น้องสาว เข้าสังคมใหม่ ๆ อย่าทำอะไรผลีผลาม สังคมนี้มันซับซ้อนเป็นอย่างมาก มีคนชั่วอยู่มากมาย หากวันไหนเธอออกไปพบเจอกับคนเลวเหล่านั้นเข้ามันจะเป็นเรื่องไม่ดีเอาว่าไหม ?”

น้ำเสียงของหลิวโป๋ฮุ่ยดูนิ่งสงบ ดวงตาเล็ก ๆ ของเขาหรี่ลงเป็นรอยกรีด เขามองไปที่รูปร่างและใบหน้าที่สวยงามของเจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงที่กำลังบูดบึ้ง

แม้ว่าคำพูดและน้ำเสียงของเขาจะดูประนีประนอม ไม่เหมือนกับคำพูดที่โหดร้าย แต่เด็กโง่ยังเข้าใจว่านี่คือการข่มขู่ !

เจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงมองหลิวโป๋ฮุ่ย ไม่ได้โกรธแต่อย่างใด ดวงตาอันงดงามของเธอจับจ้องไปยังบอดี้การ์ดหลายคนที่นอนคร่ำครวญอยู่บนพื้น เม้มปากอย่างเหยียดหยาม “ด้วยคนงี่เง่าอย่างเจ้าพวกนี้งั้นเหรอ ?”

“เธอ……” หลิวโป๋ฮุ่ยแทบจะสำลักออกมา ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินด้วยความโกรธ

บ้าเอ๊ย ทำไมวันนี้ถึงได้ซวยถึงขนาดนี้ คนที่พบเจอต่างเป็นหนุ่มสาวผู้มุทะลุ !

ได้ยินคำพูดของเจ้านาย ผู้ช่วยที่อยู่ด้านข้างอดไม่ได้ที่จะแอบยกนิ้วให้ หลิวโป๋ฮุ่ยผู้นี้อาศัยอยู่ในตระกูลที่มีภูมิหลังอันโดดเด่น ประกอบกับมีโจวจุ้ยซึ่งเป็นพี่เขย เขาทำทุกอย่างที่ตนเองต้องการ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกหรือครั้งที่สองที่เขารังแกผู้อื่นเช่นนี้ แต่ครั้งนี้เขาได้เจอกับตำรวจอาชญากรรม มันก็ถือว่าเป็นโชคร้ายสำหรับพวกเขา

“ทำไม ? ไม่ได้ยินที่ฉันพูดหรือยังไง ? พาตัวคนพวกนี้ไปให้หมด !” เจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงตะคอกออกมาอีกครั้ง

มองไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจที่กำลังลากตัวเหล่าบอดี้การ์ดซึ่งแกล้งตายอยู่บนพื้นไป เจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงผู้งดงามอดไม่ได้ที่จะหันมามองฉินเฟยและเสิ่นเจียเหวินที่อยู่ข้างเขา

ในตอนนี้ฉินเฟยเองก็หันไปมองเธอเช่นกัน สำหรับคำพูดที่กล้าหาญเมื่อสักครู่ของเธอ ฉินเฟยรู้สึกชื่นชมเป็นอย่างมาก ตรงไปตรงมา ตำรวจผู้ไม่เกรงกลัวในอำนาจแบบนี้ยังมีอยู่อีกไม่น้อย

ถอนหายใจด้วยความโล่งอกอยู่ในใจ หากอีกฝ่ายยอมอ่อนข้อให้หลิวโป๋ฮุ่ยจริง เขาจะถูกนำตัวไปที่สถานีตำรวจอย่างแน่นอน และเกรงว่าจะถูกใส่ความเป็นแน่

แน่นอน ในเวลานี้ฉินเฟยมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงที่อยู่ด้านหน้าของเขา ซึ่งเกือบจะเหมือนเซียววี่ทุกอย่างนั้น ไม่ใช่เซียววี่

เห็นฉินเฟยมองมาที่ตนเอง เจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงขมวดคิ้วเล็กน้อย หากคนเพียงคนเดียวสามารถเอาชนะอันธพาลฝีมือดีถึงสามสิบคนได้ แน่นอนว่าความแข็งแกร่งของเขาจะต้องไม่ธรรมดา

นี่ทำให้เธอรู้สึกคันมือ ไม่รู้ว่าหากตนเองสู้กับชายผู้นี้ จะสามารถเอาชนะเขาได้หรือไม่ !

“มากับพวกเราเถอะ”

“อ่า” ฉินเฟยพยักหน้าและยิ้มอย่างขมขื่น จากนั้นยื่นมือทั้งสองข้างออกไปแต่โดยดี

ผู้ช่วยหยิบกุญแจมือออกมาแล้วก้าวไปหาฉินเฟย เจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงหันมองมาเสิ่นเจียเหวินซึ่งอยู่ด้านข้าง

เมื่อเห็นเช่นนั้น หัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยชุมชนที่อยู่ด้านข้างก็รีบก้าวไปข้างหน้าและอธิบายว่า “ผู้หญิงคนนี้เป็นหัวหน้าฝ่ายชุมชนของพวกเรา เธอไม่เกี่ยวข้องกับการทะเลาะกันในครั้งนี้ เธอเพิ่งจะมาหลังจากเกิดเรื่อง”

เจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงส่ายหน้า หันไปมองเสิ่นเจียเหวินและพูดว่า “เรื่องนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับคุณเลยอย่างนั้นเหรอ ?”

“มี ที่พวกเขาทะเลาะกันก็มีเหตุผลมาจากฉัน หลิวโป๋ฮุ่ยเป็น…..” เสิ่นเจียเหวินอธิบายสั้น ๆ เกี่ยวกับการนัดดูตัวระหว่างพวกเขาสองคน “ฉันเป็นรองประธานของว่านเซียงมูวี เขามีทนาย ฉันเองก็มี ฉันต้องหาทนายมาจัดการกับเรื่องนี้อย่างแน่นอน และขอบคุณในการตัดสินใจอันยุติธรรมของคุณเมื่อสักครู่นี้ด้วย”

น้ำเสียงของเสิ่นเจียเหวินไม่ได้ดูร้อนรนแต่อย่างใด ไม่อ่อนน้อมถ่อมตนหรือเอาแต่ใจ

“ไม่ต้องขอบคุณ” เจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงส่ายหน้า นี่เป็นสิ่งที่เธอควรทำอยู่แล้ว เธอยกมือขึ้นในทันใด เจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงในเครื่องแบบคนหนึ่งเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว “เสี่ยวเม่ย ให้เขาไปขึ้นรถของเธอ”

“รับทราบ”

“ฉันขอขึ้นรถไปคันเดียวกับเพื่อนร่วมงานของฉันได้หรือเปล่า ?” เสิ่นเจียเหวินพูดออกมาด้วยความร้อนรน

“ไม่ได้ ลักษณะของพวกคุณนั้นต่างกัน จะให้นั่งรถคันเดียวกันไม่ได้ นักผู้ต้องหาคนนี้ ฉันจะควบคุมตัวไปด้วยตัวเอง” เจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงปฏิเสธ สายตาของเธอจ้องมองไปที่ฉินเฟยด้วยความรังเกียจและเยือกเย็น

การรับรู้ของผู้หญิงนั้นเฉียบแหลมมาก วินาทีแรกที่เธอปรากฏตัวที่นี่ก็สัมผัสได้ทันทีว่าอีกฝ่ายกำลังจ้องมองเธออยู่ แถมจ้องมองอย่างไม่ละสายตา

เธอรู้ตัวดีว่ารูปร่างหน้าตาของเธองดงามแค่ไหน สายตาแบบนี้เธอผ่านมันมาเยอะ แต่อย่างไรก็ตาม ชายผู้นี้เป็นผู้มีความสามารถในการต่อสู้สูง แต่คิดไม่ถึงว่าเขาเองก็จะมีนิสัยเสียเช่นนี้ ซึ่งทำให้เธอรู้สึกขยะแขยงมากยิ่งขึ้น

หลังจากผ่านไปไม่กี่นาที ฉินเฟยเข้าไปในรถหุ้มเกราะที่คุมขังนักโทษ และตรงไปยังสถานีตำรวจซงไห่

ฉินเฟยจ้องมองเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้งดงามที่อยู่ด้านหน้า สุดท้ายก็อดไม่ไหวจนพูดออกมาว่า “คุณชื่ออะไร ?” เจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงผงะ เหลือบตามองฉินเฟย พูดออกมาอย่างเยือกเย็น “เมื่อเทียบกับคนอื่นที่มีเจตนาชั่วร้าย นายเป็นคนตรงไปตรงมามากกว่า”

“แต่ ฉันชอบคนตรงไปตรงมา เพราะมันดีกว่าคนที่ลังเล ไม่ได้เรื่องอะไรสักอย่าง” เจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงเบะปาก “แต่ฉันไม่จำเป็นต้องบอก !”

“แฮ่ม แฮ่ม……” ฉินเฟยรู้สึกเขินอายอยู่ชั่วขณะ เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายมองว่าเขาเป็นพวกชอบพูดจาแทะโลม และต้องการตามจีบเธอ

ในห้องขังบนรถ นอกจากฉินเฟยและเจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงคนนั้นแล้ว ยังมีผู้คุ้มกันติดอาวุธอีกสองคน เมื่อได้ยินคำพูดของทั้งสองคน ใบหน้าของพวกเขาก็ดูแปลกไป พยายามกลั้นยิ้มเอาไว้

“เธอกับเซียววี่มีความสัมพันธ์กันอย่างไร ?” ฉินเฟยพูดออกมาอีกครั้ง ในเมื่ออีกฝ่ายชอบคนตรงไปตรงมา งั้นเขาก็ไม่จำเป็นต้องพูดจาอ้อมค้อม

ได้ยินชื่อของเซียววี่ เจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงที่เยือกเย็นมาโดยตลอดก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปในที่สุด มองมายังฉินเฟยและพูดว่า “นายรู้จักเธองั้นเหรอ ?”

“แน่นอนว่ารู้จัก ไม่ใช่แค่รู้จัก พวกเรายังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันด้วย แถมเธอยังเอาแหวนหยกที่มีมูลค่าเป็นอย่างมากของฉันไปอีกด้วย และตอนนี้ก็ยังไม่เอามันมาคืนฉันเลย” ฉินเฟยยิ้มออกมาเล็กน้อย

สิ่งที่เขาพูดถึงก็คือของขวัญวันเกิดของคุณย่าเจียง แต่หลังจากที่ตระกูลซุนมาโค่นล้ม ก็ทำให้เกิดการต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่ระหว่างฉินเฟยกับคนของตระกูลซุน เรื่องนี้จึงถูกปล่อยไป แต่เขาเชื่อในตัวของเซียววี่ เธอไม่มีทางนำแหวนหยกของเขาไปโดยไม่นำมาคืน ดังนั้นเขาจึงไม่รีบร้อนที่จะไปทวงคืน

“แหวนหยกที่มีค่ามหาศาล ?” เจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงจ้องมองฉินเฟยพร้อมกับท่าทางของความสงสัย

พี่สาวไม่ใช่คนที่จะเอาของคนอื่นไปโดยไม่นำมาคืน โดยเฉพาะสิ่งของล้ำค่าอย่างที่อีกฝ่ายพูดถึง

“อ่า แหวนหยกของอู๋กั๋วไท่” ฉินเฟยพยักหน้า ในใจของเขาพอจะคาดเดาความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเซียววี่ออกแล้ว

“อู๋……นี่มันเป็นไปไม่ได้ นายรู้ได้อย่างไรว่าพี่สาวของฉันมีแหวนหยกวงนั้นอยู่ ?” คิ้วของเซียวเจียขมวดอย่างรุนแรง

“เพราะว่าพี่สาวของเธอนำแหวนหยกวงนั้นมาแลกกับของโบราณที่มีค่าพอ ๆ กันจากฉันคนนี้ไป” ฉินเฟยอธิบายออกไป เป็นอย่างที่คิด เธอเป็นน้องสาวของเซียววี่ และหากไม่มีอะไรผิดพลาด พวกเธอจะต้องเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน ไม่อย่างนั้นคงไม่มีทางหน้าตาเหมือนกันได้ถึงขนาดนี้

แต่เมื่อเทียบกับเซียววี่ผู้รอบรู้และสง่างาม บุคลิกของน้องสาวคนนี้ค่อนข้างเจ้ากี้เจ้าการและดุดันกว่ามาก นิสัยของพวกเธอแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง !

แต่นี่มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร บุตรแห่งมังกรทั้งเก้ายังมีนิสัยที่แตกต่างกัน และนี่มันก็เหมือนกับคำพูดที่สืบต่อกันมาตามชนบทว่า ลูกคนโตมักจะสุขุมและเยือกเย็น และลูกคนที่สองมักจะสดใสและมีชีวิตชีวา

“นายรู้จักพี่สาวของฉันจริง ๆ อย่างนั้นเหรอ ?” เห็นว่าสิ่งที่ฉินเฟยพูดออกมาเหมือนจะเป็นเรื่องจริง น้ำเสียงของเซียวเจียดูเคร่งขรึมขึ้น

“แน่นอน ดังนั้นในตอนแรกที่ได้เจอเธอ ฉันเลยนึกว่าเซียววี่เปลี่ยนอาชีพไปแล้ว ในเมื่อทุกคนก็เป็นเพื่อนกัน น้องสาว เธอปลดกุญแจขอมือของฉันออกได้ไหม ฉันไม่หนีไปไหนหรอก” ฉินเฟยพูดออกมา

“อ้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับตำรวจ โทษของมันนั้นมากกว่า !” เซียวเจียจ้องเขม็งฉินเฟย และพูดกำชับออกมาว่า “จับตาดูเขาไว้ให้ดี คนผู้นี้เป็นบุคคลอันตราย”

รอยยิ้มบนใบหน้าของฉินเฟยแข็งทื่อในทันที

บ้าที่สุด !

เซียวเจียหันหน้าหนี ไม่พูดอะไรมากกว่านั้น แต่หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกงอย่างเงียบ ๆ และส่งข้อความออกไปหาพี่สาวของเธอ

……

สถานีตำรวจจัดการทุกอย่างได้อย่างง่ายดาย สิ่งสำคัญคือการมีหัวหน้าสาวสายและซื่อตรงผู้นี้อยู่ หลิวโป๋ฮุ่ยและเสิ่นเจียเหวินได้รับการปล่อยตัวหลังจากผ่านการสอบปากคำและทำบันทึกประจำวัน

ฉินเฟยผ่านการต่อสู้ครั้งใหญ่ ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยบาดแผลและดินโคลน ส่วนเสิ่นเจียเหวินออกมาโดยสวมชุดนอน ทั้งสองคนจึงนั่งรถไปบ้านของเสิ่นเจียเหวินทันที

ตลอดระยะทาง เสิ่นเจียเหวินไม่พูดอะไร หลังจากลงจากรถ เสิ่นเจียเหวินรีบเข้าไปพยุงฉินเฟยอย่างรวดเร็ว

อยากจะจินตนาการ ฉินเฟยสามารถจัดการกับลูกน้องสามสิบกว่าคนของหลิวโป๋ฮุ่ยจนนอนลงไปกองกับพื้น ก่อนหน้านี้เธอแค่คิดว่าฉินเฟยออกกำลังกายทุกวันเพราะเพิ่มสมรรถภาพและความแข็งแกร่งของร่างกายในส่วนที่ขาดหายไป

“ฉันไม่เป็นไร เธอนั่นแหละ อย่าทำให้ข้อเท้าได้รับบาดเจ็บอีก” ฉินเฟยส่ายหน้าและพูดออกมา

“รีบพิงฉันมาเร็วเข้า !” เสิ่นเจียเหวินมันจะแสดงออกอย่างอ่อนโยนกับคนภายนอก ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่แสดงออกอย่างแข็งกร้าว โดยเฉพาะเมื่อคนที่อยู่หน้าเธอนั้นเป็นผู้บังคับบัญชาระดับสูง

ทั้งสองพิงกันและเดินโซซัดโซเซเข้าไปในบ้าน ระหว่างทาง ผู้คนบนถนนชี้มาทางพวกเขาพร้อมกับซุบซิบนินทา

เกิดเรื่องยิ่งใหญ่ขนาดนี้ในชุมชน แม้พวกเขาไม่อยากให้แพร่งพรายออกไปก็คงยาก

เสิ่นเจียเหวินทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ส่วนฉินเฟยนั้นไม่มีผลอะไร เนื่องจากตัวเขาก็ไม่ใช่คนที่มีชื่อเสียงอะไรอยู่แล้ว

เสิ่นเจียเหวินมีอารมณ์ขี้เล่นอยู่ในใจ เม้มปากและพูดออกมาว่า “นายทำแบบนี้ มันทำให้ฉันลำบาก ฉันจะตอบแทนกับสิ่งที่นายทำอย่างไงดี ?”

“ฉันเองก็ไม่อยากทำให้เธอต้องลำบาก พวกเขาเข้ามาทุบตีฉัน จะให้ฉันอยู่เฉย ๆ และไม่ตอบโต้ มันก็ไม่ได้ไม่ใช่หรือไง ?” ฉินเฟยอธิบายออกอย่างช่วยไม่ได้

เมื่อคำพูดนั้นจบลง เสิ่นเจียเหวินกลอกตาขาวในทันที

ผู้ชายคนนี้พูดจากวนประสาทแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ให้ตนเองรู้สึกขอบคุณสักเล็กน้อยมันจะตายหรือไง ?

ฉินเฟยเองก็ไม่มีทางเลือกเช่นกัน ตามคำพูดที่เสิ่นเจียเหวินต้องการสื่อออกมา คำตอบที่ดีที่สุดของเขาคือการบอกให้เธอยอมอุทิศเรือนร่างให้ตนเอง ยอมยกร่างกายอันงดงามของเธอมาเป็นของเขา

แต่ตนเองไม่ใช่คนแบบนั้น !

เว้นแต่เสิ่นเจียเหวินจะยอมอุทิศตนให้เขาเอง !

ตลอดระยะทางที่เดินมา มือเล็ก ๆ คู่นั้นของเสิ่นเจียเหวินไม่เคยห่างจากฉินเฟยเลย เธอพยุงเขาอยู่ตลอดเวลา

และคนที่มีบุคลิกสดใสอย่างเธอ กลับเงียบและไม่พูดอะไรมาโดยตลอด

เห็นได้ชัดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ทำให้เสิ่นเจียเหวินรู้สึกละอายใจเป็นอย่างมาก ซาบซึ้งใจจนไม่อาจกลั้นไว้ !

กลับมาถึงบ้าน เธอให้ฉินเฟยนั่งลงบนโซฟาโดยห้ามขัดขืน จากนั้นก็รีบไปเทน้ำมาให้เขาดื่ม

ฉินเฟยรู้สึกสบายขึ้นมาหลังจากดื่มน้ำไปแล้วสองแก้ว

“ตามฉันมาที่ห้องนอน” เสิ่นเจียเหวินเองก็ดื่มน้ำไปแก้วหนึ่ง มองมายังโซฟาซึ่งฉินเฟยไม่กล้าเอนตัวลง หลังจากเห็นท่าทางที่อีกฝ่ายไม่กล้าเอนตัวลงมันก็ทำให้รู้สึกอึดอัดใจ เธอยืนขึ้นมา พูดพร้อมกับค่อย ๆ เดินเข้าไปในห้องนอนด้วยใบหน้าที่มีสีแดงเล็กน้อย

“เอ๋ ?” ฉินเฟยมองไปยังเสิ่นเจียเหวินด้วยความตกใจ

อะไรกัน ? ฉินเฟยกำลังจะถามออกมา แต่เสิ่นเจียเหวินเดินเข้าไปในห้องนอนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในใจเต็มไปด้วยความสงสัย ยืนขึ้นและเดินตามเข้าไป

แม้ก่อนหน้านี้จะเคยมาแล้วครั้งหนึ่ง และมีเหตุการณ์ที่ไม่ชัดเจนอยู่บ้าง แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่ฉินเฟยได้เข้ามาในห้องนอนของเสิ่นเจียเหวิน

ต่างจากสิ่งที่ฉินเฟยคิดไว้ ด้วยบุคลิกสดใสที่เสิ่นเจียเหวินแสดงออกมา เธอเป็นคนมีชีวิตชีวาและเต็มเปี่ยมไปด้วยความกล้า ห้องนอนของเธอควรจะเต็มไปด้วยสีสัน แต่นี่ห้องนอนของเธอกลับเต็มไปด้วยความอ่อนโยน ทำให้ผู้คนรู้สึกอบอุ่น สบายใจเมื่อได้เห็น สีสันเหล่านี้ช่างทำให้นุ่มนวลหัวใจ

แสงแดดจ้าภายนอกส่องผ่านผ้าม่านหนาสีชมพูอ่อน ทำให้ห้องนอนทั้งห้องเต็มไปด้วยโทนสีอบอุ่น

จากท่าทางของเสิ่นเจียเหวิน เธอต้องการให้ฉินเฟยนั่งลงตรงขอบเตียง เงยหน้าขึ้นมองผู้หญิงที่มีเสน่ห์ตรงหน้าเขาด้วยความสงสัย การที่เธอเรียกตนเองเข้ามาในห้องอย่างกะทันหันเช่นนี้มันหมายความว่าอย่างไร ?

ที่จริงฉินเฟยก็คาดเดาไว้ในใจ คงไม่ใช่……เธอคงไม่ได้รู้สึกขอบคุณตนเองจนยอมอุทิศตัวให้หรอกนะ ?

เมื่อคิดถึงตรงนี้ ในใจของฉินเฟยเต็มไปด้วยความยุ่งเหยิง ทำให้เขาไม่สามารถระงับความตื่นเต้นในใจได้ มันทำให้เขาหลุดลอยออกไปสุกขอบฟ้าไกล

“ถอดเสื้อผ้าออก” เมื่อเห็นฉินเฟยไม่สามารถปกปิดความปรารถนาในใจได้ เสิ่นเจียเหวินเข้ามายืนด้านหน้าของฉินเฟยและพูดออกมา

“เอ๋ ?” ฉินเฟยเงยหน้ามองสาวสวยตรงหน้าด้วยความตกใจ

มันทำให้เขาตกใจมากเหลือเกิน !

แต่ด้วยอุปนิสัยที่ตรงไปตรงมาของเสิ่นเจียเหวิน การที่จะบุกเข้ามาแบบนี้มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้

ในฐานะเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมในสายตาของคนอื่น ฉินเฟยพร้อมจะเป็นผู้ชายที่แท้จริงอยู่เสมอมา

แต่ความสุขนั้นมาเร็วเป็นอย่างมาก มันเกือบทำให้ฉินเฟยเป็นลมจนหมดสติไป

ชายและหญิงอยู่ในห้องเดียวกัน แถมยังเป็นห้องของผู้หญิง ทันทีที่เข้ามาฝ่ายหญิงก็บอกให้ถอดเสื้อผ้า นี่มันหมายความว่าอย่างไร ?

ขนาดขันทียังรู้เลย !

ฉินเฟยรู้สึกตื่นเต้น ทำให้ไม่สามารถปิดบังภาพที่เกิดขึ้นในหัวของเขาได้

ความตื่นเต้นในหัวใจของเขารุนแรงจนเกือบทำให้ฟ้าถล่ม หัวใจเต้นแรงไปถึงลำคอ หากไม่ใช่ว่าเสิ่นเจียเหวินได้รับบาดเจ็บที่เท้า ฉินเฟยคงดีใจจนพาเสิ่นเจียเหวินออกไปเต้นบัลเล่ต์เพื่อปรับเปลี่ยนบรรยากาศ

ขนาดเด็กโง่ยังรู้ว่าสิ่งที่เสิ่นเจียเหวินพูดออกมานั้นหมายความว่าอย่างไร

ฉินเฟยมองไปยังเสิ่นเจียเหวินด้วยความตื่นเต้นในสายตาซึ่งไม่สามารถปกปิดได้ ฉินเฟยได้กลิ่นหอมจากเรือนร่างของผู้หญิงอย่างชัดเจน กลิ่นหอมน่ารับประทาน ผ้าม่านในห้องถูกปิดแน่น กลิ่นหอมซึ่งเย้ายวนเหมือนไม่มีวันจางหายนั้นทำให้อะดรีนาลีนหลั่งไหลอย่างกะทันหัน

ฉินเฟยจ้องมองเสิ่นเจียเหวินด้วยความตกตะลึง ความหรูหราของคู่นั้นยิ่งแตกต่าง

ฉินเฟยจ้องมองเสิ่นเจียเหวินผู้งามหยาดเยิ้มซึ่งอยู่ตรงหน้าของเขาด้วยความปรารถนาอันแรงกล้า แม้ตนจะเป็นผู้ชายมีศักดิ์ศรี แต่เมื่อนึกถึงภาพของชายหญิงที่สานสัมพันธ์กันอย่างกลมกลืนซึ่งจะเกิดขึ้นเป็นความจริงในไม่ช้า เขาก็อดจะตื่นเต้นไม่ได้……

“นั่น……นั่นมันอะไร พวกเราจะไม่เร็วไปหน่อยเหรอ ? แต่เธอไม่ต้องห่วง ฉันสามารถรับได้ ที่จริงฉันเองก็เตรียมตัวไว้ตั้งแต่แรก แม้ว่าฉันจะเป็นคนยึดมั่นในหลักการ แต่ได้ฉันตัดสินใจเป็นผู้ชายของเธอไปแล้ว แม้ว่าความตรงไปตรงมาของเธอจะทำให้ฉันทำตัวไม่ถูกไปบ้าง แต่เรื่องแบบนี้มันดีกับทั้งฉันและเธอ มันสามารถยอมรับได้ แต่การที่พวกเราตรงไปตรงมาเช่นนี้มันเร็วเกินไป ช้ากว่านี้สักหน่อยได้ไหม……” เมื่อเห็นเสิ่นเจียเหวินผู้มีเสน่ห์และโตเป็นผู้ใหญ่อยู่ด้านหน้าของเขา ฉินเฟยรู้สึกตื่นเต้นจนพูดอะไรไม่ถูกอยู่พักหนึ่ง

เนื่องจากนี่เป็นครั้งแรกของเขา หากบอกว่าไม่ตื่นเต้นก็คงเป็นเรื่องโกหก แต่อย่างน้อยพวกเราก็เป็นคนที่มีอารมณ์และความรู้สึก จะต้องทำอะไรให้มันช้ากว่านี้สักหน่อย ดำเนินไปทีละก้าว ทีละก้าว……

เสิ่นเจียเหวินจ้องมองฉินเฟยซึ่งมีท่าทางตื่นเต้นและยังพูดไม่จบอยู่บนเตียงด้วยความแปลกประหลาด ฉินเฟยพูดไม่รู้เรื่อง แต่แน่นอนเธอเข้าใจอย่างชัดเจนว่าคำพูดพวกนี้ของฉินเฟยนั้นหมายความว่าอะไร

อดทนให้ไม่ไล่ผู้ชายคนนี้ออกไป เสิ่นเจียเหวินขี้เกียจจะสนใจ ค่อย ๆ ย่อตัวลง

พระเจ้า ! ต้องคุกเข่าเลยงั้นหรือ ? !!

ดวงตาของฉินเฟยเบิกกว้าง จ้องมองไปยังเสิ่นเจียเหวินที่กำลังคุกเข่าลงอย่างช้า ๆ มองไปที่ปากสีแดงเหมือนกับเชอร์รี่ของเธอ ฉินเฟยมีความสุขจนแทบหมดสติไป

ความสุขถาโถมเข้ามาอย่างรวดเร็ว พี่ยังไม่ทันตั้งตัวก็หน้ามืดไปแล้ว ร่างกายของฉันอยู่ที่นี่ เธอจะทำอะไรก็แล้วแต่เธอต้องการ……

“เอี๊ยด……” ในตอนนี้ ฉินเฟยได้ยินเสียงแปลก ๆ เกิดขึ้นบนหัวเตียง อดไม่ได้ที่จะเอียงศีรษะไปดู เขาสะดุ้ง เสิ่นเจียเหวินต้องการใช้อุปกรณ์เสริมอย่างนั้นเหรอ ?

แต่หลังจากนั้นไม่นานฉินเฟยก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ สิ่งที่เสิ่นเจียเหวินหยิบออกมาจากใต้เตียงไม่ใช่กล่องไอเท็มที่มีแส้หรือเทียน แต่เป็นชุดปฐมพยาบาล !

“ถอดเสื้อผ้าออกและนอนลงไป นายคิดอะไรของนายอยู่ ต่อให้นายคิดแบบนั้นนายคิดว่านายจะมีแรงทำมันอย่างนั้นเหรอ ? ให้ความร่วมมือหน่อย ฉันจะเช็ดแผลให้ !”

“เช็ด……เช็ดแผล ?” สมองของฉินเฟยแข็งทื่อ ฉินเฟยคิดแต่เรื่องว่าหลังจากนี้เขากับเสิ่นเจียเหวินจะเป็นอย่างไรต่อไป ตอนนี้สมองของเขายังเปลี่ยนความคิดกลับมาไม่ได้

“ถ้าเช็ดก็รีบถอดเสื้อและนอนลงไป หากไม่เช็ดก็ไม่เป็นไร !” เสิ่นเจียเหวินพูดออกมาอย่างไม่สบอารมณ์

“เช็ด แน่นอนว่าต้องเช็ด คนโง่เท่านั้นแหละที่ไม่เช็ด !” แม้ว่าผลลัพธ์จะต่างจากที่ตนเองคาดคิดเอาไว้อย่างมหาศาล แต่เมื่อคิดว่าตนเองได้นอนบนเตียงอันหอมหวนของเสิ่นเจียเหวิน แถมยังมีสาวสวยมาทำความสะอาดแผลให้ ฉินเฟยยังคงรู้สึกตื่นเต้นอยู่เล็กน้อย ไม่พูดอะไร รีบถอดเสื้อคอกลมออกทันที และนอนคว่ำลงไปบนเตียง

สาเหตุที่ฉินเฟยนอนคว่ำเพราะอาการบาดเจ็บที่หลังของเขานั้นรุนแรงกว่า ในระหว่างการต่อสู้ มือของเขาสามารถป้องกันการโจมตีมากมายที่อยู่ข้างหน้า แต่การลอบโจมตีจากด้านหลัง ต่อให้สัมผัสได้ก็ยากจะป้องกันไว้ทั้งหมด คาดว่าหลังของตนเองคงระบมและเกิดรอยช้ำขนาดใหญ่

ฉินเฟยซึ่งนอนอยู่บนเตียงอย่างสบายเห็นว่าเสิ่นเจียเหวินซึ่งอยู่ด้านหลังของเขาไม่ส่งเสียงแต่อย่างใด จึงอดไม่ได้ที่จะหันกลับมาดู เขาเห็นมือข้างหนึ่งของเสิ่นเจียเหวินถือยาและกำลังมองแผ่นหลังของตนเองด้วยความงุนงง กัดริมฝีปากแน่น น้ำตาคลอเบ้า

ฉินเฟยมองไม่เห็นแผ่นหลังของตนเอง แต่เสิ่นเจียเหวินมองเห็นมันอย่างชัดเจน ฉินเฟยมีรอยฟกช้ำและมีสีม่วงเป็นแถบ และมันก็ไม่ใช่รอยฟกช้ำธรรมดา เนื่องจากมีจุดเลือดสีดำไหลออกมาจากหลายแห่ง

“เธอคงไม่ได้กำลังรู้สึกซาบซึ้งใจอยู่ใช่ไหม ? ฮ่า ฮ่า เธอลองคิดให้ดีว่าควรขอบคุณฉันอย่างไร” ฉินเฟยแสร้งทำเป็นล้อเล่น

เสิ่นเจียเหวินผู้ซึ่งมีเสน่ห์และเข้ากับคนง่ายอยู่เสมอ จู่ ๆ ก็เริ่มร้องไห้ ทำให้เขารู้สึกไม่ชินกับมัน

เป็นอย่างที่คิด เมื่อเห็นท่าทางแห่งความภาคภูมิใจของฉินเฟย เสิ่นเจียเหวินกลอกตาขาวในทันที “ซาบซึ้งบ้าบออะไร ฉันแค่คิดว่านายนั้นช่างโง่เหลือเกิน ทะเลาะกับคนอื่นอย่างไงให้บาดเจ็บถึงขนาดนี้”

เห็นฉินเฟยต้องการตอบโต้ เสิ่นเจียเหวินก็ตะคอกออกไป “อยู่นิ่ง ๆ อย่าขยับ !”

พูดจบเธอก็ถอดรองเท้า ค่อย ๆ ก้าวขึ้นไปบนเตียง ขาที่เหมือนกับหยกของเธอคุกเข่าลงด้านข้างของฉินเฟย ในมือถือยาที่น้ำที่ไม่รู้จักชื่อ

ฉินเฟยเห็นเช่นนั้น ตัวของเขาสั่น “นั่นอะไร เบามือหน่อย ยานี่มันแสบหรือเปล่า ? หากแสบก็ลืมมันไปเสียเถอะ……”

ดวงตาของเสิ่นเจียเหวินจ้องเขม็งไปยังฉินเฟยที่จู่ ๆ ก็พูดมาก เบะปาก เธอรู้ว่าที่ฉินเฟยทำแบบนี้ก็เพราะต้องการบรรยากาศในห้องสงบลง

แค่รู้สึกตลกอยู่ในใจ ดังนั้นจึงไม่ตอบ เปิดขวดยาแล้วเทยาสีแดงลงไปโดยตรง

หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงร้องคร่ำครวญของฉินเฟยดังลั่นขึ้นมา “บ้าเอ๊ย แสบ มันแสบ……”

เสียงร้องของฉินเฟยครั้งนี้เป็นของจริง นี่คือความเป็นปวดอันแท้จริง ยาสีแดงให้ความรู้สึกเหมือนกรดกำมะถันที่กำลังกัดกร่อนผิวหนังของเขาโดยตรง !

เสิ่นเจียเหวินไม่สนใจเสียงร้องอันเจ็บปวดของฉินเฟย หยิบสำลีขึ้นมาด้วยมือเล็ก ๆ เช็ดไปรอบแผลของเขา “แสบก็ต้องทน ใครใช้ให้นายโง่ขนาดนี้ สู้ไม่ได้ไม่ก็ไม่รู้จักหนีหรือไง ?”

เมื่อถูกเสิ่นเจียเหวินพูดจาดูถูกถึงสามครั้ง ในที่สุดฉินเฟยก็รู้สึกรำคาญผู้หญิงคนนี้ เขาตอบโต้กลับมาด้วยความโกรธในทันที “ฉันมันห่วย ? ฉันมันไร้ประโยชน์ ? เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนั้นมันเกิดอะไรขึ้น ในตอนที่ฉันกำลังเดินเข้าประตูหมู่บ้านของเธออย่างช้า ๆ ทันใดนั้นมีเงาสีดำพุ่งเข้ามาหาฉันจากความมืด มือของเขาเหมือนกรงเล็บนกอินทรี ล็อกมาที่คอของฉัน ความเร็วนั้นเหมือนกับสายฟ้า มันจะต้องเป็นยอดฝีมือในหมู่ของยอดฝีมือ แต่ฉันเป็นคนไม่หวาดกลัวต่ออันตราย ด้วยการเบี่ยงตัวหลบอย่างสง่างาม การโจมตีที่สามารถเอาชีวิตของฉันได้เฉียบไปเพียง 0.01 มิลลิเมตร มันช่างเท่ระเบิด !”

ฉินเฟยพูดออกมาด้วยความตื่นเต้นจนน้ำลายกระเด็ดออกมา “เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนั้นมันน่าหวาดเสียวขนาดไหน หลังจากนั้น ชายฉกรรจ์สามสิบกว่าคนวิ่งออกมาเป็นแถวเดียวกัน มีชายฉกรรจ์สองคนถือมีดพร้ามาด้วย เธอเคยเห็นมีดพร้าไหม ? มันก็คือมีดที่สามารถผ่าคนออกเป็นสองท่อนได้ เธอรู้ไหมตอนนั้นฉันโหดเหี้ยมแค่ไหน ? ห๊ะ ? ฉันหยิบท่อนไม้บนพื้นขึ้นมาท่อนหนึ่งและเหวี่ยงมันอย่างบ้าระห่ำ ที่จริงฉันแกล้งทำเป็นหมู่ที่อ่อนแอเพื่อทำให้เสือตายใจ แกล้งอ่อนแอเธอเข้าใจหรือเปล่า ? ไม่ใช่ว่าฉันสู้พวกเขาไม่ได้ คิดว่าฉันเห็นเจ้าพวกสวะสามสิบกว่าคนนั้นอยู่ในสายตาอย่างนั้นเหรอ ? น่าขำสิ้นดี ! อย่างแรกฉันต้องการให้พวกเขาคลายความระมัดระวัง อย่างที่สอบคือฉันต้องการเล่นกับพวกเขา คนอย่างฉันมีกังฟูอยู่ในตัว !”

“เธอรู้จักมวยทหารไหม ? ฉันแค่แยบซ้าย แยบขวาอย่างละครั้ง เจ้าโง่พวกนั้นก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากร้องไห้กลับไปพาพ่อแม่ สุดท้ายเจ้าโง่พวกนั้นก็มาขอร้องให้ฉันเป็นอาจารย์ บ้าเอ๊ย นี่ช่างเป็นการดูถูกภาพลักษณ์ของฉันเหลือเกิน ตอนฉันยังเด็กมีนักบวชคนหนึ่งพูดกับฉันว่า ในอนาคต ชีวิตของฉันจะต้องไม่ธรรมดา ราวกับเป็นมังกรที่แท้จริง นักบวชผู้นั้นเห็นหน้าฉัน เขาคุกเข่าลงด้วยความตื่นเต้นและตะโกนว่า ให้ฉันตามเขาไปสร้างอำนาจใหม่ขึ้นมา จากนั้นกลายเป็นจักรพรรดิไปชั่วนิรันดร์ แต่ฉันปฏิเสธกลับไปอย่างไร้ความปรานี ฉันคิดว่าการเป็นจักรพรรดินั้นลำบาก แต่ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ฉันก็เป็นบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ เหมือนกับมังกรและนกฟีนิกซ์ จะยอมรับเจ้าโง่พวกนั้นเป็นศิษย์ได้อย่างไร เธอคิดว่าถูกไหม ?”

เสิ่นเจียเหวิน “……”

“นี่ สีหน้าของเธอมันคืออะไร ? เธออย่ามองสภาพที่จนตรอกของฉันในตอนนี้ ที่จริงฉันแค่แกล้ง ฉันเก่งกาจและพิเศษถึงขนาดนี้ หากดึงดูดความสนใจของผู้คนมากเกินไปมันก็ไม่ดี ฉันเป็นคนชอบถ่อมตัว สงบ ไม่ชอบให้ใครมารบกวน ฉันแกล้งจริง ๆ ฉันสู้กับเขาเหมือนกับการหยอกล้อ รอยเท้าที่หลังก็เป็นเพราะยอมให้พวกเขาเตะอย่างจงใจ แต่คนที่ยอดเยี่ยมอย่างฉันจะยอมแพ้ง่าย ๆ แบบนั้นได้อย่างไงจริงไหม ? ฉันจัดการคนที่เข้ามาลอบโจมตีจากด้านหลังด้วยการเตะสะบัดกลับมาเพียงครั้งเดียว เธอไม่เห็นด้วยซ้ำว่าลูกเตะของฉันนั้นมันสุดยอดแค่ไหน ท่านั้นเหมือนนายแบบในหนังสือไม่มีผิด หล่อ เท่ แถมยัง……โอ้ย แสบ มันแสบเหลือเกิน ไม่ไหวแล้ว ฉันทนไม่ไหวแล้ว……” โม้ออกมาจนถึงตอนสุดท้าย ฉินเฟยก็กรีดร้องออกมาอย่างช่วยไม่ได้

ผมเป็นเขย(ผู้ไม่ธรรมดา) บทที่ 78 เซียววี่ ?
“เมื่อกี้นายว่าอะไรฉัน ?” เสิ่นเจียเหวินเงยหน้าขึ้นทันที

หลิวโป๋ฮุ่ยที่ถูกเสิ่นเจียเหวินพูดใส่ถึงกับชะงักไป แม้ว่าจะรู้สึกหวาดกลัวในใจนิดหน่อย แต่เขาก็มั่นใจว่าเสิ่นเจียเหวินไม่มีทางกล้าทำอะไรเขา

ในตอนแรกเขากล้าลูบขาเธออย่างโจ่งแจ้ง ถ้าจะโกรธ ก็จะจากไปด้วยความโกรธ ในตอนนี้ ต่อหน้าคนมากมาย เขาจะไม่ยอมเสียหน้าเด็ดขาด

“แม่งเอ้ย….”

“ป๊าบ !”

หลิวโป๋ฮุ่ยยังไม่ทันพูดจบ มือของเสิ่นเจียเหวินก็คว้าคอเสื้อของเขาไว้ทันที เสียงตบดังสนั่นอย่างชัดเจน หลิวโป๋ฮุ่ยที่กำลังด่าอย่างลำพองหยุดลงทันทีทันใด ด้วยการตบอันรุนแรง ทำให้ใบหน้าอ้วน ๆ ของเขาถึงกับสั่นกระเพื่อม

หลิวโป๋ฮุ่ยโมโหแล้ว เขาคิดว่าผู้หญิงต่ำต้อยคนนี้บ้าไปแล้ว “แกกล้าตบฉันงั้นหรือ แก…..”

“ป๊าบ !”

เสิ่นเจียเหวินมีหน้าเย็นชา ไม่รอให้หลิวโป๋ฮุ่ยด่าจบ ง้างมือตบหน้าเขาอีกครั้ง แน่นอนว่าการการตบครั้งนี้ทำให้หลิวโป๋ฮุ่ยถึงกับมึนงง……

ฉินเฟยที่อยู่ข้าง ๆ ถึงกับตกใจเช่นกัน เรื่องเกิดขึ้นเร็วเกินไป เขาคิดไม่ถึงเลยว่าเสิ่นเจียเหวินจะลงมือ แถมตบด้วยความโหดเหี้ยมไม่มีความลังเล…..

หน้าทางเข้าที่ก่อนหน้านี้ส่งเสียงดังโหวกเหวก หลังจากเสียงตบดังขึ้นฉะฉานสองครั้ง จู่ ๆ ก็เงียบลงทันทีอย่างน่าแปลกประหลาด !

“ตบได้สวย !”

“คนเลว ๆ ที่ชอบใช้อำนาจข่มเหงผู้อื่นแบบนี้สมควรโดนตบ !”

ขณะนั้น เสียงที่ไม่รู้ว่าใครพูดก็ดังขึ้นจากข้างทาง มองเสิ่นเจียเหวินที่มีใบหน้างดงามด้วยแววตาชื่นชม ราวกับเห็นฮีโร่ในหมู่ผู้หญิง

มือน้อย ๆ ของเสิ่นเจียเหวินคว้าคอเสื้อหลิวโป๋ฮุ่ยเอาไว้ กัดริมฝีปากไว้แน่น !

เธอรู้ว่าการตบหลิวโป๋ฮุ่ยจะส่งผลอะไรตามมา ต่อให้คุณแม่ด่าเธอยังน้อยไป

แม่จะต้องมาลำบาก เพราะเกษียณไปแล้ว แต่เธอเพิ่งจะอายุห้าสิบกว่าปี จึงถูกจ้างกลับมาให้เป็นผู้จัดการภัตตาคารตระกูลหลิว

เรื่องนี้ไม่ต้องคิดยังรู้ได้ ว่าตำแหน่งการงานของแม่จะไม่ปลอดภัย

แต่สองฝ่ามือในวันนี้ เธอจำเป็นต้องตบ !

เพราะฉินเฟยช่วยเธอจึงทำให้มีปัญหากับหลิวโป๋ฮุ่ย ตอนนี้เขาได้รับการโต้กลับอันรุนแรงจากหลิวโป๋ฮุ่ย เธอไม่สามารถยืนอยู่เฉย ทำตัวออกห่าง

เพราะการขู่ของหลิวโป๋ฮุ่ยได้ !

ถ้าไม่ยืนอยู่ข้างเดียวกันกับฉินเฟย เธอคงต้องขอโทษคุณธรรมของตนเอง !

ครั้งนี้ไม่เพียงต้องตบเท่านั้น แต่ต้องตบอย่างรุนแรง !

เสิ่นเจียเหวินกัดริมฝีมือของตัวเองแน่น มือน้อย ๆ ที่ตบจนชาง้างออกอย่างโหดเหี้ยมอีกครั้ง

ฉินเฟยที่อยู่ข้าง ๆ รีบคว้าข้อมือของเธอไว้ทันที จากนั้นพูดกับเธอเบา ๆ ว่า “ช่างมันเถอะ”

เห็นเสิ่นเจียเหวินมองตน ฉินเฟยก็ยิ้มออกมาเบา ๆ ยื่นมือออกไปดึงมือของนางที่กำลังจับคอเสื้อของหลิวโป๋ฮุ่ยอยู่ “อย่าทำให้มือของตัวเองต้องสกปรกเลย”

ได้ยินคำพูดของฉินเฟย เสิ่นเจียเหวินถึงปล่อยมือออก

แค่สองฝ่ามือ แต่เหมือนว่าเธอจะหมดแรง ร่างกายโยกเล็กน้อย

ฉินเฟยยื่นมือไปโอบเธอ ไม่รู้ว่าเพราะความตื่นเต้นหรือเพราะความหวาดกลัวในใจ ร่างของเสิ่นเจียเหวินจึงสั่นเทา

ส่วนหลิวโป๋ฮุ่ยนั้น เขากลายเป็นไอ้โง่ตั้งแต่แรกแล้ว เมื่อเห็นว่าผู้หญิงบ้าคนนี้จะตบเขาอีก ต่อให้เขาโง่กว่านี้ก็คงไม่ร้องออกมา มันไม่ได้เหมือนหาเรื่องโดนตบหรอกหรือ ?

เหล่าบอดี้การ์ดอันธพาลที่นอนกองอยู่บนพื้น แม้ว่าหลายคนจะได้รับบาดเจ็บไม่น้อย แต่ก็ไม่ถึงขนาดว่าทั้งหมดจะลุกขึ้นมาไม่ได้ มีบอดี้การ์ดเจ็ดแปดคนลุกขึ้นอย่างโซเซ คิดจะพุ่งเข้าไปปกป้องหลิวโป๋ฮุ่ย แต่พอถูกฉินเฟยจ้องมา ก็ตกใจจนแทบหดหัวกลับไปไม่ทัน

“ปี๊ป่อ ปี๊ป่อ…..” ทันใดนั้นเอง ด้านนอกประตูก็มีเสียงของไซเรนดังขึ้น

คนที่มามุงดูอยู่รอบ ๆ ต่างแยกออก บางคนถึงขนาดเดินหนีไป เหล่าคนที่ชะโงกหน้าออกมาดูก็กลับเข้าไป เพราะกลัวว่าจะต้องซวยตามพวกเขาไปสอบปากคำที่สถานีตำรวจด้วย

ไม่ถึงครึ่งนาที ฉินเฟยก็มองเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจกว่าห้าสิบนายที่นำโดย เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน รีบตรงมาทางนี้ แน่นอนว่า ตั้งแต่ที่เขาต่อยตีกัน เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหมู่บ้านหรือไม่ก็คนในหมู่บ้านได้โทรเรียกตำรวจมาแล้ว

เรื่องเพิ่งจะเกิดขึ้นที่นี่ไม่ถึงสิบนาที แต่นับตั้งแต่ที่เจ้าหน้าที่ได้รับสายก็รีบวางแผนนำรถออกมาทันที ด้วยความรวดเร็ว เพียงสิบกว่านาทีรถตำรวจก็มาถึง

ฉินเฟยได้แต่ฝืนยิ้มในใจ ดูท่าบ่ายนี้เขาคงไปทำงานไม่ได้แล้ว

ไม่ถึงหนึ่งนาที สถานที่ต่อยตีทั้งหมดก็ถูกล้อมรอบเอาไว้แล้ว ในมือของเจ้าหน้าที่ทุกนายถือกระบองเอาไว้ และมีตำรวจติดอาวุธอีกยี่สิบนายที่ถือโล่และอุปกรณ์ป้องกันระเบิดเอาไว้

เพียงแต่สิ่งที่ทำให้เหล่าเจ้าหน้าที่ตกตะลึงก็คือ ที่นี่เกือบทั้งหมดมีแต่คนที่นอนทรมานอยู่บนพื้น ส่วนคนที่จัดการคนเหล่านี้…..หนีไปแล้วงั้นหรือ ?

แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาโล่งใจก็คือ แม้ว่าจะมีคนมากมายเกี่ยวข้องกับการต่อสู้ครั้งนี้ แต่ก็ไม่มีการใช้อาวุธเกิดขึ้น ย่อมไม่มีคนบาดเจ็บล้มตาย ถึงขนาดว่าแม้แต่เลือดหยดเดียวก็ไม่มี

“คนที่ได้รับบาดเจ็บหนักให้รีบหามขึ้นรถพยาบาล ไปจัดการได้ !” ทันใดนั้นเสียงของเจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงคนหนึ่งก็ดังขึ้น จากนั้นเหล่าผู้ที่สวมชุดตำรวจก็รีบเดินเข้ามาทางนี้ โดยมีเจ้าที่หญิงรูปร่างผอมสูงเป็นผู้ควบคุม

ฉินเฟยเงยหน้าขึ้น ไม่ใช่งุนงง แต่สีหน้ายังเกิดอาการตกตะลึง

เซียววี่ ?

เจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงคนนี้คือเซียววี่จริงๆ ฉินเฟยไม่มีทางดูคนผิด เพียงแค่เซียววี่ในตอนนี้ได้ละทิ้งเรื่องร่างอันสง่างามของเธอ และเปลี่ยนมาสวมเครื่องแบบตำรวจ มัดผมเปีย ใบหน้าที่งดงามเต็มไปด้วยความอาจหาญ ราวกับวีรสตรีคนหนึ่ง !

ข้างกาย ยังมีเจ้าหน้าที่ชายอีกสองคน นอกจาก เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหมู่บ้านสองคนแล้ว หนึ่งในนั้นยังมีชายสวมชุดสูท ที่ดูแล้วน่าจะเป็นหัวหน้า เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของหมู่บ้าน คอยเดินตามเซียววี่และพูดอะไรบางอย่างกับเธอ

หลังจากสิ้นเสียงของเซียววี่ เจ้าหน้าที่สิบกว่านายต่างก็ทยอยกันเดินเข้ามาหาเหล่าบอดี้การ์ดอันธพาลที่นอนร้องโอดครวญอยู่บนพื้น หาผู้ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส ก่อนจะรีบนำตัวไปบริเวณทางเข้าด้วยความคล่องแคล่ว

เซียววี่เดินออกมาข้างหน้า แววตาคมกริบกวาดสายตามองสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าอย่างรวดเร็ว จากนั้นขมวดคิ้วเล็กน้อย

เธอคิดเหมือนเจ้าหน้าที่คนอื่น ๆ ว่าคนที่ถูกทำร้ายล้วนอยู่ที่นี่ ส่วนคนที่ทำร้ายพวกเขาหนีไปแล้วงั้นหรือ ?

เซียววี่รีบหันไปหาหัวหน้า เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยด้วยความมึนงง “เกิดอะไรขึ้น ? คุณไม่ได้บอกว่าอีกฝ่ายยังไม่หนีไปไม่ใช่หรือ ?”

“คุณเจ้าหน้าที่ มาพอดีเลย รีบมาช่วยผมที พวกมันจะฆ่าผม…..” หัวหน้า เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยกำลังจะอธิบาย แต่หลิวโป๋ฮุ่ยกลับกรีดร้องออกมา ครั้งนี้เขาได้เจอกับผู้ช่วยชีวิตแล้ว แทบจะคลานเข้ามาหาเซียววี่

“ฆ่างั้นหรือ ? ใครจะฆ่านายกัน นายรู้จักคนที่จะฆ่าพวกนายงั้นหรือ ?” เซียววี่รีบถาม สีหน้าเย็นชา ไม่ได้มีความรู้สึกสงสารหลิวโป๋ฮุ่ยที่ถูกจัดการเหมือนหมูตรงหน้าเลยสักนิด ชัดเจนอยู่แล้วว่า เจ้าหมูอ้วนท้วมคนนี้ก็อยู่ในวงการต่อสู้เช่นกัน

“รู้จักสิ มันนั่นไง และยังมีผู้หญิงสารเลวที่อยู่ข้าง ๆ นั่นด้วย พวกมันไม่ได้แค่ทำร้ายผม แต่ยังจะฆ่าผมด้วย คุณเจ้าหน้าที่ คุณต้องรับผิดชอบแทนผมนะ” หลิวโป๋ฮุ่ยหวาดกลัวมาก พูดออกมาทั้งที่น้ำมูกน้ำตาไหล

เสิ่นเจียเหวินสีหน้าแปรเปลี่ยน สีหน้าเย็นชาแฝงไว้ด้วยความเดือดดาล เขาคิดไม่ถึงเลยว่าไอ้คนน่าสะอิดสะเอียนอย่างเขาจะไร้ยางอายได้ขนาดนี้ พูดบิดเบือนความจริง !

“นายอย่าพูดมั่ว ๆ ใครจะฆ่านายกัน ?” เสิ่นเจียเหวินพูดออกมา

“เงียบก่อน ยังคิดจะทะเลาะกันต่อหน้าเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกงั้นหรือ ? นี่เป็นการจัดการของเจ้าหน้าที่ !” เซียววี่เงยหน้ามองเสิ่นเจียเหวินที่พูดขึ้น จากนั้นสายตางดงามคู่นั้นก็จับจ้องไปที่ฉินเฟยที่อยู่ข้าง ๆ

จากนั้นเดินผ่านไปอย่างเป็นธรรมชาติ หันไปมองหัวหน้า เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยและถามว่า “สรุปแล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้น ?”

“เรื่องมีอยู่ว่า…..”

หัวหน้า เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเริ่มเล่า แต่สิ่งที่เขาเล่ากับความเป็นจริงนั้นยังต่างกันอยู่มาก

แต่ฉินเฟยไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้ สายตาคู่นั้นของเขาเอาแต่จ้องไปเซียววี่เขม็ง โดยเฉพาะเมื่อพบว่าเมื่อเซียววี่เหลือบมามองตนก็ละสายตาออกไป ทำให้เขาได้แต่มึนงง

เซียววี่ไม่รู้จักเขาแล้วงั้นหรือ ? หรือว่าศีรษะเธอถูกกระแทกจนความจำเสื่อม ?

แน่นอนว่าโอกาสของสองสิ่งนั้นแทบจะเป็นศูนย์ ถ้าอย่างนั้น คงบอกได้อย่างเดียว ว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงที่มีรูปร่าง ส่วนสูงหรือหน้าตาอยากตายคล้ายกับเซียววี่นี้ จะไม่ใช่เซียววี่ !

หัวหน้า เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยพูดด้วยความรวดเร็ว เพียงแค่สิบกว่าประโยคก็สามารถบอกเรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่ให้เข้าใจได้แล้ว

“ไม่ ไม่ใช่อย่างนั้น ผู้ชายคนนี้มาหาเรื่องเราเพราะความไม่พอใจ คนที่เป็นภัยต่อสังคมแบบนี้ต้องจับตัวเอาไว้” เมื่อได้ยินสิ่งที่หัวหน้า เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยพูด หลิวโป๋ฮุ่ยก็รีบตอบโต้อย่างรวดเร็ว

เจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงมองลึกลงไปในแววตาของฉินเฟย จากนั้นหันไปมองใบหน้าของหลิวโป๋ฮุ่ยที่เต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ คิ้วอันสวยงามขมวดขึ้นทันที

คำพูดนี้…..ทำไมฟังแล้วดูแปลก ๆ ล่ะ ?

ไม่ใช่แค่เจ้าหน้าที่ตำรวจหญิง เจ้าหน้าที่ตำรวจอีกสิบกว่าคนที่อยู่รอบ ๆ ต่างก็มีสีหน้าประหลาดใจ

“แค่เขาคนเดียวเห็นพวกเจ้าแล้วไม่พอใจงั้นหรือ ? จากนั้นเขาคนเดียวจัดการพวกนายทั้งสามสิบคน ?” เซนส์ผู้หญิงของเธอต่อต้านความแปลกประหลาดในใจไว้ เธอหันมามองหลิวโป๋ฮุ่ยและถามออกไป

ทันทีที่เสียงของเจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงหลุดออกมา เจ้าหน้าที่ตำรวจที่อยู่รอบ ๆ ต่างก็เสียงหัวเราะออกมา

กลุ่มคนหลายสิบคนถูกรุมทำร้าย ? เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้ยินเรื่องแบบนี้ !

“คุณเจ้าหน้าที่ อย่าไปฟังมันพูดไร้สาระเลย ก็เห็นกันอยู่ว่าเขาพาคนมารุมทำร้ายเพื่อนของฉัน เพื่อนฉันจึงไม่มีทางเลือกสวนกลับไป นี่เป็นการป้องกันตัว” เสิ่นเจียเหวินอธิบายด้วยความโมโห

เจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงเหลือบมองเสิ่นเจียเหวิน พยักหน้าเบา ๆ คำพูดของเสิ่นเจียเหวินคล้ายกับของหัวหน้า เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย

ชายหนุ่มคนหนึ่งรู้สึกไม่พอใจบอดี้การ์ดสามสิบคน จึงเกิดการต่อสู้กัน เรื่องแบบนี้มีแต่คนโง่เท่านั้นที่จะเชื่อ

“นำตัวไป !” เจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงชี้นิ้วไปที่หลิวโป๋ฮุ่ย จากนั้นสั่งการด้วยน้ำเสียงเย็นชา

เธอมองออก ว่าเจ้าอ้วนคนนี้คือผู้สั่งการของเหล่าบอดี้การ์ด และผู้ที่มีบอดี้การ์ดมากมายขนาดนี้ ย่อมมีตำแหน่งบางอย่างอยู่ในซงไห่แน่

คนแบบนี้คือพวกชอบมีปัญหา พูดคุยกับคนแบบนี้ไปก็ไม่เข้าใจ ต้องถามบอดี้การ์ดที่ถูกต่อยที่นี่ ถึงจะรู้ว่าแท้จริงแล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้น

“ปล่อยผมนะ ผมพูดดี ๆ ด้วยไม่ฟังกันเลยหรือ ? เธอรู้รึเปล่าว่าผมเป็นใคร ?” สายตามองเจ้าหน้าที่ตำรวจที่จะมานำตัวตนไป หลิวโป๋ฮุ่ยสะบัดมือออกอย่างแรง ใบหน้าที่ถูกทำร้ายเหมือนหมูจ้องเขม็งไปที่เจ้าหน้าที่ตำรวจหญิง

หลิวโป๋ฮุ่ยไม่หยุดรังแกคนอื่น เพราะความอวดดี เขาย่อมเคยติดต่อกับเจ้าหน้าที่ตำรวจมามาก บวกกับเขามีคนที่สำนักงานรักษาความปลอดภัยสาธารณะ ดังนั้นเขาพอจะรู้คำแก้ตัวอยู่บ้าง

อย่างที่หนึ่ง คือการใส่ร้าย !

อย่างที่สอง ต้องปฏิเสธ ต่อให้ตายก็ห้ามยอมรับ รอให้ถึงสำนักงานรักษาความปลอดภัยสาธารณะ ให้ทนายความของเขาออกหน้า พวกกับคนที่สำนักงานรักษาความปลอดภัยสาธารณะ ต่อให้เกิดปัญหาขึ้น ก็จะไม่เกิดเรื่องอะไรแน่ อย่างน้อยที่สุดก็คือใช้เงินแก้ปัญหา

แต่เขาคิดไม่ถึงว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงคนนี้จะไม่เกรงใจเขาแบบนี้ กล้าดียังไงพาเขาไปสำนักงานรักษาความปลอดภัยสาธารณะราวกับนักโทษ แล้วจะให้เขายอมไปได้ยังไง ?

“อ้อ คุณเป็นใครล่ะ ?” เจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงขมวดคิ้วเบา ๆ มองหลิวโป๋ฮุ่ย ใบหน้าอันงดงามแฝงไปด้วยความเยือกเย็น

ผมเป็นเขย(ผู้ไม่ธรรมดา) บทที่ 76 หยุดเขาไว้ !
แสงพระอาทิตย์ยามเช้าแสนอบอุ่น แม่น้ำในคูเมืองส่องประกายระยิบระยับ บนสะพานชิงฉือ หนุ่มสาวยืนมองหน้ากัน

ฉินเฟยเงยหน้ามองจางหานหาน ก่อนจะพบว่าจางหานหานก็กำลังมองมาที่ตน เมื่อรับรู้ได้ถึงการกระทำของตนเอง จางหานหานก็ค่อย ๆ ก้มหน้าลงและพูดว่า “ฉินเฟย เมื่อคืนวานฉันเพิ่งจะรู้จักชื่อของนาย มันคล้ายกับคนที่ฉันเคยรู้จักมาก่อน”

“งั้นหรือ ฉันก็บอกแล้วไง พวกเรามีโชคชะตาต่อกัน” ฉินเฟยหัวเราะฮิฮิ

แต่จางหานหานกลับส่ายหน้าเบา ๆ เงยหน้ามองฉินเฟยอย่างถี่ถ้วน “นายแน่ใจนะว่าไม่รู้จักฉัน ?”

“เอ๊ะ ?” ฉินเฟยแสร้งทำเป็นสับสน แต่ในใจกลับเกิดเสียงดัง ‘ตึกตัก’

ความเป็นจริงแล้ว ฉินเฟยไม่ได้มีความตั้งใจจะปิดบัง เพียงแค่รู้สึกว่าต่อให้ทั้งสองคนเคยรู้จักกันมาก่อน ก็ไม่ได้มีความหมายอะไร อีกทั้ง ตัวตนของเขาตอนนี้จะเปิดโปงไม่ได้ ถ้าเธอรู้เข้าอาจจะเกิดความวุ่นวายโดยไม่จำเป็นขึ้น

“ในเมื่อเป็นอย่างนี้ งั้นบัตรใบนี้ของคุณฉันคงรับไว้ไม่ได้” จางหานหานเกิดรู้สึกผิดหวังขึ้นในแววตา หยิบบัตรธนาคารออกมาจากเอว เป็นบัตรที่ฉินเฟยเคยยัดเยียดให้เธอมาก่อนหน้านี้

ในวันที่สอง จางหานหานไปที่ธนาคาร หลังจากตรวจสอบยอดเงินคงเหลือก็ตกใจ เมื่อพบว่าในนั้นมีเงินอยู่สามแสน !

แม้ว่าเงินก้อนนี้สำหรับเธอในแต่ก่อนจะไม่ได้มากมายเท่าไหร่นัก แต่สำหรับเธอในตอนนี้มันเป็นเงินจำนวนมหาศาลอย่างไม่ต้องสงสัย เธอไม่กล้าบอกเรื่องนี้กับคุณแม่ และยิ่งไม่กล้าบอกน้องชายของเธอด้วย ก็เพราะกลัวว่าพวกเขาจะนำเงินออกมาใช้ด้วยความโลภ

เธอไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องได้รับค่าตอบแทนเหล่านี้ พวกเขาเจอหน้ากันเพียงไม่กี่ครั้ง พูดคุยกันแทบจะนับครั้งได้

แม้ว่าเธอจะไม่เหลือเงินจริง ๆ แต่ก็ไม่สามารถรับไว้ได้

เห็นจางหานหานใช้สองมือยื่นบัตรธนาคารให้เขาอย่างเคารพ ฉินเฟยก็ไม่ได้รับไว้ ได้แต่หัวเราะพลางส่ายหน้าออกมาว่า “ฉันไม่ได้บอกว่าจะให้เธอสักหน่อย ฉันให้เธอยืมต่างหาก ”

“ถ้าอย่างนั้นทำไมนายถึงต้องให้ฉันยืมด้วย ?” จางหานหานถาม

ฉินเฟยถูกถามจนไม่รู้จะพูดยังไง จึงหัวเราะฮาฮาออกมาว่า “ไม่ใช่ก่อนหน้านี้บอกไปแล้วหรือ ว่าพวกเราสองคนมีโชคชะตาต้องกัน โชคชะตาเป็นสิ่งที่เงินทองไม่สามารถซื้อได้ ยิ่งกว่านั้น รอเธอมีเงินเมื่อไหร่ ค่อยเอามาคืนฉันก็พอ”

“อ้อ ฉันต้องไปทำงานแล้ว ไว้ค่อยมาดื่มชากันวันหลัง” ฉินเฟยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู พูดออกมาอย่างรีบร้อน ก่อนจะหยิบกระเป๋าวิ่งออกไป

“นาย…….” จางหานหานกำลังจะเอ่ยปาก เห็นฉินเฟยที่วิ่งออกไปโบกมือไปมา ทำให้คำพูดของเธอได้แต่ติดอยู่ในลำคอ

ในใจฉินเฟยเองก็รู้สึกประหม่าเช่นกัน เขาพูดไม่ออก ทำไมผู้หญิงสมัยนี้ถึงอยากรู้อยากเห็นขนาดนี้ มีคำถามอะไรจะต้องสาวไปจนถึงต้นถึงตอเลยหรือ ?

ฉินเฟยวิ่งมาจนถึงทางเลี้ยว เหลือบมองจางหานหานที่ยังคงยืนอยู่บนสะพาน มองตนมาจากที่ไกล ๆ แสงอาทิตย์อ่อน ๆ ส่องลงมาบนตัวของเธอ ดูสวยงามราวกับม้วนภาพ

จางหานหานเอาแต่มองฉินเฟย มองจนกระทั่งไม่เห็นเงาของเขาอีกจึงละสายตากลับมาอย่างเงียบ ๆ เธอกัดริมฝีปากเบา ๆ และพูดว่า “ขอบคุณนะ…..”

ผ่านร้านน้ำชาวินเยว่ ฉินเฟยค่อยถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก หยิบกระเป๋าขึ้นมาดู ก่อนจะพบว่ารองเท้าหนังถูกขัดทำความสะอาดมา แถมยังมีกลิ่นผงซักฟอกแบบพิเศษอยู่ด้วย

ในสังคมทุกวันนี้ แต่ละครัวเรือนจะใช้น้ำยาซักผ้าเกรดดี ผงซักฟอกอาจจะทำให้มือบาดเจ็บจึงไม่ค่อยมีคนใช้ แต่กลิ่นนี้ ฉินเฟยกลับคุ้นเคยมันเป็นอย่างดี

“นังเด็กนี่…..” ฉินเฟยหยิบรองเท้าหนังออกมา ปากบ่นพึมพำหาร้านซาลาเปานึ่งนั่ง

หลังจากกินข้าวเช้า ฉินเฟยก็ซื้อซาลาเปาไส้เนื้อมาอีกสองลูกใส่เข้าไปในแขน จากนั้นก็ซื้อน้ำเต้าหู้อีกหนึ่งแก้ว จึงค่อยส่งข้อความทางวีแชทไปให้ชิงอี้เจีย เมื่อเห็นเธอไม่ตอบกลับก็ไม่สนใจ คิดว่ารออีกสักพักให้ถึงหน้าประตูบ้านก่อนค่อยโทรอีกครั้งก็ยังไม่สาย ให้สาวสวยได้หลับพักผ่อน ยิ่งมีเนื้อมีหนัง พอมองก็ยิ่งเจริญตาไม่ใช่หรือ ?

ฉินเฟยเดินมาถึงหมู่บ้านหมิงเจียหุ้ย มองเห็นเสิ่นเจียเหวินอยู่ใต้ตึก ขณะที่กำลังจะยกโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาเสิ่นเจียเหวิน ทันใดนั้นเขาก็รับรู้ได้ถึงลมปราณอันตราย ร่างกายตื่นตระหนกขึ้นทันที เขาเงยหน้าขึ้น ภายในตึกที่ควรจะเงียบสงบ กลับมีเสียงฝีเท้าดัง ‘ตึกตัก’ ของชายหนุ่มสวมชุดสูทวิ่งออกมาหลายสิบคน

ตั้งแต่ที่ฉินเฟยเข้ามา เขาก็ถูกจับตามองไว้แล้ว จำนวนคนค่อย ๆ เพิ่มขึ้น กรูกันเข้ามาจากทุกทิศทุกทางล้อมรอบฉินเฟยเอาไว้ มองดูคร่าว ๆ น่าจะมีเกือบสามสิบคน

“เวรเอ้ย ฉันรู้อยู่แล้วว่าไอ้เด็กนี่กับเสิ่นเจียเหวินต้องมีความสัมพันธ์กันบางอย่าง แกตาบอด ไม่รู้จักตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงาตัวเอง คนอย่างแก กล้ามาไล่ตามผู้หญิงของฉันงั้นหรือ ?” คำพูดที่เต็มไปด้วยการเยาะเย้ยถากถางถูกคิดขึ้น

กลุ่มคนแยกตัวออก ร่างชายสวมชุดสูท หวีผมเงางามดุจสุนัขเลีย รูปร่างเหมือนสุนัขของหลิวโป๋ฮุ่ยเดินออกมาข้างหน้า

ราวกับว่าเขากำลังมองฉินเฟยอยู่ต่ำกว่า แววตาที่มองเต็มไปด้วยการดูถูกเหยียดหยาม มีแต่ความเย่อหยิ่ง ภายในแววตาที่มองฉินเฟยนอกจากการดูถูกแล้ว ที่มากกว่านั้นก็คือความเคียดแค้นและเกลียดชัง !

คุณชายสามแห่งตระกูลหลิวอันยิ่งใหญ่ กลับถูกลูกผู้หญิงสำส่อนที่ไหนไม่รู้มาต่อยได้ จะให้หลิวโป๋ฮุ่ยฝืนทนต่อไปได้ยังไง ?

ในสายตาของเขา ไม่มีใครปฏิเสธเขาได้ ! แต่เสิ่นเจียเหวินกลับปฏิเสธเขาครั้งแล้วครั้งเล่า แม้ว่าเขาจะโมโห แต่สิ่งที่ยิ่งทำให้เขาไม่พอใจ เขาที่ใช้เงินเพื่อแก้ปัญหามาโดยตลอด ไม่เคยถูกผู้หญิงคนไหนปฏิเสธเลยแม้แต่ครั้งเดียว

สำหรับเสิ่นเจียเหวิน แม้ว่าเธอจะมีหน้าตาที่ทั้งสวย ทั้งสดใหม่ แน่นอนว่าหลิวโป๋ฮุ่ยอยากได้เธอมาก แต่มันก็ไม่ถึงขนาดต้องได้มาให้ได้ เขาเพียงแค่ไม่อยากยอมรับความล้มเหลว โดยเฉพาะเรื่องหลับนอนกับผู้หญิง

แต่เมื่อคืนที่ผ่านมา ไอ้ลูกผู้หญิงสำส่อนตรงหน้ากลับต่อยหน้าเขา นี่ทำให้หลิวโป๋ฮุ่ยรู้สึกอัดอั้นไว้ด้วยความโกรธ และสาบานว่าจะต้องแก้แค้นคืนให้ได้

แต่หลิวโป๋ฮุ่ยนั้นฉลาด เขาเดาว่าเด็กคนนี้จะต้องกลัวเรื่องที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ และเดาว่าคงไม่กล้าไปทำงานแล้ว ดังนั้น หลังจากพิจารณาจึงตัดสินใจมาหาเสิ่นเจียเหวินเพื่อดักรอเขา แม้ว่าเขาจะขวางฉินเฟยไม่ได้ แต่ยังสามารถขวางเสิ่นเจียเหวินได้เสมอ

หลิวโป๋ฮุ่ยไม่รู้จักฉินเฟย และไม่รู้ว่าเขาชื่อว่าอะไร กลับกัน เขาสามารถรู้ว่าไอ้ลูกผู้หญิงสำส่อนเมื่อคืนวานคนนั้นเป็นใครจากเสิ่นเจียเหวิน

ทีแรกเขายังโกรธและคิดว่า เมื่อคืนวานฉินเฟยจะไปได้กับเสิ่นเจียเหวินแล้วหรือไม่ คิดในใจว่า ถ้าหากทั้งสองคนเดินลงตึกไปด้วยกันล่ะก็ เขาจะทำให้แขนขาของไอ้ลูกผู้หญิงสำส่อนนี้พิการเสีย !

แต่เขาจะไม่รอจนทั้งสองคนเดินลงจากตึก และไม่ได้รอให้เสิ่นเจียเหวินลงมาเช่นกัน แต่จะรอให้ฉินเฟยมาหาเธอที่บ้านด้วยตนเอง และ…….

หลิวโป๋ฮุ่ยขมวดคิ้ว มองน้ำเต้าหู้ที่อยู่ในมือของฉินเฟย จากนั้นหัวเราะออกมาเหมือนกับหมู “ฮาฮา ไอ้ขอทาน นายอย่าทำให้ผู้ชายต้องขายขี้หน้าแบบนี้ได้ไหม มาส่งข้าวเช้าให้ผู้หญิงด้วยน้ำเต้าหู้แก้วเดียวเนี่ยนะ ?”

ฉินเฟยมองเหล่าอันธพาลที่อยู่รอบ ๆ ด้วยความระมัดระวัง เมื่อเห็นว่าหลิวโป๋ฮุ่ยทำตัวลำพอง คำพูดเหน็บแนมเมื่อครู่ทำให้เขาต้องขมวดคิ้ว ในใจคิดว่าที่แขนของเขายังมีซาลาเปาไส้เนื้ออยู่อีกตั้งสองลูก

“เสิ่นเจียเหวินไม่มีทางชอบคนอย่างนายหรอก ฉันแนะนำว่าให้นายออกห่างจากเธอหน่อยจะดีกว่า” เส้นประสาททั้งตัวฉินเฟยถึงกับกระตุกขึ้น

“นายแนะนำฉัน ?” หลิวโป๋ฮุ่ยราวกับว่าได้ยินประโยคที่ตลกที่สุด ชี้นิ้วมาที่ตัวเอง ใบหน้าอ้วนท้วมเต็มไปด้วยรอยยิ้ม หัวอ้วน ๆ ดูราวกับหัวหมูที่ถูกตัดปากออก

เขาหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง พลางมองบอดี้การ์ดที่อยู่รอบ ๆ “พวกนายได้ยินรึเปล่า ? มันกำลังบอกให้ฉันออกห่างจากผู้หญิงของฉัน มันกำลังขู่ฉันงั้นหรือ ? ฮาฮา…..”

“ฮาฮา…..” หลิวโป๋ฮุ่ยหัวเราะขึ้น บอดี้การ์ดที่อยู่รอบ ๆ ต่างก็หัวเราะตาม

“ปัง !”

“อ๊าก–”

ในขณะที่หลิวโป๋ฮุ่ยและเหล่าบอดี้การ์ดกำลังหัวเราะอยู่นั้น ฉินเฟยก็ลงมือทันที ขณะที่อยู่นิ่ง ๆ เขาดูเหมือนกับภูเขา แต่เมื่อขยับท่วงท่ากลับว่องไวเหมือนกระต่าย !

เขาสะบัดน้ำเต้าหู้ที่อยู่ในมือไปเข้าใส่หัวหมูของหลิวโป๋ฮุ่ยจนแก้วแตกออก ทันใดนั้นน้ำเต้าหู้ร้อน ๆ ก็หกรดบนใบหน้าหลิวโป๋ฮุ่ย และเสียงร้องทุกข์ทรมานเหมือนหมูของเขาก็ตามมา…..

ต่อให้หลิวโป๋ฮุ่ยคิดจนหัวระเบิดก็คาดไม่ถึงว่าฉินเฟยในตอนนี้จะกล้าลงมือก่อน ตามบทแล้ว เขาควรจะเป็นไอ้ลูกผู้หญิงสำส่อนที่ไม่รู้จักกาลเทศะ หลังจากที่ได้เห็นฉากที่อยู่ตรงหน้า จะต้องรีบนั่งคุกเข่าร้องขอความเมตตา แต่เขาจะใช้เท้าเหยียบลงไปบนใบหน้า ถ่มน้ำลายใส่หน้าเขาอย่างเหยียดหยาม !

พริบตาเดียว ขณะที่ฉินเฟยขว้างน้ำเต้าหู้มา เขาใช้แรงสะกิดเท้าก้าวพุ่งออกไปข้างหน้า ทะยานตามน้ำเต้าหู้ไปราวกับเงา……

“ปัง !”

เสียงร้องอันเจ็บปวดของหลิวโป๋ฮุ่ยดังขึ้น ฝ่าเท้าขนาดใหญ่ถีบลงไปบนท้องอ้วน ๆ ของเขาอย่างโหดเหี้ยม หลิวโป๋ฮุ่ย ร้องออกมาเสียงดัง ‘อั่ก’ ร่างกระเด็นออกไปราวกับลูกบอล !

ถีบออกไปอีกครั้ง !

บอดี้การ์ดที่อยู่รอบ ๆ ต่างก็ตกตะลึง ไม่ใช่แค่หลิวโป๋ฮุ่ย แม้แต่พวกเขาเองก็ไม่คิดว่าฉินเฟยจะกล้าลงมือ !

พวกเขามีกันเกือบสามสิบคน แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้เป็นยอดฝีมือระดับสูง แต่ก็เป็นบอดี้การ์ดที่ตระกูลหลิวว่าจ้างมา แต่ละคนมีฝีมือที่ไม่ธรรมดา ต่อให้แชมป์ศิลปะการต่อสู้มายืนอยู่ตรงหน้าก็ยังไม่กล้าลงมือด้วยซ้ำ !

แต่ฉินเฟยกลับกล้าลงมือ !

อีกทั้งการเคลื่อนไหวยังรวดเร็ว ฉวยโอกาสที่บอดี้การ์ดรอบ ๆ กำลังมึนงง เขาถีบออกไปอีกสองครั้ง โดยในทุก ๆ ครั้งทั้งรวดเร็วและรุนแรง เสียงกรีดร้องอันน่าเวทนาดังขึ้น มีคนอีกสองคนกระเด็นออกไป กระแทกเข้ากับถังขณะบริเวณทางเข้าที่อยู่ไม่ไกล คนหนึ่งส่งเสียงคร่ำครวญนอนกองอยู่บนพื้น ส่วนอีกคนสลบไปโดยไม่มีแม้แต่เสียงร้อง

ฉินเฟยรู้ว่าหลิวโป๋ฮุ่ยไม่มีทางปล่อยตนไปง่าย ๆ วันนี้จะต้องเกิดการต่อสู้อันดุเดือดขึ้น เขาลงมือด้วยความโหดเหี้ยม จัดการหลิวโป๋ฮุ่ยจนหัวคะมำ และใช้ประโยชน์จากการที่พวกเขาไม่ทันได้เตรียมตัว จัดการอีกสองคนล้มลง

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับบอดี้การ์ดที่มีฝีมือไม่ธรรมดา ฉินเฟยเองก็ไม่มั่นใจนัก แต่ใช่ว่าจะไม่มีทางต่อสู้

จริงๆ อยู่ที่เขากำลังเผชิญหน้ากับบอดี้การ์ดสามสิบคน แต่ในขณะเดียวกัน พวกเขาทั้งสามสิบคนก็ไม่ได้ลงมือพร้อมกัน หรือก็คือ พวกเขาแทบจะไม่มีทางแทรกเข้ามาได้ ! ไอรีนโนเวล

นี่คือจุดที่ฉินเฟยจะใช้ประโยชน์ ! ความมั่นใจของเขาก็คือพลังของเขาเอง ! ในตอนนี้เขาเกือบจะเป็นนักบู๊ขั้นสูงสุดแล้ว แม้ว่าในมือของเขาจะไม่มีดาบเสวี่ยอิ่น แต่จากการฝึกฝนร่างกายในช่วงที่ผ่านมานี้รวมถึงการฝึกฝนร่างกายของดาบเสวี่ยอิ่น เขาในตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพลังหรือความเร็ว ล้วนมาถึงระดับนักบู๊ขั้นยอดสูงสุดแล้ว

เหตุผลที่พูดอย่างนี้นั้นง่ายมาก จริง ๆ แล้วระดับนักบู๊ของฉินเฟยนั้นอ่อนแอ เพราะการเพิ่มพลังของยาเชื่อมสวรรค์ ทำให้เขามีระดับพลังอยู่ แต่ไม่มีพลังอยู่ในนั้นจริง ๆ

แต่ในตอนนี้ไม่เหมือนเดิม ฉินเฟยรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย เขาคิดที่จะลองดูว่าสรุปแล้วตอนนี้ตนเองแข็งแกร่งแค่ไหน !

“จัดการมัน !”

“พวกแก ขยะทั้งหลาย จัดการมัน จัดการมันซะ มีปัญหาอะไรฉันจัดการเอง ใครที่หักแขนขามันมาได้หนึ่งข้าง ฉันจะให้แสนนึง !” ไม่ไกลจากตรงนั้น หลิวโป๋ฮุ่ยกำลังกุมท้องของตัวเองเอาไว้ เพราะความเจ็บปวดทำให้มีเหงื่อออกบนใบหน้าและร่างกาย สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความโกรธและความแค้น ร้องตะโกนออกมาพลางชี้ไปที่ฉินเฟย

หมัดมั่ว ๆ ก็สังหารปรมาจารย์ได้ คนจำนวนมากจู่โจมพร้อมกัน ต่อให้ฉินเฟยจะแข็งแกร่งแค่ไหนก็ไม่มีทางไม่ได้รับบาดเจ็บ นอกจากนี้ ฉินเฟยในตอนนี้ยังไม่ถือว่าเป็นระดับปรมาจารย์เลยด้วยซ้ำ !

“ปัง !”

หมัดหนึ่งของบอดี้การ์ดพุ่งเข้ากระแทกหลังของฉินเฟย ฉินเฟยสบถออกมา ร่างกายสั่นไหวเล็กน้อย แต่ร่างกายของบอดี้การ์ดที่เพิ่งโจมตีมาเมื่อครู่ถึงกับชะงัก กำปั้นได้รับบาดเจ็บ ราวกับหมัดเมื่อสักครู่ชกเข้ากับแผ่นเหล็กหนา เขาเงยหน้าขึ้นทันที สีหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจ

ในขณะนั้นเอง แววตาของฉินเฟยก็เกิดประกาย รู้สึกถึงลมที่พัดเข้ามาในหู ศีรษะหันไปอย่างรวดเร็ว หมัดที่ก่อนหน้านี้ควรจะกระแทกเข้าที่หัวของเขา กลับกระแทกไปที่ไหล่ของเขาแทน ฉินเฟยลงมือด้วยความรวดเร็ว ใช้ประโยชน์จากหมัดของอีกฝ่าย ส่งพลังผ่านไหล่ของตัวเอง โยนอีกฝ่ายข้ามหัวไปด้านหลังเข้ากระแทกร่างของบอดี้การ์ดรอบ ๆ สี่ห้าคน

เพียงพริบตาเดียว ฉินเฟยได้จัดการอีกฝ่ายไปแล้วหลายคน

ฉินเฟยตอนนี้เริ่มมีความกล้า วินาทีนั้นพวกเขาถึงกับต้องหยุดชะงัก เพราะการขว้างของฉินเฟย ทำให้รอบตัวเขาเกิดช่องว่างขึ้น เขาถีบบอดี้การ์ดลอยออกไปอีกสองคน บอดี้การ์ดด้านหลังกลัวว่าจะได้รับลูกหลง ต่างก็ค่อย ๆ หลบออกด้านข้าง

ฉินเฟยหันศีรษะไปทันที ใช้สายตาอันเย็นชามองหลิวโป๋ฮุ่ยที่นั่งสั่งการบอดี้การ์ดอยู่บนพื้น

หลิวโป๋ฮุ่ยร่างแข็งทื่อ ราวกับว่าตนเองกำลังถูกสัตว์ร้ายจ้องมอง ขนบนตัวลุกซู่

“จัดการมัน จัดการมันสิ พวกแก ไอ้พวกขยะ หยุดมันไว้ !”

ผมเป็นเขย(ผู้ไม่ธรรมดา) บทที่ 76 หยุดเขาไว้ !
แสงพระอาทิตย์ยามเช้าแสนอบอุ่น แม่น้ำในคูเมืองส่องประกายระยิบระยับ บนสะพานชิงฉือ หนุ่มสาวยืนมองหน้ากัน

ฉินเฟยเงยหน้ามองจางหานหาน ก่อนจะพบว่าจางหานหานก็กำลังมองมาที่ตน เมื่อรับรู้ได้ถึงการกระทำของตนเอง จางหานหานก็ค่อย ๆ ก้มหน้าลงและพูดว่า “ฉินเฟย เมื่อคืนวานฉันเพิ่งจะรู้จักชื่อของนาย มันคล้ายกับคนที่ฉันเคยรู้จักมาก่อน”

“งั้นหรือ ฉันก็บอกแล้วไง พวกเรามีโชคชะตาต่อกัน” ฉินเฟยหัวเราะฮิฮิ

แต่จางหานหานกลับส่ายหน้าเบา ๆ เงยหน้ามองฉินเฟยอย่างถี่ถ้วน “นายแน่ใจนะว่าไม่รู้จักฉัน ?”

“เอ๊ะ ?” ฉินเฟยแสร้งทำเป็นสับสน แต่ในใจกลับเกิดเสียงดัง ‘ตึกตัก’

ความเป็นจริงแล้ว ฉินเฟยไม่ได้มีความตั้งใจจะปิดบัง เพียงแค่รู้สึกว่าต่อให้ทั้งสองคนเคยรู้จักกันมาก่อน ก็ไม่ได้มีความหมายอะไร อีกทั้ง ตัวตนของเขาตอนนี้จะเปิดโปงไม่ได้ ถ้าเธอรู้เข้าอาจจะเกิดความวุ่นวายโดยไม่จำเป็นขึ้น

“ในเมื่อเป็นอย่างนี้ งั้นบัตรใบนี้ของคุณฉันคงรับไว้ไม่ได้” จางหานหานเกิดรู้สึกผิดหวังขึ้นในแววตา หยิบบัตรธนาคารออกมาจากเอว เป็นบัตรที่ฉินเฟยเคยยัดเยียดให้เธอมาก่อนหน้านี้

ในวันที่สอง จางหานหานไปที่ธนาคาร หลังจากตรวจสอบยอดเงินคงเหลือก็ตกใจ เมื่อพบว่าในนั้นมีเงินอยู่สามแสน !

แม้ว่าเงินก้อนนี้สำหรับเธอในแต่ก่อนจะไม่ได้มากมายเท่าไหร่นัก แต่สำหรับเธอในตอนนี้มันเป็นเงินจำนวนมหาศาลอย่างไม่ต้องสงสัย เธอไม่กล้าบอกเรื่องนี้กับคุณแม่ และยิ่งไม่กล้าบอกน้องชายของเธอด้วย ก็เพราะกลัวว่าพวกเขาจะนำเงินออกมาใช้ด้วยความโลภ

เธอไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องได้รับค่าตอบแทนเหล่านี้ พวกเขาเจอหน้ากันเพียงไม่กี่ครั้ง พูดคุยกันแทบจะนับครั้งได้

แม้ว่าเธอจะไม่เหลือเงินจริง ๆ แต่ก็ไม่สามารถรับไว้ได้

เห็นจางหานหานใช้สองมือยื่นบัตรธนาคารให้เขาอย่างเคารพ ฉินเฟยก็ไม่ได้รับไว้ ได้แต่หัวเราะพลางส่ายหน้าออกมาว่า “ฉันไม่ได้บอกว่าจะให้เธอสักหน่อย ฉันให้เธอยืมต่างหาก ”

“ถ้าอย่างนั้นทำไมนายถึงต้องให้ฉันยืมด้วย ?” จางหานหานถาม

ฉินเฟยถูกถามจนไม่รู้จะพูดยังไง จึงหัวเราะฮาฮาออกมาว่า “ไม่ใช่ก่อนหน้านี้บอกไปแล้วหรือ ว่าพวกเราสองคนมีโชคชะตาต้องกัน โชคชะตาเป็นสิ่งที่เงินทองไม่สามารถซื้อได้ ยิ่งกว่านั้น รอเธอมีเงินเมื่อไหร่ ค่อยเอามาคืนฉันก็พอ”

“อ้อ ฉันต้องไปทำงานแล้ว ไว้ค่อยมาดื่มชากันวันหลัง” ฉินเฟยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู พูดออกมาอย่างรีบร้อน ก่อนจะหยิบกระเป๋าวิ่งออกไป

“นาย…….” จางหานหานกำลังจะเอ่ยปาก เห็นฉินเฟยที่วิ่งออกไปโบกมือไปมา ทำให้คำพูดของเธอได้แต่ติดอยู่ในลำคอ

ในใจฉินเฟยเองก็รู้สึกประหม่าเช่นกัน เขาพูดไม่ออก ทำไมผู้หญิงสมัยนี้ถึงอยากรู้อยากเห็นขนาดนี้ มีคำถามอะไรจะต้องสาวไปจนถึงต้นถึงตอเลยหรือ ?

ฉินเฟยวิ่งมาจนถึงทางเลี้ยว เหลือบมองจางหานหานที่ยังคงยืนอยู่บนสะพาน มองตนมาจากที่ไกล ๆ แสงอาทิตย์อ่อน ๆ ส่องลงมาบนตัวของเธอ ดูสวยงามราวกับม้วนภาพ

จางหานหานเอาแต่มองฉินเฟย มองจนกระทั่งไม่เห็นเงาของเขาอีกจึงละสายตากลับมาอย่างเงียบ ๆ เธอกัดริมฝีปากเบา ๆ และพูดว่า “ขอบคุณนะ…..”

ผ่านร้านน้ำชาวินเยว่ ฉินเฟยค่อยถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก หยิบกระเป๋าขึ้นมาดู ก่อนจะพบว่ารองเท้าหนังถูกขัดทำความสะอาดมา แถมยังมีกลิ่นผงซักฟอกแบบพิเศษอยู่ด้วย

ในสังคมทุกวันนี้ แต่ละครัวเรือนจะใช้น้ำยาซักผ้าเกรดดี ผงซักฟอกอาจจะทำให้มือบาดเจ็บจึงไม่ค่อยมีคนใช้ แต่กลิ่นนี้ ฉินเฟยกลับคุ้นเคยมันเป็นอย่างดี

“นังเด็กนี่…..” ฉินเฟยหยิบรองเท้าหนังออกมา ปากบ่นพึมพำหาร้านซาลาเปานึ่งนั่ง

หลังจากกินข้าวเช้า ฉินเฟยก็ซื้อซาลาเปาไส้เนื้อมาอีกสองลูกใส่เข้าไปในแขน จากนั้นก็ซื้อน้ำเต้าหู้อีกหนึ่งแก้ว จึงค่อยส่งข้อความทางวีแชทไปให้ชิงอี้เจีย เมื่อเห็นเธอไม่ตอบกลับก็ไม่สนใจ คิดว่ารออีกสักพักให้ถึงหน้าประตูบ้านก่อนค่อยโทรอีกครั้งก็ยังไม่สาย ให้สาวสวยได้หลับพักผ่อน ยิ่งมีเนื้อมีหนัง พอมองก็ยิ่งเจริญตาไม่ใช่หรือ ?

ฉินเฟยเดินมาถึงหมู่บ้านหมิงเจียหุ้ย มองเห็นเสิ่นเจียเหวินอยู่ใต้ตึก ขณะที่กำลังจะยกโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาเสิ่นเจียเหวิน ทันใดนั้นเขาก็รับรู้ได้ถึงลมปราณอันตราย ร่างกายตื่นตระหนกขึ้นทันที เขาเงยหน้าขึ้น ภายในตึกที่ควรจะเงียบสงบ กลับมีเสียงฝีเท้าดัง ‘ตึกตัก’ ของชายหนุ่มสวมชุดสูทวิ่งออกมาหลายสิบคน

ตั้งแต่ที่ฉินเฟยเข้ามา เขาก็ถูกจับตามองไว้แล้ว จำนวนคนค่อย ๆ เพิ่มขึ้น กรูกันเข้ามาจากทุกทิศทุกทางล้อมรอบฉินเฟยเอาไว้ มองดูคร่าว ๆ น่าจะมีเกือบสามสิบคน

“เวรเอ้ย ฉันรู้อยู่แล้วว่าไอ้เด็กนี่กับเสิ่นเจียเหวินต้องมีความสัมพันธ์กันบางอย่าง แกตาบอด ไม่รู้จักตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงาตัวเอง คนอย่างแก กล้ามาไล่ตามผู้หญิงของฉันงั้นหรือ ?” คำพูดที่เต็มไปด้วยการเยาะเย้ยถากถางถูกคิดขึ้น

กลุ่มคนแยกตัวออก ร่างชายสวมชุดสูท หวีผมเงางามดุจสุนัขเลีย รูปร่างเหมือนสุนัขของหลิวโป๋ฮุ่ยเดินออกมาข้างหน้า

ราวกับว่าเขากำลังมองฉินเฟยอยู่ต่ำกว่า แววตาที่มองเต็มไปด้วยการดูถูกเหยียดหยาม มีแต่ความเย่อหยิ่ง ภายในแววตาที่มองฉินเฟยนอกจากการดูถูกแล้ว ที่มากกว่านั้นก็คือความเคียดแค้นและเกลียดชัง !

คุณชายสามแห่งตระกูลหลิวอันยิ่งใหญ่ กลับถูกลูกผู้หญิงสำส่อนที่ไหนไม่รู้มาต่อยได้ จะให้หลิวโป๋ฮุ่ยฝืนทนต่อไปได้ยังไง ?

ในสายตาของเขา ไม่มีใครปฏิเสธเขาได้ ! แต่เสิ่นเจียเหวินกลับปฏิเสธเขาครั้งแล้วครั้งเล่า แม้ว่าเขาจะโมโห แต่สิ่งที่ยิ่งทำให้เขาไม่พอใจ เขาที่ใช้เงินเพื่อแก้ปัญหามาโดยตลอด ไม่เคยถูกผู้หญิงคนไหนปฏิเสธเลยแม้แต่ครั้งเดียว

สำหรับเสิ่นเจียเหวิน แม้ว่าเธอจะมีหน้าตาที่ทั้งสวย ทั้งสดใหม่ แน่นอนว่าหลิวโป๋ฮุ่ยอยากได้เธอมาก แต่มันก็ไม่ถึงขนาดต้องได้มาให้ได้ เขาเพียงแค่ไม่อยากยอมรับความล้มเหลว โดยเฉพาะเรื่องหลับนอนกับผู้หญิง

แต่เมื่อคืนที่ผ่านมา ไอ้ลูกผู้หญิงสำส่อนตรงหน้ากลับต่อยหน้าเขา นี่ทำให้หลิวโป๋ฮุ่ยรู้สึกอัดอั้นไว้ด้วยความโกรธ และสาบานว่าจะต้องแก้แค้นคืนให้ได้

แต่หลิวโป๋ฮุ่ยนั้นฉลาด เขาเดาว่าเด็กคนนี้จะต้องกลัวเรื่องที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ และเดาว่าคงไม่กล้าไปทำงานแล้ว ดังนั้น หลังจากพิจารณาจึงตัดสินใจมาหาเสิ่นเจียเหวินเพื่อดักรอเขา แม้ว่าเขาจะขวางฉินเฟยไม่ได้ แต่ยังสามารถขวางเสิ่นเจียเหวินได้เสมอ

หลิวโป๋ฮุ่ยไม่รู้จักฉินเฟย และไม่รู้ว่าเขาชื่อว่าอะไร กลับกัน เขาสามารถรู้ว่าไอ้ลูกผู้หญิงสำส่อนเมื่อคืนวานคนนั้นเป็นใครจากเสิ่นเจียเหวิน

ทีแรกเขายังโกรธและคิดว่า เมื่อคืนวานฉินเฟยจะไปได้กับเสิ่นเจียเหวินแล้วหรือไม่ คิดในใจว่า ถ้าหากทั้งสองคนเดินลงตึกไปด้วยกันล่ะก็ เขาจะทำให้แขนขาของไอ้ลูกผู้หญิงสำส่อนนี้พิการเสีย !

แต่เขาจะไม่รอจนทั้งสองคนเดินลงจากตึก และไม่ได้รอให้เสิ่นเจียเหวินลงมาเช่นกัน แต่จะรอให้ฉินเฟยมาหาเธอที่บ้านด้วยตนเอง และ…….

หลิวโป๋ฮุ่ยขมวดคิ้ว มองน้ำเต้าหู้ที่อยู่ในมือของฉินเฟย จากนั้นหัวเราะออกมาเหมือนกับหมู “ฮาฮา ไอ้ขอทาน นายอย่าทำให้ผู้ชายต้องขายขี้หน้าแบบนี้ได้ไหม มาส่งข้าวเช้าให้ผู้หญิงด้วยน้ำเต้าหู้แก้วเดียวเนี่ยนะ ?”

ฉินเฟยมองเหล่าอันธพาลที่อยู่รอบ ๆ ด้วยความระมัดระวัง เมื่อเห็นว่าหลิวโป๋ฮุ่ยทำตัวลำพอง คำพูดเหน็บแนมเมื่อครู่ทำให้เขาต้องขมวดคิ้ว ในใจคิดว่าที่แขนของเขายังมีซาลาเปาไส้เนื้ออยู่อีกตั้งสองลูก

“เสิ่นเจียเหวินไม่มีทางชอบคนอย่างนายหรอก ฉันแนะนำว่าให้นายออกห่างจากเธอหน่อยจะดีกว่า” เส้นประสาททั้งตัวฉินเฟยถึงกับกระตุกขึ้น

“นายแนะนำฉัน ?” หลิวโป๋ฮุ่ยราวกับว่าได้ยินประโยคที่ตลกที่สุด ชี้นิ้วมาที่ตัวเอง ใบหน้าอ้วนท้วมเต็มไปด้วยรอยยิ้ม หัวอ้วน ๆ ดูราวกับหัวหมูที่ถูกตัดปากออก

เขาหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง พลางมองบอดี้การ์ดที่อยู่รอบ ๆ “พวกนายได้ยินรึเปล่า ? มันกำลังบอกให้ฉันออกห่างจากผู้หญิงของฉัน มันกำลังขู่ฉันงั้นหรือ ? ฮาฮา…..”

“ฮาฮา…..” หลิวโป๋ฮุ่ยหัวเราะขึ้น บอดี้การ์ดที่อยู่รอบ ๆ ต่างก็หัวเราะตาม

“ปัง !”

“อ๊าก–”

ในขณะที่หลิวโป๋ฮุ่ยและเหล่าบอดี้การ์ดกำลังหัวเราะอยู่นั้น ฉินเฟยก็ลงมือทันที ขณะที่อยู่นิ่ง ๆ เขาดูเหมือนกับภูเขา แต่เมื่อขยับท่วงท่ากลับว่องไวเหมือนกระต่าย !

เขาสะบัดน้ำเต้าหู้ที่อยู่ในมือไปเข้าใส่หัวหมูของหลิวโป๋ฮุ่ยจนแก้วแตกออก ทันใดนั้นน้ำเต้าหู้ร้อน ๆ ก็หกรดบนใบหน้าหลิวโป๋ฮุ่ย และเสียงร้องทุกข์ทรมานเหมือนหมูของเขาก็ตามมา…..

ต่อให้หลิวโป๋ฮุ่ยคิดจนหัวระเบิดก็คาดไม่ถึงว่าฉินเฟยในตอนนี้จะกล้าลงมือก่อน ตามบทแล้ว เขาควรจะเป็นไอ้ลูกผู้หญิงสำส่อนที่ไม่รู้จักกาลเทศะ หลังจากที่ได้เห็นฉากที่อยู่ตรงหน้า จะต้องรีบนั่งคุกเข่าร้องขอความเมตตา แต่เขาจะใช้เท้าเหยียบลงไปบนใบหน้า ถ่มน้ำลายใส่หน้าเขาอย่างเหยียดหยาม !

พริบตาเดียว ขณะที่ฉินเฟยขว้างน้ำเต้าหู้มา เขาใช้แรงสะกิดเท้าก้าวพุ่งออกไปข้างหน้า ทะยานตามน้ำเต้าหู้ไปราวกับเงา……

“ปัง !”

เสียงร้องอันเจ็บปวดของหลิวโป๋ฮุ่ยดังขึ้น ฝ่าเท้าขนาดใหญ่ถีบลงไปบนท้องอ้วน ๆ ของเขาอย่างโหดเหี้ยม หลิวโป๋ฮุ่ย ร้องออกมาเสียงดัง ‘อั่ก’ ร่างกระเด็นออกไปราวกับลูกบอล !

ถีบออกไปอีกครั้ง !

บอดี้การ์ดที่อยู่รอบ ๆ ต่างก็ตกตะลึง ไม่ใช่แค่หลิวโป๋ฮุ่ย แม้แต่พวกเขาเองก็ไม่คิดว่าฉินเฟยจะกล้าลงมือ !

พวกเขามีกันเกือบสามสิบคน แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้เป็นยอดฝีมือระดับสูง แต่ก็เป็นบอดี้การ์ดที่ตระกูลหลิวว่าจ้างมา แต่ละคนมีฝีมือที่ไม่ธรรมดา ต่อให้แชมป์ศิลปะการต่อสู้มายืนอยู่ตรงหน้าก็ยังไม่กล้าลงมือด้วยซ้ำ !

แต่ฉินเฟยกลับกล้าลงมือ !

อีกทั้งการเคลื่อนไหวยังรวดเร็ว ฉวยโอกาสที่บอดี้การ์ดรอบ ๆ กำลังมึนงง เขาถีบออกไปอีกสองครั้ง โดยในทุก ๆ ครั้งทั้งรวดเร็วและรุนแรง เสียงกรีดร้องอันน่าเวทนาดังขึ้น มีคนอีกสองคนกระเด็นออกไป กระแทกเข้ากับถังขณะบริเวณทางเข้าที่อยู่ไม่ไกล คนหนึ่งส่งเสียงคร่ำครวญนอนกองอยู่บนพื้น ส่วนอีกคนสลบไปโดยไม่มีแม้แต่เสียงร้อง

ฉินเฟยรู้ว่าหลิวโป๋ฮุ่ยไม่มีทางปล่อยตนไปง่าย ๆ วันนี้จะต้องเกิดการต่อสู้อันดุเดือดขึ้น เขาลงมือด้วยความโหดเหี้ยม จัดการหลิวโป๋ฮุ่ยจนหัวคะมำ และใช้ประโยชน์จากการที่พวกเขาไม่ทันได้เตรียมตัว จัดการอีกสองคนล้มลง

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับบอดี้การ์ดที่มีฝีมือไม่ธรรมดา ฉินเฟยเองก็ไม่มั่นใจนัก แต่ใช่ว่าจะไม่มีทางต่อสู้

จริงๆ อยู่ที่เขากำลังเผชิญหน้ากับบอดี้การ์ดสามสิบคน แต่ในขณะเดียวกัน พวกเขาทั้งสามสิบคนก็ไม่ได้ลงมือพร้อมกัน หรือก็คือ พวกเขาแทบจะไม่มีทางแทรกเข้ามาได้ ! ไอรีนโนเวล

นี่คือจุดที่ฉินเฟยจะใช้ประโยชน์ ! ความมั่นใจของเขาก็คือพลังของเขาเอง ! ในตอนนี้เขาเกือบจะเป็นนักบู๊ขั้นสูงสุดแล้ว แม้ว่าในมือของเขาจะไม่มีดาบเสวี่ยอิ่น แต่จากการฝึกฝนร่างกายในช่วงที่ผ่านมานี้รวมถึงการฝึกฝนร่างกายของดาบเสวี่ยอิ่น เขาในตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพลังหรือความเร็ว ล้วนมาถึงระดับนักบู๊ขั้นยอดสูงสุดแล้ว

เหตุผลที่พูดอย่างนี้นั้นง่ายมาก จริง ๆ แล้วระดับนักบู๊ของฉินเฟยนั้นอ่อนแอ เพราะการเพิ่มพลังของยาเชื่อมสวรรค์ ทำให้เขามีระดับพลังอยู่ แต่ไม่มีพลังอยู่ในนั้นจริง ๆ

แต่ในตอนนี้ไม่เหมือนเดิม ฉินเฟยรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย เขาคิดที่จะลองดูว่าสรุปแล้วตอนนี้ตนเองแข็งแกร่งแค่ไหน !

“จัดการมัน !”

“พวกแก ขยะทั้งหลาย จัดการมัน จัดการมันซะ มีปัญหาอะไรฉันจัดการเอง ใครที่หักแขนขามันมาได้หนึ่งข้าง ฉันจะให้แสนนึง !” ไม่ไกลจากตรงนั้น หลิวโป๋ฮุ่ยกำลังกุมท้องของตัวเองเอาไว้ เพราะความเจ็บปวดทำให้มีเหงื่อออกบนใบหน้าและร่างกาย สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความโกรธและความแค้น ร้องตะโกนออกมาพลางชี้ไปที่ฉินเฟย

หมัดมั่ว ๆ ก็สังหารปรมาจารย์ได้ คนจำนวนมากจู่โจมพร้อมกัน ต่อให้ฉินเฟยจะแข็งแกร่งแค่ไหนก็ไม่มีทางไม่ได้รับบาดเจ็บ นอกจากนี้ ฉินเฟยในตอนนี้ยังไม่ถือว่าเป็นระดับปรมาจารย์เลยด้วยซ้ำ !

“ปัง !”

หมัดหนึ่งของบอดี้การ์ดพุ่งเข้ากระแทกหลังของฉินเฟย ฉินเฟยสบถออกมา ร่างกายสั่นไหวเล็กน้อย แต่ร่างกายของบอดี้การ์ดที่เพิ่งโจมตีมาเมื่อครู่ถึงกับชะงัก กำปั้นได้รับบาดเจ็บ ราวกับหมัดเมื่อสักครู่ชกเข้ากับแผ่นเหล็กหนา เขาเงยหน้าขึ้นทันที สีหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจ

ในขณะนั้นเอง แววตาของฉินเฟยก็เกิดประกาย รู้สึกถึงลมที่พัดเข้ามาในหู ศีรษะหันไปอย่างรวดเร็ว หมัดที่ก่อนหน้านี้ควรจะกระแทกเข้าที่หัวของเขา กลับกระแทกไปที่ไหล่ของเขาแทน ฉินเฟยลงมือด้วยความรวดเร็ว ใช้ประโยชน์จากหมัดของอีกฝ่าย ส่งพลังผ่านไหล่ของตัวเอง โยนอีกฝ่ายข้ามหัวไปด้านหลังเข้ากระแทกร่างของบอดี้การ์ดรอบ ๆ สี่ห้าคน

เพียงพริบตาเดียว ฉินเฟยได้จัดการอีกฝ่ายไปแล้วหลายคน

ฉินเฟยตอนนี้เริ่มมีความกล้า วินาทีนั้นพวกเขาถึงกับต้องหยุดชะงัก เพราะการขว้างของฉินเฟย ทำให้รอบตัวเขาเกิดช่องว่างขึ้น เขาถีบบอดี้การ์ดลอยออกไปอีกสองคน บอดี้การ์ดด้านหลังกลัวว่าจะได้รับลูกหลง ต่างก็ค่อย ๆ หลบออกด้านข้าง

ฉินเฟยหันศีรษะไปทันที ใช้สายตาอันเย็นชามองหลิวโป๋ฮุ่ยที่นั่งสั่งการบอดี้การ์ดอยู่บนพื้น

หลิวโป๋ฮุ่ยร่างแข็งทื่อ ราวกับว่าตนเองกำลังถูกสัตว์ร้ายจ้องมอง ขนบนตัวลุกซู่

“จัดการมัน จัดการมันสิ พวกแก ไอ้พวกขยะ หยุดมันไว้ !”

ผมเป็นเขย(ผู้ไม่ธรรมดา) บทที่75 ความหวั่นไหวจางหานหาน
“ผมเป็นแค่ลูกเขยที่ไร้ประโยชน์เองไม่ใช่หรอ?คุณคิดแบบนี้มาตลอด ผมก็คิดแบบนี้เหมือนกัน”

“นายทำอาหารเป็น ฝีมือการทำอาหารก็ดี หยิบจับอะไรก็คล่องแคล่ว อีกทั้งนายยังทำแผลได้อย่างชำนาญอีก ฉินเฟย นายบอกความจริงฉันมานะ เมื่อก่อนนายทำงานอะไรมาแน่ ฉันไม่เชื่อว่านายจะแค่จบมหาวิทยามาจากบ้านนอก มาอย่างนั้นทำไมนายถึงทำอะไรคล่องแคล่วแบบนี้ล่ะ?”เจียงเยว่ถงซักไซ้

นี่เป็นสิ่งที่เธอสงสัยมากที่สุด ในช่วงที่ผ่านมา ตอนนี้เธอเธอเริ่มมั่นใจแล้วว่า สิ่งที่พ่อของเธอพูดเป็นเรื่องจริง ฉินเฟยไม่เพียงแต่เป็นผู้ชายที่ดี แต่ยังไม่ใช่ผู้ชายธรรมดาอีกด้วย ลำพังแค่ความอดทนตลอดระยะเวลาสามปีที่ผ่านมา มันไม่ใช่ใครก็ทำได้!

จู่ๆเธอก็รู้สึกว่า ฉินเฟยเหมือนจะอ่อนแอกระทั่งดูเหมือนไร้ประโยชน์สิ่งเหล่านี้เป็นแค่เปลือก และพยายามซ่อนตัวตนที่แท้จริงของเขาเอาไว้

ลองคิดดูนะ คนที่จบมาจากมหาวิทยาลัยบ้านนอกจะมีฝีมือดีขนาดนี้ แม้ว่าเขาจะทำฟาร์มมากมายและมีพละกำลัง แต่เขาก็ไม่สามารถเอาชนะฮั่วจงเหยียนแชมป์ซ่านโฉ่วที่มีมายาวนานได้?

อีกจุดหนึ่งก็คือออร่าของเขา! เหตุผลที่ผู้ชายที่มีความมั่นใจมีเสน่ห์ เป็นเพราะอารมณ์ที่แตกต่างกัน และออร่าของฉินเฟยก็แปลกประหลาด เขาให้ความรู้สึกเหมือนเด็กที่เติบโตในครอบครัวใหญ่ สิ่งนี้ทำให้เธอนึกถึงพ่อแม่สามีที่เธอพบเมื่อสามปีที่แล้ว

ตอนนั้นแม่ของเธอดูถูกพ่อแม่สามีบ้านนอกมาก คนทั้งตระกูลเจียงก็เหมือนกัน แต่พ่อแม่สามีไม่เพียงแต่สวมเสื้อผ้าธรรมดา แม้ว่าพวกเขาจะไม่ขี้อาย แต่พวกเขาก็ประหยัดและเรียบง่ายมาก เหมือนคนที่มาจากชนบท แต่ท่าทางของพวกเขาดูไม่เหมือนคนชนบท

โดยเฉพาะแม่สามี ถึงแม้ว่าจะสวมเสื้อผ้าธรรมดาแต่กลับไม่สามารถบดบังความสง่างามของเธอได้ ผิวของเธอไม่แตกต่างจากแม่ของเธอที่บำรุงดูแลอย่างดีในทุกวัน ไม่เหมือนผู้หญิงที่โดยลมโดนแดด ทำงานอย่างหนักในหมู่บ้าน

เมื่อก่อนเจียงเยว่ถงไม่ได้คิดอะไรมาก ตอนนี้เมื่อปะติดปะต่อกันแล้ว ประกอบกับการแสดงออกของฉินเฟยในช่วงนี้ เธอค้นพบอย่างตกใจ เธอแต่งงานกับฉินเฟย ที่ไม่ใช่ครอบครัวธรรมดา!

โดยเฉพาะฉินเฟย จู่ๆตอนนี้เธอก็อยากรู้ว่าตกลงฉินเฟยเป็นคนยังไงกันแน่ เมื่อก่อนครอบครัวของเขาเป็นอย่างไร ก่อนหน้านี้เธอไม่เคยคิดว่าจะมีวันที่เธอรู้สึกแปลกใจกับฉินเฟย แต่ตอนนี้เธอกลับคาดหวังอยากรู้ทุกอย่างที่เกี่ยวกับฉินเฟย

ภายในระยะเวลาแค่สิบวัน ฉินเฟยก็ทำเรื่องมากมายให้เธอประหลาดใจ ในทุกเรื่องเมื่อก่อนเธอไม่เคยสังเกตเห็นเลย จู่ๆเจียงเยว่ถงก็พบว่าสามีที่อยู่ด้วยกันมาสามปีเป็นคนแปลกหน้าที่เธอไม่รู้จักเลยสักนิด

ราวกับว่า นอกจากชื่อของเขาแล้ว เธอจะไม่รู้จักเขาแม้แต่นิดเดียว

“เมียจ๋า ในที่สุดคุณก็รู้ว่าผมเก่งกาจแล้วใช่ไหม ฮ่าๆ”ฉินเฟยหัวเราะอย่างมีความสุข สายตากลับเผยให้เห็นความขมขื่นเล็กน้อย ถึงเจียงเยว่ถงจะไม่พบความผิดปกตินั่นก็ตาม

ใบหน้าของเจียงเยว่ถงเย็นชา เธอจ้องไปที่ฉินเฟย หมายความว่า:ฉันไม่ได้กำลังล้อเล่นกับนาย

ฉินเฟยทำอะไรไม่ได้ รู้ว่าภรรยาของตัวเองนิสัยดื้อรั้น ถ้าได้ถามแล้ว เธอก็จะต้องหาคำตอบให้ได้ เขาจึงพูดอย่างไม่ใส่ใจว่า“มีอะไรน่าแปลกล่ะ เป็นเรื่องปกติทั้งนั้น ใครก็ทำได้ สำหรับเรื่องที่ผมมีฝีมือน่ะ ก็เป็นเพราะว่าเมื่อตอนผมยังเด็กที่บ้านมีหลังเขาลูกหนึ่งมีพระอาศัยอยู่ เขาบอกว่าผมเป็นคนเก่ง เป็นอัจฉริยะด้านการต่อสู้ที่หาได้ยากในร้อยปี จะถ่ายทอดศิลปะต่อสู้กับผมให้ได้ แน่นอนว่าผมเรียนรู้เร็ว และเก่งมาก จนหลังจากโตมา พระชราก็บอกว่าจะสืบทอดรสพระธรรม ทำให้ผมตกใจจนฉี่เกือบแตกรีบหนีลงจากเขา ผมไม่อยากเป็นพระสงฆ์หรอกนะ”

“อิๆ ตอนนี้พอได้ย้อนนึกดูแล้วรู้สึกว่าตัวเองทำถูกต้องนะ ถ้าเป็นพระออกบวชขึ้นมาจริงๆ ผมจะได้แต่งงานกับภรรยาที่สวยขนาดนี้หรอ……นี่ เมียจ๋า คุณจะไปไหน?คุณไม่ฟังผมเล่าก่อนหรอ?”

“ฉันง่วงแล้ว ไปนอนก่อนนะ ห้องครัวคุณเก็บต่อด้วยล่ะ”เจียงเยว่ถงเดินขากะเผลกเข้าห้องนอนไป ด้วยสีหน้าเย็นชา กว่าเธอจะหาจังหวะคุยเปิดใจกับฉินเฟยมันไม่ง่ายเลย แต่เธอกลับคิดไม่ถึงว่าไอ้หมอนี่จะพูดจาเลอะเทอะยั่วโมโหเธอแบบนี้

เมื่อก่อนเจียงเยว่ถงอาจจะเชื่อ เนื่องจากในช่วงสามปีที่ผ่านมาของการแต่งงาน พฤติกรรมของฉินเฟยไม่เหมือนผู้ชายที่มีความสามารถเลย ยกเว้นความอดกลั้น แต่ตอนนี้เจียงเยว่ถงเกือบ 100% แน่ใจแล้วว่าคำพูดของฉินเฟยนั้นจงใจยั่วโมโหตัวเอง ถ้าเป็นจริงอย่างที่เขาพูด งั้นก็พูดได้คำเดียวว่าเธอโดนเขาหลอกเขาให้แล้ว

พระอะไรกระดูกแข็งแกร่งอะไร อัจฉริยะด้านการต่อสู้อะไรแบบนี้ คิดว่าเธอเป็นเด็กสามขวบรึไงกัน เล่านิทานกล่อมเธอให้หลับ?

“ผู้หญิงคนนี้……”

ฉินเฟยหัวเราะอย่างขมขื่น คิดในใจว่ารออีกหน่อยนะ รอให้เขาเปลี่ยนเป็นคนที่แข็งแกร่งขึ้นกว่านี้ ในตอนที่สามารถปกป้องเธอได้ เขาจะไม่ปิดบังอะไรเธออย่างแน่นอน

……

ฉินเฟยเข้าไปเก็บกวาดในห้องครัว แล้วถูพื้นอีกสักรอบ ถึงเดินกลับห้องนอนของตัวเองไปอย่างหมดแรง

เขาหยิบมือถือขึ้นมาดู ก็เห็นข้อความส่งมาจากจางฉองหย่วนเมื่อห้านาทีก่อน

จางฉองหย่วน: นี่คือเบอร์โทรศัพท์ของคนรักในวัยเด็กของนาย หมายเลขวีแชทเป็นเบอร์เดียวกัน พี่ช่วยนายได้เท่านี้แหละ ด้านหลังมีอิโมจิที่ได้ใจและหลงรัก

ฉินเฟยไปต่อไม่ถูก แก่แล้วยังทำให้คนอื่นไม่เคารพอีก!

และคนรักในวัยเด็กที่จางฉองหย่วนพูดถึงแน่นอนว่าคือจางหานหานร้านน้ำชาวินเยว่

ถึงแม้ว่าจะรู้สึกผิดปกติ แต่ฉินเฟยก็รีบเซฟเบอร์มือถือของจางหานหานอย่างรวดเร็ว เพราะเขามีความคิดไม่ดี กระทั่งเมื่อเงยหน้าขึ้นไปมองประตู กลัวว่าเมียจะจับได้

เขาเปิดวีแชทออกมา ด้านบนปรากฏเพื่อนที่แนะนำคือจางหานหาน

แต่ในขณะที่ฉินเฟยกำลังลังเลอยู่นั้น จู่ๆมือถือก็มีคำขอเป็นเพื่อนจากวีแชท ไม่ใช่ใครอื่น ก็คือจางหานหานนี่เอง วีแชทชื่อเถียนเถียน นี่คือชื่อในวัยเด็กของเธอ

ฉินเฟยรีบกดตอบตกลง แต่กลับไม่พูดอะไร ผ่านไปสามนาที จางหานหานก็ส่งข้อความมาว่า:ฉันคือจางหานหานนะ นายอาจจะลืมไปแล้ว และยังมีอิโมจิรูปยิ้มส่งมาด้วย

ฉินเฟยยิ้มๆ แล้วรีบตอบกลับไปว่า“ฉันยังไม่ลืมหรอก”ในขณะเดียวก็ส่งรูปยิ้มไปให้เช่นกัน

จากนั้นจางหานหานก็ไม่พูดอะไรต่ออีก

ฉินเฟยรู้ว่าเด็กคนนี้เป็นคนที่ไม่ชอบแสดงออก แต่เขาไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี

ถึงแม้ว่าทั้งสองจะพูดกันแค่ประโยคเดียว แต่เพราะเพิ่มจางหานหานเป็นเพื่อน ฉินเฟยจึงรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก สำหรับที่ว่าทำไมถึงตื่นเต้นและดีใจขนาดนี้ เขาก็ไม่รู้เช่นกัน อาจจะเป็นเพียงเพราะว่าได้ติดต่อกับเพื่อนที่เล่นกันมาตั้งแต่เด็กๆ ไม่ว่าใครก็ต้องดีใจเป็นธรรมดา

เขาวางโทรศัพท์ลง แล้วหยิบ‘บันทึกตันติง’รวมถึง‘กระบี่ข้อมือ’จากนั้นเขาก็อ่านจนง่วง และนอนไปในที่สุด

ผ่านไปสามวัน ฉินเฟยตื่นเช้าขึ้นมา ทำโจ๊กเสร็จ ก็ไปบอกเจียงเยว่ถง ไม่ได้ทานข้าวแล้วออกไปออกกำลังกายเลย

เจียงเยว่ถงมองไปที่อาหารเช้าอย่างงัวเงีย แล้วมองแผ่นหลังของฉินเฟยที่รีบวิ่งออกไป จากนั้นก็ขมวดคิ้วเบาๆ

ช่วงนี้ฉินเฟยเอาแต่ออกกำลังกาย เช้าขึ้นมาออกกำลังกาย เย็นก็ออกกำลังกาย อีกทั้งยังท่องอะไรประหลาดๆด้วย เหมือนจะเป็นเกี่ยวกับมีดที่ทำให้ฮั่วจงหยวนแพ้

เจียงเยว่ถงเคยถามแล้ว แต่คำตอบของฉินเฟยก็คือออกกำลังกาย เพื่อปกป้องแฟนสาวคนสวยของเขา

เจียงเยว่ถงรู้สึกเขินๆไม่ชินสักเท่าไร เมื่อเผชิญหน้ากับคำตอบของฉินเฟย เจียงเยว่ถงจะพูดอะไรได้อีกล่ะ?อย่างไรซะการออกกำลังก็เป็นเรื่องที่ไม่ได้เลวร้ายอะไร

เพียงแต่ว่า เจียงเยว่ถงที่มีค่อนข้างละเอียดอ่อนรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ หลายวันมานี้เขาทำให้เธอรู้สึกเหมือนกับว่าเร่งรีบ เขาหายตัวไปเลย ทุกครั้งที่กลับมาก็จะเต็มไปด้วยเหงื่อ ทำให้รู้สึกว่าเขาเร่งรีบตลอดเวลา

รู้สึก……เหมือนกับว่ามีบางอย่างไล่ตามเขาตลอดเวลา ทำให้เขาไม่สามารถพักได้……

จักรยานไฟฟ้าของฉินเฟยยังจอดทิ้งไว้ที่สวนสาธารณะหยุนซานเว่ยใกล้ๆกันกับว่านเสียง มูวี เดิมทีเขาคิดว่ามันสะดวกต่อการออกกำลังกาย แต่หลังจากที่เขาออกไป เขาก็ตระหนักว่ามีบางอย่างหายไปในร่างกายของเขา——ดาบเสวี่ยอิ่น !

ดังนั้นฉินเฟยจึงรีบวิ่งไปที่บ้านของเสิ่นเจียเหวิน

ประเด็นคือ เขาเองก็คิดถึงคนสวยเสิ่นเหมือนกัน ถึงแม้จะไม่ได้ทำอะไร แต่ก็อยากจะเห็นอยู่ดี

แต่ฉินเฟยตื่นเช้าเกินไป อาจจะเป็นไปได้ว่าชิงอีคนขี้เซายังนอนฝันหวานอยู่ เขาจึงตัดสินใจวิ่งอ้อมแม่น้ำ

วิ่งไปวิ่งมา ฉินเฟยพบว่าเขาวิ่งไปถึงร้านน้ำชาวินเยว่ ดังนั้นเขาจึงรีบหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาและส่งข้อความถึงจางหานหาน ก่อนหน้านี้เขาฝากรองเท้าหนังไว้กับเธอ

“ฉินเฟย?”สายสนทนาดังขึ้นสองสามครั้งก่อนที่จะรับสาย เสียงที่ไม่แน่นอนของจางหานหาน ดังขึ้นทางโทรศัพท์ เห็นได้ชัดว่าเธอไม่ได้คาดหวังว่าฉินเฟยจะโทรหาเธอ

เสียงของจางหานหานก็เหมือนกับนิสัยของเธอ อ่อนหวาน ราวกับซุปร้อนๆในตอนเช้า ทำให้คนที่ได้ยินรู้สึกอบอุ่นหัวใจ

“อืม เธออยู่ที่ร้านน้ำชาไหม?ฉันผ่านมาแถวนี้พอดี รองเท้าหนังของฉันฝากไว้กับเธอก่อนหน้านี้น่ะ”ฉินเฟยกล่าว

“อยู่สิ ฉันก็พึ่งถึงเหมือนกัน……”

หลังจากที่ทั้งสองพูดคุยกันเสร็จแล้ว ฉินเฟยก็เก็บโทรศัพท์และเดินอ้อมถนนไป แล้ววิ่งไปยังร้านน้ำชาวินเยว่

ในตอนที่ฉินเฟยวิ่งนั้น จางหานหานก็กำลังรอคอยเขาอยู่แล้ว

เธอยืนอยู่บนสะพานโค้งหน้าโรงน้ำชา เธอสวมชุดโบราณสีเขียวมรกต รูปร่างที่สวยงามและเล็กกะทัดรัดของเธอดูสวยงามเป็นพิเศษเมื่อต้องแสงแดดยามเช้า ราวกับภาพวาดบนม้วนกระดาษ และร่างกายที่เล็กกะทัดรัดของเธอ ก็ไม่สามารถปิดบังความเย้ายวนของเธอได้

“รอนานรึยัง?”ฉินเฟยวิ่งมาหาเธอ แล้วกล่าวทักทายอย่างลวกๆ

จางหานหานเงยหน้าขึ้น เธอถือถุงใบหนึ่ง แล้วผูกมัดไว้ ใบหน้าสวยๆของเธอมีแก้มราวกับเด็กน้อย ทำให้ผู้ที่ได้พบเห็นรู้สึกธรรมดาอ่อนโยน เครื่องประดับบนร่างกายเพียงชิ้นเดียวก็คือกำไรหยก

ถ้าฉินเฟยจำไม่ผิด น่าจะเป็นของตกทอดรุ่นสู่รุ่นแม่ของแม่เป็นคนให้มา ถือว่าส่งมอบต่อให้จางหานหาน บ่อยครั้งฉินเฟยก็คิดว่า หากตระกูลฉินไม่เกิดเรื่อง ครอบครัวของจางหานหานก็ไม่เกิดอะไรขึ้น ภรรยาของตัวเองคงจะเป็นหญิงสาวผู้ซึ่งอ่อนโยนตรงหน้าของเขา

เพียงแต่เมื่อเทียบกันแล้วเมื่อก่อนเธอซุกซนและร่าเริง พอหลังจากโตแล้วจางหานหานกลายเป็นคนที่เก็บตัวมากขึ้น

เงียบเฉียบ สวยสง่า รอให้คนมาเด็ดดม

จางหานหานที่เป็นแบบนี้ กลับทำให้ผู้ชายอยากปกป้อง กระทั่งยิ่งทำให้ผู้ชายจำนวนมากอยากแต่งงานด้วย

“เปล่า”จางหานหานส่ายหัวไปมาอย่างยิ้มๆ ใบหน้าของเธอยังมีลักยิ้มเล็กๆ ซึ่งดูน่ารักมาก เธอยื่นมือส่งของให้เขา“อ่ะนี่รองเท้าของนาย”

“ขอบใจนะ”ฉินเฟยยื่นมือมารับถุงไว้ ไม่รู้ว่าเขาถูกมารยาทของเธอครอบงำรึเปล่า ฉินเฟยกลายเป็นคนที่มีมารยาทขึ้น

แต่แบบนี้ ทำให้ฉินเฟยรู้สึกเขินๆ เพราะเขาไม่รู้ว่าควรพูดอะไร

เมื่อเห็นใบหน้าของเจียงเยว่ถงที่แดงก่ำ มันไม่ง่ายที่เขาจะเห็นด้านที่น่ารักของเธอแบบนี้

“นายอยากทำร้ายฉัน อยากเห็นฉันเป็นตัวตลกสินะ!”เจียงเยว่ถงโกรธมาก เธอลุกขึ้นยืน แล้วหยุดกินข้าวไปเลย กลับห้องนอนของเธอทันทีโดยไม่รีรอ พลันปิดประตูดัง‘ปั้ง’อย่างแรง

เอ่อ……

คงไม่ได้โกรธจริงๆใช่ไหม?ฉินเฟยรู้สึกถูกปรักปรำ แค่ตัวเองกลั้นขำไม่อยู่เนี่ยนะ?

เมื่อเห็นเจียงเยว่ถงกินข้าวไปครึ่งหนึ่ง ฉินเฟยก็รู้สึกเสียใจ ความจริงแล้วเขารู้สึกว่าซุปปลาเผ็ดร้อน จึงกระดกไวน์ไปหลายอึก แต่เดิมทีเขาอยากจะเตือนเจียงเยว่ถงว่าระวังจะเผ็ดเอา แต่เจียงเยว่ถงเคลื่อนไหวเร็วมาก ไม่มีโอกาสให้เขาได้เอ่ยปาก

เป็นเรื่องยากที่จะได้ทานมื้อค่ำที่หรูหรากับเจียงเยว่ถง เห้อ ฉินเฟยถอนหายใจ และรู้สึกว่าตัวเองไม่ผิดอะไร

“ช่างเถอะ ไม่กินฉันกินเองก็ได้”จากปริมาณอาหารของเขาแล้ว ตอนนี้ยังพึ่งเริ่มต้นเท่านั้น เขายื่นมือถือชามข้าวที่เจียวเยว่ถงกินเหลือขึ้นมา แล้วเริ่มจ้วงคำใหญ่เข้าปาก

ใครจะไปรู้ว่า เขากำลังจะคีบมั่นฝรั่งเข้าปากไป จู่ๆประตูห้องนอนก็ถูกเปิดออกดัง‘ปั้ง’เจียงเยว่ถงที่เปลี่ยนเป็นกระโปรงชุดนอนก็เดินออกมา กำลังเห็นฉินเฟยหยิบข้าวของเธอกินอย่างเอร็ดอร่อย จึงทำให้เธอรู้สึกอดหงุดหงิดไม่ได้“ฉินเฟย นายทำอะไรน่ะ ทั้งๆที่ข้าวของคุณก็ยังกินไม่หมด ทำไมต้องมากินของฉันด้วยห้ะ?”

“ผม……”ฉินเฟยกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยากร้องไห้ มองเห็นเจียงเยว่ถงเดินมาข้างหน้า แล้วพูดในใจว่าแม่เจ้าโว้ยตกลงเธอคิดจะทำอะไรกันแน่“คุณไม่กินไม่ใช่หรอ?”

“ฉันบอกรึไงว่าฉันไม่กินน่ะ?”เจียงเยว่ถงรู้สึกฉุนกึก

“ผม คุณ……”ฉินเฟยถึงกับพูดไม่ออก

“หึ!” เจียงเยว่ถงหันกลับไปยังห้องครัว แล้วทำเสียงหึอย่างรังเกียจ ผ่านไปไม่นานถือถ้วยตักข้าวของตัวเองออกมาด้วย จากนั้นก็นั่งตรงข้ามกันกับฉินเฟยอย่างสง่างาม ค่อยๆนั่งตักข้าวเข้าปากคำเล็กๆ

เมื่อสักครู่เธอสำลักไม่ระวังทำเสื้อผ้าของตัวเองหกเลอะเทอะ ดังนั้นเจียงเยว่ถงผู้ที่รักความสวยงามตลอดจึงไปเปลี่ยนชุดนอนมา แต่กลับคิดไม่ถึงว่าพอออกมาจะเห็นฉากที่ฉินเฟยคว้าชามข้าวของตัวเองไปกิน เพียงเพราะไอ้สารเลวนี่จงใจทำให้เธอโกรธ เธอจึงรู้สึกรังเกียจฉินเฟยมากยิ่งขึ้น

หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วโมง ในที่สุดอาหารมื้อค่ำสุดพิเศษสำหรับพวกเขาสองคนก็เสร็จสิ้น เจียงเยว่ถงก็วางตะเกียบ และชำเลืองมองฉินเฟยที่กำลังทำความสะอาดโต๊ะน้ำชา ยืนขึ้นอย่างลังเลเก็บชามและตะเกียบแล้วเดินเข้าไปในครัว

ฉินเฟยหรี่ตาลง นี่สิถึงจะถูก แบบนี้ถึงจะเหมือนผู้หญิงจริงๆ ฉินเฟยมองไปที่แผ่นหลังของเจียงเยว่ถงแล้วพูดพึมพำ แต่ในตอนที่เขากำลังหันหลัง ในห้องครัวก็มีเสียงลอดออก“พริ้งเพร้ง——โอ้ย!!”ยังตามมาด้วยเสียงของร้องตกใจของเจียงเยว่ถง

“เป็นอะไรอีกเนี่ย?”ฉินเฟยรู้สึกว่าหัวใจของเขาสั่นเมื่อเขาได้ยิน และรีบไปที่ประตูห้องครัว เขาอดไม่ได้ที่จะตกใจกับเหตุการณ์ตรงหน้าเขา

ไม่รู้ว่ามีจานและชามกี่ใบที่แตกเป็นชิ้นนับไม่ถ้วนบนพื้น เต็มพื้นไปหมด เจียงเยว่ถงภรรยาคนสวยของเขากำลังนั่งอยู่บนพื้นที่เต็มไปด้วยจานชามที่แตกกองบนพื้นอย่างน่าสงสาร ใช้แรงปิดกุมเข่าของตัวเองไว้ น้ำตาไหล ‘พราก’ลงมาไม่หยุด……

เมื่อฉินเฟยได้ยินเสียงนี้ เจียงเยว่ถงก็เงยหน้าขึ้นมาจากท่ามกลางจานชามที่แตกกระจัดกระจาย ด้วยตบหน้าเปื้อนน้ำตา“ฉินเฟย ฉัน……”

ฉินเฟยไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาพูดแล้ว

ผู้หญิงคนนี้ ถึงว่าสามปีมานี้ไม่เคยเข้าครัวมาก่อน นี่มันตัวหายนะของห้องครัวชัดๆ เข้ามาแค่สองครั้งก็ก่อเรื่องทั้งสองครั้ง ฉินเฟยรู้สึกยอมเธอแล้วจริงๆ

“นั่งอยู่ตรงนั้นแหละอย่าขยับนะ!”เมื่อเห็นเจียงเยว่ถงจะปีนขึ้นมา ฉินเฟยก็ถึงกับตกใจ รีบเดินเข้าไปในครัวโดยที่ไม่สนใจเสียงกรีดร้องคัดค้านของเจียงเยว่ถง เขาอุ้มเธอขึ้นมา แล้วก้าวมาห้องรับแขกสองสามก้าววางเธอลงกับโซฟา

ฉินเฟยเห็นเธอม้วนตัวไม่กล้าขยับอย่างเชื่อฟัง จึงอดขมวดคิ้วพูดขึ้นมาไม่ได้ว่า“ทำไมไม่ระวังเลย เจ็บตรงไหนรึเปล่า?”

พูดจบ ก็ดึงสองมือของเจียงเยว่ถงที่กุมเข่าอยู่ออก ถึงแม้ฉินเฟยจะตกใจกับภาพที่เห็นตรงหน้า แต่ตอนนี้ฝ่ามือของเจียงเยว่ถงก็เต็มไปด้วยเลือด บนหัวเข่าของเธอไม่รู้ว่าถูกเศษกระเบื้องกี่ชิ้นเจาะบาดกี่ที่ เลือดที่ไหลออกมาเปื้อนกระโปรงของเธอไปหมด……

“แค่ล้างถ้วยล้างชามต้องขนาดนี้เลยหรอ……”ฉินเฟยบ่นอุบอิบ นี่ขนาดยังไม่ทันเดินเข้าห้องครัวไปล้างเลยนะ ตอนนี้เขาไม่มีแรงจะมาต่อว่าหรือบ่นความซุ่มซ่ามของเธออีกแล้ว เลือดบนขาของเจียงเยว่ถงทำให้เขารู้สึกสงสารเล็กน้อย

“นั่งเฉยๆนะอย่าขยับ ให้ผมดูหน่อย……”เจียงเยว่ถงเบะปาก ด้วยความน้อยใจ แต่ก็ฟังคำเตือนของฉินเฟย เธอไม่กล้าขยับ แล้วนั่งอยู่เฉยๆ

ฉินเฟยรีบนั่งลงมา แล้วค่อยๆเลิกกระโปรงของเจียงเยว่ถงขึ้นเบาๆ ทันใดนั้นขาเรียวยาวขาวดุจดั่งหิมะก็โผล่ออกมาอยู่ตรงหน้าของเขา ขาวดุจดั่งหยก ความโค้งเว้าสง่างามราวกับฟ้าผลงานศิลปะที่ห้าประทาน แต่ในตอนที่เขาจะเลิกชายกระโปรงขึ้นไปบริเวณหัวเข่า ฉินเฟยก็ขมวดคิ้วอีกครั้ง เจียงเยว่ถงเจ็บจนไม่สามารถควบคุมร่างกายไม่ให้สั่นสะท้านได้

“คะ……คุณรอก่อน ผมจะไปหยิบกล้องปฐมพยาบาลมา อย่างมากก็สิบนาที”ฉินเฟยกำลังจะถามตำแหน่งที่วางกล่องปฐมพยาบาลอีกครั้ง แต่ไม่นานเขาก็ล้มเลิกความคิดนี้ สอบถามเจียงเยว่ถงสู้ไปหยิบชั้นล่างมาดีกว่า

“เร็วหน่อยนะ”เจียงเยว่ถงกัดริมฝีปาก เธอก้มลงมองหัวเข่าที่มีเลือดไหลไม่หยุด เสียงของเธอสั่นเครือ

“รู้แล้วครับ”ฉินเฟยเดินลงไปชั้นล่าง รีบวิ่งไปยังชุมชน

เขาเหนื่อยมากจากการออกกำลังกายในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา และการวิ่งหลังจากกินอิ่มท้องแล้วก็ยิ่งต้องใช้กำลังมากขึ้น แต่เมื่อนึกถึงคำเตือนที่น่ากลัวของเจียงเยว่ถงในตอนนี้ ฉินเฟยก็อดไม่ได้ที่จะเร่งความเร็วของเขาอีกครั้ง เขารู้สึกว่าไม่ใช่เจียงเยว่ถงที่มีปัญหากับครัวในวันนี้ แต่เขาต่างหากที่มีความสัมพันธ์กับร้านขายยา

เสิ่นเจียเหวินครั้งหนึ่ง เจียงเยว่ถงก็อีกครั้งหนึ่ง!

ผ่านไปสิบนาที ฉินเฟยวิ่งกลับบ้านมาพร้อมกับกล่องปฐมพยาบาลชุดหนึ่ง

ฉินเฟยรีบวางไว้บนโต๊ะ แล้วหยิบสำลีแอลกอฮอล์ออกมา แหนบและสิ่งของที่จำเป็นอื่นๆ มองขึ้นไปที่ดวงตาของเจียงเยว่ถง“คุณอดทนหน่อยนะ”

“อืม”เจียงเยว่ถงพยักหน้าฝืนความเจ็บ แล้วกัดริมฝีปากอย่างแรง เธอไม่กล้ามองเลือดที่อยู่บนขาของเธอด้วยซ้ำ บนใบหน้าเปื้อนเต็มไปด้วยน้ำตา ความจริงแล้วมีแต่เธอเท่านั้นที่รู้ว่าน้ำตาเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากเจ็บปวดทั้งหมด แต่ยังเป็นความน้อยเนื้อต่ำใจ และโทษที่ตัวเองโง่ซุ่มซ่ามขนาดนี้!

ตั้งแต่เล็กจนโตเธอเติบโตภายใต้การกล่าวชื่นชมของคนในครอบครัว ประกอบกับเธอเป็นเด็กน่ารักเชื่อฟัง เธอไม่เพียงแต่เรียนดี ยังไม่ก่อเรื่องสร้างปัญหา อีกทั้งเธอเองก็พยายามและฉลาด รู้สึกมาตลอดไม่ว่าตนเองจะทำอะไร ขอแค่ตั้งใจทำก็พอ แต่มาวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นการทำอาหารหรือล้างจานชาม ในความทรงจำของเธอมันเป็นเรื่องที่แม้แต่คนโง่ยังทำเป็น ทำไมตนกลับทำได้ไม่ดี

“ไม่เป็นอะไรมาก”ฉินเฟยตรวจดูบาดแผลบนหัวเข่าของเจียงเยว่ถงอย่างรวดเร็ว ในที่สุดก็โล่งอก มีแค่ปากแผลเล็กๆสามแห่งเท่านั้น มีเพียงหนึ่งในนั้นถูกแทงด้วยเศษชิ้นส่วนซึ่งทำให้เลือดไหลออกมามาก ดูน่ากลัว แต่จริงๆแล้วเป็นเพียงการบาดเจ็บเล็กน้อย

เมื่อเห็นฉินเฟยหยิบแหนบออกมา กำลังใช้แอลกอฮอล์เช็ด เจียงเยว่ถงก็ตัวสั่น เธอรู้สึกกลัวมากๆ แต่เธอก็ไม่กล้าเอ่ยปาก เธอไม่มีทางปล่อยให้ฉินเฟยหัวเราะเธออีกครั้งอย่างแน่นอน

หลังจากที่ฉินเฟยฆ่าเชื้อแล้ว ก็ค่อยๆจับน่องของเธอไว้ ทันใดนั้นก็สัมผัสได้ถึงความลื่น เมื่อมองไปที่หยกขาวที่อยู่ตรงหน้าเขา สมองของฉินเฟยก็ไม่สามารถหักห้ามความคิดฟุ้งซ่านได้ ไม่รู้ว่าจะทั่วทั้งตัวที่ขาวราวกับหยก เมื่อได้อยู่ในอ้อมกอดแล้วจะเป็นอย่างไร

น่องของเจียงเยว่ถงสั่นอย่างเห็นได้ชัดเมื่ออยู่ใต้ฝ่ามือ ฉินเฟยพยายามส่ายหัวไปมาอย่างแรงเพื่อลบความคิดฟุ้งซ่านที่เป็นไปไม่ได้ในสมองออกไป ตอนนี้พวกเขาอยู่ในช่วงคบหาดูใจกันเท่านั้น จากนิสัยเย็นชาของเจียงเยว่ถง ใครจะไปรู้ว่าจะตอบตกลงให้เขาร่วมหอตอนไหน

เขาค่อยๆใช้แหนบหยิบเศษจากออกมา น่าแปลกที่ครั้งนี้เจียงเยว่ถงไม่ได้ร้องเจ็บแต่อย่างใด เขาเงยหน้าขึ้น แต่กลับเห็นใบหน้าของเจียงเยว่ถงซีดเผือดไร้สีเลือด หรี่ตาลงอยากดูแต่ก็ไม่กล้าดู พยามกัดริมฝีปากของตัวเองไม่ให้ปล่อยเสียงร้องออกมา

ผู้หญิงคนนี้ดื้อรั้นจริงๆ!ฉินเฟยรู้สึกเลื่อมใส ถึงแม้ว่าจุดนี้สำหรับเขาแล้วจะไม่มีอะไร แต่ว่าคุณหนูอย่างเจียงเยว่ถงที่ถูกเลี้ยงดูอย่างประคบประหงมมันไม่ใช่เรื่องเล็กเลย เจียงเยว่ถงกลับสามารถฝืนความเจ็บปวดไม่ร้องออกมา นี่มันเป็นเหมือนกับเรื่องอัศจรรย์

ถึงแม้บาดแผลจะไม่ใหญ่มาก แต่เพราะเศษจานชามมันเล็กมากด้วยเหตุผลที่มันเป็นสีใส ฉินเฟยจึงจัดการอย่างระมัดระวัง กลัวว่าจะทำให้เจียงเยว่ถงได้รับบาดเจ็บ

ถึงจะเป็นแบบนั้น มีหลายครั้งเช่นกันที่ร่างกายของเจียงเยว่ถงสั่นสะท้านอย่างทนไม่ไหวเพราะความเจ็บปวด แต่สุดท้ายก็ไม่มีเสียงร้องออกมาสักแอะ

หลังจากจัดการทำความสะอาดแผลเสร็จ ในที่สุดฉินเฟยก็ยืดหลังตรงปาดเหงื่อบริเวณหน้าผาก แม่เจ้าโว้ย คนที่ได้รับบาดเจ็บไม่ใช่เขา แต่เขากลับเหนื่อยกว่าเจียงเยว่ถง ด้านหลังเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ

“บาดแผลเล็กมากครับ อีกไม่นานก็สมานกัน ขอแค่อย่าเกิดอุบัติเหตุอีก พรุ่งนี้พอคุณตื่นขึ้นมาบาดแผลก็สมานกันแล้วล่ะ”ฉินเฟยเก็บกล่องปฐมพยาบาลไปด้วย“หลังจากสะเก็ดแผลหายแล้ว ให้ไปที่คลินิกดูแลมัน เพื่อไม่ให้เกิดรอยแผลเป็น”

เจียงเยว่ถงเป็นผู้หญิง แต่ตนไม่ใช่ โดยเฉพาะเธอชอบสวมกระโปรง ถ้าหากบนขามีรอยแผลเป็น เธอต้องรับไม่ได้แน่ๆ

เจียงเยว่ถงพยักหน้าแต่ไม่พูดอะไร หลังจากที่จัดการเรียบร้อย บริเวณบาดแผลก็รู้สึกเจ็บเล็กน้อย เธอสามารถทนได้ เธอก้มหน้าดูหัวเข่าที่ถูกปิดแผลไว้อย่างแน่นหนา ใยสมองอดไม่ได้ที่จะปรากฏภาพของฉินเฟยที่ทำความสะอาดแผลอย่างเชี่ยวชาญ และคอยพันแผลให้เธออย่างเอาใจใส่

เธอเงยหน้ามองฉินเฟย ด้วยสายตาที่หลงใหล

ช่วงนี้ การแสดงออกของฉินเฟยทำให้เธอยิ่งอยู่ยิ่งไม่รู้จักเขา สิ่งที่เขาแสดงออกมาทั้งหมด ยิ่งอยู่ยิ่งเหมือนกับผู้ชายคนหนึ่ง ยิ่งเหมือนกับผู้ชายแสนดีที่เพื่อนร่วมงานรอบๆตัวของเธอพูดถึงกัน เป็นผู้ชายที่ทำเป็นทุกอย่าง

กระทั่ง ความสามารถของฉินเฟยรวมถึงเรื่องที่เขาทำ สิ่งที่เขาทำก็เกินขอบเขตของผู้ชายที่ดีๆทั่วไป

เหมือนกับ หลังจากที่ฉินเฟยไปทำงานข้างนอกกลับมา เปลี่ยนเป็นมั่นใจยิ่งขึ้น และผู้ชายที่มั่นใจคนหนึ่ง มันมีเสน่ห์สำหรับผู้หญิงเป็นอย่างมาก แต่ความมั่นใจของฉินเฟยมาจากความสามารถของเขา

แต่เขา มาจากบ้านนอกไม่ใช่หรอ?ในประวัติส่วนตัวของเขา อย่างมากก็แค่จบมาจากมหาวิทยาลัยที่ไม่เลวเท่านั้น

“มีอะไรหรอ คุณมองผมแบบนี้หมายความว่าไง คงไม่ได้ซาบซึ้งกับสิ่งที่ผมทำเมื่อสักครู่หรอกนะ?แฟนอย่างผมอย่างทำได้ไม่ดีอีกหรอ?”ฉินเฟยถูกสายตาของเจียงเยว่ถงมองจนทำตัวไม่ถูก หลายปีมานี้เจียงเยว่ถงดูถูกเขามาตลอด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องจ้องมองเขาอย่างลึกซึ้ง

เขาหัวเราะฮ่าๆเพื่อคลายบรรยากาศตึงเครียด แต่เจียงเยว่ถงไม่มีทีท่าใดๆทั้งสิ้น เขาหัวเราะอยู่ครู่หนึ่งแล้วหยุดชะงักไปอย่างอึดอัด

“ฉินเฟย ตกลงนายเป็นคนยังไงกันแน่?”เจียงเยว่ถงถามฉินเฟยอย่างจริงจัง แววตาคู่สวยจ้องมองที่เขา โดยไม่ให้พลาดแม้แต่รายละเอียดเดียว

“ผมเป็นแค่ลูกเขยที่ไร้ประโยชน์ไม่ใช่หรอ?คุณคิดมาตลอดว่าผมเป็นแบบนั้น ผมก็คิดว่าเป็นแบบนั้นมาตลอด”ฉินเฟยรีบเก็บกล่องปฐมพยาบาล ราวกับจู่ๆเขาก็เหมือนได้รับคำชมจากภรรยาที่เขาเฝ้าห่วงใย

ตอนนี้ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนเปลี่ยนไปเล็กน้อย มันเป็นคืนที่โรแมนติกมากสำหรับฉินเฟย ไม่ว่าจะเป็นสามีภรรยาหรือแฟนกัน แต่ก็มีเรื่องแปลกประหลาดมากมายเกิดขึ้น แต่อีกฝ่ายคือเจียงเยว่ถงที่ทำให้เขาไม่กล้าแม้แต่จะคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ที่แย่กว่านั้นมันมีเรื่องราวเกิดขึ้นหลายสิ่งหลายอย่าง แต่ไม่มีเรื่องไหนเป็นเรื่องดีเลย

เจียงเยว่ถงขมวดคิ้วเป็นผม เห็นได้ชัดว่าไม่พอใจกับคำตอบของฉินเฟย……

กลิ่นหอมฉุยของอาหารเตะเข้าไปในจมูก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะตัวเองเอาแต่เฝ้าอยู่หน้าประตูของห้องครัวรึเปล่า เจียงเยว่ถงถึงรู้สึกว่าอาหารที่ฉินเฟยทำวันนี้หอมหวนเป็นพิเศษ

เธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ายืนเหม่ออยู่นานเท่าไร จนกระทั่งฉินเฟยที่อยู่ในห้องครัวเรียกเธอให้มาทานข้าวเธอถึงพึ่งรู้สึกตัว แล้วค่อยๆหันกลับมา เธอเห็นฉินเฟยลอดไปมาระหว่างห้องครัวกับห้องรับแขก ด้วยความรู้สึกแปลกๆ

สามปีมานี้ สิ่งที่ฉินเฟยทำในทุกวันคือการเข้าครัว ร้านอาหารรวมถึงห้องรับแขก ไม่อย่างงั้นก็ถูพื้น ไม่งั้นก็เสิร์ฟอาหาร เพียงแต่เธอในตอนนั้น มองข้ามจุดนี้ไป……

จู่ๆเจียงเยว่ถงก็มีความรู้สึกพิเศษในใจ อยากขอบคุณฉินเฟย ขอบคุณเขาที่อดทนกับเธอตลอดสามปีที่ผ่านมา

“รีบไปล้างมือแล้วมากินข้าวเถอะ” เสียงของฉินเฟยลอดเข้ามาในหู เจียงเยว่ถงพึ่งรู้สึกตัว เห็นเขากำลังถือชามปลาตุ๋นน้ำแดงเข้ามาอย่างระมัดระวัง

“อืม” เจียงเยว่ถงพยักหน้า แล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำ เนื่องจากเป็นแบบอย่างของหญิงแกร่งสมัยใหม่ระดับเทพธิดา หลังจากตกใจเล็กน้อยและล้างมือเสร็จ เธอก็ฟื้นคืนความสงบและความสง่างามตามปกติและนั่งตรงข้ามกับฉินเฟยอย่างเรียบร้อยเหมือนผ้าพับไว้

เจียงเยว่ถงยื่นมือไปหยิบตะเกียบบนโต๊ะ ด้วยความประหม่า เจียงเยว่ถงสามารถสัมผัสได้ว่า ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนเปลี่ยนไปเล็กน้อย ฉินเฟยไม่ได้ทานข้าวเหมือนเมื่อก่อนแล้ว เขาทานข้าวอย่างจี๋ยมเจี้ยมตรงมุมโต๊ะ และพูดจาน้อยมาก

ฉินเฟยที่ก้าวออกไป ตอนนี้เปลี่ยนเป็นคนมั่นใจขึ้น ไม่ยอมรับคงจะไม่ได้ เธอชอบฉินเฟยที่เป็นแบบนี้ อย่างน้อยแบบนี้ถึงจะเรียกว่าลูกผู้ชาย

แน่นอนว่า ความชอบแบบนี้ไม่ใช่ความชอบระหว่างชายหญิง ฉินเฟยที่มีความกระตือรือร้น อย่างน้อยก็ไม่ทำให้เธอรังเกรียจ

แต่ไม่ว่าอย่างไร เขาก็เป็นสามีของเธอในทางกฎหมาย กระทั่งผู้ชายของเธอจากปากของคนอื่น!

ตอนนี้มีเพียงพวกเขาสองคนอยู่ในห้องขนาดใหญ่ ถึงแม้ว่าเมื่อก่อนจะเป็นแบบนี้ แต่ตอนนี้กลับทำให้เจียงเยว่ถงรู้สึกว่าบรรยากาศแปลกๆ เธอที่สงบเยือกเย็นมาตลอดรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย แม้แต่การเคลื่อนไหวของเธอก็ยังดูแข็งทื่อ

ฉินเฟยซึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามกับเขาไม่อายเลย นับประสาอะไรกับการดูแลผู้หญิง ประเด็นคือเขาหิวมาก ช่วงนี้เขาออกกำลังกายทุกวัน และเขารู้สึกว่าเขากลายเป็นผีที่หิวโหย อีกทั้งความต้องการอาหารของเขาก็เพิ่มมากขึ้นจากเมื่อก่อนเป็นเท่าตัว!

ถึงแม้ก่อนหน้านี้เขาจะกินแฮมเบอร์เกอร์เนื้อกับเสิ่นเจียเหวินมาแล้ว แต่สำหรับความต้องการอาหารของเขาในตอนนี้มันไม่เพียง พูดไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเป็นการรองทอง อีกทั้งหลังจากที่กินแล้วเพราะว่ากินไม่อิ่ม จึงทำให้พยาธิในกระเพาะของเขา หิวมากยิ่งขึ้น

ฉินเฟยจึงคีบผักและข้าวในถ้วยของตัวเอง คนอยู่ครู่หนึ่งแล้วจ้วงเข้าปากไป ถึงได้รู้สึกว่ากระเพาะค่อยยังชั่วขึ้นมาหน่อย เวลานี้เอง จู่ๆเขาก็เห็นมือเล็กๆยื่นมาไว้ตรงหน้าของเธอ เจียงเยว่ถงตักน้ำซุปปลามาหนึ่งถ้วยเล็กแล้วว่างตรงข้างหน้าเขา ด้านในมีเนื้อปลาชิ้นหนึ่ง

ฉินเฟยถือถ้วยในมือนิ่งและชะงักลง แต่งงานกันมาสามปี นี่เป็นครั้งแรกที่เจียงเยว่ถงตักน้ำซุปให้เขากิน

ฉินเฟยรู้สึกตื้นตัน และพึ่งสังเกตเห็นว่าเจียงเยว่ถงยังไม่ได้แตะตะเกียบ จึงอดถามอย่างแปลกใจไม่ได้ว่า“ทำไมคุณถึงไม่กินล่ะ?คุณไม่ชอบอาหารเย็นนี้หรอ?”

ฉินเฟยรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เขารู้ว่าเจียงเยว่ถงกินอาหารทะเล ในเวลาปกติสิ่งที่เธอชอบกินที่สุดคือผัดมันฝรั่ง ดังนั้นวันนี้เขาจึงตั้งใจทำมันฝรั่งผัดเผ็ด เนื่องจากเธอไปซื้อผักที่ซูเปอร์มาร์เก็ตมาด้วยตัวเองเพื่อวางแผนจะทำอาหารให้เขากิน

แม้ว่าสุดท้ายคนที่ลงมือทำอาหารจะไม่ใช่ตัวเธอเอง……

เจียงเยว่ถงตักซุปปลาให้ตัวเองหนึ่งถ้วยเล็ก เธอขมวดคิ้วให้กับซุปที่ดำคลับ ถึงแม้ว่าหน้าตาจะดูไม่น่ากิน แต่กลับหอมเตะจมูกมาก โดยเฉพาะเธอตักชิมซุปปลาไปหนึ่งคำ เธอคิดว่าจะลองดู ใครจะไปรู้ หลังนาที่น้ำซุปไหลผ่านลำคอไป ตาของเธอก็เป็นประกายทันที ท้องของเธอร้อง ‘โคร้กคร้าก’ อย่างไม่ไว้หน้ากันเลย……

“คุณยังไม่ได้ทานอาหารกลางวันมาหรอ” เสียงท้องร้องของเจียงเยว่ถงไม่สามารถปิดบังฉินเฟยได้ เขามองเธออย่างเหลือเชื่อ

“ยุ่งไม่เข้าเรื่อง” เจียงเยว่ถงทำเสียงหึครั้งหนึ่ง แต่ในที่สุดกลับทนความหิวไม่ได้ โดนเฉพาะหลังจากที่ได้ลิ้มรสความหอมอร่อยของซุปปลาไป เธอยื่นมือเริ่มจ้วงข้าวสวยตรงหน้าเธอทันที ในตอนแรกเธอยังสามารถรักษาภาพพจน์ของเธอไว้ได้ แต่ไม่นาน ความหิวและความหอมอร่อยก็ดึงดูดให้เจียวเยว่ถงลืมสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างไปหมด เธอเขมือบกินอย่างเอร็ดอร่อย มือเล็กๆยื่นออกมา คีบมันฝรั่งคำใหญ่ และขึ้นฉ่ายหนึ่งคำ ปากของเธอขยับไม่หยุด

ฉินเฟยอึ้งตะลึงมองตาค้าง เขารู้ดีว่าฝีมือการทำอาหารของตัวเอง แม้ว่าจะอยู่ในระดับที่ไม่เลวนัก แต่ก็ไม่มีทางทำให้คนคนหนึ่งเขมือบกินมุมมามตะกละตะกลามขนาดนี้ได้ โดยเฉพาะเจียงเยว่ถงผู้ซึ่งเย็นชาและเย่อหยิ่งอยู่เสมอ ยิ่งไปกว่านั้นเจียงเยว่ถงเองถือได้ว่ากินอาหารฝีมือของตนมาถึงสามปีแล้ว

มีเหตุผลเดียวนั่นก็คือเจียงเยว่ถงหิวแล้วจริงๆ

ฉินเฟยพึ่งจะก้มหน้ากินข้าว ก็เห็นเจียงเยว่ถงที่กำลังวางตะเกียบ แล้วลุกขึ้นยืน‘พรึบ’

ในตอนที่ฉินเฟยไม่รู้ว่าภรรยาของเขากำลังจำอะไรอยู่นั้น เจียงเยว่ถงก็เดินเข้าห้องทำงานไป หลังจากนั้นไม่นาน เธอก็ออกมาพร้อมกับขวดไวน์แดงในห้องใต้ดิน ฉินเฟยหมดคำพูด พูดในใจว่าผู้หญิงคนนี้ใช้ชีวิตสุขสบายจริงๆ ไม่ว่าอาหารบนโต๊ะตรงหน้าจะมากมายแค่ไหนมันก็แค่มื้ออาหาร แต่ถ้าเติมไวน์แดงสักขวด บรรยากาศก็จะเปลี่ยนไปทันที

ฉินเฟยไม่ชอบดื่มไวน์แดง ความจริงแล้วเขาไม่สนใจแอลกอฮอล์เท่าไรนัก ปกติก็ดื่มน้อยอยู่แล้ว แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะไวน์แดง เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญยิ่งกว่าผู้เชี่ยวชาญที่มีชื่อเสียงส่วนใหญ่ที่คิดว่าพวกเขารู้เรื่องไวน์แดงเสียอีก เขาเพียงแค่เหลือบมองที่ยี่ห้อกับอายุก็รู้ได้ทันที ไวน์แดงขวดนี้เป็นไวน์ชั้นเลิศ ราคาสูงมาก

เจียงเยว่ถงหยิบแก้วไวน์ที่ล้างทำความสะอาดแล้วบนโต๊ะออกมาหนึ่งแก้ว แล้วรินให้ตัวเองครึ่งแก้ว ชิมและดื่มด่ำกับรสชาติ ต่อมาก็คว้าตะเกียบและเริ่มกินต่ออย่างเอร็ดอร่อย

ฉินเฟยตกใจมาก แค่เนี่ยหรอ?

“อยากดื่มก็รินเองนะ!”เจียงเยว่ถงกลอกตาใส่ฉินเฟย รู้ว่าเขาหมายความว่าไง จึงอดส่งเสียงหึไม่ได้

คืนนี้เจียงเยว่ถงเจ็บใจมาก แต่ฉินเฟยไอ้หมอนั่นยังอวดดีอยู่ เธอจึงทำเสียงหึๆอย่างไม่พอใจ แค่ทำอาหารเป็นไม่ใช่หรอ มีอะไรให้อิจฉา

ฉินเฟยไม่ถ่อมตัวเลยแม้แต่นิดเดียว รีบหยิบแก้วไวน์ขึ้นมารินให้ตัวเองหนึ่งแก้ว

อืม ไวน์กินคู่กับซุปปลา ไม่เลวจริงๆ

“ไม่ต้องรินให้ฉันแล้ว ถ้าจะดื่มคุณก็ดื่มเอง”เมื่อเห็นฉินเฟยกระดกหมดอย่างรวดเร็วแล้วเตรียมจะให้รินให้เธอเพิ่ม เจียงเยว่ถงโบกมือปฏิเสธ

“อ่อ”ฉินเฟยพยักหน้า แล้วยกแก้วกระดกขึ้น

“อึกๆๆ……”

เจียงเยว่ถงถือชามใบเล็กด้วยมือสั่นๆ แล้วเงยหนึ่งขึ้นดู

เจียงเยว่ถงอ้าปากตาค้าง ด้วยความเสียดาย โดยเฉพาะเมื่อเห็นฉินเฟยชูไวน์ที่เธออุตส่าห์เก็บอย่างดีดื่มเหมือนน้ำเปล่า ยิ่งทำให้เธอเกือบร้องไห้

“พู่……”ไวน์แดงสองอึกใหญ่ถูกกระดกภายในครั้งเดียว ทำให้รู้สึกสดชื่น เขาถอนหายใจยาว ไวน์แดงก็ต้องดื่มแบบนี้สิ

เจียงเยว่ถงก้มหน้าลงเงียบๆ แล้วสูดหายใจเข้า ในที่สุดเธอก็อดทนไม่คว้าไวน์แดงที่อยู่ในมือของฉินเฟยกลับมา โดยเฉพาะไวน์แดงขวดนั้นที่ถูกฉินเฟยแปดเปื้อน ถึงจะแย่งกลับมาได้ คนที่รักความสะอาดอย่างเธอก็ไม่มีวันดื่ม

แต่ไวน์ขวดนี้เธอเตรียมไว้นานแล้ว ปกติเพื่อนๆของเธอชอบดื่มไวน์แดง มีแค่ขวดนี้ที่ถูกเก็บมาจนถึงตอนนี้ เดิมทีเธอคิดจะหยิบออกมาดื่มคืนนี้ ตามหลักแล้วน่าจะพูดว่าเธอสามารถเอาบริษัทฉีแยกลับมาในคืนนี้ได้

แต่สองวันนี้เธอเหนื่อยมากจริงๆ เมื่อวานหลังจากที่ว่านเสียง มูวีได้เซ็นสัญญากับบริษัทฉีแย ก็ตัดสินใจทำอาหารให้ฉินเฟยในคืนนี้เพื่อเป็นรางวัลให้เขา

ถึงแม้ว่าจะเตรียมไวน์แดงไว้ให้ฉินเฟย แต่เมื่อเห็นไอ้หมอนี่ทำให้ไวน์แดงของเธอแปดเปื้อน เจียงเยว่ถงที่ประหยัดมาโดยตลอดกลับรู้สึกไม่พอใจ เธอก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อไป

ฉินเฟยยื่นมือไปตักซุปปลาวางไว้ตรงหน้าของเจียงเยว่ถง“อย่าเอาแต่กินข้าวเปล่าสิครับ ระวังติดคอล่ะ”

“แค้กๆ……”เขาไม่พูดยังดีหน่อย เมื่อสิ้นเสียงเจียงเยว่ถงก็สำลัก จากนั้นเธอก็ไออย่างนัก

ไม่มีเวลาถลึงตาใส่ฉินเฟย เธอถือซุปปลาบนโต๊ะขึ้นมาซดหนึ่งคำ……

“อ่าห์……”เจียงเยว่ถงซดเพียงหนึ่งคำก็วางถ้วยลงจากรถ ปากเล็กๆของเธอส่งเสียงร้องเบาๆ……

“ทำไมหรอ?”ฉินเฟยรู้สึกมึนงง แม้ว่าจะมีชั้นของน้ำมันที่กักเก็บความร้อนลอยอยู่ในชามซุป แต่หลังจากตักขึ้นมาไม่นาน มันก็หายร้อน

“พู่……ทำไมถึงเผ็ดขนาดนี้……อ่าห์ๆ……”เจียงเยว่ถงใบหน้าแดงก่ำ โดยแลบลิ้นอมชมพูออกมาด้วยปากที่สั่นระริก ท่าทางน่ารักมากๆ……

“ฮ่าๆๆ——”เมื่อเห็นท่าทางท่ารักน่าชังของเจียงเยว่ถง ฉินเฟยก็ถึงกับกลั้นหัวเราะไม่อยู่ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นเจียงเยว่ถงผู้ซึ่งเย็นชาและสูงส่งอยู่เสมอทำตัวน่ารักขนาดนี้ เมื่อเทียบกับความเย็นชาในเวลาปกติที่เธอทำ ภาพลักษณ์ที่สมบูรณ์แบบ เขาชอบเจียงเยว่ถงที่ทำให้เธอประทับใจได้ ท่าทางอ่อนหวานและอ่อนโยน แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเจียงเยว่ถงจะน่ารักจนทำให้คนที่ได้พบเห็นหัวใจละลายได้ขนาดนี้

ในเวลานี้เจียงเยว่ถงเหมือนผู้หญิงที่แท้จริง ไม่มีความสง่างามสูงส่ง เขาไม่ได้ซาบซึ้งกับสิ่งที่แลกมาด้วยความอ่อนโยนของเธอ บนตัวของเธอนั้นมีความเป็นผู้หญิงมากขึ้น

“ฉินเฟย ไอ้สารเลว นายจงใจหรอห้ะ!”หลังจากที่รีบดื่มน้ำเปล่าไปหลายอึก ลำคอของเจียงเยว่ถงถึงหายปวดแสบ เธอถลึงตาใส่ฉินเฟยที่หัวเราะขำก๊ากอยู่ เธอแทบจะอยากตรงเข้าไปกระทืบเขาให้จมดิน

“ผมจงใจยังไง?เมื่อกี้คุณก็ซดไปถ้วยหนึ่งแล้วไม่ใช่หรอ ผมคิดว่าวันนี้คุณจะชอบกินเผ็ดเป็นพิเศษ เห็นคุณเตรียมสับพริกแห้งไว้เยอะขนาดนี้ ซุปปลามันเผ็ดอยู่แล้วนะ”ฉินเฟยอธิบาย ด้วยใบหน้าที่พยายามกลั้นขำ

ความจริงแล้วพวกเขากินเผ็ดน้อยมาก เจียงเยว่ถงกลับกินมาได้ แต่พริกไม่ดีต่อสุขภาพผิว เจียงเยว่ถงที่ใส่ใจกับใบหน้าของเธอ ปกติจึงควบคุมปริมาณการกินเป็นอย่างดี ซุปปลามีความเผ็ดเล็กน้อย แต่เขาคิดว่าเจียงเยว่ถงสำลักซุปจึงทำให้เธอรู้สึกเผ็ด


บทที่ 71 ภรรยาสุดสวย(ตอนที่ 1)

บทที่ 73 ภรรยาสาวสวยที่ดีที่สุด(ตอนที่3)

“เป็นอะไรครับ”ทันใดนั้นฉินเฟยก็ปรากฏตัวขึ้น ที่ประตุห้องครัวอย่างกังวล

“ฉัน……”ภายในห้องครัว เจียงเยว่ถงมองไปที่ฉินเฟยด้วยใบหน้าซีด แล้วหันหลังกลับไป ใบหน้าเรียวเล็กของเธอเหลือบมองไปที่ปลายนิ้วของตัวเอง ตอนนี้ชี้ขาวสะอาดของเธอมีเลือดไหลออกมา“ฉันไม่ระวังโดนมีดบาดนิ้วน่ะ”

น้ำเสียงของเจียงเยว่ถงเต็มไปด้วยความตกใจ เธอมองไปที่เลือดบนนิ้วมือด้วยความหวาดกลัว แต่ก็ไม่กล้าแตะ……

ฉินเฟยถอนหายใจยาว ด้วยความโล่งอก หลังจากวันที่เขาพาเจียงเยว่ถงไปหาซุนเย่าเหวินที่หมู่บ้านเทียนฝูสติสัมปชัญญะของเขาก็ตึงเครียดตลอด ประกอบกับเสียงกรีดร้องของเจียงเยว่ถงทำให้คนที่ได้ยินรู้สึกกลัว คิดไม่ถึงว่าจะโดนบาดแค่นิ้ว เมื่อมองเห็นเจียงเยว่ถงจ้องมองนิ้วที่โดนบาดด้วยความตกตะลึง แต่กลับไม่มีทีท่าใดๆ ฉินเฟยก็พูดอย่างแปลกใจว่า“ทำไมคุณไม่ห้ามเลือดล่ะ?”

“ห้ะ?ห้ามเลือดยังไง?”เจียงเยว่ถงพูดด้วยสีหน้างุนงง ตั้งแต่เล็กจนโตเธอผู้ซึ่งได้เกียรติบัตรนักเรียนดีเด่นมาตลอด แน่นอนเธอรู้ว่าสถานการณ์แบบนี้จะต้องรีบห้ามเลือด แต่ประเด็นคือไม่รู้ว่าจะห้ามเลือดอย่างไร!

ฉินเฟยอ้าปากค้าง ตกใจจนพูดอะไรไม่ออก

ฉินเฟยที่ได้ยินคำพูดของเจียงเยว่ถงถึงกับไปไม่ถูก อีกทั้งเขาก็รู้สึกด้วยว่า สามีปีมานี้ตนรู้จักเจียงเยว่ถงน้อยไป!

ไม่รู้ว่าห้ามเลือดอย่างไร?

เขาพึ่งเคยเห็นผู้หญิงที่บื้อขนาดนี้เป็นครั้งแรก

ตอนนี้เขาไม่มีเวลาสนใจว่าเจียงเยว่ถงจะเย็นชาใส่ตนเอง เขารีบเดินเข้าไป แล้วจีบมือเล็กของเจียงเยว่ถงที่เลือดไหลไม่หยุด

“นะ นายจะทำอะไรน่ะ?”เจียงเยว่ถงเหมือนกับกระต่ายตื่นตูม ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความตกใจ

“จะทำอะไรได้ล่ะ แน่นอนว่าช่วยคุณห้ามเลือดน่ะสิ หรือคุณจะรอให้เลือดไหลหมดตัวก่อน”เขาไม่สนใจเจียงเยว่ถงการดิ้นขัดขืนของเจียงเยว่ถงแม้แต่น้อย นานทีปีหนฉินเฟยจะเผด็จการใส่เจียงเยว่ถง เขาจับมือเล็กของเธอวางไว้ที่ด้านล่างของก๊อกน้ำ แล้วชำระล้างคราวเลือดออก พลางเงยหน้าขึ้นมาถามว่า“กล่องปฐมพยาบาลของบ้านเราอยู่ไหน?”

เจียงเยว่ถงมองไปที่ฉินเฟยด้วยความแปลกใจ และงุนงงในขณะเดียวกัน เธอถามอย่างสงสัย“กล่องปฐมพยาบาลอะไร?”

ฉินเฟยมุมปากกระตุกทันที แล้วพูดอย่างหน่ายใจ“ผมรู้ว่าในบ้านไม่มีกล่องปฐมพยาบาล มีแต่ในทำงานไม่งั้นก็ห้องนอนของคุณแล้วล่ะที่มี”

ช่วยไม่ได้ ทั้งสองสถานที่เป็นสถานที่ต้องห้ามสำหรับฉินเฟย เขาเข้าไปไม่ได้

เจียงเยว่ถงส่ายหัวไปมา ดวงตาคู่งามเต็มไปด้วยความงุนงง เธอมองไปที่ฉินเฟยแล้วถามว่า“ฉันไม่รู้อ่ะ กล่องปฐมพยาบาลหน้าตาเป็นยังไง?”

ฉินเฟยหมดคำพูดทันที เขารู้สึกว่าเสียแรงเปล่า ช่วยไม่ได้เขาจับมือเล็กของเจียงเยว่ถง แล้วอ้าปากงับแผลที่ปลายนิ้วที่ได้รับบาดเจ็บเข้าไปในปาก ไม่มีกล่องปฐมพยาบาล นี่จึงเป็นทางเลือกที่ง่ายที่สุด และมีผลที่สุด พูดในใจว่าคงไม่ได้จงใจเอาเปรียบแต๊ะอั๋งเธอหรอกนะ

เจียงเยว่ถงเบิกตากว้าง ปากเล็กๆอ้าออก ทันใดนั้นเธอก็ลืมแม้กระทั่งหายใจ เธอมองไปยังฉินเฟยที่กำลังงับปลายนิ้วของเธออยู่ด้วยความตกตะลึง สมองของเธอดังวิ้งๆ วุ่นวายสับสนไปหมด

ใช้เวลาหนึ่งนาทีเต็ม ก่อนที่ฉินเฟยจะปล่อยปากของเขา และอธิบายให้เจียงเยว่ถงซึ่งกำลังตกตะลึง“ผมไม่ได้ตั้งใจแต๊ะอั๋งคุณนะ คุณหากล่องปฐมพยาบาลไม่เจอ ผมทำได้แค่เลือกวิธีที่ง่ายที่สุด ไม่อย่างงั้นถ้าเกิดแผลติดเชื้อขึ้นมาจะแย่เอานะ ดูสิ ตอนนี้ไม่มีเลือดไหลแล้ว”

เจียงเยว่ถงพยักหน้าอย่างเหม่อลอย ไม่ได้พูดอะไร มองดูท่าทีจริงจังของฉินเฟย แล้วก้มหน้ามองดูปลายนิ้วมือของตัวเองที่เลือดหยุดไหลไปแล้ว ทันใดนั้นในสมอง ของเธอก็จำได้ว่าครูพูดอย่างนั้นจริงๆ น้ำลายของมนุษย์สามารถฆ่าเชื้อโรคได้

แต่เธอมักจะรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่เธอไม่สามารถเข้าใจได้ว่าเกิดอะไรขึ้น

“คุณกำลังทำอะไรอยู่น่ะ?”ในที่สุดฉินเฟยก็มีเวลามองดูเจียงเยว่ถงที่ทำเสียงดัง‘กีองแก๊ง’ในครัวเป็นเวลานานตกลงเธอกำลังทำอะไรกันแน่ เขาถามเธอย่างรู้สึกสงสัย

“คือฉัน ตอนแรกฉันอยากทำปลาสักตัวเพื่อบำรุง……”ใบหน้าเล็กของเจียงเยว่ถงแดงก่ำ แต่น่าเสียดายฉินเฟยในเวลานี้รู้สึกทึ่งกับฉากในครัว

เขาตกใจยิ่งกว่าเห็นเจียงเยว่ถงเหม่อลอยอีก ไม่สังเกตเห็นสีหน้าของเจียงเยว่ถงด้วยซ้ำ

“ขะ ของพวกนี้คุณซื้อมาจากซูเปอร์มาร์เก็ตหรอ?”เสียงของฉินเฟยสั่นเครือ ห้องครัวที่อยู่ตรงหน้าจะเรียกว่าห้องครัวต่อไปอีกไม่ได้แล้ว ถ้าบอกว่าเป็นตลาดสดขนาดย่อมน่าจะมีคนเชื่อ มีอาหารทะเล ผัก หมู เห็ด เป็ด ไก่และผลไม้นานาชนิดเต็มห้องครัวไปหมด ไม่พูดถึงว่าแต่ละชนิดมีมากเท่าไร ลำพังแค่จำนวนของประเภทอาหารที่ซื้อมามากกว่าสามสิบชนิดขึ้นไป!

ฉินเฟยมองไปที่เจียงเยว่ถงด้วยความแปลกใจ ผู้หญิงคนนี้จะทำอะไรกันแน่ อยากเปิดตลาดสดในบ้านของตัวเองรึไงกัน?

“ฉันโทรหาคุณถามว่าคุณอยากจะกินอะไร คุณก็ไม่พูด ตอนนั้นฉันไม่รู้ว่าควรจะซื้ออะไรบ้าง ดังนั้นเลยซื้อมาอย่างละนิดอย่างละหน่อย แต่พวกผักกับเนื้อสัตว์มันเยอะเกินไป ฉันเอามาด้วยไม่หมด ทำได้แค่ซื้อมานิดหน่อย ขากลับฉันวิ่งหอบของกลับบ้านอยู่หลายเที่ยว ทำไมหรอ หรือในนี้ไม่มีของที่คุณอยากกิน?”เจียงเยว่ถงอธิบาย

“ซื้อแบบนี้โชคดีนะ”ฉินเฟยพูดบ่นอย่างเหนื่อยใจ จากนั้นหันกลับไปมองที่เขียง มีตำราอาหารที่อยู่ข้างๆเขียง และเขากำลังพลิกหน้าปลาไนตุ๋นน้ำแดง ปลาไนตัวใหญ่ที่มีน้ำหนักมากกว่าปลาสลิดสิบตัวยังถูกสับเป็นชิ้นขนาดต่างๆ ตัวเล็กๆถูกสับละเอียด ส่วนตัวใหญ่ถูกสับชิ้นละประมาณครึ่งกิโล เขาไม่รู้ว่าไนตัวนี้เป็นบาปเป็นกรรมอะไรของมัน ถึงได้ไปตกอยู่ในมือของผู้หญิงซื่อบื้อคนนี้

เห็นได้ชัดว่า ขณะที่เจียงเยว่ถงกำลังจัดการกับปลาไนตัวนี้เธอก็บาดโดนนิ้วของตัวเองเข้า และเสียง‘ก๊องแก๊ง’ที่ดังออกมาจากห้องครัวก่อนหน้านี้ก็คือเสียงที่กำลังจัดการเจ้าปลาไนตัวนี้นี่เอง แต่สิ่งที่ล้มเหลวที่สุดก็คือเธอจัดการอยู่ตั้งนานสองนานแต่กลับทำไม่สำเร็จ สุดท้ายยังเอามือของตัวของเข้าไปเสี่ยงด้วย

“เสียดายอะไร?ในนี้ต้องมีของที่นายชอบกินบ้างแหละ?”เจียงเยว่ถงรีบซักไซ้

นี่เป็นการซื้อผักในครั้งแรกของเธอ ตอนนั้นเดินเข้าเดินออกในซูเปอร์มาร์เก็ตสองครั้งติดถึงสามารถยัดของใส่รถจนเต็ม เอจำได้ว่าตอนนั้นรปภ.ที่เฝ้าหน้าประตูซูเปอร์มาร์เก็ตมองเธอด้วยสายตาประหลาด ก่อนหน้านี้เธอคิดว่าซื้อของมาเยอะขนาดนี้แต่กลับไม่มีของที่ฉินเฟยชอบกิน จึงรู้สึกผิดหวังในใจเล็กน้อย ตอนนี้พอได้ยินว่าฉินเฟยบอกโชคดีนะ เธอจึงรู้สึกดีใจมาก และคิดในใจว่าซื้อมาถูกแล้ว

เธอไม่ยอมรับว่าฉินเฟยเป็นสามีของเธอ เพราะก่อนหน้านี้ตกลงกันไว้แล้ว ตอนนี้พวกเขาอย่างมากก็อยู่ในช่วงศึกษาดูใจ แต่สามปีมานี้ ถึงแม้ว่าฉินเฟยจะทำให้ตัวเองรู้สึกไม่พอใจ แต่ในขณะที่อยู่บ้านก็ถือว่าอดทนต่อความยากลำบากและเสียงวิพากษ์วิจารณ์ โดยเฉพาะช่วงนี้ทำให้เธอต้องมองเขาใหม่ ซึ่งเปลี่ยนแปลงมุมมองพอสมควร ในใจของเธออยากลองยอมรับตัวตนของฉินเฟยดูสักครั้ง

ในฐานะที่ฉินเฟยเป็นสามีเขาทำอะไรมามากมาย และเธอก็คิดว่าตัวเองในฐานะที่เป็นภรรยา ก็ควรจะทำอะไรบางอย่าง

อีกทั้งนี่เป็นการซื้อผักในซูเปอร์มาร์เก็ตเป็นครั้งแรกในชีวิตของเธอ ในชีวิตนี้เลี่ยงได้ที่จะทำเรื่องครั้งแรกในชีวิตหวังว่าคนอื่นจะชื่นชมและยอมรับ เจียงเยว่ถงก็ไม่ต่างกัน

“ไม่มีอะไร จริงสิ มือของคุณได้รับบาดเจ็บแล้ว ไม่ต้องอยู่ห้องครัวแล้ว ไปดูโทรทัศน์เถอะ หรือกลับห้องไปนอนพักผ่อนซะ อาหารค่ำของวันนี้ผมจะทำเอง เดี๋ยวผมทำเสร็จแล้วจะไปเรียกคุณครับ”ฉินเฟยรู้สึกสับสนในใจมาก แต่ก็ไม่ได้อธิบายอะไร

ความหมายคำว่าโชคดีนะก็คือโชคดีที่เจียงเยว่ถงมีรถ ถ้าเป็นรถแทรกเตอร์ เธอคงเหมาหมดมาทั้งตลาดอย่างแน่นอน?เธอคงจะเปิดตลาดสดที่บ้านจริงๆแล้วล่ะ

หลังจากที่เจียงเยว่ถงได้ยินฉินเฟยพูดจบ ก็เผยให้เห็นสีหน้าแปลกใจ“คุณทำเมนูปลาเป็นด้วยหรอ?”

แน่นอนว่าเธอรู้ว่าฉินเฟยทำอาหารเป็น แต่ส่วนมากทำแค่ผัดผักธรรมดาๆเท่านั้น เนื่องจากเธอจะต้องดูแลรูปร่าง ในอาหารเย็นทุกมื้อเธอไม่เคยให้ฉินเฟยทำอาหารที่มีคอลเลสเตอรัลเลย สำหรับอาหารเช้าก็จะเป็นเมนูง่ายๆ

เธอคิดว่า ฉินเฟยทำอาหารเป็นแค่เมนูง่ายๆ แต่สำหรับเมนูปลาเขาทำไม่ค่อยเป็น

“พอได้ครับ เมื่อก่อนผมเคยทำ” ฉินเฟยพยักหน้า

“นี่เป็นปลาไนเชียวนะ เวลาตุ๋นจะต้องควบคุมไฟให้นะ ฉันเตรียมวัตถุดิบไว้หมดแล้ว ถ้านายทำไม่ได้ก็ดูตามหนังสือแล้วกัน นายทำเป็นจริงๆใช่ไหม?”

ฉินเฟยโบกมือไปมา ไม่พูดอะไร เจียงเยว่ถงที่จู้จี้ขี้บ่นเหมือนป้าข้างบ้านถูกไล่ออกจากห้องครัวทันที

เขาดูออกแล้ว และไม่จำเป็นต้องถามอะไรมากมาย ภรรยาสาวสวยของเขาคนนี้ทำอาหารไม่เป็นด้วยซ้ำ ถึงว่าล่ะสามปีมานี้ไม่เคยเห็นเธอเข้าครัวมาก่อนเลย

ตอนแรกคิดว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญ จะไม่ทำอาหารง่ายๆ ที่แท้ก็ทำไม่เป็นนี่เอง!

แม่เจ้าโว้ย เสียดายที่ก่อนหน้านี้เขาคาดหวังมาก รู้สึกมีความสุขมาก

แต่งงานกับภรรยาสุดสวยที่เรียบร้อยเป็นกุลสตรี ตัวเองช่างมีความสุขจริงๆ!

หลังจากที่ไล่หญิงสาวที่หมูเขาจะหามเอาคานเข้าไปสอดแล้ว ฉินเฟยก็มองไปยังห้องที่เต็มไปด้วยพืชผักด้วยสีหน้าครุ่นคิด ของเยอะขนาดนี้ เกรงว่าใช้เวลากินหนึ่งเดือนก็คงกินไม่หมด

แม่งเอ้ย ยัยผู้หญิงสุรุ่ยสุร่าย ใช้เงินไปเท่าไรเนี่ย!

ฉินเฟยเก็บข้าวของไปด้วยจัดไปด้วย เสียเวลาไปสิบกว่านาทีในที่สุดก็เก็บและแยกประเภทอาหารจัดเรียงเข้าไปในตู้เย็นและตู้ทั้งหมดสำเร็จ

เมื่อมองไปที่เตาอีกครั้ง เอาล่ะ วัตถุทุกอย่างเตรียมเสร็จแล้วจริงๆ ขิงซอยหนึ่งชาม กระเทียมฝานหนึ่งชาม พริกแดงแห้งหนึ่งชาม และชามใส่ของดำๆ ซึ่งน่าจะเป็นซีอิ๊วหมัก และซอสถั่วเหลืองหมักปลา ฉินเฟยไม่มีแรงบ่นอะไรอีกแล้ว เธอคงคิดว่าคนที่ต้องล้างถ้วยจานชามไม่ใช่เธอ! เขาพูดในใจว่าโชคดีที่ยัยบื้อคนนี้ โดนมีดบาด ถ้าเธอยังทำแบบนี้ต่อไป พรุ่งนี้ตื่นเช้ามาได้กินอาหารค่ำมื้อนี้ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว

หลังจากที่จัดการเสร็จเรียบร้อย เจียงเยว่ถงที่อยู่แง้มเปิดประตูออกมาก็ต้องตกตะลึงกับภาพอาหารค่ำที่เรียงรายอยู่ตรงหน้า ปลาไนตุ๋นน้ำแดงที่เจียงเยว่ถงใช้เวลาทำมาค่อนวัน แน่นอนว่าต้องทำให้เสร็จ แต่แน่นอนว่าพวกเขาไม่สามารถกินปลาไนห้ากิโลให้หมดได้ อย่างมากที่สุดก็ปรุงได้เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น

นอกจากนี้ ฉินเฟยยังทำอาหารมังสวิรัติง่ายๆ สองจาน นั่นก็คือเห็ดขึ้นฉ่ายฝรั่งและมันฝรั่งหั่นฝอยผัดเผ็ด และยังหุงข้าวหม้อเล็กอีกหนึ่งหม้อ เคลื่อนไหวอย่างช่ำชอง สะอาดและเรียบร้อย ทำเสร็จภายในครั้งเดียว ทำให้เจียวเยว่ถงที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูเบิกตากว้าง ปากก็ยังเป็นในลักษณะรูปตัว‘โอ’……

หลังจากที่เจียงเยว่ถงถูกไล่ออกจากห้องครัวเดิมทีเธอรู้สึกโกรธเล็กน้อย ในมุมมองของเธอ ตัวเองฉลาดขนาดนี้ ไม่ว่าเรื่องอะไรเธอเรียนรู้เร็วเสมอ ถึงเมื่อก่อนจะไม่เคยเข้าครัว ขอแค่ตนมีตำราอาหาร ไม่ว่าเมนูไหนเธอก็สามารถทำมันออกมาหอมอร่อย

แต่เมื่อเธอกำลังจะทำอย่างจริงๆจังๆ กลับพบว่าความจริงแล้วมันไม่ได้ง่ายเหมือนที่เธอจินตนาการไว้เลย ยกตัวอย่างเช่นการซอยขิงหั่นกระเทียมเป็นแว่น อย่าเห็นว่าเป็นเรื่องเล็กๆ แต่กลับทำให้เธอเสียเวลาไปเยอะมากพอสมควร สุดท้ายสิ่งที่ได้มามีทั้งหนาและบาง ซึ่งมันน่าเกลียดมากๆ และการจัดเตรียมอุปกรณ์ทำครัวก็ทำให้เธอวุ่นวายมาก ฉินเฟยอาบน้ำเสร็จแล้ว แต่เธอพึ่งเตรียมวัตถุดิบเสร็จ หลังจากนั้นก็มาวุ่นวายกับการจัดการปลา จนบาดโดนนิ้วของเธอ

แต่ว่าฉินเฟยที่อยู่ในห้องครัวกลับไม่เหมือนกัน ในตอนที่เธอเห็นฉินเฟยใช้อุปกรณ์ในครัวอย่างคล่องแคล่ว โดยเฉพาะตอนที่เห็นเขาหั่นมันฝรั่ง ที่ไม่ดูเลยแม้แต่น้อย มีดเหมือนกับนิ้วมือของเขายังไงอย่างงั้น หั่นได้ทั้งเร็วและมีมาตรฐาน มองดูจนเธออึ้งตะลึงตาค้าง

เป็นความจริงที่ว่า ฉินเฟยอยู่กับครัวมาสามปี แต่เธอไม่เคยเห็นมุมนี้มาก่อน คิดเพียงแค่ว่าเคล็ดลับเล็กๆน้อยเหล่านี้ เธอสามารถเรียนรู้มันได้อย่างรวดเร็ว!แต่ตอนนี้เธอพึ่งรู้ว่าเธอคิดง่ายเกินไป ที่แท้การทำอาหารก็เหมือนกับการทำธุรกิจ และเหมือนกับคำถามของนักศึกษา……

ผมเป็นเขย(ผู้ไม่ธรรมดา) บทที่ 71 ภรรยาสุดสวย(ตอนที่ 1)
จิตใจของฉินเฟยอยู่ในความสับสนวุ่นวาย ได้แต่กำลังลังเลว่าจะเป็นคนหรือสัตว์เดรัจฉาน!

ขงจื๊อกล่าวไว้ว่า: การขโมยอาหารก็เหมือนสัตว์ร้าย แต่ถ้ามีหญิงสาวสวยอยู่ต่อหน้าคุณ ถ้าคุณไม่กินมัน คุณก็ไม่ดีไปกว่าสัตว์เดรัจฉาน!

ฉินเฟยพยักหน้า แล้วยิ่งรู้สึกว่าคำพูดของขงจื้อมีเหตุผล

“ติ๊งต่อง”

เวลานี้เอง รูปโปรไฟล์ของเสิ่นเจียเหวินก็สั่นไหวอยู่หลายครั้ง“หลิวป๋อเหวินเป็นคนพาล หลายวันมานี้นายจะต้องดูแลตัวเองให้ดีนะ วันนี้โชคดีที่มีนาย แต่ว่านะฉันไม่พูดขอบคุณหรอกนะ หึ เพราะนายแตะอั๋งฉันไปทั้งตัวแล้ว”

เมื่อเห็นเสิ่นเจียเหวินส่งข้อความมา ฉินเฟยก็หน้าแดงอีกครั้ง

รูปโปรไฟล์ของเสิ่นเจียเหวินเหมือนกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ทำแก้มป่องปากบูดเบี้ยวผมเปียท่าทางเหมือนคนกำลังโกรธอย่างน่ารัก เป็นการยากที่จะจินตนาการว่าบุคคลในวีแชท เป็นผู้หญิงมืออาชีพที่เซ็กซี่และมีเสน่ห์

โดยเฉพาะชื่อเล่นวีแชทของเธอทำให้ฉินเฟยยิ่งรู้สึกขำ——ชิงอีคนขี้เซา!

จะเห็นได้ว่าผู้หญิงคนนี้ชอบนอนเพียงใด แต่เมื่อคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ถ้าไม่นอนจะมีรูปร่างหน้าตาสวยขนาดนี้ได้อย่างไร และสิ่งที่กินเข้าไปมันไปอยู่ที่ไหน

ทั้งๆที่เซ็กซี่มีเสน่ห์ แต่กลับมีด้านที่น่ารัก ฉินเฟิยไม่รู้จริงๆว่าจะเวทนาสงสารหญิงสาวที่ชีวิตขมขื่นผู้นี้อย่างไร

ฉินเฟยเดินไปตามถนนนอกชุมชนชั่วขณะ จากนั้นเขาก็ระงับความร้อนที่แผดเผาในใจของเขาได้ เสิ่นเจียเหวืนไม่เหมือนกับเจียงเยว่ถง เธอสามารถอยู่นิ่งๆไม่ขยับ ขณะที่ตนเองรังแกเธออยู่ แต่เจียงเยว่ถงไม่อาจทำได้ ถ้าสัตว์ร้ายในกายของเขาไม่อาจระงับควบคุมได้ แล้วกลับไปทำท่ามือไม้อยู่ไม่สุขกับเจียงเยว่ถง

เขาไม่เคยลืมเขาไปสัมผัสโดนของที่ไม่ควรสัมผัส และก็ถูกเจียวเยว่ถงถีบจนตกเตียง

เมื่อคิดถึงจุดนี้ ฉินเฟยก็รีบหาเบอร์โทรศัพท์ของเจียวเยว่ถง แล้วโทรออกทันที

เสียงโทรศัพท์ดังอยู่หลายครั้ง ฉินเฟยได้ยินเจียงเยว่ถงพูดด้วยน้ำเสียงกระวนกระวายใจ

“หึๆ เมียจ๋ามีอะไรหรอครับ?”ฉินเฟยพยายามทำให้น้ำเสียงเป็นธรรมชาติที่สุด

“นายทำอะไรลงไป?”เสียงของเจียงเยว่ถงที่อยู่ปลายสายรู้สึกโกรธเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเธอรู้สึกไม่พอใจที่ฉินเฟยตัดสายไป

“ผมกำลังออกกำลังกาย”ฉินเฟยกล่าว ด้วยความตื่นเต้น เจียงเยว่ถงมาถึงก็ถามว่าเขาอยู่ไหน ทำให้หัวใจที่รู้สึกกังวลใจยิ่งรู้สึกกลัวมากยิ่งขึ้น เขาคิดในใจว่าตนพึ่งเตรียมจะแอบแซ่บกับคนอื่น คงไม่ได้ถูกเมียจับได้หรอกนะ?

“ตอนนี้ฉันอยู่ที่ซูเปอร์ นายยังไม่ได้กินอะไรใช่ไหม คืนนี้จะกินอะไรล่ะ?”

หลายวันมานี้ฉินเฟิยเอาแต่ออกกำลังกาย ในหลายๆครั้งจะออกกำลังกายจนดึกดื่น จุดนี้เจียงเยว่ถงรู้ดี เมื่อได้ยินเขาอธิบายจึงไม่โกรธอีก เพียงแต่น้ำเสียงยังคงเรียบเฉย

เมื่อได้ยินคำพูดของเธอ ฉินเฟยกลับเบิกตากว้าง อ้าปากค้าง ตอนนี้ยังไม่ถึงหนึ่งทุ่มเลยนะ จากลักษณะนิสัยการทำงานของเจียงเยว่ถงในหลายวันที่ผ่านมาเธอมักจะทำโอทีไม่ใช่หรอ ทำไมถึงไปซูเปอร์ได้ล่ะ?อีกทั้ง ตกลงผู้หญิงคนนี้เป็นอะไร?ถามตนว่าอยากกินอะไร?หรือเธอจะลงมือทำอาหารให้เขากิน?

โอ้โห พระอาทิตย์ขึ้นมาจากทิศตะวันตกแล้ว แต่งงานมาสามปี ผู้หญิงคนนี้ไม่เคยเข้าครัวเลยแม้แต่ครั้งเดียว คาดว่าประตูห้องครัวอยู่ไหนเธอคงลืมไปแล้ว ถึงแม้จะตกใจ แต่ฉินเฟยก็รู้สึกดีใจมาก รู้สึกความมีความสุขมาก

หลังจากสามปีแห่งความยากลำบาก วันของตัวเองก็มาถึงแล้ว ?

“ช่างเถอะ ฉันซื้อเองแล้วกัน”ไม่รอให้ฉินเฟยตอบกลับ เจียงเยว่ถงก็พูดประโยคหนึ่งแล้วตัดสายไป

ไกลออกไปประมาณห้ากิโลเมตรมีซูเปอร์ขนาดใหญ่เจียงเยว่ถงที่สวมชุดกระโปรงทำงานถึงกับขมวดคิ้ว เมื่อมองดูผักและเนื้อสัตว์ที่อัดแน่นอยู่ตรงหน้า ด้วยความกังวล

ตั้งแต่เล็กจนถึงโตเธอยังไม่เคยเข้าครัวเลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่หลังจากที่แต่งงานมาหลายวันก็มีแต่ฉินเฟยเป็นคนซื้อของในบ้าน เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรซื้ออะไร ดังนั้นหลังจากที่เดินไปรอบหนึ่งพึ่งนึกได้ว่าต้องโทรสอบถามฉินเฟย

ที่แท้เธออยากจะโชว์ฝีมือปลายจวักของตัวเองเพื่อเป็นรางวัลให้กับผู้ชายคนนี้ แต่ตาบ้านี่กลับไม่พูดอะไรสักคำ

เจียงเยว่ถงส่ายหัวไปมา แล้วพูดในใจ:ช่างเถอะ ในเมื่อมาแล้ว งั้นก็ซื้ออย่างละนิดอย่างละหน่อยแล้วกัน แบบนี้ไม่ว่าไอ้หมอนี่จะชอบกินอะไรก็จะได้กินทั้งหมด

มือเล็กๆของเจียงเยว่ถงผลักรถเข็นไปตรงหน้า เข้าไปสู่กลุ่มฝูงชนบรรดาป้าๆ เริ่มซื้อผักครั้งใหญ่เป็นครั้งแรกของชีวิต……

หลังจากเดินออกจากชุมชนหมิงเจียฮุ่ย ฉินเฟยก็พึ่งสังเกตเห็นว่าไม่ไกลจากหมู่บ้านเทียนหลันมีถนนสองเส้น

“ติ๊งต่อ……”เวลานี้เอง ชิงอีคนขี้เซาส่งข้อความมาอีกครั้ง

ฉินเฟยเปิดข้อความอ่านด้วยความประหลาดใจ

“คืนนี้ฉันอาบน้ำไม่ได้จริงๆ?แต่ถ้าไม่อาบฉันก็รู้สึกไม่สบายตัว”เสิ่นเจียเหวินพูดจบ ด้านหลังก็มีตัวอิโมจิน่าสงสาร

ฉินเฟยตอบกลับอย่างทำอะไรไม่ได้“ถ้าเธออาบน้ำจะต้องใช้น้ำร้อนแน่ ถือซะว่าเป็นการประคบร้อน ซึ่งจะทำให้ข้อเท้าของเธอบวมขึ้น”

“งั้นฉันก็ยื่นเท้าออกไปนอกอ่างก็พอแล้วหนิ?”

ฉินเฟย“……”

ฉินเฟยพูดไม่ออก จึงพิมพ์ไปสี่คำ“ฉลาดจริงๆ!”

“ฉันไม่สนใจหรอก ฉันถอดเสื้อผ้าแล้ว”

ฉินเฟยถึงกับหมดคำพูด พูดในใจว่าเสิ่นเจียเหวินกำลังหว่านเสน่ห์ให้เขางั้นหรอ?

