หลังหวังทงประสบเหตุลอบสังหาร เมี่ยวลั่งกลัวมากจริงๆ เขาทรยศมาเป็นพวกหวังทง ย่อมต้องล่วงเกินตระกูลสวีเมืองซงเจียง หากหวังทงตายไป ไม่มีคนคุ้มครองเขา เขาไม่มีที่ไปไม่ต้องพูดถึง แดนใต้นี้แม้ที่อยู่ยังไร้ที่จะอยู่ แดนใต้ตระกูลสวีไม่ใช่พวกมีใจเมตตาอารีอันใด
พอหวังทงตื่นมา เมี่ยวลั่งจึงได้ลอบถอนหายใจ ทว่าการตรวจสอบตระกูลสวีที่ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองใดนี้ ไม่อาจทำให้ตระกูลสวีสะเทือนได้ แดนใต้นี้ยังคงไม่อาจอยู่ต่อ ตามหวังทงกลับไปทางเหนือก็เป็นทางเลือกที่ไม่เลว
แต่เมี่ยวลั่งก็เป็นพวกสร้างตัวมาอย่างโชกโชน ย่อมต้องรู้สึกว่าหวังทงระวังเขาอยู่ อันนี้ก็ยากจะเลี่ยง ตนเองอยู่ๆ ตัดสินใจมาขอสวามิภักดิ์ หวังทงไม่มีเหตุผลใดที่จะเชื่อทั้งหมด แต่นานวันเข้าคงได้เห็น วันหน้าค่อยว่ากัน
อยู่ๆ หวังทงเรียกมาพบในห้องเรือ เมี่ยวลั่งใจเต้นโครมครามยิ่ง รู้สึกรอคอยอยู่ เชื่อใจหรือไม่ ก็ต้องดูนายท่านคุยกับเจ้าเท่าไร ใช้หรือไม่ใช้เจ้า ตอนนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี
เห็นซาตงหนิงที่เข้ามาพร้อมเขาแล้ว ในใจเมี่ยวลั่งก็บอกไม่ถูก หวังทงเดิมอายุน้อย ทหารข้างกายก็ล้วนอายุน้อย ตนเองอายุ 30-40 ขอแค่ความสงบสุขก็พอ คิดจะแสดงสามารถโดดเด่นก็คงไม่ง่าย
ซาตงหนิงกลับกังวล ไม่ค่อยได้เห็นหวังทงเช่นนี้ หวังทงอายุไม่มาก เห็นแล้วเป็นผู้ใหญ่มากกว่าอายุ แต่อย่างไรก็มีชีวิตชีวาดี พอประสบเหตุลอบสังหาร ร่างกายอ่อนแอลงไม่ว่า หากเขายังเงียบขรึมไปมาก ทำให้หลายคนรู้สึกไม่ค่อยชินสักเท่าไร
สองคนเดินเข้าไปในห้อง มองไปยังหวังทงที่คลุมเสื้อคลุมนั่งอยู่ ไม่รู้ว่าคิดอันใดอยู่ สองคนคำนับ หวังทงไม่มีปฏิกิริยา เมี่ยวลั่งกับซาตงหนิงยืนคำนับนอบน้อม รอคำสั่ง
“เมี่ยวลั่ง เจ้าอยู่ ๆ มาขอสวามิภักดิ์เพื่อขอมีชีวิตสงบสุข ช่างยากจะเชื่อได้จริงๆ !”
คิดไม่ถึงว่าหวังทงจะกล่าวเช่นนี้ ในใจเมี่ยวลั่งหนาวเหน็บทันที มองซ้ายมองขวาตามสัญชาตญาณ มือซาตงหนิงกระชับดาบแน่น แม้ว่าเมี่ยวลั่งดูแล้วไม่มีพิษมีภัย แต่หากหวังทงสั่งการ เขาก็ย่อมฟันทิ้งอย่างไม่ลังเล เมี่ยวลั่งคิดไปคิดมา ก็ได้แต่คุกเข่าลงบนพื้นเรือ ร้องไห้กล่าวว่า
“ท่านโหว ข้าน้อยมีใจคิดภักดีราชสำนัก ท่านโหวโปรดพิจารณาด้วย!”
