เด็กน้อยที่อยู่ในอ้อมกอดเจินเมี่ยวกำลังมองไปรอบๆ อย่างงุนงง
นางจะซ่อนตัวอยู่ในมุมหนึ่งซึ่งด้านข้างมีกระถางต้นไม้ที่ห้อยโคมกระเบื้องหลากสีไว้ แสงอันเจิดจ้านั้นขับให้ชุดสีฟ้าอ่อน กระโปรงปักลายดอกเหมยเขียวนั้นดูโปร่งแสงไปก็มิปาน สตรีงามที่อยู่ใต้โคมไฟนั้นมีผิวพรรณดุจหยก ขาวเนียนกระจ่างยิ่ง องค์ชายหกมองเห็นกระทั่งขนตางอนหนาดั่งพัดของนางที่กระเพื่อมไหวเพราะความกังวลใจ ความงดงามที่สะท้อนออกมาจากเงาร่างขมุกขมัวนั้นทำให้คนคันคะยิกในใจ
เจินเมี่ยวเงยหน้าขึ้นไปมองบนเวทีตามสัญชาตญาณก็พลันสบตาเข้ากับองค์ชายหก นัยน์ตาพลันสว่างวาบขึ้น นางยิ้มให้กับเขาแล้วอุ้มเด็กน้อยวิ่งเข้าไปหา
การวิ่งเข้ามาของเจินเมี่ยวในครั้งนี้จึงทำลายบรรยากาศอันนิ่งอึ้งที่เกิดขึ้นหลังจากที่หมอหลวงจังบอกเล่าถึงพิษชนิดนั้นพอดี
“จิ่งเกอ…” บุรุษผู้หนึ่งเดินพุ่งเข้ามาปานลูกธนู แล้วยืนมือไปรับเด็กน้อยจากเจินเมี่ยว แต่เด็กน้อยกลับกอดเจินเมี่ยวไว้แน่นไม่ยอมไป
เวลานี้เองหมอหลวงที่เหลืออีกหลายคนก็มาถึง เจาเฟิงตี้เอ่ยกับหมอหลวงสิงที่เชี่ยวชาญเกี่ยวกับโรคเด็กว่า “หมอหลวงสิง รีบไปตรวจอาการหลานเราเร็ว หมอหลวงหวังท่านไปดูสิว่าเรายังจะพอช่วยชายาขององค์ชายสามได้หรือไม่ ส่วนที่เหลือก็มาช่วยหมอหลวงจังตรวจดูทีว่าจะรักษาพิษขององค์ชายรองได้อย่างไร! ”
หมอหลวงสิงรีบวิ่งเข้าไปตรวจดูอาการแล้วเอ่ยว่า “พระนัดดาตกพระทัยจนเกินไปเท่านั้น มิได้เป็นอันใดมาก หม่อมฉันจะให้โอสถสงบจิตใจ รอให้พระนัดดาตื่นแล้วให้ทรงดื่มก็ไม่เป็นอันใดแล้วพ่ะย่ะค่ะ แต่กลิ่นคาวโลหิตนั้นแรงยิ่ง ไม่ควรปล่อยไว้นานพ่ะย่ะค่ะ”
องค์ชายสามที่ยืนอยู่ด้านข้างจึงเริ่มรวบรวมสติแล้วเอ่ยด้วยความสงสัยว่า “เจียหมิงเซี่ยนจู่ จิ่งเกอจับมือเจ้าไม่ปล่อยเช่นนี้ เจ้าช่วยตามหมอหลวงไปก่อนได้หรือไม่ ประเดี๋ยวข้าจะตามไป”
เจินเมี่ยวจะพูดอันใดได้จึงทำเพียงพยักหน้า แต่ตอนที่เดินตามหมอหลวงสิงเข้าไปในห้องกลับอดหันกลับไปมองมิได้ นางจึงเห็นองค์ชายสามเดินเข้าไปยืนอยู่ข้างพระชายาที่กลายเป็นศพไปแล้วนั้นพลางพูดอันใดบางอย่างกับหมอหลวง หมอหลวงหวังส่ายหน้าไปมา