ฉินเฟยเก็บมือถือ แล้วเดินไปตามถนนอย่างเบื่อๆ ในสมองมักจะปรากฏภาพของเสิ่นเจียเหวินเปลือยกายนอนอยู่ในอ่างอาบน้ำ โดยเฉพาะเท้าที่เอาออกมาวางด้านนอก ท่านั้น……

ฉินเฟยนึกคิดจนเลือดกำเดาเกือบไหล เขารีบสะบัดความคิดบัดซบต่างๆออกไป

เขาเดินอยู่รอบๆถนนสองรอบเต็มๆ พยายามระงับเพลิงไฟที่ลุกโชนให้ใจ แล้วค่อยเดินเข้าไปในหมู่บ้านเทียนหลัน

“ติ๊ง……”

ประตูลิฟต์ถูกเปิดออกชั้นเก้า ฉินเฟยพบว่าด้านในสว่างไสว พอเคาะประตูในบ้าน กลับไม่มีแม้แต่เงาคุณ

ฉินเฟยขมวดคิ้วทันทีและรีบเข้าไป แต่กลับพบว่าเจียงเยว่ถงยืนอยู่ที่ทางเข้า วางเสื้อโค้ตของเขาบนไม้แขวน และมีถุงผักสองถุงอยู่ที่เท้าของเธอ เห็นได้ชัดว่าเพิ่งกลับมาจากซูเปอร์มาร์เก็ต

เจียงเยว่ถงพบว่าคือฉินเฟย จึงมองเขาแวบหนึ่ง แล้วค่อยๆก้มเปลี่ยนรองเท้า

เจียงเยว่ถงในวันนี้สวมชุด แฟชั่นเซ็กซี่ ขาเรียวยาวของเธอไม่ได้ใส่ถุงน่อง แต่กลับขาวมากๆ ขาที่ขาวกับหิมะมีความโค้งที่รับกันอย่างสมบูรณ์แบบ

ฉินเฟยยืนอยู่ด้านหลัง มองดูภรรยาสาวของตนเอง อย่างตาตั้ง

ฉินเฟยพึ่งพบว่า ขาของภรรยาเขา มันยาวมากๆ

ในขณะที่ฉินเฟยกำลังสะท้อนใจอยู่นั้น เจียงเยว่ถงที่สวมรองเท้าเสร็จก็ลุกขึ้นยืนแล้วหันหลังมาจ้องหน้าฉินเฟยอย่างกะทันหัน

ฉินเฟยถูกเธอจ้องจนต้องขำแห้งๆ แล้วลูบจมูกไปมาอย่างเขินๆ ในใจรู้สึกหมดคำพูด พูดในใจว่าผู้หญิงคนนี้เป็นเทพหรอ ทำไมถึงรู้?

“คืนนี้ไปไหนมา?” เจียงเยว่ถงหยิบผักที่วางอยู่ข้างๆเท้าขึ้นมาด้วย ถามเขาอย่างไม่ใส่ใจไปด้วย

“ไม่ได้ไหนหนิครับ ทำโอทีมานิดหน่อยแล้วก็ไปออกกำลังกายมาครับ” ฉินเฟยพูดอธิบาย อย่างมีลับลมคมใน และหยิบรองเท้าที่เจียงเยว่ถงเปลี่ยนเอาไปเก็บอย่างปอดแหก

“กลิ่นน้ำหอมยี่ห้อไหนโอเค” เสียงเรียบเฉยว่าเจียงเยว่ถงลอดผ่านมา

ฉินเฟยสะดุ้ง เกือบหกล้มลงกับพื้น เจียงเยว่ถงหมายความว่าไง? หรือว่า……

ในขณะที่เขากำลังคิดว่าจะอธิบายยังไง แต่กลับเห็นเจียงเยว่ถงหิ้วถุงผักเข้าไปในห้องรับแขกแล้ว

ฉินเฟยมองแผ่นหลังของเจียงเยว่ถงอย่างตกตะลึง ด้วยใบหน้าแปลกใจ แต่แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้นกันเนี่ย?

ไม่เป็นไรใช่ไหม?

ฉินเฟยยกมือขึ้นสูดดมเสื้อผ้าของตัวเองพบว่านอกจากกลิ่นเหงื่อแล้วไม่มีกลิ่นอย่างอื่นของผู้หญิงเลย

ฉินเฟยรู้สึกผิดในใจ เจียงเยว่ถงไม่สืบสาวราวเรื่องต่อ แน่นอนว่าเขาไม่กล้าพูดอะไร

เขาเอียงหัวมองไปทางห้องครัว ถึงจะไม่เชื่อว่ามันนี่เป็นความจริง แต่เมื่อเจียงเยว่ถงเดินเข้าไปในห้องครัวก็ไม่ได้ออกมาอีกเลย อีกทั้งด้านในมีเสียงของก๊อกน้ำดังขึ้น ‘ซู่ๆ’เจียงเยว่ถงกำลังล้างผัก

ตอนแรกฉินเฟยที่คิดว่าเจียงเยว่ถงจะซักไซ้ถึงกับก่นด่าตัวเอง ยิ่งมั่นใจว่าการแสดงออกของเจียงเยว่ถงในวันนี้จะต้องมีปัญหาอย่างแน่นอน เขาอยากเข้าไปถามในครัว แต่ก็กลัวว่าตัวเองยังไม่ทันเข้าไป ก็มีดบินปลิวลอยมาปักใส่หัวของเขา

เขายืนอยู่ด้านนอกครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าเจียงเยว่ถงไม่ได้ปามีดออกมาจากด้านใน ในที่สุดเขาจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก แล้วเหลือบมองอยู่ข้างๆประตู นอกจากกระเป๋าของเจียงเยว่ถงแล้ว ยังมีชุดนอนสีเทาชุดหนึ่งวางอยู่บนเคาน์เตอร์ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นของผู้ชาย

หรือว่าเธอจะซื้อชุดนอนชุดนี้ให้เขา?เมื่อคิดได้ดังนั้น ฉินเฟยก็ถุงออกเพื่อวัดตัว และปรากฏว่ามันถูกต้อง เขามองขึ้นไปทางห้องครัวและยิ่งงงเข้าไปอีก

ในขณะเดียวกันก็อดที่จะคิดไปไกลไม่ได้ เจียงเยว่ถงคงไม่ได้ทำผิดต่อเขาใช่ไหม?ไม่อย่างงั้นจู่ๆทำไมถึงทำอาหารค่ำและซื้อชุดนอนให้เขาล่ะ?

แต่ว่าพอมานึกๆดูแล้วก็เป็นไปไม่ได้นินา เป็นคู่สามีภรรยากันมาสามปี ฉินเฟยรู้ดีว่าเจียงเยว่ถงเป็นผู้หญิงอย่างไร เธอซื่อสัตย์ต่อความสัมพันธ์ของเธอมาก แม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้สึกอะไรต่อกัน

ในห้องครัวมีเสียงดัง‘เพร้งพร้างๆ’ลอดออกมา ฉินเฟยรู้สึกแปลกใจมาก ไม่รู้ว่าเจียงเยว่ถงกำลังต่อสู้กับกับอะไรด้านใน แต่เขาก็ไม่กล้าพอที่จะเข้าไปดู โดยเฉพาะเมื่อนึกถึงคำพูดของเจียงยว่ถง เขารีบเข้าไปหยิบเสื้อผ้าของตัวเอง แล้วเข้าห้องน้ำไป

หลังจากอาบน้ำแล้ว ฉินเฟยก็เปลี่ยนชุดนอน และนำชุดที่เจียงเยว่ถงซื้อให้ตนไปในเครื่องซักผ้า

เมื่อเดินออกจากห้องน้ำ เอียงศีรษะเพื่อดูเสียงวุ่นวายในครัว ฉินเฟยยิ้มอย่างรู้เท่าทัน เมื่อเทียบกับประสบการณ์ในช่วงสามปีที่ผ่านมา ตอนนี้เขาเหมือนผู้ชายมากขึ้นเรื่อยๆสำหรับครอบครัว และเจียงเยว่ถงก็เป็นภรรยาที่ดีมากขึ้น ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ พวกเขาสามีภรรยาอยู่ในบ้านด้วยกันแบบนี้ทุกวัน มันก็คงไม่ไกลจากอนาคต?

อีกอย่าง ก่อนหน้านี้พ่อตาบอกแล้วว่า ให้ตนกับเจียงเยว่ถงรีบมีลูกกัน

ไม่รู้ว่าทำไม เมื่อนึกถึงสิ่งนี้แล้วทำให้ฉินเฟยรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก

ฉินเฟยนั่งอยู่บนโซฟาและนึกขึ้นได้ว่าในมือของเขามีกล่องหรูอยู่ใบหนึ่ง เมื่อเขาเปิดออก ก็พบชุดนอนสีม่วงอ่อนอยู่ด้านใน เห็นได้ชัดว่ามันเป็นของเจียงเยว่ถงที่เพิ่งซื้อมาจากซูเปอร์มาร์เก็ตเช่นกัน

เขายื่นมือไปลูบเนื้อผ้าเบาๆ แม่เจ้าโว้ย ผู้หญิงคนนี้ไม่ทำให้ตัวเองเสียเปรียบจริงๆ ชุดนอนชุดนี้มันแพงกว่าชุดของตัวเองแพงมากกว่าครึ่ง

“ห๊ะ……”ฉินเฟยกำลังพูดพึมพำ เมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องของเจียงเยว่ถง เสียงไม่ดังมาก แต่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว

ฉินเฟยสะดุ้ง เขากระโจนขึ้นโดยสัญชาตญาณ เร่งฝีเท้าไม่กี่ก้าว และปรากฏตัวที่ประตูห้องครัวในทันที……

ผมเป็นเขย(ผู้ไม่ธรรมดา) บทที่ 70 กินในจานไม่ได้เลยมากินในหม้อแทน!
วันนี้อากาศดีมาก เมื่อตกกลางคืน ลมยามค่ำคืนก็พัดโชยอย่างเย็นสบาย

เมื่อสายลมพัดผ่าน ท่ามกลางช่องผ้าม่านที่สั่นไหว และภายใต้แสงไฟคริสตัลที่สว่างไสว ผู้ชายคนหนึ่งกับผู้หญิงคนหนึ่งกำลังโอบกอดและสบตากัน

ฉินเฟยมองไปยังใบหน้าที่ใกล้แค่เอื้อมอย่างไม่กระพริบตา ช่างงดงามประณีตราวกับผลงานศิลปะชิ้นหนึ่ง เพียงแวบเดียว เขาก็เริ่มหายใจถี่ขึ้น

เสิ่นเจียเหวินนอนเอนอยู่ในอ้อมอกของฉินเฟยอย่างสงบ รับรู้สัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงไอความร้อนที่พ่นลงบนแก้มของตัวเอง ยิ่งใกล้มากขึ้น ยิ่งใกล้มากขึ้น……

บนโซฟา มือของเสิ่นเจียเหวินเองก็อดที่จะประหม่าไม่ได้เลยจับพรมบนโซฟาเอาไว้ โดยเธอที่เคยอาบน้ำร้อนมาก่อนนั้นก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมตัวเองถึงได้ตื่นเต้นขนาดนี้ ราวกับว่าเป็นความตื่นเต้นเหมือนกับรักครั้งแรก

เธอยังไม่ทันจะลืมตา ก็รู้สึกว่าปากของตัวเองนั้นถูกปิดกั้นเอาไว้แล้ว

เสิ่นเจียเหวินรู้สึกได้ว่า ฉินเฟยตื่นเต้นอย่างมาก ถึงขนาดทำอะไรไม่ถูก โดยที่มือใหญ่สองข้างได้ทำการโอบกอดตัวเองไว้แน่น

เหมือนว่าเขาตื่นเต้นจนไม่สามารถที่จะควบคุมกำลังของตนเองเอาไว้ได้แล้ว!

ราวกับว่าจะนำร่างของเธอรวมใส่เข้าไปในร่างของตัวเขาเองด้วย

ทันใดหลังจากนั้น ก็มีกลิ่นอายลมหายใจของความเป็นผู้ชายที่รุนแรง เหมือนต้องการจะทะลุผ่านร่างกายของเธอ

ฉินเฟยกำลังพยายามควบคุมความตื่นเต้นของตนเองอย่างชัดเจน เขาต้องการให้การกระทำของเขานั้นอ่อนโยนขึ้น แต่เขาจูบอย่างไม่ชำนาญ โง่เขลา แต่เพราะความไม่ชำนาญนี้ กลับยิ่งทำให้เสิ่นเจียเหวินเคลิบเคลิ้มมากขึ้น

ฉินเฟยโตขนาดนี้แล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เขาจูบผู้หญิง

เวลานี้ ฉินเฟยถึงขนาดหลงลืมไปเลยว่าตนเองอยู่ที่ไหน หลงลืมไปเลยว่าเสิ่นเจียเหวินที่อยู่เบื้องหน้านี้คือลูกน้องของตนเอง เขาคิดเพียงแต่จะครอบครองผู้หญิงคนนี้ให้ได้

ฉินเฟยไม่รู้ไม่เข้าใจเรื่องเหล่านี้ เอาแต่จูบอย่างมั่วซั่ว

การที่เสิ่นเจียเหวินไม่ดิ้นรน ไม่ปฏิเสธ ยิ่งทำให้ฉินเฟยคุ้มคลั่งอย่างสิ้นเชิง……

“กริ๊งงงง……” ในขณะนั้นเอง เสียงโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงของฉินเฟยก็ดังขึ้น

โทรศัพท์สั่นและยังมีเสียงเรียกเข้าที่เป็นเนื้อเพลงสนุกสนาน: “คุณคือลูกตัวน้อยของฉัน แอปเปิ้ลน้อย ฉันไม่มีวันรักคุณมากเกินไป…”

ฉินเฟยพลันตื่นขึ้นมาจากความหลงใหลเคลิบเคลิ้ม โทรศัพท์ที่ดังขึ้นอย่างกะทันหันไม่เพียงแต่จะทำลายความเคลิบเคลิ้มของเขาเท่านั้น โดยเฉพาะเพลงเรียกเข้าที่สนุกสนาน ยิ่งทำลายบรรยากาศอันคลุมเคลือภายในห้องลงอย่างสิ้นเชิง ช่างไม่ได้เรื่องเสียจริงเลย

ในขณะเดียวกัน เสิ่นเจียเหวินที่นอนเอนอยู่ในอ้อมอกของฉินเฟยนั้นก็ค่อย ๆ ลืมตาขึ้น

“ฉัน ฉันขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจ” ฉินเฟยเหงื่อไหลท่วมตัว และยิ่งเขินอายจนแทบจะตายลงไปกับที่ แทบทนรอไม่ไหวที่จะสับไอ้คนที่โทรมาหานี้ออกเป็นเสี่ยง ๆ

“คุณรับโทรศัพท์ก่อนเถอะ” เสิ่นเจียเหวินเองก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี เธอเองก็เขินอายมากเหมือนกัน เวลานี้ที่ตั้งสติขึ้นมาได้นั้น ก็รู้สึกอับอายและเสียใจขึ้นชั่วขณะเช่นกัน

เธอประทับใจต่อชายหนุ่มคนนี้จริง ๆ แต่ถ้าจะพูดว่าเป็นความรู้สึก มันก็คงจะยังไม่ใช่ เพียงแค่วันนี้ตัวเองมีจิตใจที่หวั่นไหวมากเกินไป ไม่สามารถควบคุมสติสัมปชัญญะของตัวเองได้ทันท่วงที จึงรู้สึกอับอายใจเป็นอย่างมาก

เมื่อคิดถึงว่าตัวเองนั้นก็ถือเป็นผู้ใหญ่กว่า และยังเป็นอาคนเล็กของเสิ่นหลิงเอ๋อร์ด้วย แต่กลับเกือบที่จะมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเพื่อนร่วมชั้นของเขาแล้ว ซึ่งรู้สึกอับอายใจเป็นอย่างมาก

ฉินเฟยอ้าปาก แต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไร แล้วก็หยิบโทรศัพท์ออกมาด้วยความโกรธ และดุด่าสาปแช่งในใจ

แม่งสิ หากไม่ใช่โทรศัพท์นี้ดังขึ้น คาดว่าวันนี้ตนเองคงจะกลายเป็นผู้ชายตามที่ใฝ่ฝันมานานแล้ว!

เมื่อฉินเฟยหยิบโทรศัพท์ออกมาดู เห็นสายเรียกเข้าบนหน้าจอ ก็ตกใจจนแทบจะเขวี้ยงโทรศัพท์ทิ้ง

ศรีภรรยา?

เจียงเยว่ถงโทรศัพท์มาหา?

แต่งงานมาสามปี ทั้งสองคนโทรศัพท์หากันแทบจะนับครั้งได้ แม้ว่าในตอนนี้ก็เหมือนกัน เจียงเยว่ถงเหมือนจะเคยชินกับการใช้วีแชดและข้อความติดต่อกับฉินเฟยแล้ว

ฉินเฟยกลัวว่าเจียงเยว่ถงจะได้ยินอะไร จึงรีบตัดสายทิ้งทันที

“หากนายมีธุระอะไรก็ไปก่อนได้นะ ฉัน ฉันไม่เป็นอะไรแล้ว เรื่องในวันนี้ก็ถือว่าไม่เคยเกิดอะไรขึ้นมาก่อน” เสิ่นเจียเหวินพูดขึ้นพร้อมกับสังเกตท่าทีของฝ่ายตรงข้าม

อะไรวะ!

พูดแบบนี้ ฉินเฟยก็รู้สึกละอายใจ การที่ไปรังแกคนอื่นถึงขนาดนี้แล้ว แม้ว่าจะยังไม่ถึงขั้นสุดท้ายนั้น แต่ฉินเฟยมองว่า ก็ยังคงเป็นการล่วงเกินคนอื่นแล้ว แต่ตนเองก็มีภรรยาอยู่แล้ว จึงไม่อาจที่จะพูดถึงความรับผิดชอบอะไรได้

เสิ่นเจียเหวินก้มหน้าลง ยิ้มอย่างขมขื่นอยู่ในใจ นอกจากจะพูดแบบนี้แล้ว เธอยังสามารถพูดอะไรได้อีกล่ะ?

ฉินเฟยยิ้มอย่างเก้อเขิน ในสถานการณ์เช่นนี้ หากเขายังคงอยู่ที่นี่ต่อคงจะทำให้ทั้งสองคนยิ่งเก้อเขินกันเข้าไปใหญ่ จึงพยักหน้า แล้วรีบเดินจากไปทันที

โดยที่ไม่พูดจาอะไรสักคำ แล้ววิ่งหนีหายไปอย่างไร้ร่องรอย

ไม่รู้ว่าทำไม เมื่อมองไปยังประตูบ้านที่ปิดลง เสิ่นเจียเหวินก็พิงเข้ากับโซฟาอย่างใจลอย เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าภายในบ้านอ้างว้างเปล่าเปลี่ยว ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลย

ภายในหัวสมองนึกถึงภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ของทั้งสองคน เสิ่นเจียเหวินก็พลันตระหนักได้ถึงความโง่เขลาของฉินเฟย แปลกใจว่า ไอ้หนุ่มนี้ไม่เคยสัมผัสแตะต้องผู้หญิงมาก่อนเลยจริง ๆ เหรอ?

เสิ่นเจียเหวินพูดพึมพำคนเดียว แล้วก็หัวเราะก๊ากขึ้น และก้มหน้ามองลงไปที่ข้อเท้าที่ประคบด้วยน้ำแข็ง เนื่องจากเมื่อครู่ทั้งสองคนขยับเคลื่อนไหวไปมาจึงได้ตกหล่นลงไปบางส่วนแล้ว ไม่รู้ว่าหัวสมองคิดเรื่องอะไรขึ้นมา ใบหน้าจึงแดงก่ำขึ้นอย่างกะทันหัน……

ฉินเฟยแทบจะวิ่งลงมาจากชั้นสิบเอ็ด เมื่อออกไปจากตึกแล้ว ถึงจะถอนหายใจยาว

หันหลังกลับไปมองแสงสว่างของไฟบนชั้นสิบเอ็ด ฉินเฟยตีไปที่ศีรษะแล้วก็พลันนึกขึ้นได้ว่าดาบเสวี่ยอิ่นของตนเองนั้นยังอยู่ในรถของเสิ่นเจียเหวิน

แต่เมื่อครู่ทั้งสองคนกระทำเรื่องดังกล่าวขึ้น ต่อให้เขาหน้าด้านขนาดไหนก็คงไม่กล้าที่จะกลับไปขอกุญแจรถจากเธอแน่นอน

แม้ว่าจะเป็นแบบนี้ ฉินเฟยก็ยังรีบหยิบโทรศัพท์ออกมา เปิดวีแชดและค้นหาเสิ่นเจียเหวิน พร้อมกับพิมพ์ข้อความอย่างรวดเร็ว: “ใช่แล้ว ลืมบอกคุณไปเลยว่า จากนี้ไปสักระยะหนึ่งคุณห้ามใส่รองเท้าส้นสูงเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะส่งผลกระทบต่อบริเวณที่บาดเจ็บ วันนี้ก็ไม่ต้องอาบน้ำแล้ว แหะแหะ ฉันอนุมัติให้คุณลาหยุดงานสองวัน เพื่อพักผ่อนอยู่ที่บ้าน”

เมื่อส่งวีแชดออกไปแล้ว ฉินเฟยก็รีบเดินออกไปจากหมู่บ้าน ในขณะเดียวกันก็เห็นข้อความที่เจียงเยว่ถงภรรยาของเขาส่งมา: “คืนนี้ยังจะต้องทำโอทีอีกไหม? ต้องกลับมาบ้านนะ”

ข้อความส่งมาเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้ แต่ตอนนั้นตนเองกำลังโอบกอดเสิ่นเจียเหวินและฟังหล่อนเล่าชีวิตความหลังอยู่ โดยที่ไม่ได้ยินข้อความดังขึ้นแม้แต่น้อย

มิน่าล่ะที่ทำไมเจียงเยว่ถงถึงได้โทรศัพท์มาหาเขา ที่จริงแล้วก็เพราะตนเองไม่ได้ตอบข้อความกลับ

เมื่อนึกถึงเสิ่นเจียเหวิน ก็นึกถึงภรรยาของตนเอง ฉินเฟยจึงอดที่จะละอายใจไม่ได้ ถึงขนาดที่มีความรู้สึกผิดต่อเจียงเยว่ถงด้วย

“กริ๊งงงงง……” ในขณะนั้นเอง โทรศัพท์ของฉินเฟยก็ดังขึ้นอีกครั้ง เป็นเสิ่นเจียเหวินที่โทรวีแชดมาหา

ฉินเฟยมองไปยังโทรศัพท์ที่มีเสียงเรียกเข้านั้นแล้วก็อึ้งอยู่กี่วินาที ในที่สุดก็ได้กดรับสาย

“อืม เท้าของคุณยังเจ็บอยู่ไหม? ” ฉินเฟยควบคุมความเขินอาย พยายามทำให้น้ำเสียงของตนเองเป็นธรรมชาติมากหน่อย

“ฉินเฟย คืนวันนี้ฉันเองที่บุ่มบ่ามไป แต่ฉันหวังว่าเรื่องนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างพวกเราสองคน ถือซะว่าไม่เคยเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาก่อน” เสิ่นเจียเหวินพูดขึ้น

คำพูดของเสิ่นเจียเหวินยิ่งทำให้ฉินเฟยละอายใจมากขึ้นไปอีก และพูดออกไปอย่างหุนหันพลันแล่นว่า: “ไม่ได้ ฉันจะรับผิดชอบ ฉันสามารถที่จะปกป้องคุณ สามารถที่จะดูแลคุณได้ ฉัน……”

“น้องฉินเฟย นายกำลังสารภาพรักกับพี่อย่างนั้นเหรอ? ” เสิ่นเจียเหวินพลันพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม

“ฉัน……” ฉินเฟยสำลักในทันทีโดยที่อ้ำอึ้งพูดอะไรไม่ออก

“ไม่ใช่ว่าจะมาจีบฉันได้ง่าย ๆ นะ อีกทั้ง ฉันได้คิดล่วงหน้าเอาไว้แล้วว่า ต่อไปฉันจะไม่แต่งงานแล้ว” เสิ่นเจียเหวินพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ผ่อนคลาย: “นายอย่าได้มีภาระทางจิตใจอะไรเลย และต่อไปนายก็กำลังคิดที่จะรักษาระยะห่างกับฉันด้วยใช่ไหม? ”

“อ่า? คุณรู้ได้อย่างไร? ” ฉินเฟยพลันอุทานขึ้นด้วยความตกใจ พูดตามจริงว่า ในสมองของเขาได้เคยคิดถึงเรื่องนี้ด้วย

ในเมื่อไม่สามารถรับผิดชอบได้ ก็อย่าได้ไปยุ่มย่ามกับหล่อน เสิ่นเจียเหวินเป็นผู้หญิงที่ดี

“บอกนายไว้เลยว่า เรื่องแบบนี้นายไม่ต้องแม้แต่จะคิด เมื่อครู่ใครพูดว่าจะดูแลฉัน? หากว่าต่อไปนายกล้าที่จะไม่สนใจฉัน ฉันก็จะให้คนในบริษัททั้งหมดรับรู้ว่า ประธานกรรมการผู้บริหารคนใหม่นี้ได้ข่มขืนใจรองประธานบริษัท”

จบข่าว!

ฉินเฟยโซซัดโซเซขณะที่ในมือยังถือโทรศัพท์ แทบจะล้มกองลงไปที่พื้น

“ฉัน……”

“พอเถอะ อย่าได้มาฉันฉันคุณคุณอะไรอีกแล้ว เรื่องที่อนุมัติให้ฉันหยุดงานสองวันนั้นยกเลิกไปเสียเถอะ ฉันไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น พักผ่อนแค่วันเดียวก็พอแล้ว พรุ่งนี้นายมาขับรถของฉันไปได้ ฉันเองยังไม่จำเป็นต้องใช้ มะรืนนี้ก็อย่าลืมมารับฉันไปทำงานด้วยล่ะ แค่นี้แล้วกัน” ฉินเฟยมองไปยังวีแชดคอลที่เพิ่งวางสายลงไปอย่างเหม่อลอย พร้อมกับมีรอยยิ้มขมขื่นขึ้นที่มุมปาก

เรื่องจริงก็เป็นแบบนี้ เรื่องราวในค่ำคืนนี้ของพวกเขาทั้งสองคนนั้นได้เกินเลยความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนไปแล้ว หากคิดที่จะเป็นเหมือนเมื่อก่อนก็คงจะเป็นไปไม่ได้แล้ว

หากว่าต่อไปจะยุติความสัมพันธ์กับเสิ่นเจียเหวินจริง ๆ ล่ะก็ ฉินเฟยเองก็ลังเลใจอยู่ลึก ๆ เหมือนกัน

กินในจานอยู่แต่ก็ยังมองไปที่ในหม้ออีก ช่างโลภมากเสียจริง

บางที นี่ก็คือความเลวทรามของผู้ชายที่ติดตัวมาแต่กำเนิด

ที่จริง น่าจะพูดว่าในจานเองก็ยังไม่ได้กิน คิดที่จะกินในหม้อ แต่กลับเกรงใจที่จะกิน!

“ไม่ได้ จะต้องพูดออกมา ฉันชอบคนอื่นชมว่าฉันสวยงามและมีรูปร่างดี”

เวลานี้เงาร่างของเธออวบอิ่มสง่างาม ผมสีดำและเสื้อเชิ้ตบนร่างของเธอยุ่งเหยิงเล็กน้อย โดยแสดงออกถึงความน่ารักแต่กลับมีความน่าหลงใหลสุดพิเศษเพิ่มขึ้นอีกด้วย

ฉินเฟย: “……”

“สวยงามแต่ไม่ยั่วยวน แพรวพราวแต่ไม่ล้าสมัย ท่วงท่าสง่างดงาม ไม่มีใครเปรียบเทียบได้” ฉินเฟยพูดขึ้นอย่างจำใจ แต่กลับเห็นว่าเสิ่นเจียเหวินได้หรี่ตาลง จนแทบจะเป็นพระจันทร์เสี้ยว เหมือนว่าจะยอมรับอย่างมากที่ตนเองพูดชมอย่างจริงใจ

“นอกจากนี้ คุณคงจะได้รับการสั่งสอนอบรมมาเป็นอย่างดีตั้งแต่เด็ก และใช้ชีวิตอย่างร่ำรวยสุขสบาย” ฉินเฟยมองเห็นน่องขาขาวนวลของเธอที่วางพาดอยู่บนโซฟาแล้ว ก็คิดว่าผิวหนังที่สวยงามแบบนี้คงจะถูกแช่ในน้ำนมมาตั้งแต่เด็ก หากไปจูบดูคงน่าจะมีกลิ่นหอมของน้ำนมด้วยแน่นอน

เสิ่นเจียเหวินเม้มปาก ส่ายศีรษะและพูดว่า: “เรื่องนี้นายทายผิดแล้ว ชีวิตในวัยเด็กของฉันไม่ได้ร่ำรวยสุขสบายเลย ตรงกันข้าม ฉันลำบากกว่าหญิงสาวรุ่นเดียวกันหลายเท่า ตอนฉันอายุหกปีก็เรียนรู้ทำอาหารเป็นแล้ว”

เสิ่นเจียเหวินมองไปยังสายตาที่ตกตะลึงของฉินเฟย แล้วก็หัวเราะขึ้นเบา ๆ: “แต่ว่า แม่ของฉันได้อบรมสั่งสอนฉันมาเป็นอย่างดี จนกระทั่งฉันอายุยี่สิบสองปี ฉันก็พบเจอกับคนพลิกชะตาชีวิตของฉันคนหนึ่ง ซึ่งก็คือพ่อบุญธรรมของฉัน ซึ่งทำให้ชีวิตของฉันค่อย ๆ ดีขึ้น จนมาถึงตอนนี้”

“พ่อบุญธรรม? ” ฉินเฟยตื่นตกใจ

“อืม จางจงเยว่ประธานกรรมการบริหารของว่านเซียง กรุ๊ปในปัจจุบัน ก็คือพ่อบุญธรรมของฉันเอง” เสิ่นเจียเหวินอมยิ้มเล็กน้อย ใบหน้าเต็มไปด้วยความสุข “เขาคือพ่อบุญธรรมของคุณเหรอ? ” ฉินเฟยอุทานขึ้นด้วยความตกใจ คู่ดวงตาอดไม่ได้ที่จะมองสังเกตเสิ่นเจียเหวินตั้งแต่หัวจรดเท้า……

“ไอ้เด็กคนนี้ นายคิดจะทำอะไร! ” เห็นว่าฉินเฟยมีท่าทางแปลกประหลาด เสิ่นเจียเหวินจ้องตาเขม็งและแทบอดใจไม่ไหวที่จะเขวี้ยงกระดูกไก่ใส่หน้าของหนุ่มคนนี้

แม้แต่คนโง่ก็รู้ว่าฉินเฟยกำลังคิดอะไรอยู่

“เปล่าเปล่า ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น” ฉินเฟยเก้อเขินขึ้นชั่วขณะ

“ฉันรู้ว่านายหมายความว่าอย่างไร” เสิ่นเจียเหวินเหลือบมองไปที่ไอ้หนุ่มคนนี้ ส่งเสียงฮึและพูดขึ้นว่า: “แต่นายคิดผิดแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับพ่อบุญธรรมของฉันนั้นบริสุทธิ์ยิ่งกว่ากระดาษขาวเสียอีก เขาคือคนที่ฉันเคารพ คือคนที่ฉันนับถือ”

“ที่จริงแล้วบ้านของฉันก็อยู่ที่ซงไห่ ช่วงก่อนหน้านี้ได้ยินพ่อบุญธรรมพูดว่าจะโยกย้ายว่านเซียง มูวีมาบุกเบิกพัฒนาที่ซงไห่ ฉันจึงได้ยื่นเรื่องขอกลับมาที่นี่ พ่อบุญธรรมบอกให้ฉันคอยช่วยเหลือนาย” เสิ่นเจียเหวินยิ้มเล็กน้อย คู่ดวงตาที่สวยงามจ้องมองไปที่ฉินเฟย ในที่สุดก็อดไม่ได้จึงถามข้อสงสัยอย่างที่สุดในใจว่า: “ไม่ทราบว่านายกับพ่อบุญธรรมของฉันมีความสัมพันธ์อะไรกัน? ทำไมก่อนหน้านี้ฉันไม่เคยพบเจอนายมาก่อนเลย และก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนด้วย? ”

ว่านเซียง มูวีถือเป็นวิสาหกิจหลักของว่านเซียง กรุ๊ป ในแต่ละปีสร้างผลประกอบได้เป็นตัวเลขอย่างมหาศาล ส่วนฉินเฟยนั้นก็ถือเป็นประธานกรรมการบริหารที่โยกย้ายมาโดยที่ไม่มีใครรู้มาก่อน ถ้าหากบอกว่าฉินเฟยกับจางจงเยว่ไม่มีความสัมพันธ์กัน เสิ่นเจียเหวินก็คงจะไม่เชื่ออย่างแน่นอน

“ฉันเป็นหัวหน้าของคุณนะ” ฉินเฟยพูดขึ้นอย่างจริงจัง

เสิ่นเจียเหวินเหลือบตาขาวใส่ฉินเฟยอย่างจำใจ พูดไปแล้วก็เท่ากับว่าไม่ได้พูด!

แน่นอนว่าเสิ่นเจียเหวินคงจะทายไม่ถูกถึงความหมายแฝงที่แท้จริงในคำพูดของฉินเฟย ซึ่งฉินเฟยไม่เพียงแต่จะเป็นหัวหน้าของเธอเท่านั้น เขายังเป็นหัวหน้าของพนักงานและฝ่ายบริหารชั้นสูงทั้งหมดของว่านเซียง กรุ๊ปอีกด้วย

“ตอนเด็กยากลำบาก ตอนนี้ก็ถือว่าสุขสบายหมดความลำบากแล้ว คุณไม่เพียงแต่จะมีหน้าที่การงานของตัวเองเท่านั้น ยังจะมีพ่อบุญธรรมหนึ่งคนและพ่อหนึ่งคนด้วย ดีมากเลย” ฉินเฟยอมยิ้ม และแสดงสายตาที่อิจฉา

“ฉันไม่มีพ่อ” เสิ่นเจียเหวินส่ายศรีษะเบา ๆ สีหน้าหม่นหมองลง

ฉินเฟยเงยหน้าขึ้นด้วยความแปลกใจ

“ฉันไม่มีพ่อมาตั้งแต่เด็กแล้ว ตั้งแต่ฉันเกิดจนถึงรับรู้จำความได้ ก็ไม่เคยทราบชื่อของพ่อมาก่อน ตอนเด็กฉันเคยถามแม่ หล่อนบอกว่าพ่อออกไปต่างประเทศแล้ว พ่อเก่งกาจมีความสามารถ และยังจะพูดอีกว่ารอให้ฉันโตแล้วก็จะพาฉันไปหาพ่อ รวมทั้ง เป็นไปได้ที่พ่อจะมาหาพวกเราก่อน”

เสิ่นเจียเหวินพูดอย่างเบา ๆ สีหน้าท่าทางตกอยู่ในสภาวะรำลึกนึกถึงอดีต: “แต่เมื่อฉันโตแล้ว แม่ก็ยังไม่ได้พาฉันไปหาพ่อ ส่วนพ่อเองก็ไม่เคยปรากฏตัวให้เห็นเลย แต่ในตอนนั้นฉันพอที่จะรับรู้เข้าใจได้แล้ว ถึงแม้ว่าชีวิตความเป็นอยู่จะไม่สุขสบายร่ำรวยอะไร แต่ก็ยังสามารถเลี้ยงดูตัวเองได้ ฉันจึงไม่ต้องการพ่อที่เก่งกาจคนนั้นดังที่แม่เคยพูดเอาไว้อีกแล้ว”

เธอเองก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้พูดเรื่องนี้กับฉินเฟย บางทีอาจจะถือว่าฉินเฟยเป็นญาติสนิท ถือว่าเป็นคนที่สามารถสัมผัสถึงจิตใจภายในของเธอได้

ประสบการณ์และอดีตที่ผ่านมาของเธอนั้น เธอไม่เคยพูดกับใครมาก่อนเลย นอกจากแม่ของเธอที่รับรู้แล้ว ก็คือพ่อบุญธรรมของเธอรวมถึงผู้ชายคนที่เธอชื่นชอบ และยังมีอีกก็คือฉินเฟยในตอนนี้

ฉินเฟยฟังอย่างเงียบ ๆ พร้อมกับมองไปยังตัวเธอที่อยู่เบื้องหน้าที่กำลังรำลึกถึงความทรงจำ และขอบตาแดงขึ้นเล็กน้อย ก็สามารถจินตนาการได้ว่า เสิ่นเจียเหวินกับแม่ของเธอมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ยากลำบากขนาดไหนในตอนนั้น

แต่ว่า หากไม่ได้มีประสบการณ์กับตนเอง ใครก็ไม่มีทางที่จะพูดออกมาได้ว่า: ‘ฉันเข้าใจความยากลำบากของคุณ’ ลักษณะนี้

“ฉันสามารถให้คุณยืมไหล่ข้างหนึ่ง” ฉินเฟยพูดขึ้นอย่างอดไม่ได้

“มาสิ” เสิ่นเจียเหวินอมยิ้ม เหมือนว่าผ่านไปนานมากแล้ว สิ่งที่เรียกว่าบาดแผลนี้ก็ไม่ได้ถึงกับทำให้เธอเสียใจอะไรมากนัก แล้วก็ใช้มือตีไปที่ตำแหน่งว่างด้านข้างของตัวเอง

เมื่อศีรษะของเสิ่นเจียเหวินซบพิงไปที่ไหล่ของเขา ร่างกายของฉินเฟยก็แข็งทื่อขึ้นเล็กน้อย และยิ่งไม่กล้าจะขยับเขยื้อน แล้วก็ได้ยินเสียงของเสิ่นเจียเหวินอีกครั้ง……

“ตอนเด็กฉันรู้เข้าใจและเชื่อฟังเป็นอย่างมาก ตอนอายุหกขวบก็สามารถซักผ้าทำอาหาร และจัดเก็บของในบ้านเป็นแล้ว แม่ยิ่งลำบากกว่าฉันอีก นอกจากหล่อนจะทำงานทุกวันแล้ว ยังจะไปเก็บขยะที่ด้านนอกด้วย โดยเมื่อยี่สิบปีก่อนยังไม่มีเครื่องซักผ้า แม่ก็รับงานนอกเอง ด้วยการซักผ้าให้กับคนอื่น พอดีว่าพวกเราเช่าอาศัยอยู่บนชั้นดาดฟ้า เมื่อซักผ้าเสร็จแล้วก็ตากแดดที่นั่นเลย ทุกวันเมื่อฉันกลับถึงบ้านนอกจากจะทำการบ้านแล้ว ก็ยังช่วยซักเสื้อผ้ากองโตที่ซักอย่างไรก็ซักไม่หมดสักที”

เสิ่นเจียเหวินสูดน้ำมูกเบา ๆ: “หลายครั้ง ที่แม่ไม่ยอมกินข้าวเย็น มักจะพูดว่าตัวเองกินแล้ว ต่อมาเพื่อนร่วมชั้นก็เยาะเย้ยฉันว่า แม่ของฉันเก็บข้าวในถังขยะมากิน บอกว่าพวกเราเป็นขอทาน……”

ฉินเฟยได้ฟังแล้วก็ถึงกับตัวสั่นเทา อย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงว่า ผู้หญิงที่สง่างดงามด้านข้างเขานี้ จะมีประสบการณ์แบบนี้ในตอนเด็ก

ครู่เดียว เขาก็รู้สึกว่าที่ไหล่ของตนเองนั้นเปียกโชก เมื่อหันหน้าไป ก็เห็นว่าเสิ่นเจียเหวินนอนพิงอยู่บนไหล่ของเขา หลับตาลงเบา ๆ แต่น้ำตาก็ยังไหลออกมาตลอด……

ฉินเฟยรู้สึกว่าติดขัดอ้ำอึ้ง เมื่ออ้าปากขึ้นกี่ครั้ง กลับไม่ได้พูดปลอบใจอะไรแม้แต่คำเดียว

ไม่เคยมีประสบการณ์พบเจอกับตนเองมาก่อน ใครก็ไม่มีทางที่จะรับรู้และเข้าใจความรู้สึกได้!

“ตอนที่ฉันอายุแปดขวบก็เริ่มที่จะยกน้ำขึ้นบนตึก เพราะพวกเราเช่าอาศัยอยู่บนชั้นดาดฟ้า แรงดันน้ำไม่พอที่จะขึ้นไปถึงได้ อีกทั้งยิ่งอยู่ชั้นสูงราคาน้ำก็ยิ่งสูงด้วย ตอนที่ฉันแปดขวบร่างกายของฉันจะเล็กกว่าเพื่อนรุ่นเดียวกันมาก มีความสูงประมาณถังน้ำนั้นได้ มีอยู่ครั้งหนึ่งฉันยกน้ำได้มากที่สุดครึ่งถังเดินขึ้นไปยังชั้นหกได้……”

“เมื่อตอนฉันอายุสิบปี พวกเราก็ได้ย้ายบ้าน แต่ก็ยังไปเช่าอยู่ที่บนชั้นดาดฟ้าของตึกทรุดโทรมที่ใกล้จะถูกเวรคืน โดยในคืนที่สามที่ฉันกับแม่ย้ายเข้าไปอยู่นั้น ก็มีเสียงเคาะประตูบ้านดังขึ้นโดยพลัน ฉันตกใจตื่นขึ้นทันที อีกฝ่ายหนึ่งนั้นเป็นผู้ชาย เหมือนจะเมาเหล้ามา และเคาะประตูอยู่ตลอด ฉันหวาดกลัวอย่างมาก และแม่ก็ได้เอามือปิดปากฉันไว้โดยที่ไม่ให้ฉันพูดออกเสียง……”

พูดถึงตรงนี้ เสิ่นเจียเหวินก็หลับตาลงสนิท เหมือนว่าตัวเองได้ตกอยู่ในสถานการณ์นั้น ร่างกายก็เกิดอาการสั่นเทาขึ้นเล็กน้อย “ประตูบ้านของพวกเราทรุดโทรมอย่างมาก เมื่อชายคนนั้นตะโกนเรียกแล้วไม่มีเสียงตอบรับก็ถีบประตูเข้ามาทันที ถีบเพียงแค่สองครั้งประตูก็เปิดออกแล้ว แม่ก็ตกใจแล้วรีบไปเปิดไฟ ชายคนนั้นพุ่งเข้ามาจะรังแกแม่ของฉัน……แม่ดิ้นสะบัดอย่างทรมาน ฉันร้องไห้เสียงดัง แต่ก็ไม่มีใครมาสนใจพวกเราเลย เสื้อผ้าของแม่ถูกเปลื้องออกแล้ว ฉันพุ่งเข้าไปเพื่อจะขัดขวาง แต่กลับถูกชายเมาคนนั้นถีบกระเด็นลอยไปไกล ไหล่ของฉันถูกเหล็กในถังขยะในบ้านบาด จนเป็นรอยแผลลึก ตอนนี้ก็ยังมีรอยแผลเป็นอยู่ ตอนนั้นฉันร้องไห้หนักขึ้น แม่ก็ร้อนใจจึงเกิดการลงมือตบตีกับอีกฝ่ายหนึ่ง แต่แม่ใช่คู่ต่อสู้ของชายคนนั้นที่ไหนล่ะ แม่ของฉัน……คุณแม่……ฮือฮือ”

เสิ่นเจียเหวินน้ำตาไหลพราก มุดศีรษะเข้าไปในอ้อมอกของฉินเฟย มือเล็กสองข้างโอบกอดไปที่เอวของเขาอย่างแรง ซึ่งทั้งร่างกายราวกับว่าเป็นตะแกรง ที่สั่นเทาอย่างรุนแรง……

ฉินเฟยนั่งอยู่ที่นั่น ก็อดไม่ได้จึงยื่นมือข้างหนึ่งออกมา แล้วโอบกอดเสิ่นเจียเหวินไว้ในอ้อมอก

ฉินเฟยเกิดมาในตระกูลที่ร่ำรวย เรียกได้ว่าตอนกำเนิดนั้นคาบช้อนทองออกมาด้วย เขาในวัยเด็กไม่รู้เลยว่าอะไรคืองานบ้าน อะไรคือความยากลำบาก

แต่ในตอนนี้!

ในที่สุดฉินเฟยก็ทราบแล้วว่าทำไมเสิ่นเจียเหวินถึงได้รับจางจงเยว่เป็นพ่อบุญธรรม เพราะนี่คือข้อบกพร่องทางจิตใจของเขา แม้ว่าจะไม่พูด และทำตัวเข้มแข็งใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวได้ แต่สำหรับความรักของพ่อที่ขาดหายไปนั้น ก็ยังเป็นสิ่งที่เธอคาดหวังอยู่ในใจเป็นอย่างมาก

สำหรับก่อนหน้านี้ที่เธอเคยบอกว่าจะไม่แต่งงาน หากต้องการจะมีลูกก็ไปรับเลี้ยงเอา เพราะตัวเองสามารถที่จะเลี้ยงดูลูกตามลำพังได้เป็นอย่างดี

นี่อาจจะเป็นเพราะเคยเจ็บปวดทางด้านความรู้สึกมาก่อน จึงไม่ยอมที่จะเชื่อผู้ชายอื่นอีก

แน่นอนว่า เหตุผลสำคัญนั้นก็ยังคงเป็นเพราะพ่อที่ไร้ตัวตนของเธอ เธอกับแม่ของเธอใช้ชีวิตอยู่อย่างยากลำบาก ถึงขนาดที่ยังเห็นกับตาว่าแม่ของตัวเองถูกรังแก แต่ผู้ที่เป็นพ่อนั้นกลับไม่เคยปรากฏตัวให้เห็นเลย!

เธอคงจะโกรธแค้นพ่อของเธออย่างมาก ดังนั้นเธอจึงไม่เชื่อผู้ชายอีก!

ฉินเฟยไม่มีทางที่จะรับรู้ถึงความรู้สึกนี้ได้ แต่ก็สามารถที่จะเข้าใจได้ ตอนเสิ่นเจียเหวินอายุแปดขวบที่ยังเป็นแค่เด็กน้อย กลับต้องมายกถังน้ำเดินขึ้นชั้นหก โดยทั่วไปเมื่อกลับไปถึงบ้านก็ควรกินข้าวกินเสร็จแล้วก็ทำการบ้าน จากนั้นแม่ก็จะยกผลไม้ที่มีคุณค่าทางโภชนาการมาให้กับเด็กน้อย ส่วนเธอกลับต้องมาเผชิญกับเสื้อผ้ากองโตที่ซักอย่างไรก็ซักไม่หมดสักที……

ฉินเฟยเจ็บปวดใจและสงสารจนพูดอะไรไม่ออก

เขากระชับมือแน่น แล้วโอบกอดร่างกายที่สั่นเทา ในอ้อมอกนั้นอย่างแน่นหนา

ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร เสิ่นเจียเหวินก็หยุดร้องไห้ เพราะร่างกายที่สั่นเทาจากความทรงจำที่น่ากลัวนั้นได้ค่อย ๆ เบาบางลงแล้ว

ฉินเฟยมองไปยังใบหน้าของเธอที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตา แล้วก็ดึงทิชชู่ที่อ่อนนุ่ม ยื่นให้เธอเช็ดหน้า

กระทั่งดวงตาที่เปื้อนน้ำตานั้นค่อย ๆ ลืมขึ้น

เสิ่นเจียเหวินนอนราบลงในอ้อมอกของเขา และมองไปที่เขาอย่างสงบ

การเคลื่อนไหวของฉินเฟยก็ค่อย ๆ แข็งทื่อขึ้น จึงรู้สึกได้ถึงความเก้อเขินของทั้งสองคน เวลานี้เสิ่นเจียเหวินอยู่ในอ้อมอกของตนเอง และตนเองก็ยื่นมือไปเช็ดน้ำตาให้กับเธอ นี่ไม่ใช่เรื่องที่เพื่อนทั่วไปนั้นควรกระทำให้กัน และไม่ใช่ท่วงท่าที่ควรจะมีด้วย

ใบหน้างดงามที่เพิ่งร้องไห้อย่างหนัก ทั้งมีเสน่ห์และน่าหลงใหล ถึงกับทำให้ฉินเฟยหัวใจร้อนผ่าว ผู้หญิงแบบนี้ ช่างมีแรงดึงดูดต่อผู้ชายทั้งหมดซะเหลือเกิน เรียกได้ว่ารูปร่างหน้าตาสวยสมบูรณ์แบบ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงฉินเฟยที่เป็นชายหนุ่มที่ยังไม่เคยผ่านการสัมผัสอย่างลึกซึ้งกับผู้หญิงมาก่อน

ฉินเฟยรู้สึกว่าตนเองมีอะไรที่ผิดปกติบ้างแล้ว

“เวลา สมควรแก่เวลาแล้ว ฉัน……” ฉินเฟยขยับตัวด้วยความที่รู้สึกไม่สบายตัว เพื่อขยับร่างกายออก

แต่คิดไม่ถึงว่า เสิ่นเจียเหวินจะยื่นมือออกมาโอบไปที่ลำคอของฉินเฟย

โดยใช้สองมือโอบเอาไว้เลย

ร่างกายของฉินเฟย แทบจะหมอบราบลงไปที่ร่างของเสิ่นเจียเหวิน

พวกเขาสบตากัน ฉินเฟยมองไปยังใบหน้าที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม แม้ว่าเขาจะพยายามที่จะปกปิดเอาไว้ แต่ก็ยังคงไม่สามารถปกปิดความต้องการทางกามารมณ์นั้นได้

เสิ่นเจียเหวินกระพริบดวงตาเบา ๆ แล้วก็ค่อย ๆ หลับตาลง……

แม้ว่าฉินเฟยจะไม่เคยจูบผู้หญิงมาก่อน ถึงแม้จะไม่เคยทำแต่ก็เคยเห็นมาบ้าง

ในโทรทัศน์ก็ยังมีการแสดงลักษณะนี้ด้วย!

เขาอ้าปากออก ขยับคอไปมา แต่สายตาของเขาก็ยังคงจับจ้องไปที่ใบหน้าอันมีเสน่ห์เย้ายวนอย่างไม่ขาด ขนตาที่ยาวเรียวสั่นไหว ปลายจมูกที่โด่งงอน ปากขนาดเล็กสีแดงเรื่อที่อ้าขึ้นเล็กน้อย ราวกับว่ามีเวทมนตร์พิเศษอย่างหนึ่ง กำลังดึงดูดเขาเอาไว้……

เมื่อเสิ่นเจียเหวินพูดจบก็ตกใจกับคำพูดนั้นของตัวเอง

พระเจ้า ตัวเองกำลังพูดอะไรอยู่เนี่ยะ ชายหนุ่มเบื้องหน้าผู้นี้เป็นประธานกรรมการบริหารของตัวเองนะ ถึงแม้ทั้งสองคนจะถือว่าคุ้นเคยกัน แต่ก็ยังไม่คุ้นเคยถึงขั้นนั้น ฉินเฟยจะคิดไหมว่าตัวเองนั้นเป็นผู้หญิงที่เอ้อระเหยลอยชาย ตั้งใจที่จะดึงดูดล่อลวงเขา?

ฉินเฟยเองก็ตกใจกับคำพูดของเสิ่นเจียเหวินเหมือนกัน พร้อมกับหันหน้ามองไปที่เสิ่นเจียเหวินอย่างเหลือเชื่อ “ฉันไม่ได้มีความหมายอะไรอื่น ฉันก็ถือว่าเพิ่งจะมาซงไห่ได้ไม่นาน ไม่รู้ว่าที่ไหนมีโรงพยาบาลกระดูกและข้อที่ดีบ้าง ถ้าหากนายไม่สะดวกก็ช่างเถอะ ฉันคิดว่าจะต้องสามารถหาโรงพยาบาลนวดที่ดีได้อยู่แล้ว” เสิ่นเจียเหวินถูกฉินเฟยมองจนหัวใจเต้นแรงขึ้นชั่วขณะ พร้อมกับหลบสายตาของฉินเฟยแล้วมองออกไปที่ด้านนอกหน้าต่าง

“ฉันเองก็ไม่ได้ว่าจะไม่สะดวก อีกทั้งก่อนหน้านี้คุณได้เคยสอนอะไรฉันหลายอย่าง นอกจากนี้ การที่สามารถให้บริการกับผู้หญิงที่สวยงามอย่างคุณนี้ก็ถือเป็นเกียรติของฉันด้วย เหอะเหอะ”

ฉินเฟยเองก็รู้สึกว่าบรรยากาศเก้อเขินเล็กน้อย จึงได้ส่ายมือไปมาอย่างไม่สนใจและพูดขึ้นว่า: “คุณอยู่ตรงนี้ก่อนห้ามขยับไปไหน ฉันจะออกไปด้านนอก สักครู่ก็จะกลับมา”

เมื่อฉินเฟยพูดจบ ก็หยิบกุญแจบ้านบนโต๊ะนั่งเล่นแล้วก็หันหลังเดินจากไป

เสิ่นเจียเหวินเงยหน้าขึ้นอย่างประหลาดใจ แต่ฉินเฟยกลับวิ่งออกไปแล้ว เหมือนจะเก้อเขินอับอาย

จนกระทั่งได้ยินเสียงของลิฟท์ดังขึ้น เสิ่นเจียเหวินก็รู้ว่าฉินเฟยลงไปชั้นล่างแล้ว อดไม่ได้จึงหัวเราะก๊ากออกมา และพูดบ่นในใจ ทำไมถึงทำว่าตัวเองเหมือนกับเป็นหญิงดุร้ายอย่างไรอย่างนั้น มันน่าตกใจขนาดนั้นเลยเหรอ?

แต่ว่า ฉินเฟยคงจะไม่วิ่งออกไปแล้วไม่กลับมาหรอกนะ?

ร้านค้าด้านนอกของแต่ละหมู่บ้านหรู รอบข้างจะมีร้านยาหรือคลินิกทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่อยู่

ฉินเฟยลงมาจากตึกแล้วก็วิ่งเข้าไปในร้านยา ซื้อพวกยาน้ำและยาครีมที่จำเป็น จากนั้นก็รีบวิ่งออกมา ขณะที่จะวิ่งกลับไปที่หมู่บ้านนั้นก็พลันนึกอะไรขึ้นได้ ก็เลยรีบวิ่งค้นหาไปตามร้านค้าอย่างรวดเร็ว

เสิ่นเจียเหวินนั่งอยู่บนโซฟาโดยที่ไม่กล้าขยับเขยื้อน สิบกว่านาทีผ่านไป ในขณะที่เธอนึกว่าฉินเฟยได้หลบหนีไปแล้วนั้น ก็ได้ยินเสียงลิฟท์รวมถึงเสียงกุญแจเปิดประตู “กร็อกแกร็ก” ขึ้น

เมื่อประตูบ้านออก ฉินเฟยก็ถือถุงใหญ่สองถุงเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว ก็เพราะความที่รีบร้อน จึงมีเหงื่อไหลออกมาบนหน้าผาก แล้วก็นำสองถุงใหญ่นั้นวางลงไปบนโต๊ะนั่งเล่นด้านหน้าของเสิ่นเจียเหวิน

“นายออกไปซื้ออะไรมาเหรอ? ” เสิ่นเจียเหวินมองไปที่โต๊ะนั่งเล่นอย่างอยากรู้อยากเห็น และถามขึ้นด้วยความแปลกใจ

“ไปซื้อน้ำแข็งมา หลังจากที่นวดแล้วก็ใช้ประคบเย็นตรงที่บาดเจ็บสักครู่ จะช่วยฟื้นฟูหายได้เร็วขึ้น และยังจะช่วยลดความเจ็บปวดได้ด้วย” ขณะที่ฉินเฟยพูด ก็ได้ค้นหาสิ่งของที่ต้องใช้ออกมา

“นายคงเหนื่อยเลยสิ? ตอนนี้เท้าของฉันไม่ได้เจ็บปวดอะไรมาก ที่จริงไม่ต้องรีบร้อนขนาดนี้ก็ได้ นายพักผ่อนสักครู่ก่อนก็ได้นะ” เสิ่นเจียเหวินมองไปยังฉินเฟยที่กำลังยุ่งวุ่นวาย จึงอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้น

“ไม่เป็นไร แม้ว่ากระดูกข้อเท้าของคุณจะกลับเข้าที่แล้ว แต่ก็ยังบาดเจ็บหนักอยู่ดี เส้นเอ็นฉีกขาดอย่างรุนแรง จำต้องรีบรักษาโดยเร็วที่สุด พวกเราเสียเวลามานานมากพอแล้ว รีบทำเวลากันเถอะ” ฉินเฟยนำสิ่งของที่จำเป็นวางเรียงกันบนโต๊ะนั่งเล่น

ฉินเฟยสูดหายใจลึก แล้วยื่นมือออกมาจับเท้าที่ขาวนวลของเสิ่นเจียเหวิน พร้อมกับนำยาน้ำที่ได้ทำการผสมตามสัดส่วนเรียบร้อยแล้วเทราดลงไปบนบริเวณที่บาดเจ็บของเธอ มือซ้ายค้ำยันที่ฝ่าเท้า ส่วนมือขวาก็ทำการนวดด้วยเทคนิคพิเศษอย่างชำนาญ

เสิ่นเจียเหวินมองไปยังฉินเฟยที่กำลังนั่งคุกเข่าอยู่ด้านหน้าของตัวเอง และทำการนวดให้กับตัวเองอย่างตั้งใจนั้น ก็รู้สึกว่ามีความชาออกมาจากบริเวณที่บาดเจ็บนั้น แล้วก็ยังมีความรู้สึกเย็นสบายจากยาน้ำด้วยเล็กน้อย ซึ่งไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดอะไรเลย กลับยังรู้สึกสบายอย่างมากด้วย

“ฮึ……” จากเทคนิคการนวดที่รวดเร็วและชำนาญของฉินเฟยนั้น เสิ่นเจียเหวินที่รู้สึกถึงความสบายเป็นระยะ ก็อดไม่ได้ที่จะส่งเสียงร้องขึ้นอย่างกะทันหัน

“ทำไมเหรอ หรือว่าทำให้คุณเจ็บแล้ว? ” ฉินเฟยเงยหน้าถามขึ้น

“เปล่า ไม่มีอะไร นายนวดต่อเถอะ” เสิ่นเจียเหวินสีหน้าแดงก่ำ และรีบเคลื่อนหนีสายตา โดยนึกถึงเมื่อครู่ที่ทั้งสองสนทนากันแล้ว ใบหน้าก็ร้อนผ่าวขึ้นชั่วขณะ

แต่เสิ่นเจียเหวินเองก็รู้ว่าคำพูดของฉินเฟยนั้นไม่ได้เป็นการจงใจยั่วยุ จึงไม่ได้เกิดความโกรธอะไร

ผ่านไปครู่หนึ่ง สายตาของเสิ่นเจียเหวินก็มองไปที่ร่างของฉินเฟยอีกครั้ง เด็กหนุ่มเบื้องหน้าคนนี้ก็ไม่ถึงกับว่าหน้าตาดีอะไรนัก ก็แค่มีความใสซื่อบริสุทธิ์ บางทีหนุ่มหน้าใสแบบนี้อาจจะเป็นที่ดึงดูดของหญิงสาวจำนวนมาก แต่เสิ่นเจียเหวินไม่ค่อยชื่นชอบ

เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว เสิ่นเจียเหวินจะชอบผู้ชายในแบบที่เต็มไปด้วยความเป็นผู้ชาย เผด็จการและแข็งแกร่ง เนื่องจากนิสัยบุคคลิกของเสิ่นเจียเหวิน ที่ปกติมักจะชอบหยอกล้อประธานกรรมการบริหารหนุ่มหน้าใสผู้นี้อยู่บ้าง ซึ่งการพูดคุยทั่วไปนั้นก็เพียงแค่ต้องการกระชับความสัมพันธ์ของตัวเองกับประธานกรรมการบริหาร

แต่การแสดงออกในวันนี้ของฉินเฟย กลับทำให้เธอต้องทำความรู้จักกับฉินเฟยเสียใหม่แล้ว

เมื่อเห็นเขานวดให้กับตัวเองอยู่อย่างตั้งใจ และนึกถึงภาพเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ตอนที่ฉินเฟยโอบอุ้มตัวเองเดินขึ้นมาชั้นสิบเอ็ดแล้ว รวมถึงเงาร่างที่เขาวิ่งออกไปซื้อยาอย่างเร่งรีบและวิ่งกลับมานั้น ในจิตใจบางจุดของเสิ่นเจียเหวิน ก็พลันหวั่นไหวขึ้นมาบ้างเล็กน้อย

นี่คือเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมานานหลายปีแล้ว

เทคนิคการนวดของฉินเฟยไม่ได้เรียนรู้มาจากหมอนวด แต่เรียนรู้มาจากครูฝึกทหารของเขา โดยได้ฟังครูฝึกสอนทหารพูดว่า นี่เป็นเทคนิคการนวดพิเศษที่เกิดจากการค้นคว้าทดสอบด้วยตนเอง มานับครั้งไม่ถ้วน ซึ่งมีประสิทธิภาพที่ดีมาก โดยนวดเบา ๆ ก่อนแล้วค่อยลงแรงหนัก จากนั้นก็เปลี่ยนจากแรงนวดที่หนักเป็นเบา สลับไปสลับมา ผ่านไปนานเกือบครึ่งชั่วโมง ฉินเฟยจึงได้หยุดการนวดลง แล้วก็ถอนหายใจยาว

เทคนิคการนวดนี้มองดูแล้วเหมือนจะง่าย แต่ต้องตั้งใจอย่างที่สุด โดยเฉพาะข้อเท้าของเสิ่นเจียเหวินที่บาดเจ็บอย่างหนัก จะต้องควบคุมแรงนวดให้เหมาะสม เวลานี้ฉินเฟยเหน็ดเหนื่อยจนเหงื่อไหลท่วมตัวไปหมด

เขาเตรียมที่จะยื่นมือออกไปเช็ดหงื่อบนใบหน้า แต่ก็มีมือขนาดเล็กที่รวดเร็วกว่าเขาพุ่งแตะไปยังใบหน้าที่เต็มไปด้วยเหงื่อก่อนแล้ว……

เสิ่นเจียเหวินเองก็ตกใจขึ้นกับการกระทำภายใต้จิตสำนึกของตัวเอง จึงรีบดึงมือกลับเข้ามา และพูดขึ้นอย่างกระสับกระส่ายว่า: “เหนื่อยแย่แล้วล่ะสิ ฉันเห็นนายเหงื่อออกแล้ว”

เสิ่นเจียเหวินเองก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้เปลี่ยนไปอย่างไม่เป็นธรรมชาติแล้ว บางทีอาจเป็นเพราะเรื่องราวของเธอกับหลิวโป๋ฮุ่ยนั้นถูกฉินเฟยพบเห็นเข้า จึงเกิดความอับอายและเก้อเขิน หรืออาจเป็นเพราะจิตใจที่หวั่นไหวเล็กน้อยก่อนหน้านี้ ทำให้ตอนนี้ที่เธอกำลังเผชิญหน้ากับฉินเฟยนั้น ไม่อาจที่จะแสดงท่าทางที่ไม่สนใจอะไร หรือพูดคุยหยอกล้อกันแบบทั่วไปเหมือนก่อนแล้ว

เธอต้องการที่จะแสดงออกถึงความเป็นผู้หญิงมากขึ้นสักหน่อย

“เหอะเหอะ ไม่เป็นไร” ฉินเฟยยิ้มขึ้นแบบไม่ได้ใส่ใจ แล้วก็หยิบผ้าขนหนูขึ้นมาเช็ดเหงื่อบนใบหน้า จากนั้นก็นำเอาน้ำแข็งวางลงไปบนผ้าขนหนู และใช้แรงบีบอยู่สองสามครั้ง แล้วก็นำไปประคบยังข้อเท้าที่บาดเจ็บของเสิ่นเจียเหวิน: “ใช้น้ำแข็งประคบช่วยลดการปูดบวมได้ และยังช่วยลดความเจ็บปวดด้วย รอให้น้ำแข็งก้อนนี้ละลายแล้ว ก็ค่อยประคบน้ำแข็งอีกครั้งหนึ่ง”

เมื่อเสิ่นเจียเหวินรู้สึกได้ถึงความเย็นที่มาจากบริเวณข้อเท้า กระทั่งอาการชาก่อนหน้านี้ก็แทบจะหมดสิ้นไปแล้ว จึงถอนหายใจยาว และมองไปที่ฉินเฟยด้วยความประหลาดใจ: “ทำไมนายถึงรู้และเข้าใจอะไรมากขนาดนี้? ”

“เคยเรียนรู้มาในตอนเด็ก โชคดีที่ตอนนี้ยังไม่ลืม” ฉินเฟยหัวเราะขึ้น แล้วก็หยิบน้ำแข็งที่เหลืออีกกี่ก้อนนั้นใส่เข้าไปตู้เย็น

“กลิ่นอะไร? นายยังได้ซื้ออะไรมาอีกเหรอ? ”

ฉินเฟยกลับไปที่โซฟา ก็ได้ยินเสียงที่ประหลาดของเสิ่นเจียเหวินที่นั่งอยู่บนโซฟา และเห็นว่าเธอกำลังสอดส่องมองดูไปที่ถุงบนโต๊ะนั่งเล่น และใช้จมูกสูดดม ซึ่งเป็นท่าทางที่น่ารักอย่างที่สุด

ฉินเฟยอดหัวเราะไม่ได้: “จมูกอย่างคุณนี้สามารถไปเป็นสุนัขตำรวจได้เลย”

“ไปตายซะ มีอย่างที่ไหนที่มาพูดล้อเล่นกับพี่สาวแบบนี้? ” เสิ่นเจียเหวินพูดขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์

“พี่สาว? ” ฉินเฟยตกใจขึ้น

“ทำไมเหรอ? ฉันมีอายุมากกว่านายหลายปี ไม่สมควรเรียกว่าพี่สาวเหรอ” เสิ่นเจียเหวินส่งเสียงฮึและพูดขึ้น

“สมควร” ฉินเฟยยิ้มและพยักหน้า บรรยากาศของทั้งสองคนก็ผ่อนคลายลงไปเล็กน้อย ถึงขนาดที่มีความสนิทสนมกันเพิ่มขึ้นด้วย

ฉินเฟยรีบไปหยิบถุง แล้วก็นำถุงเล็กสี่ห้าใบออกมาจากด้านใน พร้อมกับพูดว่า: “ฉันเห็นว่าข้างทางมีร้านแมคโดนัลด์ ก็เลยซื้อมาให้คุณทาน ไม่ต้องไปทำอาหารอีกแล้ว”

ฉินเฟยซื้อแฮมเบอร์เกอร์ผักมาสองชิ้น รวมทั้งแฮมเบอร์เกอร์หมูและแฮมเบอร์เกอร์ไก่รสนิวออร์ลีนส์และมีน่องไก่อีกสองชิ้นและน้ำส้มคั้นสองแก้วด้วย

เสิ่นเจียเหวินมองไปที่ฉินเฟย คิดไม่ถึงว่าเขาจะละเอียดรอบคอบขนาดนี้ เพราะก่อนหน้านี้เธอได้พูดว่าเธอเองยังไม่ได้ทานข้าว

เธอยื่นมือออกมารับแฮมเบอร์เกอร์ผัก ส่วนฉินเฟยก็นั่งกินแฮมเบอร์เกอร์หมูอยู่ฝั่งตรงข้าม แล้วเสิ่นเจียเหวินก็มองไปยังสิ่งของด้านในถุงและพูดถามขึ้นว่า: “นั่นคืออะไร? ”

“โอ้ว น่องไก่สองชิ้น หลังจากที่ซื้อเสร็จฉันก็เสียใจแล้ว เพราะรู้ว่าผู้หญิงอย่างพวกคุณจะต้องรักษารูปร่าง ตอนกลางคืนจะไม่กินเนื้อ” ฉินเฟยหยิบน่องไก่ออกมาชิ้นหนึ่งแล้วก็กัดกินไปหนึ่งคำ

เสิ่นเจียเหวินสีหน้าเย็นชา เบะปากและพูดขึ้นด้วยความโมโหว่า: “นายกำลังบอกว่าฉันอ้วน? ”

“อ่า? ไม่ใช่ไม่ใช่ ฉันไม่ได้หมายความว่าแบบนี้” ฉินเฟยตกใจ และรีบส่ายมือพร้อมกับอธิบาย

เสิ่นเจียเหวินทำปากจู๋เล็กน้อย พร้อมกับยื่นมือออกมาอย่างผยองและพูดว่า: “เอามาให้ฉันเดี๋ยวนี้ ใครบอกล่ะว่าฉันไม่กิน”

ฉินเฟยรีบยื่นมือนำส่งไปให้เธอ แล้วเงยหน้าขึ้นมองท่าทางการกินของเสิ่นเจียเหวินที่มือข้างหนึ่งถือแฮมเบอร์เกอร์ผัก และมืออีกข้างหนึ่งถือน่องไก่ พร้อมกับแกว่งขาที่สวมใส่ถุงน่องบนโซฟาไปมาด้วย นี่คือท่วงท่าของคนที่มีอายุสามสิบปีอย่างนั้นเหรอ นี่คือผู้หญิงแกร่งที่มีหน้าที่การงานระดับสูงอย่างนั้นเหรอ

เสิ่นเจียเหวินมีหน้าตาสวยงดงาม และโดยปกติยังจะควบคู่ไปกับท่วงท่าของผู้บริหารมืออาชีพ มักจะทำให้คนรู้สึกว่ายากที่จะเข้าใกล้สนิมสนมด้วย แต่เสิ่นเจียเหวินในตอนนี้ เหมือนกับเป็นผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง ลักษณะท่าทางของหญิงสาวน้อยที่แสดงออกมานั้น ฉินเฟยมองเห็นแล้วก็อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้

เสิ่นเจียเหวินเห็นฉินเฟยที่พยายามควบคุมท่าทางหัวเราะของเขาอยู่นั้น ก็รู้สึกว่าเวลานี้ฉินเฟยต่างหากที่ดูโง่เขลา ตนเองเหมือนจะกำลังหัวเราะอย่างน่าขัน

แต่ท่าทางการหัวเราะนี้ช่างสดใสนัก ทำให้กระตุ้นไปยังจุดที่อ่อนไหวของหัวใจเธออีกครั้งแล้ว

เธอย้ายเข้ามาพักอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้ได้เดือนกว่าแล้ว เธอรู้ดีว่า ร้านค้าในหมู่บ้านมีร้านแมคโดนัลด์ แต่มันตั้งอยู่ทางฝั่งเหนือสุดของหมู่บ้าน ซึ่งฉินเฟยไม่ได้เดินผ่านแล้วถือโอกาสซื้อมา แต่จะต้องวิ่งค้นหาไปทั่วบริเวณเป็นแน่

แฮมเบอร์เกอร์ผักในมือนั้นไม่ร้อนเท่าไรแล้ว และเธอก็ยังไม่ค่อยจะชอบกินผักดิบที่อยู่ในแฮมเบอร์เกอร์ด้วย แต่เธอกลับรู้สึกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับอาหารรสเลิศเต็มโต๊ะที่หลิวโป๋ฮุ่ยเชิญตัวเองมาทานแล้วนั้น แฮมเบอร์เกอร์ที่อยู่ในมือนี้กลับมีความอร่อยมากกว่าหลายเท่าเลย

เมื่อนึกถึงหลิวโป๋ฮุ่ย เสิ่นเจียเหวินก็ไม่รู้ว่าไปคิดถึงเรื่องอะไรขึ้น สีหน้าจึงหม่นหมองลง

“เป็นอะไรไปเหรอ? ไม่ชอบทานอย่างนั้นเหรอ? ” ฉินเฟยพูดขึ้นด้วยความแปลกใจ

“เปล่า” เสิ่นเจียเหวินส่ายศีรษะเบา ๆ เงยหน้าขึ้นแล้วมองไปที่ฉินเฟยอย่างจริงจัง: “ในใจของนายนั้น นายคิดว่าฉันเป็นผู้หญิงลักษณะอย่างไร? ”

ฉินเฟยตกใจ และพูดขึ้นอย่างสัตย์จริงว่า: “นิสัยร่าเริงเป็นกันเอง มีจิตใจดี เข้าใจคนอื่นได้ง่าย”

ฉินเฟยพูดขึ้นอย่างตรงไปตรงมา ก่อนหน้านี้ตอนที่เขาถูกเสิ่นหัวแม่ภรรยาขับไล่ออกจากบ้านนั้น เขาผู้ที่ไร้ที่ไปก็เลยกลับมายังว่านเซียง มูวี พอดีได้พบเจอกับเสิ่นเจียเหวินเข้า ครั้นแล้วพวกเขากับเสิ่นหลิงเอ๋อร์ก็นัดหมายออกไปทานข้าวด้วยกัน

หลังจากนั้นแล้ว เสิ่นเจียเหวินยังได้ส่งข้อความบอกเขาว่า เธอเต็มใจที่จะเป็นผู้รับฟังให้กับตน และที่บ้านก็มีเหล้าด้วย

แม้ว่าจะเป็นคำพูดที่ง่ายดาย ฉินเฟยเองก็จดจำไว้ในใจมาโดยตลอด

“แน่นอนว่า คุณยังสวยงามด้วย รูปร่างก็ดี เรื่องนี้ฉันไม่จำเป็นต้องพูดหรอก คุณเองก็น่าจะรู้ดีอยู่แล้ว” ฉินเฟยฉีกยิ้มขึ้น

“ไม่ได้ จะต้องพูดออกมา ฉันชอบคนอื่นชมว่าฉันสวยงามและมีรูปร่างดี” เสิ่นเจียเหวินพูดขึ้นอย่างหยิ่งทะนงในขณะที่มือยังถือน่องไก่อยู่

ผมเป็นเขย(ผู้ไม่ธรรมดา) บทที่ 67 เสิ่นเจียเหวินยอมพลีกายเองเลย (3)
ที่พักของเสิ่นเจียเหวินห่างจากว่านเซียง มูวีไม่ไกลมากนัก ใช้เวลาเดินทางไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของริมฝั่งแม่น้ำ ปัจจุบันนี้รัฐบาลเมืองซงไห่กำลังให้ความสำคัญในการพัฒนาทางทิศตะวันออกของแม่น้ำ ย่านธุรกิจบริเวณนี้ถือว่ามีสภาพแวดล้อมที่สมบูรณ์ กอปรกับบริเวณริมแม่น้ำมีอากาศที่ดีกว่าในเมือง ปัจจุบันราคาบ้านของที่นี้ถือว่ามีราคาที่สูงที่สุดแห่งหนึ่งในเมืองซงไห่

หมู่บ้านหมิงเจียหุ้ย คือหมู่บ้านหรูหราแห่งหนึ่ง โดยเสิ่นเจียเหวินพักอยู่ในตึกอาคารสูงขนาดเล็กที่มีสิบแปดชั้น ซึ่งน่าจะเป็นการเช่าอยู่

ตรงตามที่หลิวโป๋ฮุ่ยได้พูดเอาไว้ ถึงแม้เสิ่นเจียเหวินจะมีหน้าที่การงานในระดับผู้บริหาร แต่หากต้องการที่จะซื้อบ้านในเมืองที่ที่ดินมีราคาสูงแบบนี้แล้ว ก็คงจะไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เสิ่นเจียเหวินบอกให้นำรถปอร์เช่ไปจอดไว้ในโรงรถ แล้วฉินเฟยก็ลงจากรถพร้อมกับเดินวนผ่านหัวรถ เพื่อมาเปิดประตูรถให้กับเธออย่างสุภาพ

เสิ่นเจียเหวินที่นั่งอยู่ในรถเหมือนจะลังเลใจเล็กน้อย

แต่ภายใต้สายตาที่แปลกประหลาดของของฉินเฟยนั้น เธอก็กัดฟันแล้วเดินลงมาจากรถ

“อ่า! แต่เมื่อเท้าเหยียบถึงพื้น เสิ่นเจียเหวินก็ส่งเสียงโอดครวญขึ้น ร่างกายโซเซไปมา แล้วก็หงายหลังลงไปโดยที่ทรงตัวไม่ได้”

ฉินเฟยที่ยืนอยู่ด้านข้าง เดิมทีกำลังรอที่จะมองส่งเสินเจียเหวินขึ้นไปชั้นบนแล้วก็จะกลับนั้น เมื่อได้ยินเสิ่นเจียเหวินส่งเสียงร้องครวญก็ตกใจขึ้นทันที ยังดีที่เขามีการตอบสนองที่รวดเร็ว จึงได้ยื่นมือออกไปโอบตัวของเสิ่นเจียเหวินที่กำลังจะล้มลงเข้ามาในทรวงอก เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เธอต้องล้มลงไปหัวร้างข้างแตก เพียงแต่มือนั้นได้ไปสัมผัสกับบริเวณที่อ่อนนุ่ม เมื่อก้มหน้าลงมอง ก็พลันเขินอาย ซึ่งมือขวาของตนเองนั้นกำลังจับไปที่จุดละเอียดอ่อนของเธอ……

“นาย นายรีบปล่อยตัวฉันเดี๋ยวนี้! ” เสิ่นเจียเหวินร่างกายสั่นเทา หลังจากที่ตกใจชั่วขณะแล้วก็รีบกลับคืนสู่ความสงบนิ่ง เพียงแต่ที่รู้สึกว่ามือขนาดใหญ่ของฉินเฟยได้มาสัมผัส ก็เกิดความโกรธขึ้นบ้างเล็กน้อย

อย่ามองว่าโดยปกติเธอพูดคุยเก่งเหมือนกับเป็นหญิงสาวที่มีเสน่ห์เย้ายวน ที่จริงแล้วเธอนั้นรักนวลสงวนตัวอย่างมาก ร่างกายบางจุดไม่ใช่ว่าจะให้ผู้ชายสัมผัสได้ตามอำเภอใจ

“ขอโทษด้วยขอโทษด้วย” ฉินเฟยเองก็เก้อเขิน พร้อมกับรีบปล่อยแขนลงทันที

แต่หลังจากที่ปล่อยแขนออกแล้ว ร่างของเสิ่นเจียเหวินก็โอนเอนไปมา ข้อเท้าเจ็บปวดอย่างมากจนทำให้ร่างกายของเธอสั่นเทาอย่างรุนแรง จึงร้องโอดครวญขึ้นแล้วก็หงายหลังล้มลงไปอีกครั้ง

“ข้อเท้าเธอพลิกตั้งแต่เมื่อไรกัน? ห้ามขยับตัวอีก! ฉินเฟยโอบเสิ่นเจียเหวินเข้ามาในอ้อมอกอีกครั้ง เพื่อต้องการพิสูจน์ว่าตนเองไม่ได้จงใจที่จะถูกต้องเนื้อตัวของเธอ เขาจึงขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย”

“ก็ก่อนหน้านี้ตอนที่โดนหลิวโป๋ฮุ่ยก่อกวน ฉัน……”

“อะไรของคุณอีกล่ะ ทำไมถึงไม่บอกตั้งแต่แรก? เมื่อได้ยินที่พูดนี้ ฉินเฟยก็พลันตกใจ พร้อมกับพูดขึ้นด้วยความโมโหว่า: “อย่าขยับตัวอีก มานี่! ”

ท่าทางแบบนี้ของทั้งสองคนทำให้เสิ่นเจียเหวินรู้สึกว่าไม่ค่อยจะเหมาะสม ยังดีที่อยู่ในโรงรถ บริเวณรอบข้างก็ไม่มีคน หลังจากที่พยายามดิ้นรนเล็กน้อยก็ไม่กล้าจะขยับตัวอีก และปล่อยให้ฉินเฟยประคองตัวเธอเข้าไปพิงที่รถ

เวลานี้ไม่ต้องให้ฉินเฟยพูดเตือนอีกแล้ว เธอเองก็รับรู้ได้ว่าข้อเท้าของตัวเองบาดเจ็บ อีกทั้งยังบาดเจ็บไม่เบาอีกด้วย

แม้ว่าปัจจุบันเธอจะอยู่ในตำแหน่งรองประธาน แต่ก็ไม่เหมือนกับหญิงสาวทั่วไป ที่ได้รับการเลี้ยงดูเป็นอย่างดี ตรงกันข้าม ในตอนเด็กเธอนั้นมีชีวิตอยู่อย่างยากลำบาก

ดังนั้นก่อนหน้านี้คิดว่าเธอเองก็แค่ข้อเท้าพลิกเท่านั้น จึงไม่ได้ใส่ใจอะไร

“ทำไมคุณถึงไม่ยอมบอกตั้งแต่แรก? ช่างน่าโมโหจริง ๆ ยืนดี ๆ เลย อย่าขยับตัวอีก! ” ฉินเฟยกำชับอย่างจริงจัง เวลานี้สีหน้าท่าทางของเขาค่อนข้างเคร่งขรึม ซึ่งแตกต่างกันมากกับท่าทางของหนุ่มน้อยหน้าใสที่อ่อนโยนก่อนหน้านี้

เสิ่นเจียเหวินตกใจขึ้นอย่างเห็นได้ชัด รู้สึกเสียใจกับคำต่อว่าของฉินเฟย แต่เมื่อเห็นท่าทางที่เคร่งขรึมของฉินเฟยแล้ว เธอก็ทำปากจู๋เล็กน้อยโดยที่ไม่กล้าคัดค้าน และปล่อยร่างกายพิงเข้าไปที่รถอย่างเชื่อฟัง

ความเจ็บปวดก่อนหน้านี้เธออดทนได้ แต่เมื่อครู่ที่ขณะเหยียบลงไปบนพื้นเพราะความเจ็บปวดจึงทำให้ข้อเท้าพลิกอีกเล็กน้อย ข้อเท้าเจ็บปวดอย่างรุนแรง ถึงกับทำให้ร่างกายของเธอสั่นเทาไปหมด

“กระดูกข้อเท้าเคลื่อน เป็นเวลานานกว่ายี่สิบนาทีแล้ว อาการก็คงจะหนักมาก หากรอให้ปูดบวมขึ้นมาแล้วค่อยรักษาคงจะยุ่งยากมากทีเดียว! ” ฉินเฟยคุกเข่าลงไปที่พื้น แล้วสังเกตอาการข้อเท้าของเสิ่นเจียเหวินก็สามารถวินิจฉัยได้ถึงระดับความรุนแรงของอาการได้แล้ว

เรื่องพวกนี้ในตอนที่เขายังเด็ก ได้เคยเรียนรู้มาขณะที่ฝึกฝนหมัดมวยทหารในตระกูลฉิน ทั้งการป้องกันหมัดมวยทหารรวมถึงการรักษาเมื่อได้รับบาดเจ็บ ซึ่งเรื่องเหล่านี้ถือเป็นวิชาสำคัญที่ลูกหลานตระกูลฉินจะต้องศึกษา และยังจะมีการทดสอบอีกด้วย

“ถ้างั้น……ถ้างั้นควรจะทำอย่างไรล่ะ? ” เสิ่นเจียเหวินเองก็สับสนลนลาน ก่อนหน้านี้เธอเคยข้อเท้าพลิก แต่เธอรู้สึกได้ว่า ครั้งนี้มันรุนแรงกว่าครั้งก่อน เจ็บปวดจนถึงกับปากสั่นในขณะที่เธอพูด จนทำให้ขาดความคิดการตัดสินใจ

ฉินเฟยสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมาก จากที่นี่ไปถึงโรงพยาบาลกระดูกและข้อระดับสามที่ใกล้ที่สุดจะต้องใช้เวลามากกว่าครึ่งชั่วโมง ซึ่งยังเป็นในกรณีที่รถไม่ติดด้วย

“ถ้าหากคุณเชื่อฉัน ฉันจะลองช่วยคุณขยับข้อกระดูกที่เคลื่อนให้เข้าที่เอง” ฉินเฟยกัดฟัน และเงยหน้ามองไปที่เสิ่นเจียเหวินด้วยสายตาที่จริงจัง

“นายยังสามารถขยับข้อกระดูกให้เข้าที่ได้ด้วยเหรอ? ” เสิ่นเจียเหวินตกใจ และมองไปที่ฉินเฟยอย่างน่าประหลาด

“ก่อนหน้านี้ทำได้ แต่ฉันกลัวว่าจะไม่คล่องเหมือนก่อนแล้ว แต่หากจะไปโรงพยาบาลในตอนนี้อย่างน้อยต้องใช้เวลากว่าครึ่งชั่วโมง ดูแล้วคงจะไม่ทันกาล” ฉินเฟยรีบพูดอธิบาย อย่างรีบร้อน: “อีกอย่าง จะเจ็บมากหน่อยนะ”

“ฉันไม่กลัวเจ็บ” เสิ่นเจียเหวินพูดขึ้น จากนั้นก็หลับตาลง ข้อเท้ายิ่งเจ็บปวดมากขึ้นจนเธอแทบจะทนความเจ็บปวดไม่ไหว แม้แต่พูดจาก็ยังตัวสั่นไปหมด

ฉินเฟยพยักหน้า สีหน้าไม่ค่อยจะผ่อนคลายสักเท่าไร โดยเฉพาะตอนที่เขาถอดรองเท้าส้นสูงของเสิ่นเจียเหวินออก แล้วกุมไปที่ข้อเท้าที่เริ่มจะปูดบวมขึ้นเล็กน้อยก็ยิ่งจะเคร่งเครียดขึ้นไปอีก เพราะว่าเวลาผ่านไป ข้อเท้าของเสิ่นเจียเหวินก็เกิดอาการบวมขึ้น อีกทั้งเมื่อครู่หญิงโง่คนนี้ก็ไม่ยอมบอกกับเขาก่อน โดยได้ลงมาจากรถเองจึงทำให้อาการยิ่งหนักขึ้นไปอีก ทำให้กระดูกข้อเท้าที่เคลื่อนนั้นผิดตำแหน่งมากกว่าที่ฉินเฟยคาดการณ์เอาไว้เสียอีก

ฉินเฟยเงยหน้ามองไปยังเสิ่นเจียเหวินที่ปิดตาแน่น และพูดเตือนว่า: “คุณอดทนหน่อยนะ”

เสิ่นเจียเหวินลืมตาขึ้น เม้มปากแล้วก็พยักหน้าเล็กน้อย ในขณะนั้นเอง เธอพลันรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดของข้อกระดูกที่พุ่งขึ้นมาจากข้อเท้า ขณะเดียวกันยังได้ยินเสียงกระทบเสียดสีกันของกระดูก: “กร็อกแกร็ก”

นั่นคือความเจ็บปวดที่ทรมานหนักหนาอย่างที่สุด! ซึ่งความเจ็บปวดที่มาจากจิตวิญญาณส่วนลึกนั้นทำให้เสิ่นเจียเหวินร่างกายสั่นไหวอย่างรุนแรง แรงพลังในร่างกายเหมือนกับถูกดูดออกไปทั้งหมด ร่างกายที่พิงอยู่กับตัวรถนั้นก็ค่อย ๆ ลื่นไหลลงมา

มือขนาดใหญ่ที่อ่อนโยนได้รองรับร่างกายของเธอก่อนที่จะล้มลงเอาไว้ ขณะเดียวกันก็ได้ยินเสียงที่โล่งใจของฉินเฟยดังขึ้น: “ข้อกระดูกที่เคลื่อนนั้นได้กลับเข้าที่เรียบร้อยแล้ว แต่เส้นเอ็นที่ตึงจนบาดเจ็บนั้นคงยากที่จะหลีกเลี่ยง อาการเหล่านี้ยังถือว่าไม่หนักเท่าไร เพียงแค่นวดไม่กี่ครั้ง และพักผ่อนอีกไม่กี่วันก็หายเป็นปกติแล้ว และจะไม่มีโรคตกค้างหรือแทรกซ้อนอะไร” เสิ่นเจียเหวินค่อย ๆ ลืมตาขึ้น แววตาแฝงไปด้วยความน่าทึ่ง ความเจ็บปวดเมื่อครู่นี้รุนแรงจนแทบจะทำให้เธออดทนไม่ไหว แต่ความเจ็บปวดก็แค่ช่วงพริบตาเดียว เมื่อความเจ็บปวดผ่านพ้นไปแล้ว ตอนนี้บริเวณข้อเท้ารู้สึกชา เหมือนกับว่าความเจ็บปวดอย่างรุนแรงก่อนหน้านี้นั้นเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา

เสิ่นเจียเหวินก้มมองลงอย่างเหลือเชื่อ พบว่ามือซ้ายของฉินเฟยกำลังกุมอยู่ที่เท้าของตัวเอง มือขวาอยู่ตรงที่บริเวณข้อเท้าที่บาดเจ็บพร้อมกับนวดไปมาด้วยเทคนิคพิเศษ ซึ่งหลังจากที่เขานวดนั้น เสิ่นเจียเหวินก็รู้สึกได้ว่ามีพลังความร้อนพิเศษจากข้อเท้าแผ่กระจายไปทั่ว และแฝงไปด้วยความชา ทำให้เธอสบายตัวถึงขนาดที่อยากจะร้องตะโกนออกมาเลย

เสิ่นเจียเหวินที่สังเกตเห็นการกระทำดังกล่าวก็ถึงกับหน้าแดงขึ้นชั่วขณะ ในเวลานี้ ฉินเฟยก็พูดขึ้นว่า: “โชคดี ที่การเข้าที่ของข้อกระดูกนั้นไม่มีปัญหา ฉันรับรองได้ว่าจะไม่มีอาการตกค้างหรือโรคแทรกซ้อนอะไรแน่ แต่ตอนนี้ฉันแค่ทำการนวดให้เธอชั่วคราวเท่านั้น ยังจำเป็นต้องใช้ยาพิเศษนวดเพิ่มอีก เพื่อผ่อนคลายเส้นเลือดที่เท้า อาการของคุณในตอนนี้คงไม่สามารถเดินได้ ฉันจะพาคุณไปที่โรงพยาบาลเดี๋ยวนี้เลย”

“นายได้ช่วยฉันเคลื่อนข้อกระดูกให้เข้าที่แล้วไม่ใช่เหรอ? ไม่ไปโรงพยาบาลได้ไหม?” เสิ่นเจียเหวินพลันพูดขึ้น

“ก็ได้ แต่ฉันก็แค่ต้องการจะพาคุณไปเอกซเรย์เพื่อให้แน่ใจอีกหน่อย แบบนี้ถึงจะวางใจได้”

“ไม่ต้องหรอก ฉันรู้สึกได้ว่าไม่มีปัญหาอะไรแล้ว ฉันกลับบ้านไปพักผ่อนสักหน่อยก็คงจะหายดี” เสิ่นเจียเหวินส่ายศีรษะ และพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น แม้ว่าอาการของเธอนั้นจะค่อนข้างรุนแรง แต่เธอก็เชื่อในการวินิจฉัยของฉินเฟย ในเมื่อข้อกระดูกกลับเข้าที่แล้ว เธอก็ไม่ต้องไปโรงพยาบาลอีกแล้ว

“ถ้างั้น……บ้านของคุณอยู่ชั้นไหน จะให้ฉันอุ้มคุณหรือแบกคุณขึ้นไปล่ะ คุณเลือกเอาเอง เพราะตอนนี้คุณคงยังเดินไม่ได้แน่นอน”

ฉินเฟยสีหน้าจริงจัง เน้นย้ำว่าตนเองนั้นไม่ได้ตั้งใจที่จะถูกเนื้อต้องตัวเธอ

“ชั้นสิบเอ็ดหลังที่อยู่ทิศตะวันออก นายอุ้มฉันขึ้นไปก็แล้วกัน” เสิ่นเจียเหวินเบะปากและพูดขึ้น

“อืม” ฉินเฟยพยักหน้า แล้วก็ก้มตัวลงมา เสิ่นเจียเหวินที่พิงอยู่ที่รถนั้นก็รีบยื่นมือออกมาโอบไปที่คอของฉินเฟย แล้วฉินเฟยก็ใช้มือสอดเข้าไปที่ใต้ขาพับของเธอ และโอบอุ้มเธอขึ้นมาอย่างง่ายดาย

เสิ่นเจียเหวินหลับตาลงเล็กน้อย และโน้มศีรษะลงมาแนบไปที่อกของฉินเฟย ฉินเฟยไม่สูบบุหรี่ บนร่างของเขามีกลิ่นน้ำยาซักผ้ากลิ่นลาเวนเดอร์ ผสมกับกลิ่นของเหงื่อไคลที่แห้งแล้ว

เสิ่นเจียเหวินรู้ว่า ฉินเฟยจะไปออกกำลังกายทุกวัน

แต่เสิ่นเจียเหวินคิดไม่ถึงว่าจะมีวันหนึ่ง ที่ตัวเองถูกชายหนุ่มที่อายุน้อยกว่าตัวเองอุ้มอยู่ในอ้อมอกแบบนี้ และยิ่งคิดไม่ถึงว่ากลิ่นตัวของผู้ชายคนหนึ่งนั้นจะทำให้เธอเคลิบเคลิ้มขนาดนี้

กลิ่นเหงื่อไม่น่าพึงประสงค์เท่าไร แต่เธอก็ไม่ได้ปฏิเสธ และยิ่งไม่ได้รังเกียจ ก็เหมือนกับตัวเขาคนนี้ ที่สะอาดสะอ้าน ทำให้เธอหลงใหล ทำให้เธออุ่นใจ

ผ่านการลังเลใจอยู่สักพัก เสิ่นเจียเหวินก็ตัดสินใจให้ฉินเฟยอุ้มตัวเองขึ้นไปบนตึก เธอรู้สึกว่าแบบนี้อย่างน้อยยังสามารถปกปิดใบหน้าของตัวเองได้ ไม่ต้องให้คนที่ขึ้นตึกพบเห็นแล้วเกิดความอับอาย

แต่ไม่นานนักเธอก็พบว่าตัวเองนั้นคิดมากเกินไปแล้ว ฉินเฟยไม่ได้ขึ้นลิฟท์ แต่เดินออกจากโรงรถชั้นใต้ดินไปยังบันได แล้วก็ก้าวขึ้นบันไดไปอย่างมั่นคง ทำให้เสิ่นเจียเหวินตกใจอย่างมาก

เธอคิดไม่ถึงอย่างมากว่า พละกำลังของคนหนึ่งนั้นจะแข็งแกร่งได้มากขนาดนี้ ถึงแม้ตัวเองจะไม่อ้วนแต่ก็มีน้ำหนักห้าสิบกว่ากิโลกรัม ประธานเด็กหนุ่มที่ตัวเองคิดว่าเป็นหนุ่มน้อยหน้าใสคนนี้ อุ้มตัวเองเดินขึ้นบันไดมาถึงชั้นสิบเอ็ด โดยที่ไม่แม้แต่จะมีเสียงหอบสักนิดเลย

ดวงตาที่สวยงามของเสิ่นเจียเหวินที่อยู่ในอ้อมอกของฉินเฟยนั้นยิ่งประหลาดใจหนักมากขึ้น เธอไม่มีตระกูลเบื้องหลังอะไร การที่ได้ขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งรองประธานได้นั้น เป็นเพราะเธอขยันมุมานะไต่เต้าขึ้นมาเรื่อย ๆ ถึงขนาดที่ว่าเธอยังเคยเป็นรองผู้อำนวยการฝ่ายรักษาความปลอดภัยอยู่ถึงสองปี

ยามรักษาความปลอดภัยของว่านเซียง กรุ๊ปล้วนผ่านการคัดเลือกอย่างพิเศษ โดยเฉพาะยามรักษาความปลอดภัยที่รับผิดชอบดูแลผู้บริหารชั้นสูง โดยคุณสมบัติขั้นพื้นฐานก็คือทหารที่ปลดประจำการแล้ว กระทั่งที่เป็นทหารหน่วยรบพิเศษ พละกำลังของพวกเขาก็ถือว่าแข็งแกร่งเหมือนกัน บางทีพวกเขาก็อาจจะสามารถแบกของหนักขึ้นชั้นสิบเอ็ดแบบนี้ได้เหมือนกัน แต่ก็คงจะไม่ใช่แบบฉินเฟยที่แสดงออกมาอย่างง่ายดาย

ลมหายใจของฉินเฟยที่ยาวนานนั้น มันเกินกว่าที่เธอจะรับรู้และเข้าใจได้

เสิ่นเจียเหวินนึกคิดมาตลอดว่าฉินเฟยนั้นเป็นเพียงหนุ่มหน้าใสที่เรียบง่ายสนใจแต่วิชาความรู้ แต่เรื่องราวในวันนี้นั้น มันเกินกว่าที่เธอเคยรู้จักและเข้าใจฉินเฟยอย่างมาก อีกทั้ง เมื่อครู่เขายังช่วยเธอเคลื่อนข้อกระดูกให้กลับเข้าที่ นี่ไม่ใช่เรื่องที่คนทั่วไปจะสามารถทำได้

แน่นอนว่า ผู้ที่ถูกประธานจางคัดเลือกมานั้น จะต้องไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน

ฉินเฟยโอบอุ้มเสิ่นเจียเหวินที่อ่อนแอไร้แรงกำลัง ขึ้นบันไดทั้งหมดสิบเอ็ดชั้น แล้วก็เข้าไปสู่บ้านพักของเสิ่นเจียเหวิน

……

บ้านหลังนี้เป็นแบบสองห้องนอนที่ตกแต่งอย่างเรียบง่าย ภายในบ้านไม่ได้หรูหราและไม่มีของตกแต่งอะไรมากมาย แต่กลับมองออกว่าในทุกจุดของบ้านนั้นได้เคยถูกเจ้าของบ้านตั้งใจตกแต่งมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นของตกแต่งบ้านหรือภาพฝาผนังภายในบ้าน แต่ละที่ล้วนแสดงออกถึงความมีรสนิยมและทันสมัยของหญิงเจ้าของบ้าน บริเวณใกล้กับหน้าต่างฝรั่งเศสยังจะมีมินิบาร์อีกด้วย โดยด้านบนนั้นได้จัดวางเหล้าชื่อดังแต่ละประเภทจำนวนมากมาย

ฉินเฟยพูดในใจว่าผู้หญิงที่อยู่ในอ้อมอกคนนี้ ช่างรู้จักดื่มด่ำเสพสุขกับชีวิตเสียจริง

ฉินเฟยนำตัวเสิ่นเจียเหวินวางลงไว้บนโซฟา แล้วก็ถอนหายใจยาว มองไปที่เธอและพูดว่า: “อาการบาดเจ็บที่เท้าของคุณนั้นรุนแรงมาก แม้ว่าฉันจะช่วยคุณทำให้มันกลับเข้าที่แล้ว แต่กี่วันต่อจากนี้ยังจะต้องให้หมอนวดผู้เชี่ยวชาญมานวดจึงจะฟื้นฟูหายเป็นปกติได้เร็วขึ้น ไม่อย่างนั้นจะง่ายต่อการเกิดอันตรายอื่นที่แทรกซ้อน”

“ฉันเองก็ไม่รู้ว่าที่เมืองซงไห่นี้มีหมอนวดผู้เชี่ยวชาญอยู่ที่ไหนบ้าง ก่อนหน้านี้ฉันเห็นนายนวดแล้วเหมือนจะค่อนข้างชำนาญพอสมควร หรือว่ากี่วันจากนี้นายมาช่วยนวดให้ฉันหน่อยได้ไหมล่ะ? ” เมื่อเสิ่นเจียเหวินพูดจบก็ตกใจกับคำพูดนั้นของตัวเอง

ผมเป็นเขย(ผู้ไม่ธรรมดา) บทที่ 66 เสิ่นเจียเหวินยอมพลีกายเองเลย? (2)
“เธออย่าได้มาทำเป็นลอยหน้าลอยตาอยู่ได้! ผู้หญิงประเภทนี้อย่างเอฉันเจอมาเยอะแล้ว มักจะคิดว่าตนเองมีตำแหน่งการงานที่ดีในบริษัท แล้วก็จะนึกว่าตัวเองล้ำเลิศโดดเด่นเป็นที่สุด เธอเชื่อไหมว่าฉันแค่โทรศัพท์สายเดียว ก็สามารถทำให้เธอสูญสิ้นหน้าที่การงานได้? ”

เสิ่นเจียเหวินได้รับฟังจนสีหน้าเย็นชาไปหมด เธอเองก็รู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าผู้ชายคนนี้ไม่ใช่คนดีอะไร แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะเลวทรามหน้าด้านแบบนี้ เธอจึงมีสีหน้าท่าทางเย็นชาลงอย่างสิ้นเชิง

อย่าได้มองว่าโดยปกติเธอนั้นจะตลกเฮฮา ร่าเริงขบขัน แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะมีนิสัยอารมณ์ที่จะถูกคนอื่นรังแกได้โดยง่าย โดยเธอได้พูดขึ้นอย่างเย็นชาว่า: “แล้วแต่คุณก็แล้วกัน! ”

ขณะที่พูด ก็หันหลังแล้วเดินจากไปเลย

“แม่งสิ ไอ้ผู้หญิงเลว เธออย่าได้มาทำเป็นหยิ่งอวดดีไปหน่อยเลย! หลิวโป๋ฮุ่ยดุด่าขึ้น แล้วก็ลากแขนของเธอเอาไว้อีกครั้ง”

“คุณปล่อยฉันนะ ไม่อย่างนั้นฉันจะแจ้งตำรวจเดี๋ยวนี้ อา—-” เสิ่นเจียเหวินสะบัดมือออกอย่างเย็นชา แต่เป็นเพราะอีกฝ่ายหนึ่งฉุดรั้งตัวเอาไว้ จึงทำให้ข้อเท้าพลิก และร้องครวญขึ้น

“ไอ้ผู้หญิงสารเลว เธอจะแจ้งตำรวจใช่ไหม? ฮ่าฮ่า งั้นเธอก็แจ้งตำรวจเลยสิ รองผู้กำกับสถานีตำรวจคือพี่เขยของฉันเอง เธอดูแล้วกันว่าเขาจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร? ” หลิวโป๋ฮุ่ยยิ้มอย่างเย็นชา พร้อมกับจับที่ข้อมือของเสิ่นเจียเหวินไว้แน่น

เสิ่นเจียเหวินขมวดคิ้วขึ้นอย่างเจ็บปวด บริเวณข้อมือมีอาการเจ็บปวดขึ้นอย่างรุนแรง และเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะที่หลงระเริงของหลิวโป๋ฮุ่ยนั้น ก็เกิดความโมโหและเสียใจขึ้น

ตรงตามที่หลิวโป๋ฮุ่ยกล่าวไว้อย่างนั้นว่า เธอก็แค่เป็นเพียงรองประธานของบริษัทแห่งหนึ่งเท่านั้น ดูเหมือนว่าจะมีตำแหน่งการงานที่สูง เงินเดือนก็ไม่น้อย แต่เมื่อเปรียบเทียบกับตระกูลใหญ่แล้ว ก็ยังคงห่างไกลกันลิบลับ

และนี่ ก็ไม่ใช่เพียงแค่ความแตกต่างของสถานะเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นตระกูลใดในเมืองซงไห่ เขาต่างก็มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องที่มั่นคงลึกซึ้งทั้งหมด ส่วนพนักงานปกทองอย่างเธอนี้ อะไรก็ไม่ใช่ทั้งนั้น!

“ปล่อยมือหล่อนเดี๋ยวนี้! ” ในขณะนั้นเอง ก็มีเสียงของชายคนหนึ่งที่คุ้นเคยดังขึ้น

เสิ่นเจียเหวินก็พลันเงยหน้าขึ้นมอง ก็พบเห็นฉินเฟยที่กำลังแบกสิ่งของสีดำมิดชิ้นหนึ่ง เดินตรงมาหาเธอเองอย่างรวดเร็ว

เสิ่นเจียเหวินร่างกายสั่นเทา เขินอายไม่กล้าที่จะมองตรงไป

“นายเป็นใคร? ” หลิวโป๋ฮุ่ยเห็นฉินเฟยวิ่งตรงเข้ามา โดยที่ไม่มีความหวาดวิตกแม้แต่น้อย จึงเหลือบตามองไป ด้วยท่าทางที่หยิ่งทะนง โดยที่ยังไม่ได้ปล่อยข้อมือของเสิ่นเจียเหวิน

“ฉัน……ฉันคือเพื่อนร่วมงานของเสิ่นเจียเหวิน ขอให้นายทำตัวสุภาพสักหน่อย ปล่อยหล่อนเดี๋ยวนี้ !” ฉินเฟยมองไปที่หลิวโป๋ฮุ่ยพร้อมกับพูดขึ้น

เดิมทีเขาคิดว่าเสิ่นเจียเหวินกำลังมีนัดกับอีกฝ่ายหนึ่ง จึงอาศัยช่วงจังหวะที่จะรีบจากไป แต่กลับคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายหนึ่งนั้นจะเกิดการทะเลาะกันขึ้นมา แม้ว่าทั้งสองฝ่ายจะห่างกันไกลพอสมควร แต่ที่นี่ตอนกลางคืนไม่มีลมพัด และความสามารถในการรับฟังของฉินเฟยนั้นในช่วงนี้ก็เหมือนจะพัฒนาขึ้นบ้าง

แม้ว่าฉินเฟยจะไม่รับรู้ถึงเหตุผลที่แท้จริง แต่ก็พอฟังออกได้บ้างว่า เสิ่นเจียเหวินกำลังถูกรังแก และเขาเองก็จะทำเป็นไม่สนใจไม่ได้

หากว่าทำเป็นไม่เห็นแล้วเดินจากไป เขาคงจะทำใจลำบาก

“เพื่อนร่วมงาน เหอะเหอะ เรื่องนี้ฉันขอเตือนนายเอาไว้ก่อนเลยว่า อย่าได้เข้ามายุ่งเกี่ยว ไม่อย่างนั้นฉันเองก็จะจัดการกับนายไปพร้อมกันเลย นี่เป็นเรื่องส่วนตัวระหว่างฉันกับเสิ่นเจียเหวิน เชื่อไหมว่าเพียงแค่ฉันโทรศัพท์ ก็สามารถทำให้ว่านเซียง กรุ๊ปล้มละลายลงได้? นายคิดว่าตัวเองเป็นใคร? ไสหัวไปซะ! ” หลิวโป๋ฮุ่ยยิ้มเยาะอย่างเหยียดหยาม หลงระเริงอย่างที่สุด

“แค่นายโทรศัพท์ก็สามารถทำให้ฉันต้องไสหัวไป? “ ฉินเฟยได้ยินแล้วก็แทบจะหัวเราะออกมา: ”ถ้างั้นนายก็ลองโทรศัพท์ดูสิ? ”

“นายชื่ออะไร? ”

“นายไม่ต้องสนใจว่าผมชื่ออะไร ปล่อยหล่อนเดี๋ยวนี้! ” ฉินเฟยพูดขึ้นอย่างเย็นชาเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายหนึ่งยังคงจับที่ข้อมือของเสิ่นเจียเหวินอย่างแน่น

“หากฉันไม่ปล่อยมือล่ะ? หลิวโป๋ฮุ่ยสีหน้าเย็นชา และเงยหน้ามองไปที่ฉินเฟย ด้วยท่าทางที่ดูถูกเหยียมหยาม”

ฉินเฟยยิ้มเล็กน้อย แล้วก็ยื่นมือออกมา ตีไปที่บริเวณข้อมือของเสิ่นเจียเหวินที่หลิวโป๋ฮุ่ยจับอยู่ หลิวโป๋ฮุ่ยเจ็บปวดจนมือสั่นเทา แล้วฉินเฟยก็รองรับข้อมือของเสิ่นเจียเหวิน และดึงตัวเธอเข้ามาที่ด้านหลังของตนเองทันที

เสิ่นเจียเหวินเดินโซซัดโซเซ และขมวดคิ้วขึ้นอย่างหนัก แต่ก็ยังคงมายืนอยู่ด้านหลังของฉินเฟยอย่างเชื่อฟัง และจิตใจเต็มไปด้วยความซาบซึ้ง

“คนผู้นี้คือคุณชายสามของตระกูลหลิว อย่าได้ล่วงเกินเด็ดขาด” เสิ่นเจียเหวินพูดเตือนขึ้นขณะที่อยู่ด้านหลังของฉินเฟย

ฉินเฟยมารับตำแหน่งเป็นประธานกรรมการบริหารว่านเซียง มูวีอย่างที่ไม่มีใครรับทราบมาก่อน ทางเสิ่นเจียเหวินจึงมองว่า ฉินเฟยคงจะไม่มีอิทธิพลอำนาจอะไรในซงไห่สักเท่าไร เขาก็แค่เป็นที่ชื่นชอบประทับใจของประธานจาง (จางจงเยว่) ก็เท่านั้น โดยปกติเสื้อผ้าการแต่งกายของฉินเฟยก็ธรรมดามาก อีกทั้งรับตำแหน่งประธานกรรมการบริหารมาเป็นเวลานานแล้ว ก็ยังคงขี่รถจักรยานยนต์ไฟฟ้ามาทำงานอยู่ตลอด

และในช่วงเวลานี้ ฉินเฟยเองก็ยังคงปกปิดสถานะของตนเองเป็นความลับอยู่ เกรงว่าคงจะกลัวคนอื่นดูถูก และผลลัพธ์ที่ตามมาจากการดูถูกนั้นก็คือ เขาไม่มีเบื้องหลังที่ลึกซึ้งอะไร ยากที่จะปกครองคน!

แม้ว่าจะเป็นผู้ทรงอิทธิพลยิ่งใหญ่มาจากที่ไหนก็ยากที่จะล้มผู้ยิ่งใหญ่ในพื้นที่ได้ เพราะว่าว่านเซียง มูวีนั้นเพิ่งจะโยกย้ายมาตั้งที่ซงไห่ ถึงแม้จะมีชื่อเสียงไม่น้อย แต่เมื่อเผชิญหน้ากับอิทธิพลอำนาจของตระกูลในพื้นที่เมืองซงไห่แล้ว ก็ยังคงเทียบเท่าไม่ได้

“รู้ว่าฉันเป็นคุณชายสามของตระกูลหลิวก็ดีแล้ว! ” แม้ว่าเสียงของเสิ่นเจียเหวินจะเบา แต่ทางหลิวโป๋ฮุ่ยก็ยังได้ยิน ทำให้สีหน้าท่าทางยิ่งจะหลงระเริงมากขึ้นไปอีก

เขามองไปยังฉินเฟยด้วยสีหน้าท่าทางที่เหยียดหยาม: “หากคิดที่จะเป็นสุภาพบุรุษช่วยเหลือสาวสวยล่ะก็ต้องพิจารณาความสามารถของตนเองเสียก่อนด้วย ฉันให้เวลานายเพียงสามวินาที ไสหัวไปให้พ้นจากสายตาของฉัน เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ฉันก็จะไม่ถือสา หากไม่อย่างนั้น นายจะต้องตายลงอย่างแน่นอน! ”

เสิ่นเจียเหวินที่อยู่ด้านหลังร่างกายสั่นเทา

พูดตามจริงว่า เรื่องน่าอับอายที่เกิดขึ้นนี้ เธอเองก็ไม่อยากที่จะให้ฉินเฟยพบเห็น และยิ่งไม่อยากให้ฉินเฟยเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วย เพราะหลิวโป๋ฮุ่ยคนนี้ชั่วช้าเลวทราม แต่ดันมีตระกูลที่ยิ่งใหญ่และแข็งแกร่งอย่างมาก

แต่ เธอก็ไม่อยากที่จะให้ฉินเฟยเดินจากไปแบบนี้

ถ้าหากฉินเฟยจากไปแล้ว เธอจะเป็นอย่างไร?

เมื่อได้ยินคำพูดก้าวร้าวของหลิวโป๋ฮุ่ยแล้ว ฉินเฟยก็เงยหน้าขึ้นมามองเขา

“ทำไม ยังไม่เกินสามวินาทีหรอกเหรอ? ” ฉินเฟยยิ้มเยาะ

“แก! ” คำพูดของฉินเฟยแทบจะทำให้หลิวโป๋ฮุ่ยสำลักหยุดหายใจ สีหน้าแดงก่ำขึ้นอย่างมาก

“แม่งสิ แกรนหายที่ตายเสียแล้ว! ” ภายใต้ความโมโห หลิวโป๋ฮุ่ยจึงได้ชกหมัดขนาดใหญ่อย่างกับกระสอบทราย พุ่งใส่ไปที่ใบหน้าของฉินเฟยอย่างรุนแรง

“อ่า รีบหลบเร็ว! ” เสิ่นเจียเหวินเห็นอีกฝ่ายหนึ่งพูดว่าจะลงมือก็ลงมือเลยทันที จึงตกใจจนกรีดร้องขึ้น แล้วก็ใช้มือดึงตัวฉินเฟยเล็กน้อย

ฉินเฟยยิ้ม เพราะสำหรับเขาแล้ว หมัดที่หลิวโป๋ฮุ่ยชกออกมานั้นมันช้ามาก ที่จริงแล้วพลังหมัดยังเทียบไม่ได้กับพวกอันธพาลคุมพื้นที่เลยด้วย!

ฉินเฟยถึงขนาดว่ามีเวลา ยื่นมือออกไปจับมือของเสิ่นเจียเหวินที่อยู่ด้านหลังที่ได้ยื่นออกมาดึงตนเองด้วย แล้วจึงยื่นมือออกไปคว้าหมัดกระสอบทราบของอีกฝ่ายหนึ่งเอาไว้ พร้อมกับยื่นเท้าเตะไปยังที่ท้องของหลิวโป๋ฮุ่ย

“โอ้ย! ”

ฉินเฟยใช้แรงไม่มาก แต่ก็ไม่น้อย โดยหลิวโป๋ฮุ่ยที่แต่ไหนแต่ไรก็ได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างดี เคยชกต่อยกับใครที่ไหน จึงถูกฉินเฟยเตะจนล้มกองอยู่ที่พื้น แล้วใช้มือสองข้างกุมไปที่ท้องพร้อมกับร้องโอดครวญ

ฉินเฟยคิดถึงเมื่อครู่ที่หลิวโป๋ฮุ่ยดุด่าเสิ่นเจียเหวินแล้วก็เกิดความโมโห จึงคิดที่จะเข้าไปเตะซ้ำอีกครั้ง แต่กลับถูกเสิ่นเจียเหวินที่อยู่ด้านหลังดึงตัวเอาไว้แน่น: “อย่าเตะเขาอีกเลย รีบไปกันเถอะ! ”

ฉินเฟยถูกเสิ่นเจียเหวินใช้แรงลากตัวไป เขาเองไม่ได้เกรงกลัวอะไรหลิวโป๋ฮุ่ย แต่ทราบดีถึงว่าความลำบากใจของเสิ่นเจียเหวิน จึงได้วิ่งหลบหนีไปด้วยกัน

เสิ่นเจียเหวินไม่กล้าที่จะหันมองไปดูหลิวโป๋ฮุ่ยที่อยู่ด้านหลัง โดยได้ลากชายคนที่ช่วยเหลือตัวเองไว้แล้ววิ่งตรงไปยังที่จอดรถของตัวเอง โดยสายลมที่พัดผ่าน เหมือนจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดที่ข้อมือของเธอนั้นลงได้บ้าง……

“รีบขึ้นรถเร็ว นายมาขับรถ” เสิ่นเจียเหวินวิ่งมาด้านข้างรถ แล้วรีบใช้มือเปิดประตูรถฝั่งที่นั่งข้างคนขับ

“ทำไมจะต้องรีบหนีด้วย เขาสู้ฉันไม่ได้หรอก! ” ฉินเฟยพูดขึ้นอย่างจำใจ

“นายโง่เหรอเปล่าเนี่ยะ โรงแรมของเขาอยู่ใกล้แค่นี้ ถ้าหากมีคนมาช่วยก็คงยุ่งยากแล้ว? ”เสิ่นเจียเหวินเหลือบตาขาวใส่ฉินเฟยด้วยความโกรธ: “รีบขึ้นรถเร็ว ไปกันได้แล้ว”

ขณะที่พูด เธอก็มุดตัวเข้ามาในรถ

ฉินเฟยพยักหน้าอย่างจำใจ แล้วก็ปลดดาบเสวี่ยอิ่นที่แขวนอยู่บนร่างกายออกวางไว้บนเบาะที่นั่งด้านหลัง จากนั้นก็ขึ้นรถตามที่เสิ่นเจียเหวินเร่งเร้า

รถของเสิ่นเจียเหวินคือรถปอร์เช่สีน้ำเงินเข้ม เป็นรถรุ่นเก่าหน่อย น่าจะเป็นรถรุ่นเมื่อสี่ถึงห้าปีที่แล้ว ภายในรถสะอาดเป็นอย่างมาก กระจกมองหลังยังมีแขวนตุ๊กตาหมีน้อยสีขาวน่ารักตัวหนึ่งด้วย และทั้งคันรถเต็มไปด้วยกลิ่นความหอมของผู้หญิง

เสิ่นเจียเหวินก็ไม่ได้พูดบอกว่าจะไปที่ไหน เมื่อฉินเฟยสตาร์ทเครื่องรถแล้วก็ขับตรงไปข้างหน้า

“คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหม? ” ฉินเฟยหันหน้ามองไปที่เสิ่นเจียเหวิน เพราะว่าที่วิ่งหนีกันเมื่อครู่นี้ ทำให้ใบหน้าของเสิ่นเจียเหวินแดงก่ำขึ้น ซึ่งก็มีเสน่ห์เป็นอีกแบบหนึ่ง

“ฉันไม่เป็นไร แต่ฉันกลัวว่าไอ้คนนั้นมันจะมีเรื่อง นาย……เมื่อครู่ที่นายเตะนั้นคงจะไม่ทำให้เขาบาดเจ็บอะไรมากหรอกนะ? เสิ่นเจียเหวินหันมองไปยังด้านหลัง พบว่าไม่มีผู้ใดตามหลังมา แต่น้ำเสียงที่พูดนั้นก็ยังคงเต็มไปด้วยความกังวลใจ”

เธอเองก็คิดไม่ถึงว่าชายหนุ่มที่ตัวเองคิดว่าเป็นเด็กหนุ่มหน้าใสจะเก่งกาจขนาดนี้ เตะเพียงแค่ครั้งเดียวก็ทำให้หลิวโป๋ฮุ่ยที่ร่างกายกำยำ ล้มลงจนแทบจะลุกไม่ขึ้น แต่เธอเองก็ยังเป็นกังวลว่าหลิวโป๋ฮุ่ยถูกฉินเฟยเตะจนบาดเจ็บ ซึ่งฉินเฟยทำแบบนี้ก็เพราะช่วยเหลือตัวเธอ ถ้าหากเกิดปัญหายุ่งยากขึ้นเพราะเรื่องดังกล่าวแล้ว เธอเองก็ยิ่งจะละอายใจมากขึ้นไปอีก

“ไม่เป็นไร ฉันรู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร ก็แค่คิดไม่ถึงว่าทำไมเขาถึงได้อ่อนแอขนาดนี้” ฉินเฟยพูดขึ้น

“มิน่าล่ะที่เห็นนายออกกำลังกายฝึกฝนทุกวัน ดูเหมือนว่าจะมีประโยชน์อยู่บ้าง” เมื่อเสิ่นเจียเหวินได้ยินว่าไม่มีปัญหาอะไร ก็เบาใจลงได้แล้ว แสยะยิ้ม แล้วก็ผ่อนคลายลงเหมือนกับแต่ก่อน

เพียงแต่ว่า อาการผ่อนคลายนี้เธอเองที่เป็นคนสร้างมันขึ้นมา

“ใช่สิ คิดที่จะเป็นสุภาพบุรุษช่วยสาวสวย ก็จะต้องมีความสามารถบ้างไม่ใช่เหรอ? ” ฉินเฟยพูดอธิบายขึ้น

“ใช่แล้ว ฉันจะส่งคุณไปที่ไหน คุณทานข้าวแล้วหรือยัง? ”

“ยังไม่ทานเลย แต่ฉันไม่อยากทาน ถ้างั้น……นายส่งฉันกลับบ้านเถอะ” เสิ่นเจียเหวินพูดขึ้นด้วยความลังเลใจเล็กน้อย

“อืม ก็ได้” ฉินเฟยพยักหน้า เขารู้ดีว่าคืนนี้เสิ่นเจียเหวินได้รับความตกใจและหวาดกลัว เพราะว่าเป็นผู้หญิง เวลานี้ การกลับบ้านถือว่าเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดของเธอ

เวลานี้เสิ่นเจียเหวินได้ใช้เข็มขัดนิรภัยรัดตัวอย่างแน่น ทำให้คู่เนินนั้นยิ่งเอิบอิ่มมากขึ้น หรือจะเรียกว่าเยี่ยมยอดไปเลยก็ได้

เสิ่นเจียเหวินมีลำคอที่ขาวนวล จินตนาการได้เลยว่า ภายใต้ผ้าคลุมหน้านั้น คงจะสวยงดงามมากขนาดไหนกันเชียว……

ผมเป็นเขย(ผู้ไม่ธรรมดา) บทที่ 65 เสิ่นเจียเหวินมอบร่างกายตัวเองให้ฉินเฟย(1)
“เธอจะยืมให้ฉันยังไงเหรอ?”

“เรื่องนี้ค่อยพูดกันทีหลัง ค่อยพูดกันทีหลัง”ฉินเฟยรีบดึงความคิดของตัวเองกลับมา ถ้ายังสนทนาต่อไปคงเกิดเรื่องอย่างแน่นอน เขาพูดอย่างเคร่งขรึม:”เธอออกไปและเรียกเหอฉิงเข้ามา เรื่องดึงตัวหลิวจงเหลียงมาทำงานนั้น เธอไม่ต้องไปแล้ว สำหรับการใช้แผนสาวงามนั้น มันไม่จำเป็นเลย!”

“ทำไม? ประธานฉินทนไม่ได้เหรอ? กลัวฉันโดนแต๊ะอั๋งเหรอ?”เสิ่นเจียเหวินลุกขึ้นมาและเดินไปที่หน้าโต๊ะทำงานของฉินเฟย สองมือของเธอจับโต๊ะเอาไว้และก้มลงไปมองหน้าฉินเฟย

ฉินเฟยกลัวจนรีบถอยหลังทันที แต่เขาควบคุมสายตาตัวเองไม่ได้ มองไปยังหน้าอกที่เปิดอยู่ ทำให้ฉินเฟยมองจนกลืนน้ำลายตัวเองไปหลายครั้ง

“มันง่ายมากๆ เธอเป็นรองประธานของว่านเซียง ถ้าเธอไปเองคงจะไม่เหมาะสม ถ้าโดนรังแกจะทำยังไง? เธอรีบออกไปและเรียกเหอฉิงเข้ามา”

“อืม……”เสิ่นเจียเหวินค่อยๆยืนตัวตรง เธอมองฉินเฟยที่มีใบหน้าแดงก่ำ ทำให้เธอมีความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูกเกิดขึ้นในจิตใจ

เสิ่นเจียเหวินก็คิดไม่ถึงจริงๆว่าประธานจาง(จางจงเยว่)จะส่งเด็กหนุ่มแบบนี้มาเป็นประธาน แต่คิดไม่ถึงจริงๆว่าฉินเฟยจะทำงานได้อย่างจริงจัง เป็นคนที่ฉลาด แต่ก็เป็นเด็กหนุ่มที่ไร้เดียงสามากๆ เป็นเด็กหนุ่มที่กล้าคิดลามกแต่ไม่กล้าลงมือ

ผู้หญิงมีสัมผัสที่หกที่ไว้มากๆ ทุกครั้งที่ฉินเฟยแอบมองเธอ เธอสัมผัสได้อยู่แล้ว

เด็กหนุ่มอ่อนหัด!

“โอเค งั้นก็ทำตามคำสั่งของประธานฉินก็แล้วกัน ประธานฉินพูดถูกแล้ว ฉันเป็นถึงรองประธาน คนที่สามารถรังแกฉันได้ มีเพียงแค่ท่านประธานเท่านั้น!”

แม่งเอ๊ย!

ในที่สุดสาวสวยอย่างเสิ่นเจียเหวินก็จากไป ตอนนี้ฉินเฟยถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขาไม่เข้าใจผู้หญิงคนนี้จริงๆ ทำไมเธอถึงชอบแซวตัวเองอย่างนี้

แน่นอนว่าฉินเฟยรู้ดีว่าเสิ่นเจียเหวินไม่ได้เป็นผู้หญิงสำส่อน เพียงแต่เธอมีนิสัยเปิดเผยเท่านั้น มิฉะนั้น ด้วยความสวยและความสามารถของเธอ แค่กวักมือเรียก ก็มีผู้ชายจำนวนมากยอมทำทุกอย่างเพื่อเธออยู่แล้ว

และผู้ชายพวกนั้นก็คงยอมสละทุกอย่างเพื่อเธอได้

“ก๊อกๆๆๆ……”เสิ่นเจียเหวินออกไปได้ไม่นาน เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น

“เชิญเข้ามาได้”ฉินเฟยพูดไปด้วยและเงยหน้าขึ้นด้วย

เหอฉิงที่มีรูปร่างสูงใหญ่เดินเข้ามา สีหน้าของเธอจริงจังและเคร่งขรึมมากๆ เส้นฉันสีดำถักเปียอยู่ เธอแต่งตัวได้สะอาดสะอ้านมากๆ

“มีเรื่องหนึ่งที่ต้องการให้เธอไปทำ……”ฉินเฟยหยิบเอกสารขึ้นมาและอธิบายทันที

“อืม แสดงความเป็นมิตรหน่อย อย่าทำหน้าเย็นชาตลอดเวลา ต้องใช้คุณธรรมชนะใจคนอื่น!”ฉินเฟยพูดไปด้วยและหัวเราะไปด้วย:”เอาเลย ยิ้มให้ฉันดูหน่อยสิ”

เหอฉิง:”……”

……

เวลาสองวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว

กลางวันฉินเฟยยุ่งอยู่กับการทำงาน กลางคืนเขาแบกดาบเสวี่ยอิ่นไว้ด้านหลังและวิ่งออกกำลังกาย แม้แต่ตอนกลางคืนเขายังกอดดาบเสวี่ยอิ่นนอนด้วย

ผลลัพธ์ที่ได้นั้นชัดเจนมากๆ ฉินเฟยสัมผัสได้ทันทีว่าพลังของตัวเองเพิ่มขึ้นเยอะมากๆ การเคลื่อนไหวและการตอบสนองก็เร็วกว่าเมื่อก่อน สิ่งที่ผิดหวังมีเพียงเรื่องเดียวก็คือ เขาฝึกฝน

เจียงเยว่ถงขอบริษัทฉีแยคืนมา พูดกันตามตรงคือซุนเย่าเหวินให้เธอมาฟรีๆ ตอนนั้นซื้อไปในราคาสามล้านหยวน แต่ตอนที่ส่งมอบนั้น อีกฝ่ายไม่รับเงินจากเธอเลย ฉินเฟยรู้ดีว่าซุนเย่าเหวินทำแบบนี้เพื่อตอบแทนบุญคุณของเขา

สำหรับเรื่องที่ซุนเย่าเหวินค้นหาเสิ่นเสี่ยเหมยนั้น เขาคงค้นหาเสิ่นเสี่ยเหมยในระยะเวลาสั้นๆไม่เจออยู่แล้ว เพราะซงไห่มีประชากรสิบห้าล้านคน การค้นหาคนๆหนึ่งมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ถึงแม้เขาจะค้นหาเสิ่นเสี่ยเหมยจนเจอ เสิ่นเสี่ยเหมยอาจจะไม่ยอมรับเขาก็ได้ ช่วงหลายวันมานี้เจียงเยว่ถงยุ่งมากๆ หลังจากได้บริษัทฉีแยคืนมาแล้ว เธอก็โทรศัพท์ไปหาพนักงานเก่าๆและเรียกพวกเขากลับมาทำงาน และเมื่อวานเธอก็ได้เซ็นสัญญากับว่านเซียงมูวีแล้ว

เจียงเยว่ถงดีใจมากๆและมั่นใจมากๆ ตอนนี้เธอซาบซึ้งในตัวฉินเฟยมากๆเช่นกัน สำหรับเรื่องที่ฉินเฟยแบกดาบเสวี่ยอิ่นกลับบ้านทุกคืนนั้น เขาอธิบายว่าตัวเองกำลังฝึกฝนร่างกายอยู่ เพื่อทำให้ตัวเองมีพลังที่แข็งแกร่งและเอาไว้ปกป้องภรรยาของตัวเองในอนาคต เจียงเยว่ถงยิ้มด้วยความดีใจ สายตาที่มองฉินเฟยก็อ่อนโยนมากขึ้น

แต่น่าเสียดาย การโอบกอดที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ มันไม่ได้เกิดขึ้นอีก

ตอนเย็นหกโมงกว่าๆของวันนี้ ฉินเฟยแบกดาบเสวี่ยอิ่นและออกมาจากบริษัททันที เขามาถึงสวนสาธารณะหยุนซานเว่ยที่อยู่ใกล้ๆบริษัทเพื่อฝึกฝนร่างกาย

ตรงนี้เป็นพื้นที่ที่พึ่งเริ่มพัฒนา ทำให้อุปกรณ์ต่างๆมีไม่ค่อยครบ โดยเฉพาะสวนสาธารณะหยุนซานเว่ยแห่งนี้ เมื่อถึงตอนกลางคืนจะเงียบมากๆและแทบจะไม่มีคนเลย

ฉินเฟยวิ่งอยู่บนถนนสายเล็กๆ เขาหายใจเร็วด้วยความเหน็ดเหนื่อย บางทีเขาก็จะได้เสียงผู้หญิงหายใจเร็วและได้ยินเสียงครางเบาๆจากในพุ่มไม้ มันได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจน เนื่องจากสถานที่แห่งนี้ในเวลากลางคืนจะไม่ค่อยมีคนมา ทำให้วัยรุ่นหนุ่มสาวที่ทำงานอยู่ใกล้ๆมาออกเดตกันในสถานที่แห่งนี้ เพราะพวกเขาต้องการสร้างความตื่นเต้นให้ตัวเอง

เวลาหนึ่งทุ่มครึ่ง ท้องฟ้าได้มืดสนิทแล้ว

ฉินเฟยวิ่งออกมาจากสวนสาธารณะ เขาคิดจะหาที่ทานอาหารก่อน แต่เขากลับมองเห็นผู้หญิงคนหนึ่งที่ยืนอยู่ใต้แสงไฟ

เสิ่นเจียเหวินเหรอ?

ฉินเฟยอึ้งไปเลย นอกจากเสิ่นเจียเหวินแล้ว ด้านหลังของเธอยังมีผู้ชายอ้วนๆคนหนึ่ง

ฉินเฟยขมวดคิ้วทันที พวกเขากำลังออกเดตกันเหรอ?

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ทำให้ฉินเฟยรู้สึกไม่ค่อยพอใจ ถึงแม้เขารู้ดีว่าตัวเองกับสาวสวยอย่างเสิ่นเจียเหวินไม่มีทางเป็นแฟนกันได้ แต่เมื่อมองเห็นสาวโสดที่อยู่ข้างๆตัวเองมีแฟนหนุ่มแล้ว ทำให้เขารู้สึกไม่ค่อยพอใจ

เพื่อหลีกเลี่ยงการพบหน้ากัน ฉินเฟยไม่ได้พูดอะไรออกมา ฉินเฟยรอให้พวกเขาจากไปก่อน ตัวเองค่อยอ้อมไปอีกทางหนึ่ง

ภายใต้แสงไฟ เสิ่นเจียเหวินยังคงใส่กระโปรงรัดรูปตัวเดิม ถึงแม้กระโปรงรัดรูปจะไม่ได้ถูกดีไซน์เป็นพิเศษ แต่ก็ไม่สามารถปิดบังรูปร่างอันเซ็กซี่ของเธอได้เลย ภายใต้แสงไฟ ขาวอันเรียวยาวของเธอที่ใส่ถุงน่องอยู่ มันดูเซ็กซี่และดึงดูดสายตามากๆ

เสิ่นเจียเหวินใส่ส้นสูงและรีบเดินไปข้างหน้า มีเสียงส้นสูงกระแทกพื้น‘ก๊อกๆ’ดังขึ้นตลอดเวลา ใบหน้าอันสวยของเธอเย็นชามากๆ ผู้ชายร่างอ้วนที่อยู่ด้านหลังไล่ตามด้วยความเหน็ดเหนื่อย

เขากำลังพูดบางอย่างอยู่ แต่เสิ่นเจียเหวินที่อยู่ข้างหน้าไม่สนใจคำพูดของเขาเลย และเสิ่นเจียเหวินรีบเดินไปข้างหน้าทันที

“เสิ่นเจียเหวิน อย่าเล่นตัวไปหน่อยเลย!”ชายร่างอ้วนโกรธมากๆและวิ่งเข้ามา และจับไหล่ของเสิ่นเจียเหวินเอาไว้

“แกคิดจะทำอะไร แกระวังการกระทำและคำพูดของแกด้วย”เสิ่นเจียเหวินโกรธมากๆและสะบัดมือของผู้ชายออกไป

“ฮ่าๆ แกประเมินตัวเองสูงไปหรือเปล่า แกก็เป็นแค่รองประธานของว่านเซียงกรุ๊ปเท่านั้น แกได้เงินเดือนเท่าไหร่เหรอ? คงได้ปีละสามแสนถึงห้าแสนเองมั้ง? ทำงานสิบปีก็ซื้อบ้านในซงไห่ได้แค่หลังเดียวเท่านั้น แกกล้าดียังไงมาดูถูกฉันแบบนี้?”ผู้ชายพูดด้วยความดูถูก

“ฉันไม่ได้คิดจะดูถูกแกเลย ฉันคิดว่าพวกเราไม่เหมาะสมกัน อย่ามาระรานกับฉันอีกเลย”เสิ่นเจียเหวินหายใจเข้าลึกๆและพยายามพูดด้วยน้ำเสียงปกติ

ผู้ชายที่อยู่ด้านหน้าชื่อหลิวป๋อหุ่ย เขาเป็นคุณชายสามของตระกูลหลิวที่เป็นตระกูลระดับสองของซงไห่

ตระกูลหลิวเป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงในซงไห่ พวกเขาทำธุรกิจด้านอาหาร มีร้านแฟรนไชส์มากกว่าร้อยแห่ง พวกเขามีสวนผักและโรงเลี้ยงเป็ดไก่ของตัวเอง มีห่วงโซ่อุตสาหกรรมที่สมบูรณ์แบบ มีทรัพย์สินมากกว่าพันล้าน ตระกูลนี้ก็ถือได้ว่าเป็นตระกูลที่ร่ำรวยมากๆ

แม่ของเสิ่นเจียเหวินแนะนำให้เธอรู้จักกับหลิวป๋อหุ่ย ให้พวกเขาสองคนนัดบอดกัน ถ้ารู้สึกว่าอีกฝ่ายโอเคก็แต่งงานกันได้เลย ตอนนี้เสิ่นเจียเหวินอายุสามสิบปีแล้ว ถ้าอายุของผู้หญิงเข้าสู่สี่สิบปีก็คงหาคู่ครองไม่ได้อีก เรื่องนี้ทำให้แม่ของเธอกังวลมากๆ

แม่ของเสิ่นเจียเหวินก็เป็นคนที่เก่งมากๆ ตอนแรกเธอทำงานในร้านอาหารของตระกูลหลิว ใช้ความสามารถของตัวเอง จากพนักงานเล็กๆคนหนึ่ง สุดท้ายกลายเป็นผู้จัดการสาขาแห่งหนึ่ง ตอนนี้เธอเกษียณแล้ว

ตระกูลหลิวก็เป็นตระกูลใหญ่ในซงไห่และเสิ่นเจียเหวินก็เป็นรองประธานของว่านเซียงกรุ๊ป ความสามารถของเธอก็เหมาะสมกับอีกฝ่ายเช่นกัน ถ้าเสิ่นเจียเหวินสามารถแต่งเข้าตระกูลหลิวได้ เธอก็จะสุขสบายไปตลอดชีวิต

สำหรับคำอ้อนวอนของแม่นั้น ถึงเสิ่นเจียเหวินจะไม่ยินยอมแต่ก็ต้องทำตาม พวกเขาเคยเจอหน้ากันเมื่อสามวันก่อน เสิ่นเจียเหวินมองผู้ชายแค่ครั้งเดียว เธอก็รู้สึกไม่ชอบอีกฝ่ายเลย เพราะนี่คือสังคมที่มองคนจากรูปร่างหน้าตา มันเป็นเรื่องที่ปกติอยู่แล้ว!

ยังไงซะ สำหรับผู้ชายนั้น หน้าตาเป็นแค่เรื่องรอง ถ้าเป็นคนที่มีความสามารถ มีเงินทองก็พอแล้ว

แต่น่าเสียดายจริง เนื่องจากเสิ่นเจียเหวินสวยมากๆ เมื่อหลิวป๋อหุ่ยมองเห็นเธอก็ตกลงรักเลย การทานข้าวในคืนนั้น สายตาลามกของเขาไม่เคยออกห่างจากร่างกายของเสิ่นเจียเหวินเลย

เนื่องจากฐานะของตระกูลค่อนข้างร่ำรวย ทำให้หลิวป๋อหุ่ยแสดงท่าทีอวดดีมากๆออกมา

ตอนที่ทานอาหารนั้น เขาหยิบสร้อยคอราคาสิบล้านให้เสิ่นเจียเหวิน และใช้โอกาสนี้ไปจับมือของเสิ่นเจียเหวินเอาไว้ หลังจากเสิ่นเจียเหวินหลบได้แล้ว เธอก็รู้สึกไม่พอใจผู้ชายคนนี้มากๆ สุดท้ายแล้ว หลิวป๋อหุ่ยใช้มือมาจับน่องของเธอ ทำให้เสิ่นเจียเหวินหมดความอดทนทันที เธอเดินออกจากร้านอาหารเลย

วันนี้ตอนเย็น เสิ่นเจียเหวินรับโทรศัพท์จากแม่ของเธอ บอกให้เธอไปพบหน้าหลิวป๋อหุ่ยอีกครั้ง และด่าเธอด้วย บอกว่าเธอบ้าไปแล้วเหรอ อีกฝ่ายแค่อ้วนไปหน่อยเท่านั้น แต่เขาก็ดีกับเธอและยอมทุ่มเทให้เธอไม่ใช่เหรอ

เมื่อแม่ร้องไห้ออกมา ทำให้เสิ่นเจียเหวินต้องฝืนใจมาพบหน้าอีกฝ่าย

หลังจากเจอกันในวันนี้แล้ว เสิ่นเจียเหวินคิดไม่ถึงจริงๆว่าหลิวป๋อหุ่ยจะพูดจาลวนลามและดูถูกเธอแบบนี้ เธอโกรธมากๆและเดินออกมา หลิวป๋อหุ่ยก็เลยรีบไล่ตามออกมาด้วย

“ระรานแก? แกคิดว่าข้ามาระรานแกเหรอ?”หลิวป๋อหุ่ยหัวเราะออกมา:”แกรู้ไหมว่าข้านอนกับผู้หญิงมาแล้วกี่คน? ผู้หญิงพวกนั้นต่างเป็นสาวงาม รูปร่างไม่ได้ด้อยไปกว่าแกเลย ฉันคิดว่าแกมีหน้าตาที่ไม่เลวเลย และตรวจสอบข้อมูลของแกและพบว่าแกไม่ได้เป็นผู้หญิงที่สำมะเลเทเมา และเป็นผู้หญิงก็มีความสามารถอยู่บ้างก็เท่านั้น”

“ขอบคุณที่ชื่อชอบในตัวฉัน ฉันคิดว่าพวกเราไม่เหมาะสมกันจริงๆ”เสิ่นเจียเหวินพยายามอดทนและพูด

“ไม่เหมาะสมกันตรงไหน? ข้ามองออกว่าเธออายุสามสิบแล้ว ผู้หญิงอายุขนาดนี้ ถ้าไม่มีแฟนก็คงไม่ได้แต่งอีกแล้ว ฉันก็อยากจะได้ผู้หญิงที่ชื่อฟังคนหนึ่ง พวกเราอยู่ด้วยกันก็ดีแล้ว ฉันมีเงินทองมากมาย สิ่งที่เธออยากได้ ฉันซื้อให้เธอได้ทั้งหมด เธอรอจนถึงตอนนี้ยังไม่แต่งงาน เพราะอยากจะหาสามีรวยๆไม่ใช่เหรอ เธอจะรออะไรอีก?”หลิวป๋อหุ่ยยืดหน้าท้องออกมาและพูด เขาคิดว่าตัวเองเข้าใจเสิ่นเจียเหวินมากๆ

“ต้องขอโทษด้วยจริงๆ พวกเราไม่ใช่คนประเภทเดียวกัน พวกเราจบกันแค่นี้เถอะ ขอโทษจริงๆ และขอบคุณมากๆที่ชื่นชมในตัวฉัน”เสิ่นเจียเหวินพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“นางเพศยา แกคิดว่าแกเป็นใคร ผู้หญิงอย่างแก ฉันเจอมาเยอะแล้ว คิดว่าตัวเองเป็นผู้บริหารระดับสูงของบริษัทและคิดว่าตัวเองเก่งมากเหรอ? แกเชื่อไหม ฉันโทรศัพท์แค่สายเดียวก็ทำให้แกตกงานได้เลย แกก็เป็นได้แค่นางเพศยาเท่านั้น!”หลิวป๋อหุ่ยโดนปฏิเสธไปหลายครั้ง ทำให้เขาโกรธมากๆ

เขาเคยนอนผู้หญิงมานับไม่ถ้วน ขอแค่เขาให้เงิน ผู้หญิงพวกนั้นก็ยอมถอดเสื้อผ้าของตัวเองอย่างง่ายดาย ถ้าอีกฝ่ายไม่ยอมถอดเสื้อผ้า มันแปลว่าเงินที่ให้ยังไม่พอ

ไม่มีอะไรที่เงินซื้อไม่ได้

ในสายตาของเขา เสิ่นเจียเหวินที่อยู่ตรงหน้าก็เป็นผู้หญิงแบบนั้นเหมือนกัน เพียงแต่เธอเล่นตัวเท่านั้น

ผมเป็นเขย(ผู้ไม่ธรรมดา) บทที่ 64 น้ำเชื้อ
ฉินเฟยแบกดาบเสวี่ยอิ่นเอาไว้ และนั่งอยู่บนรถจักรยานไฟฟ้าอย่างยากลำบาก เขาไม่สนใจสายตาของคนรอบข้างที่มองตัวเอง และตรงไปยังว่านเซียงมูวี

เมื่อมาถึงบริษัท ฉินเฟยเข้าไปในโรงจอดรถที่อยู่ชั้นใต้ดิน จากนั้นก็สแกนลายนิ้วมือและใช้ลิฟต์ส่วนตัวตรงไปยังชั้นที่สิบหก ตั้งแต่เริ่มทำงาน ฉินเฟยก็ใช้ลิฟต์ส่วนตัวอันนี้ตลอด นี่ก็คือเหตุผลที่คนจำนวนมากไม่เคยเห็นหน้าฉินเฟย

อย่างไรก็ตาม พนักงานบริษัทคนอื่นๆมองไม่เห็นเขา แต่เลขาที่อยู่ด้านนอกห้องทำงานมองเห็นเขาอยู่แล้ว

ฉินเฟยมีเลขาทั้งหมดสิบสองคน ทุกคนต่างเป็นผู้หญิงที่สวยมากๆ เมื่อมองเห็นฉินเฟยเดินเข้ามา พวกเธอก็รีบลุกขึ้นมาและพูด:”สวัสดีค่ะ ท่านประธาน”

เหอฉิงมองเห็นกล่องสีดำที่อยู่ด้านหลังของฉินเฟย สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยความสงสัย แต่เธอก็ไม่กล้าถาม ทำให้เธอนึกถึงก่อนหน้านี้ที่ท่านประธานเอาหม้อชามเข้ามาออฟฟิศและยุ่งอยู่ทั้งวัน ทำให้เธอรู้สึกสงสัยการกระทำของท่านประธานคนนี้มากๆ

หลังจากเหอฉิงกล่าวคำทักทายแล้ว เลขาที่อยู่ด้านหลังก็รีบเงยหน้าขึ้นมาทันที สีหน้าของพวกเธอเหมือนกับเหอฉิงเลย ราวกับพวกเธอกำลังมองสัตว์ประหลาดอยู่

ฉินเฟยพยักหน้าและรีบเดินเข้าไปในห้องทำงาน ขณะที่เขากำลังจะปิดประตู เขายังได้ยินเสียงสนทนาของเลขาทั้งหมดที่อยู่ด้านนอก

ถึงแม้เลขาพวกนี้จะสวยมากๆ แต่ก็มีนิสัยชอบนินทาเรื่องชาวบ้าน มีอยู่ครั้งหนึ่ง หลังจากทานอาหารเสร็จ เขารู้สึกเบื่อมากๆก็เลยออกไปเดินเล่น เขาก็ได้ยินเลขาพวกนี้สนทนาเรื่องของเขา และพูดว่าเขาไม่มีแฟนสาวอย่างแน่นอน

หลังจากนั้น เรื่องนี้ก็ได้รับความสนใจทันที พวกเธอต่างพูดว่าตัวเองสวยมากๆ รูปร่างเซ็กซี่และอยากจะเป็นภรรยาของท่านประธาน หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีคนพูดว่ารองประธานเสิ่นเจียเหวินคือคนที่มีโอกาสเป็นภรรยาท่านประธานมากที่สุด พูดว่าพวกเขาสองคนอยู่ด้วยกันตลอดเวลา คิดว่าพวกเขาสองคนมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกันแล้ว เมื่อฉินเฟยได้ยินก็รู้สึกละอายใจมากๆ

เสิ่นเจียเหวินเป็นสาวงามจริงๆ ฉินเฟยก็เป็นผู้ชายอกสามศอก เขาก็อยากจะมีอะไรกับเสิ่นเจียเหวินเหมือนกัน เขาก็อยากจะรู้ว่าความรู้สึกนั้นเป็นยังไง

อย่างไรก็ตาม เขาแค่คิดเท่านั้น แต่ไม่ได้ทำเรื่องนี้จริงๆ

ฉินเฟยพิงอยู่บนประตูห้องทำงาน เขาถอนหายใจยาวๆออกมา จากนั้นก็เงยหน้าขึ้น เขามองเห็นบนโซฟามีผู้หญิงเซ็กซี่คนหนึ่งนั่งอยู่ ทำให้เขาตกใจจนรีบหันหน้าหนี

ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน เธอก็คือเสิ่นเจียเหวิน

“เธอ เธออยู่ตรงนี้ได้ยังไง?”ฉินเฟยพูดด้วยความตกใจ

“เมื่อคืนท่านส่งข้อความมาบอกฉัน บอกให้ฉันมารอท่านตั้งแต่เช้าไม่ใช่เหรอ ท่านมีเรื่องจะให้ฉันทำไม่ใช่เหรอ?”สายตาของเสิ่นเจียเหวินมีแต่ความสงสัย เมื่อเธอมองเห็นกล่องสีดำที่อยู่ด้านหลังของฉินเฟยและถามด้วยความสงสัย:”มันคืออะไรเหรอ?”

“สมบัติล้ำค่า”ฉินเฟยพึ่งนึกได้ เมื่อคืนเขาได้ส่งข้อความไปบอกเสิ่นเจียเหวิน สำหรับดาบเสวี่ยอิ่นที่แบกอยู่ด้านหลังนั้น เขาไม่อยากจะพูดถึงเรื่องนี้อยู่แล้ว

ฉินเฟยเดินไปยังโต๊ะทำงานของตัวเอง แต่สายตาของเขามองไปยังเสิ่นเจียเหวินที่นั่งอยู่บนโซฟา

วันนี้เสิ่นเจียเหวินแต่งตัวสวยมากๆ เธอใส่กระโปรงสั้นรัดรูปสีดำ ขาอันเรียวยาวใส่ถุงน่องและพับอย่างสวยงาม ด้านบนใส่เสื้อเชิ๊ตสีฟ้า เอวของเธอเล็กมากๆ เธอมีรูปร่างที่เซ็กซี่และมีใบหน้าที่งดงาม ปากของเธอเล็กและน่าจูบมากๆ เธอเป็นผู้หญิงที่มีเสน่ห์ เซ็กซี่และน่าค้นหามากๆ

ฉินเฟยนั่งลงบนเก้าอี้ เขาหยิบเอกสารที่จางฉองหย่วนตรวจสอบวัตถุดิบของซวนหมิงฉีและส่งมาให้เขาออกมา หลังจากมองเอกสารครั้งหนึ่งและเปิดPMขึ้นมาฟังสักครู่ และแน่ใจว่าไม่มีอะไรผิดพลาด

เพียงแต่รูปถ่ายและเสียงในวิดีโอไม่น่าฟังเลย เมื่อฉินเฟยดูไปชั่วครู่ก็ทำให้เขาหน้าแดงทันที เขาเงยหน้ามองเสิ่นเจียเหวิน สายตาของเขาฉายแววตื่นเต้น

ฉินเฟยรีบหันหน้ากลับมาและพูดอย่างเคร่งขรึม:”เรื่องที่ให้เธอไปตรวจสอบเมื่อสองวันที่แล้ว ได้เรื่องอะไรมาบ้าง?”

ฉินเฟยพูดถึงบริษัทคังต้าของซวนหมิงฉี นี่คือก้าวแรกที่เขาจะเริ่มแก้แค้น

“อันที่จริงบริษัทจัดหางานจำนวนมากสนใจบริษัทโฆษณาคังต้า โดยเฉพาะรองประธานหลิวจงเหลียง มีบริษัทจัดหางานจำนวนมากให้เงินเดือนปีละหนึ่งล้านกับหุ้นของบริษัท แต่ก็ดึงเขามารวมงานไม่ได้”เสิ่นเจียเหวินพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง:”จนปัญญาจริงๆ เพราะหลิวจงเหลียงทำงานในซวนหมิงฉีมานาน หลายปีมานี้บริษัทให้ความสำคัญกับเขามากๆ ตำแหน่งของเขาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากตำแหน่งหัวหน้าเลื่อนมาจนถึงรองประธาน และเขายังได้รับหุ้นห้าเปอร์เซ็นต์ของบริษัทคังต้าด้วย เขาซื่อสัตย์กับซวนหมิงฉีมากๆ”

เมื่อเสิ่นเจียเหวินพูดจบ สีหน้าของเธอสงสัยมากๆ สำหรับเรื่องโฆษณานั้น พวกเขาก็มีบริษัทของตัวเองอยู่แล้ว เนื่องจากบริหารงานได้ดีและมีประสิทธิภาพ พวกเขาสามารถแข่งขันกับคังต้าได้อยู่แล้ว

ถ้าสามารถดึงหลิวจงเหลียงมาทำงานกับพวกเขาได้ มันก็คงเป็นเรื่องที่ดี แต่เธอคิดว่าว่านเซียงไม่น่าให้ความสำคัญกับหลิวจงเหลียงอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น คนๆนี้จะมาร่วมงานกับพวกเขาได้ยากมากๆ

“ไม่เป็นไร ขอแค่หลิวจงเหลียงออกจากคังต้า ทำให้เขาลาออกจากบริษัทคังต้าก็พอแล้ว”ฉินเฟยพูดเบาๆ

“ทำไมต้องทำแบบนี้?”เสิ่นเจียเหวินสงสัยมากๆ

“เรื่องนี้ง่ายมากๆ พวกเรากับบริษัทคังต้าเป็นคู่แข่งกัน การดึงตัวบุคคลสำคัญของบริษัทคังต้าไม่ได้ดึงมาเพื่อสร้างรายได้ให้พวกเรา แต่พวกเราจะทำให้คู่แข่งอย่างบริษัทคังต้าเสียหายอย่างหนักต่างหาก”ฉินเฟยพูดด้วยรอยยิ้ม

บริษัทคังต้าอยู่ได้เพราะหลิวจงเหลียงเพียงคนเดียว ถ้าหลิวจงเหลียงจากไป บริษัทต้องเกิดความวุ่นวาย ถ้าบริษัทเกิดความเสียหาย เรื่องนี้อาจจะส่งผลดีที่พวกเราคาดคิดไม่ถึงก็ได้ เมื่อบริษัทเกิดความเสียหาย พนักงานก็คงจะแยกย้าย บริษัทคังต้าต้องล้มละลายอย่างแน่นอน!

คำพูดของฉินเฟยเฉียบแหลมมากๆ เสิ่นเจียเหวินจะเป็นพนักงานที่เก่งมากๆ เธอเข้าใจความหมายทันที เนื่องจากเธอเข้าใจเรื่องทั้งหมด ทำให้เธอรู้สึกได้เลยว่าการกระทำของฉินเฟยนั้นคือการแก้แค้นบริษัทคังต้า!

“ซวนหมิงฉีคนนั้นล่วงเกินผิดใจกับท่านหรือเปล่า?”สายตาของเสิ่นเจียเหวินจ้องไปที่ฉินเฟยแล้วพูด

ฉินเฟยยิ้มอย่างขมขื่น เสิ่นเจียเหวินคนนี้ไม่ได้เป็นแค่ผู้หญิงที่สวยมากๆเท่านั้น แต่เธอยังฉลาดมากๆด้วย!

ฉินเฟยไม่ได้อธิบายอะไรเลย เขาหยิบเอกสารที่อยู่บนโต๊ะและพูด:”ผมมีเอกสารอยู่หนึ่งชุด มันสามารถทำให้หลิวจงเหลียงออกจากบริษัทโฆษณาคังต้า สำหรับเรื่องที่หลิวจงเหลียงจะมาทำงานกับบริษัทของเราไหม เธอพยายามดึงตัวเขามาร่วมงานก็แล้วกัน……”

“ฉันคิดว่าคนที่เหมาะสมจะคุยกับหลิวจงเหลียงมากที่สุดก็คือตัวฉันเอง ฉันเป็นผู้หญิงที่สวยมากๆและมีความพิเศษ”เสิ่นเจียเหวินนั่งอยู่เงียบๆ เธอนั่งไขว่ห้าง สายตาของเธอเซ็กซี่มากๆและมีเสน่ห์มากๆ

ใช้แผนสาวงามเหรอ?

“อะแอ่มๆ”ท่าทางการนั่งของเสิ่นเจียเหวิน ทำให้ฉินเฟยมองจนตาค้าง เขาลังเลเล็กน้อยและพูด:”ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องการปรึกษาเธอหน่อย”

“ประธานฉินมีอะไรก็สั่งมาได้เลย”เสิ่นเจียเหวินเผยรอยยิ้มอันมีเสน่ห์ออกมา เธอยิ้มอย่างน่ารักและรอยยิ้มดูไร้เดียงสามากๆ มันยากที่จะจินตนาการถึงความเย้ายวนและมีเสน่ห์ของเธอ

“ผมต้องการให้โซนเลขาไกลออกไปหน่อย หรือไม่ก็ทำอีกออฟฟิศเลย ไม่จำเป็นต้องใช้กำแพง แค่ใช้กระจกกั้นก็พอ”เมื่อพูดเรื่องส่วนตัว ฉินเฟยก็ไม่ได้พูดอย่างเคร่งขรึม เขาพูดออกมาทันที

“ทำไมต้องทำแบบนี้ด้วย?”

“ผู้หญิงพวกนี้มองผมตลอดเวลา พวกเธออยากจะเป็นภรรยาของท่านประธาน ผมกังวลว่าวันไหนพวกเธอห้ามใจไม่ไหว พวกเธออาจจะข่มขืนผมอย่างแน่นอน”

ฮ่าๆๆ!

มองเห็นสีหน้าอันหวาดกลัวของฉินเฟย ใบหน้าอันนิ่งๆของเสิ่นเจียเหวินก็เผยรอยยิ้มออกมา แต่ฉินเฟยกลับพูดเรื่องนี้ด้วยสีหน้าจริงจังมากๆด้วย

ท่านประธานกังวลว่าเลขาที่อยู่ด้านนอกจะขมขื่นท่านเหรอ? เรื่องแบบนี้เธอพึ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก

“ฉินเฟย คุณอย่าทำให้ฉันหัวเราะอีกได้ไหม? คุณทำตัวลึกลับแบบนี้ คนอื่นๆก็ต้องสงสัยอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น พวกเธอก็ไม่เคยได้ยินคุณพูดว่ามีแฟนหรือแต่งงานแล้ว และคุณก็ดูหล่อมากๆด้วย พวกเธอนินทาคุณบ้างก็เป็นเรื่องปกติ เรื่องนี้คุณวางใจได้”

“ผมพูดเรื่องจริง เลขาพวกนี้อยากจะข่มขืนผม ผมได้ยินมากับหูตัวเอง!”ฉินเฟยพูดด้วยความร้อนใจ:”เพื่อรักษาความบริสุทธิ์ของผมเอาไว้ เธอต้องไปบอกคนด้านล่าง ให้แบ่งพวกเธอออกห่างจากผมหน่อย ถ้าพวกเธอพุ่งเข้ามาหาผม ผมกังวลว่าตัวเองจะห้ามใจไว้ไม่อยู่? ผมกลัวจริงๆ พวกเธออยากได้น้ำเชื้อของผมอย่างแน่นอน!”

ฉินเฟยพูดด้วยความเขินอาย พวกเธอเป็นสาวงามทั้งหมด ฉินเฟยก็ไม่ได้เป็นพระที่สามารถตัดกิเลสทางโลกด้วย

“ฮ่าๆๆ!”

ครั้งนี้ เสิ่นเจียเหวินหัวเราะจนเอนลงไปบนโซฟา เธอจับหน้าท้องเอาไว้และหัวเราะเสียงดังออกมา

รูปร่างของเสิ่นเจียเหวินก็คือสเปคที่ฉินเฟยชอบอยู่แล้ว เป็นผู้หญิงที่มีน้ำมีนวล ตอนนี้เธอนอนอยู่บนโซฟาและมีเสน่ห์มากๆ ปกเสื้อของเธอเปิดออก ทำให้ฉินเฟยมองจนน้ำลายเกือบจะไหลออกมาจากมุมปาก

ตอนนี้เขาอยากจะถามมากๆ เสิ่นเจียเหวิน เธอคือโซระอาโออิหรือเปล่า

แม่งเอ๊ย ตั้งแต่ตัวเองมาที่ออฟฟิศแล้วเรียกเสิ่นเจียเหวินเข้ามาคุยบ่อยๆ ทุกคืนที่ตัวเองกลับบ้าน กระดาษทิชชู่ถูกใช้เยอะขึ้นเรื่อยๆ เมื่อไรตัวเองจะทำสำเร็จ ไม่ต้องให้น้ำเชื้อของตัวเองแห้งอยู่บนกระดาษทิชชู่อีก

เสิ่นเจียเหวินหัวเราะอยู่นานกว่าจะหยุดตัวเองได้ เธอนั่งตัวตรงและจัดระเบียบเสื้อผ้า เนื่องจากเธอหัวเราะอยู่สักพัก ทำให้ใบหน้าของเธอยังคงแดงอยู่

ฉินเฟยไม่ต้องมองก็รู้ ตอนนี้โซนเลขาที่อยู่ด้านนอกคงนินทากันอย่างดุเดือดแน่นอน ถึงแม้ห้องทำงานของเขาจะสามารถกันเสียงได้ แต่ไม่สามารถกันเสียงหัวเราะเสียงดังของเสิ่นเจียเหวินได้อยู่แล้ว ใครจะไปรู้ว่าเลขาที่อยู่ด้านนอกกำลังนินทาอะไรอยู่

“อย่างไรก็ตาม ฉันก็อยากจะรู้เหมือนกัน คุณมีแฟนสาวหรือยัง?”

“ผมไม่มีแฟน”ฉินเฟยส่ายหัว เขาแอบพูดในใจว่าตัวเองแต่งงานแล้ว จะมีแฟนสาวได้ยังไง

อ๊าก ผิดไปแล้ว เมื่อคืนเจียงเยว่ถงพึ่งพูดว่าจะเป็นแฟนสาวของตัวเอง

“ผมก็สงสัยมากๆ เธอน่าจะแต่งงานแล้วใช่ไหม?”ฉินเฟยถาม

“ยังไม่ได้แต่งงาน ฉันเคยมีแฟนหนุ่มมาแล้วหนึ่งคน แต่พวกเราเลิกกันไปตั้งนานแล้ว”เสิ่นเจียเหวินหรี่ตาตัวเอง การสนทนาของพวกเขาสองคนเหมือนกิ๊กกันเลย พวกเขาหัวเราะและส่ายหัวเบาๆ:”อย่างไรก็ตาม ฉันไม่ได้คิดจะแต่งงาน ฉันจะใช้ชีวิตอย่างสาวโสด”

“ถ้าเลือกแบบนี้ อนาคตข้างหน้า เธอต้องรู้สึกเหงาอย่างแน่นอน?”

“มันจะไปยากอะไร? มีลูกสักคนก็ได้แล้ว”เสิ่นเจียเหวินขมิบปาก เมื่อมองเห็นใบหน้าแปลกๆของฉินเฟย ทำให้เธอยิ้มเบาๆและพูด:”มันง่ายมากๆ ยืมน้ำเชื้อจากใครสักคน เมื่อคลอดลูกออกมา ฉันก็จะเลี้ยงเอง ไม่จำเป็นต้องมีคนอื่น”

ขณะพูด สายตาของเสิ่นเจียเหวินมองไปที่ฉินเฟย จากนั้นก็พูด:”ฉันคิดว่าน้ำเชื้อของประธานฉินก็ไม่เลวเหมือนกัน”

“ฮ่าๆๆ ไม่ทราบว่ารองประธานเสิ่นจะยืมน้ำเชื้อยังไง?”ฉินเฟยถามด้วยสีหน้าจริงจัง

“เธอจะยืมให้ฉันยังไงละ?”

เสิ่นเจียเหวินหรี่ตาตัวเอง สายตาของเธอสายมากๆและมีเสน่ห์มากๆ

สำหรับการระมัดระวังตัวของฉินเฟยนั้น เรื่องนี้เซียวเฟิ่งกางไม่ค่อยเข้าใจได้ เวลาผ่านมาหลายสิบปี เขาเคยเจออาวุธวิเศษมานับไม่ถ้วน

แต่เมื่อกล่องไม้ถูกเปิดออก เซียวเฟิ่งกางอึ้งไปเลย เขารู้สึกได้เลยว่าบรรยากาศในโรงน้ำชาวุ่นวายทันที

สิ่งที่ทำให้เกิดเรื่องนี้คืออาวุธที่ถูกผ้าสีขาวห่ออยู่และเก็บอยู่ในกล่องไม้

อาวุธวิเศษเหรอ?

“อย่าไปจับมัน อาจจะได้รับบาดเจ็บก็ได้”เมื่อมองเห็นเซียวเฟิ่งกางยื่นมือออกมา ฉินเฟยรีบพูดเตือนทันที

“ไม่เป็นไร”เซียวเฟิ่งกางโบกมือและค่อยๆเอื้อมมือไปจับดาบเสวี่ยอิ่น

ฉินเฟยที่อยู่ข้างๆอึ้งไปเลย เพราะเขาสัมผัสได้อย่างชัดเจน ราวกับมีลมหมุนอยู่ในมือของเซียวเฟิ่งกาง ถึงแม้เขาจะหยิบมันขึ้นมา แต่เขาไม่ได้จับดาบจริงๆ แต่เป็นลมอันนั้นต่างหากที่ยกดาบเสวี่ยอิ่นขึ้นมา

หยิบของโดยไม่ใช้มือจับเหรอ? ดวงตาของฉินเฟยเบิกตากว้าง นี่เป็นเรื่องที่มหัศจรรย์มากๆ?

สีหน้าของเซียวเฟิ่งกางเคร่งขรึมมากๆ ทำให้ใบหน้าที่เหยี่ยวย่นของเขาตึงขึ้นเล็กน้อย

เห็นได้อย่างชัดเจน เขาถือดาบเล่มนี้ขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย เขาไม่ได้ดูธรรมดาเลย จากนั้นเขาก็สะบัดมือและฟันดาบลงไปที่โต๊ะน้ำชา สุดท้ายเขาก็สะบัดมือและวางดาบเสวี่ยอิ่นเข้าไปในกล่องไม้

สายตาของฉินเฟยเต็มไปด้วยความตกใจ เขารู้ว่าชายชราคนนี้แข็งแกร่งมากๆ และอีกฝ่ายไม่ได้หลอกเขาด้วย

ทำให้ฉินเฟยนึกถึงเรื่องของห้าระดับพลังบู๊ที่เซียวเฟิ่งกางพูดกับเขาก่อนหน้านี้ แบ่งเป็นแดนมนุษย์ แดนหอมกรุ่น แดนรู้ชะตา แดนควบคุมฟ้า แดนเทพอหังการ ไม่รู้จริงๆว่าเซียวเฟิ่งกางฝึกฝนถึงขั้นไหนแล้ว ตอนนี้สีหน้าของเซียวเฟิ่งกางเคร่งขรึมมากๆ เขาพยักหน้าด้วยความดีใจ จากนั้นก็มองหน้าฉินเฟย:”ขายเท่าไหร่? หรือคุณอยากจะมาแลกของอะไรไหม?”

สีหน้าของฉินเฟยอึ้งไปเลยเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ เขาคิดในใจว่าเมื่อก่อนชายชราคนนี้เปิดร้านรับจำนำหรือเปล่า?

“ดาบอันนี้ผมไม่ขาย ผมจะใช้ดาบอันนี้”

“แกจะใช้มันเหรอ? แกจะใช้มันได้เหรอ? ผมจะบอกคุณตามตรง ดาบเล่มนี้ไม่ธรรมดาเลย คนทั่วไปใช้มันไม่ได้อยู่แล้ว ถ้าฝืนใช้มัน อาจจะได้รับบาดเจ็บก็ได้”เซียวเฟิ่งกางพูดอย่างจริงจัง

“ผมไม่โดนดาบทำร้ายอยู่แล้ว เพราะดาบเล่มนี้ยอมรับผมเป็นเจ้านายแล้ว”ฉินเฟยพยักหน้าและพูด

“อะไรนะ?”เซียวเฟิ่งกางอุทานออกมา เขาเงยหน้ามองฉินเฟยด้วยสีหน้าตกใจ เขานึกว่าตัวเองหูฝาด

“ดาบเล่มนี้ยอมรับคุณเป็นเจ้านายแล้วเหรอ”ฉินเฟยพูดไปด้วยและเอื้อมมือไปจับดาบ เขาไม่ได้โดนพลังของดาบทำร้ายเลย

หนวดของเซียวเฟิ่งกางกระตุกทันที เขาเงยหน้ามองฉินเฟยด้วยความไม่พอใจ:”ผมเคยได้ยินว่ามีคนตาถั่ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินภูตดาบตาถั่วด้วย ทำไมภูตดาบเสวี่ยอิ่นอันนี้ถึงยอมรับเศษสวะอย่างแกเป็นเจ้านายด้วย?”

“แม่งเอ๊ย!”เมื่อฉินเฟยได้ยินคำพูดเหล่านี้ ทำให้ใบหน้าของเขากระตุกและหมดคำพูดจริงๆ

ฉินเฟยอยู่ข้างๆและมองหน้าเซียวเฟิ่งกาง มองเห็นเซียวเฟิ่งกางไม่ได้อยากจะฆ่าเขาเพื่อแย่งดาบเล่มนี้ ทำให้เขาโล่งอกทันที

มันเป็นอย่างที่เซียวเฟิ่งกางพูดไว้เลย ตอนนี้เขาเป็นแค่เศษสวะเท่านั้น เขาไม่มีสิทธิ์ที่จะครอบครองดาบเล่มนี้

ดังนั้น วันนี้เขามาเพื่อเดิมพัน เดิมพันว่าชายชราคนนี้ไม่คิดจะสังหารเขา

แน่นอนว่าก่อนหน้านี้เขากับเซียวเฟิ่งกางรู้จักกัน ถึงแม้จะไม่ค่อยสนิทกัน แต่ตอนนั้นตัวเองได้มอบยาเชื่อมสวรรค์ให้เซียวเฟิ่งกาง แต่เซียวเฟิ่งกางยืนกรานจะเอาสิ่งของมาแลกกับเขา

เรื่องนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจน เซียวเฟิ่งกางเป็นคนที่มีนิสัยซื่อตรงมากๆ

ถึงแม้ชายชราจะพูดจาไม่น่าฟัง แต่ฉินเฟยไม่ได้ลืมเป้าหมายที่ตัวเองมาที่นี่และพูด:”ดาบเล่มนี้ยอมรับผมเป็นเจ้านายเมื่อเจ็ดวันที่แล้ว ผมรู้ว่าดาบเล่มนี้ไม่ธรรมดาเลย และวางไว้ใต้เตียงนอนตลอดเวลา ตอนที่มันยอมรับผมเป็นเจ้านายนั้น ดาบเล่มนี้ยังมีสนิมเต็มไปหมด มองไม่ออกเลยว่าตัวดาบเป็นยังไง หลังจากมันยอมรับผมเป็นเจ้านายแล้ว สนิมที่อยู่บนดาบก็หายไปทั้งหมดและลวดลายที่อยู่บนดาบก็ปรากฏ ตอนนั้นมันหนักแค่เจ็ดแปดกิโลกรัม แต่เมื่อคืนผมพบว่ามันหนักห้าหกสิบกิโลกรัมแล้ว ราวกับมันวิวัฒนาการตัวเอง มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? หวังว่าท่านเซียวจะอธิบายให้ผมฟัง”

เมื่อต้องขอความช่วยเหลือจากคนอื่น ทำให้ฉินเฟยถ่อมตัวมากๆ

“มันเป็นเรื่องง่ายมากๆ มันเป็นรูปร่างที่แท้จริงของดาบจี่”เซียวเฟิ่งกางเปล่งเสียงไม่พอใจออกมา:”ดาบเล่มนี้มีชื่อว่าดาบจี่ มันสร้างมาจากเหล็กอุกกาบาตที่ร้อนมากๆ เหล็กอุกกาบาตซ่อนตัวในภูเขาหิมะมาเป็นพันปี มีอีกชื่อหนึ่งว่าเย็นยะเยือก ดังนั้นก็เลยมีชื่อว่าดาบจี่ มันถูกซูเลอเจิงหยางกับซูเลอซินเฟิงสองผัวเมียสร้างขึ้น จากนั้นก็มอบให้ยอดฝีมืออันดับหนึ่งของถู่โปที่ชื่ออาป้า จากนั้นอาป้าใช้ดาบเล่มนี้สร้างวิชาขึ้นมา วิชานี้ร้ายกาจมากๆ มีคนจำนวนมากเรียกดาบเล่มนี้ว่าดาบเสวี่ยอิ่น”

ฉินเฟยตื่นเต้นดีใจมากๆที่ได้ยินเรื่องนี้และพยักหน้า:”อืม นี่ก็คือดาบเสวี่ยอิ่นเหรอ”

“แกเดาได้ไม่ผิดเลย ภูตดาบยอมรับแกเป็นเจ้านายแล้ว แกปลุกได้แค่ภูตดาบเท่านั้น ภูตดาบกับตัวดาบเป็นหนึ่งเดียวกัน แต่มันก็มีข้อแตกต่างกัน ภายในเวลาเจ็ดวัน ดาบเล่มนี้ถูกภูตดาบปลุกให้ตื่น นี่ถึงจะเป็นดาบเสวี่ยอิ่นที่แท้จริง”เซียวเฟิ่งกางอธิบาย:”รังสีฆ่าฟันหลบซ่อนตัว นี่ถึงจะเป็นดาบที่ใช้สำหรับฆ่าคน”

หลังจากพูดจบ เซียวเฟิ่งกางเงยหน้ามองฉินเฟยและพูด:”เด็กหนุ่ม แกโชคดีมากๆ!”

“ฮ่าๆๆ ขอบคุณท่านเซียวที่อธิบายให้ผมเข้าใจ”ฉินเฟยตื่นเต้นดีใจมากๆ

“ถึงแม้ดาบนี้จะอยู่อันดับท้ายๆของแผนผังอาวุธวิเศษ แต่อยู่อันดับสองของแผนผังอาวุธพิสดาร มันคืออาวุธวิเศษจริงๆ”

“แผนผังอาวุธพิสดารเหรอ?”ฉินเฟยอึ้งไปเลย

“ทุกคนต่างรู้จักแผนผังอาวุธวิเศษ แต่ไม่ค่อยรู้จักแผนผังอาวุธพิสดาร อาวุธที่อยู่ในแผนผังอาวุธพิสดารนั้นมีจำนวนมากร้ายกาจกว่าอาวุธที่อยู่ในแผนผังอาวุธวิเศษด้วยซ้ำ และดาบเสวี่ยอิ่นได้รับขนานนามว่าอาวุธพิสดาร เพราะมันมีพลังพิเศษอยู่!”

“พลังพิเศษอะไรเหรอ?”ฉินเฟยรีบถามทันที

เซียวเฟิ่งกางกลอกตาใส่ฉินเฟย มืออันเหี่ยวย่นชี้ไปที่ฉินเฟยและพูด:”เด็กหนุ่มอย่างแกไม่มีสายตาอันเฉียบแหลมเลย!”

“เอาเท่าไหร่?”ฉินเฟยเข้าใจทันที

“แกคิดว่าผมไม่มีเงินขนาดนั้นเลยเหรอ?”เซียวเฟิ่งกางนั่งอยู่บนเก้าอี้ และขยับรองเท้าขาดๆและพูด

“อืม……”ฉินเฟยอึ้งเหมือนกัน ส่ายหัวและพูด:”แกอยากได้ยาเชื่อมสวรรค์อีกไหม?”

เมื่อเซียวเฟิ่งกางได้ยิน สายตาของเขาเปล่งประกายและพูด:” แกยังมีอีกเหรอ? ถ้างั้นก็เอายาเชื่อมสวรรค์หนึ่งเม็ดก็แล้วกัน!”

“โอเค!”ฉินเฟยรับปากทันที

เซียวเฟิ่งกางรู้สึกสงสัยทันที นี่เป็นแค่ข้อมูลเท่านั้น อันที่จริงมันไม่ใช่ความลับเลย เด็กหนุ่มคนนี้สามารถปรุงยาเชื่อมสวรรค์เหรอ? ทำไมเขายังมียาเชื่อมสวรรค์อีก?

“อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ท่านต้องรอไปก่อน ตอนนี้ผมยังไม่มียาเชื่อมสวรรค์”

“อืม”เซียวเฟิ่งกางพยักหน้า และมองดาบเสวี่ยอิ่นที่อยู่บนโต๊ะด้วยความอยากได้แล้วพูด:”ดาบเสวี่ยอิ่นมีพลังพิเศษอยู่อย่างหนึ่ง พลังของมันเหมือนกับกินยาเชื่อมสวรรค์เลย”

“พลังของมันเหมือนกับกินยาเชื่อมสวรรค์เหรอ?”เมื่อฉินเฟยได้ยินคำพูดเหล่านี้ ทำให้เขาผิดหวังทันที เรื่องนี้สำหรับเขาแล้วไม่มีประโยชน์อะไรเลย?

“เด็กหนุ่มอย่างแกจะไปรู้อะไร?”เมื่อมองเห็นความผิดหวังของฉินเฟย ทำให้เซียวเฟิ่งกางไม่พอใจและพูดทันที:”สภาวะสูงสุดของมนุษย์ นั้นคือการก้าวผ่านบุคคลธรรมดาทั่วไปและฝึกฝนถึงแดนพรสวรรค์ ถ้าพูดกันตามตรง พลังจะเหนือกว่าคนธรรมดาทั่วไป การเคลื่อนไหวและการตอบสนองจะเหนือกว่าคนธรรมดาทั่วไปอยู่แล้ว”

“การทำเรื่องเหล่านี้ได้ รากฐานของมันก็คือ ทำให้ร่างกายของตัวเองแข็งแกร่งขึ้น ผมให้แกฝึกฝนร่างกายก็เพราะเหตุผลนี้”

“การฝึกฝนร่างกายนั้นต้องใช้เวลานาน และฝึกฝนถึงจุดสูงสุดได้ยาก มีนักบู๊จำนวนมากใช้เวลาทั้งชีวิตก็ฝึกฝนถึงแดนพรสวรรค์ไม่สำเร็จ พลังพิเศษของดาบเสวี่ยอิ่นก็คือทำให้ร่างกายของเจ้านายแข็งแกร่งขึ้นตลอดเวลา”

เมื่อฉินเฟยได้ยิน สายตาของเขาเปล่งประกายทันที

“ถ้าคนอื่นๆเข้าใกล้ดาบเสวี่ยอิ่น จะโดนดาบเล่มนี้ทำร้าย แต่ดาบเสวี่ยอิ่นสามารถทำให้ร่างกายของเจ้านายแข็งแกร่งขึ้นตลอดเวลา ยาเชื่อมสวรรค์ช่วยให้คนที่ฝึกฝนถึงแดนมนุษย์สูงสุดเข้าสู่แดนพรสวรรค์ได้ แน่นอนว่ามันก็ไม่ได้สำเร็จร้อยเปอร์เซ็นต์อยู่แล้ว เพียงแต่เพิ่มโอกาสสำเร็จมากกว่า แต่ดาบเสวี่ยอิ่นมีความแตกต่างเล็กน้อย ถ้าพูดกันตามตรงก็คือ ถ้าดาบเล่มนี้ยอมรับใครเป็นเจ้านาย คนๆนั้นจะต้องฝึกฝนถึงแดนพรสวรรค์อย่างแน่นอน”

“อย่างไรก็ตาม ดาบเสวี่ยอิ่นจะช่วยให้ร่างกายของเจ้านายแข็งแกร่งขึ้นตลอดเวลา ถึงแม้จะฝึกฝนถึงแดนพรสวรรค์กับแดนรู้ชะตาแล้วก็ตาม ร่างกายของมนุษย์เป็นรากฐานสำคัญ ถ้าทำให้มันแข็งแกร่งตลอดเวลา มันมีข้อดียังไง แกน่าจะรู้ดี”

“และแกก็เป็นเจ้านายดาบเสวี่ยอิ่น ถ้าร่างกายของแกแข็งแกร่งตลอดเวลา ยอดฝีมือระดับเดียวกัน แกจะเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุด!”

ฉินเฟยมองหน้าชายชราด้วยสีหน้าดีใจ เขาอยากจะพุ่งขึ้นไปจูบชายชราด้วยซ้ำ

“ถ้างั้นตอนนี้ผมจะแบกมันไว้ด้านหลัง มันจะทำให้ผมฝึกฝนถึงแดนรู้ชะตาได้เร็วขึ้นใช่ไหม?”ฉินเฟยพูดด้วยความตื่นเต้นดีใจ

“ใช่แล้ว ฝึกฝนเร็วขึ้นหนึ่งเท่า ถ้าถึงตอนนั้นใช้วิธีพิเศษของผม จะต้องสำเร็จอย่างแน่นอน”

“ขอบคุณท่านเซียวมากๆ!”ฉินเฟยพูดด้วยความซาบซึ้งใจ

“ในเมื่อแกมีดาบเล่มนี้แล้ว แกมีไหม?”เซียวเฟิ่งกางเอ่ยปากถาม

“ไม่มี ผมกำลังค้นหามันอยู่เหมือนกัน “ฉินเฟยรู้สึกเขินอาย ทางฝั่งหวังเลี่ยงไม่ได้ส่งข่าวอะไรมาเลย และสองสามวันนี้เขายุ่งมากๆ เขาก็เลยไม่ได้ไปเดินดูสิ่งของที่อยู่ในถนนสะสมของโบราณเลย

“แกมีวิชาดาบอย่างอื่นไหม?”

“ไม่……ไม่มี”

“ถ้าไม่มีวิชาดาบ คงไม่สามารถปลดปล่อยพลังทั้งหมดของดาบออกมา”เซียวเฟิ่งกางจับหนวดของตัวเองและพูด:”ผมมีวิชาดาบอยู่หลายเล่มเลย”

“ยาเชื่อมสวรรค์หนึ่งเม็ด”ฉินเฟยเอ่ยปากพูด

เซียวเฟิ่งกางยักคิ้วทันที

ไม่เลวเลย สายตาของแกเฉียบแหลมมากขึ้น ตอนนี้รู้จักเสนอราคาด้วย !

อันที่จริง สำหรับเซียวเฟิ่งกาง เขาเป็นคนที่ได้รับผลประโยชน์มากที่สุด

ตอนนี้พลังทิพย์ที่อยู่ในฟ้าดินเหลือน้อยมากๆ ทำให้นักบู๊จำนวนมหาศาลที่สามารถฝึกฝนถึงแดนพรสวรรค์สำเร็จนั้นเหลือน้อยมากๆ และวิธีการปรุงยาเชื่อมสวรรค์ก็หายสาบสูญไปพันปีแล้ว ถึงแม้จะมียาเชื่อมสวรรค์ แต่มันก็น่าจะเป็นยาเชื่อมสวรรค์ที่เหลือมาจากเมื่อพันปีที่แล้ว ถ้าอยากได้มันมาครอบครอง ต้องเป็นสุดยอดอัจฉริยะของสำนักใหญ่ๆเท่านั้น

มันไม่สามารถซื้อได้ด้วยเงินทอง

สิ่งที่นักบู๊ต้องการนั้น มันไม่ใช่วิชาดาบหรือวิชากระบี่เลย เพราะมีเพียงยอดฝีมือระดับสูงเท่านั้นถึงสามารถปลอดปล่อยพลังของวิชาดาบและกระบี่ออกมา ดังนั้นวิชาดาบและวิชากระบี่นั้นมีเยอะมากๆ แต่สิ่งที่ยอดฝีมือต้องการคือยาเชื่อมสวรรค์ต่างหาก

เวลาผ่านไปสิบกว่านาที เซียวเฟิ่งกางที่ขึ้นไปชั้นสองก็ปรากฏตัว

“เหรอ?”มองเห็นท่านเซียวมอบวิชาดาบที่เป็นสมบัติล้ำค่าของตัวเองให้ฉินเฟย แต่เมื่อฉินเฟยมองเห็นชื่อของวิชานี้ ทำให้เขาหมดคำพูดเลย

ชื่อของมันธรรมดามากๆ? แค่มองก็รู้ว่ามันไม่ใช่วิชาร้ายกาจเลย!

ถ้าหากมันชื่อเพลงดาบแปดเทพ มันคงร้ายกาจมากๆ

“แกจะไปเข้าใจอะไร? ผมหาวิชาดาบมามากมาย มีเพียงที่เหมาะกับดาบเสวี่ยอิ่นมากๆ ดาบนี้หนักมากๆและไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็ว มันเหมาะกับวิชาดาบที่ป่าเถื่อนและทรงพลังมากๆ ถึงแม้จะสู้ไม่ได้ แต่มันก็เหมาะกับดาบเล่มนี้มากๆ

“โอเค ทำตามที่ท่านพูดก็แล้วกัน”

ฉินเฟยพยักหน้าและรีบเก็บทันที จากนั้นก็ใช้ผ้าสีขาวห่อดาบเสวี่ยอิ่นและแบกมันไว้ด้านหลังอย่างยากลำบาก สุดท้ายแล้วเขาก็ใช้ผ้าสีดำมัดมันเอาไว้

“อืม ทำอย่างนี้ก็ดีแล้ว ถ้าให้ดีจริงๆ ตอนนอนวางมันไว้ข้างๆมือของตัวเอง หรือไม่ก็วางมันไว้ใต้หมอน”เซียวเฟิ่งกางพยักหน้าและพูด

“วางใจได้ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ผมจะกอดมันนอน”ฉินเฟยกัดฟันพูด

สำหรับอันตรายในอนาคตข้างหน้า เขาไม่สามารถล่วงรู้ได้เลย เขาต้องการแก้แค้น และไม่อยากให้เจียงเยว่ถงได้รับอันตราย มีเพียงวิธีเดียวก็คือทำให้ตัวเองแข็งแกร่งมากขึ้น!

สำหรับการฝึกฝนถึงแดนพรสวรรค์ที่อยู่เหนือคนธรรมดาทั่วไป ฉินเฟยอยากจะฝึกฝนถึงแดนพรสวรรค์เร็วๆ เพราะเขาเหลือเวลาไม่มากแล้ว!

ผมเป็นเขย(ผู้ไม่ธรรมดา) บทที่62 ไร้ยางอายมากๆ
“ที่รัก ในที่สุดเธอก็ยอมรับผมเป็นสามีแล้วใช่ไหม?”น้ำเสียงของฉินเฟยสั่นเครือ เขามองเธอที่นอนอยู่บนเตียงด้วยความตื่นเต้นดีใจ และรีบเอ่ยปากพูด:”ก่อนหน้านี้ คุณพ่อบอกให้พวกเรารีบๆมีลูกกันได้แล้ว”

มันเป็นอย่างที่จางฉองหย่วนพูดจริงๆ อายุของฉินเฟยในตอนนี้ เขาต้องการผู้หญิงมากๆ โดยเฉพาะเมื่อต้องเผชิญหน้ากับภรรยาที่แต่งงานกันมาสามปีแล้ว แต่เธอยังไม่เคยมีอะไรกับภรรยาของตัวเองเลย เขาคิดมาโดยตลอด ถ้าถอดเสื้อผ้าทั้งหมดของเจียงเยว่ถงออกมา และกอดร่างกายอันสวยงามของเธอเอาไว้ เพราะเขาอยากจะสัมผัสร่างกายทุกส่วนของเธอ

“มีลูกอะไร? เธอกำลังคิดอะไรอยู่?”เจียงเยว่ถงจ้องเขม็งฉินเฟยด้วยใบหน้าแดงก่ำ เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่ก็ทำให้เธอตกใจมากๆ เพราะเมื่อสักครู่เธอดีใจจนเกินไป เธอก็เลยจูบใบหน้าของฉินเฟยเพื่อเป็นรางวัลให้เขาเท่านั้น

เจียงเยว่ถงมองเห็นสายตาของฉินเฟยที่มองตัวเองด้วยความตื่นเต้นดีใจ เธอกลัวว่าฉินเฟยจะบ้าคลั่งจนคุมตัวเองไม่ได้และรังแกตัวเอง ถ้าตอนนั้นเธอควรจะทำยังไงดี

ดังนั้นเธอก็เลยรีบดึงผ้าห่มมาปิดร่างกายของตัวเองเอาไว้

“อ้อๆ ฮ่าๆๆ ผมคิดไปเองจริงๆ”ฉินเฟยพยักหน้าด้วยความเขินอายและรู้สึกผิดหวัง

สายตาอันผิดหวังของฉินเฟย เจียงเยว่ถงมองเห็นอย่างชัดเจน ทำให้เธอรู้สึกเสียใจ เพราะคำพูดของเธอเมื่อสักครู่มันรุนแรงเกินไป

นิสัยของเธอเหมือนกับคุณพ่อมากๆ รู้จักตอบแทนผู้มีพระคุณ ฉินเฟยช่วยเหลือครอบครัวของเธอมากๆ เขาเคยเอาชีวิตของตัวเองไปเดิมพันด้วย ถ้ามีผู้ชายคนหนึ่งสามารถเดิมพันชีวิตของตัวเองเพื่อผู้หญิงคนหนึ่ง ผู้หญิงคนนั้นคงเป็นคนที่มีความสุขมากๆ

แน่นอนว่าเจียงเยว่ถงเป็นคนที่มีหลักการและเหตุผลมากๆ ความซาบซึ้งและความรักนั้น เธอแยกแยะได้อย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม ฉินเฟยในตอนนี้ทำให้เธอเปลี่ยนความคิดไปอย่างมาก เธอลังเลชั่วครู่และเอ่ยปากพูด:”เรื่องคลอดลูกเอาไว้พูดกันทีหลัง ตอนนี้ผมกำลังทดสอบคุณอยู่ ตอน……ตอนนี้ถือว่าพวกเราอยู่ในช่วงคบหาดูใจ”

“คบหาดูใจอยู่เหรอ?”ฉินเฟยเบิกตากว้าง เพราะเขากำลังคบหาดูใจกับภรรยาที่แต่งงานกันมาสามปีเหรอ?

แต่เมื่อคิดดูอีกครั้ง ถึงแม้พวกเขาแต่งงานกันมาสามปีแล้ว แต่พวกเขาไม่ได้มีความรักต่อกันเลย สิ่งที่ฉินเฟยต้องการก็คือ ทำให้เจียงเยว่ถงยอมเป็นผู้หญิงของตัวเองด้วยความสมัครใจ

“โอเค งั้นก็คบหาดูใจกันก่อน หลังจากนี้เธอก็คือแฟนสาวของผมแล้ว”ฉินเฟยพยักหน้าด้วยความดีใจ

เจียงเยว่ถงใบหน้าแดงก่ำ และซ่อนตัวในผ้าห่ม เธอพูดด้วยความเขินอาย:”คุณออกไปก่อน ฉันอยากจะนอนแล้ว”

“รับทราบครับภรรยา พูดผิด แฟนสาวต่างหาก”

เมื่อได้ยินเสียงปิดประตู เจียงเยว่ถงรู้สึกว่าเมื่อสักครู่ตัวเองพูดจาโอเวอร์เกินไป สามีภรรยาที่แต่งงานกันมาสามปี แต่ตอนนี้กลายเป็นแฟนกัน เรื่องนี้มันแปลกประหลาดมากๆ แต่เธอรู้สึกอิ่มเอมใจมากๆ

เมื่อกลับมาถึงห้องนอนของตัวเอง ฉินเฟยนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ ทำให้เขาตื่นเต้นจนเหงื่อไหลเต็มตัว

แน่นอนว่า เหตุผลหลักได้อยู่ที่พลังและอำนาจของตัวเองอ่อนจนเกินไป ถึงแม้ครั้งนี้จะจัดการปัญหาของตระกูลซุนกับตระกูลเจียงได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่เรื่องนี้ก็ทำให้ฐานะของเขาถูกเปิดเผยเพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน

อันที่จริง ตอนแรกฉินเฟยไม่ได้กลัวว่าฐานะของตัวเองจะถูกเปิดเผย ถึงแม้คนของตระกูลอั่วจะรู้เรื่องนี้ พวกเขาก็ไม่สนใจอยู่แล้ว เพราะฉินเฟยเป็นแค่เศษสวะ ไม่สามารถทำอะไรพวกเขาได้อยู่แล้ว

แต่ว่าตอนนี้ ถ้าฐานะประธานว่านเซียงมูวีของเขาถูกเปิดเผย และเมื่อรู้ว่าเขามีความสัมพันธ์กับจางฉองหย่วนกับซุนเย่าเหวิน เรื่องนี้สามารถส่งผลกระทบต่อตระกูลอั่ว และวันนั้นก็ใกล้จะมาถึงแล้ว

ฐานะของตัวเองที่เป็นประธานว่านเซียงมูวีนั้น คนของตระกูลอั่วน่าจะรู้เรื่องนี้มาตั้งนานแล้ว พวกเขาเป็นผู้มีอำนาจที่สุดในซงไห่ ถ้าพวกเขาอยากจะตรวจสอบฐานะของตัวเอง มันไม่ใช่เรื่องยากลำบากอยู่แล้ว

เวลายิ่งอยู่ก็ยิ่งใกล้เข้ามาแล้ว

ฉินเฟยก้มลงไปหยิบกลองยาวที่อยู่ใต้เตียง เมื่อเปิดกล่องออกมาดู ก็เห็นดาบเสวี่ยอิ่นที่เขาได้มาด้วยความบังเอิญวางอยู่ด้านในกล่อง

“อืม?”ฉินเฟยหยิบผ้าสีขาวออก และทำให้เขาตกใจทันที

ตอนนี้ดาบเสวี่ยอิ่นได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เมื่อเทียบกับเมื่อก่อนที่มีแต่รังสีฆ่าฟัน ตอนนี้ดาบเสวี่ยอิ่นดูธรรมดามากๆ พลังของมันเก็บซ่อนไว้เป็นอย่างดี แม้แต่ลวดลายที่อยู่บนดาบก็ไม่ค่อยชัดเจนแล้ว

มีคนแอบมาเปลี่ยนมันไปเหรอ?

ฉินเฟยตกใจมากๆและรีบหยิบมันขึ้นมา แต่ก็เกิดเรื่องที่ทำให้เขาตกใจอีกครั้ง

ทำไมมันถึงหนักขนาดนี้?

สีหน้าของฉินเฟยมีแต่ความตกใจ เขาใช้มือทั้งสองข้างถึงสามารถยกดาบที่ดูธรรมดามากๆเล่มนี้ขึ้นมาได้

เจียงเยว่ถงสูงประมาณหนึ่งร้อยหกสิบแปดเซนติเมตร เมื่อบวกกับร่างกายอวบๆของเธอ เธอน่าจะหนักประมาณห้าสิบเจ็ดกิโลกรัม และดาบที่อยู่ในมือของเขาหนักพอๆกับเธอเลย

ดาบนี้เกิดการเปลี่ยนแปลงเหรอ? มันวิวัฒนาการเหรอ?

ฉินเฟยรู้สึกสงสัยมากๆ เขาใช้สองมือจับดาบไว้อย่างแน่นและหลับตายอย่างช้าๆ

เนื่องจากดาบเสวี่ยอิ่นยอมรับเขาเป็นเจ้านาย ทำให้ฉินเฟยกับภูตดาบเสวี่ยอิ่นสามารถสื่อสารทางจิตได้ เมื่อลืมตาขึ้นมา ทำให้ฉินเฟยดีใจมากๆ เพราะดาบเล่มนี้วิวัฒนาการแล้ว……

แต่ว่ามันวิวัฒนาการได้ยังไง?

ดาบหนักขนาดนี้ มันจะใช้ต่อสู้ได้ยังไง?

ฉินเฟยเอาดาบเสวี่ยอิ่นเก็บไว้ใต้เตียง เขานอนอยู่บนเตียงด้วยความเหน็ดเหนื่อย ตอนนี้เวลาดึกมาแล้ว เขาเหนื่อยมากๆจนหลับไป

ตอนที่เขาใกล้จะหลับนั้น เขากำลังคิดอยู่ พรุ่งนี้จะต้องเอาดาบเล่มนี้ไปถามไอ้เฒ่าที่พูดว่าตัวเองเป็นผู้อาวุโสของสำนักเอ๋อเหมย บางทีอาจจะได้คำตอบจากอีกฝ่ายก็ได้……

……

วันรุ่งขึ้น เมื่อเจียงเยว่ถงทานอาหารเช้าเสร็จ เธอก็แต่งตัวอย่างดีและสวยงามมากๆ เพราะเมื่อคืนฉินเฟยพูดไว้แล้ว วันนี้ตอนเช้าเธอสามารถไปเอาบริษัทฉีแยคืนมา

เดิมทีเจียงเยว่ถงเป็นผู้หญิงที่สวยมากๆ เมื่อเธอแต่งตัวดูดีก็ยิ่งดึงดูดสายตามากๆ ทำให้ฉินเฟยที่นั่งกินข้าวอยู่ข้างหน้าเกือบจะน้ำลายไหลลงถ้วยอาหารแล้ว

“อีกหนึ่งชั่วโมงครึ่งก็จะถึงเวลาแปดโมงครึ่ง คุณมีเวลาพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน”เจียงเยว่ถงเงยหน้ามองฉินเฟย ใบหน้าอันสวยงามของเธอมีแต่ความสงสัย

ฉินเฟยจนปัญญาจริงๆ ถึงแม้เจียงเยว่ถงจะไม่ใช่ผู้หญิงที่อยากรู้ไปสักทุกเรื่อง แต่เขารู้ตัวดี เรื่องนี้เจียงเยว่ถงจะต้องถามเขาอย่างแน่นอนและจะถามเขาอย่างละเอียดด้วย

ฉินเฟยหยิบมือถือขึ้นมา นี่คือข้อความที่เขาส่งให้ซุนเย่าเหวินก่อนหน้านี้ เขาส่งให้เจียงเยว่ถงทันที:”พูดสองสามประโยคไม่เข้าใจอยู่แล้ว เธอดูข้อความก่อนก็แล้วกัน”

เจียงเยว่ถงได้ยินเสียงข้อความจากมือถือ เธอมองหน้าฉินเฟยด้วยความสงสัย จากนั้นก็รีบเปิดอ่าน

ทำให้บรรยากาศในห้องเงียบสงัดทันที ดวงตาอันสวยของเจียงเยว่ถงเปิดกว้าง จากนั้นก็หันมามองฉินเฟย สีหน้าของเธอเปลี่ยนไป

ลูกชายของซุนเย่าเหวิน ไม่ได้เป็นลูกในไส้ของเขา ถ้าเรื่องนี้แพร่กระจายออกไป คงกลายเป็นข่าวใหญ่ที่สั่นสะเทือนไปทั่วซงไห่อย่างแน่นอน

และอาจจะส่งผลกระทบต่อหุ้นของลู่เจี้ยนกรุ๊ปด้วย

ไม่แปลกใจเลยที่ก่อนหน้านี้ ตอนที่อยู่ในหมู่บ้านเทียนฝู ตัวเองถามฉินเฟยไปสองรอบ แต่ฉินเฟยไม่กล้าพูดออกมา เพราะเรื่องนี้มันส่งผลกระทบร้ายแรงนี่เอง

เจียงเยว่ถงรู้ถึงความสำคัญของเรื่องนี้ อย่างน้อยเรื่องนี้ก็ห้ามแพร่ออกไปจากปากของเธอโดยเด็ดขาด เรื่องนี้ยิ่งมีคนรู้น้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งดี

“ไม่แปลกใจเลยที่เมื่อคืนประธานซุนทำร้ายร่างกายโจวแยเวยอย่างหนัก ตอนนั้นประธานซุนคงโกรธจนใกล้จะเป็นบ้าแล้วมั้ง?”เจียงเยว่ถงบ่นพึมพำ เธออึ้งไปเลยและไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังคิดอะไรอยู่

ผ่านไปสักพัก เธอนึกถึงเรื่องสำคัญและพูด:”อย่างไรก็ตาม เพราะเรื่องนี้เหรอ ถึงทำให้ประธานซุนซาบซึ้งในน้ำใจของคุณ และ……”

เจียงเยว่ถงคิดไม่ออกจริงๆ เพราะเธอจำได้เป็นอย่างดี เมื่อคืนตอนที่ฉินเฟยกับซุนเย่าเหวินออกมาจากห้องอาหารส่วนตัว สีหน้าของซุนเย่าเหวินดีขึ้นกว่าก่อนหน้านี้

ถึงแม้ฉินเฟยได้บอกความลับอันใหญ่ให้เขารับรู้ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีอยู่แล้ว

“ผมพยายามทำเรื่องนี้จนสำเร็จ เธอคิดว่าผมควรได้รับรางวัลไหม ?”ฉินเฟยพูดด้วยความภาคภูมิใจ

“คุณต้องการอะไร?”สายตาของเจียงเยว่ถงเต็มไปด้วยความหวาดระแวง

“ผมไม่ได้ต้องการอะไรมากนัก ผมแค่ต้องการได้ยินเธอเรียกผมว่าที่รัก”ฉินเฟยเผยรอยยิ้มออกมา:”ถ้าพูดว่าที่รักเก่งมากๆเลย ผมคงจะรู้สึกดีใจมากๆ”

ใบหน้าของเจียงเยว่ถงแดงก่ำ ดวงตาอันงดงามของเธอจ้องเขม็งไปที่ใบหน้าของฉินเฟยที่นั่งอยู่ข้างหน้า

ไร้ยางอายมากๆ!

