Rebuild World 2 การช่วยเหลือของอัลฟ่า

ตอนที่ 2 การช่วยเหลือของอัลฟ่า

บทที่ 02: การช่วยเหลือจากอัลฟ่า

หลังจากที่เขาหนีจากสัตว์ประหลาดได้ อากิระก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก  

อัลฟ่าหัวเราะอย่างภาคภูมิใจ

“เป็นไงล่ะ ฉันให้การช่วยเหลืออย่างดีเลยใช่ไหมล่ะ?”

“ชะ-ใช่ ฉันรอดเพราะสิ่งนั้นเลย ขอบคุณ”

ขณะที่เขาพยายามสงบสติอารมณ์ อากิระก็นึกถึงทุกอย่างที่เพิ่งเกิดขึ้น  

ความตื่นเต้นที่ยังตกค้างและอะดรีนาลีนที่พุ่งพล่านจากการโจมตีของสัตว์ประหลาด  

เสียงกรีดร้องจากปอดในขณะที่เขาวิ่งพล่านไปมาอย่างกับคนบ้า  

ความระแวดระวังต่อสาวนิรนามและความรู้สึกขอบคุณหลังจากที่เขาได้รับการช่วยเหลือจากเธอ  

ความรู้สึกทั้งหมดหลอมรวมกันจนไม่รู้จะต้องทำหน้าแบบไหน

ทางด้านอัลฟ่า เธอยืนพิจารณาอากิระและพยายามมองลึกลงไปในความคิดของเขา ขณะที่มอบรอยยิ้มที่สวยงามเพื่อให้อากิระลดความระมัดระวังต่อเธอลง

“ยินดีเป็นอย่างยิ่ง ตอนนี้คุณได้ลิ้มรสของ

ฉันเก่งแค่ไหน อยากคุย อยากถามอะไร

คุณ. ได้ไหม?”

“ดีที่ได้ยินแบบนั้นนะ ทีนี้คุณก็รู้แล้วว่าฉันมีประโยชน์แค่ไหน ตอนนี้ฉันจะคุยเรื่องคำขอของฉันก็แล้วกัน…ได้ไหม?”

“อ่า…ได้สิ”

อัลฟ่าจ้องมองที่ดวงตาของอากิระและพยักหน้า สีหน้าเธอตอนนี้เปลี่ยนเป็นจริงจัง

“ฉันต้องการให้คุณสำรวจซากปรักหักพัง แต่ว่ามันไม่ใช่ที่นี่ มันเป็นซากปรักหักพังแห่งอื่น

และแน่นอนว่ามันเป็นซากปรักหักพังที่อันตรายมาก

พูดตามตรง เป็นไปไม่ได้เลยที่ตัวคุณในปัจจุบันจะสำรวจสถานที่นั้นได้

ลืมเรื่องการสำรวจสถานที่ไปได้เลย แม้แต่การไปถึงที่นั่นก็เป็นไปไม่ได้

แม้ว่าคุณจะได้รับการช่วยเหลืออันน่าทึ่งจากฉันแต่คุณจะตายกลางทางอย่างแน่นอน  

นั่นเป็นเหตุผลที่ก่อนจะไปที่นั่น ฉันต้องการให้คุณเตรียมอุปกรณ์และทักษะให้เพียงพอในการสำรวจซากปรักหักพังนั้น

และนั่นจะเป็นเป้าหมายหลักของเรา…”

เขารู้สึกว่าจะเป็นเรื่องยาวแน่ อากิระอ้าปากอย่างลังเลและพูดขึ้น

“อืม ฉันขอพูดอะไรหน่อยได้ไหม?”

“มีอะไรเหรอ? หรือว่ามีส่วนไหนที่คุณไม่เข้าใจ”

“นั่นไม่ใช่สิ่งที่ฉันหมายถึง เอ่อ ฉันเข้าใจนะว่ามันคือเรื่องสำคัญ แต่ขอเก็บไว้พูดทีหลังได้ไหม?  

เอาจริงๆแล้ว ฉันต้องการพูดคุยเกี่ยวกับวิธีที่จะออกไปจากที่นี่อย่างปลอดภัยก่อนถ้าเป็นไปได้…”

อัลฟ่าหยุดพูดและยิ้มให้อากิระอย่างมีนัยสำคัญ

เธอจ้องมองมาที่เขา ความเงียบทำให้อากิระถอยหลังไปเล็กน้อยและสีหน้าของเขาก็แข็งทื่อ

——เชี่ย นี่ฉันทำให้เธอโกรธรึเปล่า? บางทีฉันไม่ควรตัดบทของเธอแบบนั้น

สุนัขสงครามยังคงเดินลาดตระเวณไปทั่วอาคาร

เขาจึงไม่สามารถอยู่ตรงนี้ตลอดไปได้ เขาต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อออกจากสถานการณ์นี้  

ไม่ช้าก็เร็วเขาจะถูกฆ่าแน่  

นี่คือเหตุผลว่าทำไมเขาถึงตัดบทพูดของอัลฟ่า  

แต่แล้ว เขาก็ตระหนักได้ว่าหากเขาทำให้อัลฟ่าโกรธก็เท่ากับตัดทางรอดของตัวเอง

ความตื่นตระหนกและประหม่าของอากิระเริ่มแสดงออกมาผ่านสีหน้าของเขา

เมื่อเห็นแบบนั้น อัลฟ่าก็หัวเราะคิกคักและแสดงออกว่าไม่เป็นอะไร

“ฉันเข้าใจ ฉันเองก็อยากจะถามเธออีกหลายอย่าง เอาไว้ถามตอนเราอยู่ในสถานการณ์ที่ดีกว่านี้ก็ได้  

เอาล่ะมาหาทางออกจากที่นี่กลับไปที่เมืองคุกามายามะกันก่อนแล้วค่อยคุยกันต่อหลังจากนั้น ตกลงไหม?”

