บทที่ 53 บุตรแห่งพายุ[รีไรท์]
“ฉันเองก็ไม่แน่ใจว่าฉันอยู่ขั้นไหนกันแน่ ทำไมเธอกับฉันไม่ลองมาดูกันละว่ามันอยู่ขั้นไหน”
ซ่างกวนเสี่ยวฟู๋มองตาฉู่เหินอย่างพินิจพิจารณา และเห็นอีกฝ่ายเต็มไปด้วยคำถาม ซึ่งก็แปลว่าเขาไม่รู้จริง ๆ
มันแปลกที่คนที่ไม่รู้กระทั่งขั้นของวิทยายุทธจะสามารถพัฒนาตัวเองมาได้ขนาดนี้ แต่หญิงสาวก็ไม่คิดจะปกปิดอะไร เธอเลือกที่จะอธิบายให้ฉู่เหินฟัง
การฝึกวิทยายุทธจะมีการแบ่งระดับขั้นฝีมือ นั่นคือ 9 ขั้น ทั้งจากการฝึกและ 9 ขั้นที่ได้มาแต่กำเนิด ซึ่งในปัจจุบันนี้ผู้ที่ได้มาแต่กำเนิดมีน้อยมาก ในอดีตกาลตระกูลจอมยุทธ์ทุกคนฝึกวิทยายุทธจากพลังดวงดาว ซึ่งก็คือผู้ที่มีพลังแต่กำเนิด แต่ถ้าถามว่าผู้ที่มีพลังดวงดาววรยุทธเป็นอย่างไรนั้น เด็กสาวอย่างเธอก็ยังไม่รู้แน่ชัด
สำหรับ 9 ขั้นจากการฝึก เมื่อฝึกจนถึงขั้น 3 พวกเขาจะได้สมญานามว่าผู้เชี่ยวชาญ เมื่อฝึกจนถึงขั้น 6 ได้จะเรียกว่าปรมาจารย์ และถ้าฝึกจนถึงขั้น 9 ก็จะได้เป็นเทพยุทธ์ ผู้ที่ฝึกวรยุทธเองนั้นการเลื่อนขั้นเป็นไปได้ยากกว่าผู้ที่มีพลังแต่กำเนิดมาก ดังนั้นแค่ฝึกให้ถึงขั้นที่ 3 หรือขั้นก่อกำเนิดก็ว่ายากแล้ว แต่คนที่ฝึกถึงขั้นที่ 6 ซึ่งก็คือขั้นนิพพานจนได้สมญานามว่าปรมาจารย์นั้นยากยิ่งกว่า
ส่วนคนที่ทะลวงจนถึงขั้น 9 จะเรียกว่าเทพยุทธ์ ก่อนจะตามมาด้วยขั้นที่สูงกว่าอย่างขั้นผู้พิชิตดารา และขั้นทรราชดารา ว่ากันว่าถ้าทะลวงถึงขั้นนี้ได้ก็สามารถเทียบชั้นกับตัวตนระดับตำนานได้เลย ซึ่งซ่างกวนเสี่ยวฟู๋ก็ไม่เคยเห็นผู้ที่ฝึกได้ระดับนั้นมาก่อน เธอรู้สึกว่ายิ่งฝึกเท่าไหร่ การเลื่อนขั้นก็ยากขึ้นเท่านั้น
ตอนนี้ซ่างกวนเสี่ยวฟู๋มีความสามารถถึงขั้น 2 แต่กลับไม่สามารถแตะต้องมือของฉู่เหินได้เลย นั่นก็แปลว่าอย่างน้อยฉู่เหินน่าจะทะลวงถึงประมาณขั้น 4 ซึ่งเทียบได้กับผู้ฝึกยุทธระดับสูงของผู้ที่ไม่ได้มีพลังแต่กำเนิด
ถ้าอยากฝึกให้พัฒนายิ่ง ๆ ขึ้นไป สภาพจิตใจถือว่าสำคัญมาก ถ้าสภาพใจไม่พร้อมก็พัฒนาอะไรไม่ได้มาก ฉู่เหินเองเขาก็ได้แต่เดา ด้วยการใช้พลังดวงดาวในการฝึกตน คาดว่าอีกไม่นานเขาจะถึงขั้นบรรลุ และเทียบเท่ากับระดับปรมาจารย์แน่นอน
จากนั้นฉู่เหินก็คุยกับซ่างกวนเสี่ยวฟู๋เรื่องศิลปะป้องกันตัวอีก จากการคลุกคลีในช่วงหนึ่งซ่างกวนเสี่ยวฟู๋คิดว่าฉู่เหินคล้ายกับน้ำมันเนยเทใส่ศีรษะ* ไม่ว่าจะเรื่องเกี่ยวกับอะไรเขาก็สามารถทำมันได้ง่ายดายไปหมด คาดว่าอีกไม่นานเขาต้องสามารถใช้วิชาพลังดวงดาวทะลวงไปถึงขั้นบรรลุได้แน่ ๆ
หลังคุยกับทุกคนสักพัก ฉู่เหินก็พร้อมจะออกทะเล เมื่อวานเขาไม่ได้ออกเพราะซ่างกวนเสี่ยวฟู๋ แต่วันนี้เขาต้องไป เขาไม่รู้ว่าวันนี้เขาจะหว่านแหได้อะไรมา แต่ฉู่เหินตื่นเต้นทุกครั้งที่จะออกทะเล ความไม่รู้มักทำให้คนคาดหวังเสมอจริงไหม?