องค์ชายสามโบกมือคราหนึ่งก็มีคนมายกร่างของพระชายาออกไป แล้วเขาก็หมุนกายเดินตามเจินเมี่ยวมา
เจินเมี่ยวพลันรู้สึกขนลุกขึ้นมา ความรู้สึกเศร้าสร้อยเกิดขึ้นในหัวใจอย่างประหลาด
นางไม่ชอบบุรุษเช่นองค์ชายหกมากที่สุด
แม้นจะบอกว่าบุรุษนั้นยากหลั่งน้ำตา แต่เมื่อต้องเผชิญกับการจากไปอย่างกะทันหันของภรรยาก็มิจำเป็นต้องสุขุมถึงเพียงนี้ก็ได้กระมัง
บางทีบุรุษในยุคสมัยนี้นั้นอาจจะเห็นภรรยาเป็นแค่เพียงเศษเสี้ยวเล็กๆ ชิ้นหนึ่งในใจพวกเขาเท่านั้น เล็กกระทั่งทำให้นางที่เป็นสตรีเช่นกันรู้สึกสะท้อนใจ
องค์ชายสามเดินไปเพียงไม่กี่ก้าวกลับเซถลาไปคราหนึ่งแล้วกระอักโลหิตออกมา
ครานี้ทุกคนจึงกลับมากระวนกระวายกันอีกครั้ง
นัยน์ตาองค์ชายหกสาดประกายวาบขึ้นคราหนึ่งแล้วเดินเข้าไปประคององค์ชายสาม พลางเอ่ยกับเจาเฟิงตี้ว่า “เสด็จพ่อ ลูกจะประคองพี่สามไปพักด้านในเองพ่ะย่ะค่ะ หมอหลวงหวัง เชิญตามข้าเข้าไปตรวจอาการให้องค์ชายสามด้วย”
เจาเฟิงตี้สีหน้าหม่นหมองยิ่ง เขาพยักหน้าอย่างนิ่งขรึม เขาไม่มีแรงกระทั่งเอ่ยปากพูด จึงเพียงโบกมือให้พวกเขาไปได้
เพราะองค์ชายสามและพระนัดดานั้นเป็นพ่อลูกกัน ขันทีที่นำทางจึงนำทั้งสองไปพักในห้องเดียวกัน แต่องค์ชายหกกลับเอ่ยขึ้นว่า “แยกห้องกันน่าจะสะดวกกว่า” พูดพลางหันไปมองเจินเมี่ยวคราหนึ่ง
ขันทีผู้นั้นจึงเข้าใจขึ้นมาทันที เขาลอบพูดในใจว่าองค์ชายหกช่างละเอียดนัก สุดท้ายก็เปิดห้องที่อยู่ติดกันสองห้อง
เจินเมี่ยวอุ้มจิ่งเกอเดินเข้าไปด้านใน รอกระทั่งหมอหลวงสิงไปดูแลกำชับให้นางกำนัลต้มยาแล้ว นางก็ยังกลับมิได้ จึงทำได้เพียงแต่รอ ในใจก็หวังให้เด็กน้อยตื่นขึ้นมาเสียทีนางจะได้กลับจวน
วังหลวงช่างน่ากลัวนัก นางไม่อยากมาอีกแล้ว!
“กำลังคิดอันใดอยู่หรือ?” เสียงหนึ่งพลันดังขึ้น
“องค์ชายหก…” เจินเมี่ยวลุกขึ้นทันใด ครั้นเมื่อข้อมือถูกดึงไว้จึงนึกขึ้นได้ว่าจิ่งเกอยังคงจับนางไว้ไม่ยอมปล่อยจึงได้แต่นั่งลงเช่นเดิม
องค์ชายหกขมวดคิ้วมุ่น “เจียหมิง เจ้าลืมอีกแล้วหรือว่าต้องเรียกข้าว่าอย่างไร?”