“อืม ได้สิ”

อากิระถอนหายใจด้วยความโล่งอก เมื่อโอกาสรอดชีวิตของเขาไม่ได้ลดลงเพราะทำให้เธอโกรธ

แต่ในวินาทีนั้น อัลฟ่าก็ออกคำสั่งกับเขาอีกครั้ง

เธอยิ้มราวกับว่าเธอตั้งใจที่จะลบความโล่งใจของเขาออกไป

“ทีนี้ก็ลงไปข้างล่างเดี๋ยวนี้”

อากิระถอนหายใจเฮือกใหญ่… แต่ทันใดนั้นเขาก็รู็สึกตัว  

เขายืนขึ้นด้วยท่าทางตกตะลึง

อัลฟ่าดูเหมือนจะไม่ใส่ใจกับปฏิกิริยาของอากิระ

เธอเดินไปอย่างแผ่วเบาพร้อมกับโบกมือให้อากิระราวกับว่าเธอนำทางอากิระที่ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น

“เป็นอะไรล่ะ? ไปกันเถอะ”

อากิระท้วงด้วยความตื่นตระหนก

“เดี๋ยวนะ ฉันเพิ่งออกมาจากข้างล่างนั่นเองนี่!? แล้วทำไมเราถึงต้องกลับไปที่นั้นอีกล่ะ!?  

ก็เห็นว่ายังมีสัตว์ประหลาดกำลังเดินเตร่อยู่ข้างล่างอยู่เลย!?”

อยากอธิบายให้ฟังอยู่หรอกนะ แต่… เอาเป็นว่าฉันจะอธิบายระหว่างเคลื่อนที่ไปด้วยแล้วกัน  

แต่ถ้านายไม่ไว้ใจในการช่วยเหลือของฉัน ก็คงช่วยไม่ได้ ฉันจะไม่บังคับนายอีก”

หลังจากพูดแบบนั้น อัลฟ่าก็เดินเข้าไปในอาคารทิ้งอากิระไว้เบื้องหลัง

ความกลัวที่จะกลับไปยังทุ่งสังหารหยุดอากิระจากการขยับขา แต่พอเห็นอัลฟ่าหายเข้าไปในอาคาร เขาฝืนกัดฟันและตามเธอไป

อากิระไม่คิดว่าอาศัยแค่ตัวเขาเองจะกลับเมืองได้อย่างปลอดภัย

ไม่นับเรื่องที่ว่าเขาถูกอัลฟ่าช่วยเหลือจากการโจมตีของสัตว์ประหลาดก่อนหน้านี้

มันอาจจะดูเป็นเรื่องบ้าๆในความคิดของเขา แต่โอกาสรอดชีวิตของเขาจะมีมากขึ้นถ้าเขาฟังคำสั่งของเธอ

คิดได้แบบนั้นเขาจึงเสี่ยงตัดสินใจเดินตามหญิงสาวที่ไม่รู้จักไป

เมื่อเขาเข้าไปในอาคารอีกครั้ง เขาเห็นอัลฟ่ายืนอยู่ใกล้ทางเข้ารอเขาด้วยรอยยิ้ม

เมื่อมองไปที่เธอ อากิระรู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อย

เป็นความรู้สึกพ่ายแพ้แปลกๆ จากนั้นอัลฟ่าก็เริ่มเดินไปตามทางขึ้นบันไดโดยมีอากิระเดินตามหลัง

เขาเดินลงบันไดค่อนข้างช้าเมื่อเทียบกับตอนที่เขาขึ้นบันไดอย่างรวดเร็วในตอนแรก  

ตามคำสั่งของอัลฟ่า เขาหยุด…หลบซ่อนตัว  และเริ่มเดิน ทำแบบนี้สองสามรอบระหว่างทางลงบันได

“…ทำไมเราถึงกลับไปข้างล่างอีกล่ะ นี่มันไม่อันตรายเหรอ?”

“ข้างล่างนี่แหละอันตรายของจริงเลย”

อากิระตกใจจนผงะกับคำตอบของอัลฟ่า

แต่แล้วเขาก็รีบถามอัลฟ่าอีกครั้ง

“เดี๋ยวนะ!!มันอันตรายหรือไม่อันตรายกันแน่?”

“อย่างที่เห็นนั่นแหละ มีสัตว์ประหลาดอาศัยอยู่ข้างล่างนั่น มันเป็นที่ที่ห่างไกลจากคำว่าปลอดภัยที่สุด

นี่นายมาที่ซากปรักหักพังโดยไม่รู้เรื่องนั้นรึไง? นี่คงไม่ได้คิดว่ามันเป็นความโชคร้ายที่ทำให้นายถูกโจมตีใช่ไหม?”

“น่ะ-แน่นอน ฉันรู้… แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ฉันจะถาม

แต่ช่วยอธิบายให้ฉันฟังหน่อยเถอะ เธอบอกว่าจะบอกฉันตอนที่เราเคลื่อนที่ไม่ใช่เหรอ?”

“เพื่อให้นายกลับไปเมืองคุกามายามะได้อย่างปลอดภัยจากซากปรักหักพังของเมืองคุซึซึฮาระ  

นายต้องออกไปจากอาคารหลังนี้ก่อน… แต่ฉันไม่คิดว่านายมีความสามารถในการกระโดดจากชั้นดาดฟ้าลงพื้นอย่างปลอดภัย นั่นคือเหตุผลที่เราใช้บันได-“

อากิระไม่รอให้อัลฟ่าอธิบายจนจบ เขาขัดจังหวะคำอธิบายของเธอด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นในขณะที่มองไปที่อัลฟ่า

เพื่อแสดงความไม่ไว้วางใจและความไม่พอใจของเขา

“ก็ได้ ก็ได้ แต่บอกฉันอย่างหนึ่ง ถ้าฉันเชื่อฟังทุกอย่างที่เธอว่าแล้วฉันจะกลับไปได้อย่างปลอดภัยอย่างแน่นอนใช่ไหม?”

อัลฟ่าตอบด้วยสีหน้าจริงจัง

“อย่างน้อย ฉันคิดว่านายจะมีโอกาสรอดชีวิตมากกว่าที่นายทำคนเดียว ฉันเคยพูดเรื่องนี้ไปแล้ว

ว่าฉันจะไม่บังคับอะไรนาย หากนายไม่ไว้วางใจการช่วยเหลือของฉัน ฉันก็จะไม่ช่วยเหลือนาย เพราะมันเสียเวลาเปล่า “

จากนั้นอัลฟ่าก็มองไปที่อากิระขณะที่เธอรอคำตอบ

ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ขึ้นอยู่กับคำตอบของเขา

หลังจากหยุดคิดชั่วครู่ อากิระก็ขยี้หัวด้วยความเกลียดชังต่อตัวเองแล้วพูดขึ้น

“…โทษที มันเป็นความผิดของฉันเอง ฉันจะเชื่อเธอ เพราะงั้น…ได้โปรด ช่วยด้วยฉันด้วย”

อัลฟ่ายิ้มกลับราวกับว่าเธออารมณ์ดีขึ้นแล้ว

“ได้สิ ต่อจากนี้ฉันจะอยู่ในความดูแลของนาย”

แม้ว่าสถานการณ์จะคลี่คลายแล้ว แต่เขาก็ยังรู้สึกไม่สบายใจนิดหน่อย

อากิระจึงถามอีกครั้งอย่างระมัดระวัง

“…อีกอย่าง… ถ้าเป็นไปได้ เธอช่วยอธิบายเหตุผลของคำสั่งก่อนหน้านี้แบบง่ายๆให้หน่อยได้ไหม?