หวังทงหรี่ตามอง กล่าวต่อเสียงเรียบว่า
“ข้าได้ยินมาจากวงการพวกเจ้าว่า คนนอกคิดมาเข้าเป็นพวกต้องก่อคดี พอก่อคดีแล้วจึงจะเป็นพวกเดียวกันได้ จึงจะเชื่อถือไว้ใจได้ พวกคนที่เจ้าสังหารวันนั้น ผู้จะรู้ได้ว่าเป็นพวกโจรกระจอกที่ไปหามาจากข้างนอกหรือไม่ ไม่อาจอ้างอิงได้!”
เมี่ยวลั่งกลับลืมแสร้งร้องไห้ เงยหน้าอึ้งไปมองหวังทง วาจานี้เขาย่อมเข้าใจ แต่ใช่วาจาที่ผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร ติ้งเป่ยโหวควรกล่าวหรือ?
หวังทงกล่าวต่อว่า
“เมี่ยวลั่ง ได้ยินว่าเจ้ากับพระผู่หยวนสัมพันธ์ไม่เลว ราวพี่น้องหรือ?”
“ไม่มีเรื่องเช่นนี้แน่นอน ท่านโหว ข้าน้อยเอาชีวิตทั้งครอบครัวเป็นประกัน ข้าน้อยกับผู่หยวนนั่นเพียงพบหน้าไม่กี่ครั้ง ส่วนตัวร่วมมือกันไม่กี่เรื่อง ไม่เคยคบหาอันใด ผู่หยวนเป็นโจร ข้าน้อยเคยเป็นขุนพลราชสำนัก ในใจก็ยังคิดไว้ตัวอยู่ จะไปคบหาได้อย่างไร…”
“ผู่หยวนถูกพวกตระกูลสวีหักหลัง จนถูกข้าจับลงโทษ ในใจเจ้าเคียดแค้นนัก ต้องการแก้แค้นให้สหาย ดังนั้นจึงอาศัยจังหวะกลางดึกรวบรวมคนบุกเข้าตระกูลสวี สังหารคนโรงบ้านพวกเขา สังหารตระกูลสวีล้างตระกูล”
เมี่ยวลั่งตาโต เรียบเรียงวาจาทั้งหมด เขาเริ่มฟังเข้าใจหวังทง ที่หาว่าตนสนิทกับพระผู่หยวนจึงคิดหาทางแก้แค้นแทน……
หวังทงไม่ได้สนใจปฏิกิริยาเขา หากกล่าวต่อว่า
“เรือถึงกลางน้ำแล้ว คิดจะลงจากเรือก็คงไม่ได้ ที่คลองส่งน้ำข้ามีกิจการไม่น้อย ต้องการคนก็ไปจัดการหาเอาที่นั่นได้”
สองวาจาเหมือนไม่เกี่ยวข้องกัน เมี่ยวลั่งโขกศีรษะ สีหน้ากลับไม่ได้ตื่นเต้นเหมือนเมื่อครู่ ครุ่นคิดพักหนึ่งก็กล่าวว่า
“ท่านโหวกล่าวได้ถูกต้อง ทว่าข้าน้อยรู้มาว่าตระกูลสวีเองมีคนห้าร้อยสามารถรวบรวมกำลังมาได้ทันที และละแวกจวนยังมีกองทหาร หากจวนต้านทานไว้ได้ แล้วทางการส่งคนมาก็คงยุ่งยากใหญ่ ไม่ปิดบังท่านโหว คนข้าน้อยตอนนี้สามารถพาไปได้ก็ 170 คน เกรงว่า……”
“บนท้องทะเลก็มีโจรทะเล ตามคนที่สู้เป็นมาช่วยเจ้าสัก 300-400 ก็น่าจะหาได้ ในเมื่อไม่ขาดแคลนเงินทอง ก็เอาเงินไปจ้างคนมา อย่างไรก็ต้องหามาหลายร้อยหน่อย ซาตงหนิงเป็นใครเจ้ารู้ไหม?”