อย่างไรก็ตาม ความต้องการของฉินเฟยไม่ได้ยากเลย เพราะเขาเป็นสามีของเจียงเยว่ถงอยู่แล้ว แต่สามปีที่ผ่านมา เจียงเยว่ถงไม่เคยเรียกเขาแบบนี้มาก่อน

แต่ถ้าให้เจียงเยว่ถงเรียกเขาว่าที่รัก เรื่องนี้เธอยังรับไม่ได้ในตอนนี้

“ช่างมันเถอะ ฉันไม่อยากจะรู้เรื่องนี้อีกแล้ว”เจียงเยว่ถงเปล่งเสียงเย็นชาออกมา

“อ้อ”ฉินเฟยจนปัญญาจริงๆ เขาหยิบถ้วยขึ้นมาและทานโจ๊กอย่างช้าๆ

เจียงเยว่ถงจ้องเขม็งไปที่ฉินเฟย เมื่อฟังเขาเล่ามาถึงตอนนี้ แต่เธอก็ยังไม่ค่อยเข้าใจ ไม่รู้จริงๆว่าฉินเฟยใช้วิธีอะไรถึงทำให้ซุนเย่าเหวินตื่นเต้นดีใจได้

“ที่รัก!”เจียงเยว่ถงหลับตาและพูดคำนี้ออกมา

“อ๊าก?”ฉินเฟยที่กำลังทานโจ๊กอยู่เกือบจะพ่นมันออกมา เขาเงยหน้าด้วยความตกใจและมองเห็นใบหน้าอันแดงก่ำของเจียงเยว่ถง ตอนนี้เธอกำลังจ้องมองตัวเองด้วยความไม่พอใจ

“เธอทำให้เข้าตกใจมากๆ เมื่อกี้เธอพูดอะไรนะ? ผมไม่ค่อยได้ยิน”

เจียงเยว่ถงกัดฟันตัวเอง

……

เมื่อขับรถยนต์ออกมาจากหมู่บ้านเทียนหลัน เจียงเยว่ถงมองฉินเฟยที่ขับจักรยานไฟฟ้าอยู่ เธออยากจะชนไอ้สารเลวคนนี้ให้ไปอยู่สวนดอกไม้เลย

เมื่อสักครู่ตอนที่อยู่ในบ้าน เธอเรียกฉินเฟยว่าที่รักไปสองครั้ง เรื่องนี้ทำให้เธอรู้สึกเขินอายมากๆ

แต่เรื่องที่ทำให้เธอตกใจมากๆก็คือข้อมูลที่ฉินเฟยพูดออกมา ซุนเย่าเหวินไม่ได้ไร้ผู้สืบทอด เขายังมีลูกสาวแท้ๆอยู่หนึ่งคน นี่ก็คือเหตุผลหลักที่ทำให้สีหน้าของซุนเย่าเหวินค่อยๆดีขึ้น

แต่เรื่องที่ทำให้เธอสงสัยมากๆก็คือ ฉินเฟยรู้ความลับพวกนี้มาได้ยังไง?

แต่ฉินเฟยไม่ได้บอกเรื่องเหล่านี้ให้เธอรู้ นี่ก็คือเหตุผลที่เธออยากจะชนไอ้สารเลวคนนี้ไปอยู่ในสวนดอกไม้ริมถนน

อย่างไรก็ตาม เรื่องเหล่านี้ไม่ช้าก็เร็ว เธอต้องรู้อย่างแน่นอน ตอนนี้เรื่องที่สำคัญที่สุดก็คือไปเอาบริษัทฉีแยกลับมา

ฉินเฟยไม่ได้ไปที่บริษัท แต่เขาไปที่โรงน้ำชาปั้นเยี่ยที่อยู่ในถนนเหยียนซี

เป็นอย่างที่คิดจริงๆ ในโรงน้ำชาไม่มีลูกค้าแม้แต่คนเดียวและเงียบมากๆ ทำให้ฉินเฟยอดไม่ได้และอยากจะสอนเซียวเฟิ่งกางทำการค้าขาย!

“เด็กหนุ่ม ……อืม?”ฉินเฟยเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว ตอนนี้เซียวเฟิ่งกางกำลังนั่งกินอาหารเช้าอยู่บนโต๊ะน้ำชา เมื่อเขากำลังจะพูดก็มองเห็นฉินเฟยถือกล่องยาวที่ใช้ผ้าดำปิดอยู่และเดินเข้ามาอย่างยากลำบาก ของชิ้นนี้ต้องหนักมากๆอย่างแน่นอน

“ท่านเซียว ผมมีข้อสงสัยเรื่องหนึ่งและอยากจะได้คำตอบจากท่าน”ฉินเฟยรีบเดินเข้ามา จากนั้นก็วางกล่องไม้ไว้บนโต๊ะน้ำชา ทำให้โต๊ะน้ำชาเกือบจะถล่ม

“มันคืออะไรเหรอ?”เซียวเฟิ่งกางวางซาลาเปาไส้หมูลงและถามด้วยความสงสัย

“ท่านเปิดดูก็จะรู้เอง”ฉินเฟยพูดและรีบเปิดกล่องทันที

“อาวุธเหรอ?”เซียวเฟิ่งกางมองเห็นกลองไม้และคาดเดาทันที

“ใช่แล้ว ท่านลองดูหน่อย อาวุธอันนี้ไม่ธรรมดาเลย ท่านอย่าจับมันส่งเดชละ เพราะอาจจะได้รับบาดเจ็บ”ฉินเฟยพยักหน้าและเปิดกล่องไม้อย่างช้าๆ

เซียวเฟิ่งกางได้ยินและรู้สึกไม่พอใจทันที มันทำให้ตัวเองบาดเจ็บได้จริงๆเหรอ?

สีหน้าของฉินเฟยเคร่งขรึมทันที เขาลังเลชั่วครู่และรีบไปปิดประตู จากนั้นก็หันหน้ากลับมา เขาก็มองเห็นเซียวเฟิ่งกางดึงผ้าสีขาวที่อยู่ด้านในออกมาแล้ว เซียวเฟิ่งกางมองสิ่งของที่อยู่ด้านในด้วยความตื่นเต้นและสงสัย เขามองเห็นดาบเสวี่ยอิ่นที่อยู่ด้านในกล่องไม้

ผมเป็นเขย(ผู้ไม่ธรรมดา) บทที่ 61 โดนภรรยาที่สวยดั่งเทพธิดาจูบแก้ม
ภายในรถยนต์เงียบสงัด

ฉินเฟยมองหน้าจางฉองหย่วนหนึ่งครั้ง จากนั้นเขาก็ขมวดคิ้ว

“คุณอย่าพึ่งเข้าใจผิด ผมไม่ได้รู้สึกอะไรกับจางหานหานเลย”ฉินเฟยลังเลชั่วครู่แล้วพูดอธิบาย เพราะเขากลัวว่าจางฉองหย่วนจะโกรธและทำเรื่องไม่ดีออกมา

“พวกคุณรู้จักกันมาก่อนเหรอ?”จางฉองหย่วนขับรถยนต์และเอ่ยปากพูด

“อืม พวกเรารู้จักกันมานานแล้ว แต่มันเป็นเรื่องในสมัยเด็ก แม่ของจางหานหานกับแม่ของผมเป็นเพื่อนสนิทกัน แต่แม่ของเธอแต่กับคนของโรงค้าชาตระกูลจาง”

“จางหมิงหยางเหรอ?”จางฉองหย่วนพูดด้วยความตกใจ

“ใช่”ฉินเฟยพยักหน้า สมัยนั้นจางหมิงหยางของตระกูลจางได้ครอบครองธุรกิจใบชาของซงไห่ครึ่งหนึ่ง ธุรกิจของพวกเขาใหญ่มากๆ จางฉองหย่วนรู้จักคนๆนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

“เป็นอย่างนี้นี่เอง”จางฉองหย่วนพยักหน้า ก่อนหน้านี้เขาเคยเห็นจางหานหาน มองเห็นท่าทางและกิริยาก็รู้ได้ทันทีว่าเธอเป็นลูกสาวของคนตระกูลชั้นสูง เขาคาดเดาว่าเธอต้องมีฐานะที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน แต่คิดไม่ถึงจริงๆว่าเธอจะเป็นลูกสาวของจางหมิงหยาง

ผมคิดว่าเรื่องนี้ ซูเซิงของโรงน้ำชาก็น่าจะรู้ดี เมื่อได้ยินฉินเฟยพูดชื่อของจางหานหาน พวกเขาบอกว่าฉินเฟยมีสายตาที่เฉียบแหลมมากๆ

“หลังจากจางหมิงหยางตายเพราะอุบัติเหตุแล้ว ชื่อเสียงของตระกูลจางก็หายไปจากซงไห่ จางหานหานกับผมเหมือนกันเลย ตระกูลของพวกเราตกต่ำและไม่ได้รุ่งเรืองเหมือนเมื่อก่อนแล้ว เธอเล็กว่าผมสองปี ผมก็เลยเรียกเธอว่าน้องสาว”ฉินเฟยพูดด้วยรอยยิ้ม

“แม่ของเธอกับแม่ของผมโตมาด้วยกัน สมัยนั้นแม่ของพวกเราเป็นสาวงามในซอยนั้นเลย คนหนึ่งแต่กับเศรษฐีค้าชาจางหมิงหยาง ส่วนอีกคนแต่กับพ่อของผม ทั้งสองคนแต่งกับเศรษฐีและทำให้คนอื่นๆรู้สึกอิจฉา ทุกครั้งที่แม่พาผมกลับไปบ้านของตายาย จางหานหานก็จะกลับไปเหมือนกัน เพราะบ้านของตายายอยู่ในซอยเดียวกัน เนื่องจากแม่ของเธอกับแม่ของผมสนิทกัน เมื่อแม่พูดคุยกัน เด็กอย่างพวกเราสองคนก็จะเล่นด้วยกัน……”

“เพื่อนเล่นตั้งแต่เด็กเหรอ? พวกคุณเป็นคู่หมั้นกันตั้งแต่เด็กหรือเปล่า?”จางฉองหย่วนพูดด้วยรอยยิ้ม

“ทำไมคุณถึงฉลาดแบบนี้?”ฉินเฟยพูดด้วยความเขินอาย

เขาพูดอย่างขมขื่น:”มีเรื่องนี้อยู่จริงๆ นั้นเป็นเพราะญาติผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายสนิทกัน และเคยรับปากเรื่องหมั้นกันเอาไว้”

“หลังจากนั้น บ้านของพวกเขาก็ย้ายไปภาคใต้ เนื่องจากพวกเขามีไร่ชาอยู่ตรงนั้นและบรรยากาศตรงนั้นก็ดีมากๆ พวกเขาก็เลยย้ายไปทั้งหมด และไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย”

นี่คือเหตุผลหลักที่จางหานหานจำฉินเฟยไม่ได้ เนื่องจากฉินเฟยอายุเยอะกว่าเธอสองปี ตอนนั้นพวกเขาสองคนยังเด็กมากๆด้วย เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ก็เปลี่ยนไปเยอะ เมื่อเธอจำฉินเฟยไม่ได้ก็เป็นเรื่องปกติ

สิ่งแรกที่ฉินเฟยสังเกตก็คือชื่อของจางหานหาน หลังจากนั้นเขาก็มองเห็นรอยแผลเป็นที่อยู่บนข้อเท้าของจางหานหาน

เขาถึงแน่ใจว่าเธอก็คือเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆที่คอยเดินตามหลังตัวเองและเรียกเขาว่าพี่ฉินเฟย

“แต่น่าเสียดาย สาวงามสองคนที่ทุกคนอิจฉาในสมัยนั้น แต่ใครก็คาดคิดไม่ถึงจริงๆว่าชีวิตของพวกเธอจะตกต่ำและลำบากขนาดนี้”

ฉินเฟยนึกถึงตอนที่พ่อพาเขากลับไปที่คฤหาสน์ของตระกูลฉิน เขามองเห็นแม่ที่ใช้ชีวิตอย่างประหยัด สำหรับแม่ของจางหานหานนั้น ตอนนี้เธอยังนอนป่วยหนักอยู่บนเตียงนอน

จางฉองหย่วนพยักหน้า เขามองหน้าฉินเฟยด้วยสายตาแปลกๆ แต่เขาไม่ได้พูดอะไรออกมา

ตอนนี้ฉินเฟยเหมือนชายชราอายุเจ็ดถึงแปดสิบปี เขาเคยผ่านเรื่องราวมาเยอะและกำลังนึกถึงเหตุการณ์ในอดีต……

พ่อค้าชาจางหมิงหยางตายด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อแปดปีก่อน เดิมทีคิดว่าด้วยฐานะทางการเงินของเขา ถึงแม้เขาตายไปแล้ว ตระกูลจางก็คงไม่ตกต่ำขนาดนี้ เพราะก่อนหน้านี้ โรงเก็บใบชาของจางหมิงหยางเกิดเพลิงไหม้ ทำให้ใบชาโดนเผาทั้งหมดและเสียหายอย่างหนัก

ในนั้นไม่ได้มีแค่ใบชาของตระกูลจาง ยังมีใบชาของคนอื่นๆด้วย ค่าเสียหายพวกนี้ต้องชดใช้ทั้งหมด

เดิมทีด้วยชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือของตระกูลจางในซงไห่ ถึงแม้ใบชาโดนเผาทั้งหมด แต่ถ้ามีเวลาอีกสองสามปี พวกเขาต้องกลับมารุ่งเรืองอีกครั้งอย่างแน่นอน

แต่โชคร้ายจริงๆ วันที่สองก็เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ ทำให้จางหมิงหยางเสียชีวิต

สมัยนั้นจางหานหานยังมีน้องชายอยู่หนึ่งคน แต่ตอนนั้นเขายังเด็กมากๆและอายุแค่สิบสามปี ส่วนจางหานหานมีนิสัยอ่อนโยนเกินไป ทำให้เธอไม่สามารถทำกิจการต่อได้ ทำให้พวกเขาต้องขายทรัพย์สมบัติเพื่อเอาไปใช้หนี้

เมื่อกำแพงพัง ทุกคนก็ช่วยกันผลัก เรื่องนี้ทำให้ตระกูลจางตกต่ำทันที

ตอนนี้น้องชายของเธอเลิกเรียนแล้ว เขาไม่ยอมทำงานและกลายเป็นอันธพาลด้วย ไม่เพียงไม่หาเงินใช้เอง ยังขอเงินพี่สาวตลอดเวลา ส่วนแม่ของเธอนอนป่วยหนักอยู่บนเตียง ทำให้ภาระทุกอย่างตกอยู่ที่เธอ เธอต้องหาเงินเลี้ยงดูทุกคนในบ้าน

จางฉองหย่วนนิ่งเงียบและไม่ได้พูดอะไรเลย เขาเคยผ่านเรื่องต่างๆมาเยอะ เคยเจอเรื่องที่หนักหนาสาหัสกว่านี้อีก

ราชวงศ์ต่างๆในอดีต เคยรุ่งเรืองมาก่อน ฮ่องเต้ทุกคนต่างคิดว่าราชวงศ์ของตัวเองจะสืบทอดไปหลายพันหลายหมื่นปี แต่ราชวงศ์ที่ครองบัลลังค์ยาวที่สุดก็แค่ไม่กี่ร้อยปีเท่านั้น จากนั้นก็ถูกราชวงศ์อื่นๆเข้ามาแทนที่

แม้แต่ราชวงศ์ยังเป็นแบบนี้เลย ยิ่งไม่ถึงพูดถึงการรุ่งเรืองและตกต่ำของตระกูลเล็กๆเลย

……

เวลาห้าทุ่มครึ่ง ฉินเฟยกลับมาถึงบ้านและมีเหงื่อไหลเต็มตัว

เดิมทีเขาคิดว่าเวลานี้ เจียงเยว่ถงน่าจะนอนหลับไปนานแล้ว แต่เขาพบว่าไฟในห้องรับแขกยังเปิดอยู่ ทำให้ฉินเฟยเกิดความสงสัย เจียงเยว่ถงไม่ได้เหมือนกับผู้หญิงทั่วไป เธอให้ความสำคัญกับเวลามากๆ โดยปกติแล้ว เธอจะนอนดึกที่สุดก็ประมาณสี่ทุ่มครึ่ง เพราะวันรุ่งขึ้นเธอต้องไปทำงาน

เธอให้ความสำคัญกับงานมากๆ เธอจะไปแค่บริษัทกับบ้านเท่านั้น เธอจะทำแบบนี้ทุกวัน แต่งงานกันมาสามปี ถ้าไม่ใช่เรื่องที่สำคัญมากๆ เวลาที่เธอพักผ่อนอยู่บ้านจะมีน้อยมากๆ

ฉินเฟยรีบใส่รองเท้าแตะและเดินเข้าไปในห้องรับแขก แต่เขาพบว่าในห้องรับแขกไม่มีใครอยู่เลย

เจียงเยว่ถงเปิดไฟไว้ให้เขาเหรอ? ภรรยาเปิดไฟให้สามี นี่เป็นเรื่องปกติมากๆในบ้านของคนอื่นๆ แต่ในเวลานี้ ฉินเฟยรู้สึกอุ่นใจมากๆ

ฉินเฟยเข้าไปในห้องนอนอย่างเงียบๆ เมื่อหยิบเสื้อผ้าและผ้าขนหนูแล้ว เขาก็เข้าไปในห้องอาบน้ำอย่างเงียบๆ

“เอะ?”หลังจากฉินเฟยอาบน้ำเสร็จแล้ว ไฟห้องน้ำและไฟในห้องรับแขกที่ปิดไปเมื่อสักครู่ จู่ๆเขาก็พบว่าไฟยังเปิดอยู่

เขาหันหน้าไปมองห้องทำงานด้วยความสงสัย

ในบ้านหลังนี้ มีสองห้องที่ฉินเฟยเข้าไม่ได้ ห้องแรกคือห้องนอนของเจียงเยว่ถง ส่วนอีกห้องก็คือห้องทำงานของเธอ แสงไฟนั้นมาจากช่องว่างของประตูในห้องหนังสือของเธอ

เจียงเยว่ถงนอนหลับอยู่ในห้องหนังสือเหรอ?

วันนี้เจอเหตุการณ์ต่างๆมาเยอะ จิตใจของเจียงเยว่ถงรู้สึกแย่มากๆ เธอคงจะเหนื่อยมากๆและน่าจะนอนไปตั้งนานแล้ว

ผ่านไปสองสามนาทีฉินเฟยปรากฏตัวในห้องหนังสือของเจียงเยว่ถง ตอนนี้เจียงเยว่ถงใส่ชุดนอนสีดำและนั่งหลับอยู่บนเก้าอี้ เนื่องจากเธอใส่ชุดนอนสีดำ ทำให้ผิวพรรณของเธอขาวเหมือนกับหยกสีขาวที่ไร้ตำหนิ มันดึงดูดความสนใจของฉินเฟยมากๆ

เจียงเยว่ถงนอนหลับนิ่งๆและเอนศีรษะไปข้างๆเล็กน้อย สำหรับเจียงเยว่ถงที่เป็นคนบ้างานนั้น การนอนหลับในห้องหนังสือไม่ได้เป็นเรื่องแปลกเลย ฉินเฟยชอบตอนที่เจียงเยว่ถงนอนหลับมากๆ เพราะเธอจะไม่ได้เย็นชาเหมือนเวลาปกติ ตอนที่นอนหลับนั้น เธอดูน่ารักมากๆ และเขาก็สามารถชื่นชมเธออย่างเงียบๆ

เจียงเยว่ถงเป็นลูกสาวของตระกูลมั่งคั่ง ถึงแม้เธอจะนอนเอียงศีรษะอยู่ แต่เธอนั่งสองเท้าชิดกันอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่รู้ว่าเธอรู้สึกอากาศเย็นหรือฝันร้ายกันแน่ ทำให้สองมือของเธอดึงชุดนอนกระโปรงผ้าไหมขึ้นมา ทำให้ขาอันเรียวยาวและขาวมากๆปรากฏต่อหน้าฉินเฟย ขาของเธอขาวราวกับนมสด มันเรียวยาวและสวยมากๆ ทำให้คนที่มองเห็นอยากจะจูบมัน……

“เยว่ถง?”ฉินเฟยยืนอยู่ข้างๆและเรียกเธอเบาๆ

แต่เจียงเยว่ถงไม่รู้สึกตัวเลย แต่เธอกลับขมวดคิ้ว ใบหน้าอันสวยของเธอมีความเมื่อยล้าปรากฏ ราวกับเธอกำลังฝันร้าย ทำให้มือของเธอจับกระโปรงแน่นขึ้น

ฉินเฟยมองเห็นเธอแล้วรู้สึกสงสารมากๆ เมื่อเรียกเธออีกครั้งหนึ่ง แต่เธอก็ยังไม่ตื่น สุดท้ายเขากัดฟันแล้วโค้งตัวลงไป มือหนึ่งจับขาวอันเรียวยาวของเธอ ส่วนอีกมือหนึ่งอุ้มไหล่ของเธอเอาไว้ และอุ้มตัวเธอขึ้นมา

“อืม……”เจียงเยว่ถงเปล่งเสียงออกมาเบาๆ ทำให้ฉินเฟยตกใจมากๆและนึกว่าเธอตื่นแล้ว

ถึงแม้คืนนี้อยู่ที่โรงแรมเทียนฝูจู เขาเคยอุ้มเจียงเยว่ถงมาแล้ว แต่ตอนนั้นเขาตื่นเต้นมากๆ การอุ้มเธอในตอนนี้ ด้านหนึ่งเพราะสงสารเธอ แต่ความคิดส่วนใหญ่เพราะอยากจะแต๊ะอั๋งเธอ เขาแค่อยากจะอุ้มภรรยาที่สวยมากของตัวเองเท่านั้น

ยังดีที่เจียงเยว่ถงไม่ได้ตื่น ทำให้ฉินเฟยโล่งอกทันที ศีรษะของเธอยังเอนไปข้างๆและนอนอยู่บนหน้าอกของฉินเฟยอย่างมีความสุข มีมือข้างหนึ่งจับหัวไหล่ของฉินเฟยเอาไว้ ท่านอนของเธอ ทำให้ฉินเฟยรู้สึกร้อนไปทั้งตัว

ตอนนี้เขาไม่กล้ามองและชื่นชมภรรยาอีก เขารีบหันหน้าไปและพาเธอไปยังห้องนอน

ห้องนอนของเจียงเยว่ถงไม่ได้ปิด ฉินเฟยวางเธอลงบนเตียงอย่างช้าๆ ขณะที่เขากำลังจะดึงมือกลับและอยากจะดึงผ้ามาห่มให้เธอ จู่ๆเจียงเยว่ถงก็เปล่งเสียงออกมาเบาๆเหมือนกับเธอกำลังฝันร้ายอยู่

ฉินเฟยสังเกตเห็นร่างกายของเธอกระตุก

เจียงเยว่ถงเป็นคนชอบหวาดระแวง เมื่อเธอสัมผัสได้ว่ามีคนกำลังจับตัวเธออยู่ ทำให้เธอกลัวมากๆจนตื่นขึ้นมา

“ไม่ต้องกลัว ผมเอง”ฉินเฟยรีบเอ่ยปากพูด แต่น้ำเสียงไม่ได้ดังมากนัก:”ผมมองเห็นเธอนอนหลับอยู่ในห้องหนังสือและเรียกไปหลายรอบแล้ว แต่เธอก็ไม่ตื่น ผมก็เลยอุ้มเธอกลับมา ผมสาบานได้ ผมไม่ได้ทำอะไรเธอเลย”

ฉินเฟยกลัวจนรีบยกมือขึ้นมาสาบาน

“อืม”เจียงเยว่ถงมองหน้าฉินเฟยด้วยสายตาสะลึมสะลือ เธอรู้ว่าฉินเฟยไม่ได้พูดโกหกและเอ่ยปากถามเบาๆ:”กี่โมงแล้ว? ทำไมถึงกลับมาดึกขนาดนี้?”

“ห้าทุ่มกว่าแล้ว คุยเรื่องนานไปหน่อย พรุ่งนี้ผมจะบอกให้เธอรู้”ฉินเฟยพูด

“ทำไมคุณถึงอยู่ใกล้ฉันขนาดนี้?”เจียงเยว่ถงรู้สึกไม่คุ้นชินและเอนศีรษะไปข้างๆ ทำให้ต้นคออันขาวสวยของเธอปรากฏ ตอนนี้ฉินเฟยกำลังเอนตัวอยู่บนเตียงนอนของเธอ ทำให้ใบหน้าของพวกเขาสองคนใกล้กันมากๆ ตอนนี้ในห้องนอนมืดสนิท มองเห็นรางๆจากแสงไฟที่สองสว่างมาจากห้องรับแขก พวกเขาสองคนไม่เพียงแค่เป็นสามีภรรยากัน แต่ยังเป็นผู้ชายกับผู้หญิงที่อยู่ในห้องนอนด้วย ทำให้เจียงเยว่ถงรู้สึกไม่คุ้นชิน

แต่เธอกลับไม่ได้รู้สึกตัวเลย เพราะเธอในตอนนี้ ไม่ได้รังเกียจที่ฉินเฟยเข้ามาใกล้ตัวเองแล้ว

“เธอยกไหล่ขึ้นมาหน่อย ไหล่ของเธอทับมือของผมเอาไว้ “ฉินเฟยพูดด้วยรอยยิ้มฝืนๆ

“อ้อๆ”เจียงเยว่ถงหน้าแดงทันที จากนั้นก็รีบพลิกตัว

ฉินเฟยรีบลุกขึ้นมา จู่ๆเขาก็นึกถึงเรื่องสำคัญและพูด:”ใช่แล้ว ผมมีข่าวดีจะบอกเธอ พรุ่งนี้เธอไปเอาบริษัทฉีแยคืนมา เวลาแปดโมงเช้า ทนายของซุนเย่าเหวินจะมาส่งมอบบริษัท”

เขารู้ว่าบริษัทฉีแยสำคัญต่อเจียงเยว่ถงมากๆ

เจียงเยว่ถงอึ้งไปชั่วครู่ จากนั้นสายตาของเธอก็เปล่งประกาย เธอมองหน้าฉินเฟยด้วยความตกใจและถามด้วยความเหลือเชื่อ:”จริงเหรอ?”

“มันเป็นเรื่องจริง ซุนเย่าเหวินเอ่ยปากพูดกับผมแล้ว ถ้าไม่เชื่อก็ลองไปดูข้อความสิ”ฉินเฟยหยิบมือถือขึ้นมาและเดินเข้าไปใกล้ใบหน้าของเจียงเยว่ถง

เจียงเยว่ถงมองเห็นข้อความ เธอตื่นเต้นมากๆและมือก็ดึงผ้าปูที่นอนไว้และพูด:”ดีมากๆ”

เจียงเยว่ถงดีใจมากๆ จู่ๆเธอก็เงยหน้า และจูบแก้มของฉินเฟยหนึ่งครั้ง

ร่างกายของฉินเฟยสั่นสะท้าน เขารีบจับใบหน้าของตัวเอง ราวกับไม่เชื่อว่ามันเป็นเรื่องจริง

เจียงเยว่ถงจูบเขาจริงๆเหรอ?

ผมเป็นเขย(ผู้ไม่ธรรมดา) บทที่ 60 คู่รักที่เป็นเพื่อนกันมาแต่เด็ก?
จางฉองหยวนก็คิดโในใจ ฉินเฟยเลือกจางหานหานมา มีเจตนาไม่ดีเหมือนอย่างที่คิดไว้จริงด้วย

“คุณผู้หญิงความจำดี” ฉินเฟยยิ้มพยักหน้า

จางหานหานเม้มริมฝีปาก ในที่สุดก็อดไม่ได้ที่จะพูดว่า: “ไม่ใช่ว่าความจำดี รู้สึกว่าคุณผู้ชายเหมือนเพื่อนเก่าคนหนึ่งของฉัน แต่ฉันก็นึกไม่ออกเลย”

“ดูเหมือนว่าฉันกับคุณผู้หญิงมีวาสนากัน” ฉินเฟยกล่าว

“อืม” จางหานหานพยักหน้าเบาๆ และส่งถ้วยชา 2 ใบให้กับจางฉองหยวนและฉินเฟยอีกครั้ง: “เชิญดื่มแก้วที่ 2 ค่ะ”

คำพูดของฉินเฟย พูดดูเจ้าชู้ไปหน่อย ยังไงซะผู้ชายได้มาเจอผู้หญิง ถ้าพูดอะไรที่ประมาณว่าวาสนาพรหมลิขิต มันก็จะทำให้คนรู้สึกไม่สุภาพ และสำมะเลเทเมา แต่งจางหานหานกลับไม่มีความรู้สึกเช่นนี้เลย เพราะฉินเฟยพูดเพียงประโยคเดียว อีกทั้งมองตัวเองด้วยสายตาที่ไม่เหมือนผู้ชายคนอื่นเลย ไม่ได้ซ่อนเร้น อีกทั้งยังชัดเจนและมีความอ่อนโยนเล็กน้อย

ความอ่อนโยนเล็กน้อยนี้ ทำให้เธอรู้สึกอบอุ่น

ก็เหมือนที่ฉินเฟยพูด พวกเขามีวาสนาต่อกัน และฉินเฟยไม่ได้บอกถึงเรื่องที่ตัวเองอยากรู้ เธอก็ไม่ถามอะไรมากอยู่แล้ว

“จริงสิ เมื่อก่อนคุณให้ฉันตรวจสอบบางอย่าง ฉันช่วยคุณตรวจสอบได้แล้ว” จางฉองหยวนหยิบชาแก้วที่ 2 ที่จางหยวนหยวนส่งให้ ดื่มไปอึกหนึ่ง จากนั้นเขาก็หันกลับมาและหยิบกระเป๋าเอกสารออกมา นำถุงเอกสารออกมาจากข้างใน แล้วมอบให้ฉินเฟย

ฉินเฟยชิมแก้วที่สองเสร็จแล้ว จึงค่อยๆวางถ้วยน้ำชา คนเขาชงชาเมาอย่างเหน็ดเหนื่อย ก็ต้องมีพิธีรีตองในการดื่มชาให้มันดีๆ มันถึงจะเป็นการให้เกียรติฝ่ายตรงข้ามอย่างหนึ่ง

แต่ว่า สิ่งที่ทำให้ฉินเฟยต้องฝืนยิ้มในใจคือ จางหานหานสาวน้อยคนนี้ เหมือนว่าจะจำตัวเองได้แล้ว

นี่ต้องโทษจางฉองหยวน เมื่อกี้เอ่ยปากเรียกตัวเองว่าคุณชายฉิน แน่นอนว่า ก็โทษตัวเองด้วย คิดไม่ถึงว่าจะสั่งชาเมามาดื่ม

เขาไม่ได้ดื่มมานานมากแล้ว และก็รู้ด้วยว่า ชาเมาทั้งหมด มีเพียงศิลปะการชงชาของตระกูลจางเท่านั้นที่สามารถสร้างรสชาติออกมาแบบนี้ได้

บนโต๊ะมีถุงเอกสารโปร่งใส ส่วนใหญ่ข้างในเป็นภาพถ่าย รวมถึงแฟลชไดร์ฟ แล้วก็ MP4

ฉินเฟยวางถ้วยชาและเหลือบมอง มองดูภาพด้านบนสุด ก็รู้สึกเก้ๆกังๆ

ในรูปภาพเป็นผู้ชายคู่หนึ่ง เปลือยกายล่อนจ้อน และกำลังแสดงฉากที่ไม่เหมาะสำหรับเด็ก

ฉินเฟยรีบหยิบมา จ้องไปที่จางฉองหยวน ในเวลาเดียวกันก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองจางหานหานที่กำลังคุกเข่าอยู่ข้างๆ

การเคลื่อนไหวในการชงชาของจางหานหานนั้นช้าอย่างเห็นได้ชัด เม้มปากแน่น ติ่งหูสีขาวราวหิมะของเธอเผยให้เห็นสีชมพูระเรื่อแล้ว

ฉินเฟยอายมาก เธอต้องเห็นรูปนี้แล้วแน่ๆเลย

จางหานหานก้มหน้า ทำเป็นมองไม่เห็น ซึ่งกระทำการเคลื่อนไหวอย่างนุ่มนวล และคิ้วที่อ่อนโยนนั้น แม้ว่าบนใบหน้าจะแต่งหน้าหนา กลับสามารถเห็นคอที่ขาวดุจราวหิมะได้

ผิวนุ่มราวกับหยกอุ่นๆ แสงอ่อนๆ มันเยิ้ม ปากเล็กๆแดงระเรื่อที่บอบบาง อ่อนช้อยงดงามจนน่าหยดย้อย และปอยผมสองข้างที่ข้างแก้มค่อยๆ ปลิวไสวไปตามสายลม เพิ่มสไตล์ความเย้ายวนเล็กน้อย

“บน MP4 มีคลิป คุณต้องการตรวจสอบหน่อยไหม?” จางฉองหยวนกล่าว

“ไม่ต้องแล้ว คุณทำอะไรฉันไม่ห่วง” ฉินเฟยตกใจ รีบพูด

เวรเอ๊ย ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าวิดีโอที่อยู่ใน MP4 จะต้องเป็นภาพที่ทำให้ผู้คนตกใจแน่ เปิดเล่นที่นี่เหรอ? งั้นเขาก็คงขายหน้าคนจนไปถึงบ้านยายแล้ว

และในเวลานี้ 《เขาสูงน้ำไหล)》ตรงข้างนอกก็คุยเสร็จแล้ว เสียงนักดนตรีหญิงคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า: “คุณผู้ชาย ไม่ทราบว่าท่านจะให้เล่นต่อไหม?”

“เอ่อ……งั้นขอ 《บทเพลงหนีฉัง》แล้วกัน” ฉันเฟยกล่าว แล้วก็หันไปมองจางฉองหยวน: “ได้ไหม?”

“ได้ทั้งนั้น ยังไงฉันก็ฟังไม่เข้าใจอยู่แล้ว” จางฉองหยวนโบกมือกล่าว

ฉินเฟย:“……”

จางหานหาน:“……”

เปลี่ยนหัวข้อ บรรยากาศผ่อนคลายลงไม่น้อย

ฉินเฟยไม่ได้อ่านข้อมูลด้วยซ้ำ และเก็บมันไว้

และฉินเฟยกลับรู้ชัดเจน ผู้ชายในภาพเมื่อสักครู่ ก็คือซวนหมิงฉีประธานบริษัทสร้างสรรค์โฆษณาคังต๋า

ฉินเฟยมีความทรงจำที่ลึกซึ่ง กับคนๆนี้ เพราะว่าเมื่อ 4 ปีก่อน เขายังทำธุระที่ตระกูลฉิน ซึ่งเป็นเพียงหัวหน้าตัวน้อยภายใต้การบริหารของโรงงานการค้า

และชนวนแห่งความหายนะของตระกูลฉิน ก็เริ่มเกิดขึ้นจากที่นี่ ถูกตำรวจตรวจค้น สินค้าส่งออกเถื่อนเพียบ!

คนที่ทำเรื่องนี้ ก็คือซวนหมิงฉี!

และหลังจากที่ตระกูลฉินตกอับ เขาก็เปลี่ยนตัวเองและกลายเป็นผู้อำนวยการของบริษัทสร้างสรรค์โฆษณาคังต๋าที่อยู่ภายใต้การควบคุมของตระกูลอั่ว และในช่วงสองปีที่ผ่านมาก็ขึ้นตำแหน่งสูงได้โดยไม่เปลืองแรง กลายเป็นประธานบริษัท

ฉินเฟย ต้องการแก้แค้น!

รอชาหกถ้วยหมดลง ก็ผ่านไปแล้ว 10 นาที และ 《บทเพลงหนีฉัง》ก็เล่นจบแล้ว

จางหานหานถามว่าต้องการสั่งชาเพิ่มอีกไหม ฉินเฟยบอกไม่เอาแล้ว

เพราะเขาวางแผนว่าคืนนี้จะไปวิ่ง ดื่มมากเกินไปไม่ได้

จางหานหานพยักหน้า เริ่มเก็บชุดชา และล้างสะอาดทั้งหมด

“คุณคือดอกกุหลาบของฉันคุณคือดอกไม้ของฉัน คุณคือคนรักของฉัน คือความห่วงหาของฉัน……” ในเวลานี้ เพลงเก่าดังขึ้นจากโทรศัพท์มือถือของจางฉองหยวน

“ฮัลโหล……อืม ชั้น 2 ห้อง 401 ส่งมาเลย”

วางสายโทรศัพท์ จางฉองหยวนลุกขึ้นสวมรองเท้า

ไม่นาน ลูกน้องของจางฉองหยวนเคาะประตูเดินถือกล่องเข้ามา

“เหล่าจาง คุณเอารองเท้าของฉันไปด้วย วันหลังฉันค่อยไปเอา” ฉินเฟยรับกล่องรองเท้ามาแล้วพูด

“ถ้าไม่อย่างนั้น คุณผู้ชายเอารองเท้ามาให้ผมเถอะ วันหลังมาดื่มชา ผมจะได้เอามาให้คุณอีก” จู่ๆ จางหานหานที่คุกเข่าอยู่ก็ลุกขึ้นพูด

ฉินเฟยตะลึง ยิ้มและพูดว่า: “คุณรู้จักทำธุรกิจ”

จางหานหานหน้าแดงเล็กน้อย กล่าว: “ไม่ดื่มชาก็ได้”

การจากไปครั้งนี้ของฉินเฟย ก็ไม่รู้ว่าจะได้เจอกันอีกเมื่อไหร่ รู้สึกสนิทใจอยู่บ้าง ทำให้สัญชาตญาณของเธออยากเจอเขาอีกครั้งหนึ่ง

“รองเท้าหนังเหม็นๆคู่หนึ่ง ฉันไม่ให้คุณเอาไปหรอก” จางฉองหยวนกลอกตา และพูดอย่างไม่พอใจ

“งั้น……งั้นก็ขอบคุณคุณแล้วกัน สองสามวันนี้ฉันจะต้องมาเอาแน่” ฉินเฟยกล่าวอย่างรู้สึกซาบซึ้งใจ

“ไม่ต้องเกรงใจ” จางหานหานพยักหน้าเบาๆ รองเท้าหนังของฉินเฟยก็ไม่ถือว่าดี และก็ไม่ได้มียี่ห้ออะไร กลับทำใจไม่ได้ที่จะทิ้งไป ความตระหนี่นี้ทำให้สัญชาตญาณในใจของจางหานหานรู้สึกดีขึ้น

ฉินเฟยพยักหน้า และก็หยิบบัตรธนาคารส่งให้จางหานหาน: “ไม่ได้นำเงินสดมา นี่เป็นค่าบริการให้คุณ”

“เงินในบัตรมีเท่าไหร่?” จางหานหานตะลึง สีหน้าลังเล

“ไม่เยอะ แต่ก็น่าจะพอที่จะช่วยคุณได้ ถ้าหากมีคนมารังแกคุณอีก ก็ให้บอกเพื่อนของคุณที่ชื่อจางฉองหยวน” ฉินเฟยกล่าวอย่างจริงจัง

ถ้ามองไม่ผิด ตอนที่จางหานหานเพิ่งจะชงชา รอยฟกช้ำที่บังเอิญปรากฏบนข้อมือเกิดจากการถูกทุบตี

จางฉองหยวนที่สวมรองเท้าหนังเสร็จแล้วได้ยินเสียงเดินโซเซ และมองฉินเฟยด้วยความประหลาดใจ

นี่มันเกี่ยวอะไรกับตัวเอง?

อีกอย่าง ในเมื่อมีความสนใจสาวสวย เรื่องที่ฮีโร่ที่ช่วยชีวิตสาวงามน่าจะทำด้วยตัวเองถึงจะถูก!

จางฉองหยวนมีสายตาที่ดุร้าย ฉินเฟยเห็นรอยฟกช้ำบนข้อมือของจางหานหาน เขาก็ต้องเห็นอยู่แล้ว

“ก็ตามนี้ ขอบคุณสำหรับชาของคุณ” ฉินเฟยค่อยๆยิ้ม ดึงข้อมือของจางหานหาน และยัดบัตรธนาคารใส่ในมือของเธอ

เงินในบัตรมีไม่มาก แต่ก็ไม่น้อย ประมาณ 30,000 พอดี

สำหรับเรื่องในครอบครัวของจางหานหาน เขาก็พอรู้เรื่องบ้างเล็กน้อย หลังจากที่พ่อของเธอตายเพราะอุบัติเหตุ แม่ก็เป็นโรคซึมเศ้รา อีกอย่างยังมีน้องชายที่ไม่เอาไหน ก่อเรื่องไปทั่ว

“เรามาหารแชร์กัน เงินค่านักดนตรีคุณเป็นคนจ่าย” ฉินเฟยกลัวว่าจางหานหานจะกลับคำ พูดประโยคหนึ่งแล้วก็รีบเดินออกมา

จางหานหานกุมบัตรธนาคารในมือไว้แน่น เธอรู้ว่าเงินในบัตรนี้ไม่ได้มีน้อยๆแน่ จะต้องมีมากกว่านี้

อีกอย่างอีกฝ่ายก็เพิ่งบอกว่า เงินในนี้เอาไว้ช่วยให้ให้ตัวเองข้ามผ่านความยากลำบากได้

หรืออีกนัยหนึ่ง อีกฝ่ายรู้จักตัวเอง และรู้สถานการณ์ของตัวเอง ว่าต้องการเงินก้อนหนึ่งจริงๆ แต่พวกเขาทั้งสองคนก็เพิ่งเจอกันแค่ 4 ครั้งเท่านั้น อีกอย่างก็เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้คุยกัน ก็ต่อให้ตัวเองลำบากแค่ไหน เธอก็ไม่สามารถขอเงินก้อนนี้ได้

จางหานหานรีบร้อน และก็ไม่ทันได้ล้างชุดชา ก็รีบลุกขึ้นและวิ่งออกมาด้วยเท้าเปล่า กลับถูกจางฉองหยวนที่อยู่ข้างๆยื่นมือมาขวางไว้

จางหานหานเงยหน้าอย่างแปลกใจ ไม่รู้ทำไม ก็เห็นจางฉองหยวนหยิบบัตรใบหนึ่งยื่นให้เธอ: “ถ้ามีเรื่องด่วน ก็โทรมาเบอร์นี้ ฉันช่วยคุณเอง”

“ฉัน……” จางหานหานอึ้งเลย คำร้องขอของแขกตรงหน้า เธอไม่รู้ว่าควรรับหรือควรปฏิเสธดี

และหลังจากที่จางฉองหยวนมอบนามบัตรให้เธอก็เดินออกมาจากฉากกั้น เขาหยิบเงินหนึ่งพันหยวนออกมาจากกระเป๋าเงินและมอบให้นักดนตรีคนหนึ่ง และพาลูกน้องจากไป

จางหานหานตามออกมาจากโรงน้ำชา ฉินเฟยก็ได้หายตัวไปแล้ว

กลับมาที่โรงน้ำชาอีกครั้ง เธอก็มองนามบัตรและบัตรธนาคารในมืออย่างตกตะลึง หันไปมองรองเท้าหนังคู่หนึ่งที่พื้น จิตใจเลื่อนลอย……

บนรถเบนซ์ จางฉองหยวนส่งฉินเฟยมาถึงสวนสาธารณะแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้ๆกับหมู่บ้านเทียนหลันของเขา

จางฉองหยวนขับรถไปด้วย เอียงหัวมองฉินเฟยไปด้วย แต่ก็อดหัวเราะไม่ได้: “คุณชาย วิธีการจีบสาวของนายเชยเกินไปแล้วมั้ง?”

แน่นอนว่าจางฉองหยวนรู้สึกตลก เขาไม่ต้องคิดก็เดาออก ว่าบัตรธนาคารที่ฉินเฟยมอบให้จางหานหานจะต้องมีเงินจำนวนไม่น้อยแน่นอน

สำหรับเขา การจีบผู้หญิงที่จริงแล้วไม่ใช่เรื่องยาก ถ้าไม่ได้เป็นฮีโร่ช่วยชีวิตสาวงาม ถึงแม้ไม่มีโอกาสก็สามารถสร้างขึ้นเองได้ หรือก็ใช้เงิน ยังไงสุดท้ายเป้าหมายก็คือพาอีกฝ่ายไปหลับนอนกัน ยินยอมพร้อมใจเปลืองผ้าของตัวเอง

และเขาก็รู้ ว่าคุณชายกับเจียงเยว่ถงแต่งงานมา 3 ปี และไม่เคยแตะต้องคนเขาเลย ยากที่จะพูดแม้แต่ผู้หญิงก็ไม่เคยแตะต้องมาก่อน และเขาอายุเท่านี้แล้ว ก็มีความสามารถ หาผู้หญิง3-5คนที่จริงมันก็ไม่ได้เป็นอะไร

“คุณจะไปเข้าใจอะไร?” ฉินเฟยเหลือบมองเขาอย่างไม่สบอารมณ์ อยู่กับคนที่ไม่มีการศึกษาอย่างเขา เขาก็ไม่รู้ควรจะพูดยังไงดี อีกอย่าง……

“คุณรู้สึกว่า ผมกำลังจีบเธองั้นเหรอ? งั้นเธอจะรู้สึกแบบนี้หรือเปล่า?” ฉินเฟยพูดขึ้นมาอย่างกะทันหัน

“อ๊ะ?” จางฉองหยวนได้ยินมือก็สั่นเทา เกือบจะขับรถผิดฝั่งของถนนแล้ว มองฉินเฟยด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยอาการเลอะเลือน: “นายเป็นคนอ่อนหัดในเรื่องความรักเหรอ? เรื่องแบบนี้ฉันไม่เข้าใจ เห็นได้ชัดว่าคุณแค่ต้องการตีสนิทกับคนเขา เพื่อที่อยากจะขึ้นเตียงกับคนเขา”

ฉินเฟยสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย

“แต่นายตาถึงมาก ผู้หญิงคนนี้แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นผู้หญิงที่ดี สุภาพเรียบร้อย ไม่งั้นฉันจะลองใช้เล่ห์สักหน่อย……”

“ไม่ได้!” ฉินเฟยปฏิเสธไปโดยตรง สีหน้าจริงจัง “โอเค” จางฉองหยวนพยักหน้าอย่างจำใจ ในใจก็ยิ่งรู้สึกหมดคำพูด สำหรับเขาแล้ว ฉินเฟยก็ชอบคนเขาแล้ว เพียงแค่ไม่กล้าพูดออกมาเท่านั้นเอง แล้วก็ยังมีความรู้สึกอยากมีความรักกับคนเขา

แต่ว่า ความรู้สึกสุดท้ายก็ยังคงเป็นการอุ้มขึ้นเตียง?

เขาไม่เข้าใจจริงๆ แต่ในเมื่อฉินเฟยจะชอบเล่นอะไรแบบนี้ เขาก็ไม่พูดอะไรอีก

จางฉองหยวนรู้ ฉินเฟยก็อายุ 26 ปีแล้ว หนุ่มสาวในวัยนี้ ก็เป็นช่วงเวลาที่ต้องการผู้หญิงมากที่สุด คิดแล้วพูดว่า: “ถ้าไม่อย่างนั้นไปไนต์คลับของฉันสักรอบไหม?”

“ที่ฉันนั่นก็มีนางแบบที่อ่อนโยนใจดีนะ?”

“พี่จาง คุณช่วยเงียบและตั้งใจขับรถไปได้ไหม?”

จางฉองหยวน:“……”

ชาบำรุงผู้คน และก็ยังบำรุงชุดชาอีกด้วย ว่ากันว่าชุดชาที่ชงชามานานหลายปี ก็สามารถนำไปขายได้เงินจำนวนมาก

สิ่งนี้เรียกว่าคราบชา แน่นอนว่า นี่ไม่ใช่ชุดชาทั้งหมด โดยเฉพาะถ้วยชากระเบื้องเคลือบขาวที่ผู้คนใช้กันในปัจจุบัน แต่ป้านจื่อซานั้นดีที่สุด เนื่องจากกาน้ำชาชงชาได้ทั้งปี สะสมคราบชา แม้ว่าจะเทน้ำต้มก็ตาม ดื่มแล้วก็มีรสชาติของกลิ่นชาด้วย

ชาไม่เพียงแต่จะบำรุงชุดชาเท่านั้น แถมยังบำรุงที่อยู่อาศัยอีกด้วย โรงน้ำชาทั้งหลังอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของชาอ่อนๆ

เมื่อได้ยินฉินเฟยสั่งชาเมา จางหานหานพยักหน้าเบาๆ แล้วก็ไม่พูดไม่จา มือเล็กๆก็ลงมือทันที

นิ้วมือของจางหานหาน เรียวยาว อ่อนโยนอย่างเป็นธรรมชาติ

เพียงแค่มือคู่นี้ ก็เป็นนักชงชาที่มีพรสวรรค์แล้ว แน่นอนว่า เอาไปเล่นเปียโนก็ยอดเยี่ยมได้อีกด้วย

เธอเติมน้ำลงไปกาน้ำชาเพื่อทำความสะอาดก่อน จากนั้นเติมน้ำร้อนลงไป รอให้เดือด

ฉินเฟยหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา จู่ๆ ก็คิดขึ้นมาได้ทันที มองขึ้นไปที่จางฉองหยวนที่กำลังสูบบุหรี่แล้วพูดว่า: “พี่จาง จัดการให้คนส่งรองเท้าวิ่งมาให้ฉัน ฉันจะไว้ใช้คืนนี้ เบอร์ 42 นะ”

ก่อนหน้านี้ชายชราเซียวเฟิ่งกางก็บอกแล้ว ต่อไปนี้เขาต้องออกกำลังกายแบบเข้มข้นสูงทุกวัน รอโอกาสที่จะเลื่อนขั้นเข้าสู่ดินแดนฟ้าบัญชา

ตัวตนของเขาวันนี้ อาจจะเปิดเผยเมื่อไหร่ก็ได้ การเลื่อนระดับสู่ดินแดนฟ้าบัญชาก็เป็นสิ่งบีบบังคับให้ต้องลงมือทันที

อีกอย่าง เขาก็มาคิดๆดู ดินแดนฟ้าบัญชาเป็นอย่างไรกันแน่

“โอเค ฉันก็จะสั่งการล่ะ” จางฉองหยวนมองฉินเฟยแปลกๆ แต่ไม่ได้ถามอะไรมาก ก็รีบหาเบอร์โทร แล้วก็ออกคำสั่ง

และในเวลานี้ ด้านนอกฉากกั้น《เขาสูงน้ำไหล)》เสียงดังขึ้นอย่างสบายใจ……

“คุณชายฉิน มันเกิดอะไรขึ้นระหว่างคุณกับซุนเย่าเหวินกันแน่?” ในที่สุดจางฉองหยวนก็อดไม่ได้ที่จะถามออกไปว่า : “ฉันได้ยินมาว่าตอนแรกคุณมีปากเสียงกันกับโจวฉ่ายเวยผู้หญิงที่ทั้งดุทั้งเลว และอีกอย่างก่อเรื่องจนใหญ่โตขนาดนี้ ทำให้ซุนเย่าเหวินต้องเข้าไปด้วย แต่ต่อมา ไม่คิดว่าซุนเย่าเหวินใช้หลังมือตบโจวฉ่ายเวย นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? คุณกุมความลับของซุนเย่าเหวินไว้อย่างงั้นเหรอ?”

“ไม่ใช่ ซุนเย่าเหวินไม่ได้เป็นคนที่จะข่มขู่กันได้ง่ายๆ ฉันบอกความลับสุดยอดให้เขาฟัง มันสำคัญสำหรับเขาและตระกูลซูมากๆ” ฉินเฟยก็ไม่ได้พูดโกหก พูดออกมาตรงๆ เพียงแค่พูดอย่างจำใจเล็กน้อย: “เคยบอกคุณแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าอย่าเรียกฉันว่าคุณชายน่ะ?”

เพราะฉินเฟยสังเกตเห็นได้ชัดเจนว่า จางฉองหยวนเรียกเขาว่าคุณชายฉินเมื่อสักครู่ จางหานหานที่นั่งอยู่ข้างๆอย่างสงบ ม่านตาห้อยลงอย่างเห็นได้ชัด

ใช่แล้ว จางหานหานรู้สึกช็อกเล็กน้อยอยู่ในใจ ถึงขั้นที่ว่ารู้สึกสับสน

ที่จริงแล้ว ตั้งแต่ต้นจนจบ ม่านตาที่ห้อยลงของเธอกลับคอยมองฉินเฟยเป็นระยะ เพราะว่าตั้งแต่แรกที่ฉินเฟยเลือกเธอ เธอก็รู้สึกว่าฉินเฟยไม่ธรรมดา

แน่นอนว่า นี่ไม่ได้หมายความว่าอารมณ์ของฉินเฟยทำให้คนอื่นนั้นรู้สึกไม่ธรรมดา แต่เพื่อให้เธอรู้สึกสนิทใจ ในครั้งแรก เธอแค่คิดว่าฉินเฟยมีท่าทีที่ดี ทั้งตัวเขาทำให้คนรู้สึกสุภาพเรียบร้อยมารยาทงดงาม

แต่ไม่นาน เธอก็ปฏิเสธความคิดอย่างหนึ่ง เธออยู่ที่ร้านน้ำชาซินเยว่มา 3 ปีแล้ว ไม่ว่าลูกค้าแบบนั้นก็เจอมาหมดแล้ว เช่นเดียวกับชาวบ้านที่ไม่มีการศึกษาที่ไม่เข้าใจศิลปะการชงชาเลยแม้แต่น้อย แถมยังเป็นอันธพาลทางสังคมที่พูดจาหยาบคาย ถึงขนาดที่ว่ามีตัณหาไม่น้อย เมื่อเห็นเธอสวยหน่อยก็อยากจะลวนลามเธอ แต่ก็ยังมีเถ้าแก่ที่อายุน้อยนิสัยดีมาก มีท่าทางกริยางดงามเป็นผู้ดีเช่นกัน

แต่มีเพียงฉินเฟยที่อยู่ตรงหน้า ที่ให้ความสนิทกับเธอ เหมือนว่าทั้งสองได้รู้จักกันมานานแล้ว แต่รื้อฟื้นความทรงจำด้วยตัวเอง ก็ยังไม่มีคนแบบนี้เลย

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เมื่อสักครู่ฉินเฟยสั่ง ‘ชาเมา’แล้ว!

ตระกูลจางเดิมทีเป็นตระกูลแห่งพิธีชงชา เก่าแก่โบราณมาก ‘ชาเมา’ ถูกสร้างขึ้นโดยปู่ทวดของตน การออกวางตลาดของ ‘ชาเมา’รวมถึงได้รับคำชื่นชมของผู้คนจำนวนมากที่มีความเชี่ยวชาญในศิลปะการชงชา ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ตระกูลจางก็มีชื่อเสียงในแวดวงศิลปะการชงชา

ตระกูลจางเป็นตระกูลพิธีชงชา ยี่ห้อของ 3 ชั่วอายุคน ทำธุรกิจชาได้ดีอย่างยิ่ง และจางหานหานก็ได้รับอิทธิพลจากศิลปะการชงชามาตั้งแต่เด็ก บวกกับเธอชอบชาอยู่แล้วด้วย จึงมีความรู้ศิลปะการชงชาลึกซึ้งอย่างมาก

เพียงแค่มาถึงรุ่นของพ่อ เนื่องจากเกิดเรื่องบางอย่าง พิธีชงชาของตระกูลจาง ถูกเพิกถอนอย่างสมบูรณ์ แม้กระทั่ง พิธีชงชา‘ชาเมา’ ก็ถูกตระกูลอื่นขโมยไป

วันนี้ คนที่รู้เรื่องเกี่ยวกับ ‘ชาเมา’ก็มีไม่มากแล้ว และส่วนใหญ่ก็มีอายุมากแล้ว เธอทำงานที่นี่มา 3 ปี ฉินเฟยเป็นคนแรกที่อายุไล่เลี่ยกัน เป็นผู้ดื่มเลือกที่จะดื่ม ‘ชาเมา’

ร่องรอยแห่งความสนิทใจที่คุ้นเคยอยู่ในใจ บวกกับอีกฝ่ายเรียกชื่อว่า ‘ชาเมา’ในใจของจางหานหานก็อดคิดไม่ได้ว่า บางทีอีกฝ่ายจะรู้จักตัวเอง หรือมีที่มาบางอย่างกับตระกูลจาง ถึงขั้นที่ว่าทั้งสองคนเคยเจอกันมาก่อน เพียงแค่ตัวเองจำไม่ได้แล้ว

เธออยากถามฉินเฟย กลับไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยปากยังไงดี

อีกอย่างเมื่อสักครู่ เหมือนว่าอีกฝ่ายจะเรียกเขาว่า——คุณชายฉิน?

“โจวฉ่ายเวยผู้หญิงคนนั้นที่แต่งงานแล้ว คงจะไม่สวมเขาให้ซุนเย่าเหวินหรอกมั้ง?” จางฉองหยวนสายตาเปลี่ยนไป ลองพูดแบบเดาๆ

ได้ยินคำนี้ ฉินเฟยยกนิ้วโป้งให้เขาอย่างพูดไม่ออก: “สุดยอด!”

“ชิ นี่มันจะมีอะไรล่ะ พวกเขาสองคนก็เป็นวัวแก่กินหญ้าอ่อน เมื่อก่อนโจวฉ่ายเวยคนนั้นทำอะไรบางทีก็มีน้อยคนนักที่รู้ แต่ฉันรู้!” จางฉองหยวนทำเสียงเหอะ แสดงถึงความไม่พอใจ ราวกับว่าผู้ชายจะมีความเกลียดชังต่อผู้หญิงที่นอกใจอย่างรุนแรง

“นี่มันก็เท่านั้น ซุนเย่าเหวินยังคงรักเธอมาก โจวฉ่ายเวยควรจะรู้สึกซาบซึ้งในพระคุณถึงจะถูกต้อง แต่แค่มองหน้า เธอก็บอกได้เลยว่าผู้หญิงคนนี้เจ้าเล่ห์มาก ไม่ใช่ผู้หญิงที่ซื่อสัตย์” จางฉองหยวนพูดวิเคราะห์ แม้คำจะหยาบคาย แต่ทุกคำก็มีเหตุผล

“แต่นี่กลับทำให้ฉันเปลี่ยนมุมมองแล้ว ไม่คิดเลยว่าโจวฉ่ายเวยจะกล้าสวมเขาให้ซุนเย่าเหวินจริงๆ เดาว่าหมอนั่นคงจะโกรธแทบตายเลยสินะ!” จางฉองหยวนทำเสียงเหอะ กลับมองฉินเฟยด้วยสายตาที่สับสน

“เป็นอะไร?” ฉินเฟยถามอย่างแปลกใจ

“ที่คุณบอกก็คือความลับนี้เหรอ? ไม่มีเรื่องอื่นแล้วเหรอ?” จางฉองหยวนกล่าว

ถ้าหากเป็นเช่นนี้ งั้นเขาก็ค่อนข้างเลื่อมใสในนิสัยของซุนเย่าเหวินบ้างแล้ว ยังไงซะแม้ว่าฉินเฟยจะช่วยเหลือเขา แต่เขาก็พูดออกมาว่าสุดจะทนแล้วเหมือนกัน เรื่องที่น่าอายแบบนี้ถูกรุ่นน้องพูดกัน ถ้าเป็นตัวเอง ท่าทีคงไม่ได้ดีมากนักหรอก ถึงแม้ว่าอยากจะรู้สึกซาบซึ้งกับฉินเฟย แต่ก็คงจะไม่ซาบซึ้งจากหัวใจหรอก

ยิ่งไม่เหมือนสิ่งที่ตัวเองเคยเห็นมาก่อนหน้านี้ ซุนเย่าเหวินจับมือของฉินเฟย เขาพูดอย่างสนิทสนมว่าเขาเป็นเพื่อนกับตัวเอง

ฉินเฟยมองไปที่นอกฉากกั้นอย่างลังเล ขยับเข้าไปใกล้ๆจางฉองหยวนเล็กน้อย กระซิบข้างหูเขาว่า: “ลูกชายของซุนเย่าเหวิน ไม่ใช่ลูกชายแท้ๆของเขา”

จางฉองหยวนได้ยินก็ตะลึง มองฉินเฟยด้วยความช็อกเล็กน้อย แต่ก็เพียงครู่เดียวเท่านั้น แล้วก็สงบลง

จางฉองหยวนคือสร้างตัวจากสองมือเปล่า และก็ล้างมลทินให้สะอาด ไม่ว่าฉากไหนก็ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย และตัวอย่างเช่นนี้ก็ไม่ใช่ว่าได้ยินเป็นครั้งแรก อีกอย่างเมื่อรวมเข้ากับสถานการณ์จริงของซุนเย่าเหวินและโจวฉ่ายเวย เรื่องแบบนี้ก็สมเหตุสมผลเช่นกัน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งซุนเย่าเหวิน ซุนเย่าเหวินมีปัญหาสุขภาพ เรื่องนี้มีหลายคนรู้ดี

“คำพูดเช่นนี้ คุณกลับคิดว่าเป็นการช่วยชีวิตซุนเย่าเหวินแล้ว” จางฉองหยวนพยักหน้ากล่าว

“ติ๊ง……” ในเวลานี้ มือถือของฉินเฟยได้รับข้อความหนึ่ง

สิ่งที่ซุนเย่าเหวินส่งมา เนื้อหามีเพียง 2 ประโยค: “ฉันจัดการเรื่องของบริษัทฉีแยไปแล้ว 8 โมงวันพรุ่งนี้ ทนายของฉันจะไปถึงบริษัทฉีแยเพื่อทำการส่งมอบ ให้เจียงเยว่ถงไปรอ ส่วนเรื่องที่พี่สามเย่าอู๋ไปก่อเรื่องที่ตระกูลเจียงฉันก็ได้ยินมาแล้ว เรื่องนี้ฉันจะไปหยุดมัน อีกอย่าง ฉันจะหาเวลาไปขอโทษแม่เฒ่าด้วยตัวเอง ไม่ต้องห่วง”

ฉินเฟยค่อยๆยิ้ม ซุนเย่าเหวินสมแล้วที่เป็นบุคคลสำคัญที่มีอำนาจล้นพ้นในเมืองซ่งไห่ ทำอะไรก็รอบคอบแถมยังเด็ดขาดอีกด้วย อีกทั้งพูดจาก็ทำให้คนรู้สึกสบายใจ รีบตอบกลับไปประโยคหนึ่งว่า: “ขอบคุณนะ พี่ซุนเหล่า”

ข้อความของซุนเย่าเหวินตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว: “เป็นสิ่งที่ควรทำทั้งนั้น มีเวลาว่างก็มาดื่มชาด้วยกัน”

ฉินเฟยตอบกลับไปว่า ‘ได้’จากนั้นก็เปิดข้อความแชทกับเจียงเยว่ถง เล่าว่าได้จัดการธุระทั้งหมดแล้ว เพียงแค่ตัวเองมีเรื่องนิดหน่อย ต้องกลับบ้านช้าหน่อย

ในเวลานี้ น้ำร้อนต้มสุกแล้ว จางหานหานใช้น้ำร้อนล้างชุดชงชาก่อน ชุดชงชาทุกชิ้นต่างก็ล้าง 3 รอบ และเคลื่อนไหวไปอย่างช้าๆไม่เร่งรีบ มองดูยุ่งยากน่าเบื่อ แต่มันทำให้ผู้คนรู้สึกเพลิดเพลิน

ชุดกระโปรงยาวโบราณสีเขียวมรกต เนื่องจากการเคลื่อนไหว ท่อนล่างของน่องสีขาวดุจหิมะใต้กระโปรงจึงถูกเปิดเผยเป็นครั้งคราว การเคลื่อนไหวที่สง่างาม มีเสน่ห์ของสาวศิลป์ชงชาโบราณ

จางฉองหยวนที่เป็นคนไม่มีการศึกษาก็ไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้ ยิ่งไม่เข้าใจในความเพลิดเพลินนี้ และทั้งสองตาของเขามองฉินเฟยเป็นครั้งเป็นคราว เห็นฉินเฟยมองไปที่สาวนักชงชา เห็นได้ชัดว่ามีความอ่อนโยนเล็กน้อย ในใจยิ่งแน่ใจ ว่าฉินเฟยรู้จักอีกฝ่ายดี

แต่สาวน้อยนักชงชาคนนี้ ไม่รู้จักฉินเฟยเลย

แต่หลังจากนั้นไม่นาน กลิ่นหอมแปลก ๆ ของชาที่มีกลิ่นของหญ้าก็ออกมาบางๆ และกระจายออกมา อบอวลไปด้วยกลิ่นชา

จางฉองหยวนสูดจมูก อดไม่ได้ที่จะมองฉินเฟย ไอ้หมอนี่กลับรู้จักที่จะเพลิดเพลินไปกับมัน

จางหานหานค่อยๆเทชาลงในถ้วยชา แต่จางฉองหยวนไม่รอยื่นมือไปรับ ก็เห็นจางหานหานเทใบชาในถ้วยชาทั้งหมดทิ้งไป ทันใดนั้นก็กลอกตามองบนอย่างจนใจ

จากนั้น จางหานหานก็ค่อยๆเทน้ำชาอีกครั้ง ชงอย่างช้าๆ และเทน้ำครั้งที่ สาม

จางฉองหยวนเห็นแล้วพูดไม่ออก ถ้าฉินเฟยไม่อยู่ที่นี่ เขาก็ไม่ทนจะยกโต๊ะแล้ว แค่ดื่มชาเท่านั้นเอง จะทำอะไรให้มากมายขนาดนี้!

จนกระทั่งครั้งที่ 4 จางหานหานยกมือเล็กๆของเธอขึ้น วางถ้วยชาสองถ้วยไว้ตรงหน้าจางฉองหยวนและฉินเฟยอย่างเคารพ ในขณะเดียวกันก็พูดด้วยน้ำเสียงนิ่มนวล: “เชิญดื่มค่ะ”

“ชานี้มีทั้งหมด 6 ถ้วย ชาเมาเป็นชาดอกไม้ชนิดหนึ่ง เป็นยาชูกำลังที่ดี ไม่ควรดื่มเยอะเกินไป” พูดจบ ก็ไม่พูดอะไรต่อ แล้วก็ทำถ้วยที่สองอย่างช้าๆไม่เร่งรีบ

“ตอนนี้ดื่มได้หรือยัง?” จางฉองหยวนยื่นมือ เงยหน้าถาม

“ใช่แล้ว” จางหานหานเม้มริมฝีปากเล็กน้อย ลักยิ้มเล็กๆตรงมุมปากนั้นสวยเป็นพิเศษ

เธอเป็นนักชงชามา 3 ปี ได้เจอกับคนที่ไม่เข้าใจพิธีชงชามามากมาย ผู้ชายคนที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ยังดี และคนที่ใจร้อนและไม่เข้าใจ มักจะชี้นิ้วกับพิธีชงชาของตัวเองอยู่บ่อยครั้ง รบกวนสมาธิ

ถ้าไม่ใช่เพื่อทำมาหากิน เธอก็คงไม่มาที่นี่หรอก

“มา ลองชิมดู” ฉินเฟยค่อยๆยื่นมือยกถ้วยน้ำชาขึ้นมา จิบๆเบาๆ ค่อยหรี่ตา สัมผัสถึงกลิ่นหอมของชา

จางฉองหยวนใช้มือใหญ่ของเขาคว้าชามใบเล็ก จ้องมองอย่างพิจารณาดูสักหน่อย ค่อยๆชิมคำเล็กๆ รู้สึกว่ารสชาติไม่เลว ก็กลืนลงไปทั้งอึก อึกๆๆ

อืม ไม่เลว!

“เป็นชาที่ดี ศิลปะการชงชาของสาวน้อยช่างลึกล้ำเหมือนอย่างที่คิด” จิบชาเล็กน้อย มีรสชาติที่ยังติดลิ้นฉินเฟย อดไม่ได้ที่จะพูด อดไม่ได้ที่จะนึกถึงตอนที่ตัวเองดื่มชากับคุณปู่

“ชานี้ดี คุณผู้ชายสั่งฉัน 4 ครั้ง ค่าทิปที่ให้ทุกครั้งเพียงพอมากๆ สาวน้อยจดจำไม่เคยลืมเลือน ไม่มีอะไรจะตอบแทน มีเพียงพิธีชงชา คุณผู้ชายอยากดื่มชาเมา สาวน้อยก็ต้องใส่ใจเป็นธรรมดา” จางหานหานเงยหน้ามองฉินเฟย และยิ้มเบาๆ

“คุณผู้หญิงความจำดี” ฉินเฟยยิ้มและพยักหน้า

จางฉองหยวนวางแก้วลง กลับตะลึง สั่งไป 4 ครั้งแล้วเหรอ?

มีอะไรแน่ๆ!

ผมเป็นเขย(ผู้ไม่ธรรมดา) บทที่ 58 ฉินเฟยมีชู้เหรอ? (2)
เจียงเยว่ถงไม่รู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างฉินเฟยกับจางฉองหยวนเลยด้วยซ้ำ เธอก็ต้องกังวลใจอยู่แล้ว

โดยเฉพาะคิดถึง เมื่อสักครู่ที่จางฉองหยวนพาผู้คนมากมายมาที่หมู่บ้านเทียนฝู

“งั้นขอให้ประธานจางรอสักครู่ ฉันจะขับรถไปส่งภรรยาที่บ้าน” ฉินเฟยริเริ่มเอ่ยปากพูด ฝีมือในการแสดงก็อินไปกับมัน

“ได้”

ทั้งสองคนขึ้นไปบนรถ เจียงเยว่ถงมองฉินเฟยที่นั่งอยู่เบาะคนขับ ดวงตาที่สวยงามฉายแววความกังวล และสับสนเล็กน้อย: “ทำไมเมื่อกี้จางฉองหยวนต้องเรียกคุณว่าคุณชายฉินด้วย?”

ฉินเฟยในตอนนี้ เธอค่อนข้างเดาไม่ออกเลยจริงๆ

“ง่ายมาก จางฉองหยวนไม่รู้ตัวตนของฉันเลยด้วยซ้ำ ยังไงซะเมื่อกี้เขาก็เห็นฉันกับจางฉองหยวนเดินกันใกล้ชิดขนาดนั้น และคิดว่าตัวตนของฉันไม่ธรรมดา” ฉินเฟยพูดวิเคราะห์อย่างจริงจัง

“อืม” เจียงเยว่ถงพยักหน้า ความกังวลบนใบหน้าไม่ลดลงเลยแม้แต่น้อย

บางทีคนอื่นอาจจะไม่รู้ แต่เธอกลับรู้ตัวตนที่แท้จริงของฉินเฟย ก็เป็นแค่เด็กบ้านนอกก็เท่านั้นเอง

แม้ว่าเป็นเช่นนี้ แต่เจียงเยว่ถงก็ไม่ได้ดูถูกเขาเลยแม้แต่น้อย โดยเฉพาะช่วงนี้ ฉินเฟยทำให้เธอรู้สึกหวั่นไหวมากเกินไป และก็รู้ว่าฉินเฟยไม่ได้เป็นคนที่มุทะลุบุ่มบ่าม เขามีขอบเขตของตัวเอง

แม้แต่เจียงเยว่ถงเองก็ไม่รู้ ไม่รู้ตัวเลย ฉินเฟยที่อยู่ในใจของเธอ มีการเปลี่ยนแปลงไปมาก

แต่ไม่ว่าจะพูดยังไง ธาตุแท้เบื้องหลังของฉินเฟยไม่ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง เขายังคงเป็นเด็กบ้านนอก ลูกเขยของตระกูลเจียงตระกูลชั้นรอง แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ เขาจัดการกับตระกูลยักษ์ใหญ่ของซ่งไห่อย่างกล้าหาญ เพื่อตระกูลเจียง เพื่อพ่อของตัวเอง แต่เรียกได้ว่าทุกย่างก้าวอยู่บนเส้นเชือก ก้าวพลาดเพียงก้าวเดียว ก็จะดิ่งลงเหว

เจียงเยว่ถงรู้สึกประทับใจอย่างยิ่ง และมองฉินเฟยพูดอย่างจริงจัง: “คุณเพิ่งมาอยู่ในสังคมได้ไม่นาน อย่าคิดว่าคนอื่นดีเเกินไป จะต้องระวังไว้ในทุกเรื่อง!”

ได้ยินคำพูดนี้ ภายในใจของฉินเฟยก็รู้สึกอยากจะขำ ภรรยาของตัวเอง ยังคงน่ารักแบบซื่อๆ และก็หลอกง่ายเกินไป

“ฉันรู้ คุณไม่ต้องห่วง ไม่มีอะไรหรอก” ฉินเฟยจริงจังกับความปลอดภัย

“จัดการเสร็จก็รีบส่งข้อความมาหาฉันสักหน่อย ฉันก็จะได้วางใจ” เจียงเยว่ถงพูดจบ ใบหน้าแดงเล็กน้อย และก็ทำเสียงเหอะ: “ฉันยังมีคำถามอีกเยอะที่จะถามคุณ!”

“รู้แล้ว”

มองรถอาวดี้ของเจียงเย่วถงจากไป ฉินเฟยจึงหันหลังมา สีหน้าจำใจเล็กน้อย: “ฉันว่านะพี่จาง คุณเล่นใหญ่เกินไปหน่อยไหม? ภรรยาของฉันเป็นผู้หญิงนะ อย่าทำให้เธอตกใจสิ!”

“ฉันกังวลว่าซุนเย่าเหวินคนเจ้าเล่ห์คนนั้นจะมาทำท่าทำทางดัดจริตและพูดจาหาความจริงไม่ได้กับฉันไม่ใช่ไง? ถ้านายเกิดอันตรายอะไรขึ้นมา พวกพ้องของฉันเหล่านี้จะได้ช่วยนายได้ทันเวลาไง” จางฉองหยวนอธิบายด้วยรอยยิ้ม และมองไปที่ฉินเฟย

ฉินเฟยในวันนี้ ไม่ใช่ลูกชายคนโตวัย 16-17 ปีอย่างตอนนั้นแล้ว วันนี้เขาถอดความเป็นเด็กน้อยออกไปหมดแล้ว มีกิริยาท่าทางของผู้ชายแล้ว

“ให้พวกพ้องกลับไปเถอะ เราไปหาที่ดื่มชากันสักหน่อย?” ฉินเฟยรู้สึกตื้นตันใจ และกล่าว

ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในคืนนี้อันตรายมาก ในเวลานี้ผ่อนคลายลง เขาต้องการหาสถานที่เพื่อผ่อนคลายสักหน่อยจริงๆ อีกอย่างเวลาตอนนี้ก็ยังเร็วเกินไป ยังไม่ถึง สามทุ่มเลย

“ได้ ฉันมีที่หนึ่งอยู่พอดี” จางฉองหยวนรีบออกคำสั่งกับคนที่อยู่ข้างหลัง ให้พาฉินเฟยเข้าไปในรถเบนซ์

“ไปร้านน้ำชาซินเยว่แล้วกัน” ฉินเฟยกล่าว

ตั้งแต่ครั้งที่แล้ว ตัวเองก็ไม่ได้ดื่มชามาเกือบครึ่งเดือนแล้ว

จางฉองหยวนตะลึงเล็กน้อย พยักหน้าแล้วพูดว่า: “ได้”

……

ตั้งแต่ครั้งแรกหลังจากที่มาคุยกับจางจงเยว่ที่ร้านน้ำชาซินเยว่ ฉินเฟยก็หลงรักที่นี่เข้าแล้ว

ร้านน้ำชาซินเยว่มีอายุเก่าแก่กว่าโรงแรมเทียนเซียงของจางฉองหยวน ว่ากันว่าเมื่อ 50 กว่าปีก่อน ร้านน้ำชาซินเยว่ค่อนข้างมีชื่อเสียง พ่อค้าข้าราชการต่างก็ชอบมาดื่มชานั่งพูดคุยธุระต่างๆ ต่อมาหลังจากที่สร้างใหม่อยู่สองสามครั้ง ก็มีโรงแรมขนาดใหญ่หลายแห่งในหมู่บ้านเทียนฝูปรากฎมากมาย แต่ชื่อเสียงของร้านน้ำชาซินเยว่ยังคงไม่ลดลงเลย

ที่จริงแล้วคนมากมายไปที่โรงแรมไม่ใช่เพื่อไปกินข้าว เพียงแค่กินไปคุยไป สิ่งที่สำคัญคือไปคุยธุระกัน ดังนั้นเถ้าแก่หลายคนไม่อยากมาทานของ จึงมาร้านน้ำชาซินเยว่เพื่อดื่มน้ำชาและคุยธุระกัน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนรุ่นก่อน พวกเขาต่างก็คุ้นชินกันแล้ว และก็ชอบมาดื่มชาที่นี่อีกด้วย

ร้านน้ำชาซินเยว่มีเจ้าของเป็นตระกูลซู ตระกูลซูเป็นตระกูลที่ร่ำรวยในซ่งไห่ หนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ที่ร่ำรวย อีกอย่างเป็นตระกูลเก่าแก่ที่มีที่มาที่ไปอย่างลึกซึ้งที่สุด ว่ากันว่าบรรพบุรุษของพวกเขาสามารถสืบย้อนไปถึงราชวงศ์ถังเมื่อกว่า 1,300 ปีที่แล้ว

ร้านน้ำชาซินเยว่ตรงหน้าได้ก่อสร้างขึ้นมาใหม่เมื่อ 6 ปีก่อน ไม่ใหญ่ มีเพียง 3 ชั้นเท่านั้น การตกแต่งก็เป็นบรรยากาศเจียงหนานที่คลาสสิกอย่างยิ่ง ทำเลที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำใจกลางเมือง ซึ่งไม่เข้ากันกับตึกสูงระฟ้ามากมายโดยรอบ กลับมีความโดดเด่นเหนือใคร

ผู้จัดการล็อบบี้ชื่อซูเซิ่ง เป็นหลานของเจ้าของ แสดงว่าต้องรู้จักจางฉองหยวนแน่นอน ทันทีที่ทั้งสองพบกัน พวกเขาคุยกันอย่างกระตือรือร้น และหลังจากที่รู้ว่าฉินเฟยเป็นเพื่อนสนิทของจางฉองหยวน ก็กระตือรือร้นกับฉินเฟยเป็นอย่างยิ่ง

ฉินเฟยเคยมาเพียงแค่สามครั้งเท่านั้น ซูเซิ่งก็ไม่รู้จักอยู่แล้ว

ฉินเฟยทักทายซูเซิ่ง และยืนพูดอยู่หน้าเคาน์เตอร์ว่า: “ฉันกับลุงจางก็ไม่เข้าใจศิลปะการชงชา ดังนั้นเลือกนักชงชาสักคนเถอะ”

“เชิญครับ แม้ว่านักชงชาของเราจะไม่ได้มีการยอมรับกันภายใน แต่ก็ผ่านการตรวจสอบที่เข้มงวดแล้ว ศิลปะการชงชานั้นงดงามมาก” ซูเซิ่งกล่าวด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า

ฉินเฟยยิ้มและพยักหน้า มองดูป้ายนักดนตรีและนักชงชาหลายคนด้านบน ยิ้มเบาๆ: “จางหานหาละกัน”

“เพื่อนฉินคนนี้ตาถึง ศิลปะการชงชาของจางหานหานนั้นสูงสุดในบรรดา นักชงชาของเราเลย” ซูเซิ่งยิ้มและกล่าว

“งั้นก็ขอเลือกนักดนตรีสักสองคนละกัน”

“คุณฉินเป็นผู้สูงส่งงดงามจริงๆ”

จางฉองหยวนยืนอยู่ข้างๆก็หัวเราะเหอะๆ วันนี้คุณชายฉินดูเหมือนว่ามีอารมณ์สุนทรีย์มากๆ

ร้านน้ำชาซินเยว่ยังมีสไตล์รูปแบบโบราณอยู่หลายที่ ดื่มชาในร้านน้ำชา ยังมีนักดนตรีและนักชงชาอีกด้วย

แน่นอนว่าซูเซิ่งได้อธิบายไปแล้ว นักดนตรีและนักชงชาเหล่านี้ไม่ได้เป็นของร้านน้ำชาซินเยว่เลย ถือว่าได้ส่งไปร้านน้ำชาซินเยว่เพื่อทำมาหากิน เถ้าแก่บางคนมาดื่มน้ำชา ก็จะเลือกพวกเธอด้วย และเงินที่พวกเขาทำรายได้ก็แบ่งกันกับร้านน้ำชาซินเยว่ 20% และ80% ร้านน้ำชาซินเยว่ต้องการเพียง 20% ถือว่าเป็นค่าชื่อเสียง

ร้านน้ำชาซินเยว่เอาไปไม่มาก และก็ไม่ได้เอากำไรจากพวกเขา สาเหตุที่ให้พวกเขาพึ่งพาอาศัย ก็ถือว่าเพิ่มรายการบันเทิงให้กับร้านน้ำชาอีกหนึ่งรายการ

ขณะที่ฉินเฟยและจางฉองหยวนขึ้นไปชั้นบน นักดนตรีสองคนและนักชงชาคนนั้นที่ชื่อจางหานหานมารออยู่หน้าโรงน้ำชาแล้ว นักดนตรีสองคน คนหนึ่งถือพิณ คนหนึ่งถือขิมโบราณ เธอยังสวมชุดสตรีเจียงหนานโบราณอีกด้วย รูปร่างหน้าตาธรรมดา แต่เพราะชุดที่พิเศษ จึงทำให้มีเสน่ห์มาก

จางฉองหยวนแค่มองไปที่ จางหานหานที่ก่อนหน้านี้เหมือนว่าฉินเฟยจะให้ความสนใจ จางหานหาน ไม่ค่อยสูง เธอสูงประมาณ 160 เซนติเมตร ชุดกระโปรงสีเขียวมรกต ยิ่งดูบอบบาง เพียงแต่ว่าเครื่องสำอางบนใบหน้าหนาไปหน่อย แต่จินตนาการได้ไม่ยากเลย ถ้าหากว่าล้างเครื่องสำอางหนาๆออก จางหานหานคนนี้น่าจะสวยกว่าแต่งหน้าเสียอีก

จางฉองหยวนมองฉินเฟยอย่างสับสน กลับเห็นฉินเฟยมองจานหานหานเพียงเสี้ยววินาทีแล้วก็มองไปทางอื่น ราวกับว่าดูคนแปลกหน้า

แต่ว่า จางฉองหยวนสับสนอยู่ในใจ ไม่รู้ว่าฉินเฟยรู้สึกนักชงชาคนนี้ที่ชื่อจางหานหานอยู่ก่อนแล้วหรือเปล่า

ถ้าหากจำไม่ผิด ครั้งก่อนตอนที่เขามาดื่มชากับฉินเฟย นักชงชาที่ฉินเฟยเลือกมาก็คือจางหานหานคนนี้

เขาจำชื่อคนนี้ไม่ได้ กลับมีความทรงจำบางอย่างเกี่ยวกับหญิงสาวคนนี้ เพราะว่าตอนนั้นฉินเฟยได้เลือกจางหานหาน กลับไม่ได้ให้เธอแสดงการชงชาให้ดู แต่ให้ยืนรออยู่หน้าประตู หลังจากที่รอพวกเขาคุยธุระกันเสร็จ ฉินเฟยก็ทิปให้สาวคนนี้ไม่น้อยเลย

สิ่งที่สำคัญที่สุด คือจางเฉิงหยวนเป็นคนจ่ายเงินให้!

“เข้ามาเถอะ” ฉินเฟยยิ้มและกล่าว

“ค่ะ”

นักดนตรี 2 คนโอบเครื่องดนตรี แต่เพราะจางหานหานมาตรงหน้าสุดเพราะเป็นนักชงชา จางฉองหยวนมองจางหานหานอย่างมองบ้างไม่มองบ้างและเลิกคิ้วอีกครั้ง

ผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดา!

แม้ว่าในระหว่างนั้นจางหานหานไม่ได้พูดอะไรเลยสักคำ ถึงขั้นที่ว่าไม่รู้จักฉินเฟยเลยจริงๆ แต่เดินไปเพียงสองก้าว จางฉองหยวนก็สังเกตเห็นความแตกต่างของผู้หญิงคนนี้ มีความเป็นกุลสตรีในทุกอิริยาบถ ท่าทางเป็นธรรมชาติ แค่มองก็ไม่ได้มาจากครอบครัวธรรมดาทั่วไป

ไม่แปลกใจเลยที่ก่อนหน้านี้ซูเฉิงบอกว่าฉินเฟยตาถึง!

คนสองสามคนเข้ามาในโรงน้ำชา มีสองห้องทั้งภายในและภายนอก ตรงกลางเป็นฉากกั้น ซึ่งเป็นภาพวาดหมึกสาดของหมู่บ้านริมน้ำเจียงหนาน เป็นโรงน้ำชาเล็กๆที่ประณีต มีกลิ่นอายความเป็นโบราณทั่วทุกที่

“ก็ 《เขาสูงน้ำไหล》แล้วกัน?” ฉินเฟยมองนักดนตรีทั้งสอง

“ได้” ผู้หญิงสองคนโค้งคำนับเล็กน้อย และนั่งอยู่ด้านนอกฉากกั้น

เดินไปในห้องด้านหลังฉากกั้น ห้องด้านในของโรงน้ำชา เป็นห้องชงชาขนาดเล็กที่ประณีต มีหยกนานาชนิดอยู่ในนั้น ชุดชาดินจื่อซาทุกอย่างมีพร้อมเสร็จสรรพ ศิลปะชงชาที่แท้จริงคือการดื่มชาอะไร ใช้ชุดชาพิเศษอะไร และอุณหภูมิของน้ำก็มีความเฉพาะเจาะจงด้วยเช่นกัน

ชาที่ใช้คือน้ำร้อนประมาณ 75 องศา และน้ำมันของชาต้องใช้น้ำร้อนเดือดในการชง และจะดื่มชาอะไร ก็ยังมีชุดน้ำชาพิเศษ เช่นเดียวกับแก้วเรืองแสงสำหรับไวน์องุ่นรสเลิศ

ในตอนนั้น คุณปู่ฉินฮ่าวก็ชอบเล่นอะไรทำนองนี้ ฉินเฟยรู้สึกว่าขั้นตอนมันซับซ้อนจริงๆ เพียงแค่มีความเข้าใจเล็กน้อย ส่วนจางฉองหยวนคนที่ไม่มีการศึกษาคนนี้ ก็ยิ่งไม่เข้าใจไปอีก

ฉินเฟยและจางฉองหยวนถอดรองเท้าหนังทั้งหมด คุกเข่าต่อหน้าโต๊ะน้ำชาที่ประณีต แล้วหันหน้าไปพูดกับจางหานหานที่ยืนอยู่ข้างๆอย่างสงบว่า: “เชิญ”

จางหานหานพยักหน้าเบาๆ ไม่พูดไม่จาเลยตั้งแต่แรก ก้มตัวเพื่อถอดรองเท้า เป็นรองเท้าผ้าพื้นนิ่มสีเขียวมรกตเหมือนกัน ฝีมือประณีตมาก เรียวเท้าเล็กกะทัดรัดสวยงามคู่หนึ่งผ่านตาไปอย่างรวดเร็ว

อากัปกิริยาที่งดงามของจางหานหานที่อยู่ตรงหน้าโต๊ะชา เรียวเท้าของเธอที่ห่อด้วยถุงน่องผ้าไหมถูกซ่อนไว้ในกระโปรงของเธอ และเอวบางที่ยืดตรงของเธอ ท่าทางที่สงบ มองดูที่ฉินเฟยและจางฉองหยวน: “ไม่ทราบว่าคุณผู้ชายทั้งสองท่าน อยากดื่มชาอะไรคะ?”

“ฉันก็ไม่เข้าใจ คุณเลือกเถอะ” จางฉองหยวนกล่าว มักจะรู้สึกว่าการคุกเข่ามันทำให้รู้สึกไม่ค่อยสบายสักเท่าไหร่ นั่งไขว่ห้างไปเลย เขาหยิบบุหรี่ออกมาจุดไฟ ท่าทางของเขาดูไม่เหมือนกำลังดื่มชาเลย

ฉินเฟยกลอกตามองบน ลังเลครู่หนึ่งและพูดว่า: “ฉันได้ยินคุณปู่เคยพูดว่า มีชาชนิดหนึ่ง เรียกว่าชาเมา หลังจากดื่มชาก็เหมือนกับเมาเหล้า รู้สึกแค่ตัวเบาเหมือนขนนก แต่ก็ไม่ได้เมา ไม่ทราบว่านักชงชาท่านนี้จะรู้จักชาชนิดนี้หรือเปล่า?”

เมื่อได้ยินคำว่า ‘ชาเมา’ ร่างกายบอบบางของจางหานหานก็สั่นเทาเล็กน้อย พยักหน้ากล่าว: “คุณต้องรอ 15 นาที”

“เชิญ” ฉินเฟยยิ้มค่อยๆยิ้ม

ผมเป็นเขย(ผู้ไม่ธรรมดา) บทที่ 57 ฉินเฟยมีชู้เหรอ? (1)
เมื่อเห็นจางฉองหยวนจากไป ฉินเฟยก็รู้สึกโล่งอกแล้ว

เหมือนกับว่าซุนเย่าเหวินสังเกตเห็นว่ามันผิดปกติ ยังไงแล้วการมาครั้งนี้ของจางฉองหยวนนั้นเหลือเชื่อเกินไป แต่เขาไม่เคยคิดเลยว่า ที่จริงแล้วจางฉองหยวนรีบมาก็เพื่อที่จะมาช่วยตัวเอง

ส่วนเจียงเยว่ถงหญิงบื้อคนนี้ ถูกปิดหูปิดตาโดยสมบูรณ์

“เถ้าแก่ซุน งั้นผมขอตัวก่อนนะ ขอให้คุณโชคดี” ฉินเฟยพูดกับซุนเย่าเหวินหนึ่งประโยคแล้วก็เดินจากไป

ซุนเย่าเหวินกลับดึงมือของฉินเฟยไว้ จะดึงฉินเฟยเข้ามาใกล้ๆ ทั้งสองคนเอาหัวเข้าใกล้กันแล้วพูดคุยกัน ความรู้สึกแบบนั้นเหมือนว่ามีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดา

“ฉันหวังว่านายไม่โกหกฉัน นายรู้ผลลัพธ์ของการโกหกฉันดี!” ซุนเย่าเหวินพูดกระซิบ คืนนี้เขาเจอเรื่องดีและเรื่องร้ายมากมายเหลือเกิน

อารมณ์แปรปรวนมากเกินไป ซุนเย่าเหวินกลัวว่าฉินเฟยจะโกหกเขาจริงๆ

“ถ้าหากสิ่งที่ผมพูดเป็นความจริงล่ะ?” ฉินเฟยยิ้มและย้อนถาม

“งั้นนายก็เป็นพี่น้องร่วมสาบานของฉัน สนิทยิ่งกว่าสามวีรบุรุษสาบานในสวนท้อซะอีก!” ซุนเย่าเหวินพูดอย่างจริงจัง

“แฮ่ม!” ฉินเฟยทำเสียงกระแอม พูดอย่างจำใจว่า: “หากนับญาติกัน เยว่ถงต้องเรียกคุณว่าลุง ผมก็ควรเรียกคุณว่าลุงด้วยเช่นกัน..”

“แล้วยังไงล่ะ นายมีพระคุณกับฉัน ต่างคนต่างเรียกในแบบของตัวเอง” ซุนเย่าเหวินส่ายหน้า มองฉินเฟยอย่างจริงจัง: “น้องชายนายจำไว้ พระคุณส่วนนี้ ฉันซุนเย่าเหวินจะไม่ลืมไปตลอดชีวิต จะต้องตอบแทน!”

พูดจบก็ไม่รอให้ฉินเฟยตอบกลับ จึงรีบก้าวเดินไปชั้นบน

เพิ่งมาถึงมุมบันได มือถือของเขาก็ดังขึ้นอีกครั้ง

คนที่โทรมาคือสวีเม่าเซิ่ง เขาเป็นเพื่อนมาหลายปีแล้ว และวันนี้เขาเป็นผู้ช่วยที่มีความสามารถที่ลู่เจี้ยน กรุ๊ป เมื่อก่อนเขากำชับสวีเม่าเซิ่งให้ทำบางอย่าง

“เสร็จสิ้นแล้วเหรอ?”

“พี่ใหญ่ ทุกอย่างเสร็จสิ้นไปตามที่คุณกำชับแล้ว โจวต้าเฉียง รวมถึงจ้าวอิง หลี่ปางเฉิง ต่งจื้อ ที่ติดตามเขาอย่างใกล้ชิดในบริษัท

พวกเขาต่างก็ถูกพาตัวไปที่ห้องใต้ดินของวิลล่าในเขตชานเมืองทางตอนเหนือ นอกจากนี้ผมยัง……กักตัวบอดี้การ์ดนับสิบคนที่คุณหญิงฝึกฝนด้วย ต่อไปจะทำยังไงต่อดี?” สวีเม่าเซิ่งกล่าว

สวีเจิ้งเม่าอยู่ในระดับอาวุโสของลู่เจี้ยน อยู่กับซุนเย่าเหวินมา 30 กว่าปีแล้ว เมื่อมีคนเขาก็จะเรียกซุนเย่าเหวินว่าประธาน แต่เมื่ออยู่ด้วยกันเป็นการส่วนตัว พวกเขาต่างก็ชอบเรียกกันว่าพี่ใหญ่

“ทำได้ดี กักตัวไว้ก่อน รอให้ฉันกลับไปจัดการ เตรียมเบียร์กับกับแกล้มไว้ด้วย กลับไปดื่มกับพวกพ้อง ฮ่าๆ ตามนี้นะ……”

ทางปลายสายโทรศัพท์ของอีกฝั่ง สวีเจิ้งเม่าจ้องมองที่โทรศัพท์ที่ถูกวางสายด้วยเสียง ‘ตื๊ดๆ’ อย่างตะลึงเล็กน้อย รู้สึกสับสนเล็กน้อยอยู่ครู่หนึ่ง

ในฐานะที่เป็นผู้ช่วยมากความสามารถของซุนเย่าเหวิน แน่นอนว่าเขารู้เรื่องราวค่อนข้างมาก อีกทั้งเมื่อก่อนเขายังพอรู้อะไรบางอย่างจากการคุยโทรศัพท์ของพี่ใหญ่

คุณหญิงโจวฉ่ายเวยสวมเขาให้พี่ใหญ่ และคุณชายน้อยก็มีโอกาสเป็นไปได้สูงที่จะไม่ใช่ลูกชายแท้ๆของพี่ใหญ่!

เรื่องนี้ทำร้ายพี่ใหญ่มากแค่ไหน สวีเจิ้งเม่ารู้ดีแน่นอนและจากน้ำเสียงของพี่ใหญ่ทางโทรศัพท์ก็สามารถรู้สึกได้ว่าตอนนั้นเขาอารมณ์ไม่ดีเอามากๆ

แต่ตอนนี้เกิดอะไรขึ้น? เหมือนว่ายังรู้สึกเร้าใจเล็กน้อยเหรอ? ถึงขั้นที่ว่า……ตื่นเต้น?

สวีเจิ้งเม่าเดาไม่ออกจริงๆ

……

ภายในภัตตาคาร ฉินเฟยไม่สนใจสายตาคนรอบข้าง เขามองไปยังเจียงเยว่ถงที่กำลังมองตัวเองด้วยความตื่นเต้น ยิ้มเล็กน้อย คิดไปเองว่าหล่อและทำมือท่าทาง ‘ok’

แต่ว่า สิ่งที่ต้อนรับเขา กลับกลายเป็นความเย็นชาของเจียงเยว่ถง

เจียงเยว่ถงลุกขึ้นยืนด้วยใบหน้าที่เย็นชา เดินข้ามฉินเฟยและเข้าไปตรงทางเข้าห้องน้ำของภัตตาคาร

ฉินเฟยตกตะลึง สีหน้างงงวย กลับรีบตามเข้าไป

หรือว่า เมื่อสักครู่ตอนที่ตัวเองกับซุนเย่าเหวินเข้าไปในห้องวีไอพี จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นงั้นเหรอ?

ตอนที่เจียงเยว่ถงเดินเข้าไปที่อ่างล่างหน้าส่วนรวม ฉินเฟยรีบก้าวสองก้าวตามเข้าไปอย่างรวดเร็ว และดึงแขนของเจียงเยว่ถงไว้: “คุณเป็นอะไรไป?”

“คุณว่าฉันเป็นอะไรล่ะ?” เจียงเยว่ถงสะบัดมือของฉินเฟยออกด้วยความโมโห สายตาโกรธเคืองจ้องมองเขา: “วันนี้คุณทำบ้าอะไรลงไปกันแน่? คุณเกือบจะทำให้ฉันตกใจกลัวแทบแย่ คุณรู้หรือเปล่า?”

เจียงเยว่ถงอารมณ์เสีย เสียงเปลี่ยนไปเล็กน้อย ถึงขั้นที่ว่าโกรธจัดแทบทนไม่ไหว กำหมัดแน่น กระแทกที่ไหล่เขาอย่างรุนแรง

มองดูสีหน้าของเจียงเยว่ถงที่โมโห ร่างกายของฉินเฟยสั่นสะท้าน ความอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วร่างกายในทันที แม้จะเป็นกำปั้นที่รุนแรงของเจียงเยว่ถง กลับทำให้เจ็บแค่กาย แต่อบอุ่นในหัวใจ

ฉินเฟยก็ไม่รู้ว่าคิดยังไง ยิ่งไม่รู้ว่าเป็นความกล้าหาญมาจากไหน คว้ากำปั้นที่แน่นจากมือเล็กๆของเจียงเยว่ถง ดึงมาอย่างกะทันหัน ทำให้เจียงเยว่ถงเข้าไปอยู่ในอ้อมกอด

“อ๊ะ!”

เจียงเยว่ถงร้องขึ้นมาเบาๆ เห็นได้ชัดว่าคิดไม่ถึงว่าฉินเฟยจะทำเช่นนี้ ร่างกายที่บอบบางสั่นไปด้วย ดิ้นรนด้วยสัญชาตญาณ

แต่หลังจากดิ้นรนได้ไม่นาน เธอก็ยอมแพ้ ให้แขนที่แข็งแรงของฉินเฟย โอบเธอไว้ในอ้อมแขนอันอบอุ่น

คืนนี้ฉินเฟยก็เหงื่อออกเช่นกัน ในตอนนี้หลังแขนของเขาก็เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ และหลังจากตึงเครียดมาเป็นเวลานาน ก็ต้องการบางสิ่งเพื่อมาปลดปล่อยความอัดอั้นตันใจเช่นนี้ ราวกับว่าควบคุมตัวเองไม่ได้……

แต่ว่า ตอนที่เขากอดเจียงเยว่ถง เขาก็รู้สึกเสียใจทีหลังแล้ว!

นี่คือเจียงเยว่ถงนะ เป็นเทพธิดาแห่งภูเขาน้ำแข็งที่เขาหมายปองในใจ เป็นภรรยาเทพธิดาที่สูงส่งจนไม่อาจล่วงเกินได้แม้แต่น้อย

แต่ต่อมาฉากเจียงเยว่ถงเตะและตบเขา ไม่ได้ปรากฏให้เห็น และในไม่ช้าเธอก็สงบลง ใบหน้าสวยติดอยู่ที่หน้าอกของเขา ราวกับว่า……ยังเพลิดเพลินมากๆ?

ที่จริงแล้วเจียงเยว่ถงก็ไม่ได้คิดมากเกินไป เธอกังวลกระวนกระวายทั้งคืน อ้อมกอดเช่นนี้ เธอก็ไม่ได้ต่อต้าน อ้อมกอดอันแสนอบอุ่นเช่นนี้ ก็ทำให้หัวใจของเธอที่ตึงเครียดมาโดยตลอด ค่อยๆผ่อนคลายลง……

ในเวลานี้อารมณ์ของฉินเฟยค่อยๆผ่อนคลายลง และแทนที่ด้วยความรู้สึกหนึ่งที่อธิบายออกมาไม่ได้ อย่างที่รู้กัน ตอนนี้คนที่ยอมถูกเขากอดในอ้อมแขนแต่โดยดี ก็คือเจียงเยว่ถงภรรยาเทพธิดา

เรื่องเช่นนี้ เขาไม่กล้าแม้แต่จะนึกจะฝันถึงสิ่งนั้น

ฉินเฟยตื่นเต้นมาก ก็กลัวว่าจะทำให้เจียงเยว่ถงรู้สึกเอือมระอา เพียงแค่กอดเธอไว้ไม่กล้าขยับ แต่สัมผัสได้ถึงร่างกายบอบบางอันอ่อนนุ่มในอ้อมแขน ฉินเฟยตื่นเต้นไปทั้งตัว

จนกระทั่งเจียงเยว่ถงตำหนิด้วยเสียงที่ค่อนข้างเขินอายเล็กน้อย: “รีบปล่อยฉันสิ ที่นี่เป็นห้องน้ำสาธารณะนะ!”

“อ๋อๆ” ฉินเฟยกล้าขัดใจที่ไหนกัน เขารีบปล่อยเจียงเยว่ถง

เจียงเยว่ถงเหลือบมองไปตรงหน้าอย่างไม่สบอารมณ์ ฉินเฟยที่รู้สึกตื่นเต้นและเก้ๆกังๆ เมื่อกี้ฉินเฟยเพียงแค่กอดตัวเองอย่างตื่นเต้น และก็ไม่ได้ทำอย่างอื่น เจียงเย่วถงก็ไม่ได้รู้สึกหงุดหงิดใจ

ยิ่งไปกว่านั้น ฉินเฟยเสี่ยงอันตรายมากขนาดนี้ ทั้งหมดนี้ก็เป็นเพราะพ่อและตระกูลเจียง

ภายในใจของเธอนอกจากมีความประทับใจ ก็ยังมีความสับสนมากขึ้นอีกด้วย

หลังจากที่ฉินเฟยเดินเข้ามาในห้องวีไอพีกับซุนเย่าเหวิน เธอก็ไม่ได้ละสายตาไปจากประตูห้องวีไอพีเลย เมื่อสักครู่ก็เห็นทุกอย่างหลังจากที่สองคนออกมาจากห้องวีไอพี ทั้งสองจับมือกัน ความสนิทสนมเหมือนพี่น้องที่พลัดพรากจากกันหลายปี……

เจียงเยว่ถงคิดไม่ออกจริงๆ ว่าฉินเฟยทำได้อย่างไรกันแน่

แต่ไม่รอให้เขาถาม ฉินเฟยก็พูดโพล่งขึ้นมาว่า: “ฉันขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อน เกือบจะฉี่ราดแล้ว”

จางหยู่ถงใบหน้าแข็งทื่อ

เกือบหัวเราะออกมาทั้งที่โมโห กลอกตามองบนไปที่ฉินเฟย

ตกใจจนฉี่ราดเหรอ? คิดว่าตัวเองตาบอดจริงเหรอ? เหมือนว่าเรื่องที่เกิดตั้งแต่ต้นจนจบ พัฒนาไปตามสคริปต์ในหัวของหมอนี้สินะ?

เห็นได้ชัดว่าไม่อยากคุยด้วย!

แต่ว่า ไม่คิดว่าฉินเฟยจะโก่งตัวเข้าไปในห้องน้ำ ท่าทางแปลกมาก!

เจียงเยว่ถงมองดูสับสน จู่ๆ ก็นึกอะไรบางอย่างออก ใบหน้าสวยแดงระเรื่อขึ้นมาทันใด สาปแช่งในใจไม่หยุด ไอ้บ้าคนนี้ เพียงแค่มากอดตัวเองก็เท่านั้น ก็มีความรู้สึกแล้วเหรอ?

คนอันธพาล !

……

ทั้งสองเดินเคียงข้างกันออกจากโรงแรมเทียนฝูจู เทียบกับความหนักหน่วงก่อนหน้านี้ ในตอนนี้เจียงเยว่ถงรู้สึกผ่อนคลายขึ้น

ฉินเฟยก็ถอนหายใจ แต่ไม่เพียงแค่แก้ปัญหาสถานการณ์ในปัจจุบันของสองตระกูลเจียงและซุน แต่วันนี้เปิดเผยตัวเองมากเกินไปแล้วจริงๆ และเมื่อตัวตนของตัวเองถูกเปิดเผยทั้งหมด เรื่องหลังจากนี้ ก็ไม่มีใครคาดคิดแล้ว

“ตึงๆ——“

ทั้งสองคนเดินมาถึงข้างๆรถ จากนั้นไม่นานก็ได้ยินเสียงปิดประตูเป็นชุดๆดังขึ้น ฉินเฟยมองไปตามเสียง เห็นรถเบนซ์คันใหญ่นำอยู่ไม่ไกล หลังจากนั้นมีคนยืนอยู่มากมายข้างๆรถตู้จินเปยกว่า 10 คัน

คนที่ยืนอยู่ด้านหน้า ก็คือจางฉองหยวนที่จากไปนั่นเอง

เห็นได้ชัดว่า เขายังไม่ค่อยวางใจเกี่ยวกับความปลอดภัยของฉินเฟย อีกอย่าง เหมือนว่ามีบางอย่างจะคุยกับฉินเฟยด้วย

เมื่อเห็นฉากนี้ ร่างอันบอบบางของเจียงเยว่ถงก็เกร็งขึ้น มือเล็กๆอดไม่ได้ที่จะจับแขนฉินเฟยไว้ ใบหน้าที่ผ่อนคลายกลายเป็นจริงจังและตึงเครียดในทันที

เจียงเยว่ถงไม่ใช่มือใหม่ที่เพิ่งก้าวเข้าสู่สังคม เธอรู้จักใบหน้าของผู้หลักผู้ใหญ่เหล่านั้นเป็นอย่างดี ภายนอกเป็นอย่างหนึ่ง ลับหลังก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง นี่เป็นวิธีที่พวกเขาใช้จนเคยชิน

เดาว่า ซุนเย่าเหวินให้จางฉองหยวนมาสกัดพวกเขาไว้!

“ไม่ต้องกังวล ไม่เป็นไร” ฉินเฟยปลอบใจเจียงเยว่ถงไปประโยคหนึ่ง ชำเลืองมองจางฉองหยวนอย่างหมดคำพูดเล็กน้อย

เวรเอ๊ย 1 คืน 2 รอบ สิ่งนี้กำลังจะทำให้ภรรยาของเขาตกใจแทบตายเลยงั้นเหรอ?

“คุณชายฉิน เหอะๆ ขอโทษสำหรับเรื่องก่อนหน้านี้ ฉันเหล่าจางเสียมารยาทแล้ว” จางฉองหย่วนเดินไปพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า ริเริ่มที่จะยื่นมือออกมาแต่ไกล

ความรู้สึกแบบนั้น เหมือนว่าทั้งสองคนเพิ่งรู้จักกันเป็นครั้งแรกเลย

ฉินเฟยฝืนยิ้มอยู่ในใจ จางฉองหยวนคือคณะศิลปะการแสดงแน่นอน ไม่ได้ไปเป็นนักแสดงของว่านเซียง มูวี ของตัวเอง น่าเสียดายจริงๆ

“ประธานจางพูดอะไรกันล่ะ เป็นการเข้าใจผิดกันทั้งนั้น ในเมื่อความเข้าใจผิดได้รับการแก้ไขแล้ว ถ้าเราไม่ทะเลาะก็คงไม่รู้จักนิสัยกัน เพื่อนกันทั้งนั้น” ฉินเฟยค่อยๆยิ้ม และก้าวเดินตอบรับไปสองก้าว และจับมือจางฉองหยวน

“ใช่ๆ เพื่อนกันทั้งนั้นๆ” จางฉองหยวนยิ้มและพยักหน้า มองเจียงเยว่ถงที่ยืนอยู่ด้านหลังฉินเฟย พยักหน้าอย่างช้าๆ: “ประธานเจียง ได้ยินชื่อเสียงเรียงนามมานานแล้ว”

“ประธานจางยกย่องกันเกินไปแล้ว ท่านเป็นถึงผู้มีชื่อเสียงในซ่งไห่” เห็นสามีและจางฉองหยวนจับมือกันอย่างสนิทสนม เจียงเยว่ถงยิ้มรับเบาๆ สวยงามและมีเสน่ห์ แสดงท่าทางที่เป็นกุลสตรี

เมื่อเทียบกับซุนเย่าเหวิน ชื่อเสียงของจางฉองหยวนในซ่งไห่ก็โด่งดังไม่แพ้กัน ถึงขั้นที่ว่าทำให้คนรู้สึกหวั่นเกรงเล็กน้อย สุดท้ายแล้วเขาออกมาจากอำนาจมืด แม้ว่าวันนี้กลับตัวกลับใจแล้ว แต่สิ่งเหล่านั้น มันจะขาวบริสุทธิ์ได้อย่างไรกัน

เห็นได้จากความจริงที่ว่าวันนี้เขาพาผู้คนมากมายไปยังหมู่บ้านเทียนฝู ในเวลานั้นหากฉินเฟยไม่รู้ว่าจะใช้วิธีไหนเกลี้ยกล่อมซุนเย่าเหวิน คืนนี้พวกเขาไม่มีทางออกไปจากหมู่บ้านเทียนฝูได้หรอก!

จางฉองหยวนยิ้มและพยักหน้า แล้วค่อยหันหน้าไปมองฉินเฟย: “ไม่รู้ว่าคุณชายฉินมีเวลาไปดื่มชาด้วยกันหรือเปล่า?”

“ประธานจางเป็นคนเชื้อเชิญด้วยตัวเอง ฉันก็ไม่กล้าปฏิเสธอยู่แล้ว” ฉินเฟยยิ้มและพยักหน้า

เจียงเยว่ถงที่อยู่ข้างๆค่อยๆขมวดคิ้ว มองฉินเฟยด้วยความกังวลเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร

เจียงเยว่ถงได้รับการสั่งสอนที่ดีจากครอบครัวตั้งแต่เธอยังเด็ก ยิ่งไปกว่านั้นก็รู้เรื่องการปฏิบัติตัวเป็นภรรยา เมื่อสามีของตนพูดคุยกับใครอยู่ ตัวเองก็ไม่สามารถเอ่ยปากแทรกพูดตามใจชอบ

ผู้ชายพูดกัน ผู้หญิงก็ไม่เข้าไปแทรกพูด

ผมเป็นเขย(ผู้ไม่ธรรมดา) บทที่ 56 ผล็อตเรื่องผกพัน!(5)
“คุณติดค้างพวกเธอทั้งสอง มากเกินไปแล้ว!”

น้ำเสียงของฉินเฟยค่อนข้างรุนแรง และแทงใจดำ และไม่ให้เกียรติซุนเย่าเหวินเลยแม้แต่น้อย

ซุนเย่าเหวินกลับไม่ได้โกรธเคืองเลย แถมยังตกอยู่ในความทรงจำที่เจ็บปวด กัดฟันแน่น ดวงตาแดงก่ำ อบอวลไปด้วยหมอกควัน: “เสี่ยวเหมย เธอโง่หรือเปล่า……ทำไมเธอถึงไม่มาหาฉันล่ะ?”

“ทำไมเธอไม่มาหาคุณล่ะ เรื่องนี้คุณน่าจะรู้ดีกว่าผมนะ” ฉินเฟยพูดจาโผงผาง: “เธอเกลียดคุณแน่นอน! อีกอย่าง คุณก็รู้จักนิสัยของเธอ!”

“ดังนั้น ตอนนี้คุณต้องเตรียมใจให้พร้อม เธออาจจะไม่ยอมรับคุณ ลูกสาวของคุณก็เช่นกัน คุณไม่ได้รับผิดชอบเลยแม้แต่น้อย”

“ฉันรู้ๆ” ซุนเย่าเหวินพยักหน้า

ตอนนี้ เขาใจเย็นลงโดยสมบูรณ์

“ที่จริงแล้วเสิ่นเสวี่ยเหมยมาที่ซงไห่เมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว เธอมาเพื่อให้ลูกสาวของเธอได้เข้าเรียนโรงเรียนที่ดี และในตอนที่คุณเพิ่งจะสร้างตัวได้ไม่นาน ตอนนั้นคุณประสบความสำเร็จ แถมยังได้แต่งงานกับภรรยาคนสวยอีกด้วย คนอื่นไม่มีใครรู้ แต่เสิ่นเสวี่ยเหมยซึ่งอยู่ในซ่งไห่จะต้องรู้จักคุณ เธอรู้ว่าคุณร่ำรวย และรู้ด้วยว่าลูกสาวที่เธอเลี้ยงมาด้วยชีวิตและจิตใจก็เป็นลูกสาวคุณเช่นกัน คุณไม่เพียงแค่รวย แถมยังยิ่งรวยมากขึ้นเรื่อยๆด้วย แต่……ไม่ว่าจะเจอเรื่องลำบากแค่ไหน เธอก็ไม่เคยมาหาคุณเลย”

“ฉันรู้ สิ่งที่เสี่ยวเหมยทำมันไม่แปลกเลยสักนิด นิสัยเธอก็เป็นแบบนี้แหละ เธอเกลียดฉัน”

ซุนเย่าเหวินตาลอยเล็กน้อย เหมือนจะหลุดโฟกัส ตกอยู่ในห้วงความทรงจำบางอย่าง แม้ว่าเสิ่นเสวี่ยเหมยไม่ได้ถือว่าสวยเท่าไหร่ แต่นิสัยของพวกเขาเข้ากันได้ พวกเขาเคยมีความรักซึ่งกันและกัน และซุนเย่าเหวินก็รู้จักนิสัยของเสิ่นเสวี่ยเหมยเป็นอย่างดี

“คุณรู้ก็ดี แม้ว่าตอนนี้คุณจะร่ำรวย มีทรัพย์สินนับหมื่นล้าน แต่ตอนนี้ชีวิตเธอจากที่แย่ก็คงจะดีขึ้นเรื่อยๆแล้ว และไม่ได้ต้องการคุณ”

“ฉันรู้” เสิ่นเสี่ยวเหมยพยักหน้า แต่เขาไม่ได้รู้สึกหดหู่เพราะเรื่องนี้

นี่คือความหวังเดียวของเขา

“อืม พวกเราควรจะออกกันไปได้แล้ว ต่างก็กำลังรอคุณอยู่ ผมไม่อยากให้เยว่ถงรอผมนานเกินไป” ฉินเฟยลุกขึ้นและกล่าว

ซุนเย่าเหวินมีสติกลับมา ฉินเฟยก็เดินไปหน้าประตูห้องวีไอพีที่ล็อกไว้

ซุนเย่าเหวินเดินตามฉินเฟยไปอย่างรวดเร็ว จับมือเขาไว้ กระซิบอย่างรวดเร็วว่า: “น้องรัก ฉันไม่รีบ ส่วนทางฝั่งสาวน้อยเยว่ถงไม่มีทางโทษนายหรอก สาวน้อยคนนี้แค่มองก็รู้เหตุรู้ผลแล้ว เธอไม่มีทางโทษนายแน่ นายบอกฉันอีกสิ บอกฉันอีกนะ……”

“ที่ควรพูดผมพูดไปหมดแล้ว กล่าวอีกนัยนึง รักลึกซึ้งแค่ไหน เกลียดกันมากเพียงใด แต่ความรู้สึกในส่วนนี้อาจจะยังคงอยู่ แต่คุณจะไปหาเสิ่นเสวี่ยเหมยโดยตรงมันก็ไม่ได้อยู่แล้ว แต่ก็ใช่ว่าไม่มีวิธี อายุมากแล้ว ไม่มีความต้องการอะไรกับตัวเองแล้ว มีแต่จะคิดเพื่อลูกสาวอยู่เสมอ”

ซุนเย่าเหวินอึ้งเล็กน้อย

“ง่ายมาก คนแก่ต่างก็คำนึงถึงลูกสาวกันทั้งนั้นแหละ คุณสามารถเริ่มลงมือจากเสิ่นหรูจวินก็ได้ อายุของเธอยังเป็นช่วงที่ต้องพัฒนาขึ้นอีก มักจะพบกับปัญหาอยู่เสมอ ถูกต้องไหม? ถ้าหากคุณสามารถทำให้ลูกสาวยอมรับคุณได้ งั้นครอบครัวพวกคุณจะกลับมารวมตัวกันอีกครั้งก็มีความเป็นไปได้สูงแล้ว ไม่ใช่หรือไง?” ฉินเฟยกล่าวอย่างจำใจ

“ใช่ๆๆ นายเป็นเพื่อนรักของฉันจริงๆ!”ซุนเย่าเหวินตบหัว และเพิ่งจะเข้าใจ

ไม่ใช่ว่าเขาโง่ แต่คืนนี้เขาเจอเรื่องราวมากเกินไป ความคิดในสมองจึงสับสนเล็กน้อย ดังนั้นเขาจึงไม่เข้าใจความหมายของฉินเฟยอยู่ครู่หนึ่ง

ได้ยินคำนี้ ฉินเฟยก็หมดคำพูดอยู่สักพัก

จางฉองหย่วนในวัย 40 กว่าปีเรียกเขาว่าน้องรัก จางจงเยว่ก็ยิ่งเกินไป เรียกภรรยาเขาว่าพี่สะใภ้ และในตอนนี้ ซุนเย่าเหวินในวัยห้าสิบ ยังเรียกตัวเองว่าเป็นน้องรักของเขา

ฉินเฟยพูดไม่ออกเลย ตัวเองแก่ขนาดนั้นเลยเหรอ?

“น้องรักฉินเฟย นายบอกฉันมาตรงๆ นายเป็นใครกันแน่? นายวางใจเถอะ พี่ชายไม่เคยมีหวังร้ายกับนายแน่นอน” ซุนเย่าเหวินรู้สึกมาตั้งนานแล้วว่าฉินเฟยไม่ธรรมดา เรื่องทั้งหมดในตอนนี้มันชัดเจนแล้ว ในที่สุดก็อดทนไม่ไหวจึงถามออกมา

ฉินเฟยฝืนยิ้มอยู่ในใจ สุดท้ายก็มาจนได้!

อีกอย่างเขารู้ ถึงแม้ว่าเขาไม่พูด อาศัยความสามารถของซุนเย่าเหวิน สักวันหนึ่งก็สามารถตรวจสอบได้

“ผม……”

และในเวลานี้ จู่ๆ ก็มีเสียงทะเลาะวิวาทดังขึ้นจากข้างนอก เสียงค่อนข้างดัง

ซุนเย่าเหวินขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้

ใครไม่รู้จักรักตัวกลัวตาย คิดไม่ถึงว่าจะกล้ามาวุ่นวายถึงหมู่บ้านเทียนฝู?

และในเวลานี้ ฉินเฟยก็ฉินเฟยถือโอกาสใช้มือเปิดประตูออก

เขารู้ว่าสักวันหนึ่งตัวตนของตัวเองจะถูกเปิดเผย แต่สามารถปิดบังได้ 1 วัน เขาก็จะมีเวลาพัฒนาตัวเองเพิ่มอีกหนึ่งวัน

เพราะวันที่ตัวตนของเขาถูกเปิดเผยโดยสมบูรณ์ จะต้องนำไปสู่หายนะที่ถึงแก่ชีวิตอย่างแน่นอน!

แต่ขณะที่ฉินเฟยเปิดประตูห้องวีไอพี ภาพตรงหน้าทำให้เขาตกใจแล้ว

ทั้งห้องอาหาร แม้แต่ทางขึ้นบันได ก็มีคนแน่นขนัดเต็มไปหมด

ทั้งหมดล้วนแล้วเป็นบอดี้การ์ดสวมชุดสูท!

เกิดเรื่องอะไรขึ้น?

ฉินเฟยรู้สึกช็อก และในขณะที่เขากำลังมองหาไปรอบๆ ขณะที่เห็นผู้นำในการสร้างปัญหา สีหน้าก็ยิ่งช็อกขึ้นไปอีก

จางฉองหยวน!

เขามาได้ยังไง? ทั้งสองคนมองหน้ากัน!

“เกิดอะไรขึ้น?” ไม่รอให้ฉินเฟยพูดอะไร ก็เดินตามซุนเย่าเหวินไปติดๆ มองไปรอบๆที่ผู้คนที่แน่นขนัดด้วยสายตาที่เย็นชา น้ำเสียงเย็นชาและเคร่งขรึม

“ฉินเฟย?” จางฉองหยวนมองไปที่ประตูห้องวีไอพี ฉินเฟยปรากฏตัวทันที เขาค้นพบแล้ว ทำเสียงร้อนรน รีบเดินเข้ามา

แน่นอนว่าเขามาช่วยฉินเฟย!

โจวฉ่ายเวยถูกคนด่าที่หมู่บ้านเทียนฝู ซุนเย่าเหวินก็โผล่ตามมา ทั้งสองฝ่ายต่างก็เกลียดกัน!

ข่าวนี้แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว ถึงขั้นที่ว่ามีคนถ่ายรูปไว้เลย

และจางฉองหย่วนที่อยู่ในโรงแรมเทียนเซียงที่ห่างออกไปกลับรู้สึกประหลาดใจที่ค้นพบ โจวฉ่ายเวยที่โมโหเดือดดาลคนนี้ ไม่คิดว่าคนที่เรียกว่าชายหนุ่มผู้แกว่งเท้าหาเสี้ยนจะเป็นฉินเฟยผู้มีพระคุณของตนเอง!

จึงไม่พูดพร่ำทำเพลง ลากคนกลุ่มหนึ่งพุ่งมาอย่างร้อนรน!

แน่นอนว่าจางฉองหยวนรู้ว่าซุนเย่าเหวินแห่งตระกูลซุนมีอำนาจมากน้อยเพียงใด ในด้านอำนาจและรายละเอียดภายใน จางฉองหยวนสองคนก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของตระกูลซุนเลย แต่จางฉองหยวนให้ความสำคัญกับความยุติธรรม จะไม่ยอมมองดูผู้มีพระคุณของตัวเองถูกซุนเย่าเหวินทุบตีจนตายหรอก

แต่หลังจากที่พาคนมาแล้ว กลับได้ยินว่าโจวฉ่ายเวยถูกตบแล้ว! หลังจากที่จางฉองหยวนได้ยินข่าวนี้ เกือบจะร้องออกมา ก่อนหน้านี้เขาเกลี้ยกล่อมฉินเฟยว่าควรแสดงความสามารถออกมาแล้วหรือเปล่า แต่สิ่งที่ฉินเฟยทำมันเกินไปมากแล้วนะ?

หลังจากนั้น เขาก็ได้ข่าวว่าคนที่ตบโจวฉ่ายเวยไม่ใช่ฉินเฟย แต่เป็นซุนเย่าเหวิน!

จางฉองหยวนรู้สึกสับสนโดยสิ้นเชิง แต่ไม่ว่ายังไง ฉินเฟยก็ไม่มีทางตกอยู่ในอันตรายได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรู้ว่าฉินเฟยถูกซุนเย่าเหวินดึงเข้าไปในห้องวีไอพี เขาก็ยิ่งร้อนรนแล้ว

แต่กลายเป็นว่าบอดี้การ์ด 250 คนที่เฝ้าประตูไม่ยอมให้พวกเขาเข้าไปซะงั้น!

“ฉินเฟย นายไม่เป็นไรใช่ไหม?” จางฉองหยวนรีบเดินเข้ามา มองดูฉินเฟยตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างละเอียดถี่ถ้วน เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้แขนขาขาด จึงคลายกังวล

เมื่อได้ยินน้ำเสียงของจางฉองหยวนที่ร้อนรนเช่นนี้ ฉินเฟยก็ยิ่งเข้าใจทันที แต่ในใจก็รู้สึกประทับใจเล็กน้อย

แต่ ตอนนี้ไม่ใช่เวลามารู้สึกประทับใจ เพราะตอนนี้ก็ไม่อยากเปิดเผยตัวจริงของตัวเองออกมา โดยเฉพาะเจียงเยว่ถงซึ่งนั่งอยู่ไม่ไกลที่กำลังมองมาทางนี้ เพียงเพราะว่าทางฝั่งนี้อัดแน่นไปด้วยผู้คน เธอเดินเข้ามาไม่ได้

เป็นเพียงใบหน้าที่สวยงาม เต็มไปด้วยความสงสัย

“พี่จาง ไม่เป็นไร ประธานซุนเพียงแค่ต้องการคุยธุระบางอย่างกับผม คุณไม่ต้องเปิดเผยตัวตนของผมนะ แค่บอกว่ามาช่วยเขาก็พอ” ฉินเฟยรีบพูดประโยคหนึ่งอย่างรวดเร็ว กะพริบตาให้เขาโดยไม่ให้ใครสังเกตเห็น

จางฉองหยวนตกตะลึง เข้าใจความหมายของฉินเฟย

“เหล่าจาง จู่ๆวันนี้คุณพาคนมามากมาย นี่มันหมายความว่ายังไงกันแน่?” ซุนเย่าเหวินจับจ้องจางฉองหยวน สีหน้ามืดมนเล็กน้อย

“อะไรหมายความว่ายังไง?” จางฉองหยวนแกล้งทำเป็นตกตะลึง พูดอธิบายว่า: “ฉันได้ยินมาว่าพี่สะใภ้ถูกไอ้เด็กเวรต่างถิ่นคนหนึ่งรังแกแล้ว ก็เลยรีบพาพวกพ้องมา คิดว่าจะจัดการไอ้เด็กเวรไม่ดูตาม้าตาเรือ!”

สิ่งที่จางฉองหยวนพูดนั่นเรียกว่าจริงจัง รางวัลออสการ์ก็ยังต้องมอบรูปปั้นให้เขาเลย

ได้ยินคำนี้ สีหน้าของซุนเย่าเหวินแข็งทื่ออยู่ครู่หนึ่ง มาช่วยเหรอ?

ซงไห่ไม่ใช่เมืองเล็กๆ แต่แวดวงชั้นสูงสุดที่แท้จริงกลับมีไม่มาก เขารู้จักกับจางฉองหยวน และก็เป็นเพื่อนกันมานานแล้ว

แต่เป็นเพราะเช่นนี้ จางฉองหยวนน่าจะตระหนักถึงอำนาจของตระกูลซุนของเขามากยิ่งขึ้น ตัวเองยังต้องการความช่วยเหลืออีกไหม?

คงไม่ได้มาดูเรื่องตลกหรอกมั้ง?

แต่ว่า นี่มันก็ไม่ถูกอีก……

เรื่องที่ซุนเย่าเหวินพบเจอในคืนนี้มากมายเกินไป รู้สึกสมองสับสนเล็กน้อย ในเวลานี้ก็ขี้เกียจเกินกว่าที่จะคาดเดาเป้าหมายที่แท้จริงของจางฉองหยวน

ในฉากนี้เอง กลับทำให้เจียงเยว่ถงที่อยู่บนโต๊ะอาหารไม่ไกลสะดุ้งตกใจ!

จางฉองหยวนผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง ซึ่งเกี่ยวข้องกับทั้งรัฐบาลและอันธพาล พาผู้คนจำนวนมากมายมาที่นี่เพื่อช่วยซุนเย่าเหวินทำลายฉินเฟยเนี่ยนะ?

ชั่วขณะหนึ่ง หัวใจของเจียงเยว่ถงหัวใจเต้นถี่รัว

นอกจากนี้ คำให้การเช่นนี้ก็ทำให้ซุนเย่าเหวินตกใจ ราวกับว่ากลัวจางฉองหยวนจะทุบตีฉินเฟยผู้มีพระคุณของตัวเองแล้วจริงๆ รีบยื่นมือไปคว้ามือของจางฉองหยวน พูดเสียงเบาว่า: “ทั้งหมดนี้เป็นการเข้าใจผิด พี่ชายขอบคุณสำหรับความหวังดีของนาย มีเวลาว่างฉันจะเลี้ยงน้ำชานาย นายดูนะ……ทางฝั่งฉันยังมีธุระด่วน ไม่งั้นนายพาเพื่อนไปดื่มเหล้าห้องวีไอพีข้างบนไหม? ค่าใช้จ่ายทั้งหมดคืนนี้ฉันจ่ายเอง ถือว่าพี่ชายเลี้ยงขอบคุณในความหวังดีของนายแล้วกัน”

“เหอะๆ พี่ซุนพูดอะไรกัน วันนี้ผมมาไม่ใช่เพราะมาดื่มฟรี” จางฉองหยวนสีหน้าจริงจัง: “ในเมื่อทางฝั่งคุณไม่มีธุระอะไร งั้นผมก็พาพวกพ้องไปก่อนนะ”

“เหอะๆ ก็ดี วันหลังเราค่อยมาดื่มชาด้วยกัน” ซุนเย่าเหวินพยักหน้า

เมื่อเห็นกลุ่มผู้คนลงไปด้านล่าง ‘ซู่ๆซ่าๆ สีหน้าของซุนเย่าเหวินแปลกประหลาดอย่างมาก มุมปากกระตุก

เขาเดาไม่ออกจริงๆ ว่าจางฉองหย่วนคิดอะไรกันแน่!?

ผมเป็นเขย(ผู้ไม่ธรรมดา) บทที่ 55 พล็อตเรื่องผกผัน(4)
ตอนที่ซุนเย่าเหวินได้ยินชื่อ ‘เสิ่นเสวี่ยเหมย’จากปากของฉินเฟย นัยน์ตาก็ยิ่งตกใจมากขึ้น

แถมยังมีความระแวดระวังอันตรายอย่างเห็นได้ชัด!

ฉินเฟยยิ้มแล้ว พูดต่ออีกว่า : “ถ้าหากพูดขึ้นมาแล้ว นั่นก็เป็นเรื่องเมื่อสามสิบปีก่อนแล้ว”

เห็นเหมือนว่าฉินเฟยจะจมอยู่ในการะลึกความทรงจำบางอย่าง นัยน์ตาของซุนเย่าเหวินก็เปลี่ยนเป็นแปลกใจมากยิ่งขึ้น

เมื่อสามสิบปีก่อน?เหมือนว่าฉินเฟยยังไม่เกิดเลยนะ?งั้นเขาระลึกความทรงจำบ้าอะไร?

ฉินเฟยช่วยพูดระลึกความจำให้ซุนเย่าเหวินต่อ : “ปีนั้น เสิ่นเสวี่ยเหมยสอนหนังสือชั้นประถมในหมู่บ้าน เมื่อสามสิบปีก่อน นั่นก็เป็นปัญญาชนที่ไปยังชนบท เสิ่นเสวี่ยเหมยพักอาศัยอยู่คนเดียว ค่อนข้างมีความกล้า นิสัยแข็งแกร่งมาก ปีนั้นคุณหนีไปอยู่ที่นั่น ไม่มีเงินติดตัวซักหยวนเดียว เธอเป็นคนช่วยเหลือคุณ และรับคุณไว้อย่าใจกล้า แถมยังหาตำแหน่งราชการที่โรงเรียนให้คุณด้วย”

“ครึ่งปีต่อมา พวกคุณก็คบหาดูใจกันแล้ว ถูกไหม?”

“แต่ว่าคุณทรยศเธอแล้ว ทรยศความรู้สึกของพวกคุณ คุณแอบหนีไปแล้ว และหลังจากสร้างครอบครัวให้ร่ำรวยขึ้นในซงไห่ คุณก็ไม่เคยไปหาเธอ คุณรู้สึกละอายใจ!” คำพูดที่ฉินเฟยพูดออกมาค่อนข้างที่จะไม่รื่นหูแล้ว

ซุนเย่าเหวินมองฉินเฟยด้วยแววตาที่ซับซ้อนแวบหนึ่ง เงียบขรึมแล้ว

ในปีนั้นซุนเย่าเหวินอายุแค่24ปี ผ่านมาสามสิบกว่าปีแล้ว เขาถึงขั้นกับเกือบจะลืมลักษณะของเสิ่นเสวี่ยเหมยแล้ว

แต่ชื่อของเธอ นิสัยที่แข็งแกร่งของเธอ ซุนเย่าเหวินไม่เคยลืมเลือน ไม่มีทางลืมไปทั้งชีวิต

พูดขึ้นมาแล้วนั่นเป็นเรื่องในปี1990 แล้ว ก็อยู่ในช่วงที่ประเทศกำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว ขอเพียงแค่คนที่กล้าบุกกล้าสู้ ไม่จำเป็นจะต้องมีประวัติการศึกษาอะไรเลยด้วยซ้ำ หาเงินก้อนโตได้อย่างง่ายดาย สร้างบริษัทกลายเป็นเถ้าแก่ รวยชั่วข้ามคืนก็ไม่ใช่เรื่องที่ฝันไป!

ซุนเย่าเหวินก็เป็นคนที่กล้าบุกกล้าสู้เช่นนี้ หลังจากที่เขารู้ว่าเถ้าแก่ท่านนั้นที่ตัวเองได้ล่วงเกินหายสาบสูญไปจากโลกนี้แล้ว เขาก็ไม่ยินยอมที่จะอยู่บ้านพักบนภูเขาเล็กๆเช่นนี้อีก

เขาไม่อยากอยู่เฉยๆไม่ทำอะไร ใช้ชีวิตที่น่าเบื่อแบบนี้

เพราะงั้นเขาแอบออกไปแล้ว ไม่ได้กลับมาอีก ในขณะเดียวกันก็ทำให้เขาและพี่ชายซุนเย่าฉวนสร้างกิจการที่ซงไห่แล้ว หลังจากที่พวกเขาได้เงินมาบางส่วน ก็ได้สร้างบริษัทแล้ว ก็เรียกได้ว่ามีประสบความสำเร็จชื่อเสียง

หลังจากพี่ชายเสียชีวิตอย่างกะทันหัน เขาสืบทอดความปรารถนาของพี่ชายต่อ จะต้องพัฒนาลู่เจี้ยน กรุ๊ปให้ยิ่งใหญ่

ความพยายามของเขาไม่เสียเปล่า เขาประสบความสำเร็จแล้วจริงๆ!

หลังจากนั้น เขาก็แต่งงานกับภรรยาที่สวยคนหนึ่ง ก็ไม่เคยคิดที่จะไปหาเสิ่นเสวี่ยเหมยอีก

เสิ่นเสวี่ยเหมยเป็นแค่คุณครูสอนเด็กประถม ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายที่ยิ่งใหญ่อะไร เมื่อเทียบกับภรรยาในตอนนั้นของเขาสวยสู้ไม่ได้แน่นอน อีกอย่างภรรยาของเขาไม่เพียงแค่สวย แถมยังเป็นลูกสาวของข้าราชการ

เขาคิดว่าที่ตัวออกไปจากหมู่บ้านภูเขานั่นไม่ผิด เพียงแค่ค่อนข้างรู้สึกติดค้างกับเสิ่นเสวี่ยเหมยอยู่ในใจเสมอ

คนเราล้วนแต่มีความเห็นแก่ตัว เขาไม่สามารถไปหาเสิ่นเสวี่ยเหมย เพื่อทำลายชีวิตที่ดีงามในตอนนั้นของเขาอีก

แต่ว่าในเวลานั้น เกิดปัญหาขึ้นกับร่างกายของเขาแล้ว!

นี่ก็เป็นสาเหตุที่เขาหย่าร้างกับภรรยาคนก่อนหน้านี้ แต่วันนี้กลับมาคิดดูแล้ว เขาถึงได้รู้ว่า ตัวเองผิดไปแล้ว

ถ้าหากเป็นอย่างที่ฉินเฟยพูด เขารู้สึกละอายต่อเสิ่นเสวี่ยเหมย เขาไม่มีหาไปหาเธอ

แต่ว่า ผิดแล้วก็คือผิด มันผิดพลาดไปแล้ว ต่อให้ไปหาเธอแล้วจะมีความหมายอะไร?

“นายเคยตรวจสอบฉัน?”ซุนเย่าเหวินเงยหน้ามองฉินเฟย สีหน้าจริงจังมากยิ่งขึ้น

ฉินเฟยรู้เยอะเกินไปแล้ว ตอนนี้เขาค่อนข้างสงสัยเป้าหมายที่ฉินเฟยช่วยเหลือตัวเองแล้ว

เพียงแค่แสดงความเป็นมิตรกับตัวเองง่ายๆแค่นี้?

“ผมเคยพูดแล้ว ที่ผมพูดเรื่องเหล่านี้กับคุณแค่อยากจะแสดงความเป็นมิตรกับคุณ ส่วนตัวตนของผม คุณถามเยว่ถงหรือว่าพ่อตาของผมได้ ส่วนพูดไม่พูดก็เป็นเรื่องของคุณแล้ว แต่ ผมไม่ได้คิดร้ายต่อคุณจริงๆ ”ฉินเฟยผายมือ ใบหน้าจริงใจ

“อีกอย่าง สิ่งเหล่านี้ไม่ได้สำคัญเลย” ฉินเฟยยิ้มแล้ว : “สิ่งที่สำคัญคือ ใช่ว่าคุณจะไม่มีทายาท เสิ่นเสวี่ยเหมยได้เว้นทางหนีทีไล่ไว้ให้คุณแล้ว”

“หืม?”ซุนเย่าเหวินเงยหน้าขึ้นมองทันที

คุณน่าจะรู้นิสัยของเธอดีกว่าใครนะ เธอน่าจะรู้ได้ตั้งนานแล้วว่าคุณไม่เต็มใจที่จะอยู่บ้านพักบนภูเขาขนาดเล็กนี้ไปตลอดชีวิต คุณอยากจะออกไป ตอนนั้นเธออาจจะยังมีความหวังเล็กน้อยที่คุณจะกลับไปหาเธอได้ บางทีอาจจะไม่ได้สนใจที่คนอื่นซุบซิบนินทาเธอ เธอไม่ได้ทำแท้งเอาเด็กออก คลอดออมาแล้ว

“คำนวณตามเวลา วันนี้เสิ่นหรูจวินอายุสามสิบเอ็ดปีแล้ว คาดว่าแต่งงานมีลูกแล้ว เพราะงั้น ตอนนี้ไม่เพียงแค่คุณจะมีทายาท เกรงว่ายังมีหลานอีกด้วย”

“เปาะแปะ!”

บุหรี่ที่อยู่ใยมือของซุนเย่าเหวินหล่นลงพื้น มองไปยังฉินเฟยอย่างอ้าปากค้าง

นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมฉินเฟยมาห้องวีไอพีกับเขา และก็เป็นวัตถุประสงค์ที่ใหญ่สุดที่ฉินเฟยจะเปิดเผยเรื่องนี้ออกมา

เขาจะต้องทำให้ซุนเย่าเหวินซาบซึ้งใจ ถึงขั้นรู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณของตัวเองอย่างยิ่ง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ บุญคุณความแค้นของตระกูลเจียงและตระกูลซุนก็คลี่คลายได้ไปโดยปริยาย

ซุนเหล่าซานแค่อาศัยอำนาจของตระกูลซุนรังแกคนก็เท่านั้น และคนที่รับผิดชอบอย่างแท้จริงของตระกูลซุน คือซุนเย่าเหวิน!

ฟ้าหลังฝน นี่ต่างหากที่เป็นวิธีการสุดท้ายของฉินเฟย

ไม่เช่นนั้นพวกเขาก็ไม่มีอะไรให้น่าพูดคุยกันด้วยซ้ำ ก่อนหน้านี้เขาได้พูดในสิ่งที่ควรพูดไปหมดแล้ว ส่วนที่เหลือต้องการแค่ซุนเย่าเหวินไปตรวจสอบเองก็พอ

ส่วนความหวังเล็กๆน้อยๆที่อยู่ในใจของเขานั้น เพียงแค่ต้องทำการตรวจDNAใหม่อีกครั้ง ความจริงก็จะเผยออกมา

มาคุยกันเป็นการส่วนตัวในห้องวีไอพี ก็เพื่อที่จะบอกซุนเย่าเหวินว่า เขาไม่เพียงแค่มีทายาท แถมยังมีความเป็นไปได้ที่จะขยายไปถึงรุ่นที่สามแล้ว

เป็นเพราะว่าเขาถูกสับจนได้รับบาดเจ็บไม่สามารถมีลูกได้ ในช่วงสามสี่ปีนั้นที่สร้างธุรกิจในตอนอายุ27ปี ก่อนหน้านี้เขาเป็นผู้ชายที่มีร่างกายแข็งแร็ง อีกอย่างนอกจากเสิ่นเสวี่ยเหมยแล้วยังเคยมีลูกมาแล้ว เพียงแต่เป็นเพราะปัจจัยในตอนนั้น ไม่ได้เก็บไว้ หลังจากสร้างชื่อเสียงสำเร็จ นี่ถึงได้ยิ่งเสียใจภายหลังแล้ว

เพราะงั้นเรื่องนี้ฉินเฟยจำเป็นจะต้องพูด

“ฉัน ฉันมีลูกหลานแล้ว……ลูกสาว……สิ่งที่นายพูดเป็นเรื่องจริง เป็นไปได้ว่าฉันอาจจะมี……มีหลานแล้ว……”ซุนเย่าเหวินมองไปยังฉินเฟยอย่างตกตะลึงจนพูดไม่ออก คนทั้งคนตกตะลึงโดยสิ้นเชิงแล้ว ตื่นเต้นขึ้นมาทันทีแม้แต่พูดเต็มประโยคก็ยังพูดไม่ชัดเจน

“ส่วนรายละเอียดผมก็ไม่ทราบแล้ว แต่ว่าเสิ่นเสวี่ยเหมยเหลือทางหนีทีไล่ไว้ให้คุณแล้วจริงๆ” ฉินเฟยยิ้มพร้อมพูดกล่าว

“เสวี่ยเหมยเธอ……นาย……นายไม่ได้หลอกฉันจริงๆ?เสวี่ยเหมยเธอ เธอคลอดลูกของเราในตอนนั้นแล้ว ลูกสาว……”ซุนเย่าเหวินดวงตาเบิกโพลง ข้างในเต็มไปด้วยเส้นเลือด หายใจรุนแรงขึ้นเล็กน้อย

เห็นได้ชัดว่าสภาพจิตใจของเขาในเวลานี้ แข็งแกร่งอย่างมากโดยสิ้นเชิง!

“ผมจะหลอกคุณทำไม?”ฉินเฟยหัวเราะแล้ว อดไม่ได้ที่จะเหล่มองซุนเย่าเหวินที่ตื่นเต้นอย่างมาก ถามย้อนว่า : “ทำไม รังเกียจที่ไม่ใช่ลูกชายเหรอ?”

“ไม่ๆๆ ลูกสาวก็ดี ลูกสาวก็เหมือนกัน มีลูกชายที่ล้างผลาญ สู้มีลูกสาวจะดีกว่านะ ” ซุนเย่าเหวินส่ายหน้าอย่างกับป๋องแป๋งเลย ตื่นเต้นมาก

“ผมคิดว่า ตอนนี้คุณซุนน่าจะรู้ว่าต่อไปควรจะทำอะไร คุณผ่านมรสุมมามากกว่าผม น่าจะต้องรู้แน่ว่าควรจะทำยังไง บางเรื่องควรจัดการยังไงก็จัดการอย่างนั้น ถึงคราวที่จะต้องตัดสินใจก็ควรตัดสินใจไม่เช่นนั้นจะทำให้เกิดหายนะ เตรียมต้อนรับกับชีวิตใหม่”

“ฉันรู้ ฉันรู้ว่าควรทำยังไง……”ซุนเย่าเหวินพยักหน้าอย่างเต็มแรง ยื่นมือออกไปถูใบหน้าอย่างเต็มแรง เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นกลับว่าถูกเขาตัดสายอย่างรวดเร็ว

ซุนเย่าเหวินเดินกลับมาสองสามก้าว หายใจหนักหน่วงกว่าก่อนหน้านี้หน่อยแล้ว คนทั้งคนอยู่ในสภาวะที่ย้อนแย้งกันอย่างมาก เหลือเชื่อและก็ตื่นเต้นมากอีก ถึงขั้นเป็นกังวล กลัวว่าจะเหมือนตัวเองในเมื่อก่อน สิ่งที่เรียกว่าดีงาม เป็นเรื่องที่จอมปลอมทั้งนั้น!

“จริงสิ นายพูดกับฉันไม่ต้องเคารพเช่นนี้ ต่อไปนายก็คือน้องชายของฉัน!” ซุนเย่าเหวินรีบเดินเข้ามาสองก้าว หันหน้ามองฉินเฟย พูดด้วยสีหน้าท่าทางที่เคร่งขรึม

“คุณเป็นเพื่อนกับพ่อตาของผม ผมและเยว่ถงเป็นคนรุ่นหลังของคุณ”ฉินเฟยยิ้มเล็กน้อย ในใจค่อนข้างตื่นเต้น และก็ไม่ปิดบัง: “ลุงซุนพูดประโยคนี้ออกมา ผมก็พึงพอใจแล้ว”

“ต่อไป เรื่องของคุณก็คือเรื่องของผม!”ซุนเย่าเหวินมองไปยังฉินเฟยอย่างลึกซึ้งแวบหนึ่งแล้ว

ไม่ว่าฉินเฟยจะมีเป้าหมายอะไร แต่ของขวัญที่ฉินเฟยมอบให้ในวันนี้ สำหรับซุนเย่าเหวินแล้ว ยิ่งใหญ่กว่าท้องฟ้า

นี่ไม่เพียงกอบกู้ครึ่งชีวิตที่เหลือของเขาแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นถึงขั้นที่ว่าช่วยชีวิตทั้งตระกูลซุนไว้ด้วย ถึงยังไงตอนนี้ตัวเองก็มีอาย 54ปีแล้ว กำลังวังชาก็ไม่เยอะเหมือนเมื่อก่อน คาดว่าต่อไปโจวฉ่ายเวยร่วมหัวกับโจวต้าเฉียงวางแผนฆ่าตัวเองก็มีความเป็นไปได้

บุญคุณนี้มีมากแค่ไหน ในใจของซุนเย่าเหวินรู้ดีอย่างมาก

ฉินเฟยยิ้มพร้อมทั้งพยักหน้า อดที่จะถอนหายใจไม่ได้ คิดไม่ถึงว่าข้อมูลที่หน่วยข่าวกรองของตระกูลฉินในปีนั้นได้รับมาโดยบังเอิญ วันนี้ช่วยตัวเองได้เยอะขนาดนี้แล้ว

“จริงสิ เสี่ยวเหมย หลายปีที่ผ่านมานี้ เธอไม่แต่งงานเหรอ?”ซุนเย่าเหวินที่ตื่นเต้นรีบทำให้ตัวเองสงบลงทันที พูดถามอย่างตื่นเต้น

“ไม่นะ คุณน่าจะรู้ว่าตอนนั้นมันยุคสมัยไหน เธอคลอดลูกโดยไม่ได้แต่งงาน แถมยังไม่พูดว่าผู้ชายเป็นใครด้วย เพราะเหตุนี้จึงไม่ได้สอนหนังสือแล้ว ”

“จริงๆแล้ว จากชื่อของลูกสาวคุณก็มองเห็นอะไรบางอย่างได้ ‘หรูจวิน (นางบำเรอ)’ตอนนั้นเธอน่าจะตั้งหน้าตั้งตารอคอยหวังว่าคุณจะกลับไปหาเธอได้ แต่คุณไม่ได้กลับไปหาเธอเลย และก็ไม่ให้ฐานะใดๆกับเธอ”

ซุนเย่าเหวินพยักหน้า ใบหน้าเต็มไปด้วยความเสียใจที่ตัดสินทำลงไป

“เธอไม่มีฐานะและชื่อเสียง คลอดลูกออกมาโดยที่ยังไม่ได้แต่งงาน ไม่มีงานทำแล้ว แค่คิดคุณก็รู้ได้แล้วว่า ตอนนั้นเธอลำบากมากแค่ไหน ผู้หญิงคนหนึ่งเลี้ยงดูลูกอย่างยากลำบากเพียงลำพัง มีหลายครั้งที่ตัวเองจะต้องทำงานถึงสามสี่งาน!”น้ำเสียงของฉินเฟยค่อนข้างโมโห : “และนี่เป็นเพียงแค่ความเหนื่อยล้าทางกาย ส่วนที่แบกรับไว้ทางจิตใจทั้งหมด ไม่มีใครเข้าอกเข้าใจ!เบื้องหลังของเธอถูกคนเยาะเย้ยและประณามกว่าเท่าไหร่ บางทีคนในครอบครัวก็อาจจะไม่ยอมรับเธอ!”

ซุนเย่าเหวินก้มหน้าลงอย่างมาก มือสั่นเทา จุดบุหรี่อีกมวนหนึ่งแล้ว

“ส่วนลูก เหอะๆ เด็กคนหนึ่งที่ไม่มีพ่อ บางทีอาจจะเป็นเพราะความพิเศษของเสิ่นเสวี่ยเหมยแม่ของเธอ เธอก็ถูกรังแกที่โรงเรียนไม่น้อยเลยนะ”น้ำเสียงของฉินเฟยค่อยๆเยือกเย็น: “คุณติดค้างพวกเขามากเกินไปแล้ว!”

ผมเป็นเขย(ผู้ไม่ธรรมดา) บทที่ 54 พล็อตเรื่องผกผัน (3)
เห็นทั้งสองคนเดินเข้าห้องวีไอพีไปแล้ว เจียงเยว่ถงก้มหน้ามองอาหารที่ตัวเองชอบสามสี่อย่างบนโต๊ะอาหารแวบหนึ่งแล้ว แต่เพราะว่าใจลอย ไม่มีอารมณ์ทานอาหารจริงๆ

เรื่องฉาวในบ้านอย่าเล่าให้คนอื่นฟัง หากว่าเรื่องนี้ถูกกระจายออกไป งั้นเขาซุนเย่าเหวินกลายเป็นที่น่าหัวเราะเยาะในซงไห่แล้วจริงๆ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้คนอื่นแอบฟัง การเหมาห้องวีไอพีเป็นสถานที่ที่ดีที่สุด

หลังจากที่ทั้งสองคนเข้าห้องวีไอพีไป ไม่นานก็มีบอดี้การ์ดสี่คนคุ้มกันไว้หน้าห้องวีไอพีอย่างแน่นหนา เห็นได้ชัดว่าเป็นคำสั่งพิเศษของซุนเย่าเหวิน

เจียงเยว่ถงมองไปยังประตูห้องวีไอพีที่ปิดสนิท สายตาก็เปลี่ยนเป็นประหลาดใจอีกแล้ว

คิดไม่ถึงว่าจะพูดคุยเป็นการส่วนตัว?แถมยังเป็นความลับขนาดนี้?

ถ้าหากพูดว่าความอยากรู้ในเมื่อก่อนของเจียงเยว่ถงถึงจุดสูงสุดแล้ว ในเวลานี้ ความอยากรู้ของเธอยิ่งจะถึงขอบเขตที่จะระเบิดแล้วโดยสิ้นเชิง!

เธอตัดสินใจ รอฉินเฟยออกมา จะต้องซักถามให้สารภาพออกมา!

……

……

นี่เป็นห้องวีไอพีขนาดเล็ก ตกแต่งอย่างงดงามประณีต

หลังจากซุนเย่าเหวินเดินเข้าไป เดินไปข้างหน้าต่างเพื่อปิดหน้าต่างให้สนิทก่อนแล้ว

หันกลับมานั่งบนโซฟา ลูบกล่องบุหรี่ด้วยสีหน้าที่ไร้ความรู้สึก จุดบุหรี่หนึ่งมวน โยนบุหรี่ให้ฉินเฟยทั้งกล่องทันที

เพราะว่าเมื่อก่อนอยากมีลูกและไม่มีลูกมาตลอด ซุนเย่าเหวินเลิกบุหรี่ไปตั้งนานแล้ว และหลังจากมีลูกแล้ว กลัวว่าจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพของลูก ปกติก็สูบน้อยอย่างมาก จะบังคับตัวเองให้สูบมากที่สุดวันละ2-3มวน

แต่ว่าเขาจะพกบุหรี่สติดตัวไว้หนึ่งกล่องเป็นปกติ ประเด็นหลักคือเตรียมไว้ให้ลูกค้าในการพบปะสังสรรค์ที่ไปมาหาสู่กัน

และเขาโยนบุหรี่ให้ฉินเฟยทั้งกล่อง ดูเหมือนว่าเป็นการกระทำตามอารมณ์ แต่กลับว่ามองฉินเฟยว่ามีฐานะเท่ากันกับตัวเองแล้ว

ซุนเย่าเหวินพ่นควันบุหรี่ออกมาเป็นวงแหวนอย่างเงียบๆ สายตามองไปยังฉินเฟยอีกครั้ง……

“ผมไม่สูบุหรี่”ฉินเฟยยื่นมือออกไปค่อยๆผลักกล่องบุหรี่ไปตรงหน้าของซุนเย่าเหวินอีก พูดออกเสียงว่า : “เถ้าแก่ซุนนี่คือเชื่อในคำพูดของผมแล้วเหรอ”

“ไม่ได้เชื่อทั้งหมด แต่ว่าอย่างน้อยก็มีอย่างหนึ่งที่นายพูดถูกแล้ว เธอพูดโกหกกับฉันแล้ว อีกอย่างฉันเพิ่งถามคนเขามา โจวต้าเฉียงไม่ใช่น้องชายแท้ๆของเธอจริงๆด้วย”ซุนเย่าเหวินพูดด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ ฟังน้ำเสียงไม่ออกว่าอารมณ์ไหน

เรื่องที่ทั้งสองคนไม่ใช่พี่น้องแท้ๆจริงๆแล้วก็ไม่ได้เป็นความลับอะไร คนในหมู่บ้านของพวกเขาส่วนใหญ่ก็รู้กันหมด แค่ถามก็รู้แล้ว เพียงแค่ซุนเย่าเหวินไม่ได้ตรวจสอบเรื่องนี้เป็นพิเศษ รู้เพียงแค่ว่าโจวฉ่ายเวยเกิดในครอบครัวชนบทธรรมดาๆ แต่ว่าตอนนั้นโจวฉ่ายเวยคลอดลูกชายให้เขา อีกอย่างตรวจDNAแล้วเป็นลูกชายของตัวเอง ก็ยิ่งไม่สนใจอย่างอื่นแล้ว

นี่ก็เป็นเรื่องปกติ

อีกอย่าง ตอนนี้ซุนเย่าเหวินยังคงไม่เต็มใจที่จะเชื่อ ถึงยังไงจะมีใครยอมรับว่าตัวเองถูกสวมเขามานานถึงเจ็ดปี ถึงขั้นเลี้ยงลูกของคนอื่นมาเจ็ด ปีแล้วบ้างล่ะ?

ยิ่งไปกว่านั้น เป้าหมายสุดท้ายที่ทำเรื่องทั้งหมด คือการวางแผนเพื่อให้ได้ทรัพย์สิน!

ส่วนเรื่องอื่นๆ ซุนเย่าเหวินยังคงตรวจสอบ

จริงๆตอนนี้เขากำลังรอผล อีกอย่างอยากจะรู้ว่าฉินเฟยยังรู้เรื่องอะไรอีกบ้าง

ตัวฉินเฟยเองเดิมทีก็ทำให้เขารู้สึกลึกลับอยู่แล้ว ส่วนเศษสวะชนบทในข่าวลือ เขาไม่เชื่อเลยสักนิด

คุณภาพทางจิตและวิธีการจัดการเรื่องเช่นนี้ ถิ่นเกิดไม่ธรรมดาแน่นอน!

“ฉันยังมีบางอย่างที่อยากรู้ นายรู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไงกัน?”ซุนเย่าเหวินมองฉินเฟยพร้อมพูดถาม สายตาเฉียบคม เหมือนว่ามองเขาออกหมดทุกอย่าง : “นายเป็นใคร ทำไมต้องบอกเรื่องพวกนี้กับฉันด้วย?”

“เถ้าแก่ซุน จริงๆแล้วสิ่งที่ผมรู้ไม่ใช่แค่เรื่องเหล่านี้ แต่ผมเชื่อว่าคุณเองก็รู้สึกได้ เรื่องในวันนี้แม้ว่าจะมีส่วนที่บังเอิญอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้บังเอิญทั้งหมด ผมแค่อยากจะยืมใช้โอกาสนี้แสดงความเป็นมิตรกับเถ้าแก่ซุน พวกเราไม่ใช่ศัตรูกัน ”

“แน่นอน พวกเราไม่ใช่อยู่แล้ว”ซุนเย่าเหวินพยักหน้า

เขาก็ไม่ใช่คนโง่ เข้าใจได้ว่าวิธีการทำของฉินเฟยนั่นคือกำลังช่วยเหลือตัวเองอยู่ ไม่เช่นนั้นรอเขาอายุหนึ่งร้อยปี ตระกูลซุนที่เขาพยายามอย่างหนักมาทั้งชีวิต บางทีอาจจะเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนนามสกุลแล้วจริงๆ

“ส่วนผม เป็นเพียงแค่เศษสวะตระกูลเจียงที่แต่งงานเข้าบ้านฝ่ายหญิงเท่านั้น เถ้าแก่ซุนไม่จำเป็นต้องสนใจ อีกอย่าง ตอนนี้คุณควรที่จะเป็นกังวลเรื่องของตัวเองมากกว่า”

ซุนเย่าเหวินมองไปยังฉินเฟย เห็นเขามักจะมีท่าทางที่ยิ้มกริ่มและเงียบสงบอยู่เสมอ

เขามองวัยรุ่นผู้นี้ไม่ออก!

ฉินเฟยทำให้เขาค่อนข้างรู้สึกแปลกประหลาด กี่ปีแล้ว น้อยมากที่จะมีคนกล้าใช้น้ำเสียงเช่นนี้กับเขา

โทนเสียงและความสุขุมนี้ ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาทั่วไปมีได้

และเจียงเฟิ่งหยุนเกิดเป็นทหาร ลูกสาวของเขาโดดเด่นมากแค่ไหน สวยแค่ไหนล้วนแต่เห็นประจักษ์ชัดแจ้งกันทั่วทุกคน จะแต่งงานกับเศษสวะได้ยังไงกัน?

ซุนเย่าเหวินคาดเดาเบื้องหลังของฉินเฟยอยู่ในใจ แม้ว่าวันนี้ชายหญิงเท่าเทียมกัน มีความรักอย่างอิสระ แต่นั่นเป็นเพียงแค่สำหรับคนธรรมดาทั่วไปเท่านั้น และในตระกูล แทบจะน้อยมากที่จะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมา ยังจะต้องให้ความสนใจกับครอบครัว ฐานะทางสังคมของชายและหญิงที่จะสมรสกัน

ไม่ว่ายังไงตระกูลเจียงก็เป็นตระกูลที่ค่อนข้างมีชื่อเสียง เจียงเยว่ถงเป็นสาวสวยอันดับหนึ่งในรุ่นนี้ของตระกูลเจียงอีก ไม่เพียงแค่หน้าตาสละสลวย แถมยังมีความสามารถโดดเด่น จะแต่งงานกับคนธรรมดาได้ยังไงกัน?

และฉินเฟย มาจากตระกูลใหญ่ หรือไม่ก็มีสถานะที่พิเศษ

แต่ว่า สิ่งเหล่านี้ซุนเย่าเหวินไม่ได้สนใจเลย

เขาคบหาเพื่อนไม่เคยดูพื้นฐานทางครอบครัวของอีกฝ่ายเลย เพราะงั้นฉินเฟยมีตัวตนอะไรกันแน่ เขาแค่อยากรู้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

อีกอย่าง ตอนนี้เขาสนใจเรื่องของตัวเองมากกว่า

“เรื่องนี้……นายเคยพูดกับคนอื่นบ้างไหม?”ซุนเย่าเหวินพูดถามอีกครั้ง

“ไม่เคยนะ”ฉินเฟยส่ายหน้าพร้อมพูด: “แต่ว่า เมื่อกี้เยว่ถงมาขึ้นมาแล้ว”

ฉินเฟยพูดด้วยความสัตย์จริง พูดคุยกับคนอย่างซุนเย่าเหวินแบบนี้ ถ้าหากไม่มีความมั่นใจที่แท้จริง งั้นทางที่ดีที่สุดคือซื่อสัตย์หน่อย

ซุนเย่าเหวินสูดลมหายใจเข้าลึก โบกไม้โบกมือพร้อมถอนหายใจเบาๆ : “ได้ทั้งนั้น บนโลกใบนี้ไม่มีความลับ ถ้าหากเหมือนอย่างที่นายพูดมาจริงๆ เรื่องนี้จะต้องมีวิธีจัดการ สักวันหนึ่งก็ต้องมีคนรู้เรื่องเข้า”

ฉินเฟยพยักหน้า

และซุนเย่าเหวินพูดจบ ก็ไม่พูดอีก

เห็นได้ชัดว่า ตอนนี้ความคิดของเขาสับสนวุ่นวายไปหมด

“งั้นคุณคิดที่จะวางแผนจัดการยังไง?โดยเฉพาะ……เด็กคนนั้น?”ฉินเฟยพูดถาม

ซุนเย่าเหวินเงียบครู่หนึ่งแล้ว ยังคงเงียบขรึมเช่นเคย เจ็ดปีที่ผ่านมานี้ เขารักลูกชายดั่งของล้ำค่ามาตลอด คนภายนอกต่างก็ทราบกันดี

ยิ่งไปกว่านั้น คนเราล้วนแต่มีความรู้สึกกันทั้งนั้น เขาถึงขั้นจินตนาการภาพฉากทุกครั้งที่ตัวเองกลับบ้าน ลูกชายก็จะวิ่งมากอดเขาอย่างมีความสุขพร้อมเรียกว่าพ่อได้

แต่ รักมากแค่ไหน ก็เกลียดมากแค่นั้น!

เขาที่ความคิดสับสนวุ่นวาย ก็ยากที่จะพูดในทันที อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง : “เด็กคนนี้ไม่ใช่ลูกของฉันจริงๆเหรอ?”

ซุนเย่าเหวินถึงขั้นไม่รู้ว่า ทำไมจู่ๆตัวเองได้ถึงเชื่อคำพูดของฉินเฟยขนาดนี้ อาจจะเป็นเพราะว่าคำพูดของฉินเฟย ปลดล็อกปัญหาที่เขาคิดไม่ออก และจุดที่แปลกประหลาดชวนให้คนสงสัยต่างๆตลอดหลายปีที่ผ่านมาแล้ว……

ตอนที่ฉินเฟยพูดว่าโจวฉ่ายเวยไม่ได้เป็นพี่น้องแท้ๆกับโจวต้าเฉียง และหลังจากที่ตัวเองได้ตรวจสอบเพื่อยืนยันแล้ว ในเวลานี้ก็สามารถอธิบายออกมาได้ทั้งหมดแล้ว

แต่เขาก็ยังไม่เต็มใจที่จะเชื่อ ว่าไม่ใช่ลูกของตัวเอง เพราะว่าเป็นแบบนี้เขาก็มีทายาทแล้ว สามารถสืบทอดกิจการพื้นฐานที่ตัวเองทำงานอย่างหนักมาทั้งชีวิตได้แล้ว

“ไม่ใช่ลูกของคุณ” ฉินเฟยพูดยืนยันอย่างมาก เขารู้ว่าความลับที่ตัวเองพูดออกมาได้เปิดบาดแผลของซุนเย่าเหวินโดยสิ้นเชิงแล้ว และก็โรยเกลือบนบาดแผลอย่างไม่สนใจอีก: “จริงๆที่โจวฉ่ายเวยพึ่ง

พาคนที่มีอำนาจอย่างคุณก็เป็นเพียงแค่อุบัติเหตุ ลูกเป็นลูกของโจวต้าเฉียง เริ่มแรกเธอไม่อยากคลอดออกมาด้วยซ้ำ แค่อยากจะหาเถ้าแก่อ้างเรื่องตั้งครรภ์อย่างไม่คาดคิดเพื่อหลอกเอาเงินสักก้อน กลับมาพบเจอคุณเข้าพอดี……จริงๆคุณเองก็รู้ว่าตัวคุณนั้นมีปัญหาเรื่องสุขภาพมากแค่ไหน คุณมีลูกไม่ได้ด้วยซ้ำ นอกจากจะเกิดเรื่องปาฏิหาริย์”

และส่วนใหญ่ที่เรียกว่าปาฏิหาริย์

เป็นสิ่งที่คนทำขึ้นมาทั้งนั้น!

ซุนเย่าเหวินสูบบุหรี่อย่างหนักหน่วงแล้ว ควันบุหรี่อบอวลในดวงตา ปรากฏเส้นเลือดออกมา สีหน้าของเขาไม่สู้ดีมาก นั่งพิงบนเก้าอี้สายตาเหม่อลอยไร้จุดโฟกัส

“ติ๊ง…..”เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นแล้ว

เหมือนว่าซุนเย่าเหวินแทบจะอดใจรอไม่ไหว รีบหยิบโทรศัพท์ออกมาดู บนมือถือมีเพียงหนึ่งประโยค : “รูปภาพได้รับการยืนยันแล้ว ภรรยาของคุณเคยทำแท้งเมื่อสามปีก่อนจริงๆ”

หนึ่งประโยคสั้นๆ ซุนเย่าเหวินกลับว่าใช้เวลาอ่านห้านาทีเต็มๆแล้ว ไม่ขยับ เหมือนกับรูปประติมากรรมที่ไร้ซึ่งลมหายใจใดๆเลย

ทั้งหมดนี้ล้วนแต่ได้รับการยืนยันแล้ว ก็ขาดแค่ตรวจDNAใหม่อีกครั้ง แต่ในใจของเขารู้ว่า ตรวจDNAใหม่อีกครั้ง เพียงแค่จะทำให้เขาทุกข์ทรมานใจมากยิ่งขึ้น

เขากดนิ้วมือทั้งห้านิ้วลงไปในเส้นผมอย่างลึกๆ

สิ่งที่เรียกว่าความสุข ทุกอย่างในวันนี้มันกลายเป็นความว่างเปล่าทั้งหมด

“ขอบคุณนะน้องรัก” ไม่รู้ว่านานแค่ไหนแล้ว ซุนเย่าเหวินเงยหน้าขึ้น ยื่นมือตบที่ไหล่ของฉินเฟย เบ้าตาแดงก่ำ

แม้ว่าฉินเฟยเปิดรอยแผลของเขาแล้ว แต่ก็ถือว่าช่วยเขาไว้แล้ว ช่วยตระกูลซุนแล้ว!

แม้ว่าตอนนี้เขาทุกข์ทรมานมาก แต่ยังรู้เหตุรู้ผล

เดิมทีเขากับโจวแยเวนก็เป็นสามีแก่กับภรรยาสาว อายุห่างกันเกือบ 30 ปี ถ้าหากไม่เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น คนที่จากโลกนี้ไปก่อนก็เป็นเขาแน่นอน

และในช่วงเวลาที่เขายังมีชีวิตอยู่ ภรรยาของตัวเองถูกโจวต้าเฉียงแทะโลมอยู่ตลอด หลังจากที่ตัวเองตายไป งั้นทั้งสองคนก็ยิ่งจะกำเริบเสิบสาน กิจการพื้นฐานของตระกูลซุนก็ถูกลูกชายของคนอื่นสืบทอดต่อ……

แม้ว่าตายเขาก็ยากที่จะนอนตายตาหลับ!

แต่ว่า เรื่องจริงเช่นนี้ เขาก็ยากที่จะยอมรับได้เช่นเคย!

ซุนเย่าเหวินคนทั้งคนเหมือนแก่หง่อมลงสิบกว่าปีแล้ว หยิบกล่องบุหรี่คาบบุหรี่ไว้หนึ่งมวน ในมือค่อนข้างสั่นเทาแล้ว

ฉินเฟยรู้ ซุนเย่าเหวินเคยติดบุหรี่หนักมาก

จุดบุหรี่ ซุนเย่าเหวินสูบเข้าไปอย่างลึกๆ ตอนนี้ความคิดของเขาสับสนวุ่นวายมาก ถึงขั้นไม่รู้ว่าต่อไปตัวเองควรจะทำยังไง

เหมือนว่าเขาจะไม่มีเรี่ยวแรงเลยทันที ไม่มีการค้ำยันแล้ว

เขาต้องการยาสูบมาช่วยผ่อนคลายความกดดันที่มีมากมหาศาลในใจของตัวเอง

“คุณช่างโชคดีมากจริงๆ”ฉินเฟยยิ้มเล็กน้อย

ซุนเย่าเหวินเงยหน้าขึ้นเบาๆ สายตาที่เต็มไปด้วยเส้นเลือกหรี่ลงเล็กน้อยแล้ว นี่ฉินเฟยกำลังขอความดีความชอบจากตัวเองเหรอ?

“คำพังเพยพูดไว้ดีมาก ขอเพียงให้มุมานะพยายาม สวรรค์ก็จักช่วยให้ประสบความสำเร็จ” ฉินเฟยยังคงเผยรอยยิ้ม บนใบหน้า เอียงศีรษะมอง ซุนเย่าเหวินที่ใบหน้าเสื่อมโทรมพร้อมพูดว่า : “คุณยังจำเสิ่นเสวี่ยเหมยได้ใช่ไหม?”

ซุนเย่าเหวินตกตะลึง มองไปยังฉินเฟย

มองเขาอยู่ตลอด สามนาทีเต็มๆ

สายตาผิดปกติ

“เหลือเชื่อมาก นายรู้ความลับมากมายขนาดนี้ได้ยังไงกัน แต่ดูนายแล้วอายุก็ไม่น่าเกินยี่สิบต้นๆ นายรู้จักเธอได้ยังไง?”ซุนเย่าเหวินพูดถาม สายตาค่อนข้างซับซ้อน

เสิ่นเสวี่ยเหมย หนึ่งในผู้หญิงจำนวนมากของซุนเย่าเหวิน แต่เป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่ซุนเย่าเหวินจำได้แม่นเป็นพิเศษ

“ผมไม่เพียงแค่รู้จักเธอนะ ผมยังรู้ว่าผู้หญิงที่ในใจของคุณรู้สึกติดค้างที่สุดในชีวิตนี้ ก็คือเธอ”

ฉินเฟยยิ้มเล็กน้อย เหมือนว่าไม่เห็นอันตรายจากนัยน์ตาของซุนเย่าเหวิน : “ตอนนั้นคุณแอบใช้อุบายสกปรกและได้ไปล่วงเกินคนเขาเข้าแล้ว หลบซ่อนตัวอยู่ในสถานที่ที่มีชื่อว่าหมู่บ้านตระกูลหวัง มณฑลโจวหยางทางทิศใต้ของซงไห่ เมื่อหลบซ่อนก็หลบซ่อนตัวเป็นเวลาสามปี คุณรักผู้หญิงคนหนึ่งจากที่นั่นแล้ว มีชื่อว่าเสิ่นเสวี่ยเหมย ” ฉินเฟยพูดกล่าว

ผมเป็นเขย(ผู้ไม่ธรรมดา) บทที่53 พล็อตเรื่องผกผัน!(2)
เห็นสีหน้าของโจวฉ่ายเวยเปลี่ยนไป หัวใจของซุนเย่าเหวินจมดิ่งโดยสิ้นเชิงแล้ว

ความหวังเพียงเล็กน้อยที่อยู่ในใจ ก็สูญสลายโดยสิ้นเชิง

เมื่อกี้ฉินเฟยให้แค่ข้อมูลเช่นนี้กับเขา บอกว่าโจวฉ่ายเวยแอบมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวอย่างลับๆกับน้องชายมาหลายปี ถึงที่ว่าแอบมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกันมาตลอด

และผู้ช่วยพิเศษหลิวได้ทราบข่าวจากทางบอดี้การ์ดว่า เมื่อวานตอนบ่ายโจวฉ่ายเวยไปวิลล่าเหยียนหยุนมาแล้ว พวกเขาแค่คุ้มกันอยู่ล่างตึก

สุดท้ายแล้วโจวฉ่ายเวยไปทำอะไรที่ชั้นบน พวกเขาก็ไม่รู้

ซุนเย่าเหวินช่างฉลาดเหลือเกิน นี่กำลังใช้กลอุบายทำให้เธอหวาดกลัว!

จริงๆแล้วซุนเย่าเหวินไม่ได้คิดที่จะเชื่อคำพูดของฉินเฟยและบอดี้การ์ดเลยด้วยซ้ำ และก็ไม่เต็มใจที่จะเชื่อด้วย

เพราะว่าเขาไม่รู้เรื่องว่าฉินเฟยคือใครและทำไมถึงรู้เรื่องความลับมากมายขนาดนี้ ตัวเองก็มีความน่าสงสัยมาก

แต่ตอนนี้ สิ่งที่ซุนเย่าเหวินยิ่งเป็นกังวล ยังคงเป็นเรื่องครอบครัวของตัวเอง

เรื่องเหล่านี้ที่ฉินเฟยพูดกับตัวเอง สำหรับเขาแล้วมันสำคัญมาก!

เขาอยากจะไปพิสูจน์สักหน่อย

“ห๊ะ……งั้น งั้นเหรอ?เพื่อนของคุณมองผิดแล้วหรือเปล่า?”

แม้ว่าซุนเย่าเหวินไม่พูดว่าเรื่องอะไร แต่โจวฉ่ายเวยลนลานแล้วจริงๆ เธอไม่รู้ว่าแอบออกไปมีความสัมพันธ์กับโจวต้าเฉียงกว่ากี่ครั้งแล้ว เจ็ดปีที่ผ่านมาพวกเขาเป็นพยานเท็จให้กันและกัน ไม่เคยเกิดเรื่องอะไรเลย

นี่ก็ทำให้พวกเขากล้ามากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งเวลานานเข้าก็ไม่สลับกันเป็นพยานเท็จให้กันอีก เมื่อวานเธอแค่ได้ยินว่าโจวต้าเฉียงจองสถานที่ที่วิลล่าเหยียนหยุนไว้เรียบร้อยแล้ว ให้ตัวเองแอบไปหาเขา โจวฉ่ายเวยถึงขั้นที่ว่าไม่รู้เลยว่าโจวต้าเฉียงไปคุยกับลูกค้า

เพราะว่าซุนเย่าเหวินไม่เคยสงสัยสถานะพี่น้องของพวกเขามาก่อนเลย เพราะงั้นยิ่งกำเริบเสิบสาน

“เพื่อนของผมมองผิดไป?แม้แต่ภรรยาของผมก็มองผิดได้?งั้นผมจะโทรศัพท์เดี๋ยวนี้เลย” ซุนเย่าเหวินพูดกล่าว

“ห๊ะ จริงสิ ฉันคิดขึ้นได้แล้ว เมื่อวานตอนบ่ายฉันไปวิลล่าเหยียนหยุนมาจริงๆ ก็อุดอู้อยู่ในบ้านเป็นเวลานานแล้วอยากจะออกไปเดินเตร่ แต่ว่าประมาณสี่โมงกว่าก็ไปรับลูกชายเลิกเรียนแล้ว……”โจวฉ่ายเวยตกใจจนรีบกลับคำพูดอธิบาย ถ้าหากกล้องวงจรปิดถ่ายเธอติดแล้ว ในเวลานี้โกหกจะยิ่งแย่มากขึ้นเท่านั้น

แต่เธอเชื่อ ถ่ายบันทึกคลิปวิดีโอของเธอและโจวต้าเฉียงไม่ติดแน่นอน วิลล่าเหยียนหยุนไม่ใช่โรงแรมเล็กๆเหล่านั้น ที่ห้องถูกติดตั้งกล้องวงจรปิด ยิ่งไปกว่านั้น ในเรื่องแบบนี้ โจวต้าเฉียงก็จัดการอย่างระมัดระวังอย่างมากมาตลอด

ซุนเย่าเหวินมองโจวฉ่ายเวยอย่างนิ่งๆ ใต้ชายแขนเสื้อสูท กำหมัดไว้แน่น เส้นเลือดดำปูดขึ้น

“ที่รักทำไมจู่ๆคุณถามเรื่องเหล่านี้กับฉันทำไมเหรอ?ไอ้เศษสวะนี้เขาด่าฉัน คุณก็ไม่สนใจ?”โจวฉ่ายเวยจับแขนของซุนเย่าเหวินทันที ชี้ไปยังฉินเฟยอย่างตื่นเต้น พยายามเบี่ยงเบนความสนใจของเขา เริ่มใช้กลอุบายเหมือนเดิมอีก พาลไม่ยอมฟังเหตุผล

เปรี๊ยะ!

เสียงตบหน้าดังขึ้นมาอย่างชัดเจน

ดังก้องทั้งร้านอาหารแล้ว!

ซุนเย่าเหวินตบสะบัดออกไปด้วยความโกรธ โจวฉ่ายเวยกรีดร้อง คนทั้งคนกระเด็นลอยออกไปเลย!

และกระแทกมุมโต๊ะอาหาร หน้าผากกระแทกจนเลือดออกแล้ว

แก้มที่งดงามและประณีตข้างหนึ่งบวมเป่งเกิดรอยฝ่ามือห้านิ้วสีแดงสดทันที ถึงขั้นมุมปากก็มีเลือดสดๆไหลออกเห็นได้ว่าซุนเย่าเหวินตบอย่างหนักหน่วง!

โจวฉ่ายเวยถูกตบจนมึนแล้ว!

คนที่อยู่ในที่เกิดเหตุทั้งหมดก็มึนแล้วเช่นกัน!

ซุนเย่าเหวินมีชื่อเสียงโด่งดังเรื่องรักภรรยาอย่างสุดซึ้ง ทำไมจู่ๆถึงตบหน้าเธอต่อหน้าผู้คนมากมายแล้ว แถมยังลงมือหนักขนาดนี้อีกด้วย?

แม้แต่หนังตาของเจียงเยว่ถงก็อดไม่ได้ที่จะกระตุกครู่หนึ่งแล้ว

เธอหันหน้า มองไปยังฉินเฟยทันที

เรื่องราวต่างๆบอกเธอว่า ทั้งหมดนี้เป็นฝีมือของฉินเฟยทั้งนั้น ตั้งแต่ที่เขาพูดว่าอยากลองเสี่ยงดู จนถึงโจวฉ่ายเวยปรากฏตัวออกมาและฉินเฟยก็เหมือนรนหาที่ตายกระตุ้นให้โจวฉ่ายเวยโมโห แถมยังหลอกล่อให้ซุนเย่าเหวินมา……

แต่ว่า ฉินเฟยพูดอะไรกับซุนเย่าเหวินบ้างกันแน่?

“พวกนายพาคุณหญิงกลับไปก่อน”ซุนเย่าเหวินพูดสั่งบอดี้การ์ดสองคนข้างๆด้วยสีหน้าที่ไร้อารมณ์: “เฝ้าดูให้ดี อย่าให้เธอออกไปสร้างปัญหาอีก”

“ครับ”

บอดี้การ์ดทั้งสองคนก็ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้ว เหมือนว่าตกใจกับตบของซุนเย่าเหวินจนบื้อไปแล้ว ในเวลานี้ได้ยินเสียงสั่งของซุนเย่าเหวิน รีบตอบกลับทันที ประคองโจวฉ่ายเวยที่ถูกตบจะบื้อขึ้นมา พาตัวออกไปแล้ว

ซุนเย่าเหวินสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และหลังจากนั้นก็หันหน้ามองไปยังรอบๆแวบหนึ่งแล้ว ใบหน้าเผยคำขอโทษ : “ทำให้ทุกท่านเห็นเรื่องน่าขำแล้ว ขอโทษทุกท่านด้วยนะ ภรรยาถูกผมตามใจจนเสียนิสัยแล้ว ทำลายความงดงามของมื้ออาหารค่ำของทุกท่านแล้ว ขอโทษทุกท่านด้วย”

ซุนเย่าเหวินพูดไปพลาง ประสานมือ ถึงขึ้นพยักหน้าแสดงคำขอโทษทุกโต๊ะ กิริยาท่าทางเหมาะสมอย่างมาก

“เถ้าแก่ซุนเกรงใจกันแล้ว”

“เถ้าแก่ซุนคุณไปยุ่งธุระเถอะ ไม่มีปัญหา”

มีคนในร้านอาหารตอบซุนเย่าเหวินกลับทันที มีเถ้าแก่สามสี่คนลุกขึ้นยืนพูดอย่างสุภาพแล้ว

“เหอะๆ ไม่ว่าจะพูดยังไง วันนี้ก็เป็นความผิดของภรรยา ค่าอาหารของทุกท่านที่นั่งอยู่ในวันนี้ คิดเงินกับผมซุนเย่าเหวิน ทุกท่านทานให้อร่อย ถือว่าผมซุนเย่าเหวินขอโทษต่อทุกท่าน”

นี่ก็คือท่าทางของบุคคลยิ่งใหญ่!

แม้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ค่อนข้างน่าอับอาย ถึงขั้นไม่ต่างอะไรกับข่าวด่วน ทำให้คนคิดเชื่อมโยงกับเรื่องราวได้มากมาย แต่ท่าทางของซุนเย่าเหวินไม่ทำให้คนเขาเกิดความไม่พอใจเลยสักนิด ในทางกลับกันยังชื่นชมอีกด้วย

“เถ้าแก่ซุนเกรงใจเกินไปแล้ว……”มีคนสามสี่ลุกขึ้นยืนแล้ว

“นั่งๆ ทุกคนรีบนั่งนะ พวกคุณทานให้อร่อย วันนี้ขอโทษทุกท่านจริงๆนะ ขอโทษๆ ” ซุนเย่าเหวินยื่นมือออกไปทำไม้ทำมือ ขอโทษคนรอบๆตัวอีกครั้ง

เห็นคนที่ร้านอาหารนั่งลงแล้ว ซุนเย่าเหวินถึงได้รับกลับมายังข้างกายของลูกค้า

ผู้นำคือชายที่ใส่เสื้อขนสัตว์บางๆสีเทาดำ อายุประมาณ60กว่าปี มองดูแล้วเหมือนว่าจะเป็นชายชราธรรมดาที่เกษียณ

“พี่ชาย ขอโทษนะ ให้ทุกคนเห็นเรื่องน่าขำแล้ว……”ซุนเย่าเหวินขอโทษก่อน น้ำเสียงค่อนข้างขื่นขม

“เหล่าซุน นี่นาย……”ชายชราเสื้อขนสัตว์สีเทาใกล้เข้ามาครึ่งก้าว พูดถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ

“โธ่เอ๊ย เรื่องนี้ไม่พูดถึงให้แปดเปื้อนหูของพี่ชายแล้ว……”ซุนเย่าเหวินโบกไม้โบกมือ ไม่อยากพูดอะไรมากมาย

แม้ว่าพวกเขาเห็นทั้งหมดแล้ว แต่คาดเดาในบทสนทนาของซุนเย่าเหวินและโจวฉ่ายเวยไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ว่ามีหมายความว่ายังไง เพราะว่าเรื่องที่พูดคือเรื่องที่โจวฉ่ายเวยไปวิลล่าเหยียนหยุนกับน้องชายของเธอเมื่อวานนี้

พวกเขาต่างก็รู้ว่าเป็นน้องชายแท้ๆของโจวฉ่ายเวย ไม่มีทางคิดไปทางด้านของคนรักโดยปริยาย ยิ่งไปกว่านั้นก็ไม่ได้ทางคาดเดารายละเอียดหลักๆของเรื่องราวได้

เพราะว่าตั้งแต่ต้นจนจบ ความลับที่ปิดไว้ทั้งหมด ฉินเฟยได้ใช้โทรศัพท์ส่งข้อความให้ซุนเย่าเหวิน นี่ก็หลีกเลี่ยงไม่ให้มีใครมาแอบฟังได้

นี่ก็เป็นความรอบคอบของฉินเฟย ในฐานะที่ตอนนั้นเป็นคุณชายใหญ่ของตระกูลฉิน เขาถูกตั้งความหวังไว้สูงตั้งแต่เด็ก และอบรมเลี้ยงดูอย่างสุดใจ ตอนอายุ13ปีก็รับช่วงต่อบริษัทแห่งหนึ่งแล้ว ถือว่าครอบครัวให้ฝึกประสบการณ์ ไม่ว่าคนแบบไหนเขาก็ได้เคยสัมผัสมาหมด ยิ่งไปกว่านั้นก็รู้ว่าบางเรื่องใช้วิธีการแบบไหน ผลลัพธ์ที่ได้จะดียิ่งกว่า

ฉินเฟยไม่ได้เลือกที่จะพูดตรงหน้าผู้คน ในเมื่อเป็นแบบนี้โทษที่โจวฉ่ายเวยได้รับจะใหญ่มากยิ่งขึ้น ถึงขั้นลดอันดับเป็นตัวตลกของทั้งซงไห่ แต่ซุนเย่าเหวินล่ะ?

นี่ไม่ต่างอะไรกับตั้งใจทำเรื่องชั่วแล้ว

ในมุมมองของฉินเฟย ซุนเย่าเหวินเป็นบุคคลที่คู่ควรที่จะคบหาเป็นเพื่อน นอกจากนี้ นี่ก็ขัดต่อความตั้งใจเดิมของเขา เป้าหมายที่ใหญ่ที่สุดในวันนี้ของเขาคือจัดการข้อพิพาทของตระกูลเจียงและตระกูลซุน แต่ไม่ได้มาเพื่อล่วงเกินซุนเย่าเหวิน

ลูกค้าที่ซุนเย่าเหวินเชิญมาก็ไม่มีใครเป็นคนโง่ ใครๆต่างก็มองออกว่าตอนนี้ซุนเย่าเหวินอารมณ์ไม่ดีอย่างมาก ไม่มีทางถามอะไรมากมายไปโดยปริยาย

“พี่ชายพวกคุณขึ้นไปดื่มชาที่ชั้นบน ฉันยังมีเรื่องส่วนตัวที่ต้องจัดการนิดหน่อย ขอโทษทุกท่านด้วย อีกเดี๋ยวฉันตามไป”ซุนเย่าเหวินทำไม้ทำมือ ควักเรียกให้ผู้ช่วยเดินมา ปากพูดกำชับให้เขาดูแลลูกค้ของตัวเองให้ดี

“ไม่เป็นไร พวกเราก็ไม่ได้รีบร้อน เหล่าซุนคุณไปทำธุระก่อน”ชายชราที่ใส่เสื้อขนสัตว์สีเทาโบกไม้โบกมือ

ซุนเย่าเหวินจับมือของเขา ทั้งสองคนพูดไปพลาง เดินขึ้นด้านบนไปพลาง

……

หลังจากที่เจียงเยว่ถงพูดแย้งซุนเย่าเหวิน ก็ไม่ได้พูดอะไรอีกเลย มองดูทุกอย่างที่เกิดขึ้นอยู่ตลอด ท้ายที่สุดสายตาก็ทอดมองไปยังฉินเฟยอย่างเงียบๆ

เผชิญหน้ากับคำถามและสายตาที่สงสัยของเจียงเยว่ถง ฉินเฟยทำได้เพียงฝืนยิ้มกลับไป

ตอนนี้โอกาสไม่เหมาะ เขาพูดไม่ได้จริงๆ

อีกอย่าง เรื่องราวนี้มันช่างยาวเหลือเกินจริงๆ……

“เหอะๆ เยว่ถง พี่ขอโทษแกนะ พี่ว่าเธอไปหลายครั้งแล้ว แต่เธอก็ไม่เชื่อฟัง ครั้งนี้มาก่อกวนแกอีก พี่ขอโทษแกด้วยนะ”

ซุนเย่าเหวินที่ไปส่งแขกก็กลับมาแล้ว ขอโทษเจียงเยว่ถงเลย เขายังถือว่าคุ้นเคยกับเจียงเฟิ่งหยุน เจียงเยว่ถงเป็นคนรุ่นหลังของเขา ก็ไม่ได้อะไร

แต่ประเด็นคือ ซุนเย่าเหวินริเริ่มขอโทษเจียงเยว่ถง?

ทุกคนต่างก็ตาเบิกกว้างแล้ว ถึงขั้นมีคนสามสี่คนอดไม่ได้ที่จะยื่นมือล้วงในหู สงสัยว่าตัวเองฟังผิดแล้ว

วันนี้ เกิดอาเพศอะไรขึ้นแล้วเหรอ?

ในเวลานี้มีผู้คนมากมายคิดโยงไปถึงคำพูดในเมื่อก่อนที่เจียงเยว่ถงโต้แย้งกับซุนเย่าเหวิน สีหน้าท่าทางเปลี่ยนเป็นสดใสมากยิ่งขึ้นแล้ว

คนบนโต๊ะอาหารต่างก็มองหน้ากัน หรือว่าอำนาจที่แข็งแกร่งของตระกูลเจียงผงาดขึ้นแล้วงั้นเหรอ?แม้แต่ซุนเย่าเหวินก็จะต้องยอมอ่อนข้อให้?

ทุกคนอยู่ที่ซงไห่กันทั้งนั้น ทำไมพวกเขาไม่ได้รับข่าวคราวนี้?

เห็นได้ชัดว่า ซุนเย่าเหวินจงใจที่จะพูดเช่นนี้ เพราะว่าเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น คาดว่าคนที่นั่งอยู่บนที่นั่งในตอนนี้แม้ว่าปากจะไม่พูดอะไรก็ตาม แต่ในใจต่างก็คาดเดาว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นระหว่างเขาและโจวฉ่ายเวยสองสามีภรรยาคู่นี้กันแน่

แม้ว่าเขาขอโทษเด็กน้อยของตระกูลเจียงค่อนข้างเสียหน้า แต่ดีกว่าให้เขารู้ว่าเขาถูกสวมเขา อีกอย่างถูกสวมเขามา7ปีแล้ว!

“คุณลุงซุนเกรงใจกันแล้ว ฉันยังคิดว่าคุณจะโกรธฉันเสียอีกนะ”เจียงเยว่ถงมีปฏิกิริยาตอบกลับอย่างรวดเร็ว ยิ้มอย่างไม่แคร์

“ไม่มีทางแน่นอน แกเป็นหลานสาวของฉันนะ ฉันเป็นเพื่อนเก่าแก่กับพ่อของแก”ซุนเย่าเหวินหัวเราะเหอๆ

“เสี่ยวถง ยืมใช้สามีของแกหน่อยเป็นยังไง?”ซุนเย่าเหวินถึงได้มองไปยังฉินเฟยที่นั่งอยู่ข้างๆเจียงเยว่ถง

เจียงเยว่ถงพูดในใจว่าเป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ แต่ว่าเธอไม่ใช่หญิงปากร้ายอย่างโจวฉ่ายเวยแบบนั้น เอียงศีรษะมอง เผยคำถามนัยน์ตา ฉินเฟย : “ที่รัก ฉันรอคุณอยู่ในนี้ก่อน?”

ซุนเย่าเหวินตะลึงเล็กน้อย เปล่งเสียงในใจว่าเป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆเช่นกัน!

ข่าวลือลืออยู่ตลอดว่า เจียงเยว่ถงแต่งงานกับสามีเศษสวะคนหนึ่ง แต่ว่าวันนี้เขาเห็นฉินเฟยครั้งแรก ก็รู้สึกว่าวัยรุ่นคนนี้ไม่ธรรมดา ไม่รู้สึกสะทกสะท้านจากการข่มขู่ของตัวเองได้ ไม่ใช่วัยรุ่นใครคนไหนก็ทำได้

“อยากที่จะทำความรู้จักกับเถ้าแก่ซุนตั้งนานแล้ว” ฉินเฟยลุกขึ้นยืน ยิ้มเล็กน้อย

“ไปห้องวีไอพีกันดีกว่า เชิญ” ซุนเย่าเหวินมองฉินเฟยอย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง ทำท่าทำทางสื่อความหมายแล้ว

“โอเค”

ผมเป็นเขย(ผู้ไม่ธรรมดา) บทที่ 52 พล็อตเรื่องผกผัน!(1)
“เป็นอะไรเหรอพี่ซุน?เกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้วหรือเปล่า?”โจวฉ่ายเวยค่อนข้างฝืนยิ้ม

พวกเขาสองคนเป็นคู่สามีแก่ภรรยาอายุน้อย พี่ซุนเป็นชื่อที่โจวฉ่ายเวยชอบเรียกซุนเย่าเหวิน ในเวลานี้เธอเรียกว่าพี่ซุน ก็นำมาซึ่งการเอาใจอย่างเห็นได้ชัดเจน

เดิมทีเธอคิดว่าเศษสวะที่ด่าว่าตัวเองคนนี้จะต้องตายถูกแบกหามออกไปในคืนนี้ แต่คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายดึงซุนเย่าเหวินพูดแค่หนึ่งประโยคเบาๆ สั้นมาก สั้นถึงขนาดที่ว่าหนึ่งประโยคก็พูดไม่จบ แต่กลับทำให้ซุนเย่าเหวินสงบลงได้

โดยเฉพาะหลังจากนั้นซุนเย่าเหวินยังดูโทรศัพท์ เห็นได้ชัดว่าหลังจากที่ดูแล้วยังส่งข้อความอีกด้วย และเศษสวะนั่นก็กำลังส่งข้อความ ทั้งสองคนกำลังใช้โทรศัพท์พูดคุยกันเหรอ?

พวกเขาพูดอะไรกัน?ทำไมสายตาที่สามีมองมาที่ตัวเองถึงค่อนข้างผิดแปลกไป?

โจวฉ่ายเวยพึงพอใจกับชีวิตในตอนนี้ และก็รู้ว่าได้มาแบบลำบากยากเข็ญ เธอระวังตัวมาตลอด จริงๆแล้วเธอไม่อยากที่จะแอบมีความสัมพันธ์ทางด้านชู้สาวอย่างลับๆกับโจวต้าเฉียงตั้งนานแล้ว เสี่ยงอันตรายเกินไป แต่ทั้งสองคนลงเรือลำเดียวกัน เธอก็ไม่กล้าที่จะทำให้โจวต้าเฉียงขุ่นเคือง

และหลายปีมานี้โจวต้าเฉียงก็ทำเงินไม่น้อย แน่นอนว่าข้างกายก็ไม่ขาดแคลนสาวน้อยเลย และเพราะเหตุนี้เขาจึงชอบโจวฉ่ายเวยมาตลอด บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าเธอคือภรรยาของซุนเย่าเหวิน เวลารังแกมีความรู้สึกที่พิเศษอย่างหนึ่ง

โจวฉ่ายเวยไม่มีทางเลือกอื่น ทำได้เพียงแอบรักกันกับโจวต้าเฉียงอย่างระมัดระวัง ยิ่งกว่านั้นโจวฉ่ายเวยก็ถึงช่วงที่มีความต้องการทางเพศอย่างมาก แต่ซุนเย่าเหวินดันอายุ50กว่าปีแล้ว ไม่สามารถสนองความพึงพอใจได้โดยปริยาย

อีกอย่าง โจวฉ่ายเวยก็ชอบความรู้สึกตื่นเต้นของการหลบๆซ่อนๆแบบนี้

แต่ตอนนี้ เธอค่อนข้างลนลานแล้วจริงๆ!

เพราะว่าเมื่อก่อนฉินเฟยไอ้เศษสวะคนนี้เคยพูดว่า เธอทำศัลยกรรมมา และพูดว่าเธอเคยเป็นหญิงสาวขายบริการ!

เริ่มแรกเธอแค่รู้สึกว่าอีกฝ่ายกำลังเยาะเย้ยด่าทอตัวเอง แต่ตอนนี้กลับมาคิดๆดูแล้ว เหมือนว่าไม่ได้เป็นแบบนี้

เหมือนว่าเขาจะรู้เรื่องบางอย่างของตัวเอง……

ในใจของโจวฉ่ายเวยยิ่งไม่สบาย

ในเวลานี้ซุนเย่าเหวินใบหน้านิ่งเฉย อารมณ์แปลกไปมาก

ทันใดนั้นบรรยากาศก็เปลี่ยนเป็นแปลกระหลาดขึ้นมา……

ซุนเย่าเหวินไม่ได้ตอบกลับโจวฉ่ายเวยและหันหน้าเบาๆมองไปยังทางขึ้นบันไดแวบหนึ่งแล้ว พูดเสียงเบาๆว่า : “ใครก็ได้มาหน่อย!”

น้ำเสียงของซุนเย่าเหวินไม่ดังมาก แต่เมื่อพูดจบ มีบอดี้การ์ดชุดสูทสีดำ 8คน วิ่งขึ้นมา ‘ฮูลาลา’จากทางบันไดทันที

นี่เป็นบอดี้การ์ดเฉพาะตัวของซุนเย่าเหวิน ชื่อว่าสิบสององครักษ์ แต่ละคนคัดมาเป็นอย่างดี ผ่านประสบการณ์การสู้รบกว่าหลายครั้ง!

การเสียชีวิตของซุนเย่าฉวนในปีนั้น ก็เพื่อเตือนซุนเย่าเหวิน ต่อให้คุณมีเงินมากแค่ไหน มีความสามารถแค่ไหน เมื่อตายแล้ว งั้นก็ไม่มีอะไรเลยทั้งนั้น

เพราะงั้นในทางด้านนี้ ซุนเย่าเหวินยินยอมที่จะจ่ายเงินอย่างมาก!

12องครักษ์แห่งตระกูลซุนมีชื่อเสียงในซงไห่อย่างมาก เพราะว่าคนเหล่านี้ แทบจะเป็นลูกกำพร้าทั้งหมด ถูกตระกูลซุนรับเลี้ยงไว้ หลังจากนั้นปลูกฝังทั้งชีวิตจิตใจ

หลังจากที่โตแล้ว ตระกูลซุนจะลงทุนให้พวกเขาไปเป็นทหาร กลายเป็นทหารกองกำลังพิเศษเป็นการประเมินขั้นพื้นฐานที่สุด หลังจากที่ปลดประจำการ ตระกูลซุนก็จะประเมินครั้งสุดท้ายและก็สำคัญที่สุดกับพวกเขา หลังจากที่ผ่านการประเมิน ถึงจะได้เข้าร่วม12องครักษ์

พวกเขามีทักษะที่แข็งแกร่งมาก ระดับความภักดีก็สูงมากพอเช่นกัน!

และทั้งแปดคนนี้แตกต่างกับบอดี้การ์ดธรรมดา แก้มด้านซ้ายของพวกเขาแต่ละคน มีรอยดาบยาวตัดกันสีฟ้าทั้งหมด นี่เป็นความหมายของการคุ้มกัน

และสำหรับ12องครักษ์แล้ว สามารถประทับเครื่องหมายแบบนี้บนใบหน้าได้ เป็นเกียรติของพวกเขา!

เห็นการปรากฏตัวของทั้งแปดคนนี้ คนที่อยู่รอบๆร้านอาหารแทบจะตกใจจนเปล่งเสียงออกมา กี่ปีแล้ว พวกเขาส่วนใหญ่เคยเห็น12องครักษ์ปรากฏตัวพร้อมกันมากที่สุด 2คน และเรื่องที่12องครักษ์ปรากฏตัวพร้อมกัน8คน พวกเขาเห็นเป็นครั้งแรก!