เจินเมี่ยวอึ้งงันไป รู้สึกอยู่ลึกๆ ว่าหากโต้แย้งกับองค์ชายหกนางคงมีจุดจบที่ไม่ดีแน่ จึงฝืนยิ้มแล้วเอ่ยว่า “เสด็จพี่”
องค์ชายหกจึงค่อยยกมุมปากให้หยักโค้งขึ้น
“เออ แล้วเสด็จพี่สามเป็นอย่างไรบ้าง?”
องค์ชายหกย่นหัวคิ้วทันที แล้วแค่นเสียงฮึออกมา “คนก็มิได้อยู่ที่นี่เสียหน่อย เจ้าเรียกเสด็จพี่สามให้ผู้ใดฟังกันเล่า?”
เจินเมี่ยวกะพริบตาปริบๆ รู้สึกประหลาดใจยิ่ง
ผู้ที่ใช้ชีวิตในวังหลวงนี้หากมิใช่กดดันจนวิปริตก็ถูกกดดันจนวิปริตได้มากกว่าที่นางคิดไว้จริงๆ แค่นามเรียกขานเท่านั้น องค์ชายหกจะชวนทะเลาะให้ได้อันใดขึ้นมา?
เมื่อครู่เขาเองมิใช่หรือที่ตำหนิว่านางเรียกขานไม่เหมาะสม?
เมื่อสัมผัสได้ถึงแววตาต่อว่าและขุ่นเคืองของเจินเมี่ยว องค์ชายหกก็รู้สึกประหม่าขึ้นมา จึงยกมือขึ้นป้องปากแล้วกระแอมไอออกมา “พวกเจ้ามิได้สนิทกันเพียงนั้นเสียหน่อย!”
แล้วเราสองคนสนิทกันหรือ!
เจินเมี่ยวมิกล้าพูด แต่วาจานี้กลับทะลุผ่านดวงตาออกมาแล้ว
องค์ชายหกทำสีหน้านิ่งแล้วเอ่ยขึ้นคล้ายจริงจังยิ่ง “เจียหมิง เจินไท่เฟยมีบุญคุณที่เลี้ยงดูข้ามาตั้งแต่เล็ก เจ้าเองก็เป็นหลานของไท่เฟย ทั้งฐานะในตอนนี้ของเจ้า เราสองคนก็ไม่ต่างอันใดกับพี่น้องกันจริงๆ นักหรอกนะ แต่เจ้าเรียกขานผู้อื่นเช่นนี้ ระวังเขาจะหัวเราะเยาะเจ้าเอาได้”
เจินเมี่ยวลอบกลอกตาให้เขา แล้วเอ่ยอย่างจนใจว่า “ทราบแล้วเพคะ เช่นนั้นองค์ชายสามเป็นอย่างไรบ้างแล้วหรือ?”
เมื่อครู่นางเข้าใจผู้อื่นผิดคิดว่าเขาไร้หัวใจ สุดท้ายเขาถึงกับกระอักโลหิตแล้วหมดสติไปเพราะการจากไปของพระชายา สตรีน่ะหรือ ต่างก็มีใจที่เห็นใจในความทุกข์ของคู่รักที่มิอาจสมหวังอยู่เสมอ เจินเมี่ยวก็เช่นกัน นางจึงอดถามถึงมิได้?
วาจานี้ทำให้องค์ชายหกต้องแค่นยิ้มเย็นออกมา พลางเอ่ยในใจว่าเจียหมิงเจ้าช่างโง่เขลานัก ไม่ว่าจะมีชาติกำเนิดเป็นราชนิกุลจริงๆ หรือไม่ เจ้าก็มิจำเป็นต้องไปคบค้าพูดคุยกับคนเจ้าเล่ห์เช่นนั้นเด็ดขาด มิเช่นนั้นถูกหักหลังแล้วก็ยังไม่รู้ตัวเป็นแน่
หากพี่สามเสียใจถึงเพียงนั้นจริงคงไม่สามารถไปดูบุตรชายแล้วเดินไปถามหมอหลวงค่อยกระอักเลือดออกมาหลังจากเดินไปอีกสองก้าวกระมัง?