….
ในป่านิลวรรณแห่งโลกที่กำลังประสบอุทกภัย สงครามกำลังปะทุขึ้น มันเป็นสงครามที่เกี่ยวข้องกับคนนับร้อย ดูจากเสื้อผ้าที่พวกเขาสวมใส่ สงครามนี้น่าจะเกี่ยวข้องกับสามสำนัก
“ประตูทมิฬ ศาลาวายุ อย่ารังแกกันให้มากนัก ถึงแม้เจ้าจะมีกองกำลังมาก แต่ข้าสำนักดาบล่องนภาจะไม่ยอมให้ใครรังแกได้ง่าย ๆ” สำนักดาบล่องนภา ชายวัย 20 กว่า ๆ มีสีหน้าเคร่งเครียดขณะตะโกนออกไปหากลุ่มประตูทมิฬ
ในภูมิภาคนี้ ทั้งสามสำนักใหญ่เป็นปฏิปักษ์ต่อกัน ไม่มีใครช่วยใคร แต่ไม่นึกเลยว่าวันนี้ประตูทมิฬและศาลาวายุกลับร่วมมือกันโจมตีสำนักดาบล่องนภา พวกเขาบุกเข้าป่านิลวรรณ แต่ละกลุ่มมีกองกำลังร้อยคน ถ้าสำนักใดสำนักหนึ่งต้องปะทะกัน แบบนั้นก็พอรับไหว
แต่ตอนนี้สถานการณ์ไม่เหมือนเดิม ด้วยความที่ศาลาวายุอยากกำจัดสำนักดาบล่องนภาจริง ๆ ดังนั้นเขาจึงจัดสินใจผนึกกำลังกับประตูทมิฬ ด้วยเหตุนี้เองสำนักสำนักดาบล่องนภาคงไม่มีทางเอาชนะอีกสองสำนักได้แน่
“หูโย่วเมิ้ง เจ้านี่มันสมชื่อจริง ๆ เจ้าคิดว่าวันนี้คนของสำนักดาบล่องนภาจะรอดชีวิตไปได้งั้นเหรอ วันนี้เจ้าได้ตายสมใจอยากแน่ ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวเราบอกคนอื่นให้ว่าแกโดนสัตว์ขย้ำตาย พูดแค่นี้ก็เข้าใจง่ายดี” ชายคนนั้นหัวเราะ
“หลินเจี้ยนหยาง ใคร ๆ ก็บอกว่าเจ้าเป็นสุภาพบุรุษ ข้าไม่นึกเลยว่าแท้จริงแล้วจะโสมมถึงเพียงนี้ สำนักดาบล่องนภากับศาลาวายุถือเป็นพลังฝ่ายธรรมะ เราไม่มีวันแทงข้างหลังใคร ถ้ารอดไปได้ ข้าไม่มีวันปล่อยเจ้าไปแน่”
เมื่อได้ยินคำของหูโย่วเมิ้ง หลินเจี้ยนหยางถึงกับหัวเราะออกมา “หูโย่วเมิ้ง เจ้ามันช่างฝัน แล้วก็ไม่ผิดจริง ๆ นี่เจ้ายังคิดว่าจะมีโอกาสรอดอีกเหรอ วันนี้พวกเจ้าทุกคนต้องตาย” หลินเจี้ยนหยางหยุดหัวเราะ แววตาแฝงไปด้วยความเหี้ยมโหด
“ถึงแม้เราจะมีกำลังน้อยกว่า ทำให้เอาชนะเจ้าไม่ได้ แต่ข้าจะต้องจับเจ้าให้ได้” เมื่อสิ้นเสียง หูโย่วเมิ้งก็ใส่เสื้อเกราะพิเศษ
มันเป็นสีเงินขาวที่ทำจากเกล็ดทั้งตัว เสื้อเกราะของหูโย่วเมิ้งเปล่งประกายระยิบระยับเมื่อยืนอยู่ใต้แสงแดด