12องครักษ์ไม่เหมือนกับบอดี้การ์ดทั่วไป เดินแกว่วงไหล่ไปมาอยู่ข้างกายของเถ้าแก่ แต่กระจายไปรอบๆซุนเย่าเหวินอย่างลับๆ ทุกที่ที่ซุนเย่าเหวินไป 12องครักษ์จะสำรวจอันตรายโดยรอบให้เรียบร้อยไว้ก่อนล่วงหน้า รับรองความปลอดภัย

ข้างกายของซุนเย่าเหวิน ด้านนอกที่เห็นปกติที่สุดก็จะมี12องครักษ์คอยคุ้มกันเพียง 2คนเท่านั้น

ส่วนชื่อเสียงเรียงนามของ12องครักษ์ แน่นอว่าฉินเฟยก็เคยได้ยินมาก่อน ในเวลานี้เห็น12องครัก์ปรากฏตัวพร้อมกัน8คนในเวลาเดียวกัน งั้นขาที่ยกขึ้นนั่งไขว่ห้างก็อดไม่ได้ที่จะวางลงแล้ว สายตาค่อนข้างระแวดระวัง

พูดตามตรง แม้ว่าจนถึงตอนนี้แล้ว ฉินเฟยยังคงเดินอยู่อันตรายเช่นเดิม อย่างที่รู้ เขาเป็นคนทำลายครอบครัวของซุนเย่าเหวินพัง!

แต่ว่าซุนเย่าเหวินถูกสวมเขามาเป็นเวลา7ปีแล้ว ก็แม้แต่ซุนเทียนซื่อลูกชายที่เขารักดั่งของล้ำค่า ก็ไม่ใช่ลูกชายแท้ๆของเขา

เรื่องแบบนี้ เป็นใครก็ไม่มีทางรับได้ แม้ว่าเรื่องที่ฉินเฟยพูดเป็นความจริง แต่เรื่องนี้สำหรับซุนเย่าเหวินแล้ว ก็ไม่มีทางซาบซึ้งใจในบุญคุณของเขา!

เดิมทีตามสคริปต์ของฉินเฟยแล้ว ตอนนี้เขาควรจะรีบไปตรวจสอบว่าเรื่องที่ตัวเองพูดมาเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ หลังจากที่สืบจนได้ผลลัพธ์ ซุนเย่าเหวินก็จะต้องใช้มาตรการจัดการบางอย่างกับโจวฉ่ายเวยแน่นอน

แต่ว่า ความคิดของคนแบบซุนเย่าเหวินนี้ ไม่มีใครกล้าที่จะพูดว่าคาดเดาได้จริงๆ

ขั้นตอนต่อไปเขาจะทำยังไง ไม่มีใครรู้

จิตใจเพิ่งจะผ่อนคลาย ของโจวฉ่ายเวยก็ตึงขึ้นมาทันที มองซุนเย่าเหวินแวบหนึ่งแล้ว และก็เอียงหน้ามองฉินเฟยเบาๆอีก

แต่ในเวลานี้ฉินเฟยไม่มีเรี่ยวแรงที่จะไปปลอบใจโจวฉ่ายเวยเลยด้วยซ้ำ 12องครักษ์ทั้ง8คนนี้อันตรายเกินไปแล้วจริงๆ!สถานที่ที่ซุนเย่าเหวินปรากฏตัว ก็มี12องครักษ์!แม้แต่คนโง่ก็รู้ อีก4องครักษ์จะต้องแอบซ่อนตัวอยู่รอบๆแน่นอน

ฉินเฟยเส้นตึงไปทั้งตัว เขารู้ว่า ถ้าหากทุบตีขึ้นมาจริง เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของ12องครักษ์ทั้ง8คนนี้อย่างแน่นอน แต่เขาก็ไม่มีทางยอมให้จับโดยละม่อม!

ในเวลานี้เพียงแค่ฉินเฟย เหมือนว่าแม้อต่แขกในร้านอาหารต่างก็ค่อนข้างตื่นเต้นกันขึ้นมา

ทั่วทั้งซงไห่ คนที่รู้ว่าโจวฉ่ายเวยเคยเป็นโสเภนีมาก่อนนั้นมีอยู่มาก แต่ว่าคนที่กล้าพูดต่อหน้าผู้คนมากมายขนาดนี้ กลับว่าไม่มีสักคน!

และแม้แต่ตระกูลอั่วที่มีอำนาจน่าเกรงขามในซงไห่ก็ไม่กล้า!

ไม่ใช่ว่าไม่กล้า แต่ไม่คุ้มที่จะทำเพราะเพียงแค่หนึ่งประโยคสร้างศัตรูคู่อาฆาตที่ทรงอิทธิพลคนหนึ่ง เพราะงั้น คนที่พูดประโยคนี้ ไม่ต่างอะไรกับรนหาที่ตาย

และฉินเฟยที่อยู่ด้านหน้า ก็คือกำลังรนหาที่ตาย แต่ว่า สามารถทำให้8คนของ12องครักษ์ร่วมกันลงมือได้ ถึงแม้ว่าตายก็ไปคุยโม้ที่ยมโลกได้แล้ว

เผชิญหน้ากับสายตาที่ตกใจของกลุ่มคน ซุนเย่าเหวินยกมือขึ้นเบาๆ พ่นคำพูดสองคำออกมาจากในปากของเขาเบาๆ แต่ทำให้กลุ่มคนที่นั่งอยู่มีสีหน้าที่เปลี่ยนไป : “เอามา!”

เพราะว่าคนที่ซุนเย่าเหวินชี้ไม่ใช่ฉินเฟยและเจียงเยว่ถง แต่เป็นบอดี้การ์ดสี่คนที่ยืนเคารพอยู่ด้านหลังของโจวฉ่ายเวย!

“ที่รัก นี่คุณทำอะไร?พวกเขาทำผิดอะไรเหรอ?”เห็นบอดี้การ์ดทั้งสี่คนของตัวเองถูก 12 องครักษ์ทั้ง8ล็อกตัวไว้ โจวฉ่ายเวยอุทานอย่างตกใจ

“แน่นอนว่า คิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะยืนอยู่ข้างๆปล่อยให้คุณโดนด่าโดนรังแก มีบอดี้การ์ดแบบนี้จะมีประโยชน์อะไร?คุณว่าใช่ไหม? ”ซุนเย่าเหวินพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“จริงๆแล้ว นี่ก็ไม่ใช่ความผิดของพวกเขา ฉันไม่ได้สั่ง พวกเขาก็ไม่มีทางที่จะลงมือแน่นอน”โจวฉ่ายเวยสายตาแปรปรวน ฝืนยิ้ม

โจวฉ่ายเวยเข้าใจสามีของตัวเองมาก เธอรู้ดีอย่างมาก นี่ไม่ใช่เหตุผลที่จะจัดการบอดี้การ์ดทั้งสี่คนนี้เลยด้วยซ้ำ

เธอดันมีความลับในใจ ในใจยิ่งตื่นเต้นขึ้นมามากขึ้น เธอก็ไม่กล้าที่จะเอ่ยปากพูดก่อน เกรงว่าจะเผยไต๋

หลังจากที่บอดี้การ์ดทั้งสี่คนถูกล็อกตัวไว้ ไม่นานก็ถูกนำตัวลงไปแล้ว ผู้ช่วยพิเศษหลิวที่อยู่ข้างๆได้รับข้อความหนึ่ง หลังจากที่ดูเสร็จมองไปยังซุนเย่าเหวินอย่างตกใจแวบหนึ่งแล้ว ไม่ได้พูดอะไรออกมา เดินจากไปอย่างเงียบๆ

ฉินเฟยที่นั่งอยู่บนเก้าอี้เกร็งไปทั้งตัว เห็นภาพฉากนี้ กลิ้งลูกกระเดือกครู่หนึ่ง พ่นลมหายใจลากยาวออกมาแล้ว

สีหน้าท่าทางของเจียงเยว่ถงสงบนิ่ง แต่มองดูอย่างละเอียด หน้าผากที่ขาวดุจหิมะมีเหงื่อออกอย่างแน่นหนาหนึ่งชั้นแล้ว

ไม่มีใครไม่กลัวตาย เจียงเยว่ถงก็เช่นกัน เผชิญหน้ากับซุนเย่าเหวิน พวกเขาอ่อนแอเกินไปแล้วจริงๆ จนกระทั่งมือใหญ่มือหนึ่งจับมือน้อยๆที่เย็นยะเยือกของเธอไว้เบาๆแล้ว เจียงเยว่ถงถึงจะสงบลง

บรรยากาศของร้านอาหารค่อนข้างผิดแปลกไป

นอกจากแขกที่อยู่รอบๆแล้ว ยังมีแขกคนสำคัญทั้งสี่คนที่ซุนเย่าเหวินเชื้อเชิญมาในคืนนี้อีกด้วย แต่ว่าในเวลานี้เห็นอาการของซุนเย่าเหวินไม่ค่อยดี เห็นได้ชัดว่าเจอเรื่องที่เร่งด่วนอย่างมากจำเป็นต้องจัดการ และมันก็ไม่ดีที่จะส่งเสียงรบกวน

“เหอะๆ ขอโทษทุกคนจริงๆนะ เกิดเรื่องเร่งด่วนขึ้นนิดหน่อย ฉันจะจัดการให้เรียบร้อยโดยเร็ว ไม่งั้นพวกคุณขึ้นไปนั่งพักผ่อนที่ห้องวีไอพีด้านบนก่อนเป็นยังไง?”ซุนเย่าเหวินรีบพูด ค่อนข้างยิ้มฝืน

“ไม่มีปัญหา เถ้าแก่ซุนมีเรื่องด่วน ไปทำธุระก่อนก็ได้ พวกเราก็ไม่ได้สนใจเวลาเล็กน้อยนี้หรอก”คนที่เป็นผู้นำโบกไม้โบกมือพร้อมพูดกล่าว

จริงๆแล้ว ไม่ได้ใช้เวลานานมากขนาดนั้น

ไม่นาน โทรศัพท์ที่ซุนเย่าเหวินจับอยู่ในมือก็สั่นครู่หนึ่งแล้ว คนที่ส่งข้อความคือผู้จัดการพิเศษหลิวที่เพิ่งออกไปเมื่อครู่

เห็นได้ชัดว่า หลังจาที่บอดี้การ์ดทั้งสี่คนถูกนำตัวลงไปเมื่อครู่นี้ ไม่นานก็ได้รับการทรมานอย่างไร้มนุษยธรรมแล้ว

การลงโทษที่โหดร้ายทารุณของ12องครักษ์ ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาทั่วไปจะรับได้!

และบอดี้การ์ดเหล่านี้เดิมทีก็ทำเพื่อเงิน แน่นอนว่าไม่มีทางที่จะยอมสละชีวิตไปเพื่อความภักดีเล็กน้อยๆนี้ ไม่นานก็มีคนสารภาพออกมา

เก็บโทรศัพท์กลับมาอย่างเงียบๆ นัยน์ตาของซุนเย่าเหวินสาดส่องความกลัดกลุ้มใจออกมา

“ทำไมเหรอสามี?เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอ?”โจวฉ่ายเวยขี้ขลาด ในใจก็ปล่อยวางไม่ได้หลายเรื่อง ในที่สุดเธอที่ยิ่งตื่นตะลึงมากขึ้นก็อดไม่ได้ที่จะพูดถามอีกครั้ง

แต่งงาน7ปี เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นสีหน้าท่าทางแบบนี้ของซุนเย่าเหวิน

“ไม่มีอะไร จริงสิ เมื่อวานคุณไปทำอะไรมาเหรอ?”ซุนเย่าเหวินโบกมือพร้อมยิ้ม แสร้งว่าถามไปเรื่อยเปื่อย

“เมื่อวานตอนบ่ายฉัน ฉันไปนวดสปามาไม่ใช่หรือไง?”โจแยเวยที่จิตใจไม่สงบแสดงออกมาอย่างไม่ค่อยเป็นธรรมชาติ : “ก็ร้านสปาเพื่อสุขภาพร้านนั้น หลังจากที่ทำสปาเสร็จพวกเขาก็แนะนำให้ฉันทำบำรุงผิวหน้า ตลอดทั้งบ่ายจนถึงเวลาไปรับลูก ฉันก็ไปรับลูกชายเลิกเรียน แถมยังพาลูกชายไปซื้อน่องไก่ที่เคเอฟซีด้วย ตอนนั้นคุณยังว่าฉันอีกว่า ให้ลูกชายทานของพวกนี้ให้มันน้อยๆหน่อยไม่ใช่เหรอ?”

“อ๋อ”ซุนเย่าเหวินพยักหน้า หนังตากระตุกเบาๆแล้ว

โจวฉ่ายเวยเข้าใจมากเกินไปแล้ว!

เพราะว่าภายใต้สถานการณ์ปกติ คนทั่วไปไม่มีทางพูดเยอะขนาดนี้ เห็นได้ชัดว่าก่อนที่จะเกิดขึ้น เธอได้คัดกรองในสมองแล้วรอบหนึ่ง

โจวฉ่ายเวยขี้ขลาด ทำเรื่องอะไรก็จะระมัดระวังมากเกินไปในเรื่องเล็กน้อยๆ แต่ก็เพราะเรื่องเล็กๆนี้ ในทางกลับกันมีความตั้งใจที่จะอธิบายอย่างสุดความสามารถ

แค่ซุนเย่าเหวินดันถามออกมาแค่หนึ่งประโยคอย่างเรื่อยเปื่อย ไม่ได้ต้องการข้อแก้ตัวอะไรมากมาย ด้วยซ้ำ แสดงให้เห็นว่าโจวฉ่ายเวยมีเรื่องที่ปิดบังไว้ในใจ!

สีหน้าท่าทางเพียงเล็กน้อยใดๆก็ตามของโจวฉ่ายเวยล้วนแต่อยู่ในสายตาของซุนเย่าเหวินทั้งหมด

โจวฉ่ายเวยเข้าใจซุนเย่าเหวินจริงๆ แต่ซุนเย่าเหวินรู้จักคนมากมายนับไม่ถ้วน แถมทั้งสองคนก็เป็นสามีภรรยากันมา7ปีแล้ว เขาก็ยิ่งเข้าใจโจวฉ่ายเวย

โจวฉ่ายเวยกำลังพูดโกหก!

ในขณะเดียวกันแทบจะพิสูจน์ได้ว่า ข้อมูลที่ผู้จัดการพิเศษหลิวบีบบังคับให้สารภาพออกมา ถูกต้อง

“ทำนวดสปาเสร็จคุณก็ไปรับลูกชายเลยเหรอ?”

“ใช่ไง ฉันอยู่ตลอด ไม่เชื่อคุณก็ดูกล้องวงจริดได้ ฉันจำได้ว่าออกมาจากร้านประมาณ16:30โดยประมาณ”โจวฉ่ายเวยรีบพูดกล่าว

จริงๆแล้วเธอออกไปจากประตูหลัง หลังจากแอบนัดพบก็กลับมาอีก

“อยู่ตลอด?งั้นทำไมผมถึงได้ยินเพื่อนบอกว่า เมื่อวานตอนบ่ายคุณไปวิลล่าเหยียนหยุนมา?ผมจำได้ว่าเมื่อวานน้องชายของคุณก็ไปเลี้ยงข้าวลูกค้าที่วิลล่าเหยียนหยุนใช่ไหม?”ซุนเย่าเหวินเอ่ยปากพูด

และคำพูดของเขา ทำให้สีหน้าของโจวฉ่ายเวยเปลี่ยนไปมาก

ผมเป็นเขย(ผู้ไม่ธรรมดา) บทที่ 51 เอามาให้ฉัน (4)
ตอนนั้น เรื่องที่ซุนเย่าเหวินความกังวลที่สุดของเรื่องนี้ ผู้คนมากมายต่างก็รู้กัน

เขาประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน เส้นสายกว้างขวาง มีชื่อเสียงที่ดีมากในซงไห่ ตอนนั้นเพื่อนๆที่สร้างความดีความชอบในการสู้รบเพื่อเขาเหล่านั้นมีไม่น้อยเลย ผู้อาวุโสที่มีคุณงามความดีมากมายล้วนเป็นคนสนิทของเขา ผู้ช่วยพิเศษหลิวที่อยู่ข้างกายก็เป็นหนึ่งในนั้น ถึงขั้นที่ว่าเพื่อนจำนวนมากล้วนเป็นคุณปู่แล้ว

อีกอย่าง เขาเคยมีลูกมามากกว่าหนึ่งครั้ง!

แม้ว่าทำการรื้อถอนจะอันตราย แต่ก็ได้ผลกำไรมากมาย มีเงินแล้วข้างกายก็ไม่ขาดแคลนหญิงสาวแน่นอน

แต่เขาในตอนนั้น ทำเรื่องที่เสี่ยงตาย มีลูกแล้ว ก็เท่ากับมีข้อผูกมัด ถูกคนอื่นข่มขู่ได้ง่าย เขาเลือกที่จะให้หญิงสาวเหล่านั้นทำแท้ง

เรื่องราวมากมาย ทำให้โรคหัวใจของเขาขยายใหญ่ขึ้นมากแล้ว

หลังจากเกิดเรื่องขึ้น เขาเคยไปหาผู้หญิงมากมาย ถึงขั้นจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อเชิญอาจารย์หมอที่เชี่ยวชาญด้านการรักษาโรคเขียนใบสั่งยาให้เขา เลิกสูบบุหรี่แล้ว แถมยังออกกำลังกาย เขาพยายามอย่างหนัก แต่ก็ไม่สำเร็จ

เขาก็เคยป่วยเป็นซึมเศร้ามาครั้งหนึ่ง คิดว่านี่เป็นบทลงโทษที่สวรรค์มีต่อเขา!

หลังจากนั้น เขาก็ค่อนข้างที่จะยอมแพ้แล้ว แต่หนามที่อยู่ในใจนั้น กลับว่าทิ่มแทงหัวใจให้เจ็บปวดตลอดเวลา

จนกระทั่งข่าวคราวการตั้งครรภ์อย่างไม่คาดคิดของโจวฉ่ายเวยกระจายมา……

โจวฉ่ายเวยถึงขั้นกับไม่นับว่าเป็นหนึ่งในผู้หญิงมากมายของเขาด้วยซ้ำ เพียงแค่มีครั้งหนึ่งไปดื่มเหล้าคลายทุกข์ที่ไนต์คลับของจางเหวินจง หลังจากที่ดื่มเหล้า จางเหวินจงก็จัดเตรียมโจวฉ่ายเวยผู้หญิงหมายเลขหนึ่งของไนต์คลับที่เพิ่งมาได้ไม่นานคนนี้ให้

ตอนนั้นโจวฉ่ายเวยยังบริสุทธิ์ แถมยังเป็นผู้หญิงหมายเลขหนึ่งของไนต์คลับอีกด้วย!

ตอนนั้นโจวฉ่ายเวยทำศัลยกรรมออกมาได้สำเร็จ ถือว่าเป็นสาวงามจริงๆ

ตอนนั้นโจวฉ่ายเวยตั้งครรภ์โดยไม่คาดคิด แถมยังจะทำแท้งเอาเด็กออก หลังจากที่จางเหวินจงเถ้าแก่ไนต์คลับรู้เรื่องเข้าก็ตกใจแล้ว พาตัวเธอไปพบซุนเย่าเหวินเลย

นี่เป็นสิ่งที่ไม่คาดคิดมาก่อนจริงๆ

แต่เป็นเรื่องที่น่ายินดีที่ไม่คาดคิดแน่นอน!

ซุนเย่าเหวินตรวจครรภ์โจวฉ่ายเวยด้วยวิธีการต่างๆ นานา ทั้งหมดแสดงออกมาว่าเธอตั้งครรภ์แล้วจริงๆ

ซุนเย่าเหวินร้องไห้ด้วยความดีใจ!

ถึงยังไงโจวฉ่ายเวยก็รับลูกค้าเป็นครั้งแรก และหลังจากนั้นเพราะว่าไม่ค่อยสบายก็ไม่เคยรับแขกผู้ชายอื่นๆ เป็นลูกของซุนเย่าเหวินอย่างไม่ต้องสงสัยแน่นอน

สิบเดือนต่อมา เด็กน้อยคลอดออกมาอย่างราบรื่น เป็นเด็กผู้ชาย ซุนเย่าเหวินก็ให้คนทำการตรวจDNAแล้ว เป็นลูกชายของเขาจริงๆ

มีเลือดเนื้อเชื้อไขแล้ว!

ในที่สุดชีวิตของซุนเย่าเหวินก็สมบูรณ์แบบ ถึงขั้นตั้งชื่อลูกชายว่าซุนเทียนซื่อ

เขาคิดว่านี่เป็นของขวัญที่สวรรค์มอบให้เขา

เรื่องราวตามข้างต้นนี้ ก็เป็นเหตุผลที่เขารักภรรยามากเป็นพิเศษ โจวฉ่ายเวยคลอดลูกชายให้เขาหนึ่งคน ไม่ว่าเธอจะมีท่าทีที่หยิ่งผยองและกำเริบเสิบสานมากแค่ไหน ซุนเย่าเหวินก็ตามใจเธอ

น่าเสียดาย……

ตามที่รู้จากการตรวจสอบของหน่วยข่าวกรองพิเศษของตระกูลฉินในตอนนั้น ลูกชายของซุนเย่าเหวินไม่ใช่ลูกชายแท้ๆของเขาเลยด้วยซ้ำ!

นี่เป็นอุบายของการแย่งชิงมรดกมหาเศรษฐี!

อีกอย่าง สิ่งที่น่าขำที่สุดคือ เด็กคนนี้ยังเป็นลูกของน้องชายโจวต้าเฉียงของโจวฉ่ายเวย!

แม่ของโจวฉ่ายเวยร่างกายอ่อนแอ หลังจากที่คลอดโจวฉ่ายเวยก็ไม่สามารถคลอดลูกได้อีก ดังนั้นแม่ของเธอก็จ่ายเงินรับเลี้ยงลูกชายคนหนึ่ง ตั้งชื่อว่าโจวต้าเฉียง รักทะนุถนอมมากดั่งที่รัก

แต่น่าเสียดาย น้องชายโจวต้าเฉียงไม่เอาถ่านตั้งแต่เด็ก ตอนที่เรียนหนังสือก็รู้ว่าตัวเองไม่ใช่ลูกแท้ๆ และหลังจากที่ดื่มจนเมาครั้งหนึ่ง ได้รังแกโจวฉ่ายเวยพี่สาวคนนี้แล้ว และมีลูกโดยไม่คาดคิด

ตอนนั้นโจวฉ่ายเวยยังเป็นเสมียนอยู่ที่บริษัทแห่งหนึ่ง แต่ว่าเธอต่างกันกับผู้หญิงธรรมดาทั่วไป เธอมีอุดมคติของตัวเอง!

ก็คือคิดอยากจะจับผู้ชายรวยๆ

ตอนนั้นหลังจากที่พ่อแม่ซื้อตัวโจวต้าเฉียงมาเลี้ยงดู สถานะในบ้านของเธอก็เสื่อมลงอย่างรวดเร็ว เธอที่เดิมทีครอบครัวก็ไม่ได้ดีด้วยเท่าไหร่ ยิ่งจะประสบความทุกข์ยากแล้ว เธอก็แค่อยากจะแต่งงานกับคนมีเงิน ถึงขั้นเถ้าแก่ใหญ่ กลายเป็นคนมีเงิน ไร้กังวลในเรื่องอาหารเครื่องนุ่งห่ม

เพราะว่ามีอุดมคติเช่นนี้ โจวฉ่ายเวยรักและหวงแหนร่างกายเป็นอย่างดี แต่จะไปคาดคิดได้ที่ไหนกันว่าจะถูกน้องชายที่ดื่มจนเมาเอาไป

ตอนนั้นโจวต้าเฉียงเป็นเพียงหัวหน้ากลุ่มคนที่เฝ้าดูหน้างานของไนต์คลับของจางเหวินจง ดังนั้นจากการปรึกษาอย่างมุ่งมั่น จัดเตรียมพี่สาวให้มาทำเป็นผู้หญิงหมายเลขหนึ่งของไนต์คลับแล้ว!แถมยังพูดว่าเป็นสาวบริสุทธิ์ และไม่ว่าเถ้าแก่ที่ร่วมเตียงกับโจวฉ่ายเวยเป็นใคร เพียงแค่ได้ยินว่าโจวฉ่ายเวยตั้งครรภ์อย่างไม่คาดคิด แน่นอนว่าต้องให้เงินจำนวนหนึ่ง ถึงขั้นคิดอยากจะแบล็คเมล์ขู่เข็ญเอาเงิน

และในเวลานี้

มีครั้งหนึ่งตอนที่โจวต้าเฉียงขับรถไปส่งเถ้าแก่กลับบ้าน ได้รู้เรื่องที่ซุนเย่าเหวินไม่สามารถคลอดลูกได้จากปากเถ้าแก่โดยบังเอิญ เศรษฐีที่ร่ำรวยมากคนหนึ่งแต่ไม่มีเลือดเนื้อเชื้อไข ต่อไปไม่มีใครรับสืบทอดมรดกหมื่นล้านต่อ……

ดังนั้น สองพี่น้องก็สร้างอุบายแบบนี้แล้ว อุบายที่เรียกได้ว่าแนบเนียนไม่มีที่ติ!

ดังนั้น เรื่องเซอร์ไพรส์ที่น่ายินดีเช่นนี้ก็เกิดขึ้นแล้ว!

โจวฉ่ายเวยก็จับคนรวยกลายมาเป็นคนที่มีเงินแล้ว โจวต้าเฉียงก็เป็นผู้จัดการฝ่ายของลู่เจี้ยนกรุ๊ปด้วยเหตุนี้แล้ว เรียกได้ว่าติดตามเจ้านายที่มีอำนาจแล้ว ก็จะพลอยได้ดิบได้ดีมีวาสนาไปด้วย

ภายนอกของทั้งสองคนเดิมทีก็คือพี่น้องแท้ๆ ไม่มีทางที่ใครจะสงสัยแน่ แต่ตั้งแต่ที่ฉินเฟยรู้ข่าวจากการรายงาน โดยส่วนตัวของพวกเขา ที่เรียกว่าพี่น้องแท้ๆนี้ กลับกลายเป็นความสัมพันธ์ของชายหนุ่มและหญิงสาว

ฉินเฟยถึงขั้นรู้อีกว่า โจวต้าเฉียงคิดวางแผนที่จะฆ่าซุนเย่าเหวินให้ตายตั้งนานแล้ว ทำแบบนี้โจวฉ่ายเวยก็จะได้สืบทอดมรดกกับลูกชายของเขาได้อย่างราบรื่น

แต่ว่า ความคิดนี้ถูกโจวฉ่ายเวยยับยั้งไว้แล้ว ไม่ใช่เพราะว่าโจวฉ่ายเวยเกิดมโนธรรมขึ้นมาในใจ แต่เป็นเพราะว่าเธอขี้ขลาดมาก อีกอย่างเธอเป็นสามีภรรยากับซุนเย่าเหวินมาหลายปี ก็ยิ่งเข้าใจดีว่าซุนเย่าเหวินอำนาจยิ่งใหญ่มากแค่ไหน

ปรากฏให้เห็นได้ง่ายว่า ทำถึงขั้นนี้ โจวฉ่ายเวยพึงพอใจมากแล้ว เป็นภรรยาของคนรวย ลูกชายของเธอก็จะสืบทอดมรดกหมื่นล้านต่อหลังจากที่โต แต่โจวต้าเฉียงดันรอไม่ไหวแล้ว แม้ว่าเป็นผู้จัดการใหญ่ แต่เขายังคงไม่พึงพอใจ

เมื่อเป็นเช่นนี้ ถึงได้มีเรื่องที่โจวฉ่ายเวยเป็นแม่สื่อสู่ขอเจียงเยว่ถงให้น้องชาย

และเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ยิ่งไม่มีใครสงสัยเรื่องความสัมพันธ์ฉันท์คนรักของพวกเขาทั้งสอง

เพราะงั้น สามารถทำให้ซุนเย่าเหวินใจเย็นได้ลงทันที ก็เป็นคำพูดท่อนนี้ ท่อนคำพูดที่ปริมาณข้อมูลเยอะมาก

“ลูกชายของคุณไม่ใช่ลูกแท้ๆเลยด้วยซ้ำ!เป็นลูกของโจวฉ่ายเวยและน้องชายของเธอโจวต้าเฉียง มันเป็นเรื่องหลอกคุณทั้งนั้น ลูกชายของคุณหน้าตาไม่เหมือนคุณเลย คุณก็เห็นได้ถูกไหม?แต่ว่าคุณไม่ได้คิดอะไรเยอะ เพราะว่าลูกหน้าตาคล้ายน้าชายของครอบครัวฝั่งแม่ ครอบครัวส่วนใหญ่ก็เป็นเช่นนี้”

“แต่ว่า โจวต้าเฉียงเป็นเด็กที่ครอบครัวของเธอรับมาเลี้ยงเป็นลูก พี่สาวน้องชายอย่างพวกเขาไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกันเลย จะเหมือนน้าชายได้ยังไงกัน?”

เขารู้ว่า ซุนเย่าเหวินรู้ตั้งนานแล้ว แต่ว่าเมื่อก่อนได้ตรวจDNAแล้ว เพราะงั้นซุนเย่าเหวินทำได้เพียงเก็บความสงสัยไว้ในใจ

“โจวฉ่ายเวยมีชื่อเดิมว่าโจววี่เจียน เมื่อเจ็ดปีก่อนเธอทำงานที่องค์กรเริ่มต้นสร้างธุรกิจ เรื่องนี้คุณน่าจะทราบ เธอรักษาตัวเป็นอย่างดีมาตลอด ก็คิดอยากจะจับคนรวยมีอำนาจ แต่ทำไมจู่ๆก็มาเป็นหญิงขายบริการ?เพราะว่าเขาถูกโจวต้าเฉียงที่ดื่มจนเมารังแกแล้ว อีกอย่างตั้งครรภ์อย่างไม่คาดคิด ลองคิดดูจะมีคนรวยคนไหนที่ต้องการหญิงสาวที่เคยตั้งครรภ์มีลูกแล้ว?ความฝันทั้งหมดของโจวฉ่ายเวยสูญสลาย ดังนั้นโจวต้าเฉียงจัดส่งเธอเข้าไปในไนต์คลับแล้ว แถมยังโกหกว่าตัวเองเป็นผู้หญิงบริสุทธิ์ และก็เจอกับคุณเข้าพอดีอีก……”

“แม้ว่าจะทำอุบายนี้อย่างเร่งรีบ แต่คุณที่อยากมีลูกก็ไม่ได้คิดมากเลยด้วยซ้ำ ใช่ไหม?”

ใช่ แม้แต่ว่าโจวฉ่ายเวยเป็นสาวบริสุทธิ์หรือไม่นั้นซุนเย่าเหวินก็ไม่รู้เลย เพราะว่าตอนนั้นเขาดื่มเหล้าเมาแล้ว

ถึงขั้น ทั้งสองร่วมเตียงกันหรือไม่นั้น เขาก็ไม่รู้เรื่องอะไรเลยทั้งนั้น

แต่เรื่องแบบนี้ ผู้ชายจะพูดอย่างชัดเจนได้ยังไง โดยเฉพาะหลังเหตุการณ์ได้รู้เรื่องที่โจวฉ่ายเวยตั้งครรภ์อย่างไม่คาดคิด ถึงขั้นที่โจวฉ่ายเวยยังแสร้งไม่รู้ว่าซุนเย่าเหวินเป็นใคร จะไปทำแท้งเด็ก?

ซุนเย่าเหวินทั้งดีใจทั้งร้อนใจ รีบรับโจวฉ่ายเวยกลับมาถึงบ้านปรนิบัติรับใช้เป็นอย่างดี ให้เธอคลอดลูกออกมา

“ระหว่างเจ็กปีนี้ พวกเขาทั้งสองมีความสัมพันธ์กันอย่างลับๆตลอด ถึงขั้นสี่ปีก่อนโจวฉ่ายเวยตั้งครรภ์โดยไม่คาดคิดอีก แถมยังเป็นลูกของโจวต้าเฉียง โจวฉ่ายเวยตกใจมาก โจวต้าเฉียงแอบจัดการให้เธอไปทำแท้งลูกอย่างลับๆ พวกเขาไม่กล้าไปทำตามขั้นตอนของโรงพยาบาลปกติ และหลังจากเหตุการณ์ก็ให้เงินอีกฝ่ายก้อนใหญ่หนึ่งก้อนแล้ว หาข้อมูลการทำแท้งของโรงพยาบาลเล็กๆแบบนี้ไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ถึงขั้นไม่มีทางที่จะป้อนข้อมูลเข้าไป!”

“แต่ คนที่รับงานพิเศษทำแท้งให้โจวฉ่ายเวยยังอยู่ที่ซงไห่ ตอนนี้คนๆนี้เปิดคลินิกเป็นของตัวเองแล้ว อยู่ที่ถนนเฉิงเต๋อหมายเลข 688 ตอนนั้นโจวต้าเฉียงให้เงินเขาหนึ่งล้านแล้ว เขาจะต้องจดจำพี่น้องของโจวต้าเฉียงอย่างลึกซึ้งมากแน่นอน คุณสามารถหาคนไปตรวจสอบได้เดี๋ยวนี้เลย”

“จริงๆคุณพบว่าพวกเขาค่อนข้างผิดปกติได้ตั้งนานแล้วสินะ?แต่พวกเขาเป็นพยานเท็จให้กันและกันได้เสมอ เพราะว่าเป็นพี่น้องแท้ๆ เพราะงั้นคุณไม่มีทางคิดไปในทางด้านนี้ด้วยซ้ำ ใช่ไหม?”

“ฉันเคยตรวจDNAกับลูกชาย นั่นเป็นโรงพยาบาลเกรดดีตามระเบียบ!”นี่เป็นข้อความที่ซุนเย่าเหวินตอบกลับ

แม้ว่าซุนเย่าเหวินจะตอบข้อความกลับด้วยน้ำเสียงขรึมมาก แต่ในเมื่อเขาตอบกลับ พูดได้ว่าเขาสงสัยแล้วจริงๆ

“สิ่งนี้ก็ง่ายดายมาก ถ้าหากคุณยังจำได้ล่ะก็ ตอนนั้นหลังจากที่คลอดลูก ตอนที่ตรวจDNAโจวต้าเฉียงก็ตามไปด้วย น้องชายภรรยาคอยติดตามไปเป็นเพื่อน ไม่มีใครคิดมาก”

“แต่ว่าคุณควรจะรู้ สังคมนี้ ไม่มีเรื่องไหนที่เงินจัดการไม่ได้ !โจวฉ่ายเวยให้เงินหมอที่ตรวจDNAนั่นสามสิบล้าน เพียงพอที่จะให้เขาไปจากซงไห่ ออกไปใช้ชีวิตที่ไหนสักแห่งอย่างสบายๆ”

“และเงินสามสิบล้านนี้ เป็นเงินที่คุณให้โจวฉ่ายเวยพอดี”

“หลายปีมานี้ พวกเขามักจะออกไปนัดเจอแบบลับๆอยู่บ่อยๆ!”

ฉินเฟยพูดอย่างไม่เกรงใจ ในเมื่อแผลเป็นจะเปิดออกแล้ว เจ็บปวดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ต่อให้พูดละมุนละไมแค่ไหน ก็โหดร้ายไม่เท่าความจริง!

“ฉันจ่ายเงินก้อนโตเพื่อเชิญบอดี้การ์ดทั้งสี่คนมา หรือว่าพวกเขาตาบอดเหรอ?”

นี่เป็นข้อความที่สองที่ซุนเย่าเหวินตอบกลับ

น้ำเสียงขรึมมาก แต่เห็นได้ชัดว่า เขาหวั่นไหวกับข้อความของฉินเฟยแล้ว !

“จ่ายเงินก้อนโต?เท่าไหร่?วันละหนึ่งล้านสูงเฉียดฟ้าเลยสินะ?แน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้ตาบอด แต่เงินปิดตาทั้งสองข้างของพวกเขาได้ ถ้าหากปิดไม่ได้ พูดได้แค่ว่าเงินไม่มากพอ และภรรยาของคุณ ไม่ขาดแคลนเงินพอดี!”

ซุนเย่าเหวินเก็บโทรศัพท์ เงียบขรึมแล้ว

จริงๆความลับแบบนี้ ถ้าหากพูดแค่ทางด้านของฉินเฟย ยากที่จะได้รับความไว้ใจจากซุนเย่าเหวินด้วยซ้ำ เพราะงั้นซุนเย่าเหวินเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เพราะว่าเขาสังเกตเห็นความผิดปกติได้ตั้งนานแล้ว

ถึงยังไงก็เคยเป็นสามีภรรยากันมาเจ็กปีแล้ว แม้ว่าโจวฉ่ายเวยจะทำอย่างระวังมากแค่ไหน แต่ถึงยังไงก็นัดพบกับโจวต้าเฉียงอย่างลับๆกันแล้ว มักจะทำให้ซุนเย่าเหวินสังเกตถึงความผิดปกติได้อยู่บ่อยๆ

และบอดี้การ์ดทั้งสี่คนเป็นคนที่ซุนเย่าเหวินจ่ายเงินก้อนโตเชิญมาคุ้มกันโจวฉ่ายเวย และก็เฝ้าสังเกตโจวฉ่ายเวยจริงๆ

เพียงแค่โจวฉ่ายเวยให้เงินเพิ่มมากกว่า!

ซุนเย่าเหวินจับโทรศัพท์ สีหน้าท่าทางเปลี่ยนไป โจวฉ่ายเวยที่อยู่ข้างๆมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีอย่างเด่นชัดขึ้นในใจ

ถึงยังไงทั้งสองคนก็เป็นสามีภรรยากันมาเจ็ดปี เธอเข้าใจสามีของตัวเองมาก ตอนนี้อารมณ์ของซุนเย่าเหวินก็ผิดแปลกไป

“พี่ซุนเป็นอะไรไปเหรอ?เกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้วเหรอ?”โจวฉ่ายเวยค่อนข้างยิ้มอย่างฝืนทน จิตใจไม่สงบ……

“นี่คือสามีของฉัน และเป็นคนขี้แพ้ในสายตาของคุณนายซุนด้วย!” เจียงเยว่ถงพูดอย่างเฉยเมย

น้ำเสียงของเจียงเยว่ถง ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าไม่เอาแต่ใจ!

และทำให้ทุกคนในร้านอาหารต่างพากันมองอย่างประหลาดใจ เจียงเยว่ถงกล้าดียังไงมาพูดกับซุนเย่าเหวินแบบนี้?

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อซุนเย่าเหวินพยายามข่มความโกรธอย่างเต็มที่?

ดูเหมือนว่า การปรากฏขึ้นอย่างกะทันหันที่นี่ของเด็กรุ่นหลังของตระกูลเจียงคู่นี้ ก็เพื่อมาหาเรื่องทะเลาะกับตระกูลซุน!

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ทุกคนก็ยิ่งประหลาดใจมากขึ้น จนถึงขนาดรู้สึกแปลกๆ ต่อให้อยากตาย ก็ไม่มีใครมารนหาที่ตายแบบนี้หรอกจริงไหม?

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ซุนเย่าเหวินก็เบิกตาขึ้นเล็กน้อย มองไปที่ฉินเฟยด้วยความประหลาดใจ เขาคือสามีของเจียงเยว่ถงหรือเปล่า? เป็นลูกเขยแต่งเข้าบ้านตามข่าวลือหรือเปล่า?

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อฟังจากน้ำเสียงของเจียงเยว่ถงแล้ว เธอกำลังจะวาดแนวทางให้กับตัวเองหรือเปล่า?

เขาไม่ค่อยเข้าใจว่า ผู้หญิงคนนี้ไปเอาความมั่นใจมาจากไหน แต่นิสัยใจคอของเธอเหมาะกับรสนิยมของเขามาก เช่นเดียวกับเจียงเฟิ่งหยุนพ่อของเขา

“ฮ่าฮ่า ตระกูลเจียงมีเด็กรุ่นใหม่ที่มีความสามารถปรากฏตัวขึ้นมาแล้ว” ซุนเย่าเหวินกล่าวอย่างเฉยเมย ไม่มีอารมณ์ใดๆ ในน้ำเสียง

เขาเหลือบมองฉินเฟยเป็นครั้งคราว ขมวดคิ้วเล็กน้อย นอกจากความคุ้นเคยแล้ว ฉินเฟยที่อยู่ตรงหน้าดูเหมือนจะไม่แย่อย่างที่ข่าวลือกล่าว หากเปลี่ยนเป็นคนธรรมดา พอเห็นตนคงกลัวจนขาสั่นไปหมดแล้ว

เรื่องนี้ทำให้เขาค่อนข้างประหลาดใจ ไม่รู้ว่าทำไมเจียงเยว่ถงกับสามีอย่างเขา มีคุณสมบัติอะไรที่จะมาเผชิญหน้ากับตน!

“ที่แท้ก็คนขี้แพ้นั่นเอง หรือว่าไม่ใช่? ในซงไห่คงมีไม่กี่คนที่ไม่รู้เรื่องคนขี้แพ้คนนี้ล่ะมั้ง? แต่งงานมาสามปี ไม่ทำงานอะไร ทำได้แต่งานบ้านในบ้าน ถ้าไม่ใช่คนขี้แพ้แล้วเรียกอะไรล่ะ? แล้วไอ้ขี้แพ้กล้าดียังไงมาด่าฉันเป็นกะหรี่?” โจวฉ่ายเวยตะโกนโวยวาย

เมื่อได้ยินประโยคนี้อีกครั้ง สีหน้าประหลาดใจของซุนเย่าเหวินก็ยิ่งเคร่งขรึมมากขึ้น

ทุกคนเป็นคนที่มีหน้ามีตา มีบารมี จะโจมตีใครก็อย่าให้เกินเลยไป ถ้าไม่คุยเรื่องนี้ให้กระจ่าง ก็อย่าโทษซุนเย่าเหวินว่ารังแกเด็กรุ่นหลังเลย!

เมื่อสังเกตเห็นการจ้องมองของซุนเย่าเหวิน ฉินเฟยก็โปรยยิ้มและก้าวไปข้างหน้าสองก้าว ยื่นมือออกไปพูดด้วยรอยยิ้ม “ผมขอแนะนำตัวเองหน่อย ฉินเฟยครับ”

ยังยิ้มได้อีกเหรอ?

ซุนเย่าเหวินชำเลืองมองมือของฉินเฟยที่ยื่นออกมาพลางยิ้มเยาะ แล้วเอื้อมมือออกมาจับกับฉินเฟยจริงๆ แต่ออกแรงมหาศาล

ฉินเฟยไม่กลัวการเปรียบเทียบความแข็งแกร่ง เขาปล่อยให้ซุนเย่าเหวินออกแรงจับมือตัวเอง แต่จู่ๆ ก็ฉวยโอกาสดึงเข้ามา เอาหน้าเข้าใกล้ใบหูของซุนเย่าเหวิน เอียงศีรษะพูดว่า “ดูที่มือถือสิ”

การเคลื่อนไหวอย่างกะทันหันของฉินเฟยทำให้ซุนเย่าเหวินต้องการผลักเขาออกไปโดยสัญชาตญาณ และในเวลานี้ฉินเฟยได้ถอยกลับไปแล้ว ปล่อยมือออกตามธรรมชาติ แล้วเอามือล้วงกระเป๋า

ทุกคนล้วนเป็นคนมีหน้ามีตา ไม่ต่อสู้ด้วยความสามารถที่บ้าบิ่นไม่คิดชีวิตแบบตอนนั้นอีกต่อไป ซุนเย่าเหวินไม่ต้องการลงมือต่อหน้าผู้คนอยู่แล้ว ถึงอย่างไรที่นี่ก็คือร้านอาหาร

แม้ว่าจะเคลื่อนไหว แต่ก็ต้องอยู่ข้างหลังคนอื่น

ในขณะที่ฉินเฟยเอามือล้วงกระเป๋า โทรศัพท์ในกระเป๋าของซุนเย่าเหวินก็ดังขึ้นมา

ซุนเย่าเหวินมองฉินเฟยแปลกๆ บางทีอาจเป็นเพราะเขารู้สึกคุ้นเคยกับความแปลกหน้าของฉินเฟย เขาอยากรู้ว่าตัวตนของฉินเฟยเป็นใครกันแน่!

เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาและเห็นข้อความที่ส่งมาจากเบอร์แปลก

แต่ซุนเย่าเหวินแค่มองแว่บแรกก็ถึงกับอึ้งไป

ซุนเย่าเหวินไม่เพียงตกตะลึง แต่สีหน้าของเขายังปรวนแปรอย่างมาก

แน่นอนว่ามันถูกส่งมาจากฉินเฟย แถมปริมาณของข้อความยังเยอะมาก

อันที่จริงตอนที่สั่งอาหารกับเจียงเยว่ถง ฉินเฟยกำลังพิมพ์บนโทรศัพท์มือถือ ไม่มีใครมองเห็นว่าคืออะไร ฉินเฟยทำงานบ้านมาสามปีแล้ว เวลาเบื่อๆ ก็เล่นมือถือ พิมพ์สัมผัสได้นานแล้วและพิมพ์เร็วมากด้วย

ฉินเฟยเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี โชคดีที่ซุนเย่าเหวินปรากฏตัวทันเวลา มิฉะนั้นทุกสิ่งที่เขาเตรียมมาจะสูญเปล่า คาดว่าสุดท้ายโจวฉ่ายเวยก็ไม่ยอมปล่อยเขาไป!

แต่ตอนนี้ทำไม่ได้แล้ว

ซุนเย่าเหวินมองดูเป็นเวลาห้านาทีพอดี ดูไปสองรอบ ระหว่างนั้นยังพิมพ์ตอบกลับด้วย

ดังนั้นจึงเกิดเรื่องประหลาดขึ้น!

เดิมทีทุกคนเคยคิดว่าลูกเขยแต่งเข้าบ้านผู้จองหองคนนี้ต้องตายแน่แล้ว แต่ไม่คาดคิดว่ามันจะไม่เกิดขึ้นเลย ฉินเฟยยังกลับไปนั่งไขว่ห้างถือโทรศัพท์มือถือด้วยมือข้างเดียวอย่างเป็นธรรมชาติ เลื่อนนิ้วไปมา ไม่รู้ว่ากำลังอ่านอะไรอยู่

ผู้คนรอบโต๊ะมองไม่เห็นอะไร แต่รู้สึกสับสนกับภาพที่แปลกประหลาดนี้

แต่เจียงเยว่ถงพบว่า คนฉลาดอย่างเธอไม่นานก็จะเข้าใจ ฉินเฟยยังใช้มือถือส่งข้อความสื่อสารกับซุนเย่าเหวิน

แต่ฉินเฟยพูดเรื่องอะไรกันแน่? ถึงทำให้ซุนเย่าเหวินที่โกรธจัดสงบสติอารมณ์ลงได้ทันที แถมยังใช้มือถือคุยธุระกับฉินเฟยอีก?

เจียงเยว่ถงอยากรู้จริงๆ

ฉินเฟยพูดอะไรกับเขากันแน่!

ไม่ใช่แค่เจียงเยว่ถง แต่โจวฉ่ายเวยที่ถูกซุนเย่าเหวินดึงมาไว้ข้างหลังก่อนหน้านี้ก็อยากรู้เช่นกัน

เมื่อเวลายิ่งผ่านไปนาน ความสงบเงียบรอบตัวก็ทำให้โจวฉ่ายเวยรู้สึกอึดอัด จู่ๆ ในหัวใจของเธอก็เกิดลางสังหรณ์ที่ไม่ดี

“ที่รัก คุณเป็นอะไรหรือเปล่า เกิดอะไรขึ้น?” โจวฉ่ายเวยพูดพลางก้าวไปข้างหน้าสองก้าว ชำเลืองมองโทรศัพท์ของซุนเย่าเหวิน

ในเวลานี้ ซุนเย่าเหวินเก็บมือถือแล้วมองไปที่ภรรยาด้วยสีหน้านิ่งเฉย ก่อนจะพูดอย่างเฉยเมยว่า “ไม่มีอะไร บริษัทเกิดเรื่องนิดหน่อย ผมจะจัดการเอง”

ส่วนฉินเฟยเมื่อสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวเล็กๆ น้อยๆ ของเจียงเยว่ถง จึงได้เวลาเก็บโทรศัพท์ พลางหรี่ตามองเจียงเยว่ถงทันที

เป็นสามีภรรยากันมาสามปี ฉินเฟยรู้จักเจียงเยว่ถงดี

เจียงเยว่ถงมีนิสัยแปลกๆ ว่ากันตามเหตุผลแล้ว ด้วยอายุและตัวตนของเธอ ชีวิตประจำวันควรจะเต็มไปด้วยสีสัน แต่เธอนั้นแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง เธอเป็นคนเก็บเนื้อเก็บตัว นอกจากการเข้าสังคมที่จำเป็นแล้ว ทุกวันเธอไปๆ มาๆ แค่สองสถานที่ นอกจากสะสางเรื่องราวจากแต่ละแผนกในบริษัทแล้ว เธอก็ขับรถกลับบ้านเพื่อพักผ่อน เธอไม่ค่อยมีเพื่อนรอบตัว นอกจากเพื่อนซี้สองคนคือโจวลู่และซุนเสี่ยวเจี๋ย

เธอแสดงความเฉยเมยต่อหลายสิ่งหลายอย่าง ไม่เคยถามอะไรที่ไม่เกี่ยวกับตัวเองเลย

ว่ากันว่าผู้หญิงเป็นสัตว์ที่อยากรู้อยากเห็น แต่เธอไม่เคยเป็นคนที่อยากรู้อยากเห็น

แต่ตอนนี้เจียงเยว่ถงอยากรู้จริงๆ ว่า เธออยากรู้ด้วยซ้ำว่าฉินเฟยพูดอะไรกับซุนเย่าเหวิน

ความจริงฉินเฟยไม่ได้ตั้งใจจะหลบเธอ แต่เรื่องแบบนี้ไม่สามารถอธิบายได้ชัดเจนด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำ

อีกอย่างตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม

แต่ฉินเฟยก็ชอบซุนเย่าเหวินมาก เขามีความประทับใจที่ดีต่อซุนเย่าเหวิน กล้าได้กล้าเสียพูดจามีสัจจะเหมือนจางฉองหย่วน แม้ว่าเขาจะใช้วิธีการที่ผิดกฎหมายมากมายในการสร้างเนื้อสร้างตัว แต่ฉินเฟยก็ไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องใหญ่

โหดเหี้ยมอำมหิต ผู้ชายควรเป็นแบบนี้ ที่ควรโหดก็ต้องโหด ถ้าไม่โหดแล้วจะหาเงินได้อย่างไร

เพียงแต่ว่าคนที่อยู่รอบตัวซุนเย่าเหวิน มีคนดีอยู่ไม่กี่คน

ภรรยาของเขาโจวฉ่ายเวยไม่ใช่คนดีอะไรนัก ยิ่งกว่านั้นเธอยังมีน้องชายที่ไม่เอาถ่าน ก็คือซุนเย่าอู่ที่พ่อบ้านซุนเรียกว่าท่านสามเมื่อคืนนี้!

ถ้าไม่มีซุนเย่าเหวิน ซุนเย่าอู่ก็ไม่เป็นโล้เป็นพาย

แต่ซุนเย่าเหวินก็ดูแลน้องชายของเขาเป็นอย่างดี มันเกี่ยวข้องกับซุนเย่าฉวนที่ตายไปแล้ว

ตระกูลซุนมีบุตรชายทั้งหมดสามคนคือ ซุนเย่าฉวน ซุนเย่าเหวิน และซุนเย่าอู่ ซุนเย่าเหวินเริ่มต้นได้ดีกับลู่เจี้ยน แต่เส้นทางที่ผ่านมานั้นไม่ง่ายเลย แม้แต่ซุนเย่าฉวนพี่ชายคนโตของเขาก็ตายเพราะมัน หลังจากซุนเย่าฉวนตาย พี่ชายรองอย่างเขาจึงกลายเป็นพี่ชายคนโต อีกอย่างซุนเย่าอู่ก็เป็นน้องชายแท้ๆ จึงย่อมดูแลเขาเป็นอย่างดี

แต่ว่าสิ่งที่ซุนเย่าเหวินไม่รู้ก็คือ ปากท้องของตนขึ้นอยู่กับน้องชายของเขา ยังมีความทะเยอทะยานอันยิ่งใหญ่อีกด้วย!

ไม่ใช่ มันคือความทะเยอทะยานอันสูงเสียดฟ้า!

ซุนเย่าเหวินมีปัญหาแล้ว แถมยังเป็นปัญหาใหญ่มากเสียด้วย!

มีปัญหาเกิดขึ้นกับภรรยาและน้องชายของเขา!

นวนิยายที่น่าอ่านที่สุดล้วนอยู่ในเว็บไซต์นวนิยายใหญ่ๆ:

อันที่จริงครอบครัวของซุนเย่าเหวินเป็นคนตงไห่ เกิดมาเป็นพวกเด็กแว๊น ใช้ชีวิตด้วยการดักตีปล้นเงินคนอื่น ต่อมาได้ไปล่วงเกินพวกคนใหญ่คนโต จึงได้หนีมาหลบซ่อนในหมู่บ้านแห่งหนึ่งในซงไห่ หลบซ่อนตัวเป็นเวลาสามปีเต็มๆ หลังจากที่รู้ว่าคนใหญ่คนโตคนนั้นพ่ายแพ้อย่างราบคาบแล้ว จึงเดินออกมาด้วยความสบายใจ

ซุนเย่าเหวินเป็นคนยึดมั่นในสัจจะ รู้จักวิธีพูดและทำสิ่งต่างๆ เขามาถึงซงไห่ตัวเปล่า เขายังทำอาชีพเก่าของเขา แต่การพัฒนาเมืองในช่วงสามปีที่ผ่านมา มันไม่ใช่ยุคที่เขาจะดักตีปล้นคนอื่นเหมือนเดิมแล้ว

ถ้าจะบอกว่าคนแรกที่มาถึงซงไห่ก็คือซุนเย่าฉวนพี่ชายคนโตของเขา ซุนเย่าเหวินที่กำลังไม่มีทางไปได้ตามหาพี่ชายคนโตของเขาจนพบ ทั้งสองคนชักชวนพี่น้องอีกจำนวนหนึ่งมาเริ่มต้นธุรกิจรื้อถอน เริ่มสร้างเนื้อสร้างตัวจากตรงนี้

ต่อมาสองพี่น้องได้ก่อตั้งลู่เจี้ยน กรุ๊ปขึ้นมา ประธานคือซุนเย่าฉวนที่ทำงานอย่างสุขุม แต่ต่อมาในขณะที่กำลังแข่งขันเสนอราคาในโครงการใหญ่โครงการหนึ่ง ซุนเย่าฉวนได้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์

หลังจากการเสียชีวิตของซุนเย่าฉวน ซุนเย่าเหวินก็แบกรับความรับผิดชอบอันหนักหน่วงในการพัฒนาลู่เจี้ยน กรุ๊ป และพัฒนาทีละก้าวจนถึงปัจจุบัน

แน่นอน การตายของซุนเย่าฉวนไม่ใช่อุบัติเหตุ แต่เป็นการจงใจฆ่าโดยคู่แข่งของเขา ซุนเย่าเหวินหาตัวฆาตกรจนพบเมื่อแปดปีก่อน และได้ทำให้เขาหายสาบสูญไปจากโลกนี้อย่างสมบูรณ์

และทั้งหมดนี้ไม่มีปัญหาตามมา!

ปัญหานั้นเกิดขึ้นเมื่อพี่น้องสองคนของซุนเย่าเหวินรื้อบ้าน แล้วเกิดอุบัติเหตุ!

การรื้อถอนไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะในสายอาชีพเดียวกันที่มีการแข่งขันรุนแรงมาก ใครมีอำนาจมาก มีลูกสมุนเยอะ โหดเหี้ยมมากพอ ก็จะสามารถครอบครองเครือข่ายการรื้อถอนใหญ่ๆ เหล่านั้น

ตอนอายุยี่สิบหก ซุนเย่าเหวินเกือบถูกฟันตายข้างถนน จนกระทั่งมีตำรวจลาดตระเวนอยู่รอบๆ คนที่ฟันเขาจึงตกใจกลัววิ่งหนีไป

ในตอนนั้นซุนเย่าเหวินถูกแทงมากกว่า 30 แผล โชคดีที่เห็นได้ชัดว่าฆาตกรไม่ได้ต้องการฆ่าเขา เพียงแค่ตักเตือนเขาเท่านั้น แต่เขาเกือบเสียชีวิตเพราะเสียเลือดมากเกินไปและถูกส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาล

เขานอนอยู่โรงพยาบาลมาครึ่งปีเต็มๆ ตอนที่ออกจากโรงพยาบาลหมอเคยบอกกับเขาว่า ชีวิตนี้เขาน่าจะมีลูกได้ยากแล้ว

หมอไม่ได้พูดโกหก

ความจริงแล้วซุนเย่าเหวินมีบุตรยากตั้งแต่นั้นมา เขาวิ่งไปโรงพยาบาลใหญ่ทุกแห่งทั้งในและต่างประเทศ ทั้งแพทย์แผนจีนและแพทย์แผนตะวันตกก็ไม่มีทางใดที่จะรักษาได้ ลองมาหลายวิธีแล้วแต่ก็ไม่สำเร็จ

แต่เมื่อเขาประสบความสำเร็จและไม่มีทายาท เรื่องนี้กลายเป็นความกังวลที่สุดของเขา

ผมเป็นเขย(ผู้ไม่ธรรมดา) บทที่ 49 จับเขาไว้ (2)
“จับเขาไว้! ลากออกไปตีให้ตาย!”

โจวฉ่ายเวยออกคำสั่งโดยไม่ลังเล ไม่แม้แต่จะให้โอกาสฉินเฟยได้พูด

เธอไม่รู้ว่าไอ้เด็กเวรนี่เดาเอาหรือได้ยินเรื่องเล่าจากที่ไหนมาหรือเปล่า แต่ข้อมูลนี้แม่นยำมาก โจวฉ่ายเวยก็ไม่รู้เหมือนกัน ฉินเฟยยังรู้อะไรอีกนอกจากข้อมูลนี้

แต่เธอขี้เกียจจะไปสนใจแล้ว คำพูดที่ว่า ‘ลากออกไปฆ่าทิ้งซะ’ นั้นพูดให้ผู้คนในร้านอาหารได้ยิน ขอเพียงจับฉินเฟยได้ เธอจะทำให้ฉินเฟยหุบปากตลอดไป

ดังนั้นเธอจึงไม่สนใจว่าฉินเฟยจะรู้ความลับอะไรไปมากกว่านี้หรือไม่ ฉินเฟยเป็นเพียงลูกเขยขี้แพ้ของตระกูลเจียง แม้ว่าจะค่อนข้างยุ่งยากในการจัดการกับเขา แต่เธอเชื่อว่าสามีของเธอซุนเย่าเหวินจะแก้ปัญหาให้เธอได้ แย่ที่สุดเธอก็แค่ถูกสามีตำหนิไม่กี่คำหลังเรื่องราวจบลง

เมื่อเห็นบอดี้การ์ดทั้งสี่รายล้อมเข้ามา สีหน้าของฉินเฟยก็เปลี่ยนไป เขาคว้าจานอาหารที่อยู่บนโต๊ะ

“หยุดนะ!”

ในขณะที่ทั้งสองฝ่ายกำลังจะเคลื่อนไหว เสียงของชายวัยกลางคนก็ดังขึ้น

คนที่พูดคือหลิวฉองซาน ผู้ช่วยพิเศษของซุนเย่าเหวิน!

“แยเวย เกิดอะไรขึ้น?” ทุกคนหันไปมองต้นเสียง ที่บันไดชั้นสองของร้านอาหารมีชายวัยกลางคนอายุ 50 กว่าๆ รูปร่างกำยำ สวมชุดสูทตะโกนขึ้นมา

ซุนเย่าเหวินมาแล้ว!

ที่ตามหลังเขาอยู่ครึ่งก้าว คือหลิวฉองซานที่เพิ่งตะโกนพูดไปเมื่อครู่

ซุนเย่าเหวินในฐานะผู้นำของตระกูลซุนและประธานของลู่เจี้ยน กรุ๊ป งานยุ่งไม่ค่อยได้มาที่โรงแรมหมู่บ้านเทียนฝูบ่อยนัก

แต่วันนี้เขามาที่นี่เพื่อชวนเธอไปกินข้าว เขาหมายมั่นปั้นมือที่จะคว้าโครงการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเหอตงของซงไห่มาให้ได้!

เหอตงในซงไห่มีภูเขามากมาย นับตั้งแต่มีการปฏิรูปและเปิดเมือง เมืองซงไห่ได้พัฒนาอย่างรวดเร็ว ขยายตัวออกไปหลายสิบกิโลเมตร แต่มีเพียงเหอตงเท่านั้นที่ยังไม่ได้รับการพัฒนา

โครงการที่ซุนเย่าเหวินต้องการคือสะพานข้ามแม่น้ำเหอตงที่มีพรมแดนติดกับเมือง สะพานข้ามแม่น้ำยาวกว่า 1,300 เมตร เป็นโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ทั่วประเทศ การออกแบบสะพานและเทคโนโลยีล้วนเป็นเรื่องยาก แต่ด้วยการพัฒนาการก่อสร้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จึงมีผู้เชี่ยวชาญมากมายในสาขานี้

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าลู่เจี้ยน กรุ๊ปจะเป็นยักษ์ใหญ่ในซงไห่ แต่ก็ไม่ได้มีชื่อเสียงในประเทศมากนัก แน่นอนว่ามีการแข่งขันมากมาย ดังนั้นเขาจึงต้องเข้าร่วมกับมัน

เมื่อครู่เขากำลังรอแขกอยู่ที่ชั้นหนึ่ง ภรรยาก็บอกว่าเธอต้องการขึ้นไปเดินเล่นชั้นบน

ไม่คิดว่าพอตนพาแขกขึ้นมาถึงชั้นบน ก็เห็นภรรยาตัวเองกำลังสั่งให้บอดี้การ์ดสี่คนจัดการคู่หนุ่มสาวในที่สาธารณะ

ในสถานการณ์ทั่วไป เขาต้องตรงเข้าไปปกป้องภรรยาของตนอย่างแน่นอน ไม่ว่าใครจะทำผิด กวนประสาทภรรยาของเขา ก็ถือว่าไม่ไว้หน้าซุนเย่าเหวิน

แต่เขามองปราดเดียวก็เห็นฉินเฟยอยู่ตรงกลาง รายล้อมไปด้วยบอดี้การ์ด ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าชายหนุ่มคนนี้ดูคุ้นหน้า แต่ก็จำไม่ได้ว่าพบเขาที่ไหนและตัวตนของเขาเป็นอย่างไร

เขาเข้าใจทันทีว่าอาจเป็นภรรยาของเขาที่หาเรื่องเอง ไปยั่วยุคนอื่น ผลคือคนอื่นปะทะผีฝากกับเธอ ดังนั้นเขาจึงหาบอดี้การ์ดมาจัดการกับอีกฝ่ายอย่างไม่มีเหตุผล

ก็เพราะด้วยความสนิทสนมนี้ ดังนั้นเขาจึงให้ผู้ช่วยหลิวรีบขวางไว้

ซุนเย่าเหวินผ่านพายุคลื่มลมมานับไม่ถ้วน เขาตระหนักอย่างลึกซึ้งว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมียอดคนเสมอ

ประเทศจีนมีขนาดใหญ่มาก ตระกูลที่มีความแข็งแกร่งมากกว่าตระกูลซุนมีถมเถไป ยิ่งไปกว่านั้น แม้แต่ในเมืองแห่งซงไห่ ตระกูลซุนก็ถือว่าเป็นหนึ่งในนั้น

แน่นอน ที่เขาขวางไว้ก็แค่ต้องการทราบสถานการณ์เพื่อหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิดที่ไม่จำเป็น หากเรื่องนี้เป็นความผิดของภรรยาจริงๆ เขาก็จะขอโทษ แต่ถ้าอีกฝ่ายเอาความแข็งแกร่งของตระกูลมาข่มเหงรังแกภรรยาของตน แม้ว่าคู่ต่อสู้จะแข็งแกร่งกว่าตัวเอง เขาก็ต้องลองวัดดู

บนพื้นที่เล็กๆ ในซงไห่แห่งนี้ ตระกูลซุนนั้นเป็นเจ้าถิ่นตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างแท้จริง!

เมื่อเห็นว่าในที่สุดซุนเย่าเหวินก็ปรากฏตัวขึ้น ฉินเฟยก็รู้สึกโล่งใจไปบ้าง

เพราะในความรับรู้ของฉินเฟย ซุนเย่าเหวินเป็นคนมีเหตุผลมาก

คนไม่มีเหตุผลอาจได้ลาภลอยก้อนโตแต่ก็อยู่ได้ไม่นาน สำหรับซุนเย่าเหวินเขาสามารถขยายลู่เจี้ยนไปทีละก้าว ผลักดันตระกูลซุนไปสู่ตำแหน่งสี่ตระกูลใหญ่ทีละก้าว โดยธรรมชาติแล้วย่อมมีการอบรมบ่มเพาะมาในระดับหนึ่ง

การปรากฏตัวของซุนเย่าเหวิน ทำให้บรรยากาศที่ตึงเครียดผ่อนคลายลง เจียงเยว่ถงอดย่องออกมาจากด้านหลังเขาไม่ได้

เมื่อมองไปที่เจียงเยว่ถงที่อยู่ข้างหลังฉินเฟย ซุนเย่าเหวินก็ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ก่อนจะดูเหมือนเข้าใจได้ในเวลาไม่นาน

อันที่จริงเขาก็นับว่าเป็นเพื่อนของเจียงเฟิ่งหยุนเหมือนกัน เจียงเยว่ถงเป็นลูกสาวคนเดียวของเจียงเฟิ่งหยุน เขาย่อมรู้จักอยู่แล้ว

แน่นอน สิ่งที่ทำให้เขาจำเจียงเยว่ถงได้จริงๆ ก็คือโจวฉ่ายเวยภรรยาของเขาต้องการให้น้องชายของเธอแต่งงานกับหล่อน

หลังจากนั้น เขาก็รู้เรื่องที่โจวฉ่ายเวยกับเจียงเยว่ถงไม่ลงรอยกัน

แต่เจียงเยว่ถงคือใคร? หน้าตาสวย มีความสามารถ มาจากครอบครัวที่มีฐานะ แค่ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของน้องชายของเธอ เธอไม่ตอบตกลงก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว

แต่ชายหนุ่มที่ปกป้องเจียงเยว่ถงคนนี้คือใคร?

ซุนเย่าเหวินอดมองพิจารณาฉินเฟยอีกครั้งไม่ได้ ความรู้สึกคุ้นเคยยังคงมีอยู่ แต่กลับจำไม่ได้ว่าเคยพบเขาที่ไหนมาก่อน

เมื่อเห็นสามีกำลังมา โจวฉ่ายเวยที่กำลังเอะอะโวยวายก็สงบลงทันที เธอหันกลับมาน้ำตานองหน้า เหมือนได้รับความอยุติธรรมอย่างเต็มที่ ไม่มีท่าทีจองหองอวดดีเหมือนเมื่อครู่เลย ความรวดเร็วและการแสดงออกของเธอเรียกได้ว่าอยู่ในระดับนักแสดงยอดเยี่ยมทีเดียว

ซุนเย่าเหวินขมวดคิ้วแล้วเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว

“ประธานซุน” เจียงเยว่เข้ามาทักทายด้วยตัวเอง ถึงอย่างไรเธอก็เป็นรุ่นน้อง น้ำเสียงไม่ได้ถ่อมตัวหรือจองหองใดๆ

ซุนเย่าเหวินพยักหน้าให้เจียงเยว่ถงเล็กน้อย ยิ้มให้เป็นการขอโทษ เขารู้ว่าภรรยาของเขาแอบซื้อบริษัทฉีแยของเจียงเยว่ถงช่วงหัวค่ำวันนี้ พอภรรยาของเขาเห็นเจียงเยว่ถงจึงพูดเหน็บแนม ตั้งใจเข้าไปหาเรื่องเธอก่อนอย่างแน่นอน

ตัวละครคืออะไร? นี่แหละคือตัวละคร!

แม้ว่าความแข็งแกร่งของทั้งสองฝ่ายมีน้ำหนักไม่เท่ากัน แต่ก็ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่ามีอะไรไม่ดีเกี่ยวกับท่าทีของซุนเย่าเหวินที่มีต่อผู้อื่นได้

“พี่ซุน ไอ้สารเลวนี่กล้ามาด่าฉัน! เขาบอกว่าฉันทั้งอัปลักษณ์ทั้งไม่มีมารยาท ยังด่าว่าเคยเป็นกะหรี่ เคยเห็นฉันที่ไนต์คลับที่ไหนสักแห่งด้วย พูดจาฟังไม่ได้เลยสักนิด” โจวฉ่ายเวยฝังตัวเองไว้ในอ้อมกอดของซุนเย่าเหวิน หน้าตาดูน่าสงสารมาก แอบมองฉินเฟยอย่างภาคภูมิใจโดยไม่มีใครสังเกตเห็น

เหมือนกำลังบอกว่า วันนี้คุณถึงจุดจบแล้ว!

แถมยังต้องตายอย่างอนาถอีกด้วย!

เป็นเช่นนั้นจริงๆ!

สีหน้าของซุนเย่าเหวินเปลี่ยนไป มุมปากกระตุกอย่างแรงสองครั้ง

นี่คือสัญญาณของความโกรธ! โจวฉ่ายเวยเคยทำงานอยู่ในไนต์คลับมาก่อนจริงๆ แต่ก็ทำได้ไม่นาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากตรวจพบว่าตั้งท้องแล้ว ก็ถูกซุนเย่าเหวินพากลับบ้าน มีคนไม่กี่คนที่รู้เรื่องนี้

แน่นอน สำหรับประชากรสิบห้าล้านคนในซงไห่แล้ว มหาเศรษฐีอย่างซุนเย่าเหวินที่มีทรัพย์สินหลายหมื่นล้านย่อมดึงดูดความสนใจจากผู้คนได้มากเมื่อเขาแต่งงานกับภรรยา

ยิ่งกว่านั้นความลับไม่มีในโลก มีบางคนที่รู้จักตัวตนของโจวฉ่ายเวยแต่ส่วนใหญ่จะเป็นบุคคลใหญ่โต พวกเขารู้ว่ามันเป็นเรื่องต้องห้ามของซุนเย่าเหวิน ดังนั้นพวกเขาจะไม่แพร่งพรายคำพูดเช่นนี้ให้ใครฟัง

คาดว่าคนที่ทั่วทั้งหมู่บ้านเทียนฝูรู้จักในตอนนี้ คงมีจำนวนนับนิ้วได้เลย

แต่ตอนนี้กลับมีคนพูดออกมาต่อหน้าสาธารณชน แถมยังพูดต่อหน้าโจวฉ่ายเวยว่าเธอเคยเป็นโสเภณีมาก่อน นี่คือภรรยาของซุนเย่าเหวินนะ!

เห็นได้ชัดว่าเป็นการตบหน้าซุนเย่าเหวินในที่สาธารณะ!

ในฐานะลูกผู้ชาย ศักดิ์ศรีสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด

ถ้าเขาไม่ระเบิดอารมณ์ในวันนี้ ไม่กำหนดแนวทางออกมา ผู้คนภายนอกคงคิดว่าเขาซุนเย่าเหวินอายุมากขึ้น เริ่มเข้าสู่ทางธรรมแล้ว!

แล้วลูกค้าที่เขาเพิ่งพามาด้วยก็กำลังมองอยู่ พวกเขาเพิ่งได้ยินการระบายของโจวฉ่ายเวย!

นี่คือความอับอายขายหน้ามากแล้ว

แต่ถ้าจะไม่จัดการ ต้องอับอายขายหน้ากว่านี้แน่!

เดิมทีซุนเย่าเหวินคิดว่าภรรยาของตนกำลังสร้างปัญหาอีกครั้ง แต่กลับไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะด่าเขารุนแรงขนาดนี้

ยิ่งไปกว่านั้น มันสะกิดจุดที่เจ็บปวดของเขาโดยตรง!

“ไม่เป็นไร อย่าร้องไห้ มีผมอยู่ตรงนี้ ไม่ต้องห่วง” ซุนเย่าเหวินปลอบโจวฉ่ายเวยผู้เป็นภรรยา พลางหรี่ตามองไปทางฉินเฟย

ผู้ช่วยหลิวที่อยู่ข้างๆ มองไปที่บอดี้การ์ดคนหนึ่งซึ่งพยักหน้าให้เขา

โจวฉ่ายเวยไม่ได้พูดโกหก

“พวกคุณถอยออกไปก่อน” ผู้ช่วยหลิวสั่งบอดี้การ์ดที่ยังคงรายล้อมฉินเฟยอยู่

บอดี้การ์ดทั้งสี่มองไปที่โจวฉ่ายเวยด้วยความลังเล เมื่อเห็นว่าเธอพยักหน้าเล็กน้อยจึงถอยออกไป

ซุนเย่าเหวินขมวดคิ้วบางๆ แต่ไม่ได้คิดอะไรมาก

ส่วนผู้ช่วยหลิวก็ไม่ได้สังเกตว่า สายตาส่วนใหญ่ของเขาจับจ้องไปที่ฉินเฟย สายตาที่มองฉินเฟยนั้นเย็นชา ดูเห็นอกเห็นใจ

เขาติดตามประธานซุนมากว่า 20 ปีแล้ว ภายนอกเขาเป็นผู้ช่วยพิเศษของซุนเย่าเหวิน แต่ส่วนตัวแล้วทั้งสองสนิทสนมเหมือนพี่น้อง

พูดตามตรง เขาไม่ชอบภรรยาของประธานซุนเท่าไรนัก แต่คุณนายคนนี้ให้กำเนิดลูกชายแก่ประธานซุน ชดเชยสิ่งที่ประธานซุนเสียดายที่สุดในชีวิต ประเด็นสำคัญก็คือ หนุ่มรนหาที่ตายคนนี้ดูถูกประธานซุน!

เมื่อสังเกตเห็นว่าใบหน้าของซุนเย่าเหวินหม่นหมองลงทันใด เจียงเยว่ถงก็รู้สึกร่างกายอ่อนเพลีย เธออดชำเลืองมองฉินเฟยไม่ได้ เมื่อเห็นเขาดูสงบนิ่ง ก็รู้สึกอุ่นใจขึ้นมาก

หลังจากปลอบโจวฉ่ายเวยแล้ว ซุนเย่าเหวินก็ดึงเธอไปข้างหลัง แล้วเดินไปที่โต๊ะของเจียงเยว่ถง พูดด้วยใบหน้าหม่นหมอง “แหะๆ ประธานเจียง นี่คือเพื่อนของคุณเหรอ?”

เขารู้ว่าเจียงเยว่ถงแต่งงานแล้ว และยังได้ยินว่าเป็นลูกเขยชาวชนบทที่แต่งเข้าบ้าน แต่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน

ยิ่งไปกว่านั้นความเยือกเย็นและคำพูดอวดดีีที่ฉินเฟยแสดงออกมาต่อหน้าภรรยาของเขา ซุนเย่าเหวินไม่อาจเชื่อมโยงฉินเฟยกับลูกเขยขี้แพ้ของตระกูลเจียงตามข่าวลือเข้าด้วยกันได้เลย

แต่ซุนเย่าเหวินโกรธมากจริงๆ ไฟโทสะในใจโหมแรงมาก ด่าภรรยาของเขาว่ากะหรี่ก็เหมือนตบหน้าเขาในที่สาธารณะ มันไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำ

ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นใคร ก็จำเป็นต้องวาดแนวทางขึ้นมา!

“นี่คือสามีของฉัน และเป็นคนขี้แพ้ในสายตาของคุณนายซุนด้วย!” เจียงเยว่ถงพูดอย่างเฉยเมย

ผู้หญิงคนนี้ พูดขึ้นมาต่อหน้าซุนเย่าเหวินเลยเหรอ?!

ใช่แล้ว นิสัยใจคอของเจียงเยว่ถงก็ไม่ได้ดีเท่าไรนัก!

และเธอก็รู้ดีว่า หากเรื่องในคืนนี้ไม่เคลียร์ให้ชัดเจน พวกเขาจะไม่สามารถออกไปไหนได้ หลังจากผ่านหลายสิ่งหลายอย่างมา เจียงเยว่ถงก็เข้าใจมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าการร้องขอความเมตตามีแต่จะทำให้อีกฝ่ายกำเริบเสิบสานมากขึ้น

ในเมื่อขอร้องไปก็ไม่มีประโยชน์ จึงไม่จำเป็นต้องทำตัวเองให้ขายหน้า เลวร้ายที่สุดก็ต้องติดอยู่ที่นี่กับเจ้าหมอนี่ที่เชื่อถือไม่ได้แค่นั้นเอง!

ผมเป็นเขย(ผู้ไม่ธรรมดา) บทที่ 48 จับเขาไว้ (1)
“ไอ้เด็กเวร แกว่าอะไรนะ?” ทันใดนั้นโจวแยเวยก็เงยหน้าขึ้น จับจ้องไปที่ฉินเฟย

เธอไม่คิดเลยว่าฉินเฟยคนขี้แพ้จะกล้ากลับมาปะทะฝีปากกับเธอ? แถมยังด่าจนทนฟังไม่ได้แบบนี้?

เจียงเยว่ถงก็ประหลาดใจเช่นกัน เธอสงสัยว่าฉินเฟยบ้าไปแล้วหรือเปล่า? เขาไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วเหรอ?

เธอรู้ว่าเป็นเพราะฉินเฟยโกรธจนทนไม่ได้ที่ตนถูกรังแก จึงได้ปะทะฝีปากกลับ แม้ว่าเจียงเยว่ถงจะรู้สึกซาบซึ้ง แต่เธอก็โมโหเล็กน้อย ลูกผู้ชายต้องยืดหยุ่นได้

เรื่องแบบนี้ ก็ต้องดูสถานการณ์ด้วย!

“ทำไมล่ะ? ผมพูดผิดเหรอ?” ดูเหมือนว่าฉินเฟยจะไม่รู้จักตัวตนของผู้หญิงตรงหน้าเขาเลย เขาเม้มปากพูดว่า “งั้นก็อาจมีบางอย่างผิดปกติกับดั้งจมูก การทำศัลยกรรมมีความเสี่ยง คุณนายซุนต้องระวังนะ”

“หุบปาก! ใครทำศัลยกรรม? คุณตาบอดเหรอ?” ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าโจวแยเวยจะระเบิดอารมณ์ กรีดร้องลั่น กลายเป็นผู้หญิงปากร้าย

โจวแยเวยพอใจกับใบหน้าอันบอบบางของเธอ จริงจังว่าคนอื่นจะบอกว่าเธอทำศัลยกรรมมา

เพราะการทำศัลยกรรมคือความลับของเธอ

ทุกคนล้วนมีความลับที่บอกใครไม่ได้ของตัวเอง!

และฉินเฟยก็เพิ่งรู้ความลับบางอย่างของโจวแยเวย

ส่วนการทำศัลยกรรมเป็นเพียงความลับเล็กๆ น้อยๆ ของโจวแยเวยเท่านั้น

ความลับที่แท้จริงของโจวแยเวย ความลับที่บอกใครไม่ได้มากที่สุด ฉินเฟยไม่ได้พูดมันออกมา

แค่เรื่องนี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เธอตกจากหัวหงส์ลงสู่ก้นหุบเขา…หรือแม้กระทั่งระเหิดหายไปจากโลก!

ใต้โต๊ะ หลังจากสงบสติอารมณ์แล้ว เจียงเยว่ถงก็บีบต้นขาของฉินเฟยอย่างแรง เพื่อบอกเป็นนัยให้เขาอย่าหุนหันพลันแล่น อย่าล่วงเกินโจวแยเวย

แม้ว่ามือของเจียงเยว่ถงจะขาวเนียนและเรียวยาว แต่เวลาที่เธอบีบมือนั้นจะรู้สึกเจ็บปวดเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่บีบแล้วยังมีการหมุน 360 องศาอีกด้วย

ขาของฉินเฟยสั่นด้วยความเจ็บปวด เข้าใจว่าเจียงเยว่ถงหมายถึงอะไร แต่ในใจกลับยิ้มอย่างขมขื่น ผู้หญิงคนนี้ไม่รู้หรือว่าเขาจงใจยั่วโมโหหล่อน?

ไม่มีใครสังเกตว่าเกิดอะไรขึ้นใต้โต๊ะ หลังจากฉินเฟยควบคุมมือของเจียงเยว่ถงได้แล้ว เขาก็เงยหน้าขึ้นและมองไปที่โจวแยเวย

ความจริงหนึ่งในเป้าหมายของเขาในครั้งนี้ก็คือโจวแยเวย

แต่เขาไม่คาดคิดว่า โจวแยเวยจะยังโกรธแค้นภรรยาของเขา คำพูดประชดประชันเป็นชุดของโจวแยเวยเมื่อครู่ทำให้ความรู้สึกผิดในใจของฉินเฟยเมื่อครู่หายไปในทันที

วิธีเดียวที่จะแก้ปัญหาระหว่างตระกูลเจียงและตระกูลซุนได้ ก็คือการเริ่มต้นจากท่านสอง ดังนั้นเขาจึงนึกถึงความลับนั้นขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว

โจวแยเวยแต่งงานกับซุนเย่าเหวินเมื่อ 6 ปีที่แล้ว ตระกูลฉินเมื่อ 6 ปีที่แล้วก็กำลังรุ่งโรจน์

ในเวลานั้นตระกูลฉินเป็นตระกูลขนาดใหญ่ในซงไห่ มีระบบข่าวสารที่เป็นเอกลักษณ์ ส่วนฉินเฟยในฐานะหลานชายคนโตของตระกูลฉิน เขารู้ความลับมากมายของซงไห่ โดยเฉพาะตระกูลใหญ่และบุคคลใหญ่โตเหล่านั้น!

อันที่จริงฉินเฟยไม่ได้ตั้งใจจะเปิดโปงเรื่องอื้อฉาวของใคร ทุกคนมีช่วงเวลาที่ทำผิดพลาดกันทั้งนั้น แม้ว่าความผิดพลาดนี้สำหรับบางคนจะให้อภัยไม่ได้ แต่ฉินเฟยก็จะเข้าไปพูดก่อน เพราะมันไม่มีความหมายสำหรับเขา

แต่ตอนนี้เป็นเรื่องเร่งด่วน เขาจึงต้องใช้วิธีนี้อย่างช่วยไม่ได้ แต่ก็มักจะรู้สึกว่ามันไม่ค่อยถูกต้องนัก

แต่ตอนนี้เขาจะไม่ยอมออมมือแล้ว!

“เอ๊ะ? ทำไมจู่ๆ ก็รู้สึกว่าคุณดูหน้าคุ้นๆ จัง” ฉินเฟยชายตามองโจวแยเวยที่กำลังโมโห เหมือนจะจำอะไรบางอย่างได้อย่างฉับพลัน เขามองเธออย่างละเอียดรอบคอบแล้วถามว่า “เมื่อก่อนคุณ…คุณเคยทำงานในไนต์คลับที่ไหนสักแห่งมาก่อนหรือเปล่า?”

“คุณ! คุณมันไอ้สารเลวพ่อแม่ไม่สั่งสอน! คุณพูดอะไรน่ะ??”

“คุณต่างหาที่เคยทำงานในไนต์คลับ! ครอบครัวของคุณทุกคนเคยทำงานในไนต์คลับ คุณยังกล้ามาดูถูกฉันอีกเหรอ? คุณรู้ไหมว่าฉันเป็นใคร?” โจวแยเวยตะโกนลั่นอย่างตื่นเต้น ด่าฉินเฟยด้วยความโมโห

อันที่จริงเธอเคยทำงานในไนต์คลับมาก่อน

แต่นั่นเป็นเรื่องเมื่อหกปีที่แล้ว เธอไม่ได้ทำมานานแล้ว หลังจากนั้นเธอก็ใช้วิธีชั่วร้ายตั้งท้องลูกของซุนเย่าเหวิน ต่อมาก็แต่งงานกับซุนเย่าเหวิน และให้กำเนิดลูกชายกับเขา

เธอเคยอยู่ในไนต์คลับมาก่อน ซึ่งเป็นความลับที่บอกใครไม่ได้ของโจวแยเวย แม้ว่ามันจะไม่ใช่เรื่องที่น่าอายที่สุด แต่ก็ยังน่าขายหน้ามากพอ!

“อย่าด่าใครเลย คนที่มาทานอาหารที่นี่ล้วนแต่เป็นคนที่มีอารยธรรม” ฉินเฟยหัวเราะเบาๆ และพูดว่า “ตอนนี้คุณเป็นคนที่มีฐานะ คุณยังเป็นเจ้าของโรงแรมแห่งนี้ด้วย คุณต้องเปลี่ยนนิสัยที่ไม่ดีที่ติดมาจากการเป็นโสเภณีมาหลายปี”

การแสดงออกของฉินเฟยดูเป็นธรรมชาติ แม้จะมีความยิ้มเยาะและดูถูก แต่ความจริงแล้วเขารู้สึกประหม่า

แต่เนื่องจากเขาเลือกที่จะเปิดเผยรอยแผลเป็นนี้ ดังนั้นเขาจึงเปิดเผยอย่างละเอียด ตอนนี้เขาทำได้เพียงเสี่ยงโชคเท่านั้น!

“ไอ้เด็กเวร แกพูดว่าอะไรนะ ไหนพูดอีกครั้งซิ?” โจวแยเวยตื่นเต้นจนหน้าแดง เธอก้าวไปข้างหน้าจะยกมือตบฉินเฟย

เธอแต่งงานกับ ซุนเย่าเหวิน มาเกือบเจ็ดปีแล้ว มักจะออกงานใหญ่กับเขาอยู่บ่อยๆ ว่ากันตามเหตุผลแล้ว เธอจะไม่เสียมารยาทแบบนี้ ต่อให้เสแสร้ง ก็ต้องเสแสร้งเป็นผู้ที่มีการศึกษา

น่าเสียดายที่แม้ว่าเธอจะสวมเครื่องประดับงดงามแวววาวทั้งตัว แต่เธอก็ยังเป็นคนปากร้ายไม่มีเหตุผลอยู่ดี

กุญแจสำคัญที่สุดคือ!

สิ่งที่ฉินเฟยพูดนั้นเป็นความจริง เธอถูกแทงถูกจุดที่เจ็บปวด

เธอไม่รู้ว่าไอ้เด็กเวรนี่รู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไง สงสัยเจียงเยว่ถงจะเป็นคนบอกเขา เพราะถึงอย่างไร เรื่องนี้ไม่ใช่ความลับสุดยอดอะไร หลายคนในสังคมชั้นสูงก็รู้กันหมด แต่เนื่องจากตัวตนของซุนเย่าเหวิน ทุกคนจึงฉลาดพอที่จะปิดปากเงียบ ตอนนี้มันผ่านไป 7-8 ปีแล้ว ไม่ว่าหัวข้อจะน่าสนใจเพียงใด มันก็จะถูกลืม

หมับ มือใหญ่คว้าข้อมือของโจวแยเวยไว้ เขาคือฉินเฟย

ในเมื่อพร้อมที่จะเปิดเผยรอยแผลเป็น และพูดออกมาอย่างเปิดเผย ฉินเฟยก็ไม่ถูกเธอตบแน่นอนแล้ว

พลังที่เปล่งออกมาของเขา จะอ่อนแอลงไม่ได้!

แม้ว่าฝ่ามือของเขาจะเต็มไปด้วยเหงื่อ

เจียงเยว่ถงที่นั่งอยู่ข้างๆ ตะลึงงันไปหมด ฉินเฟยต้องการทำอะไรกันแน่? เขาไม่รู้หรือว่าโจวแยเวยที่อยู่ตรงหน้าคือใคร? ข้างหลังเธอคือซุนเย่าเหวินซึ่งรักเธอมาก

หนึ่งในสี่ยักษ์ใหญ่ในซงไห่ ผู้นำของตระกูลซุน ซุนเย่าเหวินเป็นคนที่ประมาทความสามารถไม่ได้เลย

แต่ฉินเฟยนั้นเคยด่าโจวแยเวยในที่สาธารณะว่าโสเภณี เธอคือภรรยาของซุนเย่าเหวินนะ!

ซุนเย่าเหวินไม่สนหน้าตาแล้วเหรอ?

ฉินเฟยทำให้เจียงเยว่ถงประหลาดใจจริงๆ แต่ผ่านไปไม่นานเธอก็สงบลง

แม้ว่าเธอจะอ่านใจฉินเฟยไม่ออก แต่ทั้งคู่ก็เป็นสามีภรรยากันมาสามปีแล้ว ฉินเฟยถูกล้อเลียนและดูถูกมาสามปีไม่เคยโกรธ จากจุดนี้จะเห็นได้ว่านิสัยใจคอของฉินเฟยนั้นเหนือกว่าคนอื่น

ฉินเฟยไม่ใช่คนใจร้อนและไม่ใช่คนบ้าบิ่น ยิ่งกว่านั้นก่อนที่พวกเขาจะกลับมาฉินเฟยเคยพูดไว้ว่า เขามีวิธีแก้ไขความขัดแย้งระหว่างตระกูลเจียงและตระกูลซุน เขาอยากจะลองดู

บางที การมีเรื่องบาดหมางกับโจวแยเวยมันอาจจะอยู่ในแผนการของเขาด้วย

อย่างไรก็ตาม เจียงเยว่ถงยังคงสงสัย ต้องการดูว่าฉินเฟยจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร!

นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย ไม่แน่ว่าคืนนี้พวกเขาจะออกจากประตูใหญ่หมู่บ้านเทียนฝูไม่ได้แล้ว!

“คุณนายซุน ได้โปรดใจเย็นๆ…” ฉินเฟยปล่อยข้อมือของโจวแยเวย แล้วเอ่ยปากเตือนเธอ

แผนการของเขาคือการปะทะฝีปากกับโจวแยเวย ทำให้เรื่องแย่ลง แต่จะไม่ลงไม้ลงมือเด็ดขาด

เขาไม่ต้องการที่จะถูกผู้หญิงปากร้ายคนนี้ตะโกนเรียกคนมาจับตัวเองโยนออกไป!

“ฉันจะทำให้นายสงบลงเอง…” หน้าอกของโจวแยเวยพองโตด้วยความโกรธ แต่สุดท้ายเธอก็ไม่ได้ด่าอะไรสกปรกออกมา แต่กลับคว้าแก้วน้ำบนโต๊ะแล้วสาดใส่หน้าฉินเฟยโดยตรง

ฉินเฟยรีบเอื้อมมือไปห้ามเธอ แต่ก็ยังถูกสาดกระเด็นไปทั้งตัว แม้แต่เจียงเยว่ถง ที่นั่งอยู่ข้างๆ ยังไม่รอด

เจียงเยว่ถงลุกขึ้นทันที คว้าข้อมือของฉินเฟยไว้โดยไม่ลังเล

ในที่สุดเธอก็รู้แล้วว่าทำไมฉินเฟยถึงไม่ยอมให้เธอมากับเขาในคืนนี้ แต่ในเวลานี้เธอไม่ต้องการคิดมาก ไม่ต้องการรู้ว่าฉินเฟยจะใช้วิธีอะไร

“ฉินเฟย เราไปกันเถอะ!” เจียงเยว่ถงกล่าว เธอแค่ต้องการพาฉินเฟยออกไปจากสถานที่แห่งความขัดแย้งนี้

เธอไม่อยากให้ฉินเฟยถูกซ้อมจนตายที่นี่!

“ฮ่าฮ่า คิดจะไปเหรอ? มันจะง่ายอย่างนั้นได้ยังไง?” โจวแยเวยยิ้มเยาะ แล้วตะเบ็งเสียงดังขึ้นมาก “เด็กๆ!”

สิ้นเสียงเธอ ชายฉกรรจ์สี่คนในชุดสูทก็เดินเข้ามาจากทางเข้าร้านอาหาร พวกเขาก้าวเดินอย่างมั่นคงด้วยสีหน้าเย็นชาและดุร้าย คนฉลาดสามารถบอกได้จากการเดินอย่างมั่นคงของพวกเขาว่าทั้งสี่คนนี้เป็นยอดฝีมือ!

แต่ละคนแข็งแกร่งกว่าบอดี้การ์ดที่พ่อบ้านซุนพาไปคืนนี้มาก!

ซุนเย่าเหวินขึ้นชื่อเรื่องรักภรรยามาก เขาเองก็รู้ว่าภรรยาชอบสร้างปัญหา แม้ว่าคนส่วนใหญ่จะไม่โต้เถียงกับโจวแยเวยเนื่องจากตัวตนของเขา แต่ก็ห้ามยากที่จะไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ ดังนั้นจึงจ่ายเงินจำนวนมากจ้างบอดี้การ์ดมาสี่คน

พวกเขาทุกคนเกษียณจากกองกำลังพิเศษ สามารถต่อสู้หนึ่งต่อสิบได้

จากจุดนี้จะเห็นได้ว่า ซุนเย่าเหวินรักภรรยาคนนี้ของเขามากเพียงใด

บอดี้การ์ดทั้งสี่สังเกตเห็นแล้วว่าคุณนายมีความขัดแย้งกับคู่สามีภรรยาหนุ่มสาว เมื่อพวกเขาได้ยินคำสั่งของคุณนายในเวลานี้ ก็รีบเข้ามาห้อมล้อมฉินเฟยและเจียงเยว่ถงไว้

ทั้งสี่คนไม่มีใครครอบครองมุมใด ปิดกั้นทางหนีทีไล่ของฉินเฟยอย่างแน่นหนา พวกเขามองไปที่ฉินเฟยอย่างเย็นชา รอแค่โจวแยเวยออกคำสั่ง แล้วค่อยจัดการเขา

เจียงเยว่ถงตัวสั่นด้วยความกลัว

ตามคาด หญิงปากร้ายอย่างโจวแยเวยไม่ยอมปล่อยพวกเขาไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่ฉินเฟยใช้คำพูดกระด้างกระเดื่องกับเธอแบบนี้ คำพูดของฉินเฟยไม่น่าฟังเอาเสียเลย ยากที่จะทนฟังไหว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงโจวแยเวยที่ไร้เหตุผลเลย!

ฉินเฟยคว้ามือเจียงเยว่ถงไว้เพื่อปกป้องเธอ ยังมองไปที่บอดี้การ์ดทั้งสี่อย่างจริงจัง

บอดี้การ์ดทั้งสี่อย่างน้อยต้องเป็นนักบู๊ระดับกลางแล้ว ถ้าจะพูดเรื่องความแข็งแกร่งเพียงด้านเดียว ก็ย่อมอ่อนแอกว่าฮั่วจงเหยียนอยู่แล้ว แต่เมื่อทั้งสี่ร่วมมือกัน ฉินเฟยก็ไม่มั่นใจ ไหนจะต้องคอยปกป้องเจียงเยว่ถงอีก

ฉินเฟยอดหัวเราะอย่างขมขื่นในใจไม่ได้ พนันแพ้เก้าในสิบ

มันไม่ง่ายเลยที่จะพนันในเรื่องที่เขาไม่มีความมั่นใจ!

“ว่าไงล่ะ? คุณนายซุนคิดจะตบผมตรงนี้เหรอ? คุณไม่กลัวว่าหากเรื่องบานปลาย มันจะกระทบกับธุรกิจที่นี่เหรอ?” ฉินเฟยแสร้งทำเป็นใจเย็น ชำเลืองมองโจวแยเวย แต่สายตาของเขามักจะคอยระมัดระวังบอดี้การ์ดทั้งสี่ที่อยู่รอบตัวเขา

“เรื่องบานปลาย?” สีหน้าของโจวแยเวยแปลกใจ จากนั้นเธอก็หัวเราะอย่างไม่แยแส “คุณนี่หลงตัวเองจริงๆ นะ บอดี้การ์ดเหล่านี้ หากสุ่มเลือกขึ้นมาสักหนึ่งคน ฆ่าให้ตายนั้นง่ายดายเหมือนการเหยียบมดสักตัวให้ตาย!”

ท่าทีของโจวแยเวยเย้ยหยัน สีหน้าเย็นชา “จับเขาไว้ ลากออกไปตีให้ตาย!”

ผมเป็นเขย(ผู้ไม่ธรรมดา) บทที่ 47 ขัดแย้งกับตระกูลซุนอีกครั้ง (2)
โจวแยเวยที่อยู่ตรงหน้ามีสถานะโสด เรียกได้ว่าเป็นสาวไฮโซทีเดียว

เมื่อหกปีก่อนโจวแยเวยหลังจากแต่งงานกับซุนเย่าเหวิน ก็ให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่งแก่เขา

ไก่เลยกลายเป็นหงส์ พ่อแม่ของเธอย้ายเข้าไปอยู่ในคฤหาสน์ที่ซุนเย่าเหวินซื้อให้ในซงไห่ น้องชายก็ยังได้เป็นผู้จัดการทั่วไปของบริษัทที่อยู่ใต้ชายคาของตระกูลซุน อาจกล่าวได้ว่าเมื่อบุคคลหนึ่งบรรลุธรรม หมูหมากาไก่ก็พลอยได้ขึ้นสวรรค์ไปด้วย

เธอไม่เพียงแต่รู้จักเจียงเยว่ถงเท่านั้น แต่ยังรู้จักดีเสียด้วย!

แต่ไม่ใช่มิตรภาพที่ดีเท่าไรนัก

เริ่มจากเมื่อสี่ปีที่แล้ว เป็นปีแรกที่เจียงเยว่ถงเข้ามารับช่วงต่อบริหารบริษัทบริษัทฉีแย

เมื่อ 4 ปีที่แล้ว เจียงเยว่ถงมีอายุเพียง 24 ปี ซึ่งเป็นช่วงอายุที่ดีที่สุดสำหรับผู้หญิง เธอเพิ่งเข้าสู่สังคมได้ไม่นาน อาจกล่าวได้ว่าเป็นสาวสวยบริสุทธิ์งดงาม บวกกับการที่มีรัศมีของตระกูลเจียงค้ำอยู่เหนือหัว มีอัจฉริยะหนุ่มนับไม่ถ้วนคอยไล่ตามจีบเธอ!

โจวแยเวยที่กลายเป็น ‘หงส์’ พรางตัวแนะนำน้องชายของเธอให้รู้จักกับเจียงเยว่ถง ขณะเดียวกัน ก็หวังว่าจะครอบงำซุนเย่าเหวินด้วยเรื่องในมุ้ง ให้ตระกูลซุนให้การสนับสนุนบริษัทฉีแยมากๆ

น่าเสียดายที่เจียงเยว่ถงไม่ตอบตกลง!

หรือพูดได้ว่า ไม่สนใจเธอเลย!

เจียงเยว่ถงอุปนิสัยเย็นชาและสง่างาม เธอเป็นคนแบบนี้ รู้ดีว่าน้องชายของโจวแยเวยเป็นคนแบบไหน!

ในเวลานั้นเจียงเยว่ถงเพิ่งเข้าครอบครองบริษัท และบริษัทฉีแยเป็นเพียงบริษัท เล็กๆ เท่านั้น หากต้องการก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ก็ต้องการการลงทุนและความร่วมมืออย่างเร่งด่วนจากบริษัทและตระกูลขนาดใหญ่หลายแห่ง

เจียงเยว่ถง มีพรสวรรค์ด้านการค้ามาก แต่ก็มีกลุ่มธุรกิจระดับสูงมากมายในซงไห่ ประธานของกลุ่มเหล่านี้จะไม่เก่งเรื่องการค้าได้อย่างไร? นอกจากนี้บริษัทขนาดเล็กอย่างบริษัทฉีแย หากไม่มีเงินทุนมหาศาลก็ไม่สามารถคว้าทรัพยากรที่ดีได้

และตระกูลเจียงก็ไม่ได้ให้ทรัพยากรกับเจียงเยว่ถงมากนัก

ดังนั้นในสายตาของโจวแยเวย เจียงเยว่ถงเป็นเพียงลูกสาวของตระกูลชั้นสองเท่านั้น ในขณะที่ตระกูลซุนเป็นตระกูลที่ร่ำรวยมหาศาล การที่ตนแนะนำน้องชายให้เธอรู้จักถือเป็นการให้เกียรติเธอแล้ว ถึงอย่างไรเขาก็เป็นน้องชายภรรยาของท่านสองซุนเย่าเหวิน หากได้เกี่ยวดองกับตระกูลซุน เจียงเยว่ถงอาจจะยิ้มฝันหวานก็ได้

แต่จะทำอย่างไรเธอก็ไม่สนใจเขา!

ยิ่งไปกว่านั้น อีกหนึ่งเดือนต่อมา ข่าวการแต่งงานของเจียงเยว่ถงก็แพร่มาจากซงไห่ ว่ากันว่าเธอแต่งงานกับชายหนุ่มยากจนจากชนบท มาเป็นลูกเขยแต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิงของตระกูลเจียง!

เมื่อโจวแยเวยรู้เรื่องนี้ เธอก็ยิ่งโกรธ น้องชายของเธอยังสู้เด็กยากจนคนเดียวไม่ได้เหรอ?

หลังจากนั้นทุกครั้งที่โจวแยเวยเห็นเจียงเยว่ถง เธอก็ไม่มีความสุขเลย เธอบอกกับคนอื่นว่าเจียงเยว่ถงเป็นคนที่สวยแต่ทำอะไรไม่เป็นที่มาสืบทอดกิจการของพ่อเท่านั้น

แต่เธอสวยสู้เจียงเยว่ถงไม่ได้

พื้นเพครอบครัวและความรู้ก็สู้เจียงเยว่ถงไม่ได้

ส่วนเรื่องอุปนิสัย ยิ่งเทียบไม่ได้เลย!

ผู้หญิงนั้นขี้อิจฉา โจวแยเวยเป็นผู้หญิงที่รักษาหน้าตา ชอบอาจเอื้อมเปรียบเทียบกับสิ่งที่อยู่สูงกว่า โดยเฉพาะหลังจากที่เธอแต่งงานกับซุนเย่าเหวินแล้ว ก็ดูเหมือนว่าจะประกาศให้คนทั้งโลกรู้ ว่าเธอได้แต่งงานกับผู้ชายที่ดี

ตระกูลมหาเศรษฐี!

ตระกูลมหาเศรษฐี!

แต่เมื่อเผชิญหน้ากับเจียงเยว่ถง เธอมักจะรู้สึกต้อยต่ำกว่า ดังนั้นขอเพียงเธอได้เห็นเจียงเยว่ถง เธอก็จะเริ่มเข้าไปพูดก่อน แต่มันไม่ใช่คำพูดที่ดีอย่างแน่นอน

“ที่แท้ก็คุณนายซุนนี่เอง” เจียงเยว่ถงขมวดคิ้วเล็กน้อยและตอบอย่างเฉยเมย แต่ในใจก็อดรู้สึกประหม่าไม่ได้ เธอมองไปรอบๆ

ไม่เห็นแม้เงาของซุนเย่าเหวิน

“ใช่แล้ว ฉันเอง!” โจวแยเวยเอามือกอดอก ท่าทีเต็มไปด้วยการเยาะเย้ย “ได้ยินมาว่าตระกูลเจียงกำลังจะถึงจุดจบแล้วเหรอ? จุ๊ๆ คุณหนูไม่เพียงแต่เป็นลูกสาวของตระกูลเจียงเท่านั้น แต่ยังเป็นประธานของบริษัทฉีแยด้วยเหรอ?”

“ฮ่าฮ่า…” โจวแยเวยหัวเราะคิกคักและสั่นสะท้านไปทั้งตัว เครื่องสำอางหนาเตอะบนใบหน้าของเธอกำลังจะหลุดออกไป เธอโผล่หัวออกมาเบาๆ ชำเลืองมองไปที่เจียงเยว่ถงอย่างดูถูก “งั้นคุณรู้ไหมว่า ตอนนี้บริษัทฉีแยอยู่ในมือใคร?”

ว่าแล้วโจวแยเวยก็ดีดนิ้วเล่น สีหน้าดูพึงพอใจ

เจียงเยว่ถงไม่อยากพูดคุยกับผู้หญิงที่น่าเบื่อคนนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อตระกูลเจียงและตระกูลซุนทะเลาะกันมาถึงทางตันแล้ว และที่นี่คือดินแดนของตระกูลซุน เธอยังคงมีความพะว้าพะวังอยู่ในใจ

แต่เมื่อได้ยินสิ่งที่โจวแยเวยพูด ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย

เป็นความจริงที่ว่าตระกูลซุนได้ซื้อบริษัทฉีแยมาก่อน ในเวลานี้เมื่อเห็นโจวแยเวยดูภาคภูมิใจมาก เธอก็เดาได้ว่าบริษัทฉีแยมาอยู่ในมือของเธอแล้ว!

สิ่งนี้ทำให้เจียงเยว่ถงรู้สึกหดหู่ บริษัทฉีแยได้เผาผลาญแรงกายแรงใจของเธออย่างมาก เดิมทียังคิดว่าต่อให้ถูกเจียงเฉิงเย่ขายไปแล้ว ก็ยังสามารถหาเจ้าของที่ดีได้ แต่ไม่คาดคิดว่าคนที่มารับช่วงต่อจะเป็นผู้หญิงอย่างโจวแยเวย

ใต้โต๊ะ ฉินเฟยยื่นมือไปจับมือของเจียงเยว่ถงไว้เบาๆ เพื่อบอกเป็นนัยว่าอย่าโกรธ

เจียงเยว่ถงเงยหน้าขึ้นอย่างแปลกใจ แต่ฉินเฟยยังคงจับจ้องไปที่โจวแยเวยที่มีท่าทีหยิ่งยโสตรงหน้าตลอดเวลา

ฉินเฟยอดรู้สึกขอบคุณในใจไม่ได้

ดูเหมือนว่าวันนี้เขาจะโชคดี

แกะอ้วนมาแล้ว!

ไม่ใช่!

พูดให้ถูก ต้องเป็นคนเลี้ยงแกะ!

เจียงเยว่ถงรู้สึกถึงความอบอุ่นจากมือใหญ่ของฉินเฟย เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ บังคับตัวเองให้สงบลง แล้วพูดอย่างเฉยเมย “ประธานซุนก็อยู่ในโรงแรมด้วยหรือเปล่าคะ?”

ตอนนี้เจียงเยว่ถงไม่กล้าที่จะทำให้โจวแยเวยผิดใจ เพราะเมื่อเริ่มฟาดฟันกันขึ้นมา ฉินเฟยจะไม่สามารถทนดูเธอถูกรังแกได้

ถ้าอย่างนั้นฉินเฟยจะตกอยู่ในอันตราย!

ความจริงมีไม่กี่ตระกูลที่มีประวัติอันยาวนานในซงไห่ ตระกูลซูก็เป็นตัวแทนหนึ่งในนั้น

อย่างไรก็ตาม ในหลายสิบปีที่ผ่านมา หลังจากการปฏิรูปและเปิดเมือง เมืองต่างๆ ในประเทศได้พัฒนาอย่างรวดเร็ว กิจการของตระกูลจำนวนมากใช้ประโยชน์จากกระแสนิยมนี้เติบโตขึ้นจากศูนย์!

ในเวลานั้นขอเพียงมีสมอง มีเงินทุนอยู่บ้าง ทนลำบากได้ กล้าต่อสู้ ก็จะประสบความสำเร็จได้

ตระกูลซุนเป็นหนึ่งในตระกูลที่มีอิทธิพลโดยมีรากฐานของตระกูลมามากกว่าสามสิบปี

ในเวลานั้นซุนเย่าเหวินมีอายุเพียงยี่สิบต้นๆ ทำธุรกิจรื้อถอนกับซุนเย่าฉวนซึ่งเป็นพี่ชายคนโต ในตอนนั้นเรียกได้ว่าอยู่ในช่วงลูกผีลูกคน ต่อมาเขาได้ดึงคนกลุ่มหนึ่งเข้ามาร่วมก่อตั้งบริษัทลู่เจี้ยน ส่วนใหญ่จะทำงานก่อสร้างสะพานและถนน ล้างตัวขึ้นฝั่งได้สำเร็จ เขาเป็นคนกล้าได้กล้าเสียยึดมั่นในสัจจะ

ตระกูลซุนยังก่อตั้งขึ้นเพราะลู่เจี้ยน กรุ๊ป ในเวลาสามปีที่ผ่านมาตระกูลซุนได้เบียดเข้ามาอยู่ในกลุ่มตระกูลใหญ่ในซงไห่

และปัจจุบันนี้ลู่เจี้ยน กรุ๊ปก็ยังคงเป็นกิจการหลักของตระกูลซุน!

ที่เขาว่ากันว่าสะพานเป็นทองถนนเป็นเงิน ทำกิจการอสังหาริมทรัพย์นั้นแย่กว่านี้มาก!

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เมืองต่างๆ จำเป็นต้องมีการพัฒนา ก้าวแรกคือต้องมีการจราจรเชื่อมต่อระหว่างเมืองต่างๆ!

ซ่อมสะพานปูถนนได้กำไรสูงมาก ทางด่วนและรถไฟความเร็วสูงหลายสายจากซงไห่เชื่อมต่อไปยังเซี่ยงไฮ้และเมืองอื่นๆ มากมายมาจากการรับเหมาของลู่เจี้ยน กรุ๊ปและเงินที่จัดสรรจากประเทศ!

ปัจจุบันในบรรดามหาเศรษฐีสิบอันดับแรกในซงไห่ ซุนเย่าเหวินอยู่ในอันดับที่สาม มีทรัพย์สินประมาณแปดหมื่นล้าน

ในขณะเดียวกัน ซุนเย่าเหวินก็ยังเป็นรองประธานของสโมสรการคค้าซงไห่อีกด้วย

อย่างไรก็ตาม ซุนเย่าเหวินนั้นขึ้นชื่อเรื่องรักภรรยามาก!

อันที่จริง เจียงเยว่ถงไม่เคยเข้าใจว่าทำไมซุนเย่าเหวินชายผู้กล้าได้กล้าเสียถึงมาแต่งงานกับคนโง่แบบนี้?

หรือว่าเป็นเพราะเธอมีลูกให้เขาแล้ว?

“สามีของฉันอยู่ข้างล่าง รอแขกอยู่ เดี๋ยวก็มาแล้ว” โจวแยเวยพูดพลางหันไปหาฉินเฟย แล้วพูดเยาะเย้ย “อ้าว คุณหนูเจียง นี่คือสามีของคุณใช่ไหม?”

คนที่สนิทกับเจียงเยว่ถงจะไม่ถามตรงๆ แบบนี้ แต่โจวแยเวยนั้นมาหาเรื่อง

“ค่ะ” เจียงเยว่ถงตอบรับ

“เป็นอย่างที่ร่ำลือกัน เป็นไอ้ขี้แพ้จริงๆ!” โจวแยเวยมองไปที่ฉินเฟยแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่เกินจริง

“ฮ่าฮ่า แม้แต่บริษัทของตัวเองยังรักษาไว้ไม่ได้เลย แค่สามล้านก็ขายแล้ว ว่ากันว่าคุณหนูเจียงมีพรสวรรค์ทางธุรกิจ ฉันว่าไม่เห็นดีสมคำร่ำลือ ก็เป็นขี้แพ้เหมือนกัน ขี้แพ้อย่างพวกคุณสองคนหากันจนเจอจริงๆ ฮ่าฮ่า…”

“ฉันยังได้ยินมาว่าคุณให้ความสำคัญกับบริษัทฉีแยของคุณมากเหรอ? เมื่อคืนตอนที่ฉันไปรับช่วงต่อ ยังมีพนักงานกว่ายี่สิบคนในนั้น คุณรู้ไหมว่าฉันทำยังไง? ฉันขอให้พวกเขารวมตัวกัน สั่งสอนพวกเขาไปกว่าครึ่งชั่วโมง จากนั้นก็ไล่พวกเขาออกไป!”

“เป็นลูกน้องของเจ้านายขี้แพ้ ทั้งหมดคือพวกขี้แพ้ คุณว่าถูกไหม?”

โจวแยเวยไม่ลดเสียงลงเลย ตรงกันข้ามกลับดังขึ้นอย่างจงใจ แม้ว่าคนที่สามารถกินข้าวที่นี่ได้จะไม่ใช่เจ้านายทุกคน แต่ก็มีสถานะของตัวเอง โดยธรรมชาติแล้วย่อมใส่ใจกับภาพลักษณ์ ไม่ส่งเสียงดังมากเกินไป ทำให้เสียงของเธอได้ยินไปทั่วร้านอาหาร

เธอจงใจทำให้เจียงเยว่ถงทนไม่ได้!

นอกจากนี้เธอยังเป็นภรรยาของซุนเย่าเหวิน แม้ว่าเสียงของเธอจะดัง คำพูดใจดำอำมหิต แต่ก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไร

ฉินเฟยรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ามือเล็กๆ ของเจียงเยว่ถงกำแน่นและสั่นเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าพยายามข่มความโกรธอย่างเต็มที่

เจียงเยว่ถงอ่อนโยนใจดี สุภาพนุ่มนวล แต่นั่นก็สำหรับคนที่มีมารยาทหรือสนิทสนมกัน

อันที่จริงอารมณ์ของเธอก็ไม่ค่อยดีอยู่แล้ว!

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สิ่งที่โจวแยเวยพูดนั้นเกินจะทนฟัง

ในเวลาอาหารกลางวันวันนี้ เจียงเยว่ถงประกาศกับพนักงานของบริษัทฉีแยว่า บริษัทจะเปลี่ยนเจ้าของ

หลังจากประกาศออกไป พนักงานเกือบครึ่งหนึ่งในบริษัทก็ประกาศเช่นกันว่าจะลาออก พวกเขาจะติดตามเจียงเยว่ถงไปทุกที่ ทำให้เจียงเยว่ถงซาบซึ้งใจมาก

แน่นอนว่าครึ่งหนึ่งเลือกที่จะอยู่ในบริษัทฉีแยต่อ ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีความกล้าหาญเช่นนี้ โดยเฉพาะบางคนที่แต่งงานแล้ว ต้องการเงินเดือนที่มั่นคงเพื่อเลี้ยงดูครอบครัว พวกเขาจำเป็นต้องทำงาน ต้องการเงินเพื่ออยู่รอดในเมืองนี้

ดังนั้นเจียงเยว่ถงจึงไม่ตำหนิพวกเขาเลย

แต่ตอนนี้โจวแยเวยกลับบอกว่า ไม่ใช่แค่ตำหนิพวกเขากว่าครึ่งชั่วโมง ด่าพวกเขาว่าไร้ประโยชน์ แต่ยังไล่พวกเขาทั้งหมดออกด้วย!

หัวใจของเจียงเยว่ถงเต็มไปด้วยความขมขื่น ไม่รู้ว่าฉินเฟยคิดอะไรที่ไม่เข้าท่าออกมา ดึงดันจะมาที่นี่เพื่อกินข้าว บังเอิญได้พบกับโจวแยเวย เรื่องที่หล่อนพูดทำให้เธอโกรธแทบอกแตกตาย!

เจียงเยว่ถงพยายามข่มความโกรธอย่างเต็มที่ ในขณะที่ฉินเฟยสงบลงมาก

แต่เขากลัวจริงๆ ว่าเจียงเยว่ถงจะทนไม่ไหวทะเลาะกับโจวแยเวยขึ้นมา ซุนเย่าเหวินขึ้นชื่อเรื่องรักภรรยามาก รังแกภรรยาของเขาก็เท่ากับรังแกเขา มันขัดกับเจตจำนงในการมาครั้งนี้ของฉินเฟย

ยิ่งกว่านั้น ถ้าจะรังแกโจวแยเวย ต้องเป็นเขาที่เป็นคนรังแก!

ก่อนที่เจียงเยว่ถงจะได้พูดอะไร ฉินเฟยก็ชิงพูดขึ้นอย่างราบเรียบ “คุณกรีดเปลือกตาจนตัดโดนเส้นประสาทสมองหรือเปล่า? สมองเพี้ยนไปกันใหญ่แล้วเหรอ? อย่ามาทำตัวเหมือนหญิงปากร้ายที่นี่ให้อายคนอื่นเขา”

“ไอ้เด็กเวร แกว่าอะไรนะ!” โจวแยเวยหันขวับไปมองฉินเฟย

ผมเป็นเขย(ผู้ไม่ธรรมดา) บทที่ 46 ขัดแย้งกับตระกูลซุนอีกครั้ง (1)
หลังจากรับเงินแล้ว ฉินเฟยยังคงครุ่นคิดถึงวิธีแก้ปัญหาความขัดแย้งกับตระกูลซุนอยู่ตลอด

เมื่อทั้งสองคนเดินออกมาจากอาคาร ฉินเฟยรู้สึกว่าแขนของเขาถูกรัดแน่น เจียงเยว่ถงที่อยู่ข้างกายเข้ามาควงแขนเขา

ฉินเฟยเอาแขนโอบเอวของเจียงเยว่ถง พอได้กลิ่นกายสบายใจของภรรยาเทพธิดาของเขา ก็ยิ่งรู้สึกว่าการต่อสู้ครั้งนี้คุ้มค่า!

เวลาสองทุ่ม สำหรับซงไห่ที่คึกคัก ชีวิตกลางคืนเพิ่งเริ่มต้น

ทั้งสองไปที่โรงแรมนอกหมู่บ้านและสั่งอาหารหลายอย่าง

“ที่รัก คุณกลับไปกินข้าวเย็นก่อน ผมยังมีอะไรต้องทำอีก” ฉินเฟยพูดขึ้นทันทีเมื่อเห็นเจียงเยว่ถงเดินเข้ามาพร้อมกับอาหารในมือ

เรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนี้ จำเป็นต้องหาวิธีแก้ไข!

ช่วยไม่ได้ พ่อตาไม่สามารถทนเห็นตระกูลเจียงถูกตระกูลซุนทำลายได้ ดังนั้นฉินเฟยก็ไม่สามารถยืนดูเฉยๆ ได้เหมือนกัน

ยิ่งกว่านั้นคืนนี้เขาเอาชนะคนของตระกูลซุนได้ ตระกูลซุนไม่มีทางยอมเลิกราง่ายๆ แน่นอน

สิ่งสำคัญที่สุดคือ เขาทำเรื่องให้เป็นที่โจษจันมากเกินไปในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา สี่ตระกูลใหญ่แห่งซงไห่ ภายในเวลาสองวันเขาทำให้ผิดใจไปแล้วครึ่งหนึ่ง

สิ่งที่ทำให้เขากังวลที่สุดคือ ตัวตนของเขาอาจถูกเปิดเผยในไม่ช้า!

ตระกูลฉินตกต่ำไปเพียงสี่ปี แม้ว่าเขาจะทำตัวเงียบมากในตอนนั้น แต่เขาก็ยังเป็นหลานชายคนโตของตระกูลฉิน แน่นอนว่ามีหลายคนรู้จักเขา

แต่หลังจากสี่ปีแห่งการเปลี่ยนแปลงผ่านไป หลายคนไม่เคยคิดว่าลูกเขยขี้แพ้ของตระกูลเจียง จะเป็นคุณชายใหญ่ของตระกูลฉินในเวลานั้น

แต่หากตระกูลฮั่วหรือตระกูลซุนตรวจสอบอย่างรอบคอบ จะต้องค้นพบบางสิ่งอย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม มีบางสิ่งที่เขาไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ง่ายๆ

ก็อย่างที่จางฉองหย่วนพูดไว้ การเอาแต่ถอยหนีไม่ใช่ความคิดที่ดี ถึงเวลาที่ต้องแสดงสติปัญญาบ้างแล้ว…

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ปัญหาของตระกูลซุนในปัจจุบันจำเป็นต้องได้รับการแก้ไข

และวิธีแก้ไข้ก็มีความเป็นไปได้มากที่จะเปิดเผยตัวตนของเขาอย่างสมบูรณ์!

ดังนั้นเขาจึงขอให้เจียงเยว่ถงกลับบ้านไปก่อน

“คุณยังต้องการอะไรอีก?” เจียงเยว่ถงมองไปที่ฉินเฟยด้วยความงุนงง

“หากปัญหาของตระกูลซุนไม่ได้รับการแก้ไข มันจะนำปัญหาใหญ่มาสู่ตระกูลเจียง ผมคิดว่า…บางทีผมอาจมีวิธี” ฉินเฟยกล่าวอย่างลังเล

“คุณมีวิธีแล้วเหรอ?” เจียงเยว่ถงดูประหลาดใจ

ฉินเฟยเป็นคนขี้แพ้มาเป็นเวลาสามปี แม้ว่าเจียงเยว่ถงจะมองเขาเปลี่ยนไปมากในช่วงเวลานี้ แต่ในสายตาของเธอ มันเป็นเพียงเพราะวิชากังฟูของฉินเฟย

ในสังคมนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยกังฟู อำนาจและเงินทองเป็นทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับตระกูลซุนซึ่งเป็นสี่ตระกูลมหาอำนาจในซงไห่

เจียงเยว่ถงคิดไม่ออกเลยว่า ฉินเฟยจะมิวิธีการอย่างไร

เจียงเยว่ถงมองพิจารณาฉินเฟยขึ้นๆ ลงๆ ด้วยดวงตาอันงดงาม ขมวดคิ้วเล็กน้อยและพูดว่า “คุณคงไม่คิดจะไปขอร้องตระกูลซุนใช่ไหม? เป็นไปไม่ได้ ตระกูลซุนไม่มีทางตกลงแน่”

“ผมเพิ่งได้วิธีใหม่ที่จะลองทำดู บางทีมันอาจจะไม่ได้ผล หรืออาจจะมีโอกาสจริงๆ ก็ได้” ฉินเฟยกล่าว

เมื่อเห็นฉินเฟยไม่อธิบาย เจียงเยว่ถงก็ยิ่งกังวลมากขึ้น

“งั้นฉันจะไปกับคุณด้วย นี่คือเรื่องของตระกูลเจียง คุณผิดใจกับตระกูลซุนก็เพราะช่วยพ่อของฉัน เราไปเผชิญหน้าด้วยกัน!” เจียงเยว่ถงกล่าวอย่างหนักแน่น

ฉินเฟยพยักหน้าด้วยรอยยิ้มขมขื่น

เขารู้จักเจียงเยว่ถงดี ผู้หญิงคนนี้ลองได้ตัดสินใจอะไรไปแล้ว มันไม่ง่ายเลยที่จะเปลี่ยนการตัดสินใจของเธอ

เจียงเยว่ถงกำลังขับรถอย่างใจเย็น เธอเงยหน้าขึ้นมองฉินเฟยที่นั่งอยู่ข้างๆ ผ่านกระจกมองหลังเป็นครั้งคราว

ในขณะนี้ฉินเฟยกำลังมองออกไปนอกหน้าต่างเพื่อดูทิวทัศน์ที่ผ่านไป ดวงตาของเขาเหม่อลอย เห็นได้ชัดว่าเขากำลังตกอยู่ในภวังค์แห่งความคิด

เจียงเยว่ถงบุ้ยปาก เธอต้องยอมรับว่าในช่วงสามปีที่ผ่านมาเธอเพิ่งให้ความสนใจกับฉินเฟยเมื่อไม่กี่วันมานี้

เธอไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับฉินเฟยมาก่อน รู้เพียงว่าฉินเฟยมาจากชนบทตอนที่พวกเขาแต่งงานกัน นอกจากการศึกษาเพียงเล็กน้อย ก็ไม่มีข้อได้เปรียบอื่นใด

แต่ตอนนี้เธอค้นพบแล้วว่าฉินเฟยไม่ได้ง่ายดายอย่างนั้น เขาต้องมีประสบการณ์บางอย่างมาก่อน หลังจากเป็นคนขี้แพ้มาสามปี ถูกเยาะเย้ยและดุด่ามากมาย แต่ฉินเฟยยังคงรักษาสัญญาอย่างไม่หวั่นไหว บางครั้งเมื่อนึกถึงจิตใจเช่นนี้ เจียงเยว่ถงก็ต้องนับถือตัวเขา

แต่ตอนนี้ฉินเฟยกลับให้ความรู้สึกว่าเขาเป็นผู้ชายที่ลึกซึ้ง เป็นตะกอนที่ผ่านวันเวลามานาน ยากที่จะอธิบาย

เจียงเยว่ถงรู้สึกเขินเล็กน้อย เธอรีบหันหน้ากลับไป โชคดีที่ฉินเฟยไม่ทันสังเกต

เจียงเยว่ถงทำตามคำสั่งของฉินเฟย ขับรถมุ่งหน้าต่อไป ขณะที่ผ่านโรงแรมที่มีมากกว่าสิบชั้นและแสงไฟสว่างไสว เสียงของฉินเฟยก็ดังขึ้น “ถึงแล้ว!”

จากนั้นก็ชี้ไป “ตรงนั้นน่าจะเป็นลานจอดรถ “

เจียงเยว่ถงมองไปทางนิ้วของฉินเฟย สังเกตเห็นป้าย ‘โรงแรมนานาชาติหมู่บ้านเทียนฝู’ เธอขมวดคิ้วและถามว่า “คุณแน่ใจนะ…ดูไม่ผิดที่แน่นะ?”

“ตรงนี้แหละ” ฉินเฟยกล่าวอย่างมั่นใจ

เจียงเยว่ถงอ้าปากเล็กน้อยและคิดว่าเป็นไปตามคาด!

แต่สีหน้าของเธอกลับสับสนยิ่งกว่าเดิม!

ทั่วทั้งซงไห่ไม่มีใครไม่รู้จักโรงแรมใหญ่ในหมู่บ้านเทียนฝู

เพราะนี่คือทรัพย์สินของตระกูลซุน หนึ่งในสี่ตระกูลที่มีอิทธิพลในซงไห่!

เจียงเยว่ถงเดาว่าฉินเฟยอาจมาหาคนของตระกูลซุน แต่เธอไม่คาดคิดว่าผู้ชายคนนี้จะเตรียมตัวบุกเข้าไปในรังของพวกเขาเลย?

แต่ที่สำคัญที่สุด ด้วยฐานะของตระกูลซุน ลำพังเพียงฐานะอย่างฉินเฟย มันเป็นเรื่องยากที่จะได้พบกับผู้มีอำนาจของตระกูลซุน!

นี่คือจุดที่ทำให้เธอสับสนที่สุด!

ฉินเฟยมีวิธีอะไร?

“ก็แค่อาศัยโชคช่วย ยังไม่แน่นอนหรอก!” ฉินเฟยแค่ชำเลืองมองเธอก็รู้แล้วว่าในใจเธอคิดอะไร เขาผายมือยักไหล่

หลังจากจอดรถ เจียงเยว่ถงก็เปิดประตูและเดินออกมา เมื่อมองไปที่โรงแรมความสูง 12 ชั้นที่อยู่ตรงหน้า เธอลังเลอยู่พักหนึ่งแล้วหันไปมองฉินเฟย “คุณไม่กลัวว่าเข้าไปแล้วจะออกมาไม่ได้เหรอ?”

ท้ายที่สุดที่นี่ไม่ใช่ตระกูลเจียง แต่เป็นรังของตระกูลซุน!

ฉินเฟยเคยเอาชนะนักเลงที่พ่อบ้านซุนพามา แต่ตอนนี้เขามาถึงดินแดนของพวกเขาโดยตรง

หากเกิดความขัดแย้งขึ้น เป็นไปได้ว่าไปแล้วไปลับไม่กลับมาอีก!

“มีบางเรื่องที่อย่างไรก็ต้องเผชิญหน้าอยู่ดี” ฉินเฟยกล่าว

“งั้นก็เข้าไปข้างในกันเถอะ” เจียงเยว่ถงดึงแขนเสื้อของฉินเฟย เหยียบรองเท้าส้นสูงก้าวเข้าไปในโรงแรมอย่างเด็ดเดี่ยว

ท่าทีราวกับว่าเป็นทีมพลีชีพพร้อมเผชิญหน้ากับความตายอย่างเด็ดเดี่ยว!

หมู่บ้านเทียนฝู หนึ่งในโรงแรมระดับไฮเอนด์ที่ดีที่สุดในซงไห่ เพราะเป็นกิจการของตระกูลซุน จึงหรูหรากว่าโรงแรมเทียนเซียงของจางฉองหย่วนมากนัก!

สามชั้นด้านล่างของโรงแรมเป็นร้านอาหารและห้องวีไอพีเล็กๆ ชั้นแรกเป็นห้องวีไอพีหลากหลายรูปแบบที่พิถีพิถันงดงาม ถัดไปอีกสองชั้นเป็นห้องจัดเลี้ยงทั้งหมด งานเลี้ยงขนาดใหญ่และงานเลี้ยงอาหารค่ำสำหรับความร่วมมือทางธุรกิจของบริษัทและกลุ่มต่างๆ ส่วนใหญ่จะเลือกจัดที่นี่ ส่วนอีกแปดชั้นเป็นสำนักงานของพนักงานบริษัท สามชั้นสุดท้ายเป็นห้องส่วนตัวและห้องสวีทของโรงแรม

นี่คือโรงแรมนานาชาติที่ตกแต่งอย่างหรูหรา

ทำให้คนรวยหลายคนชอบมาที่นี่ ซีอีโอบริษัทหลายคนชอบมาพูดคุยเรื่องงานที่นี่มากเป็นพิเศษ ทั้งมีสง่าราศีและปลอดภัย ดังนั้นจึงเป็นเรื่องง่ายที่จะพบคนรู้จักที่นี่ ซึ่งเป็นพ่อค้าที่ร่ำรวยและมีอำนาจมากในซงไห่

ทั้งสองเดินเข้าไปในโรงแรม แต่แทนที่จะเลือกห้องส่วนตัว กลับหาที่นั่งริมหน้าต่างที่ชั้นสาม

มีห้องส่วนตัว แต่ไม่ได้ไปที่นั่น แค่หาโต๊ะริมหน้าต่างที่ชั้นสาม

ไม่นานฉินเฟยก็ด้รับเมนูจากบริกรสาวสวย เขาสั่งอาหารสองสามอย่าง แล้วรออย่างเงียบๆ

เจียงเยว่ถงนั่งลงตรงข้ามฉินเฟยโดยไม่พูดอะไรสักคำ

ไม่นานอาหารทุกจานซึ่งเป็นจานโปรดของเจียงเยว่ถงก็มาเสิร์ฟ

เจียงเยว่ถงยิ่งสับสนกว่าเดิม ฉินเฟยมารับประทานอาหารเหรอ?

“ประธานเจียง? ไม่นึกว่าคุณจะอยู่ที่นี่ด้วย?” และในเวลานี้เอง เสียงทักทายที่ไม่ค่อยแน่ใจนักก็ดังขึ้นข้างๆ เจียงเยว่ถง

“อ๋อ ประธานซุนนี่เอง ไม่คิดว่าคุณจะยังจำฉันได้ ไม่ได้พบกันนานเลย” เจียงเยว่ถงตกตะลึงและยิ้มให้ชายวัยกลางคนที่อยู่ข้างเธอ

ชายคนนี้ชื่อซุนเจิ้งกาง อายุ 55 ปี เป็นประธานและผู้ถือหุ้นใหญ่ของเจิ้งซิน กรุ๊ป เขาอยู่ในแวดวงธุรกิจอุปกรณ์ตกแต่งรถยนต์ มีลูกชายลูกสาวอย่างละคน ลูกชายแต่งงานและสืบทอดกิจการของพ่อแล้ว ธุรกิจกำลังไปได้ดี ทรัพย์สินมีมากกว่าร้อยล้าน

เจิ้งซิน กรุ๊ปเริ่มต้นธุรกิจเมื่อกว่า 10 ปีที่แล้ว ตอนนั้นยังร่วมมือกับตระกูลฉินอีกด้วย นิสัยใจคอไม่เลว

“ฮ่าฮ่า ผมจำผู้หญิงที่สวยติดอันดับต้นๆ ในซงไห่ได้” ซุนเจิ้งกางหัวเราะลั่น แล้วพูดติดตลก

“ฉันแต่งงานมาสามปีแล้ว ประธานซุนอย่ามาล้อฉันเล่นเลย” เจียงเยว่ถงตอบด้วยรอยยิ้ม

เมื่อเงินทุนขององค์กรเอกชนมีมากกว่าหนึ่งร้อยล้าน ก็สามารถเรียกได้ว่าเป็นตระกูล ตระกูลเจียงได้เป็นตระกูลใหญ่ในซงไห่เมื่อหลายปีก่อน แต่มันแตกต่างจากกลุ่มผู้มีอิทธิพลเหล่านั้นเพียงเล็กน้อย

แต่ไม่ว่าจะพูดอย่างไร เจียงเยว่ถงก็เป็นคุณหนูของครอบครัวที่ร่ำรวย

ซุนเจิ้งกางพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม มองไปที่ฉินเฟยที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม “คิดว่าท่านนี้ต้องเป็นลูกเขยของตระกูลเจียงผู้โชคดีที่ได้แต่งงานกับเทพธิดาแน่ๆ”

“สวัสดีครับประธานซุน” ฉินเฟยลุกขึ้นยืนและยื่นมือออกไป

“ยินดีที่ได้รู้จัก” ซุนเจิ้งกางยิ้มและจับมือกับฉินเฟย

คนรวยชอบผูกมิตร แถมยังกระตือรือร้นมากอีกด้วย

และคนรวยอย่างซุนเจิ้งกางก็อ่อนโยนกับทุกคน เมื่อกาลเวลาผ่านไป ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างในอนาคต

ความจริงนั้นง่ายดายมาก มีเพื่อนเพิ่มขึ้นก็มีลู่ทางมากขึ้น มีศัตรูเพิ่มขึ้นก็มีอุปสรรคมากขึ้น

แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากพวกเศรษฐีใหม่เหล่านั้น มีเงินมีอำนาจก็กลายเป็นคนหยิ่งยโสอวดดี ไม่เห็นใครในสายตา

แม้ว่าปกติแล้วเจียงเยว่ถงจะเก็บเนื้อเก็บตัว ไม่ชอบเข้าสังคมเป็นการส่วนตัว แต่เธอก็จะผูกมิตรกับคนที่เธอควรรู้จักแน่นอน เพราะถึงอย่างไรเจียงเยว่ถงก็มีข้อได้เปรียบมากในเรื่องการผูกมิตร

เธอมาจากครอบครัวปานกลาง แต่ก็มีความสามารถและเป็นคนสวย ใครๆ ก็ยินดีที่จะผูกมิตรกับเพื่อนแบบนี้

ทั้งสองทักทายกันไม่กี่ประโยค นัดกันว่าหากมีโอกาสจะไปดื่มชาด้วยกัน ซุนเจิ้งกางก็บอกลาและจากไป

การดื่มชาในวงการธุรกิจเป็นคำที่มีความหมายสองด้าน กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ หากมีโอกาสจะได้ร่วมงานกัน

เจียงเยว่ถงเป็นคนเก็บตัว ไม่ค่อยปรากฏตัวในที่สาธารณะ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเธอไม่มีชื่อเสียงเลย เพียงเพราะใบหน้าอันงดงามและรูปร่างสะโอดสะองของเธอ ผู้ชายรอบๆ ร้านอาหารหลายคนมองมาที่เธอและกระซิบกระซาบกันเบาๆ

เพราะถึงอย่างไรเจียงเยว่ถงก็แทบจะไม่ปรากฏตัวเลย

“อ้าว! นี่คุณหนูเจียงใช่ไหม? บังเอิญจัง ไม่คิดมาก่อนว่าจะเจอบุคคลสำคัญอย่างคุณที่นี่!” ในเวลานี้มีคนมาทักอีกแล้ว

เป็นผู้หญิง

เสียงของเธอฟังดูน่าฟัง แต่ความจริงแล้วมันแปลกๆ น้ำเสียงดูประชดประชัน

เจียงเยว่ถงไม่ได้มีตำแหน่งสูงในตระกูลเจียง เธอไม่ได้ครอบครองทรัพย์สินใดๆ ของตระกูลเจียงอีกด้วย มากที่สุดก็ถือว่าเป็นบุคคลสำคัญ แต่ก็ยังไม่ใช่บุคคลใหญ่โตอย่างแน่นอน!

ยิ่งไปกว่านั้น เจียงเยว่ถงไม่ชอบให้ใครเรียกว่า ‘คุณหนูเจียง’ ขอเพียงอยู่ในบางโอกาส และบุคคลที่เจาะจง เธอจะไม่รังเกียจเมื่อเรียกเธอแบบนี้

และคนที่ทักทายตอนนี้เรียกเจียงเยว่ถงว่า ‘คุณหนูเจียง’ น้ำเสียงดูเหน็บแนมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ มันคือความจงใจ

เจียงเยว่ถงขมวดคิ้วเล็กน้อย ฉินเฟยก็มองเธอเช่นกัน

คนที่มาแต่งกายด้วยชุดที่ตัดเย็บเองระดับไฮเอนด์ ถือกระเป๋าหลุยส์ วิตตอง LV แพลตตินั่มจากฝรั่งเศส สวมเพชรเม็ดเป้งอยู่ในมือ เรือนร่างของเธอเปล่งประกายแวววาว เลี่ยมทองเลี่ยมเงิน แสดงตัวตน ‘ไฮโซ’ ออกมาให้ทุกคนเห็น

ผู้หญิงอายุประมาณสามสิบปี ผมหยิกเป็นลอนใหญ่ ใบหน้างดงาม แต่ดูไม่มีเอกลักษณ์ แต่งหน้าเข้มไป

ฉินเฟยมองปราดเดียวก็จำเธอได้ในทันที

โจวแยเวย มีชื่อเดิมว่าโจววี่เจียน วันนี้อายุ 31 ปี มาจากหมู่บ้านตระกูลโจว ตำบลตงเฟิง อำเภอชางหมิง

แต่สามีของเธอมีชื่อเสียง พูดได้ว่าทั่วทั้งซงไห่ไม่มีใครไม่รู้จัก

เขาคือซุนเย่าเหวิน ท่านสองของตระกูลซุน!

กล่าวอีกนัยหนึ่ง โจวแยเวยที่อยู่ตรงหน้าเป็นเจ้าของโรงแรมนานาชาติในหมู่บ้านเทียนฝู!

“ผมเป็นแค่ลูกเขยของตระกูลเจียง” ฉินเฟยกล่าว เมื่อได้ยินดังนั้นพ่อบ้านซุนก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจและสับสน
ลูกเขยของตระกูลเจียง?
เท่าที่เขารู้ ในลูกหลานสายตรงของตระกูลเจียง มีลูกสาวทั้งหมด 3 คน คนแรกคือเจียงเฟิ่งซวงซึ่งเป็นลูกสาวของคุณย่าเจียง ว่ากันว่าเธอได้แต่งงานกับนักธุรกิจธรรมดาในเซี่ยงไฮ้ รุ่นต่อมาคือเจียงเยว่เสี่ยซึ่งเป็นลูกสาวของท่านสองที่เสียชีวิตไปแล้ว เจียงเยว่เสี่ยยังไม่ได้แต่งงาน
สำหรับคนสุดท้าย…
จู่ๆ พ่อบ้านซุนก็เงยหน้าขึ้น สีหน้าเต็มไปด้วยความตกใจและสับสนกว่าเดิม “คุณ คุณก็คือลูกเขยขี้แพ้ของตระกูลเจียงน่ะเหรอ?”
“ใช่ ผมเป็นลูกเขยขี้แพ้ของตระกูลเจียง” ฉินเฟยพยักหน้าโดยไม่หลบเลี่ยง
เมื่อพูดออกมาเช่นนี้ ก็ทำให้คนในตระกูลเจียงทุกคนก้มหน้าด้วยความละอายใจ
นี่คือไอ้ขี้แพ้ที่พวกเขาเยาะเย้ยและด่ากราด แต่ตอนนี้เขากลับใช้ความสามารถอันทรงพลังพลิกสถานการณ์ทวงคืนศักดิ์ศรีของตระกูลเจียงกลับมาได้
ตอนนี้ตระกูลซุนได้ตัดขาดความสัมพันธ์อย่างสมบูรณ์ ไร้ประโยชน์ที่จะร้องขอความเมตตา หากตระกูลซุนทำลายวิลล่าของตระกูลเจียงจริงๆ ตระกูลเจียงก็จะจบลงแล้วจริงๆ!
“ฮ่า ผมดูพลาดไปเอง แต่คุณรู้ไหมว่าสิ่งที่คุณทำในวันนี้มีแนวโน้มที่จะทำลายตระกูลเจียงอย่างย่อยยับ? ตระกูลซุนจะไม่ปล่อยคุณไป!” พ่อบ้านซุนพูดอย่างเย็นชา
ทันทีที่เขาพูดจบ ทุกคนในตระกูลเจียงก็ตกใจ
“ท่านสามที่คุณพูดถึง เป็นเจ้าบ้านตระกูลซุนเหรอ หรือว่าคำพูดของคุณจะเป็นตัวแทนของตระกูลซุนได้? ฉินเฟยพูดยิ้มเยาะ
เท่าที่ฉินเฟยรู้ ผู้นำที่แท้จริงคนปัจจุบันของตระกูลซุน น่าจะเป็นท่านสอง แน่นอน ท่านสองมีทรัพยากรอยู่ในมือมากกว่า แต่ยังเป็นผู้นำตระกูลซุนไม่ได้
กองกำลังและกิจการส่วนใหญ่ของตระกูลซุน มีการควบคุมโดยสองพี่น้อง นอกจากท่านสองและท่านสามแล้ว ตระกูลซุนยังมีระบบจัดตั้งที่สำคัญที่สุด….การประชุมตระกูล
ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นท่านสองหรือท่านสาม สิ่งที่พวกเขาพูดไม่สามารถเป็นตัวแทนของตระกูลซุนทั้งหมดได้ การตัดสินใจที่สำคัญทั้งหมดของตระกูลซุนจะต้องได้รับการอนุมัติจากการประชุมตระกูล
แม้ว่าความแข็งแกร่งของตระกูลเจียงจะสู้ตระกูลซุนไม่ได้ แต่ก็ยังเป็นตระกูลที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานหลายทศวรรษ
หากตระกูลซุนต้องการจัดการกับตระกูลเจียงอย่างเบ็ดเสร็จ ก็จำเป็นต้องได้รับความยินยอมจากการประชุมตระกูล!
“คุณ!” พ่อบ้านซุนเบิกตากว้างและพูดอย่างเย็นชา “ผมเป็นตัวแทนของตระกูลซุนไม่ได้อยู่แล้ว แต่เมื่อล่วงเกินท่านสาม มันแตกต่างกับล่วงเกินตระกูลซุนทั้งหมดยังไง?”
“ฮ่าฮ่า” ฉินเฟยหัวเราะอย่างไม่แยแส “คุณเป็นตัวแทนของตระกูลซุนไม่ได้ และผมก็เป็นตัวแทนของตระกูลเจียงไม่ได้เช่นกัน”
“แต่พ่อของผมไม่อนุญาตให้คุณแขวนนาฬิกาเรือนใหญ่ที่นี่ ผมก็จะไม่อนุญาต!”
ว่าแล้ว ฉินเฟยก็เตะอย่างแรงดัง ‘โครม’ นาฬิกาสีเลือดขนาดเท่าตัวคนกระเด็นออกจากห้องโถง หลังจากลอยไปไกลกว่าสิบเมตร มันก็ตกลงในลานวิลล่าอย่างแรง แตกกระจายเป็นชิ้นๆ!
ในห้องโถงของวิลล่า ได้ยินเพียงเสียงหอบหายใจเท่านั้น
เจ้าหมอนี่เป็นสัตว์ร้ายหรืออย่างไร? เมื่อครู่นาฬิกาเรือนใหญ่นี้ต้องใช้นักสู้สองคนแบกเข้ามา แต่เขาแค่เตะเพียงครั้งเดียวก็กระเด็นออกไปแล้วงั้นหรือ?
เสิ่นหัวอ้าปากค้าง พูดไม่ออกแม้แต่ประโยคเดียว
ถ้าจะพูดถึงเรื่องนี้ เธอยอมรับว่าเธอเป็นคนเดียวที่รู้จักฉินเฟยดีที่สุด!
แต่เขายังเป็นลูกเขยขี้แพ้แบบที่เธอพูด ถูกตนเยาะเย้ยและด่ากราดมาถึงสามปีอยู่ไหม?
สมาชิกในตระกูลเจียงที่อยู่รอบๆ ก็หวาดกลัวเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มเพื่อนซี้ที่เดินตามหลังเจียงเฉิงเย่ ได้หลบซ่อนอยู่ข้างหลังคนอื่นอย่างเงียบๆ อดปาดเหงื่อไม่ได้ อยากจะมุดลงไปหลบในรูเหลือเกิน
บัดซบ นี่คือการทำตัวเงียบๆ ในตำนานงั้นหรือ? อดทนต่อการเยาะเย้ยและทำตัวเงียบๆ มาตลอดสามปี?
พวกเขาดีใจมากที่ตัวเองมีชีวิตอยู่ได้จนถึงตอนนี้
มีเพียงเจียงเฟิ่งหยุนเท่านั้นที่แววตาเต็มไปด้วยความปลื้มอกปลื้มใจ
เขารู้ว่าลูกเขยที่ตัวเองเลือก ไม่มีทางเลวร้ายแน่นอน!
“นี่ นี่…”
พ่อบ้านซุนจ้องมองอย่างว่างเปล่า นาฬิกาเรือนใหญ่กลายเป็นเศษชิ้นเล็กชิ้นน้อยเต็มลานวิลล่า เหงื่อเม็ดใหญ่ไหลลงมาจากหน้าผากของเขา
เจ้าหมอนี่เชี่ยวชาญเรื่องฮ่องกงฟุตเหรอ?
“กลับไปบอกซุนซานเย่ว่า หากคิดแตะต้องตระกูลเจียง พ่อของผมไม่ยอม ดังนั้น…ผมก็ไม่ยอมเช่นกัน!”
บ้าอำนาจ บ้าอำนาจสุดๆ
“ไอ้ ไอ้หนู โหดนัก ฉินเฟยใช่ไหม? ฝากไว้ก่อน!” พ่อบ้านซุนพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ แข็งนอกอ่อนใน
เมื่อเห็นใบหน้าเย็นชาของฉินเฟย พ่อบ้านซุนก็รู้สึกเย็นยะเยือกไปทั้งตัว เขาหันหลังกลับและวิ่งหนีไป
เมื่อวิ่งมาถึงลานบ้านก็หยุดลงอย่างกะทันหัน มองไปที่ฉินเฟยพร้อมกับยิ้มเยาะ “ฉินเฟย คุณย่าเจียง อย่าหาว่าผมไม่เตือนพวกคุณเลยนะ ท่านสามของเราต้องเอาเขาหลีเสวี่ยมาให้ได้ ผมแนะนำให้พวกคุณถอยดีกว่า ถ้าไม่อย่างนั้นพวกคุณต้องคิดถึงผลที่ตามมาให้ดีๆ!”
พูดจบก็กลัวฉินเฟยจะตามออกมาทำร้ายเขา จึงรีบขึ้นรถออฟโรดแล้วหลบหนีไป
สำหรับบอดี้การ์ดในห้องโถง ต่างพากันอ้าปากค้าง ข่มความเจ็บปวด ช่วยกันพยุงกันและกัน เดินกะโผลกกะเผลกออกไป ก่อนไปยังไม่กล้ามองฉินเฟย
“พ่อ พ่อไม่เป็นอะไรใช่ไหม?” เจียงเยว่ถงรีบวิ่งไปหาเจียงเฟิ่งหยุน แล้วช่วยพยุงเขาขึ้นมา
“ฉันไม่เป็นอะไร รีบไปดูสามีของเธอเถอะว่าเป็นอะไรหรือเปล่า” เจียงเฟิ่งหยุนได้เสิ่นหัวมาช่วยพยุง ชำเลืองมองไปที่ลูกสาวแล้วกล่าวขึ้น
“อ้อ” เจียงเยว่ถงพยักหน้า เมื่อเห็นว่าพ่อของเธอไม่เป็นอะไร จึงรีบเดินไปหาฉินเฟย
“เร็วเข้า รีบมารับผมสิ” พอเห็นเจียงเยว่ถงเข้ามา ฉินเฟยก็เร่งรัดเธอด้วยเสียงเบาๆ
สีหน้าของเจียงเยว่ถงเปลี่ยนไปเล็กน้อย รีบเข้าไปช่วยประคองฉินเฟย ใบหน้าที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตาเต็มไปด้วยความกังวล มองพิจารณาฉินเฟยขึ้นลง “คุณเจ็บตรงไหนหรือเปล่า?”
“ตอนแรกไม่เจ็บหรอก แต่เมื่อกี้…รู้สึกขาชานิดหน่อย” ฉินเฟยพูดด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ
ใบหน้าของเจียงเยว่ถงชะงักงัน ทันใดนั้นเธอก็นึกถึงภาพที่ฉินเฟยเตะนาฬิกาสีแดงเลือดกระเด็นออกไป พลางพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ใครให้คุณอวดเก่งอย่างนั้น?”
“ผมก็ไม่มีทางเลือกนี่ ถ้าไม่แสร้งทำแล้วจะข่มตาเฒ่านั่นได้เหรอ?”
“แสร้งทำ! คุณเสแสร้งอยู่ทุกวัน!” เจียงเยว่ถงคอยประคองฉินเฟยอย่างระมัดระวัง พลางพูดด้วยน้ำเสียงไม่เป็นมิตรและโอหัง “คุณยังมีเรื่องอะไรที่ปิดบังฉันไว้อีก?”
“ผมไม่ได้ปิดบังคุณนะ คุณรู้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอว่าผมเป็นกังฟูน่ะ?”
เจียงเยว่เสี่ยที่มีท่าทีไม่แยแสอยู่ตลอดเวลา มองไปที่คนสองคนที่ช่วยพยุงกันและกันอยู่ที่ประตูห้องโถง ใบหน้าอันสวยงามของเธอเต็มไปด้วยความซับซ้อนที่ยากจะปิดบัง
ฉินเฟยในตอนนี้ ทำให้เธอตกใจอย่างที่สุด!
เธอกลับประเทศมาเมื่อ 5 ปีก่อน และอีก 2 ปีต่อมาฉินเฟยก็ ‘แต่งงาน’ เข้ามาในบ้าน
เธอแก่กว่าเจียงเยว่ถงหนึ่งปี ฉินเฟยเป็นพี่เขยของเธอ
แต่สำหรับพี่เขยไร้ประโยชน์คนนี้ที่ใครๆ ก็พากันหัวเราะเยาะ เจียงเยว่เสี่ยก็รู้สึกรังเกียจ และด้วยนิสัยใจคอของเธอ ในสามปีที่ผ่านมา ทั้งสองคนไม่เคยพูดอะไรกันเลย
อย่างไรก็ตาม โดยส่วนตัวแล้วเธอมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเยว่ถงที่เป็นน้องสาวลูกพี่ลูกน้อง ทั้งสองคนนับว่าเป็นหญิงแกร่ง มีหัวข้อพูดคุยร่วมกัน แต่เจียงเยว่ถงนั้นไม่เหมือนกับเธอ เจียงเยว่ถงเป็นคนใจอ่อน พูดอย่างตรงไปตรงมาก็คือ ภายนอกเย็นชาแต่หัวใจอบอุ่น แล้วยังมีความกตัญญูมาก เธอเคยบอกว่าจะให้เยว่ถงรีบหย่ากับฉินเฟยโดยเร็วที่สุด
เพราะถ้าหากเป็นเธอ เธอทนไม่ได้เลยที่มีสามีขี้แพ้แบบนี้
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ฉินเฟยได้ทำมาในหลายวันนี้ได้เปลี่ยนความรับรู้ที่เธอเคยมีต่อฉินเฟยอย่างสิ้นเชิง!
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่ฮั่วจงเหยียนรังแกเยว่ถงคราวก่อน เธอไม่คาดคิดว่าฉินเฟยจะก้าวออกมา แถมยังเอาชนะฮั่วจงเหยียนได้อีกด้วย
เจียงเยว่เสี่ยก็เป็นผู้หญิงเช่นกัน เธอไม่ต้องการอะไรมาก ต้องการแค่ผู้ชายที่ทุ่มเทให้เธอ กล้าทำทุกอย่างเพื่อเธอเท่านั้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเธอมาจากครอบครัวพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยว แม้ว่าเธอจะดูเย็นชาและรักษาระยะห่างจากผู้คนอยู่เสมอ แต่ในใจก็คาดหวังอย่างยิ่งที่จะได้รับความอบอุ่นจากการดูแลปกป้อง
ในเวลานี้เธอมองไปที่เยว่ถงและฉินเฟยที่กำลังกระซิบกระซาบหัวเราะกันด้วยสายตาอิจฉาที่ไม่อาจปิดบังไว้ได้…

เมื่อเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น งานวันเกิดก็ย่อมดำเนินต่อไปไม่ได้
ภายใต้การบัญชาการและคำสั่งของพ่อบ้าน คนรับใช้และเด็กรุ่นหลังหลายคนของตระกูลเจียงก็เริ่มเก็บกวาดทำความสะอาดในห้องโถงของวิลล่า
แขกที่มาร่วมฉลองวันเกิดทำได้เพียงพยายามทำตัวเป็นธรรมชาติ บอกลาคุณย่าเจียงเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
คืนนี้มีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้น มันยากสำหรับคุณย่าเจียงที่จะเข้าใจได้ในเวลาอันสั้น เธอยังแสร้งทำตัวเป็นธรรมชาติ ยืนอยู่ที่ประตูห้องโถงโดยมีเจียงเฟิ่งซวงคอยประคองไว้ คอยส่งแขกกลับพลางกล่าวขอโทษ…
เซียววี่ก็กลับไปแล้ว นำหยกนิ้วหัวแม่มือของอู๋กั๋วไท่กลับไปด้วย! แต่ฉินเฟยรู้สึกว่า ถึงอย่างไรเซียววี่ก็เป็นคนมีเหตุผล ไม่มีทางยักยอกหยกนิ้วหัวแม่มือไปจริงๆ หรอก?
เพียงแต่ว่า ตอนนั้นเซียววี่ได้บอกว่า หากเธออยากได้หยกนิ้วหัวแม่มือคืน ก็ต้องสัญญากับเธอเรื่องหนึ่ง แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร ก็ถูกคนของตระกูลซุนบุกเข้ามาขัดจังหวะ
แต่ฉินเฟยมีลางสังหรณ์ว่าต้องมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นแน่นอน!
เจียงเฟิ่งหยุนได้รับบาดเจ็บ ฉินเฟยก็บอกว่าตัวเองได้รับบาดเจ็บเช่นกัน และทำท่าจะออกไป
คุณย่าเจียงไม่ได้รั้งไว้ แต่มองฉินเฟยด้วยแววตาซับซ้อน
เจียงเยว่ถงขับรถกลับไปที่หมู่บ้านเทียนหลัน แม้ว่าฉินเฟยจะถูกคนทั้งห้ารุมล้อมเตะไปหลายครั้ง แต่ก็ไม่เป็นอะไรมาก
ทั้งสองคนไปส่งพ่อตากับเสิ่นหัวกลับบ้านพร้อมกับเจียงเยว่ถงก่อน
หลังจากจัดการเสร็จเรียบร้อยก็เป็นเวลาสองทุ่มครึ่งแล้ว ฉินเฟยรู้ว่าคืนนี้เจียงเยว่ถงได้รับความหวาดกลัว จึงไม่คิดจะรบกวนการพักผ่อนของพ่อตา และบอกลากลับไปก่อน
แต่ตอนนี้ คนที่จิตใจฟุ้งซ่านที่สุดคือเสิ่นหัวผู้เป็นแม่ยาย
เสิ่นหัวพยักหน้า ไม่แสดงท่าทีดูถูกเหมือนเคย หลังจากลังเลจะเอ่ยปากกับฉินเฟยอยู่หลายครั้ง “ฉินเฟย ขอบคุณมากสำหรับเรื่องในคืนนี้ ถ้าไม่อย่างนั้นก็ยังไม่รู้ว่าเจ้าหยุนจะถูกตีจนเป็นยังไง”
ฉินเฟยตกตะลึง!
พูดตามตรง ท่าทีที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันของเสิ่นหัว ทำให้เขารู้สึกอึดอัดเล็กน้อย แต่คำพูดเหน็บแนมนั้นทำให้รู้สึกสบายใจขึ้น
แต่ในเวลานี้เขาจะไม่แกล้งโง่ รีบพูดว่า “ครอบครัวเดียวกัน มันเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว”
“ถูกต้องค่ะแม่ ขอบคุณทำไม” เจียงเยว่ถงรีบพูดขึ้น
เสิ่นหัวเหลือบมองลูกสาว แล้วมองไปที่ฉินเฟยอีกครั้ง ไม่ได้พูดอะไรอีก “รีบกลับไปพักผ่อนเถอะ”
“เดี๋ยวก่อน!” เมื่อฉินเฟยเปิดประตูห้องและกำลังจะพาเจียงเยว่ถงกลับบ้าน จู่ๆ เสิ่นหัวก็พูดขึ้น
ฉินเฟยหันหน้าไปอย่างแปลกใจ เห็นเสิ่นหัวหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาจากกระเป๋าถือ ควักธนบัตร 100 หยวนปึกหนึ่งออกมายัดใส่มือฉินเฟย “พวกเธอยังไม่ได้กินข้าวเย็นเลย ไปร้านอาหารนอกหมู่บ้านสั่งอาหารอร่อยๆ กินของที่มีประโยชน์สักหน่อยเถอะ”
ฉินเฟยมองไปที่ธนบัตรสีแดงในมือ มันมีมูลค่าหนึ่งพันพอดี!
ในใจอดยิ้มอย่างขมขื่นไม่ได้
สามปีแล้ว!
เป็นครั้งแรกที่แม่ยายใจกว้างขนาดนี้!

เมื่อร่างของหัวหน้าบอดี้การ์ดค่อยๆ ไถลลงมาจากด้านหน้าของรถออฟโรด ใบหน้านั้นโชกเลือด เป็นที่น่าสยดสยอง
ภาพนี้ทำให้บอดี้การ์ดทั้งห้าที่กำลังทุบตีอย่างบ้าคลั่งต้องหยุดสิ่งที่พวกเขากำลังทำอยู่ แล้วมองไปที่ฉินเฟยที่ปรากฏขึ้นอย่างกะทันหันด้วยความประหลาดใจและสงสัย
มีบอดี้การ์ดสองคนยังคิดว่าตัวเองตาฝาดไป พวกเขาขยี้ตาอย่างแรงเพื่อยืนยันว่าสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าคือเรื่องจริง!
บอดี้การ์ดหยุดทุบตี เพียงครู่เดียวห้องโถงวิลล่าที่มีเสียงดังอึกทึกก็ไม่มีเสียงใดๆ ราวกับว่ามีใครไปดึงเวลาให้หยุดนิ่งไว้
แขกที่มาฉลองวันเกิดก็พากันประหลาดใจเช่นกัน มีเพียงเซียววี่ที่ดูเฉยเมย เธอยังจำภาพที่ฉินเฟยทุบตีฮั่วจงเหยียนได้ติดตา ไม่ว่าบอดี้การ์ดเหล่านี้จะแข็งแกร่งเพียงใด ก็ไม่แข็งแกร่งไปกว่าพวกเขาก็ยังไม่แข็งแกร่งไปกว่าแชมป์สานต่าแห่งซงไห่ไปหรอกนะ?
เรื่องฉินเฟยทุบตีฮั่วจงเหยียน ตระกูลเจียงไม่ถือว่าเป็นความลับใดๆ แค่ข่าวถูกปิดกั้นในช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น การสื่อสารช้ามาก สำหรับฮั่วจงเหยียนแล้ว การเสียหน้าแบบนี้ เขาก็ไม่กล้าเอาไปเล่าที่ไหน
ชั่วขณะหนึ่ง เด็กรุ่นหลังของตระกูลเจียงมากมายได้เห็นฉินเฟยแสดงฝีมือ ก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที!
บอดี้การ์ดทั้งห้ามองไปที่ฉินเฟยด้วยความประหลาดใจ พ่อบ้านซุนก็เช่นกัน เพราะเขารู้ดีที่สุดเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของสวีเฟิ่งลี่ที่เป็นหัวหน้าบอดี้การ์ด แม้ว่าสวีเฟิ่งลี่จะเป็นทหารปลดประจำการธรรมดา แต่ความแข็งแกร่งของเขาแข็งแกร่งกว่ากองกำลังพิเศษมาก เหตุผลที่เขาไม่ได้เข้าร่วมกองกำลังพิเศษตลอดระยะเวลาห้าปีที่เป็นทหาร ก็เพราะสวีเฟิ่งลี่มีนิสัยจองหองเกินไป เคยทำผิดพลาดมากมายในกองทัพ
เมื่อสองปีที่แล้ว ในภารกิจกวาดล้างผู้ค้ายาเสพติด สวีเฟิ่งลี่ถูกเบื้องบนพบว่ามีการยักยอกยาเสพติด เขาถูกไล่ออกจากกองทัพทันที
สวีเฟิ่งลี่เป็นคนจองหอง ไม่เคยมีพื้นฐาน แต่กลับฉลาดมาก อย่างน้อยก็รู้ว่าใครควรยั่วยุและใครไม่ควรยั่วยุ เขาเป็นคนเชื่อฟังมากเมื่ออยู่ต่อหน้าตระกูลซุนอันยิ่งใหญ่
ส่วนตระกูลซุนก็ต้องการคนอย่างสวีเฟิ่งลี่ คนแบบนี้ไม่มีพื้นฐานแต่เชื่อฟังมาก เป็นนักสู้ที่ต้องการเงินอย่างไม่คิดชีวิต แม้ว่าสวีเฟิ่งลี่จะไม่ใช่ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในตระกูลซุน แต่ก็นับฉายานามได้!
โดยทั่วไปแล้ว ในทุกตระกูลจะยกนักสู้ที่มีความแข็งแกร่งหนึ่งถึงสองคนให้ดูแลตระกูล ดังนั้นการที่พวกเขามาก่อเรื่องที่ตระกูลเจียงในครั้งนี้ พ่อบ้านซุนจึงเลือกสวีเฟิ่งลี่มาเป็นพิเศษ
แต่ว่า…
พ่อบ้านซุนมองไปที่ฉินเฟยด้วยความประหลาดใจและสงสัย
เขาไม่รู้จักฉินเฟยเลย ไอ้เด็กบ้าบิ่นนี่มาจากไหน?
“แม่งเอ๊ย มัวรออะไรกันอยู่? เข้าไป เข้าไปจัดการมันซะ!” พ่อบ้านซุนตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยวใส่บอดี้การ์ดรอบๆ ที่กำลังตกตะลึง
เมื่อครู่เขาก็ไม่ได้สังเกตว่า ฉินเฟยฆ่าสวีเฟิ่งลี่ได้อย่างไร แต่ในเมื่อเรื่องราวดำเนินมาถึงจุดนี้แล้ว การที่ตระกูลซุนมาก่อเรื่องอย่างเอิกเกริกยิ่งใหญ่ในครั้งนี้ จะถูกบังคับให้ล่าถอยอย่างหงอยเหงาเศร้าซึมแบบนี้ไม่ได้!
เมื่อเผชิญหน้ากับบอดี้การ์ดทั้งห้าที่เดินเข้ามา ฉินเฟยก็ตั้งสมาธิรอรับมือ!
เมื่อครู่ที่เขาฆ่าสวีเฟิ่งลี่ได้อย่างง่ายดาย นอกจากเรื่องความสามารถอันแข็งแกร่งของเขาแล้ว สวีเฟิ่งลี่ก็ประมาทศัตรูเกินไป ในเวลานี้เห็นได้ชัดว่านักสู้ที่แข็งแกร่งทั้งห้าไม่ได้เตรียมรับความขายหน้า ทั้งห้าคนรุมตีตนคนเดียว
ในเวลานี้ ตระกูลเจียงอันยิ่งใหญ่มีเพียงเขาเท่านั้นที่มีความสามารถเช่นนี้ ฉินเฟยจะพ่ายแพ้ไม่ได้
เพราะผลของความพ่ายแพ้ไม่ใช่แค่เขาตาย แต่ก็จะไม่เป็นผลดีต่อเจียงเฟิ่งหยุนผู้เป็นพ่อตาด้วย เพราะหากถึงขั้นนั้น ตนในฐานะพ่อตาจะไม่ทนเห็นตัวเองต้องตายอย่างแน่นอน!
แต่ฉินเฟยก็ยังคงมั่นใจ หลังจากที่เขาได้พูดคุยกับผู้เฒ่าเซียวเฟิ่งกาง เขาก็มีความคิดบางอย่างเกี่ยวกับระดับของนักบู๊
ตอนนี้เขามาถึงระดับนักบู๊ขั้นสูงแล้ว ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องความแข็งแกร่ง ความเร็ว และปฏิกิริยาตอบสนอง แต่เขามีประสบการณ์ค่อนข้างน้อยในการต่อสู้แบบเสี่ยงชีวิต ฮั่วจงเหยียนก่อนหน้านี้น่าจะเป็นนักบู๊ระดับกลาง หรือไม่ก็จุดสูงสุดของนักบู๊ระดับกลาง
สำหรับบอดี้การ์ดที่อยู่ตรงหน้าเหล่านี้ ทั้งหมดล้วนเป็นทหารปลดประจำ แต่ยังถือว่าเพิ่งอยู่ในขั้นเริ่มต้น เป็นนักบู๊ระดับต้นเท่านั้น
เมื่อเผชิญหน้ากับยอดฝีมือทั้งห้า ฉินเฟยก็ตั้งมั่นสมาธิเพื่อรับมือ เขารู้ดีว่าตัวเองมีโอกาสมากที่จะทุ่มเททำสิ่งเหล่านี้แล้วเสียแรงเปล่า!
บางทีหลังจากเรื่องราวจบลง ตระกูลเจียงอาจจะประสบปัญหาใหญ่อีกครั้ง หลายคนจะผลักเรื่องนี้ให้เป็นความผิดของเขา ตำหนิฉินเฟยที่ทำร้ายคนในตระกูลซุน ทำให้ตระกูลซุนต้องแก้แค้นอย่างบ้าคลั่ง!
“ฉินเฟย คุณ…คุณระวังตัวนะ!” เดิมทีเจียงเยว่ถงจะพุ่งเข้าไป แต่กลับถูกเสิ่นหัวผู้เป็นแม่ดึงไว้ เรื่องนี้ทำให้ดวงตาอันงดงามของเธอถูกปกคลุมไปด้วยหมอก ปากเล็กๆ สั่นระริกด้วยความขอบคุณ
เธอรู้ว่าฉินเฟยไม่มีความประทับใจที่ดีต่อตระกูลเจียงเลย เหตุผลที่เขาเพิ่งแสดงฝีมือในตอนนี้ ก็เพื่อช่วยพ่อของเธอเท่านั้น!
แต่เมื่อเจียงเฟิ่งหยุนซึ่งเป็นพ่อตาถูกทุบตี เขาก็ไม่สามารถยืนมองเฉยๆ ได้!
ฉินเฟยเอียงศีรษะเล็กน้อยมองดูดอกสาลี่อาบน้ำฝนที่อยู่ไม่ไกลออกไป เป็นห่วงภรรยาอยู่เต็มหัวใจ ชั่วขณะหนึ่ง ความลังเลในใจของฉินเฟยที่คิดว่าทำแล้วเสียแรงเปล่าก็ลอยหายไป
ไม่ว่าอย่างไร จะปล่อยให้พ่อตาถูกทุบตีไม่ได้!
“เข้าไป!”
การต่อสู้ระหว่างยอดฝีมือ ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยคือกุญแจสู่ชัยชนะและความพ่ายแพ้!
เมื่อทั้งห้าคนเห็นว่าฉินเฟยมองไปที่เจียงเยว่ถง พวกเขารู้สึกได้ทันทีว่าโอกาสมาถึงแล้ว มีคนตะโกนขึ้นมา ห้าคนรายล้อมฉินเฟยไว้ตรงกลาง พร้อมเข้าโจมตีพร้อมกัน!
“ฉินเฟย ระวัง!” เจียงเยว่ถงอุทานออกมา เสิ่นหัวที่อยู่ข้างๆ จับมือที่เย็นเฉียบของลูกสาวไว้แน่น มองไปที่ฉินเฟยที่ถูกล้อมไว้บนสังเวียนต่อสู้ด้วยความตื่นเต้น
ฉินเฟยมาที่ตระกูลเจียงเป็นเวลา 3 ปีแล้ว เป็นครั้งแรกที่เสิ่นหัวเป็นห่วงฉินเฟย!
“ปังปัง!”
นักสู้ทั้งห้าตั้งสมาธิและเข้าโจมตีพร้อมกัน ข้อได้เปรียบเพียงอย่างเดียวของฉินเฟยคือพละกำลังที่มากพอ ความเร็วของเขาก็เร็วพอ และปฏิกิริยาตอบสนองก็เฉียบคมพอ!
ในชั่วพริบตา คนทั้งหกต่อสู้กัน ได้ยินเสียงตุบตับของกำปั้นปะทะกับเนื้อหนังออกมาเป็นระยะ
ผู้ชมตกอยู่ในความเงียบสงัด หลายคนถึงขนาดใจหายใจคว่ำไปกับฉินเฟย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งตระกูลเจียงรุ่นหลัง ต่างกำหมัดแน่น
ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรไม่สำคัญ!
อย่างไรก็ต้องตีไอ้พวกตระกูลซุนให้ฟันหักหมดปาก!
ภายในเวลาแค่สิบกว่าวินาที เสียงตุบตับก็ดังขึ้น ตามด้วยเสียงตะโกนลั่นของนักสู้ เงาร่างดำทะมึนกระเด็นออกมาจากสังเวียนต่อสู้
สายตาของทุกคนเลื่อนตามไป เห็นเพียงร่างดำทะมึนที่กระเด็นออกมากระแทกลงบนโต๊ะข้างๆ อย่างแรงดัง ‘โครม’ โต๊ะแตกละเอียดในทันที นักสู้ก็ร้องออกมาอีกครั้งด้วยความเจ็บปวด
ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความสะพรึงกลัว เบิกกว้างมองไปยังมือขวาสั่นสะท้านที่พยายามยกขึ้น ในเวลานี้มือขวาของเขา รวมถึงท่วงท่าแปลกๆ ถูกพลิกหมุนกลับมา แขนของเขาถูกบิดให้หัก กระดูกแขนทะลุผ่านผิวหนังชั้นนอก เผยให้เห็นกระดูกสีขาวข้างใน เป็นที่น่าสยดสยอง!
เปลือกตาของพ่อบ้านซุนกระตุกเมื่อเห็นดังนั้น จากนั้นก็ได้ยินเสียงร้องโหยหวนดังออกมา!
ที่กระเด็นออกมาคือนักสู้ชายหนุ่มที่มีเปียสั้นๆ มีเลือดไหลออกมาที่หลังศีรษะของเขา เปียสั้นๆ ถูกดึงจนยุ่งเหยิงเหมือนรังนก
เห็นได้ชัดว่าผมเปียของเขาถูกดึง หนังศีรษะของเขาแทบหลุด!
เขากรีดร้องด้วยความหวาดกลัวและเอามือไพล่หลังศีรษะ แต่กลับไม่กล้าออกแรงมากเกินไป ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด!
“ไอ้เหลือง ดึงได้ดี ทำไมไม่ถลกหนังหัวมันออกมาด้วยเลยล่ะ!” เลือดสดๆ ไม่เพียงแต่ไม่ได้ทำให้ผู้พบเห็นขนลุกเท่านั้น แต่ยังกระตุ้นความห้าวหาญของพวกเขาด้วย ทุกคนปรบมือโห่ร้องอย่างฮึกเหิม
ไม่นานเสียงกรีดร้องครั้งที่สามก็ดังขึ้น…
“ขี้แพ้! แม่งเป็นไอ้ขี้แพ้กันหมด!” พ่อบ้านซุนเบิกตากว้าง ตัวสั่นด้วยความโกรธ
เขาคิดไม่ออกจริงๆ ว่า ทำไมตระกูลเจียงถึงมียอดฝีมือเช่นนี้ได้?
ในเวลาสั้นๆ เพียงสองนาที ฉินเฟยยังคงยืนอยู่ที่เดิม ราวกับว่าเขาไม่เคยย้ายตำแหน่งไปไหนเลย
แต่ทว่า ยอดฝีมือทั้งหกที่พ่อบ้านซุนพามาได้ร่วงลงกับพื้นหมดแล้ว บางคนถึงกับสลบไป บางคนร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด น่าเวทนาเหลือเกิน
ส่วนผู้คนรอบๆ ได้แต่เงียบกริบ!
เงียบกริบเหมือนตาย!
ดวงตาของทุกคนที่อยู่ในที่นี้เบิกกว้าง
สายตาที่มองไปที่ฉินเฟยเหมือนกำลังมองสัตว์ประหลาด!
เจียงเยว่ถงอ้าปากค้าง ตกตะลึงอย่างที่สุด
เจียงเยว่ถง เป็นเพียงผู้หญิงตัวเล็กๆ เธอไม่รู้จักกังฟูเลย ที่ฮั่วจงเหยียนรังแกเธอในวันนั้น เธอก็รู้สึกหวาดกลัวเช่นกัน นอกจากนี้ฉินเฟยกำลังต่อสู้กับฮั่วจงเหยียนตัวต่อตัว เธอผู้ไม่รู้เรื่องกังฟูย่อมอ่านฝีมือไม่ออก
แต่ตอนนี้ ฉินเฟยกำลังต่อสู้หนึ่งต่อห้า!
แม้ว่าเจียงเยว่ถงจะไม่เป็นกังฟู แต่ก็รู้ว่าบอดี้การ์ดยอดฝีมือเป็นอย่างไร โดยเฉพาะห้าคนนี้ที่พ่อบ้านซุนพามา!
เป็นยอดฝีมือ ก็กินข้าวถ้วยเดียวกันนี้!
แต่ฉินเฟยเอาชนะพวกเขาได้ทั้งหมด?
นี่เขายังเป็นสามีของตนอยู่หรือเปล่า…
ฉินเฟย ปกปิดตัวเองมานานแค่ไหนแล้ว? ทำไมเขาถึงแข็งแกร่งขนาดนี้?
หรือว่า เขาไม่ได้มาจากชนบทจริงๆ แต่ว่า…เป็นลูกหลานของตระกูลใหญ่?
ไม่ว่าอย่างไร สายตาของทุกคนที่มองฉินเฟยได้เปลี่ยนไปแล้ว!
แม้แต่พ่อบ้านซุนผู้หยิ่งยโสคิดว่าตัวเองแน่ที่สุด ก็ยังเป็นเช่นเดียวกัน!
“คุณ คุณเป็นใครกันแน่? ผมขอแนะนำคุณว่าอย่าเข้ามายุ่งเรื่องของคนอื่นให้มากนัก ถ้าล่วงเกินตระกูลซุนของผม มันไม่เป็นการดีกับคุณเลยสักนิด”
พ่อบ้านซุนสายตาล่อกแล่ก แสร้งทำเป็นพูดกับฉินเฟยอย่างใจเย็น แต่น้ำเสียงของเขาไม่จองหองเหมือนเมื่อครู่เลย
แม้ว่านักสู้ทั้งห้าคนนี้จะไม่มีฉายานามอะไรในตระกูลซุน แต่ความแข็งแกร่งก็ไม่ได้อ่อนแออย่างแน่นอน พวกเขาล้วนเป็นทหารปลดประจำการที่ได้รับการเฟ้นหา เก่งกาจในการต่อสู้!
แต่เมื่อร่วมมือกัน กลับพ่ายแพ้อย่างง่ายดายให้กับชายหนุ่มนิรนามคนนี้?
ชายหนุ่มคนนี้ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
ฉินเฟยชำเลืองดูบาดแผลบนร่างกายอย่างไม่ตั้งใจ ถ้าเขาจำไม่ผิด ในการต่อสู้เมื่อครู่ เขาถูกคู่ต่อสู้เตะโดนทั้งหมดหกครั้ง และต่อยโดนสองหมัด!
เขาไม่มีกระบวนท่าพิเศษในการต่อสู้ ที่ใช้คือหมัดแบบทหารที่ถนัดที่สุด!
ในตอนนั้น ผู้ฝึกสอนที่เคยสอนเขาเคยบอกว่า แม้ว่าหมัดแบบทหารจะเรียบง่าย แต่มันไม่ง่ายเลยที่จะฝึกฝนจนอยู่ในระดับเชี่ยวชาญอย่างแท้จริง สาเหตุที่เขาได้รับบาดเจ็บเช่นนี้เป็นเพราะขาดประสบการณ์ในการต่อสู้
หากเปลี่ยนเป็นยอดฝีมือตัวจริง แค่ใช้หมัดแบบทหารเกรงว่าจะไม่เป็นอันตรายแม้แต่น้อย โชคดีที่เขาตอบสนองได้เร็วพอ แม้ว่าจะถูกคู่ต่อสู้โจมตี แต่ก็สามารถหลบหลีกจุดตายได้ทันเวลา แม้ว่าจะเจ็บปวด แต่ก็ไม่ได้ทำให้บาดเจ็บถึงตาย
การต่อสู้ที่ดุเดือดครั้งนี้ดูเหมือนจะสั้นมาก แต่มีเพียงเขาเท่านั้นที่จะรับรู้ถึงอันตราย เขารู้สึกว่าความแข็งแกร่งของตัวเองเพิ่มขึ้นอีกครั้ง!
ในเวลานี้เมื่อได้ยินคำถามของพ่อบ้านซุน ฉินเฟยก็เงยหน้าขึ้นมองเขา ในเมื่อได้ล่วงเกินกันจนถึงที่สุดแล้ว เขาจึงไม่มีอะไรต้องถอย ความอ่อนแอมีแต่จะทำให้คู่ต่อสู้รู้สึกว่าตัวเองใจฝ่อเท่านั้น
ฉินเฟยชำเลืองมองไปทางพ่อบ้านซุนแล้วเบนสายตาออก ก้าวเดินทีละก้าวไปที่นาฬิกาสีแดงเลือดหมูที่อยู่ข้างรถออฟโรด
พ่อบ้านซุนกลืนน้ำลาย ถอยหลังไปสองก้าวโดยไม่รู้ตัว
ฉินเฟยทำให้เขารู้สึกเหมือนเขาเป็นวัวบ้า ไม่มีอะไรที่สามารถหยุดยั้งย่างก้าวของเขาได้

“คุณเสียสติไปแล้วเหรอ? ว่าไง คุณจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ในนามของตระกูลหลี่ของพวกคุณงั้นหรือ? หรือว่าพวกคุณอยากให้ผมจัดการเรื่องนี้เสร็จแล้ว ไปเดินเล่นที่ตระกูลหลี่สักหน่อยดีไหม?”
น้ำเสียงของพ่อบ้านซุนเต็มไปด้วยความดูถูก หลี่จั่นกลัวมาก โดยเฉพาะประโยคสุดท้ายของพ่อบ้านซุนยิ่งทำให้เขาสั่นสะท้านและเหงื่อแตกพลั่ก
“ทำไมคุณไม่ลองสืบข่าวดูล่ะ อย่าว่าแต่ไอ้เด็กเวรอย่างคุณเลย ต่อให้พ่อของคุณมาด้วยตัวเอง ก็ยังไม่กล้าแม้แต่ทวงคืนศักดิ์ศรีจากผม!”
หลี่จั่นก้มหน้าลง ไม่กล้าโต้แย้งอะไรอีก เพราะถึงอย่างไรการเผชิญหน้ากับตระกูลซุนหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ ตระกูลหลี่อ่อนแอกว่าตระกูลซุนเกินไป เขาจะไม่มาหาเรื่องคุณก็ดีแล้ว ยังกล้าไปทวงศักดิ์ศรีอีก? นั่นไม่เท่ากับเป็นการรนหาที่ตายหรอกเหรอ?
พ่อบ้านซุนลุกขึ้นยืนช้าๆ หลี่จั่นทนไม่ไหวต้องถอยหลังออกไปสองก้าว
พ่อบ้านซุนชำเลืองมองเขาอย่างดูถูก “ไสหัวออกไปจากที่นี่ ถ้ากล้าพูดมากอีกแม้แต่ประโยคเดียว ผมก็จะจัดการคุณด้วย!”
“ครับๆ!”
หลี่จั่นสั่นสะท้านไปทั้งตัวเหมือนได้รับพระราชทานอภัยโทษ แม้แต่เหงื่อก็ยังไม่กล้าเช็ด รีบหลีกทาง แล้วไปยืนหลบอยู่ข้างๆ อย่างเชื่อฟัง ไม่กล้าพูดอะไรสักคำ
ซี้ด!
เมื่อเห็นภาพนี้ ทุกคนก็อ้าปากค้าง!
พ่อบ้านคนนี้จองหองขนาดนี้เชียวหรือ?
อย่างไรก็ตาม พ่อบ้านก็แสดงท่าทีเช่นนี้ต่อแขกที่นี่ทุกคนเหมือนกัน
ตระกูลซุนตัดขาดความสัมพันธ์กับตระกูลเจียง หากต้องการพูดแทนตระกูลเจียง ก็เท่ากับว่าต้องการเป็นปฏิปักษ์กับตระกูลซุน เป็นการดีที่สุดที่จะพิจารณาความสามารถของตัวเอง!
“คุณย่าเจียง ดูเหมือนว่าคุณไม่คิดจะประนีประนอมแล้วใช่ไหม?”
พ่อบ้านซุนมองไปทางคุณย่าเจียง หมดความอดทนแล้ว
“ถ้าอย่างนั้นก็อย่าหาว่าผมไม่เกรงใจล่ะ”
สีหน้าของพ่อบ้านซุนเปลี่ยนเป็นเย็นชา จากนั้นเขาก็โบกมือและยิ้มเยาะกล่าวว่า “นี่มันเหมือนงานศพตรงไหน พวกนายมัวรีรออะไรอีก รีบมาช่วยตกแต่งให้ตระกูลเจียงสิ!”
“ครับท่าน!”
บอดี้การ์ดทั้งหกรับคำสั่งพร้อมกัน พวกเขายกเก้าอี้ขึ้นมาทุบลงบนโต๊ะอาหารอย่างแรงโดยไม่รีรอ บอดี้การ์ดสองคนรีบพุ่งเข้าไป คว่ำโต๊ะที่เต็มไปด้วยไวน์และอาหาร!
แขกและญาติของตระกูลเจียงที่นั่งอยู่ไม่มีใครไม่ตกใจ ต่างพากันถอยหลบเพื่อไม่ให้โดนลูกหลงไปด้วย
“ปังปัง!”
“โครม!”
บอดี้การ์ดหนุ่มทั้งหกลงมือพร้อมกัน เสียงทุบโต๊ะและเก้าอี้ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาหารที่ตั้งใจเตรียมอย่างพิถีพิถัน ไวน์หกราดเต็มพื้น และแม้แต่โคมไฟสีแดงที่แขวนอยู่ตรงทางเข้าห้องโถงก็ถูกดึงลงมา พังทลายลงกระจัดกระจายไปทั่ว
ในเวลาไม่ถึงสองนาที ห้องโถงจัดงานวันเกิดที่ตกแต่งอย่างพิถีพิถันก็รกเละเทะ
“ตระกูลซุน ข่มเหงรังแกกันจนเกินไปแล้ว!”
เจียงเฟิ่งหยุนกำหมัดแน่น สีหน้าซีดเซียวด้วยความโกรธ ร่างกายสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่ได้
มารดาโกรธจนกระอักเลือด งานเลี้ยงวันเกิดดีๆ ถูกฉีกออกอย่างไม่มีชิ้นดี ใครจะคิดได้ว่า ในเวลานี้ในใจเขาโกรธแค่ไหน
“แม่ แม่หลบไปก่อน อย่าให้ต้องบาดเจ็บ”
ถึงอย่างไรเจียงเยว่ถงก็เป็นเด็กสาวที่คาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด เธอไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้มาก่อน เธอยังรู้สึกหวาดกลัวกับเหตุการณ์ตรงหน้า แต่ก็รีบเข้าไปประคองมารดาที่ตื่นตระหนกไว้
หลี่จั่นนั้นฝากความหวังไว้ไม่ได้แล้ว ไม่มีใครในตระกูลเจียงสักคนที่พูดจามีน้ำหนัก
เขาไม่มีเรี่ยวแรงจะต่อกรกับตระกูลซุนได้เลย
“เวรกรรม นี่คือเวรกรรม!” เสิ่นหัวน้ำตาแทบไหล
ถ้ายังถูกทุบแบบนี้ต่อไป แม่สามีคงโกรธจนอกแตกตาย งานวันเกิดก็จะกลายเป็นงานศพจริงๆ!
“พ่อบ้านซุน ตระกูลเจียงของเรารู้ตัวว่าผิดแล้ว ได้โปรดยกมืออันสูงส่งของท่านปล่อยพวกเราตระกูลเจียงไปเถอะ” เสิ่นหัวไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมจำนนต่อพ่อบ้านซุน
“ฮ่า ตอนนี้รู้แล้วใช่ไหมว่าผิด?” พ่อบ้านซุนเหลือบมองเสิ่นหัว แล้วพูดอย่างไม่แยแส “มันสายเกินไปแล้ว!”
พ่อบ้านซุนไม่ขยับเขยื้อนเลย เขาพูดอย่างเย็นชา “ทุบทิ้งให้หมด! ให้พวกเขาดูว่าอะไรจะเกิดขึ้นหากล่วงเกินตระกูลซุนของเรา!”
ทันทีที่เขาพูดจบ ยอดฝีมือทั้งหกก็ลงมือหนักขึ้น
ในชั่วพริบตา ไม่เพียงแต่โต๊ะจีนเท่านั้นที่ถูกทุบ แม้แต่ของขวัญวันเกิดก็ยากที่จะรอดพ้นจากเงื้อมมือปีศาจ ถูกทุบเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเต็มพื้นเช่นกัน…
“ขอร้องล่ะ พวกคุณได้โปรดอย่าทุบอีกเลย!”
“ไม่ต้องพูดอีกแล้ว ไม่ต้องไปขอร้องพวกเขา ปล่อยให้พวกเขาทุบให้พอใจ!” เจียงเฟิ่งหยุนจ้องเขม็งใส่ภรรยา แล้วพูดอย่างเย็นชา
“ฮ่า คุณนี่ใจเด็ดมาก มาสิ เอาของขวัญชิ้นสุดท้ายมาให้ผม ถือเชือกมา เอาเชือกแขวนนาฬิกาสีเลือดไว้ที่ประตู ฮ่าฮ่า!” พ่อบ้านหูหัวเราะลั่นอย่างจองหอง
คุณย่าเจียงได้ยินเช่นนี้ก็ตัวสั่น ทรุดลงกับพื้นทันที!
เจียงเฟิ่งหยุนเบิกตากว้างด้วยความโกรธ พร้อมกับตะโกนว่า “พวกคุณช่างกล้านัก!”
เมื่อเห็นว่าบอดี้การ์ดสองคนหยิบเชือกออกมาจากรถออฟโรดจริงๆ เจียงเฟิ่งหยุนก็ทนไม่ไหวแล้ว รีบสาวเท้าก้าวเข้าไปทันที
เจียงเฟิ่งหยุนมีอารมณ์ร้อน เหตุผลที่เขาอดทนมาตลอดก็เพราะคิดถึงตระกูลเจียงทั้งหมด ถึงอย่างไรเขาก็ไม่สามารถปล่อยให้ตระกูลเจียงตกอยู่ในสถานการณ์จนตรอกได้ในเวลาอันสั้น
แต่ตระกูลซุนนั้นข่มเหงรังแกกันเกินไปแล้ว แค่ขี้รดบนหลังคาตระกูลเจียงยังพอทนไหว แต่ตอนนี้ถึงกับเอามาสาดใส่ปากผู้คนโดยตรง!
เรื่องแบบนี้ไม่มีใครทนได้ ถ้าปล่อยให้ตระกูลซุนแขวนนาฬิกาเรือนใหญ่ไว้หน้าประตูบ้านพวกเขา มารดาต้องโกรธจนอกแตกตายแน่ๆ!
“ปัง!”
เจียงเฟิ่งหยู่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วในขณะที่กำลังโกรธ จนบอดี้การ์ดคิดไม่ถึงว่าจะมีคนจากตระกูลเจียงกล้าที่จะลงมือ เขาถูกเจียงเฟิ่งหยุนเตะล้มลง
“คนไร้ประโยชน์ ตีมันให้ตาย!” พ่อบ้านซุนเลิกคิ้ว แล้วออกคำสั่งอย่างเย็นชา
“รนหาที่ตาย!”
บอดี้การ์ดทั้งหกนี้ไม่ใช่นักฆ่าธรรมดา เมื่อครู่เจียงเฟิ่งหยุนเพิ่งทำการลอบโจมตี บอดี้การ์ดก็ป้องกันทันทีที่เขาถูกเตะ แม้ว่าจะถูกเตะล้มลง แต่กระดูกก็ไม่บาดเจ็บ
“บัดซบ! รนหาที่ตาย!” บอดี้การ์ดกระโดดลุกขึ้นทันที มองลงไปที่รอยเท้าบนหน้าอก รู้สึกขายหน้าเล็กน้อย สีหน้าเยือกเย็นลงในทันใด เมื่อได้ยินคำสั่งของพ่อบ้านซุนฟิลิป ก็รีบตรงดิ่งไปหาเจียงเฟิ่งหยุน
“พ่อ ระวัง!” เจียงเยว่ถงดูตื่นตระหนก เตือนเขาอย่างร้อนใจ
“เจ้าหยุน รีบหลบไป!”
แต่เจียงเฟิ่งหยุนจะหลบเลี่ยงได้อย่างไร!
บอดี้การ์ดทั้งหกคนที่พ่อบ้านซุนพามานั้นเคยผ่านการฝึกฝนอย่างมืออาชีพ ใครก็ตามที่รู้จักพวกเขาสามารถมองออกได้อย่างรวดเร็วว่า พวกเขาล้วนเป็นทหารที่ปลดประจำการแล้ว
แม้ว่าเขาจะเป็นทหารที่ปลดประจำการแล้ว แต่เขาก็มีโรคประจำตัวก่อนที่จะเกษียณ ตอนนี้อายุก็มากแล้วด้วย เขาจะเทียบกับทหารหนุ่มปลดประจำการเหล่านี้ได้อย่างไร
บอดี้การ์ดด่ากราดด้วยความโกรธ สาวเท้าวิ่งไปถึงตัวเจียงเฟิ่งหยุนเพียงไม่กี่ก้าว กำปั้นขนาดใหญ่พุ่งตรงไปที่ใบหน้าของเจียงเฟิ่งหยุน!
แม้ว่าเจียงเฟิ่งหยุนจะอายุมาก แต่เขาก็มีรากฐานที่มั่นคง เขารีบยื่นมือออกไปเพื่อป้องกันไว้
แต่ความแข็งแกร่งของคู่ต่อสู้นั้นแข็งแกร่งเกินไป แค่หมัดเดียวเท่านั้น แม้ว่ากองกำลังส่วนใหญ่ของเขาจะถูกเขาต่อต้าน แต่พลังสะสมก็ระเบิดออกมา ชกแค่หมัดเดียวก็สั่นสะเทือน ร่างกายของเจียงเฟิ่งหยุนก็อ่อนแอเกินกว่าจะประคองตัวเองได้ เขาเซไป 7-8 ก้าว ก่อนจะถอนพลังออกได้
ในขณะเดียวกันใบหน้าก็แดงขึ้น เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะออกแรงมากเกินไป
แต่นี่ยังไม่ถือว่าจบ หลังจากที่มือใหญ่ของบอดี้การ์ดโจมตีได้สำเร็จ เขาก็พุ่งตัวเข้ามาอีกครั้ง!
ด้วยกระบวนท่าเหมือนกัน!
เขาชูกำปั้นขึ้น ชกเข้าไปที่ใบหน้าของเจียงเฟิ่งหยุนอีกครั้ง
“เจ้าหยุน!” เสิ่นหัวอุทานออกมา! ทันทีที่เจียงเฟิ่งหยุนต้านทานหมัดได้ เขาก็รู้สึกปวดชาที่แขนทั้งสอง ร่างกายออกแรงไม่ได้มากนัก คู่ต่อสู้ทั้งเร็วและแรงเกินไป เขารีบไขว้แขนเพื่อป้องกัน!
“ปัง!”
กำปั้นของบอดี้การ์ดเหมือนร่วงลงมาจากฟากฟ้า!
เมื่อกำปั้นสัมผัสกับท่อนแขนทั้งสอง ก็ได้ยินเสียงอู้อี้ดังขึ้นมา เจียงเฟิ่งหยุนพยายามต้านทาน กลั้นหายใจไว้ ใบหน้าแดงขึ้นอย่างมาก
“ฮึ่ม!”
เมื่อเห็นดังนั้นก็ยิ้มเยาะ ตะโกนด้วยความโกรธทันที ท่ามกลางแรงกระตุ้นแขนที่ไขว้กันของ เจียงเฟิ่งหยุนถูกกดลงมา กำปั้นกระแทกที่หน้าอกของเขา!
เจียงเฟิ่งหยุนส่งเสียงคำรามอู้อี้ ถูกพลังสะสมของคู่ต่อสู้โจมตีกระเด็นออกไป!
“พ่อ!” เจียงเยว่ถงตะโกนดังลั่น น้ำตาหลั่งไหลออกมาทันที
“ไม่เอา! ได้โปรด! ไม่เอา! พวกเราไม่กล้าแล้ว! ได้โปรดปล่อยเขาไปเถอะ!” เสิ่นหัวน้ำตาไหลพรากออกมา น้ำเสียงอ้อนวอน เขากำลังจะคุกเข่าลงให้กับบอดี้การ์ด
“คนไร้ประโยชน์! กล้ามาประลองกำลังกับผม คุณเบื่อโลกแล้วเหรอ?”
บอดี้การ์ดดูเหมือนจะไม่ได้ยินคำขอร้องของเสิ่นหัว พวกเขามองไปที่เจียงเฟิ่งหยุนซึ่งนอนอยู่ห่างออกไปไม่กี่เมตร ใบหน้าแดงก่ำ หายใจรวยริน
ในเวลานี้แม้ว่าเจียงเฟิ่งหยุนจะถูกเขาโจมตีล้มลง แต่สองตากลับจ้องมองมาที่เขาอย่างไม่ยอมแพ้ ตะเกียกตะกายลุกขึ้นยืนอย่างสั่นสะท้าน
บอดี้การ์ดเลิกคิ้วขึ้น นึกไม่ถึงว่าชายชราคนนี้จะดื้อรั้นขนาดนี้!
อย่างไรก็ตาม เมื่อเผชิญหน้ากับชายหัวแข็งเช่นนี้ วิธีที่เป็นการให้เกียรติเขาที่สุดก็คือ ต้องตีเขาจนลุกไม่ขึ้นอีก!
บอดี้การ์ดยิ้มเย้ยหยัน รองเท้าหนังส่งเสียงดัง ‘แต๊กๆ’ บนพื้น เขาเดินเข้าไปหาเจียงเฟิ่งหยุนอีกครั้ง เขาอยากจะเอารองเท้าหนังของตัวเองเหยียบลงบนใบหน้าของเจียงเฟิ่งหยุน
จะดูว่ารองเท้าของตัวเองหรือกระดูกของเขาแข็งกว่ากัน!
แต่ทว่าเมื่อเดินออกไปเพียงสองก้าว จู่ๆ บอดี้การ์ดก็สัมผัสได้ถึงลมปราณอันตรายที่กำลังพุ่งเข้ามาหาตน
เขาอยู่ในกองทัพเป็นเวลาห้าปี ดังนั้นเขาจึงได้ฝึกฝนประสาทสัมผัสถึงภยันตรายอย่างฉับพลันจนสำเร็จแล้ว
ทันใดนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นและเห็นเงาดำแว่บเข้ามาอยู่ตรงหน้า ชายอายุประมาณ 26-27 ปีปรากฏกายขึ้นต่อหน้าเขา
เปลือกตาของบอดี้การ์ดกระตุก เพราะอีกฝ่ายเร็วเกินไป
เมื่อเขารู้สึกได้ถึงอันตราย อีกฝ่ายก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าแล้ว
คนที่ออกมาก็คือฉินเฟย!
บอดี้การ์ดก็รู้สึกเช่นเดียวกัน รู้สึกได้ถึงกำปั้นขนาดใหญ่ที่พุ่งลงมาจากท้องฟ้า!
ด้วยความกะทันหัน บอดี้การ์ดใช้กระบวนท่าเดียวกัน รีบไขว้แขนทั้งสองเพื่อป้องกัน
เขาไม่เห็นอยู่ในสายตา อีกฝ่ายเพียงแค่ฉวยโอกาสที่ตัวเองไม่ทันระวังแอบลอบโจมตี ความแข็งแกร่งและการป้องกันของเขาเป็นที่เลื่องลือในกองทัพตอนนั้น รอให้ตัวเองต้านทานการลอบโจมตีของอีกฝ่าย
ตนจะกลับไปสอนเขาถึงวิธีการปฏิบัติตัว!
“ปัง!”
เมื่อหมัดถึงตัว ใบหน้าที่เย็นชาของบอดี้การ์ดก็ถูกแทนที่ด้วยความตกใจในทันใด
นี่มันคือหมัดอะไร!
นี่มันคือพลังอะไรกัน!
บอดี้การ์ดรู้สึกเพียงว่าแขนทั้งสองที่ใช้ป้องกันของตัวเองถูกรถไฟพุ่งเข้าชน ทันทีที่กำปั้นของอีกฝ่ายสัมผัสกับแขนของเขา ดูเหมือนเขาจะได้ยินเสียงแขนหัก!
พลังของหมัดของคู่ต่อสู้เกินขอบเขตการต้านทานของเขาโดยสิ้นเชิง
“อ๊าก!”
“ตูมตูมตูม…”
เสียงร้องโหยหวนดังขึ้น บอดี้การ์ดถอยหลังออกไปสิบกว่าก้าว เซจนเกือบจะล้มลงกับพื้น แขนทั้งสองข้างไม่มีแรงจะยกขึ้นมา เขาได้หมดสติและล้มลงอย่างหมดเรี่ยวแรง
เช่นเดียวกับที่อีกฝ่ายกระทำก่อนหน้านี้ ฉินเฟยโจมตีได้สำเร็จ และไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยให้รอด เขาสาวเท้าก้าวออกไป พุ่งตัวไปข้างหน้าอีกครั้ง!
บอดี้การ์ดเซถอยหลัง ก่อนที่จะทรงตัวได้ ก็สัมผัสได้ถึงอันตรายกำลังใกล้เข้ามา ทันใดนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้น รูม่านตาของเขาหดเล็กลงจนมีขนาดเท่าเข็ม
กำปั้นขนาดใหญ่ขยายขนาดในรูม่านตาของเขา!
“ปัง!”
บอดี้การ์ดผู้จองหองต้านทานไม่ทันเวลา หมัดของเขาก็ฟาดลงบนใบหน้าที่ตกใจและหวาดกลัวของเขาอย่างแรง เลือดกำเดาไหลพุ่งกระฉูด ตัวเขากระเด็นออกไป ร่างกายกระแทกเข้ากับกระโปรงหน้ารถออฟโรดที่อยู่ข้างหลังอย่างแรง ร่างกายไถลลงมาอย่างอ่อนระทวย ศีรษะเอียง หมดสติไปอย่างสิ้นเชิง
ใบหน้าช้ำเลือดช้ำหนองไปหมดแล้ว
ต่อให้ไม่ตาย แต่ก็กระทบกระเทือนไปถึงสมองแล้ว!
เหตุการณ์ที่เข้ามาอย่างกะทันหันทำให้นักสู้สองคนที่อยู่รอบนอกประหลาดใจ
ความจริงตอนที่ฉินเฟยพุ่งเข้ามาเมื่อครู่ พวกเขาก็สังเกตเห็นเช่นกัน แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจนัก
ถึงอย่างไรนี่คือหัวหน้าทีมของพวกเขา พวกเขาต่างรู้ดีว่าความแข็งแกร่งของหัวหน้าทีมของเขานั้นน่ากลัวเพียงใด
แต่ทว่า…
นี่มันเกิดอะไรขึ้น?
ทุกคนอึ้งไปตามๆ กัน!
หัวหน้าทีมถูกฆ่าโดยเจ้าหนุ่มที่โผล่มาอย่างกะทันหัน แค่สองหมัดก็ฆ่าตายแล้วงั้นเหรอ??!
นี่คือหัวหน้าทีมของพวกเขาเลยนะ!