เหอะๆ ขอแค่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ หากคิดจะใช้กำลังภายในขับเลือดออกมาสักกำก็เป็นเรื่องง่ายยิ่ง
พี่รองเข้าไปช่วยเสด็จพ่อจนได้รับพิษ ส่วนเขาเองอย่างน้อยก็ได้เข้าไปขวางมือสังหารนั้นนับว่ามีความดีความชอบ พี่สามมีหรือจะนิ่งดูดายได้ เขาก็แค่อาศัยความตายของพระชายาตนมาเรียกร้องความเห็นใจจากเสด็จพ่อเท่านั้นเอง
เขาก็เป็นเพียงแค่คนที่หลอกใช้ประโยชน์ได้ทุกอย่างแม้กระทั่งกับการตายของภรรยาตนเท่านั้น!
องค์ชายหกเห็นเจินเมี่ยวยังคงมีท่าทีมึนงงก็โมโหที่นางช่างมิได้ดั่งใจเอาเสียเลย แต่เพราะฐานะและสถานที่ที่อยู่ในตอนนี้ เขามิอาจพูดอันใดได้มากนัก จึงเพียงถามว่า “เจียหมิง ตอนนั้น เหตุใดเจ้าต้องโยนน้องไก่ใส่มือสังหารเล่า?”
เจินเมี่ยวเงียบไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “หลุดมือ…”
แน่นอนว่ามิใช่เพราะมันลื่นหลุดมือ แต่เพราะพรสวรรค์ในการดมกลิ่นของนางทำให้รู้สึกได้ถึงความผิดปกตินั้น
ตำแหน่งที่นั่งของนางนั้นถูกจัดให้อยู่บริเวณรอบนอกก็จริงแต่กลับอยู่ใกล้ขอบเวทีนั้นค่อนข้างใกล้ ตอนที่สตรีชุดแดงทะยานโบยบินไปนั้นนางได้กินหอมแปลกๆ อยู่รางๆ แต่กลิ่นหอมแปลกๆ นั้นกลับมิได้ทำให้คนรู้สึกชื่นใจแต่รู้สึกคลื่นไส้มากกว่า
เพราะก่อนหน้านี้หลัวเทียนเฉิงกำชับนางด้วยวาจาแปลกๆ เจินเมี่ยวจึงรู้สึกสังหรณ์ใจว่าต้องมีเหตุเกิดขึ้นในงานเลี้ยงฉลองวันนี้แน่ ความผิดปรกติในตอนนั้นทำให้นางระแวดระวังจนตึงเครียดอยู่ตลอดเวลาจึงโยนน่องไก่ที่ตนกำลังจะกินใส่หน้าสตรีชุดแดงทันทีโดยมิทันได้พิจารณาสิ่งใดเลย
ตอนที่น่องไก่ลอยขึ้นไปนั้น นางก็เริ่มรู้สึกเสียใจขึ้นมาทันที
หากสตรีผู้นั้นมิใช่มือสังหาร แค่กระโดดโบยบินไปตรงหน้าพระพักตร์เพื่อถวายบุปผาหรือเปิดเผยโฉมหน้า การโยนน่องไก่ขึ้นไปเช่นนั้นช่างน่าขายหน้านัก
แต่เมื่อรู้ว่าสตรีผู้นั้นเป็นมือสังหารจริงๆ เจินเมี่ยวก็ยิ่งรู้สึกเสียใจมากไปกว่าเดิม
คนทั่วทั้งตำหนักไม่มีผู้ใดทราบว่าสตรีผู้นั้นมีท่าทีแปลกๆ แต่นางผู้ที่รับรู้ได้ก่อนใครกลับโยนน่องไก่ขึ้นไปแทนมีดสั้นเพื่อทักทายมือสังหาร เรื่องนี้ช่างยากจะอธิบายนัก!