เอาแค่ประเด็นหลักก็ได้ พอดีฉันไม่ค่อยเข้าใจอะไรพวกนั้นน่ะ”

“มันมีความเหมือนในรูปแบบเชิงพฤติกรรมของสุนัขสงครามไม่ว่าพวกมันจะไล่ตามเป้าหมาย

จนถึงที่สุดหรืออยู่ในขอบเขตจำกัดในเขตๆเดียว ไม่ว่าจะเป็นพวกที่ยังลาดตระเวณหรือกลับไปที่ฐานเมื่อสูญเสียเป้าหมาย  

หลังจากการสังเกตลักษณะของพวกมันแต่ละตัวแล้ว

ฉันคาดการณ์ไว้ว่า ตอนนี้ โอกาสที่คุณจะพบสัตว์ประหลาดในพื้นที่เดิมจะต่ำมาก

ผงสีดำที่พวกมันใช้เป็นอาวุธนั้นผลิตโดยอวัยวะเฉพาะภายในตัว และอวัยวะนี้สามารถตุนผงสีดำได้ในจำนวนจำกัดเท่านั้น  

เมื่อพวกมันโจมตีมันจะใช้ผงสีดำที่มีอยู่ และแน่นอนว่าใช้เวลาสำหรับการเติมเต็ม  

ถ้านายเจอช่วงเวลานั้น มันจะเป็นโอกาสที่ดีในการยิงมันจากด้านหลังแล้วหนี

แน่นอนพวกมันจะวิ่งมาฆ่านายแน่

แต่ถ้านายรักษาระยะห่างไม่ให้พวกมันกัดได้ล่ะก็

ฉันแน่ใจว่านายสามารถฆ่าพวกมันได้แม้แต่กับการใช้ของอย่างปืนพกก็ตาม  

หลังจากพิจารณาปัจจัยหลายๆอย่างแล้ว

ฉันจึงตัดสินใจที่จะให้คำสั่งนั้นแก่นาย เอาล่ะนั่นคือประเด็นหลักๆ อยากได้รายละเอียดมากกว่านี้ไหม?”

“…เอ่อ…แค่นั้นก็พอแล้ว… ตอนอยู่บนดาดฟ้าเธอก็อธิบายแบบนี้ได้ไม่ใช่รึไง?”

เธอมองอากิระที่ทำหน้าไม่พอใจ อัลฟ่ายิ้มราวกับว่าเธอพยายามให้กำลังใจเด็กหนุ่มพูดขึ้น

“มีหลายครั้งที่ฉันไม่มีเวลาว่างในการอธิบายเรื่องต่างๆให้นายฟัง เพราะว่า ถ้าฉันต้องอธิบายทุกเรื่องให้นายฟังตลอดเวลา  

นายจะถูกฆ่าตายตอนไหนก็ได้ เช่น… ถ้ากระสุนกำลังจะเจาะเข้าไปที่หัวนายใน 3 วินาทีและ

ฉันต้องมาอธิบายให้ฟังว่าทำไมนายถึงควรหมอบลงให้เร็วที่สุด ถ้าตอนนั้นนายกำลังฟังฉันอธิบายอยู่ละก็นายคงตายทันที…

สิ่งเดียวกันจะเกิดขึ้นถ้าฉันบอกให้นายหมอบลงแล้วนายดันถามฉันว่าทำไปทำไม นายก็จะตายเหมือนกัน  

ฉันแตะตัวนายไม่ได้ ดังนั้นฉันจึงดึงนายให้หมอบลงไม่ได้ เพราะงั้น ถ้านายทำตามคำสั่งของฉันโดยไม่ถามเหตุผลไม่ได้

นายก็จะจบลงที่ความตาย นั่นคือสาเหตุทั้งหมด… ที่ตอนนี้ฉันสามารถให้คำอธิบายยาวๆได้เพราะสถานการณ์ตอนนี้เราค่อนข้างปลอดภัยแค่นั้นแหละ”

“…ฉันเข้าใจล่ะ”

แม้ว่าเขาจะยังข้องใจกับคำอธิบายของอัลฟ่า แต่เขาก็รู้สึกว่ายิ่งถาม เขาก็ยิ่งดูโง่

ดังนั้นเขาจึงเพียงแค่พยักหน้า

หลังจากลงมาถึงชั้นหนึ่ง สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม เขาเหลือบมองร่องรอยการโจมตีที่เกือบทำให้เขาเสียชีวิต

เขามองไปรอบๆทันทีเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีสัตว์ประหลาดหลงเหลืออยู่ เมื่อเขายืนยันแล้วว่าไม่มี เขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและสีหน้าของเขาผ่อนคลายลงเล็กน้อย แต่พริบตาความผ่อนคลายทั้งหมดนั้นถูกลบไปทันทีเมื่ออัลฟ่าเริ่มออกคำสั่งอีกครั้งด้วยท่าทางจริงจัง

“อากิระ ตั้งใจฟังคำสั่งของฉันและพยายามทำตามคำสั่งนั้นให้ดีที่สุด

ทุกครั้งที่นายเคลื่อนไหวนอกเหนือคำสั่งของฉัน มันจะเพิ่มโอกาสที่นายจะถูกฆ่า เข้าใจไหม?”

“ขะ เข้าใจแล้ว”

“30 วินาทีต่อจากนี้ วิ่งให้เร็วที่สุดเพื่อออกจากตึกแล้วเลี้ยวซ้าย  

วิ่งตามถนนโดยไม่เหลียวหลังไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น  

และเมื่อฉันให้สัญญาณ หันหลัง เล็งปืนแล้วยิงทันที คุณเข้าใจไหม?”