ใต้โคมระย้าคริสทัลสว่างไสว พ่อบ้านซุนยืนอย่างทะนงองอาจ
เมื่อเหลือบมองท่าทางโกรธจัดของเจียงเฟิ่งหยุน เขาก็ยิ้มเยาะกล่าวว่า “ตระกูลซุนของผมถูกใจเขาหลีเสวี่ยของพวกคุณ เรื่องนี้ท่านสามของเราเคยพูดกับคุณนายเจียงเอาไว้เมื่อหนึ่งปีก่อนว่าต้องการซื้อเขาหลีเสวี่ย เพื่อเอามาบุกเบิกโครงการท่องเที่ยว โรงแรม และห้างสรรพสินค้า แต่พวกคุณไม่ตอบตกลง แต่ตระกูลเจียงของพวกคุณมีความสามารถแค่ไหน คุณคิดไม่ได้เหรอ? เมื่อหนึ่งชั่วโมงที่แล้ว ท่านสามของเราได้ยื่นคำขาดแก่คุณย่าเจียงอีกครั้ง แต่ยายแก่บ้านี่ไม่สนใจ นี่ก็แสดงว่าไม่เห็นตระกูลซุนอยู่ในสายตาใช่ไหม?”
“ฮ่า ผมก็อยากดูว่าตระกูลเจียงของพวกคุณจะเก่งสักแค่ไหน!”
“พล่ามอะไร!” คุณย่าเจียงที่ใจเย็นลงแล้วอดด่าไม่ได้ “ทุกคนรู้ว่าเขาหลีเสวี่ยเป็นดินแดนขุมทรัพย์ แต่พวกคุณเสนอราคา 2 แสนเพื่อซื้อมัน คิดว่าฉันโง่เหรอ? ไม่เพียงแค่นั้น ยังมาทำร้ายเฉิงเย่หลานชายของฉันด้วย นี่คือท่าทีของพวกคุณเหรอ?”
พอคุณย่าเจียงพูดเช่นนั้น ฉินเฟยที่อยู่ข้างๆ ก็เข้าใจในทันที
ไม่น่าแปลกใจที่เจียงเฉิงเย่จะไม่ปรากฏตัวในคืนนี้ ที่แท้เขาก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการทำร้ายของตระกูลซุน
เป็นไปตามที่คาดไว้ บริษัทฉีแยก็ไม่ต้องการกลับมาเช่นกัน!
แน่นอน บริษัทฉีแยเป็นเพียงตัวเปิดเรื่องเท่านั้น!
สิ่งที่ตระกูลซุนถูกใจก็คือเขาหลีเสวี่ยของตระกูลเจียง เดิมทีเขาหลีเสวี่ยอยู่ไกลจากตัวเมืองของซงไห่มาก แต่ด้วยการพัฒนาอย่างรวดเร็วของเมืองซงไห่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทำให้มีอาคารปกคลุมมากขึ้นเรื่อยๆ การจราจรก็ได้รับการพัฒนามากขึ้นเรื่อยๆ อาคารที่สร้างขึ้นใหม่อยู่ใกล้กับเขาหลีเสวี่ย
จากนั้นในกลางปีนี้โครงการรถไฟใต้ดินซงไห่ได้เริ่มต้นขึ้น มีการสร้างทางเข้ารถไฟใต้ดินที่เชิงเขาหลีเสวี่ย เพียงชั่วขณะเดียว ราคาที่อยู่อาศัยในบริเวณใกล้เคียงได้เพิ่มสูงขึ้น และเขาหลีเสวี่ยก็ไปเตะตากิจการขนาดใหญ่หลายแห่งเช่นกัน ที่ดินผืนนี้จะมีราคาอย่างน้อยหนึ่งพันล้าน หากมีกลุ่มก่อสร้างในซงไห่แข่งขันกันมากขึ้น ก็อาจจะสามารถประมูลได้ในราคาสูงเสียดฟ้าสองสามพันล้านเลยทีเดียว
ตระกูลซุนเสนอราคาสองแสนก็จะซื้อให้ได้ เห็นได้ชัดว่าเป็นการบังคับซื้อขาย!
แขกที่อยู่รอบๆ ก็เข้าใจเช่นกัน สีหน้าค่อนข้างโมโห พวกเขารังเกียจการข่มเหงรังแกของตระกูลซุนเป็นอย่างมาก
แต่พวกเขามีอำนาจมาก!
“คุณย่าเจียง ผมจะถามคุณเป็นครั้งสุดท้าย คุณจะขายหรือไม่ขาย?”
พ่อบ้านซุนไม่สนใจเจียงเฟิ่งหยุน ถามคุณย่าเจียงอย่างจริงจัง “ถ้าขาย ตระกูลเจียงของพวกคุณก็ยังเป็นตระกูลเจียง! ถ้าไม่ขาย งานเลี้ยงวันเกิดก็จะกลายเป็นงานศพ!”
“ยังคิดจะจัดงานเลี้ยงวันเกิดเพื่อแสดงพลังให้ตระกูลซุนเห็นอีกเหรอ? ตลกสิ้นดี ผมจะให้เวลาคุณคิดทบทวนสิบนาที ไม่งั้นก็เตรียมรับผลที่ตามมาให้ดี!”
พ่อบ้านซุนเหลือบมองไปที่โต๊ะจีนที่ระเนระนาด อดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปช่วยยกเก้าอี้นั่งลงอย่างช้าๆ เหมือนอยู่ที่บ้านตัวเอง ผ่อนคลายสบายใจ
“คุณ คุณข่มเหงรังแกกันเกินไปแล้ว คุณ…แค่กๆ…” คุณย่าเจียงหน้าเขียวปั๊ดด้วยความโกรธ ในใจโกรธจนถึงขีดสุด ยังพูดไม่ทันจบก็ไอออกมาอีกครั้ง เลือดไหลออกมาจากมุมปาก
“แม่ แม่อย่าโกรธเลย ไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว ไม่ต้องพูดแล้ว…” เจียงเฟิ่งซวงประคองเธอด้วยสีหน้าบูดบึ้ง
เธอเป็นลูกสาวของตระกูลเจียง แต่แต่งงานออกไปแล้ว เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการอยู่รอดของตระกูลเจียง ดังนั้นเธอจึงไม่กล้าพูดอะไรสุ่มสี่สุ่มห้า
“แม่ ดูแลตัวเองให้ดีๆ นะ!” เจียงเฟิ่งหยุนจับมือคุณย่าเจียงด้วยสีหน้าโกรธเกรี้ยว
“นี่เราจะทำยังไงกันดี…?”
เธอชำเลืองมองไปที่พ่อบ้านซุนที่กำลังรอคำตอบอยู่ที่ประตู เสิ่นหัวหน้ามุ่ย ไม่มีความคิดใดๆ เลย
เจียงเยว่ถงกัดริมฝีปากแน่นและไม่พูดอะไร ความจริงเธอเคยพูดเรื่องขายเขาหลีเสวี่ยเมื่อหนึ่งปีก่อนไปแล้ว เอาเงินสดมาพัฒนากิจการมากมายของตระกูลเจียง แต่ก็ถูกเจียงเฉิงเย่ดับฝันในไม่ช้า
อันที่จริงเจียงเฉิงเย่พูดถูก หนึ่งปีผ่านไป มูลค่าของเขาหลีเสวี่ยได้เพิ่มขึ้นอีกครั้ง แต่เมื่อมีสมบัติอยู่ในมือก็ย่อมนำพาความเดือดร้อนมาสู่ตัวได้ง่าย ชื่อเสียงโด่งดังย่อมดึงดูดความสนใจของผู้คน ตระกูลเจียงไม่มีความสามารถในการปกป้องเขาหลีเสวี่ย อีกทั้งไม่มีความสามารถและเงินทุนที่จะพัฒนา
เขาหลีเสวี่ยเมื่ออยู่ในมือของตระกูลเจียง ก็เป็นแค่เผือกร้อนลวกมือเท่านั้น!
สีหน้าของเสิ่นหัวเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก เธอไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ แต่เธอรู้ว่าหากตระกูลเจียงชนกับตระกูลซุนจนถึงที่สุด พวกเขาจะต้องพินาศในไม่ช้า
ดวงตาของเสิ่นหัวเป็นประกายเมื่อเห็นเจียงเยว่เสี่ยที่อยู่ข้างกายลูกสาว
“เสี่ยวเสี่ย ไม่ลองไปขอความช่วยเหลือจากเสี่ยวจั่นดูล่ะ?”
เสิ่นหัวกำลังพูดถึงหลี่จั่น ตระกูลเจียงและตระกูลหลี่มีความสัมพันธ์ที่ดีมาก อีกอย่างหลี่จั่นเพิ่งจ่ายสินสอดก้อนโตให้กับคุณย่าเจียงเพื่อสู่ขอเจ้าสาว
เจียงเยว่เสี่ยที่ยืนอยู่ข้างๆ ตกตะลึง “อาสาม คุณไม่เข้าใจ ตระกูลซุนแข็งแกร่งกว่าตระกูลหลี่มาก คำพูดของหลี่จั่นอาจไม่ได้ผล”
เจียงเยว่เสี่ยดูท่าทางเย็นชา เห็นได้ชัดว่าตอนนี้เธอใจเย็นลงแล้ว
เสิ่นหัวยิ้มอย่างขมขื่นและพูดว่า “แน่นอนฉันต้องรู้สิ แต่ตอนนี้มันไม่มีทางเลือก ถึงอย่างไรเสี่ยวจั่นก็เป็นคุณชายใหญ่ของตระกูลหลี่ เขาสามารถเป็นตัวแทนครึ่งหนึ่งของตระกูลหลี่ได้ บางทีพ่อบ้านซุนอาจไว้หน้าเขาก็ได้?”
“แต่ว่า…” เจียงเยว่เสี่ยลังเลอีกครั้ง เพราะเธอนั้นไม่ชอบหลี่จั่น “เสี่ยวเสี่ย ให้เสี่ยวจั่นช่วยพูดสักหน่อยสิ ไม่ใช่เรื่องยากอะไร ไม่ลองแล้วจะรู้เหรอ? คุณจะมองดูคุณย่าโกรธจนอกแตกตายอยู่เฉยๆ ได้เหรอ? คุณย่าของคุณดีกับคุณมาตลอด เป็นห่วงคุณมาก”
เจียงเยว่เสี่ยอ้าปากกำลังจะปฏิเสธ แต่พอได้ยินคำพูดนี้ก็ไม่อาจโต้แย้งได้เลย เธอกัดฟันอย่างไม่มีทางเลือก ลุกขึ้นยืนขึ้นแล้วเดินเข้ามาหาหลี่จั่น
“คุณชายจั่น ฉันมีเรื่องจะขอความช่วยเหลือจากคุณ”
หลี่จั่นถึงกับอึ้งไป มองดูเจียงเยว่เสี่ยที่มีใบหน้าพริ้มเพราด้วยความประหลาดใจ เห็นได้ชัดว่าเขาคิดไม่ถึงว่าเทพธิดาผู้เย็นชาคนนี้จะเข้ามาพูดคุยกับเขาก่อน
แต่ในไม่ช้าเขาก็เข้าใจอะไรบางอย่าง ร่างกายสั่นสะท้านทันที
“เยว่เสี่ย คุณ คุณคงไม่คิดจะ…”
เจียงเยว่เสี่ยกำมือเล็กๆ ของเธอแน่น แม้ว่าจะเป็นเพียงคำพูดประโยคเดียว แต่ด้วยนิสัยของเธอก็เป็นเรื่องยากที่จะพูดออกมา
เจียงเยว่เสี่ยแอบทอดถอนใจ เงยหน้าขึ้นมองหลี่จั่น “คุณชายจั่น ฉันรู้ว่ามันทำให้ลำบากใจ แต่ตอนนี้คุณเป็นคนเดียวที่สามารถช่วยคุณย่าเจียงของฉันได้ ได้โปรดช่วยพูดแทนตระกูลเจียงของเราด้วยเถอะนะ”
หลี่จั่นกลืนน้ำลายแล้วหันหน้าไปมองพ่อบ้านซุนที่นั่งไขว่ห้างรออยู่ด้านหน้ารถออฟโรดที่จอดตระหง่านอยู่ แต่ขากลับอ่อนแรง
ไปคุยกับพ่อบ้านซุน? นี่ไม่เท่ากับว่าเป็นการรนหาที่ตายหรอกเหรอ?
อย่าว่าแต่เขาเลย ต่อให้หลี่จิ้งถังซึ่งเป็นพ่อของเขาอยู่ที่นี่ ก็ไม่แน่ว่าจะกล้าเข้าไปคุย
“เยว่เสี่ย เรื่องนี้ผม…”
เจียงเยว่เสี่ยหันหน้าไปมองคุณย่าที่มีลมหายใจรวยริน กัดฟันพูดว่า “คุณชายจั่น ขอเพียงคุณช่วยฉันผ่านเรื่องนี้ไปได้ ฉันจะตอบตกลงคุณทุกอย่าง!”
เจียงเยว่เสี่ยก้มหน้าลงกำมือแน่น ในใจรู้สึกขมขื่นมาก
แต่คุณย่าก็ดีกับเธอมาก เธอทนดูคุณย่าโมโหจนตายไปเฉยๆ ไม่ได้
แม้ว่าเธอจะไม่ได้เติบโตในตระกูลเจียง พ่อของเธอก็จากไปตั้งแต่เธอยังเด็กมาก แต่เธอก็ไม่ได้ตำหนิบิดา แม้ว่าแม่จะแต่งงานใหม่ แต่ก็พูดอยู่เสมอว่าพ่อของเธอเป็นสามีที่ดีและเป็นพ่อที่ดีด้วย
ในช่วงหลายปีที่เธอตามมารดาไปอเมริกา ตระกูลเจียงเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายมากมาย ดังนั้นหลังจากเรียนจบ เธอจึงเลือกที่จะกลับบ้านเพื่ออุทิศตัวให้กับตระกูลเจียง ในช่วงไม่กี่ปีที่เธอกลับมา คุณย่าก็ดีกับเธอมาก
ถึงอย่างไรเธอก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตระกูลเจียง
เพื่อบิดา เพื่อตระกูลเจียง เธอจึงต้องทำแบบนี้!
“แบบนี้นี่เอง…”
มีเงื่อนไขอะไรต้องตกลง? หลี่จั่นเกิดความลังเล
เขาเงยหน้าขึ้นและมองพิจารณาเจียงเยว่เสี่ย เมื่อคิดว่าจะต้องยอมรับเงื่อนไขใดๆ ไฟโทสะก็ลุกโชนขึ้นในใจของเขา
“ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ แต่คุณต้องรักษาคำพูด!”
ร่างอ่อนช้อยเจียงเยว่เสี่ยสั่นระริก กัดฟัน เหมือนพยักหน้าอย่างสุดกำลังกาย
“ตกลง!”
หลี่จั่นดีใจมาก เพื่อสาวงามที่เขาใฝ่ฝันหาทั้งวันทั้งคืน เขาตัดสินใจที่จะทำใจแข็งลองดู!
ไม่ว่าจางจงหานจะเก่งกาจเพียงใด เขาก็เป็นแค่พ่อบ้านของตระกูลซุนเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่ใช่พ่อบ้านคนเก่าแก่ที่แท้จริงของตระกูลซุน เป็นแค่ลูกน้องของท่านสามเท่านั้น บางทีเขาอาจจะเห็นแก่หน้าบิดาไว้หน้าเขาสักครั้งก็ได้?
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้หลี่จั่นก็รู้สึกมั่นใจขึ้นมาบ้าง เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วก้าวเท้าเดินเข้าไปหาพ่อบ้านซุน
เมื่อเห็นดังนั้น เสิ่นหัวก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
แม้ว่าจะมีลูกหลานมากมายจากตระกูลที่มีชื่อเสียง อย่างเช่นเซียววี่ แต่พวกเขาก็มีความสัมพันธ์กันตามปกติ เมื่อมาถึงเรื่องสำคัญจริงๆ จะไม่มีใครเข้ามายุ่งอย่างไม่มีเหตุผล นอกจากนี้เซียววี่เป็นเพียงเด็กรุ่นหลังของตระกูลเซียว แถมยังเป็นลูกสาว ดังนั้นจึงไม่สามารถเป็นตัวแทนของตระกูลเซียวทั้งหมดได้
ตอนนี้คนเดียวที่คาดหวังได้ มีเพียงหลี่จั่นแล้ว
สำหรับฉินเฟย? ก็เป็นเพียงขยะที่ไร้ประโยชน์แล้ว!
“ฮ่าๆ เอ่อ…ซุน พ่อบ้านซุน ผม…” หลี่จั่นเดินเชิดหน้าเข้าไปหาพ่อบ้านซุน พูดจาไม่ครบถ้วน ไม่มีความมั่นใจเลย
“คุณคือใคร?” พ่อบ้านซุนมองเขาอย่างดูถูก พูดด้วยน้ำเสียงเฉยเมย
แม้ว่าพ่อบ้านซุนจะแค่เหลือบมองเขา แค่นี้หลี่จั่นก็กลัวจนขาสั่นแล้ว เขายิ้มออกมาทันที “ฮ่าฮ่า คุณจำผมไม่ได้แล้วเหรอ? ผมชื่อหลี่จั่น อ้อเสี่ยวจั่น เคยกินข้าวกับคุณเมื่อเดือนที่แล้ว”
“หลี่จั่น?” พ่อบ้านซุนเลิกคิ้วขึ้น “ที่แท้คุณชายจั่นนี่เอง”
หลี่จั่นรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง รู้สึกว่าเรื่องนี้เริ่มมีความหวัง เขารีบพยักหน้าและพูดว่า “ใช่แล้ว หลี่จิ้งถัง เป็นพ่อของผม ท่านคิดว่าเรื่องในวันนี้ พอจะเห็นแก่หน้าพ่อของผมได้ไหม…”
“พ่อของคุณไม่ได้มีหน้าตา!” พ่อบ้านซุนมองเขาอย่างเย็นชาและพูดว่า “คุณคิดว่าคุณเป็นใคร? มีสิทธิ์อะไรมาพูดตรงนี้?”
สองขาของหลี่จั่นอ่อนแรง ทรุดลงคุกเข่ากับพื้น!

โคมไฟคริสทัลเหนือศีรษะสว่างไสว ผู้คนกว่าร้อยคนในห้องโถงของวิลล่าเกือบทั้งหมดลุกขึ้นยืนและมองไปที่ประตูโดยพร้อมเพรียงกัน
มองไปที่รถออฟโรดหน้าตาดุดันที่ประตูและบรรดาชายวัยกลางคนในหมู่ชายหนุ่ม
วันนี้เป็นวันสำคัญของตระกูลเจียง แต่สิ่งที่อีกฝ่ายทำนั้นเป็นการดูถูกตระกูลเจียงอย่างเห็นได้ชัด เด็กรุ่นหลังของตระกูลเจียงหลายคนมีสีหน้าโกรธ แต่ก็ถูกผู้อาวุโสที่อยู่ข้างๆ ดึงไว้ได้ทันเวลา
หลายคนในตระกูลเจียงมองดูด้วยสายตาสงสัย พ่อบ้านซุนผู้หยิ่งยโสดูสับสน ไม่รู้ว่าตระกูลเจียงไปผิดใจกับตระกูลซุนตั้งแต่เมื่อไร!
งานเลี้ยงวันเกิดของคุณย่าเจียงครั้งนี้ มีแขกเหรื่อมาร่วมอวยพรมากมาย ในนั้นมีผู้ที่มีฐานะทางสังคมและอิทธิพลยิ่งใหญ่ อย่างเช่นประธานอู๋จากฉางหยุนกรุ๊ป ในตอนแรกสีหน้าดูไม่มีความสุขเลย แต่เมื่อเขาเห็นพ่อบ้านซุน เขาก็กลืนสิ่งที่เขาต้องการจะพูดลงไปในลำคอ
สี่ตระกูลใหญ่ที่มีทั้งเงินและอิทธิพล ตระกูลซุนเป็นหนึ่งในนั้น!
นอกจากสามตระกูลใหญ่และตระกูลชั้นหนึ่งที่มีความศักยภาพเท่ากันแล้ว ใครจะกล้ายั่วยุ?
พ่อบ้านซุนยิ้มเล็กน้อย ดูเหมือนว่าจะเพลิดเพลินไปกับการถูกจับตามองจากผู้คนมากมาย เขามองไปรอบๆ และสุดท้ายก็มองไปที่คุณย่าเจียงที่อยู่กลางห้องโถง พลางยิ้มเล็กน้อย “แน่นอน เมื่อกี้เป็นแค่ของขวัญเมื่อพบหน้าครั้งแรก มานี่สิ ให้คุณย่าเจียงได้ดูของขวัญใหญ่จริงๆ ที่พวกเราเตรียมไว้…”
ว่าแล้วพ่อบ้านซุนก็ปรบมือเบาๆ
สายตาของทุกคนกวาดไปที่พ่อบ้านซุนและมองไปข้างหลังเขา เห็นบอดี้การ์ดร่างกำยำสองคนเดินผ่านประตูเข้ามา ถือสิ่งของบางอย่างที่คลุมด้วยผ้าขาว สูงประมาณหนึ่งตัวคน
ทุกคนก็ยิ่งมีท่าทีสับสน เห็นพ่อบ้านซุนจับผ้าไหมสีขาว แล้วฉีกออกดัง ‘แคว่ก’ สิ่งที่ผ้าไหมสีขาวคลุมไว้ได้ปรากฏสู่สายตา!
“อา!”
เมื่อเห็นของสิ่งนี้ รูม่านตาของผู้คนกว่าร้อยคนที่อยู่ในที่นี้ก็หดลงทันใด แม้แต่สีหน้าก็ยังหวาดกลัว มีสาวๆ หลายคนถึงกับกรีดร้องลั่นด้วยความตกใจ!
นี่คือนาฬิกาสีแดงขนาดใหญ่ หน้าปัดยังใหญ่กว่าหน้าคนเสียอีก แถมยังสีแดงทั่วเรือน แดงฉานราวกับชุ่มโชกไปด้วยเลือด
“ติ๊ง!” ในเวลานี้เข็มนาฬิกาเพิ่งถึงเวลาสองทุ่มพอดี เสียงดังแสบแก้วหูเป็นพิเศษ
ในขณะนี้ประตูเล็กๆ สองบานที่อยู่ใต้หน้าปัดนาฬิกาก็เปิดออก ทันใดนั้นก็มีซอมบี้กระโดดออกมา ซอมบี้ถูกสร้างขึ้นอย่างประณีต สวมชุดข้าราชการของราชวงศ์ชิง ลิ้นสีแดงเลือดเด่นชัดมาก ร้องเสียงแหลม ‘จี๊ดๆ’!
“อา…”
สาวๆ หลายคนกรีดร้องขึ้นมาอีกครั้ง ตัวสั่นด้วยความกลัว ชนโต๊ะเก้าอี้รอบๆ ล้มลงเสียงดังโครมคราม ใบหน้าซีดเซียว สีหน้าเต็มไปด้วยความกลัว
เหตุการณ์แบบนี้กะทันหันเกินไปจริงๆ แม้แต่บรรดาหนุ่มๆ ของตระกูลเจียงยังตกใจจนเดินสะดุด!
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!”
การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันทำให้ทุกคนตกใจ รวมทั้งเจียงเยว่ถงด้วย ร่างกายของเธอสั่นสะท้าน เซถอยหลังไปครึ่งก้าว มีมือใหญ่คว้ามือเล็กๆ ของเธอไว้ ฉินเฟยมองไปที่เจียงเยว่ถง รู้สึกว่ามือของเจียงเยว่ถงเย็นเฉียบ เขาใช้สายตาอ่อนโยนเพื่อปลอบโยนเธอ เธอรู้สึกถึงความอบอุ่นจากมือใหญ่ของฉินเฟย เจียงเยว่ถงไม่ได้ดิ้นรน แต่พลิกมือจับมือใหญ่ของเขาไว้แน่น ความอบอุ่นเช่นนี้ทำให้เธอรู้สึกสบายใจ
เจียงเยว่ถง มองไปที่คุณย่าที่อยู่ข้างกายอย่างเป็นห่วง ในเวลานี้คุณย่ามีเจียงเฟิ่งซวงซึ่งเป็นอาหญิงคอยประคองอยู่ เธอดูสงบนิ่งกว่าคนอื่นมาก
ตามคำกล่าวที่ว่าคนเราควรลุกขึ้นยืนที่อายุสามสิบ ชีวิตเริ่มต้นที่สี่สิบ ห้าสิบรู้โชคชะตา หกสิบเชื่อฟัง เจ็ดสิบทำตามที่ใจต้องการและมีขอบเขต วันนี้เป็นวันเกิดอายุครบ 70 ปีของคุณย่า และถึงวัยที่ทำตามใจตัวเอง เธอได้ดูแลตระกูลเจียงมาหลายปีแล้ว มีประสบการณ์มากมาย
แม้ว่าเหตุการณ์จะเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน แต่ก็สงบลงอย่างรวดเร็ว
เจียงเยว่ถงเอียงศีรษะมองพ่อของเธอที่ยืนอยู่บนเวทีอีกครั้ง โชคดีที่พ่อของเธอไม่หุนหันพลันแล่นและดูสงบนิ่ง แต่เจียงเยว่ถงมีสายตาที่เฉียบแหลม เธอเห็นแก้มของพ่อโป่งขึ้น เห็นได้ชัดว่ากำลังพยายามข่มความโกรธ
ทุกคนที่อยู่ในที่นี้ไม่ได้โง่เขลา พวกเขารู้ว่าการที่จู่ๆ ตระกูลซุนส่งนาฬิกาขนาดใหญ่มาให้หมายถึงอะไร
เพราะคำว่ามอบนาฬิกามันพ้องเสียงกับคำว่าดูใจก่อนตาย!
วันนี้เป็นงานวันเกิดอายุครบ 70 ปีของคุณย่าเจียง เห็นได้ชัดว่านี่คือการสาปแช่งคุณย่าเจียงให้ตาย มันคือการตัดขาดความสัมพันธ์อย่างเห็นได้ชัด
เมื่อมองไปที่สีหน้าหลากหลายของแต่ละคน บางคนตกใจและหวาดกลัว บางคนสับสนและถึงกับโกรธ พ่อบ้านซุนยิ้มเยาะ แล้วมองไปที่คุณย่าเจียงในฝูงชนอีกครั้งด้วยสีหน้ารำพึงครุ่นคิด
“คุณย่าเจียง ท่านสามของผมได้เลือกของขวัญวันเกิดของคุณอย่างพิถีพิถันอยู่นานมาก แต่สุดท้ายก็ไม่ถูกใจ จึงขอให้คนเร่งทำงานทั้งวันทั้งคืนเพื่อทำของขวัญใหญ่ชิ้นนี้ออกมา”
พ่อบ้านซุนยิ้มเล็กน้อย “หายากนะที่ท่านสามจะมอบของขวัญอย่างใส่ใจแบบนี้ แม้แต่ผมก็ยังรู้สึกอิจฉาเลย”
พ่อบ้านซุนถอนหายใจรำพึงรำพัน มองดูสีหน้ากลั้นโมโหอย่างเห็นได้ชัดของคุณย่าเจียง
ชายหนุ่มหลายคนในตระกูลเจียงทั้งโกรธและร้อนใจ แต่พวกเขาไม่มีสิทธิ์พูดที่นี่ทั้งนั้น
เสิ่นหัวยืนอยู่ทางด้านหนึ่งทำอะไรไม่ถูก เธอมักจะกล้าตะโกนใส่ฉินเฟย แม้แต่สมาชิกแกนนำจำนวนมากของตระกูลเจียงก็ต้องทำหน้าใจดี
แต่เธอก็รู้ว่า ตระกูลซุนเป็นตระกูลที่ห้ามไปยุ่งด้วยเด็ดขาด
เมื่อเทียบกับคนอื่นๆ ฉินเฟยนั้นใจเย็นกว่ามาก เพราะเขาไม่มีความรู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลเจียง เพียงแต่เขารู้สึกสับสนในใจ ตระกูลเจียงไปผิดใจกับตระกูลซุนเมื่อไหร่?
เมื่อมองไปรอบๆ ฉินเฟยก็ขมวดคิ้วอีกครั้ง ดูจากสีหน้าของพวกเขาเหมือนไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ ตระกูลซุนถึงตัดขาดความสัมพันธ์ตระกูลเจียง
“บ่ายวันนี้คนที่ไปรับโอนบริษัทฉีแยเป็นคนของตระกูลซุน” ฉินเฟยจับมือของ เจียงเยว่ถง ไว้แน่น และเธอก็สงบลงในไม่ช้า ดวงตาที่สวยงามของเธอเปลี่ยนไป กล่าวเตือนความจำเขาเบาๆ
“หืม?” ฉินเฟยตกตะลึง เหลือบมองภรรยาและดูเหมือนจะคาดเดาอะไรได้บางอย่าง
เพราะเจียงเฉิงเย่ไม่ได้ปรากฏตัวสักคืน!
ยิ่งไปกว่านั้น บ่ายวันนี้เจียงเฉิงเย่ได้บอกว่าเขาจะไปซื้อบริษัทฉีแยกลับมาให้เจียงเยว่ถง!
หรือว่าเจียงเฉิงเย่จะไปหาเรื่องตระกูลซุน?
อย่างไรก็ตามแม้ว่าชายคนนี้จะดูเสแสร้งไปหน่อย แต่อย่างน้อยก็ยังมีสมองอยู่บ้าง เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะอาจหาญไปล่วงเกินตระกูลซุน
คุณย่าเจียงยังคงยืนอยู่ตรงนั้น ดวงตาที่ขุ่นมัวของเธอเย็นชา สีหน้าย่ำแย่เป็นอย่างยิ่ง “ฮึ่ม ฉันคุณย่าเจียงไม่สามารถรับของขวัญจากท่านสามตระกูลซุนได้ เอาเก็บไว้ให้เขาใช้เองดีกว่า”
ในเมื่อมาตัดขาดความสัมพันธ์กันแล้ว ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะต้องมาเคารพยำเกรงกันแล้ว
“คุณย่าเจียง คุณเตรียมตัวจะถูกฝังอยู่ในเขาหลีเสวี่ยใช่ไหม? เขาหลีเสวี่ยเป็นสถานที่ที่ดี แต่คุณสามารถวางใจได้ว่า ท่านสามของผมได้เลือกสุสานที่ดีกว่าเดิมให้คุณแล้ว”
พ่อบ้านซุนยิ้มเล็กน้อย “แน่นอน ก่อนอื่นคุณต้องขายเขาหลีเสวี่ยให้เรา มิฉะนั้นตายไปแล้วเอาศพมานอนแผ่หรากลางทุ่งร้างมันจะไม่ดี”
เมื่อได้ยินดังนั้น สีหน้าของฉินเฟยก็เย็นชาทันที!
เหตุการณ์เช่นนี้ทำให้เขารู้สึกคุ้นชิน อดไม่ได้ที่จะนึกถึงเมื่อสี่ปีที่แล้ว ในหลายคืนนั้นที่ตระกูลฉินถูกยึดครองโดยหลายตระกูลในซงไห่
ตระกูลฉินในตอนนั้น เป็นตระกูลอันดับหนึ่งในซงไห่ ตระกูลฉินเป็นเจ้าของกิจการมากมาย แต่ละกิจการต่างทุ่มเทแรงกายแรงใจอย่างมากในตระกูลฉิน แต่อีกฝ่ายกลับต้องการเทคโอเวอร์ในราคาต่ำ ทำให้ตระกูลฉินอยู่ไม่เป็นสุข!
คำพูดของพ่อบ้านซุนไม่น่าฟังอย่างยิ่ง เมื่อดวงตาของพ่อบ้านซุนเบิกกว้าง ใบหน้าที่มีรอยเหี่ยวย่นของก็ไม่มีแม้สีเลือด “ซุน ตระกูลซุน พวกคุณอย่ามาข่มเหงกันให้มากนัก…อุ๊บ!”
แม้ว่าภายนอกคุณย่าเจียงจะแสร้งทำเป็นข่มความโกรธอย่างใจเย็น ถูกพ่อบ้านซุนด่าจนหงุดหงิดสะเทือนใจ ยังไม่ทันพูดจบก็กระอักเลือดออกมาเต็มปาก หายใจรวยริน
ทุกคนตกใจกับภาพนี้ พวกเขาต่างตกตะลึงหน้าถอดสี นึกไม่ถึงว่าดาวอายุยืนวันนี้จะโกรธจนอาเจียนเป็นเลือด
หากจัดการไม่ได้ งานเลี้ยงวันเกิดคืนนี้คงกลายเป็นงานศพจริงๆ แล้ว!
“คุณย่า!”
“คุณป้า!”
“แม่!”
สมาชิกของตระกูลเจียงพากันอุทานออกมา เมื่อสังเกตเห็นว่าจู่ๆ เจียงเยว่ถงกำหมัดแน่น ฉินเฟยจึงตอบสนองอย่างรวดเร็ว รีบเข้าไปพยุงคุณย่าเจียงที่กำลังจะล้มลงไว้
ไม่ว่าตระกูลเจียงจะทำกับเขาอย่างไร แต่ในหัวใจของฉินเฟย เจียงเยว่ถงผู้เป็นภรรยาและเจียงเฟิ่งหยู่ผู้เป็นพ่อตานั้นดีต่อเขามาก เธอคือคุณย่าของเจียงเยว่ถง แล้วยังเป็นมารดาของพ่อตาอีกด้วย
“แม่ แม่อย่าโกรธ โกรธไปจะมีประโยชน์อะไร?” เจียงเฟิ่งซวงมีนิสัยตรงไปตรงมา ปลอบใครไม่ค่อยเป็น ในฐานะลูกสาวคนเดียวของคุณย่าเจียง เธอเช็ดเลือดที่มุมปากของมารดาอย่างเป็นห่วง หลั่งน้ำตาออกมา
เสิ่นหัวทำอะไรไม่ถูก แววตาเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ตระกูลเจียงเป็นอะไรไป!
ฉินเฟยขมวดคิ้ว เอามือขวานวดหลังของคุณย่าเจียงเบาๆ เพื่อช่วยให้เธอหายใจสะดวกขึ้น
“แค่กๆ ฉันไม่เป็นอะไร…”
คุณย่าเจียงส่ายหัวและพยายามลุกขึ้นยืน เธอยังคงรู้สึกอ่อนเพลีย แต่ก็มองฉินเฟยอย่างแปลกใจ
เมื่อครู่เธอโกรธจนแทบอกแตกตาย ไม่คาดคิดมาก่อนว่าหลานเขยของตัวเองที่ถูกเธอด่ามาตลอดว่าเป็นไอ้ขี้แพ้ จะเข้ามาช่วยพยุงเธอในเวลานี้
คำพูดของคนที่กำลังจะตายล้วนมาจากใจจริง คุณย่าเจียงชำเลืองมองฉินเฟย พยักหน้าให้เขาโดยไม่พูดอะไร “ตระกูลซุนของพวกคุณหมายความว่ายังไงกันแน่?” เจียงเฟิ่งหยุนในเวลานี้ได้พุ่งเข้ามาหา เมื่อเห็นว่าแม่ของเขาไม่เป็นอะไรมากก็รู้สึกโล่งใจ ทันใดนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นและจ้องไปที่พ่อบ้านซุนอย่างเย็นชา
เจียงเฟิ่งหยุนผู้เป็นพี่ชายคนโตนั่งเป็นอัมพาตอยู่บนรถเข็น เจียงเฟิ่งซวงน้องสาวคนที่สามก็เป็นลูกสาว เขาเป็นลูกชายสายตรงของตระกูลเจียงเพียงคนเดียว ในเวลานี้อย่างไรเขาก็ต้องก้าวออกมา
แต่พ่อบ้านซุนกลับเหลือบมองเจียงเฟิ่งหยุนอย่างดูถูก “เจียงเฟิ่งหยุนเหรอ? ฮ่าฮ่า เป็นแค่เศษขยะเท่านั้น ที่นี่คุณมีสิทธิ์พูดเหรอ? จะไปไหนก็ไป!”
“ตอบคำถามของผม!” เจียงเฟิ่งหยุนพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา ในตอนนั้นเขายังคลานฝ่าห่ากระสุนปืนออกมา แม้ว่าจะย้อนอดีตไปไม่ได้ แต่พลังได้เปล่งออกมาจากตัวเขา ราวกับว่าทั่วทั้งห้องโถงเย็นยะเยือกลงเล็กน้อย
พ่อบ้านซุนเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ไม่เกรงกลัว พลางยิ้มเยาะพูดว่า “หมายความว่ายังไง? คุณมองไม่ออกเลยเหรอว่าพวกเราหมายถึงอะไร?”

“นี่เป็นหยกนิ้วหัวแม่มือที่อู๋กั๋วไท่ใส่จริงเหรอ”
ทุกคนตกตะลึงไปหมด แขกมากมายในห้องโถงของวิลล่าพากันลุกขึ้นยืน อยากเห็นรูปร่างแท้จริงของหยกนิ้วหัวแม่มือวงนี้ ขนาดคุณย่าเจียงยังอดเงยหน้าขึ้นมาไม่ได้ ดวงตาทั้งสองข้างจ้องมาทางนี้!
“ชิ แค่อยากได้รับการยกย่องจากผู้คน!” เพราะเรื่องเมื่อครู่ หลี่จั่นที่แค้นฝังใจหัวเราะพรืด
เขามองกล่องเก่าๆ ในมือฉินเฟย ใบหน้ายิ่งดูถูกเข้าไปอีก เกือบหลุดขำออกมา กล่องที่เป็นของขวัญอันนี้พังขนาดนี้ ฮ่าๆ เหมือนเก็บขึ้นมาจากกองขยะ
ฉินเฟยนี่เป็นสวะจริงๆ ไม่มีเงินให้ของขวัญราคาแพง ทุกคนยังพอเข้าใจ เพราะไอ้สวะนี่ไม่มีงานทำ ว่ากันว่าปกติเจียงเยว่ถงจะเป็นคนให้ค่าใช้จ่ายเขา
ตอนนี้กลับคุยโวโอ้อวดว่าของที่ให้คือ หยกนิ้วหัวแม่มือของอู๋กั๋วไท่
จะทำให้คนขำจนฟันหลุดหรือไง
“ปลอมแน่นอน แต่ไอ้สวะนี่ก็พยายามดีนะ มุกตลกนี่ไม่เลวนะ ฮ่าๆ นับวันยิ่งเหมือนตัวตลกเข้าไปทุกวัน!” หลี่จั่นหัวเราะเสียงดัง เยาะเย้ยฉินเฟยอย่างรุนแรง
สีหน้าเสิ่นหัวไม่สู้ดี แอบพูดว่าโชคดีที่เจียงเฉิงเย่ไม่อยู่ที่นี่ ไม่งั้นคงโดนเยาะเย้ยจนตาย ไอ้หมอนั่นปากจัดจะตาย!
แต่ถึงเป็นเช่นนี้ เธอก็รู้สึกอับอายอยู่ดี ก่นด่าเบาๆ ว่า “บ้านเรามีลูกเขยสวะแบบนี้ ช่างโชคร้ายไปแปดชาติ!”
“ฮ่าๆ ฉันว่าไม่ใช่แค่ปลอม อีกทั้งยังไม่มีค่าสักนิด ไปซื้อมาจากแผงลอยข้างทางชัดๆ ยังมีหน้ามาพูดว่าเป็นวัตถุโบราณยุคสามก๊กอีก” หลี่จั่นเดินมาข้างฉินเฟย แล้วกระชากกล่องมา เอาหยกนิ้วหัวแม่มือออกมาดูตามอำเภอใจ ปากก็เอาแต่พูดดูถูก
เป็นเพราะหยกนิ้วหัวแม่มือวงนี้ยุคสมัยเก่าแก่มากอยู่แล้ว รูปลักษณ์จึงดูธรรมดาจริงๆ แต่หยกนิ้วหัวแม่มือวงนี้ เป็นหยกเนื้อแข็งที่มองด้วยตาเปล่าจะมีสีเขียวทั้งเม็ด โปร่งใสจนมีความวาวคล้ายแก้ว
แน่นอนว่ามูลค่าแท้จริงของหยกนิ้วหัวแม่มือวงนี้ คือยุคสมัยและผู้ที่สวมใส่มัน ถ้าเป็นแค่หยกนื้วหัวแม่มือหยกเนื้อแข็งโปร่งใส่ธรรมดาๆ อันที่จริงก็มีมูลค่าไม่มากเท่าไร
“ใช่ ยังไม่แน่ใจเลยว่าอู๋กั๋วไท่ใส่หยกนิ้วหัวแม่มือหรือเปล่า เขาบอกว่าใช่ก็ใช่งั้นเหรอ ฮ่าๆ”
“ตลกเกินไปแล้ว ฮ่าๆ ฉินเฟย ความจนทำให้นายบ้าไปแล้วเหรอ วันนี้เป็นงานวันเกิดของคุณย่า นายเสียเงินสักหน่อยไม่ได้เหรอ หยกนิ้วหัวแม่มือวงนี้นายซื้อมาจากไหน อย่าบอกนะว่าซื้อจากข้างทางจริงๆ” หลี่จั่นเล่นหยกนิ้วหัวแม่มือ หัวเราะเสียงดังแล้วเอ่ยขึ้น
“ซื้อในร้านค้าแห่งหนึ่งบนถนนวัตถุโบราณ” ฉินเฟยพูด
“ถนนวัตถุโบราณเหรอ นั่นมันถนนที่ขายของปลอมไม่ใช่เหรอ เสียเงินไปเท่าไรล่ะ 800 หรือ 1,000”
“ฉันว่าแค่ 200 ซื้อหยกนิ้วหัวแม่มือของอู๋กั๋วไท่ยุคสามก๊ก ได้ในราคา 200 หยวน ฉินเฟย นายรวยแล้ว!”
“ฮ่าๆ!”
ไม่รู้ว่าใครหลุดหัวเราะออกมาก่อน หลังจากนั้นทุกคนก็หัวเราะออกมาเสียงดัง!
สีหน้าเจียงเยว่ถงแย่มาก เธอโมโหเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าฉินเฟยจะพึ่งไม่ได้ขนาดนี้ ก่อนหน้านี้เธอโอนให้เขาห้าหมื่นหยวน คุยกันดีแล้วว่าให้เขาซื้อของขวัญที่พอเข้าท่าสักชิ้น
คราวนี้แย่แล้ว ทุกคนมองครอบครัวเธอเป็นตัวตลก!
คุณย่าเจียงที่เดิมทีดูตกใจเล็กน้อย ตอนนี้ใจเย็นลงแล้ว เธอเดาออกเหมือนกันว่าเป็นของปลอม!
ถ้านี่เป็นของจริง ต้องเป็นของขวัญระดับล้านแน่นอน ลูกเขยจนๆ ที่แต่งเข้าบ้านผู้หญิงอย่างฉินเฟย จะเอามาได้ยังไง
ตอนนี้หลี่จั่นเอาหยกนิ้วหัวแม่มือยัดลงในกล่อง โยนใส่อกฉินเฟยเหมือนขยะ
ฉินเฟยยิ้มแหยในใจ พวกเขาเข้าใจว่าเป็นของปลอม ไม่ว่าตัวเองจะอธิบายยังไงก็ไร้ประโยชน์ ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงเอากล่องไม้วางในกองของขวัญหน้าประตู
“เอาของพังๆ ของนายวางตรงนี้ทำไม ยังอับอายไม่พอเหรอ” เสิ่นหัวสีหน้าเย็นชา หยิบกล่องไม้ขึ้นมา โยนไปทางถังขยะข้างๆ ทันที หลังจากนั้นดึงเจียงเยว่ถง เดินไปทางห้องโถง
เห็นความขบขันในสายตาทุกคน ฉินเฟยถอนหายใจในใจ ไม่พูดอะไรแล้วเดินตามเข้าไป
คุณย่าเจียงดีใจเก้อ ในใจยิ่งไม่ชอบฉินเฟยเข้าไปอีก ต่อหน้าไม่ได้ตำหนิอะไร เธอโบกมือไปมา เจียงเฟิ่งซวงประคองให้ลุกขึ้นช้าๆ “โอเค ฉันขอพูดอะไรหน่อย”
“อย่างแรกเลย ขอบคุณทุกคนที่มาร่วมงานวันเกิดครบรอบ 70 ปีของฉัน ทั้งๆ ที่ยุ่งกันมาก” คุณย่าเจียงพยักหน้าเบาๆ แล้วพูดต่อ “ยิ่งรู้สึกขอบคุณสำหรับของขวัญที่ทุกคนนำมาให้ วันนี้อาหารรสเลิศเหล้าชั้นดี ทุกคนกินดื่มกันเต็มที่เลย!”
คุณย่าเจียงพูดด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า เมื่อพูดจบ จึงปรบมือเบาๆ ไม่นานมีพนักงานบริการหลายสิบคนเดินเข้ามา
พนักงานบริการเป็นผู้หญิงอายุประมาณ 24-25 ปี สวยมาก สวมชุดกระโปรงสีแดงเหมือนกันทั้งหมด ถ้ามองดีๆ ขนาดส่วนสูงของพวกเธอยังเท่ากัน สูงระหว่าง 165-170 เซนติเมตร
ระดับของงานเลี้ยงดูจากรายละเอียดปลีกย่อย แค่พนักงานเสิร์ฟอาหารพวกนี้ ก็สามารถทำได้ถึงระดับนี้ เห็นถึงมาตรฐานของงานเลี้ยงวันเกิดครั้งนี้
ห้องโถงวิลล่าในปัจจุบันได้ปรับการวางโครงสร้างใหม่ วางโต๊ะจีน 30 ตัว แขกผู้มีเกียรติมากันมากมายจนเต็มงาน คึกคักเป็นอย่างมาก
ไม่นาน อาหารแต่ละอย่างถูกพนักงานเสิร์ฟสาวสวยยกมาเสิร์ฟบนโต๊ะ พระกระโดดกำแพง หอยเป๋าฮื้อชั้นดี เต้าหู้ชั้นยอด เป็ดแปดสมบัติ……
อาหารชั้นยอดแต่ละอย่างถูกนำมาเสิร์ฟ คนจำนวนไม่น้อยรู้สึกตกใจ
ทุกโต๊ะมีอาหาร 18 อย่างเต็มๆ อีกทั้งยังเป็นอาหารมีชื่อเสียงชั้นยอด!
คาดว่ามูลค่าแต่ละโต๊ะ ไม่ต่ำกว่าระดับแสน!
ตอนทุกคนกำลังตกใจอยู่ เสียงพ่อบ้านดังขึ้นอีกครั้ง!
“คุณเซียววี่มอบเห็ดสมัยราชวงศ์หมิงที่ใช้เป็นยาหนึ่งต้น ขอให้คุณย่าอายุยืน ขอให้ตระกูลเจียงรุ่งเรืองขึ้นทุกปี!”
“คุณเซียววี่มาเหรอ”
“รีบเชิญเข้ามาเลย” คุณย่าเงยหน้า รีบพูดออกมา
ตระกูลเซียวดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับวัตถุโบราณตั้งแต่สมัยราชวงศ์ชิง ปัจจุบันสืบทอดกันมาห้ารุ่นแล้ว เป็นที่กล่าวขานยกย่องกันโดยทั่วไป อีกทั้งยังเป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงมากในซงไห่ด้วย มีความสัมพันธ์ไม่เลวกับตระกูลเจียง
เมื่อเซียววี่ปรากฏตัว ผู้ชายบนโต๊ะอาหารทุกคนตาค้าง
สวยมาก! วันนี้เธอสวมกางเกงยีนรัดรูป ด้านบนเป็นเสื้อยืดสีขาว ทำให้เห็นรูปร่างสมบูรณ์แบบของเธอเต็มๆ โดยเฉพาะลักษณะดูมีความรู้ กุลสตรีที่มาจากตระกูลใหญ่มีฐานะ ยิ่งทำให้คนชื่นชม
ฉินเฟยมองเจียงเยว่เสี่ยสีหน้าเย็นชาเย่อหยิ่ง ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม และมองคนอ่อนโยนงดงามอย่างเจียงเยว่ถงที่นั่งอยู่ข้างๆ หลังจากนั้นก็มองไปทางเซียววี่ อดชื่นชมในใจไม่ได้
สามสาวสวยสุดๆ ต่างคนต่างก็มีดีไปคนละอย่าง
โดยเฉพาะเซียววี่ ไม่รู้ต่อไปใครจะเป็นผู้โชคดีได้ผู้หญิงแบบนี้ไป
“ขอโทษด้วยค่ะ เดิมทีเวลาพอดีแล้ว แต่โดนแขกกวน” เซียววี่เดินพลาง เผยรอยยิ้มขออภัยออกมา
ผลปรากฏว่าเธอเพิ่งพูดจบ จู่ๆ ก็ชะงักฝีเท้าลง!
“นี่……นี่คือ……”
เซียววี่หันไปมองทางถังขยะข้างๆ เป็นหยกนิ้วหัวแม่มือวงนั้น ที่โดนเสิ่นหัวโยนทิ้ง!
หยกนิ้วหัวแม่มือเป็นของที่ปู่ให้เธอ เธอจึงเห็นมันเป็นสมบัติล้ำค่าของร้าน แต่เพราะชอบแจกันหิมะจริงๆ จึงจำใจต้องแลกกับฉินเฟย
เธอรู้อยู่แล้วว่าฉินเฟยต้องเอาหยกนิ้วหัวแม่มือวงนี้มาให้คุณย่า แต่คิดไม่ถึงว่า……
หยกนิ้วหัวแม่มือที่ล้ำค่าขนาดนี้ วางอยู่หน้าประตูเหมือนขยะอย่างไรอย่างนั้น
ขายาวภายใต้กางเกงยีนของเซียววี่งอลงเล็กน้อย เธอย่อตัวลงเก็บกล่องไม้และหยกนิ้วหัวแม่มือขึ้นมาช้าๆ เมื่อมองดูดีๆ ก็ขมวดคิ้วขึ้นมาทันที
เธอมั่นใจว่านี่คือหยกนิ้วหัวแม่มือวงนั้น!
“คุณเซียว นั่นก็แค่ขยะที่โยนทิ้งเท่านั้น ไม่ต้องสนใจหรอก เดี๋ยวก็มีคนมาทำความสะอาด” คุณย่าพูดด้วยใบหน้าที่อ่อนโยนยิ้มแย้ม
ขยะงั้นเหรอ
สีหน้าเซียววี่ชะงักไป กวาดตามองโต๊ะจีนในงานแบบผ่านๆ ไม่นานก็เห็นฉินเฟย เห็นเขากำลังส่งสายตาให้เธอ!
เซียววี่ฉลาดระดับไหน เธอเข้าใจทันที เม้มปากเบาๆ แล้วเงยหน้าพูดกับคุณย่าเจียงว่า “ฉันว่าหยกนิ้วหัวแม่มือวงนี้เหมือนวัตถุโบราณ ถ้าคุณย่าเจียงไม่ถือสา ฉันอยากเอากลับไปศึกษาหน่อยค่ะ”
“คุณเซียววี่พูดเวอร์อะไรขนาดนั้น ไม่ถือสาอยู่แล้ว ถ้าคุณชอบก็เอาไปได้เลย” คุณย่าเจียงโบกมือไปมาอย่างไม่ถือสา แต่อดมองฉินเฟยอย่างประหลาดไม่ได้ เธอขมวดคิ้วเบาๆ
อย่าบอกนะว่าหยกนิ้วหัวแม่มือวงนี้ เป็นวัตถุโบราณจริงๆ
แต่พูดออกไปแล้ว เธอจะคืนคำไม่ได้ ถึงเป็นวัตถุโบราณจริง ก็คงราคาไม่เท่าไร
โต๊ะของพวกฉินเฟยนั่งกันจนเต็ม ส่วนใหญ่เป็นคนรุ่นราวคราวเดียวกัน ส่วนเซียววี่เป็นแขกคนสำคัญ จึงต้องนั่งที่โต๊ะแขก
เซียววี่เดินพลาง เก็บกล่องไม้เข้าไปในกระเป๋าถือของตัวเองอย่างระมัดระวัง ผู้ชายจำนวนไม่น้อยมองเธอ น้ำลายเกือบไหลออกมา
รูปร่างของเซียววี่ดีมากจริงๆ ภายใต้กางเกงยีนรัดรูป ขาวเรียวยาวทำให้คนเคลิ้ม เชิ้ตผ้าทอเผยให้เห็นลำคอขาวเนียนดุจหิมะ ทำให้คนอดคิดฟุ้งซ่านไม่ได้ ภายใต้เสื้อยืดสีขาวกับกางเกงยีน หุ่นจะงดงามเพอร์เฟกต์อย่างไรกันนะ
“ขอบคุณเธอนะ คนพวกนี้ตาถั่ว” ฉินเฟยส่งข้อความหาเซียววี่ ในใจยังโกรธอยู่นิดหน่อย ถ้าเจียงเยว่ถงเน้นว่าต้องเป็นของขวัญที่พอเข้าท่าหน่อย เขาคงไม่เอาหยกนิ้วหัวแม่มือวงนี้ ออกมาให้อย่างไม่เสียดายหรอก
แต่แบบนี้ยิ่งดี!
“ขอบคุณอะไรกัน คุณย่าเจียงให้หยกนิ้วหัวแม่มือกับฉันแล้ว” เซียววี่ตอบข้อความ
เมื่อเห็นข้อความ สีหน้าของฉินเฟยชะงักไปทันที!
บัดซบแล้ว!
ฉินเฟยเงยหน้าขึ้นทันที เห็นเซียววี่เงยหน้าขึ้นเหมือนกัน หันมายิ้มบางๆ ให้ตัวเอง
ฉินเฟยมุมปากกระตุก จุกจนเกือบตาย ในใจหมดคำจะพูด นี่ใช่คุณเซียวที่อ่อนโยนใจกว้าง เปิดเผยและโปร่งใสหรือเปล่า
“คุณเซียว การล้อเล่นของเธอไม่ตลกสักนิด!” ฉินเฟยตอบข้อความด้วยความโมโหฟึดฟัด
เดิมทีเขายังคิดว่าอีกเดี๋ยวค่อยแอบเอาหยกนิ้วหัวแม่มือกลับมา คราวนี้แย่แล้ว ไม่เพียงแต่โดนคนจำนวนมากเยาะเย้ย เซียววี่พูดแค่ประโยคเดียวยังได้หยกนิ้วหัวแม่มือไปอีก
เซียววี่ก้มหน้าเล็กน้อย นิ้วขาวกดเบาๆ เพื่อส่งข้อความ “ให้หยกนิ้วหัวแม่มือกับนายก็ได้ แต่นายต้องรับปากฉันหนึ่งเรื่อง”
โอ้โห ยังต่อรองอีกเหรอ
“ว่ามา!” ฉินเฟยกัดฟันกรอด

เจียงเยว่ถงที่นั่งข้างฉินเฟย หันมองฉินเฟยแวบหนึ่ง แล้วมองเซียววี่ที่นั่งอยู่ไม่ไกล จากนั้นขมวดคิ้วเบาๆ หลังจากที่เซียววี่นั่งลง เงยหน้ามองมาทางตัวเองสองครั้ง เธอรู้ว่าฉินเฟยรู้จักเซียววี่
อีกทั้งยังมั่นใจว่าคนที่เซียววี่มองคือฉินเฟย
และฉินเฟยที่อยู่ข้างๆ ก็มองเซียววี่บ่อยๆ!
แม้เจียงเยว่ถงยอมรับตัวตนของสามีอย่างฉินเฟยแล้ว แต่เป็นสามีภรรยากันมาสามปี ทั้งสองกลับไม่ได้มีความรู้สึกอะไรกันมากเท่าไร แต่ฉินเฟยเป็นสามีในนามของตัวเอง แต่ตอนนี้กลับเล่นหูเล่นตากับผู้หญิงอีกคนงั้นเหรอ
โดยเฉพาะคนคนนี้คือเซียววี่ คนที่ฐานะทางตระกูลแข็งแกร่งกว่าเธอหลายเท่า สาวงามที่งดงามไม่แพ้ตัวเองเลย ยังไงภาพนี้ก็ทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจ
“ฉินเฟย นายกำลังคุยกับเซียววี่เหรอ” เจียงเยว่ถงอดพูดออกมาไม่ได้
“อืม ผมต้องเอาหยกนิ้วหัวแม่มือวงนั้นกลับมา!” ฉินเฟยเงยหน้าขึ้น พูดอย่างเหนื่อยใจ
เจียงเยว่ถงอึ้งเล็กน้อย จู่ๆ นึกถึงคำพูดของเซียววี่ก่อนหน้านี้ “หยกนิ้วหัวแม่มือวงนั้นเป็นวัตถุโบราณจริงเหรอ”
“ไม่ใช่แค่วัตถุโบราณ แต่มูลค่าสูงมากด้วย!” ฉินเฟยพูดด้วยความโมโหฟึดฟัด
คิดไม่ถึงว่าผู้หญิงอย่างเซียววี่จะใช้โอกาสนี้พูดเงื่อนไขกับเขา ให้ตายเถอะ นี่ทำให้เขาพลิกความคิดที่มีต่อสาวงามคนนี้ไปหมดเลย!
เจียงเยว่ถงเบาใจลงทันที และไม่ได้โมโหขนาดนั้น ขณะกำลังจะคุยกับฉินเฟยต่อ ขณะนั้นคุณย่าเจียงหัวเราะออกมา เดินถือแก้วเหล้าเข้ามา
เมื่อเห็นคุณย่าเดินลงจากเวที ทุกคนวางตะเกียบลงทันที
เจียงเยว่ถงรู้สึกถึงสายตาที่คุณย่ามองมา จิตใจวูบไหว เธอเข้าใจทันที มือเล็กสะกิดฉินเฟยหนึ่งที
เป็นไปตามคาด คุณย่าเจียงหยุดลงข้างเจียงเยว่ถง มองเจียงเยว่ถงแล้วพูดว่า “เสี่ยวถง ย่าอยากพูดอะไรกับแกเรื่องหนึ่ง”
“คุณย่า มีเรื่องอะไรก็พูดมาได้เลยค่ะ” เจียงเยว่ถงพูดออกมา
เจียงเยว่ถงพอเดาได้ในใจว่าคือเรื่องอะไร แต่ก็ยังสงสัยอยู่ดี ความร่วมมือการลงทุนของตระกูลเจียงกับว่านเซียง มูวี มีความหมายกับการพัฒนาของตระกูลเจียงมาก บริษัทฉีแยของตัวเองไม่สามารถเทียบได้เลย
นี่เป็นความคิดที่ฉินเฟยเสนอให้เธอ ตระกูลเจียงต้องซื้อบริษัทฉีแยคืนให้เธอ ใช้มันแลกกับการที่เธอไปเจรจาความร่วมมือกับว่านเซียง มูวี
อีกทั้งสิ่งที่ทำให้เธอแปลกใจคือ วันนี้มีเรื่องสำคัญขนาดนี้ ทำไมเจียงเฉิงเย่ยังไม่ปรากฏตัวออกมาเลย
คุณย่าเจียงพยักหน้าแล้วพูดว่า “เสี่ยวถง วันนี้เป็นวันเกิดของย่า และเป็นวันเกิดครบรอบ 70 ปีของย่า แกรับปากย่าได้ไหม ไปเจรจากับว่านเซียง มูวีได้ไหม ถ้าได้ร่วมมือกับว่านเซียง มูวี ตระกูลเจียงของเราต้องยิ่งใหญ่ขึ้นในซงไห่แน่นอน แกรับปากย่าได้ไหม”
“เอ่อ……”
คราวนี้เจียงเยว่ถงตกใจจริงๆ ก่อนหน้านี้เจียงเฉิงเย่โทรมาบอกว่า คืนนี้จะซื้อบริษัทฉีแยคืนให้เธอไม่ใช่เหรอ
แต่จนถึงตอนนี้เจียงเฉิงเย่ก็ยังไม่ปรากฏตัวออกมา เจียงเยว่ถงคิดไม่ออกว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
แต่ตัวเองจะประนีประนอมแบบนี้เหรอ
ตอนนี้เจียงเยว่ถงอดหันไปแอบมองฉินเฟยไม่ได้ แววตาสอบถามความเห็น
เป็นไปตามคาด ฉินเฟยส่ายหน้าเบาๆ เจียงเยว่ถงเข้าใจความหมายของฉินเฟย แต่ตอนนี้อยู่ต่อหน้าคนเยอะขนาดนี้ ถ้าปฏิเสธคุณย่า……
แต่ถ้าไม่ปฏิเสธ เธอคงไม่ได้บริษัทฉีแยของตัวเองกลับมา ว่านเซียง มูวี คือเงื่อนไขแห่งชัยชนะที่ใหญ่ที่สุดของเธอ และเป็นเงื่อนไขแห่งชัยชนะที่มีอยู่เพียงอย่างเดียว!
จู่ๆ เจียงเยว่ถงกัดริมฝีปากแน่น ลังเลอยู่อย่างนั้น
“แม่ คนครอบครัวเดียวกัน ไม่เห็นต้องพูดเกรงใจกันเลย” เสิ่นหัวรีบลุกขึ้น “คุณวางใจเถอะ เรื่องนี้ให้เป็นหน้าที่ของถงถงก็พอแล้ว ถงถงต้องทำเรื่องนี้สำเร็จแน่นอน”
เสิ่นหัวไม่รู้เรื่องบริษัทฉีแย คำนึงแค่ว่าถ้าเจียงเยว่ถงทำเรื่องนี้สำเร็จ ครอบครัวเธอจะมีหน้ามีตาในตระกูลเจียง
“งั้นก็ดีๆ เหอะๆ” คุณย่าเจียงเผยยิ้มออกมาทันที
ผลปรากฏว่าขณะนั้น ไม่มีใครคาดคิด อยู่ดีๆ ฉินเฟยที่นั่งเงียบอยู่ข้างๆ ตลอดเวลาลุกขึ้นมา
“ผมไม่รับปาก!”
เพียงแค่สี่คำธรรมดาๆ ตอนนี้มันแสบแก้วหูเป็นพิเศษ!
“ก่อนหน้านี้เจียงเยว่ถงไปเจรจาความร่วมมือกับว่านเซียง มูวี สำเร็จแล้ว แต่ถูกเจียงเฉิงเย่แย่งความดีความชอบไป” ฉินเฟยพูดอย่างเย็นชา “ตอนนี้ว่านเซียง มูวี ไม่สนใจเจียงเฉิงเย่ ก็คิดถึงภรรยาผมขึ้นมาเหรอ”
“นาย! นายพูดอะไร” จู่ๆ ใบหน้าที่มีรอยยิ้มบางๆ ของคุณย่าเจียง เย็นชาลงทันที เธอชี้ไปที่ฉินเฟย เห็นได้ชัดว่าโมโหกับการที่ฉินเฟยถามด้วยเสียงดัง
สายตาที่คนตระกูลเจียงแต่ละคนมองฉินเฟย เหมือนมองคนประสาทอย่างไรอย่างนั้น
ไอ้หมอนี่โง่หรือไง ตัวเองมีฐานะยังไงในตระกูลเจียง ในใจไม่รู้ตัวเองเลยเหรอ เป็นแค่ลูกเขยที่แต่งเข้าบ้านผู้หญิง แม้ไม่กี่วันก่อนเขาซัดฮั่วจงเหยียนแล้วยังไงกัน ก็เป็นสวะที่ไร้ความสามารถเหมือนเดิม!
สังคมนี้ ไม่ได้เทียบกันว่าพละกำลังของใครดีกว่ากันหรอกนะ!
เจอการดูหมิ่น รวมถึงเสียงซุบซิบเบาๆ ของทุกคน ฉินเฟยไม่ได้สนใจ เขามองคุณย่าแล้วพูดว่า “คุณย่าไม่รู้สึกเหรอว่าไม่ยุติธรรมกับเจียงเยว่ถง เจียงเยว่ถงเป็นคนเจรจาความร่วมมือกับว่านเซียง มูวี จนสำเร็จ แต่สุดท้ายความดีความชอบกลับตกเป็นของเจียงเฉิงเย่ทั้งหมด ตอนนี้ไม่รู้ว่าเจียงเฉิงเย่ไปล่วงเกินว่านเซียง มูวีตรงไหน เขารู้จักแค่ถงถง คุณจึงนึกถึงเธอขึ้นมา งั้นหลังจากผลการเจรจาออกมา ก็ไม่เกี่ยวข้องกับเจียงเยว่ถงอีกงั้นเหรอ หน้าที่นี้เจียงเยว่ถงไม่มีทางไป คุณย่าหาคนอื่นไปเจรจาที่ว่านเซียง มูวีเถอะ!”
“นาย นายพูดอีกรอบสิ!” คุณย่าเจียงชี้ฉินเฟย “นายเป็นใครกัน นี่เป็นเรื่องของตระกูลเจียง นายกล้าตัดสินใจแทนเสี่ยวถงเหรอ นายมีสิทธิ์อะไร”
“สิทธิ์ที่ผมเป็นสามีเธอ!”
ฉินเฟยตอบทันที ไม่อ่อนข้อสักนิด ดูทรงพลังมาก!
ทันใดนั้น รูปร่างงดงามของเจียงเยว่ถงสั่นอย่างเห็นได้ชัด แววตาที่มองฉินเฟย แฝงไปด้วยอารมณ์สับสนที่บอกไม่ถูก
เหมือนตกตะลึง เหมือนซาบซึ้ง
เธอรู้ว่าในสายตาของฉินเฟย สนใจแค่ผลประโยชน์ของตัวเอง ถึงขั้นที่ไม่สนใจว่าจะขัดแย้งกับคุณย่า
ตอนนี้ทุกคนพากันอึ้งไปหมด พวกเขายิ่งตกใจไปใหญ่ สวะที่อยู่ไปเพื่อรอวันตายในตระกูลเจียง กล้าพูดแบบนี้กับคุณย่าเจียง
เจียงเฟิ่งหยุนก็ตกใจเหมือนกัน อันที่จริงเขารู้ข่าวที่บริษัทฉีแยของลูกสาวโดนขาย เมื่อช่วงเที่ยงวันนี้
แน่นอนว่าในใจเขารู้สึกไม่มีความสุขเลย แต่เขาเป็นลูกชาย อีกฝั่งคือแม่ ส่วนอีกฝั่งเป็นพ่อของเสี่ยวถง เขาตัดสินใจยากมาก อีกทั้งในตัวเขามีเลือดของตระกูลเจียงไหลเวียนอยู่ แม่บอกว่าคิดคำนึงถึงภาพรวมของตระกูลเจียง เขาก็ไม่มีอะไรจะพูด
ส่วนฉินเฟยเป็นลูกเขยที่ตัวเองยอมรับ แม้คำพูดของเขามีความขัดแย้งกับแม่มาก แต่มันคือความจริงทั้งนั้น เขาไม่ได้ตาบอด เขาเห็นความไม่ยุติธรรมที่ลูกสาวได้รับ โดยเฉพาะเรื่องฮั่วจงเหยียนครั้งที่แล้ว ยิ่งทำให้เขาผิดหวังจนปวดใจ
ไม่ว่าอย่างไร เห็นลูกเขยให้ท้ายและปกป้องลูกสาวตัวเองขนาดนี้ เจียงเฟิ่งหยุนรู้สึกดีใจมาก ลูกสาวเจอผู้ชายแบบนี้ เขาชอบมาก
“เหอะๆ นายเป็นสามีเธอใช่ไหม” คุณย่าเจียงแสยะยิ้มเย็นชา “ได้ ดีจริงๆ! เสี่ยวถง แกยอมรับว่าเขาเป็นสามีแกหรือเปล่า ถ้ายอมรับ ต่อไปฉันไม่ใช่ย่าแกอีก ถ้าไม่ยอมรับ!”
คุณย่าเจียงเงยหน้าขึ้นมองฉินเฟยแล้วพูดว่า “งั้นนายก็รีบไสหัวไปซะ!”
พรึ่บ!
เมื่อสิ้นเสียง สายตาทุกคนมองมาที่เจียงเยว่ถง
ไม่ต้องสงสัยเลย นี่เป็นคำถามที่มีเพียงสองตัวเลือกเท่านั้น! ด้านหนึ่งคือคุณย่า หรือเรียกได้ว่าตระกูลเจียง ส่วนอีกด้านคือสามีสวะไม่มีความสามารถสมตามคำเล่าลือ!
มือเล็กของเจียงเยว่ถงกำแน่น จนข้อนิ้วดูซัดเล็กน้อย เหมือนมีอะไรจุกอยู่ที่คอเธอ พูดอะไรไม่ออกสักคำ
ยอมรับว่าแม้การกระทำมากมายของตระกูลเจียง ทำให้เธอผิดหวังจนปวดใจ แต่ยังไงเธอก็เป็นคนตระกูลเจียง ไม่ว่าตระกูลเจียงจะปฏิบัติกับเธอยังไง แนวคิดดั้งเดิม ทำให้เธอมีความสัมพันธ์ทางสายเลือดที่ตัดไม่ขาดกับตระกูลเจียง
แต่ฉินเฟย……
“พลั่ก!”
“ตู้ม ตู้ม!!”
ขณะที่เจียงเยว่ถงตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก จู่ๆ มีเสียงดังสนั่นนอกวิลล่าตระกูลเจียง
เหมือนกับว่า……ประตูวิลล่าโดนรถชนกระเด็น
ใครขับรถไม่ดูตาม้าตาเรือแบบนี้
ทุกคนหันไปมองทางประตูวิลล่าอย่างประหลาดใจ ทันใดนั้นก็เบิกตาโตทันที
รถออฟโรดคันหนึ่ง ชนประตูวิลล่าจนกระเด็นจริงๆ!
นี่จบเห่แล้ว แต่รถออฟโรดสีขาวไม่ลดความเร็วลงสักนิด พุ่งตรงมาทางห้องโถงของวิลล่า
“อ๊าก!!” เสียงตื่นตระหนกดังไปทั่วห้องโถง โดยเฉพาะคนหนุ่มสาวตระกูลเจียง ที่นั่งตรงโต๊ะจีนหน้าประตูห้องโถง พากันหน้าเปลี่ยนสี ลุกขึ้นยืนหลบอย่างตระหนก
ทันใดนั้น เสียงแก้วบนโต๊ะโดนกระแทกจนแตก เสียงเก้าอี้ล้มดังขึ้น วุ่นวายและเละเป็นแถบ……
ขณะเดียวกัน เพราะเสียงที่ดังเกินไป กระตุ้นสัญญาณกันขโมยของรถหรูด้านนอก นอกวิลล่าเต็มไปด้วยแสงสว่าง เสียงสัญญาณกันขโมยของรถยนต์ดัง “ติ๊ด ติ๊ด” เข้ามาในหูไม่หยุด……
รถออฟโรดพุ่งเข้ามา! ตัวรถออฟโรดยกสูง พุ่งขึ้นมาบนบันไดนอกห้องโถงวิลล่า ถึงกับชนประตูกระจกบานพับของห้องโถงจนแตก จึงหยุดลง
รถออฟโรดสีขาว หัวรถครึ่งหนึ่งทะลุขึ้นมาบนห้องโถงวิลล่า เหมือนหัวที่เชิดขึ้น ก้มมองทุกอย่างในห้องโถงอย่างโหดเหี้ยม
คุณย่าเจียงก็ตกใจกับภาพนี้จนสะดุ้งโหยง ยังดีที่เจียงเฟิ่งซวงรีบประคองเธอไว้
ให้ตายเถอะ เมาแล้วขับเหรอ
ไอ้คนขับรถออฟโรดเป็นบ้าหรืออยากตายกันแน่
โดยเฉพาะวันนี้เป็นวันสำคัญของตระกูลเจียงด้วย
“พลั่ก!” ประตูรถออฟโรดเปิดออก ชายหนุ่มสวมเสื้อกล้ามสีดำกระโดดลงมา มีลายสักมังกรบนแขน เหมือนเป็นนักเลงอย่างไรอย่างนั้น!
นี่รนหาที่ตายชัดๆ!
หนุ่มสาวตระกูลเจียงก็ตกใจกับภาพเมื่อกี้จนสะดุ้ง ตอนนี้เห็นวัยรุ่นกระโดดลงมา อดโมโหขึ้นมาไม่ได้
นักเลงเหรอ นักเลงที่มีชีวิตดี นักเลงที่มีเงินนิดหน่อยงั้นเหรอ
“เฮ้ย นายเป็นใคร อยากตายใช่ไหม รู้ไหมที่นี่คือที่ไหน นายจะจัดการเรื่องนี้ยังไง นาย……”
“เพียะ!”
ชายหนุ่มปรายตามองคนอายุน้อยตระกูลเจียงที่กำลังพูด จู่ๆ เขายกมือขึ้นมาตบใส่!
เสียงก่นด่าอย่างโมโหของคนอายุน้อยตระกูลเจียงหยุดลงทันที เขาหมุนอยู่ที่เดิมสองรอบ แล้วล้มลงอย่างแรง โดนชายหนุ่มที่บุกเข้ามากะทันหันตบจนสลบเลยเหรอ
ทุกคนหน้าเปลี่ยนสีทันที อารมณ์โมโห ถึงเป็นแขกที่มาร่วมอวยพรวันเกิดก็เป็นเหมือนกัน แต่ที่นี่คือตระกูลเจียง เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ตระกูลเจียงต้องออกหน้าจัดการอยู่แล้ว
“ตู้ม ตู้ม!”
เสียงรถออฟโรดดังขึ้นข้างนอกอีกครั้ง มีรถพุ่งสะเปะสะปะเข้ามาในลานวิลล่าอีกสองคัน ผสมกับเสียงสัญญาณกันขโมยของรถหรูด้านนอก ทำให้ทุกคนตกตะลึงอีกครั้ง
เสียงเปิด-ปิดรถดังขึ้น ไม่นาน มีวัยรุ่นอีกสี่คนมายืนข้างวัยรุ่นคนที่ทำร้ายคน พวกเขาสวมแว่นดำ ใส่สูทเหมือนกันทั้งหมด ดูก็รู้ว่าเป็นบอดี้การ์ดระดับสูง
ทุกคนมองหน้ากันไปมา สีหน้าแปลกใจและตกตะลึง
นี่……เหมือนไม่ใช่การพุ่งเข้ามาผิดที่ เพราะเมาแล้วขับ แต่เป็นการจงใจมาหาเรื่องงั้นเหรอ
ใครที่กล้าขนาดนี้
ขณะที่ทุกคนกำลังตกใจ หนึ่งในบอดี้การ์ดเปิดประตูรถออฟโรดสีขาวด้วยท่าทางนอบน้อม ซึ่งเป็นคันแรกที่พุ่งเข้ามา
รองเท้าหนังที่ขัดจนแววข้างหนึ่งยื่นออกมา ชายวัยกลางคนที่ใส่ชุดสูทสีดำเหมือนกัน เดินลงมาช้าๆ
ชายวัยกลางคนยืนหน้าประตูห้องโถง สายตามองไปรอบๆ สุดท้ายจ้องไปที่คุณย่าเจียงที่เจียงเฟิ่งซวงกำลังประคองอยู่
ผู้ชายยกมือขึ้นถอดแว่นดำช้าๆ ยิ้มบางๆ “ยัยแก่เจียง ได้ยินว่าวันนี้เป็นวันเกิดเธอ เธอว่าของขวัญที่ฉันนำออกมาเป็นไง”
“พ่อบ้านซุน”
ไม่รู้ใครพูดออกมาด้วยความตกใจ
คนคนนี้คือจางจงหาน พ่อบ้านตระกูลซุน แต่เขารับใช้ตระกูลซุนมาหลายปีแล้ว คนจำนวนมากลืมชื่อเขาไปแล้ว และเขาชอบให้คนอื่นเรียกเขาว่าพ่อบ้านซุน!
เมื่อเห็นคนที่มา คุณย่าเจียงถึงกับตัวสั่น!
คนตระกูลซุนมางั้นเหรอ

หลี่จั่นเข้ามานั่งที่ พ่อบ้านร่ายชื่อของขวัญอีกครั้ง……
20 กว่านาที แขกที่มาถูกเชิญเข้างานเลี้ยงทีละคน นอกวิลล่าเหลือเพียงลูกหลานตระกูลเจียง
เสิ่นหัวปรายตามองฉินเฟยที่อยู่ข้างลูกสาวอย่างเจียงเยว่ถง สายตาไม่เป็นมิตร เธอไม่ได้หูหนวก เธอได้ยินเสียงซุบซิบทั้งหมด ตอนที่พ่อบ้านร่ายรายชื่อของขวัญเมื่อกี้
เธอคิดไม่ถึงว่า เรื่องที่ครอบครัวเธอล่วงเกินฮั่วจงเหยียนตระกูลฮั่ว ถูกแพร่ออกไปแล้ว!
ยิ่งทำให้เธอกังวลใจเข้าไปอีก ตระกูลฮั่วขายหน้าแบบนี้ ต้องกู้หน้าคืนแน่นอน แต่เธอไม่รู้ว่าลูกสาวกับสามีเป็นอะไรไปกันหมด สมองมีปัญหาหรือเปล่า โดยเฉพาะผู้เป็นสามีอย่างเจียงเฟิ่งหยุน ให้ตายยังไงก็จะเอาแต่ยอมรับลูกเขยสวะอย่างฉินเฟย
ลูกสาวอย่างเจียงเยว่ถงก็ยังไม่วางใจ ทุกครั้งที่ตัวเองให้เธอหย่ากับฉินเฟย เธอจะเปลี่ยนเรื่องพูดกับตัวเอง หรือไม่ก็บอกอย่างรวดเร็วว่าไม่ยอมหย่า
ทำเหมือนเธอคือคนไม่ดี ไม่อาจจัดการให้ฝ่ายใดพอใจได้!
โดยเฉพาะเมื่อกี้ไอ้สวะนี่ยังล่วงเกินหลี่จั่นอีก เขาเป็นถึงคุณชายใหญ่ตระกูลหลี่ รวยและแข็งแกร่ง มีอิทธิพลมากกว่าเขาตั้งเยอะ
ตัวเองพูดไม่ผิดสักนิด!
ไอ้สวะนี่เป็นตัวสร้างเรื่องชัดๆ!
แม้ตอนนี้ฉินเฟยอยู่ในชุดสูท ดูเหมือนคน แต่พฤติกรรมไม่เหมาะสม เขาขัดหูขัดตาเสิ่นหัวมาก ไม่ว่ามองยังไงก็ขัดหูขัดตา!
“ฉันถามนายหน่อย นายเตรียมของขวัญให้คุณย่าหรือยัง อีกเดี๋ยวอย่าเอาของเน่าๆ อะไรออกมาทำให้ฉันขายหน้าล่ะ” เสิ่นหัวพูดกับฉินเฟยอย่างไม่สบอารมณ์
“ผมเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว” ฉินเฟยพูดพลาง เอากล่องไม้สลักที่ดูโบราณมากออกมา
“นาย!” เมื่อเห็นกล่องไม้บ้าๆ ในมือฉินเฟย เสิ่นหัวเกือบโมโหจนเป็นลม “นี่มันของบ้าบออะไรของนาย นายรู้ไหมว่าวันนี้วันอะไร”
“แม่ ฉินเฟยเตรียมของขวัญให้คุณย่ามาหลายวัน คงไม่แย่หรอก” เจียงเยว่ถงช่วยพูดเบาๆ อยู่ข้างๆ พูดพลางก็อดมองบนใส่ฉินเฟยไม่ได้ เอาจริงๆ เธอก็รู้สึกว่ากล่องไม้นี่ดูเก่าและผุพังไปหน่อย
“นี่ไม่ได้พังนะครับ แต่เป็นของโบราณที่มูลค่าสูงมาก” ฉินเฟยรีบพูดอธิบาย
ยังพูดว่าไม่พังอีก ยังพูดว่าราคาสูงอีก เสิ่นหัวทนไม่ไหวแล้ว ขณะกำลังจะด่า ปรากฏว่าเสียงของพ่อบ้านดังขึ้นอีกครั้ง
“เชิญลูกหลานตระกูลเจียง อวยพรวันเกิดคุณย่าครับ!”
เมื่อพูดจบ คนตระกูลเจียงเป็นร้อย พากันเข้าไปในวิลล่า
เสิ่นหัวถลึงตาใส่ฉินเฟยด้วยความแค้น เก็บคำที่จะด่าเขาเอาไว้ รีบลากลูสาวเข้าไปข้างใน
ตอนนี้ในวิลล่าตระกูลเจียง แขกที่มาอวยพรวันเกิดพากันไปนั่งหมดแล้ว พ่อตาสวมสูทพอดีตัว รอยยิ้มเต็มใบหน้า อาคนเล็กอย่างเจียงเฟิ่งซวงก็ยุ่งมาก
ฉินเฟยเงยหน้ามองคุณย่าเจียงที่นั่งตรงกลาง ตอนนี้เธอสวมเสื้อคอจีนสีแดง ใบหน้าสดใสมีเลือดฝาด ดูมีความสุขมาก
แต่สิ่งที่ทำให้ฉินเฟยรู้สึกประหลาดคือ เจียงเฉิงเย่ไปไหน
เขาเป็นลูกชายของลุงเจียงเฟิ่งหยู่เชียวนะ อีกทั้งยังมีฐานะสูงส่งในตระกูลเจียง คนที่ควรให้ของขวัญเป็นคนแรกควรเป็นเขาสิถึงจะถูก
ในตอนนี้ไอ้อวดดีคนนี้ ควรให้ของขวัญสุดหรู แล้ววางมาดสักหน่อยไม่ใช่เหรอ
หรือเตรียมเป็นรองสุดท้ายเหรอ
“ครอบครัวเจียงชุนลี่ มอบกลอนคู่อวยพรวันเกิดสองภาพ ขอให้คุณย่ามีวันที่มีความสุขแบบนี้ทุกปี”
“เจียงเยว่เสี่ย มอบกำไลหยก จี้หยกหนึ่งชุด……”
ตอนเปิดกล่อง ฉินเฟยที่ยืนอยู่ด้านหลังแอบพยักหน้า วัสดุที่ใช้ทำเครื่องประดับหยกชุดนี้ ดูก็รู้ว่าหยกใสระดับดีมาก ในบรรดาหยกเนื้อแข็ง จะทำออกมาสักชุดนับว่ายากมาก ราคาไม่ธรรมดา
เจียงเยว่เสี่ยเดินเข้ามาในห้องโถง เพราะเรื่องที่หลี่จั่นใช้เงินจำนวนมากคุยเรื่องแต่งงานเมื่อครู่ การปรากฏตัวของเจียงเยว่เสี่ย จึงเรียกสายตาของคนจำนวนมาก ขณะเดียวกันก็พากันซุบซิบ ก็ยังคุยกันเรื่องสินสอดมูลค่าสูงของหลี่จั่นเมื่อครู่
ฉินเฟยอดหันหน้าไปมองเจียงเยว่ถงที่อยู่ข้างๆ ไม่ได้ เจียงเยว่ถงในชุดเดรสรัดรูป ขับให้รูปร่างเธอน่าดึงดูดเป็นพิเศษ ใบหน้าประณีตงดงาม แต่เธอแต่งงานมาสามปีแล้ว จึงไม่ค่อยมีใครสนใจ
ถึงเจียงเยว่เสี่ยจะงดงามมาก แต่โดยส่วนใหญ่แล้ว สายตาของฉินเฟยก็อยู่กับภรรยาอย่างเจียงเยว่ถง ตอนที่พ่อบ้านประกาศรายชื่อของขวัญของหลี่จั่น ทุกคนพากันตะลึง หญิงสาวจำนวนมากอิจฉาไม่หยุด ฉินเฟยก็เห็นความอิจฉาในแววตาของเจียงเยว่ถงอย่างชัดเจน
เจียงเยว่ถงไม่ใช่ผู้หญิงหน้าเงิน แต่ยังไงเธอก็เป็นผู้หญิง ก็ชอบความรู้สึกที่ถูกคนอิจฉา ถูกคนมองว่าสูงส่งเหมือนกัน
แต่ตอนนี้เจียงเยว่ถง กลายเป็นคนที่โดนคนอื่นเยาะเย้ย ฉินเฟยหน้าหนาจึงไม่เป็นไร แต่เจียงเยว่ถงหน้าบาง อีกทั้งยังรักศักดิ์ศรีเป็นอย่างมาก!
นี่จึงเหตุผลที่ทำไมก่อนหน้านี้ฉินเฟยพูดว่าสามปีมานี้ เจียงเยว่ถงแบกรับมามากกว่าตัวเอง!
ฉินเฟยแอบคิดในใจ รอให้ตัวเองหาเงินได้ ก็จะเซอร์ไพรส์ใหญ่ให้เธอเหมือนกัน ทำให้ทั้งตระกูลเจียง รวมไปถึงทั้งซงไห่ตกตะลึง!
พ่อบ้านประกาศรายชื่อของขวัญไม่หยุด หลังจากเจียงเยว่เสี่ยเข้ามาในห้องโถง ไม่นานก็ถึงตาครอบครัวของฉินเฟย
จนกระทั่งเจียงเยว่ถงที่ยืนอยู่ข้างๆ ใช้มือเล็กหยิกหลังฉินเฟย เขาจึงหลุดออกจากภวังค์
“คิดอะไรอยู่ ถึงตาเราแล้ว!” เจียงเยว่ถงพูดเตือนแบบไม่สบอารมณ์เล็กน้อย
มองกล่องไม้เก่าๆ ในมือฉินเฟยแวบหนึ่ง ความกังวลใจเพิ่มขึ้นอีก เจียงเยว่ถงเข้าใจว่าที่ฉินเฟยเหม่อลอยเมื่อครู่ เพราะเห็นคนอื่นให้ของขวัญแสนแพงขนาดนี้ ฉินเฟยจึงอายที่จะเอาออกมา
เสิ่นหัวยืนอยู่ไกลๆ อีกด้าน เธอมองไปทางอื่น ทำท่าทางเหมือนฉันไม่รู้จักไอ้คนที่ให้ของขวัญคนนี้
เจียงเยว่ถงที่ยืนอยู่ข้างฉินเฟย อดที่จะมองกล่องไม้เก่าๆ ในมือฉินเฟยไม่ได้ เธอพูดเบาๆ ว่า “ของขวัญชิ้นนี้เอาออกมาให้คนได้จริงเหรอ”
“ได้สิ” ฉินเฟยมีท่าทีจริงจัง
“งั้นนายก็ให้ละกัน” เจียงเยว่ถงพยักหน้า แต่ขยับเท้าเล็กๆ ไปอีกทาง……
ฉินเฟยเดินไปข้างหน้าสองก้าว มองพ่อบ้านแล้วคำนับเบาๆ จากนั้นพูดว่า “ฉินเฟยขอมอบหยกนิ้วหัวแม่มือของอู๋กั๋วไท่ยุคสามก๊กหนึ่งวง ขอให้คุณย่ายิ่งแก่ยิ่งแกร่ง มีความสุข อายุยืน!”
พ่อบ้านได้ยินก็ช็อกไป!
หยกนิ้วหัวแม่มือของอู๋กั๋วไท่ยุคสามก๊กเหรอ
ของขวัญนี้ล้ำค่าเกินไปหรือเปล่า
อีกทั้ง……
เสิ่นหัวที่อยู่ข้างๆ ได้ยินประกาศของขวัญของฉินเฟย สีหน้าเปลี่ยนไปทันที
แม้เธอไม่ได้ศึกษาอะไรเกี่ยวกับของโบราณ แต่สามีอย่างเจียงเฟิ่งหยุน ชอบศึกษาของโบราณมาก จึงได้ยินและได้เห็นบ่อย เธอรู้ว่าช่วงราชวงศ์ฮั่นคือสามก๊ก เก่าแก่กว่าช่วงหมิงชิงมาก
แม้บอกว่าของโบราณไม่ใช่ว่ายิ่งเก่าจะยิ่งราคาสูง แต่เมื่อกี้ฉินเฟยพูดอะไรนะ นี่เป็นหยกนิ้วหัวแม่มือของอู๋กั๋วไท่เหรอ แล้วมันมูลค่าเท่าไรกัน
แม้ตอนนี้ฉินเฟยมีงานทำแล้ว ในความคิดของเธอ ให้ของขวัญวันเกิดประมาณหมื่นหยวนก็ไม่เลวแล้ว แค่ไม่ขายหน้าเกินไปก็พอแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าไอ้สวะนี่จะกล้าเรียกการยกย่องจากผู้คนขนาดนี้!
“ฉินเฟย นายพูดอะไรไร้สาระ หยกนิ้วหัวแม่มือของอู๋กั๋วไท่เหรออะไรกัน นายไม่รู้ก็อย่าพูดไร้สาระ อับอายขายหน้า!” เสิ่นหัวทนไม่ไหว พูดเสียงต่ำด่าออกมา ถลึงตาใส่ฉินเฟยอย่างแค้นเคือง
เพราะข้างหลังยังมีลูกหลานตระกูลเจียง รอมอบของขวัญอีกเยอะ จึงไม่กล้าเอะอะโวยวาย ให้คนอื่นตำหนิ
เจียงเยว่ถงก็ใช้มือสะกิดเอวของฉินเฟย แววตาสอบถาม
พ่อบ้านก็ขมวดคิ้ว เขาอยู่ตระกูลเจียงมา 30 กว่าปีแล้ว แน่นอนว่ารู้จักฉินเฟยกับเจียงเยว่ถง เขารู้ว่าฉินเฟยไม่เพียงแต่เป็นลูกเขยที่แต่งเข้าตระกูลเจียง ปกติก็ไม่มีงาน จะให้ของขวัญราคาแพงขนาดนี้ได้ยังไง
แต่เขาผ่านอะไรมาเยอะ ตอนนั้นตามคุณท่านเจียงขึ้นเหนือล่องใต้ หลังจากคุณท่านตายก็ช่วยเหลือนายหญิงเจียง แม้เขาไม่ได้แซ่เจียง แต่เขาคิดว่าตัวเองเป็นคนตระกูลเจียง ในสายตาของเขาเจียงเยว่ถงก็เหมือนหลานสาวของเขาคนหนึ่ง
เขาเห็นประเพณีในสังคมมามากมาย และรู้ว่าดูคนจากภายนอกไม่ได้ เมื่อคืนฉินเฟยซัดฮั่วจงเหยียน ก็ทำให้เขาระบายความอัดอั้นไม่ดีในใจออกมา เปลี่ยนมุมมองที่มีต่อฉินเฟยไปเยอะ
“นี่เป็นหยกนิ้วหัวแม่มือของอู๋กั๋วไท่จริงๆ ถูกต้องแล้ว” ฉินเฟยพูดพลาง เปิดกล่องไม้อย่างระมัดระวัง
พ่อบ้านเห็นฉินเฟยพยักหน้าให้ตัวเอง หลังจากนั้นเสียงเปี่ยมไปด้วยพลังดังไปทั่ว
“ฉินเฟย ลูกเขยตระกูลเจียง มอบหยกนิ้วหัวแม่มือของอู๋กั๋วไท่ ยุคสามก๊กหนึ่งวง ขอให้คุณย่ายิ่งแก่ยิ่งแกร่ง มีความสุข อายุยืน!”
“โห!”
ตอนนี้ลูกหลานตระกูลเจียงที่อยู่ด้านหลัง พากันล้อมเข้ามา เสียงตกใจดังขึ้นเป็นระลอก!
หยกนิ้วหัวแม่มือของอู๋กั๋วไท่ ยุคสามก๊กเหรอ
ยุคสามก๊กมีคนเก่งออกมามากมาย มีหลายชื่อที่คนจำขึ้นใจ แน่นอนว่าไม่ต้องพูดถึงจูกัดเหลียง โจโฉแล้ว แต่ในบรรดาผู้หญิง เตียวเสี้ยน ไต้เกี้ยว เสี่ยวเกี้ยว ก็โดนคนพูดถึงอย่างต่อเนื่องเหมือนกัน
แต่คนที่รู้ประวัติศาสตร์อย่างแท้จริงล้วนรู้ว่า ในบรรดาผู้หญิงที่เป็นตำนานยุคสามก๊ก ยังมีอีกบุคคลที่สำคัญคืออู๋กั๋วไท่แห่งง่อก๊กเจียงตง
“โห นี่จริงหรือเปล่า!”
“ถ้านี่เป็นของจริง ประเมินค่าไม่ได้แน่นอน!”
มูลค่าของวัตถุโบราณ มีปัจจัยที่เกี่ยวข้องเยอะมาก อย่างเช่น แจกันหิมะที่ฉินเฟยได้มาก่อนหน้านี้ เพราะองค์หญิงเหวินเฉิงชอบ ดังนั้นมูลค่าจึงสูงขึ้นมาก!
หยกนิ้วหัวแม่มือวงนี้ก็เหมือนกัน!
อู๋กั๋วไท่เป็นภรรยาของซุนเกี๋ยนกษัตริย์ง่อ หลังจากซุนเกี๋ยนตาย เธอก็มุ่งมั่นช่วยเหลือซุนเซ็กลูกชายของเขา ซึ่ง
เป็นกษัตริย์แห่งเจียงตง ซุนเซ็กตายก่อนวัยอันควร คนแก่อย่างอู๋กั๋วไท่ต้องจากลากับคนหนุ่มที่ด่วนจาก หลังจาก
นั้นก็เป็นซุนกวน ที่ได้เป็นจักรพรรดิง่อก๊ก อู๋กั๋วไท่ช่วยเหลือกษัตริย์ง่อถึงสามรุ่น แต่ไม่ใช่ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ สนับสนุนอยู่เบื้องหลังเจียงตง เหน็ดเหนื่อยมุ่งมั่นเพื่อลูกหลานเจียงตง ได้รับการยกย่องจากชนรุ่นหลัง
อู๋กั๋วไท่ในตอนนั้นคล้ายคุณย่าเจียงในปัจจุบันมาก แม้คุณย่าเจียงอายุ 70 ปีแล้ว แต่ยังเหน็ดเหนื่อยเพื่อตระกูลเจียงเหมือนเดิม ยิ่งอายุเยอะยิ่งแกร่ง
“นี่เป็นหยกนิ้วหัวแม่มือที่อู๋กั๋วไท่ใส่จริงเหรอ”

พลบค่ำประมาณทุ่มกว่า
วิลล่าตระกูลเจียง คึกคักจนผิดปกติ!
สมาชิกในตระกูล ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ล้วนรีบกลับมา งานวันเกิดครบรอบ 70 ปีของคุณย่าเจียง เป็นที่สนใจของตระกูลใหญ่มากมายในซงไห่
ด้วยเหตุนี้ตระกูลเจียงจึงเชิญคนเยอะมาก แม้ตระกูลเจียงเป็นแค่ตระกูลระดับกลาง แต่วันเกิดครบรอบ 70 ปีของเจ้าบ้านตระกูลเจียง เรียกได้ว่าคนมาอวยพรอย่างไม่ขาดสาย
พ่อตาอย่างเจียงเฟิ่งหยุน มาต้อนรับแขกตั้งนานแล้ว สองสามีภรรยาฉินเฟยกับเจียงเยว่ถงลงจากรถ ตอนนี้ด้านนอกวิลล่าตระกูลเจียง มีรถหรูจอดอยู่มากมาย
วันนี้เจียงเยว่ถงแต่งตัวสวยมาก เรียวขายาวด้านล่างเดรสรัดรูป ทำให้คนรอบๆ อดมองไม่ได้ อีกทั้งยังมีคนจำนวนมากมองมายังฉินเฟยที่อยู่ข้างๆ สายตาขบขัน แอบเยาะเย้ย
ฉินเฟยไม่เพียงเป็นตัวตลกของตระกูลเจียง อีกทั้งยังเป็นตัวตลกทั้งซงไห่
“พวกนายดูสิ หมอนั่นคือฉินเฟยสินะ ลูกเขยสวะที่แต่งงานเข้าตระกูลเจียง”
“ใช่ๆ ไอ้สวะนี่แหละ ได้ยินว่าครั้งก่อนเขามาร่วมประชุมกลางปีของตระกูลเจียง ใส่เสื้อผ้าแผงลอยราคา 29 หยวน ฮ่าๆ!”
“เป็นสวะจริงๆ คิดไม่ถึงว่าจะได้แต่งกับเทพธิดาอย่างเจียงเยว่ถง สวรรค์ตาบอดจริงๆ!”
“ฮ่าๆ สหายเว่ย ดูเหมือนนายยังไม่รู้นะ ข่าวจริงๆ คือสามปีมานี้ ไอ้สวะคนนี้ไม่เคยแตะต้องภรรยาแม้แต่ปลายเล็บ นอนในห้องเก็บของตลอด ฮ่าๆ!”
“แต่มีเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่ง พวกนายน่าจะไม่เคยได้ยิน ฉันจะบอกให้ แต่อย่าเอาไปพูดตามใจชอบ” คนอายุน้อยตระกูลหลี่พูดขึ้นเบาๆ
“เรื่องอะไร”
“ได้ยินว่าเมื่อวานฮั่วจงเหยียนตระกูลฮั่ว มาขอแต่งงานที่ตระกูลเจียง พวกนายรู้ไหมว่าเขามาขอใครแต่งงาน” วัยรุ่นที่กำลังพูด มองรูปร่างงดงามของเจียงเยว่ถง อดกลืนน้ำลายเบาๆ ไม่ได้
“คงไม่ใช่เจียงเยว่ถงใช่ไหม” อีกคนพูดอย่างตกใจ ความตลกบนใบหน้าเพิ่มขึ้นอีก
“เจียงเยว่ถง ฉันได้ยินว่าไอ้สวะนี่ก็มีความพยายามเหมือนกัน คิดไม่ถึงว่าจะไล่ฮั่วจงเหยียนกลับไป แต่ฉันว่าเรื่องนี้ฮั่วจงเหยียนไม่จบไม่สิ้นแน่นอน” คนอายุน้อยตระกูลหลี่เอ่ยขึ้น
ตระกูลหลี่กับตระกูลเจียง มีสัมพันธ์อันดีมาหลายรุ่น อีกทั้งสองตระกูลยังมีเรื่องแต่งงานหลายเรื่อง ดังนั้นจึงรู้ความลับเยอะ
“ไร้สาระ มีตรงไหนที่ไอ้สวะนี่สู้ฮั่วจงเหยียนได้บ้าง หึหึ ฉันว่าไม่กี่วัน เขาคงมอบภรรยาแสนสวยของตัวเองให้คนอื่น”
“ฮ่าๆ ใช้ชีวิตแบบนี้ ยังสู้สุนัขไม่ได้เลย เอาภรรยาตัวเองให้ชายอื่นเหรอ แบบนั้นตายไปเสียยังดีกว่า!”
สีหน้าฉินเฟยไม่สู้ดี เขาไม่สนใจที่คนอื่นว่าเขาเป็นสวะ แต่ข้อห้ามคือเจียงเยว่ถง
นี่คือภรรยาของเขา และเป็นผู้หญิงที่เขายอมรับ อดกำหมัดใต้แขนเสื้อไม่ได้ แค่เจียงเยว่ถงไม่ยอม ใครก็เอาเธอไปไม่ได้!
แต่สิ่งเหล่านี้ จำเป็นต้องมีกำลัง!
“เริ่มอวยพรวันเกิดได้ เชิญญาติพี่น้องและเพื่อนอวยพรวันเกิดคุณย่าเจียง” หน้าประตูวิลล่าตระกูลเจียง พ่อบ้านถือไมค์พูด
เมื่อพูดจบ เสียงเอะอะรอบๆ เงียบลงทันที
“ประธานอู๋ ฉางหยุนกรุ๊ป ขอมอบรูปการเขียนอักษรจีนคำว่า ‘แข็งแรง’ ของหลิ่วกงเฉียน ขอให้คุณย่าเจียงสุขภาพแข็งแรง อายุยืนยาว”
อู๋จงหวน ฉางหยุนกรุ๊ป มีทรัพย์สินเป็นร้อยล้าน มีความสัมพันธ์ที่ดีกับคุณย่า
อู๋จงหวนยิ้มแล้วเปิดกล่อง รูปอักษรจีนสไตล์โบราณ ดูธรรมดามาก แต่กลับทำให้คนรอบๆ เงียบกริบ ทันใดนั้นก็มีเสียงตกใจดังขึ้น!
นี่ไม่ใช่รูปอักษรจีนของคนทั่วไป ทุกคนรู้ดี ตัวอักษรของหวังซีจือล้ำค่าที่สุด ไม่สามารถประเมินค่าได้ด้วยเงิน รองลงมาคือเหยียนเจินชิง หลิ่วกงเฉียน แม้งดงามเทียบหวังซีจือไม่ได้ แต่ก็เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านพู่กันจีน
ส่วนการเขียนอักษรของหลิ่วกงเฉียน ก็เป็นสินค้าที่กำหนดราคาสูงมาก แต่คนที่ต้องการน้อยทำให้ขายยาก ถ้าต้องพูดถึงตัวเลขออกมา คงเริ่มต้นที่ล้าน!
นี่มีหน้ามีตามาก ของขวัญระดับล้านเลยนะ!
“เชิญนั่งเลยประธานอู๋ ครั้งหน้าไม่ต้องฟุ่มเฟือยขนาดนี้หรอก ฉันจำได้ขึ้นใจแล้ว ขอบคุณประธานอู๋” คุณย่าเจียงยิ้มไม่หุบ ดีใจเป็นอย่างมาก
ทุกคนรู้ว่าคุณย่าเจียงชอบของโบราณ ของขวัญชิ้นนี้ถูกใจเธอมาก!
มีของขวัญราคาแพงระดับนี้ ของขวัญหลังจากนี้คงจืดชืดไปเลย แต่ในบรรดานั้นก็มีของโบราณที่ราคาแพงเหมือนกัน
“ตระกูลจ้าว ขอมอบชามลายครามสีฟ้าและสีขาวราชวงศ์หมิงหนึ่งคู่……”
“ตระกูลจาง ขอมอบภาพเที่ยวชมวัง สมัยราชวงศ์ชิงหนึ่งภาพ……”
พ่อบ้านที่รับแขกอยู่หน้าประตู ร่ายชื่อของขวัญไม่หยุด วิลล่าตระกูลเจียงสว่างไสว บรรยากาศสงบและยินดีปรีดา
ไม่นาน มีเสียงร่ายชื่อของขวัญดังขึ้นอีก ทำให้คนรอบๆ เงียบกริบ!
“ตระกูลหลี่มอบเงินสด 1 หลัง! เพื่ออวยพรวันเกิดของคุณย่าเจียง!”
ซี๊ด!
ทุกคนตกใจเป็นอย่างมาก
ตระกูลหลี่ทุ่มเยอะจริงๆ!
นั่นเป็นเงินสดสิบกว่าล้านเลยนะ ยังมีทั้งปิ่นปักผมทองคำ มีทั้งกำไลข้อมือ อีกทั้งมูนไลท์ ไอส์แลนด์ วิลล่า ราคาก็ไม่ธรรมดา เป็นตัวเลขถึงสิบล้านเหมือนกัน
ของขวัญวันเกิดหลายสิบล้านเหรอ
นี่คงไม่ใช่มาอวยพรวันเกิด มาคุยเรื่องแต่งงานหรือเปล่า
“คุณย่าเจียง นี่เป็นเพียงน้ำใจเล็กน้อยของหลาน ขอให้คุณมีความสุขตลอดเวลา สุขภาพแข็งแรงสมปรารถนา”
หลี่จั่นคุณชายตระกูลหลี่สวมสูทเชิ้ตสีขาว หวีผมจนเป็นเงา สง่างามเป็นธรรมชาติ เป็นบุคคลที่มีลักษณะท่าทางกิริยางดงาม!
“ขอบคุณความตั้งใจของเสี่ยวหลี่ คนกันเองทั้งนั้น ทำไมต้องฟุ่มเฟือยขนาดนี้” คุณย่าเจียงยิ้มไม่หุบ คนแก่ผ่านอะไรมามากมาย เธอจะไม่รู้เจตนาของหลี่จั่นได้อย่างไร
ตระกูลหลี่และตระกูลเจียง เดิมก็มีการแต่งงานกันอยู่แล้ว บวกกับเรื่องน่ายินดีอีกเรื่อง แน่นอนว่าเป็นเรื่องน่ายินดีที่เกิดขึ้นติดกัน
“คุณย่า วันนี้ผมอยากคุยเรื่องแต่งงาน” หลี่จั่นเดินเข้ามาในห้องโถง คำนับคุณย่าเจียงแล้วเอ่ยขึ้น
เป็นไปตามคาด!
แขกมากมายในห้องโถงหันไปมองข้างนอก นอกจากนั้นเด็กสาวของตระกูลเจียง ก็หันมองซ้ายมองขวาแล้วซุบซิบ ไม่รู้ใครคือผู้โชคดีที่คุณชายหลี่ชอบ
แม้ตระกูลหลี่เหมือนตระกูลเจียง เป็นเพียงตระกูลอันดับกลางในซงไห่ แต่ถ้าพูดเรื่องกำลังทรัพย์โดยรวม กลับเหนือกว่าตระกูลเจียงอยู่นิดหน่อย ยังไงก็เป็นตระกูลร่ำรวย แต่งไปต้องมีความมั่งคั่งไม่รู้จักหมดสิ้นแน่นอน
“เสี่ยวหลี่ นายคงไม่ได้ชอบเยว่เสี่ยของเราใช่ไหม” คุณย่าเจียงยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น
เจียงเยว่เสี่ย ลูกสาวคนเดียวของพี่รองตระกูลเจียง นอกจากเจียงเยว่ถงแล้ว เธอก็เป็นคนสวยที่สุดในบรรดาคนอายุน้อยของตระกูลเจียงแล้ว
พี่คนรองของตระกูลเจียง ตายเพราะอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อ 20 กว่าปีก่อน เหลือลูกสาวเพียงคนเดียวอย่างเจียงเยว่เสี่ย ตอนเจียงเยว่เสี่ยอายุสิบกว่าปี แม่ของเธอพาไปอเมริกา และแม่ของเธอได้สามีเป็นคนเชื้อสายจีนที่อเมริกา
ยังไงคนที่ห่างไกลจากบ้าน ก็ต้องกลับภูมิลำเนา ไม่ว่าอย่างไรเจียงเยว่เสี่ยก็แซ่เจียง เมื่อห้าปีก่อน เธอกลับจากอเมริกาหลังเรียนจบ รับหน้าที่เป็นผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ ของบริษัทโฆษณาใหญ่ที่สุดของตระกูลเจียง เก่งเป็นอย่างมาก
เจียงเยว่เสี่ยเกิดในครอบครัวเลี้ยงเดี่ยว นิสัยจึงแตกต่าง หน้าตาสวย แต่นิสัยเย็นชาเย่อหยิ่ง และด้วยเหตุนี้ หนุ่มหล่อที่ตามจีบเธอจึงมีเป็นจำนวนมาก ในนั้นมีคุณชายตระกูลใหญ่ไม่น้อยเหมือนกัน
แต่เธอในวัย 29 ปี ตอนนี้ยังโสดเหมือนเดิม
คุณย่าเจียงรู้สึกติดค้างในใจกับเจียงเยว่เสี่ยมาตลอด ดูแลและรักเธอเป็นอย่างมาก แค่เธอไม่ชอบ ก็ไม่เคยบังคับ
แน่นอนว่าในนี้มีความเห็นแก่ตัวของเธอด้วย บุตรสาวที่แต่งงานออกไปแล้ว ก็เหมือนน้ำที่สาดออกไป คุณสมบัติก็ไม่เหมือนกันแล้ว หัวสมองธุรกิจทางด้านสร้างสรรค์โฆษณาของเจียงเยว่เสี่ยดีมาก ก่อนหน้านี้ตระกูลเจียงต้องการทำความร่วมมือกับว่านเซียง มูวี หลายต่อหลายครั้ง ความมั่นใจใหญ่สุดก็คือเจียงเยว่เสี่ย!
แต่ถ้าคุณชายตระกูลหลี่ถูกใจเยว่เสี่ยจริงๆ ก็ไม่มีอะไร เพราะความสัมพันธ์ของสองตระกูล ก็สนิทกันเหมือนตระกูลเดียวกันมานานแล้ว
เมื่อคุณย่าเจียงพูดจบ ทำให้เจียงเยว่เสี่ยหน้าแดงระเรื่อ ใบหน้ามีเสน่ห์กับออร่าเย็นชาเย่อหยิ่ง ทำให้คนหนุ่มในงานจำนวนไม่น้อยมองจนเคลิ้ม
ส่วนหลี่จั่นที่ยืนอยู่หน้าประตูห้องโถง มองจนน้ำลายเกือบไหลออกมา เขารีบพยักหน้าพูดอย่างตื่นเต้น “คุณย่าเจียงแววตาเฉียบแหลม ผมรักเจียงเยว่เสี่ยมานานแล้ว คุณย่าเจียงได้โปรดทำให้สมปรารถนาด้วย”
พรึ่บ!
สายตาของทุกคน หันไปมองที่เจียงเยว่เสี่ยทั้งหมด!
ตอนนี้เจียงเยว่เสี่ยยืนอยู่ข้างหน้าครอบครัวของพวกฉินเฟย ฉินเฟยมองหลี่จั่นที่มาขอแต่งงานแวบหนึ่ง ถ้าจำไม่ผิด ตอนที่พวกเขาเพิ่งมา คนที่พูดซุบซิบกันตระกูลอื่น พูดไม่ดีกับครอบครัวพวกเขา ก็คือไอ้หมอนี่!
นิสัยของคนคนนี้มีปัญหา
“น่าเสียดาย” หันไปมองคนที่เป็นจุดสนใจอย่างเจียงเยว่เสี่ยอีกครั้ง ฉินเฟยพึมพำออกมาเบาๆ ถ้าเจียงเยว่เสี่ยตอบตกลงจริงๆ คงน่าเสียดายสาวงามคนนี้มาก
“เสียดายอะไร ไอ้สวะพึมพำอะไรอยู่ข้างหลัง” หลี่จั่นแววตาคมกริบ เห็นฉินเฟยส่ายหน้าถอนหายใจอยู่ด้านหลัง ก็โกรธจากหลายๆ เรื่อง แม้เจียงเยว่เสี่ยไม่ได้มีพ่อกับแม่อยู่พร้อมหน้า แต่หน้าตาสวยมาก โดยเฉพาะความเย็นเย่อหยิ่งของเธอ ขนาดหลี่จั่นยังน้อยเนื้อต่ำใจโดยไม่รู้ตัว การที่ฉินเฟยส่ายหน้าถอนหายใจ ทำให้เขาเหมือนแมวโดนเหยียบหาง ชี้ฉินเฟยแล้วตะโกนออกมา
ฉินเฟยยิ้มบางๆ ไม่สนใจเสียงตะโกนของหลี่จั่น ไม่รอให้พูด เจียงเยว่เสี่ยเงยหน้าขึ้นพูด “คุณย่า เรื่องแต่งงาน หนูอยากคิดให้ดีก่อน”
“ใช่ๆ เรื่องใหญ่แบบนี้ เยว่เสี่ยจะคิดก็สมเหตุสมผลแล้ว” หลี่จั่นรู้ว่ายั้งสติไม่อยู่ จึงรีบพูดออกมา ขณะเดียวกันก็แอบถลึงตาใส่ฉินเฟย โทษไอ้หมอนี่เลย!
เจียงเยว่เสี่ยพยักหน้าเบาๆ สีหน้าราบเรียบ เย็นชาเล็กน้อย อันที่จริงเธอปฏิเสธหลี่จั่นไปแล้ว แต่ตอนนี้คนเยอะ พูดตรงๆ ไม่ได้ แม้หลี่จั่นพื้นฐานครอบครัวดี มีความจริงใจมากพอ แต่จิตใจคับแคบ เหมือนเด็กที่โดนโอ๋จนเสียคน ไม่ใช่สไตล์ที่ตัวเองชอบ
คุณย่าเจียงรู้ดีแก่ใจ หัวเราะแล้วพูดว่า “เสี่ยวหลี่ รอจบงานเลี้ยงวันเกิด เราสองตระกูลค่อยปรึกษากันเรื่องแต่งงานนะ”

วิลล่าตระกูลเจียง!
พวกคนสำคัญของตระกูลเจียง สีหน้าไม่สู้ดี เจียงเฉิงเย่เอาแต่ก่นด่าออกมา บอกว่าเจียงเยว่ถงจิตใจเหี้ยมโหดเยี่ยงหมาป่า อุตส่าห์ไว้หน้าแต่ก็ไม่เอา คุณย่าเจียงก็สีหน้าอึมครึมจนน่ากลัว
ใครก็ไม่คาดคิด เจียงเยว่ถงที่เชื่อฟังมาตลอดจะกล้าปฏิเสธคุณย่า!
ไม่นาน คุณย่าส่งเจียงลั่วฝานไปเจรจาต่อที่ว่านเซียง มูวี
เจียงลั่วฝานก็เป็นคนที่โดดเด่นในบรรดาคนอายุน้อยของตระกูลเจียง พรสวรรค์ด้านธุรกิจไม่เลวเลย
ผลปรากฏว่าไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เจียงลั่วฝานโทรมา เขายังไม่ทันเขาประตูบริษัท เมื่ออีกฝ่ายได้ยินว่าเป็นคนตระกูลเจียง ก็โดนรปภ.ตะเพิดออกมาทันที!
ครั้งนี้คุณย่าเจียงตื่นตระหนกไปหมดแล้ว!
“คุณย่า ผมรู้ความคิดของเจียงเยว่ถง เธอโทษเรื่องที่เราขายบริษัทฉีแยของเธอ หรือเราจะไปซื้อกลับมา……” เจียงเฉิงเย่ฉลาดมาก แป๊บเดียวก็เดาความคิดของเจียงเยว่ถงได้ แต่อารมณ์ไม่ค่อยดีเท่านั้น
คุณย่าเจียงมองเจียงเฉิงเย่แวบหนึ่ง เธอไม่ได้พูดอะไร ถือเป็นการตกลงไปโดยปริยาย
“ผมจะขอร้องเธอ แค่เธอยอมไปเจรจาความร่วมมือที่ว่านเซียง มูวี ผมจะซื้อบริษัทฉีแยกลับมาให้เธอ” เจียงเฉิงเย่กัดฟันอย่างโกรธแค้น แต่กลับแสยะยิ้มในใจไม่หยุด ผู้หญิงความคิดตื้นเขิน แค่บริษัทเสื้อผ้าเล็กๆ แห่งหนึ่งเท่านั้น
“ได้ ลูกผู้ชายยืดได้หดได้ เฉิงเย่ ทำได้ดี!” แววตาคุณย่าเจียงเป็นประกาย ชื่นชมการกระทำของเจียงเฉิงเย่มาก
พวกคนสำคัญของตระกูลเจียงที่อยู่ข้างๆ ก็พยักหน้าไม่หยุด คิดว่าเจียงเฉิงเย่ตั้งใจคำนึงถึงสถานการณ์โดยรวมของตระกูลเจียง เรื่องนี้เจียงเฉิงเย่ทำได้ดีมาก ส่วนเรื่องที่จะฉวยโอกาสบีบบังคับเจียงเยว่ถง เพราะความคิดตื้นเขิน คงไม่สามารถเป็นอัจฉริยะได้
“ฮัลโหล” ริมแม่น้ำซงไห่ เสียงประหลาดของเจียงเยว่ถงดังขึ้น
“เจียงเยว่ถง ฉันรู้ว่าเธอคิดยังไง เรื่องนี้คุณย่าตกลงแล้ว แค่เธอไปเจรจาที่ว่านเซียง มูวี ฉันจะไปซื้อบริษัทฉีแยคืนให้เธอ” เจียงเฉิงเย่พูดในโทรศัพท์
“คราวนี้เธอคงไปเจรจาความร่วมมือที่ว่านเซียง มูวี ได้แล้วใช่ไหม”
เจียงเยว่ถงอดมองฉินเฟยที่อยู่ข้างๆ ไม่ได้ เธอรู้สึกตกใจเล็กน้อย แต่ก็พูดว่า “ตอนนี้สายแล้ว พรุ่งนี้ฉันขอไปเตรียมของที่บริษัทฉีแยก่อน แล้วค่อยไปว่านเซียง มูวี”
เมื่อวางสาย เจียงเยว่ถงเงยหน้าขึ้น ฉินเฟยที่อยู่ตรงข้ามยกนิ้วโป้งให้เธอ
แม้คำพูดของเจียงเยว่ถงฟังดูอ่อนโยน แต่แฝงไปด้วยอำนาจแข็งแกร่ง ถ้าไม่ใช่คนโง่ก็จะฟังเข้าใจว่า ถ้าอยากให้เธอไปเจรจาความร่วมมือที่ว่านเซียง มูวีก็ได้นะ แต่เธอต้องเห็นบริษัทฉีแยก่อนวันพรุ่งนี้!
ฉินเฟยแอบขำในใจ เดาว่าตอนนี้เจียงเฉิงเย่คงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟแล้วมั้ง
เจียงเยว่ถงเม้มปากขำ เธอไม่คิดว่าความต้องการของตัวเองเกินไป เธอแค่อยากเอาสิ่งที่เป็นของตัวเองคืนเท่านั้น!
“เฉิงเย่ ต้องทำเรื่องนี้ให้สำเร็จนะ ตระกูลซุนเป็นตระกูลใหญ่ เราทำลายสัญญาก่อน ต้องถ่อมตัวหน่อย ไม่มีอะไรมากไปกว่าการที่เราใช้เงินมากหน่อย” คุณย่าเจียงพูดปลอบใจ
“ผมรู้ คุณย่าวางใจเถอะ” เจียงเฉิงเย่พยักหน้าจริงจัง ความมั่นใจเต็มเปี่ยม ในใจยิ่งรู้สึกได้ใจ
เขาไม่เชื่อว่าให้ราคาสองเท่า อีกฝ่ายจะไม่ขาย เพราะเดิมทีบริษัทฉีแยก็ไม่ได้มีกำไรเท่าไร แค่เจียงเยว่ถงไปเจรจาความร่วมมือครั้งนี้ ที่ว่านเซียง มูวี อย่างตรงไปตรงมา ตระกูลเจียงมีโอกาสกลายเป็นตระกูลอันดับต้นๆ ของซงไห่ทันที
ส่วนตัวเองได้รับหน้าที่สำคัญจากคุณย่า ถ้าครั้งนี้สร้างความดีความชอบครั้งใหญ่ ต่อไปตระกูลเจียง ก็เป็นของเขาแต่เพียงผู้เดียว!
ส่วนบริษัทฉีแยน่ะเหรอ เหอะๆ……
เห็นเจียงเฉิงเย่ออกไปด้วยความมั่นใจเป็นร้อยเท่า คุณย่าเจียงพยักหน้าชื่นชม พูดอย่างทอดถอนใจว่า “ถ้าคนตระกูลเจียงเป็นเหมือนเฉิงเย่ทุกคน ถึงฉันตายก็ไม่มีอะไรต้องกังวลใจแล้ว”
“คุณย่า วันนี้เป็นวันเกิดของคุณ พูดอะไรไร้สาระ อีกอย่างตระกูลเจียงของเรา มีเฉิงเย่คนเดียวก็พอแล้ว!” มีคนพูดขึ้นมาข้างๆ
“ใช่ๆ เวลาปกติพวกนายก็เรียนรู้จากเฉิงเย่เยอะๆ ตอนนี้เขารู้เดียงสาขึ้นเรื่อยๆ แล้ว มีความเป็นเจ้าบ้าน” คุณย่าเจียงเต็มไปด้วยความปลาบปลื้ม
……
หลังผ่านไปชั่วโมงครึ่ง ฟ้าค่อยๆ มืดลง วิลล่าตระกูลเจียงสว่างไสว เต็มไปด้วยความยินดีปรีดา!
แต่ในห้องหนังสือชั้นสองของวิลล่า บรรยากาศกลับเต็มไปด้วยความกดดัน
คุณย่าเจียงนั่งหน้าอึมครึมอยู่ตรงกลาง เจียงเฉิงเย่ไม่ใช่แค่ใบหน้าเศร้าโศก หน้าตายังบวมฟกช้ำดำเขียว บนตัวมีรอยเท้าสิบกว่าร้อย เห็นได้ชัดว่าโดนคนซัดมาอย่างหนัก!
ซงไห่มีสี่ตระกูลใหญ่ ได้แก่ ตระกูลฮั่ว ตระกูลหลิ่ว ตระกูลซู และตระกูลซุน แม้ตระกูลซุนอยู่อันดับสุดท้าย แต่ยังไงก็เป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ แข็งแกร่งกว่าตระกูลที่มีอำนาจอันดับต้นๆ มาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตระกูลเล็กๆ อย่างตระกูลเจียง
แต่ยังไงคนต้องพูดกันด้วยเหตุผล ใครก็คงคิดไม่ถึง เจียงเฉิงเย่จะไปเอาบริษัทฉีแยคืน ไม่เพียงแต่โดนปฏิเสธ กลับโดนซัดจนอ่วมด้วย!
“เฉิงเย่……นี่ นี่มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมตระกูลซุนถึงทำร้ายนาย” คุณย่าเจียงพูดอย่างร้อนใจ
“คุณย่า ผม……ผมคิดไม่ถึงเลยว่าตระกูลซุนจะไร้เหตุผลขนาดนี้” เจียงเฉิงเย่ร้องไห้น้ำหูน้ำตาไหล เต็มไปด้วยความน้อยใจ
“ถึงพวกเขาไม่ขายกลับ ก็ค่อยหาวิธีอีก ทำไมถึงทำร้ายนายล่ะ”
“คุณย่า ผม ผม……ผมผิดเอง ผมไร้ความสามารถ ผมไร้ประโยชน์ ผม……” เจียงเฉิงเย่คุกเข่าดัง ‘ตุ้บ’ ร้องไห้อย่างคับข้องใจ เขายกมือขึ้นตบหน้าตัวเองสองครั้ง
“เฉิงเย่ นายทำอะไร รีบลุกขึ้นมา มีอะไรค่อยๆ พูดกัน เกิดอะไรขึ้นกันแน่” คุณย่าเจียงพูดอย่างร้อนใจ
“ผม ผม เซ็นเอกสารซื้อขายเขาหลีเสวี่ย……”
“อะไรนะ” คุณย่าเจียงอึ้งไป ตัวสั่นอย่างแรง
“คนตระกูลซุนบีบบังคับผม พวกเขาบอกว่าถ้าผมไม่เซ็น จะทำให้แขนผมพิการข้างหนึ่ง แถมยังพูดว่าผมเป็นฝ่ายมายั่วโมโห ถ้าไปสถานีตำรวจพวกเขาก็บอกได้ พวกเขากล้าทำให้ผมพิการจริงๆ ผม ผมขอโทษครับคุณย่า เป็นความผิดผมเอง ฮือๆ……” เจียงเฉิงเย่คุกเข่าลงบนพื้น พูดน้ำตานองหน้า ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดผวา
“เท่า……เท่าไร ตระกูลซุนเก็บเงินเท่าไร” คุณย่าเจียงถามด้วยความตกใจ
“สอง……สองแสนห้า” เสียงเจียงเย่เฉิงเบาเหมือนยุง
“อะไรนะ” คุณย่าเจียงเบิกตาโตทั้งสองข้าง แววตาเต็มไปด้วยความตกตะลึง
เขาหลีเสวี่ยเป็นสิ่งที่ตระกูลเจียงซื้อไว้เมื่อ 20 ปีก่อน มูลค่าซื้อขายคือสองแสนห้า แต่ตอนนี้ผ่านไป 20 กว่าปี แม้เขาหลีเสวี่ยยังไม่ได้บุกเบิกพัฒนา แต่อยู่ใกล้ซงไห่ มูลค่าของมันไม่สามารถประเมินได้ อย่างน้อยก็ต้องประมาณพันล้าน
นี่ถือเป็นสินทรัพย์ถาวรที่ใหญ่ที่สุดของตระกูลเจียง
เมื่อ 20 ปีก่อน เขาหลีเสวี่ยยังเป็นที่แห้งแล้ง ส่วนการที่ซื้อไว้ เพราะหลุมฝังศพของบรรพบุรุษตระกูลเจียงอยู่ที่เขาหลีเสวี่ย แต่คิดไม่ถึงว่าประเทศพัฒนาเร็วมาก เมืองซงไห่พัฒนาไปรอบๆ เขาหลีเสวี่ยก็กลายเป็นพื้นที่ล้ำค่ามาก!
เดิมเมื่อหลายปีก่อนตระกูลเจียงจะย้ายหลุมฝังศพ จึงเชิญผู้อาวุโสที่ดูฮวงจุ้ยมา แต่ผู้อาวุโสแนะนำว่าอย่าย้ายหลุมศพจะดีที่สุด บอกว่าที่นี่หลังพิงภูเขาใหญ่ ด้านหน้าใกล้ทะเลใหญ่ เป็นทำเลดีที่หาได้ยาก ฝังบรรพบุรุษตระกูลเจียงไว้ที่นี่ จะสร้างโลกแสนสุขส่งต่อลูกหลาน!
ถ้าไม่ใช่เพราะตระกูลเจียงจำเป็นต้องใช้เงินก้อนใหญ่เพื่อลงทุนพัฒนา คุณย่าเจียงก็ไม่เอาออกมาขายหรอก
แต่เธอไม่คิดไม่ฝันเลยว่าตระกูลซุน จะซื้อเขาหลีเสวี่ยด้วยเงินสองแสนห้า อีกทั้งยังบีบบังคับให้เจียงเฉิงเย่เซ็นเอกสารซื้อขายอีกด้วย!
“คุณย่า พวกเขารังแกคนอื่นเกินไปแล้ว ทำไงดี ทำไงดีครับ” เจียงเฉิงเย่ร้องห่มร้องไห้
“ไม่เป็นไร โฉนดเขาหลีเสวี่ยอยู่ในมือฉัน เอกสารซื้อขายที่นายเซ็นถือว่าไม่เป็นผล” คุณย่าเจียงพูดอย่างราบเรียบ
แม้เอกสารซื้อขายไม่เป็นผล แต่มีเรื่องหนึ่งอยู่ตรงหน้า นั่นก็คือตระกูลซุนจะแตกหักกับตระกูลเจียง เพราะที่ผืนนี้ เหมือนตระกูลซุนก็รู้ว่าเอกสารซื้อขายที่เจียงเฉิงเย่เซ็นไม่เป็นผล แต่พวกเขาก็ยังทำแบบนี้
เหตุผลคืออยากใช้สิ่งนี้บอกคุณย่าเจียงว่าพวกเขาชอบเขาหลีเสวี่ย อีกทั้งไม่เสียดายที่ต้องแตกหักกับตระกูลเจียง
“รังแกคนอื่นเกินไปแล้ว รังแกคนอื่นเกินไปจริงๆ!” คุณย่าเจียงตบโต๊ะอย่างแรง โมโหจนตัวสั่นไปหมด
“ตระกูลซุนเป็นสุนัขรับใช้ของตระกูลฮั่ว! พวกเขายังพูดว่า จะโทษก็โทษที่ตระกูลเจียงของเราไปล่วงเกินคนที่ไม่ควรล่วงเกิน” เจียงเฉิงเย่เช็ดน้ำมูกแล้วเอ่ยขึ้น “ผมว่าแล้วฮั่วจงเหยียนไม่จบไม่สิ้นหรอก เจียงเยว่ถงคนต่ำตม แล้วก็ไอ้สวะฉินเฟยนั่นด้วย เป็นเพราะพวกมันทั้งหมด!”
คุณย่าเจียงหลับตาอย่างเหนื่อยล้า ก่อนหน้านี้ตอนฮั่วจงเหยียนบังคับเจียงเยว่ถงแต่งงาน การที่เธอตกลงและประนีประนอม เพราะคิดถึงจุดนี้
เธอรู้ว่าฮั่วจงเหยียนต้องแก้แค้นแน่นอน แต่คิดไม่ถึงว่าจะเร็วและไม่เหลือทางหนีทีไล่ขนาดนี้!
ส่วนตระกูลฮั่ว ตระกูลเจียงธรรมดาๆ ไม่มีคุณสมบัติให้พวกเขาลงมือ แบบนี้จะทำให้พวกเขาดูต่ำลง
แค่ตระกูลซุน ก็ทำให้พวกเขาเหนื่อยจนหายใจไม่ทันแล้ว!
“ก๊อก ก๊อก……”
ขณะนั้นประตูห้องหนังสือโดนเคาะ ทันใดนั้นมีเสียงเด็กผู้หญิงดังขึ้น “คุณย่าอยู่ข้างในไหมคะ”
“มีอะไร”
คุณย่าเจียงทำท่าบอกให้เจียงเฉิงเย่เงียบ แล้วถามขึ้น
เจียงเฉิงเย่โดนตระกูลซุนซัดจนฟกช้ำดำเขียว น่าเวทนามาก เขากลัวคนอื่นเห็น จึงเข้ามาทางประตูหลังวิลล่า จึงมีคนรู้น้อยมาก
“คุณย่า เวลาพอประมาณแล้ว มีแขกมาอวยพรวันเกิดคุณย่าที่ตระกูลเจียงแล้ว คุณเฟิ่งซวงกำลังต้อนรับอยู่ด้านนอก เธอให้ฉันมาเรียกคุณลงไปค่ะ” เด็กผู้หญิงเอ่ยขึ้น
“อืม ฉันรู้แล้ว” คุณย่าเจียงส่งเสียงตอบ มองเจียงเฉิงเย่แวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “นายไปจัดการตัวเอง หลังงานเลี้ยงค่อยปรึกษากัน”
พูดพลาง คุณย่าเจียงลุกขึ้นยืนหลังค่อม ทำให้ยิ่งดูแก่เข้าไปอีก
……
หมู่บ้านเทียนหลัน
เพราะวันนี้เป็นวันเกิดครบรอบ 70 ปีของคุณย่า เจียงเยว่ถงกับฉินเฟยกลับบ้านไปเปลี่ยนเสื้อผ้า
ฉินเฟยสวมสูทอยู่แล้ว จึงรอที่ห้องรับแขกด้านนอก ผ่านไปไม่นาน เจียงเยว่ถงที่แต่งตัวเล็กน้อย เดินออกมาจากห้องนอน ฉินเฟยเงยหน้ามอง ดวงตาเป็นประกายทันที
ตอนเจียงเยว่ถงอยู่ในห้องนอนประมาณครึ่งชั่วโมง ใบหน้างดงามถูกแต่งแต้มอย่างประณีต สวมเดรสเข้ารูป ส่วนเว้าส่วนโค้งที่น่าประทับใจ ทำให้คนหลงใหลเป็นพิเศษ
ฉินเฟยมองแล้วอดเคลิ้มไม่ได้ จินตนาการในใจ ไม่รู้ตอนไหนถึงจะดึงผ้าปิดหน้าของเธอออกได้
สัมผัสถึงแววตาเคลิ้มของฉินเฟยที่มองมาทางตัวเอง เจียงเยว่ถงเม้มปาก แต่แปลกที่เธอไม่โกรธ
“การกระทำของเราในวันนี้ ต้องทำให้คุณย่าไม่พอใจ เมื่อถึงตอนนั้นเจียงเฉิงเย่อาจพูดไม่ดี รวมถึงแม่ฉันด้วย นายไม่ต้องถือสานะ” เจียงเยว่ถงลังเลครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยขึ้น
“ผมชินแล้ว” ฉินเฟยยิ้มอย่างไม่สนใจ
เจียงเยว่ถงในตอนนี้ ทำให้เขาประทับใจ
ดวงตาคู่สวยของเจียงเยว่ถง อดมองมาที่ฉินเฟยไม่ได้ พูดตามตรง เธอเรียนรู้อะไรจากฉินเฟยเยอะมาก แต่แค่ไม่เคยพูดถึงเท่านั้น
สามปีมานี้ ฉินเฟยเจอการดูหมิ่นและทำให้อับอายมาตั้งเท่าไร เธอจำไว้ในใจทั้งหมด แต่ถึงเป็นแบบนั้น ฉินเฟยก็ยังอดทนต่อความยากลำบากและเสียงวิพากษ์วิจารณ์ สามปีเต็มๆ ไม่มีบ่นสักคำ
เธอยากจะจินตนาการว่าฉินเฟยทนมาได้ยังไง ถ้าเป็นคนอื่น คงทรุดไปนานแล้ว!
เจียงเยว่ถงรู้สึกนับถือหรือไม่ก็ศรัทธา ในความมองโลกในแง่ดีของฉินเฟย ถึงขนาดที่เวลาเธอเจอความยากลำบาก บางครั้งเธออดคิดถึงฉินเฟยขึ้นมาไม่ได้ สามีที่ตัวเองยังเข้าใจว่าเป็นคนไม่เอาไหน เขายังทนได้ ทำไมตัวเองจะทนไม่ได้ล่ะ
เขาเจอการดูหมิ่นและทำให้อับอาย แต่ก็ยังดูแลบ้านอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ทำให้ตัวเองไม่ต้องกังวลใจเรื่องในบ้าน มุ่งมั่นกับการทำงาน ตอนนี้ไม่มีบริษัทฉีแยแล้ว แต่ฉินเฟยก็เป็นคนช่วยเรียกร้องมันคืนให้เธอ!
“เอ่อ สามปีมานี้ ลำบากนายแย่เลย” เจียงเยว่ถงพูดเสียงเบาเหมือนยุง พูดจบก็อดหน้าแดงไม่ได้
เธอหน้าบาง เธอพูดคำพูดแบบนี้ยากมาก
ฉินเฟยอึ้งไปอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเงยหน้ามอง เจียงเยว่ถงหลบสายตา
“อันที่จริงคนที่ลำบากที่สุดคือคุณ คุณดีเลิศขนาดนี้ แต่กลับแต่งกับคนไม่เอาไหนแบบผม คุณเจอการดูถูกและเยาะเย้ยมากกว่าผมเสียอีก”
“นายรู้ก็ดี นี่ก็สายแล้ว เราควรไปกันได้แล้ว” บรรยากาศแบบนี้ทำให้เจียงเยว่ถงรู้สึกไม่ชิน
ฉินเฟยมองแผ่นหลังนิ่มนวลงดงามของเจียงเยว่ถง ลำคอขาวดุจหิมะ สีแดงระเรื่อขึ้นมาที่ใบหู ทำให้คนหวั่นไหวเป็นพิเศษ
ฉินเฟยรู้สึกถึงความอบอุ่นทะลักขึ้นในใจ แทบอยากจะพุ่งเข้าไปกอดเจียงเยว่ถง……

ระหว่างทางกลับว่านเซียง มูวี ฉินเฟยรับสายโทรศัพท์ของเจียงเยว่ถง
แต่หลังจากที่ฉินเฟยรับ คนที่อยู่ปลายสายอย่างเจียงเยว่ถงเอาแต่เงียบ ไม่พูดอะไรสักคำ
ถ้าไม่ได้ยินเสียงลมหายใจเบาๆ ของเจียงเยว่ถง ฉินเฟยคงเข้าใจว่าเธอโทรผิด
แต่ฉินเฟยรู้เรื่องที่บริษัทฉีแยกำลังจะเปลี่ยนเจ้าของ รู้ว่าตอนนี้จิตใจของเจียงเยว่ถงต้องไม่ดีเป็นอย่างมาก
เขาก็ไม่ได้พูดอะไรเหมือนกัน
เจียงเยว่ถงยืนอยู่หน้าลานอาคารเยี่ยหลัน ถือมือถืออยู่เงียบๆ บริษัทฉีแยเปลี่ยนเจ้าของแล้ว เธอโดนไล่ออกจากบริษัทแล้ว!
เธอยืนอยู่ในลานกว้างที่คนเดินไปมาพลุกพล่าน จู่ๆ อยากโทรหาฉินเฟย แต่เมื่อโทรติดก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร
แต่งงานมาสามปี จู่ๆ เจียงเยว่ถงพบว่าตัวเองไม่ได้คุ้นเคยกับฉินเฟยขนาดนั้น ไม่รู้จะพูดอะไรเหมือนกัน แค่อยากโทรหาเขาเฉยๆ
“นายอยู่ไหน” เงียบอยู่นาน จู่ๆ เจียงเยว่ถงเอ่ยขึ้น
“เอ่อ……ถนนวินรุ่ย ผมเพิ่งเอาของขวัญของคุณย่ามา” ฉินเฟยพูด ตอนนี้ไม่รู้อารมณ์ของเจียงเยว่ถง จึงไม่กล้าพูดอะไรมาก
“มารับฉันหน่อย ฉันอยากรับลม ฉันอยากไปดูทะเล” เจียงเยว่ถงเอ่ยขึ้น
ฉินเฟยจับมือถืออย่างประหลาดใจ ดูทะเลเหรอ ซงไห่มีทะเลที่ไหนกันล่ะ เจียงเยว่ถงโมโหจนเลอะเลือนไปแล้วเหรอ
แม้จะงงเล็กน้อย แต่ฉินเฟยก็รีบตอบว่า “คุณรอผมที่บริษัท ผมจะไปรับคุณ”
“ได้” เจียงเยว่ถงวางสาย ยิ้มขมขื่นมุมปาก เธอไม่มีบริษัทแล้ว
ความคิดของเจียงเยว่ถงล่องลอยไปมา จู่เธอคิดถึงโจวเซี่ยงเฉียนขึ้นมา โจวเซี่ยงเฉียนก็เสียบริษัทไปเมื่อสองสามวันก่อน……
ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เธอกดโทรหาเบอร์ของโจวเซี่ยงเฉียน
“ฮัลโหล เยว่ถงเหรอ” เสียงสัญญาณดังอยู่หลายครั้ง กว่าจะมีคนรับสาย เสียงโจวเซี่ยงเฉียนดูตกใจเล็กน้อย คิดไม่ถึงเลยว่าเจียงเยว่ถงจะเป็นฝ่ายโทรหาเขา
“อืม ขอบคุณที่นายชอบมาหลายปี นายมีเวลาเมื่อไร ฉันจะเอากระโปรง The chanrm of heaven คืนให้” เจียงเยว่ถงเอ่ยขึ้น
เธอไม่รู้ว่าโจวเซี่ยงเฉียนไปเอาเงินมาจากไหนเยอะแยะ เพื่อซื้อกระโปรงThe chanrm of heaven ตัวนั้น แต่เธอคิดว่าจำเป็นต้องคืนให้เขา อย่างน้อยก็แลกเป็นเงินกลับมาได้ ส่วนเรื่องระหว่างเธอกับเขา เป็นไปไม่ได้เลย ถึงเจียงเยว่ถงหย่า ก็ไม่สามารถยอมรับโจวเซี่ยงเฉียนได้
ยิ่งไปกว่านั้น เธอไม่ได้คิดหย่า
“The chanrm of heaven เหรอ กระโปรง กระโปรงอะไร” เสียงของโจวเซี่ยงเฉียนดูงุนงง
“หืม กระโปรง The chanrm of heaven ตัวนั้น นายไม่ได้ส่งให้ฉันเหรอ” เจียงเยว่ถงขมวดคิ้วทันที เสียงดูประหลาดใจ “ฉันไม่ได้ส่งThe chanrm of heaven อะไรนั่นให้เธอนะ ก่อนหน้านี้ In Love ที่เป็นของปลอม โดนสามีแสนดีของเธอโยนไปแล้วไม่ใช่เหรอ เหอะๆ” โจวเซี่ยงเฉียนพูดอย่างขมขื่น
เมื่อวางสาย เจียงเยว่ถงขมวดคิ้วแน่น โจวเซี่ยงเฉียนไม่ได้ส่ง The chanrm of heaven ตัวนั้นมาเหรอ
แต่ว่า……จะเป็นใครได้อีกล่ะ
เจียงเยว่ถงรู้สึกงงไปหมด
ตอนฉินเฟยรีบขี่รถมาถึงอาคารเยี่ยหลัน เห็นจากไกลๆ ว่าเจียงเยว่ถงยืนรออยู่ที่ลานอาคารเยี่ยหลัน เธอสวมชุดยูนิฟอร์มกระโปรงสีดำ ไม่ได้สวมถุงน่อง เรียวขายาวดึงดูดคนเป็นพิเศษ
ฉินเฟยหยุดรถแล้วโบกมือทักทาย เห็นเจียงเยว่ถงเดินคิ้วขมวดมาหาตัวเอง
สภาพของเจียงเยว่ถงดูไม่ค่อยดีอย่างเห็นได้ชัด เหมือนไม่เจอวันเดียว เธอซูบลงไปเยอะ
ตัวตนของเจียงเยว่ถงนั้นร้อนแรงอย่างไม่ต้องสงสัย อีกทั้งยังเป็นแบบที่ฉินเฟยชอบที่สุด รูปร่างของเจียงเยว่ถงไม่ได้ผอมบางและสูงโปร่ง แต่เป็นแบบที่เซ็กซี่ มีน้ำมีนวลเล็กน้อย เขาชอบผู้หญิงมีน้ำมีนวล แต่ตอนนี้เหมือนเจียงเยว่ถงผอมลง ผอมแห้งซีดเซียว เหมือนลมพัดเบาๆ ก็ทำให้เธอล้มได้
ฉินเฟยรีบถอดสูทออก คลุมบนตัวเจียงเยว่ถงอย่างห้าวหาญ
เดิมคิดว่าเจียงเยว่ถงจะปฏิเสธ และรังเกียจว่าเขาสกปรก โดยเฉพาะตอนนี้เธออารมณ์ไม่ดี แต่เจียงเยว่ถงไม่พูดอะไรซึ่งเห็นได้ยาก ปล่อยให้ตัวเองคลุมสูทให้เธอ
เจียงเยว่ถงมองฉินเฟยแวบหนึ่ง เขาไม่ได้พูดอะไร การที่เขาไม่พูด กลับทำให้เจียงเยว่ถงรู้สึกสบายใจนิดหน่อย
ยื่นมือเล็กๆ ออกมาติดกระดุมสูท รูปร่างงดงามอยู่ภายใต้สูทใหญ่ เธอเงยหน้ามองฉินเฟยแล้วพูดว่า “ลงรถ”
“หา?” ฉินเฟยเงยหน้าอย่างตกใจ ยังเข้าใจว่าตัวเองฟังผิด
“ไปนั่งข้างหลัง ฉันจะขี่” เสียงเจียงเยว่ถงเผด็จการ
เธออยากรับลม
“เอ่อ……คุณขี่เป็นเหรอ……” ฉินเฟยลังเล เห็นเจียงเยว่ถงขมวดคิ้ว เขารีบหุบปากอย่างรู้งาน และลงรถอย่างว่าง่าย
เจียงเยว่ถงขี่รถไฟฟ้า เป้าหมายคือริมแม่น้ำซงไห่
แต่ไม่นานเธอก็รู้สึกเสียใจแล้ว เพราะไอ้เลวฉินเฟยที่อยู่ด้านหลัง กอดเอวของเธอ!
……
ริมแม่น้ำซงไห่ เจียงเยว่ถงนั่งเงียบๆ บนเก้าอี้ยาว บ่ายสี่โมงกว่า พระอาทิตย์กำลังจะตกดิน แสงอาทิตย์ยามเย็น ตรงขอบฟ้า ทำให้ผิวน้ำระยิบระยับ สะท้อนสีแดงที่แตกต่าง
เจียงเยว่ถงเหม่อลอย จู่ๆ เสียงมือถือดังขึ้น แต่เมื่อมองหน้าจอ เจียงเยว่ถงตกใจทันที
คุณย่าโทรมางั้นเหรอ
เจียงเยว่ถงต้องตกใจอยู่แล้ว คุณย่าเจียงยุ่งมากทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ของตระกูลเจียง เธอต้องไปจัดการด้วยตัวเอง คนที่ติดต่อกับคุณย่าบ่อยๆ ล้วนเป็นผู้อาวุโสของตระกูลเจียง รวมไปถึงเจียงเฉิงเย่ที่คุณย่ารักมาก
ส่วนเจียงเยว่ถง หนึ่งปีก็ไม่แน่ว่าจะได้รับสายจากคุณย่า
โดยเฉพาะวันนี้ยังเป็นวันครบรอบวันเกิดของคุณย่า แม้ยังไม่ถึงเวลางานเลี้ยงตอนเย็น แต่คุณย่าน่าจะยุ่งมากไม่ใช่หรือไง
“คุณย่า” แม้ในใจสงสัย แต่เจียงเยว่ถงก็กดรับสาย
“เสี่ยวถงใช่ไหม”
เสียงคุณย่าดังออกมาจากมือถือ
อันที่จริงคุณย่าก็ไม่ค่อยเต็มใจเป็นฝ่ายโทรหาเจียงเยว่ถงสักเท่าไร แต่ตอนนี้จนปัญญา ว่านเซียง มูวีบอกว่าเขารู้จักแค่เจียงเยว่ถงคนเดียว
“เสี่ยวถง ย่าอยากขอร้องแกเรื่องหนึ่ง……” คุณย่าเจียงพูดขึ้นอีกครั้ง น้ำเสียงจริงใจมาก
เมื่อพูดประโยคนี้ออกมา จู่ๆ เจียงเยว่ถงตะลึงเล็กน้อย คุณย่าจัดการเรื่องใหญ่มาหลายปี ท่าทางแข็งกร้าวมาโดยตลอด เคยใช้น้ำเสียงแบบนี้พูดกับเด็กที่ไหนกันล่ะ โดยเฉพาะกับเจียงเยว่ถง ในบรรดาคนอายุน้อยในตระกูลเจียง ฐานะของเธอต่ำมาก
คิ้วสวยของเจียงเยว่ถงขมวดเล็กน้อย อดมองฉินเฟยที่อยู่ข้างๆ ที่มองมาอย่างแปลกใจเช่นกัน เธอกดเปิดลำโพงแล้วพูดว่า “คุณย่า มีเรื่องอะไรคุณพูดมาตรงๆ ได้เลย”
“เสี่ยวถง……” คุณย่าลังเลครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “ย่ารู้ว่าทำเรื่องผิดต่อแก แต่ย่าก็หมดหนทางเหมือนกัน ฉันอยากให้แกไปเจรจาที่ว่านเซียง มูวี ให้เราลงทุน”
เจียงเยว่ถงขมวดคิ้วอีกครั้ง ก่อนหน้านี้คุณย่ามอบหน้าที่นี้ให้เจียงเฉิงเย่แล้ว ทำไมตอนนี้ถึงกลับมา ‘ขอร้อง’ ให้ตัวเองไปเจรจาอีกล่ะ
ขณะนั้น เจียงเยว่ถงรู้สึกแน่นตรงมือ ฉินเฟยจับข้อมือเธอไว้ ตามมาด้วยเสียงเบาๆ ของฉินเฟย “บอกว่าเธออารมณ์ไม่ดี ขี้เกียจทำอะไร! ปฏิเสธเธอ!!”
เจียงเยว่ถงเงยหน้ามองฉินเฟยอย่างตกใจ จู่ๆ เธอไม่รู้จะคิดยังไง พูดใส่มือถือว่า “คุณย่า ในเมื่อคุณมอบหน้าที่ให้เจียงเฉิงเย่แล้ว ก็ให้เขาไปเจรจาเถอะ ฉันเหนื่อยนิดหน่อย ไม่อยากไป”
“แก!” คุณย่าเจียงโมโหจนเกือบกระอักเลือดออกมา “เสี่ยวถง แกพูดอะไร นี่แกกำลังตำหนิฉันเหรอ แกคิดว่าตระกูลเจียงไม่มีแก แล้วจะไม่มีวิธีทำความร่วมมือกับว่านเซียง มูวีเหรอ แกคิดว่าปีกกล้าขาแข็งแล้วใช่ไหม”
เจียงเยว่ถงขบริมฝีปาก แล้วพูดออกมาตรงๆ “คุณย่า ฉันเหนื่อยแล้ว แต่คืนนี้ฉันจะไปอวยพรวันเกิดคุณย่า งั้นแค่นี้นะ ฉันวางสายก่อน”
ถ้าเป็นเมื่อก่อน เจียงเยว่ถงไม่มีทางกล้าพูดแบบนี้กับคุณย่าแน่นอน แต่ตอนนี้เธออารมณ์ไม่ดีจริงๆ ในเมื่อคุณย่าเจียงให้เจียงเฉิงเย่สละบริษัทฉีแยของเธอออก บวกกับเมื่อวานเธอเห็นอะไรที่เรียกว่าคนตระกูลเจียงอย่างชัดเจน
บวกกันสองด้าน รวมถึงที่ฉินเฟยเพิ่งเตือนเข้าเมื่อกี้ เธอจึงทำตามที่เขาบอกอย่างไม่รู้ตัว
“ทำไมต้องปฏิเสธล่ะ” เมื่อวางสาย เจียงเยว่ถงเงยหน้ามองฉินเฟย
“เพราะเธอจะขอร้องคุณ คุณย่ากับเจียงเฉิงเย่ฉลาดขนาดนี้ อยากให้คุณจัดการ ต้องเอาอะไรมาแลกอยู่แล้ว” ฉินเฟยยิ้มอย่างมั่นใจ
“คุณวางใจเถอะ นอกจากคุณ ว่านเซียง มูวีไม่รู้จักใครทั้งนั้น เชื่อผม”
ครั้งนี้เจียงเยว่ถงตกใจจริงๆ
ดวงตาคู่สวยจ้องฉินเฟยเขม็ง ดวงตาสวยวูบไหว จู่ๆ นึกถึงตอนไปว่านเซียง มูวีขึ้นมาได้ เลขาหลิ่วเมิ่งบอกว่ารองประธานเสิ่น ไม่ได้มีผู้ช่วยฉินอะไรนั่น
“ที่ว่านเซียง มูวี นาย นายเป็นใครกันแน่”
ในใจฉินเฟยเกิดเสียง ‘ตุ้บ’ ถอนหายใจด้วยความเศร้า แต่งงานกับภรรยาฉลาดก็เหนื่อยมากเหมือนกัน
ฉินเฟยอดยื่นมือออกมาจับมือเจียงเยว่ถงไม่ได้ พูดด้วยใบหน้าจริงจังและลึกซึ้ง “คุณภรรยา พูดตามตรง อันที่จริงประธานลึกลับของว่านเซียง มูวีคือผมเอง สามีของคุณไม่ใช่แค่คุณชายตระกูลใหญ่ ยังรวยมากด้วย มีเงินเยอะ!!”
เจียงเยว่ถงใบหน้าเย็นชา สะบัดมือปลาหมึกของฉินเฟยออกอย่างแรง “ไสหัวไปทางนั้นเลย ฉันไม่มีอารมณ์เล่นกับนาย”
ฉินเฟยแอบขำในใจ พูดในใจว่า: ผมไม่ได้หลอกคุณนะ พูดความจริงกับคุณ แต่คุณไม่เชื่อ จะโทษผมไม่ได้
“วางใจเถอะ อีกไม่นานบริษัทฉีแยของคุณก็จะกลับมาแล้ว เชื่อผมสิ” ฉินเฟยยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น
เมื่อได้ยินสามคำสุดท้าย ความรู้สึกปลอดภัยผุดขึ้นในใจเจียงเยว่ถงอย่างไม่สามารถอธิบายได้
จู่ๆ เธอเข้าใจแล้ว เข้าใจความหมายของฉินเฟย เขาจะบีบให้คุณย่าเจียงเอาบริษัทฉีแยคืนกลับมาให้เธอ
ส่วนคำพูดที่ฉินเฟยบอกให้เธอพูดเมื่อกี้ ไม่ใช่คำพูดไร้สาระ เธอบอกว่าเธอเหนื่อย ไม่อยากไป เป็นการบอกชัดเจนว่า: คุณขายบริษัทฉัน ฉันไม่พอใจ!
ส่วนว่านเซียง มูวีดันรู้จักแค่ตัวเอง งั้นวิธีแก้ปัญหาเพียงอย่างเดียว ก็คือมาง้อให้ตัวเองมีความสุข
แต่เมื่อวกหัวข้อสนทนามา ฉินเฟยทำได้ยังไง ทำไมว่านเซียง มูวี ถึงรู้จักตัวเองคนเดียว
“ฉินเฟย นายทำได้ยังไง นายกับรองประธานเสิ่น……” ดวงตาทั้งสองข้างของเจียงเยว่ถงจ้องเขม็งไปที่ฉินเฟย
ในเมื่อฉินเฟยไม่ใช่ประธานลึกลับคนนั้น งั้นเขาต้องจ่ายด้วยอะไร หรือไม่ก็มีความสัมพันธ์พิเศษกับรองประธานเสิ่น ไม่งั้นทำไมรองประธานเสิ่นถึงดูแลแบบนี้ตลอด
มองแววตาคู่สวย ที่วูบไหวของเจียงเยว่ถง ฉินเฟยเข้าใจความหมายของเธอทันที เขาพูดด้วยสีหน้าเศร้า “คุณภรรยา คุณกำลังคิดอะไรเหรอ คุณคิดว่าสามีคุณเป็นเทพบุตรเหรอ”
มองสีหน้าถูกใส่ความจนรันทดอดสูของฉินเฟย เจียงเยว่ถงกัดริมฝีปากแน่น ก็เข้าใจขึ้นมา ประธานเสิ่นเป็นถึงใคร ไม่เพียงแต่จะรวยและสวย กลิ่นของผู้หญิงที่แผ่ออกมา ขนาดตัวเองยังอิจฉาแทบแย่ แค่เธอกวักมือ ไม่รู้มีผู้ชายตั้งเท่าไรยอมบุกน้ำลุยไฟเพื่อเธอ จะฟังคำพูดของฉินเฟยได้ยังไง
เมื่อคิดออกแล้ว เจียงเยว่ถงรู้สึกว่าความคิดของตัวเองเมื่อครู่ ปัญญาอ่อนมาก พูดด้วยหน้าแดงระเรื่อว่า “งั้นต่อไปฉันควรทำยังไง”
เจียงเยว่ถงก็ไม่รู้ตัวเหมือนกันว่า ฉินเฟยกลายมาเป็นคนสำคัญของตัวเองตั้งแต่เมื่อไร
“ตอนนี้คุณควรคิดว่า ถ้าผมทำเรื่องนี้ให้คุณสำเร็จ คุณจะตอบแทนผมยังไง” ฉินเฟยพูดอย่างได้ใจ คางคกขึ้นวอ
“มีการขอสิ่งตอบแทนจากภรรยาตัวเองด้วยเหรอ” เจียงเยว่ถงพูดอย่างโมโห แต่เมื่อพูดจบก็รู้สึกผิดปกติ หน้าแดงระเรื่อขึ้นมาทันที

เพิ่งวางสายจากเจียงเยว่ถง ขณะนั้นเสียงมือถือของฉินเฟยดังขึ้นอีกครั้ง เป็นเบอร์ของรองประธานเสิ่นเจียเหวิน
ฉินเฟยกดรับสาย พูดด้วยสีหน้าเหนื่อยใจ “รองประธานเสิ่น ผมเพิ่งออกมาแป๊บเดียว อย่าบอกนะว่ามีเรื่องที่บริษัทอีก อีกทั้งคืนนี้ผมยังมีเรื่องสำคัญด้วย ผมไม่กลับบริษัทแล้ว”
“ประธานฉิน ฉันไม่รู้จะพูดเรื่องนี้ดีไหม” เสิ่นเจียเหวินพูดลังเลอยู่ปลายสาย
“ทำไม” ฉินเฟยรู้สึกสงสัย ผู้หญิงที่มีเสน่ห์เซ็กซี่ยั่วยวนอย่างเสิ่นเจียเหวิน อายขึ้นมาได้ด้วยเหรอ
“จะพูดก็พูด” ฉินเฟยพูดแบบเหนื่อยใจ
“เมื่อกี้ประธานเจียง เจียงเยว่ถงมาหาฉัน บริษัทฉีแยของเธอจะยกเลิกสัญญากับเรา และยอมชดใช้ค่ายกเลิกสัญญาหนึ่งล้าน” เสิ่นเจียเหวินพูดออกมาตรงๆ
“ยกเลิกสัญญาเหรอ ทำไมล่ะ” ฉินเฟยพูดอย่างตกใจ สีหน้าเต็มไปด้วยความตกตะลึง
“คุณไม่รู้เรื่องนี้เหรอ” น้ำเสียงของเสิ่นเจียเหวินดูตกตะลึง วุ่นจนเบลอไปหมด จากการคาดเดาของเธอ ความสัมพันธ์ของฉินเฟยกับเจียงเยว่ถงต้องไม่ธรรมดาแน่นอน แต่คิดไม่ถึงว่าฉินเฟยจะไม่รู้เรื่องนี้จริงๆ
“ถ้าผมรู้จะถามคุณเหรอ” น้ำเสียงของฉินเฟยดูมีความร้อนใจ เจียงเยว่ถงเจอเรื่องอะไรกันแน่ ทำไมต้องยกเลิกสัญญา
แววตาวูบไหว เขานึกถึงที่คุยกับเจียงเยว่ถงเมื่อกี้ขึ้นมาได้ ในโทรศัพท์ยังถือว่าเจียงเยว่ถงพูดปกติ มีเสียงทุ้มเพียงเล็กน้อย เขานึกว่าเจียงเยว่ถงทำงานเหนื่อยเกินไป
“เอ่อ……แค่กแค่ก เหมือนจะเป็นความผิดของฉัน” น้ำเสียงเสิ่นเจียเหวินดูกระอักกระอ่วน “คือว่า……”
ฟังคำอธิบายของเสิ่นเจียเหวินจนจบ ฉินเฟยรู้สาเหตุในนั้นทันที และรู้ว่าทำไมเมื่อคืนเจียงเยว่ถงถึงโดนฮั่วจงเหยียนรังแก
ที่แท้เสิ่นเจียเหวินจงใจสร้างความดีความชอบให้เจียงเยว่ถง ส่วนแบ่งการลงทุนถ่ายทำ《เคสประหลาด2》 ของว่านเซียง มูวีให้เจียงเยว่ถง แน่นอนว่าเจียงเยว่ถงรับไว้ไม่ได้ จึงผลักไปให้ตระกูลเจียง
แต่ตระกูลเจียงไม่ได้มีเงินทุนอยู่เยอะขนาดนั้น จึงมาหาฮั่วจงเหยียน และเกิดเรื่องเมื่อวานขึ้น ปัจจุบันบริษัทฉีแยก็ยกเลิกสัญญากับว่านเซียง มูวีเหมือนกัน!
ตระกูลเจียงสูญเสียนักลงทุนใหญ่อย่างฮั่วจงเหยียนไปแล้ว ก็ไม่อยากเสียโอกาสปันส่วนการลงทุนของหนัง《เคสประหลาด2》 จึงคิดเรื่องขายทรัพย์สินของตระกูล และบริษัทฉีแยของเจียงเยว่ถงโชคร้ายที่ถูกเลือก
เมื่อวานเกิดเรื่องขึ้นเยอะขนาดนั้น ตอนนี้ฉินเฟยเพิ่งพบว่าวนไปวนมาตั้งนาน ล้วนเป็นหายนะที่เกิดขึ้นจากหนัง《เคสประหลาด2》!
มิน่าล่ะในโทรศัพท์เสิ่นเจียเหวินถึงดูไม่สบายใจแปลกๆ ไม่มีเสน่ห์และน่ารักเหมือนก่อนหน้านี้
ฉินเฟยหัวเราะอย่างขมขื่น ที่แท้เสิ่นเจียเหวินแค่หวังดี อันที่จริงก็ไม่ใช่ความผิดของเธอ
“อืม ผมรู้แล้ว คุณเซ็นยกเลิกสัญญาหรือยัง” ฉินเฟยถาม
“ยัง แต่ถ้าบริษัทฉีแยเปลี่ยนเจ้าของจริงๆ ฉันว่าคุณก็คงไม่อยากทำความร่วมมือด้วยแล้วใช่ไหม” เสิ่นเจียเหวินถามอย่างชาญฉลาด
“แน่นอน” ฉินเฟยพยักหน้า แต่แววตาดูร้อนรน แต่งงานมาสามปี เขารู้ดีว่าบริษัทฉีแยมีความหมายอย่างไรต่อเจียงเยว่ถง ถ้าบริษัทเปลี่ยนเจ้าของจริงๆ ฉินเฟยยากจะจินตนาการ ว่านี่จะเป็นการโจมตีหนักขนาดไหนต่อเจียงเยว่ถง
แม้ความสามารถของตัวเองในตอนนี้ เจียงเยว่ถงจะไม่ทำงานก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าให้เธอเอาแต่เบื่ออยู่บ้าน เธอต้องบ้าแน่นอน!
“ใช่สิ เจียงเฉิงเย่ตระกูลเจียงเพิ่งมาคุยเรื่องลงทุน《เคสประหลาด2》กับเราเมื่อกี้ คุณคิดยังไง” เสิ่นเจียเหวินฟังออกว่าฉินเฟยไม่สบายใจ จึงถามอย่างระวัง
“บอกให้เขาไสหัวไป!”
“อีกอย่าง ไม่ว่าตระกูลเจียงส่งใครมาเจรจาความร่วมมือ ก็แสดงท่าทีแบบนี้ด้วย เว้นเสียแต่จะเป็นเจียงเยว่ถง” ฉินเฟยพูดอย่างเย็นชา
เสิ่นเจียเหวินรู้สึกว่าน้ำเสียงของฉินเฟยผิดปกติ จึงไม่กล้าล้อเล่นตอนนี้ เธอพูดเสียงขรึมว่า “ฉันเข้าใจแล้ว”
บริษัทฉีแย
เจียงเยว่ถงนั่งเงียบอยู่ในห้องทำงาน มองพนักงานพูดคุยกันเบาๆ ด้านนอกผ่านกระจกมองด้านเดียว ทรมานใจเหมือนโดนเข็มทิ่ม
วันนี้ตอนเที่ยง เธอประกาศเรื่องนี้แล้ว พนักงานบริษัทรู้แล้วว่าบริษัทฉีแยจะเปลี่ยนเจ้าของ
แต่สิ่งเดียวที่ทำให้เธอปลื้มใจคือ หลังจากเธอประกาศเรื่องนี้ พนักงานส่วนใหญ่ต่างแสดงออกว่าถ้าเจียงเยว่ถงไปแล้ว พวกเขาก็ไปเหมือนกัน เจียงเยว่ถงไปไหน พวกเขาก็ไปด้วย!
เจียงเยว่ถงตกใจเล็กน้อย แต่ที่มากกว่านั้นคือความซาบซึ้งใจ!
เธอคิดไม่ถึงว่าตัวเองจะทำให้คนมีความคิดเหมือนกันได้ขนาดนี้ บางทีนี่อาจเป็นผลของความพยายามในหลายปีนี้ ตัวเองก้าวข้ามผ่านอุปสรรคแต่ละครั้งไปพร้อมกับพนักงาน จึงได้รับความเชื่อถือ!
แต่ตัวเองออกจากที่นี่แล้วจะไปไหนได้อีก พนักงานเยอะขนาดนี้ตามตัวเองไป เชื่อถือตัวเอง ตัวเองก็ต้องให้พวกเขาได้กิน อย่างน้อยก็ให้พวกเขาได้อยู่ในเมืองนี้ต่อไป แรงกดดันแบบนี้ กดดันจนเธอหายใจไม่สะดวกแล้ว
เจียงเยว่ถงมองไปข้างนอกเงียบๆ เหมือนอาลัยอาวรณ์ อาลัยอาวรณ์ทุกที่ ทุกช่วงเวลาของที่นี่ บางทีอีกเดี๋ยว ที่นี่จะไม่ใช่ของตัวเองอีกแล้ว…..
“ตริ๊งง……” ขณะนั้น เสียงมือถือดังขึ้น
เจียงเยว่ถงขยับมือ หลุดออกจากภวังค์ เมื่อก้มมอง เป็นเบอร์ของเจียงเฉิงเย่
“ฮัลโหล” เจียงเยว่ถงรับสาย กัดริมฝีปากแน่น
“ตระกูลซุนยอมให้ราคาห้าล้าน รับช่วงต่อบริษัทฉีแย ฉันรับปากไปแล้ว ทนายของพวกเขาจะมาถึงอีกสิบนาที เธอดำเนินเรื่องเอกสารกับพวกเขา ส่วนเธอ พรุ่งนี้ไปรายงานตัวที่บริษัทเจียงเย่ โฆษณา เป็นเลขาของหัวหน้าฝ่ายโฆษณาไปก่อน มันไม่ค่อยยุติธรรมกับเธอนิดหน่อย เหอะๆ ค่อยๆ ไปทีละก้าวไง……”
ได้ยินเสียง “ตู๊ด ตู๊ด” ของมือถือ เจียงเยว่ถงกัดริมฝีปากจนเลือดจะไหลออกมาแล้ว
ตอนนี้เธอแทบจะทรุดจริงๆ
การที่เธอเพิ่งไปยกเลิกสัญญาที่ว่านเซียง มูวีตอนบ่าย เพราะเธอครุ่นคิดมาหนึ่งวัน ก็หาวิธีแก้ไขเรื่องนี้มาได้เลยสักวิธี
จนปัญญา เธอไม่รู้ควรทำยังไง!
มีเพียงความสิ้นหวัง!
……
ด้านนอกประตูห้องทำงานรองประธานว่านเซียง มูวี เจียงเฉิงเย่เก็บมือถือ แล้วรออย่างนอบน้อม
นี่เป็นความร่วมมือที่เจียงเยว่ถงเจรจาได้แท้ๆ แต่ตอนนี้คุณย่ายกความดีความชอบให้ตัวเอง! ให้ตัวเองมาเจรจากับว่านเซียง มูวี ฮ่าๆ!
《เคสประหลาด2》 ทำเงินได้แน่นอน อีกทั้งยังทำเงินได้มหาศาลด้วย เขาพอจินตนาการได้ว่าตระกูลเจียงจะลืมตาอ้าปากได้ด้วยสิ่งนี้ เป็นตระกูลอันดับต้นๆ ของเมืองซงไห่อย่างรวดเร็ว อีกทั้งเพราะความดีความชอบอันยิ่งใหญ่นี้ หลังจากผ่านไปไม่กี่ปี อำนาจใหญ่ทั้งหมดในตระกูลเจียง จะตกอยู่ในมือเขา!
รอคอยด้วยความวิตกกังวล ในที่สุดประตูก็เปิดออก หลิ่วเมิ่งเดินบนส้นสูงออกมา มองเจียงเฉิงเย่แล้วเผยยิ้มธุรกิจออกมาบางๆ “คุณเจียง”
เจียงเฉิงเย่มองหลิ่วเมิ่งอย่างประเมิน มิน่าล่ะว่านเซียง มูวี ถึงเป็นธุรกิจระดับสูง คิดไม่ถึงเลย แม้แต่เลขาของรองประธานยังสวยขนาดนี้
“ผู้ช่วยหลิ่ว” เจียงเฉิงเย่เดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มเต็มใบหน้า “รองประธานเสิ่นว่ายังไงครับ เราเซ็นสัญญาการตอนไหนดีครับ”
“ขอโทษด้วยค่ะคุณเจียง” ใบหน้าหลิ่วเมิ่งยังมีรอยยิ้มเหมือนเดิม “รองประธานของเราบอกว่าให้คุณไสหัวไป ว่านเซียง มูวี จะไม่ร่วมมืออะไรกับตระกูลเจียงอีก!”
“อะไรนะ!?” เจียงเฉิงเย่ตะโกนออกมา โกรธจนลูกตาทั้งสองข้างจะหลุดออกมา แต่อยากจะโวยวายก็ไม่กล้าโวยวาย!
ที่นี่คือว่านเซียง มูวี อย่าว่าแต่เขาเลย ทั้งตระกูลเจียงก็ไม่มีทางหาเรื่องได้!
เขาฝืนยิ้มออกมาเล็กน้อย ยิ้มน่าเกลียดกว่าร้องไห้เสียอีก “ทำไม บริษัทคุณมีอะไรเข้าใจผิดตระกูลเจียงของเราหรือเปล่า ก่อนหน้านี้ประธานเจียง เจียงเยว่ถงเจรจากับบริษัทคุณเรียบร้อยแล้วไม่ใช่เหรอ”
“แล้วทำไมคนที่มาครั้งนี้คือคุณล่ะ” หลิ่วเมิ่งยิ้มบางๆ “ประธานเสิ่นบอกแล้ว คนตระกูลเจียง เธอต้อนรับแค่ประธานเจียง เจียงเยว่ถงคนเดียวเท่านั้น ถ้าคุณยังเซ้าซี้……”
พูดพลาง จู่ๆ หลิ่วเมิ่งโบกมือขาว รปภ.สองสามคนพุ่งเข้ามา ยกเจียงเฉิงเย่ออกไปทันที……
วิลล่าตระกูลเจียง
วันนี้เป็นวันเกิดครบรอบ 70 ปีของเธอ แต่เธอไม่มีความสุขเลยสักนิด ดื่มชาอึกใหญ่ ลูบอกตัวเองไปมาไม่หยุด
“นาย นายว่าอะไรนะ” คุณย่าเจียงมองเจียงเฉิงเย่แล้วเอ่ยขึ้น
“คุณย่า ว่านเซียง มูวี บอกว่ายกเลิกความร่วมมือการลงทุนกับเรา” เจียงเฉิงเย่พูดน้ำหูน้ำตาไหล “พวกเขายังให้ผมไสหัวกลับมา ให้รปภ.หามผมออกมาด้วย……”
“คุณย่า ว่านเซียง มูวีเป็นอะไรไป ทำไมพูดกลับไปกลับมาตลอด เราจ่ายไปตั้งเยอะเพื่อการลงทุนครั้งนี้ ตอนนี้มาบอกยกเลิกก็ยกเลิกเหรอ” สาวงามคนหนึ่งของตระกูลเจียงเอ่ยขึ้น
“ใช่ คุณย่า เราเซ็นหนังสือแสดงเจตจำนงลงทุนไปแล้ว ตอนนี้พวกเขามายุติความร่วมมือกะทันหัน มันฝ่าฝืนเงื่อนไขในสัญญาไม่ใช่เหรอ อีกอย่างเรายังไม่ได้พูดว่าจะลงทุนเท่าไร เราเตรียมจะลงทุน 600 ล้านเชียวนะ……” เจียงเฉิงเย่พูดด้วยความโมโห
เงินลงทุน 800 ล้าน นี่เป็นเงินออมเกือบทั้งหมดของตระกูลเจียง และรายได้จากการขายทรัพย์สินมากมาย เขารู้สึกว่าแค่ความจริงใจนี้ ก็ไม่รู้จะซาบซึ้งยังไงแล้ว แต่กลับไม่สามารถทำให้ว่านเซียง มูวีซาบซึ้งได้
แถมยังให้เขาไสหัวไปอีก
คุณย่าเจียงฟังจนมีสีหน้าโมโห ตระกูลเจียงขายทรัพย์สินเยอะขนาดนี้ เพราะเธอตอบตกลง อันที่จริงหัวใจของเธอเจ็บปวดมาก แต่เพื่ออนาคตที่ดียิ่งขึ้นของตระกูลเจียง เธอต้องทำแบบนี้
“เฉิงเย่ ว่านเซียง มูวียังพูดอะไรอีกไหม” คุณย่าเจียงอดถามไม่ได้ “เมื่อวานเสี่ยวถงเอาหนังสือแสดงเจตจำนงความร่วมมือการลงทุนกลับมาแล้ว ไม่ใช่ของปลอมด้วย ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็เป็นบริษัทใหญ่ คงไม่ยุติความร่วมมือโดยไม่มีสาเหตุหรอก นายเย่อหยิ่งเกินไปหรือเปล่า ล่วงเกินเขาหรือเปล่า”
“เย่อหยิ่งเหรอ พูดอย่างซื่อสัตย์เลยนะคุณย่า ผมไม่ได้เย่อหยิ่งเลย!” เจียงเฉิงเย่อยากร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตา แม้เขาชอบทำตัวอวดเก่ง แต่ก็มีสมอง รู้ความแตกต่างระหว่างพวกเขากับว่านเซียง มูวี เขาถ่อมตัวเหมือนไอ้กระจอกแล้ว เกือบตะโกนเรียกเลขาของว่านเซียง มูวีว่าคุณผู้หญิงแล้วด้วยซ้ำ
“คุณย่า ว่านเซียง มูวีบอกว่า ความร่วมมือก่อนหน้านี้เป็นเจียงเยว่ถง รองประธานเสิ่นของพวกเขารู้จักแค่เจียงเยว่ถง”
“นี่……”
คนในนี้หลายสิบคน ล้วนเป็นกำลังหลักของตระกูลเจียง ตอนนี้ต่างมองหน้ากัน ต่างฝ่ายต่างเห็นความตกตะลึงของอีกฝ่าย
รู้จักแค่เจียงเยว่ถงงั้นเหรอ
เจียงเยว่ถงมีดียังไง! เพราะเธอสวยเหรอ แต่ได้ยินว่ารองประธานเสิ่นก็เป็นผู้หญิงนิ ส่วนบริษัทฉีแยที่เจียงเยว่ถงจัดการบริหารอยู่ เป็นบริษัทท้ายๆ ในบรรดาบริษัทมากมายของตระกูลเจียง เจียงเยว่ถงมีความสามารถอะไร ถึงทำให้ว่านเซียง มูวี จำเธอได้แค่คนเดียว

“ผู้ช่วยฉินงั้นหรือ?ผู้ช่วยฉินที่ไหน?”
พอเห็นสีหน้าที่แปลกใจของหลิ่มเมิ่ง เจียงเยว่ถงก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย อธิบายไปว่า ก็ผู้ช่วยฉินที่มาพร้อมกับรองประธานเสิ่นเมื่อครั้งก่อนที่ฉันมาไงคะ
“เขาไม่ใช่ผู้ช่วยอะไรหรอกค่ะ” หลิ่มเมิ่งสีหน้าแปลกใจ พอกำลังจะอธิบายไป ก็นึกถึงเรื่องที่หัวหน้าสั่งเมื่อครั้งก่อน ว่าไม่ให้พนักงานคนไหนเปิดเผยความลับของประธานฉินต่อคนภายนอก
“ไม่ใช่ผู้ชาวยอย่างนั้นหรือ?” เจียงเยว่ถงอึ้งไปอีกครั้ง คิ้วสวยๆ ของเธอก็ขมวดอีกครั้ง
หลิ่มเมิ่งอ้าปาก คิดจะอธิบายไปแต่ก็ไม่กล้า ตอนนี้เหมือนขึ้นหลังเสือแล้วลงยาก เธอแทบจะร้องไห้แล้ว
“ประธานเจียง คุณมาก็ไม่บอกกันล่วงหน้าเลยนะคะ” ในตอนนี้เอง เสียงของเสิ่นเจียเหวินก็ดังขึ้นมาด้านหลัง
พอเห็นว่ามีคนมาช่วยแล้ว ใบหน้าเล็กๆ ที่ลำบากใจของหลิ่มเมิ่งก็เป็นประกายขึ้นมา เลยรีบเปลี่ยนเรื่องคุย “ประธานเจียงมาหาท่านประธานน่ะค่ะ แต่ว่าท่านไม่อยู่ ฉันก็เลยให้นั่งรออยู่ในห้องทำงานไปก่อน”
“อืม เธอออกไปก่อน” เสิ่นเจียเหวินยิ้มพยักหน้า
หลิ่มเมิ่งก็เหมือนได้รอดตัวไป รีบวิ่งออกไปทันที
“ประธานเจียง เชิญนั่งค่ะ ” เสิ่นเจียเหวินผายมือเชิญ แล้วก็นั่งลงก่อน เงยหน้ามองใบหน้าสวยๆ ของเจียงเยว่ถงที่แม้แต่เธอก็ยังอิจฉา ในใจก็ยิ่งสงสัยความสัมพันธ์ของฉินเฟยกับเจียงเยว่ถง แล้วยิ้มพูดไปว่า “ไม่ทราบว่าประธานเจียงมาครั้งนี้มีอะไรจะสั่งการหรือเปล่า?”
“รองประธานเสิ่น คุณก็อย่าล้อฉันเล่นเลยค่ะ” เจียงเยว่ถงพยายามยิ้มออกมา แล้วก็พูดอย่างลำบากใจว่า “ต้องขอโทษด้วยนะคะ เกรงว่าฉันคงจะต้องผิดสัญญาแล้ว เพราะบริษัทฉีแยจะเปลี่ยนเจ้าของแล้ว…”
……
ณ โรงน้ำชาปั้นเยี่ยที่ถนนหยานซี
ฉินเฟยลงจากมอเตอร์ไซต์ไฟฟ้า เดินเข้าไปยังร้านน้ำชานั้น แต่ก็ไม่เจอตาแก่คนนั้น ด้านในไม่มีใครเลย จากนั้นเขาก็รีบวิ่งไปดูที่สองฝั่งข้างประตูร้าน ก็ไม่เห็นเงาของตาแก่คนนั้นเลย
ฉันเฟยก็มายืนรู้สึกเสียดายที่หน้าประตู โทษตนเองที่ตอนนี้รีบกลับไปหน่อย แถมยังสงสัยกับคำพูดของตาแก่คนนั้นอีกด้วย แต่พอเมื่อวานที่ตนเองสู้กับฮั่วจงเหยียน ก็ได้สัมผัสกับพลังของยาเชื่อมสวรรค์เม็ดนั้นแล้ว
ในใจครุ่นคิดไป ถ้าสามารถดูดซับพลังของยาเชื่อมสวรรค์ได้ทั้งหมดล่ะก็ เราจะเก่งได้สักแค่ไหน?จะเก่งเกินมนุษย์ไปได้เลยไหม?
รู้อย่างนี้คงขอเบอร์โทรหรือไม่ก็วีแชทของตาแก่คนนั้นไว้
ในตอนนี้เอง ฉินเฟยก็เห็นคนแก่สวมเสื้อผ้าสีขาวคนหนึ่ง ชุดเหมือนจะเป็นชุดของพ่อครัวใส่ ที่อกซ้ายมีโลโก้ของโรงน้ำชาปั้นเยี่ย ตอนนี้เขากำลังลากถังขยะใบใหญ่เดินเข้ามา ตัวเล็กกว่าถังขยะนั้นเยอะเลย ไม่ใช่ตาแก่คนนั้นแล้วจะเป็นใครไปได้เล่า?
ฉินเฟยก็มองด้วยสีหน้าแปลกใจอย่างมาก เดิมทีนึกว่าตาแก่คนนี้เป็นยอดฝีมือที่ไหนสักแห่ง คิดไม่ว่าจะเป็นพ่อครัว แถมยังมาทิ้งขยะอีก?
“คุณลุงครับ ผมหาลุงเจอสักที่” ถึงแม้ในใจจะรู้สึกแปลกๆ แต่ฉินเฟยก็มีสีหน้าตื่นเต้น ในที่สุดตอนนี้เขาก็ได้ออกมาขอร้องให้คนช่วยเหลือ
“อ้าว?ไอ้หนุ่ม เอ็งมาสักทีนะ” ตาแก่เงยหน้ามองฉินเฟย แล้วก็จำได้ทันที
“ฮ่าๆ คิดไม่ถึงว่าคุณลุงมีความสามารถมากมาย แถมยังเป็นพ่อครัวอีกด้วยนะครับ” ฉินเฟยพูดน้ำเสียงแปลกๆ พูดชื่นชมอย่างเสแสร้ง
“พ่อครัวอะไรกัน?เอ็งตาบอดหรือไง?นี่เป็นโรงน้ำชา จะเอาพ่อครัวมาทำไม?นี่เรียกว่าอาจารย์ชงชา เอ็งไม่รู้เรื่องเอาเสียเลยนะ!” ตาแก่มองฉินเฟยอย่างไม่สบอารมณ์ แล้วพูดไม่พอใจว่า “เข้ามาเลย”
พอเข้าโรงน้ำชาไป ฉินเฟยก็หาที่นั่ง แล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “คุณลุงเป็นเจ้าของที่นี่หรือครับ?”
“ไม่เหมือนหรือไง?” ตาแก่เอาผ้าปัดขี้ฝุ่นบนตัวตนเอง แล้วก็เดินเข้ามา
“ฮ่าๆ เอ็งนี่ก็สายตาดีไม่เบา มาเยี่ยมก็ยังรู้จักซื้อของติดไม้ติดมือมาฝากด้วย แต่ว่านะ นอกจากยาเชื่อมสวรรค์แล้ว ตาแก่อย่างฉันไม่ขาดแคลนสิ่งใดหรอก” ตาแก่มองกล่องไม้ที่ดูเก่าๆ บนโต๊ะ หัวเราะออกมา แต่ก็หยิบขึ้นมาด้วย
ให้ตายสิ!
พอได้ยิน ฉินเฟยแทบจะเป็นลม แล้วก็ยื่นมือไปแย่งกล่องไม้นั้นกลับมา “อันนี้ไม่ได้เอามาให้ลุงครับ ลุงคิดมากไปแล้ว”
แต่ไม่คิดว่า ตาแก่จะมีท่าทางแปลกๆ เขาเอามือหลบการแย่งของฉินเฟยไปได้ แล้วใช้หัวแม่มือดันเปิดกล่องออก
ตอนที่เขาได้เห็นหยกหัวแม่มือในกล่องนั้น สีหน้าก็อึ้งไปทันที แล้วก็มีเงาดำพาดผ่าน ฉินเฟยเคลื่อนตัวเข้าไปแย่งกลับมา แล้วพูดว่า “ลุงนี่ทำไมถึงไม่มีมารยาทเลย?ผมบอกแล้วว่าไม่ได้เอามาให้ลุง”
“เหอะ คิดว่าอยากได้หรือไง ก็แค่หยกหัวแม่มือโง่ๆ ข้าเซียวเฟิ่งกางมีของล้ำค่ามากมาย” ตาแก่เบ้ปากพูด “เอาของมาหรือยัง?”
“เอ่อ” ฉินเฟยก็เอายาเชื่อมสวรรค์ที่ใส่ขวดหยกปิดปากด้วยขี้ผึ้งออกมาจากกระเป๋ากางเกง แล้วก็โยนให้ตาแก่
ตาแก่ตกใจ รีบรับไว้ทันที แล้วก็พูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “เอ็งนี่นะ ระวังหน่อยไม่ได้หรือไง?ถ้าตกแตกไปจะชดใช้ไหวหรือไง?”
ฉินเฟยก็หมดคำพูด “……”
“ฮ่าๆ คุณลุง ของที่อยากได้ผมก็เอามาให้แล้ว วิธีการดูดซับยาเชื่อสวรรค์ พอจะบอกผมได้ไหม?” ฉินเฟยหัวเราะ หน้าระรื่น คำพูดคำจาดูสนิทสนมขึ้นมาก
“แน่นอน ตาแก่อย่างข้าไม่เคยผิดคำพูด เอามือมานี่” เซียวเฟิ่งกางเปิดขวดหยก แล้วก็หายใจเข้าอย่างไม่ใจ
“ครับ” ฉินเฟยตอบรับ แล้วก็ยื่นมือออกไป
ตาแก่ไม่ได้จับชีพจรให้ แต่เอามือมาจับที่ข้อมือของฉินเฟย ตอนที่ฉินกำลังสงสัยอยู่นั้น ตาแก่ก็ปล่อยมือออก มองฉินเฟยด้วยสีหน้าแปลกๆ “เอ็งดูดซับพลังของยาเชื่อสวรรค์ได้อย่างไร?”
“อะไรนะ?พลังยาถูกละลายแล้วหรือ?แต่ว่าผม…ก็ไม่ได้รู้สึกอะไรพิเศษเลยนะ?” ฉินเฟยมีสีหน้าตกใจ ความรู้สึกที่เขาพูดถึง ก็หมายถึงพลังที่เหนือมนุษย์ทั่วไป
“จะให้ข้าบอกยังไงดีนะไอ้ทึ่ม” ตาแก่โมโหด่าออกมา มือแห้งกร้านก็ลูบเคราครุ่นคิด แล้วพูดว่า “บางเรื่อง ข้าจะต้องอธิบายให้เอ็งฟังก่อน”
“ครับๆ ลุงว่ามาเลย”
“นักบู๊แบ่งเป็น4แดน มีแดนมนุษย์ เมื่อคนที่บรรลุถึงระดับนักบู๊สุดยอดแล้ว และอยู่ในแดนสวรรค์ ก็จะถือว่าเหนือมนุษย์ธรรมดา สามารถรับรู้ได้ถึงพลังลมปราณของฟ้าดิน”
ฉินเฟยพยักหน้า สีหน้าเหม่อลอย
“และที่ยาเชื่อมสวรรค์มีราคาสูง เพราะว่ามันสามารถช่วยให้นักบู๊ระดับสุดยอดบรรลุแดนสวรรค์ได้ โอกาสสำเร็จเพิ่มขึ้นสองเท่า มันเป็นยาวิเศษที่จะเพิ่มระดับที่เลื่อนขั้นได้ยาก”
“แต่เอ็งในตอนนี้ อย่างมากก็เป็นแค่นักบู๊ระดับสูง หรือเรียกอีกอย่างก็คือ ไอ้ทึ่มอย่างเอ็งมันรีบกินเร็วไปหน่อย แถมยังดูดซับพลังยาไปเสียจนหมด!”
“แบบนั้นล่ะก็ ถ้าผมกินยาเชื่อมสวรรค์5เม็ด ก็เท่ากับมีโอกาสสำเร็จ100เปอเซ็นต์เลยสิครับ?” ฉินเฟยเบ้ปากพูด ยาเชื่อมสวรรค์ไม่ใช่ของหายากอะไรสำหรับเขา
“ไอ้ทึ่ม!ของแบบนี้ ใช้ได้คนละครั้งเท่านั้น มากไปก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร ประสิทธิภาพจะลดลงมาก” ตาแก่พูดอย่างโมโห
“อ๋อ อย่างนั้นก็ยังพอมีประโยชน์นะ”
ตาแก่มองบนใส่ แล้วก็ไม่พูดด้วย
“อย่างนั้นต่อไปควรทำอะไร?จะต้องอยู่แดนสวรรค์ใช่ไหม ผมถึงจะมองเห็นชะตาตนเองได้?” ฉินเฟยพูดอย่างตื่นเต้น
“ก็ไม่ใช่เสมอไป จุดสำคัญอยู่ที่ดวงของเอ็ง” ตาแก่พูดอย่างเย่อหยิ่ง
“คุณลุง ผมรู้ว่าลุงมีวิธี” ฉินเฟยพูดหน้าระรื่นเอาใจ
“ข้าไม่รู้ว่าร่างกายของเอ็งฝึกอะไรมาก่อน พื้นฐานก็ไม่เลว แถมยังไม่เสียพลังหยาง ข้ามีหนึ่งวิธี รับรองว่าเอ็งมีโอกาสที่จะได้บรรลุถึงแดนสวรรค์” ตาแก่พูดอย่างมั่นใจ
“อะไรคือไม่เคยเสียพลังหยาง?” ฉินเฟยค่อนข้างมึนงง
“ก็หมายความว่าไม่เคยหลับนอนกับผู้หญิงไงล่ะ”
“อ๋อ” ฉินเฟยถูกพูดใส่จนหน้าแดงทำตัวไม่ถูก ตนเองเติบโตมาถึงขนาดนี้ แถมยังแต่งงานมาแล้ว3ปี พูดออกไปก็อายคนเขาเปล่าๆ
เรื่องแบบนี้มันไม่เหมือนกับผู้หญิง ผู้หญิงกลัวคนอื่นว่ามีอะไรกับใครไปทั่ว แต่ผู้ชายมันตรงกันข้าม กลัวคนอื่นจะว่านกเขาไม่ขัน ไม่เคยมีอะไรกับผู้หญิง มันน่าอับอาย
“ต่อไปก็ง่ายมาก เอ็งมีพื้นฐานไม่เลว แต่ยังต้องฝึก โดยเฉพาะพละกำลัง 20วันต่อจากนี้ เอ็งจะต้องฝึกวันละ3ชั่วโมง ในเมื่อยาถูกสลายพลังออกมาแล้ว ถ้าไม่ดูดซับให้หมดก็จะเสียของ ทางที่ดีเอ็งจะต้องถึงระดับที่ข้าวางไว้ภายในหนึ่งเดือน พอถึงว่านั้นจ้าจะพาเอ็งไปที่แห่งหนึ่ง ช่วยให้เอ็งบรรลุแดนสวรรค์ ใช้เวลาประมาณ3วัน”
“3วันงั้นหรือ?ทำไมนานจังเลย?ฮ่าๆ คุณลุงครับ ลดเวลาลงหน่อยได้ไหม?” ฉินเฟยตกใจ ออกกำลังกายทุกวัน สำหรับเขาไม่ใช่เรื่องยากอะไร แต่ถ้าหายตัวไป3วัน มันยากลำบากมากเลย
“นี่ยังนานอีกงั้นหรือ?ข้าแค่ประมาณเวลา ถ้าเอ็งโง่ ก็ต้องใช้เวลา1สัปดาห์ และไม่แน่ว่าจะสำเร็จด้วย” ตาแก่เบ้ปากพูด
“อย่างนั้นก็ได้ คืนนี้ผมจะออกกำลังกายเลบ” ฉินเฟยพยักหน้า แล้วหยิบกล่องไม้กลับออกไป คืนนี้ยังมีเรื่องสำคัญ ก็คืองานเลี้ยงวันเกิดคุณย่าเจียงครบรอบ70ปี
“เอ็งเป็นอะไรกับเซียววี่ที่กู่ยิ่นถัง?” ตาแก่มองกล่องในมือของฉินเฟย แล้วก็ถามไป ในใจก็คิดว่า ยัยหนูเซียววี่คนนี้ ทำไมถึงเอาของมีค่าแบบนี้มาให้ไอ้ทุ่มนี่ได้?
“เซียววี่งั้นหรือ?อ๋อ ที่แท้คุณลุงก็รู้ที่มาที่ไปของหยกหัวแม่มืออันนี้นี่เอง” ฉินเฟยอึ้ง แล้วก็เข้าใจขึ้นมาได้ ก็เลยไม่ได้ผิดบัง “ผมกับเซียววี่เป็นเพื่อนกันครับ สนิทกันอยู่”
พอเซียวเฟิ่งกางได้ยินก็ส่งเสียงไม่พอใจ มองบนใส่ “ต่อไปอย่ามาเรียกข้าว่าลุง ทำเสียเหมือนเราสนิทกัน”
คิดอยากจะเป็นหลานเขยของเซียวเฟิ่งกาง ไอ้ทึ่มคนนี้ไม่ได้อยู่ในสายตาเขาหรอก
ฉินเฟยได้ยินก็ปากกระตุก ตาแก่คนนี้บ้าจริงๆ
“ใช่แล้ว ลุงพูดเรื่องเสียพลังหยาง หรือว่าช่วงนี้ ผมก็ห้ามมีเรื่องบนเตียงใช่ไหม?” ฉินเฟยอดถามไม่ได้ หน้าก็แดง แต่เขาก็คิดอยากจะมีอะไรกับเจียงเยว่ถงเสีย อุ้มศรีภรรยาตนเองให้ซาบซ่านเสียที
“ได้ แต่อย่าให้บ่อย ทางที่ดีอดใจไว้ก่อน เอ็งมีแฟนแล้วงั้นหรือ?” ตาแก่ถามไปอย่างนั้น แล้วก็หยุดสายตาจ้องมองฉินเฟยนิ่งๆ
ในใจก็คิดว่า ไอ้หมอนี่จะมีอะไรกับหลานสาวตนเองไปแล้วหรือยังนะ?ไม่อย่างนั้นเซียววี่คงจะไม่ให้ของล้ำค่าแบบนี้มาหรอก?
“เอ่อผม…” ฉินเฟยกำลังจะพูดว่าตนเองแต่งงานมา3ปีแล้ว แต่นึกได้ว่ามันน่าอับอาย ที่แต่งงาน3ปีแต่ยังไม่ได้เข้าหอ มันบ้ามากจริงๆ ก็เลยพูดอย่างไม่สบอารมณ์ไปว่า “ผมจะมีหรือไม่มีมันเกี่ยวอะไรกับลุงล่ะครับ!”
“กริ๊งๆ…” ฉินเฟยเดินออกมาจากโรงน้ำชา โทรศัพท์ก็ดังขึ้น เป็นเบอร์ของเจียงเยว่ถง
“ครับ คุณภรรยา”
พอได้ยินการเรียกแบบนี้ เจียงเยว่ถงก็อึ้งไป แล้วพูดว่า “ของขวัญที่จะให้คุณย่าเตรียมแล้วหรือยังไ?”
“เตรียมแล้วครับ…”
……

เจียงเยว่ถงไม่รู้ตัวเสียด้วยซ้ำว่าตนเองเดินออกจากวิลล่าตระกูลเจียงได้อย่างไร เหมือนวิญญาณล่องลอยไร้สติ
ฝันของเธอสลายไปหมดแล้ว!
แต่ว่า บริษัทฉีแยเป็นของปู่เธอที่มอบให้กับพ่อของเธอ ต่อมาเธอกลับจากต่างประเทศ พ่อก็มอบบริษัทให้เธอดูแล
เจียงเยว่ถงรู้สึกว่าตัวเองแย่ไปหมด ไม่ค่อยมีสติ สายตาเหม่อลอย ไม่รู้ว่าตนเองควรจะไปที่ไหน
โดยเฉพาะตอนนี้ เนื่องจากว่าได้ร่วมลงทุนกับว่านเซียง มูวี พนักงานทุกคนในบริษัทฉีแยก็กำลังกระตือรือร้นกับงานที่ได้ ตอนนี้ตนเองกลับจะไปประกาศว่าจะขายบริษัททิ้ง……
เจียงเยว่ถงหายใจเข้าลึก แล้วก็เดินโซเซเข้ารถไป
……
หลังจากประชุมระดับสูงไปหนึ่งหนึ่งชั่วโมง ฉินเฟยก็เหนื่อยมาก พอออกจากว่านเซียง มูวีก็ขี่รถมอเตอร์ไซต์ไฟฟ้ามุ่งหน้ากลับไปยังตลาดของโบราณ
เขาเพิ่งได้ข่าวมา ว่าเซียววี่ซ่อมแจกันหิมะเสร็จแล้ว และวันนี้ก็เป็นวันเกิดของคุณย่าเจียงพอดี ได้เวลาเหมาะเจาะพอดี
พอขี่รถมาถึงกู่ยิ่นถัง จางผิงหัวโล้นก็กำลังชี้นิ้วสั่งให้พนักงานมาเช็ดกระจกร้าน พอเห็นว่าฉินเฟยเข้ามา ก็ยิ้มพูดว่า “อ้าว น้องฉิน”
หลายวันนี้ฉินเฟยมาบ่อยมาก จางผิงก็สังเกตเห็นแล้ว ฟังจากน้ำเสียงของคุณผู้หญิงที่พูดจากับฉินเฟยอย่างเคารพ เขาก็เลยต้อนรับเป็นอย่างดี
“ครับ พี่จาง” ฉินเฟยตอบรับ
“คุณผู้หญิงรออยู่ที่ด้านหลังแล้วครับ แต่ว่าระวังหน่อย ผมรู้สึกว่าคุณผู้หญิงจะอารมณ์ไม่ดี”
ฉินเฟยอึ้ง อารมณ์ไม่ค่อยดีอย่างนั้นหรือ?
ประจำเดือนมาหรือไง?
ฉินเฟยเดินเข้าไปด้านหลังอย่างสงสัย เซียววี่ก็กำลังนั่งรออยู่ตรงนั้น
วันนี้เธอสวมกระโปรงยาว ลายต้นไผ่ เรียบง่ายสวยหรู ดูเป็นผู้ดี แถมยังยืนตัวตรงสง่างาม ทำให้คนต้องมองหลายๆ ครั้ง
และที่ข้างมือของเธอ ก็คือแจกันหิมะ
“คุณเซียว รอนานไหมครับ?” ฉินเฟยเดินไปพูดไป
“โชคดีที่สำเร็จลุล่วงไม่ทำให้คุณผิดหวัง” เซียววี่เห็นฉินเฟยเดินเข้ามา ก็ยิ้มเบาๆ มือน้อยๆ ของเธอก็หยิบแจกันหิมะขึ้นออกมาอย่างระวัง
“ให้ผมดูหน่อย” ฉินเฟยยืนมือไปอย่างดีใจ เซียววี่ก็ยืนให้อย่างเสียดาย
ฉินเฟยก็ตรวจดูตรงรอยซ่อมแซม แล้วก็พยักหน้า พร้อมกับยกนิ้วโป้งให้เซียววี่ “สุดยอดมาก!”
“คุณคงจะใช้เวลาและแรงไปไม่น้อย ราคาคุณว่ามาเลย” ฉินเฟยมองซ้ายมองขวาก็พอใจเป็นอย่างมาก แต่ว่าอย่างไรเสียก็เคยถูกซ่อมแซมมาแล้ว มองดูดีๆ ก็เห็นได้
แต่สามารถซ่อมได้ขนาดนี้ ช่างซ่อมเครื่องปั้นดินเผาในเมืองซงไห่ยังทำไม่ได้ขนาดนี้
การซ่อมเครื่องปั้นดินเผาเป็นงานฝีมือเฉพาะ ไม่ใช่เอากาวร้อนมาติดง่ายๆ แล้วเสร็จ มันต้องคิดค่าแรง และแพงมากด้วย
“เรื่องราคาช่างเถอะ ตอนนั้นฉันจะช่วยเอง และฉันก็ชอบแจกันหิมะนี้มากด้วย ฉันไม่คิดเงินก็แล้วกัน” เซียววี่พูดเบาๆ
ฉินเฟยก็อึ้ง แล้วมองเซียววี่ด้วยสายตาแปลกๆ “คุณเหมือนจะพูดเป็นนัย…”
“หมายความว่าอย่างไร?” เซี่ยววี่เงยหน้าขึ้น ใบหน้ารูปไข่ของเธอมีความแปลกใจ
ฉินเฟยยิ้มยิงฟัน สายตาก็มองดูเซียววี่ “คุณเซียวจิตใจงดงาม เป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ แต่พูดจาอ้อมค้อมเหมือนจะไม่ใช่นิสัยของคุณ”
ฉินเฟยพูดเยินยอได้น่าฟัง แต่กลับทำให้เซียววี่หน้าแดงทำตัวไม่ถูก โดยเฉพาะสายตาที่เฉินเฟยมองดูเธอ เหมือนกับถูกมองทุกซอกทุกมุมไปแล้ว ทนกับสายตาของเขาไม่ไหว เลยพูดไปว่า “แจกันหิมะนี้ คุณจะเอาไปให้คุณย่าเจียงใช่ไหม?”
“ผมคิดไว้อย่างนั้น”
“ครั้งนี้เป็นงานเลี้ยงวันเกิดของคุณย่าเจียง แต่ว่าแจกันหิมะมีรอยร้าว มันไม่ค่อยเป็นมงคล คุณว่าไหมล่ะ?” เซียววี่กล่าว
ฉินเฟยก็นิ่ง แล้วก็เข้าใจความหมายของเซียววี่ขึ้นมาทันที จากนั้นก็พยายามยิ้มพูดไปว่า “ผมรู้สึกว่าคุณน่าจะอยากได้แจกันหิมะนี้นะ”
“ห้ะ?” เซียววี่ส่งเสียงตกใจออกมา เห็นใบหน้าที่พูดอมยิ้มของฉินเฟย ใบหน้ารูปไข่ของเธอก็แดงก่ำอีกครั้ง เธอรู้ว่าความคิดของตนเองถูกฉินเฟยมองออกหมดแล้ว
เซียววี่กัดปากพูดว่า “คุณพูดถูกต้อง แต่ว่าปัญญาชนไม่แย่งของชอบใคร ช่วงเวลาที่ฉันซ่อมมัน ก็ได้ชอบมันมาก คุณคิดว่าให้ฉันเอาสิ่งของที่มีราคาพอๆ กันแลกได้ไหม?”
พูดจบ เซียววี่ก็เงยหน้ามองฉินเฟย ดวงตาสวยๆ ทั้งสองข้างก็ไม่อยากจะละไปจากแจกันหิมะแม้แต่น้อย
“คุณเป็นปัญญาชนงั้นหรือ?”
“ห้ะ?” สายตาที่มีความหวังของเซียววี่ถูกฉันเฟยพูดใส่เสียจนมึนงงไปเลย ตั้งสติกลับมาไม่ทัน
“คุณเซียวพูดจาเป็นปรัชญามาก แจกันหิมะเป็นของชอบของคุณ คุณพูดเตือนผม ว่าถ้าผมเป็นปัญญาชน ก็จะไม่แย่งของชอบของคุณ ถ้าผมไม่แลกกับคุณ ผมก็เป็นคนเลว” ฉินเฟยพูดอย่างทำอะไรไม่ได้
“ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น” เซียววี่ส่ายหัวปฏิเสธ มุมปากก็อมยิ้ม ถามกลับไปว่า “แล้วคุณเป็นปัญญาชนหรือเปล่าล่ะ?”
“ผมไม่ใช่ปัญญาชน แต่ว่าผมสามารถแกล้งเป็นปัญญาชนสักครั้งได้” ฉินเฟยมีสีหน้ายอมจำนน นั่งพูดอยู่บนเก้าอี้ไม้ว่า “คุณจะเอาอะไรมาแลกกับสมบัติของผม?”
ดวงตาใสๆ ของเซียววี่ก็เป็นประกายขึ้นมาทันที หันตัวไปทางตู้ไม้ข้างๆ แล้วนั่งลงค้นหา กระโปรงเปิดออกจนเผยให้เห็นขาขาวๆ ครึ่งขา น่ามองอย่างมาก
เห็นๆ อยู่ว่าเซียววี่เตรียมการไว้แล้ว ไม่นานก็หาจนเจอ พร้อมกับลุกขึ้น ในมือก็ถือกล่องไม้ลวดลายหงส์ กล่องดูเก่ามาก แล้วก็ยื่นให้กับฉินเฟยอย่างเสียดายเหมือนกัน
ฉินเฟยรับมาอย่างระวัง ค่อยๆ เปิดกล่องออก ด้านในเป็นแหวนหยกนิ้วหัวแม่มือสีเหลืองอ่อน อยู่ในถุงทำจากเส้นด้ายทองคำ
“นี่คือ?” ฉินเฟยมองดูอย่างละเอียด
“ไหนลองว่าราคาของแหวนหยกนิ้วหัวแม่มือนี้มาซิ” เซียววี่ก็อารมณ์ไม่ดีราวกับประจำเดือนมา กวาดมองโดยรอบ แล้วก็เม้มปากมองดูฝีมือการตีราคาของฉินเฟย
“แหวนหยกหัวแม่มืออันนี้จะมีอายุเก่ากว่าแจกันหิมะหน่อย” ฉินเฟยพูดออกมา
“ด้านในของแหวนมีตัวอักษร ง่อ ถ้าเดาไม่ผิด น่าจะเป็นยุคสามก๊ก ง่อก๊กเจียงตง”
“คุณมองเห็นถึงที่มาของมันไหม?” เซียววี่พยักหน้าเบาๆ เชื่อว่าจุดนี้ ถ้าคนมีความรู้หน่อยก็น่าจะเดาออกได้
“ในเมื่อคุณคิดว่าแหวนหัวแม่มือวงนี้สมราคากับแจกันหิมะ อย่างนั้นก็เดาได้ง่ายหน่อย” ฉินเฟยยิ้มเบาๆ “องค์หญิงเหวินเฉิงถูกคนรุ่นหลังสรรเสริญมาตลอด และง่อก๊กในสมัยสามก๊ก ก็มีหญิงเก่งกล้าสามารถอยู่คนหนึ่ง ไม่ใช่ไต้เกี้ยวเสี่ยวเกี้ยวที่ชายหมายปอง แต่เป็นอู๋กั๋วไท่”
“รอบนอกของแหวนมีรอยเสียดสีจนยุบลงไป คิดว่าน่าจะเกิดจากการที่อู๋กั๋วไท่จับไม้เท้าหลายปี แถมมันยังมีความหมายที่ดีอีกด้วย อู๋กั๋วไท่อายุมากแล้วก็ยังทำงานเพื่อชาวง่อก๊ก และคุณย่าเจียงก็เหมือนกัน เหนื่อยกายเหนื่อยใจเพื่อตระกูลเจียง” ฉินเฟยยิ้มพูดไป แต่ว่าน้ำเสียงดูเจื่อนๆ
คุณย่าเจียงยอมทำทุกวิถีทาง เพื่อส่วนรวมของตระกูลเจียง เมื่อวานก็เกือบจะขายภรรยาของไปเสียแล้ว!
“ตกลงแลกกันนะ?” เซียววี่พูดอย่างมีความหวัง สายตาก็รอคอย
ดูเหมือนว่า ฉินเฟยจะพูดถึงที่มาของแหวนวงนี้ถูกต้อง มันเป็นของอู่กั๋วไท่
“ถ้าไม่ยอมแลก คิดว่าคงจะเดินออกไปไม่พ้นประตูของกู่ยิ่นถัง” ฉินเฟยพูดติดตลก
เซียววี่ก็เม้มปากยิ้ม แล้วพูดตลกว่า “คุณรู้ก็ดี!”
ฉินเฟยเดินออกไปจากกู่ยิ่นถัง เซียววี่ก็ออกมาส่ง และเซียววี่ก็จะไปงานเลี้ยงวันเกิดของคุณย่าเจียงเหมือนกัน ไม่นานทั้งสองคนก็จะได้เจอกันอีก
ฉินเฟยขึ้นคร่อมรถมอเตอร์ไซต์ไฟฟ้า แล้วก็นึกขึ้นได้เรื่องหนึ่ง!
นั่นก็คือ ครั้งก่อนที่ได้เจอตาแก่แปลกๆ ข้างทาง ที่เรียกตัวเองว่าเป็นผู้อาวุโสของสำนักเอ๋อเหมย เดิมทีเขายังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ว่าตอนนี้เชื่อสนิทใจเลย เมื่อวานเขาเอาชนะฮั่วจงเหยียน ฟนึ่งในนั้นมีปัจจัยสำคัญที่มาจากยาเชื่อมสวรรค์
ตอนแรกตาแก่พูดว่า พอกินไปแล้ว ถึงแม้จะยังไม่ดูดซึมพลัง ก็ยังมีประโยชน์มากมาย ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง เสริมทักษะต่างๆ ของมนุษย์ เช่น พละกำลัง การตอบสนอง และความรวดเร็ว อย่างนั้น… ถ้าหากว่าดูดซึมพลังของยาเชื่อมสวรรค์ไปล่ะก็ มันจะแข็งแกร่งขนาดไหน?
ไม่มีใครไม่อยากแข็งแกร่ง โดยเฉพาะฉินเฟย เพราะต่อจากนี้ เขายังมีเรื่องอะไรให้ทำอีกมากมาย
พอคิดถึงจุดนนี้ ฉินเฟยก็รีบขี่รถไปยังโรงแรมปั้นเยี่ยที่ถนนหยานซี ตอนนั้นตาแก่ประหลาดคนนั้นให้ตนเองไปหาเขาที่นั่น…
……
ในบริษัทฉีแย
เจียงเยว่ถงอยู่ในห้องทำงาน มองทะลุประจกออกมามองพนักงานที่กำลังยุ่งวุ่นวาย ดวงตาสวยๆ เป็นประกายของเธอเผยความปวดใจออกมา เธอมาบริษัท3ชั่วโมงแล้ว แต่เธอยังไม่รู้ว่าจะประกาศเรื่องนั้นอย่างไรเลย
หายใจเข้าลึกๆ แล้วเจียงเยว่ถงก็เดินออกจากห้องทำงานไป เดินมายังกึ่งกลางของสำนักงาน แล้วปรบมือเบาๆ
“ประธานเจียง ยังมีเรื่องอะไรจะสั่งการอีกหรือเปล่าคะ” สาวแว่นคนหนึ่งยิ้มถาม
“ประธานเจียงคงจะเห็นพวกเราขยันทำงานดี ความสำเร็จอยู่ตรงหน้า เลยอยากจะจัดงานเลี้ยงให้พวกเราล่ะมั้ง” พนักงานสาวอีกคนยิ้มพูดขึ้นมา
พอเห็นว่าทุกคนทองมาทางตนเอง แล้วต่างพากันพูดเล่น ล้วนมีความหวังว่าจะได้เห็นความสำเร็จของบริษัทฉีแย หัวใจของเธอก็เหมือนถูกเข็มทิ่มแทง
พยายามแสยะยิ้มออกมา เจียงเยว่ถงเม้มปากยิ้มพูดว่า “ทุกคนวางงานในมือลงก่อน พวกเราไปกินข้าวกันที่หอเฟิงหวงฝั่งตรงข้าม ฉันจองโต๊ะไว้แล้ว พนักงานทุกคนต้องมา และฉันมีเรื่องสำคัญจะประกาศด้วย”
“ยอดไปเลย!”
“ดีจังเลย ฮ่าๆ ฉันว่าแล้วต้องมีเรื่องดี ประธานเจียงมีความมั่นใจมาก เลยเลี้ยงข้าวฉลองให้พวกเราก่อนเลย!”
“ไม่ๆๆ นี่เป็นแค่งานเลี้ยงฉลองครั้งแรกเท่านั้น ฉันคิดว่า ถ้าเสร็จงานจริงๆ จะต้องมีงานเลี้ยงที่ใหญ่กว่านี้แน่นอน!”
“ฮ่าๆ พวกเธอลองเดากันดูซิว่าโบนัสเดือนหน้าใครจะได้เยอะสุด?”
“ไม่ต้องเดาหรอก คนได้เยอะก็ต้องเลี้ยงข้าวเพื่อนอยู่ดี!”
ตอนนี้ใกล้ถึงเวลาเลิกงานแล้ว ทุกคนก็เลยคุยกันอย่างสนุกสนาน
เวลาบ่ายโมงครึ่ง เจียงหยว่ถงกัดปากแน่น ขับรถมุ่งหน้าไปยังว่านเซียง มูวี ในหัวก็ปรากฏสีหน้าของพนักงานที่กำลังกินข้าวในหอเฟิงหวงที่รู้ว่าบริษัทฉีแยจะต้องเปลี่ยนเจ้าของ
ตอนแรกพวกเขายังคิดว่าตนเองพูดล้อเล่น แต่พอตนเองพูดย้ำไปเป็นครั้งที่3นั้น…
เจียงเยว่ถงสะบัดหน้าหนี ภาพนั้น มันทำให้เธอปวดใจมาก
แต่เธอจำเป็นต้องทำแบบนี้ และที่เธอมาครั้งนี้ ก็เพื่อขอโทษรองประธานเสิ่นรวมทั้งว่านเซียง มูวี ที่บริษัทฉีแยเปลี่ยนเจ้าของ การร่วมลงทุนเสื้อผ้าในครั้งก่อนเธอก็ถามด้วยว่าจะต่อสัญญาหรือไม่
ไม่ว่าอย่างไร ถือว่าเป็นการผิดสัญญาของเธอ!
พอมาถึงอาคารว่านเซียง มูวี อันหรูหรา เจียงเยว่ถงก็พบว่า ตนเองมาที่นี่หลายครั้ง มาร่วมลงทุนหลายครั้ง ก็ยังไม่ได้พบกับประธานบริษัทผู้ลึกลับนั่นเลย
ครั้งนี้ไม่รู้ว่าจะได้มีโอกาสพบหรือเปล่า?
มาถึงหน้าห้องทำงานของเสิ่นเจียเหวิน หลิ่มเมิ่งที่เป็นเลขาหน้าห้องเห็นเข้าก็รู้ว่าคือเจียงเยว่ถง เพราะสาวสวยอย่างเธอ ต่อให้เป็นผู้หญิงอย่างหลิ่มเมิ่งก็ยากที่จะลืมเธอได้
“สวัดีค่ะประธานเจียง มาหาคุณเจียเหวินหรือคะ?”
“ใช่ค่ะ คุณเจียเหวินอยู่หรือเปล่า?”
หลิ่มเมิ่งเปิดประตูเชิญเจียงเยว่ถงเข้าไปในห้อง แล้วส่ายหัวเบาๆ พูดว่า “คุณเจียเหวินไปจัดการเรื่องงาน ดูแล้วน่าจะใกล้กลับมาถึงแล้ว ถ้าคุณไม่รีบ ก็เชิญดื่มชารอสักครู่ค่ะ”
พูดจบ หลิ่มเมิ่งก็รินชาร้อนให้เจียงเยว่ถง
“ขอบคุณค่ะ” เจียงเยว่ถงพยักหน้ายิ้มเบาๆ
เจียงเยว่ถงเอามือน้อยๆ จับถ้วยชามองดู ก็นึกถึงฉินเฟยขึ้นมา ที่บริษัทฉีแยสามารถร่วมมือกับว่านเซียง มูวีได้ ฉินเฟยก็ได้ยื่นมือเข้าช่วยเหลือไม่น้อย เจียงเยว่ถงก็ยิ่งรู้สึกผิด
เธอเงยหน้ามองหลิ่มเมิ่ง แล้วถามว่า “ผู้ช่วยฉินไปกับคุณเจียเหวินใช่ไหม?”
หลิ่มเมิ่งก็อึ้ง พูดสีหน้าแปลกๆ ว่า “ผู้ช่วยฉินงั้นหรือคะ?ใครคือผู้ช่วยฉิน?”