“ฮะ เจ้ามีเสื้อเกราะเกล็ดมังกรหวังหลินได้อย่างไร!?” หลินเจี้ยนหยางถึงกับหน้าเสียเมื่อเห็นหูโย่วเมิ้งใส่เสื้อเกราะตัวนี้ เขารู้จักชื่อเสียงของเสื้อเกราะตัวนี้ดี ว่ากันว่ามันคือสมบัติของเจิ้งจงแห่งสำนักดาบล่องนภา แล้วทำไมของสำคัญอย่างถึงจึงไปอยู่กับหูโย่วเมิ้งได้
ความน่าเกรงขามของเสื้อเกราะอยู่ที่เรื่องเล่าขานของมัน ว่ากันว่าถ้าใส่เสื้อเกราะมังกรหวังหลิน มังกรตัวใหญ่จะออกมา แต่ตอนนี้เขายังไม่เห็นพลังของมันสักนิด
“นี่ข้าตกใจกลัวเก้อหรือนี่ ไอ้เราก็นึกว่าเป็นเสื้อเกราะของจริง ที่ไหนได้ มันก็ของเก๊นี่เอง ถ้าเป็นของจริง ข้าคงเผ่นไปนานแล้ว น่าสมเพชที่มันเป็นของปลอม คิดว่าเอาของปลอมมาใส่แล้วจะรอดตายงั้นเหรอ”
เมื่อได้ยินหลินเจี้ยนหยางพูด หูโย่วเมิ้งก็อดตากระตุกไม่ได้ เขาไม่นึกว่าหลินเจี้ยนหยางจะเป็นผู้เชี่ยวชาญสิ่งของขนาดนี้ ดูถ้าแบบนี้แล้ว เขาคงต้องคิดให้รอบคอบกว่านี้
“อย่าพูดให้เสียเวลาเลยพี่หลิน ของปลอมแบบนี้ ไม่อยู่ในสายตาข้าหรอก” เมื่อได้ยินอย่างนั้น หูโย่วเมิ้งก็หรี่ตามอง
“ตงฟางป้า เจ้ายังจะกล้าปากดีอีกเหรอ ถึงมันจะไม่ใช่ของแท้ แต่มันเป็นฝีมือของปู่ข้าเชียวนะ เจ้าจะทำอะไรมันได้” ตงฟางป้า ผู้นำสำนักประตูทมิฬรู้จักคนที่หูโย่วเมิ้งพูดถึงเป็นอย่างดี
ถึงหูโย่วเมิ้งคนนี้จะไม่น่ายำเกรง แต่ปู่ของเขาก็เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องงานช่าง หากของเก๊นี้ทำจากฝีมือของปู่เขาจริง วิทยายุทธที่พวกเขามีคงไม่สามารถทำลายมันได้แน่ ๆ
ถ้าพวกเขาไม่มีทางสู้ได้ งั้นทำไมไม่ถอยทัพเสียตั้งแต่ตอนนี้ละ ? แต่แล้วเมื่อตงฟางป้ากำลังจะถอย เขาก็ได้ยินเสียงหลินเจี้ยนหยางหัวเราะ จากนั้นเขาก็เห็นมือที่ทำมาจากเหล็ก มันคือโกเล็มเหล็ก เมื่อเห็นดังนั้นทุกคนจึงพากันถอยหนี แม้แต่ตงฟางป้าเอง เขาก็ยังมีสีหน้าหวาดกลัว นี่คือความน่าเกรงขามของโกเล็มเหล็กนี้
“พ…พะ..พายุ..หลินเจี้ยนหยาง เจ้ามีโกเล็มเหล็กแห่งพายุได้อย่างไร?” หูโย่วเมิ้งที่ดูไม่เดือดเนื้อร้อนใจอะไรก่อนหน้านี้ เมื่อเขาเห็นพลังพายุ ตัวเขาก็เริ่มไม่มั่นใจเสียแล้ว เจ้าพายุนี่ไม่ใช่ของง่าย ๆ ว่ากันว่าจอมยุทธ์ที่จะใช้ได้นั้นต้องเป็นผู้มีฝีมือสูงส่งมาก เขาหรือเธอคนนั้นจะต้องเก็บสะสมรวบรวมพลังพายุเพื่อสรรค์สร้างเจ้าสิ่งนี้ขึ้นมา
* 醍醐灌顶 (น้ำมันเนยเทใส่ศีรษะ) สำนวนจีน หมายถึง การได้รับความรู้ทางธรรมจนแตกฉานทางโลก