“…ดะ ได้”  

อากิระเข้าใจดีว่าถ้าเขาถามถึงเหตุผล เวลาของเขาคงหมดลงซะก่อน

ดังนั้นเขาจึงตอบอัลฟ่าพร้อมการพยักหน้า

แม้ว่าการแสดงออกของเขาจะแฝงความกังวลใจและความกลัวจะผสมอยู่ในนั้นก็ตาม

อัลฟ่าหลีกตัวไปด้านข้างราวกับว่าเธอกำลังหลีกทางให้อากิระ

จากนั้นเธอก็ชี้นิ้วไปที่ทางออกพร้อมกับจ้องมองมาที่อากิระ

อากิระแอบมองออกไปนอกอาคาร  

เขาดูร่องรอยที่เหลืออยู่จากการโจมตีของสุนัขสงคราม

ที่ตรงนั้นมันเป็นทุ่งสังหาร เขาเตรียมใจที่จะพุ่งให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้  

ในขณะที่เขาโน้มตัวไปข้างหน้าเพื่อที่จะออกวิ่งจากสถานที่ที่เขาอยู่ด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดของเขา

เมื่อเท้าของเขาวางลงบนพื้นอย่างมั่นคง แต่ตัวเขาก็เกิดรู้สึกลังเลขึ้นมา

ความพร้อมทางร่างกายกับความตั้งใจเป็นสองสิ่งที่แตกต่างกัน เขาเข้าใจมันดี

แม้ว่าร่างกายเขาพร้อมแต่เขาไม่มีความมั่นใจมากพอที่จะลงมือทำ

อัลฟ่าเริ่มนับถอยหลัง

“5… 4…. 3…”

อากิระจินตนาไม่ออกเลยว่าอะไรเกิดขึ้นกับเขาในพริบตาที่เวลาหมดลง  

ดังนั้นเขาจึงตั้งสมาธิให้มั่นและพุ่งตัวออกไป

เขาพุ่งผ่านช่องว่างระหว่างรอยแยกอาคารที่ถูกทำลายด้วยแรงทั้งหมดที่เขามี ลมหายใจขาดช่วงอย่างรวดเร็ว

แต่เขาก็ยังวิ่งต่อไป หัวใจของเขาเริ่มกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด แต่เขาก็ยังวิ่งต่อไป  

ฝ่าเท้าของเขาเริ่มรู้สึกเจ็บปวดจากการกระแทกพื้นถนนอย่างแรง แต่เขาก็ยังวิ่งต่อไป

เขากัดฟันวิ่งต่อไป แต่ถึงอย่างนั้น เขากลับไม่เห็นสัตว์ประหลาดบริเวณรอบๆ

และเขาก็ไม่ได้ยินเสียงการต่อสู้ใดๆ เลยเหมือนกัน  

ดังนั้นเขาเริ่มตั้งคำถามว่าทำไมเขาถึงต้องมาวิ่งแบบนี้

ความเงียบรอบตัวกำลังบอกเขาว่าเขาอยู่คนเดียวในซากปรักหักพังแห่งนี้

ปอด หัวใจ และขาของเขากำลังกรีดร้อง

ด้วยความเจ็บปวดจนแทบอยากจะสลบ แต่เขาไม่สนใจเสียงกรีดร้องเหล่านั้นในขณะที่เขายังวิ่งต่อไป

เขาไม่เห็นอะไรต่อหน้าเขาและเขาไม่ได้ยินอะไรเลยที่ด้านหลัง  

จนเขาเริ่มคิดว่าเขาปลอดภัยแล้ว เขาเริ่มสงบลง ความเจ็บปวดและความเหน็ดเหนื่อยทั้งหมดจากการวิ่งเริ่มกัดกินเขา

——ตอนนี้น่าจะปลอดภัยแล้ว…ใช่ไหม?

อากิระหยุดวิ่งเพื่อที่จะพักแรง  

เขามองกลับไปด้านหลังเพื่อยืนยันความปลอดภัยของตนเองแม้จะมีคำเตือนจากอัลฟ่าก็ตาม

อากิระตกตะลึง เขาเห็นสัตว์ประหลาดตัวใหญ่อยู่ไม่ไกลจากจุดที่เขายืนอยู่  

แม้ว่ามันจะมีแค่ตัวเดียว แต่กลับดูอันตรายกว่าฝูงสัตว์ประหลาดทั้งหมดที่เคยโจมตีเขาซะอีก

สัตว์ประหลาดตัวนั้นดูคล้ายกับสุนัขสงครามที่เขาเพิ่งพบเจอก่อนหน้านี้ มันมีปืนใหญ่ที่งอกอยู่บนหลังของมัน แต่แตกต่างกันตรงที่มันมีร่างกายที่บิดเบี้ยวราวกับว่ามันพยายามแปลงสภาพจากสภาวะปกติด้วยขาทั้ง 8 ที่ไม่สมมาตรของมัน

สิ่งที่ดูแปลกแยกคือหัวที่เหมือนสุนัขของมันนั้นมีตา 2 ดวงที่ด้านขวาและ 1 ดวงที่ด้านซ้าย มันน่าสงสัยว่ามันจะมองเห็นได้ชัดเจนหรือไม่ด้วยดวงตาขนาดไม่สมมาตร 3 ดวงนั้น แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าดวงตาทั้ง 3 ดวงนั้นจับจ้องมาที่อากิระ

สัตว์ประหลาดอ้าปากและส่งเสียงคำรามดังลั่น

ในเวลาเดียวกัน ปืนใหญ่ที่อยู่บนหลังของมันก็ยกขึ้นและยิงออกไปหนึ่งนัด

กระสุนระเบิดตกกระทบไม่ไกลจากอากิระมากนัก ขณะที่มันระเบิด มันส่งเศษหินกระเด็นปลิวว่อน แต่ต้องขอบคุณเศษซากอาคารที่กระจายอยู่รอบๆ ความเสียหายที่เกิดขึ้นจึงถูกจัดกัดให้แคบลง  

ในที่สุด อากิระก็รู้สึกได้ถึงลมอ่อนๆของการระเบิดที่พัดมากระทบตัวเขา

สัตว์ประหลาดยกปืนใหญ่ขึ้นอีกครั้งราวกับว่ามันจะยิงอีกรอบ …

แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเพราะกระสุนหมด มันส่งเสียงคำรามดังลั่น

ดวงตาของมันล็อคเข้ากับอากิระและวิ่งมาทางเขา

ตั้งแต่วินาทีที่เขามองย้อนกลับไป อากิระก็ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น กำลังประหลาดใจกับสิ่งที่เขาเห็น และแม้ว่าสัตว์ประหลาดจะเริ่มวิ่งเข้าหาเขา เขาก็ยังแข็งทื่ออยู่กับที่

“วิ่ง!!”