“คุณภรรยาครับ หลับหรือยัง?” ฉินเฟิยถามเบาๆ
โอกาสแบบนี้มีไม่มาก ฉินเฟยรู้สึกว่า ถ้าจะนอนหลับไปแบบนี้มันก็น่าเสียดายมาก บรรยากาศดีแบบนี้ ถ้าสองคนได้ดื่มด่ำพูดคุยกันยามค่ำคืน คงจะได้กระชับความสัมพันธ์ได้มากขึ้น
เขาพูดแล้วก็หันหัวมา มองเห็นขนตายาวๆ ของเจียงเยว่ถงในความมืด พอได้ยินเสียงของตนเอง ก็กระดิกตัวเบาๆ ฉินเฟยก็แอบยิ้ม เจียงเยว่ถงกำลังแกล้งหลับ
พูดไป มือขวาของฉินเฟยในผ้าห่มก็ค่อยๆ ยื่นออกไป ไปลูบคลำมือน้อยๆ ของเจียงเยว่ถง…
ฉินเฟยคิดว่า ตนเองแค่ยื่นมือไปคลำมือของเธอเท่านั้นเอง เจียงเยว่ถงคงจะไม่ปฏิเสธอย่ามองว่าเป็นแค่การจับมือ ถ้าสองคนได้จับมือคุยกันล่ะก็ อย่างน้อยความสัมพันธ์ก็เพิ่มขึ้นได้เยอะเลย
อีกอย่าง ดูจากท่าทางของเจียงเยว่ถงในตอนนี้ คงจะตื่นเต้นมาก ต่อให้ไม่ยินยอม ก็คงจะไม่ดุด่าต่อว่าหรือลงมือกับตนเองหรอก
เขาค่อยๆ ยื่นมือเข้าไป ด้วยกลัวว่าจะทำเจียงเยว่ถงรู้สึกตัวก่อน แล้วคิดว่าตนเองคิดจะทำอะไรอย่างอื่น เดี๋ยวจะไล่ตนเองออกไปเสียอีก…
ในที่สุด ฉินเฟยก็มีสายตาดีใจ ปลายนิ้วที่ตอบสนองดีของเขาสัมผัสได้ถึงความอุ่นๆ น่าจะอยู่ไม่ห่างจากมือน้อยๆ ของเจียงเยว่ถงไม่ไกลแล้ว…
“เอ๊ะ?” ฉินเฟยอึ้งไป สิ่งที่สัมผัสกับมือเขามันแปลกๆ มันนิ่มๆ แถมมีความรู้สึกเด้งๆ ด้วย
นี่มันคืออะไร?
ในใจคิดอย่างแปลกใจ แล้วก็ใช้มือเคล้าคลึงไปเบาๆ ความรู้สึกที่นุ่มและเด้งทำให้เขาไม่อยากจะเอามือกลับออกมา…
“ให้ตายเถอะ แย่แล้ว!” ฉินเฟยที่กำลังหลงใหลอยู่ในความสุขก็รู้ตัวขึ้นมาทันทีว่าตนเองกำลังจับอะไร ทั้งตัวก็เหงื่อแตกพลั่ก ในใจก็คิดว่าแย่แล้ว…
ในตอนนี้เอง อยู่ดีๆ เจียงเยว่ถงที่อยู่ข้างเตียงก็พลิกตัวอย่างแรง เท้าเล็กๆ ขาวๆ ข้างหนึ่งเตะออกขึ้นในความมืด ถีบเข้ามาที่ท้องของฉินเฟยอย่างแรง จนเขากระเด็นตกเตียงร่วงลงพื้นไป!
ฉินเฟยที่ถูกโจมตีก็กระแทกลงกับพื้นอย่างหนัก ในขณะเดียวกันก็เจ็บๆ ที่หางตา เหมือนว่าจะไปกระแทกเข้ากับขาโต๊ะเครื่องแป้ง
ในความมืด เจียงเยว่ถงก็คว้าผ้าห่มอย่างแรงมาคลุมตัวเองเอาไว้ หัวไหล่สั่นๆ ที่หางตามีน้ำตาซึมๆ ออกมา ชี้หน้าด่าฉินเฟยที่นอนหายใจเฮือกใหญ่อยู่ที่พื้นว่า “ฉินเฟย คุณมันไอ้คนลามก ไสหัวออกไปเลย!”
……
รุ่งเช้า!
เจียงเยว่ถงก็ล้างหน้าล้างตา แล้วก็ใส่ชุดยูนิฟอร์มนั่งอยู่บนโซฟา พอเงยหน้าก็เห็นฉินเฟยยกโจ๊กข้าวฟ่างมาให้อย่างนอบน้อม เธอก็ส่งเสียงไม่พอใจ แล้วก็ยื่นมือออกไปรับไว้
เธอยังไม่ลืมว่าไอ้คนลามกคนนี้ทำอะไรไว้เมื่อคืน คำพูดของเพื่อนสนิทไม่มีผิดเลยจริงๆ อย่าตามใจผู้ชายมากเกินไป พอเห็นใจดีหน่อยก็ทำเกินเลย
มีคำพูดหนึ่งบอกไว้ว่า ผู้ชายที่อยู่ในบ้านก็เหมือนเดรัจฉาน แต่ถ้าปล่อยออกไป…เป็นเดรัชฉานยังดีกว่าเสียอีก!ก่อนหน้านี้อยู่ในบ้าน ฉินเฟยทำแต่งานบ้าน เธอไม่ชอบผู้ชายแบบนี้ แต่ตอนนี้ฉินเฟยไปทำงานข้างนอกแล้ว มีงานมีกิจการเป็นของตนเองแล้ว เขาก็เปลี่ยนไปเยอะอยู่ เธอก็ชอบ แต่บางจุดเธอก็ไม่ชอบ อย่างเช่นเมื่อคืน!
ไอ้ฉินเฟยคนบ้ากล้ามาจับตรงนั้นของตนเอง เจียงเยว่ถงโกรธจริงๆ
ต้องรู้ก่อนว่า แม้แต่เวลาอาบน้ำปกติ ตนเองยังไม่ไปจับมันง่ายๆ เลย แต่หมอนี่กล้าไปจับตรงนั้น บังอาจมากจริงๆ!
เจียงเยว่ถงก็ไม่ได้สนใจฉินเฟย กินโจ๊กไปคำเล็กๆ แล้วก็เงยหน้ามองคนตรงข้ามที่กินข้าวอย่างไม่กล้าส่งเสียง ดูฉินเฟยที่แสดงท่าทางว่าตนเองทำผิดไปแล้ว แล้วก็ส่งเสียงไม่พอใจพูดว่า “รินน้ำร้อนให้ฉันแก้วหนึ่ง”
“อ๋อ ได้” ฉินเฟยรีบลุกขึ้น
ฉินเฟยรู้ว่าตนเองผิดไปแล้ว
เขาเองก็ไม่ได้ตั้งใจ แต่เรื่องแบบนี้ต่อให้อธิบายไปก็ไม่ชัดเจนหรอก เจียงเยว่ถงต้องคิดว่าเขาตั้งใจจะล่วงเกิน ต่อให้เขามีร้อยปากพูดอธิบายไปก็ช่วยไม่ได้ อย่างไรเสียตอนนี้ตนเองก็กลายเป็นคนลามกในสายตาของเจียวเยว่ถงไปแล้ว
ฉินเฟยยื่นแก้วน้ำร้อนเข้ามา เห็นมือเขามีผ้าพันแผลพันไว้ พอเงยหน้าก็เห็นตาขวาที่คล้ำเป็นหมีแพนด้าของเขา เจียงเยว่ถงก็ด่าในใจว่าสมน้ำหน้า แต่ก็ไม่ได้โกรธอะไรขึ้นมา…
ผ่านมื้อเช้าไป ฉินเฟยก็เข้าห้องไปเปลี่ยนชุดสูท 9โมงเช้าวันนี้ ว่านเซียง มูวีจะมีประชุมระดับสูง ในฐานะที่เป็นประธานบริษัท เขาก็เลยจะต้องใส่เสื้อผ้าที่ภูมิฐานหน่อย
ขาสวยๆ ของเจียงเยว่ถงใส่รองเท้าส้นสูง สองคนเดินลงตึกมา หันไปเห็นท่าทางหงอยๆ ของฉินเฟย ก็เลยลังเลแล้วพูดว่า “ช่วงนี้คุณก็ไปหาซื้อรถสักคันแล้วกัน ขี่รถมอเตอร์ไซต์ไฟฟ้าไปพื้นที่เปิดใหม่ของว่าเซียง มันจะไกลเกินไป ถ้าฝนตกก็ลำบาก ซื้อรถมือสองก็พอ”
ฉินเฟยอึ้งๆ ในใจก็ซาบซึ้ง แต่งงานมา3ปี เจียงเยว่ถงไม่เคยเป็นห่วงตนเองแบบนี้มาก่อนเลย แม้แต่เรื่องเล็กน้อยอะไร
“อืม เดี๋ยวผมลองคิดดู”
“อืม” เจียงเยว่ถงตอบรับ แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
สองคนเดินกันต่อไปเงียบๆ ฉินเฟยก็แอบมองใบหน้าที่เปล่งปลั่งของเจียงเยว่ถง ใบหน้าที่สวยหยดย้อย ปากเผยอเบาๆ เหมือนมีอะไรจะพูด
“คุณมีอะไรจะพูดอีกหรือเปล่า?” ฉินเฟยถามก่อน
เจียงเยว่ถงก็อึ้ง มองฉินเฟยอย่างตกใจ แต่ก็ส่ายหัวปฏิเสธ “ไม่มีอะไร”
ฉินเฟยขมวดคิ้ว อยู่กินกันมา3ปี เขารู้จักเจียงเยว่ถงดี
ไม่นาน ฉินเฟยก็ไปขี่มอเตอร์ไซต์ไฟฟ้าตนเอง แล้วก็เห็นเจียงเยว่ถงขับออดี้ออกมาจากลานจอดรถใต้ดิน
รถออดี้มาจอดที่ข้างตัวเขา กระจกเปิดออก แล้วเผยใบหน้าสวยๆของเจียงเยว่ถงออกมา เธอมองฉินเฟย ในที่สุดก็อดพูดไม่ได้ว่า “คุณไปรู้จักคุณเซียวได้อย่างไร?”
“คุณเวียวงั้นหรือ?” ฉินเฟยอึ้ง แล้วตอบไปตามตรงว่า “หลายวันก่อนที่คุณใช้ให้ผมไปซื้อของขวัญให้คุณย่า ผมก็เลยไปรู้จักที่ตลาดของโบราณ มีอะไรหรือเปล่า?”
“อ๋อ ไม่มีอะไร” เจียงเยว่ถงพยักหน้าเบาๆ เมื่อวานเธอได้คุยกับเซียววี่ ได้คำตอบแบบนี้เหมือนกัน
แต่เธอก็ยังรู้สึกว่ามันมีตรงไหนแปลกๆ สองคนนี้เพิ้งรู้จักกันสองวัน ก็สนิทกันขนาดนี้เลยหรือ?อีกอย่าง นั่นคือเซียววี่เลยนะ!
เจียงเยว่ถงจำได้ชัดเจน เมื่อวานฉินเฟยโมโหผิดปกติ แล้วเซียววี่พูดหยุดฉินเฟยในคำเดียว ความสัมพันธ์ของสองคนนี้จะมีแค่นั้นงั้นหรือ?
“คุณภรรยา คุณคงจะไม่ได้หึงผมใช่ไหม?” ฉินเฟยพูดด้วยน้ำเสียงตกใจ สีหน้าก็แปลกๆ จ้องมองภรรยาสุดสวยของตนเองในรถ
“ฉันหึงงั้นหรือ?ฉินเฟย คุณไม่ได้ป่วยใช่ไหม?คิดบ้าอะไร?ฉันแค่รู้สึกว่าคุณรู้จักกับเซียววี่ เลยตกใจก็เท่านั้นเอง” เจียงเยว่ถงพูดเสียงสูงขึ้นมา แกล้งทำเป็นขมวดคิ้ว พูดดังใส่ฉินเฟย
ฉินเฟยได้ยินก็แอบยิ้ม ในใจก็ยิ่งชอบ เลยพูดไปอย่างได้ใจว่า “คุณวางใจเถอะ ผมกับเซียววี่ไม่มีอะไรกันหรอก อาจจะเป็นเพราะว่าเซียววี่ชื่นชอบผม แต่ว่าใจที่ผมมีให้คุณมันไม่เปลี่ยนแน่นอน ถงถง ถ้าวันข้างหน้าคุณดีกับผม ผมก็จะยิ่งไม่เปลี่ยนใจแน่นอน ผม…”
“บรื๊น…” ฉินเฟยกำลังซึ้ง แต่ยังไม่ทันพูดจบ รถออดี้ตรงหน้าก็ขับออกไปไม่เห็นฝุ่น ทิ้งควันท่อไอเสียพ่นไว้เต็มหน้าเขา!
เจียงเยว่ถงหน้านิ่งเย็นชา ในใจก็ด่าหมอนั่นไม่หยุด ส่วนคำพูดอ่อนหวานเมื่อครู่ ไม่เข้าหูเจียงเยว่ถงเลยสักคำเดียว
เรียกว่า ถงถง งั้นหรือ?เอาไว้ให้เรียกได้หรือไง!
เจียงเยว่ถงอารมณ์เสียอยู่ในใจ
“ติ๊งๆๆ” ในตอนนี้เอง โทรศัพท์ที่วางไว้บนเบาะข้างคนขับก็ดังขึ้น
เจียงเยว่ถงหยิบมาดู ก็เห็นว่าเป็นเบอร์ของเจียงเฉิงเย่!
เจียงเยว่ถงขมวดคิ้วเบาๆ เจียงเฉิงเย่ไม่ค่อยจะโทรหาตนเองเสียเท่าไร ไม่มีเรื่องอะไรไม่โทรมาหรอก เขาโทรมาแบบนี้ จะต้องเกิดเรื่องอะไรไม่ดีแน่นอนฮั่วจงเหยียนคนเมื่อวาน ก็เพราะเจียงเฉิงเย่นี่แหละที่ให้มา
เจียงเยว่ถงก็พูดอย่างแปลกใจว่า “โทรหาฉันมีเรื่องอะไร?”
“มาที่วิลล่าตระกูลเจียงหน่อย มีเรื่องสำคัญ” เจียงเฉิงเย่พูดประโยคเดียวก็วางสายไป
เจียงเยว่ถงถือโทรศัพท์ที่ตัดสายไปแล้ว ดังตู๊ดๆ พร้อมกับนึกถึงเรื่องฮั่วจงเหยียนเมื่อคืน แล้วก็ขมวดคิ้ว
แต่ว่าเรื่องจะเกิดก็ให้มันเกิด ส่วนถ้าจะให้ตนเองหย่ากับฉินเฟยไปแล้วแต่งงานกับฮั่วจงเหยียนนั้น เธอไม่มีทางรับปากแน่นอน อย่างมากก็ออกจากตระกูลเจียง
อย่างไรเสียเธอก็รู้ดีว่าคนตระกูลเจียงเป็นอย่างไร
……
ณ ห้องรับแขกบนชั้นสองของวิลล่าตระกูลเจียง บนโซฟามีชายวัยกลางคนนั่งอยู่7-8คน ดูเหมือนว่าจะเป็นการประชุมเล็กๆ ของตระกูลเจียง
และ7-8คนนี้นับว่าเป็นคนสำคัญของตระกูลเจียง เจียงเยว่ถงรู้จักทุกคน เพราะพวกเขาก็ได้ควบคุมดูแลกิจการใหญ่น้อยของตระกูลเจียงกันหมด
อีกอย่าง ยังมีจุดที่เหมือนกัน ก็คือกิจการที่พวกเขาดูแลมันล้วนไม่เจริญ
ถ้าธุรกิจมีการแข่งขันสูงอยู่บ่อยๆ ถ้าไม่ใช่เพราะทุกด้านในบริษัทสู้คนอื่นเขาไม่ได้ ก็เป็นเพราะผลิตภัณฑ์ไม่ทันสมัย ถูกสังคมมองข้ามไปแล้ว ยื้อไว้ยากลำบาก
“ทุกคนมาถึงแล้วใช่ไหม?” เสียงของคุณย่าเจียงดังเข้ามา ทุกคนเงยหน้าขึ้น ก็เห็นว่าเจียงเฉิงเย่พยุงคุณย่าเจียงเดินเข้ามา
เจียงเฉิงเย่กวาดมองทุกคน แล้วไปหยุดที่ตัวของเจียงเยว่ถง พร้อมพูดว่า “มาพร้อมแล้วใช่ไหม”
“อย่างนั้นฉันก็จะไม่อ้อมค้อมแล้วนะ” คุณย่าเจียงนั่งที่ตำแหน่งหลัก แล้วพูดกับทุกคน
“กิจการของตระกูลเจียงมีไม่น้อย แต่ที่ทำเงินได้จริงๆ มีไม่มาก แถมยังมีหลายบริษัทที่ขาดทุน ฉันคิดว่าทุกคนคงรู้ดี” คุณย่าเจียงพูดไป กวาดมองทุกคนไป ทุกคนก็แทบจะก้มหน้ากันลงไปหมด
“และตอนนี้ พวกเราโชคดีที่ได้โอกาสร่วมลงทุนกับว่านเซียง มูวี เป็นโอกาสที่จะตระกูลเจียงของเราต้องคว้าไว้ ฉันคิดว่าทุกคนคงจะเห็นด้วยนะ?” คุณย่าเจียงพูดนิ่งๆ แต่ดูมีบารมีมาก แล้วก็พูดย้อนแย้งว่า “แต่ว่าตระกูลเจียงของเรามีทุนไม่พอ!
ทุกคนก็มองหน้ากัน สีหน้าก็ไม่ดี เจียงเยว่ถงขมวดคิ้วเล็กน้อย เหมือนว่าจะเดาอะไรออก
ทิ้งลูกน้องเพื่อรักษาหัวหน้าไว้ นี่มันก็คือวิธีพื้นฐานของการทำธุรกิจ
เจียงเฉิงเย่หัวเราะออกมาเบาๆ แล้วก็พูดว่า “เมื่อคืนนี้ผมกับคุณย่าปรึกษากันอยู่พักใหญ่ วิธีเดียวก็คือขายกิจการที่เป็นภาระของตระกูลเจียงไปเสีย เพื่อรวบรวมเงินทุน”
เจียงเฉิงเย่พูดอย่างไม่เกรงใจ แต่ก็พูดความจริง ทุกคนก็อยากจะพูดอะไรออกมา แต่ก็ค้านอะไรไม่ได้
เจียงเยว่ถงก็มีสีหน้าตกใจ ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ เธอเองก็ไม่รู้จะพูดอะไรเหมือนกัน ถึงแม้เธอจะลงแรงไปกับบริษัทฉีแยไปไม่น้อย อย่างไรเสียก็ขาดทุนอยู่แล้ว แต่ว่าตอนนี้……
“คุณย่าคะ บริษัทฉีแยเป็นกิจการของพ่อหนู อีกอย่างตอนนี้บริษัทฉีแยก็ฟื้นตัวมาได้แล้ว และหนูก็ได้รับงานใหญ่ไว้แล้ว หนูเชื่อว่าไม่นานก็จะได้กำไรมากมายเลย” เจียงเยว่ถงอดพูดออกมาไม่ได้
“ฟื้นตัวมาได้แล้วอย่างไร?บริษัทฉีแยอยู่ในมือเธอตั้งหลายปี ก็ไม่เห็นว่าจะสร้างแบรนด์เป็นของตัวเองมาได้ ไม่ต้องพูดถึงการขาดทุนทุกปีหรอก รายได้ก็ต่ำมาก เธอบอกว่าจะมีรายได้ มันจะมีให้ง่ายๆ งั้นหรือ?” เจียงเฉิงเย่ส่งเสียงไม่พอใจ “แต่จะว่าไปรับงานใหญ่มาแล้วก็ดีเหมือนกัน แบบนี้จะได้ขายได้ราคาหน่อย”
เจียงเยว่ถงกัดปากแน่น ไม่อยากจะยอม “พวกคุณอาจะยังไม่รู้ว่า งานที่ฉันรับไว้มันคือ…”
“เอาเถอะ!” คุณย่าเจียงยื่นมือเข้ามาห้ามเจียว่ถงอธิบาย พร้อมมองเธอแล้วพูดว่า “เสี่ยวถง ย่ารู้ว่าเธอลงแรงกับบริษัทฉีแยไปมาก แต่ที่เฉิงเย่พูดก็ไม่ผิด สถานการณ์ตระกูลเจียงในตอนนี้ เธอก็เห็นแล้ว ว่าต้องขายบริษัทฉีแยทิ้งจริงๆ”
“ข่าวเรื่องการขายกิจการของพวกเรา ได้ประกาศออกไปแล้วเมื่อชั่วโมงก่อน กำลังคุยเรื่องราคากันมีอยู่หลายบริษัท พวกคุณล้วนเป็นคำเก่งของตระกูลเจียง เป็นอนาคตของตระกูลเจียง ดังนั้นเฉิงเย่ได้คิดแล้วว่า จะให้วพวกคุณได้ตำแหน่งสำคัญในบริษัทใหญ่ของเรา” คุณย่าเจียงพูดอีกว่า “แต่ว่า ก่อนจะถึงตอนนั้น พวกคุณก็ยังเป็นคนดูแลกิจการของตัวเองไปก่อน จนกระทั่งตกลงเรื่องราคาขายกำเรียบร้อยแล้ว บริษัทอื่นก็จะมารับช่วงต่อไปเอง พอกลับไปแล้ว พวกคุณก็ไปประกาศให้คนเก่าคนแก่ทุกบริษัทที่อยู่ภายใต้ตระกูลเจียงให้รับรู้ด้วย ว่าถ้าใครไม่อยากลาออก พวกเราก็จะหาตำแหน่งให้ หรือสามารถอยู่ในบริษัทเดิมทำงานกับเจ้านายใหม่ได้”
“ตามนี้แล้วกัน แยกย้ายไปได้”
เจียงเยว่ถงรอทุกคนลุกออกไปกันหมดแล้วถึงจะตั้งสติกลับมา อ้าปากน้อยๆ ของเธอ แต่ไม่ได้พูดอะไร

ฉินเฟยตะลึงตาค้าง พักหนึ่งคิดว่าตัวเองตัวเองฟังผิดจนเกิดเป็นภาพหลอน แล้วถ้าตัวเองไม่ได้ฟังผิด? เจียงเยว่ถงปล่อยให้ตัวเองเข้าไปในห้องส่วนตัวของเธอเหรอ? ให้ตัวเองนอนกับเธออย่างนั้นเหรอ? นี่มันอะไรกัน?
เมื่อเห็นเจียงเยว่ถงกระทืบเท้าจากไปด้วยสีหน้าแดงเขินอาย สติของฉินเฟยก็กลับมา และรับพูดขึ้น “เต็มใจ เต็มใจ ผมเต็มใจแน่นอน”
เมื่อเห็นท่าทางที่ไม่สามารถปกปิดความตื่นเต้นของฉินเฟยแล้วนั้น ในใจของเจียงเยว่ถงก็เสียใจภายหลังเล็กน้อยขึ้นมาทันที แก้มยิ่งแดงจนร้อนรุ่ม และแอบด่าตัวเองว่า คืนนี้สมองมีปัญหาหรือไง? ตัวเองชิญฉินเฟยมานอนด้วยกันจริงเหรอ? เมื่อนึกถึงคำพูดของพ่ออีกครั้ง ในใจก็ยิ่งเขินอายและสับสน
แต่ว่า ที่บ้านนอกจากฉินเฟยก็ไม่มีคนอื่นแล้ว ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะฉินเฟยช่วยมาหลายครั้ง และเนื่องจากสามปีที่ผ่านมาฉินเฟยไม่เคยคิดผิดกับเธอเลย เธอมักจะรู้สึกว่ามีฉินเฟยอยู่ข้าง เธอก็สบายใจ
“ฉันแค่กลัวนิดหน่อยเท่านั้น นายก็อย่าคิดมากนัก” เสียงเยว่ถงหายใจเข้าลึกๆ เพื่อให้ตัวเองสงบลง ใบหน้าสวยงาเปลี่ยนมาเป็นเคร่งขรึมขึ้นทันที “และอีกอย่างหนึ่ง ฉันขอเตือนนายก่อนว่า นายจะมาถูกเนื้อต้องตัวฉันไม่ได้เด็ดขาด!”
ถึงแม้ว่าสีหน้าจะจริงจัง แต่ท่าทางบุ้ยปากนั้น ก็มีความนีรักอีกแบบหนึ่ง
“ไม่หรอก ที่รักกลัวนี่ ผมก็ต้องอยู่ข้างกายที่รักแน่นอนอยู่แล้ว” ฉินเฟยพยักหน้าอย่างจริงจัง แต่ในใจกลับแอบสุขสม เดิมคิดว่าภรรยาของตัวเองเป็นแบบพิษร้ายไม่อาจกล้ำกลายได้ แต่ถึงไม่ถึว่ายังคงเป้นผู้หญิงบอบบาง! ซึ่งท่าทางของผู้บอบบางนี้ ทำให้ฉินเฟยยิ่งชอบเข้าไปใหญ่
เรียก ‘ภรรยา’ เพียงประโยคเดียว ก็ทำให้เจียงเยว่ถงยากที่จะทำให้หน้เย็นลงได้ เมื่อก่อนเธอเกลียดคำเรียกที่ฉินเฟยใช้เรียกตนเองนี้มาก แต่เวลานี้เธอก็ขึ้นเกียจที่จะไปคิดเล็กคิดน้อยแล้ว และพรุ่งนี้ตัวเองยังต้องไปทำงานอีก คืนนี้เธอจะไม่นอนก็ไม่ได้ โดยลังเลสักพักและพูดขึ้น “นายไปอาบน้ำก่อน ฉันรอนายอยู่ที่ห้อง”
เจียงเยว่ถงรักความสะอาดมาตลอด และคืนนี้ฉินเฟยก็ยังไม่ได้อาบน้ำ เมื่อเสียงพูดจบลง แก้มของเจียงเยว่ถงแดงก่ำขึ้นอีกครั้ง เมื่อครู่ตัวเองพึ่งพูอะไรไปเนี่ย พูดเหมือนกับว่า…… “โอเค โอเค”
ไม่รู้ว่าฉินเฟยไม่ยินชัดหรือไม่ เขาเพียงพยักหน้าอย่างรวดเร็ว และมุดหายวับไปกับตาในห้องน้ำ โดยไม่ได้ล้อเลียนเธอ แต่ก็ทำให้เจียงเยว่ถงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ตระกูลเจียง!
ในคฤหาสน์ใหญ่ตระกูลเจยีง เจียงเฟิ่งหยุนและเจียงเฟิ่งหยู่ได้กลับไปแล้ว ส่วนอาหญิง้ล็กเจียงเฟิ่งซวงก็ไปอาบน้ำเตรียมตัวพักผ่อน มีแต่เจียงเย่เฉิงที่ยังไม่ได้กลับไป
ในขณะนี้ในห้องน้ำชาเล็กบนชั้นสอง เจียงเฉิงเย่มองคุณย่าเจียงที่ขมวดคิ้วจนแน่น ในใจร้อนร้นเป็นอย่างมาก การล่วงเกินฮั่วจงเหยียน ต้องไม่เป็นผลดีต่อตระกูลเจียงแน่ และผลจากการปรึกษาหารือของคุณพ่อพวกเขาทั้งสามคนคือ เรื่องนี้ตระกูลเจียงต้องร่วมแรงร่วมใจเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และรับผิดชอบด้วยกัน! ซึ่งยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้ สิ่งสำคัญคือ ต้องหาวิธีร่วมกับว่านเซียง มูวี!
“คุณย่าครับ ผมเห็นว่าแบบนี้ ถึงแม้ว่าตอนนี้ยังพอมีอสังหาริมทรัพย์อยู่บ้าง แต่มีหลายบริษัทก็ไม่ทำเงินเลย จนกระทั่งยังขาดทุนอยู่ด้วยซ้ำ” เจียงเฉิงเยว่กลอกลูกตาเล็กน้อยและพูดเสนอความคิด
“อืม เธอพูดต่อสิ” คุณย่าเจียงพยักหน้า เธอรู้ว่าหลานชายคนนี้เป็นคนมีความคิดมาโดยตลอด
“คุณย่าเองก็น่าจะคิดได้เช่นกัน ในเมื่อความร่วมมือกับว่านเซียง มูวี จะทำเงินได้แน่นอน และต้องทำเงินได้มหาศาลแน่ เช่นนั้นทำไมเราไม่เอาโครงการอสังหาริมทรัพย์ของตระกูลจียงมาขายสมบัติพัสถานออกไปบางส่วน เพื่อแลกเป็นเงินมาลงทุนกัลโครงการนี้เหล่ะครับ?” เจียงเฉิงเยว่พูดอย่างลำพองใจ เมื่อเห็นคุณย่าเจียงพยักหน้าหน่อย ก็รีบพูดต่อว่า “อย่างเช่นบริษัทฉีแยของเจียงเยว่ถง และเรื่องนี้คุณย่าต้องรู้แล้วแน่นอนว่า ก่อนน้านั้นเธอขาดทุน แต่ว่าไม่รู้ว่าไปยืมเงินสามล้านมาจากใครเพื่อนำมาหมุนเวียน อย่างเช่นบริษัทแบบนี้ เก็บไว้ไม่เพียงไม่ทำกำไร กลับมาขาดทุนอีก สู้ขายทิ้งเลยดีกว่า!”
“ฮึ ทำให้ฮั่วจงเหยียนขุ่นเคือง เรื่องความหายนะนี้ล้วนเป็นเจียงเยว่ถงและของไร้ค่าอย่างฉินเฟยเป็รคนก่อขึ้น มิหนำซ้ำบริษัทเธอก็ได้กำไรอีก!”
“อืม……” คุณย่าเจียงพยักหน้าเล็กน้อย ครุ่นคิดครู่หนึ่งและกล่าว “ถ้าอย่างนั้นเธอกลับไปสรุปว่า มีบริษัทไหนบ้างที่ไม่ได้ทำไร หรือว่าไม่มีศักยภาพใดๆ ในอนาคต สิ่งเหล่านี้ควรขายให้หมด หากไม่ขายมีแต่จะลากตระกูลเจียงให้ตกต่ำ นอกจากนี้ เขาหลีเสวี่ยที่เรารับเหมาก่อนหน้านี้ ก็ขึ้นราคาไม่น้อยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อย่างงั้นก็ไม่ต้องซื้อแล้วเหมือนกัน เธอช่วยหาผู้ซื้ออีกเจ้าให้ด้วย”
“เขาหลีเสวี่ย? ที่นั่น……คุณย่าไม่เสียดายหรือครับ?” เจียงเฉิงเย่ลังเลอยู่พักหนึ่ง
“เสียดายแล้วจะทำอะไรได้? อย่างไรเสียตระกูลเจียงของเราก็ไม่เงินมีมากขนาดนั้นที่จะพัฒนาที่นั่น สู้ขายเพื่อเอาเงินมาใช้ในการลงทุนจะดีกว่า” คุณย่าเจียงกล่าว
“ได้ครับ อย่างงั้นผมจะกลับไปหาผู้ซื้อ หลังจากนั้นสรุปทรัพย์สินสังหาริมศัพย์ของตระกูลเจียงเราที่จะนำมาขาย สรุปก็คือจะเก็บบริษัทฉีแยของเจียงเยว่ถงไว้ไม่ได้!” เจียงเฉิงเย่พูดพึมพำขึ้น
“ได้ อย่างนั้นเธอไปทำธุระก่อนเถอะ” คุณย่าเจียงโบกมือด้วยความอ่อนล้าเล็กน้อย
……
ซิงล้างมือ ณ หมู่บ้านเทียนหลัน!
หลังจากที่ฉินเฟยอาบน้ำเสร็จ ก็เปลี่ยนเป็นชุดนอนที่ปิดมิดชิดมากกว่าของเจียงเยว่ถง! ซึ่งนี่เป็นความเคยชินที่ปลูกฝังมาในช่วงเวลาสามปีที่ผ่านมา โดยเขาไม่สามารถใส่กางเกงบ็อกเซอร์อยู่ในบ้านได้ ยิ่งคืนนี้ที่ต้องนอนกับเจียงเยว่ถง จะให้มาโดนภรรยาตำหนิตัวเองว่าแอบคิดไม่ซื่อจนถูกไล่ออกมา เพียงเพราะพวกรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ นี้ไม่ได้! นอกจากเรื่องพวกนี้แล้ว เขายังแปรงฟันแล้วด้วย ถึงแม้จะรู้ดีว่าตัวเองกับเจียงเยว่ถงไม่ทางเกิดเรื่องอย่างว่าขึ้นแน่นอน แต่ในปากก็ต้องมีลมหายใจที่สะอาดสดชื่น จะได้ไม่ส่งผลกระทบต่อการนอนหลับของภรรยา!
“ผมเข้าไปแล้วนะ……” จัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ฉินเฟยกลั้นความตื่นเต้นในใจไว้ พยายามให้น้ำเสียงของตัวเองเป็นธรรมชาติขึ้น และยืนทักทายอยู่หน้าประตู
ในห้องนอน เจียงเยว่ถงพิงอยู่ที่หัวเตียง โดยชุดนอนกระโปรงสีดำทั้งตัว ทำให้คนรู้สึกอยากจะสำรวจความลึกลับนั้น และเธอก็ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ คืนนี้ถึงอยากใส่สวยขึ้นมา แต่เสียงของฉินเฟยที่อยู่หน้าประตู ก็ทำให้เจียงเยว่ถงหน้าแดงขึ้นมาอีกครั้ง อะไรคือเข้ามาแล้วนะ!
เมื่อเจียงเยว่ถงไม่ตอบอะไร ฉินเฟยก็ไม่กล้าเข้าไปเป็นธรรมดาอยู่แล้ว จนเขารู้สึกหงุดหงิดในใจ และบ่นอยู่ในใจว่าหรือเป็นเพราะตัวเองระงับความตื่นเต้นในใจไม่อยู่ จึงทำให้เจียงเยว่ถงตกใจกลัวหรือเปล่า? ที่จริงแล้วในมุมมองของเจียงเยว่ถง การที่เธอไม่พูดก็คือตกลงโดยปริยาย แต่ว่าภายใต้ความประหม่าของเธอ เมื่อรอแล้วรอเล่า ฉินเฟยก็ยังไม่เข้ามาอีก! กระทั่งเจียงเยว่ถงโมโหหนัก
ทันใดนั้นเสียงหลุด ‘ก๊าก’ หัวเราะออกมา จนเธอยิ้มด้วยความโมโหอีกครั้ง นายคนนี้ให้เกียรติตัวเองมากเกินไปแล้วหรือเปล่า เหมือนกับว่า……ตนเองเป็นเทพธิดาที่ล่วงละเมิดไม่ได้ในสายตาของเขา
เจียงเยว่ถงเม้นปากบางของเธอและพูดอย่างเคืองๆ ว่า” รีบเข้ามาสิ!”
“อ้อ อ้อ”
ฉินเฟยพึ่งเดินเข้าไปในห้องนอน ไม่ทันไรโคมไฟตั้งโต๊ะก็ปิดลง จนมืดไปหมด เห็นได้ชัดว่าเจียงเยว่ถงไม่อยากให้เขาเห็น สิ่งที่ไม่ควรเห็น ฉนเฟยถอนหายใจขึ้นหนึ่งลมหายใจ และเขาก็รู้ดีว่าเจยีงเยว่ถงไม่ใช่หญิงสาวที่จะซาบซึ้งกับอะไรได้ง่ายๆ เจียงเยว่ถงอาจจะซาบซึ้งใจ แต่จะไม่มีทางอุทิศตนและทำเรื่องโง่ๆ เพียงเพราะความซาบซึ้งใจ อย่างไรก็ตามคืนนี้ได้นอนกับเจียงเยว่ถงในห้องนอนเดียวกัน เขาก็มีความสุขแล้ว
“ผมจะเอาไปเอาผ้าห่ม คืนนี้ผมจะปูพื้นนอนอยู่นี่ที่” ฉินเฟยพูดขึ้นเมื่อปรับตัวกับความตรงหน้าได้แล้ว
เจียงเยว่ถงที่นอนอยู่ในผ้าห่มชะงักขึ้น และพูดในใจว่าเขาสองคนใจก็ตรงกันเหลือเกิน เธอเองก็คิดแบบนี้เหมือนกัน! แต่ความแบบนี้ก็แค่ความคิดชั่ววูบเท่านั้น และเธอก็ปฏิเสธขึ้นอย่างรวดเร็ว เรียกคนอื่นมาและกลับให้เขานอนที่พื้นงั้นเหรอ? เรื่องแบบนี้เจียงเยว่ถงทำไม่ลงจริงๆ!
“ไม่ไปต้องแล้ว นายก็นอนบนเตียงนี่เหล่ะ” เจียงเยว่ถงพูดขึ้น ถือว่าเป็นการให้รางวัลเขาแล้วกัน!
“คุณแน่ใจนะ?” ฉินเฟยอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้น พูดจบก็ยากตบหน้าตัวเองสักที ทำไมเขาโง่แบบนี้?
“แต่ขอบอกก่อน นายจะรังแกฉันไม่ได้รู้ไหม? ได้ยินหนือยัง?” เจียงเยว่ถงเตือนด้วยเสียงแข็ง
“ผมก็อยากนะ สิ่งสำคัญตอนนี้คือต่อให้ผมจะมีใจ แต่ก็ไร้เรี่ยวแรง” ฉินเฟยยิ้มอย่างขมขื่น ซึ่งหลังจากที่อาบน้ำเสร็จ เขาพึ่งรู้สึกถึงความอ่อนล้าที่ค่อยๆ พุ่งเข้ามา เมื่อฝ่ามือที่ได้รับบาดเจ็บโดนน้ำ กลับมีอาการเจ็บแปลบขึ้นเล็กน้อย เกรงว่าตอนนี้มีใครก็ตามที่เข้ามา ล้วนไม่ใช่ตู่ต่อสู้ของเขา แต่จะไม่ว่าอย่างไร เขาก็ไม่คิดจะทำอะไรเจียงเยว่ถงอยู่แล้ว
เจียงเยว่ถงไม่เหมือนผู้หญิงคนอื่น ในใจของเขา ก็เหมือนกับเทพธิดาที่ไม่อาจล่วงละเมิดได้อย่างไรอย่างนั้น และเจียงเยว่ถงมีนิสัยที่แกร่งกร้าวและหยิ่งในศักดิ์ศรี เรื่องที่เธอไม่อนุญาตให้ทำ ตัวเองไม่มีทางบังคับให้เธอทำ สามปีที่อยู่ด้วยกัน เขารู้จักเจียงเยว่ถงเป็นอย่างดี
“อะไรคือมีใจแต่ไม่มีแรง ดีที่สุดคือแม้แต่จะคิดก็ไม่ได้!”
“ผมรู้แล้ว”
……กลางดึก! ในห้องนอนเงียบกริบ ฉินเฟยแข็งทื่อเหมือนศพ ที่นอนอยู่ข้างกายเจียงเยว่ถง โดยไม่กล้าขยับแม้แต่น้อย แม้แต่การหายใจก็ยังพยายามรักษาความสมดุลไว้
เจียงเยว่ถงโตมาขนาดนี้นี่ถือว่าเป็นครั้งแรกที่ได้นอนเตียงเดียวกันกับผู้ชาย แม้ว่าเธอจะรู้ดีว่าผู้ชายคนนี้เป็นสามีถูกต้องตามกฎหมายของเธอ แต่ในใจของเธอก็ยังไม่มั่นใจมากนัก และช่วงนี้ฉินเฟก็ปลี่ยนไปเยอะเช่นเดียวกัน แม้ว่าในความคิดของเธอ ยังเป็นฉินเฟยคนที่คุ้นเคย เชื่อฟังตัวเองเสมอ และยังคงกลัวอยู่เช่นเดิม แต่กลับรู้สึกว่ายังบางส่วนที่ยังไม่คุ้นเคย……อย่างไรก็ตามท่าทางของฉินเฟยทำให้เจียงเยว่ถงตลกขบขันขึ้นมาในใจอีกครั้ง ราวกับว่าตัวเองเป็นผ็ชาย และฉินเฟยเป็นผู้หญิงขี้อาย ที่นอนอยู่ตรงนั้นโดยไม่กล้าขยับไปไหน
ความตลกที่เกิดขึ้นในใจ ก็ทำให้ความรู้สึกแปลกหน้าที่มีต่อฉินเฟยจางหายไปเช่นกัน และในที่สุดใจของเธอก็สงบลง แต่ไม่ว่าอย่างไร นี่เป็นครั้งแรกที่ได้นอนกับผู้ชาย เจียงเยว่ถงมีความกังวลอยู่เล็กน้อยเหมือนกัน เพราะไม่ว่าอย่างไรฉินเฟยก็คือสามีของตัวเอง และเธอรู้ดีว่าตัวเองสวยแค่ไหนแล้วถ้าอยู่ๆ สันดานสัตว์ของนายนี่กำเริบแล้วรังแกตัวเองขึ้นมาจะทำอย่างไร? ไม่หรอกมั้ง? มันแน่นอยู่แล้ว! เธอพึ่งจะปลอบตัวเองให้หลับตาลง ทันใดนั้นเสียง ‘สวบสาบ’ ดังมาจากข้างๆ หู
หัวใจที่พึ่งผ่อนคลายลงของเจียงเยว่ถงก็เคร่งเครียดขึ้นมาอีกครั้งทันที สัญชาตญาณบอกเธอว่า เสียงเบาๆ นี้ออกมาจากฉินเฟยที่อยู่ข้างกาย หรือว่านายนี่ยังไม่นอน? เจียงเยว่ถงอยากลืมตาขึ้นมาดูแ แต่ในใจกลับลุลี้ลุกลุน ร่างกายก็ร้อนร่มขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ โดยก็ไม่กล้าลืมตาด้วยซ้ำ แต่กลับยิ่งปิดตาให้แน่นขึ้น ในใจก็อธิษฐานให้ฉินเฟยรับหลับอย่างต่อเนื่อง
ฉินเฟยเองก็อยากนอน แต่ศพแข็งทื่อที่ไม่ได้ขยับ อย่างไรก็นอนไม่หลับ จึงต้องหาท่าที่สบายๆ ค้างไว้สักพักก่อนถึงจะได้ เหตุผลที่ต้องแกล้งหลับ คือไม่อยากให้เจียงเยว่ถอึดอัดใจเกินไป เขารู้จักเจียงเยว่ถงดี มีแต่เขาหลับแล้ว ผู้หญิงคนนี้ถึงจะกล้านอนอย่างสบายใจ แต่มีผู้หญิงอรชรอ้อนแอ้นนอนอยู่ข้างกาย เขาจะนอนได้อย่างไร?
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน ฉินเฟยที่หลับตาก็รับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าเจียงเยว่ถงที่อยู่ข้าง ๆ กําลังจ้องมองตัวเองอยู่
ในผ้าห่ม เจียงเยว่ถงชะโงกศีรษะเล็ก ๆ ออกมา และมองซ้ายและขวาบนใบหน้าของฉินเฟยในความมืด แน่ใจว่าในที่สุดเขาก็หลับไปแล้ว ในใจจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ฉินเฟยนอนหลับด้วยท่าทางที่ดูสงบ จู่ๆ เจียงเยว่ถงก็พบว่า ดูเหมือนสามีของตัวเอง……ก็หล่อเหมือนหัน ความคิดล่องลอยไป จนเจียงเยว่ถงอดนึกถึง เมื่อตอนที่ยกมือขึ้นพร้อมกันกับฉินเฟยกล่าวคำมั่นสัญญาในวันที่จดทะเบียนสมรส ซื่อสัตย์ต่อความรักตลอดชีวิต ไม่อยู่หรือตาย…… ก็นึกขึ้นได้ว่า ความขยันหมั่นเพียรสามปีของผู้ชายคนนี้ ดูแลตัวเองอย่างพิถีพิถัน และเมื่อนึกถึงคืนนี้ เวลาที่เขาโอบกอดตัวเอง ความเจ็บปวดและความอ่อนโยนบนใบหน้านั่น และความโทสะ……
จําได้ว่า ตอนที่เขาเกิดโทสะ ที่ฮั่วจงเหยียนลวนลามตัวเอง ท่าทางที่สู้สุดชีวิต จนอยากจะฆ่าเขาให้รู้แล้วรู้รอดไป! ผุ้ชายแบบนี้…… มุมปากของเจียงเยว่ถงกระตุกขึ้นเล็กน้อย ราวกับว่าอยู่กับผู้ชายคนนี้ทั้งชีวิต ก็ไม่เลวเหมือนกัน……เจียงเยว่ถงน่าจะหลับไปแล้ว ลมหายใจของเธอเปลี่ยนเป็นปกติ
กลิ่นหอมจางๆ แทรกซึมเข้ามาที่ปลายจมูก ผสมกับกลิ่นน้ําหอมและครีมอาบน้ำที่เป็นเอกลักษณ์ของเจียงเยว่ถง ทําให้ฉินเฟยรู้
อย่างชัดเจนว่า เทพธิดาที่หยิ่งผยองและไม่ยิ้มออกมาง่ายๆ ในใจของเขา ในเวลานี้สวมชุดนอนผ้าไหมแท้นอนอยู่ข้างกายตัวเอง ภายใต้ชุดนอนกระโปรงไหมแท้ เป็นร่างกายที่ทําให้ตัวเองหลงใหล……
พอนึกถึงตรงนนี้ หัวใจของฉินเฟยเต้น ‘ตูบ ตูบ’ ไม่หยุดอย่างควบคุมไม่ได้ และค่อยๆ พลิกตัว มือข้างหนึ่งยื่นออกไปทางร่างกายออดอ้อนอรชรที่อยู่ข้างกายอย่างไม่สามารถควบคุมได้……

“ฉินเฟย……ฉินเฟย? เกิดอะไรขึ้นกับนาย? นายคิดอะไรอยู่เหรอ? ในขณะที่ฉินเฟยกำลังตกอยู่ในห้วงเวลารำลึกความทรงจำ ก็ได้ยินเสียงแปลกๆ ของเซียววี่
ฉินเฟยส่ายหัวไปมา และสลัดอารมร์ทั้งหมดทิ้งไป: “อ้อ ไม่มีอะไรครับ ขออภัยด้วย ผมคิดฟุ้งซ่านไปหน่อย”
เซียววี่ชะงักเล็กน้อย: “ที่แท้นายไม่ได้รู้จักฮั่วจงเหยียน เสียใจภายหลังใช่ไหม?”
“ก็รู้สึกเสียใจนิดหน่อย ถ้ารู้ตั้งแต่แรกผมก็ตบมันอีกสักสองสามทีแล้ว” ดูเหมือนฉินเฟยจะแค่ล้อเล่น ซึ่งพูดขึ้นทันทีว่า: “ผมจะระวังมากกว่านี้ แต่เรื่องนี้ผมไม่เสียใจเลย กล้ารังแกภรรยาผม ผมไม่สนหรอกว่ามันเป็นใคร!”
เซียววี่เม้มปากเล็กน้อย: “อย่างไรก็ตามต่อไปก็ระวังตัวหน่อย”
พวกเขาพึ่งรู้จักกันเมื่อวาน อย่างมากสุดก็ถือว่าเป็นเพื่อนธรรมดาทั่วไป เซียววี่ก็พูดไปตามเป็นพิธี แต่ดวงตาคู่งามอดไม่ได้ที่จะมองฉินเฟยอีกหลายครั้ง ก่อนหน้านี้เธอก็รู้สึกว่าฉินเฟยไม่ใช่คนธรรมดา แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเขาจะเป็นลูกเขยแต่งเข้าบ้านของตระกูลเจียง!
แต่มุมมองของเซียววี่ เธอไม่สนใจสิ่งเล็กน้อยนี้อยู่แล้ว และไม่มีทางดูถูกฉินเฟยเพียงเพราะฐานะทางสังคมของเขาอย่างแน่นอน แต่กลับรู้สึกว่าการที่ดาบเสวี่ยอิ่นเลือกเขามาเป็นเจ้านาย ก็มีเหตุผลเช่นกัน!
ต่อให้เป็นเขยแต่งเข้าบ้าน ก็ไม่ใช่คนธรรมดา!
เซียววี่แปลกประหลาดใจอยู่ภายในใจ แต่ที่จริงแล้วเจียงเยว่ถงแปลกประหลาดใจมากกว่า!
แต่งงานมาสามปี เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฉินเฟยก็มีพลังที่แข็งแกร่งขนาดนี้เหมือนกัน และแปลกใจที่ฉินเฟยรู้จักคนมากขนาดนี้ได้อย่างไร?
คนหนึ่งคือเสิ่นเจียเหวิน ซึ่งเจียงเยว่ถงไม่คิดว่าเป็นเพราะว่าพวกเธอสองคนเป็นผู้หญิงด้วยกัน มีเรื่องพูดคุยที่เหมือนกัน อีกฝ่ายก็จะช่วยตัวเองแบบนี้ ในนั้นต้องมีฉินเฟยคอยช่วยอยู่แน่นอน ดังนั้นเสิ่นเจียเหวินถึงให้โอกาสการลงทุนในการถ่ายทำ นี้ให้กับเธอ
ตอนนี้ก็คุณหนูใหญ่ตระกูลเซียวอีกคน ไม่เพียงแต่เป็นสาวสวยเท่านั้น แต่เป็นวงการตระกูลสูงศักดิ์ในซงไห่ ที่มีบารมีล้นหลาม แล้วฉินเฟยไปรู้จักเธอได้อย่างไรกัน?
เมื่อมองดูฉินเฟยและเซียววี่คุยกัน เจียงเยว่ถงในฐานะที่เป็นภรรยาของฉินเฟย ดูเหมือนจะไม่รู้จักฉินเฟยมากขึ้นนเรื่อยๆ แล้ว
“เธอมาแล้ว……” เซียววี่สังเกตเห็นเหงาที่เดินเข้ามาของเจียงเยว่ถง จึงกระซิบเตือนด้วยเสียงเบา
“ยินดีที่ได้เจอค่ะ คุณเซียว” เจียงเยว่ถงทักทายขึ้นก่อน ด้วยใบหน้าสวยสดงดงามและเสียงที่อ่อนโยน
เซียววี่เงยหน้าขึ้น สีหน้ายิ้มแย้ม: “ยินดีที่ได้เจอค่ะ”
ฉินเฟยกำลังจะพูดขึ้น แต่สังเกตเห็นเจียงเยว่ถงขยิบตาอย่างแรงมาที่เขา และพูดด้วยรอยยิ้ม: “ฉันคอแห้ง ขอไปดื่มอะไรก่อน”
ดูเหมือนเจียงเยว่ถงจะรู้จักกับเซียววี่ และมันก็ไม่ควรที่เขาจะเข้าจะพูดแซกแซง ระหว่างการคุยกันของผู้หญิง
ฉินเฟยนั่งครองโต๊ะหนึ่งคนเดียว และกินของหวานของตัวเองอย่างใจจดใจจ่อ โดยไม่มีใครพูดอะไร แน่นอนว่าก็ไม่ใครมาเข้าใกล้เช่นกัน
แม้ว่าฉินเฟยจะสามารถกู้หน้าชูตาได้ครั้งหนึ่ง และได้รับความชื่นชมจากคนรุ่นใหม่หลายคนในตระกูลเจียง แต่เขาก็ทำให้ฮั่วจงเหยียนไม่พอใจ ซึ่งผู้หนุนหลังฮั่วจงเหยียนคือตระกูลฮั่ว เดิมทีฉินเฟยก็คือตัวปัญหาใหญ่อยู่แล้ว ซึ่งไม่มีใครที่อยากข้องเกี่ยวกับตัวปัญหาเช่นกัน!
ฉินเฟยไม่สนใจอยู่แล้ว สายตาของเขากวาดมองไปยังเจียงเยว่ถงและเซียววี่โดยไม่ทันตั้งตัว สาวสวยสองคนยืนอยู่ด้วยกัน ดูแล้วทำให้จิตใจเบิกบานยิ่งหนัก
จริงๆ แล้วเจียงเยว่ถงกับเซียววี่เจอกันเพียงไม่กี่ครั้ง และก็ไม่ได้สนิทสนมกัน ซึ่งเจียงเยว่ถงได้ถามคำถามที่ค้างคาใจที่สุดออกไปว่า เซียววี่กับฉินเฟยรู้จักกันได้อย่างไร?
“พึ่งรู้จักกันเมื่อวาน เขาไปซื้อวัตถุโบราณที่ถนนของโบราณวัตถุ คุณฉินมีความรู้และเชี่ยวชาญเรื่องโบราณวัตถุมาก ดังนั้นก็เลยรู้จักกัน” เซียววี่ยิ้มเล็กน้อย ด้วยน้ำเสียงที่ชื่นชมเป็นอย่างมาก: “เขามีวัตถุโบราณชิ้นหนึ่งต้องการเอาไว้ที่ฉันเพื่อช่วยศึกษาและวิจัย ซึ่งไปรับวันนี้ แต่พึ่งรับโทรศัพท์พอดี ฉันเห็นว่าเขาค่อนข้างจะเร่งรีบ จึงอาสาขับรถมาส่ง”
“ก็คือดาบที่อยู่ในมือสามีของฉันนั้นเหรอ? เจียงเยว่ถงพยักหน้าเล็กน้อย แต่กลับมีความขมขื่นและตื่นตะลึงเล็กน้อย
ฉินเฟยยังมีการศึกษาและวิจัยวัตถุโบราณด้วยเหรอ?
เชี่ยวชาญเป็นอย่างลึกซึ้งด้วย?
ไม่มีใครไม่รู้ว่า ตระกูลเซียวเป็นตระกูลเก่าแก่ด้านวัตถุโบราณ ว่าแต่เซี่ยววี่ชื่นชมฉินเฟยขนาดนี้เลยเหรอ?
และเนื่องจากความชื่นชมของเซียววี่ที่มีต่อฉินเฟย รวมกับภาพเมื่อครู่ที่พวกเขาพ่งคุยกันแล้ว ไม่รู้ว่าทำไม หัวใจของเจียงเยว่ถงกลับรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ดังนั้นจึงพูดคำว่า ‘สามี’ อย่างหนักแน่น
เธออยากให้เซียววี่รู้ว่า เธอคือภรรยาของฉินเฟย!
“อืม” เซียววี่พยักหน้าลงเบาๆ และมองไปที่เจียงเยว่ถงด้วยสายตาที่น่าอิฉา: “เจอหาสีที่ดีแล้ว”
เซียววี่อิจฉามากจริงๆ ซึ่งตอนนี้เธอก็โสดเหมือนกัน เธอก็อยากหาคนที่ตัวเองชอบ และเป็นผู้ชายที่เต็มใจทุ่มเททุกอย่างเพื่อตัวเอง ถึงแม้ว่าผู้ชายคนนี้จะไม่ร่ำรวย และไม่มีอำนาจใดๆ ก็ตาม!
และผู้ชายคนนี้บังเอิญถูกเจียงเยว่ถงพบเจอไปแล้ว จะไม่ให้เธออิจฉาได้ยังไงกัน?
เจียงเยว่ถงตกตะลึงกับคำพูดของเธอ แล้วสีหน้าแดงขึ้นเล็กน้อย อดไม่ได้ที่จะมองไปทางฉินเฟยที่นั่งอยู่ไม่ไกลที่กำลังมองมาทางนี้พอดี และพยักหน้าด้วยความเขินอาย: “สามีของฉันดีกับฉันมากจริงๆ ล่ะค่ะ”

ผู้หญิงเป็นสัตว์โลกที่แปลก ถึงแม้ว่าเจียงเยว่ถงจะขี้อาย แต่ในใจกลับอดที่จะคิดมากไม่ได้ เซียววี่ชมฉินเฟยมากขนาดนี้ ในใจของเธอก็ชอบฉินเฟยเหมือนกันใช่ไหม? แล้วถึงแม้จะพูดเรื่องแบบนี้ออกไป ตัวเธอเองก็ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี แต่เธอก็ไม่สามารถบังคับตัวเองไม่ให้คิดแบบนี้ไม่ได้
เรื่องจากเรื่องของฮั่วขงเหยียนที่เกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว ดังนั้นงานเลี้ยงฉลองของเจียงเยว่ถงไม่จบลงอย่างปริยายเช่นกัน
คุณย่าเจียงจำเซียววี่ได้ตั้งแต่แรกแล้ว จึงกล่าวทักทายเธอ เซี่ยววี่ตอบกลับด้วยรอยยิ้มว่า: “คุณพ่อร่างกายไม่สบาย พรุ่งนี้ไม่อาจมาร่วมงานเลี้ยงฉลองวันเกิดได้ด้วยตนเอง แต่ได้เตรียมของขวัญวันเกิดไว้แล้ว ซึ่งพรุ่งนี้หนูจะมาเยี่ยมเยียนถึงที่บ้าน หวังว่าคุณย่าเจียงจะโกรธกันนะคะ”
“โกรธอะไรกัน คุณเซียวต้องมาที่นี่บ่อยๆ ถึงจะถูก ฝากความห่วงใยไปให้ท่านผู้เฒ่าเซียวแทนฉันด้วยนะ” คุณย่าเจียงพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“หนูจะนำคำพูดของคุณย่าเจียงส่งไปจนถึงแน่นอนค่ะ” เซียววี่พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม ใบหน้าที่อบอุ่นและงดงาม บวกกับบุคลิกที่มีการศึกษาดุจดั่งมีดุจดั่งไม่มีนั้นแล้ว ทำให้ชายหนุ่มพี่น้องท้องเดียวของตระกูลเจียงอดไม่ได้ที่จะมองอีกหลายครั้ง แม้แต่ฉินเฟยก็ไม่มีข้อยกเว้น
หลังจากที่ฉินเฟยกลับไป ทุกคนในตระกูลเจียงก็แยกย้ายกันไป
โดยฉินเฟยไปกับเจียงเยว่ถงและแม่ยายของเขา ซึ่งเจียงเฟ่งหยุ่นไปส่งด้วยตัวเอง สายตาที่เขามองฉินเฟยนั้นก็เปลี่ยนไปแล้วเหมือนกัน
เขาก็เหมือนกับเจียงเยว่ถง ที่เขาไม่ชอบฉินเฟย ไม่ใช่เพราะเขาไม่มีความสารถ แต่เป็นเพราะเขาเอ้อละเหยลอยชาย คนอื่นด่าเขาว่าเป็นคนไร้ค่า เขาไม่มีความทรนงเลยสักนิด และในฐานะที่เจียงเฟิ่งหยุนเป็นทหารมาโดยกำเนิด ย่อมดูถูกคนประเภทนี้เป็นธรรมดาอยู่แล้ว!
แต่ตอนนี้ได้เปลี่ยนไปแล้ว แค่ที่ฉินเฟยยอมสละชีวิตตัวเองเพื่อปกป้องลูกสาวของเขาแบบนี้ ก็เพียงพอให้เจียงเฟิ่งหยุนมองฉินเฟยสูงขึ้น และพวกเขาจะเป็นครอบครัวที่แท้จริง!
เจียงเฟิ่งหยุนไปส่งด้วยตัวเอง โดยน้ำเสียงก็เปลี่ยนเป็นมิตรกันมากขึ้น: “เสียวเฟย เธอยากทำงานไหม? เรื่องงานฉันสามารถหาเพื่อนช่วยเธอได้ แต่ต้องตั้งใจทำงาน แม้ครอบครัวเราจะไม่ขาดแคลนเงินทอง และก็ไม่ต้องการให้เธอต้องหาเงินได้จำนวนมากๆ เป็นผู้ชายก็ต้องมีการงานเป็นหลักเป็นแหล่ง”
“คุณพ่อคุณแม่ มีหลายอย่างที่พวกท่านไม่รู้ ตอนนี้ฉินเฟยมีงานแล้ว เขาทำงานเป็นผู้ช่วยรองประธานระดับสูงอยู่ที่ว่านเซียง มูวี” เจียงเยว่ถงเหลือบมองฉินเฟยหนึ่งครั้ง และอธิบายขึ้นเอง
และถ้าเป็นเมื่อก่อน เจียงเยว่ถงไม่เป็นแบบนี้แน่นอน แต่เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนี้ ในที่สุดเจียงเยว่ถงก็รู้ว่าอะไรคือความเย็นชาและอบอุ่นในความรัก ในเวลาที่เธอถูกรังแก ทุกคนในตระกูงเจียงยืนดูอยู่ข้างๆ เท่านั้น มีเพียงพ่อแม่และฉินเฟยเท่านั้นที่มาห้าม
“แค่พนักงานเล็กๆ คนหนึ่งเท่านั้น ในหนึ่งปีจะได้เงินเดือนเท่าไหร่เชียว? เสิ่นหัวบ่นพึมพัมอยู่ข้างๆ
“ผู้หญิงจะไปเข้าใจอะไร?” เจียงเฟิ่งหยุนถลึงตาเข้าใส่เสิ่นหัวหนึ่งครั้ง
เจียงเฟิ่งหยุนผ่านอุปสรรคมากมายนับไม่ถ้วน แม้กระทั่งความเป็นความตาย ดังนั้นถึงตอนนี้สภาพจิตใจของเขาเปลี่ยนเป็นสงบขึ้นเรื่อยๆ แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าเขาโกรธไม่เป็น แต่กลับมองบางเรื่องจากข้อเท็จจริงพื้นฐานมากกว่า
และเรื่องที่พึ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่ ก็เพียงพอที่จะทำให้เห็นตัวตนที่แท้จริงของฉินเฟย และเขาก็ยอมรับลูกเขยคนนี้แล้ว
“เสี่ยวถง เธอประคองเขาหน่อย และอย่าให้เสี่ยวเฟยล้ม” เจียงเฟิ่งหยุนกำชับขึ้นมาหนึ่งคำ เมื่อเห็นจังหวะการก้าวเท้าของเขาอ่อนแรงเล็กน้อย
เมื่อครู่ฉินเฟยพึ่งผ่านสงครามครั้งใหญ่มา คนอื่นอาจจะแค่มองดูเพื่อความคึกคักเท่านั้น แต่ในฐานะที่เขาเป็นทหารมาโดยกำเนิดกลับรู้ว่า ระหว่างการต่อสู้ของฉินเฟยและฮั่วจงเหยียนเมื่อครู่ทุ่มเทอะไรไปบ้าง นั่นเป็นการทุ่มเทอย่างเอาเป็นเอาตายเลย
โดยเฉพาะการต่อสู้ด้วยพละกำลัง ซึ่งหลังจากการปะทะกันของกำลังกล้ามเนื้อที่ระเบิดออกมาอย่างสุดขั้ว คนก็จะมากระบวนการกำลังเสื่อมทรุดลง และเปลี่ยนเป็นปวดเมื่อยอ่อนแรงไปทั้งตัว
“อืม” ดูเหมือนเจียงเยว่ถงพึ่งนึกขึ้นได้ เมื่อเห็นภาพที่มารดาประคองมารดาอยู่ จึงรีบเอื้อมมือเข้าประคองฉินเฟย
ในใจของฉินเฟยตื่นเต้นเล็กน้อย ภาพแบบนี้ เป็นสิ่งที่เขาไม่กล้าคิดเลยแม้แต่น้อย!
สูดกลิ่นกายหอมสบายบนกายของภรรยา มออีกข้างหนึ่งก็อดไม่ได้ที่จะกอดเอวเพียวบางของเจียงเยว่ถง
โดยความงดงามของเจียงเยว่ถง ก็เป็นที่ยอมรับของทุกคน และรูปร่างที่ของเธอก็ร้อนแรงอย่างไม่ต้องสงสัยเหมือนกัน สามปีของการอยู่ร่วมกันทั้งเช้าและเย็น ต่อให้เจียงเยว่ถงระวังมากแค่ไหน แต่จะก็ถูกฉินเฟยแอบมองเห็นบางอย่างเหมือนกัน เช่นเอวคอดขาว
ปิดกั้นด้วยเนื้อผ้าบางๆ ชั้นหนึ่ง ฉินเฟยสามารถจินตนาการถึงเนื้อนุ่มเอวคอดขาวของภรรยาตัวเอง แล้วฝ่ามือของเขาจะสั่นขึ้นเบาๆ ……
ร่างกายที่บอบบางของเจียงเยว่ถงเองก็แข็งกระด้างเล็กน้อย ตอนแรกฉินเฟยแค่ประคองหลอกๆ แต่ในไม่ช้าก็ใกล้ชิดแนบสนิทอย่างสมบูรณ์แบบ ทำให้ใบหน้าเธอแดงขึ้นเล็กน้อย รู้สึกแปลกใจใน แต่ก็ไม่ได้บอกให้หยุด
เสิ่นหัวก็ประคองเจียงเฟิ่งหยุนอยู่เหมือนกัน เพราะก่อนหน้านั้นฮั่วจงเหยียนผลัดเขาจนเข้าที่เอว: “ที่บ้านมีน้ำมันแดง กลับไปให้ฉันถูให้คุณหน่อย”
ถึงแม้เสิ่นหัวจะม่เป็นที่ชื่นชอบมากนัก แต่ก็ใส่ใจกับเจียงเฟิ่งหยุ่นด้วยความจริงใจ
“ไว้ทีหลังค่อว่ากันเถอะ ฉันจะต้องกลับไปอีกรอบหนึ่ง” เจียงเฟิ่งหยุนส่ายหัวด้วยรอยยิ้ม เจียงเฟิ่งซวงมาครั้งหนึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย และเป็นธรรมดาที่พวกเขาสามพี่น้องต้องมาสังสรรค์กันอยู่แล้ว
ระหว่างทางกลับ ในรถเงียบเป็นพิเศษ และสายตาที่เสิ่นหัวมองฉินเฟยก็เปลี่ยนเป็นซับซ้อนขึ้นเล็กน้อย หัวใจของมนุษย์เต็มไปด้วยเลือดเนื้อ แล้วการชวยเหลือของฉินเฟยในครั้งนี้ เกินความคาดหมายของเธอจริงๆ แต่เธอยังคงเชื่อว่าฉินเฟยเป็นตัวปัญหา ครั้งนี้ที่สามีกลับไป เห็นได้ชัดเจนว่าเป็นการหารือเกี่ยวกับแผนรับมือ เพราะครั้งนี้ฉินเฟยทำให้ฮั่วจงเหยียนไม่พอใจ!
แต่เจียงเฟิ่งหยุ่นตัดสินยอมรับฉินเฟย และลูกสาวของเธอก็ไม่ยอมหย่ากับฉินเฟยด้วย เธอเองก็ยากที่จะพูดอะไรอีก
เนื่องจากงานเลี้ยงฉลองจบแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ระหว่างทางเจียงเยว่จึงลงจากรถและหาร้านอาหารโฮมเมดเพื่อซื้ออาหาร ให้แม่ยายนำกลับไปทานที่บ้าน เพื่อจะได้แยกย้ายกัน
เห็นได้ชัดเจนว่า มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น ถ้าทานข้าวด้วยกันมักจะทำให้อึดอัดใจ
“แม่ของฉันก็เป็นคนแบบนี้แหล่ะ เธอให้ความสำคัญกับเงินมากเกินไป แต่จริงๆ แล้วเจตนาเดิมของเธอก็เพื่อฉัน นายก็อย่าโกรธเลยนะ” เจียงเยว่ถงอธิบาย
“ผมรู้ และผมก็ไม่ได้โกรธเลย” ฉินเฟยพยักหน้าเล็กน้อย และรู้สึกแปลกใจ ที่เจียงเยว่ถงอธิบายให้คนก่อน?
เจียงเยว่ถงมีความคิดที่ละเอียดออ่อน อย่างไรเสียเมื่อก่อนก็เป็นพ่อแม่เธอที่ไล่ฉินเฟยออกจนากบ้านไป
“อืม งั้น……เรากลับบ้านกันเถอะ” เจียงเยว่ถงกล่าว การพูดคำเชิญแบบนี้ ทำให้เจียงเยว่ถงหน้าแดงขึ้นมาเล็กน้อย
“อืม กลับบ้าน!”

ในบ้านภายใต้โคมไฟคริสทัลที่สว่างไสว โดยมีเจียงเยว่ถงและฉินเฟยนั่งตรงข้ามกัน
“มือของนายเป็นอะไร?” เจียงเยว่ถงสังเกตเห็นว่ามือที่จับตะเกียบของฉินเฟยดูแปลกๆ โดยอดไม่ไดขมวดคิ้วและพูดขึ้น “ไม่เป็นไร ก็แค่อ่อนแรงหนิดหน่อย” ฉินเฟยผงะเล็กน้อยแลอธิบายไปตามน้ำ
เจียงเยว่ถงขมวดคิ้วอีกครั้ง โดยจับที่มือของฉินเฟยทันที และพลิกมันอย่างแรง จึงพบว่ามีรอยฉีดขาดขนาดใหญ่อยู่ที่ฝ่ามือของเขาและมีซึมออกมาเป็นสาย
“นาย ทำไมนายไม่บอกฉัน? ไป มีคลินิกอยู่ข้างล่าง ฉันพานายไปพันแผลก่อน” เสียงเจียงเย่วถงดูรีบร้อนแต่ก็แฝงไปด้วยความซาบซึ้งใจ นี่ต้องได้รับบาดเจ็บจากที่ชกต่อยกับฮั่วจงเหยียนก่อนหน้านั้นแน่นอน
คนอื่นแค่แค่ที่ฉินเฟยตีกระบองในมือของฮั่วจงเหยียนตกลงอย่างเดียว แต่กลับไม่รู้ว่าฉินเฟยเองก็ได้รับบาดเจ็บเหมือนกัน
มิน่าเหล่ะหลังจากที่ฉินเฟยกลับมาบ้าน ถึงรีบร้อนเข้าห้องน้ำก่อน ต้องไปล้างคราบเลือดที่อยู่บนมือแน่ๆ
“ไม่เป็นไร เป็นแค่แผลภายนอกเท่านั้น ผ่านคืนหนึ่งก็ตกสะเก็ดแล้ว” ฉินเฟยกล่าวแล้วส่ายหัว
เจียงเยว่ถงจะพูดขึ้นมาอีก แต่ก็หยุดชะงัก เพราะเธอรู้สึกว่าตัวเองเป็นห่วงฉินเฟยมากเกินไป แบบนี้จะดูเสเสร้งมากเกินไป
แต่ในใจกลับซาบซึ้งอย่าหาที่เปรียบไม่ได้
ดังที่เซียววี่อิจฉา มีผู้ชายสมัยนี้หลายคน เพื่อได้เลื่อนตำแหน่งแล้ว แม้กระทั่งภรรยาของตนเองก็ไม่ลังเลที่จะขายให้กับเจ้านาย โดยไม่มีความเป็นคนอยู่เลย แต่ฉินเฟยสู้อย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อตนเอง
ฉินเฟยแอบสุขใจในใจ ความห่วงใยที่เจียงเยว่ถงมีต่อตัวเอง ทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก
และแน่นอนว่าเจียงเยว่ถงไม่รู้อยู่แล้วว่า บาดแผลบนมือของฉินเฟย ไม่ได้เกิดจากการชกต่อยกับฮั่วจงเหยียนแต่อย่างใด แต่ได้รับบาดเจ็บตอนที่ดาบเสวี่ยอิ่นเลือกเจ้านาย!
หลังจากที่กินข้าวแล้ว ฉินเฟยเคยชินกับการเก็บโต๊ะอาหาร เจียงเยว่ถงลังเลอยู่ครู่หนึ่งและกล่าวขึ้นว่า: “ในบ้านก็ไม่ต้องเก็บกวาดแล้ว เมื่วานฉันพึ่งถูพื้นไป และก็ไม่ได้เปื้อน นายพักผ่อนเถอะ ส่วนฉันยังมีงานที่ยังจัดการไม่เสร็จ”
“อืม โอเค” ฉันเฟยพยักหน้า และเห็นเจียงเยว่ถงเข้าไปในห้องนอน ไม่นานก็เปลี่ยนเป็นชุดนอนที่สะอาดและสบาย จากนั้นก็เข้าไปในห้องหนังสือ ในใจของฉินเฟยปลื้มปีติยินดียิ่งนัก อย่างน้อยแดกดันถากถางตนแล้ว
หลังจากที่เก็บกวาดเสร็จ ฉินเฟยก็นั่งลงบนโซฟา จึงพึ่งนึกเรื่องที่สำคัญหนึ่งขึ้นมาได้
นั่นก็คือ ตามบันทึกทางประวัติศาสตร์ที่เซียววี่เห็น ดาบเสวี่ยอิ่นเป็นอาวุธของอาป้า ซึ่งอาป้ายังคิดค้น ขึ้นมาด้วยตนเองอีกด้วย
ตามเหตุหลแล้ว ดาบเสวี่ยอิ่นควรถูกค้นพบพร้อมกันกับ หรือไม่ก็ตำรากลั่นยา แต่ชายหนวดเครานั่นไม่ได้เข้าใจสิ่งเหล่านี้โดยสิ้นเชิง ถ้ามีต้องนำออกมาขายแล้วแน่นอน!
แต่กลับไม่มี!
ถ้าอย่างนั้น ก็มีคำอธิบายได้เยงสามข้อเท่านั้นคือ หนึ่ง: ดาบเสวี่ยอิ่นถูกโจรปล้นสุสานคนพบแล้ว แต่พวกเข้าไม่รู้ด้วยซ้ำดาบมาเชเต้ขึ้นสนิมเล่มนี้ก็คือดาบเสวี่ยอิ่น และโจรปล้นสุสานอยากเก็บไว้ให้ตัวเองฝึกฝน; สอง: ถูกทำลายไปแล้ว สาม: ยังอยู่ในสุสาน และยังไม่ถูกค้นพบ!
เมื่อรวมเหตุผลสามประการนี้เข้าด้วยกัน ฉินเฟยยอมที่จะเชื่อประการที่สามมากกว่า ยังอยู่ในสุสาน ในเมื่ออาป้าสร้างขึ้นเพื่อเป็นสุสานไว้อาลัยให้องค์หญิงเหวินเฉิง วัตถุโบราณที่ขุดค้นพบนั้นไม่ใช้มีเพียงเท่านี้ แต่ชายหนวดเครานั่นกลับหยิบของออกมาได้เพียงเท่านี้
อย่างนั้นคำอธิบายมีแค่สองทางคือ หนึ่ง,กลุ่มโจรปล้นสุสานได้ปล้นของที่อยู่ในสุสานออกมาจนหมดแล้ว แต่ไม่ได้เอาออกมาขายทั้งหมด แต่แค่ลองเชิงก่อน
สอง.สุสานโบราณแห่งนี้ไม่ยังโดนขุดทั้งหมด และ ยังอยู่ในสุสาน!
และไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร โจรปล้นสุสานกลุ่มนี้ได้เงินกำไรมาอย่างราบรื่น แน่นอนว่าจะต้องทำการปล้นสุสานอย่างต่อเนื่องแน่ ส่วนของที่ขุดพบ ชายหนวดเคราจะต้องนำออกไปขายอีกแน่นอน
และสุสานขององค์หญิงเหวินเฉิง จะต้องอยู่ใกล้กับซงไห่แน่นอน!
สะกดรอย!
ฉินเฟยคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้ ก็รีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาหาเบอร์โทรของหวังเลี่ยง!
ในฐานะที่เป็นเพื่อนมหาวิทยาลัยบวกกับเป็นรูมเมท ความสัมพันธ์ระหว่างฉินเฟยกับหวังเลี่ยงจึงแน่นแฟ้นมาก และอาชีพของหวังเลี่ยงก็เว่อร์เกินจริงมาก ชื่อคือนักสืบเอกชน แต่จริงๆ คือได้รับการว่าจ้างและตรวจสอบของบางอย่าง
ลูกค้าส่วนใหญ่ของหวังเลี่ยงจะเป็นผู้หญิงที่ร่ำรวย โดยว่าจ้างให้เขาสะกดรอยสำรวจสามีของพวกเธอว่า ได้หาเมียน้อยคนไหน และชู้รักคนไหนบ้าง จากนั้นถ่ายหลักฐานเพื่อเตรียมสำหรับใช้เป็นแต้มต่อรองเมื่อหย่าร้าง หรือเพื่อเป็นหลักฐานในการแบ่งทรัพย์สมบัติของครอบครัวให้ได้มากขึ้น!
“ฮาโหล ฉินเฟย? นายไม่ค่อยจะโทรหาฉันนี่ มีเรื่องอะไรเหรอ?” น้ำเสียงของหวังเลี่ยงเป็นกันเอง และยังได้เสียงคีย์บอร์ดดัง ‘เป๊ก เป๊ก’
“ที่ฉันมีอยู่งานหนึ่ง เป็นงานของฉันเอง รับไม่รับ? งานสำเร็จจ่ายให้นายห้าหมื่น!” ฉินเฟยพูดตรงไปตรงมา
“เกิดอะไรขึ้นเมียนายนอกใจหรือไง? พอดีเลยคืนนี้เพื่อนไม่ธุระอะไร ออกมาดื่มเป็นเพื่อนนายได้!” หวังเลี่ยงพูด
ฉินเฟยได้ยินจนพูดไม่ออก: “ทวดนายสิ เมียนายสินอกใจ! เป็นเรื่องอื่น แต่ช่างเถอะ ฉันไปหาคนอื่นแล้วกัน”
“อย่า อย่า เฮ้ๆ ฉันก็แค่ล้อเล่นน่า……ล้อเล่น อย่าโกรธสิ แล้วงานอะไรเหล่ะ? ง่ายหรือเปล่า?” หวังเลี่ยงรับพูดขึ้นอย่างลอยหน้าลอยตา งานห้าหมื่นไม่ใช่งานเล็กๆ แล้ว
“หมายความว่าไง?” ฉินเฟยงุนงงเล็กน้อย
“อะไร จะหมายความว่าอะไรเล่า? อีกไม่นานก็จะถึงวันแห่งความรักแล้ว นายรู้หรือไม่ว่า นี่ถือว่าเป็นช่วงเวลาทองของปีของฉันเลยก็ว่าได้ ถ้าเป็นงานล่าช้า ฉันไม่รับนะ”
เวลาทองวันแห่งความรัก อย่างไรเสียวันแห่งความรัก ก็ต้องเจอคนที่อันเป็นที่รัก!
“จะว่ายากก็ยาก……” ฉินเฟยยิ้มอย่างขมขื่น และพูดเรื่องนี้ออกมาจนได้
“สะกดรอยตามโจรสลัดปล้นสุสานอย่างนั้นเหรอ? ปล้นสุสานเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายนะ คนกลุ่มนั้นต้องเป็นพวกไม่กลัวตายแน่นอน มันอันตรายมากเลยนะ……” เสียงของหวังเลี่ยงลังเล
“อันตรายพ่อนายสิ ที่นายสะกดรอยตามแอบถ่ายพวกเถ้าแก่ใหญ่ไม่อันตรายหรือไง? ถูกจับได้ก็โดนตีตายเหมือนกันไม่ใช่เหรอ? อย่าเพิ่มเงินก็พูดมาตรงๆ แสนหนึ่งเป็นไง? ฉินเฟยพูดด้วยน้ำเสียงดุดัน
“ได้ ได้ ราคามิตรภาพ หกหมื่นแล้วกัน ฉันรู้ว่าตอนนี้นายเองก็ไม่มีเงิน” หวังเลี่ยงพูดด้วยหัวเราะเฮอๆ
“แสนหนึ่งแล้วกัน และแน่นอนว่านายต้องทำเรื่องนี้ให้สำเร็จ” ฉินเฟยกล่าว
“เชี่ย นายรวยแล้วเหรอ? หวังเลี่ยงกล่าว
“อืม ประมาณนั้นเลห่ะมั้ง” ฉินเฟยลำพองใจได้ครู่หนึ่ง: “นายจะทำงานนี้นานไม่ได้ รอให้ผ่านไปสักพักฉันหางานที่มั่นคงหน่อยให้นาย ลูกพี่ไม่ใช่เด็กแล้ว นายก็ควรหาแฟนแต่งแล้วได้แล้ว”
งานนี้ของหวังเลี่ยงไม่ได้มั่นลงเลย ต้องหลบๆ ซ่อนๆ ทุกวัน เพราะกลัวคนอื่นแก้แค้น แม้แต่ที่อยู่เป็นหลักเป็นแหล่งก็ไม่มี พอเอาทุกด้านมารวมกันแล้ว เรื่องที่จะหาแฟนก็เท่ากับศูนย์
พวกเขาทั้งสองคนมีความสัมพันธ์ที่ดี ฉินเฟยในวันนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว มีโอกาสเขาก็พร้อมที่จะช่วยหวังเลี่ยงอยู่แล้ว
ฉินเฟยเอาข้อมูลการติดต่อของเซียววี่ให้กับหวังเลี่ยง และให้หวังเลี่ยงไปหาเซียววี่
ประตูห้องหนังสือปิดแงะออก เจียงเยว่ถงเอียงหัวไปไปทางฉินเฟยที่กำลังโทรศัพท์อยู่หน้าระเบีบง ในใจมีความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูกเกิดขึ้นภายในใจ
มีบางคนไม่ถูกชะตา มองอย่างไรก็รำคาญ แต่มีบางคนพอถูกชะตาแล้ว มองอย่างไรก็ถูกตาต้องใจ ส่วนฉินเฟยคือจากไม่ถูกชะตาถึงมาเป็นถูกตาต้องใจ
ฉินเฟยในตอนนี้ ทำให้ฉินเยว่ถงรู้สึกว่ายิ่งถูกชะตามากขึ้นเรื่อยๆ ขอแค่เพียงเขามีงานทำ แทนที่จะมาทำความสะอาดบ้านทั้งวัน แค่นี้ก็เหมือนผู้ชายคนหนึ่งแล้ว
สับโมงกว่าเวลากลางคืน มีเสียงน้ำ ‘ช่า ช่า’ ดังออกมาจากน้องอาบน้ำในบ้าน……
หลังจากที่รอจนน้ำร้อนแล้ว เจียงเยว่ถงก็ถอดชุดนอนออก ยืนอยู่ใต้ฝักบัว และปล่อยให้น้ำไหลรดลงสู่ใบหน้าและไหล่ หยุดน้ำไหลลงมาตามลำคอแต่ในสมองกลับมีความคิดมากมาย……
พ่อพึ่งส่งข้อความเข้ามา บอกว่ากลับบ้านแล้ว แต่นี่เป็นแค่ส่วนหนึ่งในนั้น พ่อยังบอกอีกว่า ตัวเองแต่งงานกับฉินเฟยมาสามปีแล้ว ในเมื่อไม่หย่า อย่างนั้นก็ควรมีลูกสักคนได้แล้ว เขายังรออุ้มหลานอยู่
แค่ประโยคเดียวก็ทำให้เจียงเยว่ถงหน้าแดงไปหมด และในใจก็เขินอาย
เจียงเยว่ถงเป็นผู้หญิงหัวโบราณ ซึ่งผู้หญิงมีจิตวิญญาณของความเป็นแม่อยู่แล้ว แน่นอนว่าเธอไม่ได้เกลียดเด็ก และตัวเองในฐานะภรรยา ร่างกายก็ต้องมอบให้สามีตัวเองอยู่แล้ว แต่ว่า……
เธอก้มหน้าเล็กน้อยมองดูร่างกายที่ตัวเองภาคภูมิใจ ร่างกายที่สมบูรณ์แบบนี้จะมอบให้ฉินเฟยแล้วเหรอ?
ในห้องรับแขก ฉินเฟยกำลังดูโทรทัศน์ด้วยเสียงที่เบาหวิว และแน่นอนว่าในเวลานี้เขาไม่ว่าภรรยากำลังคิดฟุ้งซ่านอยู่ในห้องน้ำ
ไม่รู้ว่าผ่านไปไหนแค่ไหน เสียงในห้องน้ำก็หายไป และเจียงเยว่ถงก็เดินออกมา แล้วมากินน้ำที่ห้องรับแขก
ฉินเฟยเงยหน้าขึ้นมอง สีหน้าตกตะลึงอย่างอดไม่ได้
เจียงเยว่ถงเปลี่ยนชุดนอนกระโปรงไหมแท้สีดำ กระโปรงไม่ยาวนัก ซึ่งไม่ได้คลุมไปถึงหัวเข่า ดูเซ็กซี่แต่ก็ไม่สูญเสียความเป็นอนุรักษ์นิยม ขายาวคู่หนึ่งตัดกับไหมแท้สีดำยิ่งทำให้ขาวดั่งหิมะขึ้นมาก ราวกับน้ำนมที่ถูกชำระล้าง ทำให้คนที่ได้เห็นลุ่มหลงตาหลาย……
เจียงเยว่ถงเป็นผู้หญิงที่รักนวลสงวนตัว แม้ว่ารักสวยรักงาม แต่ว่ามีน้อยมาที่จะใส่ชุดนอนแบบนี้ภายในบ้าน……
ฉินเฟยรู้ดีว่ารูปร่างภรรยาของตัวเองดีแค่ไหน รูปร่างที่เพรียวบางและส่วนโค้งส่วนเว้าอวบอัดที่พร้อมจะออกมาของเธอ และใบหน้าสวยสดงดงามเงยหน้าสู่ท้องฟ้านั้น กลับให้ความรู้สึกสูงส่งและสง่างาม
ฉินเฟยอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายหนึ่งคำ และรีบละสายตาไปทางอื่น เพราะกลัวว่าเจียงเยว่ถงเห็นได้
สัมผัสที่หกของผู้หญิงนั้นเฉียบแหลมมาก เป็นไปไม่ได้เจียงเยว่ถงจะไม่เห็น เพียงแต่ว่าในใจไม่ได้โกรธมากเท่าไหร่นัก เมื่อเปรียบเทียบกับสายตาที่ไม่ปิดบังแม้แต่น้อยของโจงเซี่ยงเฉียนและฮั่วจงเหยียน สายตาของฉินเฟยอ่อนโยนกว่ามาก
อย่างน้อย เวลาที่ฉินเฟยอยู่ที่บ้าน เธอสบายใจมาก
ไม่ต้องเป็นห่วงว่าตัวเองจะถูกบังคับ หรือว่าถูกรังแก
“ฉันนอนแล้ว นายเองก็นอนเช้าหน่อย” เจียงเยว่ถงเทน้ำเต็มอีกครั้งและพูดขึ้น
“อืม ผมก้จะไปนอนแล้ว” ฉินเฟยกล่าว
สามปีที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนยากที่จะกลมกลืนกันเช่นนี้ เจียงเยว่ถงกลับไม่ค่อยคุ้นชิน ไม่รู้ว่าผุดคิดอะไรขึ้นมา มักจะรู้สึกว่าบรรยากาศของทั้งสองค่อนข้างพิเศษ
เธอก็ไม่ได้พูดอะไร จากนั้นถือแก้วน้ำเดินเข้าห้องนอนไป
เอนกายนอนบนเตียง และเจียงเยว่ถงได้ปิดไฟลง แต่ความมืดตรงหน้าทำให้เจียงเยว่ถงอดไม่ได้ที่จะสั่นเทา
ค่อยๆ หลับตาลง แต่ในสมองกลับปรากฏใบหน้าที่หยิ่งผยองและน่ากลัวของฮั่วจงเหยียนที่รังแกตัวเองในคืนนี้
เจียงเยว่ถงตกใจกลัวจนต้องรีบลืมตาขึ้น หลังจากที่ปรับตัวได้สักพักก้หดหัวเข้าไปในผ้าห่มบาง และเมื่อหลับตาลงเตรียมตัวนอนอีกครั้ง แต่ภาพนั้นก็ปรากฏขึ้นมาตรงหน้าอีกครั้ง
วันนี้เธอประสบกับความตื่นตกใจมากเกินไป เดิมคิดว่าหลังจากที่อาบน้ำอุ่นแล้วจะลืมได้เอง แต่แล้วเธอก็มองตัวเองสูงไป
ความมืดรอบๆ ทำให้เธอรู้สึกไม่ปลอดภัยเลยแม้แต่นิด ถึงแม้ว่าจะซ่อนตัวอยู่ในผ้าห่มอบอุ่นก็ตาม ก็ไม่อาจหยุดความหนาวเย็นทั่วร่างกายได้ ตกใจกลัวจนเธอต้องลุกขึ้นเปิดโคมไฟตั้งโต๊ะทันที
เจียงเยว่ถงมองไปที่หน้าต่าง ผ้าม่านขยับเล็กน้อย และสิ่งที่เห็นผ่านช่องว่างขแงผ้าม่าน ยังเป็นความืดที่ไม่มีที่สิ้นสุดของท้องฟ้าภายนอก ความเย็นชุ่มฉ่ำของสายลมอ่อนๆ นั่น ทำให้เธอรู้สึกหนาวเป็นพิเศษ…….
เจียงเยว่ถงลุกขึ้นและออกจากห้องนอน ไฟในห้องรับแขกยังคงสว่างอยู่ จากนั้นมองดูฉินเฟยที่อยู่บนโซฟา ทำให้จิตใจสับสนวุ่นวายของเธอเปลี่ยนเป็นสงบลงได้มากขึ้นทีเดียว
ฉินเฟยไม่มีทางรู้เรื่องเหล่านี้แน่นอน ตอนที่ฮั่วจงเหยียนรังแกเธอ และคืนนี้เธอเองก็ไม่ได้พูดแม้แต่คำเดียว จึงรู้ไม่มากนัก
ฉินเฟยรู้ว่าเจียเยว่ถงอาจตกใจกลัวบ้าง แต่ในใจของเขา เจียงเยว่ถงเป็นหญิงแกร่งคนหนึ่ง แค่ตกใจเล็กน้อยก็ไม่เป็นไรหรอก ดังนั้นจึงไม่คิดอะไรมาก
เช่นเดียวกับเจียงเยว่ถง วันนี้เขาเองก็ผ่านอะไรมามาก ทั้งกลั่นยาเชื่อมสวรรค์จนสำเร็จ และยังสามารถให้ดาบเสวี่ยอิ่นเลือกตัวเองเป็นเจ้าของดาบ ยิ่งไปกว่านั้นคืนนี้เขาได้ผ่านศึกครั้งใหญ่ แล้วทำให้นึกถึงตระกูลฮั่วขึ้นมาอีกครั้ง ดังนั้นเขาจึงมาดูโทรทัศน์สักพัก
ถึงแม้ว่าตัวเองจะปรับเสียงโทรทัศน์ให้เบามากแล้ว แต่ก็คิดว่าเธอถูกตัวเองรบกวนจนได้ จึงรีบปิดโทรทัศน์ และลุกขึ้นพูดว่า: “ผมจะไปนอนเดี๋ยวนี้แล้ว”
พูดแล้วก็พลางเดินไปยังห้องเก็บของของตัวเอง
“ฉินเฟย……” เสียงเจียงเยว่ถงเรียกขึ้นทันที
“อืม?” ฉินเฟยหันไปมองภรรยาของตัวเองด้วยสีหน้าประหลาดใจ เมื่อเห็นท่าทางที่อยากพูดแต่ก็ไม่พุดของเธอ ก็เกิดความสงสัยในใจขึ้น
เจียงเยว่ถงเป็นคนเฉียบขาดตรงไปตรงมาเสมอ กับตัวเองก็เป็นแบบนี้ แต่งงานมาสามปี ควรด่าก็ด่า ซึ่งไม่เคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน
เจียงเยว่ถงกัดริมฝีปาก ดูเหมือนเป็นการรวบรวมความกล้า: “หรือว่า……คืนนี้นายไปนอนที่ห้องฉันเถอะ ฉัน ฉันกลัวนิดหน่อยน่ะ……”
เมื่อพูดจบลง ก็มองเห็นสีหน้าของฉินเฟยเปลี่ยนจากตวามสงสัยกลายเป็นตกตะลึง แล้วใบหน้าสวยงามของเจียงเยว่ถงก็เปลี่ยนเป็นเขินอายขึ้นมาทันที และกระทืบเท้าเบาๆ” คุณไม่เต็มใจ ก็ช่างมันเถอะ!”

คำพูดของเจียงเยว่ถง ทำให้คนที่อยู่ที่นั่นตื่นตกใจกันทุกคน แต่ก็ได้รับสายตาที่ชื่นชมจากหนุ่มสาวหลายตระกูล ไม่ว่าอย่างไรการกระทำของเจียงเยว่ถงก็สอดคล้องกับภาพลักษณ์ผู้หญิงดีในหัวใจของพวกเขา
แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังรู้สึกทึ่ง เพราะใครก็รู้ว่าก่อนหน้านั้นเจียงเยว่ถงเองก็ไม่ชอบฉินเฟยเช่นเดียวกัน และคิดจะหย่ามาโดยตลอด
ฉินเฟยเองก็ตกตะลึงจนตาค้างพูดอะไรไม่ออกเช่นกัน
พูดตามตรง เมื่อครู่ที่เสิ่นหัวกำลังพูดอยู่ ในใจของเขาก็ประหม่าไม่น้อยเหมือนกัน เพราะไม่ว่าอย่างไรก็ตามต้องดูสถานการณ์โดยรวมของตระกูลเจียงเป็นหลัก แต่คิดไม่ถึงว่าพ่อตาที่มีบุคลิกเงียบสงบมาตลอดจะพูดขึ้นก่อน แต่ถึงกระนั้นก็เป็นเพียงคนอื่นเท่านั้น
เขาจับจ้องมองไปที่เจียงเยว่ถงด้วยสายตาที่แรงกล้า ในเวลานี้หัวใจของเขาประทับใจยิ่งนัก จนอยากร้องเสียงดังระบายออกมา
ความพยายามของเขา มันไม่ได้เสียเปล่าเลย!
“ดี! นี่สิถึงจะใช่ลูกสาวของฉัน เจียงเฟิ่งหยุน!” เจียงเฟิ่งหยุนยืนขึ้นและสูดลมหายใจหนึ่งเฮือก มองไปยังฉินเฟย: “พ่อหนุ่มน้อย มันเป็นความผิดฉันทั้งหมด สำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีต และด้วยวิธีทำของเธอในครั้งนี้ ฉันยอมรับเธอเป็นลูกเขยแล้ว ซึ่งต่อให้ไม่มีความสามารถอะไร ก็อย่ารู้สึกต่ำต้อยในตัวเอง แค่พยายามทำให้ดีก็พอ หากถงถงกล้าดูถูกเธอ เธอก็บอกฉันมาตรงๆ และดูว่าฉันจะตีก้นเธอให้เจ็บอย่างไร!”
เพียงแค่คำพูดเดียวก็พลางทำให้เจียงเยว่ถงหน้าแดงก่ำไปทั่ว และก้มศีรษะลงอย่างแรง โดยฉินเฟยเองก็ตกตะลึงเหมือนกัน ก่อนหน้านี้เขามองว่าพ่อตาของตัวเองเป็นคนที่ไม่ทำตัวเป็นจุดสนใจ นิสัยใจคอก็นิ่มนวลเป็นอย่างมาก กลับคิดไม่ถึงว่าตัวเองดูผิดไป
สมกับที่เคยเป็นทหาร ถือว่ามีเลือดเนื้อของทหาร
“คุณพ่อ ผมรู้แล้วครับ อันที่จริงเยว่ถงไม่ได้ดูถูกผม เธอแค่โกรธที่ผมไม่มีใจที่พัฒนาขึ้นเท่านั้น” ฉินเฟยกล่าวขึ้น และคำว่า‘พ่อ’คำเดียวนี้ เขาก็เรียกมาออกมาจากใจจริง
“ ฮ่า ฮ่า ตกลงๆ” เจียงเฟิ่งหยุนยิ้มพลางพยักหน้า และเงยหน้าขึ้นมองคุณย่าเจียงชั่วประเดี๋ยวเดียว จากนั้นกวาดสายตามองไปที่ทุกคนอีกครั้ง: “ฉันรู้ว่าพวกคุณกังวลเรื่องอะไร ไม่เป็นไร เรื่องที่ล่วงเกินฮั่วจงเหยียน ทางครอบครัวฉันเจียงเฟิ่งหยุนจะรับไว้เพียงผู้เดียว และเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับตระกูลเจียง”
หลังจากเสียงพูดของเจียงเฟิ่งหยุนจบลง สีหน้าของคนในตระกูลเจียงเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก
อันที่จริงแล้ว ยังมีอีหลายคนที่ถอนหายใจในใจด้วยความโล่งอก!
จะอย่างไรก็ตามคำพูดของเจียงเฟิ่งหยุน ก็เท่ากับตัดความสัมพันธ์กับตระกูลเจียงอย่างสิ้นเชิง
สีหน้าคุณยายเจียงปรวนแปร ลักษณะท่าทางดูหดหู่ แต่กลับไม่รู้จะเอ่ยปากอย่างไร ด้านหนึ่งคือความอยู่รอดของตระกูลเจียง อีกด้านหนึ่งก็เป็นลูกชายแท้ๆของตน นางยากที่จะตัดสินใจได้!
เสิ่นหัวโกรธจัดจนหน้าเขียว และจ้องมองฉินเฟยด้วยสายตาอาฆาตพยาบาท แต่ด้วยหัวหน้าครอบครัวของบ้านนี้คือเจียงเฟิ่งหยุน เธอเป็นเพียงคนที่แต่งเข้าตระกูลเจียง และตัวเองก็เพียงผู้หญิงคนหนึ่งเท่านั้น
เจียงเฟิ่งหยุนก็พูดออกไปแล้ว เธอเองก็ไม่สามารถขัดได้
นอกจากนี้แล้ว ในฐานะที่เธอเป็นคนคู่เคียงเรียงหมอนของเจียงเฟิ่งหยุน แน่นอนว่าเธอรู้จักสามีของตัวเองดีที่สุด ซึ่งอย่ามองว่าปกติเจียงเฟิ่งหยุนเหมือนอารมณ์เสีย นั่นเป็นเพราะเขาแค่ไม่แสดงออกมาแค่นั้น
ถ้าเจียงเฟิ่งหยุนอารมณ์เสียขึ้นมาจริงๆ เธอเองก็ต้องเชื่อฟังอย่างว่านอนสอนง่ายเช่นกัน
“เฟิ่งหยุน เธอนี่พูดเรื่องไร้สาระอะไรกัน!” ซึ่งในเวลานี้ก็มีเสียงของชายคนหนึ่งดังขึ้นจากทางประตูคฤหาสน์
ทุกคนหันหน้าพร้อมกันด้วยสีหน้าประหลาดใจ
ส่วนคนที่มาเยือนคือเจียงเฟิ่งหยู่ และเป็นพี่ใหญ่ของตระกูลเจียง พ่อของเจียงเฉิงเย่
เนื่องจากเขาเป็นอัมพาต จึงมีน้อยครั้งมากที่จะลงจากเตียง และก็ไม่ได้มีส่วนร่วมในเรื่องของตระกูลอีก
ซึ่งตอนนี้เขากำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ล้อเข็น ส่วนคนที่เข็นเขาก็คือ เจียงเฟิ่งซวง
เธอเป็นลูกคนที่สี่ของตระกูลเจียง และเป็นลูกสาวคนเดียวของคุณย่าเจียง
เจียงเฟิ่งซวงดูแล้วอายุประมาณสี่สิบปี แต่กลับบำรุงรักษาได้เป็นอย่างดี มีรูปร่างสวยน่ารัก หน้าตาปานกลาง และดวงตาทั้งคู่ที่สดใสเป็นพิเศษ ในเวลานี้เธอสวมชุดสูทเข้ารูปบวกกับกางเกงขายาว ส่วนผมถักเปียมัดขึ้น ทำให้ดูเป็นคนความสามารถและฉลาด
ซึ่งเธอไม่ได้ทำงานในตระกูลแล้ว เพราะเธอแต่งงานที่เซี่ยงไฮ้
“พ่อ ท่านร่างกายไม่แข็งแรง ทำไมถึงมาที่นี่ได้?” เจียงเฉิงเยว่รีบวิ่งเข้าไป และทักทายอาหญิงด้วยความสุภาพนอบน้อม
อยู่ในครอบครัวนี้ เจียงเฉิงเยว่ นอกจากจะกลัวคุณย่าเจียงและพ่อของแล้ว ที่กลัวที่สุดก็คืออาหญิงของตนเอง
“ฮึม ถ้าฉันยังไม่มาอีก ต้องเกิดเรื่องใหญ่กับตระกูลเจียงแน่!” เจียงเฟิ่งหยู่ถลึงตาใส่ลูกชาย และพูดพึมพัม เพราะเป็นอัมพาตติดเตียงมาตลอดทั้งปี โดยไม่ได้ออกไปไหนบ่อยนัก ทำให้สีหน้าของเจียงเฟิ่งหยู่ซีดเหลืองของอาการป่วย
ในครอบครัวตระกูลเจียง เจียงเฟิ่งหยู่เป็นคนที่มีพรสวรรค์ทางธุรกิจที่สุด แต่น่าเสียดายที่พระเจ้าไม่เข้าข้างคุ้มครองตระกูลเจียง!
แต่ถึงกระนั้น บารมีและความน่าเชื่อถือของเจียงเฟิ่งหยู่ในตระกูลเจียงถือว่ายังมีมากเช่นกัน เมื่อเห็นเจียงเฟิ่งซวงเข็นเขาเข้ามา ทุกคนต่างก็หลีกทางให้
“เสี่ยวหยู่ เสี่ยวซวง……” คุณย่าเจียงถือไม้เท้าพยุงตัวขึ้น ด้วยสีหน้าขมขื่นที่ไม่อาจพูดออกมาได้
สามารถพูดได้เลยว่าเลยว่า คนที่ลำบากที่สุดก็คือเธอแล้ว เหล่าต้าเป็นอัมพาตติดเตียง เหล่าเอ้อประสบอุบัติเหตุและเสียชีวิตเมื่อหลายปีก่อน คนหัวขาวต้องมาส่งคนหัวดำ ส่วนเหล่าซื่ออยู่ข้างนอกตลอดทั้งปี ไม่ค่อยได้กลับบ้าน ซึ่งมีแค่มีเพียงเหล่าซาน แต่ตอนนี้กลับจะตัดสามสัมพันธ์กลับตระกูลเจียงอีก
คุณย่าเจียงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเพราะอะไร ทำไมสวรรค์ถึงได้ลงโทษตัวเองเช่นนี้ หรือว่าตัวเองทำผิดไปแล้วจริงๆเหรอ? และถ้าหากต้องไล่เหล่าซานออกจากตระกูลเจียงไปจริง เธอรู้ดีว่าเมื่อไปถึงข้างล่าง สามีที่ล่วงลับไปต้องไม่ให้อภัยตัวเองอย่างแน่นอน ในฐานะพี่ใหญ่ เสี่ยวหยู่เป็นคนที่ทำงานมีความมั่นคงและมีพรสวรรค์ แต่คนที่สามีชอบที่สุดกลับเป็นเหล่าซาน
แต่หากไม่ทำเซ่นนี้ ถ้าตระกูลเจียงต้องตกที่นั่งลำบากขึ้นมาจริง เธอก็จะเป็นคนบาปของตระกูลเจียง!
“คุณแม่ หลายปีที่ผ่านมาท่านทำงานเพื่อตระกูลเจียงมากเหลือเกิน ลำบากท่านแล้ว”
แม่ควรจะได้พักผ่อนมานานแล้ว แต่กลับเพราะว่าตัวเองเป็นอัมพาต จิตใจของเหล่าซานก็ไม่อยู่ที่นี่ เลี่ยงไม่ได้ที่จะเห็นแก่ส่วนรวมเป็นใหญ่
“เสี่ยวหยู่ก็โทษแม่อย่างนั้นเหรอ?” ไม่มีใครรู้จักลูกชายเท่าคนเป็นแม่แล้ว และถึงแม้ว่าคุณย่าเจียงจะอายุเยอะแล้วก็ตาม แต่ก็สามารถรับรู้ความนัยที่แฝงอยู่ของเจียงเฟิ่งหยู่ได้
“เปล่าเลยครับ” เจียงเฟิ่งหยู่ส่ายหัวไปมา และเหลือบมองไปที่น้องสาม ยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดขึ้น: “ถึงแม้ว่าตระกูลเจียงของเราจะไม่ใช่ตระกูลบุญหนักศักดิ์ใหญ่ และเมื่อเทียบกับตระกูลเหล่านั้นก็ห่างไกลยิ่งนัก แต่ว่าพี่น้องตระกูลเจียง ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง ก็ไม่มีคนขี้ขลาดแม้แต่คนเดียว และไม่มีวันยอมให้คนอื่นมารังแกได้
ถึงแม้ว่าเสียงของเจียงเฟิ่งหยู่จะดูธรรมดา แต่เมื่อพูบจบ ทุกคนในตระกลูเจียงที่อยู่ที่นั่นต่างก็ตื่นเต้น และในใจก็ฮึกเหิมขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
เจียงเฟิ่งหยุนพยักหน้าเล็กน้อยและกล่าวว่า: “พี่ใหญ่พูดถูก”
“ท่านลุง อาหญิงเหล็ก” เจียงเยว่ถงรีบทักทายขึ้นทันที เธอเคารพและเลื่อมใสท่านลุงคนนี้ของตนเองที่สุด ซึ่งในขณะเดียวกันเธอใช้มือน้อยๆจิ้มไปที่ฉินเฟยเบาๆ
“ท่านลุง อาหญิงเล็ก” ฉินเฟยก็รีบทักทายเช่นเดียวกัน
“เหะๆ ถงถงยิ่งโตก็ยิ่งสวยแล้วนะ ช่างดีเหลือเกิน” เจียงเฟิ่งหยู่พยักหน้าให้เจียงเยว่ถง และเหลือบมองฉินเฟยอีกครั้ง โดยในสายตาแสดงออกถึงความชื่นชม
“เสี่ยวซวง เธอก็หมายความอย่างนั้นเหมือนกันเหรอ?” คุณย่าเจียงมองไปยังลูกสาวและกล่าวขึ้น
“ฉันเป็นลูกสาว และก็ไม่ได้อยู่ตระกูลเจียงนับค่อนปี จึงไม่มีสิทธิ์พูดอะไร แต่ฉันคิดตระกูลเจียงเราควรสามัคคีให้มากขึ้น เพราะอำนาจที่อ่อนแอของเรา” เจียงเฟิ่งซวงกล่าว ด้วยสายตาที่แปล่งประกายแต่แฝงไปด้วยสติปัญญา: “ถ้าไม่เช่นนั้น ก็จะไม่แตกต่างอะไรจากยุคโบราณที่แบ่งแยกที่ดิน เพื่อแสวงหาสันติภาพแต่อย่างใดเลย?”
“ยิ่งดูออ่อนแอ คนอื่นก็ยิ่งมารังแก และยิ่งถ้ามีครั้งหนึ่งเป็นแบบอย่าง แสดงว่าขอแค่ใครที่มีอำนาจหน่อย ก็สามารถมาเหยียดหยามหญิงสาวที่ตระกูลเจียงได้ตามใจชอบอย่างนั้นเหรอ? ซงไห่มีหลายตระกูลที่แข็งแกร่งและมีอำนาจกว่าเรามากมาย ซึ่งการแสวงหาสันติภาพด้วยการอ่อนข้อ มีแต่จะทำให้ตัวอย่างพันธมิตรแปดชาติในปีนั้นเกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีกครั้ง!”
“พวกเราตระกูลเจียงควรสามัคคีรวมใจเป็นหนึ่ง หากใครรังแกพวกเรา พวกเราก็จะสู้กับเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย ถึงแม้ว่าจะสู้พวกเขาไม่ได้ และสุดท้ายต้องเสียเลือดเสียเนื้อ แต่ตระกูลเจียงเราก็ไม่ใช่จะมารังแกกันอย่างง่ายดาย!” เจียงเฟิ่งซวงพูดอย่างเย็นชา แต่มีวาทศิลป์ที่เต็มไปด้วยพลัง
ลูกหลานวัยรุ่นหลายคนที่อยู่ที่นั่น เนื่องจากเป็นเด็กวัยรุ่น และร่างกายมีลือดอันพรุ่งพร่านและเร่าร้อนเป็นทุนอยู่แล้ว สายตาของพวกเขาเป็นประกายขึ้นมาทันที และรู้สึกว่าที่เธอพูดมีเหตุผล
“ฮ่าๆ ที่นังหนูพูดมีทั้งศาสตร์และศิลป์ จนฉันชักจะฟังไม่เข้าใจแล้ว” จัยงเฟิ่งหยุนหัวเราะ
“พี่สาม พี่หัวเราะเยาะฉันอีกแล้วนะ!” เจียงเฟิ่งพูดขึ้นอย่างขุ่นเคือง
เมื่อเห็นความสัมพันธ์ของสามพี่น้องแน่นแฟ้นขนาดนี้ คุณย่าเจียงก็โล่งใจเป็นอย่างมาก แต่ความหมายของเจียงเฟิ่งซวงก็แสดงออกมาอย่างชัดเจนแล้ว
พูดอย่างนี้ก็มีเหตุผล แต่ถ้าตระกูลฮั่วเข้ามาเกี่ยวข้อง แล้วกดขี่อุตสาหกรรมของตระกูลเจียงในทุกด้าน คาดว่าตระกูลเจียงคงได้หายจากซงไห่ในไม่ช้า วงการการค้าก็เหมือนสนามรบ แม้ว่าสนามรบในปัจจุบันจะไม่มีไฟสงครามของเขม่าควันปืนให้เห็นก็ตาม แต่กลับสามารถสังหารคนให้ตายได้จริงๆ!
ถ้าตระกูลเจียงจบลง ลูกหลานตระกูลเจียงจะไม่ถูกคนอื่นรังแกแบบเดิมหรอกหรือ? คุณย่าเจียงไม่ได้คิดว่าตัวเองผิดตรงไหน!
เจียงเฉิงเย่ยืนอยู่อีกฝั่งอ้าปากจะพูดหลายครั้ง แต่ก็ไม่กล้าพูดแม้แต่คำเดียว เขากลัวอาหญิงเล็กของตัวเองอย่างมาก แต่ก็กลัวพ่อมากกว่า
และการปรากฏตัวของเจียงเฟิ่งซวงในครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องกะทันทันแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะพรุ่งนี้เป็นวันเกิดครบรอบเจ็ดสิบปีของแม่แล้ว เธอจึงมาเพื่ออวยภรวันเกิด
“คุณเซียว โชคดีที่เมื่อสักครู่ได้คุณมาช่วย” ฉินเฟยพูดกับเซียววี่ด้วยนำเสียงที่ทราบซึ้งในบุญคุณอย่างจริงใจ เมื่อครู่เขาถือดาบดาบเสวี่ยอิ่นในมือ ในใจเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น และอยากตัดหัวของฮั่วจงเหยียนให้ขาดในดาบเดียวเสียจริง
ถึงแม้ว่าฮั่วจงเหยียนจะสมควรตายก็จริง แต่การฆ่าคนนั้นมันผิดกฎหมาย
“ไม่ต้องเกรงใจ” เซียววี่ส่ายหัว และยิ้มเล็กน้อยแสดงให้เห็นว่าไม่สนใจ: “แต่ว่าคุณต้องเตรียมใจรับให้ดี ฮั่วจงเหยียนคนนี้ไม่ใช่คนคนธรรมดาทั่วไป”
“เขาเป็นคนของตระกูลฮั่วหรอกหือ?” ฉินฟเยชะงักเล็กน้อย
เขาต้องรู้แน่นอนอยู่แล้ว ที่ผู้ชายคนนี้สามารถอาละวาดในตระกูลเจียงได้ขนาดนี้ แน่นอนว่าอิทธิพลที่อยู่เบื้องหลังที่ตระกูลเจียงไม่สามารถรุกรานได้
“อืม เขาเป็นหลานชายของฮั่วเหล่าซาน” เซียววี่อธิบายต่อว่า ต่างเป็นตระกูลใหญ่ของซงไห่เหมือนกัน ก็ย่อมรู้ซึ่งกันและกันอยู่แล้ว
และฮั่วเหล่าซานที่เธอพูดถึงนั้นก็คือรุ่นเก่าของตระกูลฮั่ว ฮั่วเหล่าต้าเสียชีวิตด้วยโรคภัยไข้เจ็บเมื่อสิบปีกว่าปีก่อน ซึ่งคนมีอำนาจที่แท้จริงคือฮั่วเหล่าเอ้อ
ความสัมพันธ์สองพี่น้องระหว่างฮั่วเหล่าเอ้อและฮั่วเหล่าซานไม่เคยลงรอยกัน
ดังนั้นอำนาจส่วนใหญ่และบริษัทอุตสาหกรรมในสังกัดของตระกูลฮั่วทั้งหมด ล้วนอยู่ในมือของฮั่วเหล่าเอ้อและทายาทโดยตรงของเขา เพราะสองพี่น้องไม่ลงรอยกัน ลูกชายและหลานชายของฮั่วเหล่าซาน แม้ว่าจะมีสายเลือดของตระกูลฮั่ว แต่ก็ไม่ได้รับการให้ความสำคัญแต่อย่างใด
และถึงแม่จะเป็นเช่นนี้ อย่างน้อยฮั่วจงเหยียนก็แซ่ฮั่ว การที่ตบหน้าฮั่วจงเหยียนก็คือบตบหน้าตระกูลฮั่วเช่นกัน
ตระกูลใหญ่ส่วนมากให้ความสำคัญกับหน้าตาเกียรติยศของวงตระกูล ยากที่จะรับประกันได้ว่าตระกูลฮั่วจะไม่เข้าไปแทรกแซง และนี่ก็คือสาเหตุที่คุณย่าเจียงไม่กล้าล่วงเกินฮั่วจงเหยียนนั่นเอง
“อืม” ฉินเฟยพยักหน้าลง และสีหน้าก็แปรเปลี่ยนด้วยความเคร่งเครียด
ในปีนั้นที่ตระกูลฉินล่มสลาย ในนั้นก็มีเงาของตระกูลฮั่ว และจุดคำคัญที่สุดของการล่มสลายของตระกูลฉินก็คือบริษัทการค้าระหว่างประะเทศสากลในสังกัดของตระกูลฉิน ถูกตรวจสอบเจอสินค้าต้องห้าม!
ตำรวจที่เกี่ยวข้องได้ทำการสืบสวนคดี ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นข่าวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว หลังการวิพากษ์วิจารณ์เปรียบดั่งสัตว์ป่าเถื่อนที่ไม่อาจหยุดยั้งได้ จากนั้นตลาดหลักทรัพย์ตระกูลฉินพังทลายลง และผู้สนับสนุนรายใหญ่ก็คือตระกูลฮั่ว
หุ้นของตระกูลฉินที่ราคาตกอย่างรุนแรงจนไม่เหลือราคา บริษัทในสังกัดทั้งหมดของตระกูลกำลังเผชิญกับการล้มละลาย และเวลานี้ไม่มีคนยื่นมือช่วย มีแต่จะซ้ำเติมเท่านั้น
ฉินเฟยไม่สามารถลืมช่วงเวลานั้นได้ และสำหรับทุกคนในครอบครัวตระกูลฉิน มันเหมือนกับเป็นวันสิ้นโลกไม่มีผิด!
โดยเครื่อข่ายวงศ์ตระกูลในซงไห่เกือบทั้งหมดมีส่วนร่วมอยู่ในนั้น พวกเขาใช้วิธีอำนาจกลืนกินแบบปลาวาฬ(ยักยอกทรัพย์โดยวิธีต่างๆ) มาฮุบอุตสาหกรรมทั้งหมดของตระกูลฉินที่กำลังจะล้มละลายและล้มละลายแล้ว
เพียงข้ามคืนเดียว ตระกูลฉินที่ยิ่งใหญ่ ก็หายสาบสูญไปจากซงไห่!
และหลังจากที่ตระกูลฉินล่มสลายลง ตระกูลฮั่วกลายเป็นผู้ที่ได้รับผลปประโยชน์ที่ใหญ่ที่สุด ไม่เพียงแต่ฮุบอุตสาหกรรมมากมายของตระกูลฉินเท่านั้น แต่ยังระบายและเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยถือโอกาสนี้ขึ้นครองตำแหน่งจนกลายเป็นตระกูลที่ใหญ่ที่สุดในซงไห่
ในเวลาที่ตกต่ำมักจะทำให้จิตใจคนหดหู่ บางทีคนของตระกูลฉินจำนวนมากมายที่ร่อนเร่พเนจรอยู่ข้างนอก อาจไม่คิดถึงความรุ่งโรจในอดีตอีกต่อไป และไปใช้ชีวิตอยู่เมืองอื่น การสามารถอยู่รอดได้ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว
แต่ฉินเฟยในฐานะที่เป็นหลานชายคนโตของครอบครัว ที่รู้เรื่องราวที่แฝงอยู่มากที่สุด และอยากค้นหาคนร้ายในปีนั้นมากที่สุด
และฉินไม่ใช่คนโง่เขลา เขารู้ดีถ้าต้องการตรวจสอบสิ่งเหล่านี้ ไม่เพียงแต่ต้องการมีอำนาจเท่านั้น แต่ต้องมีความสามารถอีกด้วย! และความสามารถนี้ ไม่ใช่แค่ว่าสมองของตัวเองฉลาดขนาดไหน สิ่งที่สำคัญกว่านั้นความสามารถของตัวเองที่เป็นอยู่ด้วย!
ในเมืองที่สว่างไสวนี้มีคนในความมืดดำรงอยู่มากมาย ฉินเฟยรู้ว่าเมื่อใดที่เขาเปิดเผยตัว สิ่งที่ต้องเผชิญไม่ใช่เพียงการกดขี่ของตระกูลฮั่วเท่านั้น แตยังรวมถึงการลอบสังหารในเหงามืดอีกด้วย
นี่ก็คือสาเหตุว่าทำไมเขาถึงให้ดาบเสวี่ยอิ่นเลือกเจ้านายวันนี้ เพราะเขาไม่เพียงต้องปกป้องหญิงสาวอันเป็นที่รัก ที่สำคัญกว่านั้นคือให้พวกคนร้ายเหล่านั้น ได้รับโทษอย่าสาสม!
ฉินเฟยจับดาบเสวี่ยอิ่นในมือไว้แน่น ดูเหมือนดาบเสวี่ยอิ่นจะสัมผัสถึงเสียงคำรามในใจของฉินเฟย ซึ่งก็ได้สั่นไหวขึ้นเล็กน้อยเช่นเดียวกัน……

ห้องโถงใหญ่ทั้งคฤหาสน์ไม่มีเสียงพูดคุยแม้แต่คนเดียว ได้ยินเพียงเสียงเหล็กทองคำกระทบกันส่งมาเป็นทอดๆ เท่านั้น ซึ่งดังก้องอยู่ในหู และสภาพการณ์อันตรายที่เกิดขึ้นซ้ำๆ ส่งผลให้หัวใจของผู้ที่อยู่ตรงนั้นกระวนกระวายขึ้นมาทันที!
“โครม!!”
เสียงเหล็กทองคำอันหนักหน่วงดังสลับไปมาส่งเสียงดังอย่างหาที่เปรียบมิได้ ฮั่วจงเหยียนร้องครวญครางด้วยความทรมาน คาดไม่ถึงว่ากระบองเงินในมือกลับจับไว้ไม่ได้ จนตกลงไปบนพื้น
“ตุ้ม!!!”
ภาพเหตุการณ์เดิมเกิดซ้ำอีกครั้ง ฉินเฟยทำลายกรอบป้องกันกระบองเงินของเขาภายในดาบเดียว จากนั้นก็เตะฮั่วจงเหยียนกระเด็นออกด้วยฝ่าเท้าเดียวอีกครั้ง
ถ้ากล่าวว่าก่อนหน้านั้นฉินเฟยสำเร็จได้ด้วยการซุ่มโจมตี เช่นนั้นตอนนี้ ถือว่าเป็นการต่อยที่ได้ชื่อว่า ดวลแชมล์เปียนให้ล้มลงอย่างเปิดเผยและเป็นธรรม
อะไรนะ?
ฉินเฟย……ฉินเฟยชนะอย่างนั้นเหรอ?
บัดซบ อั๊วฝันไปหรือเปล่า?
ทันใดนั้นทั่วทั้งห้องโถงในคฤหาสน์ใหญ่ก็เงียบกริบ!
ารออกแรงฝ่าเท้าของฉินเฟยรุนแรงอย่างยิ่ง หลังจากฮั่วจงเหยียนถูกเตะจนปลิว ก็ยังกลิ้งอยู่บนพื้นอยู่หลายตลบ จนกระทั่งกระแทกชนเข้ากับด้านหนึ่งของบรรไดเวียนจึงได้หยุดลง แต่ทว่าหลังของเขาถูกกระแทกอย่างรุนแรงจนแทบหายใจไม่ออก สีหน้าก็แดงระรื่ออย่างหาที่เปรียบไม่ได้
โดยง่ามระหว่างหัวแม่มือและนิ้วชี้ห้อยลงมาอย่างไร้เรี่ยวแรง เลือดแดงฉานก็ไหลออกมา และเนื่องจากการปะทะกันอย่างรุนแรง ง่ามระหว่างหัวแม่มือและนิ้วชี้ของเขาถูกฉีกขาดอย่างโหดเหี้ยมจนมีเลือดไหลออกมา!
“ฉันแพ้แล้ว วันนี้ฉันอยู่สภาพไม่พร้อม ไม่สู้แล้ว ไม่สู้แล้ว……” ซึ่งการประลองพละกำลังจะต้องกลั้นหายใจ และนี่ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้หน้าของฮั่วเหยียนจงหน้าแดงก่ำขึ้นมา ในเวลานี้สีหน้าของเขาห่อเหี่ยวไม่มีแรง แต่กลับกลัวที่จะเสียหน้าจึงอ้างเหตุผลนี้ขึ้นมาบัดซบเอ้ย! นี่มันเป็นสัตว์เลี้ยงหรือไง? ทำไมแรงเยอะขนาดนี้?
“ทำไม? เมื่อกี้ตอนที่ถูกเนื้อต้องตัวเมียฉัน ทำไมนายไม่คิดว่าจะเป็นแบบนี้บ้าง? ตอนนี้นายจะมาบอกว่าไม่สู้ ก็ไม่สู้เหรอ? นายคิดว่านี่เป็นการต่อสู้บนสังเวียงมวยอย่างนั้นเหรอ หา? ฉินเฟยตอบกลับอย่างเย็นชา และเดินไปตรงหน้าฮั่วจงเหยียนทีละก้าวๆ
ในเวลานี้ สีหน้าของฉินเฟยช่างเย็นชายิ่งนัก
ดวงตาของฉินเฟยหรี่ขึ้นเล็กน้อย จากนั้นเตะฝ่าเท้าลงบนท้องของฮั่วจงเหยียนอย่างเต็มแรง ทันใดนั้นเขาที่ต้องเจ็บอีกครั้งร้อง‘โอ้ย’ในลำคอ และร่างก็ห่อเป็นเกลียวจนกลายเป็นรูปกุ้ง
ไม่รอให้ฮั่วจงเหยียนได้ขยับเขยื้อน มือของเขาก็พลางถูกฉินเฟยเหยียบไว้อย่างแรง
ฉินเฟยเห็นชัดเจนว่า เป็นมือข้างนี้ที่โอบอยู่บนเอวของเจียงเยว่ถง!
เอวของเมียตัวเอง เขายังไม่เคยได้โอบกอดเลยด้วยซ้ำ!
“ได้ยินว่านายจะกำจัดฉันอย่างนั้นเหรอ?” สีหน้าของฉินเฟยเคร่งขรึมจนน่ากลัว และในเวลานี้เขาไม่มีจิตความสงสารมากขนาดนั้น และไม่ได้รู้สึกว่าวิธีที่ตนทำมากเกินกว่าเหตุ
เพราะการต่อสู้ครั้งนี้คนที่ชนะคือเขา แล้วหากผู้ชนะคือฮั่วจงเหยียน เช่นนั้นคนที่ถูกเหยียบย่ำอยู่ก็คือตัวเขาเอง
“ฉินเฟย……ไม่เอานะ!” เจียงเยว่ถงร้องเรียกอย่างรีบร้อน ถ้าหากฉินเฟยทำลายมือของฮั่วเหยีนยจง อย่างนั้นต้องติดคุกแน่ๆ
ยิ่งกว่านั้น เมื่อเข้าไปที่สถานีตำรวจ ผลการตัดสินจะเป็นอย่างไรนั้น ก็ขึ้นอยู่กับอำนาจของตระกูล และหากตระกูลฮั่วออกโรงเอง ฉินเฟยก็จะตกที่นั่งลำบาก!
“ฉินเฟย อย่าทำแบบนี้” คุณย่าเจียงที่ไม่ได้พูดมาตลอดเวลาก็อดไม่ได้ที่พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แฝงด้วยการร้องขอ
ตอนนี้เรียกได้ว่าตระกูลเจียงได้ล่วงเกินฮั่วเหยียนจงไปแล้ว แล้วถ้าฉินเฟยกำจัดฮั่วจงเหยียนที่นี่จริง เช่นนั้นจะเป็นการล่วงเกินของจริง และเป็นแบบไม่มีพื้นที่ให้ได้กลับตัวกลับใจอย่างไรอย่างนั้น
เธอไม่มีความสุขที่ฉินเฟยต่อสู้กับฮั่วจงเหยียนจนชนะแม้แต่น้อย แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความวิตกกังวล และในใจของเธอวางแผนไว้แล้วว่า จะให้ฉินเฟยหย่ากับเจียงเยว่ถงโดยเร็วที่สุด จากนั้นไล่ฉินเฟยออกไป ด้วยวิธีนี้อาจสามารถลดความโกรธอย่างรุนแรงของฮั่วจงเหยียนหรือตระกูลฮั่วได้ส่วนหนึ่ง
“ฉินเฟย ไอ้คนไร้ค่า นี่นายคิดจะกบฏแล้วหรือไง? นายอยากตายก็อย่าลากพวกเราไปด้วย นายชนะแล้ว ก็รีบปล่อยพี่ฮั่วเดี๋ยวนี้!” เมื่อเจียงเฉิงเย่เห็นสีหน้าเคร่งเครียดของฉินเฟย ท่าทางดูเหมือนว่าจะกำจัดเขาจริงๆ ตกใจเป็นอย่างมาก จึงกล่าวขึ้นด้วยความรีบร้อน
เขาเป็นคนเชิญฮั่วจงเหยียนมาเอง ถ้าเกิดเรื่องขึ้นตระกูลเจียงจริง ไม่ต้องบอกว่าตระกูลเจียงจะมีปัญหาใหญ่ ตัวเอาเองก็อย่าหวังว่าจะรอด
ฉินเฟยไม่ได้สนใจคำพูดของคุณย่าเจียง และสำหรับคำพูดของเจียงเฉิงเย่เขายิ่งไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย เพราะเพียง‘พี่ฮั่ว’คำเดียว ทำให้เขาต้องรีบหันไปมองเจียงเฉิงเย่อย่างแรง
ฮั๋วจงเหยียนมาปรากฏตัวที่นี่อย่างกระทันหัน ซึ่งหนีไม่พ้นเจียงเฉิงเย่อย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นคนสารเลวอย่างเจียงเฉิงเย่ก็ไม่ชอบตนอยู่แล้ว และเมื่อวานก็พึ่งถูกตนตบไปหนึ่งฝ่ามือ ด้วยความแค้นที่ติดอยู่ในใจ จึงต้องการแนะนำเมียของตนให้กับฮั่วจงเหยียน ต้องเป็นแบบนี้แน่นอน!
เมื่อรู้สึกถึงสายตาของฉินเฟย เจียงเฉิงเย่ตกใจจนถอยหลังไปก้าวหนึ่ง และหุบปากไม่กล้าพูดอีก
ตอนนี่ทุกคนในตระกูลเจียงพึ่งได้สติขึ้นมา พวกเขาพลางนึกฐานะของฮั่วจงเหยียนขึ้นมา ทันใดนั้นมองไปที่ฉินเฟยด้วยสีหน้าตื่นตระหนก มองดูเท้าที่เหยียบอยู่บนมือของฮั่วจงเหยียน กลัวว่าถ้าเขาออกแรง ฮั่วจงเหยียนก็จะถูกกำจัดเสียอย่างนั้น
ถ้ามือถูกทำลาย ฮั่วจงเหยียนก็หมดสิ้นอนาคต และก็จะเกิดเรื่องใหญ่กับตระกูลเจียง!
แต่พวกเขาก็กลัวว่าจะไปยั่วโทสะฉินเฟย ในเวลานี้ก็ไม่กล้าพูดแม้แต่น้อย เพียงมองไปที่เขาด้วยสีหน้าที่ตื่นตระหนกกลัว
ฉินเฟยไม่ได้รู้จักฮั่วจงเหยียนด้วยซ้ำ และวางแผนที่กำจัดเขาจริงๆ แต่พอเขาได้ยินคำพูดของเจียงเยว่ถง
เขาเหงนหน้าขึ้นมองยังเจียงเยว่ถง ซึ่งเจียงเยว่ถงในเวลานี้ มีใบหน้าที่งดงามบริสุทธิ์เปียกชุ่มด้วยน้ำฝน เธอร่ำไห้และใส่ศีรษะวิ่งพุ่งมาที่ตัวเอง ไม่ให้เขาทำแบบนี้
“หนุ่มน้อย ถ้าหากนายกล้ากำจัดฉัน? ตระกูลเจียงของพวกนายจบเห่แน่?” เมื่อเห็นฉินเฟยลังเล ฮั่วจงเหยียนก็ลำพองใจขึ้นมาอีกครั้ง: “นายไม่รู้หรือว่าฉันเป็นใคร? ถ้ารู้จักก็รีบปล่อยฉันได้แล้ว และคุกเข่าลงขอโทษฉัน จากนั้นก็มอบเมียนายมา!”
“นาย!พูดว่า!อะไร!นะ?!” คิ้วของฉินเฟยกระตุกขึ้นทันที ในดวงตาเต็มไปด้วยความอาฆาต
“ไม่ อย่านะ!” ใครบางคนตะโกนขึ้นมาหนึ่งเสียง
สีหน้าของเจียงเฉิงเย่ก็เปลี่ยนไปเช่นกัน แทบอยากจะพุ่งเข้าไปตบกระบานสมองฝ่อของฮั่วจงเหยียนให้หลุดเสียเดี๋ยวนั้น เวลาแบบนี้แล้วจะยังไปยุแย่ฉินเฟยอีก นี่มันไม่ใช่รนหาที่ตายหรอกเหรอ? ช่างโง่เขลาจริงๆ!
“คลิก คลิก……” เวลานี้ฉินเฟยเกิดโทสะขึ้นแล้วจริงๆ นิ้วหัวแม่มือที่จับดาบเสวี่ยอิ่นอยู่ กระตุกขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้
มองดูดาบที่ทำท่าจะออกจากฝัก!
“ทำ……ทำไม?” นายคิดจะฆ่าฉันเหรอ?” ฮั่วจงเหยียนก็ตกใจเหมือนกัน ในใจเกิดรู้สึกเสียใจที่ไม่ควรไปกระตุ้นความโทสะของเขา แต่ก็ไม่อยากเสียหน้าเพื่อกล่าวคำขอโทษออกมา
แต่เสียงของเขาสั่นเล็กน้อย เห็นได้ชัดเจนว่าขี้ขลาดแล้ว
“โครม!” นิ้วหัวแม่มือที่สั่นเทาของฉินเฟยในที่สุดก็ปาดขึ้นอย่างแรง จนดาบเสวี่ยอิ่นออกจากฝักทันที
“หา!” ไม่ว่าใครเสียงใครที่อยู่บริเวณนั้นอุทานขึ้นด้วยความตกใจ
ฮั่วจงเหยียนเองร้องเสียงแหลมด้วยความหวาดกลัวเช่นกัน มองเห็นเพียงเงาดำที่กระพริบตรงหน้าชั่ววูบเท่านั้น ตกใจจนเขาหลับตาลง
แต่แล้วนั้นฮั่วจงเหยียนกลับไม่ได้รู้สึกถึงความเจ็บปวดบนฝ่ามือของตัวเอง พอลืมตาดู ตกใจจนเกือบฉี่ราดรดกางเกง และดาบดาบเสวี่ยอิ่นฟันลงลงบนพื้นข้างๆตนขอของเขา
ดูเหมือนว่าเพียงออกแรงเล็กน้อย ศีรษะและร่างของเขาก็จะถูกแยกออกจากกัน!
“ฉันบอกว่า นายพูดอีกครั้ง?” ฉินเฟยกล่าวทีละคำ โดยเส้นเลือดในดวงตาสลับไปมา รัศมีการสังหารที่ระเบิดออกมาเต็มไปทั้งร่างของเขา
“ฉินเฟย!” ในเวลานี้ เซียววี่ผู้ที่ยืนอยู่หน้าประตูห้องโถงของคฤหาสน์หรูและไม่ได้พูดอะไรมาโดยตลอดพลางส่งเสียงร้องออกมา และพูดด้วยความกังวล: “นายใจเย็นก่อน”
เซียววี่ตกใจเป็นอย่างมาก เมื่อเทียบกับคนอื่น เธอรู้และเข้าใจมากกว่า การที่มีรัสมีสังการระเบิดออกมาจากร่างของฉินเฟยอย่างกะทันหันเช่นนี้ เธอคิดว่าต้องเป็นปัญหาของดาบดาบเสวี่ยอิ่นที่อยู่ในมือเขา ดาบเล่มอยู่ในมือของอาป้ามันสังหารคนไปแล้วไม่รู้เท่าไหร่ และเดิมทีมันก็คือดาบสังหารคนอยู่แล้ว
ดาบทรราชมีวิญญาณ ในสนามรบมันช่วยเพิ่มจิตสังหารของเจ้านายให้มีมากขึ้น และเพิ่มกำลังการต่อสู้ แต่ตอนนี้ไม่ใช่ยุคสงครามสมัยโบราณ ถ้าฆ่าคนก็ต้องชดใช้ด้วยชีวิต!
ฉินเฟยชะงักเล็กน้อย และเหลือบมองไปที่เซียววี่ จากนั้นก็ส่งสายตามองไปยังเจียงเยว่ถงภรรยาของตน
ตอนนี้ใบหน้าของเจียงเยว่ถงเต็มไปด้วยน้ำตา และส่ายศีรษะอย่างแรงพุ่งมาที่ตน น้ำตาก็ไลหรินลงมา!
เมื่อได้เห็นภาพนี้ทำให้หัวใจของฉินเฟยยิ่งเต็มไปด้วยจิตของการสังหาร ในขณะเดียวกันเขาเองก็รู้สึกว่าสภาพร่างกายของตนมีบางอย่างผิดปกติไป จนต้องหลับตาด้วยความรีบร้อน
แต่ในเวลานี้ ดาบในมือเขายังคงจ่ออยู่บนคอของฮั่วจงเหยียน คนของตระกูลเจียงที่อยู่ที่นั่นไม่กล้าเอ่ยปากพูดแม้แต่คนเดียว ด้วยเกรงว่ามือของฉินเฟยจะสั่น และฆ่าฮั่วจงเหยียนเสียตรงนั้น!
ฉินเฟยหลับตาลง เห็นได้ชัดเจนว่าเขากำลังควบคุมจิตการสังหารในใจตัวเองอยู่ แต่มือของเขาสั่นอย่างควบคุมไม่ได้เป็นบางครั้ง
“ฉันไม่กล้าแล้ว ฉันผิดไปล้ว ฉันสำนึกผิดแล้วจริงๆ ต่อไปฉันจะไม่เหยียบเข้ามาที่ประตูบ้านตระกูลเจียงอีก และยิ่งไม่มาหาเรื่องพวกคุณอีก ฉันสัญญา นายปล่อยฉันไปเถอะ และรีบเอาดาบของนายออกเถอะ ฉันขอร้องแหล่ะนะ?!” ไม่มีใครที่ไม่กลัวตาย ยิ่งเป็นคนร่ำรวยก็ยิ่งกลัว ก็เหมือนกับจักรพรรดิสมัยโบราณที่ขอให้อายุยืนยาวก็ไม่ผิด
ยิ่งร่ำรวย ชีวิตยิ่งดี ก็ยิ่งกระหายกับอายุที่ยืนยาวมากขึ้นเท่านั้น
ดาบเล่มนี้ตัดลงบนหินอ่อน มันเหมือนกับหั่นเต้าหู้ก็ไม่ปาน และตอนนี้มันกำลังจ่ออยู่บนคอของตัวเอง จนทำให้เขาสั่นไม่หยุด!
ฮั่วจงเหยียนกลัวจนฉี่ราดแล้ว!
เสียงร้องขอชีวิตของฮั่วจงเหยียนดังขึ้น ฉินเฟยจึงลืมตาขึ้นช้าๆ เส้นเลือดของจิตสังหารในดวงตาก็ค่อยๆสลายไปมากด้วยเช่นกัน
เขาเอื้อมมือไปหยิบดาบเสวี่ยอิ่นออก โน้มตัวลงมองดูใบหน้าที่สะพรึงกลัวของฮั่วจงเหยียน แล้วตบลงไปทีละฝ่ามืออย่างเต็มแรง!
เพียะ!เพียะ!เพียะ!
เสียงตบดังสนั่น และทุกเสียงตบ ทำให้หัวใจของทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ชักกระตุกขึ้นอย่างไม่อาจหยุดได้
ในคฤหาสน์ใหญ่โต สายตาที่พวกเขามองฉินเฟย ราวกับมองปีศาจร้ายก็ไม่ปาน!
ไม่มีใครกล้าพูดสักคำ!
นี่……เขา……เขายังใช่ลูกเขยไร้ค่าอยู่หรือไม่?
ฉินเฟยไม่กลัวการล่วงเกินคนอื่น แม้กระทั่งไม่ลังเลที่จะฆ่าคน นั่นเป็นเพราะว่าฮั่วจงเหยียนลวนลามภรรยาของเขา!
เจียงเยว่ถงกัดริมฝีปากแน่น ซึ่งหัวใจเต้นแรงอย่างอธิบายไม่ถูก
สามปีแล้ว!
ฉินเฟย นี่เป็นครั้งแรกที่เขาดูเป็นลูกผู้ชายขนาดนี้!
……
ฮั่วจงเหยียนจากไปอย่างสะบักสะบอม แม้แต่อาวุธก็ไม่ได้หยิบไป ยังดีที่บอดี้การ์ดฝากถือไปด้วย และด้วยความหวาดกลัว จึงไม่กล้าพูดอะไรรุนแรงก่อนจากไป
ฮั่วจงเหยียนไม่อยากอยู่ที่นี่แม้เพียงวินาทีเดียว!
และจุดที่เขาลุกขึ้น ยังมีคราบแอ่งน้ำหลงเหลืออยู่ ส่งกลิ่นเหม็นโอบอวนออกมา นายนี่กลัวจนฉี่ราดจริงด้วย!
โดยหลังจากนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจก็มาถึง และแน่นอนว่าคุณย่าเจียงกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนและมีไมตรีจิตว่า แค่เข้าใจผิดเล็กและถกเทียงกันเล็กน้อย ซึ่งพวกเขาก็เคลียร์กันเรียบร้อยแล้ว
แล้วได้รับการแก้ไขแล้วหรือ? เปล่าเลย
แต่ดันเป็นการก่อเรื่องใหญ่ขึ้น
อย่ามองว่าก่อนที่ฮั่วจงเหยียนจากไป กลัวจนไม่กล้าพูดสิ่งใด แต่คนมากมายที่อยู่ที่นั่นต่างเป็นคนที่มีประสบการณ์และความรู้กว้าง รวมถึงคนรู้จักนับไม่ถ้วน ซึ่งฮั่วจงเหยียนคนนี้มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นคนต่ำทรามที่มีแค้นแล้วต้องช้ำระ และครั้งนี้เสียหน้าอยู่ที่นี่ขนาดนี้ จะต้องกลับมาหาเรื่องอีกแน่นอน!
ฉินเฟยเป็นคนแรกที่ต้องรับผิดชอบการโจมสีครั้งนี้อยู่แล้ว แต่ตระกูลเจียงก็ยากที่จะหนีพ้นได้!
หลังจากที่เจ้าหน้าที่ตำตรวจกลับไป ก็มีเสียงซุบซิบนินทากันในคฤหาสน์ตระกูลเจียง และถึงแม้การที่ฉินเฟยลงโทษฮั่วจงเหยียนไปนั้น จะทำให้คนจำนวนไม่น้อยสุขสมใจ แต่เมื่อทุกคนสงบลง ก็พึ่งจะนึกขึ้นได้ถึงปัญหาใหญ่ที่จะตามมา!
สีหน้าของคุณย่าเจียงดูเคร่งขรึม มองไปยังเสิ่นหัว และขยิบตาให้เธอ
“ทั้งหมดนี้เกิดจากฉินเฟยที่ก่อเรื่องขึ้นเอง เยว่ถงพรุ่งนี้เธอก็รีบอย่ากับฉินเฟยซะ พวกเราดูแลชีวิตการกินอยู่ของเขามาสามปี แม้ว่าครั้งนี้เขาจะช่วยเธอไว้ แต่กลับสร้างปัญหาใหญ่หลวงให้กับเราทุกคน ตัวเองเป็นขยะไร้ค่าไม่พอ ยังจะเป็นตัวก่อปัญหาอีก ดังนั้นต้องรีบอย่าทันที ซึ่งฉันได้ตัดสินใจแล้ว!” เสิ่นหัวเข้าใจความหมายของคุณย่าเจียงทันที จึงรีบกล่าวขึ้น
เธอต้องตัดขาดความสัมพันธ์กับฉินเฟยอย่างเด็ดขาด แบบนี้ตระกูลเจียงก็อาจจะยังไม่ตกเป็นเป้าของฮั่วจงเหยียน มิฉะนั้นไม่เพียงแต่ฉินเฟยเท่านั้น แม้แต่ครอบครัวของพวกเขาก็ต้องเจอกับปัญหาใหญ่ด้วยเช่นกัน!
คนในกระกูลเจียงไม่มีใครเอ่ยคำใดออกมา จนกระทั่งคนหนุ่มสาวหลายคนก็แสดงสีหน้าเดือดดาล เสิ่นหัวนี่มันเนรคุณชัดๆ!
ที่ฉินเฟยล่วงเกินฮั่วจงเหยียน นั่นเป็นเพราะช่วยกู้หน้าให้ลูกสาวของเขา แต่ผลที่ได้คือเสิ่นหัวจะไล่ออกจากตระกูลเจียงในไม่กี่วินาทีต่อมา และให้เขาไปตามมีตามเกิดอย่างนั้นหรือ?
แม้ว่าพฤติกรรมของเสิ่นหัวจะน่ารังเกียจ แต่คนที่เข้าใจว่าอะไรเป็นอะไรกลับรู้สึกว่าเขาทำถูกแล้ว และนี่เป็นวิธีที่ฉลาดที่สุด!
“เธอหุบปากได้แล้ว!” เจียงเฟิ่งหยุนตะคอกใส่ภรรยาด้วยความโทสะ
“ใครคือเจ้านายของบ้านหลังนี้?”
เจียงเฟิ่งหยุนมีสีหน้าเดือดดาล และพูดด้วยความโมโห “หย่าอะไรกัน? ฉันเจียงเฟิ่งหยุนไม่สามารถทำเรื่องแบบนั้นได้ เว้นแต่ฉันตายไปแล้ว!”
“เขยฉินเฟยคนนี้ ฉันรับไว้แล้ว!”
“จะหย่าหรือไม่นั่นเป็นเรื่องของหนูเอง” เจียงเยว่ถงพูดขึ้นอย่างกะทันหัน
ทุกคนส่งสายตามองไปที่เธออย่างแรง ด้วยสีหน้างุนงง ถึงขนาดมีอาการตื่นเต้นเล็กน้อย
เจียงเยว่เม้มปากและพูด: “หนูเองก็ไม่เห็นด้วยกับการหย่า”

ขณะที่ฮั่วจงเหยียนถูกถีบปลิวออกไป คนรอบข้างตกใจหมด ห้องรับแขกก็เงียบไปหมด
ขณะเดียวกัน สายตาของทุกคนในตระกูลเจียง ก็มองไปตามทางนี้ เมื่อเห็นชัดแล้วคนที่มาเป็นฉินเฟย สีหน้าบนใบหน้าน่าดูขึ้นมาทันที
มีคนตื่นเต้น เหมือนเก็บกดมานาน ได้แก้แค้น
มีคนช็อคใจ เพราะพวกเขานึกไม่ถึงจริงๆ ฉินเฟยสามารถโจมตีฮั่วจงเหยียนได้ปลิวออกไป ซึ่งเป็นแชมป์การชกมวย
แล้วก็มีคนเป็นห่วง ห่วงว่าฉินเฟยได้ชนะเนื่องจากแอบโจมตี หลังจากนั้นจะต้องถูกโจมตีแน่นอน และมีอะไรห่วงมากที่สุดคือ แบบนี้ก็จะมีปัญหากับตระกูลฮั่ว
แต่ละคนต่างคนต่างคิด บนใบหน้าก็คนละสีหน้า น่าดูที่สุด
แต่เจียงเยว่ถงตกใจเกินจนอึ้งๆ
เจียงเยว่ถงเองก็ไม่รู้ทำไม น้ำตาไหลลงมายิ่งกว่าเดิม
“ฉินเฟย ใช่คุณ… จริงๆด้วย” เจียงเยว่ถงให้ฉินเฟยกอดไว้ พูดด้วยเสียงเบาๆ ริมฝีปากเกือบโดนกัดเลือดออก
เธอรู้ว่า ถ้าฉินเฟยรู้ข่าว จะต้องมาแน่!
“ใช่ผมเอง แผมจะจัดการเรื่องที่ต่อมาเอง ดีมั้ย” ฉินเฟยยิ้มๆ เงยหน้ามองไปที่ฮั่วจงเหยียนที่ลุกขึ้นจากพื้น และเปลี่ยนสีหน้าอย่างเย็นชา
เขาพาเจียงเยว่ถงที่ยังเหม่อลอยอยู่ไปที่เสิ่นหัวที่อยู่ข้างๆ
“ถงๆ เธอเป็นอะไรไหม” เสิ่นหัวรีบดึงเจียงเยว่ถงเข้ามา มองดูลูกสาวทั้งซ้ายทั้งขวา ถามด้วยปลอบใจ
เสิ่นหัวไม่ได้สนใจฉินเฟย เธอคิดว่า ฉินเฟยก็ยังเป็นคนไม่ได้เรื่อง พูดด้วยห่วงใย “ ไป เรารีบกลับบ้านกันเถอะ”
ส่วนฉินเฟยจะเป็นยังไง เธอขี้เกียจไปสนใจ ฉินเฟยกินฟรีอยู่ฟรีที่บ้านเธอ ถือว่าเขาตอบแทนแล้วกัน
“เหี้ย ใครวะ เอ่ยชื่อมา” ฮั่วจงเหยียนลุกขึ้น สะบัดมือที่เย็นเป็นน้ำแข็ง ไม่ได้สนใจกับการมาถึงของฉินเฟย
เขาคิดว่า ไอ้คนนี้แค่แอบโจมตีถึงได้ชนะ
ฉินเฟยมองไปที่เขา พูดด้วยเสียงเย็นชา “ฉินเฟย”
ฉินเฟยไม่รู้จักฮั่วจงเหยียน แล้วก็ไม่รู้ว่าที่นี่มีอะไรเกิดขึ้น แต่เมื่อเขามาถึง เค้าเห็นผู้ชายคนนี้กอดเมียตัวเองไว้ และจะจุ๊บเจียงเยว่ถง และเจียงเยว่ถงตกใจจนไม่ใสใจหน้าตาตัวเอง น้ำตาไหลทั่วหน้า ผู้ชายใครๆ ก็รับไม่ได้
“อ่อๆ ฉินเฟยนี่เอง คนที่เกาะผู้หญิงกินที่ไร้ประโยชน์อะนะ ฮ่าๆ ทำไม เห็นฉันเข้าใกล้เมียมึง ทนไม่ได้หรอ กูจะบอกให้ เมียมึง กูจะเอาให้ได้!” ฮั่วจงเหยียนเต็มภูมิใจบนใบหน้า และสีหน้าเย็นชา เมื่อสักครู่นี้ถูกถีบปลิวออกไป เสียหน้าจริงๆ
“มึงหาเรื่องตาย!”
ฉินเฟยกัดฟันพูดทีละคำๆ สายตาที่เย็นชา ทำให้ทำคนที่อยู่ตกใจมากมาย
นี่ นี่คือลูกเขยคนั้นที่ไร้ประโยชน์หรอ? โมเมนตัมของเขาทำไม…ทำไมถึงแข็งแกร่งขนาดนี้ได้?
ถูกเจียงเฉิงเย่กดลง เจียงเฟิ่งหยุนที่โมโหก็มองไปที่ลูกเขยที่ว่ากันว่าไม่ได้เรื่อง ด้วยสายตาเหม่อลอย
เขารู้ แค่กำลังของฉินเฟยไม่สามารถต่อสู้กับฮั่วจงเหยียนได้ แต่เพียงที่เขามีความกล้า เมียถูกรังแกเขากล้าที่จะยืนออกมาโดยไม่กลัวตาย เขาก็เป็นผู้ชายแท้ๆ !
“เหอะๆ กูหาเรื่องตาย? ที่ผ่านมาหลายปีขนาดนี้ กูเพิ่งเคยได้ยินมีคนกล้าพูดคำพูดพวกนี้กับกู! มึงรู้ไหมกูเป็นใคร? กูยังกำวลกลัวมึงไม่กล้ามา ตอนนี้มึงมาเองละ! ไอ้เหี้ย !”
ฮั่วจงเหยียนสะบัดข้อมือ และทำท่าเท่ๆ บิดคอ และแกะถุงมือออกมาช้าๆ
เขาจ้องตามองบอดี้การ์ดที่มาล้อมรอบฉินเฟย และด่าไปอย่างดุ “ไปให้พ้นๆ กูจะจัดการมันเอง!”
บอดี้การ์ดหลายคนทยอยหลบหนี สายตาที่อยู่ในแว่นกันแดดก็มองไปที่ฉินเฟยที่มากะทันหัน และมี บอดี้การ์ดคนหนึ่ง หยีบท่อนไม้สีเงินแท่งหนึ่งออกมาอย่างรวดเร็ว
ท่อนไม้นี้ไม่เราทำมาจากวัสดุอะไร และสามารถบิดแล้วก็จะเป็นอาวุธที่ยาว 5 ฟุตได้ และโยงไปให้ฮั่วจงเหยียน
ฮั่วจงเหยียนรับไว้ หัวเราะอย่างร้าย และวิ่งไปทางฉินเฟยอย่างรวดเร็ว ราวกับเสือหนึ่งตัว
พอเห็นแบบนี้ คนในตระกูลเจียง สีหน้าดูซับซ้อนมาก!
ถึงพวาเขาไม่ค่อยชอบฉินเฟย แต่ตอนนี้ หลายๆคนอยากจะให้ฉินเฟยต่อสู้กับไอ้คนนี้และได้ชนะ
แน่นอน พวกเขาก็รู้ในใจ นี่เป็นแค่ความฝันเฉยๆ !
ต้องรู้นะ ฮั่วจงเหยียนเป็นแชมป์กงฟู ได้ข่าวว่าชอบกงฟูตั้งแต่เด็ก มีพรสวรรค์อย่างสูง และได้ไปเรียนกงฟูที่สำนักป้าฉวนเหมิน ฝึกฝนมาเป็นสิบกว่าปี ไม่มีใครสู้ได้!
ฮั่วจงเหยียนหัดมาเป็นกงฟูด้วยมือแขนขา แต่ได้ยินมาว่า ที่เขาเชี่ยวชาญที่สุดคือ วิธีเล่นท่อนไม้!
“ฉินเฟย คุณส้กับเขาไม่ได้หรอกค่ะ คุณรีบไป รีบไปเลย!” เห็นฮั่วจงเหยียนหยีบอาวุธออกมา เจียงเยว่ถงยิ่งตกใจ ตะโกนกับฉินเฟย
ถ้าหากฮั่วจงเหยียนได้โจมตีฉินเฟยป็รพิการ ก็จะถูกตีเปล่าๆ !
แล้วก็ ในใจเจียงเยว่ถง ฉินเฟยมาถึงและรับเรื่องนี้ไว้ เธอก็พอใจมากแล้ว
และในใจเธอก็ยังรู้สึกเสียดายไปหน่อย ว่าไม่ควรให้แม่โทรหาฉินเฟย
แต่ในตอนนี้ ฉินเฟนยอย่างกับไม่ได้ยิน กับฮั่วจงเหยียน
นที่วิ่งมา รอคอยอย่างอึ้ง ท่าทางไม่ได้คิดจะหนี
ฉินเฟยก็ฝึกกงฟู มาตั้งเด็กเหมือนกัน ถึงแม้เมื่อสักครู่นี้ได้ต่อสู้กันไม่กี่วินาที แต่ดูจากที่เขาสามารถจับซองดาบไว้ในเวลากะทันหัน ดูออกได้ว่าไอ้คนนี้เก่ง
เจียงเยว่ถงรีบร้อนขึ้น รีบหยิบโทรศัพท์ออกมา โทรไปแจ้งตำรวจ
“รีบไปเถอะค่ะ ไปจากที่นี่ไปก่อน!” เสิ่นหัวรีบพูด
เธอคิดว่า ฉินเฟยจะแพ้เร็วๆ นี้ และมีสิทธิ์โดนฮั่ว
จงเหยียนโจมตีเป็นพิการ เธอก็ไม่สนใจหรอก แต่ต่อมา เป้าหมายของฮั่วจงเหยียนก็จะเป็นเจียงเยว่ถง !
“ถ้าแม่จะไปก็ไปเลยค่ะ หนูไม่ไปหรอกค่ะ ถ้าฉินเฟยถูกโจมตีเป็นพิการ หนูจะดูแลเขาตลอดชีวิต!” เจียงเยว่ถงพูดด้วยเสียงเย็นชา โมโหกับแม่ครั้งแรก
เจียงเฟิ่งหยุนที่อยู่ข้างๆ ตา สว่างขึ้น ลองไปที่เจียงเยว่ถงด้วยสายตาชมเชย
เสิ่นหัวโมโหจน กระทืบเท้า สายที่โทรไปของเจียงเยว่ถงมีคนรับสายแล้ว เสียงตำรวจ “ฮัลโหล นี่คือสถานีตำรวจซงไห่ มีอะไรให้ช่วยเหลือไหมครับ”
เห็นฉินเฟยกับฮั่วจงเหยียนได้ต่อสู้กันแล้ว ในใจเจียงเยว่ถงรู้ ฉินเฟยสู้กับเขาไม่ได้ พูดด้วยเสียงรีบร้อน “ เร็ว ส่งคนมาเร็วที่วิลล่าตระกูลเจียง มีคนก่อเรื่องที่นี่ ใช้อาวุธแล้วด้วย ตีกันแล้ว!”
“เซี่ยง!”
เจียงเยว่ถงเพิ่งพูดจบ มีเสียวออกมาจากห้องรับแขก เป็นเสียงที่เหล็กชนกันอย่างแสบหู คนตระกูลเจียงรอบๆ รีบถอย กลัวจะโดนตัวเอง
แต่ในสาย เสียงตำรวจด้วยความสงสัย “ ตระกูลเจียง? โจมตีกัน? ใครต่อสู้กับใคร?”
ถึงแม้ว่าตระกูลเจียงเป็นตระกูลที่อยู่ในระดับสอง แต่ก็ถือว่าค่อนข้างมีชื่อเสียงในเมืองซงไห่ ใครจะกล้าไปก่อเรื่องที่ตระกูลเจียง
“เป็นฮั่วจงเหยียนที่สำนักป้าฉวนเหมินค่ะ เขากำลังโจมตี…ตีสามีฉัน!” เจียงเยว่ถงรีบร้อนมากๆ ตอนี้ ท่อนไม้เหล็กๆ แบบนี้ตีลงไป ฉินเฟยจะรับไว้ได้ยังไง ฉินเฟยถูกโจมตีแน่นอน แต่สิ่งที่เจียงเยว่ถงห่วงมากสุดคือ ฮั่วจงเหยียนจะตีให้เป็นพิการ
เจียงเยว่ถงรีบพูดออกมา แต่เธอพูดคำว่า “ สามี” ใจเธอสั่นๆ หน้าแดงๆ
เหมือน… จะเป็นครั้งแรกที่ยอมรับฉินเฟยเป็นสามีของตัวเอง!
แต่หลังจากที่เธอคุยโทรศัพท์เสร็จ
ไม่เพียงเธอเอง ทุกคนที่อยู่ในห้องรับแขกของวิลล่า ทุกคนหน้าตาอย่างช็อค นึกไม่ถึงจริงๆ!
ความสามารถของฮั่วจงเหยียน ใครๆ ก็ไม่ต้องสงสัย เค้าเป็นแชมป์สามรุ่นต่อกัน ไม่มีใครสู้กับเขาได้ทั้งเมืองซงไห่ และตอนนี้เค้าใช้อาวุธที่ตัวเองถนัดที่สุด!
แต่พวกเขานึกไม่ถึง ฉินเฟยสามารถต่อสู้กับเขาได้!
“พาง”
“เซี่ยง”
ในเวลานี้ มีแต่เสียงต่อสู้กันในห้องรับแขก สองคนนี้โจมตีกันอย่างดุเดือด เสียงต่อสู้นี้แบบหนักๆ ทำให้ทุกคนรู้สึกกลัวไปหมด
นี่จะต้องใช้แรงขนาดไหน!
ฮั่วจงเหยียนเก่งอยู่แล้ว ทุกคนก็เลยไม่ได้คิดอะไรมาก แต่สำคัญที่สุดคือ ฉินเฟย
อีกอย่าง มีคนสังเกตผิดปกติแล้วเร็วๆ นี้ รู้สึกเหมือน… ฉินเฟยเหนือกว่าฮั่วจงเหยียน?
สำคัญที่สุดคือ เชนเฟยยังไม่ได้เอาดาบออก!
ฉินเฟยเองก็ไม่รู้ทำไม ตั้งแต่ตัวเองได้ทำให้ดาบเสวียอีนรับเจ้าของ รู้สึกร่างกายตัวเองเติมพลัง แต่ว่าเค้าก็ไม่คิดเป็นพลังมาจากดาบเสวียอีน ถ้าเป็นแบบนี้มันก็เกินความจริงมากไป
เขานึกถึงยาที่ตัวเองกินไป ชายชราคนนั้นบอกว่าไม่ใช่ของปลอม เหตุผลที่กินเข้าไปแล้วไม่รู้สึกอะไรเลย เป็นเพราะผลยายังไม่ได้ละลาย
ฉินเฟยเดาว่า มีสิทธิ์เป็นเพราะว่าตอนที่ตัวเองพยายามเอาชนะกับดาบเสวียอีน ทำให้ยามีผล จึงทำให้ตัวเองมีพลังที่ใช้ไม่หมด
แล้วก็เค้ารู้สึกว่า ความเร็วการตอบสนองของขาวเร็วขึ้นมากกว่าเดิม!
ฉินเฟยไม่รูจักฮั่วจงเหยียน แล้วก็ไม่รู้เค้าเป็นแชมป์อะไร ไม่งั้นใจนึงคงจะมีความกลัวบ้าง เค้ารู้แค่ว่าผู้ชายคนนี้จ้ะแย่งเมียตัวเอง และจะแตะต้องผู้หญิงของตัวเอง เลยตีกันอย่างโกรธ
แต่ฮั่วจงเหยียนมีฝีมือจริงๆ พูดถึง ประสบการณ์การต่อสู้เยอะกว่าฉินเฟยเยอะแน่นอน แต่ปีนี้ตั้งแต่เขาประสบความสำเร็จมีชื่อเสียง ก็จะต้องออกงานต่างๆ การฝึกฝนก็จะน้อยลงไปเยอะ อีกอย่างใช่เวลาอยู่กับผู้หญิง และเหล้าสุรา ฝีมือจึงสู้แต่ก่อนไม่ได้
แต่ฮั่วจง้หยียนไม่รู้สึก ไม่ได้วางแผนจะใช้ประสบการณ์การต่อสู้ คิดอยากจะใช้อาวุธที่อยู่ในมือ สตรีให้คนนี้พี่ไม่รู้จักตายให้เป็นพิการ แบบนี้ถึงจะรักษาหน้าตัวเองไว้ได้
แต่ฮั่วจง้หยียนสังเกตอย่างแปลกใจ กำลังของเค้าเหนือกว่าตัวเองตั้งเยอะ!
แต่เมื่อเขาอยากจะตีให้ชนะด้วยประสบการณ์การต่อสู้ ข่าวสังเกตุว่าคู่แข่งถึงจะไม่มีการวางแผน แต่การตอบสนองเร็วมาก สามารถกั้นขวางได้ทุกๆที่ ทำให้ขาวไม่สามารถใช้อาคม กลับถูกเขาเหนือชนะไป!
กำลังของฉินเฟยแรงกินไปจริงๆ ที่ว่ากันว่า กำลังเหนือกว่าความเป็น นี่ก็คือความจริง!
ดาบลงไป อะไรๆ ก็จะเอาไม่อยู่!
เจียงเยว่ถงมองไป ไม่มีความคิดเลยในหัวสมอง
ฉินเฟย เก่งขนาดนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่?
หรือเขาเก่งแบบนี้มาตลอด
เจียงเยว่ถงช็อค แต่ในใจก็ขมขื่น เธอคิดว่าเธอเข้าใจฉินเฟยมากพอ แต่ถึงตอนนี้ สามปีที่อยู่ด้วยกันมา เข้าใจสามีตัวเองน้อยไป!
หรือว่า ตัวเองไม่เคยไปเข้าใจเขาด้วยใจจริง !