แต่หลังจากที่นางทราบว่าองค์ชายรองได้รับพิษประหลาดแต่องค์ชายหกกลับรอดมาได้ เจินเมี่ยวกลับมิได้เสียใจเพียงนั้นแล้ว
ใจคนเราล้วนย่อมเอนเอียง นางกับองค์ชายรองมิได้รู้จักอันใดกัน แต่องค์ชายหกนั้น แม้นจะไม่ค่อยลงรอยกันนัก แต่เขาก็ดีกับไท่เฟยมาก เมื่อมาคิดดูแลการที่ไท่เฟยที่อยู่ในวังมานานถึงเพียงนี้มีลูกหลานคอยมาเยี่ยมเยือนอยู่บ่อยๆ ก็เป็นเรื่องยากนัก
“เจียหมิง?” องค์ชายหกหรี่ตามองนาง เห็นชัดว่าไม่พอใจในคำตอบ
เจินเมี่ยวกลับไม่พอใจยิ่งกว่า จึงแค่นเสียง ‘ฮึ’ ขึ้นเบาๆ “เสด็จพี่ ข้าช่วยท่านไว้แท้ๆ ท่านกลับใช้ท่าทีบังคับขู่เข็ญเช่นนี้ตอบแทนข้าหรือ?”
องค์ชายหกเริ่มร้อนรนขึ้นมาบ้างแล้ว เขาคว้าข้อมือเจินเมี่ยวไว้ “เด็กโง่ เพราะเป็นเช่นนี้ต่างหาก ข้าจึงอยากจะรู้ว่าเจ้ารู้ได้อย่างไรว่านางเป็นคนร้าย หรือเจ้าคิดจะใช้เหตุผลเหลวไหลเช่นมือลื่นน่องไก่เลยหลุดมือเพื่อตอบกับเสด็จพ่อเล่า? เชื่อข้า เสด็จพ่อที่ทรงกริ้วอย่างที่สุดนั้นไม่มีทางสนใจว่าเจ้ามีฐานะใดแน่ อย่างไรพระองค์ต้องบันดาลโทสะอย่างถึงที่สุดแน่”
เจินเมี่ยวเบิกตากลมโตขึ้น เหล่มองมือองค์ชายหก แล้วมองเขาอย่างระแวงแวบหนึ่ง ในใจก็กล่าวว่านางย่อมมิโง่เขลาถึงขนาดพูดเช่นนี้กับเจาเฟิงตี้แน่ แต่…มันเกี่ยวอันใดกับเขาเล่า!
ถึงกับบอกว่านางโง่! นางจะไปฟ้องซื่อจื่อ!