แม้ว่าเขาจะไม่เห็นอัลฟ่า แต่เขาก็ได้ยินเสียงของเธอตะโกนใส่เขาอย่างชัดเจน เขารีบกลับสู่ความเป็นจริงในทันที ต้องขอบคุณเสียงนั่น เขาเริ่มวิ่งให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่สัตว์ประหลาดได้ย่นระยะห่างส่วนใหญ่ระหว่างเขากับมัน เขาคงยืนห่างจากสัตว์ประหลาดหากเขาวิ่งต่อไปโดยไม่หันกลับมามองเลย… เป็นอย่างที่อัลฟ่าเตือนเขา โอกาสที่จะเขาจะตายพุ่งสูงขึ้นทุกครั้งที่เขาไม่ทำตามที่อัลฟ่าสั่ง

ร่างกายของเขากรีดร้องด้วยความเจ็บปวด แต่อากิระกลับไม่สนใจในขณะที่เขาวิ่งต่อไป เขาได้ยินเสียงเดินย่ำข้างหลังดังขึ้นเรื่อยๆ แต่ด้วยรูปร่างที่ผิดรูปของมัน ความเร็วในการวิ่งของมันจึงค่อนข้างช้า ดังนั้นอากิระจึงสามารถรักษาระยะห่างจากมันได้ แต่ถึงกระนั้น แผ่นดินก็สั่นสะเทือนและส่งเสียงตึงตังทุกครั้งที่ขาขนาดใหญ่ของมันเตะพื้น มันทำให้อากิระนึกถึงความน่ากลัวของลำตัวและขาที่ใหญ่โตของมัน

ทุกครั้งที่อากิระรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนและได้ยินเสียงก้าวของสัตว์ประหลาดดังก้องมาจากระยะไกล สติของอากิระก็ไม่อยู่กับตัว เขาจะกลายเป็นเนื้อสับถ้าขาใหญ่ๆ ข้างหนึ่งตกลงมาทับเขา

ทันใดนั้น อัลฟ่าก็ปรากฏตัวขึ้นข้างๆ อากิระในขณะที่เขากำลังวิ่ง เธอหายตัวมาปรากฏข้างเขาราวกับว่าเธอกำลังลอยและเลื่อนอยู่เหนือพื้น อากิระสามารถเห็นสีหน้าที่ผสมระหว่างความจริงจังและความผิดหวังเล็กน้อยของเธอได้อย่างชัดเจน

“โธ่ ฉันเตือนนายหลายครั้งแล้วว่าอย่าหันหลังกลับ ใช่ไหม? พยายามทำตามคำสั่งของฉันให้ตรงตามที่ฉันบอกคุณในครั้งต่อไป ฉันจะให้สัญญาณเมื่อนายจะต้องหันไปยิงกลับหลัง ดังนั้นพยายามตามให้ดีที่สุด เข้าใจไหม?”

“ยิงกลับหลัง!? เธอกำลังบอกให้ฉันต่อสู้กับสิ่งที่ใหญ่โตขนาดนั้นด้วยปืนพกนี่งั้นเรอะ!”

“ฉันบอกนายหลายครั้งแล้ว ฉันไม่บังคับให้นายทำตามคำสั่งของฉัน”

“เออตามใจเธอเลย!”

อากิระตะโกนและเสียโอกาสอันมีค่าในการหายใจ แต่อัลฟ่าก็พอใจกับคำตอบนั้นและยิ้มอย่างมีความสุข

“ไม่จำเป็นต้องตั้งเป้าหมายอะไรเลย แค่เล็งปืนของคุณไปข้างหน้าแล้วเหนี่ยวไกให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ โอเค?”

“เออ!”

อัลฟ่าเริ่มนับถอยหลังด้วยนิ้วของเธอ

“5…4…3…”

อากิระตั้งสติและแสดงสีหน้าเคร่งขรึม เขารู้ว่าเขาไม่มีทางเลือกอื่นไม่เช่นนั้นเขาจะถูกฆ่า

“… 2… 1… 0!”

อากิระหันกลับให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้และเหนี่ยวไกปืนทันทีโดยไม่เล็งเลยแม้แต่น้อย

เมื่อเขาหันกลับมา ดวงตากลมโตของสัตว์ประหลาดก็อยู่ตรงหน้าปากกระบอกปืนของเขาแล้ว กระสุนที่เขายิงในระยะเผาขนได้ทะลุเข้าไปในดวงตาของสัตว์ประหลาดและทะลวงลึกเข้าไปในหัวของมัน

อากิระยังคงเหนี่ยวไกปืนอย่างบ้าคลั่งในระยะประชิดแบบนั้น กระสุนทั้งหมดที่ออกมาจากปืนของเขาพุ่งเข้าใส่หัวของสัตว์ประหลาดโดยตรง ทำให้สัตว์ประหลาดบาดเจ็บจากภายใน

แม้ว่าอากิระจะสร้างความเสียหายมากมายให้กับสัตว์ประหลาด แต่พลังชีวิตที่มากมายของมันช่วยให้มันไม่ตายในทันที แต่ว่ามันก็ได้เข้าใกล้ประตูมรณะแล้ว มันยังคงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดทรมาน มันก็เผชิญกับความตายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

แม้ว่าสัตว์ประหลาดที่ตายจะล้มลงบนพื้น อากิระยังคงเหนี่ยวไกปืนพกที่ว่างเปล่าอยู่อย่างนั้น หลังจากที่เขาเห็นเลือดไหลออกมาจากหัวของมันและยืนยันว่าสัตว์ประหลาดหยุดเคลื่อนไหวโดยสิ้นเชิง เขาก็ปล่อยนิ้วออกจากไกปืน

“…ฉะ-ฉันทำสำเร็จแล้วเหรอ…?”