ฉินเฟยมือสั่น ยาผงที่ฝ่ามือทำหก แต่เขาไม่ทันทำแผลแล้ว รีบลุกอย่างรุนแรง
“เป็นไรหรอ” เซียววี่เห็นฉินเฟยเปลี่ยนสีหน้าตั้งนานแล้ว แต่ฉินเฟยไม่ได้เปิดลำโพงเสียง เธอเลยไม่ได้ยิน
“เมียผมถูกรังแกแล้ว ผมต้องรีบไป ไม่ทันแล้ว” ฉินเฟยพูดไป วิ่งไปข้างนอก
“ที่ไหน เดี๋ยวฉันไปส่ง” เซียววี่ ร่างกายสั่นไหวเล็กน้อย และในใจเธอไม่ได้คิดอะไรมาก แต่เมื่อเธอได้ยินว่า ฉินเฟยมีภรรยาแล้ว รู้สึกไม่สบายใจในหัวใจของเธอ
“ดีๆ อยู่ที่วิลล่าตระกูลเจียง ” ฉินเฟยอยู่ๆ นึกถึงอะไรขึ้นมาได้ รีบหันกลับถือดาบเสวียอีนที่วางบนโต๊ะไว้ในมือ
……
วิลล่าตระกูลเจียง ห้องรับแขกใหญ่ๆ ฮั่วจงเหยียนส่งเสียงหัวเราะอันยิ่งใหญ่บางครั้ง
“อะไรนะ คุณว่าอะไร” เสิ่นหัวจับมือถือ ได้ยินเสียงโจวเซี่ยงเฉียน
“ไม่มีอะไร เจียงเยว่ถงเก่งมากเลยไม่ใช่หรอ อีกอย่าง เธอก็ไม่ใช่ผู้หญิงของผม เธอถูกรังแกคุณหาฉันทำไม เหอะๆ ไอ้ผัวไม่ได้เรื่องฉินเฟยผัวเธอ ก็เก่งไม่ใช่หรอ คุณไปหาเค้าสิ วางสายนะ” เสียงโจวเซี่ยงเฉียน เสิ่นหัวนั่งลงบนเก้าอี้
โจวเซี่ยงเฉียนไม่สนใจ!
โจวเซี่ยงเฉียนไม่ยุ่งอยู่แล้ว ถึงจะช่วย ก็ช่วยไม้ได้!
เขาในปัจจุบัน ไม่มีอะไรเลย เขาจะต้องออกไปหาอะไรกินถ้าไม่ใช่ที่บ้านยังมีเงินเหลืออยู่บ้าง คราวทาแล้วเขาถูกปฏิเสธอย่างรุนแรง และตอนนี้ได้ยินว่า ฮั่วจงเหยียนผู้โด่งดังจะแต่งงานกับเจียงเยว่ถง จะมายุ่งเพื่อ? นั่นคือจะหาเหาใส่หัว !
เมื่อวานนี้เอง โจวเซี่ยงเฉียนร้องขอตระกูลซู ถามว่า ทำไมเขาถึงไปยกเลิกตำแหน่งประธานของเขา และ ตระกูลซูบอกเขาว่า เขามีปัญหากับคนที่ไม่ควรมีปัญหากัน
โจวเซี่ยงเฉียนคิดหนัก คิดจนหัวสมองแตกก็คิดไม่ออก ว่าตัวเองไปมีปัญหากับใครมา
“ยังคิดจะหาโจวเซี่ยงเฉียน พวกคุณยังไม่รู้หรอ ตำแหน่งประธานถูกยกเลิกโดยตระกูลซูไปนานแล้ว”
“ใช่ๆ ฉันก็ได้ยิน ตอนนี้มันไม่มีห่าเหวอะไรเลย ฉันเรียกเขามาจะช่วยอะไรได้ ไอ้ฉินเฟยก็ช่วยอะไรไม่ได้”
เสิ่นหัววันๆ รู้แตข็อปปิ้ง เสริมสวย ไม่ร้เรื่องข้างนอกเลย โจวเซี่ยงเฉียนไม่มีอะไรเลยเมื่อนานไปแล้ว
ฮั่วจงเหยียนหัวค นั่งลงข้างๆเจียงเยว่ถง ซึ่งใกล้กว่าเดิม ทำตัวอย่างไฟฟตี้ มาดมกลิ่นหน้าตัวเธอ และเต็มไปด้วยความสนุกสนาน “หอมจังเลย คนสวย มาเป็นผู้หญิงของฉันเถอะ คุณหนีไม่ได้หรอก “
“เอามือออก!” เจียงเยว่ถงทั้งอายทั้งโกรธ ในใจยิ่งกลัวไม่ไหว เสียงอ่อนโยนแต่สีหน้าเย็นชา
“ไอ้สัตว์ ไอ้สัตว์ มึงกล้าไปแตะต้องตัวลูกสาวฉัน ถึงกูตายกูก็ต้องเอามึงตายพร้อม!” เจียงเฟิ่งหยุนตัวสั่นไปหมด ตะโกนด้วยเสียงอย่างทุกข์
ตอนนี้เขากำลังถูกเจียงเฉิงเย่กับผู้ชายในตระกูลอีกหลายคนห้ามไว้
คนแรกที่เสิ่นหัวโทรหาก็คือเจียงเฟิ่งหยุน เจียงเฟิ่งหยุนไม่มีความมุ่งมั่นที่นี้ จึงไม่ค่อยเข้าประชุมทางตระกูล
แต่เขาก็อยู่ไม่ไกล หลังจากได้รับโทรศัพท์ของเมีย ได้ยิงว่าลูกสาวถูกรังแก จึงได้คิดมาถึงคนแรก
ถึงเค้าเคยเป็นทหารมาก่อน แต่มีโรคประจำ อายุก็เยอะแล้ว ต่อสู้กับฮั่วจงเหยียนได้อย่างไร
เมื่อเขาจะเข้าไปตีกับฮั่วจงหยียน ฮั่วจงเหยียนผลักเขาออ ทำให้เอวไปชนกับมุมโต๊ะ และได้รับเจ็บปวด
และ สิ่งที่ทำให้เค้าโมโหที่สุดคือ
เจียงเยว่ถง คือลูกสาวของเขาเอง จะไม่ช่วยได้ยังไง
และ สิ่งที่ทำให้เขาใจแตกที่สุดคือ ไม่มีใครเลยซักคนในตกูลเจียง ออกมาช่วย
“แม่ แม่บ้าไปแล้วหรือเปล่า เพื่อประโยชน์นิดนิดหน่อยๆ
“คนในตระกูลถูกรังแก ไม่สนใจเลย มองดูอย่างเดียว ถึงตระกูลหาเงินทองแล้วยังไง ใครจะซื่อสัตย์ต่อตระกูลเจียงอีก ใจคนแตกแยกกันแล้ว ตระกูลเจียงก็จะจบแล้ว!” เจียงเฟิ่งหยุนตะโกนอย่างมีความทุกข์
เสียงคำพูดของเจียงเฟิ่งหยุนจบลง สีหน้าของคุนในตระกูลหลายๆ คนเปลี่ยน และมีจำนวนครึ่งหนึ่งพยักหน้า
ทุกคนมีหัวใจ แม้ว่าหลายคนในตระกูลเลือกที่จะเงียบเพื่อประโยชน์ แต่บางคนก็โกรธมากกับการกระทำของฮั่วจงเหยียน นี่คือตบหน้าต่อหน้าตระกูลเจียงชัดๆ อีกอย่างที่นี่เป็นที่ของตระกูลเจียง
พวกเขาเห็นฮั่วจงเหยียน ไม่มองใครอยู่ในสายตาขนาดนี้ ไม่สนใจจริยธรรมรังแกเจียงเยว่ถง ในใจแค้นมากกันทุกคน
และหวังว่าจะมีคนสักคนสามารถยืนที่นี้ ตีไอ้คนหยิ่งๆคนนี้ เอาให้ตาย
คุณย่าเจียงก็หน้าซีดไปหมด โมโหจนตัวสั่น
แต่แกก็ไม่ได้พูดซักคำตั้งแต่แรกจนสุดท้าย กลับโมงไปทางลูกชายเจียงเฟิ่งหยุนอย่างซับซ้อน และมองดูเจียงเยว่ถงที่กัดริมฝีปากไว้และร้องไห้อย่างทุกข์ สุดท้ายแกก็ถอนหายใจ
เธอไม่ได้ไม่สนใจจรรยาบรรณของเจียงเยว่ถง แต่ เทียบกับอ่านรักคตของทั้งตระกูลเจียง เจียงเยว่ถงก็
จะไม่สำคัญเท่าเลยแม้แต่นิดเดียว
ฮั่วจงเหยียนเป็นคนตระกูลฮั่ว เรื่องมาถึงขนาดนี้ พวกเขาตระกูลเจียงก็ไม่กล้ามีปัญหากับเขา!
เมืองซงไห่มีตระกูลใหญ่ ฮั่ว หลิ่ว ไม่เพียงแต่มีสินทรัพย์มากมาย และมีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนกับตระกูลใหญ่ๆ ทางการเมืองและทางธุรกิฐ คือสุดยอดมาก
แม้ฮั่วจงเหยียนเป็นแค่ญาติๆ แต่สุดท้ายแล้วก็นามสกูลฮั่ว
นอกจาก 4 ตระกูลใหญ่ นี้แล้ว ยังมี 8 ตระกูลที่เป็นระดับแรก ต่อมาถึงจะเป็นตระกูลระดับสอง คระกูลเจียงก็อยู่ในตระกูลระดับสอง และถือว่ามีชื่อเสียงนิดหน่อย แต่ถ้าจะเทียบกับตระกูลระดับหนึ่ง ก็จะมีความห่างไกลมาก ยิ่งไม่ต้องไปเทียบกับตระกูลแรกในสี่ อืมตระกลใหญ่
ตระกูลเจียงกับตระกูลฮั่วห่างกันแสนไกล ดังนั้น ถ้าตระกูลเจียงได้แต่งงานกับตระกูลฮั่ว และจะได้เงินทุนพันล้านในการทำงานร่วมมือกัน คุณย่าเจียงยอมร้อยเปอร์เซ็นต์
เธอก็คิด อยากจะให้ตระกูลเจียงเข้าไปในตระกูลระดับหนึ่งเมื่อตัวเองยังมีชีวิตอยู่ อย่างนี้หลังเสียชีวิตลงดิน ก็จะสามารถปลอบใจบรรพบุรุษ
“หยุนเอ๋อร์ ขอโทษ แม่ขอโทษ” คุณย่าเจียงปิดตาไว้เอ่ยว่า
“ผมไม่ใช่ลูกแม่ แม่ก็ไม่มีหลานสาวเจียงเยว่ถง”
เจียงเฟิ่งหยุนยังไงก็เป็นทหารมาก่อน ก็เข้มแข็งเหมือนทหาร
เพียงแต่เสียในใจ ที่ตัวเองอายุเยอะแล้ ได้แต่ดูลูกสาวของตัวเองถูกรังแก และเขาก็กัดลิ้นของเขาจนเลือดออก!
“เสียศีลธรรมจริงๆ คนอย่างคุณ คุณจะได้รับกรรมแน่นอน! ” ในที่สุดมีหญิงสาวคนหนึ่งอดความโกรธไม่ได้ลุกขึ้นมาด่าฮั่วจงเหยียน”
“ใช่ๆ สารเลวไม่สมควรเป็นคน!”
“ทำไม คุณก็อยากจะตีฉันหรอ หรืออยากจะให้ฉันแต่งงานกับคุณ เป็นเมียน้อยหรอ” ต่อเพิ่งอื่นๆมาชี้หน้าด่า ฮั่วจงเหยียนไม่เก็บตัวเลยแม้แต่นิดเดียว เหลือบมองที่หญิงสาวที่พูด “แต่งงานกับตระกูลฮั่วมีอะไรไม่ดี ห๊า ?”
หญิงสาวที่พูด ได้รับการตรวจจับสายตาของฮั่วจงเหยียนที่ยิ้มๆ รู้สึกอย่างน่ากลัวจนตัวสั่น และไม่กล้าที่จะพูดอีกต่อไป และมีคนดึงเธอออกมาข้าง ๆ เธอตกใจรีบนั่งลงอย่างรวดเร็ว
ได้เห็นเหตุการณ์แบบนี้ ฮั่วจงเหยียนหัวเราะอย่างชัยชนะ
ผู้ปกครองตระกูลเจียงอนุญาตแล้ว เขาก็เกินไปมากกว่าเดิม จับมือเจียงเยว่ถงไว้ ดึงแรงๆอีกครั้ง!
เจียงเยว่ถงส่งเสียงตกใจ ชนไปที่หน้าอกฮั่วจงเหยียนอีกรอบ คราวนี้ฮั่วจงเหยียน ไม่อยากจะให้เธอต่อสู้อีก กอดเธอแน่นๆ ไว้โดยตรง
“เยว่ถงคนสวย อย่ากลัว มาเป็นผู้หญิงของฉัน เธอ จพมีความสุขมาก!” ฮั่วจงเหยียนยิ้มๆ เข้าใกล้ที่หน้าสวยๆ ของเธอ
รู้ว่าตัวเองหนีออกมาไม่ได้ เจียงเยว่ถงเลิกต่อสู้ ขนาดเดียวกันหลับตาไว้
เธอสิ้นหวังจริงๆ!
ต่อหน้าต่อตาผ้อแม่ คุณย่า พี่น้อง ญาติๆ ถูกฮั่วจงเหยียนรังแก แต่นอกจากพ่อแม่ตัวเอง ไม่มีใครออกมาขัดขวาง อีกอย่าง เจียงเฉิงเย่อีกหลายคนยังจะกดพ่อไว้ห้ามพ่อไปยุ่ง !
นี่คือสินหวัง !
เพื่อตระกูลเจียง ทำไมต้องมาเสียจรรยาบรรณตัวเอง ถึงจะต้องตาย เธอก็ไม่ให้ฮั่วจงเหยียนมาเหยียบหน้าตัวเองแบบนี้!
เจียงเยว่ถงหมดความหวังแล้วจริงๆ! เธออยากตาย!
เธอหลับตาไว้อย่างแน่น น้ำตาไหลออกมา ฮั่งจงเหยียนใกล้ชิดหน้าสวยๆ ของเจียงเยว่ถงอย่างโลภ กลิ่นตัวหอมๆและกลิ่นตัวสาวเวอร์จิ้นอย่างพิเศษทำให้เขาหลงรัก
แต่ณะเวลานี้ ฮั่วจงเหยียนเปลี่ยนสีหน้ากะทันหัน แค่รู้สึกว่าข้างหลังมีลงแรงๆมา ด้วยสัญชาตญาณก็จะหลบหนี
แต่ลมแรงเกินจริงๆ
“ปัง!” ซองดาบแข็งๆ โยนไปที่ไหล่ขวาของฮั่วจง้หยียนอย่างรุนแรง ทำมเขาล้ม
“อุ๊ย!”
ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงทำให้เขาตะโกนออกมา ไม่ทันให้รู้คนโจมตีเป็นใคร ลมแรงๆ มาถึงอีก เขาตกใจเลยผลักเจียงเยว่ถงออกไป หันกลับเอามือไปจับอย่างรุนแรง
ฝีมือกงฟูของฮั่วจงเหยียนเป็นของจริงๆ เขาเป็นคนมีฝีมือจริงๆ!
ด้วยสัญชาตญาณการต่อสู้และการรับรู้ความละเอียดอ่อน เขาคว้าซองดาบที่ชนมาทีเดียว
“อุ๊ย!”
แต่ว่า ไม่ทันให้ฮั่วจงเหยียนดึงกลับแรงๆ รู้สึกมีอะไรเย็นสุดๆ เข้าไปที่ร่างกาย ทะลุไปทางถุงมือหนังดำ
ฮั่วจงเหยียนตะโกนความเจ็บทีเดียว รีบปล่อยมือ
เขถอยหลังอย่างโซเซ ในที่สุดได้เห็นชัดแล้วคนโจมตีเป็นใคร แต่เร็วๆ เงาดำๆ กลายเป็นใหญ่ขึ้นๆ อยู่ในดวงตา
เท้าข้างหนึ่งเตะเข้าไปในหน้าอกของเขาอย่างแรง แรงมากจริงๆ ฮั่วจงเหยียนร้องเสียงดังอีกครั้ง ร่างกายของเขาได้ปลิวออกไป และได้ชนกับเก้าอี้ โต๊ะหลายตัว
เจียงเยว่ถงถูกโยนออกไป เกือบล้ม เธอตะโกนเสียงดัง ทันไดนั้น รู้สึกมีมือนิ่มๆ ใหญ่ๆ กอดแวตัวเองไว้
เจียงเยว่ถงตะโกนมาขึ้นอีกครั้ง “ปล่อยฉัน!”
“เยว่ถง ไม่ต้องกลัว ผมเอง”
ได้ยินเสียงที่คุ้นเคย เจียงเยว่ถงตัวสั่นไหว หันกลับอย่างเร็วและมองไป……

เซียววี่ยิ้ม “ เจาะเลือกนิ้ว ใช้เลือดหัวใจเชื่อมกับจิตดาบ แต่จิตดาบจะยอมรับคุณหรือไม่ ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันนะ แต่ตามที่ประวัติศาสตร์ลือว่ามาแบบนี้”
เขาว่ากันว่า สิบนิ้วมือเชื่อมไปถึงหัวใจ เลือดไหลออกมาจากนิ้วมือก็เป็นเลือดหัวใจ
ฉินเฟยหันหัว มองไปที่ดาบที่เต็มสนิม
เขาเองก็ไม่รู้ ช่างหลายวันที่ผ่านนี้ ตัวเองเหมือนจะผีเข้า มีความสนใจในดาบนี้กับหนังสือโบราณมาก แต่สมัยนี้เป็นสมัยใหม่แล้ว ไม่ใช่สมัยโบราณ ยิ่งไม่ใช่นิยายศิลปะการต่อสู้
ตอนนี้ ฉินเฟยนึถึงชายชราบ้าๆ โบๆ ที่เจอที่กลางทาง ที่เรียกตัวเองว่าผู้สูงอายุสำนักเอ๋อเหมย ถ้าเป็นแต่ก่อน เขาจะไม่สนใจ ไม่มีทางเชื่อ แต่ชายชราคนนี้อายุหกเจ็ดสิบแล้ว ใช้อาคมสองรอบก็ทำชนะตัวเองได้
แล้วก็ใช้เวลานิดหนึ่งเองก็ดมกลิ่นยาที่ผลิตออกมาได้ หลายๆ อย่างทำให้เขาต้องเชื่อใจ!
ถึงแม้ตระกูลฉินจะไม่มีแล้วอีกต่อไป แต่ก็ไม่เคยลืมการฝึกอบรมมา การสืบทอดบรรพบุรุษของตระกูลฉินไม่ใช่ศักดินา ข้อแรกคือไม่ใช่เพื่อตระกูล ไม่ใช่หาเงินหาทอง แต่เป็นต้องเป็นคนยังไง ข้อที่สองก็คือ ร่างกาย
อยากทำมาหาเงิน อยากปกป้องคนที่สนใจ ร่างกายต้องแข็งแรงมากพอ
ตอนนี้ดาบเสวียอีนก็อยู่แค่ปลายจมูก เหมือนจะเป็นความคิดของสวรรค์
ถึงขั้นนี้แล้ว ฉินเฟยไม่สามารถยอมแพ้แ
อีกอย่าง เมียสวยขนาดนี้ เขาต้องคุ้มครองเจียงเยว่ถง ไม่ให้ใครมารังแกทั้งนั้น!
คิดถึงที่นี้ ฉินเฟยจับดาบเสวียอีนที่วางบนโต๊ะทีเดียวเลย
“ซือๆๆๆๆ”
ทันใดนั้น เหมือนจะมีอะไร ทำให้คนเหมือนจะโดนแช่แข็ง และส่งความเย็นไปถึงกระดูก ที่สามารถทำให้กระดูกแช่แข็งได้ ไปทั่วร่างกาย
แสนเจ็บปวดเกือบทำให้ฉินเฟยเปล่อยมือโดยสัญชาตญาณ แต่เขาจับไว้อย่างเดียวตาย
เร็วๆนี้ หลังจากที่ความเย็นอย่างรุนแรง ฉินเฟยรู้สึกมีไฟร้อนๆ อย่างรุนแรง ราวกับว่าเขาถูกทิ้งไปยังในหม้อต้มไฟ ทั้งตัวจะถูกเผาเป็นเถ้าถ่าน!
ผิวนิ้วมือขาด ! เลือดไหลออกมา ไหลไปที่ดาบที่เต็มสนิม ส่งเสียง “ซือๆ “ ออกมา เลือดได้ระเหยออกไป
มีคำที่ว่า มีชีวิตอยู่ สู้ตายไม่ได้ แต่ไม่ค่อยมีคนได้เสียสัมผัส
ฉินเฟย ได้สัมผัสแล้ การกัดกร่อนแบบน้ำแข็งกับไฟ เหมือนจะทำให้ร่างกาย และทุกๆ เซลล์ฉีกขาดไปให้หมด
ตายยังดีกว่ามีชีวิตอยู่!
“เหอะๆ” มุมปากมีเลือดไหลออกมานิด นั่นคือเขากัดลิ้นตัวเอง มีเสียงแบบไม่ไหวออกมาจากปาก
เซียววี่ที่อยู่ข้างๆ ได้เอามือเล็กๆ ของตัวเองปิดปากตัวเองไว้ตั้งนานแล้ว เนื่องจากหลายๆ ยุคที่บ้านศึกษาของโบราณ ฉะนั้น เธอรับได้อยู่แล้วเรื่องบางเรื่องที่ดูปราณ เธอรู้ว่าจะไม่ง่ายที่จะให้จิตดาบรับฉินเฟย แต่ก็นึกไม่ได้ จะน่ากลัวมากมายขนาดนี้!
ฉินเฟยกัดฟันไว้ ดวงตาราวกับจะแตก เขาร้สีกวิญญาณของตัวเอง โดนแช่เป็นแข็ง!และโดนเผาไหม้เป็นถ่าน!
วิญญาณเขาก็สั่นไปตาม !
สั่นไปหมด!
“กูไม่ยอมแพ้เว้ย!”
“ไม่ยอมแพ้แน่นอน!” ฉินเฟยร้องในใจ ใช้ความสติที่เหลือนิดๆ หน่อยๆ สุดท้าย จับดาบที่อยู่ในมือไว้ ยังไงก็ไม่ยอมปล่อย
“ฮง” เมื่อฉินเฟยกำลังจะเจ็บเป็นลม เขาเบลอๆ ได้ยินสียงเบาๆ เสียงที่มีอะไรแตก
เหมือนจะเป็นอะไรในร่างกายตัวเองแตก รู้สึกมีลมอ่อนๆ ไหลไปตามทุกๆ เส้น กระดูกทุกๆ ชิ้นในร่างกาย เหมือนจะมีพลังที่ใช้ไม่หมดเต็มร่างกาย!
เขาเปิดตาอย่างใช้แรง และในขณะเดียวกันก็มีสนิมเป็นสนิมในมือของเขา และสนิมหายไปเลยในทีเดียว
ในขณะเดียวกัน การแช่แข็งที่สุดกับการเผาไหม้ที่รุนแรงก็หายไปเหมือนน้ำ ที่มีแต่มือที่เลือดไหลของเขา และเหงื่อออกจากหน้าผากของเขา บอกเขาว่า ทุกสิ่ง ที่ผ่านมาไม่ได้เป็นความฝัน
“ประสบการณ์ความสำเร็จแล้วหรอ”
“สำเร็จแล้ว?” เซียววี่เอามือเล็กๆปิดปากไว้ ก็พูดแบบเสียงเบาๆ ดาบเสวียอีนนี้ไม่ได้ยอมรับเจ้าของใหม่ง่ายๆ นะ
“เซียงๆ” ฉินเฟยเอาดาบออกมาจากซอง ดาบดูพิเศษมาก ขาวอย่างกับหิมะ หลังดาบจะเป็นสีดำมืดๆ
ซองไม่มีสลักอะไรทั้งนั้น ดูโบราณและธรรมดา
เขาโบกไปหลายที ไม่รู้เป็นเพราะได้เชื่อมกับจิตดาบแล้วหรือเปล่า รู้สึกเข้ากับมือตัวเองมาก ไม่เพียงแค่นี้ เขารูสึกร่างกายเต็มพลัง กำปั้นไว้ก็จะสามารถตีวัวให้ตายสักตัว
“คุณ คุณทำได้ยังไง”ใน ตาวายๆ ของเซียววี่เต็มไปด้วยความแปลกใจ ต้องรู้นะ ฉินเฟยไม่ใช่อาป้าที่เป็นผู้มีกงฟูระดับหนึ่ง เขาเป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน” ฉินเฟยเกาๆ หัว และหัวเราะ
เห็นฉินเฟยทำหน้าตาซื่อๆ เซียววี่อดไม่ได้หัวเราะ “ยินดีด้วยค่ะ”
พูดจบ เซียววี่เดินไปที่ห้องข้างหลัง และถือกล่องยาอันเล็กมา “เอามือวางบนโต๊ะค่ะ จะทำแผลให้”
“ฮ่าๆ ครับ ขอบคุณครับ” ฉินเฟยพูด
เซียววี่นั่งลงข้างๆ เงียบๆ ยื่นมือไปเปิดกล่องยา จิบๆปากไมพูดอะไร มองไปที่ฉินเฟยที่กำลังเช็ดเหงื่อโดนไม่ได้ตั้งใจด้วยตาสวยๆ ของเธอ
เธอมี ความสามารถดูของโบราณและดูคนก็พิเศษมา ถึงแม้ฉินเฟยจะดูธรรมดา
แต่เซียววี่รู้สึกได้ว่าผู้ชายคนนี้ไม่ธรรมดา
ผู้หญิงเป็นมนุษย์ที่ขี้สงสัย แล้วกถูกใจกับผู้ชายธรรมดาคนนี้ เซียววี่อยากจะเข้าใกล้ แต่แน่นอนไม่ใช่ความชอบแบบผู้หญิงกับผู้ชาย แต่คืออยากจะเข้าใกล้ เป็นเพื่อนกับเขา
นี่คือเหตุผลที่เธอช่วยเหลือฉินเฟย
ฉินเฟยเปิดมือไว้ ปล่อยเธอไปยาผงที่ไม่รู้จักชื่อที่ฝ่ามือ ถึงจะเจ็บนิดหน่อย แต่พอนึกถึงความเจ็บปวดของเมื่อกี้ ตอนนี้เขามึนๆ ไม่ค่อยรู้สึกแล้ว
“ใช่แล้ว ที่บ้านคุณมีขวดหยกไหม” ฉินเฟยอยู่ๆ นึกขึ้นมาได้ หยิบยาเชื่อมสวรรค์จากกระเป๋า
เซียววี่เงยหน้าขึ้นอย่างแปลกใจ ตาสวยๆ อึ้งๆ “คุณทำยาออกมาได้แล้วหรอ”
“ใช่ครับ นี่คือยาเทพ คุณกินไหม” ฉินเฟยพูด
เซียววี่ตกใจร่างกายสั่นไหว ขมวดคิ้วที่สวยๆ อย่างแรง
“ชายชราบอกแล้ว นี่คือยาเทพ” ฉินเฟยพูดไป เก็บใส่กระเป๋า
เซียววี่ทำเสียงเบื่อ “เดี๋ยวฉันหาให้”
“ดาบเสวียอีนหาเจอแล้ว งั้น “เพลงกระบี่เสวียอีน” ก็ต้องอยู่ในหลุมฝังศพแน่นอน คุณสังเกตให้ผมหน่อยได้ไหม คนชายหนวดเคราคนนั้นจะมาอีกไหม”
เซียววี่ไม่เต็มใจบนใบหน้าเงยหน้าขึ้น ไอ้คนนี้ ไม่เกรงใจจริงๆ เลย !
“ริงๆ” ณะตอนนี้ เสียงโทรศัพท์ฉินเฟยดังขึ้น
ฉินเฟยรีบวางยาลง หยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงด้วยท่าแปลกๆ ดูแล้วเป็นเบอร์ของคุณแม่เนิ่นหัว
แต่งงานกับจียงเยว่ถง มาสามป เสิ่นหัวไม่ค่อยโทรหาเขา ถึงจะโทร ก็เป็นเพราะว่าตัวเองทำอะไรผิดไป โทรมาด่าจนหัวเน่า
ฉินเฟยมองเซียววี่แบบละอาย แต่ก็รับโทรศัพท์ไว้ “ ฮัลโหลครับ แม่”
“ฉินเฟย ไอ้คนไม่ได้เรื่อง มึงอยู่ไหน มึงอยู่ไหน” ฉินเฟยยังไม่ทันได้พูด ก็มีเสียงด่าอย่างรีบร้อนออกมาจากโทรศัพท์
ฉินเฟย ขมวดคิ้ว ในโทรศัพท์เสิ่นหัวถึงจะด่าแบบโกรธ แต่ก็ได้ยินเสียงร้องไห้ของเสิ่นหัว แล้วก็ดูรีบร้อน โมโหมาก !
“เป็นอะไรครับ” ฉินเฟยรีบร้อน ยังไงเสิ่นหัวเป็นแม่ของเจียงเยว่ถง ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น เจียงเยว่ถงก็จะเสียใจมากแน่นอน
“ถงๆ ถูกรังแกแล้ว มีคนสารเลวอยากจะบังคับแต่งงานกับเธอ มึงอยู่ไหน มึงมีเพื่อนทั้งรวยทั้งเก่งไม่ใช่รึ รีบเรียกเขามา พาคนมาเยอะๆ หน่อย อยู่ที่วิลล่ากูลเจียง!” เสิ่นหัวร้องไห้ไปรีบพูดไป
“ครับๆ เดี๋ยวผมมา จะรีบมา “
“อย่าลืมเรียกเพื่อนมานะ” จะวางสายแล้ว ยังได้ยินคำสั่งด้วยเสียงร้องไห้

“โทรหาไอ้คนไม่ได้เรื่องทำไม ฉันจะโทรหาพ่อเธอ พวกเขาไม่สนใจ พ่อเธอต้องจัดการให้แน่นอน ใช่ๆ และมีโจวเซี่ยงเฉียนด้วย เขาชอบเธอตลอด”
เสิ่นหัวหยีบโทรศัพท์ออกมาอย่างตื่นตระหนก เวลาเดียวกันมองไปคนในครอบครัวรอบๆ แม้แต่คุณย่าก็ก้มหน้าลงด้วยความละอายใจ
แต่เพื่ออนาคตของตระกูลเจียง ด้วยเป็นหัวตระกูล เธอต้องมีการเลือก
หลังจากได้ยินคำพูดของเจียงเยว่ถง คนในตระกูลก็กระซิบกันเสียงเบาๆ บางคนพูดจาดูถูกเหยียดหยาม
พวกเขาคิดเหมือนกันกับเสิ่นหัว ให้ไอ้ฉินเฟยไม่ได้เรื่องมา จะช่วยอะไรได้
บางคนปากแสบ กระซิบกันเสียเบาเบาๆ ว่า “ถึงไอ้คนไม่ได้เรื่องมา ก็ได้แค่ยืนข้างๆ เฉยๆ มองดูฮั่วจงเหยียนรังแกเมียมัน!”
“ฮ่าๆๆ” ฮั่วจงเหยียน อดไม่ได้ส่งเสียงหัวเราะเหลือบมองไปที่เสิ่นหัวเอ่ยว่า “ให้พวกเขามากันหมดเลย ฉันจะคอยดูใครจะแย่งกับฉัน เจียงเยว่ถงเป็นผู้หญิงของฉัน”
“คุณหุบปาก ฉันไม่แต่งงานกับคุณแน่นอน นอกจากฉันตายแล้ว” เจียงเยว่ถง พูดด้วยเสียงเย็นชา ใบหน้าแดงไปหมด รับความดูถูกของเขาไม่ได้
“สวยจังเลย เมียอนาคตของฉัน ถึงเธอจะโกรธ แต่ก็ทำให้ฉันชอบมากๆ เธอต้องเป็นผู้หญิงของฉันฮั่วจงเหยียน” ความดัชนีของเจียงเยว่ถงไม่ได้ทำให้ฮั่วจงเหยียนเก็บตัว กลับทำให้กระตุ้นความสนใจของเขา
พูดคำพวกนี้จบ เข้าไปกอดเจียงเยว่ถงไว้
เจียงเยว่ถงสะบัดมือเขาออกด้วยสัญชาตญาณ แต่รอบนี้เขาใช้แรงจริงๆ เจียงเยว่ถงส่งเสียงแบบเจ็บๆ ต่อสู้เขาไม่ได้ ข้อมือถูกเขาจับไว้อย่างแน่น
คราวนี้ คนในตระกูลเจียง เปลี่ยนสีหน้ากันทุกคน
คุณย่าเจียง หน้าเขียวไปหมด ตระกูลเจียงสืบทอดมาหลายชั่วอายุ มีความสนใจในเรื่องศีลธรรมตระกูลมาก สิ่งที่ฮั่วจงเหยียนทำ เท่ากับไปตบหน้าของตระกูลเจียง ใจจริงคุณย่าเจียงถือว่าอนุญาตการแต่งงานของวจงเหยียนกับเจียงเยว่ถงแล้ว ยังไงการแต่งงานครั้งนี้ถือว่าไม่เป็นเรื่องร้าย รอทั้งสองฝ่าย เลือกวันดีๆ ให้วจงเหยียนมารับเจียงเยว่ถงก็ได้แล้ว
แต่ไอ้ฮั่วจงเหยียน ช่างกล้าหาญนัก ที่ไม่สนใจเรื่องจรรยาบรรณ มาแตกต้องตัวเจียงเยว่ถง ต่อหน้าต่อตาคนอื่น
——
ถนนกว่างเฟิง เป็นถนนขายอาหารมีชื่อเสียงในเมืองชงไห่ ฉินเฟยเพื่อทำยาเชื่อมสวรรค์ ยังไม่ได้กินข้าวทั้งวัน ขี่จักรยานผ่านตรงนี้ หยุดไปซื้อของกิน
แต่เมื่อเขากำลังจะปั่นจักรยานไปหาเซียววี่ ที่ถนนโบ๋เหวิน ไม่คิดโดนไอ้คนบ้าตัดหน้าขวางทางไว้
คนหลีกทางเป็นชายชรา ตัวสกปรก ไม่ค่อยยสูง ผมหงอกครึ่งดำครึ่ง แต่ตาคู่หนึ่งดูสว่างมาก มองจ้องเข้าไปที่หน้าฉินเฟยทางซ้ายทางขวา เหมือนจะมองให้มีดอกไม้ออกมา
“เถ้าแก่ มองอะไร ยังไม่ได้กินข้าวหรือ นี้ให้” ฉินเฟยรีบไป ให้แพนเค้กไข่ปูที่กินเหลือให้กับชายชรา
“ไปๆ มึงคิดว่ากูเป็นคนขอทานรึ” นึกไม่ถึง ชายชราคนนี้รังเกียจมาก ส่ายมือเปิดแพนเค้กไข่ปู แต่สายตาก็ยังจ้องที่กางเกงของฉินเฟย
ชายชราหัวเราะ และเห็นฟันเหลืองๆของเขา ยังไปดมกลิ่นของตัวฉินเฟย “วัยรุ่น อันนี้ขายไหม”
เห็นชายชรา ที่มีแสงสีเขียว และจ้องมองลงไปที่ช่วงล่างของร่างกายตัวเอง ฉินเฟยตกใจไปนิด และด่าเขาด้วยความโกรธ “ไอ้เฒ่าแก่ ไม่คิดยังเป็นคนโรคจิต ไม่มีอะไรอย่ามาขวางทาง กูไม่เอาผู้ชายเว้ย”
“ไอ้เด็กเหี้ย คิดอะไรกับกู กูหมายถึงของในกระเป๋า ขายไหม” ชายชราใส่หัว พูดแบบโกรธมากมาย
“ของในกระเป๋ารึ” ฉินเฟยอึ้งไป เอามือไปจับ เปลี่ยนสีหน้าไปนิดนึง
เอามือออกจากกระเป๋า เปิดมือ ไว้ นั่นก็คือยาเชื่อมสวรรค์ !
ฉินเฟย ใช้เวลาทั้งวัน ทำมาได้สองเม็ด กินเข้าไปหนึ่งเม็ด ไม่มีผลห่าอะไรเลย คิดไว้ว่า อีกเม็ดใส่ไว้ในกระเป๋า เดี๋ยวจะทิ้งไป
“มึงรู้ได้ยังไง กระเป๋าของกู มีของอันนี้” ฉินเฟย ถามด้วยน้ำเสียงแปลกใจ
“ดมก็รู้สิ” ชายชราหัวเราะแบบชัยชนะ
ฉินเฟยมองไปที่ชายชราด้วยสายตาแปลกๆ ในใจสงสัยว่า ชายชรานี้เป็นคนรึ จมูกเก่งกว่าหมาในสถานีตำรวจอีก
“มึงขายไหม เท่าไร? หรือจะแลกด้วยเงื่อนไขอื่นๆ ก็ได้” ชายชรารีบพูด ในสายตามีแสงเขียวออกมา มองจ้องทียาเชื่อมสวรรค์ ที่อยู่ในมือของฉินเฟย
“ไม่ขาย!” ฉินเฟยส่ายหัว แต่ก็ดึงข้อมือของชายชราไว้ เอาไปเม็ดนึงไว้ในมือเขา “ นี่ให้ฟรี อย่าขวางทาง กูมีธุระ”
ไอ้ยาตัวนี้ยังไงก็ไม่มีผลอะไรเลย ฉินเฟยว่าจะทิ้งไป ในหัวสมองเขามีแต่ดาบชิ้นนั้น ไม่ได้คิดอะไรมาก
ชายชรา เห็นฉินเฟยขึ้นจักรยานจะหนี เลยมาจับ บอส ข้างหลังไว้ ว่า ไอ้เด็กบ้า หยุดเดี๋ยวนี้
“กูไม่เอาของฟรี ว่ามา มึงจะแลกอะไร”
เหี้ย เถ้าแก่นี่หัวสมองมีปัญหามั้ง ให้ฟรียังไม่เอา
ฉินเฟยโกรธ และมองไปที่ชายชรา สกปรกทั้งตัว เสื้อผ้าขาดไปหมด ในตัวเขาเยอะสุดน่าจะเป็นเหา
“มึงรู้จักยาตัวนี้รึ” ฉินเฟยถามด้วยเสียงแปลกๆ
“แน่นอน ยาตัวนี้ ต้นกำเนิด มาจากสำนักเรา” ชายชราเอ่ยว่า
“สำนัก?” หัวสมองฉินเฟยมีแต่คำถาม
“เหอะๆ สำนักกูมึงได้ยินมาก่อนแน่นอน กูเองเป็นผู้สูงอายุของสำนักเอ๋อเหมย เซียวเฟิ่งกาง” ชายชราพูดด้วยความภูมิใจ
“สำนักเอ๋อเหมย” ฉินเฟยมีอาการชักที่มุมปาก “มึงดูซีรี่ย์ไปเยอะไปเปล่า สำนักเอ๋อเหมยมีแต่ผู้หญิง และสวยๆ ทุกคนด้วย จะมีผู้ชายลามกอย่างมึงได้ไงวะ”
“ไอ้เด็กสารเลว มึงนี่แหละดูเยอะไป ผู้เริ่มต้นของสำนักเอ๋อเหมยคือซือถูเสวียนคง ลูกน้องส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย มึงไม่รู้เหี้ยอะไรเลย!” ชายชราโกรธมากๆ แบบทั้งเคราทั้งหน้าตกใจ
ฉินเฟยอึ้งไปสักพัก และตอนนี้ใจเย็นลง เพิ่งรู้สึกได้ว่าผิดปกติ

หรือจะเป็นคนมีความสามารถ?
“ยาตัวนี้เป็นของจริงรึ แต่ผมกินแล้วไม่มีผลอะไรเลย“ ฉินเฟยพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนลง ถามเอง
“มึงกินแล้ว?” ชายชราอึ้งๆ อยู่ๆ เอามือมาจับ ฉินเฟยเปลี่ยนสีหน้าไป และขัดขวางเขาไว้ด้วยสัญชาตญาณ
ฉินเฟยมีกงฟูอยู่ในอยู่แล้ว!
นึกไม่ถึง เพิ่งต่อสู้ไปสองรอบ ก็ถูกชายชราชนะไป นิ้วมือแห้งๆ กดข้อมูลเขาไว้อย่างแรง
พอสองวินาทีชายชราก็ปล่อยมือ พูดด้วยสำเนียงโกรธนิดหนึ่ง “ใช่กินไป 1 เม็ด แต่ยาเทพแบบนี้ถูกคนโง่อย่างมึงกินไป เสียดายของแท้ๆ !”
ฉินเฟยเกือบจะพูดอะไรไม่ออก แต่ก็พยายามอดทนไว้ถาม “ และผมกินเข้าไปทำไมไม่มีผลอะไรเลย”
“ผลมีแน่นอน อย่างน้อยได้ทำให้ร่างกายแข็งแรง
“วิธีอะไรรึ” ฉินเฟยสายหัวอย่างตื่นเต้น เนื่องจากในหนังสือ “ตำรากลันยา” ได้บันทึกไว้อยู่ว่ากินยาเชื่อมสวรรค์ต้องใช้วิธีพิเศษ แต่ไม่มีบันทึกเกี่ยวกับวิธีนี้
ยาเชื่อมสวรรค์ เท่าที่บันทึกไว้ หลังจากกินแล้วจะสามารถขึ้นสวรรค์ลงที่ดิน จะวิเศษเหนือคนธรรมดา
“วิธีมีแน่นอน แต่มึงต้องใช้ยาเชื่อมสวรรค์เม็ดนี้มาแลก” ชายชราพูดตรงตรง
“ตกลง นี่ให้!” ฉันเฟยพูดโดยไม่คิดอะไรเลย
แค่เค้าอยาก ยาเชื่อมสวรรค์ตัวนี้เขาสามารถเอามากรนเป็นขนมเล่นๆ
“ไม่ได้ เอางี้ มึงมีเวลาเมื่อไหร่ มาหากูที่โรงแรมปั่นเสียที่ถนนซี แล้วก็ ยาตัวนี้ต้องใช้ขวดหยกปิดด้วยเทียน เผื่อผลยาลดน้อยออกไป” ชายชราคนนี้ก็ยังไม่ยอมเอา หันหลังแล้วเดินจากไป
ฉินเฟยสงสัยไปสักพัก แต่ก็รีบเก็บยาไว้ ขี่รถไปถนนโบ๋เหวิน
มาถึงกู่ยิ่งถัง ทักทายกับเด็กหน้าร้านจางผิง ฉินเฟยก็เลยเดินไปห้องรับแขกข้างหลัง
เซียววี่รอคอยที่ห้องรับแขกข้างหลังอยู่แล้ว อยู่ข้างๆเธอ มีดาบที่เป็นสนิมวางไว้
“คุณเซียววี่ครับ ได้ข่าวว่า คุณหาเจอที่มาของดาบตัวนั้นแล้ว?” ฉินเฟยรีบถาม
“ค่ะ” เซียววี่พยักหน้าค่อยๆ ยิ้ม “เมื่อนคืนนี้ฉันได้ค้นหาประวัติศาสตร์และประวัติศาสตร์ลือมากมาย ตามข้อมูลเท่าที่คุณให้มา ราชวงศ์ถัง ถู่โป แล้วก็ องค์หญิงเหวินเฉิง แล้วก็แจกันหิมะเป็นต้นๆ
“ตามประวัติศาสตร์แล้ว คนในวังถู่โปมีความชื่นชอบกับองค์หญิงเหวินเฉิงมาก และได้ยกย่องเป็น “มู่ซ่า” ซึ่ง “ มู่” หมายถึง “หญิงสาว” ในขณะที่ “ ซ่า”หมายถึง “อมตะ นางฟ้า” หลังจากที่องค์หญิงเหวินเฉิงแต่งงาน ตอนนั้น อาป้าที่เป็นผู้ชายที่มีกงฟูระดับหนึ่งในถู่โป ซึ่งเป็นผู้คุ้มครองความปลอดภัยองค์หญิงเหวินเฉิง และเขาได้รับคำสั่งให้คุ้มครององค์หญิงเหวินเฉิงตลอดชีวิต และเขามีอาวุธนั่นก็คือ มีดพับที่มีชื่อว่า ดาบเสวีนอีน และมี “เพลงกระบีเสวียนอีน” พูดไปเซียววี่มองไปที่ดาบที่เต็มสนิม
“ตามที่บันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ลือ อาป้ามีความเคารพนับถือองค์หญิงมากอย่างกับนับถือพระเจ้า องค์หญิงเหวินเฉิงเสียชีวิตด้วยโรคฝีดาษ และฝังที่ถู่โป หลังจากนั้น เพื่อสมหวังความปรารถนาสุดท้ายของท่าน อาป้านำเสื้อผ้าของท่านไปยังกรุงราชวงศ์ถังและสร้างหลุมศพขึ้นเพื่อให้ท่านได้อยู่บ้านเกิดของท่านเอง อาป้าจงรักภักดีต่อพระองค์ และตายเพื่อการปลุกระดมเจ้าหญิง”
ฉินเฟยพยักหน้า พูดว่า “ แสดงว่าผมเดาไม่ผิด เจ้าของแผงคนนั้น จริงๆแล้วเป็นคนขโมยหลุมฝังศพ แจกันหิมะ หนังสือโบราณและ ดาบเสวียอีน พวกนี้มาจากที่เดียวกัน”
“ค่ะ เขาว่ากันว่า ดาบเสวียอี่นเป็นของที่ราชวงศ์ถู่โปยกให้กับอาป้า ซึ่งเป็นผู้ชายที่มีกงฟูระดับหนึ่ง และวัสดุทำมาจากอุกกาบาตที่ตกลงมาจากภูเขาสวรรค์ อุกกาบาตนี้ถูกซ่อมที่ใต้ภูเขาสวรรค์เป็นพันปี เป็นของเย็นอย่างยิ่ง และจากนั้นช่างหล่อได้ทำเป็นดาบนี้ อุกกาบาตนี้ที่จริงเป็นไฟ แต่ถูกเก็บไว้ที่ภูเขาหิมะที่เย็นที่สุด ก็เป็นสิ่งของที่พร้อมความร้อนความเย็น หลังที่ดาบเสวียอีนได้ทำเสร็จก็มีลมปราณ หลังจากอาป้าเสียชีวิต ดาบนี้ก็ได้ปิดเองไว้เลย
“วิธีปลดล็อคคือยังไง?” ฉินเฟยรีบที่จะถาม

ด้วยการเร่งรัดของคุณย่า เจียงเฉิงเย่รีบโทรหาฮั่วจงเหยียน
“คุณย่าครับ ได้แล้ว!” เจียงเฉิงเย่วางโทรศัพท์ลง และพูดอย่างตื่นเต้น “ ฮั่วจงเหยียนอยู่ซงไห่พอดี มีความสนใจอย่างยิ่งกับการร่วมมือที่ผมว่า และเขาบอกว่า เขาจะมาอีกสักครู่”
คุณย่าดีใจใหญ่ ชื่นชอบหลายชายที่สุดรักมาก ยิ้มๆ พยักหน้า“ดีๆ เดียวถ้าหากว่าคุยกันฮั่วจงเหยียนสำเร็จแล้ว หนูก็จะเป็นผู้มีบุญคุณของตระกูลเจียง สู้ๆ ตระกูลเจียงยังจะเพิ่งพาหนูต่อไป
คำพูดของคุณย่าชัดเจนมากแล้ว เเจียงเฉิงเย่พียงแค่ทำงานจริงจัง เมื่อคุณย่าเสียชีวิตไป ตระกูลเจียงก็จะยกให้กับเจียงเฉิงเย่
“ลูกพี่ลูกน้องในตระกูลที่อยู่รอบๆ ก็แสดงความยินดี และมีการอิจฉาริษยา เจียงเฉิงเย่ดีใจใหญ่ “ขอบคุณคุณย่า คุณย่าวางใจได้เลยครับ ผมจะพยายามแน่นอนครับ”
ด้วยการชมเชยจากทุกคน เจียงเยว่ถงนั่งอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบสงบ เธอรู้สึกว่าตระกูลเจียงทำตัวดีๆ ไม่ยุ่งกับคนอื่นๆ ดีกว่า ตัวเองถือว่าได้เป็นเพื่อนกับรองประธานเสิ่นแล้ว และมีความช่วยเหลือจากฉินเฟย บริษัทว่านเซียงกรุ๊ปจะทำงานร่วมมือกันกับตระกูลเจียงอย่างแน่นอน
ทำงานร่วมมือกับฮั่วจงเหยียน ถ้าหากมีความผิดพลาด ต้องมีปัญหาใหญ่แน่เลย
แต่คุณย่าตกลงแล้ว และตอนนี้เจียงเฉิงเย่กำลังเรียกร้องความสนใจ เธอก็ไม่สามารถขัดจังหวะเขาได้
สิบนาทีผ่านไป แลมโบกินีคันหนึ่งมาถึงและจอดอยู่หน้าวิลล่าตระกูลเจียง และมีรถเบนซ์ตามมาสองคันคุ้มครอง โมเมนตัมมากมาย
ผู้ชายคนหนึ่งลงมาจากรถ ใส่ชุดกีฬาแบบสบาย ๆ และใส่แว่นกันแดดอยู่ นี่ก็คือฮั่วจงเหยียน ข้างหลังเขายังมีบอดี้การ์ดหลายคน ฮั่วจงเหยียนอายุยี่สิบกว่าๆ เอง แต่ด้วยฝีมือกงฟูที่ยอดเยี่ยม จึงได้มีฐานะในวงการกงฟู ก็ถือเป็นผู้ที่มีความสามารถมาก เขาว่ากันว่า เขากำลังมุ่งหน้าไปเป็นดารากงฟู แต่ปีที่แล้วรับบทบาทแสดงหนังต่อส้เรื่องหนึ่ง และไม่ค่อยได้นิยมชมดูกันเท่าไหร่
“คุณย่าครับ อาจารย์ฮั่วจากสำนักป้าฉวนมาแล้ว”
“เร็ว เชิญเข้ามา” คุณย่าตื่นเต้น รีบลุกขึ้น
ทุกคนในครอบครัวเจียงหยุดการพูดคุย ในเวลานี้ไม่มีใครกล้าไปนินทาเขาร่ามๆ และทุกคนมองไปทางประตูห้องโถง
เจียงเฉิงเย่วิ่งไปรอคอยที่หน้าประตู
ฮั่วจงเหยียนมาพร้อมกับบอร์ดี้การ์ดหลายคน เดินมาอย่างไวพร้อมโมเมนตัมแรงๆ และใส่ถุงมือสีดำอยู่เสมอ การกระทำของเขา ดูป่าเถือนไปนิด
“ ฮ่าๆ พี่ฮั่วมาไวไปไวตามที่คิดไว้จริงๆ ” เจียงเฉิงเย่เดินไปต้อนรับอย่างไว และยื่นมือไปจับมือกัน “พี่ฮั่ว นี่คือคุณย่าของผม”
“สวัสดีครับยาย” ฮั่วจงเหยียนเพียงแค่พยักหน้ากับคุณย่า ถือว่าทักทายแล้ว ดูภูมิใจตัวเองเกินไป
“อาจารย์ฮั่วเชิญเข้ามาค่ะ “
แต่คุณย่าก็ไม่ได้สนใจ ยังไงเขามีความสามารถ อีกอย่างคือ ครอบครัวเจียงจะเข้าไปในตระกูลระดับหนึ่ง ยังต้องการเพิ่งพา คนนี้ที่หยิ่งๆ
ฮั่วจงเหยียนนั่งลงอย่างสว๊กเกอร์ บอดี้การ์ดหลายคนก็ยืนอยู่ด้านหลังของเขา มองไปผู้คนในตระกูลด้วยใบหน้าที่เย็นชาพร้อมแว่นตากันแดด โมเมนตัมมากมาย
สถานการณ์แบบนี้ คนในตระกูลเจียงเงียบๆ ไม่กล้าพูดอะไร
คุณย่ามองไปทางเจียงเฉิงเย่ ส่งสัญญาณด้วยสายตาให้คุยเรื่องร่วมมือกันกับเขา
“อ่อๆ ที่แท้ตระกูลเจียงอยากร่วมมือกับฉันหรอ”
ฮั่วจงเหยียนฟังจบ ค่อย ๆ พยักหน้า และยิ้มเล็กน้อย “ออกทุน 5 พันล้าน ได้ส่วนแบ่งครึ่งหนึ่งของกำไร น้อยไปหน่อย ฉันจะออกพันล้าน ก็เอากำไรแค่ครึ่งหนึ่ง กำไรที่เกิดขึ้นที่เหลือ ก็ยกให้เป็นของพวกคุณ! ”
“ซือ”
พอเขาพูดจบ ทุกคนในครอบครัวเจียงช็อคไปหมด
ออกทุนพันล้าน เอากำไรแค่ครึ่งเดียว นี่คือ คือคนแบบไหน เป็นคนโง่มั้ง ?
เป็นเพราะรวยมากมายหรือเป็นเพราะคนโง่แต่รวยกันแน่
ถึงแม้จะช็อคใจ แต่หลายๆ คนปกปิดความตื่นเต้นบนใบหน้าไม่ได้
คุณย่ายิ่งดีใจใหญ่
เงินทุนก้อนนี้ลงไป จะทำให้ตระกูลเจียงมีชื่อเสียงโด่งดังในเมืองซงไห่แน่นอน
เจียงเฉิงเย่ก็อึ้งไปสักพัก แต่ไม่ช้าก็ตื่นเต้นขึ้น “พี่ฮั่ว คุณใจกว้างมากจริงๆ”
แต่เขาพูดเพิ่งจบ ฮั่วจงเหยียนส่ายมือ “แต่ว่า ฉันมีเงื่อนไข”
“อาจารย์ฮั่วมีเงื่อนไขอะไร พูดได้เลยค่ะ” คุณย่าที่กำลังนั่งอยู่ ไม่ได้คิดอะไรก็พูดออกมา
ฮั่วจงเหยียนลุกขึ้น และมองไปรอบ ๆ พร้อมกับยิ้มแฉ่ง และหยุดสายตาไปทางเจียงเยว่ถงเป็นเวลาสักพัก พูดแบบช้าๆ “ได้ยินมาว่า ตระกูลเจียงมีสาวสวย สาวสวยตระกูลเจียงไม่เพียงแต่ฉลาด แต่ยังมีหน้าตาสวยอย่างสุดยอด ฉันขอคุณย่ายกสาวแต่งงานกับฉัน คุณย่าจะไม่ปฏิเสธใช่ไหมครับ”
ฮั่วจงเหยียนพูดจบ ทุดคนในครอบครัวตระกูลเจียงไม่เคยคิดไว้อึ้งไปหมด
แต่ทุกคนเป็นนักธุรกิจ การแต่งงานเพื่อธุรกิจก็เป็นเรื่องปกติมาก ดังนั้น หลังจากทุกคนประหลาดใจ พวกเขาก็มองไปที่ลูกหลานในตระกูลเจียง
ในตระกูลเจียง สวยสุดก็คือเจียงเยว่ถง
แต่เจียงเยว่ถงแต่งงานไปแล้ว
ในตระกูลมีญาติๆ สาวสวยๆ หลายคน เพราะฉะนั้นทุดคนไม่ต้องคิดอะไรมาก นึกว่าฮั่วจงเหยียนถูกใจสาวคนใดคนหนึ่งของญาติๆ
ขณะนี้ หลายคนในครอบครัวเจียงก็มองทางซ้ายทางขวา และไม่รู้ว่า ใครจะโชคดี ที่ได้รับความสนใจจากฮั่วจงเหยียน ไอ้คนนี้ถึงจะหยิ่งเกิน แต่อย่างน้อยรวยมาก แต่งงานกับคนประเภทนี้รับประกันมีความรุ่งโรจน์ ไม่ต้องห่วงการกินการใช้ตลอดชีวิต
ณะตอนนี้ เจียงเฉิงเย่ก็หายการตกใจ พูดเล่นๆ กับฮั่วจงเหยียน “พี่ฮั่ว ผมตกใจหมดครับ นึกว่าจะมีเงื่อนไขยากลำบากอะไร เป็นอย่างนี้นี่เอง สาวๆ ในครอบครัวเจียง คุณเลือกได้เลยตามสบายครับ “
คุณย่าก็พยักหน้า การแต่งงานครั้งนี้ เกี่ยวข้องกับอนาคตของตระกูลเจียงต่อไป และมีความสำคัญมาก ถึงในใจจริงไม่ค่อยชอบฮั่วจงเหยียน แต่เพื่อครอบครัวเจียง ทำอะไรก็คุ้ม
นึกถึงที่นี้ คุณย่าไม่มีความลังเลแม้นิแด ยิ้มๆและพูด “ได้แต่งงานกับอาจารย์ฮั่ว เป็นเกียรติอย่างยิ่งของครอบครัวเจียง แต่ไม่ทราบว่า อาจารย์ฮั่วถูกใจใครรึ”
พอคุณย่าพูดจบ ทุกคนจ้องมองกันที่ฮั่วจงเหยียน
ฮั่วจงเหนียนยิ้มเล็กน้อย เดินไป ในขณะนั้น สายตาของทุกคนที่อยู่ ก็ลอยไปตามฮั่วจงเหยียน
แต่เมื่อที่เขาหยุดเดิน ห้องรับแขกทั้งห้องเงียบมาก
ฮั่วจงเหยียนเดินไปข้างหน้าเจียงเยว่ถง !
ด้วยเจียงเยว่ถงมางานเลี้ยงฉลองชัยชนะในวันนี้ เธอแต่งตัวประณีตมาก แต่งเดรสรัดทรง ทำให้รูปร่างอย่างเพอร์เฟคของเธอได้แสดงออกมา หน้าตาที่สวยเหลือเกิน ดูสง่างามวันวาน สามารถทำให้ผู้ชายหลงมากพอ
เจียงเยว่ถงสั่นไหวเล็กน้อย ในใจรู้สึกกลัวๆ โดยไม่รู้ทำไม เงยหน้าขึ้นมองไปที่ฮั่วจงเหยียนด้วยสายตาอย่างช็อค
“ในใจของฉันชอบคุณเจียงเยว่ถงมาตลอด และฉันขอแต่งงานกับคุณ” ใบหน้าของฮั่วจงเหยียนมีรอยยิ้ม และมองไปเจียงเยว่ถงในขณะเดียวกันยื่นมือออกมา
เจียงเยว่ถงก็ตกใจเช่นกัน นางจะไม่จับมือกับฮั่วจงเหยียนแน่นอน ถอนหายใจลึก ๆ ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน“อาจารย์ฮั่ว ฉันคิดว่า คุณเข้าใจผิด ฉันแต่งงานแล้วค่ะ”
“พี่ฮั่วครับ คุณเข้าใจผิดหรือเปล่า เจียงเยว่ถงแต่งงานไปสามปีแล้ว” เจียงเฉิงเย่อธิบาย
ฮั่วจงเหยียนหัวเราะแบบไม่สนใจ เหลือบมองเจียงเฉิงเย่ “ฉันไม่ได้เข้าใจผิด ที่ฉันชอบก็คือคุณเจียงเยว่ถง แล้วฉันจะบอกพวกคุณ การร่วมมือของวันนี้ ก็เป็นเพราะเจียงเยว่ถงหมด เข้าใจไหม”
ใครก็นึกไม่ถึงว่าฮั่วจงเหยียนจะมีความคิดแบบนี้ เจียงเฉิงเย่หน้าหน้าอึ้งๆ พูดอะไรไม่ออก
“อาจารย์ฮั่ว นี่พูดเล่นๆ ไม่ได้นะ “คุณย่าอดไม่ได้พูดว่า
แต่ฮั่วจงเหยียนขัดจังหวะพูดขอบคุณย่า หัวเราะ “ คุณยาย คุณดูฉัน เหมือนพูดเล่นๆ เปล่าครับ”
ฮั่วจงเหยียนหยิ่งเต็มใบหน้า “ ถ้าพวกคุณไม่ตกลงกัน ฉันก็ไม่บังคับ แต่ พวกคุณก็ต้องคิดดีๆ เงินทุนเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่พวกคุณนำมารวมกันมาได้ ไม่ต้องเป็นบริษัทใหญ่อื่น ๆ ฉันเองก็สามารถทำให้คุณทั้งหมดขึ้นอยู่กับตัวเอง ฉันพูดตรงๆ ฉันกำลังจะเซ็นสัญญากับว่านเซียงกรุ๊ป ตระกูลระดับสองอย่างพวกคุณ ถ้าอยากจะก้าวหน้าไปอีก ก็จะไม่ยกเลิกการลงทุนนี้ ถูกไหม?
สีหน้าของคุณย่าดูซับซ้อน แต่ก็พยายามพูดว่า “อาจารย์ฮั่ว คุณจะแต่งงานกับสาวคนไหนในตระกูลเจียงก็ได้ ฉันไม่มีปัญหา แต่เยว่ถง เธอแต่งงานแล้ว”
ฮั่วจงเหยียนหัวเราะใหญ่ “อันนี้คุณยายไม่ต้องกังวล ฉันชอบคุณเจียงเยว่ถงไม่ใช่วันสองวันแล้ว ผัวเธอเกาะเขากินไม่ได้เรื่อง ครอบครัวเจียงก็ไม่ค่อยชอบเขาไม่ใช่หรอ อีกอย่าง เท่าที่ฉันรู้ พวกเขาแต่งงานสามปี ก็ไม่เป็นผัวเมียแท้ๆ”
พูดจบ ฮั่วจงเหยียนมองกลับไปทางเจียงเยว่ถงด้วยยิ้ม “คนสวยของฉัน ฉันพูดไม่ผิดใช่ไหม คุณไม่ให้ไอ้คนไม่ได้เรื่องแตะต้อง คือจะรอฉันใช่ไหม”
คราวนี้ คุณย่าพูดอะไรไม่ออก ทุกคนในตระกูลก็เงียบหมด
ฮ่วจงเหยียนพูดไม่ผิด ไอ้ฉินเฟยที่ไม่ได้เรื่อง แต่งงานสามปี ยังไม่เคยมีความช่วยเหลือให้ตระกูลเจีนงเลย พวกเขาอยากจะไล่ให้เขาไปให้พ้นเร็วๆ ถ้าเจียงเยว่ถงได้ตางกับฮั่วจงเหยียน ก็ถือว่าได้ออกจากนรก ถือว่าออกแรงให้ตระกูลเจียง
ด้วยความคิดแบบนี้ ทุกคนในครอบครัวถือว่าเห็นด้วยปริยายแล้ว
เห็นทุกคนเงียบ รวมถึงคุณย่าที่เป็นหัวหน้าตระกูล ฮั่วจงเหยียนยิ้มแบบชัยชนะ
แต่ทาทางที่เขาทำต่อจากนี้ เกือบทำให้เจียงเยว่ถงส่งเสียงตะโกนออกมา
“คุณเจียงเยว่ถงครับ คุณดูสิ ญาติพี่น้องเห็นด้วยกันล้ว คุณก็อนุญาติแล้วปะ” ฮั่วจงเหยียนนั่งลงที่ข้างๆ เจียงเยว่ถง และจับข้อมือของเจียงเยว่ถงไว้
แต่ฮั่วจงเหยียนไม่ได้ใช้แรง เจียงเยว่ถงปล่อยมือเขาได้ง่ายๆ แต่ก็ตกใจมาก พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “อาจารย์ฮั่ว กรุณาให้เกียรติกันบ้าง!”
เจียงเยว่ถงแค่อึ้งๆ ภายนอก ใจจริงตื่นเต้นสุดๆ ! เธอไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้ ถึงแม้โจวเซี่ยงเฉียนเคยหยาบคายกับเธอ แต่ก็สู้ฮั่วจงเหยียนไม่ได้
ไม่เพียงแค่กลัว เจียงเยว่ถงรู้สึกแย่มาก!
ฮั่วจงเหยียนมาแตะต้องตัวเธอเอง ต่อหน้าต่อตาทุกคนในตระกูลเจียง แต่ไม่มีใครออกมาห้าม
นี่ก็คือคนในครอบครัวหรอ? หัวใจของเจียงเยว่ถง เย็นชามากมาย!
“เอามือสกปรกขอบคุณออกไป กรุณาอย่ามาแตะต้องลูกสาวฉัน!” เสิ่นหัวอึ้งไม่ได้แล้วสุดท้าย
ยังไงก็เป็นลูกสาวของตัวเอง ถึงแม้ฮั่วจงเหยียนจะเก่งกว่าไอ้ลูกเขยฮินเฟยเยอะมาก แต่คนเป็นแม่ จะให้ลูกสาวโดนผู้ชายมาแตะต้องดูถูก ต่อหน้าต่อตาคนอื่นไม่ได้ !
“เหอะๆ นี่เป็นคุณแม่อนาคตของฉันใช่ปะ หรือฉันจะสู้ไอ้คนไม่ได้เรื่องไม่ได้รึ” หัวเราะอย่างไม่สนใจใครเลย “คุณให้ลูกสาวตางกับฉัน ฉันรับรองคุณกับสามีคุณร่ำรวยตลอดชีวิต”
พูดไป ฮั่วจงดหยียนผลักเสิ่นหัวที่ลุกขึ้น ผลักนั่งลงบนเก้าอี้โดยตรง
เห็นทุกคนที่เขาเรียกกันว่าคนในครอบครัวเงียบทุกคน เจียงเยว่ถงน้อยใจมากและน้ำตาไหลลงมาสุดท้าย
นี่คือคนในครอบครัวหรอ
สิ้นหวังจริงๆ! สินหวังสุดๆ !
ฉินเฟย แกอยู่ไหน เมียแกถูกรังแกแล้ว แกรู้ไหม
เจียงเยว่ถงก็ไม่รู้ตัวเองคิดยังไง ในขยะนี้ คนที่คิดในหัวสมอง คือฉินเฟย
ในเวลานี้ เจียงเยว่ถงรู้แล้ว อะไรคือความอบอุ่น คนที่เขาเรียกกันว่าคนในครอบครัว นอกจากพ่อแม่ คงจะมีแต่ผู้ชายที่ตัวเองรังเกียจมาตลอดแล้ว
คนที่เคยถือบามรส สัญญาว่าจะไม่ไปจากจะไม่ทิ้งเมื่อส่มปีที่แล้ว
“คุณแม่คะ รีบโทรหาฉินเฟยค่ะ” เจียงเยว่ถงรีบพูดออกมา

ฉินเฟยกอดโทรศัพท์ ตื่นเต้นเป็นเวลานานค่อยสงบจิตใจลงมา
ยืนยันซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าข้อความนี้เป็นภรรยาเจียงเยว่ถงส่งมา ฉินเฟยเกือบจะกลั้นหัวเราะไม่อยู่แล้ว
“เมื่อกี้ยุ่งอยู่กับเอกสารเลยมองไม่เห็น ภรรยา คุณนอนหรือยัง?” ฉินเฟยระงับความตื่นเต้นเอาไว้ รีบตอบข้อความกลับ
ภายในบ้านที่หมู่บ้านเทียนหลัน
เจียงเยว่ถงอาบน้ำเสร็จ ในเวลานี้เธอใส่กระโปรงชุดนอนสีแดงทั้งตัว งอขายาวขาวราวกับหิมะ กำลังนั่งอ่านอีเมลข้างเตียง วางโน๊ตบุ๊คไว้บนขาวยาว
ได้ยินเสียง ‘กริ๊ง’ ดังหนึ่งที อดไม่ได้ที่จะหยิบโทรศัพท์ขึ้น ในที่สุดฉินเฟยก็ส่งข้อความถึงตัวเองแล้ว
หลังจากเห็นข้อความสองข้อความที่ตัวเองส่งให้ฉินเฟยก่อนนห้านี้ เจียงเยว่ถงก็รู้สึกเขินอายเล็กน้อยเช่นกัน ตอนนั้นตัวเองเพียงแค่เห็นฉินเฟยไม่ตอบกลับข้อความ ก็เลยถามไปหนึ่งประโยคด้วยความกังวล ทำให้ตัวเองดูเหมือนเป็นห่วงเป็นใยเขา
เจียงเยว่ถงลังเลสักพักหนึ่ง นิ้วสีขาวแตะหน้าจอเบาๆ : “ของขวัญของคุณยายคณซื้อหรือยัง?”
ข้อความของฉินเฟยตอบกลับอย่างรวดเร็ว : “ซื้อแล้ว คุณวางใจได้ รับประกันทำให้คุณยายพอใจแน่นอน”
เจียงเยว่ถงยิ้มอย่างรู้เท่าทัน หลายครั้งที่พิมพ์ลงไปให้ฉินเฟยกลับมานอนที่บ้าน แต่ไม่นานก็ถูกเธอลบทิ้งอีกครั้ง สองวันที่ผ่านมาฉินเฟยไม่อยู่บ้าน เธอมักจะรู้สึกเหมือนว่าที่บ้านขาดอะไรบางอย่าง เงียบเหงาอย่างมาก
กระทั่งนึกถึงเรื่องเมื่อคืน ภายในใจของเธอยังคงมีความกลัวเล็กน้อย
แต่ใบหน้าของเจียงเยว่ถงบอบบาง คำพูดแบบนี้ท้ายที่สุดแล้วยังคงพูดไม่ออก สุดท้ายพิมพ์ไปไม่กี่คำ : “งั้นฉันนอนแล้วนะ”
ฉินเฟยตอบกลับข้อความทันที : “นอนได้แล้ว ฝันดี”
เจียงเยว่ถงวางโทรศัพท์ไว้ข้างเตียง ปิดไฟแล้วนอนลง
แต่ว่าเธอนอนสักพักหนึ่ง อดไม่ได้ที่จะยื่นมือเล็กๆ ออกจากผ้าห่ม หยิบโทรศัพท์มา เปิดข้อความที่ฉินเฟยส่งมา พิมพ์สองคำอย่างรวดเร็ว : “ฝันดี”
โรงแรมแห่งหนึ่ง กลางดึก เสียงของชายคนหนึ่งตะโกนอย่างตื่นเต้น เจียงเยว่ถงเพียงแค่ตอบกลับสองคำ กลับทำให้ฉินเฟยตื่นเต้นอย่างมาก กลางดึกล้วนแล้วนอนไม่หลับ
วันถัดไปฉินเฟยตื่นเช้าอย่างมาก ก่อนอื่นคือไปตลาดผลไม้ซื้อมะเดื่อสุกหลายลูก หลังจากนั้นฉันไปตลาดดอกไม้เพื่อซื้อว่านหางจระเข้อายุสามขวบมาหนึ่งกระถาง และยังไปซุปเปอร์มาร์เก็ตเพื่อซื้อน้ำส้มสายชูและหม้อดิน ของเยอะแยะมากมายกองหนึ่ง
เขาเตรียมจะลองกลั่นยาเชื่อมสวรรค์!
“ประธานฉิน นี่คุณ…..กำลังทำอะไร?” ที่ประตูห้องสำนักงานประธานของว่านเซียง มูวี เลขาเหอฉิงมองฉินเฟยด้วยสายตาแปลกๆ อุ้มของกองใหญ่
“ออกคำสั่งลงไป ไม่มีเรื่องสำคัญอะไรไม่ต้องมารบกวนผม ผมมี…..เรื่องที่สำคัญอย่างมากต้องทำ!” ฉินเฟยพูดอย่างจริงจัง
“เรื่องสำคัญ?” เหอฉิงเต็มไปด้วยความสงสัย
แต่ว่าฉินเฟยกลับไม่มีการอธิบาย เข้าไปในห้องสำนักงานแล้วปิดประตูอย่างรวดเร็ว
……
บ่ายสามโมงกว่าๆ ผ่านมาเจ็ดชั่วโมง หลังจากล้มเหลวมาหลายครั้ง ในที่สุดยาเชื่อมสวรรค์ก็ถูกกลั่นออกมาแล้ว!
สองเม็ด!
ใบหน้าของฉินเฟยรมควันจนเปลี่ยนเป็นสีดำ มองซ้ายมองขวา สูดดมหลายครั้ง มองไม่ออกว่าสิ่งที่เรียกว่ายาเชื่อมสวรรค์มีอะไรพิเศษ
ท้ายที่สุดกัดฟันอย่างแรง โยนเข้าไปในปากโดยตรง กลืนมันลงไป สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วเป็นสิ่งของที่สามารถกินได้ กินแล้วไม่น่าจะทำให้คนตาย
แต่ว่าความรู้สึกเจ็บปวดที่ตามมาหรือว่าความรู้สึกสดชื่นที่ตามมา ล้วนแล้วไม่มีอะไรเลย ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเลยด้วยซ้ำ!
แม่งเอ๋ย อย่างที่คาดเป็นของปลอม!
“กริ๊ง!”
ตอนที่ฉินเฟยกำลังถอนหายใจ โทรศัพท์ได้รับข้อความหนึ่งข้อความ เป็นเซียววี่ที่ส่งมา ส่งข่าวดีมา!
“ข้อมูลของดาบสันโค้งฉันหาให้คุณแล้ว และพบวิธีการคลี่คลายแล้ว มันคือดาบที่มีชื่อเสียง คุณว่างมาตอนไหน?”
ฉินเฟยมีความสุขอย่างมาก รีบตอบกลับข้อความ : “ผมจะไปเดี๋ยวนี้เลย!”
ประตูห้องสำนักงานเปิดออกอย่างรวดเร็ว เหอฉิงที่อยู่ด้านนอกเงยหน้ามองด้วยความประหลาดใจ มองเห็นประธานฉินวิ่งออกไปด้วยใบหน้าดำ : “ประธานฉิน?”
ฉินเฟยไม่พูดอะไร รีบวิ่งไปทางลิฟต์ที่ประธานใช้เป็นพิเศษ ผ่านไปสักพักหนึ่งก็เห็นเขาวิ่งกลับมาอีกครั้ง
“ของในสำนักงานของผมช่วยผมเก็บสักหน่อย โยนทิ้ง แต่จำเอาไว้ ต้องเก็บเป็นความลับ!”
“อ้ออ้อ” เหอฉิงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พยักหน้าด้วยความตะลึง
แน่นอนเรื่องนี้ต้องเก็บเป็นความลับ ไม่อย่างนั้นจะทำให้ขายหน้าคนอื่นได้!
…..
ช่วงบ่าย ตระกูลเจียงจัดประชุมฉุกเฉิน แท้จริงแล้วมันคืองานเฉลิมฉลอง!
เมื่อวานสำหรับเจียงเยว่ถงแล้ว เป็นเหมือนกับความฝัน เมื่อคืน เธอคุยกับเสิ่นเจียเหวินทางอีเมลเยอะอย่างมาก กระทั่งในตอนท้ายยังคุยถึงของครอบครัว ทั้งสองสนิทกันมาก
และหลังจากนั้น เสิ่นเจียเหวินโยนเค้กก้อนโตอีกชิ้นให้เธอ!
หลังจากครึ่งเดือนบริษัทว่านเซียง มูวีเตรียมจะถ่ายทำ
นี่เป็นหนังเกี่ยวกับการไขคดี ยังคงเป็นนักแสดงนำโดย จางยีแน่และฉินซูฉิงที่เซ็นสัญญากับว่านเซียง มูวี เปิดตัวเมื่อสองปีที่แล้ว ได้รับคำชื่นชมอย่างมาก เรตติ้งสูงมาก เกินหกพันล้าน ทำกำไรได้มากมาย
สิ่งที่เสิ่นเจียเหวินถามคือ ตระกูลเจียงต้องการลงทุนไหม!
พูดตามตรง นี่เป็นเงินที่ให้เธอฟรีๆ!
แน่นอนเจียงเยว่ถงยินดีอยู่แล้ว นี่เห็นได้ชัดว่าเป็นเรื่องของการทำเงิน แต่เจียงเยว่ถงไม่มีเงินอะไร ต้องการลงทุน จำเป็นต้องให้ตระกูลเจียงมาจัดการเรื่องนี้
แม้ว่าเธออยู่ที่ตระกูลเจียงไม่ได้คนโปรดปรานอะไร แต่พ่อเป็นลูกคนที่สามของตระกูลเจียง เธอก็ต้องการออกแรงมีส่วนร่วมในตระกูลเจียง
“เยว่ถงเอ๋ย เรื่องนี้ถ้าหากประสบความสำเร็จ เธอทำผลงานใหญ่ให้ตระกูลเจียงของพวกเราแล้ว” คุณยายเจียงมองไปทางเจียงเยว่ถงด้วยความชื่นชม
“นี่ล้วนแล้วเป็นสิ่งที่ควรทำ” เจียงเยว่ถงส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม
“ลูกสาวของฉันยอดเยี่ยมที่สุด” เสิ่นหัวพูดอย่างมีความสุข เลิกคิ้ว ใบหน้าเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ
เจียงเฉิงเย่ก็ลุกขึ้นเช่นกัน ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวและพูด : “คุณยาย ก่อนหน้านี้ผมถูกว่านเซียง มูวีขับไล่ออกมา เมื่อวานเจียงเยว่ถงไปอีกครั้ง ว่านเซียง มูวีจะต้องคิดว่าตระกูลเจียงของพวกเราจริงใจอย่างมาก ดังนั้นเลยตอบตกลงร่วมมือ! ดังนั้น เมื่อวานไม่ว่าใครเป็นคนไปเจรจา ล้วนแล้วสามารถประสบความสำเร็จ!”
คำพูดของเจียงเฉิงเย่ชัดเจนอย่างมาก ก็คือต้องการแย่งผลงานบางส่วน เป็นเพราะเขาปูทางให้เจียงเยว่ถงหนึ่งก้าว!
แต่ว่ามีแค่เจียงเยว่ถงชัดเจนที่สุด เหตุผลที่สามารถเจรจาได้สำเร็จ หนึ่งในนั้นก็มีฉินเฟยเป็นส่วนช่วย ฉินเฟยเป็นผู้ช่วยระดับสูงของเสิ่นเจียเหวิน และเมื่อคืนนี้เสิ่นเจียเหวินก็ให้ของขวัญชิ้นใหญ่กับเธอ จะต้องเป็นฉินเฟยแอบช่วยอย่างลับๆแน่นอน!
แต่ที่ผ่านมาคุณยายรักและเอ็นดูเขามาตลอด เมื่อได้ยินคำพูดของเจียงเฉิงเย่ คาดไม่ถึงว่าจะพยักหน้าและพูด : “เยว่ถงเอ๋ย เป็นแบบนั้นจริงๆ ผลงานครั้งนี้ ไม่สามารถคิดของเธอคนเดียว ก็ต้องแบ่งผลงานให้เฉิงเย่ส่วนหนึ่งเช่นกัน”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ภายในใจของเจียงเฉิงเย่มีความสุข พูดด้วยใบหน้าที่ตื่นเต้น : “เพียงแต่ ผลงานของเยว่ถงยังคงใหญ่อย่างมาก คาดไม่ถึงว่าจะเจรจาลงทุนการถ่ายทำ ผมคิดว่าตระกูลเจียงของพวกเราต้องทำให้ดีที่สุด เอาเงินทุนทั้งหมดที่สามารถหมุนเวียนได้ออกมา ว่ากันว่าละครทีวีเรื่องนี้จะมีการออกฉายในปีหน้า เพียงแค่พวกเราสามารถผ่านปีนี้ไปได้ ปีหน้าจะต้องเป็นฤดูเก็บเกี่ยวที่ดีแน่นอน! ผมยินดีเป็นตัวแทนตระกูลเจียง พรุ่งนี้ไปเจรจากับว่านเซียง มูวี!”
“ดี!”
คุณยายพยักหน้า มองไปทางเจียงเฉิงเย่อย่างชื่นชม : “สายตาของหลานชายฉันเฉียบแหลม”
เจียงเยว่ถงและเสิ่นหัวมองหน้ากัน ภายในใจรู้สึกเศร้าเล็กน้อย การประชุมในครั้งนี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นงานฉลองของเจียงเยว่ถง แต่ความสนใจทั้งหมดล้วนแล้วถูกเจียงเฉิงเย่แย่งไปแล้ว ตอนนี้ตระกูลเจียงเจรจาความร่วมมือกับว่านเซียง มูวีสำเร็จแล้ว พรุ่งนี้เจียงเฉิงเย่ไปเจรจา สำเร็จอย่างแน่นอน ถึงเวลานั้นผลงานใหญ่นี้ ทั้งหมดกลายเป็นของเขาไม่ใช่เหรอ
แม้ว่าภายในใจจะไม่มีความสุข เจียงเยว่ถงกลับไม่พูดอะไร ใครให้คุณยายชอบเขา
แต่ว่าในไม่ช้า สมาชิกในตระกูลที่อยู่ข้างล่างเริ่มสนทนาต่างๆนาๆ
แน่นอนว่าสามารถทำเงินได้ แต่สิ่งสำคัญคือแม้ว่าตระกูลเจียงจะมีความมั่งคั่งอยู่บ้าง แต่ก็ไม่สามารถหาเงินได้มากเท่าไหร่
“ว่ากันว่าต้องใช้เงินทุนโดยประมาณห้าพันล้าน รวมค่าถ่ายทำและค่าเซ็นสัญญานักแสดงหน้าใหม่และอื่นๆ ตระกูลเจียงของพวกเราคำนวณดีๆแล้วสามารถเอาออกมาได้ห้าร้อยล้านก็ไม่เลวแล้ว นี่แค่เท่าไหร่เอง?”
“ใช่แล้ว บริษัทชั้นหนึ่งในซงไห่มีเยอะขนาดนี้ ลงทุนห้าร้อยล้านน้อยเกินไปแล้ว เดาว่าว่านเซียง มูวีก็ไม่เห็นหัวเช่นกัน ถูกบริษัทอื่นแย่งไปแล้ว”
ได้ยินการสนทนาข้างล่างเวที อารมณ์ความสุขของคุณยายค่อย ๆ สงบลง ภายในใจก็มีความกังวลเล็กน้อยเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าตระกูลเจียงจะตกทอดมาหลายชั่วอายุคน ในซงไห่ถือได้ว่ามีหน้ามีตาและมีชื่อเสียง แต่พยายามมาหลายปีขนาดนี้ เป็นแค่ตระกูลชั้นสองเท่านั้น
ต้องการเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลชั้นหนึ่ง ภูมิหลังของตระกูลเจียงก็ไม่เลว แต่สิ่งสำคัญคือเงินทุน ตระกูลเจียงไม่มีเงินทุน!
ตระกูลชั้นหนึ่ง เงินทุนอย่างน้อยๆต้องมีห้าพันล้าน!
และลงทุน กลับเป็นโอกาสที่ดีที่สามารถทำให้ตระกูลเจียงกลายเป็นตระกูลชั้นหนึ่งได้!
เจียงเฉิงเย่ก็ได้ยินบทสนทนาของตระกูลเช่นกัน สีหน้าเปลี่ยนทันที มันไม่ง่ายเลยที่เขาจะแย่งโอกาสไปที่ว่านเซียง มูวีในวันพรุ่งนี้เพื่อเจรจาเกี่ยวกับความร่วมมือ ไม่สามารถถูกไล่ออกมาอีกครั้งแน่นอน!
ดวงตาของเขาเคลื่อนไหวสักพัก ลุกขึ้นยืน : “คุณยาย ผมมีวิธี”
“ดี เฉิงเย่มีวิธีอะไร รีบพูดออกมา!” ใบหน้าของคุณยายเต็มไปด้วยความสุข
“พวกเราหาคนไปลงทุนความร่วมมืออีกครั้ง!”
หาคนอีกครั้งฦ
คุณยายขมวดคิ้ว คนมากมายของตระกูลเจียงรอบๆ สีหน้าก็เปลี่ยนเช่นกัน พร้อมกับความสงสัย
“เงินของพวกเราไม่พอคุยกันได้ สามารถหาคนมาร่วมมือได้อีก เจรจาความร่วมมือกับว่านเซียง มูวีครั้งนี้ พวกเราคุยสำเร็จแล้ว และ ทำเงินได้อย่างแน่นอน คนที่อยากลงทุนมีไม่น้อยแน่นอน แน่นอน พวกเราก็จะไม่ไปหาบริษัทใหญ่เหล่านั้น!” เจียงเฉิงเย่พูดอย่างได้ใจ
“ผมรู้จักเพื่อนคนหนึ่ง ชื่อว่าฮั่วจงเหยียน ปีที่แล้วเป็นแชมป์ซันดาของซงไห่ของพวกเรา ในช่วงสองปีที่ผ่านมา เขาได้เปิดห้องแสดงศิลปะการต่อสู้หลายแห่งกระทั่งโฆษณาด้วย ทำเงินได้ไม่น้อย แต่เขาไม่มีสมองไปก่อตั้งบริษัท อยากจะเอาเงินที่ตัวเองหามาไปลงทุนกับโครงการที่ทำเงินได้”
เมื่อเห็นดวงตาของทุกคนเป็นประกาย เจียงเฉิงเย่ยิ้มอย่างได้ใจ : “เขาก่อตั้งบริษัทไม่เป็น ดังนั้นพวกเขาก็ไม่ต้องกังวลเขาแย่งจุดสนใจของพวกเรา เพียงแค่ให้เขาลงทุนเงินบางส่วน รอรับกำไรก็พอแล้ว”
ฮวา!
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ คนรอบข้างก็เกิดความโกลาหล มีคนไม่น้อยดวงตาเป็นประกาย
เห็นได้ชัดว่า อันที่จริงนี่คือความร่วมมือเพื่อพิชิตโครงการใหญ่ด้วยกัน ตอนนี้บริษัทมากมายล้วนแล้วทำแบบนี้
“คิดไม่ถึงเลยว่าเฉิงเย่จะมีเพื่อนที่มีเงินแบบนี้คนหนึ่ง!”
“ฮั่วจงเหยียนเหรอ คนคนนี้ร้ายกาจจริงๆ เพียงแค่สมองธรรมดาแขนขาพัฒนาแล้วเท่านั้น”
“ใช่ หาคนแบบนี้มาร่วมมือกำลังดี ฮ่าฮ่า”
ใบหน้าของคุณยายก็เต็มไปด้วยความสุขเช่นกัน พยักหน้าและพูดชื่นชม : “สมองของเฉิงเย่ดีที่สุด ความคิดนี้ไม่เลว ไม่เลว…..”
คุณยายกระทั่งตื่นเต้นเล็กน้อย เพียงแค่พิชิตความร่วมมือในครั้งนี้ได้ ตอนที่ตัวเองยังมีชีวิตอยู่ เป็นไปได้อย่างมากที่ตระกูลเจียงจะกลายเป็นตระกูลชั้นหนึ่ง!

ฉินเฟยขมวดคิ้วด้วยความตะลึง จากนั้นมองดูหนังสือโบราณที่วางอยู่ด้านข้าง : “ของสองอย่างที่เหลือก็ไม่มีมูลค่าอะไร หนังสือโบราณเล่มนี้ของคุณาขายเท่าไหร่?”
“หนึ่งแสน ห้ามต่อราคา” เคราแพะลูบเคราอย่างมั่นใจและพูด
เซียววี่มองไปทางฉินเฟยด้วยความสงสัย เธอไม่คิดว่าฉินเฟยเป็นคนโง่ที่มีเงินเยอะ ยิ่งไม่คิดว่าเขากำลังช่วยสองแม่ลูกคู่นั้น แต่สรุปได้ว่า ฉินเฟยต้องรู้ที่มาของแจกันลายครามนี้อย่างแน่นอน เลยซื้อเอาไว้
ในเวลานี้เห็นว่าเขาสนใจหนังสือโบราณเล่มนี้อีกครั้ง ท้ายที่สุดอดไม่ได้ที่จะถาม : “คุณผู้ชายท่านนี้ คุณรู้จักตัวอักษรของหนังสือโบราณเล่มนี้?”
“รู้จักนิดหน่อย นี่คือตัวอักษรยา และนี่คือตัวอักษรกลั่น ถ้าหากเดาไม่ผิดล่ะก็ นี่น่าจะเป็นหนังสือโบราณที่บันทึกการกลั่นยาเล่มหนึ่ง ชื่อว่า ‘ตำรากลั่นยา’” ฉินเฟยยื่นมือไปหยิบหนังสือโบราณ ชี้ไปที่คำแปลกๆ สามคำข้างบน
เพราะฉินเฟยรู้จักสินค้า การเคลื่อนไหวก็ระวังอย่างมากเช่นกัน เคราแพก็ไม่มีการห้ามเช่นกัน
“ฮ่าฮ่า ผมว่าแล้วนี่เป็นตัวอักษรยา พวกคุณยังไม่เชื่ออีก ผมพูดถูกแล้ว” คนที่มองดูอยู่รอบๆคนหนึ่งพูดอย่างมีความสุข
“ถ้าหากผมเดาไม่ผิด หนังสือเล่มนี้น่าจะมาจากภูมิภาคตะวันตก” เซียววี่เหลือบมองคำแปลก ๆ ที่อยู่บนนั้น ทันใดนั้นเผยให้เห็นคอขาว
เธอพูดเตือนด้วยความหวังดี : “หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือโบราณจริงๆ แต่ไม่ได้มีมูลค่าขนาดนั้น นี่น่าจะเป็นผู้ยอดฝีมือของภาคตะวันตกในสมัยโบราณ หนังสือที่บันทึกเรื่องของการกลั่นยาอมตะ และไม่ใช่ของคนดัง”
สิ้นสุดเสียง ทุกคนต่างพยักหน้า ต่างก็รู้ดี ในสมัยโบราณตั้งแต่จักรพรรดิฉินซีฮ่องเต้ ก็เริ่มแสวงหาอาคมแห่งความเป็นอมตะ ไปที่เกาะอมตะเผิงไหลเพื่อค้นหาอมตะ ฯลฯ จักรพรรดิในภายหลังก็ไม่เคยยอมแพ้เช่นกัน
แต่ยาอายุวัฒนะที่ผู้ยอดฝีมือเหล่านี้กลั่นออกมาไม่เพียงแต่ไม่เป็นอมตะ นอกจากนี้ยังมีของที่อันตรายถึงชีวิต ในยาส่วนใหญ่เป็นตะกั่ว โลหะหนักเช่นปรอท กินแล้วจะทำให้คนตายได้ ดังนั้น ถึงหนังสือเล่มนี้จะเป็นหนังสือโบราณ แต่ก็ไม่มีมูลค่า
“หนึ่งหมื่น ขายไหม?”
“หนึ่งหมื่น? คุณให้น้อยเกินไปแล้วมั้ง? ไม่ขายไม่ขาย” เคราแพะส่ายหน้า
“คำนวณแล้ว บวกกับดาบสันโค้งเล่มนี้ ทั้งหมดหนึ่งแสน ถ้าหากคุณขายผมก็จะเอาไป ไม่ขายก็แล้วไป” ฉินเฟยยิ้มเล็กน้อย ยื่นนิ้วมือออกมาหนึ่งนิ้วชี้ไปที่ดาบสันโค้งขึ้นสนิม
“หนึ่งแสน? คุณคิดว่านี่เป็นของโกโรโกโสเหรอ? นี่เป็นของโบราณเลยนะ คุณดูรูปร่างของสิ่งนี้แปลกขนาดนี้!” เคราแพะส่ายหน้าอย่างต่อเนื่อง
“แปลกประหลาด? หนังสือเล่มนี้มาจากภาคตะวันตก ดาบสันโค้งเล่มนี้ก็เหมือนกัน ภูมิภาคตะวันตกโบราณนั้นแตกต่างจากที่ราบภาคกลาง สิ่งที่พวกเขาใช้คือดาบสันโค้ง แต่ไม่มีอะไรแปลกประหลาด ยิ่งกว่านั้น เมื่อกี้ผมลองดูสักพักแล้ว ดาบสันโค้งที่เป็นสนิมของคุณไม่สามารถดึงออกได้เลยด้วยซ้ำ มันไม่ใช่อาวุธที่ใช้โดยนายพลที่มีชื่อเสียงในสมัยโบราณ นอกจากนี้อาวุธยังมีเลือด ไม่ทราบความหมาย ผมเพียงแค่ชอบค้นคว้าสิ่งเหล่านี้” ระหว่างที่ฉินเฟยอธิบายไปด้วย พร้อมกับลุกขึ้นแล้วส่ายหน้า
ใครก็รู้ ของโบราณแม้ว่าจะดี แต่ต้องการขายราคาสูง จำเป็นต้องรักษาให้สมบูรณ์ ดาบสันโค้งเล่มนี้ขึ้นสนิมแบบนี้ ราคาลดลงอย่างมาก
นอกจากนี้ มีคนน้อยอย่างมากที่จะมีคนเล่นอาวุธโบราณ! ท้ายที่สุดแล้วนั่นเป็นของสำหรับฆ่าคน ว่ากันว่าอาวุธที่ฆ่าคนตายเยอะ ข้างบนล้วนแล้วเปื้อนด้วยวิญญาณของคนตาย เก็บไว้ในบ้าน เป็นไปได้อย่างมากที่จะนำสิ่งเลวร้ายเข้ามา!
และตำรากลั่นยาเล่มนี้ มูลค่าที่แท้จริงไม่มากเท่าไหร่
“หนึ่งแสน ถ้าต้องการขายผมก็จะเหมาเลย ไม่ขายผมก็จะไป”
“หนึ่งแสนผมยังคิดว่ามันแพงไปเลย ขยะพวกนี้ไม่มีมูลค่าเลยด้วยซ้ำ” เถ้าแก่รอบๆต่างพยักหน้าและจากไปทีละคน
“เป็นคนโง่ที่เงินเยอะจริงๆ ถูกฆ่าตายล้วนแล้วไม่รู้เรื่อง!”
เมื่อเห็นว่าไม่มีเรื่องสนุกให้ดู ไม่นานคนส่วนใหญ่ก็จากไป
เคราแพะก็มีความลังเลเช่นกัน เมื่อเห็นฉินเฟยถือแจกันลายคราม เตรียมจะจากไปจริงๆ กังวลทันที
คนรอบๆล้วนแล้วไปหมดแล้ว ล้วนแล้วบอกว่าของสองชิ้นนี้ล้วนแล้วไม่มีมูลค่าถึงหนึ่งแสน นอกจากนี้ อีกสองชิ้นที่เหลือนั้นไม่ค่อยดีนัก สามารถทำเงินได้ก็ไม่เลวแล้ว
นอกจากนี้ ดาบสันโค้งเล่มนี้ประหลาดเล็กน้อยจริงๆ อัปมงคลอย่างมาก
“ขาย หนึ่งแสนก็หนึ่งแสน ผมขายให้คุณเพราะว่าผมมีพรหมลิขิตกับคุณ คุณเอาไปทั้งหมดเลย” เคราแพะโบกมือพูดด้วยความปวดใจ
“ได้”
“คุณผู้ชายท่านนี้ สามารถไปที่ร้านของฉันได้ไหม?” เซียววี่เห็นฉินเฟยจ่ายเงินเสร็จ ห่อหนังสือโบราณและดาบสันโค้งอย่างระวังแล้วเตรียมจะไป ทันใดนั้นอดไม่ได้ที่จะพูด
ฉินเฟยมองดูสาวสวยที่อยู่ตรงหน้า ยิ้มเล็กน้อย : “คุณก็คือเซียววี่คุณซูใช่ไหม?”
เซียววี่ตะลึง : “คุณรู้จักฉัน?”
“ไม่รู้จัก แต่เคยได้ยินชื่อของคุณ ได้ยินมาว่าไม่เพียงแต่มีความรู้ นอกจากนี้ยังเป็นสาวสวย ผมชื่อฉินเฟย” ฉินเฟยส่ายหน้า พูดโดยตรง
เซียววี่เม้มริมฝีปากและพูด ยื่นมือออกไป : “เชิญ”
ชื่อร้านของตระกูลเซียวชื่อว่ากู่ยิ่นถัง ผู้ดูแลร้านเป็นคนหัวล้านคนหนึ่ง ชื่อว่าจางผิง เซียววี่รีบพาฉินเฟยไปที่ห้องโถงด้านหลังอย่างรวดเร็ว
เข้าไปด้านหลังห้องโถง ฉินเฟยเพิ่งนั่งลง เซียววี่หยิบน้ำหนึ่งแก้วแล้วยื่นให้เขา ถามความสงสัยภายในใจมากที่สุดออกมาโดยตรง : “คุณรู้ที่มาของเครื่องลายครามนี้เหรอ?”
“คุณคิดว่าแจกันลายครามนี้มาจากยุคไหน?” ฉินเฟยถามกลับ
“มองดูดีๆ แจกันลายครามนี้มีบรรยากาศที่แน่นหนา มีสไตล์ของราชวงศ์ถังอย่างมาก แต่การเคลือบของแจกันลายครามนั้นสดใสเกินไป นอกจากนี้ปากแจกันกับก้นแจกันก็ไม่กลม แต่เป็นวงรี และดูเหมือนสไตล์ภาคตะวันตก…..” น้ำเสียงของเซียววี่เต็มไปด้วยความสงสัย คิ้วอันสวยงามขมวดแน่น
เธอมองไม่ออกเลยจริงๆ ดังนั้นก็ไม่กล้าสรุปเหมือนกัน
“คุณพูดถูกแล้ว นี่คือผลงานของราชวงศ์ถัง เหมือนหนังสือโบราณเล่มนี้กับดาบสันโค้ง ล้วนแล้วมาจากทางภาคตะวันตก”
เซียววี่กะพริบตาและมองไปทางฉินเฟย
ฉินเฟยยิ้ม ขอพูดตรงๆเลยแล้วกัน : “ภาคตะวันตกในสมัยนั้นเรียกว่าถู่โป สมัยถังไท่จง เจ้าหญิงเหวินเฉิงทรงอภิเษกไปที่ถู่โป หล่อหลอมความสัมพันธ์ทางการฑูต ตามที่ผมรู้มา นี่คือแจกันหิมะ เป็นของรักของเจ้าหญิงเหวินเฉิงมาโดยตลอด งานฝีมือที่ใช้ยังผสมผสานวัฒนธรรมของราชวงศ์ถังและถู่โปสองวัฒนธรรม สำหรับแจกัน ความหมายคือทั้งสองประเทศเป็นเหมือนครอบครัวเดียวกัน และหลังจากที่เจ้าหญิงเหวินเฉิงทรงอภิเษกไปที่ถู่โป ราชวงศ์ถังและถู่โปได้รับการซ่อมแซมมากว่า 200 ปี และได้รับการยกย่องจากคนรุ่นหลังๆมาโดยตลอด”
“เจ้าหญิงเหวินเฉิงระลึกความหลังด้วยการมองแจกันหิมะ มักจะถือแจกันหิมะไว้ในอ้อมแขนและร้องเพลงบ้านเกิด ดังนั้นจากปากแจกันยังสามารถได้ยินเสียงร้องเพลงอันแผ่วเบา แจกันหิมะก็ตั้งชื่อตามนี้เช่นกัน”
“มูลค่าของแจกันหิมะนี้ประเมินค่าไม่ได้ แต่น่าเสียดายแตกหักไปหนึ่งส่วน แต่ซื้อราคาสามแสนก็ไม่ขาดทุน”
“นี่…..นี่ก็คือแจกันหิมะ?” ดวงตาที่สวยงามของเซียววี่เป็นประกาย เต็มไปด้วยความตะลึง : “ฉันสามารถดูอีกรอบได้ไหม?”
ฉินเฟยยิ้มเล็กน้อย : “แน่นอน”
“แจ…..แจกันหิมะนี้สามารถเก็บเอาไว้ที่ฉันก่อนได้ไหม” เซียววี่มองซ้ายมองขวา ดูเหมือนว่าจะชอบอย่างมาก สุดท้ายเงยหน้ามองฉินเฟย แววตามีความลังเลเล็กน้อย : “ฉันรู้เล็กน้อยเกี่ยวกับทักษะการซ่อมแซมเครื่องลายคราม”
“ก็ได้ เอาแบบนี้ดาบสันโค้งเล่มนี้ก็เก็บไว้ที่คุณก่อนแล้วกัน ผมรู้สึกว่าดาบสันโค้งเล่มนี้ไม่เลว สามารถช่วยผมตรวจสอบความเป็นมาของมันได้ไหม” ฉินเฟยพูด
ดาบสันโค้งเล่มนี้ทั้งตัวเต็มไปด้วยสนิมหมดแล้ว มองไม่เห็นอะไรเลย แน่นอนก็ไม่สามารถศึกษาได้เช่นกัน
“คุณรู้ได้ยังไงว่าบ้านของฉันมีแผนผังอาวุธวิเศษ? เพียงแต่ ดูเหมือนว่าดาบสันโค้งเล่มนี้ไม่ได้อยู่ในแผนผังอาวุธวิเศษ” เซียววี่ยิ้มเล็กน้อย พูดในใจฉินเฟยคนนี้ไม่มีความเกรงใจจริงๆ
เพียงแค่แจกันหิมะหนึ่งใบ เซียววี่ก็รู้ว่าความรู้ทางวัตถุโบราณของฉินเฟยไม่ธรรมแน่นอน ในเวลานีก็อดไม่ได้ที่จะสังเกตดาบสันโค้งเล่มนี้ที่เต็มไปด้วยสนิม อดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกไปด้วยความสงสัย
“อย่าแตะต้อง!”
“โอ๊ย!” เซียววี่ไม่ทันได้ระวังด้วยซ้ำ หลังจากสัมผัสดาบสันโค้งก็ตะลึงเช่นกัน แค่สัมผัสความเย็นกระจายทั่วร่างกายทันที เย็นจนกระดูกเจ็บไปหมด
“คุณไม่เป็นไรใช่ไหม?” ฉินเฟยคว้ามือของเซียววี่ทันที ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าไม่ถูกต้อง จากนั้นรีบวางลง กระแอมหนึ่งทีแล้วพูด : “ดาบสันโค้งเล่มนี้มีความอัปมงคลนิดหน่อย เดาว่าเจ้าของร้านคนนั้นก็รู้เหมือนกัน ดังนั้นเลยขายถูกๆให้ผม”
“ล้วนแล้วบอกว่าอาวุธมีวิญญาณ ฉันยังไม่เคยเห็นอาวุธประหลาดแบบนี้มาก่อน ทำไมถึงเย็นขนาดนี้?” เซียววี่กุมมือที่ถูกความเย็น ขมวดคิ้วและพูด
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ตอนที่คุณหยิบใช้ผ้าห่อก็ไม่เป็นอะไรแล้ว” ฉินเฟยส่ายหน้า : “และยังมีอีก บ้านของคุณน่าจะมีหนังสือเกี่ยวกับการวิเคราะห์ข้อความโบราณใช่ไหม? ผมอยากจะยืมสักหน่อย”
“ทำไม? คุณก็อยากวิจัยยาอมตะเหรอ?” เซียววี่มองดูตำรากลั่นยาเล่มนั้น ยิ้มเล็กน้อย
“ผมก็แค่สงสัย รู้สึกว่าสิ่งที่บันทึกไว้ในหนังสือเล่มนี้ไม่ได้เกี่ยวกับการกลั่นยาอายุวัฒนะอมตะทั้งหมด เพียงแค่มีตัวอักษรมากมายผมไม่รู้จัก” ฉินเฟยพูด
“ได้เลย ตามฉันมา” เซียววี่เม้มริมฝีปาก ก้าวเดินอย่างช้าๆ นำทางข้างหน้า
…..
ตอนที่ฉินเฟยกลับไปประมาณหนึ่งทุ่มกว่าแล้ว หลังจากกินข้าวเสร็จก็สองทุ่มแล้ว เข้าไปโรงแรมแห่งหนึ่ง เอาหนังสือโบราณที่ยืมมาจากเซียววี่ออกมาอย่างรวดเร็ว
ตัวอักษรในตำรากลั่นยาฉินเฟยรู้จักหนึ่งในสาม ตัวอักษรอื่นๆสามารถทำได้แค่ค้นหาและแปลทีละตัว ลำบากอย่างมาก
แต่ว่าเขาตรวจสอบไปเรื่อยๆ มองดูตัวอักษรที่วิเคราะห์ออกมา ตรงกันข้ามสับสนมากกว่าเดิม
เดิมทีคิดว่าจะพบเบาะแสเกี่ยวกับดาบสันโค้งจากหนังสือโบราณเล่มนี้ แต่ว่ากลับไม่ใช่เลย นอกจากนี้ วิธีการกลั่นยาที่บันทึกไว้ในหนังสือเล่มนี้ไม่ใช่ยาอายุวัฒนะที่มอบให้จักรพรรดิในสมัยโบราณ มันเป็นวิธีการกลั่นของฤทธิ์ยาต่างๆ!
ยาเชื่อมสวรรค์ : หลังจากใช้แล้ว ด้วยกรรมวิธีพิเศษเปิดเส้นเมอริเดียนให้ทั่วร่างกาย สัมผัสจิตวิญญาณแห่งสวรรค์และโลก
ฉินเฟยยิ่งอ่านยิ่งสับสน รู้สึกว่าหนังสือเล่มนี้เป็นเหมือนหนังสือของแดนในนวนิยายศิลปะการต่อสู้
ตัวอย่างเช่นยาวายุ หลังจากใช้แล้วสามารถทำให้ร่างกายของคนเบาในเวลาสั้น : ยาพลัง กินแล้วสามารถทำให้คนมีพลังอย่างมาก
เหมือนยากลืนวิญญาณอะไรนั่น คนกินแล้ว ควบคู่ไปกับเทคนิคการควบคุมจิตใจแบบพิเศษ สามารถทำให้คนเชื่อฟังคำสั่งของตัวเอง
“ให้ตายเถอะ นี่มันไร้สาระเกินไปแล้วมั้ง?” ฉินเฟยเหลือบมองคำอธิบายของยาอายุวัฒนะ จากนั้นมองดูวัสดุยาที่ใช้กลั่นยาอาวุวัฒนะ ตะลึงไปเลย
น้ำดวงจันทร์…..หนอนพิษกัดใจ?
นี่มันล้วนแล้วเป็นของเล่นอะไรกัน บนโลกใบนี้มีของแบบนี้ที่ไหนกัน?
ฉินเฟยรู้สึกปวดหัวอย่างมาก หลังจากนั้นเขาดูยาอายุวัฒนะอื่นๆ พบว่าวัตถุดิบที่จำเป็นต้องใช้ในยาอายุวัฒนะเหล่านี้หายากอย่างมาก กระทั่งล้วนแล้วไม่เคยได้ยินมาก่อน เดาว่าส่วนใหญ่ล้วนแล้วสูญพันธุ์ไปจากโลกแล้ว
เพียงแต่ฉินเฟย พบอยู่ตัวหนึ่งที่แตกต่างออกไป ก็คือยาเชื่อมสวรรค์ วัตถุดิบที่จำเป็นหาได้ไม่ยาก เพียงแต่ตอนนี้อยู่ในโรงแรม อยากจะกลั่นยาก็เป็นไปไม่ได้
ภายในใจของฉินเฟยยังคงไม่เชื่อเล็กน้อย แต่ฤทธิ์ของยาเชื่อมสวรรค์ค่อนข้างล่อใจคน เขาอยากจะลองสักหน่อย
ฉินเฟยก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผ่านไปนานแค่ไหน อ่านจนตาทั้งสองข้างเริ่มดำค่อยหยุด หยิบโทรศัพท์ข้างเตียงแล้วมองดูหนึ่งที ห้าทุ่มกว่าแล้ว
นอกจากนี้ มือถือยังมีข้อความส่งมาสองข้อความ ล้วนแล้วเป็นภรรยาเจียงเยว่ถงที่ส่งมาในคืนนี้
เพราะจดจ่อกับการค้นหาข้อมูลมากเกินไป ก็เลยไม่ได้ยิน
สองทุ่มห้าสิบนาที : “คืนนี้ฉันทะเลาะกับแม่ ของของคุณฉันล้วนแล้วช่วยคุณเก็บเข้ามาในบ้านแล้ว”
สามทุ่มห้าสิบนาที : “คุณกำลังทำอะไรอยู่? คืนนี้นอนที่ไหน? กินข้าวหรือยัง?”
ฉินเฟยอ่านจนดวงตาทั้งสองข้างเบิกกว้างทันที พลิกตัวขึ้นมานั่งอย่างรวดเร็ว อดไม่ได้ที่จะขยี้ตา นี่เป็นข้อความที่เจียงเยว่ถงส่งมาเหรอ?
เธอ…..นี่กำลังเป็นห่วงตัวเองเหรอ?

หลังจากส่งเจียงเยว่ถงเสร็จ ฉินเฟยขี่มอเตอร์ไซต์ไฟฟ้าไปถนนโป๋เหวิน
ถนนโป๋เหวินอยู่ในเขตตงเฉิงของซงไห่ มีชื่อเสียงอย่างมาก เป็นตลาดขายของเล่นโบราณที่ใหญ่ที่สุดของซงไห่
ตอนนี้มีคนมากมายล้วนแล้วเล่นของโบราณ ของปลอมมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง ของโบราณในถนนโป๋เหวินอส่วนใหญ่เป็นของปลอม
แต่ที่อื่นก็มีของจริงมากมายเช่นกัน แม้กระทั่งแผงขายของข้างนอกบางส่วน ก็สามารถซื้อสินค้าของแท้ที่ประเมินค่ามิได้เช่นกัน
พูดขึ้นมาแล้วก็เหมือนกับการพนันหยก สิ่งที่ต้องอาศัยคือสายตา เรื่องของรวยชั่วข้ามคืนก็เกิดขึ้นบ่อยๆ ก็เลยทำให้นักล่าสมบัติหลายคนมาที่นี่ ที่เรียกกันทั่วไปว่า The Gold Rush
แน่นอน คนรวยข้ามคืนมีเช่นกัน แต่ใช้เงินไปมากมายกลับซื้อได้ของปลอมก็มี คนล้มละลายมีมากกว่า
ต่อให้เป็นแบบนี้ แม้ว่าจะเย็นแล้ว คนที่มาล่าสมบัติที่ถนนโป๋เหวินยังคงไหลเวียนไปมาอย่างต่อเนื่อง
“ฮือฮือ……แม่ ผมไม่กล้าแล้ว…..” ฉินเฟยเพิ่งหยุดรถไฟฟ้าลง ก็ได้ยินเสียงเด็กคนหนึ่งร้องไห้ที่กลางถนน
“ชดใช้เงิน! คุณรู้ไหมว่านี่คือของอะไร? นี่คือเครื่องลายครามศาลของราชวงศ์ถัง สามแสนเลยนะ ชดใช้เงิน ห้ามขาดแม้แต่แดงเดียว!” ชายคนหนึ่งตะคอกอย่างหยิ่งผยอง
“คุณผู้ชายท่านนี้ คุณช่วยเมตตาหน่อยได้ไหม เด็กน้อยไม่รู้เรื่อง ทำให้ของโบราณของคุณแตกหัก คุณปล่อยพวกเราไปเถอะนะ พวกเราไม่มีเงินเยอะขนาดนั้นจริงๆ” เสียงร้องไห้ของหญิงคนหนึ่งพร้อมกับเสียงวิงวอน
ฉินเฟยได้ยินและเดินเข้าไป เห็นร้านแห่งหนึ่งรายล้อมไปด้วยผู้คน
ฉินเฟยพุ่งเข้าไปด้วยความสงสัย เพราะได้เปรียบเรื่องความสูงและหุ่นผอมบางเล็กน้อย ผลักเข้าไปอยู่ข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
ในเวลานี้ หญิงวัยกลางคนในวัยสี่สิบกลางๆคนหนึ่ง อุ้มเด็กน้อยคนหนึ่งที่กำลังร้องไห้อยู่ในอ้อมแขน
เจ้าของร้านเป็นชายผอมแห้งคนหนึ่งอายุประมาณสามสิบต้นๆ ไว้หนวดเคราแพะ หัวเล็กเหมือนกวาง ตาเล็กเหมือนหนู ทันทีที่เห็นก็รู้ว่าไม่ใช่คนดีอะไร
ฉินเฟยเหลือบมองวัตถุหลายชิ้นที่อยู่ข้างหน้าเขา หนังสือโบราณเล่มหนึ่ง แต่เขียนด้วยภาษาถู่โป คนสมัยนี้อ่านไม่ออกเลยด้วยซ้ำ อีกชิ้นเป็นดาบสันโค้งที่มีสนิมเกาะอยู่เล่มหนึ่ง เกิดสนิมจำนวนมาก
ดวงตาของฉินเฟยอดไม่ได้ที่จะเป็นประกาย ถึงแม้ว่าจะสิ่งของจะไม่เยอะเท่าไหร่ แต่ทันทีที่มองดูดีๆ ของเหล่านี้ดูเหมือนว่าจะเป็นของจริง!
ฉินเฟยประสบความสำเร็จด้านของโบราณ และลึกซึ้งอย่างมาก เมื่อก่อนสมัยเด็กๆคุณปู่ฉินห้าวก็ชอบเล่นกับของเหล่านี้ ที่ตระกูลยังมีการเชิญปรมาจารย์ด้านโลกวัตถุโบราณของเจียงหนานมาด้วย ชื่อว่าโจงเจิ้งชิง และเป็นเพื่อนของคุณปู่
ตอนเด็ก คนมากมายยกย่องสายตาของฉินเฟยดี ไม่เพียงแต่มองคนมีมุมมองที่ดี นอกจากนี้ดูวัตถุโบราณก็ดีอย่างมากเช่นกัน กระทั่งในตอนนั้นโจงเจิ้งชิงยังรับฉินเฟยเป็นลูกศิษย์
เพียงแต่ถูกคุณปู่ปฏิเสธ
ท้ายที่สุดแล้วตระกูลฉินเป็นครอบครัวธุรกิจ เล่นของโบราณถือได้ว่าเป็นงานอดิเรก ความทะเยอทะยานของฉินเฟยต้องได้รับการปลูกฝังทางธุรกิจ!
เพียงแต่โจงเจิ้งชิงชอบฉินเฟยจริงๆ แม้ว่าไม่ได้รับเขาเป็นลูกศิษย์ กลับมีการสอนทักษะการดูวัตถุโบราณมากมายให้เขา
ของที่เจ้าของร้านขายมีไม่เยอะ มีแค่สามอย่าง นอกจากสองชิ้นนี้แล้ว แจกันดอกไม้ลายครามที่ถูกเด็กน้อยทำแตกหักหนึ่งใบ ในเวลานี้กำลังอยู่ในมือของผู้หญิงคนหนึ่ง
ฉินเฟยอดไม่ได้ที่จะมองผู้หญิงหลายที เพราะว่าช่างสวยเหลือเกิน
ผู้หญิงสวมเสื้อผ้าไหมสีขาว ท่อนล่างเป็นกางเกงขากว้างสีดำ ผ้าไหมสีน้ำเงินสามพันม้วนขึ้น ผิวเรียบเนียนกว่าหิมะ สง่างามและสวยงาม ระหว่างคิ้วมีกลิ่นอายของวรรณกรรมจางๆ
ในเวลานี้ เธอถือแจกันลายครามสีสันสดใสอยู่ในอ้อมแขนอย่างระมัดระวัง ดวงตาคู่สวยกำลังมองอย่างระมัดระวัง เพียงแต่ตรงปากแจกันลายคราม แตกไปหนึ่งแผ่น
ถ้าเดาไม่ผิด คงเป็นเด็กน้อยที่ร้องไห้อยู่ด้านข้างทำแตกโดยไม่ทันระวัง
มีคนมามุงดูไม่น้อย คนมากมายต่างวิจารณ์ว่าเป็นของจริงหรือของปลอม
“คุณเซียว แจกันลายครามนี้เป็นของจริงหรือไม่?” ด้านข้างมีชายวัยกลางคนคนหนึ่งใส่แว่นตาถาม
ผู้หญิงสวยชื่อเซียววี่ เธอเป็นลูกสาวของเซียวชิงเฟิงผู้ค้าของโบราณที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองซงไห่ มีความรู้ สายตาดีเยี่ยม ในถนนโป๋เหวินล้วนแล้วมีชื่อเสียงอย่างมาก
คนรอบๆ มีไม่น้อยที่เป็นเจ้าของร้านขายของโบราณมากมายบนถนนโดยรอบ
“เครื่องลายครามนี้ดูสวยงาม เนื้อสัมผัสก็ดีอย่างมาก ไม่เหมือนของปลอม แต่ลวดลายภายนอกนี้ไม่เข้ากับสไตล์ราชวงศ์ถังจริงๆ เป็นเรื่องยากที่ฉันจะมองออกว่าเป็นของยุคไหน” เซียววี่พูดเสียงเบา น้ำเสียงหวานติดหู ค่อนข้างน่าฟัง
ดวงตาของเจ้าของร้านเคราแพะเป็นประกาย เหลือบมองหน้าอกของเซียววี่ หัวเราะแหะแหะ : “ตระกูลเซียวของพวกคุณอยู่ในโลกของวัตถุโบราณ มีชื่อเสียงขนาดนี้ เพียงแค่แจกันลายครามใบหนึ่ง คุณเซียวก็แยกไม่ออกว่าเป็นของจริงหรือของปลอม?”
“ความหมายของคุณเซียวคุณยังฟังไม่ออกอีกเหรอ? เห็นได้ชัดว่าของคุณเป็นของปลอม เครื่องลายครามของราชวงศ์ถังนั้นดูแปลกตาและเรียบง่าย ของคุณเต็มไปด้วยสีสัน มองดูแล้วบอบบางและงดงาม แต่ราชวงศ์ถังไม่มีผลิตภัณฑ์ดังกล่าวเลย ยิ่งไม่ต้องพูดว่าออกมาจากวัง” เถ้าแก่คนหนึ่งพูด
เซียววี่ไม่ได้พูดอะไร อันที่จริงก็ยอมรับสิ่งที่เถ้าแก่คนนี้พูดอย่างเงียบๆ แจกันลายครามนี้ดูเหมือนผลิตภัณฑ์สมัยใหม่มากเกินไป
“คุณผู้หญิงท่านนี้ ให้ผมดูหน่อยได้ไหม?” ฉินเฟยพูด
เซียววี่เงยหน้ามองฉินเฟย พยักหน้าเบาๆ มอบแจกันลายครามให้ฉินเฟย
ฉินเฟยถือมันไว้ในมืออย่างระมัดระวังและมองดูสักครู่ และสังเกตรอยแตกหักอย่างระมัดระวัง หันหน้ามองไปทางบนขาทั้งสองข้างของเซียววี่ มีแว่นขยายใหญ่วางอยู่ : “ขอยืมใช้ได้ไหม?”
เซียววี่พยักหน้า ยื่นให้เขา
“ขอบคุณ”
“เด็กคนนี้โผล่ออกมาจากไหน? คุณเซียวล้วนแล้วตัดสินใจไปแล้ว นี่เห็นได้ชัดว่ากำลังสงสัยสายตาของคุณเซียว?”
“เชอะ สร้างจุดสนใจเพื่อให้คนสนใจ ทำเหมือนกับกำลังศึกษาวิจัย” ในเวลานี้ เสียงกระซิบของคนรอบข้างเริ่มดังขึ้น
สายตาของชายเคราแพะจ้องฉินเฟยแน่น เห็นได้ชัดว่ามีความประหม่าเล็กน้อย
เจ้าของประหม่า หญิงวัยกลางคนที่อุ้มเด็กอยู่ด้านข้างประหม่ายิ่งกว่า เพราะกลัวว่าหนุ่มคนนี้จะบอกว่าแจกันลายครามนี้เป็นของจริง นี่มันสามแสนเลยนะ เธอจะชดเชยได้อย่างไร?
ฉินเฟยใช้แว่นขยายส่องดูรอยแตกหักให้ละเอียดยิ่งขึ้น ทันใดนั้น เอื้อมมือไปดึงแจกันลายครามสองสามครั้ง ถูและเคาะไปด้วย ในขณะเดียวกัน เอาปากขวดแนบหูแล้วฟัง
“เอ๋ะ นายกำลังทำอะไร ทำพังแล้วนายมีเงินชดใช้เหรอ?” สีหน้าของเคราแพะเปลี่ยน รีบพูดห้าม
คนที่มองอยู่รอบๆ ต่างก็ส่ายหน้าเช่นกัน
เด็กคนนี้ เห็นได้ชัดว่าไม่รู้เรื่องอะไร แค่แกล้งทำเป็นเข้าใจ
แม้ว่าจะมีคำกล่าวว่า ‘มอง ฟัง เปรียบเทียบ และทดสอบ’ ในการจำแนกเครื่องลายคราม ผ่านสี่วิธีนี้เพื่อจำแนกว่าเครื่องลายครามนี้เป็นของจริงหรือของปลอม แต่คาดไม่ถึงว่าฉินเฟยจะใช้มือดึง จากนั้นทั้งถูและเคาะ เหมือนกับการทำไปเรื่อย!
อย่างไรก็ตามเซียววี่ที่อยู่ด้านข้าง กลับหรี่ตาลงเล็กน้อย
การกระทำของฉินเฟยดูเหมือนทำไปเรื่อย กระทั่งมีการแสดงเล็กน้อย แต่เซียววี่เห็นการกระทำของเขาได้อย่างชัดเจน ดูเหมือนว่ากำลังตั้งใจวิจัยอย่างมาก
นอกจากนี้ เธอเคยอ่านหนังสือโบราณ ดูเหมือนว่าเคยเห็นวิธีการจำแนกที่ไม่เหมือนใครแบบนี้
ท้ายที่สุด ฉินเฟยเป่าปากแจกันลายครามอีกครั้ง เอามาวางในหูแล้วฟังอีกสักพัก
แล้ววางแจกันลายครามบนแผงขายอย่างระมัดระวัง เงยหน้ามองชายเคราแพะ ยิ้มและพูด : “นี่เป็นของจริง”
สีหน้าของหญิงวัยกลางคนที่อยู่ด้านข้างเปลี่ยน อุ้มลูกน้อยนั่งจมกองกับพื้น
เคราของเคราแพะสั่น ดวงตาเป็นประกายทันที ยกนิ้วโป้งให้ฉินเฟย : “คุณผู้ชายคนนี้มีวิสัยทัศน์ ผมบอกแล้วไงว่าของชิ้นนี้เป็นของจริง สามแสน จะหลอกคนได้อย่างไร!”
ระหว่างที่พูด หันไปทางผู้หญิงที่กำลังร้องไห้คนนั้น : “ชดใช้เงิน สามแสน ห้ามขาดแม้แต่แดงเดียว”
“ไร้สาระ นายตัดสินใจยังไงว่าของชิ้นนี้เป็นของจริง? นายวิเคราะห์ให้ฉันฟังหน่อยสิ” เถ้าแก่คนหนึ่งที่อยู่รอบๆพูด
“ฉันว่าเด็กคนนี้เป็นไม้ค้ำยันที่ถูกเชิญมามากกว่ามั้ง?” มีคนพูดคาดเดา
สิ้นสุดเสียง คนมากมายต่างพยักหน้า สายตาที่มองมาทางฉินเฟยไม่เป็นมิตร ล้วนแล้วสรุปว่าฉินเฟยเป็นไม้ค้ำยันที่ถูกเคราแพะเชิญมา มาหลอกลวงคนโดยเฉพาะ!
“ไร้สาระ ฉันล้วนแล้วไม่รู้จักคุณผู้ชายท่านนี้ สิ่งที่ฉันขายล้วนแล้วเป็นของจริงที่เพิ่งขูดออกมา!” ชายเคราแพะพูดหักล้างด้วยความโกรธ
ฉินเฟยหัวเราะ ไม่ได้สนใจเสียงรอบข้าง มองเคราแพะและพูด : “สามแสนใช่ไหม? ผมซื้อ”
“ห๊ะ?”
คนที่มองอยู่รอบๆ และเถ้าแก่ต่างตกตะลึง!
ชายเคราแพะก็ตกตะลึงเช่นกัน!
เพราะว่าต่อให้ของชิ้นนี้เป็นของจริง แต่ว่าตอนนี้แตกหักไปบ้างแล้ว ต่อให้มีมูลค่าหนึ่งล้าน มันก็กลายเป็นมีค่าหนึ่งในสิบแล้ว สามารถซื้อในราคาหนึ่งแสนก็ไม่เลวแล้ว
ผู้หญิงด้านข้างก็ร้องด้วยความตกใจเช่นกัน มองฉินเฟยด้วยความอึ้ง เมื่อกี้เธอเพิ่งได้ยินคำพูดของคนรอบข้าง ก็คิดว่าฉินเฟยเป็นไม้ค้ำยันที่เคราแพะเชิญมา เพื่อหลอกเงินของเธอ
“คุณไม่ต้องทำให้สองแม่ลูกลำบากใจแล้ว ให้พวกเธอไปได้แล้ว แจกันลายครามนี้ผมซื้อแล้ว” ฉินเฟยยิ้มและพูด
“แน่ใจเหรอ? ได้ สามแสน คุณจ่ายมาก่อนผมค่อยให้พวกเธอไป” เคราแพะพูด
เขาไม่ใช่คนโง่ คนอื่นบอกว่าเขาและฉินเฟยสมรู้ร่วมคิด แต่เขาก็กังวลด้วยเหมือนกันว่าเด็กคนนี้มาที่นี่เพื่อช่วยสองแม่ลูกคู่นี้!
ถ้าหากปล่อยให้สองแม่ลูกคู่นี้ไป เด็กคนนี้หนีไปไม่จ่ายเงินจะทำยังไง?
“ได้”
ฉินเฟยจ่ายเงินสามแสนอย่างรวดเร็ว ชายเคราแพะยิ้มจนปากหุบเข้าด้วยกันไม่ได้ และแม่ลูกคู่นั้นก็ขอบคุณฉินเฟยอย่างมาก กระทั่งให้ลูกชายคุกเข่าขอบคุณฉินเฟย
คนรอบข้างชั่วขณะหนึ่งก็มีการชื่นชมมากขึ้น บอกว่าฉินเฟยหวังดี นี่คือตอนที่ช่วยแม่ลูกคู่นั้น : บางคนบอกว่าสิ่งที่ดูเหมือนไม่เหมือนอาจเป็นของจริงก็ได้ นอกจากนี้ยังมีมูลค่าอย่างมาก น้อยคนนักที่จะมองเห็นมูลค่าของมัน ท้ายที่สุดแล้ว บนโลกใบนี้มีคนดีไม่น้อย แต่คนดีที่สามารถเอาเงินสามแสนออกมาได้อย่างสบายๆ มีน้อยอย่างมาก เว้นแต่จะเป็นคนโง่!
และก็มีคนพูดว่าฉินเฟยเป็นคนโง่ คนโง่ที่มีเงินเยอะ!
“ฮ่าฮ่า คุณผู้ชายท่านนี้มีสายตาที่เฉียบแหลม มา ลองดูของสองชิ้นนี้ของผม ของเหล่านี้เป็นของโบราณที่เพิ่งถูกค้นพบได้ไม่นาน คุณซื้อไปก็ไม่ขาดทุน” เคราแพะพูดด้วยความตื่นเต้น เริ่มขายของอีกสองอย่าง
ฉินเฟยเพิกเฉยต่อเสียงกระซิบของคนที่อยู่ข้างๆ เขาเหลือบมองดาบสันโค้งด้านข้างด้วยดวงตาที่ไร้ร่องรอย เอื้อมมือหยิบขึ้นมา กลับสัมผัสได้ถึงความเย็นที่กัดเซาะกระดูกของดาบสันโค้งวิ่งเข้าสู่ร่างกาย
ฝ่ามือเย็นทันที คาดไม่ถึงว่าจะจับไม่อยู่

“ประธานเจียงทำงานรวดเร็วและเฉียบขาดจริงๆ ทำออกมาได้รวดเร็วขนาดนี้” เสิ่นเจียเหวินเป็นฝ่ายริเริ่มพูดก่อน “เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับบริษัทของคุณ แน่นอนว่าฉันไม่สามารถชักช้าได้”
เจียงเยว่ถงยิ้มหนึ่งที นำร่างสัญญาที่ทำเสร็จแล้วไปวางอยู่ต่อหน้าเสิ่นเจียเหวิน ในเวลาเดียวกันเอียงหัวมองดูฉินเฟยที่กำลังเอากาแฟนมาเสริฟ์อีกครั้ง : “ประธานเสิ่น ไม่ทราบว่าประธานฉินคนนี้คือ?”
จู่ๆเสิ่นเจียเหวินก็นึกขึ้นได้ ยึดร่างกายตรงแล้วแนะนำฉินเฟย : “ฉินเฟย ฉันขอแนะนำให้คุณรู้จักสักหน่อย ท่านนี้เป็นคุณหนูเจียงเย่วถงของตระกูลเจียง และเป็นประธานของบริษัทฉีแย ความสามารถโดดเด่นกว่าผู้คน เก่งอย่างมาก”
พูดจบจากนั้นชี้ไปทางฉินเฟยและแนะนำให้เจียงเยว่ถงรู้จัก : “ประธานเจียง นี่เป็นผู้ช่วยระดับสูงฉินเฟยที่ฉันเพิ่งรับมาใหม่ นักศึกษาดีเด่นด้านการเงิน มีความสามารถอย่างมาก เรื่องมากมายฉันทำไม่ทัน ล้วนแล้วมอบให้เขาเป็นคนจัดการแทน”
เสิ่นเจียเหวินพูดอย่างจริงจัง ฉินเฟยเป็นนักศึกษาดีเด่นด้านการเงินหรือไม่ เธอไม่รู้ แต่ว่าผู้ชายคนนี้ไม่ใช่คนที่มีความสามารถโดดเด่นกว่าผู้คนแน่นอน ฉินเฟยเรียกได้ว่าเป็นการเรียนรู้และขายของในยุคนี้ ล้วนแล้วเรียนรู้จากเธอทั้งหมด
แต่ในเมื่อเป็นการแนะนำ เธอเลยจำเป็นต้องพูดแบบนี้
“ที่แท้ท่านนี้ก็คือประธานเจียงของประธานบริษัทฉีแย ผมมักจะได้ยินเกี่ยวกับการทำงานของประธานเจียง ยินดีที่ได้รู้จักจริงๆ” ฉินเฟยแกล้งทำเป็นรู้จักเจียงเยว่ถงครั้งแรก ทันใดนั้นยื่นมือทั้งสองข้างออกไปอย่างเกินจริง ไม่รอให้เจียงเยว่ถงตอบสนองกลับมา ก็จับมือเล็กของเธออย่างกระตือรือร้น เขย่ามือแรง: “ว่ากันว่าเจียงหนานผลิตผู้หญิงที่สวย แต่ตระกูลเจียงไม่เพียงแต่ผลิตผู้หญิงสวยออกมา นอกจากนี้ยังเป็นผู้หญิงเก่ง ทั้งเก่งทั้งสวย”
“ชมเกินไปแล้ว” การแสดงออกของเจียงเยว่ถงประหลาดใจเล็กน้อย ภายในใจรู้สึกตลกมากกว่าเดิม กระทั่งถูกชมจนใบหน้ารูปไข่แดงเล็กน้อย
ถ้าหากเป็นคนอื่นพูดแบบนี้ก็แล้วไป สิ่งสำคัญคือคนที่ชมตัวเองยังเป็นสามีของตัวเอง สิ่งนี้ทำให้ภายในใจของเจียงเยว่ถงรู้สึกแปลกๆอย่างพูดไม่ถูก!
แต่งงานมาสามปี นี่เป็นครั้งแรกที่เธอค้นพบว่าฉินเฟยยังคงมีการแสดงแบบนี้ด้วย ถ้าหากไม่ใช่รู้ว่าคนนี้ก็คือสามีของตัวเอง จะต้องถูกทักษะการแสดงที่ยอดเยี่ยมของฉินเฟยหลอกแน่นอน
จับมือเสร็จเจียงเยว่ถงต้องการดึงมือเล็กออก กลับพบว่ามือทั้งสองข้างของฉินเฟยจับแน่นมาก และยังเขย่ามืออยู่ตรงนั้นอย่างกระตือรือร้น เหมือนตื่นเต้นจนลืมปล่อยมือ
ทุกอย่างดูเป็นธรรมชาติอย่างมาก เมื่อคนอื่นเห็นก็จะคิดว่าฉินเฟยรู้จักเจียงเยว่ถงหลังเวทีเท่านั้น ตื่นเต้นจนสูญเสียสติปัญญา
มีเพียงเจียงเยว่ถงคนเดียวที่รู้ เห็นได้ชัดว่าเจ้าหมอนี่จงใจลวนลามตัวเอง
เรื่องที่ฉินเฟยเป็นนักศึกษาดีเด่น ตอนที่พวกเธอแต่งงานกันก็รู้แล้ว เพียงแต่สิ่งที่ฉินเฟยเรียนไม่ใช่การเงิน แต่เป็นธุรกิจ
ฉินเฟยไม่กล้าทำเกินไป ในไม่ช้าก็ปล่อยมือเล็กของเจียงเยว่ถง และเสิ่นเจียเหวินก็หยิบร่างสัญญาที่เจียงเยว่ถงร่างขึ้นมา
“ประธานเจียง ความจริงใจของคุณมากเกินไปแล้วมั้ง? แบ่งกำไรมากขนาดนี้?” เสิ่นเจียเหวินอ่านสัญญาเสร็จ อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
แน่นอน ความร่วมมือครั้งนี้ของบริษัทฉีแยก็แค่เป็นการรับค่าธรรมเนียมเล็กน้อยเท่านั้น
“สามารถร่วมมือกับบริษัทของคุณได้ นี่ถือว่าเป็นเกียรติของฉัน” เจียงเยว่ถงยิ้มและพูด
มุมมองของเธอมองไกลอย่างมาก ไม่จำกัดเพียงความร่วมมือครั้งนี้เท่านั้น เพียงแค่ว่านเซียง มูวียังอยู่ในซงไห่ จะมีความร่วมมือมากขึ้นในอนาคต
เสิ่นเจียเหวินเหลือบมองเจียงเยว่ถงด้วยความชื่นชม ภายในใจนับถือเล็กน้อย
ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถทำเรื่องของการถอยแบบนี้ได้ ความกล้านั้นเพียงอย่างเดียวก็เพียงพอแล้วที่จะชื่นชม
เพียงแต่ แบบนี้ล่ะก็ โดยทั่วไปแล้วเจียงเยว่ถงทำกำไรได้ไม่มากเท่าไหร่
เสิ่นเจียเหวินอดไม่ได้ที่จะมองไปทางฉินเฟยที่ยืนอยู่ด้านข้าง ดวงตาเผยให้เห็นถึงการสอบถาม เซ็นหรือไม่เซ็น?
ภายในใจของฉินเฟยหมดคำพูด รีบตอบตกลงเซ็นก็พอแล้ว!
เพราะว่าการถอยของเจียงเยว่ถง ทำให้ความร่วมมือสำเร็จอย่างมีความสุข แน่นอน นี่เป็นเพียงร่างสัญญา การเซ็นสัญญาอย่างเป็นทางการเป็นพรุ่งนี้
เจียงเยว่ถงจากไปอย่างมีความสุข ในที่สุดฉินเฟยก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
หนีบอยู่ท่ามกลางระหว่างการแสดงของผู้หญิงฉลาดสองคน มันช่างเหนื่อจริงๆ!
เพียงแต่ในไม่ช้า มือถือของเขาดังขึ้น เจียงเยว่ถงเป็นคนส่งข้อความมา : “ฉันได้ยินประธานเสิ่นบอกว่าคุณสามารถเลิกงานได้แล้ว ฉันรอคุณที่ใต้ตึก!”
เจียงเยว่ถงเป็นผู้หญิงที่ฉลาดคนหนึ่ง อย่างที่คาดสังเกตเห็นความผิดปกติ
ภรรยาที่ฉลาดกำลังรออยู่ที่ใต้ตึก ภายในห้องสำนักงาน ดวงตาที่สวยงามคู่หนึ่งของเสิ่นเจียเหวิน ในดวงตาเต็มไปด้วยการบ่นพึมพำ กำลังมองตัวของฉินเฟยไปๆมาๆ
ฉินเฟยถูกมองจนขนลุกไปทั้งตัว รีบพูด : “เรื่องนี้คุณจำเป็นต้องเก็บเป็นความลับ คืนนี้คุณไม่ต้องทำโอทีแล้ว สามารถเลิกงานได้แล้ว”
“ขอบคุณประธานฉิน” เสิ่นเจียเหวินพูดด้วยน้ำเสียงแปลกๆ
ฉินเฟยตอบกลับหนึ่งที หนีไปอย่างรวดเร็ว
เสิ่นเจียเหวินอดไม่ได้ที่จะยิ้ม ปากเล็กพึมพำ : หนุ่มน้อยคนนี้ ช่างมีความหมายจริงๆ
ฉินเฟยรีบลงจากตึก อย่างที่คาดด้านนอกประตูตึกว่านเซียง มองเห็นเจียงเยว่ถงกำลังรอยู่
วันนี้เจียงเยว่ถงแต่งตัวได้สวยอย่างมาก ไม่ได้ใส่ชุดที่มีเสน่ห์ที่เธอชอบใส่ชุดนั้น กลับใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวทั้งตัว ข้างล่างใส่กระโปรงสีเข้มตัวหนึ่ง ใบหน้าสวย รูปร่างสง่างาม
“ฉันร่วมมือกับว่านเซียง กรุ๊ป คุณช่วยทำให้มันเกิดขึ้นใช่ไหม?” เจียงเยว่ถงถามตรงอย่างมาก
เจียงเยว่ถงฉลาดแค่ไหน เมื่อสงบลงมาก็สังเกตเห็นความผิดปกติทันที
เจียงเฉิงเย่มาว่านเซียง กรุ๊ป ปรากฏว่าถูกด่าให้เขาไสหัวออกไป แต่ตัวเองกลับเจรจาสำเร็จแล้ว ถ้าหากเรื่องนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับฉินเฟยแม้แต่นิดเดียว ตีจนเธอตายล้วนแล้วไม่เชื่อ!
“สายตาของภรรยาน่าทึ่ง ไม่ว่าเรื่องอะไรล้วนแล้วปิดบังคุณไม่ได้” ฉินเฟยหัวเราะแหะแหะและพูดอย่างประจบประแจง
“หยุดเลย!” เจียงเยว่ถงเหลือบมองเขาหนึ่งที หึและพูด : “พูดมา คุณมาว่านเซียง กรุ๊ปตั้งแต่เมื่อไหร่”
ระหว่างที่พูด เจียงเยว่ถงมองไปทางฉินเฟยด้วยสายตาจางๆ อ้าปากเล็กๆ : “คุณ…..ไม่ใช่ว่าคุณเป็นประธานลึกลับของว่านเซียง กรุ๊ปนะ?”
ภายในใจของฉินเฟยตะลึง แกล้งทำเป็นพูดไม่ออก : “ภรรยา คุณกล้าคิดจริงๆเลยนะ ถ้าหากผมเป็นประธาน ยังจะต้องให้คุณวิ่งขึ้นวิ่งลงอีกเหรอ ให้คุณไปเป็นคุณนายที่บ้านตั้งนานแล้ว”
“ฉันไม่อยากเป็นคุณนายอะไรนั่นหรอก!” เจียงเยว่ถงเหลือบมองฉินเฟยหนึ่งที ก็รู้สึกว่าสิ่งที่ตัวเองพูดเมื่อกี้โง่เขลาเล็กน้อย ฉินเฟยจะเป็นประธานว่านเซียง มูวีได้อย่างไร?
“คุณยังจำเพื่อนร่วมชั้นที่มีเงินของผมคนนั้นได้ไหม? เป็นเขาที่แนะนำให้ผมมาที่นี่ เขาอยู่ที่ว่านเซียงก็เป็นคนระดับสูงคนหนึ่ง” ฉินเฟยหัวเราะแหะแหะและพูด ในเวลาเดียวกันอดไม่ได้ที่จะมองร่างกายของเจียงเยว่ถงขึ้นๆลงๆ จะพูดแต่ก็หยุด
“มีอะไร? คุณมองอะไร?” เจียงเยว่ถงขมวดคิ้วทันที
“ผมได้ยินมาว่าแม่ยายให้พวกเราหย่ากัน ให้โจวเซี่ยงเฉียนไปสู่ขอคุณ นอกจากนี้เมื่อคืนเขาไปบ้านของคุณ พวกคุณ…..” ฉินเฟยพูดไม่จบ แต่ความหมายก็ชัดเจนอย่างมากแล้ว
เพียงแค่ภายในใจของเขาสงสัยเล็กน้อย เรื่องที่เจียงเยว่ถงไม่เคยถูกผู้ชายสัมผัสมาก่อน เขารู้อยู่แล้ว นอกจากนี้ตอนนี้ดูเหมือนว่า เจียงเยว่ถงเดินค่อนข้างปกตินิ…..
“ฉินเฟย! คุณกำลังคิดอะไรอยู่?” เจียงเยว่ถงเข้าใจทันที ดวงตาสวยเยือกเย็นทันที กระทืบเท้าอย่างโกรธเคือง : “คุณคิดว่าฉันเป็นคนยังไง?”
“ขอโทษ ขอโทษ เป็นความผิดผมเอง!” ฉินเฟยรีบขอโทษ แม้ว่าเจียงเยว่ถงไม่ได้พูดออกมาชัดเจน แต่ความหมายของเธอก็ชัดเจนอย่างมากแล้ว ฉินเฟยดีใจอย่างมาก
“รถของฉันถูกเสี่ยวเจี๋ยยืมไปแล้ว คุณส่งฉันไปที่บริษัท คืนนี้ฉันยังต้องทำโอที” เจียงเยว่ถงหึหนึ่งที สั่งอย่างโกรธเคือง
“ได้ได้”
“ใช่แล้ว อีกสองวันเป็นวันเกิดของคุณยาย คุณไปซื้อของขวัญที่ดีหน่อย ฉันเพิ่งโอนเงินเข้าไปในบัญชีของคุณห้าหมื่น สามารถร่วมมือกับว่านเซียงในครั้งนี้ได้ล้วนแล้วเป็นเพราะคุณ เงินห้าล้านที่คุณยืมมาก่อนหน้านี้จะคืนได้ในไม่ช้านี้แล้ว” เจียงเยว่ถงนั่งอยู่ข้างหลังรถและพูด น้ำเสียงเต็มไปด้วยความมั่นใจ
“ได้ อันที่จริงเพื่อนของผมไม่รีบใช้เงิน” ฉินเฟยตอบตกลงอย่างมีความสุข
แน่นอนเขาดีใจอยู่แล้ว เพราะว่าเขาเข้าใจเจียงเยว่ถง ใบหน้าของผู้หญิงคนนี้บางอย่างมาก คำพูดบางอย่างก็ไม่สะดวกพูดอกอมา และเธอบอกว่าให้ตัวเองไปซื้อของขวัญให้คุณยาย เห็นได้ชัดว่ายังยอมรับความสัมพันธ์ในฐานะสามีและภรรยาของพวกเขา
“คุณช่วยเร็วๆหน่อย ฉันกลับไปยังมีเรื่องต้องทำอีกเยอะ ถ้าหากชักช้า ฉันจะไม่จบไม่สิ้นกับคุณ” เจียงเยว่ถงเห็นว่ารถมอเตอร์ไซต์ไฟฟ้าช้ามาก อดไม่ได้ที่จะพูด
แต่ว่าเพิ่งสิ้นสุดเสียง เธอเริ่มเสียใจแล้ว! ฉินเฟยสารเลวคนนี้ คาดไม่ถึงว่าฉินเฟยจะขับรถมอเตอร์ไซต์ไฟฟ้าจนบินขึ้นมา!
ร่างกายของเจียงเยว่ถงแกว่งไปมา มือเล็ก ๆ กอดเอวของฉินเฟยตามสัญชาตญาณ
ร่างกายของฉินเฟยสั่น แต่งงานมาสามปีแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่มีการสัมผัสทางร่างกายอย่างใกล้ชิดกับเจียงเยว่ถง สัมผัสได้ถึงความอ่อนนุ่มข้างหลัง ฉินเฟยราวกับว่าเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ขับเร็วอย่างมาก
มือเล็ก ๆ ของเจียงเยว่ถงกอดเอวของฉินเฟยแน่น นี่เป็นครั้งแรกที่สังเกตเห็น อันที่จริงตัวเองไม่ได้รังเกียจผู้ชายคนนี้
ครั้งนี้ฉินเฟยช่วยงานใหญ่เธออีกครั้ง นอกจากนี้ฉินเฟยในตอนนี้ ก็ทำให้เธอเปลี่ยนมุมมองไปเยอะอย่างมาก
สิ่งที่เธอรังเกียจที่แท้จริง ฉินเฟยไม่มีความคิดที่จะก้าวหน้า วันๆไม่ทำอะไร เต็มไปด้วยความเกียจคร้าน
อันที่จริง ความต้องการของเธอกลับไม่สูง เพียงแค่มีผู้ชายคนหนึ่งทำดีกับเธอ ทำดีกับพ่อแม่ของเธอ มีน้ำใจก็พอแล้ว หาเงินได้เท่าไหร่ ไม่เป็นอะไรจริงๆ ต่อให้นั่งรถมอเตอร์ไซต์ไฟฟ้าทั้งวัน เธอก็ยินดีเช่นกัน

ประตูว่านเซียง มูวี มีบริษัทตระกูลมากมายมาเจรจาความร่วมมือ
และผู้ที่มาขอความร่วมมือ ล้วนแล้วเป็นตระกูลชั้นหนึ่งของเมืองซงไห่ แต่สิ่งที่คิดไม่ถึงคือ ตระกูลชั้นสองอย่างตระกูลเจียงแบบนี้ ก็มาขอความร่วมมือเช่นกัน ว่ากันว่า ก่อนที่ตระกูลเจียงจะส่งเจียงเฉิงเย่มา ล้วนแล้วถูกว่านเซียง มูวีขับไล่ออกมา คาดไม่ถึงว่ายังไม่ตายใจ จะส่งเจียงเยว่ถงมาขอความร่วมมืออีกครั้ง ยังขายหน้าไม่พออีกเหรอ?
เมื่อเวลาที่ทุกคนกำลังเฝ้าดูเรื่องตลกของเจียงเยว่ถง มีข่าวที่ทำให้ผู้คนตกใจได้แพร่กระจายออกมา คาดไม่ถึงว่าว่านเซียง มูวีร่วมมือกับตระกูลเจียงแล้ว!
เจียงเยว่ถงมีความสุขอย่างมาก รีบนำข่าวนี้ไปแจ้งให้พ่อแม่ทราบ พ่อมีความสุขมากและพูดให้กำลังเธอเยอะอย่างมาก ภาคภูมิใจอย่างมากที่มีลูกสาวเหมือนเจียงเยว่ถงแบบนี้
แม่เสิ่นหัวก็ดีใจอย่างมากเช่นกัน และพูด : “ฉันบอกแล้วไง เพียงแค่ขับไล่ตัวซวยคนนั้นออกไป โชคของบ้านพวกเราก็จะกลับมา!”
เจียงเยว่ถง : “……”
เจียงเยว่ถงทั้งเซอร์ไพรส์และมีความสุข เธอไม่เห็นประธานของว่านเซียง มูวีด้วยซ้ำ แต่เลขาของประธานบอกเธอว่า พรุ่งนี้ก็สามารถมาเซ็นสัญญาได้แล้ว
นอกจากนี้ในไม่ช้า รองประธานเสิ่นเจียเหวินของว่านเซียง มูวีมาพบเธออีกครั้ง ทั้งสองคุยกันอย่างมีความสุข นอกจากนี้เสิ่นเจียเหวินยังเสนอออกมา ว่านเซียง มูวีไม่เพียงแต่ร่วมมือกับตระกูลเจียง และยังต้องการร่วมมือกับบริษัทฉีแยที่เจียงเยว่ถงดูแลด้วย
ธุรกิจหลักของว่านเซียง มูวีเป็นการถ่ายทำภาพยนตร์ ทีวี และยังมีรายการบันเทิงต่างๆ แน่นอนต้องการเสื้อผ้าจำนวนมาก นอกจากนี้ยังเป็นเสื้อผ้าสั่งทำพิเศษ
และบริษัทฉีแยของเจียงเยว่ถงเป็นบริษัทเครื่องแต่งกาย
เจียงเยว่ถงตอบตกลงอย่างตื่นเต้น บอกว่าจะกลับไปบริษัทร่างสัญญาความร่วมมือที่เกี่ยวข้องทันที และหานักออกแบบของบริษัทเพื่อเจรจากับบุคลากรที่เกี่ยวข้องของว่านเซียง มูวี ทำแบบร่างให้เร็วที่สุดแล้วส่งไปที่โรงงานด้านล่าง เพื่อทำเครื่องแต่งกาย
เจียงเยว่ถงราวกับว่ากำลังฝัน ออกมาจากว่านเซียง มูวี รีบขับรถไปที่บริษัท
ห้องสำนักงานประธานชั้นสิบหกของว่านเซียง มูวี ฉินเฟยยืนอยู่หน้าหน้าต่างสูงจากพื้นจรดเพดาน มองดูร่างของเจียงเยว่ถงจากไปอย่างรวดเร็ว ภายในใจเจ็บปวดราวกับมีเข็มทิ่มแทงอยู่
ทำไมเจียงเยว่ถงถึงไม่ให้เวลาตัวเองอีกหน่อย?
หลังจากเสิ่นเจียเหวินรายงานเสร็จ ค่อย ๆ เปิดประตูสำนักงานและจากไป ดวงตาอดไม่ได้ที่จะมองไปที่ประธานฉินที่ยืนอยู่หน้าหน้าต่างสูงจากพื้นจรดเพดาน
แม้ว่าฉินเฟยจะไม่ไปพบเจียงเยว่ถงของตระกูลเจียงคนนี้ แต่สัญชาตญาณของผู้หญิงเฉียบแหลมอย่างมาก เธอรู้สึกว่าประธานฉินรู้จักเจียงเยว่ถง นอกจากนี้ยังมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดา เพราะว่าบริษัทเครื่องแต่งกายก่อนหน้านี้ที่ร่วมมือกับว่านเซียง มูวีมาตลอด ประธานฉินไม่ตอบตกลงต่อสัญญาต่อ เห็นได้ชัดว่ากำลังรอเจียงเยว่ถง
กระทั่งภายในใจของเธอมีการคาดเดา เมื่อวานที่ฉินเฟยใจลอย เกี่ยวข้องกับผู้หญิงสวยคนนี้หรือเปล่า…..
ตอนเย็น ว่านเซียงมูวี
หลังจากที่เจียงเยว่ถงกลับมาถึงบริษัทฉีแยด้วยความตื่นเต้น ยุ่งมาทั้งวัน ไม่เพียงแต่ร่างสัญญาระหว่างทั้งสองฝ่ายออกมา และแบบร่างการออกแบบของนักออกแบบก็ถูกร่างออกมาแล้วเช่นกัน
ตอนเย็นเธอไม่ทันกินข้าวด้วยซ้ำ อดใจรอไม่ไหวที่จะนั่งรถไปที่ว่านเซียง มูวี
แต่หลังจากที่เจียงเยว่ถงสอบถาม ทราบว่ารองประธานเสิ่นเจียเหวินไปที่ห้องสำนักงานประธานแล้ว นอกจากนี้เลขาของเสิ่นเจียเหวินเตือนเธอ เวลานี้ใกล้จะกินข้าวแล้ว น้อยอย่างมากที่ประธานเสิ่นจะออกไปกินข้าวข้างนอก ส่วนใหญ่อยู่ที่โรงอาหารชั้นยี่สิบของว่านเซียง มูวี
เจียงเยว่ถงพูดขอบคุณ รีบไป
ฉินเฟยเพิ่งถามเสิ่นเจียเหวินเกี่ยวกับเรื่องบางอย่าง ถึงเวลากินข้าว ทั้งสองคนนัดกันไปกินข้าวที่โรงอาหารชั้นยี่สิบ
ออกจากลิฟต์ ระหว่างที่ทั้งสองคนคุยไปด้วยพร้อมกับเดินไปห้องอารหารด้วย จู่ๆฉินเฟยก็สังเกตเห็นร่างที่คุ้นเคยร่างหนึ่ง
เจียงเยว่ถง!
ในเวลานี้เจียงเยว่ถงยืนอยู่ที่ประตูทางเข้าโรงอาหาร ถือกองเอกสารไว้ในอ้อมแขน มองซ้ายมองขวา เห็นได้ชัดว่ากำลังรอใครบางคน บังเอิญมองมาทางที่ทั้งสองคนกำลังเดินมา
สี่ตาประสานกัน!
เห็นได้ชัดว่าเขาก็มองเห็นสายตาของเจียงเยว่ถงแข็งทื่อเช่นกัน ใบหน้าสวยล้วนแล้วตกตะลึง ปากเล็กอ้าออกช้าๆ : “ฉินเฟย?”
แย่แล้ว!
ฉินเฟยแอบพูดในใจว่าแย่แล้ว
แม้ว่าตอนนี้เขาจะถูกไล่ออกจากตระกูลเจียง แต่สัญชาตญาณของฉินเฟยไม่ต้องการให้เจียงเยว่ถงรู้ถึงตัวตนของตัวเอง นอกจากนี้ ตอนนี้พวกเขายังไม่ได้หย่ากัน
ฉินเฟยรีบหุบปากไม่พูด นอกจากนี้ถอยไปอยู่ด้านหลังเสิ่นเจียเหวินครึ่งก้าวอย่างเงียบๆ
นี่คือข้อแตกต่างระหว่างเจ้านายกับระดับล่าง ระดับสูงเดินอยู่ด้านหน้า และระดับล่างต้องอยู่ข้างหลังอย่างน้อยครึ่งก้าว เพื่อแสดงความเคารพ
เห็นได้ชัดว่าเสิ่นเจียเหวินก็สังเกตเห็นความแปลกประหลาดของฉินเฟยเช่นกัน เงยหน้ามองไปทางเจียงเยว่ถงที่ยืนรออย่างใจจดใจจ่อที่หน้าประตูโรงอาหาร ภายในใจเข้าใจทันที
ในเวลาเดียวกันก็ยืนยันความสงสัยภายในใจของเธอ ประธานฉินรู้จักเจียงเยว่ถง นอกจากนี้ความสัมพันธ์ของทั้งสองไม่ธรรมดา
“อย่าเปิดเผยตัวตนของผม พูดไปเลยว่าผมเป็นเลขาผู้ชายของคุณ”
เสิ่นเจียเหวินมองดูฉินเฟยที่ประหม่าเล็กน้อย นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นประธานฉินเป็นสภาพแบบนี้ ยิ้มหวานหนึ่งที : “ผู้น้อยน้อมรับคำสั่ง”
ฉินเฟยกลอกตาหนึ่งที : “เชอะ!”
ทั้งสองคนเดินไปข้างหน้า เจียงเยว่ถงเข้ามาต้อนรับแล้ว เธอมองเห็นฉินเฟยขยิบตาให้ตัวเอง
สามปีที่อยู่ด้วยกันทั้งวันทั้งคืน เจียงเยว่ถงจะไม่เข้าใจได้ยังไง ฉินเฟยนี่เป็นการบอกให้ตัวเองแกล้งทำเป็นไม่รู้จักเขา
เจียงเยว่ถงคิดไม่ถึงเลยด้วยซ้ำ ว่าจะมาพบฉินเฟยที่นี่ นอกจากนี้ฉินเฟยกลายเป็นพนักงานของที่นี่แล้ว นอกจากนี้ยังยืนเคียงข้างกับรองประธานเสิ่นเจียเหวินด้วยกัน
ภายในใจของเจียงเยว่ถงมีความสงสัยมากมาย คิดว่าอีกสักพัก จะต้องจับตัวเขาแล้วสอบถามดีๆ!
“ประธานเสิ่น มารบกวนคุณอีกแล้ว” เจียงเยว่ถงเข้ามา พูดด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“พูดรบกวนทำไม นี่ล้วนแล้วเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลง ไปกันเถอะ ไปคุยที่ห้องสำนักงานของฉัน” เสิ่นเจียเหวินพูดอย่างเป็นกันเอง
“ไม่ดีกว่า ฉันรอประธานเสิ่นที่นี่ก็พอแล้ว รอให้คุณกินข้าวเสร็จแล้วค่อยคุยกันก็ไม่สาย” เจียงเยว่ถงมาขอความร่วมมือ นอกจากนี้ความร่วมมือนี้มีความสำคัญต่อบริษัทฉีแยอย่างมาก วางทัศนคติต่ำอย่างมาก
“กินข้าวอะไรกัน คุยงานสำคัญกว่า ฉันก็แค่คนทำงานคนหนึ่ง ต่อหน้าผู้แสวงหาผลประโยชน์ที่โหดร้าย เรื่องงานเป็นอันดับหนึ่ง กินข้าวนอนหลับล้วนแล้วอยู่ข้างหลัง” เสิ่นเจียเหวินยิ้มและพูด
ผู้แสวงหาผลประโยชน์ที่โหดร้าย?
ภายในใจของฉินเฟยหมดคำพูด
เจียงเยว่ถงกลับแสดงรอยยิ้มออกมา : “ประธานเสิ่นเป็นคนตลกจริงๆ”
โชคดีที่ตอนนี้เป็นเวลากินข้าว ในพื้นที่ทำงานไม่มีคนอยู่เลยด้วยซ้ำ ทั้งสามคนเดินมาถึงชั้นสิบสามอย่างรวดเร็ว สำนักงานรองประธานของเสิ่นเจียเหวิน
แต่ว่า เลขาหลิ่วเมิ่งของเสิ่นเจียเหวินกลับไม่ไปกินข้าว เมื่อเห็นฉินเฟยมา รีบก้มหน้าถามถ่าย : “ประธานฉิน ประธานเสิ่น”
ฉินเฟยกล้าตอบที่ไหนกัน ทำเป็นว่าไม่ได้ยิน ในเวลานี้เสิ่นเจียเหวินก็เพิ่งพาอาศัยได้เช่นกัน พยักหน้าและพูด : “คุณออกไปก่อน”
“อ้ออ้อ” หลิ่วเมิ่งมองฉินเฟยอย่างประหลาดใจ เมื่อเห็นใบหน้าที่มืดมนของฉินเฟย ภายในใจเต็มไปด้วยความกังวล แอบพึมพำกับตัวเอง ตัวเองทำอะไรผิดเหรอ?
แม้ว่าฉินเฟยจะแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน แต่เจียงเยว่ถงกลับได้ยินแล้ว เห็นได้ชัดว่าเมื่อกี้เลขาคนนี้เรียกฉินเฟยว่าประธานฉิน!
“ประธานฉิน?”
ภายในใจของเจียงเยว่ถงสงสัยมากกว่าเดิม ฉินเฟยคนนี้ ตกลงอยู่ในว่านเซียง มูวีมีตัวตนอะไรกันแน่?
“ประธานเจียง ไม่ต้องเกรงใจ เชิญนั่ง” มาถึงโซฟารับแขก เสิ่นเจียเหวินยิ้มหนึ่งที นั่งลงก่อน
และฉินเฟยก็มีสติอย่างมาก รีบไปที่เครื่องชงกาแฟและเทกาแฟสองแก้ว
“ขอบคุณ” ฉินเฟยถือกาแฟมา ผู้หญิงทั้งสองกล่าวขอบคุณอย่างสุภาพ
เสิ่นเจียเหวินมองไปทางฉินเฟยที่ยืนอยู่ด้านข้างอย่างไม่แสดงร่องรอย ภายในใจยิ้มอย่างขมขื่น ถ้าหากฉากที่ประธานเทกาแฟให้ตัวเองเป็นการส่วนตัว ถูกหลิ่วเมิ่งที่อยู่ด้านนอกมองเห็น จะไม่ตกใจจนหมดสติเหรอ?
“หวานเกินไป เปลี่ยนแก้วใหม่ให้ฉัน ไม่เอาน้ำตาล” เสิ่นเจียเหวินจิบหนึ่งคำ วางช้อนลง จากนั้นเงยหน้ามองไปทางเจียงเยว่ถง : “ของคุณหวานไหม?”
“ไม่หวาน ของฉันไม่ใส่น้ำตาล” เจียงเยว่ถงพูด เธอดื่มกาแฟไม่เคยใส่น้ำตาล ในจุดนี้ฉินเฟยก็รู้เช่นกัน
“ผมเปลี่ยนให้คุณอีกหนึ่งแก้ว” ฉินเฟยรีบรับแก้วกาแฟของเสิ่นเจียเหวิน ในเวลาเดียวกัน จ้องไปที่ผู้หญิงคนนี้อย่างไร้ร่องรอย ให้เธอรีบคุยเรื่องธุรกิจได้แล้ว คุยเสร็จก็รีบไป
เจียงเยว่ถงเป็นคนที่ฉลาดอย่างมาก เวลานานเข้า จะเปิดเผยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้!
ภายในใจของเสิ่นเจียเหวินสงสัยมากกว่าเดิม!
ฉินเฟยรู้ดีถึงนิสัยการดื่มกาแฟโดยไม่ใส่น้ำตาลในชีวิตประจำวันของเจียงเยว่ถงแบบนี้ เห็นได้ชัดว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองคนไม่ธรรมดาจริงๆ!

“ในที่สุดผมก็เจอคุณอีกแล้ว ผมหาคุณมาสี่ปีเต็มๆ บุญคุณในตอนนั้น ฉองหย่วนไม่เคยลืมเลย!” จางฉองหย่วนตื่นเต้นอย่างมาก น้ำตาไหลพราก
ช่วงเวลานี้ ทั่วทั้งโรงแรมเทียนเซียน ทุกคนต่างอ้าปากค้าง
ตกตะลึง!
ตกตะลึงอย่างสมบูรณ์!
เถ้าแก่ที่มีมูลค่าตัวเกือบหมื่นล้าน คาดไม่ถึงว่าจะคุกเข่าให้ลูกเขยที่แต่งเข้าบ้านที่ไร้ค่าคนหนึ่ง……
ฉินเฟยเลิกคิ้ว การแสดงออกกลับสับสนอย่างมาก
“ประธานจาง คุณเป็นอะไร? ทำไมถึงล้มล่ะ?” ฉินเฟยก้มลงไปพยุงเขาลุกขึ้นโดยสัญชาตญาณ กะพริบตาให้เขาอย่างไร้ร่องรอย
จางฉองหย่วนเข้าใจความหมายของเขาทันที รู้ว่าฉินเฟยไม่ต้องการเปิดเผยตัวตนของตัวเอง
“ฮ่าฮ่า อายุเยอะแล้ว ยืนไม่มั่นคงเล็กน้อย” จางฉองหย่วนหัวเราะ มองฉินเฟยหนึ่งที : “ต้องขออภัยด้วย ผมจำผิดคน”
“ซู……”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ แขกที่นั่งอยู่ต่างถอนหายใจยาวๆ
ที่แท้ยืนไม่มั่นคง
ใช่แล้ว ฉินเฟยคนนี้เป็นลูกเขยที่แต่งเข้าบ้านไร้ค่าของตระกูลเจียง จะรู้จักคนใหญ่คนโตอย่างประธานจางได้อย่างไร?
พายุลูกใหญ่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว และฉินเฟยกลับถูกจางฉองหย่วนดึงแขนด้วยความตื่นเต้น มาที่ห้องเพรสซิเดนเชียลสวีทที่ชั้นบนสุดของโรงแรมเทียนเซียง
ท่าทางที่ลุกลี้ลุกลน เหมือนสามีที่กลับมาบ้านหลังจากทำงานมาครึ่งปี ดึงเมียเข้าไปในบ้านแทบรอไม่ไหวที่จะขึ้นเตียงแล้ว…..
ในห้องเพรสซิเดนเชียลสวีทตกแต่งอย่างหรูหรา ใต้โคมระย้าคริสตัลสดใส ฉินเฟยและจางฉองหย่วนคุยกันเป็นเวลานาน
บนโต๊ะกาแฟคริสตัลตรงหน้า มีก้นบุหรี่ยี่สิบก้นในที่เขี่ยบุหรี่ ไวน์แดงก็ว่างเปล่าไปสองขวดแล้ว ปกติฉินเฟยดื่มเหล้าและสูบบุหรี่น้อยมาก แต่วันนี้เขาสูบไปไม่น้อย และดื่มไปไม่น้อยเช่นกัน
หนึ่งคือเจอเพื่อนเก่าแล้วมีความสุข สองคือเขาถูกขับไล่ออกจากตระกูลเจียง นอกจากนี้ยังทราบมาจากโจวลู่ โจวเซี่ยงเฉียนถูกเสิ่นหัวเชิญไปที่บ้านแล้ว
ทุกข์และสุขรวมกัน ฉินเฟยเมาอย่างรวดเร็ว
“กริ๊ง…..” ในเวลานี้ เสียงโทรศัพท์ของจางฉองหย่วนดังขึ้นหนึ่งที เป็นข้อความ
ข้อความเยอะอย่างมาก เต็มไปหมด ทั้งหมดล้วนแล้วเป็นข้อมูลที่เกี่ยวกับฉินเฟย
อาศัยความสามารถของเขา เพียงแค่รู้ว่าฉินเฟยอยู่ที่ไหน เกี่ยวกับเรื่องหลายปีที่ผ่านมาของฉินเฟย เขาตรวจสอบได้อย่างรวดเร็ว
เงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง ดวงตาของจางฉองหย่วนสับสน กัดฟันแน่น ในสายตาเต็มไปด้วยความเศร้าเล็กน้อย : “คุณชาย ต่อจากนี้คุณวางแผนจะทำยังไง?”
สิ่งที่เขาพูดถึงเป็นเรื่องของฉินเฟยกับตระกูลเจียง และยังมีก็คือตัวของฉินเฟยเอง ไม่สามารถเงียบแบบนี้ต่อไปได้อีกแล้ว เพียงแค่เขายินดี จางฉองหย่วนมอบโรงแรมเทียนเซียงให้เขาล้วนแล้วได้หมด
ฉินเฟยกลับส่ายหน้าเบาๆ : “คุณดื่มเหล้ากับผมก็พอแล้ว ผมมีแผนของตัวเอง…..”
……
และในเวลาเดียวกัน ในบ้านของเจียงเยว่ถงที่หมู่บ้านเทียนหลัน
หลังจากโจวเซี่ยงเฉียนอาบน้ำเสร็จ จากนั้นเริ่มล้างหน้าแปรงฟันที่อ่างล้างหน้า เห็นได้ชัดว่าคืนนี้จะค้างคืนที่นี่
เจียงเยว่ถงนั่งอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่น การแสดงออกเยือกเย็นเล็กน้อย
เจียงเยว่ถงรู้ความรู้สึกของโจวเซี่ยงเฉียนที่มีต่อตัวเอง โจวเซี่ยวเฉียนพัวพันกับเธอไม่ใช่แค่ปีสองปีแล้ว เมื่อสี่ปีก่อนหลังจากที่ตัวเองกลับมาจากเรียนหนังสือ รับช่วงดูแลบริษัทฉีแยของตระกูลเจียงที่งานเลี้ยง โจวเซี่ยงเฉียนก็แสดงออกมาอย่างเต็มที่แล้ว เพียงแต่ในเวลานั้นเธอทุ่มเททั้งกายและใจให้กับงานทั้งหมด
หลังจากนั้น ตัวเองเพราะว่าเรื่องของคุณพ่อ แต่งงานกับฉินเฟย
เดิมทีเจียงเยว่ถงคิดว่าแบบนี้ก็จบแล้ว แต่กลับไม่ใช่เลย การแต่งงานของสามปีที่ผ่านมา โจวเซี่ยงเฉียนกลับตามจีบตัวเองอย่างไม่ยอมแพ้
พูดตามตรง ถ้าหากไม่ใช่ฉินเฟย บางทีเจียงเยว่ถงอาจจะประทับใจต่อความหลงใหลที่โจวเซี่ยงเฉียนแสดงออกมา ท้ายที่สุดแล้วหลายปีที่ผ่านมาโจวเซี่ยงเฉียนชอบตัวเองมาโดยตลอด แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว ไม่ว่าตัวเองจะเต็มใจหรือไม่เต็มใจ ตัวเองเป็นผู้หญิงที่แต่งงานไปแล้ว
อย่างน้อยๆ ตอนนี้ตัวเองยังไม่ได้หย่ากับฉินเฟย
ตอนนี้เธอยังมีสามีอยู่ แนวคิดดั้งเดิมทำให้เจียงเยว่ถงรู้สึกรังเกียจกับการไล่ตามของโจวเซี่ยงเฉียนเล็กน้อย โดยเฉพาะหลังจากที่แม่เป็นฝ่ายริเริ่มเชิญเขามาที่บ้าน
โจวเซี่ยงเฉียนคาดไม่ถึงว่าจะตอบตกลงจริงๆว่าคืนนี้จะค้างคืนที่นี่ กระทั่งเมื่อกี้ตอนที่เขาเพิ่งอาบน้ำออกมา สายตาที่มองดูตัวเองนั้น!
แม้ว่าโจวเซี่ยวเฉียนจะปกปิดไว้อย่างดี แต่เจียงเยว่ถงเป็นใคร เห็นได้ชัดว่าเธอมองเห็นในสายตาของโจวเซี่ยงเฉียน ทั้งหมดเป็นเรื่องของผู้ชายและผู้หญิง ทำให้ความรังเกียจภายในใจของเธอเพิ่มมากกว่าเดิม!
The chanrm of heavenที่โจวเซี่ยงเฉียนมอบให้ตัวเองนั้นเธอชอบอย่างมาก เธอก็เคยคิดที่อยากจะหย่ากับฉินเฟย กระทั่งอยากจะลองเดทกับโจวเซี่ยงเฉียนสักหน่อย แต่นั่นจำเป็นต้องรอให้หลังจากตัวเองหย่ากับฉินเฟยแล้ว
เธอกลัวเล็กน้อย อยากจะออกจากบ้านหลังนี้ แต่ที่นี่เป็นบ้านของเธอนะ!
หลายปีมานี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกว่าบ้านของตัวเองน่ากลัว!
“ผมเอาไวน์แดงสองขวดมาด้วย ดื่มสักแก้วไหม?” ช่วงเวลาที่เจียงเยว่ถงกำลังคิดฟุ้งว่าน โจวเซี่ยงเฉียนเดินออกมา เขาฉีดน้ำหอม บนร่างกายสวมแค่เสื้อคลุมอาบน้ำหนึ่งตัว ทรงผมยังมีการหวีผมหน้าม้าเยิ้มๆคิดว่าตัวเองหล่อ
โจวเซี่ยงเฉียนเพียงแค่ทักทายเท่านั้น ไม่ต้องให้เจียงเยว่ถงตอบตกลง เขาหยิบแก้วไวน์สองใบและเดินมาพร้อมกับไวน์แดง ราวกับว่าเป็นบ้านของตัวเอง
เจียงเยว่ถงเหลือบมองโจวเซี่ยงเฉียนในชุดคลุมอาบน้ำ ราวกับว่ารอดื่มเหล้าไม่ไหวแล้ว ก็เพื่ออยากจะทำเรื่องชั่วร้ายเหล่านั้น
ภายในใจรังเกียจอย่างมาก ความตื่นตระหนกภายในใจรุนแรงมากกว่าเดิม
ในเวลานี้ เธอนึกถึงฉินเฟย กระทั่งอยากโทรศัพท์ให้ฉินเฟยรีบกลับมา
แต่พอเธอนึกถึงแม่ขับไล่ฉินเฟยออกไป ตัวเองจะมีหน้าอะไรให้เขากลับมา?
โดยเฉพาะในบ้านตอนนี้ ยังมีผู้ชายอีกคนหนึ่ง!
“คุณดื่มเองแล้วกัน ฉันเหนื่อยแล้ว จะไปนอนแล้ว คุณสามารถไปนอนที่ห้องของฉินเฟย หรือนอนที่โซฟาก็ได้” เจียงเยว่ถงพูดอย่างไร้อารมณ์ ลุกขึ้นแล้วไปที่ห้องนอนของตัวเอง และไม่วางแผนที่จะอาบน้ำ
ท้ายที่สุดแล้วเธอเป็นผู้หญิง กลัวเล็กน้อยจริงๆ!
“ยังไม่ดึกเท่าไหร่ ดื่มกับผมสักแก้วนะ” โจวเซี่ยงเฉียนลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว จับมือของเจียงเยว่ถงทันที
มือของเจียงเยว่ถงสั่น โจวเซี่ยงเฉียนรีบปล่อยมือ พูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความลึกซึ้ง : “เยว่ถง หรือว่าตอนนี้คุณยังไม่เข้าใจความรู้สึกของผมอีกเหรอ? ผมชอบคุณ ผมชอบคุณจริงๆนะ ผมรู้สึกว่าไม่มีคุณผมล้วนแล้วมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้
จู่ๆเจียงเยว่ถงก็รู้สึกตลกเล็กน้อย คำพูดแบบนี้ ก็แค่เอาไว้หลอกสาวน้อยเท่านั้น
“ฉันไม่รู้ว่าคุณไปเกลี้ยกล่อมอะไรแม่ของฉัน ให้คุณค้างคืนที่นี่ แต่ฉันขอให้คุณระวังกับคำพูดที่คุณพูดด้วย ตอนนี้ฉันเป็นผู้หญิงที่มีสามี” ตอนนี้เจียงเยว่ถงรังเกียจอย่างมากจริงๆ!
“ผู้หญิงที่มีสามีแล้วเป็นอะไร? ผมรักคุณตั้งแต่ตอนที่คุณยังไม่แต่งงานแล้ว ผมไม่มีทางยอมแพ้แน่นอน และยังมีอีก ฉินเทียนคนไร้ค่าคนนั้นมีดีอะไร? แม่ของคุณบอกแล้ว ในไม่ช้าก็จะให้พวกคุณหย่ากัน” โจวเซี่ยงเฉียนเดินเข้ามาใกล้สองก้าว พูดด้วยความตื่นเต้น
“หย่าหรือไม่หย่านั่นเป็นเรื่องของฉัน ฉันไม่เคยพูดว่าจะหย่ากับฉินเฟย และยังมีอีก ฉันไม่ชอบฉินเฟยจริงๆ แต่อย่างน้อยๆฉินเฟยดีกว่าคุณอยู่หนึ่งอย่าง” เจียงเยว่ถงพูดอย่างเย็นชา ใบหน้าราวกับน้ำแข็ง
“ดีตรงไหน? คนไร้ค่าคนนั้นดีกว่าผมตรงไหน?” “อย่างน้อยฉินเฟยให้เกียรติฉัน เพียงแค่เรื่องที่ฉันไม่เต็มใจ เขาไม่มีทางบีบบังคับให้ฉันไปทำ” เจียงเยว่ถงพูดเยาะเย้ย แม้ว่าฉินเฟยจะโง่ไปนิดหน่อย แต่อย่างน้อยๆในบ้าน เขาไม่มีทางลงไม้ลงมือกับตัวเอง อย่างน้อยๆเจียงเยว่ถงก็สามารถสบายใจได้
นอกจากนี้ แม้ว่าฉินเฟยจะไม่มีเงิน แต่ตอนที่ตัวเองกำลังตกอยู่ที่นั่งลำบาก ตอนที่ตัวเองถูกรังแก เขาล้วนแล้วสามารถยืนออกมาได้ ต่อให้ถูกคนอื่นหัวเราะเยาะ และกระทั่งถูกคนอื่นตบ!
“เห้อ เขาก็แค่คนไร้ค่าคนหนึ่ง จะกล้าบังคับให้คุณไปทำเรื่องอะไร?”
เจียงเยว่ถงไม่มีการตอบ และขี้เกียจตอบ หันตัวเดินเข้าไปในห้องนอน
“เยว่ถง ผมรักคุณ คุณตอบตกลงผมได้ไหม เป็นผู้หญิงของผมเถอะนะ…..” โจวเซี่ยงเฉียนกัดฟันแน่น ระหว่างที่พูดไปด้วยพร้อมกับพุ่งเข้าไป ทันใดนั้นเขาก็กอดเจียงเยว่ถงเอาไว้ มือข้างหนึ่งคล้องคอของเธอ กำลังจะจูบ
“โอ๊ย……ถอยไป คุณถอยไปเลยนะ……” เจียงเยว่ถงตกใจอย่างมาก เรื่องที่กังวลท้ายที่สุดยังคงเกิดขึ้นแล้ว เธอส่ายหัวอย่างแรงเพื่อป้องกันไม่ให้โจวเซี่ยวเฉียนทำสำเร็จ
อย่ามองว่าเจียงเยว่ถงเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง แต่ช่วงเวลาที่ระเบิดความโกรธ แรงกลับเยอะอย่างมาก ทันใดนั้น หลุดพ้นจากอ้อมกอดของโจวเซี่ยงเฉียน ทันใดนั้นง้างมือขึ้นอย่างโหดเหี้ยม
“เพียะ!”
เจียงเยว่ถงตบไปที่หน้าของโจวเซี่ยงเฉียนหนึ่งที แรงมหาศาลตบจนมือของเธอล้วนแล้วเจ็บเล็กน้อย
โจวเซี่ยงเฉียนเดินเซหนึ่งที ทันใดนั้นถูกตบจนมีสติ กุมหน้าและมองไปทางเจียงเยว่ถงด้วยสายตาแดง ภายในใจสั่น : “เยว่ถง เป็นความผิดผมเอง ผมผิดไปแล้ว เป็นเพราะผมใจร้อนเกินไป คุณให้อภัยผมได้ไหม เป็นความผิดผมเอง!”
โจวเซี่ยงเฉียนใจร้อนเกินไปแล้ว แต่ตอนนี้เขาไม่ใจร้อนไม่ได้ เพราะว่าตอนนี้เขาไม่เหลืออะไรอีกแล้ว กระทั่งสินสอดทองหมั้นสิบล้านเขาไม่มีเลยด้วยซ้ำ
ดังนั้นความคิดของเขาง่ายอย่างมาก ก็คือเอาร่างกายของเจียงเยว่ถงก่อน ดีที่สุดคือทำให้เธอตั้งท้อง
แต่เขาจะไปรู้ได้ยังไง เจียงเยว่ถงจะแข็งแกร่งขนาดนี้
“ออกไป!”
ตุ้ม!
สิ้นสุดเสียงของเจียงเยว่ถง ประตูห้องนอนถูกปิดอย่างแรง
โจวเซี่ยงเฉียนยิ้มอย่างขมขื่นด้วยความเศร้า ตอนนี้การกระทำของเขาได้กระตุ้นความรังเกียจของเจียงเยว่ถงอย่างมาก ชั่วขณะหนึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าควรจะกู้กลับยังไง แต่คืนนี้ทำไม่ได้แล้วแน่นอน
เขาสวมเสื้อผ้าของตัวเอง เพิ่งเปิดประตูออกจากบ้านแล้วกดลิฟต์ ประตูห้องนอนของเจียงเยว่ถงถูกเปิดออก เธอถือชุดเดรสสีดำอยู่ในอ้อมแขนของเธอ โยนไปที่ประตูอย่างแรง
“เอาของขวัญของคุณไปด้วย ไสหัวไปสะ!”
พูดจบ ประตูห้องนอนถูกปิดอย่างแรงอีกครั้ง
โจวเซี่ยงเฉียนก้มมองชุดเดรสที่อยู่บนพื้น ในดวงตาประหลาดใจเล็กน้อย ชุดเดรสชุดนี้ตัวเองไม่ใช่คนมอบให้ คิดว่าน่าจะเป็นผู้ชายคนอื่นมอบให้เธอ เจียงเยว่ถงโกรธจนสับสนหมดแล้ว
ชุดเดรสที่เคยใส่ไปแล้ว เขาก็ไม่ได้หยิบเหมือนกัน ขึ้นลิฟต์อย่างสิ้นหวังแล้วจากไปอย่างรวดเร็ว…..
…..
แปดโมงเช้ากว่าๆ เจียงเยว่ถงตื่นขึ้นอย่างง่วงนอน เมื่อคืนเธอตกใจอย่างมาก เที่ยงคืนค่อยนอนหลับ
เดินออกจากห้องนอนอย่างมึนงง เจียงเยว่ถงเหลือบมองขายาวขาวราวกับหิมะใต้ชุดนอนของตัวเอง ตกใจอย่างมาก
เตรียมจะกลับไปที่ห้องนอน ค่อยคิดขึ้นมาได้ว่าฉินเฟยไม่อยู่บ้าน
หลังจากอาบน้ำและแต่งตัวเล็กน้อย เจียงเยว่ถงกำลังนั่งอยู่บนโซฟา
เมื่อก่อน หลังจากที่ตัวเองตื่นขึ้นมา มีอาหารเช้าอุ่นๆรอเธออยู่แล้ว และฉินเฟยก็จะยื่นข้าวต้มข้าวฟ่างให้เธอหนึ่งถ้วย
กระเพาะของเธอไม่ดี เช้าของทุกวันฉินเฟยล้วนแล้วจะต้มข้าวต้มข้าวฟ่างให้เธอหนึ่งถ้วย
ฉินเฟยไม่อยู่บ้านหนึ่งวัน
เพราะว่าประสบกับเรื่องของเมื่อคืน จู่ๆเจียงเยว่ถงก็คิดถึงเล็กน้อย คิดถึงฉินเฟยที่อยู่บ้านมาสามปีล้วนแล้วไม่เคยเหลียวแล
ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเมื่อคืนเขานอนที่ไหน…..
สูดหายใจเข้าลึกๆหนึ่งที เจียงเยว่ถงก็ไม่ได้กินข้าวเช้าเหมือนกัน เก็บของสักพักแล้วออกจากบ้าน
วันนี้เธอยังมีเรื่องที่สำคัญอย่างมากต้องไปทำ……ไปเจรจาความร่วมมือที่ว่านเซียง มูวี!
เพียงแต่เธอก็รู้เช่นกัน แปดและเก้าในสิบเจรจาไม่สำเร็จ!

“ไอ้เย็ดแม่ง คนไร้ค่า แกกล้าตบฉันเหรอ? ฉันจะฆ่าแก!”
เจียงเฉิงเย่เต็มไปด้วยความโกรธ คิดไม่ถึงเลยด้วยซ้ำว่าไอ้คนไร้ค่าอย่างฉินเฟยคนนี้ จะกล้าลงมือ ดูเหมือนว่าจะส่งเสียงตะโกนหนึ่งที กระโดดขึ้นทันที พุ่งเข้าไปทางฉินเฟย!
ฉินเฟยลงมืออย่างรวดเร็ว รับหมัดของเจียงเฉิงเย่ทันที เหวี่ยงเขาไปด้านข้างโดยตรง
เมื่อก่อนตระกูลฉินเข้มงวดอย่างมาก ผู้หญิงในตระกูลล้วนแล้วจำเป็นต้องออกกำลังกายสร้างความแข็งแกร่ง และเด็กผู้ชายก็ต้องฝึกศิลปะการต่อสู้ด้วย ตอนที่ฉินเฟยอายุหกขวบ คุณปู่ให้หัวหน้ารักษาความปลอดภัยในตระกูลสอนศิลปะการต่อสู้ให้ตัวเอง ฝึกศิลปะการต่อสู้ทางทหาร ปกติชายหนุ่มสามสี่คนล้วนแล้วยากที่จะเข้าใกล้เขาได้
และเหล้าก็เข้าสู่ร่างกายของเจียงเฉิงเย่ตั้งนานแล้ว การต่อสู้ไร้วิธีการ ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฉินเฟยด้วยซ้ำ!
“ใครกล้าก่อเรื่องที่นี่? หยุดเดี๋ยวนี้!” ช่วงเวลาที่เจียงเฉินเย่กำลังบ้าคลั่ง เตรียมจะพุ่งเข้าไปอีกครั้ง จู่ๆ ชายวัยกลางคนในชุดสูทก็เดินขึ้นมาจากชั้นล่าง ด้านหลังมีชายฉกรรจ์สิบกว่าคนสวมชุดสีดำแขนสั้นเดินตามมา
ชายฉกรรจ์พุ่งเข้ามา จับตัวเจียงเฉินเย่ที่ตะโกนเสียงดังเอาไว้โดยตรง
เจียงเฉิงเย่ยังต้องการดิ้นรน กลับถูกชายฉกรรจ์คนหนึ่งกดแขนเอาไว้ ทันใดนั้นเจ็บปวดจนส่งเสียงร้อง
คนที่ถูกควบคุมตัวยังมีฉินเฟย เพียงแต่ฉินเฟยยืนอยู่กับที่ไม่ขยับ รปภ.เหล่านี้ก็ไม่ได้ทำอะไรเขา
“พวกแกจับฉันทำไม? แม่ง แกเป็นผู้จัดการใช่ไหม? แกรู้ไหมว่าฉันเป็นใคร? ฉันเป็นเจียงเฉิงเย่ของตระกูลเจียง แกไม่อยากมีชีวิตแล้วเหรอ? ปล่อยฉัน!” เจียงเฉิงเย่ถูกกดเอาไว้แต่ยังคงร้องอย่างหยิ่งผยอง
ผู้จัดการไม่สนใจเขา เหลือบมองผู้หญิงที่แผนกต้อนรับ สาวน้อยรีบกระซิบเกี่ยวกับสถานการณ์ที่นี่หนึ่งรอบ
ชายวัยกลางคนพยักหน้า พูดอย่างไม่แยแส : “ที่แท้เป็นคุณชายของตระกูลเจียง ขออภัยด้วย”
ภายในใจของผู้จัดการมีความลังเลเล็กน้อย กลับยังคงพูดออกมา : “คุณรู้ไหมว่าที่นี่เป็นที่ไหน? กล้าก่อความวุ่นวายที่นี่?”
“ฉันไม่ได้สร้างความวุ่นวายที่นี่นะ ฉันกำลังสั่งสอนหมาของตระกูลเจียงพวกเรา เขาคือฉินเฟย เป็นลูกเขยที่แต่งเข้าบ้านของตระกูลเจียงพวกเรา พวกแกมีสิทธิ์มายุ่งด้วยเหรอ?” เจียงเฉิงเย่หึหนึ่งที จากนั้นฟื้นฟูความหยิ่งผยองก่อนหน้านี้อีกครั้ง
สิ้นสุดเสียง เสียงกระซิบรอบข้างดังขึ้นเล็กน้อย การแสดงออกของหลายคนที่มองไปทางฉินเฟยเต็มไปด้วยเรื่องตลก พวกเขาล้วนแล้วเคยได้ยินมาว่าตระกูลเจียงมีลูกเขยที่ไร้ค่าคนหนึ่ง คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าคนนี้
“ฮ่าฮ่า เป็นเวลานานมากแล้วที่ไม่มีคนกล้าก่อความวุ่นวายที่นี่” ในเวลานี้ ชั้นบนมีเสียงของชายคนหนึ่งดังเข้ามา
ทุกคนมองไปตามเสียง เห็นชายวัยกลางคนคนหนึ่งเดินลงมาที่ประตูบันได
อายุโดยประมาณของผู้ชายห้าสิบกว่า ผมทั้งสองข้างเริ่มขาวแล้ว แต่มีส่วนสูงหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตร หลังตรง เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง
เขาสวมเสื้อขนสัตว์สีเทาธรรมดาตัวหนึ่ง มองดูแล้วธรรมดาอย่างมาก แต่ดวงตาทั้งสองลึก ให้ความรู้สึกของการครอบงำ
คนคนนี้ เป็นเจ้าของโรงแรมเทียนเซียง จางฉองหย่วน
“สวัสดีคุณลุงจาง”
“ที่แท้เป็นประธานจาง ธุรกิจกำลังเฟื่องฟู”
เมื่อเห็นจางฉองหย่วน คนที่กินอาหารอยู่ในภัตตาคารบางส่วนมาถามถ่ายทีละคน
“ฮ่าฮ่า ธุรกิจกำลังเฟื่องฟู ทุกคนกินให้อร่อย” จางฉองหย่วนประสานมือทั้งสองข้างเข้าด้วยกัน รีบไปหาแขกเพื่อตอบทีละคน
“บริการไม่ทั่วถึง ทุกคนโปรดให้อภัยด้วย”
“ไม่เป็นไรไม่เป็นไร พวกเราไม่เป็นอะไร ประธานจางไม่ต้องสนใจพวกเรา”
“ใช่แล้วใช่แล้ว” บางคนในร้านอาหารโบกมือทีละคน แสดงให้เห็นว่าไม่ใส่ใจ
อะไรคือคนใหญ่คนโต? นี่ก็คือคนใหญ่คนโต!
เมื่อผู้จัดการเห็นเถ้าแก่มา น้ำเสียงก็แข็งขึ้นมาเล็กน้อย เหลือบมองฉินเฟยหนึ่งที จากนั้นมองไปทางเจียงเฉิงเย่อีกครั้ง : “คุณผู้ชายท่านนี้ พูดกับคุณสามเรื่อง ข้อแรก : ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร กล้ามาก่อความวุ่นวายที่นี่ ผมก็จะโยนคุณออกไป!
ข้อสอง : เรื่องของบ้านต้องไปจัดการที่บ้าน อยู่ที่นี่ของพวกเรา ไม่ได้!
ข้อสาม : ขอให้คุณพูดจาเกรงใจหน่อย!
สิ้นสุดเสียง บอดี้การ์ดที่กดแขนของเจียงเฉิงเย่กดแขนลงไปอีกครั้ง ทันใดนั้นเจ็บจนเจียงเฉิงเย่ส่งเสียงกรีดร้องออกมา นี่คือโรงแรมเทียนเซียง คนที่กล้ามาสร้างความวุ่นวายที่นี่ ดูเหมือนว่าจะไม่มี! ใครจะไปคิด เถ้าแก่จางฉองหย่วนของโรงแรมเทียนเซียง เป็นผู้ที่อยู่ในสังคมอันธพาล ไม่มีใครกล้ามาก่อความวุ่นวายที่นี่!
เจียงเฉิงเย่มองเห็นจางฉองหย่วน ทันใดนั้นสมองก็ตื่นขึ้นมาเล็กน้อย ตกใจจนรีบก้มหน้าลง เหงื่อบนใบหน้าใหลออกมาอย่างต่อเนื่อง นั่นเป็นถึงจางฉองหย่วนเลยนะ
ฉินเฟยเหลือบมองจางฉองหย่วนหนึ่งที ก็รีบก้มหน้าลงเช่นกัน แต่ก็ไม่มีใครสนใจ
แต่ฉินเฟยกลับไม่ได้กลัวเขา แต่เป็นเพราะรู้จักจางฉองหย่วน เพราะว่าเมื่อหลายปีก่อน พวกเขาเคยเป็นเพื่อนเก่ากัน
จางฉองหย่วนเริ่มก่อตั้งธุรกิจด้วยวัยสี่สิบห้าปี ตอนนั้นเขาเป็นแค่อันธพาลเล็กๆคนหนึ่งเท่านั้น นำพี่น้องกลุ่มหนึ่งทำธุรกิจรื้อถอน ถือได้ว่าเป็นคนตัวเล็กที่ไม่สำคัญอะไร
ต่อมาการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ จางฉองหย่วนต้องการใช้โอกาสนี้ขึ้นฝั่ง ตั้งบริษัทเพื่อทำธุรกิจ แต่เขาหนึ่งไม่มีเงินสองไม่มีอำนาจ ตอนนั้นเขาไปคุยธุรกิจที่ตระกูลฉิน ตระกูลฉินไม่มีใครสนใจเขาเลยด้วยซ้ำ
ตอนนั้นฉินเฟยอายุยังน้อย อายุสิบหกปีพอดี แต่เขารู้สึกว่า จางฉองหย่วนคนนี้ไม่เลว เขาชอบอย่างมาก จางฉองหย่วนไม่เพียงแต่มีสมอง นอกจากนี้เป็นคนที่ภักดีอย่างมาก ดังนั้นแม้พี่น้องที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของเขาจะลำบาก กลับยินดีติดตามเขา
ฉินเฟยในวัยสิบหกปี ตอนนั้นก็ชอบความเป็นพี่น้องที่ชอบทำสวนทางกับสังคมเช่นกัน ดังนั้นจึงตัดสินใจลงทุนห้าแสนกับเขาเป็นการส่วนตัว นอกจากนี้ยังให้พ่อสร้างสายสัมพันธ์ให้จางฉองหย่วน ก่อตั้งบริษัท
ในเวลานั้น จางฉองหย่วนซาบซึ้งใจอย่างมาก
เพียงแต่ต่างจากจางจงเยว่ ตอนนั้นฉินเฟยเพียงแค่สนับสนุน หรือพูดได้ว่าเป็นการช่วยเหลือ เขาไม่ต้องการหุ้นส่วนเลยด้วยซ้ำ หลังจากที่ตระกูลฉินล้มลง เขาก็ไม่ได้สนใจคนที่ตัวเองเคยช่วยเหลือคนนี้อีกต่อไป
สุดท้ายแล้ว ตัวเองล้วนแล้วช่วยตัวเองไม่ได้แล้ว
หลายปีผ่านไป ตอนนี้เจอจางฉองหยวนอีกครั้ง คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะประสบความสำเร็จแล้ว กลายเป็นเถ้าแก่ของโรงแรมเทียนเซียง
ตัวเองมองไม่ผิดคนเลยจริงๆ
ผู้จัดการเห็นจางฉองหย่วนเดินเข้ามา รีบกระซิบพูดข้างหูของเขาหลายประโยค
จางฉองหย่วนพยักหน้า เหลือบมองเจียงเฉิงเย่หนึ่งที ส่งสัญญาณให้บอดี้การ์ดปล่อยเขา
จากนั้นมองไปทางฉินเฟย ตะลึงเล็กน้อย ขมวดคิ้วเบาๆสักพัก
“น้อง…..น้องชายท่านนี้ สามารถเงยหน้าขึ้นได้ไหม?” น้ำเสียงของจางฉองหย่วนตะลึงเล็กน้อย มองดูฉินเฟยขึ้นๆลงๆ ภายในใจเต็มไปด้วยความตื่นเต้น การแสดงออกจริงจังอย่างมาก
แขกที่ดูอยู่รอบๆ ก็ตกตะลึงเช่นกัน พวกเขาไม่เคยเห็นจางฉองหย่วนเป็นแบบนี้มาก่อน เพียงแต่คนส่วนใหญ่ล้วนแล้วคิดว่าลูกเขยที่แต่งเข้าบ้านของตระกูลเจียงคนนี้ เดาว่าน่าจะมีตรงไหนสักแห่งทำให้จางฉองหย่วนขุ่นเคือง
ตอนนี้มีเรื่องสนุกๆให้ดูแล้ว!
คนที่คิดแบบนี้ยังมีเจียงเฉิงเย่ ในเวลานี้เจียงเฉิงเย่ถูกบอดี้การ์ดปล่อยตัวแล้ว รีบวิ่งไปอยู่ต่อหน้าจางฉองหย่วน
“ไอ้คนไร้ค่า ให้แกรีบเงยหน้าขึ้นแกก็รีบเงยหน้าขึ้นมาสิ แม่ง ยังจะชักช้าอยู่ทำไม? คนไร้ค่าก็ยังเป็นคนไร้ค่าวันยันค่ำ ตอนนี้แกรู้จักขายหน้าแล้วเหรอ?”
เจียงเฉิงเย่ชี้ไปทางฉินเฟยและดุด่า จากนั้นมองไปทางจางฉองหย่วนอย่างประจบประแจง : “ประธานจาง คนคนนี้เป็นลูกเขยที่แต่งเข้าบ้านของตระกูลเจียงของผม เป็นคนไร้ค่าคนหนึ่ง ชอบสร้างปัญหา ผมไม่ได้ตั้งใจก่อความวุ่นวายที่นี่ของคุณจริงๆ ผมก็แค่อยากสั่งสอนคนไร้ค่าคนนี้สักหน่อย ผม…..”
“ถอยไป!” จางฉองหย่วนจ้องเจียงเฉิงเย่ ตะคอกหนึ่งที
น้ำเสียงเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง ตะลึงจนหัวของเจียงเฉิงเย่มีเสียงดังหึ่งหึ่ง ตกใจจนเขาตัวสั่นทั้งตัว ไม่กล้าผายลมแม้แต่นิดเดียว ดึงเลขาเสี่ยวซวงจากไปอย่างรวดเร็ว
จางฉองหย่วนไม่สนใจเจียงเฉิงเย่ ดวงตาของเขามองลึกไปที่ฉินเฟยที่อยู่ตรงหน้า เขาไม่อยากจะเชื่อ! ไม่อยากจะเชื่อว่าชีวิตนี้ของตัวเอง ยังจะสามารถเจอชายหนุ่มคนนี้อีก!
สิบปีก่อน เขาเตรียมก่อตั้งธุรกิจ แต่ว่าเงินทุนของตัวเองไม่พอ และไม่มีสายสัมพันธ์อะไร ไม่มีใครยินดีที่จะสนใจเขา เป็นคุณชายใหญ่ของตระกูลฉิน ชายหนุ่มในวัยสิบหกปี ไม่เพียงแต่ให้เงินเขาฟรีๆห้าแสน และยังหาคนปูทางให้เขา
หนี้บุญคุณนี้ ไม่กล้าลืมเป็นอันขาด!
หลายปีมานี้ประสบความสำเร็จ แน่นอนจางฉองหย่วนก็รู้เรื่องที่ตระกูลฉินล่มสลายเช่นกัน แต่ว่าหลังจากที่เขาสอบถามกลับรู้ว่า ตระกูลฉินที่ล่มสลายแยกครอบครัวแล้ว ครอบครัวของฉินเฟยกลับไม่ได้รับส่วนแบ่งอะไรเลย และไม่รู้ว่าไปที่ไหนแล้ว
ตอนนี้แม้ว่าจะผ่านไปสิบปีแล้ว รูปร่างหน้าตาของคนก็เปลี่ยนไปบ้างเล็กน้อย แต่เขามองแค่ครั้งเดียว ก็จดจำขึ้นมาได้ทันที
“คุณชายใหญ่ ใช่คุณไหม…..”
น้ำเสียงของจางฉองหย่วนสั่นเล็กน้อย เขามีน้ำใจและศีลธรรม ต้องการตอบแทนบุญคุณตลอด หลายปีมานี้ ฉินเฟยคือความกังวลและเป็นห่วงพะวงที่ใหญ่ที่สุดของเขา เขากลัวว่าคุณชายใหญ่จะอยู่อย่างลำบาก
ฉินเฟยอยู่ลำบากอย่างมาก คำพูดของผู้จัดการและเจียงเฉิงเย่เมื่อกี้เขาได้ยินหมดแล้ว คาดไม่ถึงว่าคุณชายใหญ่จะไปเป็นลูกเขยที่แต่งเข้าบ้านของตระกูลเจียง!
และคนโง่เขลาอย่างเจียงเฉิงเย่แบบนี้ ล้วนแล้วกล้าตะโกนใส่คุณชายใหญ่ ลงมือตบตีดุด่า!
เมื่อได้ยินคำเรียกคุณชายใหญ่ ฉินเฟยก็รู้ว่าตัวเองถูกจดจำได้แล้ว
“ตุ้มตั้ม!”
และในเวลานี้ เอวตรงของจางฉองหย่วนงอลงเล็กน้อย ทันใดนั้นร่างสูงร้อยแปดสิบเซนติเมตรก็คุกเข่าลงกับพื้น!

โรงแรมเทียนเซียง เป็นโรงแรมที่มีชื่อเสียงอย่างมากในเมืองซงไห่
เจ็ดแปดปีก่อน ที่นี่เคยเป็นโรงน้ำชา ชื่อว่าโรงน้ำชาเทียนเซียง คนใหญ่คนโตคุยธุรกิจล้วนแล้วมาที่นี่ มีชื่อเสียงอย่างมาก ต่อมาถูกคนใหญ่คนโตจางฉองหย่วนซื้อ เปลี่ยนเป็นโรงแรม
เพราะว่าเถ้าแก่จางฉองหย่วนเป็นคนใหญ่คนโตที่เดินทั้งสายมืดและสายขาว ไม่มีใครกล้าหาเรื่องที่นี่เลยด้วยซ้ำ ภายในห้องส่วนตัวของโรงแรมก็ไม่มีใครกล้าใส่เครื่องดักฟัง กล้องแอบถ่ายและอื่นๆ ความปลอดภัยสูงมาก ดังนั้นคนมากมายล้วนแล้วยินดีที่จะมาคุยธุรกิจและกินดื่มที่นี่
แน่นอน ค่าใช้จ่ายของที่นี่ก็ไม่ได้สูงเหมือนทั่วไป เริ่มต้นที่สองพันต่อคน
ภายในห้องส่วนตัวของโรงแรม มีเสียงหัวเราะของหญิงสาวดังออกมาเป็นครั้งคราว ถ้าหากมีใครเห็นสาวสวยสองคนในห้องส่วนตัว จะต้องตะลึงอย่างมากแน่นอน ก็คือเสิ่นหลิงเอ๋อร์และยังมีอาสาวคนเล็กเสิ่นเจียเหวินของเธอ
หลายวันมานี้เสิ่นหลิงเอ๋อร์ก็ตั้งใจอย่างมาก ทุกวันล้วนแล้วฝึกฝนอยู่ที่บริษัทจนดึกอย่างมาก หลังจากที่ฉินเฟยกลับไปที่บริษัทเจอเสิ่นเจียเหวิน ทั้งสามคนนัดออกมากินข้าวที่นี่
ตาต่อตา ฟันต่อฟัน ของหลายวันก่อน ตอนนี้ทั้งสามคนกลายเป็นเพื่อนกันแล้ว เสิ่นหลิงเอ๋อร์อยู่ต่อหน้าฉินเฟยก็ไม่ได้ทำตัวฮึกเหิมและทำตัวเหนือกว่าเหมือนก่อนหน้านี้ กระทั่งภายในใจรู้สึกขอบคุณฉินเฟยและไม่มีการถือสา
ไม่อยู่บริษัท ก็ไม่มีความสัมพันธ์ของการแบ่งแยกระดับชนชั้น เพราะว่าฉินเฟยและเสิ่นหลิงเอ๋อร์เป็นเพื่อนร่วมชั้น กระทั่งเขายังเรียกเสิ่นเจียเหวินว่าอาสาวคนเล็ก เรียกจนใบหน้าไข่ของเสิ่นเจียเหวินแดงเล็กน้อย แถมยังบ่นฉินเฟยว่าเรียกเธอแก่ไปแล้ว!
สิ้นสุดเสียงของเสิ่นเจียเหวิน ทั้งสามคนหัวเราะเสียงดัง
ไม่พูดไม่ได้ เสิ่นเจียเหวินสวยเกินไปแล้วจริงๆ ไม่มีความอ่อนเยาว์ในวัยเด็กของเสิ่นหลิงเอ๋อร์แล้ว มีเพียงความเป็นผู้หญิงที่เป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ราวกับลูกท้อที่สุกเต็มที่แล้ว
แม้ว่าทั้งสามคนจะคุยอย่างมีความสุข แต่ฉินเฟยเอาแต่คิดถึงเจียงเยว่ถงเป็นครั้งคราว นึกถึงใบหน้าของเสิ่นหัวตอนที่ไล่ตัวเองออกจากบ้าน ภายในใจเต็มไปด้วยความขมขื่น
ฉินเฟยออกจากห้องส่วนตัวไปที่ห้องน้ำ
“เอ๋ ฉินเฟยไม่ใช่เหรอ? คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมาสถานที่แบบนี้?” เพิ่งออกจากห้องส่วนตัว จู่ๆก็มีเสียงแสบหูที่คุ้นเคยดังขึ้น
คนที่พูด ก็คือโจวลู่ คืนนี้บริษัทของเธอมีงานเลี้ยงอาหารค่ำ กลับคิดไม่ถึงเลยว่าในสถานที่ระดับไฮเอนด์แบบนี้ จะเจอฉินเฟยคนไร้ค่าคนนี้
ระหว่างที่พูด โจวลู่อดไม่ได้ที่จะมองซ้ายมองขวาหลายที คิดว่าฉินเฟยกำลังท่านอาหารเย็นกับเพื่อนคนรวยอะไรอยู่บ้าง ไม่อย่างนั้นอาศัยรูปร่างที่ยากจนของเขาแบบนี้ จะสามารถมาสถานที่ระดับไฮเอนด์แบบนี้ได้อย่างไร
“เธอไม่พูดไม่มีใครคิดว่าเธอเป็นใบ้!” ฉินเฟยขมวดคิ้วและพูด วันนี้เขาอารมณ์ไม่ดีอย่างมาก ไม่อยากสนใจผู้หญิงปากร้ายคนนี้
“เอ๋ ปีกแข็งแล้วเหรอ คนไร้ค่าคนหนึ่งกล้าพูดแบบนี้กับฉัน” โจวลู่หัวเราะเยาะหนึ่งที ราวกับว่าจู่ๆก็นึกขึ้นได้ : “อ้อ ฉันรู้แล้ว นายถูกภรรยาของนายไล่ออกจากบ้านแน่เลยใช่ไหม? ในที่สุดก็จะหย่ากันแล้ว? ฮ่าฮ่า ดีมากเลย!”
ฉินเฟยเดินไปทางห้องน้ำ ทำเหมือนกับว่าไม่ได้ยิน
“ฉินเฟย เห็นแก่หลายปีที่ผ่านมานายเอาน้ำล้างเท้ามาให้ฉัน เอาแบบนี้ฉันจะบอกเรื่องหนึ่งกับนาย หลังจากที่นายถูกไล่ออกมา แม่ยายของนายเชิญโจวเซี่ยงเฉียนไปที่บ้านของนายทันที ตอนนี้เกรงว่าทั้งสองคน……”
ก้าวเดินของฉินเฟยหยุดทันที หันหัวกลับมาอย่างรวดเร็ว จ้องมองใบหน้าที่เย่อหยิ่งและได้ใจของโจวลู่
ฉินเฟยดูเหมือนว่าจะพูดออกมาทีละคำ : “เธอพูดอะไรนะ?”
“ฉันพูดอะไรนายฟังไม่รู้เรื่องเหรอ? คนไร้ค่าก็คือคนไร้ค่า ล้วนแล้วถึงเวลาแบบนี้แล้วยังไม่รู้เรื่องอีก? โจวเซี่ยงเฉียนไปที่บ้านของนายแล้ว ถ้าหากเดาไม่ผิด เดาว่าคืนนี้เขาน่าจะค้างคืนที่นั่น……” ใบหน้าของฉินเฟยเยือกเย็นจนทำให้คนตกใจ โจวลู่กลับไม่กลัวแม้แต่นิดเดียว หัวเราะอย่างเย็นชาต่อเนื่อง ใบหน้าเต็มไปด้วยการเยาะเย้ย
ภายในใจของฉินเฟย บีบแน่นขึ้นมาทันที! ในหัวมีแต่คำพูดเหล่านั้นก้องอยู่ โจวเซี่ยงเฉียนถูกเสิ่นหัวเชื้อเชิญไปที่บ้านแล้ว นอกจากนี้คืนนี้จะค้างคืนที่บ้าน…..
เขารู้สึกเจ็บหน้าอกอย่างมาก เจ็บจนหายใจไม่ออกเล็กน้อย ราวกับว่ามีคนเอาผ้าขนหนูมาบิดเอาไว้แน่นๆ
แต่สิ่งที่บิดออกมาจากผ้าขนหนูเป็นน้ำ และเขา สิ่งที่ไหลออกมากลับเป็นเลือด!
เขาหุนหันพลันแล่นหลายครั้ง อยากพุ่งกลับไปที่บ้าน แต่พอนึกย้อนหลัง กลับไปบ้านแล้วมีประโยชน์อะไร?
เขาเดินโซเซหลายก้าว ล้วนไม่รู้ว่ากลับถึงห้องส่วนตัวยังไง…..
เสิ่นเจียเหวินมองเห็นความคิดในใจของฉินเฟยตั้งนานแล้ว ใจลอย หยุดไม่ให้เสิ่นหลิงเอ๋อร์ถามออกมา กล่าวทักทายแล้วพาเธอกล่าวอำลาจากไป
ฉินเฟยนั่งอยู่ในห้องส่วนตัวที่เงียบเชียบ โทรศัพท์ในกระเป๋าดังขึ้นอย่างกะทันหัน ‘กริ๊ง’ ดังหนึ่งที
ฉินเฟยตื่นตระหนก ยังคิดว่าเจียงเยว่ถงส่งข้อความมาให้แล้ว รีบหยิบออกมาดู กลับเป็นเสิ่นเจียเหวินส่งมา
“น้อยอย่างมากที่ฉันจะนอนก่อนเที่ยงคืน ถ้าหากคุณยินดี ฉันสามารถเป็นผู้ฟังคนนี้ได้ ที่บ้านมีแค่ฉันคนเดียว และมีเหล้า”
ฉินเฟยส่งไปหนึ่งประโยค ‘ขอบคุณ’ จากนั้นเก็บมือถือ เงยหน้าขึ้น ใบหน้าดูสับสนเล็กน้อย
เขาเป็นลูกเขยที่แต่งเข้าบ้านมาสามปี อาศัยอยู่ที่บ้านของเจียงเยว่ถงตลอด ตอนนี้เขาถูกไล่ออกมา ชั่วขณะหนึ่งไม่มีที่ให้ไป
เดินออกจากห้องส่วนตัวด้วยความสับสน ไปชำระเงินที่แผนกต้อนรับ ฉินเฟยค่อยรู้ว่าเสิ่นเจียเหวินชำระเงินไปแล้ว
ฉินเฟยหันตัวเตรียมตัวจากไป กลับชนเข้ากับตรงหน้าที่อ่อนนุ่มอย่างหนึ่ง
“โอ๊ย ขอโทษขอโทษ…..”
ฉินเฟยเคลื่อนไหวช้าๆ เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายเร่งรีบเกินไป เป็นเสียงของผู้หญิงคนหนึ่ง
“ผมต่างหากที่เป็นคนผิด” ฉินเฟยเหลือบมองหญิงสาวด้วยรอยยิ้มที่ขมขื่น หญิงสาวค่อนข้างเงียบ และเป็นฝ่ายริเริ่มขอโทษ เขาก็ไม่ใส่ใจเช่นกัน
แต่ว่า เมื่อฉินเฟยมองเห็นผู้ชายที่อยู่ข้างกายเธอ ขมวดคิ้วทันที
เจียงเฉิงเย่?
เจียงเฉิงเย่ก็คิดไม่ถึงเช่นกัน ตัวเองเพิ่งเชื้อเชิญเลขาคนใหม่ของบริษัทตัวเองออกมาทานข้าว ก็มาเจอคนไร้ค่าฉินเฟยที่นี่ ใบหน้าเยือกเย็นทันที
เขายังไม่ลืมการนัดประชุมของตระกูลเมื่อวานซืน ไอ้โง่คนนี้บอกว่าชุดของตัวเองเป็นของปลอม ทำให้ตัวเองไม่สามารถเงยหน้าต่อหน้าคนของตระกูลได้
“ทำไมถึงเป็นคนไร้ค่าแกคนนี้?” เจียงเฉิงเย่พูดเยาะเย้ย หันหัวไปมองหญิงสาวหนึ่งที : “คุณไปขอโทษคนไร้ค่าคนนี้ทำไม? คนที่ควรขอโทษเป็นเขา!”
ฉินเฟยเหลือบมองเจียงเฉิงเย่ที่หยิ่งผยอง ไม่มีอารมณ์ไปสนใจเขา โค้งเอวขอโทษหญิงสาวอีกครั้ง ล้วนแล้วไม่ได้มองเจียงเฉิงเย่ตรงๆ หันตัวแล้วจากไป
“แม่งเอ๋ย เป็นแค่ของไร้ค่า ฉันพูดกับแก แกไม่ได้ยินเหรอ?”
อย่างกะทันหัน หลังคอของฉินเฟยถูกเจียงเฉิงเย่คว้าเอาไว้ ในเวลาเดียวกันมีเสียงดุด่าที่เย่อหยิ่งของเขาดังมา : “ฉันพูดแล้ว รีบขอโทษเสี่ยวซวง”
“ประธานเจียง ช่างเถอะ เป็นเพราะฉันเดินเร่งรีบเกินไป” เสี่ยวซวงอธิบายเสียงเบา
“ปล่อย!” ฉินเฟยดิ้นหนึ่งที ดิ้นจนมือของเจียงเฉิงเย่หลุดออกไปทันที
เมื่อก่อน เขามีทัศนคติที่ว่ามีปัญหาน้อยย่อมดีกว่ามีปัญหามาก เผชิญหน้ากับความหยิ่งผยองของเจียงเฉิงเย่ก็ไม่อยากสนใจเช่นกัน
แต่ตอนนี้ เขาไม่ใช่คนของตระกูลเจียงอีกแล้ว!
“เอ๋……” เจียงเฉิงเย่คิดไม่ถึงเลยว่าฉินเฟยจะดิ้นจนหลุด ยิ่งคิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะมีแรงเยอะขนาดนี้ ทันใดนั้นถูกดึงจนเซ เกือบล้มลงกับพื้น แต่ว่าอยู่ต่อหน้าเลขา เจียงเฉิงเย่ใบหน้าแดงก่ำ โกรธมากกว่าเดิมทันที ตะโกนด่าด้วยความหยิ่งผยอง : “แม่ง แกอยากตายใช่ไหม? แกลองดิ้นอีกครั้งให้ฉันดูหน่อยสิ?”
“เพียะ!”
เสียงคมชัดหนึ่งที บนใบหน้าของฉินเฟยมีรอยนิ้วมือห้านิ้วเพิ่มขึ้นมา!
เสียงของเจียงเฉิงเย่ไม่เบา บวกกับเพิ่งตบไปหนึ่งที ทันใดนั้นดึงดูดความสนใจของคนบางส่วน เพียงแต่คนที่มาทานอาหารที่นี่ล้วนแล้วเป็นคนที่มีคุณภาพ กลับไม่มีใครล้อมเข้ามาดู เพียงแค่มีคนไม่น้อยล้วนแล้วสนใจทางนี้ กระซิบคุยกัน…..
ฉินเฟยไม่ได้กุมหน้า เงยหน้ามองเขา แค่มองเขาเงียบๆแบบนั้น ใบหน้าไร้อารมณ์ ทำให้คนตกใจเล็กน้อย
เจียงเฉิงเย่ก็ตกใจกับรูปลักษณ์ของฉินเฟยเช่นกัน เพียงแต่อยู่ต่อหน้าเลขา แน่นอนเขาไม่สามารถเปิดเผยได้อยู่แล้ว น้ำเสียงก็เพิ่มขึ้นหลายระดับเช่นกัน : “แม่ง แกมองอะไร? ขืนยังมองอีกฉันจะตบแกจนตาย!”
ระหว่างที่พูด ง้างมือขึ้นอีกครั้ง ตบลงไปอย่างแรง
“ตุบ!”
มือของเจียงเฉิงเย่กลับไม่ได้ตกอยู่บนใบหน้าของฉินเฟย แต่เป็นการถูกฉินเฟยคว้าแขนเอาไว้
“ปล่อย! แม่ง แกไอ้คนไร้ค่า แรงไม่น้อยเลยนะ……” เจียงเฉิงเย่ดิ้นรนหลายทีล้วนแล้วดิ้นไม่หลุด เตรียมจะด่าด้วยความโกรธ เพียงแค่เห็นตรงหน้ามีเงาดำ…..
“เพียะ!”
ฉินเฟยตบแบ็คแฮนด์ ฟาดไปบนใบหน้าของเจียงเฉิงเย่!
แรงของเขาเยอะอย่างมาก เสียงดังอย่างมาก เจียงเฉิงเย่เดินโซเซหนึ่งที ล้มไปยังกระถางต้นไม้บนชั้นวางด้านข้างโดยตรง
ในเวลาเดียวกัน ใบหน้าที่หยิ่งผยอง มีรอยนิ้วมือแดงห้านิ้วปีนขึ้นไปอย่างรวดเร็ว!
เจียงเฉิงเย่เพียงแค่รู้สึกว่าใบหน้าร้อนผ่าว อดไม่ได้ที่จะเอามือกุมหน้าของตัวเอง คนทั้งคนถูกฉินเฟยตบจนตะลึงโดยตรง!
“อ้า!” เลขาเสี่ยวซวงที่อยู่ด้านข้างก็ร้องด้วยความตกตะลึงเช่นกัน
ทางนี้ลงมือโดยตรง แขกที่อยู่รอบๆเริ่มมุงดูความสนุกทันที
เพราะว่าจุดที่ทั้งสองคนทะเลาะกันอยู่ที่จุดชำระเงิน สาวน้อยที่อยู่ตรงจุดชำระเงินไม่มีความประหม่าเท่าไหร่ รีบหยิบโทรศัพท์ภายในขึ้นแล้วพูดสองสามประโยค
เจียงเฉิงเย่เพียงแค่รู้สึกเจ็บแสบร้อนบนใบหน้าเท่านั้น! ในเวลาเดียวกันสังเกตเห็นแขกที่อยู่ด้านข้างเหล่านั้นล้วนแล้วชี้และวิจารณ์ หัวเราะเยาะตัวเอง!