องค์ชายหกปล่อยมือเจินเมี่ยวทันทีดุจถูกไฟลวกก็มิปาน แล้วเบี่ยงหน้าหลบไปทางอื่น
เวลานี้เองจิ่งเกอก็ฟื้นขึ้น เขาร้องไห้เสียงแหลม แล้วกอดเจินเมี่ยวแน่นไม่ยอมปล่อยมือ
ขันทีผู้หนึ่งเดินเข้ามาพอดี เขาย่อกายถวายพระพรแล้วเอ่ยว่า “องค์ชายหก เจียหมิงเซี่ยนจู่ ฝ่าบาทเชิญท่านทั้งสองไปสอบถามพ่ะย่ะค่ะ”
เจินเมี่ยวได้ยินก็ลุกขึ้น แต่จิ่งเกอกลับกอดนางแน่นไม่ปล่อยมือด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“จิ่งเกอ ข้าต้องไปเข้าเฝ้าเสด็จปู่เจ้า ประเดี๋ยวข้าก็กลับมาหาเจ้าแล้ว”
จิ่งเกอคล้ายไม่เข้าใจที่เจินเมี่ยวพูด มือที่จับนางไว้ยิ่งกุมแน่นมากขึ้นไปอีก
เจินเมี่ยวขมวดคิ้วด้วยรู้สึกเจ็บ
อย่าเห็นว่าเป็นแค่เด็ก หากออกแรงมากๆ นางก็คิดว่ามือนางอาจเขียวช้ำได้เช่นกัน
เจินเมี่ยวสบตากับองค์ชายหกอย่างจนใจ องค์ชายหกเอ่ยอย่างทอดถอนใจว่า “ให้เขาไปด้วยแล้วกัน”
ครั้นเจาเฟิงตี้เห็นเจินเมี่ยวอุ้มจิ่งเกอมาด้วยก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เจินเมี่ยวจึงรีบทูลว่า “พระนัดดาอาจจะตกใจเกินไป แค่ปล่อยมือเขาก็จะร้องไห้งอแงเพคะ”
หลังจากที่จิ่งเกอต้องพบกับความตกใจหวาดกลัวอันใหญ่หลวงแต่กลับได้อ้อมกอดอันอบอุ่นของเจินเมี่ยวเป็นที่หลบภัย ก่อนเขาหมดสติไปจึงจดจำไว้ลงไปถึงข้างในจิตใจ กระทั่งยามนี้ที่สติยังไม่แจ่มชัดนักจึงเอาแต่กอดเกี่ยวคนที่ช่วยเขาไว้ให้รอดพ้นอันตรายแน่นไม่ยอมปล่อยก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้
เจาเฟิงตี้เจ็บลึกที่หัวใจจึงยกมือขึ้นกุมหน้าอก แล้วลอบสูดลมหายใจคราหนึ่งจึงเอ่ยว่า “เจียหมิง เหตุใดเจ้าจึงรู้ว่าสตรีชุดแดงนั้นไม่ปกติ?”
องค์ชายหกมองเจินเมี่ยวด้วยความกังวลใจ ในใจก็ครุ่นคิดว่าหากสตรีโง่งมตอบออกไปว่ามือลื่น เขาควรจะพูดอย่างไรจึงจะช่วยให้เสด็จพ่อคลายโทสะ
เจินเมี่ยวกลับมิได้มององค์ชายหกเลยแต่กลับยกจิ่งเกอที่เกาะอยู่บนตัวนางแน่นจนแทบจะเตะกระโปรงของนางให้หลุดจากร่างขึ้นเล็กน้อยแล้วเอ่ยว่า “ตอนที่สตรีชุดแดงนั้นกระโจนโบยบินเข้ามา หม่อมฉันได้กลิ่นหอมจางๆ จากกายนาง กลิ่นหอมนั้นมีกลิ่นเหม็นแทรกอยู่ทำให้คนได้กลิ่นแล้วอยากจะอาเจียนเพคะ”
ครั้นเห็นเจาเฟิงตี้และองค์ชายหกต่างมีสีหน้าสงสัย เจินเมี่ยวก็เอ่ยเตือนขึ้นอีกว่า “พระองค์ยังจำกลุ่มคนร้ายที่บุกเข้าสังหารผู้คนในจวนหย่งอ๋องได้หรือไม่เพคะ หม่อมฉันมีประสาทรับรู้กลิ่นที่ว่องไวกว่าผู้อื่นเล็กน้อย ตอนนั้นหม่อมฉันก็ใช้การดมกลิ่นถึงได้รู้ว่าพวกเขามิใช่คนต้าโจวเพคะ”
เมื่อได้ฟังเจินเมี่ยวกล่าวเช่นนี้ เจาเฟิงตี้ก็นึกได้ขึ้นมา ในใจคิดเช่นไรนั้นไม่ทราบแต่ใบหน้ากลับเผยท่าทีคล้อยตาม “เจียหมิง ในเมื่อจิ่งเกอไม่ยอมห่างจากเจ้า สองสามวันนี้เจ้าก็พักที่วังหลวงไปก่อนเถิด”