อากิระหายใจติดขัดแต่เขาก็ไม่ลดความระวัง เนื่องจากเขาไม่สามารถยืนยันได้ว่ามันตายไปแล้วจริง ๆ หรือไม่ อากิระจึงระมัดระวังตัวในขณะที่จ้องมองไปที่สัตว์ประหลาด เมื่อเขาสงบสติอารมณ์และกำหนดลมหายใจได้สักพัก ความจริงที่เขาฆ่าสัตว์ประหลาดก็เริ่มซึมซาบเข้ามาในร่างกายขณะที่เขามองดูสัตว์ประหลาดที่ตายแล้วโชกไปด้วยเลือดของมันเอง

“อากิระ”

อากิระหันไปตามเสียงขณะที่เขากำลังจะทรุดตัวลง จากนั้นเขากำลังจะกล่าวขอบคุณและขอโทษด้วยใบหน้าที่มึนงงเมื่อเห็นอัลฟ่าชี้ไปทางด้านนอกของซากปรักหักพังพร้อมกับยิ้ม เขาดึงตัวเองขึ้นมาอีกครั้งในทันที

“ใน 10 วินาที…”

อากิระรีบวิ่งโดยไม่รอให้จบประโยค

อัลฟ่าเอาแต่มองอากิระในขณะที่เขาวิ่งหนี เธอเพียงยิ้มอย่างขี้เล่น แล้วจู่ๆ ก็หายไป ทิ้งศพของสัตว์ประหลาดไว้ตามลำพัง

อากิระวิ่งให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อฉีกตัวหนีจากสัตว์ประหลาดที่โจมตีเข้ามาที่เผลอ แต่ก็มีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นเบื้องหลังเขา

เช่นเดียวกับอากิระ สัตว์ประหลาดก็มองเห็นอัลฟ่าเช่นกัน พวกมันจึงพยายามโจมตีอัลฟ่าที่อยู่ข้างหลังอากิระ

เพราะแบบนั้นอัลฟ่าจึงใช้ตัวเองเป็นตัวล่อเพื่อล่อสัตว์ประหลาดออกไป เมื่อเธอไปไกลระยะหนึ่งแล้ว เธอก็จะปล่อยให้ตัวเอง ‘ถูกกิน’

สัตว์ประหลาดไม่รู้สึกอะไรเลยแม้ว่ามันจะกัดเธอเข้าเต็มคำ พวกมันชะงักเพราะรู้สึกสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้น

จากนั้นอัลฟ่าจะบอกอากิระให้ใช้โอกาสนั้นยิงใส่สัตว์ประหลาดเหล่านี้ และเช่นเดียวกับตอนที่อากิระยิงตาและฆ่ามอนสเตอร์ตัวก่อน อัลฟ่าใช้ตัวเธอเองเป็นตัวล่อให้สัตว์ประหลาดเข้ามาในตำแหน่งที่อากิระสามารถทำลายพวกมันได้อย่างง่ายดาย

สัตว์ประหลาดกลุ่มนั้นปรากฏตัวขึ้นทันทีหลังจากที่อากิระตอบรับคำขอของอัลฟ่า แต่อากิระที่กำลังวิ่งให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อไปยังด้านนอกของซากปรักหักพังกลับไม่ได้สังเกตเลยแม้แต่น้อย

อากิระสามารถออกไปนอกซากปรักหักพังของเมืองคุซึซึฮาระได้หลายทาง สถานที่นั้นอาจจะดูอันตราย แต่ที่นั่นก็ยังดูปลอดภัยกว่าเมื่อเทียบกับภายในซากปรักหักพัง

จู่ๆ อัลฟ่าก็ปรากฏตัวขึ้นและรอรับอากิระราวกับว่าเธอไปถึงที่นั่นก่อนเขา อากิระทรุดตัวลงคุกเข่าทันทีพยายามสงบสติอารมณ์ 

จากนั้นอัลฟ่าก็พูดกับเขาอย่างอ่อนโยน

“ฉันก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะถ้านายอยากจะพักตรงนี้ แต่ถ้าฉันพูดต่อจากที่ค้างไว้ตอนนี้จะเป็นอะไรไหม?เราจะได้คุยกันเรื่องอุปกรณ์และทักษะพื้นฐานที่จำเป็นในการเข้าไปในซากปรักหักพังที่ฉันต้องการให้นายไป”

“อ่า เอาสิ…เชิญเลย”

“สำหรับอุปกรณ์ นายจะต้องซื้อมันหรือได้รับมันจากซากปรักหักพัง แต่อุปกรณ์จากโลกเก่าที่นายพบในซากปรักหักพังนั้นมีพลังมากกว่าอุปกรณ์ที่ขายกันทั่วไปมากแต่ก็ได้มายากกว่าเช่นกัน ดังนั้นฉันคิดว่านายต้องซื้ออุปกรณ์ขั้นพื้นฐานของนายก่อน แล้วใช้มันเพื่อตามล่าหาอุปกรณ์ที่ดีกว่าจากซากปรักหักพัง สำหรับความสามารถของนาย… ไม่มีทางอื่นนอกจากฝึกฝน และลับประสบการณ์ด้วยการสัมผัสกับการต่อสู้จริง แต่ไม่ต้องกังวล ฉันสามารถให้การฝึกอบรมที่ดีที่สุดแก่นายได้ด้วยการช่วยเหลือของฉัน”

อากิระนึกไม่ออกว่าจะฝึกกันแบบไหน แต่ฟังจากความมั่นใจของอัลฟ่า อย่างน้อยเขาก็รู้ว่ามันต้องเป็นการฝึกที่ดีที่สุด

“นั่นฟังดูเข้าท่า แต่เธอจะช่วยฉันขนาดนั้นเลยเหรอ?”

“ไม่ต้องห่วง นี่รวมอยู่ในมัดจำของฉันแล้ว นายก็รู้ มันอยู่ในขั้นตอนเพื่อที่จะให้นายสามารถทำตามคำขอของฉันด้วย สุดท้ายก็เพื่อประโยชน์ของตัวเองไม่มากก็น้อย ถ้านายคิดว่าฉันทำประโยชน์ให้นายมากเกินไป นายก็ควรฝึกฝนให้หนักเข้าไว้”

“โอเค ฉันจะทำให้ดีที่สุด”

อากิระสะดุ้งและพยักหน้า เขาสัมผัสได้ถึงการฝึกพิเศษที่รุนแรงที่เธอพูดถึงจากรอยยิ้มขี้เล่นของเธอ

อัลฟ่าดูพอใจในขณะที่เธอพยักหน้าให้เขา

“เป้าหมายหลักของเราในตอนนี้คือให้นายเป็นนักล่าชั้นยอด เพื่อที่จะได้มีเงินมากพอจะซื้ออุปกรณ์คุณภาพสูง แต่ก่อนอื่น นายต้องไปที่สำนักงานนักล่า และลงทะเบียนตัวเองเป็นนักล่าอย่างเป็นทางการและผ่านการทดสอบเป็นนักล่าระดับสูง… ในกรณีนี้ ฉันขอถามนายหน่อย… นายได้ลงทะเบียนตัวเองเป็นนักล่าอย่างเป็นทางการรึยัง?”