“อ้อ หลังจากเลิกงานอยู่บ้านไม่มีอะไรทำ ก็เลยแวะมาดูบริษัท” ฉินเฟยแสร้งทำเป็นว่าพูดด้วยน้ำเสียงที่แข็งแกร่งและธรรมชาติ ยิ้มอย่างขมขื่น : “บางทีคนอื่นอาจจะไม่รู้ คุณน่าจะรู้ ผมยังมีจุดบกพร่องเยอะอย่างมาก”
“ใช่ แต่ประธานฉินเป็นประธานที่อายุน้อยที่สุด ฉลาดที่สุด และขยันที่สุดที่ฉันเคยพบมา ไม่น่าแปลกใจที่ประธานจางเลือกคุณ” เสิ่นเจียเหวินยิ้มที่มุมปาก เสน่ห์พิเศษของสาวเซ็กซี่ เผยออกมาทางใบหน้า
และประธานจางที่เธอพูดถึง แน่นอนก็คือจางจงเยว่
คำพูดของเสิ่นเจียเหวิน ในทางกลับกัน มันทำให้ฉินเฟยรู้สึกขมขื่นมากขึ้น ตัวเองพยายามมากขนาดนี้ สิ่งที่ได้มาคืออะไร?
“เริ่มดึกแล้ว ประธานฉินยังไม่ได้กินข้าวใช่ไหม? สามารถเชิญประธานฉินไปร่วมทานมื้อเย็นได้หรือไม่?” ปากเชอรี่น้อยของเสิ่นเจียเหวินเม้มปากเล็กน้อย และพูด : “เป็นการแสดงคำขอโทษสำหรับเรื่องครั้งที่แล้ว”
เสิ่นเจียเหวินมีจิตใจที่ละเอียดอ่อน เธอสามารถมองออกได้ว่าฉินเฟยใจลอย แต่คนฉลาดจะไม่ถามมาก
“ครั้งที่แล้วอะไร? ผมลืมไปแล้ว” ฉินเฟยส่ายหน้า โยนความทุกข์และความสับสนภายในใจทิ้ง มองไปทางเสิ่นเจียเหวินอีกครั้ง ยิ้มหนึ่งที : “คำพูดนี้น่าจะเป็นผมมากกว่าที่ต้องพูด สามารถเชิญประธานเสิ่นไปร่วมทานมื้อเย็นได้หรือไม่ พอดีเลยจะได้ขอคำชี้แนะเกี่ยวกับเรื่องบางส่วนของบริษัท”
มุมปากของเสิ่นเจียเหวินยกขึ้นเล็กน้อย : “แน่นอนได้อยู่แล้ว”
หมู่บ้านเทียนหลัน
“คุณแม่ เกิดอะไรขึ้น? ฉินเฟย……ทำไมของของเขาถึงไปอยู่ข้างนอกทั้งหมด?” หลังจากที่เจียงเยว่ถงทำโอทีเสร็จกลับถึงบ้าน มองคุณแม่ด้วยความตะลึง ขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ความหมายของแม่เธอยังไม่เข้าใจอีกเหรอ? แน่นอนฉันต้องการขับไล่ฉินเฟยออกไป ฉันไม่อนุญาตให้เธอแต่งงานกับคนไร้ค่าแบบนี้ไปตลอดชีวิต ในเมื่อเธอใจอ่อน อย่างนั้นคนเลวแบบนี้ฉันจะเป็นแทนเอง!” เสิ่นหัวเดินออกมาจากห้องครัว พูดด้วยน้ำเสียงที่แน่วแน่
“แม่!”
เจียงเยว่ถงตะโกนหนึ่งที เธอเคยคิดที่จะหย่าจริงๆ นอกจากนี้ไม่ใช่แค่ครั้งเดียวที่คิด แต่ว่า…..
“แม่คุณอาจจะไม่รู้ เมื่อวานฉินเฟยเพิ่งยืมเงินห้าล้านจากเพื่อนมาให้ฉัน เพื่อทดแทนเงินส่วนที่ว่างของบริษัทของฉัน พวกเราทำแบบนี้ได้ยังไง?” เจียงเยว่ถงรีบพูด เธอไม่ใช่คนที่เนรคุณ แบบนี้จะให้เธอเผชิญหน้าฉินเฟยได้อย่างไรในอนาคต
“ห้าล้านแล้วเก่งเหรอ? นอกจากนี้เขายังเป็นการยืมมา ไม่ใช่เงินที่เขาหามาด้วยตัวเองสักหน่อย!” เสิ่นหัวเริ่มโกรธแล้ว น้ำเสียงก็เพิ่มขึ้นหลายระดับเช่นกัน : “ลูกสาว เธอคิดให้ดี หลังจากที่เธอแต่งงานกับฉินเฟย ถูกคนอื่นดูถูกและดูหมิ่นมาเท่าไหร่แล้ว? แต่งงานมาสามปี พวกเราให้เขากิน ให้เขาใส่ ตอนนี้เขายืมเงินมา ก็ถือว่ามีจิตใจอยู่บ้าง ถือว่าเขารู้จักตอบแทนบุญคุณ ถือว่าบ้านของพวกเรากับเขาหายกันแล้ว อย่างน้อยๆเธอหาเงินได้แล้วค่อยเอาไปคืนเขาก็พอแล้ว ตอนนี้ฉันเพียงแค่ต้องการให้เธออยู่ห่างจากเขา ถอยห่างจากคนไร้ค่าคนนี้!”
“แม่!” เจียงเยว่ถงกัดริมฝีปาก
“ไปแล้วก็ไม่เป็นอะไร คืนนี้แม่ทำอาหาร เต็มไปด้วยอาหารอร่อยๆหนึ่งโต๊ะ” เสิ่นหัวไม่รู้คิดอะไรอยู่ หัวเราะและพูด
เจียงเยว่ถงเงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ ดูเหมือนว่าหลังจากที่ฉินเฟยมาถึงบ้านหลังนี้ อยู่ที่บ้านแม่ไม่เคยเข้าห้องครัวเลย
“ใช่แล้ว โจวเซี่ยงเฉียนโทรศัพท์มาหาฉันแล้ว บอกว่าเพียงแค่พวกเธอแต่งงานกัน เขาจะมอบสินสอดทองหมั้นให้ครอบครัวเราสิบล้าน ฉันตอบตกลงไปแล้ว ถ้าหากภายในใจของเธอรู้สึกผิด ถึงเวลานั้นก็เอาเงินห้าล้านไปคืนคนไร้ค่าคนนั้น” เสิ่นหัวเปิดปากพูดอีกครั้ง : “อีกสองวันเป็นวันเกิดของคุณยายของเธอ เซี่ยงเฉียนบอกว่าเขาเตรียมของขวัญชิ้นใหญ่ให้คุณยาย ในวันนั้นจะพูดเรื่องแต่งงานกับตระกูลเจียงของพวกเรา”
“แม่! อะไรคือตอบตกลง? คุณตัดสินใจแทนฉันแบบนี้ได้อย่างไร?” เจียงเยว่ถงตะลึงอยู่กับที่ จู่ๆก็ตะโกนอย่างไม่เต็มใจ
โจวเซี่ยงเฉียนไม่เลวจริงๆ เมื่อเทียบกับฉินเฟยเขามีความสามารถมากกว่า หลายปีมานี้ ไม่เพียงแต่หลงใหลตัวเอง The chanrm of heavenที่มอบให้ชุดนั้นก็ทำให้ตัวเองหวั่นไหวไม่น้อยเช่นกัน
แต่เธอยังคงไม่อยากตอบตกลง และสิ่งที่เธอทำให้เธอรำคาญที่สุดคือ คาดไม่ถึงว่าคุณแม่จะขับไล่ฉินเฟยลับหลังตัวเอง กระทั่งยังตอบตกลงเรื่องแต่งงานของตัวเองกับโจวเซี่ยงเฉียน
“ตุงตุง……”
เสิ่นหัวเตรียมจะพูด ในเวลานี้ประตูห้องมีคนมาเคาะ
เจียงเยว่ถงตะลึง ยังคิดว่าฉินเฟยกลับมาแล้ว รีบไปเปิดประตู อึ้งอยู่กับที่ทันที
ก่อนอื่นสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าคือ เป็นช่อกุหลาบแดงสดสวยงามเก้าสิบเก้าดอก แน่นอนคนที่มอบดอกไม้ไม่ใช่ฉินเฟย แต่เป็นโจวเซี่ยงเฉียน
โจวเซี่ยงเฉียนของวันนี้ แต่งตัวดีอย่างมาก สวมชุดสูทและรองเท้าหนัง ผูกเนกไท เห็นได้ชัดว่าเป็นทางการและมีจิตวิญญาณอย่างมาก บนใบหน้าของเขามีรอยยิ้มเล็กน้อย มองดูเจียงเยว่ถงที่มีความตะลึงเล็กน้อย ใบหน้าที่ละเอียดอ่อนและสวยงามนั้น ในดวงตาเต็มไปด้วยความรัก : “เยว่ถง มอบให้คุณ”
“คุณ…..โจวเซี่ยงเฉียน คุณมาได้ยังไง…..” ใบหน้าของเจียงเยว่ถงสับสน ร่างกายที่บอบบางอดไม่ได้ที่จะถอยหลังหนึ่งก้าว มองไปทางห้องครัว เข้าใจได้ทันที
แม่เป็นคนจัดการแน่นอน เชิญให้โจวเซี่ยงเฉียนมา
“ฮ่าฮ่า เซี่ยงเฉียนมาแล้วใช่ไหม” เสิ่นหัวก็ได้ยินเสียงภายในห้องเช่นกัน ออกมาจากห้องครัวด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม เหลือบมองดูโจวเซี่ยงเฉียนที่เปร่งประกายในชุดสูทที่ยืนอยู่หน้าประตู ในดวงตาเต็มไปด้วยความสุข
เมื่อเทียบกับฉินเฟยที่แต่งตัวยากจนและยากจน เทียบกับโจวเซี่ยงเฉียนที่อยู่ตรงหน้าแล้ว อย่างกับราวกับฟ้ากับดิน เสิ่นหัวยิ่งมองยิ่งมีความสุข : “อย่าเอาแต่ยืนอยู่ข้างนอก รีบเข้ามาได้แล้ว!”
เจียงเยว่ถงขมวดคิ้ว กลับไม่ได้รับดอกไม้สดที่โจวเซี่ยงเฉียนมอบให้ หันตัวเข้าไปในบ้าน
“คุณป้า นี่เป็นของขวัญสำหรับคุณ” โจวเซี่ยงเฉียนมอบของขวัญที่ถูกห่ออย่างสวยงามหนึ่งใบ หัวเราะและพูด
“อั๊ยยะ นายบอกว่ามาก็มาเลย ยังจะเอาของขวัญอะไรมาให้หญิงชราอย่างฉันทำไมอีก?” เสิ่นหัวแกล้งทำเป็นโกรธ แต่กลับรับของขวัญด้วยรอยยิ้ม ของที่อยู่ข้างในจะต้องแพงอย่างมากแน่นอน
ของไม่ถูกอย่างแน่นอน แต่สิ่งที่เสิ่นหัวไม่รู้เลยคือ อันที่จริงเงินเหล่านี้โจวเซี่ยงเฉียนล้วนแล้วยืมมา! ก็คือช่วงเช้าของเมื่อวาน เขาได้รับแจ้งจากตระกูลซู เขาถูกปลดออกจากตำแหน่งประธานของบริษัท
อย่างไม่มีเหตุผล!
โจวเซี่ยงเฉียนไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่ามันเกิดอะไรขึ้น ยิ่งไม่รู้ว่าตัวเองไปรุกรานใคร เขาในตอนนี้ไม่เหลืออะไรอีกแล้ว
แต่เขาไม่ได้ตั้งใจจะยอมแพ้เจียงเยว่ถง บังเอิญในเวลานี้เสิ่นหัวกลับโทรศัพท์มาหาเขาเป็นการส่วนตัว ถามเรื่องสินสอดสิบล้าน ดังนั้นเขาก็เลยพายเรือไปตามน้ำ
ภายในใจคิด เพียงแค่ได้รับร่างกายของเจียงเยว่ถง ทำให้ข้าวดิบกลายเป็นข้าวสุก แม้ว่าเสิ่นหัวและเจียงเยว่ถงจะรู้เรื่องนี้ในภายหลัง อย่างนั้นมันก็สายเกินไปแล้ว
และตอนที่เพิ่งเข้ามาในประตู เขาก็มองเห็นอย่างชัดเจนว่ามีสิ่งของรกรุงรังกองหนึ่งกองอยู่ที่หน้าประตูบ้าน ฉินเฟยคนไร้ค่าคนนั้นถูกขับไล่ออกจากบ้านแล้ว!
ทัศนคติที่แน่วแน่ของเสิ่นหัวทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นมากขึ้นเรื่อยๆ
ระหว่างที่เสิ่นหัวมาต้อนรับโจวเซี่ยงเฉียนเข้ามาในบ้านด้วย พร้อมกับส่งสายตาให้เขาด้วย บอกให้เขาอย่าถือสากับทัศนคติของเจียงเยว่ถง
เจียงเยว่ถงใจอ่อน ใบหน้าบอบบาง เมื่อกี้เธอยืนอยู่ที่หน้าประตูไม่ได้พูดอะไร อันที่จริงก็คือการยอมรับแล้ว
โจวเซี่ยงเฉียนยิ้มเล็กน้อย แสดงให้เห็นว่าเข้าใจ
เจียงเยว่ถงยอมรับที่ไหนกัน อันที่จริง เธอทำอะไรไม่ได้เลยด้วยซ้ำ เธอกัตัญญูอย่างมาก ไม่ว่าแม่จะทำดีหรือว่าไม่ดี เธอล้วนแล้วไม่เคยตะคอกใส่แม่
ภายใต้ความดีใจของเสิ่นหัว ทำอาหารสี่จานและซุปหนึ่งถ้วย มื้อค่ำหรูหราอย่างมาก
ระหว่างที่ทั้งสามคนกินข้าวไปด้วย บนโต๊ะอาหารล้วนแล้วมีแค่เสิ่นหัวและโจวเซี่ยงเฉียนคุยกัน สิ่งที่พูดถึงส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับเรื่องของบริษัท เรื่องที่โจวเซี่ยงเฉียนถูกไล่ออกตอนนี้มีคนรู้น้อยอย่างมาก แน่นอนว่าเป็นการมาอย่างกะทันหัน
เจียงเยว่ถงไม่ค่อยมีการพูดแทรก เพียงแค่กินข้าวอย่างเงียบๆ เพราะว่าที่บ้านมีคนนอกอยู่ เธอกลับไม่มีการเปลี่ยนเสื้อผ้า สวมชุดทำงานของบริษัท ขาทั้งสองข้างสวมถุงน่อง ถุงน่องกับรองเท้าแตะสีชมพู ใบหน้าสวย ทำให้โจงเซี่ยวเฉียนหลงอย่างมาก
สำหรับสายตาที่โจวเซี่ยงเฉียนมองลูกสาว เสิ่นหัวล้วนแล้วเห็นทั้งหมด ความหลงใหลนั้นทำให้เธอมีความสุขอย่างมากเช่นกัน อดไม่ได้ที่จะนึกถึงตอนที่ฉินเฟยอยู่กินข้าวที่บ้านด้วยกัน เหมือนกับคนรับใช้คนหนึ่ง ก้มหน้าไม่พูดอะไรเหมือนกับคนโง่คนหนึ่ง จากนั้นมองดูโจวเซี่ยงเฉียนในเวลานี้ ท่าทางที่นั่งอยู่กับลูกสาวด้วยกัน สามารถพูดได้ว่าเป็นกิ่งทองใบหยก
แบบนี้ค่อยเหมือนสามีภรรยาหน่อย! เสิ่นหัวยิ่งคิดยิ่งมีความสุข
หลังจากกินข้าวเสร็จ เจียงเยว่ถงและเสิ่นหัวสองแม่ลูกเก็บถ้วยชาม โจวเซี่ยงเฉียนกำลังนั่งอยู่บนโซฟา สายตาเหลือบมองเจียงเยว่ถงป็นครั้งคราว ภายในใจตื่นเต้นมากขึ้นเรื่อยๆ
ในไม่ช้า เจียงเยว่ถงกลับถูกแม่ไล่ไปที่โซฟา ให้เธออยู่เป็นเพื่อนโจวเซี่ยงเฉียน
แต่เจียงเยว่ถงไม่พูดแม้แต่คำเดียว เรื่องราวได้พัฒนาถึงขั้นนี้แล้ว เผชิญหน้าโจวเซี่ยงเฉียน ภายในใจของเจียงเยว่ถงจู่ๆก็รู้สึกอึดอัดและไม่สบายใจเล็กน้อย ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรเลยด้วยซ้ำ
“ฉันห่อของให้พ่อของเธอนิดหน่อย ฉันขอกลับบ้านก่อน” ตรงประตูห้อง ระหว่างที่เสิ่นหัวเปลี่ยนรองเท้าไปด้วย พร้อมกับเงยหน้ามองไปทางลูกสาวและโจวเซี่ยงเฉียนที่นั่งอยู่บนโซฟาด้วยรอยยิ้ม : “เริ่มดึกแล้ว เซี่ยงเฉียน ถ้าหากนายไม่มีธุระอะไร ก็นอนค้างคืนที่นี่แล้วกัน ฮ่าฮ่า”
“อะไรนะ?” เจียงเยว่ถงเงยหน้าทันที ใบหน้าที่บอบบางเต็มไปด้วยความตะลึง
“คุณป้า ผมกับเยว่ถง…..เอ่อ มันไม่ค่อยเหมาะสมมั้ง?” โจวเซี่ยงเฉียนก็ลุกขึ้นมาเช่นกัน บนผิวเผินดูเหมือนว่าจะตะลึงเล็กน้อย ภายในใจกลับเบิกบานเหมือนดอกไม้
“อะไรเหมาะสมไม่เหมาะสม ฉันเห็นด้วยกับการแต่งงานของพวกนาย การขอทะเบียนสมรสเป็นเรื่องของอีกไม่กี่วัน นายบอกว่ายิ่งเร็วยิ่งดีไม่ใช่เหรอ?” เสิ่นหัวพูดด้วยรอยยิ้ม : “พวกนายก็ไม่ใช่เด็กแล้ว ตอนกลางวันพวกนายเอาแต่ทำงานไม่มีเวลาว่าง ตอนกลางคืนนายอยู่ต่อแล้วกัน ทั้งสองคนจะได้คุยกันดีๆ”
โจวเซี่ยงเฉียนหันไปมองเจียงเยว่ถงที่ยังอยู่ในความตะลึง สังเกตเห็นเสิ่นหัวขยิบตาให้ตัวเอง รีบพยักหน้า
ประตูบ้านปิด ภายในบ้านเหลือเพียงโจวเซี่ยงเฉียนและเจียงเยว่ถงสองคน
โจวเซี่ยงเฉียนอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองเจียงเยว่ถงหนึ่งที และพูด : “ผมขอตัวไปอาบน้ำก่อน วันนี้ทำงานเหนื่อยนิดหน่อย ฮ่าฮ่า”
เจียงเยว่ถงเงยหน้าด้วยความตะลึง โจวเซี่ยงเฉียนเหมือนกับว่าอยู่บ้านของตัวเอง เข้าไปในห้องน้ำอย่างคุ้นเคย
ในไม่ช้า ภายในห้องก็มีเสียงน้ำดังออกมา ‘ซู่ซู่’…..
เจียงเยว่ถงจิตใจสับสนวุ่นวาย

เมืองซงไห่หลายวันที่ผ่านมา ค่อนข้างไม่สงบ
ทุกคนต่างรู้ดี บริษัทบันเทิงที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งได้ย้ายมาที่เมืองซงไห่ ประธานยังอายุน้อยอย่างมาก และลึกลับอย่างมาก บริษัทโฆษณานับไม่ถ้วนมาที่หน้าประตู ขอความร่วมมือ
ใต้แบนเนอร์ว่านเซียง มูวีมีหลายโครงการ ไม่เพียงแต่ทำละครและภาพยนตร์เท่านั้น แต่ยังมีรายการวาไรตี้อีกสองรายการด้วย 《ฉันเป็นดาราดัง》และ《สุดยอดชายหญิง》 เพียงแค่สร้างหนังหนึ่งเรื่อง ทรัพยากรต่างๆ ที่จำเป็นมีเยอะอย่างมาก มีผู้ที่ให้ความร่วมมือมากมาย
ความร่วมมือมีเจรจาสำเร็จ และมีเจรจาไม่สำเร็จ แต่บริษัทบางส่วนเพียงแค่มีอำนาจนิดหน่อย ไม่มากก็น้อยล้วนแล้วได้รับความร่วมมือของโครงการบ้างเล็กน้อย
แต่ว่าเถ้าแก่ใหม่คนนี้ลึกลับเกินไปแล้ว ระดับสูงสุดที่ออกมาเจรจาเกี่ยวกับความร่วมมือคือเสิ่นเจียเหวินรองประธานของว่านเซียง มูวี จนถึงตอนนี้ล้วนแล้วไม่มีใครเคยเห็นประธานใหม่คนนี้ กระทั่งคนในบริษัทที่เคยเห็นประธานใหม่คนนี้ล้วนแล้วมีไม่มาก
แต่ว่า พวกเขาเพียงแค่แปลกใจเท่านั้น ประธานใหม่เป็นใครไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับพวกเขา เพียงแค่เจรจาความร่วมมือสำเร็จก็พอแล้ว
เพียงแต่ มีคนมีความสุขบ้างมีคนทุกข์บ้าง!
ช่วงเย็นของวันถัดมา วิลล่าตระกูลเจียง คุณยายจัดประชุมฉุกเฉินอย่างกะทันหัน
คนในครอบครัวเกือบร้อยคน ในเวลานี้รวมตัวอยู่ด้วยกันทั้งหมด
“คุณยาย ว่านเซียง มูวีนี้ ทำเกินไปแล้ว!” เจียงเฉิงเย่ยิ่งคิดยิ่งโมโห โกรธจนใบหน้าแดงก่ำ : “ผมไปเจรจาความร่วมมืออย่างจริงใจ คาดไม่ถึงว่าพวกเขาจะขับไล่ผม! เห็นได้ชัดว่าว่านเซียง มูวีดูถูกตระกูลเจียงของพวกเรา!”
เจียงเฉิงเย่โกรธแน่นอน แม้ว่าจะมีบริษัทโฆษณาจำนวนมากที่เจรจาความร่วมมือไม่สำเร็จ แต่อย่างน้อยก็ได้เจอหน้าผู้รับผิดชอบ เป็นเพราะอิทธิพลและทรัพยกรทางบริษัทของพวกเขาไม่เพียงพอ หรือทั้งสองฝ่ายไม่พอใจกับการแบ่งผลประโยชน์ เลยทำให้ไม่ประสบความสำเร็จ
แล้วเขาล่ะ? ยังไม่ได้แสดงความแข็งแกร่งของตระกูลเจียงออกมาเลย ปรากฏว่าอีกฝ่ายขับไล่ตัวเองออกไปโดยตรง!
สิ้นสุดเสียงของเจียงเฉิงเย่ ลูกหลานของตระกูลเจียงพยักหน้าทีละคน แม้ว่าเจียงเฉิงเย่จะพูดด้วยน้ำเสียงของความโกรธ กลับเป็นความจริง เพราะว่าว่านเซียง มูวีมีอำนาจนี้ คนอื่นเขาดูถูกตระกูลเจียงจริงๆ ตระกูลเจียงทำได้แค่กล้าโกรธแต่ไม่กล้าพูด!
“พอได้แล้ว” คุณยายเจียงโบกมือ : “ฉันได้ยินมาว่า ประธานคนใหม่ของว่านเซียง มูวี เพิ่งอายุยี่สิบกว่าปี สามารถนั่งตำแหน่งแบบนี้ได้ แน่นอนว่ามีความสามารถ คนอื่นเขายังหนุ่มยังแน่น มีความเย่อหยิ่งเป็นทุน เพียงแต่ ในเมื่อมีบริษัทอื่นสามารถเจรจาความร่วมมือได้สำเร็จ อย่างนั้นบ่งบอกได้ว่าประธานคนนี้ ก็ไม่ใช่ว่าดูถูกบริษัทในซงไห่ของพวกเราทั้งหมด แม้ว่าทัศนคติของพวกเขาจะไม่ดี ยังคงต้องไปหาความร่วมมือกับพวกเขาต่อ”
“การเริ่มต้นของทุกสิ่งนั้นยากลำบาก เพียงแค่สามารถเอามาได้หนึ่งโครงการ นอกจากนี้ร่วมมือกันอย่างมีความสุข ในอนาคตจะต้องมีความร่วมมือมากขึ้นแน่นอน พวกเราไม่สามารถปล่อยโอกาสนี้หลุดไปได้ พวกคุณมีใครยินดีไปไหม?” ระหว่างที่คุณยายเจียงวิเคราะห์ เงยหน้ามองดูคนข้างล่าง
ทุกคนต่างพยักหน้า สิ่งที่คุณยายเจียงพูดนั้นสมเหตุสมผลอย่างมาก แต่ต่างมองหน้ากัน กลับไม่มีใครยินดีไปเจรจาความร่วมมืออีก คนอื่นล้วนแล้วขับไล่เจียงเฉิงเย่แล้ว ยังจะไปขอความร่วมมืออีก ใครจะยินดีไปอีกล่ะ?
เจียงเฉิงเย่เหลือบมองเจียงเยว่ถงที่มีใบหน้าเย็นชา จู่ๆก็เผยให้เห็นถึงรอยยิ้มของการเยาะเย้ย ลุกขึ้นพูด : “คุณยาย เอาแบบนี้ให้เจียงเยว่ถงไปลองดู? เธอแต่งงานกับสามีที่ไร้ค่าคนหนึ่ง แต่งงานมาสามปี ความอดทนต้องดีอย่างมากแน่นอน”
“เจียงเฉิงเย่ คุณ!” เจียงเยว่ถงเงยหน้าขึ้นทันที เธอรู้ว่าเจียงเฉิงเย่มักจะชอบหาเรื่อง ครั้งที่แล้วฉินเฟยทำให้เขาขุ่นเคือง คนถ่อยคนนี้เป็นคนที่จดจำความแค้นได้ดีจริงๆ!
“ผมทำไม?” เจียงเฉิงเย่เหลือบมองเจียงเยว่ถงหนึ่งที พูดเยาะเย้ย : “คุณก็เป็นคนของตระกูลเจียง บริษัทเครื่องแต่งกายที่คุณจัดการ ช่วงที่ผ่านมาขาดทุนตลอด คิดว่าผมไม่รู้เหรอ? บริษัทกำลังไปได้ไม่ดีก็แล้วไป ให้คุณออกแรงเพื่อตระกูลเจียงยังจะหาข้ออ้างต่างๆนาๆอีก?”
ระหว่างที่พูด เจียงเฉิงเย่วิ่งไปด้านข้างคุณยาย พูดประจบสอพอ : “ผมขอแนะนำให้มอบภารกิจเจรจาความร่วมมือนี้ให้เจียงเยว่ถงจัดการ ไม่ว่าจะพูดยังไงเธอถือได้ว่าเป็นทายาทของตระกูลเจียงของพวกเรา ประการแรกนี่คือการแสดงความเคารพนับถือต่อว่านเซียง มูวี ประการที่สอง ยังสะท้อนถึงความจริงใจและความอุตสาหะของพวกเราอีกด้วย คุณยาย คุณคิดว่ายังไง?”
คุณยายเจียงพยักหน้า ท่ามกลางลูกหลานหลายคนในครอบครัว เธอรักเจียงเฉิงเย่มากที่สุด ตอนนี้ได้ยินการวิเคราะห์ของเขา มองไปทางเจียงเยว่ถงทันที : “ถงถง ภารกิจนี้มอบให้เธอ พรุ่งนี้ไปเจรจาความร่วมมือที่ว่านเซียง มูวีตรงเวลา”
“คุณยาย ฉัน…..” เจียงเยว่ถงอ้าปาก สุดท้ายกัดริมฝีปากและก้มหน้าลง : “รับทราบ”
เมื่อเห็นเจียงเยว่ถงตอบตกลง คุณยายเจียงค่อยพยักหน้าอย่างพอใจ โบกมือ : “เอาล่ะ แยกย้ายกันได้แล้ว”
สิ้นสุดเสียง หลายร้อยคนลุกขึ้นทีละคนและจากไปอย่างรวดเร็ว ภายในใจของแต่ละคนพูดว่าโชคดีอย่างลับๆ โชคดีคนที่ถูกเลือกไม่ใช่พวกเขา
“คนไร้ค่า ใครให้เขาไปทำให้เจียงเฉิงเย่ขุ่นเคือง ตอนนี้ดีแล้วสินะ!” เสิ่นหัวลุกขึ้นด้วยใบหน้าที่เย็นชา ที่ปากยังคงอดไม่ได้ที่จะด่า : “คนไร้ค่า เป็นตัวซวยจริงๆเลย”
ช่วงเวลาประชุม เสิ่นหัวไม่พูดตลอด ท้ายที่สุดแล้วเธอเป็นคนว่างงานคนหนึ่ง สำหรับเรื่องของความร่วมมือระหว่างบริษัทเหล่านี้แล้วเธอก็แทรกแซงไม่ได้ ยิ่งกว่านั้น เธอเป็นแค่ลูกสะใภ้ของตระกูลเจียง ล้วนแล้วไม่ใช่คนหลักของตระกูลเจียง
“ที่บริษัทยังมีงาน ฉันขอไปบริษัทก่อน” สำหรับคำด่าของคุณแม่ เจียงเยว่ถงไม่ได้พูดอะไร
จากมุมมองของเธอ เรื่องนี้โทษฉินเฟยไม่ได้ด้วยซ้ำ เป็นเพราะเจียงเฉิงเย่เป็นคนคิดเล็กคิดน้อย
หัวใจหวั่นไหว ยังไงสะก็แค่ถูกคนนอกปฏิเสธ ให้คนเยาะเย้ยไม่กี่ประโยคก็พอแล้ว สามปีที่ผ่านมา คำเยาะเย้ยที่ตัวเองได้รับยังไม่มากพออีกเหรอ?
……
ช่วงเย็นหนึ่งทุ่มกว่า ฉินเฟยไปซื้อผักที่ซุปเปอร์มาร์เก็ต กลับมาบ้านด้วยความเหนื่อยล้า
แม้ว่าจะเหนื่อยล้า แต่สุขใจอย่างมาก หลายวันมานี้ เป็นหลายวันที่มีความสุขที่สุดและสุขใจที่สุดในสามปีที่ผ่านมา
แต่เมื่อเวลาที่ฉินเฟยเดินออกมาจากลิฟต์ เมื่อเห็นสิ่งของกองหนึ่งที่กองอยู่ตรงหน้าบ้าน ตะลึงทันที!
ประตูบ้าน มีสิ่งของกองอยู่เยอะแยะมากมาย เสื้อผ้า รองเท้า แก้ว กระทั่งมีผ้าเช็ดตัวและแปรงสีฟันของเขา ล้วนแล้วถูกโยนอยู่ที่ประตู!
สีหน้าของฉินเฟยเปลี่ยนอย่างมาก รีบเปิดประตูเข้าไปในบ้าน
ในบ้านมีแม่ยายเสิ่นหัวอยู่คนเดียว ภรรยาเจียงเยว่ถงไม่อยู่บ้าน หรือบางทียังทำงานโอทีอยู่ที่บริษัท
หัวใจของฉินเฟยจมลง สุดท้ายค่อยๆผ่อนคลายลงทีละนิด นี่น่าจะเป็นความคิดของแม่ยายคนเดียว ไม่ใช่ความคิดของเจียงเยว่ถง
แต่เห็นได้ชัดอย่างมาก เสิ่นหัววางแผนที่จะฉีกหน้าอย่างสมบูรณ์ ขับไล่เขาออกจากบ้าน บังคับให้ตัวเองหย่ากับเจียงเยว่ถง!
“หือ ฉินเฟยนายมาได้พอดีเลย” สีหน้าของเสิ่นหัวแดงเล็กน้อย เดาว่าน่าจะเหนื่อยจากการโยนของมาทั้งคืน มองมาทางฉินเฟยโดยมือเท้าเอว ใบหน้าเต็มไปด้วยความรังเกียจ : “นายเห็นของที่อยู่ตรงประตูแล้วใช่ไหม แม้ว่าของเหล่านี้จะซื้อด้วยเงินของบ้านพวกเรา แต่ฉันจะมอบให้นายด้วยความเมตตา รีบขนของแล้วไสหัวออกไปสะ พรุ่งนี้นายหย่ากับเจียงเยว่ถง”
“นี่ก็เป็นความคิดของเจียงเยว่ถงเหรอ?” ฉินเฟยไม่สนใจสิ่งของเหล่านั้น ส่งเสียงถาม
“ใช่! เพียงแต่ลูกสาวของฉันเป็นคนใจอ่อน ไม่สะดวกที่จะพูดออกมาตรงๆ ดังนั้นเลยอยู่ที่บริษัท ให้ฉันมาจัดการเรื่องนี้” เสิ่นหัวหัวเราะหนึ่งที น้ำเสียงดูถูก ราวกับว่าไม่อยากเจอฉินเฟยอีก : “รีบไสหัวไปสะ ที่นี่ไม่ใช่บ้านของนายอีกแล้ว ไสหัวออกไป!”
ครั้งนี้เสิ่นหัวตั้งใจแน่วแน่จริงๆแล้ว เธอรู้ว่าลูกสาวใจอ่อน ครั้งนี้ที่เจียงเยว่ถงไปทำงานโอทีที่บริษัท ดังนั้นเลยทำให้เธอตัดสินใจแบบนี้ เพราะว่าจากมุมมองของเสิ่นหัว ครอบครัวของพวกเขาถูกคนในตระกูลดูถูกตลอด ทั้งหมดเป็นเพราะการมีอยู่ของฉินเฟย!
แม้ว่าเจียงเฟิ่งหยุนจะเป็นลูกชายคนที่สามของตระกูลเจียง แต่ยังคงมีแต่คนดูถูกครอบครัวของพวกเขา เสิ่นหัวกลับไม่เคยบ่นเจียงเฟิ่งหยุน กลับเอาเรื่องนี้ไปไว้บนหัวของฉินเฟิง
เพราะว่าบ้านของเธอมีลูกเขยที่ไร้ค่าคนหนึ่ง ดังนั้น ครอบครัวของพวกเขากลายเป็นตัวตลกของตระกูลในช่วงสามปีที่ผ่านมา! เพราะการมีอยู่ของฉินเฟย เลยถูกคนอื่นดูถูก ถูกคนอื่นรังแก!
……
ฉินเฟยถูกขับไล่ออกจากบ้าน เขาราวกับว่าเสียจิตวิญญาณไป ฟุ้งซ่านอย่างมาก เดินบนถนนอย่างไร้จุดหมาย ในสมองเต็มไปด้วยคำพูดเหล่านั้นของเสิ่นหัว ‘นี่ก็คือความคิดของเจียงเยว่ถง เพียงแค่เธอใจอ่อน ไม่สะดวกที่จะพูดออกมาตรงๆ’ …..
หยิบมือถือออกมาหลายครั้งอยากโทรศัพท์หาเจียงเยว่ถง สอบถามว่าเป็นความคิดของเธอหรือเปล่า แต่ฉินเฟยล้วนแล้วไม่ทำ
เขาตกต่ำมาสามปีแล้ว การโทรศัพท์เป็นความอัปยศของตัวเองด้วยซ้ำ
“คุณผู้ชาย คุณไปไหนเหรอ?” ฉินเฟยนั่งรถแท็กซี่ คนขับรถหันกลับมาถาม
“ไปไหนก็ได้” ฉินเฟยพูด
“ไปไหนก็ได้?” คนขับรถแท็กซี่ตะลึง เดาว่าเป็นครั้งแรกที่เจอคนแบบนี้ เพียงแต่ยังคงสตาร์ทรถ
ไปไหนก็ได้!
คนขับรถแท็กซี่ก็เดินทางอย่างไร้จุดหมายเช่นกัน จนกระทั่งมาถึงหน้าว่านเซียง มูวี จู่ๆฉินเฟยก็พูด : “ที่นี่แล้วกัน”
ในเวลานี้สองทุ่มกว่าแล้ว พนักงานบริษัทล้วนแล้วเลิกงานแล้ว มีเพียง รปภ. ที่ปฏิบัติหน้าที่และทำงานล่วงเวลาซึ่งงานยังทำไม่เสร็จเท่านั้น
“ประธานฉิน? คุณเลิกงานกลับบ้านแล้วไม่ใช่เหรอ?” เพิ่งขึ้นมาบนชั้นสอง ก็มองเห็นเสิ่นเจียเหวินเดินมาพร้อมกับกองเอกสารในอ้อมแขน ถามด้วยความสงสัย
เสิ่นเจียเหวินยังคงสวมชุดกระโปรงทำงานก่อนหน้านี้ ขายาวในถุงน่อง ใบหน้าสวย เป็นผู้ใหญ่และเซ็กซี่ ภายใต้กองเอกสาร คู่กับความอ่อนโยนและหรูหราเป็นพิเศษ

“เจียงเฉิงเย่?” ฉินเฟยมองขึ้นอย่างประหลาดใจ สายตาแฝงความแปลกประหลาดอยู่บ้าง
“ให้เขาไสหัวไป!”
“ค่ะ” เหอฉิงพยักหน้า เธอเดินไปที่โต๊ะและวางเอกสารลง “นี่คือเอกสารทั้งหมดที่คุณต้องการของว่านเซียง มูวี”
“อืม สั่งการลงไป ห้ามไม่ให้ใครในบริษัทส่งต่อข้อมูลและรูปถ่ายของฉัน เรื่องนี้จะต้องถูกเก็บเป็นความลับอย่างเข้มงวด มิฉะนั้น ก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ในบริษัทอีกต่อไป”
เขาไม่อยากให้เจียงเยว่ถงรู้จักตัวตนของเขาในตอนนี้ อีกทั้งตอนที่เขามาก็พบว่ามีพนักงานบางคนในล็อบบี้ชั้นล่างกำลังแอบถ่ายรูปตัวเองด้วย
“ค่ะ ฉันจะรีบดำเนินการ”
……
ไม่กี่วันมานี้เจียงเยว่ถงล้วนอารมณ์ไม่ดีอย่างมาก
เงินบริษัทที่ขาดแคลนไปสามล้านหยวนยังไม่ได้รับการชดเชย อีกทั้งยังขาดทุนอยู่ตลอด หากเป็นแบบนี้ต่อไป เมื่อถึงสิ้นเดือนก็จะจ่ายเงินเดือนไม่พอแล้ว อีกทั้งตอนนี้ที่บ้าน เสิ่นหัวแม่ของเธอก็พยายามเกลี้ยกล่อมให้เธอหย่ากับฉินเฟย
เรื่องการหย่าร้าง เจียงเยว่ถงคิดเกี่ยวกับมันมานานแล้ว เธอไม่ต้องการแต่งงานกับผู้ชายขี้แพ้ไปตลอดชีวิต
แต่คนเรานั้นมีความรู้สึก ฉินเฟยทำงานหนักอยู่ในจตระกูลเจียงมาสามปีแล้ว แม้ว่าเขาจะไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน แต่เรื่องในบ้านเขาก็ไม่เคยทำให้เธอกังวลเลยและไม่เคยปริปากบ่น
ยิ่งไปกว่านั้น ฉินเฟยคือคนที่เอาเข้ามาเพื่อแก้ชงให้พ่อของเธอ
สามปีผ่านไปแล้วตนก็เตะส่งเขางั้นหรือ? เรื่องแบบนี้เจียงเยว่ถงไม่สามารถทำได้
เจียงเยว่ถงรู้สึกว่าไม่ว่าเรื่องอะไรก็ล้วนติดขัดไปเสียหมด เธอจึงเลิกคิดถึงมัน หลังเลิกงานเธอก็โทรหาเพื่อนสนิทสองคนของเธอคือโจวลู่และซุนเสี่ยวเจี๋ย ทั้งสามคนกำลังพูดคุยกันอยู่ที่บ้าน
แน่นอนว่าหลังจากที่เพื่อนของเธอมาและได้พูดคุยเกี่ยวกับหัวข้อแบบผู้หญิงๆ เธอก็รู้สึกดีขึ้นมาก
“พี่ถง ขยะในบ้านคุณไปอยู่ที่ไหนแล้ว?” โจวลู่นั่งบนโซฟาและจิบไวน์แดงหนึ่งคำ
ขยะที่เธอเอ่ยถึง เจียงเยว่ถงย่อมรู้ดีว่าหมายถึงอะไร เธอเอ่ยหัวเราะ “หลังทานอาหารเช้าเสร็จก็รีบร้อนออกไปแล้ว ไม่รู้ว่าไปทำอะไรข้างนอก”
“จะไปทำอะไรได้อีก? ก็คงเอาเงินหนึ่งร้อยหยวนที่คุณให้มา ไปเอ้อระเหยอยู่ข้างนอกน่ะสิ” ซุนเสี่ยวเจี๋ยพูดขึ้นมา
ผู้หญิงสามคนมองหน้ากันและหัวเราะทันที
“พี่ถง ฉันนับถือคุณจริงๆ สำหรับความอดทนของคุณ” โจวลู่ฝืนหัวเราะออกมา
“ฉินเฟยนั่นขี้แพ้ขนาดนั้น ผู้หญิงที่ไหนก็คงทนไม่ไหว ตอนนี้บริษัทของคุณขาดแคลนเงินทุน ถ้าคุณมีสามีที่มีความสามารถ อย่างน้อยถึงจะหาเงินสามล้านไม่ได้ แต่อย่างน้อยๆ ก็น่าจะหาเงินได้หนึ่งหรือสองล้านหยวนแน่ แต่ฉินเฟยนั่น แม้กระทั่งร้อยหยวนเกรงว่าก็คงควักออกมาให้ไม่ได้”
ส่วนฉินเฟยที่โดนเอ่ยถึง ตอนนี้ก็กำลังฟังอยู่ที่ประตู
ฉินเฟยยุ่งอยู่กับบริษัทจนดึกดื่น หลังจากอยู่ว่างมาสามปี เขาก็รู้สึกว่าความคิดหลายอย่างของตนไม่สามารถตามทันกาลเวลาได้แล้ว ดังนั้นเขาจึงต้องพยายามทุ่มเทอย่างหนัก
เมื่อถึงค่ำ เขาก็ไปถอนเงินที่ธนาคาร
หลังจากขี่จักรยานยนต์ไฟฟ้ากลับมาที่ชุมชน ฉินเฟยก็กลัวว่าจะมีใครตามเขามา ดังนั้นเขาจึงแทบจะวิ่งเหยาะๆ กลับบ้านพร้อมกับกระเป๋าใบใหญ่หลายชั้นบนหลังของเขา เหนื่อยแทบตาย!
เจียงเยว่ถงเงยหน้าขึ้นและเห็นฉินเฟยเปิดประตูเข้ามา ด้านหลังของเขาสะพายกระเป๋าสีดำใบใหญ่ ซึ่งดูใหญ่และหนักมาก ไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ข้างในนั้น
“ทำไมนายเพิ่งกลับมาตอนนี้? ในกระเป๋าพังๆ นั่นมีอะไรกัน? โยนมันทิ้งไปซะ!” เจียงเยว่ถงที่อยู่บนโซฟาเหลือบมองฉินเฟย และขมวดคิ้ว
เธอชอบความสะอาด กระเป๋านั้นทั้งพังทั้งสกปรก แต่ไอ้เวรนี่กลับวางมันลงบนโต๊ะน้ำชาตรงหน้าเธอโดยตรง
“ได้ยินมาว่านายออกไปทั้งวันไม่กลับมา คงไม่ได้ไปเก็บขยะหรอกนะ? ไปเอาขยะของใครมา?” โจวลู่เอ่ยเสียดสีอย่างปากร้าย
เมื่อได้ยินแบบนั้น ซุนเสี่ยวเจี๋ยที่อยู่อีกด้านก็ฝืนยิ้ม
ใบหน้าของเจียงเยว่ถงเปลี่ยนไปทันที เมื่อมองใกล้ๆ มันคือถุงขยะสีดำใบใหญ่จริงๆ ใบหน้าสวยๆ ของเธอเย็นชาขึ้นในทันใด “ฉินเฟย ตอนนี้นายยิ่งอยู่ยิ่งเละเทะขึ้นเรื่อยๆ แล้วนะ เข้าบ้านไม่ต้องถอดรองเท้าหรือไง? สกปรกมาก!”
ฉินเฟยวางถุงลงแล้วยืดตัวขึ้นก่อนจะถอนหายใจยาว เป็นความจริงที่ร่างกายของเขาไม่สะอาดเท่าไหร่ อีกทั้งถุงของเขาก็ไม่สะอาดด้วย แต่ว่าหลายปีมานี้งานบ้านทั้งหมดก็เป็นตนที่ทำความสะอาดไม่ใช่หรือไง?
ฉินเฟยไม่ได้โกรธอะไร เขาหยิบถ้วยบนโต๊ะมาแล้วดื่มไปสองสามคำ
ถ้วยนั้นเป็นของเจียงเยว่ถง
ดวงตางามของเจียงเยว่ถงแทบจะถลึงออกมา ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความเยียบเย็นราวกับน้ำแข็ง!
หรือว่าฉินเฟยรู้แล้ว ว่าแม่ของตนต้องการให้หย่ากับเขา ดังนั้นก็เลยไม่สนใจอะไรอีกต่อไป?
ฉินเฟยวางถ้วยลงแล้วเดินไปที่เจียงเยว่ถง เขายิ้มและพูดว่า “ภรรยา บริษัทของคุณต้องการเงินสามล้านหยวนอย่างเร่งด่วนไม่ใช่เหรอ? ผม…”
“โอ๊ะ!” โจวลู่ที่อยู่ข้างๆ เอ่ยเยาะเย้ยและขัดจังหวะฉินเฟย เธอมองเขาอย่างเย้ยหยัน “ขยะก็คือขยะ สิ่งเดียวที่มีก็คือหนังหน้าหนาๆ ตัวเองเป็นขยะก็ต้องยอมรับ พี่ถงขาดเงินสามล้านหยวน แต่นายช่วยอะไรไม่ได้สักนิด ยังมีหน้ามาพูดเรื่องนี้อีก?”
“อาศัยขยะที่นายเก็บมา ทั้งชีวิตนี้ก็คงไม่มีทางได้เงินถึงสามล้าน!” พูดไป โจวลู่ก็เหลือบมองไปที่ถุงขยะที่อยู่ข้างหน้าเธอ
เมื่อเห็นว่าโจวลู่ด่าจนไม่น่าฟัง เจียงเยว่ถงก็กระซิบว่า “ช่างเถอะ ไม่ต้องพูดแล้วะ”
ในการประชุมกลางปีเมื่อคืนที่แล้ว เจียงเฉิงเย่เย้ยหยันเธอ ก็มีฉินเฟยที่ออกหน้าและช่วยตัวเองเอาไว้ แถมยังโดนแม่ของเธอตบเข้า นี่ทำให้เธอรู้สึกผิดอยู่ในใจอยู่บ้าง
“พี่ถง ฉันไม่ได้ว่าพี่นะ แต่พี่ใจอ่อนเกินไป” โจวลู่เอ่ยอย่างโมโหและโกรธแทนเจียงเย่ถง “เขาเป็นผู้ชาย แต่เขากลับช่วยอะไรไม่ได้เลยสักนิด แม้กระทั่งการงานก็ไม่มีทำ ต้องพึ่งพาคุณมาเลี้ยงดู คุณจะเก็บขยะแบบนี้ไปทำไม? ยิ่งไปกว่านั้น พวกคุณก็ไม่ได้เป็นสามีภรรยากันจริงๆ ถ้าฉันเป็นคุณ ฉันคงหย่ากับขยะนี่ไปนานแล้ว”
“โจวลู่!” ในเวลานี้เอง ในที่สุดฉินเฟยก็ทนไม่ไหว เขาเดินไปข้างหน้าและจ้องเธอแน่นิ่ง
“ภรรยาผมขาดเงินสามล้านหยวน คุณรู้ได้ยังไงว่าผมช่วยอะไรไม่ได้” ฉินเฟยมองเธอด้วยรอยยิ้มและพูดว่า “ผมจำได้ว่าก่อนหน้านี้คุณพูดว่าถ้าผมสามารถหาเงินสามล้านหยวนมาได้ คุณจะมาเป็นผู้หญิงของผม?”
“ใช่ ฉันบอก!” โจวลู่มองขึ้นไปที่ฉินเฟยและพูดด้วยน้ำเสียงดูถูก “ถ้าอย่างนั้นนายก็เอาเงินออกมาสิ ถ้านายไม่สามารถหามันมาได้ อย่างนั้นก็มากราบฉันเป็นแม่ซะ!”
“ขอโทษที แต่ในถุงนี่มันไม่ใช่ขยะ!” ฉินเฟยยิ้มร่า เขาหมุนกลับมาและคว้าถุงขยะขนาดใหญ่บนโต๊ะน้ำชา จากนั้นก็ทิ้งของในนั้นทั้งหมดลงบนโต๊ะ
กองตั๋วเงินใบสีแดง ไหลลงมาราวกับเกี๊ยวและกองอยู่บนโต๊ะน้ำชาทันที อีกทั้งยังมีหลายๆ ใบก็ตกลงไปที่พื้น
ทันใดนั้น ทั้งห้องก็เงียบลงจนได้ยินแม้กระทั่งเสียงเข็มตกลง!
“นาย…นายไปเอาเงินมากขนาดนี้มาจากไหน…”
เจียงเยว่ถงมองไปที่ฉากตรงหน้าอย่างแปลกใจ เธอตะลึงจนพูดจาไม่เป็นประโยคสมบูรณ์!
ในเวลานี้ โจวลู่รู้สึกว่าขาของเธออ่อนยวบ ถึงปกติจะเห็นว่าเธอทำตัววางท่า แต่เงินเดือนของเธอก็แค่เจ็ดแปดพันเท่านั้น เงินจำนวนมากขนาดนี้มาอยู่ตรงหน้าเธอ การโจมตีทางสายตานี้ทำเอาเธอหายใจไม่ออกเล็กน้อย
“นี่…นี่น่าจะเกินสามล้านหยวนใช่ไหม?” ซุนเสี่ยวเจี๋ยเองก็มีสีหน้าประหลาดใจ เธอทำงานในธนาคาร และมักจะเห็นเงินจำนวนมากจึงไม่ตกตะลึงเท่าโจวลู่ และเธอสามารถบอกจำนวนเงินได้อย่างรวดเร็วหลังจากมองดู
“อืม นี่เงินห้าล้าน” ฉินเฟยพยักหน้าและมองไปที่ภรรยาของเขา “ใช้เงินสามล้านหยวนเพื่อเติมเต็มเงินทุนที่ขาดอยู่ ส่วนอีกสองล้านใช้เป็นเงินหมุนเวียน น่าจะพอใช่ไหม?”
เจียงเยว่ถงไม่ได้พูดอะไร เห็นได้ชัดว่ายังคงตกใจ
“หึหึ เรื่องมาเป็นผู้หญิงของฉันก็คงไม่ต้องหรอก ฉันเป็นคนแต่งงานแล้ว” ฉินเฟยมองไปที่โจวลู่และเอ่ยยิ้ม
ในเวลานี้ ในที่สุดโจวลู่ก็หายจากอาการช็อก เธอมองไปที่ฉินเฟยและพูดอย่างเย็นชาว่า “ฉินเฟย นายที่เป็นคนมาจากชนบท ปกติก็ไม่มีงานทำ จะไปหาเงินจำนวนมากมาได้ยังไง? เงินนี่คงไม่ใช่เงินสกปรกใช่ไหม?”
เมื่อพูดจบ ร่างกายที่บอบบางของเจียงเยว่ถงก็สั่นสะท้าน เธอลุกขึ้นอย่างรวดเร็วและคว้าแขนของฉินเฟยดึงเขาเข้าไปในห้องนอนของเธอ
นี่เป็นครั้งที่สามของ ฉินเฟยเข้ามาในห้องนอนของเจียงเยว่ถง!
เขาเคยเข้ามาในวันที่แต่งงาน และก่อนหน้านี้ก็ที่นำเสื้อผ้ามาให้เธอเมื่อไม่กี่วันก่อน
นี่ถือเป็นครั้งที่สาม
เนื่องจากเจียงเยว่ถงไม่อนุญาตให้ฉินเฟยเข้าไปในห้องนอนของเธอ ดังนั้นเธอจึงมักจะทำความสะอาดห้องด้วยตัวเอง
เจียงเยว่ถงกลับไม่ได้คิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ในเวลานี้ เธอปิดประตูและกระซิบด้วยน้ำเสียงกังวล “ฉินเฟย นายไปได้เงินมาจากไหน มันเป็นเงินสกปรกรึเปล่า?”
“สะอาด ไม่ต้องห่วง ผมยืมมาจากเพื่อนคนหนึ่ง” ฉินเฟยมองไปที่ใบหน้าอันบอบบางของภรรยาของเขา ในเวลานี้เธอกำลังขมวดคิ้วด้วยความกังวล
ฉินเฟยรู้สึกอบอุ่น
นั่นเพราะตั้งแต่แรกที่เขาหยิบเงินออกมา การแสดงออกของเจียงเยว่ถงนอกจากความตื่นตะลึงแล้วก็ไม่ได้มีความดีใจอะไร แต่กลับแฝงความกังวล
แม้ว่าเจียงเยว่ถงจะเย่อหยิ่งอยู่ตลอด แต่เธอก็มีน้ำใจกับตนอยู่บ้าง อันที่จริงเธอไม่ได้ใจร้าย
เขารู้จักเจียงเยว่ถง
ดังนั้นแม้ว่าเขาจะเป็นประธานของว่านเซียง มูวี แต่เขาก็ไม่อยากจะเปิดเผยตัวไปอย่างโจ่งแจ้ง
เพราะเขารู้จักเจียงเยว่ถงดี เธอไม่ใช่ผู้หญิงบูชาเงิน ไม่อย่างนั้นอาศัยความสวยและภูมิหลังของเธอ ก็คงหาลูกเศรษฐีได้ไม่ยาก
หลังจากแต่งงานมาสามปี เนื่องจากฉินเฟยมีสถานะเป็นสามีที่ไร้ค่า ดังนั้นจึงยังมีคนหนุ่มมีพรสวรรค์จำนวนมากไล่ตามจีบเธอ แต่เจียงเยว่ถงกลับไม่ตอบรับ
ในความเห็นของเจียงเยว่ถง ลูกเศรษฐีที่ร่ำรวยและมีอำนาจนั้นยังไม่เท่ากับผู้ชายที่สร้างทุกอย่างจากตัวเอง มีเงินที่ตนหาอย่างยากลำบากและมีทรัพย์สินเพียงไม่กี่ล้านหยวน
หากตอนนี้ฉินเฟยเปิดเผยตัวตนของเขา ซึ่งดูเหมือนว่าสำหรับเจียงเยว่ถงก็แค่เป็นเพียงเรื่องโชคดีเท่านั้น ในใจของเธอก็ยังคงดูถูกตัวเองอยู่
“เพื่อน เพื่อนคนไหน?” เจียงเยว่ถง กระทืบเท้าอย่างกังวล “แต่งงานมาตั้งหลายปี ทำไมฉันไม่รู้ว่า นายมีเพื่อนอยู่ด้วย?”
ฉินเฟยรู้สึกเจ็บปวดในใจ อันที่จริงตั้งแต่ตระกูลฉินล่มสลาย บรรดาเพื่อนๆ รอบตัวต่างก็หลบซ่อนห่างไกลออกไป
ฉินเฟยไม่ได้อธิบายอะไรมาก เขาหันหลังออกจากห้องแล้วพูดว่า “เป็นอดีตเพื่อนร่วมชั้นของผม ความสัมพันธ์ดีมาก ตอนเรียนผมมักจะดูแลเขาตลอด ตอนนี้เขาเริ่มธุรกิจและหาเงินได้แล้ว ก็เลยให้ผมยืมเงิน”
ฉินเฟยเปิดประตูและเดินออกไป
ในห้องนั่งเล่น โจวลู่และซุนเสี่ยวเจี๋ยได้กลับไปนานแล้ว

ฉินเฟยมองไปที่เหอฉิง ถ้าเขาเดาไม่ผิด เธอก็คือเลขาที่จางจงเยว่ส่งมาให้รับผิดชอบหน้าที่
“ขอโทษค่ะประธานฉิน ฉันมาสาย…” เหอฉิงอธิบายด้วยเสียงต่ำและไม่กล้ามองฉินเฟยโดยตรง ขณะพูดก็โค้งคำนับด้วยความเคารพ
“เหอชิง คุณกำลังทำอะไร?” ในเวลานี้ เสิ่นเจียเหวินก็ก้าวมาข้างหน้า ใบหน้าที่สวยงามของเธอโกรธอยู่บ้าง “นี่คือรปภ.ที่มาสมัครงานที่บริษัทของเรานะ ประธานฉินอะไรกัน?”
“รปภ.ที่มาสมัครงาน?” เหอฉิงมองไปที่ฉินเฟยอีกครั้งด้วยความงุนงง เธอรีบหยิบโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋าและหารูปถ่าย จากนั้นก็เงยหน้ามองขึ้นไปที่ฉินเฟยอีกครั้ง ก่อนจะหันไปหาเสิ่นเจียเหวิน “รองประธานเสิ่น ฉันคิดว่าคุณน่าจะเข้าใจผิดแล้ว ฉันไม่ได้มองคนผิด นี่คือประธานคนใหม่ของบริษัทเรา ประธานฉิน”
เหอฉิงไม่รู้ว่าที่นี่เกิดความเข้าใจผิดอะไรขึ้น แต่ขณะพูดเธอก็รีบขยิบตาให้เสิ่นเจียเหวิน
ประธานคนใหม่เพิ่งเข้ารับตำแหน่ง อย่าได้ไปทำให้ประธานหนุ่มขุ่นเคืองเชียวนะ
“อะไรนะ?” ฝูงชนรอบๆ อ้าปากค้างขึ้นทันทีและมองฉินเฟยด้วยสีหน้าไม่คาดคิด
“ประธาน…ประธานฉิน?” เสิ่นเจียเหวินตะโกนเบาๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่คาดฝันและสงสัยว่าตนได้ยินผิดไปหรือเปล่า
ในฐานะรองประธาน เธอย่อมรู้อย่างแน่นอนว่าประธานบริษัทคนใหม่เป็นคนหนุ่มรุ่นเยาว์ อีกทั้งยังเป็นคนที่ประธานจางแต่งตั้งเป็นการส่วนตัว แต่ว่าจะมาเป็นฉินเฟยที่ทั้งตัวยากจนได้ยังไงกัน?
“คุณผู้หญิง ฉันว่า… คุณจำคนผิดหรือเปล่า?” เสิ่นหลิงเอ๋อร์กัดริมฝีปากของตนและมองไปที่เหอฉิงด้วยใบหน้าที่ตื่นตะลึง “ผู้ชายคนนี้คือฉินเฟย เพื่อนร่วมชั้นของฉัน คุณดูสิว่าเขาแต่งตัวซอมซ่อขนาดนี้ จะมาเป็นประธานคนใหม่ได้อย่างไร?”
นี่มันเป็นไปไม่ได้! ไหนเลยที่ประธานคนหนึ่งจะมาสวมเสื้อผ้าข้างถนน ถือแพนเค้กผลไม้และจักรยานยนต์ไฟฟ้า? และเมื่อคืนนี้เธอเพิ่งเข้าร่วมงานเลี้ยงของเพื่อนร่วมชั้น แต่ไม่มีเพื่อนร่วมชั้นคนไหนสนใจฉินเฟยด้วยซ้ำ!
“ถ้านี่คือฉินเฟย อย่างนั้นก็ไม่ผิด” เมื่อได้ยินชื่อที่เสิ่นหลิงเอ๋อร์เอ่ยออกมา เหอชิงก็พยักหน้าอย่างจริงจัง “ประธานคนใหม่คือ ฉินเฟย แถมฉันยังมีรูปของเขาอยู่ในโทรศัพท์มือถือด้วย”
“หึ่ง!”
ในพริบตา ทันทีหัวของเสิ่นหลิงเอ๋อร์ก็ว่างเปล่า!
เธอรู้สึกว่าขาของเธออ่อนยวบเล็กน้อย และไม่แม้แต่จะกล้ามองไปที่ฉินเฟย
หัวหน้ารปภ.เองก็ถึงกับโซเซถอยหลังไปสองก้าวแล้วนั่งลงบนพื้นทันที
ส่วนเสิ่นเจียเหวินที่อยู่ด้านข้างก็หน้าซีดเผือด
ในฐานะรองประธาน เธออยู่ต่ำกว่าคนเพียงหนึ่งคนและเหนือกว่าใครอีกหมื่นคนในว่านเซียง มูวี แต่เธอก็เป็นเพียงรองประธาน
เท่านั้นเอง
เมื่อกี้นี้ ตนถึงกับเอ่ยข่มขู่ว่าจะไล่ประธานออกไป อีกทั้งยังให้ประธานคนใหม่ทำความสะอาดหน้าประตู?
เสิ่นเจียเหวินรู้สึกแค่ว่าหนังศีรษะของตนชาไปทั่วเท่านั้น ใบหน้าเรียวไข่ของเธอแสดงสีหน้าที่หลากหลายออกมา!
“คุณฉิน ประธานฉิน ฉันขอโทษค่ะประธานฉิน เป็นฉันที่มีตาหามีแววไม่…” เสิ่นเจียเหวินสีหน้าซีดขาวราวกับกระดาษ เธอเดินไปหน้าฉินเฟยและโค้งคำนับเก้าสิบห้าองศา
โค้งเก้าสิบห้าองศาคือการแสดงความเคารพและขอโทษ!
“ผมคงรับของขวัญชิ้นใหญ่นี้ของคุณไม่ไหวหรอก” ฉินเฟยเยาะเย้ย “เสิ่นหลิงเอ๋อร์เป็นเพื่อนร่วมชั้นของผม ส่วนคุณก็นามสกุลเสิ่น หน้าตาก็ดูคล้ายกันอยู่บ้าง พวกคุณคงเป็นญาติกันใช่ไหม?”
เสิ่นเจียเหวินตัวสั่น เธอกัดริมฝีปากและกระซิบ “ฉันเป็นพี่สะใภ้ของหลิงเอ๋อร์ ประธานฉิน ฉันผิดไปแล้ว… ฉันรู้แล้วจริงว่าตนผิดไปแล้ว ฉัน…” เสิ่นเจียเหวินก้มหน้าลงอย่างแรงและเหลือบมองที่เสิ่นหลิงเอ๋อร์
อันที่จริง มีผู้บริหารของบริษัทจำนวนมากใช้อำนาจของตนในการนำญาติบางคนมาที่บริษัท แม้ว่าเรื่องแบบนี้จะไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ก็ต้องถูกวิพากษ์วิจารณ์เช่นกัน โดยเฉพาะต่อหน้าประธานบริษัท
ที่สำคัญคือเธอและเสิ่นหลิงเอ๋อร์ยังเคยเย้ยหยันใส่ฉินเฟย และบอกว่าตนเองจะไล่ประธานออก
“ช่างเถอะ” ฉินเฟยโบกมือ เขาขัดจังหวะสิ่งที่เธอต้องการจะพูดและหันไปมองหัวหน้ารปภ.ซึ่งนั่งอยู่บนพื้น
เมื่อเห็นว่าฉินเฟยมองไป หัวหน้ารปภ.ก็ก้มหน้าลงอย่างรวดเร็ว เหงื่อออกก้อนโตก็ไหลลงมา
“คิดเงินเดือนเดือนนี้ให้เขา แล้วไล่ออก!” ฉินเฟยเอ่ยจบก็หันตัวเข้าไปในบริษัท
“ค่ะ” เหอฉิงพยักหน้าด้วยความเคารพ
กลุ่มคนติดตามด้านหลังฉินเฟยไปและเดินเข้าไปในบริษัท
พนักงานที่ล็อบบี้ชั้นล่างก็กำลังพูดถึงเรื่องนี้
เสิ่นหลิงเอ๋อร์และเสิ่นเจียเหวินก็ติดตามเขาไปด้วยเช่นกัน แต่ฉินเฟยเดินเร็วมาก แต่เสิ่นเจียเหวินในฐานะรองประธานบริษัทกลับไม่กล้าพูดอะไรสักคำและได้แต่วิ่งเหยาะๆ ตามไปด้วยรองเท้าส้นสูง
ต้องบอกว่าว่านเซียง มูวีนั้นหรูหรามากไปจริงๆ ว่ากันว่าการตกแต่งเพิ่งเริ่มขึ้นเมื่อไม่กี่เดือนก่อน เวลากว่าสามเดือนเต็มๆ มันก็ออกมางดงามราวกับพระราชวัง
ข่าวการแต่งตั้งประธานบริษัทคนใหม่ในแพร่กระจายไปทั่วบริษัทอย่างรวดเร็ว
อาคารว่านเซียง มูวีมีทั้งหมด 16 ชั้น เมื่อมาถึงห้องทำงานของประธานที่ชั้นบนสุด ฉินเฟยก็นั่งลงบนเก้าอี้
เมื่อมองไปรอบๆ ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจในใจ นี่เป็นครั้งแรกที่ตนได้มาอยู่ในที่ที่มีบรรยากาศแบบนี้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ที่ตระกูลฉินล้มละลายไปเมื่อสี่ปีก่อน
“ท่านประธาน เรา……พวกเรา……”
ที่หน้าโต๊ะ เสิ่นเจียเหวินและเสิ่นหลิงเอ๋อร์ยืนอยู่ตรงนั้นและก้มหน้าลงอย่างเรียบร้อย ไม่มีท่าทีวางตัวแบบก่อนหน้านี้อีกต่อไป
“ประธานฉิน…ฉันขอโทษสำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้” เสิ่นเจียเหวินกัดริมฝีปากของตนราวกับต้องการเรียกความกล้าหาญ “ประธานฉิน หลิงเอ๋อร์เธอยังสามารถเซ็นสัญญากับบริษัทของเราได้หรือไม่? ประธานฉิน ขอแค่คุณยอมรับปาก ฉันจะทำทุกอย่างตามที่คุณขอ”
“ทำทุกอย่างตามที่ขอ?” ฉินเฟยยิ้มน้อยๆ ประโยคนี้พูดได้น่าสนใจมาก!
พูดตามตรง ในความเห็นของฉินเฟย เสิ่นเจียเหวินนั้นยังสวยกว่าเสิ่นหลิงเอ๋อร์ นั่นเพราะเธอดูแลตัวเองเป็นอย่างดี ร่องรอยของกาลเวลา เหลือไว้แค่เพียงกลิ่นอายความเป็นหญิงสาวเต็มตัวมากขึ้นก็เท่านั้น เมื่อพวกเธอยืนอยู่ด้วยกันก็ดูเหมือนพี่น้อง
ทำทุกอย่างตามที่ขอ?
ร่างกายของเสิ่นหลิงเอ๋อร์สั่นเทา เธอมองไปที่พี่สะใภ้ด้วยความตะลึง จากนั้นก็เงยหน้ามองไปที่ฉินเฟย “ประธานฉิน ฉันขอโทษสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ เป็นฉันที่สร้างปัญหา ฉันจะไปเสียตั้งแต่ตอนนี้ แต่คุณอย่าได้ทำให้อาสาวของฉันต้องลำบากใจเลย”
เมื่อเห็นเสิ่นหลิงเอ๋อร์โค้งคำนับและเตรียมจะจากไป ฉินเฟยก็เลิกคิ้วขึ้นแล้วพูดว่า “ผมบอกให้คุณไปแล้วหรือไง?”
เสิ่นหลิงเอ๋อร์หันกลับมาด้วยความตะลึง เธอกัดริมฝีปากอย่างแรง ตนเองได้ขอโทษไปแล้วอีกทั้งยังบอกว่าจะจากไป แล้วฉินเฟยยังต้องการอะไรอีก?
แน่นอนว่าเธอไม่อยากจากไป ประการแรกคือก่อนหน้านี้เพื่อนร่วมชั้นของเธอได้เอ่ยชมเธอจนตัวลอยไปแล้ว บอกว่าตนจะต้องเซ็นสัญญากับว่านเซียง มูวีได้สำเร็จอย่างแน่นอน ประการที่สอง ว่านเซียง มูวีนั้นเป็นแพลตฟอร์มที่แทบจะดีที่สุดในประเทศจีนซึ่งเธอสามารถแสดงความสามารถของเธอที่นี่ได้
แต่ตอนนี้เธอไปหาเรื่องประธานบริษัทเข้า แม้ว่าอาสาวของเธอจะช่วยประนีประนอมให้ได้อยู่ต่อ แต่เกรงว่าทั้งชีวิตตนคงไม่มีโอกาสได้ปรากฏตัวในภาพยนตร์แล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น เธอไม่ต้องการให้อาสาวของเธอต้องทำแบบนี้
ฉินเฟยยิ้มน้อยๆ
“อยู่ต่อเถอะ ในฐานะผู้มาใหม่ คุณควรฟังการจัดการของบริษัทและปรับปรุงตัวเองซะ เสิ่นเจียเหวินอบรมเธอให้ดี ให้เธอเข้าร่วมในกิจกรรมโดยเร็วที่สุด สร้างดาวดวงใหม่ขึ้นมา”
เสิ่นหลิงเอ๋อร์เงยหน้ามองไปที่ฉินเฟยด้วยสีหน้าตกใจ ในหัวส่งเสียงร้องหึ่งและคิดว่าตนกำลังฝันไปรึเปล่า
เสิ่นเจียเหวินเองก็ยังอ้าปากกว้างและไม่สามารถพูดอะไรได้อยู่นาน
“ทำไม? ไม่ยินยอม?” ฉินเฟยหัวเราะ
“ยินยอมยินยอม ฉันย่อมยินยอม” เสิ่นหลิงเอ๋อร์พยักหน้ารัวๆ ดวงตาของเธอแดงก่ำเล็กน้อย
“ขอบคุณประธานฉิน ขอบคุณประธานฉิน ขอบคุณ…” เสิ่นเจียเหวินร้องไห้ด้วยความดีใจ เธอโค้งคำนับให้ฉินเฟยตลอดเวลา จนแทบจะคุกเข่าขอบคุณ
ฉินเฟยยิ้มและพยักหน้า
แน่นอนว่าเขาไม่ไล่เสิ่นหลิงเอ๋อร์ออกไป แต่ถึงอย่างนั้น เสิ่นเจียเหวินที่โกรธก็ไม่กล้าพูดออกมาแต่เธอก็กลับไปทำให้เขาขุ่นเคือง ฉินเฟยเพิ่งเข้ารับตำแหน่งและไม่เข้าใจหลายสิ่งหลายอย่าง มีหลายสิ่งที่เขายังต้องการการสนับสนุนจากเสิ่นเจียเหวิน รองประธาน
เสิ่นหลิงเอ๋อร์ไม่เพียงแต่สวยแต่ยังมีพรสวรรค์อีกด้วย มีก็แค่นิสัยออกจะหยิ่งเกินไป แบบนี้ก็ถือว่าทำให้เธอว่าง่ายขึ้นมาแล้ว
สร้างบุญคุญให้คนสองคนกับสร้างศัตรูให้คนสองคน ใครจะไปเลือกอย่างหลังกัน?
การเซ็นสัญญากับว่านเซียง มูวีเป็นโอกาสของเสิ่นหลิงเอ๋อร์ แล้วสำหรับฉินเฟยก็ไม่ต่างกันไม่ใช่หรือ? เขาอยู่เฉยๆ มาสามปีแล้ว ดังนั้นจึงไม่อยากเป็นคนอยู่เฉยไม่ทำอะไรอีก
เสิ่นเจียเหวินมองไปที่ฉินเฟย ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง ถึงแม้ว่าตอนนี้ฉินเฟยจะยังคงใส่เสื้อผ้าตามท้องตลาด แต่เมื่อเขากำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ของประธาน กลับทำให้เธอรู้สึกถึงบารมีขึ้นมา
เสิ่นเจียเหวินหน้าแดงและกัดริมฝีปากของตน “ท่านประธานฉิน ฉัน…”
เสิ่นเจียเหวินกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ผลคือในเวลานี้ เลขาเหอฉิงก็เคาะประตูและเดินเข้ามาพร้อมเอกสารในอ้อมแขนของเธอ
“ประธานฉิน เจียงเฉิงเย่จากตระกูลเจียงต้องการพบคุณและพูดคุยเกี่ยวกับความร่วมมือ”

สาวงามไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ล้วนได้รับการดูแลเสมอ
เมื่อเสิ่นหลิงเอ๋อร์พูดออกมา หลายคนที่ดูมองดูเรื่องสนุกตรงหน้าก็เข้าใจทันที เป็นฉินเฟยที่เล่นโทรศัพท์มือถือไปและรับประทานอาหารไป จนเดินเร็วเกินไปและชนเข้ากับประตูรถที่เปิดออกโดยคนสวย
และสิ่งที่น่าเกลียดที่สุดคือแพนเค้กผลไม้ของเขายังทำให้กระโปรงของเธอสกปรกด้วย!
ชั่วขณะหนึ่ง ผู้คนก็ชี้ไปที่ฉินเฟย บอกว่าเขาเป็นพวกขี้แพ้ที่น่าสงสาร เป็นคนจนที่ไม่มีคุณภาพ!
“ฉันเดินเร็วไปหน่อย แต่ว่าเธอก็ควรตรวจสอบก่อนว่ามีใครอยู่ข้างหลังหรือไม่ก่อนที่จะเปิดประตู” ฉินเฟยสีหน้าอ่อนใจ
“ทำอะไรกัน อย่ามารวมกันที่หน้าบริษัท” คราวนี้ก็มีเสียงผู้ชายดังเข้ามา ผู้มาถึงสวมชุดรักษาความปลอดภัยพร้อมโลโก้ของ ว่านเซียง มูวี ที่หน้าอกด้านซ้าย
คนที่มาคือหัวหน้ารปภ. ด้านหลังยังตามด้วยรปภ.หลายคนเดินตามมาอย่างรวดเร็ว
“ยังจะเกิดอะไรขึ้นอีก? ฉันมาที่บริษัทของนายเพื่อเซ็นสัญญา แต่คิดไม่ถึงว่าผู้ชายคนนี้จะมาเดินชนรถของฉัน แถมยังทำกระโปรงของฉันเปื้อนด้วย!” เสิ่นหลิงเอ๋อร์กล่าวอย่างโกรธเคือง
โว้ว!
ผู้ชมต่างประหลาดใจ ไม่น่าแปลกใจที่เสิ่นหลิงเอ๋อร์สวยมากขนาดนี้ ที่แท้ก็เป็นดาราใหญ่ที่มาเซ็นสัญญากับว่านเซียง มูวี!
หัวหน้ารปภ.ตะลึงไปและอดไม่ได้ที่จะมองดูเสิ่นหลิงเอ๋อร์ เขาไม่รู้จักเสิ่นหลิงเอ๋อร์และคิดว่าเธอก็คงไม่ได้มีชื่อเสียงอะไรมากนัก แต่เธอคงมีทุนสนับสนุนสินะ คนแบบนี้ต้องเอาใจ ไม่สามารถไปทำให้ขุ่นเคืองได้
ในเวลานี้ รปภ.คนหนึ่งกระซิบที่หูของกัปตันแล้วพูดอะไรบางอย่าง
ทีมรปภ.มองไปที่จักรยานยนต์ไฟฟ้าที่จอดอยู่ไม่ไกลออกไป และมองดูรูปลักษณ์ที่ซอมซ่อของฉินเฟย พวกเขาก็ด่าทันทีด้วยความรังเกียจและถามว่า “นี่นายทำอะไร? ไม่รู้หรือไงว่าว่านเซียง มูวีไม่อนุญาตให้จอดจักรยานยนต์ไฟฟ้าที่ประตู? รีบเข็นมันออกไปเร็วๆ”
“ไม่ได้รับอนุญาต? ใครพูดอย่างนั้น?” ฉินเฟยถามอย่างประหลาดใจ
“ใครพูด? ฉันพูดเอง!” หัวหน้ารปภ. ก้าวไปข้างหน้าอย่างโกรธเคือง “ฉันจะให้เวลานายครึ่งนาที รีบขอโทษคุณผู้หญิงคนนี้ซะ นอกจากนี้รีบทำความสะอาดขยะของนายให้ฉันทันที!”
หัวหน้ารปภ.ยิบตา รปภ. หลายคนที่อยู่ข้างหลังเขาก็ล้อมฉินเฟยไว้ทันที
หัวหน้ารปภ. หัวเราะเยาะ “ถ้าไม่งั้น ฉันจะโยนนายออกไปพร้อมรถซะ!”
เมื่อเห็นท่าทางวางอำนาจของหัวหน้ารปภ. เสิ่นหลิงเอ๋อร์ก็เผยรอยยิ้มออกมา
“ทำไม ว่านเซียง มูวีปฏิบัติกับคนที่มาสมัครงานแบบนี้ล่ะ? แล้วแบบนี้ใครจะอยากมาทำงาน?” ฉินเฟยกลอกตาแล้วพูดออกมา
“สมัครงาน?” กัปตัน รปภ. ตกตะลึง
เสิ่นหลิงเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ เยาะเย้ย “นายมาสมัครเป็นรปภ.หรือไง?”
หัวหน้ารปภ. มองไปที่ฉินเฟย ก็จริง เจ้าหนุ่มนี่ท่าทางดูยากจน ทั้งตัวเต็มไปด้วยสินค้าข้างทาง แถมยังขี่จักรยานยนต์ไฟฟ้าและกินแพนเค้กผลไม้ จะต้องมาสมัครเป็นรปภ.แน่
“ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับคุณหนู ผมจะจัดการเอง” หัวหน้ารปภ. มองเสิ่นหลิงเอ๋อร์อย่างประจบสอพลอ จากนั้นก็เยาะเย้ยใส่ฉินเฟย “นายไม่จำเป็นต้องมาสัมภาษณ์แล้ว ไปให้พ้น”
ท่าทางการปฏิบัติแบบนี้ของบริษัทจะต้องได้รับการปรับปรุงแล้ว ฉินเฟยมองไปที่หัวหน้ารปภ.ที่ดูหยิ่งผยอง ก็แค่รปภ.คนหนึ่งแต่กลับวางอำนาจขนาดนี้เชียว
“คุณเป็นคนสัมภาษณ์ผมเหรอ?” ฉินเฟยรู้สึกตลกเล็กน้อย “นอกจากนี้ ฝ่ายทรัพยากรบุคคลต่างหากที่ควรมีสิทธิ์ในการไล่พนักงานออก นายที่เป็นรปภ.มีอำนาจมากขนาดนั้นเชียว?”
“นาย!” หัวหน้ารปภ. สะอึกไปทันที เขาไม่มีสิทธิ์สัมภาษณ์และเลิกจ้างพนักงานของบริษัทจริงๆ นั่นแหละ
แต่เนื่องจากผู้ชายคนนี้กำลังมาสัมภาษณ์ รปภ. และตนก็เป็นหัวหน้ารปภ. ดังนั้นหากมาเป็นลูกน้องของตนละก็ยังหวังว่าจะได้อยู่ดีหรือไง?
“ฉินเฟย ฉันเพิ่งรู้ว่านายไร้ยางอายมากขนาดนี้!” เสิ่นหลิงเอ๋อร์เดินไปหาฉินเฟยด้วยใบหน้าที่เย็นชา ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความรังเกียจและเอ่ยเยาะเย้ย “หัวหน้ารปภ. ไม่สามารถไล่คุณออกได้ใช่ไหม?”
“อย่างนั้นนายก็วางใจได้ เพราะมีคนคนนั้นอยู่!”
พูดไป เสิ่นหลิงเอ๋อร์ก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาและส่งข้อความ WeChat
ผ่านไปครู่หนึ่ง เธอก็เห็นหญิงสาวสวยสวมชุดทำงานอย่างเป็นมืออาชีพรีบเดินออกจากบริษัทมาอย่างรวดเร็ว ท่าทางดูทรงพลังมาก
ผู้หญิงคนนั้นสวยมาก เธออายุสามสิบกว่าแล้วแต่มีใบหน้าที่บอบบาง ดูแล้วค่อนข้างคล้ายกับเสิ่นหลิงเอ๋อร์แต่มีความเป็นผู้ใหญ่และมีความเป็นหญิงสาวมากกว่า ขายาวคู่นั้นภายใต้กระโปรงสวมถุงน่องผ้าไหม ให้ความเซ็กซี่ของหญิงสาวเต็มตัว
เสิ่นเจียเหวินรองประธานของ ว่านเซียง มูวี
“รองประธานเสิ่น”
เมื่อผู้หญิงในชุดทางการปรากฏตัว รปภ.ทั้งหมด รวมทั้งหัวหน้ารปภ. ก็โค้งคำนับเธอ
“รองประธานเสิ่น” เสิ่นหลิงเอ๋อร์เองก็รีบเอ่ย เสิ่นเจียเหวินเป็นพี่สะใภ้ของเธอ เพียงแต่พี่สะใภ้ของเธอกำชับว่าห้ามเรียกแบบนั้นต่อหน้าคนอื่น เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกวิพากษ์วิจารณ์
เนื่องจากความสัมพันธ์นี้ ประกอบกับว่านเซียง มูวี ได้ย้ายมาที่ซงไห่ เสิ่นหลิงเอ๋อร์จึงสามารถเซ็นสัญญากับว่านเซียง มูวีได้
เสิ่นเจียเหวินพยักหน้าให้เสิ่นหลิงเอ๋อร์ เมื่อเหลือบมองซอสพริกที่น่าขยะแขยงบนกระโปรงของเธอเข้าก็ขมวดคิ้วแน่น เธอหันไปหาฉินเฟยและมองดูเขาอย่างเย็นชา ก่อนจะพูดออกคำสั่งอย่างไม่ต้องสงสัย “ขอโทษเสิ่นหลิงเอ๋อร์ซะ!”
ขอโทษ?
ฉินเฟยรู้สึกแค่ว่านี่ช่างน่าตลกเท่านั้น “ทำไมผมต้องขอโทษด้วย? คุณเป็นใคร? มีอำนาจสุดท้ายในบริษัทนี้หรือไง?”
“นี่เป็นคนโง่หรือ ถึงได้ไม่รู้จักรองประธานเสิ่น?”
“ใช่ ถ้ายังไม่ขอโทษ ก็จะถูกไล่ออกแน่”
เสิ่นเจียเหวินมองที่ฉินเฟยอย่างเย็นชาและพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา “ฉันไม่ใช่คนที่มีอำนาจสุดท้ายในบริษัทนี้ แต่ก็ยังสามารถตัดสินใจเรื่องบางอย่างได้อยู่ ตอนนี้ฉันจะแจ้งให้นายรู้ไว้ในฐานะรองประธาน ไม่ว่าใครเป็นคนจ้างนาย นายก็ถูกไล่ออกแล้ว ทำความสะอาดที่นี่ซะ แล้วขี่จักรยานยนต์ไฟฟ้าของนายไสหัวไปซะ!”
“ให้ผมไสหัวไป?” ฉินเฟยชี้ไปที่ตัวเองอย่างตลกและยิ้ม “ถ้าผมไสหัวไปจริงๆ คุณอย่าได้เสียใจทีหลังล่ะ”
“รองประธานเสิ่นให้นายไสหัวไป ก็ถือว่าไว้หน้านายแล้ว ไม่อย่างนั้น…” หัวหน้ารปภ.เยาะเย้ยฉินเฟย
เขามองไปที่เสิ่นเจียเหวินอย่างเอาใจในทันทีและส่งสายตาเอ่ยถาม ขอแค่เธอพยักหน้า เขาก็จะให้ใครสักคนโยนไอ้คนขี้แพ้ที่น่าสมเพชออกไปทันที
“ปี้นปี้น!”
ในเวลานี้ เสียงแตรรถยนต์ก็ดังขึ้น รถ Bentley คันยาวคันหนึ่งจอดอยู่ข้างหน้าฝูงชน
รถหยุดลงครึ่งทาง จากนั้นก็รีบตามหญิงสาวอายุน้อยคนหนึ่ง
ผู้หญิงคนนั้นสูงและผอมเพรียวมาก เธอสวมชุดสูทสีดำและแว่นกรอบสีดำ ดูเป็นทางการ เซ็กซี่ และเข้มงวด
ผู้หญิงคนนั้นมองดูไปรอบๆ ในไม่ช้าก็เห็นฉินเฟยที่ถูกรายล้อมไปด้วยผู้คน
เลขาเหอฉิงเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็หลีกทางให้จนเธอไปถึงตรงหน้าฉินเฟย
“ประธานฉิน ขอโทษด้วยที่ฉันมาช้า”
เหอฉิงเอ่ยและโค้งคำนับให้ฉินเฟย 90 องศา!

ตอนนี้อำนาจของตระกูลเจียงอยู่ในมือของคุณย่า เจียงเฉิงเย่เป็นที่รักของคุณย่ามาก เขาไม่เพียงแต่ได้ควบคุมดูแลองค์กรที่ใหญ่ที่สุดของตระกูลเจียง แต่ยังมีสินทรัพย์ในมืออีกอย่างน้อย 100 ล้าน ถ้าไปทำให้เขาขุ่นเคือง ก็เท่ากับรนหาที่ตายไม่ใช่หรือไง?
เสิ่นหัวเพิ่งไปเยี่ยมแม่สามีกับสามีของเธอ แต่เมื่อออกมาเธอกลับเห็นว่าไอ้ขยะฉินเฟยกล้าตะโกนใส่เจียงเฉิงเย่ ดังนั้นเธอก็เข้าไปตบหน้าเขาทันที!
“แม่ แม่ตบฉินเฟยทำไม?” เจียงเยว่ถงเองก็ตกใจและรีบลุกขึ้นดึงเสิ่นหัวเอาไว้
แม้ว่าเธอไม่ชอบฉินเฟย แต่ยังไงเสียเมื่อครู่นี้เขาก็ออกหน้าแทนตน ฉินเฟยยืนอยู่ที่นั่น เขารู้สึกร้อนวาบบนใบหน้า ไม่ต้องคิดก็รู้ ว่าตอนนี้บนหน้าของตนกำลังมีรอยนิ้วมือทั้งห้าเด่นชัดขึ้นอยู่
แต่สายตาของเขากลับจับจ้องไปที่เจียงเยว่ถง มุมปากของเขาแสดงรอยยิ้มออกมา
สามปี!
เป็นเวลาสามปีแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เจียงเยว่ถงปกป้องตัวเองแบบนี้ แถมยังตั้งคำถามว่าทำไมเสิ่นหัวถึงทุบตีเขา!
ฉินเฟยเองก็ไม่ได้พูดอะไร เขายิ้มและหันหลังกลับ
“ไอ้ขยะ ใครให้นายไป ไสหัวกลับมาให้ฉันเดี๋ยวนี้”
ฉินเฟยไม่สนใจคนที่มองเขาอยู่ด้วยสายตาที่แปลกประหลาดต่างๆ เหล่านั้น เขาเดินออกจากประตูวิลล่าไปและยังคงได้ยินเสียงด่าว่าด้วยความโกรธของเสิ่นหัว
ระหว่างที่ทุกคนรอชมความครื้นเครงอยู่นั้น จู่ๆ ก็มีเสียงชราดังขึ้น
“มีเรื่องอะไรกัน ทำไมเอะอะกันขนาดนั้น?”
ขณะที่คุณย่าเจียงพูด เธอก็เดินขึ้นไปบนเวทีด้วยความช่วยเหลือของเจียงเฟิ่งหยุน ห้องโถงที่แต่เดิมกำลังเอะอะเงียบลงในทันใด
ตระกูลเจียงมีลูกชายสามคน เจียงเฟิ่งหยุนเป็นลูกชายคนที่สามของตระกูลเจียง
เจียงเฟิ่งหยู่เป็นลูกชายคนโตของตระกูลเจียง ซึ่งก็คือพ่อของเจียงเฉิงเย่ ตอนนี้เขาเป็นอัมพาตครึ่งตัวนอนติดเตียง ส่วนลูกชายคนที่สองของตระกูลเจียงก็เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ไปเมื่อหลายปีก่อน
เหลือก็แค่เจียงเฟิ่งหยุนคนเดียว แต่เขากลับมีนิสัยอ่อนโยน ไม่มีความทะเยอทะยาน และไม่มีความสนใจในกิจการบริษัทสักเท่าไหร่
ดังนั้น ตระกูลเจียงในจึงขาดคนมีความสามารถ
ตระกูลใหญ่เหล่านี้มักชอบลูกชายมากกว่าลูกสาว พวกเขาเชื่อว่ามีแค่ผู้ชายเท่านั้นที่สามารถสืบสานตระกูลให้มีลูกหลายสืบทอดกราบไหว้บรรพบุรุษต่อไปได้ เจียงเฉิงเย่เป็นหลานชายคนโตของตระกูลเจียงและมีความสามารถอยู่บ้าง และที่สำคัญคือเขาเอาใจคนเก่ง ดังนั้นคุณย่าเจียงจึงชอบเขามาก
“พอได้แล้ว ไม่ต้องเกร็งขนาดนั้น นั่งกันเถอะ” คุณย่าเจียงโบกมือและนั่งลงช้าๆ ด้วยความช่วยเหลือของเจียงเฟิ่งหยุน “เราทุกคนน่าจะรู้แล้วว่าว่านเซียง มูวีกำลังจะย้ายมาที่ซงไห่ จากข้อมูลที่เชื่อถือได้ ไม่ใช่จางจงเยว่ที่เป็นประธานของว่านเซียง มูวี แต่เป็นคนอื่น ว่ากันว่ายังเด็กมากและจะเข้ารับตำแหน่งในวันพรุ่งนี้”
วาบ!
ชั่วครู่ ก็มีเสียงกระซิบและพูดคุยกันดังขึ้น ตระกูลเจียง กรุ๊ปเองก็เป็นกลุ่มบริษัทที่ครอบคลุมหลายอย่าง แน่นอนว่าอุตสาหกรรมไหนทำเงินได้ก็ทำอันนั้น บริษัทโฆษณา บริษัทอสังหาริมทรัพย์ และบริษัทเสื้อผ้าต่างก็มีอยู่
หลังจากที่ ว่านเซียง มูวีย้ายมาที่นี่ มันจะต้องเป็นบริษัทบันเทิงที่ใหญ่ที่สุดในเมืองซงไห่อย่างไม่ต้องสงสัย ความร่วมมือกับพวกเขาจะต้องทำเงินได้แน่!
ว่านเซียง มูวีเปิดดำเนินการมาตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว แต่เนื่องจากประธานบริษัทคนใหม่ยังไม่เข้ารับตำแหน่ง อีกทั้งยังไม่ยอมรับความร่วมมือใดๆ ชั่วคราว
ตอนนี้ประธานคนใหม่เข้ารับตำแหน่งแล้ว ฉันไม่รู้ว่ามีบริษัทในซงไห่ตั้งตารอที่จะขอร่วมมือด้วยมากมายขนาดไหน
แน่นอนว่าตระกูลเจียง ก็ควรลองดูว่าพวกเขาจะสามารถขอแบ่งเค้กมาได้ไหม
“ถ้าเราสามารถพูดคุยเกี่ยวกับความร่วมมือกับว่านเซียง กรุ๊ปในครั้งนี้ได้ อย่างนั้นมันก็จะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อตระกูลเจียงของเรา!”
“ฉันจะไป!”
“คุณย่า ฉันก็จะไป ฉันทำได้แน่!”
“ฉันก็อยากลองเหมือนกัน”
ทุกคนยกมือขึ้นอย่างรวดเร็ว มีเพียงเจียงเยว่ถงเท่านั้นที่นั่งอยู่ที่นั่นอย่างเงียบ ๆ เพราะเธอรู้ว่าเรื่องดีๆ แบบนี้ไม่มีทางตกมาถึงเธอแน่
เมื่อมองดูความกระตือรือร้นและความมั่นใจของคนรุ่นใหม่ คุณย่าเจียงก็พยักหน้าด้วยความชื่นชมและชี้ไปที่เจียงเฉิงเย่ “เฉิงเย่ พรุ่งนี้นายไปลองดู”
เจียงเฉิงเย่ยิ้มทันทีและพยักหน้าอย่างตื่นเต้น “คุณย่าไม่ต้องห่วง ผมจะต้องทำความร่วมมือได้สำเร็จแน่ในวันพรุ่งนี้!”
หลังจากที่ฉินเฟยออกไปตามลำพัง เขาก็อยู่ข้างนอกครู่หนึ่งแล้วนั่งแท็กซี่ไปที่ร้านน้ำชาวินเยว่
ฉินเฟยไม่อยากกลับบ้าน แต่ก็น่าตลกที่เขาพบว่า ตนไม่มีเพื่อนเลยสักคน บังเอิญกับที่จางจงเย่กำลังจะจากไปในวันพรุ่งนี้ ดังนั้นฉินเฟยจึงไปพบเขาอีกครั้ง
จางจงเยว่ได้เปลี่ยนเป็นชุดลำลอง บางทีหลังจากทำงานใช้สมองอย่างหนักและพบความกดดันในบริษัทมานานหลายปี เขาจึงดูแก่ไปบ้างในวัย 43 ปี
“นายน้อย ผมได้ยินจากพ่อของคุณว่าคุณแต่งงานมาหลายปีแล้ว?”
เห็นได้ชัดว่าจางจงเยว่เจอฉินเฟยผ่านพ่อของเขา จากนั้นถึงได้โทรมาสอบถามอย่างเช่นก่อนหน้า
“อืม ฉันแต่งงานมาสามปีแล้ว” ฉินเฟยเอ่ยและมองไปที่จางจงเยว่ตรงหน้าเขาด้วยสายตาสบายๆ “คุณคงไม่ได้ไม่ไปหาเลยหลังจากหย่าร้างใช่ไหม? เธอไม่ได้มาหาคุณเลยอีกเลยหรือ?”
ในตอนนั้นที่จางจงเย่ล้มละลายเขาได้แต่งงานแล้วและมีลูกชายอยู่หนึ่งคน หลังจากที่เขาล้มละลาย ภรรยาของเขาก็พาลูกชายจากไปด้วย
ตอนนี้ ก็ผ่านไป13 ปีแล้ว จางจงเยว่ประสบความสำเร็จอย่างมากมานานแล้ว
“แน่นอนว่าหาแล้ว แต่ผมไม่สัญญา ผมสามารถเลี้ยงลูกชายคนนั้นได้ หรือแม้แต่สั่งสอนเขาประสบความสำเร็จก็ได้ แต่เธออย่าฝันว่าจะได้แตะต้องเงินของว่านเซียงแม้แต่แดงเดียว ในตอนนั้นผมเนื้อตัวเปล่า มาตอนนี้ประสบความสำเร็จแล้วก็ไม่เกี่ยวกับพวกเขาสักนิด” จางจงเยว่ส่ายหัวและพูดอย่างมั่นคง
ใช่ จางจงเยว่ในตอนนี้เป็นคนที่ประสบความสำเร็จแล้ว เขามีทรัพย์สินมูลค่าหมื่นล้านหยวนต่อหน้าคนนอก และเป็นธรรมดาที่หลายคนจะโลภทรัพย์สินของเขา
ฉินเฟยตระหนักได้ทันทีว่านี่คือเหตุผลที่หลายปีมานี้ จางจงเยว่ไม่ได้ไปหาอีก ก็เพราะเขาต้องการช่วยตัวเองรักษาทรัพย์สินของว่านเซียง และไม่อยากให้ลูกหลานของเขาและคนในครอบครัวมาแตะต้องมัน
ว่านเซียง กรุ๊ป เป็นของฉินเฟย!
เพื่อยุติเรื่องนี้ จางจงเย่ถึงกับเลือกที่จะไม่แต่งงานและมีลูกอีก!
จมูกของฉินเฟยร้อนผ่าวขึ้น และไม่รู้ว่าจะพูดอะไรไปครู่หนึ่ง
“หลายปีมานี้ผมไม่เชื่อว่าคุณไม่ได้เจอผู้หญิงดีๆ แต่งงานซะเถอะ คุณต้องแต่งงาน”
จางจงเยว่ตกตะลึง เขามองไปที่ฉินเฟยอย่างลึกซึ้งและพยักหน้าอย่างตื่นเต้น “ได้ได้ นายน้อยให้ผมแต่งงาน อย่างนั้นผมก็จะแต่งงาน”
“ส่วนลูกชายคนนั้นของผม คุณวางใจได้ ผมจะจัดการอย่างดี”
หลังจากคุยกับจางจงเย่ ฉินเฟยก็รู้สึกดีขึ้นมาก เมื่อกลับถึงบ้านก็เป็นเวลาสามทุ่มกว่าแล้ว เจียงเยว่ถงภรรยาของเขายังคงยุ่งทำงานอยู่ในห้องหนังสือ ส่วนฉินเฟยก็ไปเข้านอน
เรื่องจากเมื่อคืนเขาตื่นเต้นจนกว่าจะนอนก็ดึกดื่น แถมเช้ามาก็ถูกแม่ยายปลุกตื่นตอนเข้า ดังนั้นฉินเฟยจึงนานหลับสบายอย่างยิ่งในคืนนี้
ฉินเฟยตื่นสายอีกครั้ง เจียงเยว่ถงไปทำงานแล้ว ฉินเฟยหลังจากอาบน้ำอาบเสร็จก็รีบไปที่ว่านเซียง มูวี ด้วยจักรยานยนต์ไฟฟ้า
จางจงเยว่บอกเขาว่าเลขาเหอฉิงกำลังรอเขาอยู่ในบริษัท
ว่านเซียง มูวี ตั้งอยู่ในเขตพัฒนาใหม่ ซึ่งเป็นย่านธุรกิจที่เจริญรุ่งเรืองที่สุด
มีรถหรูหลายแถวจอดอยู่หน้าบริษัท รวมทั้งรถสปอร์ตจำนวนไม่น้อย คาดว่าเป็นรถของดาราในบริษัท ฉินเฟยรู้สึกอายเล็กน้อยเมื่อมองดูรถยนต์หรูหราทุกประเภทและมองดูจักรยานยนต์ไฟฟ้าที่อยู่ใต้ที่นั่งของเขา ออกจะดูซอมซ่อไปหน่อยจริงๆ
ดูเหมือนว่าจะได้เวลาซื้อรถใหม่แล้ว บ้านอยู่ห่างจากบริษัทมากเกินไป จักรยานยนต์ไฟฟ้าวิ่งไปครึ่งชั่วโมงแล้ว
ฉินเฟยหยิบแพนเค้กผลไม้ที่เขาซื้อระหว่างทางออกมา ด้านหนึ่งก็หยิบโทรศัพท์มือถือของเขาออกมาและหาหมายเลขของเลขาเหอชิง
ในขณะนี้เอง จู่ๆ ฉินเฟยก็รู้สึกได้ถึงเงามืดวาบมาข้างหน้าเขา จากนั้นเมื่อเงยหน้าขึ้นก็ชนกับมัน!
“อ๊ะ ปัง!”
เพราะเขาเดินเร็วเกินไป เลยไม่คิดว่าประตูรถที่วิ่งผ่านจู่ๆ จะเปิดขึ้นทันใด!
ฉินเฟยที่ชนเข้าก็ถึงกับเวียนหัว แพนเค้กผลไม้ของเขากระจัดกระจายไปทั่วพื้น โทรศัพท์มือถือก็ตกลงไปที่พื้นเช่นกัน!
เวรเอ๊ย!
ฉินเฟยโกรธขึ้นมา คนคนนี้เปิดประตูไม่ได้มองในกระจกมองหลังหน่อยหรือไงว่ามีใครผ่านไปรึเปล่า?
เมื่อฉันมองดูมันก็คือบีเอ็มดับเบิลยู X5 โอเพ่นท็อปทรอท สีขาว ข้างในนั้นก็มีผู้หญิงคนหนึ่ง กำลังหันไปหยิบกระเป๋า เธอสวมกระโปรงสีขาวหิมะ สองขาเรียวยาวดึงดูดสายตาคน
ฉินเฟยมองไปที่โทรศัพท์มือถือบนพื้น ในเวลานี้หน้าจอของมันแตกออก แม้แต่แบตเตอรี่ก็หลุดออกมา เขาอยากจะร้องไห้โดยไม่มีน้ำตา
ในเวลานี้ที่เป็นเวลาทำงาน เป็นเพราะฉินเฟยร้องออกมาด้วยความเจ็บ ทำให้มีคนจำนวนมากที่อยู่ใกล้ๆ หันมาชี้ดูเรื่องเอะอะที่เกิดขึ้น
“เกิดอะไรขึ้น? หา รถของฉัน!”
ก่อนที่ฉินเฟยจะได้โมโห จู่ๆ ผู้หญิงที่เปิดประตูก็ชิงโมโหขึ้นมาก่อน
เมื่อเสียงจบลง สาวสวยก็เดินออกจาก BMW mini trot ใบหน้าที่สวยงามของเธอทำให้ทุกสิ่งรอบตัวเธอดูซีดเซียวลงไป
“ว้าว สาวสวย!”
จู่ๆ ก็มีเสียงร้องด้วยความประหลาดใจออกมา ทันทีที่หญิงสาวปรากฏตัว เธอก็ดึงดูดความสนใจของทุกคนในทันที ผู้ชายต้องหลงรักเธอและผู้หญิงล้วนอิจฉาเธอ
ผู้หญิงคนนั้นสวมกระโปรงสั้นสีขาว ร่างกายส่วนบนของเธอเป็นชุดเข้ารูปผ้าทอสีขาว ยิ่งซึ่งทำให้รูปร่างของเธอดูเซ็กซี่
สาวสวยคนนี้ ไม่ว่าไปที่ไหนก็ต้องเป็นจุดสนใจ
“เสิ่นหลิงเอ๋อร์?”
ฉินเฟยตกตะลึง เธอมาเซ็นสัญญาจริงๆ!
ฉินเฟยผุดรอยยิ้ม แม้ว่าจู่ๆ อีกฝั่งหนึ่งจะเปิดประตูและกระแทกโดนเขา แถมโทรศัพท์มือถือของเขาก็แทบจะพังไปแล้ว แต่ตนก็กำลังจะเปลี่ยนมันอยู่พอดี โทรศัพท์มือถือเครื่องเก่ามีฟังก์ชันน้อยเกินไป อีกทั้งเขาก็ไม่ได้รับบาดเจ็บ เพื่อนร่วมชั้น แถมยังเป็นสาวสวย ดังนั้นเขาจึงไม่ได้คิดจะเอาความ
ขณะที่เขากำลังจะไปทักทาย เสิ่นหลิงเอ๋อร์ก็สังเกตเห็นฉินเฟย
“ฉินเฟย นายมาที่นี่ทำไม?”
เสิ่นหลิงเอ๋อร์ขมวดคิ้วและมองไปที่ฉินเฟย ที่เห็นก็ยังคงเป็นฉินเฟยที่แต่งตัวบ้านๆ คนนั้น ดวงตาของเธอก็เต็มไปด้วยความรังเกียจ
เธอหันมองไปที่รถสุดที่รักของตน บนกระจกรถและจุดที่ยืนอยู่ล้วนเต็มไปด้วยเศษผักกาดหอมกระจัดกระจายอยู่ทั่ว นอกจากนี้เธอยีงสังเกตเห็นว่ากระโปรงสั้นของเธอนั้นเปื้อนซอสเผ็ดอีกด้วย น่าขยะแขยงแทบตายแล้ว!
เสิ่นหลิงเอ๋อร์แทบจะเสียสติไปทันที เธอขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความเกลียดชัง “นายตาบอดหรือไง? มากระแทกกับรถฉันได้ยังไง? นายรู้ไหมว่ากระโปรงของฉันราคาเท่าไหร่? นายชดใช้ไหวหรือไง?”

บรรยากาศในรถตึงเครียดขึ้นมาหลังจากเสียงตะโกนและสบถด่าของเสิ่นหัว
ฉินเฟยมองไปที่พ่อตาของเขา จากนั้นก็มองเจียงเยว่ถงที่กำลังขับรถอยู่
“แม่อย่าโกรธสิ” เจียงเฟิ่งหยุนยังไม่ได้พูดอะไร เจียงเยว่ถงที่ขับรถก็พูดเบาๆ
“หึหึ นี่เป็นเรื่องของลูกสาว จะหย่าไม่หย่าก็ขึ้นอยู่กับเธอเป็นคนตัดสินใจ” เจียงเฟิ่งหยุนเองก็เอ่ยขึ้นเช่นกัน
“ลูกสาวตัดสินใจอะไรกัน? ลูกสาวไม่ใช่ของคุณหรือไง?” เสิ่นหัวจ้องไปที่เจียงเฟิ่งหยุนอย่างโกรธจัด จากนั้นก็ชี้ไปที่ฉินเฟยและพูดว่า “ฉันบอกนายเลยนะฉินเฟย หลังจากการประชุมตระกูลในคืนนี้ นายก็รีบไปที่สำนักงานกิจการพลเรือนให้ฉันทันทีแล้วจัดการเรื่องหย่าให้เรียบร้อยซะ แล้วไสหัวไปจากตระกูลเจียงของเรา ได้ยินไหม!”
ฉินเฟยนั่งอยู่ที่นั่นโดยไม่พูดอะไรสักคำ
เวลานี้ในวิลล่าตระกูลเจียงมีรถยนต์หรูหรามากกว่า 50 คันจอดอยู่
เห็นได้ชัดว่าเสิ่นหัวกำลังโกรธเจียงเฟิ่งหยุน เธอดึงลูกสาวของเธอเข้าวิลล่าไป
หลังเจียงเฟิงหยุนลงจากรถ เขาก็เหลือบมองลูกเขยของเขาและพูดกับฉินเฟยเรียบ ๆ ว่า “ลูกผู้ชายไม่ควรเป็นแบบนาย ถ้านายยังเป็นแบบนี้ ฉันก็ตกลงให้ลูกสาวของฉันหย่ากับคุณ”
พูดจบเจียงเฟิ่งหยุนก็ตามเข้าไปในวิลล่า
ฉินเฟยยิ้มอย่างขมขื่นและไม่พูดอะไร
อันที่จริง เขาไม่โทษเสิ่นหัว เจียงเฟิ่งหยุน หรือภรรยาของเขา นั่นเพราะท้ายที่สุด ไม่มีพ่อแม่คนไหนอยากให้ลูกสาวแต่งงานกับขยะไร้ค่าอย่างเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเจียงเยว่ถงโดดเด่นขนาดนี้
ในฐานะผู้หญิง เจียงเยว่ถงยิ่งไม่ต้องการแต่งงานกับผู้ชายโง่เง่าอบ่างตนไปตลอดชีวิต
ที่ฉินเฟยไม่ได้เปิดเผยตัวตนของเขา อันที่จริงเขาต้องการดูว่าเจียงเยว่ถงเป็นคนแบบไหน
ในช่วงสามปีที่ผ่านมาเขาได้เห็นอะไรมากมาย
แม้เจียงเยว่ถงจะดูถูกเขา แต่อย่างน้อยผู้หญิงคนนี้ก็เป็นคนรักนวลสงวนตัวอย่างมาก เธอไม่ยอมให้ตัวเองแตะต้อง และไม่ยอมให้ผู้ชายคนอื่นแตะต้องอย่างแน่นอน และนี่คือเหตุผลที่เขาไม่ได้ออกจากบ้านนี้
ตอนนี้ หลังจากช่วงเวลาสามปีผ่านไป เขาต้องการเห็นทัศนคติที่แท้จริงของเจียงเยว่ถง
เมื่อครอบครัวของเจียงเยว่ถงมาถึง ห้องโถงคริสตัลของวิลล่าก็เต็มไปด้วยผู้คนแล้ว เมื่อพวกเขาเห็นเจียงเยว่ถง หลายคนก็ออกมาต้อนรับพวกเขา
สำหรับพ่อตาและแม่ยาย น่าจะไปหาคุณย่าตระกูลเจียงแล้ว ตอนนี้ตระกูลเจียงมีคุณย่าตระกูลเจียงเป็นคนตัดสินใจทุกอย่าง
ฉินเฟยคุ้นเคยกับมันมานานแล้ว เขาคุ้นเคยกับการเป็นคนไม่มีตัวตน และแน่นอนว่าไม่มีใครสนใจเขา
ฉินเฟยไม่ใส่ใจ ยังไงเสียเขาก็แค่ตามมาชมความครื้นเครง อีกเดี๋ยวเมื่อการประชุมเริ่มขึ้น ตนก็แค่หยิบอะไรดีๆ มายัดลงท้องหน่อยซึ่งนี่ดีกว่าสิ่งอื่นใด
อย่างไรก็ตาม มักจะมีบางคนที่ชอบหาเรื่องและหัวเราะเยาะคนอื่นเพื่อยกระดับสถานะของตนอยู่เสมอ
ตัวอย่างเช่น เจียงเฉิงเย่ ที่ทำอย่างกับฉินเฟยไปนอนกับภรรยาของเขา ทุกครั้งที่เขาเห็นฉินเฟย เจียงเฉิงเย่ก็ต้องหัวเราะเยาะเขาทุกครั้ง
“ไอ้หย่า นี่ไม่ใช่ฉินเฟยเหรอ?” เจียงเฉิงเย่เดินมาข้างหน้าและพูดเสียงดัง “ฉินเฟยเอ๋ย เสื้อที่นายใส่ฉันออกจะคุ้นๆ อยู่นะ นายไปซื้อมันที่แผงขายของในตลาดตงต้าเผิงใช่ไหม ดูเหมือนจะตัวละห้าสิบหยวนนี่?”
ทันทีที่คำพูดของเขาจบลง ฉินเฟยก็กลายเป็นจุดสนใจของผู้ชม ทุกคนมองไปที่ฉินเฟยด้วยสีหน้าขบขัน ราวกับว่ากำลังดูละครอยู่
“ห้าสิบหยวน? นั่นเป็นเพราะคุณไม่ยอมต่อรอง เสื้อตัวนี้ผมต่อจนเหลือยี่สิบเก้าต่างหาก” ฉินเฟยพึมพำ
“ฮ่าฮ่าฮ่า!”
คนรอบข้างพากันหัวเราะคิกคัก ผู้หญิงหลายคนที่อยากจะสงวนกิริยาก็ยังหัวเราะอย่างอดไม่ได้
“นายหุบปากเดี๋ยวนี้!” เจียงเยว่ถงเอ่ยเสียงต่ำ เธอรู้สึกว่าใบหน้าของเธอร้อนผ่าวและถูกฉินเฟยทำให้อับอายขายหน้าอย่างมาก หากไม่ใช่เพราะกฎของตระกูลที่สมาชิกทุกคนจะต้องเข้าร่วมการประชุมกลางปี ตนคงไม่ปล่อยให้เขามาอย่างแน่นอน
“เยว่ถง ไม่ใช่ว่าฉันดูถูกครอบครัวของเธอ สามีของเธอใส่ชุดราคา 29 หยวนก็แล้วไป แต่เธอที่เป็นสมาชิกของตระกูลเจียง ชุดเดรสบนตัวของเธอนี้ดูดีไม่เลว แต่แค่มองก็รู้แล้วว่าของปลอม ราคาก็คงแค่สี่ห้าร้อยหยวนสินะ?” เจียงเฉิงเย่หัวเราะ
“ต่อให้เธอไม่มีเงินซื้อเดรสดีๆ สักตัว แต่จะซื้อของปลอมแบบนี้ได้ยังไง? เห็นสูทของฉันไหม สั่งตัดจากไคลน์ รู้ราคาไหม?”
เจียงเยว่ถงไม่ได้พูดและเจียงเฉิงเย่เองก็ไม่ใส่ใจ เขายื่นนิ้วออกมาและส่ายไปมาหน้าฉินเฟยและเจียงเยว่ถง “หนึ่งล้านพอดี!”
“โว้ว!”
ทันทีที่คำพูดของเขาจบลง คนรอบข้างเขาก็ดูอิจฉาตาร้อน ผู้หญิงหลายคนในตระกูลญาติมิตรก็ดูคลั่งไคล้ขึเนมา ส่วนพวกผู้ชายก็ดูอิจฉาเช่นกัน
เจียงเยว่ถงกัดริมฝีปากของเธอ จริงอยู่ที่ถึงแม้เธอจะแต่งตัวดี แต่ราคาอย่างสูงก็เพียงพันหยวนเท่านั้น เสื้อผ้าราคาเป็นล้านเธอไม่กล้าคิดจะซื้อ
ส่วนชุดที่อยู่บนตัวเธอ ถึงแม้จะมีราคาแพง แต่พูดออกไปก็คงไม่มีใครเชื่อ มีก็รังแต่จะทำให้เจียงเฉิงเย่พูดอย่างโจ่งแจ้งมากขึ้นว่ามันเป็นของปลอม
นอกจากนี้ เธอคิดว่าโจงเซี่ยงเฉียนให้ชุดนี้แก่เธอ ซึ่งธรรมเนียมของตระกูลเจียงนั้นเข้มงวดมากโดยเฉพาะสำหรับผู้หญิง
เธอไม่ต้องการให้ใครมาพูดลับหลังเธอ ว่าเธอกำลังหลอกล่อเศรษฐีบางคน
เหตุผลที่เธอใส่มันเป็นเพราะว่าเธอชอบThe chanrm of heavenนี้จริงๆ และเธอก็หลงรักมัน
เจียงเยว่ถงไม่ได้พูดอะไรซึ่งถือเป็นการยอมรับไปโดยปริยาย เธอรู้สึกว่าทุกคนกำลังหัวเราะเยาะตน ใบหน้าที่งดงามของเธอแสดงให้เห็นร่องรอยของความอับอาย
ผลก็คือ ในเวลานี้จู่ๆ ฉินเฟยก็เดินเข้าไปตบไหล่เจียงเฉิงเย่
“นี่นายเป็นบ้าหรือไง!” เจียงเฉิงเย่ดุด่าอย่างโกรธเคืองทันที “ชุดนี้เป็นของที่มือสกปรกๆ ของนายจะมาจับต้องได้ง่ายๆ หรือไง!”
“หึหึ นายว่าชุดนี้ของนายต่างหากถึงเป็นของปลอม?” ฉินเฟยยิ้มจางๆ เขาหมุนนิ้วชี้ใส่ ท่าทางมั่นใจอย่างมาก
“บ้ารึไง นายจะไปรู้อะไร?” เจียงเฉิงเย่ถลึงตาใส่
“แน่นอนว่าฉันรู้แน่ ชุดสูทนี้ได้รับการออกแบบโดยไคลน์ นักออกแบบแฟชั่นชาวยิวที่มีชื่อเสียงในยุโรป และเป็นผลงานชิ้นเอกชิ้นสุดท้ายของเขาด้วย ล้ำค่าอย่างมาก”
เจียงเฉิงเย่พยักหน้าอย่างภาคภูมิใจ ที่ฉินเฟยพูดนั้นถูกต้อง
ฉินเฟยยิ้มน้อยๆ แต่คำพูดกลับเปลี่ยนเป็นว่า “อย่างไรก็ตาม เนื่องจากมีเพียงชิ้นเดียว ดังนั้นชุดนี้จึงถูกเก็บเอาไว้ในพิพิธภัณฑ์แฟชั่นอิตาลี ดังนั้นชุดนี้บนร่างกายของนาย จะต้องเป็นของเลียนแบบ ชุดนี้นั้นของจริงจะย้อมด้วยสีพิเศษเรียกว่าสีเทากรมและเป็นสิ่งที่ไคลน์ทำขึ้นมาได้โดยบังเอิญ มีแค่เขาเพียงคนเดียวในโลกที่สามารถทำสีย้อมพิเศษนี้ได้ ดังนั้นจึงเป็นที่มาที่ไคลน์ตั้งชื่อนี้เช่นกัน เพราะฉะนั้น ของของนายจึงไม่ใช่แค่ของเลียนแบบเท่านั้น แต่ยังเป็นการเลียนแบบที่หยาบสุดๆ หยาบถึงขั้นแค่ราคาสองร้อยหยวน ก็ถือว่าแพงสุดๆ แล้ว”
ฉินเฟยยิ้มร่าและยื่นสองนิ้วออกมา น้ำเสียงไม่ดัง แต่คนฟังทั้งหมดต่างได้ยิน!
เงียบ เงียบราวกับป่าช้า!
ทุกคนในงานตกตะลึงไป พวกเขายากที่จะจินตนาการได้ว่าคำพูดดังกล่าวนั้นจะออกมาจากปากของฉินเฟย!
“ชุดนี้บนตัวนายต่างหากถึงเป็นของปลอม The chanrm of heavenบนตัวภรรยาของฉันต่างหากที่เป็นของจริง” ฉินเฟยเอ่ยคำต่อคำ “นายไม่รู้จักเสื้อผ้าเลย และก็อาจไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับThe chanrm of heavenของ วาเลนติโน่ด้วย แต่ว่านายสามารถไปตรวจสอบบนอินเทอร์เน็ตเอาได้”
เมื่อพูดจบลง ในงานก็เกิดความโกลาหลอีกครั้ง
“The chanrm of heaven?เป็นThe chanrm of heavenของจริง! สวยงามมาก…”
ชั่วขณะหนึ่ง คนในงานทั้งหมดก็ระเบิดขึ้นมา สายตาของผู้หญิงเกือบทั้งหมดมองไปที่เจียงเยว่ถง ไม่น่าแปลกใจเลยที่ทำไมพวกเธอถึงได้รู้สึกคุ้นเคยกับชุดของเจียงเยว่ถง
ในไม่ช้าพวกเธอก็เปลี่ยนจากความสงสัยเป็นความตกใจ และเปลี่ยนจากความตกใจเป็นความอิจฉาริษยาและความกระตือรือร้น!
ในบรรดาสตรีที่มาร่วมงาน ในนั้นก็มีลูกหลานของตระกูลที่ร่ำรวยไม่ธรรมดา ทำไมพวกเธอจะไม่เคยได้ยินThe chanrm of heavenของ วาเลนติโน่?
ตั้งแต่The chanrm of heavenกำเนิดขึ้น ก็มีการลอกเลียนแบบมากมาย แต่ชุดนี้บนตัวของเจียงเยว่ถงแทบจะเหมือนกับของจริงทุกกระเบียดนิ้ว และไม่มีร่องรอยของปลอมเลย เหมือนที่ฉินเฟยกล่าว
นี่คือThe chanrm of heaven! ของแท้!
นี่เป็นถึงThe chanrm of heavenเชียวนะ อย่างนั้นก็ต้องมีราคา 60 ล้าน! อีกทั้งตอนนี้ก็หาซื้อไม่ได้แล้ว จะมีผู้หญิงคนไหนที่ไม่ชอบมัน?
ชั่วขณะหนึ่ง เจียงเยว่ถงก็กลายเป็นจุดสนใจของทุกคน
เจียงเยว่ถงขมวดคิ้วและมองไปที่ฉินเฟย หลังจากแต่งงานมาสามปี นี่เป็นครั้งแรกที่เธอคิดว่าสามีของตนค่อยดูเป็นผู้ชายขึ้นมาหน่อย!
“อย่ามาพูดเรื่องไร้สาระกับฉัน พูดมั่วซั่วอะไร อย่างฉันจะสวมเสื้อผ้าเลียนแบบอย่างดีได้ยังไง?” เจียงเฉิงเย่โกรธ เขาชี้ไปที่ฉินเฟย และตะโกนใส่เขา
“เพี๊ยะ!”
ในเวลาเดียวกันนี้เอง จู่ๆ ฉินเฟยก็โดยตบเข้าที่หน้าโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า
การตบนี้เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน แต่หนักหน่วงอย่างมาก หลังจากเสียงตบดังขึ้นลั่น ทั้งทั่วห้องโถงก็เงียบสนิท
ไม่ใช่เจียงเฉิงเย่ที่ตบเขา แต่เป็นเสิ่นหัวแม่ยายของตน!
ทุกคนมองเธอด้วยความประหลาดใจ
เสิ่นหัวจ้องที่ฉินเฟยอย่างเย็นชา “ฉินเฟย ถ้านายไม่อยากอยู่ที่นี่ก็ไสหัวออกไปซะ มัวแต่มาพูดพล่ามอะไรอยู่ได้?”

อินจอยKTV
ฉินเฟยซื้อจักรยานยนต์ไฟฟ้าคันใหม่และออกไปรับลมจนรู้สึกดีขึ้นมาก จากนั้นเขาก็จอดจักรยานยนต์ไฟฟ้าไว้หน้า KTV
ตอนนี้ฉินเฟยมีเงินแล้ว เขาต้องการซื้อรถ แต่ว่าเมื่อครู่เขาเพิ่งให้บัตรประชาชนกับจางจงเย่ไป ดังนั้นเขาจึงได้แต่ต้องซื้อจักรยานยนต์ไฟฟ้าไปก่อน
ฮ่าฮ่า มีเพื่อนร่วมชั้นหลายคนที่หลายปีแล้วไม่ได้เจอหน้ากัน เขารู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย
แต่ผลคือทันทีที่จักรยานยนต์ไฟฟ้าหยุดก็มีเสียงแตรรถดังขึ้นบาดหู
“หลีกทางหน่อย! ขี่จักรยานยนต์ไฟฟ้าเน่าๆ มา ยังจะมากินที่อีก?”
Mercedes Benz S คลาสหยุดลงด้านข้างๆ มีผู้หญิงคนหนึ่งโผล่หัวออกมาจากรถแล้วชี้ไปที่ฉินเฟย
เมื่อผู้หญิงคนนั้นและฉินเฟยสบตากัน ทั้งสองก็ตะลึง
“ประธาน?” ฉินเฟยวิ่งเข้ามาทันที คนในรถคือซุนเจียวเจียว ประธานสมาพันธ์นักศึกษาของมหาวิทยาลัย
ในตอนนั้นพวกเขามีสาวสวยโดดเด่นสองคนอยู่ในชั้น คนหนึ่งคือเสิ่นหลิงเอ๋อร์ดาวประจำโรงเรียน และอีกคนคือซุนเจียวเจียว ประธานสมาพันธ์นักศึกษา
ซุนเจียวเจียวเป็นลูกหลานของตระกูลซุน ตระกูลใหญ่ในเมืองซงไห่ เธอค่อนข้างเป็นที่รักใคร่ของตระกูลซุนเนื่องจากรูปลักษณ์ที่สวยงามและผลการเรียนที่ดีของเธอ
ในเวลานั้นมีผู้ชายหลายคนที่ไล่จีบซุนเจียวเจียว เพราะเธอทั้งสวยและร่ำรวย เพียงแต่ในตอนนั้น คนที่รวยที่สุดก็คือฉินเฟยแต่เขาทำตัวติดดิน มีเพียงหหวังเลี่ยงเท่านั้นที่รู้ตัวตนของเขา
“ฉินเฟย? มีหลายคนบอกว่านายเป็นลูกหลานของตระกูลใหญ่ ดูเหมือนว่าข่าวลือจะเชื่อถือไม่ได้จริงๆ” ซุนเจียวเจียวลงจากรถและมองฉินเฟยที่ใส่ของทั่วๆ ไปตั้งแต่หัวจรดเท้า จากนั้นก็มองดูจักรยานยนต์ไฟฟ้าองเขาและหัวเราะเยาะเย้ย
ในเวลาเดียวกัน ที่นั่งข้างคนขับของรถ Mercedes ก็เปิดออก เรียวขาขาวงามราวหิมะได้ก้าวออกมาพร้อมรองเท้าส้นสูง ฉินเฟยตกตะลึงไป เมื่อมองขึ้นไปก็เห็นใบหน้างามดั่งดอกบัว
จะเป็นใครไปได้นอกจากเสิ่นหลิงเอ๋อร์!
“เสิ่นหลิงเอ๋อร์?” ฉินเฟยอดไม่ได้ที่จะพึมพำออกมา
“ฉินเฟย? ไม่เจอกันนานเลยนะ” เสิ่นหลิงเอ๋อร์เหลือบไปที่ฉินเฟย แต่เพียงแวบเดียวเธอก็เคลื่อนสายตาออกไปทันทีและเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่ร้อนไม่หนาว
ก่อนที่ฉินเฟยจะพูดอะไร เสิ่นหลิงเอ๋อร์ก็เดินข้ามด้านหน้ารถไปแล้ว ซุนเจียวเจียวเข้าไปคล้องแขนเธอไว้และเดินเข้าไปใน KTV โดยไม่สนใจเขา
ฉินเฟยรู้สึกอับอาย เขาอยากจะพูดคุยด้วย แต่ซุนเจียวเจียวและเสิ่นหลิงเอ๋อร์ไม่ต้องการคุยกับเขาเลย
ทั้งสามคนเดินเข้าไปในห้อง KTV ตามๆ กัน ในเวลานี้เพื่อนร่วมชั้นทุกคนก็มาถึงแล้ว แน่นอนว่าเพื่อนร่วมชั้นไม่ได้มากันทั้งหมด แต่ส่วนใหญ่คือคนที่เรียบจบแล้วก็ยังอยู่ที่เมืองซงไห่เพื่อความเจริญก้าวหน้า
“แม่เจ้า ท่านประธานยังคงสวยขนาดนี้เลย ว้าว เสิ่นหลิงเอ๋อร์คนสวยเองก็มาแล้ว!”
ทั้งห้องมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที และในไม่ช้าซุนเจียวเจียวก็ถูกดึงออกไป ซุนเจียวเจียวร่ำรวยและมีคอนเน็คชั่นที่แข็งแกร่ง ผู้คนจำนวนมากมักชอบที่จะห้อมล้อมเธอ ผู้หญิงสวยเองก็ชื่นชมและอยากมีความสัมพันธ์ที่ดีกับซุนเจียวเจียว เพราะนั่นจะก่อให้เกิดผลประโยชน์มากมาย
หลิ่วซู่เฟิงที่เป็นหัวหน้าชั้นเองก็รายล้อมไปด้วยผู้คนมากมาย เขาสวมชุดสูทรองเท้าหนัง แค่มองก็รู้ว่าเป็นคนที่ประสบความสำเร็จ และกุญแจรถที่วางอยู่ตรงหน้าเขาก็คือรถยนต์ออดี้
งานรวมตัวเพื่อนร่วมชั้น ส่วนมากก็เพื่อหาคอนเน็คชั่น และนี่เป็นสาเหตุที่ฉินเฟยไม่ต้องการมา
เนื่องจากฉินเฟยแต่งตัวซอมซ่อ ในมือก็ถือแค่กุญแจของจักรยานยนต์ไฟฟ้า ในเวลานี้จึงไม่มีใครสนใจเขา และถูกมองเป็นธาตุอากาศไปโดยสิ้นเชิง
ในช่วงสามปีที่ผ่านมา เนื่องจากเขาได้รับการปฏิบัติแบบนี้มามากเกินไป ฉินเฟยจึงไม่สนใจอะไรเช่นกันและมองไปรอบๆ
หลายปีที่ไม่ได้เจอกัน สาวๆ ในชั้นเรียนรู้จักแต่งตัวกันแล้ว แต่ละคนล้วนงดงาม แต่ว่าเสิ่นหลิงเอ๋อร์นั้นสวยที่สุด
เสิ่นหลิงเอ๋อร์เป็นเทพธิดาของมหาลัย ในเวลานี้เธอสวมชุดเดรสแฟชั่นสีม่วง กระโปรงสั้นมากเผยให้เห็นขาเรียวยาวของเธอเต็มตา
หลิ่วซู่เฟิงหัวหน้าชั้นก็สังเกตเห็นเสิ่นหลิงเอ๋อร์แล้วเช่นกัน สายตาของเขามองไปที่เธอโดยตรง “เสิ่นหลิงเอ๋อร์ นับวันเธอยิ่งสวยขึ้นเรื่อย ๆ เลยนะ กำลังทำอะไรอยู่ตอนนี้?”
ก่อนที่เสิ่นหลิงเอ๋อร์จะพูดอะไร ซุนเจียวเจียวซึ่งรายล้อมไปด้วยคนอื่น ๆ ก็กล่าวว่า “หัวหน้าชั้น นายไม่รู้อะไร ก่อนหน้านี้เสิ่นหลิงเอ๋อร์เป็นนางแบบที่มีชื่อเสียงในเจียงหนาน ตอนนี้เธอกำลังจะเป็นดาราแล้ว ฉันได้ยินมาว่าเธอจะเซ็นสัญญากับว่านเซียง มูวีในไม่ช้าหลังจากที่บริษัทย้ายมาที่นี่ในวันพรุ่งนี้”
“วู้ว!”
เมื่อเสียงจบลง ทั้งงานก็อยู่ในความโกลาหล
เดือนที่แล้วมีข่าวว่าว่านเซียง มูวีจะย้ายมาที่ซ่งไห่เพื่อการพัฒนา ข่างนี้ทำเอาตื่นตะลึงไปทั้งซ่งไห่ และบริษัทจะตั้งอยู่ในถนนซิงหลงซึ่งเป็นส่วนที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดในเขตพัฒนาใหม่ของซงไห่
ต้องรู้ว่า มันไม่ใช่บริษัทสาขา แต่เป็นการย้ายทั้งถนนซิงหลง มาที่นี่!
มีคนในประเทศจำนวนไม่มากที่ไม่รู้จักว่านเซียง มูวี ดาราดังหลายคนก็เซ็นสัญญากับว่านเซียง มูวี หนังและละครที่บริษัทลงทุนก็มีรน้อยคนที่จะไม่รู้จัก มีดาราแถวหน้าหลายคนอยู่ในว่านเซียง มูวี แม้แต่ดาราหนังหลายคนก็ยังเซ็นสัญญากับว่านเซียง มูวี ตลอดทั้งปี
พูดตามตรง เสิ่นหลิงเอ๋อร์หน้าตาสวยมาก เธอไม่ได้ด้อยไปกว่าดาราดังบางคนและมีบุคลิกที่โดดเด่นอย่างมาก
เมื่อได้ยินเรื่องว่านเซียง มูวี แล้ว ฉินเฟยก็เริ่มสนใจ บริษัทนี้จะเป็นของเขาตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ฉินเฟยก็ยิ้มน้อยๆ และเดินไปหาเสิ่นหลิงเอ๋อร์ เขากำลังจะคุยกับเธอเกี่ยวกับว่านเซียง มูวี และดารา แต่ผลคือทันทีที่เขานั่งลง เขาก็เห็นเสิ่นหลิงเอ๋อร์ขมวดคิ้วและแววตาดูรังเกียจ “นายไปนั่งที่อื่นได้ไหม?”
“ฮะ?” ฉินเฟยยืนขึ้นอย่างอดไม่ได้ “ที่นี่มีคนนั่งแล้ว?”
“ไม่” เสิ่นหลิงเอ๋อร์มองไปที่ฉินเฟยอย่างประเมิน เห็นเขาแต่งตัวซอมซ่อ จากนั้นก็กล่าวว่า “ฉันไม่ต้องการให้คนไม่เข้าสังคมมานั่งอยู่ข้างๆ ฉัน”
คนไม่เข้าสังคม? แม่เจ้า นี่ฉันไม่เข้าสังคมตรงไหนกัน?
นี่คือความจริงของสิ่งที่เรียกว่ากิ่งทองใบหยก อันที่จริงการหาเพื่อนก็เช่นเดียวกัน หากคุณต้องการให้คนอื่นปฏิบัติต่อคุณเหมือนเพื่อนอย่างจริงใจ คุณก็ต้องมีกำลังพอๆ กัน ฉินเฟยแต่งตัวทั่วๆ ไป ขี่จักรยานยนต์ไฟฟ้า สำหรับเสิ่นหลิงเอ๋อร์แล้ว เธอไม่คิดว่าเขามีคุณสมบัติที่จะนั่งข้างเธอ
ขณะที่ฉินเฟยจะเอ่ยพูด แต่ก็ถูกหวังเลี่ยงเพื่อนร่วมโต๊ะของเขาดึงตัวไป
ตอนที่พวกเขาอยู่ที่โรงเรียน พวกเขามีความสัมพันธ์ต่อกันดีที่สุด มีครั้งหนึ่งสมาชิกในตระกูลไปยังมหาลัยเพื่อหาฉินเฟย คนคนนั้นแต่งกายสุภาพเรียบร้อยและมีท่าทีให้เกียรติฉินเฟย หวังเลี่ยงพบเข้าถึงค่อยรู้ว่าเขาเป็นลูกชายของตระกูลใหญ่ และเป็นเพราะนามสกุลของฉินเฟยคือฉิน ในตอนนั้นหวังเลี่ยงจึงคาดเดาได้ว่าฉินเฟยเป็นสมาชิกของตระกูลฉินซึ่งเป็นตระกูลท็อปในซงไห่
การคาดเดาของเขาทั้งหมดเป็นความจริง แต่น่าเสียดายที่ตระกูลฉินได้ล้มหายไปนานแล้ว
เขาดึงฉินเฟยไปที่มุมหนึ่ง หวังเลี่ยงส่ายหัวแล้วพูดว่า “ฉันว่านะเพื่อน นายคิดอะไรอยู่เนี่ย ผู้หญิงอย่างเสิ่นหลิงเอ๋อร์ ไม่ใช่ผู้หญิงที่จะจำพวกขี้แพ้อย่างเราได้ นายจะไปนั่งกับเธอ แบบนั้นก็เท่ากับหาเรื่องให้ตัวเองโดนดูถูกไม่ใช่หรือไง?”
พูดจบ หวังเลี่ยงก็มองไปที่เสิ่นหลิงเอ๋อร์ อีกครั้งและพึมพำ “ตอนนั้นฉันคิดว่านายคู่ควรกับเสิ่นหลิงเอ๋อร์เช่นกัน แต่ก็น่าเสียดายที่ตระกูลฉิน เฮ้อ”
ฉินเฟยยิ้มแต่ไม่ได้อธิบายอะไร พรุ่งนี้เสิ่นหลิงเอ๋อร์จะไปเซ็นสัญญาที่ว่านเซียง มูวี?
ฉันไม่รู้ว่าถ้าเสิ่นหลิงเอ๋อร์เห็นตนเข้า จะมีสีหน้ายังไง
หลังจากดื่มเหล้าไปสามรอบและอาหารห้าอย่างแล้ว เสิ่นหลิงเอ๋อร์ก็เอ่ยขอตัวกลับไปเตรียมเซ็นสัญญาในวันพรุ่งนี้ จากนั้นก็ตามมาด้วยผู้คนมากมายที่ขอตัวกลับ
ฉินเฟยเดินออกมาพร้อมเดินคุยไปกับหวังเลี่ยง ในเวลานี้เองโทรศัพท์มือถือของเขาดังขึ้น
เมื่อเห็นหมายเลขผู้โทร ฉินเฟยก็ไม่กล้าเพิกเฉย เขารีบหยิบมันขึ้นมา ก่อนที่เขาจะพูดอะไร เขาได้ยินเสียงของเสิ่นหัวทางโทรศัพท์ “ฉินเฟย วันนี้เป็นวันประชุมตระกูลนายไม่รู้หรือไง? ทั้งตระกูลต้องรอนายหรือไง? กลับมาเร็ว!”
เวรแล้ว! ฉินเฟยอุทาน เขาลืมสิ่งนี้ไปได้อย่างไร!
ต่อหน้าเพื่อนร่วมชั้น ฉินเฟยกล่าวทักทายและรีบกลับบ้านด้วยจักรยานยนต์ไฟฟ้าคันใหม่ของเขา
“ฉินเฟยทำได้ไม่เลวนี่ ฉันจำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่ฉันเห็นเขา เขายังขี่จักรยานยนต์ไฟฟ้าพังๆ อยู่เลย ตอนนี้มีคันใหม่แล้ว”
“ฮ่าฮ่า”
ฉินเฟยขี่ไปไกลและยังคงได้ยินเสียงหัวเราะของเพื่อนร่วมชั้นหลายคน
ที่หมู่บ้านเทียนหลัน มีรถเบนซ์คันเก่าคันหนึ่งจอดอยู่ หญิงสาวสวยดูบอบบางและเห็นชัดว่าได้แต่งตัวมาอย่างดีกำลังยืนอยู่หน้ารถ และถือโทรศัพท์มือถืออย่างใจร้อน เสียงรองเท้าส้นสูงดังแต๊กแต๊กไปรอบๆ
“ผมกลับมาแล้ว” ฉินเฟยจอดรถอย่างเร่งรีบ และเนื่องจากผ้าเบรกของรถใหม่ไม่ค่อยดี หลังจากลงจากรถจักรยานยนต์แล้วยังวิ่งตามไปด้วยท่าทางเงอะงะ จนทำให้เจียงเยว่ถงแทบเป็นลม
ฉินเฟยล็อคจักรยานยนต์ไฟฟ้าอย่างรวดเร็วและวิ่งไปตรงหน้าเจียงเยว่ถง เขาเห็นได้ชัดเจนว่าบนตัวเจียงเยว่ถงก็คือThe chanrm of heaven
นี่คือชุดเดรสแฟชั่นสีดำ แค่มองก็ให้ความรู้สึกสูงส่งล้ำค่าและความสง่างาม ผิวสีชมพูขาวแต่เดิมนั้นยิ่งดูอ่อนละมุนกว่าเดิม ขายาวเซ็กซี่คู่นั้นเผยออกมาด้านนอก ทั้งร่างเต็มไปด้วยความเซ็กซี่และสูงส่งของหญิงสาว
ดูเหมือนว่าภรรยาของตนจะชอบของขวัญของเธอมากและแทบรอไม่ไหวที่จะสวมใส่ในคืนนี้
แต่ผลคือเจียงเยว่ถงเหลือบมองฉินเฟยอย่างเย็นชา จากนั้นก็กระทืบเท้าด้วยความโกรธ “ฉันไม่ได้ให้นายไปซื้อชุดดีๆ มาใส่หรือไง? ทำไมนายถึงสวมเสื้อผ้าซอมซ่อนี้อีก?”
“ไม่ซอมซ่อนี่ ผมเพิ่งซักไปเมื่อวาน”
“ขึ้นรถ” เจียงเยว่ถงขี้เกียจเกินกว่าจะพูดอะไรมากกว่านี้ ตอนนี้ไปซื้อก็ไม่ทันแล้ว
“อือ”
ฉินเฟยขึ้นรถและพบว่าเจียงเฟิ่งหยุนพ่อตาของเขาก็อยู่ที่นั่นด้วย ขณะจะเอ่ยทักทาน เขาก็ได้ยินคำตำหนิ
“ฉินเฟย นายขายขี้หน้าไม่เท่าไหร่ แต่นายแต่งตัวแบบนี้คืออยากทำให้ครอบครัวของเราอับอายหรือไง?” ซอมซ่อที่นั่งตรงข้างคนขับกล่าวอย่างเย็นชา
ครั้งนี้เสิ่นหัวสวมเดรสทรงหลวมๆ พร้อมเสื้อกั๊กกันหนาวสีขาวหิมะบนตัวเธอ ให้ความรู้สึกเป็นสาวใหญ่และเซ็กซี่ คล้ายภรรยาผู้สูงศักดิ์
“อ้อ” ฉินเฟยตอบรับและไม่ได้พูดอะไร
เมื่อเห็นใบหน้าที่ไม่แยแสของฉินเฟย เสิ่นหัวก็ยิ่งโกรธและพูดว่า “นี่นายหูหนวกหรือโง่กันแน่? ฉันเห็นขยะอย่างนายก็ของขึ้นแล้ว ลูกสาวของฉันแต่งงานกับนาย นี่แทบจะเป็นความโชคร้ายไปแปดชาติจริงๆ”
“เหล่าเจียงคุณคิดว่าลูกเขยขยะคนนี้เป็นยังไง?” เสิ่นหัวหันไปมองเจียงเฟิ่งหยุน

“พี่ถง นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้เห็นกล่องพัสดุเคลือบทองแบบนี้!” สาวน้อยในแผนกเซลล์พูดด้วยความประหลาดใจ
“พี่ถง มันต้องเป็นของขวัญจากเศรษฐีแน่ เปิดดูเร็วพี่ถง ให้พวกเราได้เห็นเป็นบุญตาหน่อย”
เจียงเยว่ถงถึงปกติจะมีบุคลิกที่แข็งแกร่ง แต่ในบริษัท ความสัมพันธ์ของเธอกับพนักงานนั้นดีมาก แม้ในเวลานี้จะเลยเวลาเลิกงานแล้ว และทุกคนต่างยุ่งกับงานที่ทำอยู่ให้เสร็จและรอเลิกงาน แต่ชั่วครู่หนึ่งพนักงานเกือบทั้งชั้นก็มารวมตัวกัน
“ภาษาอังกฤษนี้ดูเหมือนจะเป็นวาเลนติโน่?” สาวน้อยคนหนึ่งที่ใส่แว่นมองที่กล่องแล้วเอ่ยขึ้น
เจียงเยว่ถงเองก็แปลกใจอย่างมากเช่นกัน ตนไม่ค่อยซื้อของออนไลน์ แล้วพัสดุนี้มาจากไหน?
มันเป็นสัญลักษณ์ของวาเลนติโน่จริงๆ เจียงเยว่ถงเองก็อยากรู้เช่นกัน เมื่อเห็นว่าทุกคนสนใจมาก เธอก็ยิ้มและเปิดกล่องอย่างช้าๆ
อย่างไรก็ตาม เมื่อเปิดออกมา ทุกคนก็ต้องบื้อใบ้ไปทันที!
หลังจากเงียบไปสิบวินาที พนักงานทั้งบริษัทก็ปะทุขึ้นมา!
“นี่… เป็นเสื้อผ้าแบบไหนกัน? สวยจัง!”
“ดูเหมือนจะเป็นThe chanrm of heavenของวาเลนติโน่ ฉันเห็นมันในวิดีโอประมูลที่เซี่ยงไฮ้!”
“ไม่มีทาง! นี่คือ The chanrm of heaven ซึ่งมีจำนวน จำกัด 520 ชิ้นทั่วโลกและถูกประมูลไปถึง 60 ล้านหยวน?!
“สวยจังเลย! นี่… พี่ถง คุณช่างโชคดีจัง?”
ขณะที่กำลังถกเถียงกัน เจียงเยว่ถงในเวลานี้กลับงงตาแตกไปแล้ว!
ทุกคนล้วนรักในความงาม เจียงเยว่ถงชอบใส่เดรสมากที่สุด เพราะมันสามารถแสดงรูปร่าง ใบหน้า และบุคลิกที่สมบูรณ์แบบของเธอได้ แน่นอนว่า เธอเองก็รู้ด้วยว่าตนไม่สามารถซื้อชุดราคาแพงเหล่านี้ได้ และได้แค่ชมชอบพวกมันมากก็เท่านั้น
แม้ว่าเธอจะเคยไปงานประมูลหนานไห่ที่พนักงานเพิ่งพูดถึงก็เพราะอยากเห็นหน้าตาจริงๆ ของ The chanrm of heaven นี้!
ในตอนแรกว่ากันว่า The chanrm of heaven ถูกเถ้าแก่ลึกลับประมูลไป อีกทั้งจากนั้นก็เก็บมันไว้ในบูธนิทรรศการเสื้อผ้าเป็นเวลาหนึ่งวัน เธอได้เห็นมันผ่านกระจกนับครั้งไม่ถ้วน แค่มองแวบเดียว เธอก็มั่นใจได้ว่า The chanrm of heaven ที่อยู่ตรงหน้าเธอนั้นเป็นของจริงอย่างแน่นอน!
เป็นไปได้ยังไงเนี่ย!
ร่างกายที่บอบบางของเจียงเยว่ถงถึงกับก้าวถอยหลังไปอย่างช่วยไม่ได้ เธอรู้สึกเหมือนกำลังฝัน
หรือว่า…จะเป็นโจงเซี่ยงเฉียนมอบให้ตน? เขาใช้บริษัทเอาไปกู้เงินเพื่อซื้อ The chanrm of heaven นี้ให้ตัวเอง?
เมื่อเธอคิดถึงเพื่อนฝูงรอบๆ ตัวเธอ โดยเฉพาะผู้ชายที่มีเงินและชมชอบเธอก็มีแค่โจงเซี่ยงเฉียนเท่านั้น
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เจียงเยว่ถงก็รู้สึกประทับใจมาก งานประชุมตระกูลในคืนนี้ The chanrm of heaven ต้องเป็นจุดสนใจอย่างแน่นอน
ส่วนฉินเฟย เจียงเยว่ถงได้มองข้ามไปโดยอัตโนมัติโดยไม่แม้แตจะคิด แม้ว่าก่อนหน้านี้ฉินเฟยพูดว่าจะซื้อชุดที่สวยงามกว่านี้ให้ตัวเอง แต่นี่เป็นถึง The chanrm of heaven เชียวนะ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อกี้นี้ ตนเพิ่งจะให้เงินฉินเฟย 1,000 หยวนให้เขาไปซื้อชุดดีๆ ใส่ด้วยซ้ำ
……
ฉินเฟยกลับบ้านด้วยจักรยานยนต์ไฟฟ้าและฮัมเพลงไปด้วย เรื่องเสื้อผ้าของภรรยาของเขาได้รับการแก้ไขแล้ว สำหรับโจงเซี่ยงเฉียน หึหึ กล้ามาแย่งผู้หญิงของเขางั้นเหรอ?
“กริ้ง…” ทันใดนั้น โทรศัพท์ก็ดังขึ้น
เป็นเพื่อนพ้องที่ดีของตนตัวเองในวิทยาลัย หวังเลี่ยง
หลังจากพูดไม่กี่คำ ฉินเฟยก็ค่อยนึดได้ว่าที่แท้ประธานมหาวิทยาลัยได้จัดงานคืนสู่เหย้าคืนนี้
บอกตามความจริง ฉินเฟยไม่ได้อยากไป เพื่อนร่วมชั้นของตนหลายคนแต่งงานและมีลูกไปแล้ว ไม่ก็ประสบความสำเร็จในอาชีพการงาน การรวมตัวของเพื่อนร่วมชั้นเดิมทีก็คือการไปแสดงให้เห็นว่าพวกเขาประสบความสำเร็จเพียงใด หรือพวกเขาแต่งงานให้กับเศรษฐีที่ร่ำรวยขนาดไหน มีการโอ้อวดมากมาย ไม่มีความหมายเลยสักนิด
“คราวนี้นายแน่ใจหรือว่าจะไม่ไป? ฉันได้ยินมาว่าประธานเชิญเสิ่นหลิงเอ๋อร์ด้วย” หวังเลี่ยงกล่าวว่า
“เสิ่นหลิงเอ๋อร์ก็ไปด้วย?” ดวงตาของฉินเฟยเป็นประกาย
เสิ่นหลิงเอ๋อร์เป็นดาวประจำมหาลัยในตอนนั้น และในชั้นของพวกเขา มีชาวหนุ่มโดดเด่นหลายคนไล่ตามจีบเธอ เขาเองก็เคยช่วยส่งจดหมายรักไปไม่น้อย ทุกวันวาเลนไทน์ หนุ่มๆ ก็จะมาเข้าแถวเป็นแนวยาวเพื่อสารภาพรักกับเธอที่ชั้นล่างในหอพัก
ฉินเฟยเองก็อยู่ที่นั่นด้วย แต่เขาไปเพื่อดูความครื้นเครงก็เท่านั้น แต่ก็ต้องบอกว่า เสิ่นหลิงเอ๋อร์มีหน้าตางดงามเหมือนชื่อของเธอ
ไม่ได้เจอมาหลายปีแล้ว ไม่รู้ว่าหน้าตาจะเป็นยังไงบ้างแล้ว
“ไป ไปแน่นอน!” ฉินเฟยตกลง
ฉินเฟยอารมณ์ดีอย่างมาก เขากลับบ้านไปด้วยเสียงผิวปาก ทันทีที่เขาเปิดประตูก็เห็นเสิ่นหัวแม่ยายของเขานั่งอยู่บนโซฟา
เธอมองดูเขาอย่างดูถูกและเยาะเย้ย “ทำไม เก็บเงินข้างถนนได้ 100 หยวนหรือไง ถึงได้มีความสุขมากนัก?”
“เปล่า ผมจะไปเปลี่ยนเสื้อ” นานๆ ครั้งที่ฉินเฟยจะอารมณ์ดี ดังนั้นเขาจึงไม่คิดโต้ตอบและไม่กล้าโต้แย้ง
เป็นเวลาสามปีที่แต่งเข้ามานี้ ฉินเฟยกลัวเสิ่นหัวมากจริงๆ
“มานี่ ฉันมีเรื่องจะคุยกับนาย” เสิ่นหัวเยาะเย้ย “ฉินเฟย นายไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว แค่ไปจัดกระเป๋าเก็บของของนายซะ พรุ่งนี้นายและถงถงไปหย่ากันแล้วนายก็ไสหัวไปซะ”
“คุณป้า ผม…ผมไม่อยากหย่ากับเยว่ถง ผมชอบเยว่ถงจริงๆ …” ฉินเฟยตะลึงไปและเอ่ยก้มหน้าพูด
หลังจากอยู่ด้วยกันสามปี เขาชอบเจียงเยว่ถงมาก
เมื่อได้ยินแบบนั้น เสิ่นหัวก็หัวเราะเยาะแล้วยืนขึ้นเดินไปที่ฉินเฟย มุมปากของเธอผุดขึ้นราวกับได้ยินเรื่องตลก “นายชอบลูกสาวของฉัน? งั้นฉันถามนาย นายมีคุณสมบัติอะไรที่จะมาชอบลูกสาวของฉัน? ฉันอดทนกับนายมาสามปีแล้ว ขยะอย่างนายอยู่ไปจะมีประโยชน์อะไร? ทุกวันยกเว้นทำงานบ้านแล้วนายยังทำอะไรได้อีก? นายเป็นผู้ชายหรือไง? คู่ควรกับลูกสาวของฉันไหม?”
เสิ่นหัวพูดถึงการหย่าร้างมาหลายครั้งแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ฉินเฟยและเจียงเยว่ถงฉลองครบรอบแต่งงานสามปีเมื่อเดือนที่แล้ว
อันที่จริง เสิ่นหัวต้องการให้ฉินเฟยหย่ากับเจียงเยว่ถงมานานแล้ว แต่เนื่องจากการแก้เคล็ดก็มีข้อห้ามอยู่ ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถหย่าได้ทันทีหลังจากแต่งงาน ถึงจะหย่าร้างก็ต้องรอสามปีให้หลัง
ตอนนี้เจียงเฟิ่งหยุนสามีของเธออาการดีขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นจึงไม่ต้องการฉินเฟยอีกต่อไป
ในความเห็นของเสิ่นหัว การหย่าร้างของคนทั้งสองเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ อีกทั้งลูกสาวของเธอปีนี้ก็อายุ 28 ปีแล้ว ช่วงอายุที่ดีที่สุดของผู้หญิงกำลังจะผ่านพ้นไป ถ้าถงถงยังไม่หย่ากับฉินเฟยไอ้ขยะนี่ อย่างนั้นก็จะทำให้การหาสามีในอนาคตของเธอล่าช้าไปอย่างแน่นอน
“นายรู้ไหมว่ามีผู้ชายที่ประสบความสำเร็จไล่ตามจีบลูกสาวของฉันไปตั้งกี่คน? เมื่อกี้นี้ โจงเซี่ยงเฉียนเพิ่งโทรหาฉัน บอกว่าเขาไม่สนใจว่าลูกสาวฉันจะแต่งงานแล้ว ตราบใดที่เยว่ถงแต่งงานกับเขา เขาจะให้เงินสินสอดสิบล้านหยวนในทันที”
สินสอดสิบล้าน? ช่างมือเติบจริงๆ!
ฉินเฟยกลับยิ้มออกมา โจงเซี่ยงเฉียนเป็นหลักประกันของตระกูลซู และเป็นหลานชายของลูกสะใภ้คนที่สามของตระกูลซู มีความสัมพันธ์ที่ไม่ห่างเหินแต่ก็ไม่ได้ใกล้ชิด พูดตรงๆ ก็คือโจงเซี่ยงเฉียนแค่พยายามอ้างความสัมพันธ์นี้ในการปีนป่ายขึ้นไปก็เท่านั้น
ผู้ชายคนนี้มีไหวพริบทางธุรกิจ เงินของเขาได้รับการสนับสนุนจากตระกูลซู อย่างไรก็ตามจางจงเยว่ได้กล่าวแล้วว่า ภายในหนึ่งวันเกรงว่าโจงเซี่ยงเฉียนจะไม่เหลืออะไรอีก แล้วเขาจะไปหาเงินสิบล้านหยวนมาจากที่ไหน?
“คุณป้า การหย่าไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ต้องเป็นเจียงเยว่ถงบอกกับผมด้วยตัวเอง ไม่อย่างนั้น ผมจะไม่จากไป” ฉินเฟยพูดจบก็จากไป อารมณ์ดีๆ ของเขาก็หายวับไปในทันที
“เยว่ถงเป็นลูกสาวของฉัน เรื่องของเธอฉันเป็นคนตัดสินใจ ฉันบอกว่าให้หย่าพวกนายก็ต้องหย่า นายไสหัวกลับมาเดี๋ยวนี้!” เสิ่นหัวกระทืบเท้าด้วยความโกรธ จากนั้นก็วิ่งตามไป แต่ฉินเฟยกลับออกไปแล้ว

คืนนั้น ฉินเฟยได้พูดคุยมากมายกับจางจงเยว่ เขาบอกว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ซงไห่ และทั้งสองก็ตกลงที่จะพบกันในวันพรุ่งนี้
ฉินเฟยตาสว่างไปทั้งคืน เขาไม่อยากเชื่อเลยว่าเรื่องพวกนี้จะเป็นความจริง
หลายปีมานี้ ฉินเฟยได้ช่วยเหลือผู้คนไปมากมาย ให้เงินไปไม่น้อย แต่หลังจากที่ตระกูลฉินเกิดเรื่อง คนในตระกูลบางคนก็พูดว่าเขาเป็นดาวหายนะและเป็นสัญลักษณ์ของการล้มละลายของตระกูล ดังนั้นเมื่อพวกเขาแยกกันไปครอบครัวเขาก็ไม่ได้รับเงินใดๆ และพ่อของเขาก็ได้เงินแค่ในส่วนบ้านบรรพบุรุษของตระกูลฉินเท่านั้น
ฉินเฟยเองก็ไม่คาดคิดว่าหลายปีต่อมา บุญคุณนี้จะทำให้เขาได้รับผลตอบแทนเช่นนี้!
อีกทั้งนี่ยังเป็นเพียงเงินปันผล! นอกจากนี้ จางจงเยว่ยังบอกว่าตนยังเป็นผู้ถือหุ้น 60% ของว่านเซียง กรุ๊ป!
มีค่าใช้จ่ายเท่าไร? ฉินเฟยตื่นเต้นมากจนนอนไม่หลับ
เขาแทบไม่ได้นอนจนถึงเช้า
เขากำลังหลับสนิทเมื่อได้ยินเสียงแม่สามีในห้องนั่งเล่น
“ฉินเฟย รีบลุกขึ้นมาทำอาหารเดี๋ยวนี้ ลูกสาวฉันจะไปทำงานแล้ว ไอ้ขยะอย่างนายวันๆ ไม่มีอะไรทำ รู้จักแต่นอน!”
ฉินเฟยยังคงอยู่ในความฝันของตนเองอยู่ ผลคือในเวลานี้เอง ประตูห้องก็ถูกเตะเปิดออก และเสิ่นหัว แม่สามีของเขาเดินเข้ามาและเตะเขาอย่างไม่อดทน
“คุณหูหนวกหรือ คุณไม่ได้ยินฉันเมื่อฉันบอกคุณให้ลุกขึ้นมาทำอาหาร” เสิ่นหัวเอ่ยอย่างเย็นชา
“โอ้” ฉินเฟยถึงค่อยรู้ว่าเขาไม่ได้ฝันและลุกขึ้นมามองเสิ่นหัวอย่างสะลึมสะลือ
ต้องบอกว่า เสิ่นหัวแม่ยายของตนนั้นสวยจริงๆ เธออายุสี่สิบกว่าปีแล้ว สวมกระโปรงยาวเซ็กซี่ และเนื่องจากดูแลตัวเองเป็นอย่างดี เธอจึงเหมือนกับหญิงสาวราวสามสิบที่เพิ่งแต่งงานก็ไม่ปาน
และที่เธอดูแลตัวเองได้เป็นอย่างดี ก็เป็นเพราะเธอไม่ต้องกังวลเรื่องการไปทำงาน ที่สำคัญไปกว่านั้นคือเธอไม่แม้แต่จะทำอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ฉินเฟยกลายมาเป็นลูกเขยแล้ว เนื่องจากพวกเขาทั้งหมดอยู่ใกล้ๆ กัน แม่ยายของเขาจึงมาทานอาหารอยู่บ่อยครั้งแทบจะวันเว้นวัน
เพียงแต่เธอเองก็ดีกับแพ่อตาของตนไม่เลวเช่นกัน ทุกครั้งล้วนเอาอาหารกลับไปให้เขาด้วยหลังทานเสร็จ!
คนเดียวในครอบครัวที่มีท่าทีที่ดีหน่อยกลับฉินเฟยก็คือพ่อตา
เจียงเฟิ่งหยุนเคยเป็นทหาร เขาล้มป่วยในกองทัพและสุขภาพไม่ดี ในตอนแรกที่ฉินเฟยมาที่นี่เพื่อเป็นลูกเขยให้พ่อตามีความสุข
หลังจากที่ฉินเฟย ‘แต่งงาน’ เข้ามาแล้ว สุขภาพของพ่อตาก็ดีขึ้นมาก อาจเป็นเพราะเหตุนี้เขาถึงไม่เคยด่าว่าทุบตีฉินเฟย
ฉินเฟยทำโจ๊กเทรเมลล่าให้แม่ยายเสร็จก็ลงไปชั้นล่างเพื่อซื้ออาหารเช้า หลังทานเสร็จแม่ยายของเขาก็ไปสปาเพื่อบำรุง
ก่อนออกเดินทางเธอก็ทิ้งเงินไว้ให้ฉินเฟยร้อยหยวน โดยบอกว่าในตู้เย็นมีเนื้อสัตว์และผักไม่มากแล้วให้เขาไปซื้อของที่ซูเปอร์มาร์เก็ต จากนั้นก็จากไปสีหน้ารังเกียจ
ฉินเฟยยิ้มอย่างขมขื่น นั่นเพราะเขาเป็นคนทำอาหารในบ้าน ดังนั้นย่อมเป็นเขาที่ซื้อผักผลไม้ เจียงเยว่ถงให้เงินเขาร้อยหยวนต่อวันในหลายๆ ครั้งก็ไม่ได้เพียงพอ
เนื้อปลาไม่ถูก ผลไม้หลายชนิดก็มีราคาแพงขึ้นไปอีก บางครั้งเขาก็ต้องขอเงินจากแม่ยายและภรรยาเพิ่ม ดังนั้นย่อมทำให้พวกเธอด่าขึ้นไปอีกเป็นธรรมดา
……
ในช่วงบ่าย ร้านน้ำชาวินเยว่
ฉินเฟยนั่งลงอย่างไม่ใส่ใจ ฝ่ายตรงข้ามเขาคือจางจงเยว่ ประธานว่านเซียง กรุ๊ป
จางจงเยว่ดูเหมือนเป็นคนที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง ผมบางของเขาถูกหวีไปข้างหลังและแต่งด้วยเจลแต่งผม เขาสวมชุดสูทรองเท้าหนัง ในเวลานั้นจางจงเยว่อายุสามสิบปี ดังนั้นตอนนี้เขาก็อายุสี่สิบสามแล้ว
แต่ต่อหน้าฉินเฟย เขายังตื่นเต้นและสำรวมกิริยาเหมือนเด็กๆ
“คุณไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ ผมยอมรับการตอบแทนบุญคุณของคุณ แต่ว่าคุณจะเอาตำแหน่งประธานว่านเซียง กรุ๊ปมาให้ผมได้ยังไงกัน ว่านเซียง กรุ๊ปเป็นของคุณ ผมไม่ต้องการ!”
ไม่นาน พวกเขาก็ทะเลาะกัน ว่านเซียง กรุ๊ปที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ทั้งหมดล้วนเป็นความสามารถของจางจงเย่ ยิ่งไปกว่านั้น เขามีเงินมากเพียงพอในบัตรแล้ว ฉินเฟยไม่ต้องการบริษัทของคนอื่น และยังไม่ต้องไปเซี่ยงไฮ้เพื่อทำหน้าที่เป็นประธาน
“นี่ไม่ใช่เรื่องว่าคุณต้องการหรือไม่ ตอนแรกที่เริ่มก่อตั้งบริษัท นิติบุคคลคือชื่อของคุณ ผมมักจะอ้างว่าเบื้องหลังผมมีนายใหญ่ลึกลับอยู่ ตอนนี้นายน้อยก็ไม่ใช่เด็กแล้ว สามารถรับช่วงต่อได้ อีกทั้งด้วยความสามารถทางธุรกิจของนายน้อย ว่านเซียง กรุ๊ป จะแข็งแกร่งขึ้นและเติบโตขึ้นในมือของคุณแน่” จางจงเยว่กล่าวอย่างตื่นเต้น
ในความเห็นของเขา หลายปีมานี้ก็คือเขาที่ทำงานให้กับฉินเฟย ในตอนแรกฉินเฟยถือหุ้นถึง 80% ในว่านเซียง กรุ๊ป ขณะที่ จางจงเยว่มีส่วนแบ่งทางเทคโนโลยีที่ 20% ต่อมาบริษัทจำเป็นต้องขยายตัวและต้องมีผู้ถือหุ้นมาลงทุน จึงทำให้หุ้นบางส่วนของฉินเฟยลดลงไป
ตอนนี้จางจงเยว่เองก็มีหุ้นเพียง15% ในว่านเซียง กรุ๊ปและอีก 25% ถือโดยผู้ถือหุ้นรายใหญ่
“ไม่ ฉันจะไม่ไปเซี่ยงไฮ้”
จางจงเยว่ยิ้มและดูเหมือนจะคาดคิดได้ก่อนแล้วว่าฉินเฟยจะปฏิเสธ “เดือนก่อนหน้านี้ ผมได้ย้าย ว่านเซียง มูวี ภายใต้ ว่านเซียง กรุ๊ปมาที่ซงไห่เมื่อเดือนที่แล้ว คุณมาที่ว่านเซียง มูวี ในฐานะประธาน ไม่อย่างนั้นผมคงต้องมาจัดการมันอย่างปลีกไม่ได้”
“คุณคงไม่ปฏิเสธอีกใช่ไหม?”
เนื่องจากว่านเซียงเป็นของฉินเฟย ไม่ใช่ของกลุ่มบริษัทตระกูลจางของเขา จางจงเยว่จึงไม่ได้ปล่อยให้ญาติในตระกูลตนมาชี้นิ้วสั่ง ดังนั้นตำแหน่งสำคัญบางตำแหน่งเขาจึงไม่รู้จะใช้ใครอยู่บ้าง
เมื่อได้ยินคำว่าว่านเซียง มูวี ฉินเฟยก็รู้สึกประหลาดใจ
ว่านเซียง มูวีเป็นหนึ่งในบริษัทที่มีศักยภาพมากที่สุดภายใต้ว่านเซียง กรุ๊ป มันเป็นบริษัทด้านความบันเทิง ในนั้นมีดาราแนวหน้าระดับประเทศอยู่ และมีดาราชั้นสองอีกนับไม่ถ้วนล้วนเป็นศิลปินใต้สังกัดของว่านเซียง มูวี
ฉินเฟยรู้ว่าหากขายังคงปฏิเสธอีก จางจงเยว่คงจะต้องรบเร้าเขาทั้งวันแน่
“ตกลง ผมจะพยายาม” ฉินเฟยพยักหน้าและรู้สึกตื้นตันอยู่บ้าง
“ดีดี อย่างนั้นพรุ่งนี้คุณก็คือประธานของว่านเซียง มูวี เอาบัตรประชาชนมาให้ผม แล้วผมจะให้เลขามารายงานตัวกับคุณ”
“ใช่สิ” จู่ๆ จางจงเยว่ก็ดูเหมือนจะคิดอะไรขึ้นมาได้ เขาหันไปหยิบกล่องประณีตที่อยู่ข้างมา “นี่คือของขวัญที่ผมจะให้พี่สะใภ้ผมได้ยินมาว่าคุณแต่งงานแล้ว”
“พี่สะใภ้? คุณออกจะอาเปรียบกันไปแล้ว!”
“ฮึฮึ เรียกแบบให้เกียรติไง อย่างนั้นก็เรียกว่าน้องสะใภ้แทน” จางจงเยว่โบกมืออย่างเก้อๆ ยังไงเสียเขาก็อายุตั้งสี่สิบกว่าแล้ว
ฉินเฟยรีบมาอย่างรู้สึกแปลกๆ เมื่อเห็นตัวอักษรภาษาอังกฤษจำนวนมาก วาเลนติโน — The chanrm of heaven
“วาเลนติโน่ – The chanrm of heaven?” ฉินเฟยเงยหน้าขึ้นมองด้วยความประหลาดใจ “ของขวัญชิ้นนี้มีค่าเกินไปหน่อยไหม?”
นี่มันล้ำค่าอย่างมาก!
อย่างที่เราทราบกันดีว่าวาเลนติโน่เป็นหนึ่งในสิบนักออกแบบแฟชั่นที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก อีกทั้งเธอยังตั้งชื่อแบรนด์ตามตัวเธอเองด้วย The chanrm of heaven เป็นเดรสตัวสุดท้ายที่ออกแบบโดยวาเลนติโน่ ตอนนี้มีจำนวนจำกัดคือ 520 ตัวเท่านั้น ในปีนั้น The chanrm of heaven ขายหมดทันทีที่ออกมา
ต้องรู้ว่า เดรสชุดนี้มันถูกแย่งชิงโดยผู้หญิงที่มีชื่อเสียงทั่วโลก
คนรวยก็ยังหาซื้อไม่ได้ ราคาสิบล้านหยวน ว่ากันว่าตอนนี้มีการคาดการณ์ราคาถึงหกสิบล้านหยวน อีกทั้งยังหาซื้อไม่ได้อีกด้วย จำนวนของแท้ที่ไหลเข้าจีนมาก็มีไม่เกินนับถึงสามนิ้วแน่นอน!
“ฮึฮึ ผมได้ยินมาว่าพี่สะใภ้เป็นสาวงามล้ำคนหนึ่ง ก็เหมาะกับ The chanrm of heaven ชุดนี้” จางจงเยว่ยิ้มและพยักหน้า
“ไม่เอา นี่มันแพงเกินไป ผมไม่ต้องอยากให้ภรรยาใส่ออกไปให้ถูกปล้นหรอก” ฉินเฟยปฏิเสธอย่างเด็ดขาดและเอ่ยล้อเล่น
แน่นอนว่าเขาไม่เอา น่าขัน! ชุดเดรสตัวนี้ราคาตั้งเท่าไหร่ มูลค่าของมันได้พุ่งไปถึงขั้นเก็บรักษาแล้ว ถ้าเอาไปให้เจียงเยว่ถง เธอจะต้องคิดว่าเขาขโมยมันมาแน่
“กริ้ง–”
ทันใดนั้น โทรศัพท์มือถือของฉินเฟยก็ดังขึ้น มันเป็นข้อความจาก เจียงเยว่ถง
“ฉินเฟย นายรีบเอากระโปรงของฉันไปที่บริษัททันที ตัวสีฟ้าอยู่กลางห้องรับฝากของ อย่าแตะต้องของอื่นๆ! รีบเอามาตอนนี้ภายใน 30 นาที!”
เจียงเยว่ถงเอ่ยสั่ง เมื่อเช้าเธอรีบจนลืม ตอนนี้บริษัทมีหลายงานที่ต้องทำงานล่วงเวลา
เธอยังต้องเข้าร่วมการประชุมตระกูลในตอนเย็นด้วย แต่เธอไม่ต้องการถูกสมาชิกในตระกูลหัวเราะเยาะเพราะยากจน ดังนั้นคืนนี้เธอจะต้องแต่งตัว!
……
หลังจากแยกกับจางจงเย่ ฉินเฟยก็ขี่จักรยานยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กกลับบ้านก่อน จากนั้นจึงไปที่บริษัทของภรรยาของเขา ส่วน The chanrm of heaven นั้นเขาไม่ได้ต้องการมัน
ที่ลานจอดรถชั้นใต้ดินของอาคารเยี่ยหลัน
เมื่อฉินเฟยรีบไปที่เจียงเยว่ถงพร้อมเดรสที่เธอต้องการ เขาเห็นชายในชุดสูทยืนอยู่ข้างภรรยาของเขา โดยมี Audi A8 จอดอยู่ข้างหลังอีกฝ่าย
ฉินเฟยขมวดคิ้วและรีบลงจากจักรยานยนต์ไฟฟ้าแล้วเดินเข้าไปพร้อมกับกล่อง
“ฉินเฟย?” เมื่อชายในชุดสูทเห็นฉินเฟย คิ้วของเขาถูกยกขึ้นเล็กน้อย
ความงามของเจียงเยว่ถงทั้งซงไห่น้อยนักที่คนจะไม่รู้ งานแต่งงานในปีนั้นทำให้ทั้งเมืองซ่งไห่ตกตะลึง มีใครบ้างที่ไม่รู้ว่าเจียงเยว่ถงที่อ่อนโยนและงดงามจะแต่งงานกับขยะจากชนบท!
“ที่แท้ก็เป็นขยะอย่างนายนี่เอง” โจงเซี่ยงเฉียนพูดอย่างเหยียดหยาม เขาถึงกับถอดชุดสูทออกต่อหน้าฉินเฟยแล้วยื่นให้เจียงเยว่ถง “เยว่ถง บ่ายนี้อากาศหนาวอยู่หน่อย เธอใส่เสื้อผ้าน้อยขนาดนี้ ระวังจะเป็นหวัด”
โจงเซี่ยงเฉียนไล่ตามจีบภรรยาของเขาอย่างโจ่งแจ้งและปฏิบัติต่อฉินเฟยราวกับเป็นอากาศ!

คืนนั้น ฉินเฟยได้พูดคุยมากมายกับจางจงเยว่ เขาบอกว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ซงไห่ และทั้งสองก็ตกลงที่จะพบกันในวันพรุ่งนี้
ฉินเฟยตาสว่างไปทั้งคืน เขาไม่อยากเชื่อเลยว่าเรื่องพวกนี้จะเป็นความจริง
หลายปีมานี้ ฉินเฟยได้ช่วยเหลือผู้คนไปมากมาย ให้เงินไปไม่น้อย แต่หลังจากที่ตระกูลฉินเกิดเรื่อง คนในตระกูลบางคนก็พูดว่าเขาเป็นดาวหายนะและเป็นสัญลักษณ์ของการล้มละลายของตระกูล ดังนั้นเมื่อพวกเขาแยกกันไปครอบครัวเขาก็ไม่ได้รับเงินใดๆ และพ่อของเขาก็ได้เงินแค่ในส่วนบ้านบรรพบุรุษของตระกูลฉินเท่านั้น
ฉินเฟยเองก็ไม่คาดคิดว่าหลายปีต่อมา บุญคุณนี้จะทำให้เขาได้รับผลตอบแทนเช่นนี้!
อีกทั้งนี่ยังเป็นเพียงเงินปันผล! นอกจากนี้ จางจงเยว่ยังบอกว่าตนยังเป็นผู้ถือหุ้น 60% ของว่านเซียง กรุ๊ป!
มีค่าใช้จ่ายเท่าไร? ฉินเฟยตื่นเต้นมากจนนอนไม่หลับ
เขาแทบไม่ได้นอนจนถึงเช้า
เขากำลังหลับสนิทเมื่อได้ยินเสียงแม่สามีในห้องนั่งเล่น
“ฉินเฟย รีบลุกขึ้นมาทำอาหารเดี๋ยวนี้ ลูกสาวฉันจะไปทำงานแล้ว ไอ้ขยะอย่างนายวันๆ ไม่มีอะไรทำ รู้จักแต่นอน!”
ฉินเฟยยังคงอยู่ในความฝันของตนเองอยู่ ผลคือในเวลานี้เอง ประตูห้องก็ถูกเตะเปิดออก และเสิ่นหัว แม่สามีของเขาเดินเข้ามาและเตะเขาอย่างไม่อดทน
“คุณหูหนวกหรือ คุณไม่ได้ยินฉันเมื่อฉันบอกคุณให้ลุกขึ้นมาทำอาหาร” เสิ่นหัวเอ่ยอย่างเย็นชา
“โอ้” ฉินเฟยถึงค่อยรู้ว่าเขาไม่ได้ฝันและลุกขึ้นมามองเสิ่นหัวอย่างสะลึมสะลือ
ต้องบอกว่า เสิ่นหัวแม่ยายของตนนั้นสวยจริงๆ เธออายุสี่สิบกว่าปีแล้ว สวมกระโปรงยาวเซ็กซี่ และเนื่องจากดูแลตัวเองเป็นอย่างดี เธอจึงเหมือนกับหญิงสาวราวสามสิบที่เพิ่งแต่งงานก็ไม่ปาน
และที่เธอดูแลตัวเองได้เป็นอย่างดี ก็เป็นเพราะเธอไม่ต้องกังวลเรื่องการไปทำงาน ที่สำคัญไปกว่านั้นคือเธอไม่แม้แต่จะทำอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ฉินเฟยกลายมาเป็นลูกเขยแล้ว เนื่องจากพวกเขาทั้งหมดอยู่ใกล้ๆ กัน แม่ยายของเขาจึงมาทานอาหารอยู่บ่อยครั้งแทบจะวันเว้นวัน
เพียงแต่เธอเองก็ดีกับแพ่อตาของตนไม่เลวเช่นกัน ทุกครั้งล้วนเอาอาหารกลับไปให้เขาด้วยหลังทานเสร็จ!
คนเดียวในครอบครัวที่มีท่าทีที่ดีหน่อยกลับฉินเฟยก็คือพ่อตา
เจียงเฟิ่งหยุนเคยเป็นทหาร เขาล้มป่วยในกองทัพและสุขภาพไม่ดี ในตอนแรกที่ฉินเฟยมาที่นี่เพื่อเป็นลูกเขยให้พ่อตามีความสุข
หลังจากที่ฉินเฟย ‘แต่งงาน’ เข้ามาแล้ว สุขภาพของพ่อตาก็ดีขึ้นมาก อาจเป็นเพราะเหตุนี้เขาถึงไม่เคยด่าว่าทุบตีฉินเฟย
ฉินเฟยทำโจ๊กเทรเมลล่าให้แม่ยายเสร็จก็ลงไปชั้นล่างเพื่อซื้ออาหารเช้า หลังทานเสร็จแม่ยายของเขาก็ไปสปาเพื่อบำรุง
ก่อนออกเดินทางเธอก็ทิ้งเงินไว้ให้ฉินเฟยร้อยหยวน โดยบอกว่าในตู้เย็นมีเนื้อสัตว์และผักไม่มากแล้วให้เขาไปซื้อของที่ซูเปอร์มาร์เก็ต จากนั้นก็จากไปสีหน้ารังเกียจ
ฉินเฟยยิ้มอย่างขมขื่น นั่นเพราะเขาเป็นคนทำอาหารในบ้าน ดังนั้นย่อมเป็นเขาที่ซื้อผักผลไม้ เจียงเยว่ถงให้เงินเขาร้อยหยวนต่อวันในหลายๆ ครั้งก็ไม่ได้เพียงพอ
เนื้อปลาไม่ถูก ผลไม้หลายชนิดก็มีราคาแพงขึ้นไปอีก บางครั้งเขาก็ต้องขอเงินจากแม่ยายและภรรยาเพิ่ม ดังนั้นย่อมทำให้พวกเธอด่าขึ้นไปอีกเป็นธรรมดา
……
ในช่วงบ่าย ร้านน้ำชาวินเยว่
ฉินเฟยนั่งลงอย่างไม่ใส่ใจ ฝ่ายตรงข้ามเขาคือจางจงเยว่ ประธานว่านเซียง กรุ๊ป
จางจงเยว่ดูเหมือนเป็นคนที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง ผมบางของเขาถูกหวีไปข้างหลังและแต่งด้วยเจลแต่งผม เขาสวมชุดสูทรองเท้าหนัง ในเวลานั้นจางจงเยว่อายุสามสิบปี ดังนั้นตอนนี้เขาก็อายุสี่สิบสามแล้ว
แต่ต่อหน้าฉินเฟย เขายังตื่นเต้นและสำรวมกิริยาเหมือนเด็กๆ
“คุณไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ ผมยอมรับการตอบแทนบุญคุณของคุณ แต่ว่าคุณจะเอาตำแหน่งประธานว่านเซียง กรุ๊ปมาให้ผมได้ยังไงกัน ว่านเซียง กรุ๊ปเป็นของคุณ ผมไม่ต้องการ!”
ไม่นาน พวกเขาก็ทะเลาะกัน ว่านเซียง กรุ๊ปที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ทั้งหมดล้วนเป็นความสามารถของจางจงเย่ ยิ่งไปกว่านั้น เขามีเงินมากเพียงพอในบัตรแล้ว ฉินเฟยไม่ต้องการบริษัทของคนอื่น และยังไม่ต้องไปเซี่ยงไฮ้เพื่อทำหน้าที่เป็นประธาน
“นี่ไม่ใช่เรื่องว่าคุณต้องการหรือไม่ ตอนแรกที่เริ่มก่อตั้งบริษัท นิติบุคคลคือชื่อของคุณ ผมมักจะอ้างว่าเบื้องหลังผมมีนายใหญ่ลึกลับอยู่ ตอนนี้นายน้อยก็ไม่ใช่เด็กแล้ว สามารถรับช่วงต่อได้ อีกทั้งด้วยความสามารถทางธุรกิจของนายน้อย ว่านเซียง กรุ๊ป จะแข็งแกร่งขึ้นและเติบโตขึ้นในมือของคุณแน่” จางจงเยว่กล่าวอย่างตื่นเต้น
ในความเห็นของเขา หลายปีมานี้ก็คือเขาที่ทำงานให้กับฉินเฟย ในตอนแรกฉินเฟยถือหุ้นถึง 80% ในว่านเซียง กรุ๊ป ขณะที่ จางจงเยว่มีส่วนแบ่งทางเทคโนโลยีที่ 20% ต่อมาบริษัทจำเป็นต้องขยายตัวและต้องมีผู้ถือหุ้นมาลงทุน จึงทำให้หุ้นบางส่วนของฉินเฟยลดลงไป
ตอนนี้จางจงเยว่เองก็มีหุ้นเพียง15% ในว่านเซียง กรุ๊ปและอีก 25% ถือโดยผู้ถือหุ้นรายใหญ่
“ไม่ ฉันจะไม่ไปเซี่ยงไฮ้”
จางจงเยว่ยิ้มและดูเหมือนจะคาดคิดได้ก่อนแล้วว่าฉินเฟยจะปฏิเสธ “เดือนก่อนหน้านี้ ผมได้ย้าย ว่านเซียง มูวี ภายใต้ ว่านเซียง กรุ๊ปมาที่ซงไห่เมื่อเดือนที่แล้ว คุณมาที่ว่านเซียง มูวี ในฐานะประธาน ไม่อย่างนั้นผมคงต้องมาจัดการมันอย่างปลีกไม่ได้”
“คุณคงไม่ปฏิเสธอีกใช่ไหม?”
เนื่องจากว่านเซียงเป็นของฉินเฟย ไม่ใช่ของกลุ่มบริษัทตระกูลจางของเขา จางจงเยว่จึงไม่ได้ปล่อยให้ญาติในตระกูลตนมาชี้นิ้วสั่ง ดังนั้นตำแหน่งสำคัญบางตำแหน่งเขาจึงไม่รู้จะใช้ใครอยู่บ้าง
เมื่อได้ยินคำว่าว่านเซียง มูวี ฉินเฟยก็รู้สึกประหลาดใจ
ว่านเซียง มูวีเป็นหนึ่งในบริษัทที่มีศักยภาพมากที่สุดภายใต้ว่านเซียง กรุ๊ป มันเป็นบริษัทด้านความบันเทิง ในนั้นมีดาราแนวหน้าระดับประเทศอยู่ และมีดาราชั้นสองอีกนับไม่ถ้วนล้วนเป็นศิลปินใต้สังกัดของว่านเซียง มูวี
ฉินเฟยรู้ว่าหากขายังคงปฏิเสธอีก จางจงเยว่คงจะต้องรบเร้าเขาทั้งวันแน่
“ตกลง ผมจะพยายาม” ฉินเฟยพยักหน้าและรู้สึกตื้นตันอยู่บ้าง
“ดีดี อย่างนั้นพรุ่งนี้คุณก็คือประธานของว่านเซียง มูวี เอาบัตรประชาชนมาให้ผม แล้วผมจะให้เลขามารายงานตัวกับคุณ”
“ใช่สิ” จู่ๆ จางจงเยว่ก็ดูเหมือนจะคิดอะไรขึ้นมาได้ เขาหันไปหยิบกล่องประณีตที่อยู่ข้างมา “นี่คือของขวัญที่ผมจะให้พี่สะใภ้ผมได้ยินมาว่าคุณแต่งงานแล้ว”
“พี่สะใภ้? คุณออกจะอาเปรียบกันไปแล้ว!”
“ฮึฮึ เรียกแบบให้เกียรติไง อย่างนั้นก็เรียกว่าน้องสะใภ้แทน” จางจงเยว่โบกมืออย่างเก้อๆ ยังไงเสียเขาก็อายุตั้งสี่สิบกว่าแล้ว
ฉินเฟยรีบมาอย่างรู้สึกแปลกๆ เมื่อเห็นตัวอักษรภาษาอังกฤษจำนวนมาก วาเลนติโน — The chanrm of heaven
“วาเลนติโน่ – The chanrm of heaven?” ฉินเฟยเงยหน้าขึ้นมองด้วยความประหลาดใจ “ของขวัญชิ้นนี้มีค่าเกินไปหน่อยไหม?”
นี่มันล้ำค่าอย่างมาก!
อย่างที่เราทราบกันดีว่าวาเลนติโน่เป็นหนึ่งในสิบนักออกแบบแฟชั่นที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก อีกทั้งเธอยังตั้งชื่อแบรนด์ตามตัวเธอเองด้วย The chanrm of heaven เป็นเดรสตัวสุดท้ายที่ออกแบบโดยวาเลนติโน่ ตอนนี้มีจำนวนจำกัดคือ 520 ตัวเท่านั้น ในปีนั้น The chanrm of heaven ขายหมดทันทีที่ออกมา
ต้องรู้ว่า เดรสชุดนี้มันถูกแย่งชิงโดยผู้หญิงที่มีชื่อเสียงทั่วโลก
คนรวยก็ยังหาซื้อไม่ได้ ราคาสิบล้านหยวน ว่ากันว่าตอนนี้มีการคาดการณ์ราคาถึงหกสิบล้านหยวน อีกทั้งยังหาซื้อไม่ได้อีกด้วย จำนวนของแท้ที่ไหลเข้าจีนมาก็มีไม่เกินนับถึงสามนิ้วแน่นอน!
“ฮึฮึ ผมได้ยินมาว่าพี่สะใภ้เป็นสาวงามล้ำคนหนึ่ง ก็เหมาะกับ The chanrm of heaven ชุดนี้” จางจงเยว่ยิ้มและพยักหน้า
“ไม่เอา นี่มันแพงเกินไป ผมไม่ต้องอยากให้ภรรยาใส่ออกไปให้ถูกปล้นหรอก” ฉินเฟยปฏิเสธอย่างเด็ดขาดและเอ่ยล้อเล่น
แน่นอนว่าเขาไม่เอา น่าขัน! ชุดเดรสตัวนี้ราคาตั้งเท่าไหร่ มูลค่าของมันได้พุ่งไปถึงขั้นเก็บรักษาแล้ว ถ้าเอาไปให้เจียงเยว่ถง เธอจะต้องคิดว่าเขาขโมยมันมาแน่
“กริ้ง–”
ทันใดนั้น โทรศัพท์มือถือของฉินเฟยก็ดังขึ้น มันเป็นข้อความจาก เจียงเยว่ถง
“ฉินเฟย นายรีบเอากระโปรงของฉันไปที่บริษัททันที ตัวสีฟ้าอยู่กลางห้องรับฝากของ อย่าแตะต้องของอื่นๆ! รีบเอามาตอนนี้ภายใน 30 นาที!”
เจียงเยว่ถงเอ่ยสั่ง เมื่อเช้าเธอรีบจนลืม ตอนนี้บริษัทมีหลายงานที่ต้องทำงานล่วงเวลา
เธอยังต้องเข้าร่วมการประชุมตระกูลในตอนเย็นด้วย แต่เธอไม่ต้องการถูกสมาชิกในตระกูลหัวเราะเยาะเพราะยากจน ดังนั้นคืนนี้เธอจะต้องแต่งตัว!
……
หลังจากแยกกับจางจงเย่ ฉินเฟยก็ขี่จักรยานยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กกลับบ้านก่อน จากนั้นจึงไปที่บริษัทของภรรยาของเขา ส่วน The chanrm of heaven นั้นเขาไม่ได้ต้องการมัน
ที่ลานจอดรถชั้นใต้ดินของอาคารเยี่ยหลัน
เมื่อฉินเฟยรีบไปที่เจียงเยว่ถงพร้อมเดรสที่เธอต้องการ เขาเห็นชายในชุดสูทยืนอยู่ข้างภรรยาของเขา โดยมี Audi A8 จอดอยู่ข้างหลังอีกฝ่าย
ฉินเฟยขมวดคิ้วและรีบลงจากจักรยานยนต์ไฟฟ้าแล้วเดินเข้าไปพร้อมกับกล่อง
“ฉินเฟย?” เมื่อชายในชุดสูทเห็นฉินเฟย คิ้วของเขาถูกยกขึ้นเล็กน้อย
ความงามของเจียงเยว่ถงทั้งซงไห่น้อยนักที่คนจะไม่รู้ งานแต่งงานในปีนั้นทำให้ทั้งเมืองซ่งไห่ตกตะลึง มีใครบ้างที่ไม่รู้ว่าเจียงเยว่ถงที่อ่อนโยนและงดงามจะแต่งงานกับขยะจากชนบท!
“ที่แท้ก็เป็นขยะอย่างนายนี่เอง” โจงเซี่ยงเฉียนพูดอย่างเหยียดหยาม เขาถึงกับถอดชุดสูทออกต่อหน้าฉินเฟยแล้วยื่นให้เจียงเยว่ถง “เยว่ถง บ่ายนี้อากาศหนาวอยู่หน่อย เธอใส่เสื้อผ้าน้อยขนาดนี้ ระวังจะเป็นหวัด”
โจงเซี่ยงเฉียนไล่ตามจีบภรรยาของเขาอย่างโจ่งแจ้งและปฏิบัติต่อฉินเฟยราวกับเป็นอากาศ!

“ฉินเฟย แขวนเสื้อผ้าของพวกเราซะ”
บนโซฟามีผู้หญิงสามคนกำลังนั่งอยู่และกำลังพูดคุยกันหลังจากแช่เท้า สาวงามทั้งสามล้วนเซ็กซี่และมีจุดเด่นในตัวเอง ผู้หญิงสามคนนี้เป็นภรรยาของฉินเฟยและเพื่อนสนิทสองคนของเธอ
เมื่อได้ยินคำสั่งของภรรยาของเขา ฉินเฟยที่เพิ่งเทน้ำล้างเท้าทิ้งก็รีบไปแขวนเสื้อผ้าอีกครั้งอย่างไม่ได้หยุดพัก นั่นเป็นเพราะเขาเป็นลูกเขยแต่งเข้า
เขาแต่งงานกับเจียงเยว่ถงมาสามปีแล้ว แต่เป็นแค่สามีภรรยาแต่ในนามเท่านั้น ฉินเฟยไม่แม้แต่จะให้เขาแตะต้องนิ้วของเธอด้วยซ้ำ! ทุกวันเขานอนบนพื้นห้องเก็บของ แม้กระทั่งโซฟาก็ไม่ได้นอน
นั่นเพราะเจียงเยว่ถงเกลียดเขา!
งานล้าง ทำอาหาร และถูพื้นล้วนเป็นงานของฉินเฟย ครั้งหนึ่งตอนที่เขากำลังถูพื้น เขาเคยบังเอิญไปชนกระถางต้นไม้ ผลคือเขาถูกภรรยาด่าสั่งสอนเป็นเวลาครึ่งชั่วโมง
มีอยู่คืนหนึ่ง ฉินเฟยดูทีวีและหลับไปบนโซฟา ผลคือแค่เพราะเท้าของเขาอยู่ที่บนโซฟาและถูกเจียงเยว่ถงเห็นเข้า เธอก็ตบหน้าเขาทันที
นั่นเป็นครั้งแรกที่ฉินเฟยถูกทุบตี ตั้งแต่เด็กจนโตแม้แต่พ่อแม่ของเขาก็ยังตัดใจทุบตีเขาไม่ลง อย่างไรก็ตามฉินเฟยถึงจะโกรธก็ไม่กล้าพูดอะไรและได้แต่เอ่ยขอโทษไปไม่หยุด คืนนั้นเขาถูกลงโทษให้คุกเข่าทั้งคืนโดยไม่ได้นอน
สามปีเต็มๆแล้ว ฉินเฟยคุ้นเคยกับชีวิตแบบนี้ไปแล้ว อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้เขาเจ็บปวดที่สุดก็คือหลังจากอยู่ด้วยทั้งวันและคืนกันมาถึงสามปี เขากลับดันตกหลุมรักผู้หญิงคนนี้โดยไม่คาดคิด แม้ว่าเจียงเยว่ถงจะดูถูกตนและด่าเขาว่าขยะ!
ฉินเฟยเป็นหลานชายคนโตของตระกูลฉิน ตระกูลฉินเป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงในรุ่นแรกของเจียงหนาน อย่างไรก็ตามตระกูลนั้นได้ตกต่ำลงและถูกไล่ถอดถอนชื่อออกจากเมืองซงไห่เมื่อสี่ปีก่อน
หนึ่งปีหลังจากการล่มสลายของตระกูลฉิน เขาก็กลายเป็นลูกเขยแต่งเข้า
ในช่วงสามปีที่ผ่านมา ฉินเฟยได้สัมผัสถึงความอบอุ่นและความเย็นชาของมนุษย์ ทั้งพี่น้องและเพื่อนของเขาต่างก็พยายามอย่างเต็มที่ที่จะอยู่ห่างจากเขา เพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ เขาต้องเลือกที่จะเป็นลูกเขยแต่งเข้า เรื่องนี้ ตนไม่เคยพูดถึงมันกับใคร แม้แต่เจียงเยว่ถงผู้เป็นภรรยาก็ไม่รู้
“ฉินเฟย นี่นายไปขุดหลุมสุนัขอยู่ที่ไหนอีก รีบออกมาหั่นผลไม้ให้พวกเรา เร็วเข้า!” เจียงเยว่ถงที่เห็นฉินเฟยเข้าไปในห้องนอนก็เอ่ยด้วยความไม่พอใจทันที
“อ่ออ่อ” ฉินเฟยตอบรับ เขาไม่กล้าที่จะชักช้าและรีบออกไป
“พี่ถง คุณสอนสามีได้ไม่เลวเลยนี่” ซุนเสี่ยวเจี๋ยหัวเราะเยาะ
เจียงเยว่ถงถลึงตาใส่ฉินเฟยและพูดอย่างเย็นชาว่า “แค่เห็นเขาฉันก็รู้สึกสะอิดสะเอียนแล้ว คนอื่นเขาแต่งเข้าบ้านเศรษฐีกัน แต่ฉันนี่สิกลับต้องมาแต่งกับขยะชิ้นหนึ่ง วันๆ ไม่ทำงาน แถมยังไม่มีความทะเยอทะยานเลยสักนิด พรุ่งนี้เป็นวันประชุมตระกูลเจียงของเรา พาเขาไปด้วยฉันล่ะอายจริงๆ”
ซุนเสี่ยวเจี๋ยเห็นฉินเฟยเข้าไปในครัว อันที่จริงเขาแต่งตัวเหมือนคนขายของริมถนนและดูซอมซ่อ เธอหัวเราะ “ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็อย่าพูดถึงเขาเลย พี่ถง ฉันได้ยินมาว่ามีบางอย่างผิดปกติเกี่ยวกับบริษัทของคุณเมื่อเร็วๆ นี้?”
เจียงเยว่ถงพยักหน้า “เมื่อเดือนที่แล้วธุรกิจเสื้อผ้าของเราต้องสูญเสียเงินไปหลายล้านหยวน แบรนด์นี้ขายไม่ได้และไม่มีใครซื้อสินค้า ตอนนี้บริษัทขาดเงินทุน และต้องการเงินอย่างน้อยๆ สามล้านหยวนจึงจะพลิกกลับได้ ไม่กี่วันนี้ เราต้องหานักลงทุนมาสนับสนุนบริษัท”
โจวลู่ตอบว่า “แต่พี่ถง บริษัทของคุณยังไงก็ถือเป็นบริษัทท้ายแถมที่สุด ไม่อยู่ในสายตาอะไร แบบนี้คงยากที่จะให้ตระกูลเจียง สนับสนุนคุณด้วยเงินสามล้านหยวน”
เจียงเยว่ถงพยักหน้าและไม่พูดอะไร
ฉินเฟยได้ยินทุกอย่างในครัว แต่ในฐานะสามีของเธอ ตนกลับช่วยอะไรไม่ได้เลยสักนิด
“กริ้งกริ้ง” ในขณะนี้เอง โทรศัพท์มือถือของฉินเฟยก็ดังขึ้น เป็นเบอร์แปลกโทรมา
“ฮัลโหล?” ฉินเฟยรับโทรศัพท์ด้วยความสงสัย
“นายน้อย?” เสียงของอีกฝ่ายเป็นชายวัยกลางคน ด้วยน้ำเสียงดูลังเลไม่แน่ใจและตื่นเต้นเล็กน้อย
“ฉันชื่อฉินเฟย คุณล่ะ?” ฉินเฟยขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาไม่เคยได้ยินชื่อเรียกนี้มาหลายปีแล้ว
“นายน้อย เป็นคุณจริงๆ ด้วย!” อีกฝ่ายตื่นเต้นมากจนพูดว่า “ผมจางจงเยว่ไงครับ”
“จางจงเยว่?” ฉินเฟยขมวดคิ้ว
จู่ๆ เขาก็นึกขึ้นมาได้!
จางจงเยว่ พ่อมดวงการธุรกิจ เมื่อ 13 ปีที่แล้วเขาล้มละลายเพราะถูกเพื่อนหักหลังจนต้องแยกจากภรรยาและลูก เขาไม่เพียงแต่ไม่เหลืออะไร แต่ยังมีหนี้นอกระบบกว่าสองแสน ขณะที่เขากำลังจะฆ่าตัวตายในแม่น้ำก็ถูกฉินเฟยพบเข้าและหยุดเขาเอาไว้
ฉินเฟยคิดว่ามันน่าเสียดายที่คนมีความสามารถแบบนี้จะต้องตายไป อีกทั้งในเวลานั้นตระกูลฉินเองก็กำลังรุ่งเรืองที่สุด ฉินเฟยที่มีเงินอยู่ในมือก็ได้ช่วยเขาชำระหนี้นอกระบบและให้เงินเขาอีกสามแสรเพื่อตั้งตัวอีกครั้ง
จางจงเยว่รู้สึกซาบซึ้งจนน้ำตาไหล เขาบอกว่าเขาจะตอบแทนน้ำใจนี้อย่างแน่นอน
หลังจากนั้น จางจงเยว่ก็ทำตามคำแนะนำของฉินเฟย เขาไปที่เซี่ยงไฮ้เพื่อตั้งตัวใหม่ หนึ่งปีต่อมา เขาได้ก่อตั้งว่านเซียง กรุ๊ปขึ้นด้วยความสามารถทางธุรกิจของเขา
อันที่จริงแล้วเมื่อหลายปีก่อน ฉินเฟยเคยเห็นจางจงเยว่ทางทีวี ในเวลานั้นตระกูลฉินได้ล้มละลายลงแล้ว อีกทั้งจางจงเยว่ก็ได้กลายเป็นผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จและเป็นมหาเศรษฐีที่มีมูลค่าทรัพย์สินเกือบหมื่นล้านหยวน
“ฉินเฟย หั่นผลไม้เสร็จแล้วยัง? เร็วเข้า!” ในเวลานี้ เสียงแสดงความไม่พอใจของโจวลู่ก็ดังขึ้น
“ได้แล้วๆ ได้แล้วๆ” ฉินเฟยตอบรับไป
เมื่อจางจงเย่ในสายได้ยินว่าฉินเฟยยุ่งอยู่ เขาก็วางสายไปและบอกว่าจะส่งข้อความมา
ไม่นาน ข้อความของจางจงเย่ก็มาถึง
“นายน้อย หลายปีมานี้ผมตามหาคุณอย่างยากลำบากมาก โชคดีที่สวรรค์เมตตา ในที่สุดผมก็สามารถตอบแทนบุญคุณคุณได้แล้ว”
“ตอบแทนบุญคุณอะไร?” ฉินเฟยตอบกลับด้วยรอยยิ้มที่ขมขื่น
คืนเงินหรือ? ห้าแสนหรือแถมดอกเบี้ยด้วยเล็กน้อย?
“นายน้อย คุณลืมไปแล้วหรือ? คุณมีหุ้น 60% ในว่านเซียง กรุ๊ป ผมจ่ายเงินปันผลให้คุณทุกปี เมื่อกี้ผมก็เพิ่งโอนให้คุณ 100 ล้านหยวน”
อะไร?
แม่เจ้าเว้ย!!
ฉินเฟยตกใจมากจนแทบจะกระโดดจากพื้น!
เขาระงับความตื่นเต้นของตนและส่งผลไม้ที่หั่นแล้วไปให้ผู้หญิงทั้งสามคน
ฉินเฟยเข้าห้องนอนอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็หาบัตรธนาคารแบล็กการ์ดระดับสูงสุดทันที การ์ดใบนี้ถูกละทิ้งมาสี่ปีแล้ว มันเป็นของขวัญในวันเกิดครบรอบ 18 ปีของเขาเมื่อแปดปีที่แล้วจากปู่ของเขา
นี่เป็นบัตรที่แทนสัญลักษณ์บุคคล เพราะมันต้องมีเงินฝากอย่างน้อย 100 ล้านถึงจะมีคุณสมบัติในการสมัครบัตรแบล็กการ์ดระดับสูงสุดได้ อีกทั้งบัตรแต่ละใบล้วนมีมืออาชีพคอยให้บริการ
หลังตระกูลฉินล้มละลาย เงินในบัตรของเขาก็หมดลง ดังนั้นเขาจึงไม่เคยใช้มันอีกเลย
ฉินเฟยรีบหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาและโทรไปที่คอลเซ็นเตอร์
“สวัสดีค่ะ คุณฉิน ไม่ทราบว่ามีอะไรให้รับใช้คุณคะ?” เสียงหวานของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นด้วยน้ำเสียงเคารพ
“เร็วเข้า ตรวจสอบยอดเงินให้ฉันหน่อย”
“ได้ค่ะ รอสักครู่นะคะ” ผู้หญิงคนนั้นตอบรับทันที หลังจากนั้นไม่กี่สิบวินาที เสียงของผู้หญิงคนนั้นดังขึ้น “คุณฉิน คุณยังมียอดคงเหลือในบัตร 354.65 ล้าน”
เมื่อเสียงจบลง ฉินเฟยก็วางสายโทรศัพท์โดยตรง
สามร้อยกว่าล้าน? ฮ่าฮ่าฮ่า!
“พี่ถง ดูฉินเฟยสิ เขากำลังตรวจสอบยอดเงินของเขา” โจวลู่เพื่อนสนิทของเธอพูดขึ้นและอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ
เจียงเยว่ถงเหลือบมองที่ฉินเฟยและพูดเยาะเย้ยว่า “พรุ่งนี้ในการประชุมตระกูล นายไปซื้อชุดดีๆ มาใส่หน่อย อย่าทำให้ฉันอับอายขายหน้า ฉันให้เงินนายหนึ่งร้อยหยวนทุกวัน สามปีมานี้คงเก็บได้ไม่น้อยสินะ?”
“พี่ถง ฉันไม่เข้าใจคุณจริงๆ นี่คุณยังต้องมาเสียเงินเปล่าๆ ไปด้วย ถ้าเป็นฉันคงหย่าไปนานแล้ว เขามีประโยชน์อะไรกัน?” โจวลู่พูดอย่างชั่วร้าย
“ใช่ ช่างไร้ประโยชน์เกินไปจริงๆ” ซุนเสี่ยวเจี๋ยเองก็เห็นด้วย
ฉินเฟยไม่สนใจพวกเธอ เขาเดินเข้าไปอย่างตื่นเต้นและมองไปที่เจียงเยว่ถง ก่อนจะพูดว่า “บริษัทขาดเงิน 3 ล้านหยวน อย่างนั้น…ให้ผมช่วยคุณคิดหาวิธีไหม?”
“ฮ่าฮ่า…” โจวลู่มองดูฉินเฟยที่จริงจังด้วยสีหน้าแปลก ๆ จากนั้นก็อดหัวเราะลั่นขึ้นมาไม่ได้
“ฉินเฟย ฉันได้ยินมาว่านายมาจากชนบท นายรู้ไหมว่าสามล้านหยวนคืออะไร? นายจะคิดหาวิธี? นายจะมีวิธีอะไร? ถ้านายหาเงินสามล้านหยวนมาได้จริงๆ ให้ฉันไปเป็นเมียน้อยของนายก็ยังได้เลย!”
“จริงหรือ?” ฉินเฟยพูดด้วยรอยยิ้มที่คุกรุ่น “อย่างนั้นเธอก็อย่าลืมสิ่งที่พูดแล้วกัน”
เมื่อพูดถึงเงินสามล้านหยวน เจียงเยว่ถงก็อารมณ์เสียจนทนไม่ไหว ฉินเฟยคนนี้สมองมีปัญหาหรือไง? ไม่มีเงินก็ไม่มีเงิน แต่สมองยังกลวงไปด้วยหรือ?
“ไปอยู่ที่อื่นไป อย่ามาขวางหูขวางตาอยู่ตรงนี้”
“อ่อ” ฉินเฟยตอบรับและไม่ได้อธิบายอะไร

ผมเป็นเขย(ผู้ไม่ธรรมดา)

ผมเป็นเขย(ผู้ไม่ธรรมดา)

Score 10
Status: Completed
ฉินเฟยเป็นเขยแต่งเข้าแห่งตระกูลอันดับรอง แต่งงานมาสามปีเมียไม่เคยให้แตะเลย พอชีวิตถูกบีบมาจนถึงขีดสุด หลังเผยตัวจนที่แท้จริงเท่านั้นแหละ เธออดใจไม่ไหวแล้ว............

Options

not work with dark mode
Reset