อากิระหยิบใบรับรองการเป็นนักล่าออกมาจากอก มันดูเหมือนกระดาษราคาถูกที่มีข้อความพิสูจน์ว่าเขาเป็นพนักงานระดับสามที่ผ่านการรับรองจากองค์กรภาครัฐแห่งภูมิภาคตะวันออก นอกจากนี้ยังมีหมายเลข ID ของเขาในฐานะนักล่าและชื่อของเขาเขียนอยู่

เมื่อมองไปที่ใบรับรองนักล่าสภาพเลวร้ายนั้นจนดูเหมือนใบรับรองปลอม อัลฟ่าก็สอบถามเพิ่มเติม

“…ใบรับรองการเป็นนักล่า… คืออะไรง่อยๆแบบนี้งั้นเหรอ? ได้โปรดอย่าเข้าใจฉันผิด มันไม่ใช่ว่าฉันสงสัย ไม่เป็นไร ตราบใดที่คุณสามารถใช้สิ่งนั้นเป็นใบรับรองการเป็นนักล่าได้…

“…น่าจะได้แหละ… คิดว่างั้น”

พนักงานในสำนักงานนักล่าให้กระดาษแผ่นนั้นแก่อากิระเมื่อลงทะเบียนด้วยตัวเองที่นั่น ไม่ผิดแน่ แต่หลังจากที่อัลฟ่าชี้ให้ดูว่ามันดูแปลกๆ อากิระก็เริ่มสงสัยเหมือนกัน

“ฉันอยากถามนายหลายอย่างเลย… เช่น นายลงทะเบียนเป็นนักล่ายังไง เล่าได้ไหม?”

“แน่นอน”

ขณะที่เขาเล่าเรื่องของเขาในช่วงเวลานั้นให้อัลฟ่าฟัง อากิระจำเรื่องเลวร้ายทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับเขาได้และแสดงสีหน้าแปลกๆ

อากิระไปที่สำนักงานนักล่าที่ตั้งอยู่ในเขตล่างของเมืองคุกามายามะ

มันตั้งอยู่ห่างจากเมืองสลัมเล็กน้อย จากภายนอก มันดูเหมือนบาร์ที่ถูกทำลายไปครึ่งหนึ่งเนื่องจากตัวอักษรครึ่งหนึ่งบนป้ายนั้นหลุดลอกเกินที่จะจดจำได้แล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะสัญลักษณ์สำนักงานนักล่าบนป้าย คงไม่มีใครรู้ว่าตึกนั้นเป็นสำนักงานนักล่า

พนักงานที่อากิระเจอนั้นเป็นชายหนุ่มขี้เมาที่ดูไม่อยากทำงานใดๆ การเป็นนักล่าเป็นงานที่ค่อนข้างได้รับความนิยม แม้แต่ในดินแดนตะวันออกและแถวนั้นก็มีนักล่าเก่งๆเยอะ แต่ชายคนนั้นกลับไม่ได้ให้ความรู้สึกแบบนั้นเลย แม้ว่าจะเป็นงานยอดนิยม แต่หลายคนเกลียดการถูกโยนมาทำงานใกล้กับเมืองสลัม ผู้ชายคนนั้นต้องเป็นคนที่ถูกลดบทบาทและย้ายเข้ามาในตำแหน่งนี้ซึ่งเหมาะสมกับแรงจูงใจและความสามารถของเขา

อากิระถามชายคนนั้นอย่างประหม่า

“ฉันมาเพื่อเป็นนักล่า ฉันขอลงทะเบียนที่นี่ได้รึเปล่า?”

พนักงานคนนั้นดูหงุดหงิดขณะที่เขาเดาะลิ้นและวางนิตยสารที่กำลังอ่านอยู่ จากนั้นเขาก็ทำหน้าที่ของเขา แม้ว่าอากิระจะเห็นได้ชัดว่าเขาไม่อยากทำก็ตาม

“…ชื่อล่ะ?”

“อากิระ”

พนักงานกดแป้นพิมพ์ที่อยู่หน้าเขา ไม่นานหลังจากนั้น เครื่องพิมพ์ที่อยู่ใกล้ๆก็พิมพ์ใบรับรองนักล่าที่มีลายเซ็นออกมา เขาหยิบกระดาษจากเครื่องพิมพ์อย่างลวกๆมายื่นให้อากิระ เมื่อเขาทำงานเสร็จ เขารีบคว้านิตยสารของเขาและเริ่มอ่านอีกครั้ง

อากิระรู้สึกสับสน เขามองกลับไปกลับมาระหว่างใบรับรองการเป็นนักล่าที่เขาเพิ่งได้รับมากับพนักงานคนนั้น เขาคิดว่าการลงทะเบียนเป็นนักล่าจะต้องใช้ขั้นตอนมากกว่านั้น แต่ตอนนี้ เขาแค่บอกชื่อของเขากับเจ้าหน้าที่ก็เสร็จแล้ว เขาไม่แน่ใจว่าการลงทะเบียนเสร็จสิ้นแล้วจริงๆรึเปล่า เขาจึงอยากจะถามพนักงานอีกครั้ง

“มีอะไร?”

พนักงานดูหงุดหงิดเมื่อเขาต้องละสายตาจากนิตยสารไปที่อากิระ

“มันก็แค่นี้แหละ ออกไปซะ”

“แค่ต้องการชื่อแค่นั้น? คุณไม่ต้องการข้อมูลอื่นๆด้วยเหรอ…?”

เขาดูหงุดหงิดมากจากก้นบึ้งของหัวใจในขณะที่ทำท่าจะไล่อากิระและพูดว่า

“อีกไม่นานแกก็ตายแล้ว คิดว่าฉันจะอยากได้ข้อมูลไปทำไม? ข้อมูลอะไรก็ไม่น่าสนใจทั้งนั้นแหละ พูดตามตรง ฉันไม่สนใจชื่อของแกด้วยซ้ำ ฉันแค่ขอเพราะนั่นคือกฎ ฉันไม่อยากรู้ด้วยซ้ำว่านั่นคือชื่อจริงรึเปล่า”

นั่นทำให้อากิระนึกถึงคุณค่าของคนอย่างเขา หลังจากที่เขารู้ เขาก็หุบปากและเดินออกจากสำนักงานนักล่าไป

อากิระจ้องไปที่ใบรับรองของเขา หลังจากที่เขาเล่าจบว่าเขาได้มันมาได้อย่างไร ตัวเขาเองนั้นเข้าใจสถานการณ์ที่เขาเป็นอยู่ เขาสาบานว่าเขาจะหนีให้พ้นจากสถานการณ์ที่เป็นอยู่ตอนนี้

อัลฟ่ายิ้มราวกับว่าเธอพยายามให้กำลังใจอากิระ

“เราจะเริ่มการฝึกของนายด้วยการอ่านและเขียน ท้ายที่สุด การรวบรวมข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญมาก แต่ไม่ต้องกังวล นายจะสามารถอ่านและเขียนได้ในเวลาไม่นานด้วยการช่วยเหลือระดับเฟิร์สคลาสของฉัน”

“ฉันเข้าใจ ฉันต้องฝากเธอด้วย… ยังไงก็ตาม เธอรู้ได้ยังไงว่าฉันอ่านหนังสือไม่ออก”

“ก็…ชื่อที่เขียนในใบรับรองการเป็นนักล่า มันคืออจิระ”

ชายคนนั้นไม่เพียงปฏิบัติต่อเขาอย่างส่งๆเท่านั้น เขายังทำผิดพลาดในหน้าที่การงานอีกด้วย อากิระพยายามอย่างมากที่จะรั้งตัวเองไม่ให้ฉีกใบรับรองการเป็นนักล่าของตัวเอง

หลังจากนั้นอัลฟ่าก็เสนอคำแนะนำในขณะที่ยิ้มอย่างขมขื่น

“ตอนนี้เรากลับไปที่เมืองคุกามายามะก่อน แล้วค่อยคุยกันต่อที่นั่น จนกว่านายจะเรียนรู้วิธีเขียนและอ่าน ฉันจะอ่านแทนนายเอง”

อากิระเพียงพยักหน้าโดยไม่พูดอะไร เขาเก็บใบรับรองการเป็นนักล่ากลับเข้าที่และเริ่มเดินไปที่คุกามายามะ อัลฟ่าตามมาและเริ่มเดินข้างๆ

อากิระถามคำถามง่ายๆ เพื่อทำให้อารมณ์ขุ่นเคืองนั้นทุเลาลง

“ว่าแต่ สัตว์ประหลาดตัวใหญ่นั่นที่ฉันเพิ่งเอาชนะในเมืองคุซึซึฮาระ มันชื่อว่าอะไร?”

“มันคือสุนัขสงคราม”

“…จริงดิ? ไอ้ตัวนั้นดูไม่เห็นจะเหมือนเลย จะบอกว่าสัตว์ประหลาดพวกนั้นเป็นประเภทเดียวกัน? “

“สันนิษฐานว่ามันอาจจะเกิดความผิดพลาดในการปรับเปลี่ยนโครงสร้างในตัวของมันเอง นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมคุณถึงสามารถเอาชนะมันได้อย่างง่ายดาย”

“รูปร่างแบบนั้นเป็นเพียงเปลือกนอกเท่านั้นรึไง?”

“นั่นขึ้นอยู่กับว่านายมองมันยังไง สัตว์ประหลาดตัวนั้นมีจุดอ่อนร้ายแรงที่ทำให้นายเอาชนะมันได้ และอาจเป็นเพราะโชคช่วยที่สามารถโจมตีจุดอ่อนตรงนั้นแล้วได้ผล แต่ถ้านายสามารถเอาชนะสัตว์ประหลาดแบบนั้นได้อีกครั้ง นายก็อาจจะคิดว่ามันแค่สัตว์ประหลาดกระจอกก็ได้ แต่นั่นหมายถึงนายต้องจัดการมันได้โดยไม่ต้องใช้การช่วยเหลือของฉันน่ะนะ”

“ไม่ล่ะ เป็นไปไม่ได้หรอก…”

“นั่นหมายความว่าการช่วยเหลือของฉันมันดีมากยังไงล่ะ ดังนั้นนายควรขอบคุณสำหรับสิ่งนั้น ใช่ไหม?”

“ขอบคุณมาก”

“ด้วยความยินดี.”

อากิระและอัลฟ่ายังคงเดินไปทางเมืองในขณะที่พูดคุยกันไปอย่างนั้น

จากภายนอก อากิระดูเหมือนเด็กบ้าที่พูดอยู่คนเดียว แต่…ไม่มีใครคอยบอกเขาเรื่องนั้น

แน่นอนว่าแม้แต่อัลฟ่าเองก็ขี้เกียจบอกเขาเรื่องนั้น
 

——————————————

Avolenn: ถึงนายจะรอดมาได้…แต่นายก็กลับไปมือเปล่า…อ่อไม่สิ ได้สาวไปด้วย

——————————————

เอาจริงๆ…คนแปลเห็นจำนวนคำแล้วขี้เกียจมาาาาาาาากกกกกก

จะเยอะไปไหน

ต้องการกำลังใจ ฝากคอมเมนท์ด้วยครับว่าเป็นยังไงบ้าง ห่างหายจากวงการแปลไปนาน

——————————————
สนับสนุนผู้แปลได้ที่นี่นะครับ กสิกร 475-2-65694-8 เมือง บ.

Rebuild World

Rebuild World

Score 10
Status: Completed
อากิระผู้เกิดในชุมชนแออัด มีความปรารถนาที่จะออกไปยังโลกภายนอก สิ่งเดียวที่เขาสามารถทำได้คือ การเสี่ยงชีวิตในโบราณสถานในฐานะนักล่า โบราณสถานเหล่านี้ถูกเรียกว่า "โลกเก่า" เป็นเขตอันตรายที่มีเหล่าสัตว์ร้ายเพ่นพ่าน ตึกอาคารที่พังทลาย และเหล่ามนุษย์ที่หันมาล่ากันเอง อากิระผู้คิดว่าจะได้เจอกับฉากเสี่ยงตายนับครั้งไม่ถ้วน แต่สิ่งที่เขาเจอนั้นกลับเป็นหญิงสาวผู้เปลือยเปล่า ส่วนโค้งส่วนเว้าอันน่าเย้ายวน กับความงามอันน่าทึ่งนั้นได้หันมาทางเขา ผู้หญิงที่ราวกับแม่มดผู้ลึกลับนั้นได้เดินเข้าไปหาเขา และ....

Options

not work with dark mode
Reset