หวังทงกล่าวอยู่ เมี่ยวลั่งย่อมไม่รู้ หวังทงอธิบาย กล่าวว่า
“ซาตงหนิงคือบุตรชายคนโตซาต้าเฉิง เขาสามารถช่วยเจ้ารวบรวมชาวท้องทะเลได้ ขอเพียงลำเลียงคนจากทางน้ำไปอำเภอหวาถิงได้ก็พอ เรื่องนี้ต้องให้เจ้าคิดหาทาง!”
“ที่แท้บุตรชายท่านซา เสียมารยาทแล้วๆ ……”
พอได้ยินว่าเป็นบุตรชายคนโตซาต้าเฉิงผู้ทรงอิทธิพลแห่งท้องทะเล เมี่ยวลั่งก็คำนับทันที หวังทงกลับขัดขึ้น ถามซาตงหนิงว่า
“เอาเงินไปให้พอ เจ้าเคยเรียกกำลังชาวท้องทะเลได้เท่าไร?”
ซาตงหนิงลังเลครู่หนึ่ง โขกศีรษะกล่าวว่า
“ข้าน้อยมีคนรู้จักเดิมอยู่ไถโจวกับหนิงปอ ตระกูลสวีเช่นนี้เป็นงานมีเงินทอง ย่อมอยากมาด้วยไม่น้อย”
หวังทงพยักหน้า กล่าวอีกว่า
“เอาจากบนเรือไปส่วนหนึ่ง อีกส่วนไปเอาร้านเราระหว่างทาง ทั้งหมดสี่หมื่นกว่าตำลึง พวกเจ้าเอาไปใช้ได้!”
พอได้ยินตัวเลขเช่นนี้ ซาตงหนิงยังดี เมี่ยวลั่งถึงกับคุกเข่าทรุดลงกับพื้น เสียงดังกล่าวว่า
“ข้าน้อยจะต้องจัดการงานให้ท่านโหวอย่างดี ขอท่านโหววางใจ!”
“ข้าไม่ได้สั่งให้เจ้าทำอันใด ข้าวันนี้นอนทั้งวัน พวกเจ้ารู้ใช่ไหม?”
เมี่ยวลั่งกับซาตงหนิงรับคำ เมี่ยวลั่งรับคำง่ายดาย ก็เพราะหวังทงให้ประโยชน์ใจกว้างมาก เงินสื่หมื่นตำลึงตัวเลขขนาดนี้ บอกว่าให้ก็ให้ ทำงานใช้เงินก้อนโตใจกว้างขนาดนี้ วันหน้าติดตามจะเสียเปรียบได้อย่างไร?
ซาต้าเฉิงเป็นระดับใด รวบรวมชาวท้องทะเลที่เดียวก็ได้เกือบหมื่นคน คนเช่นนี้ส่งลูกชายมาติดตามหวังทง ตนเองจะลังเลอันใดอีก สามารถมีโอกาสได้แสดงผลงาน เรียกว่าฟ้าประทานโอกาสอันดีให้แล้ว
วาจาหวังทงไม่ได้เอ่ยเรื่องหนึ่งก็คือสมบัติตระกูลสวี นี่ย่อมเป็นเงินทองก้อนมหาศาล เรื่องนี้หวังทงไม่เอ่ย ใช่ว่าทุกคนจะร่ำรวยถ้วนหน้าหรอกหรือ
“แดนใต้อาจมีข่าวลือ พระผู่หยวนถูกสังหาร เจ้ามังกรทะเลสาบไท่หูโมโหมาก สมคบกับโจรสลัดบนท้องทะเลจัดการสั่งสอนตระกูลสวี…….”
หวังทงกล่าวต่อ สองคนฟังอย่างนอบน้อม
แม่น้ำแยงซีเกียงมีคนจากเหนือลงใต้ จากตะวันตกไปตะวันออก เรือแต่ละลำแล่นสวนกันไปมา ไม่มีคนสนใจว่าเรือหวังทงจะมีเรือแล่นแยกออกมา ถึงกับไม่มีคนสนใจว่าหวังทงมีเรือหลายลำหายไป
สื่อชีนำคนไปทำงานด่วนที่เมืองเหลียวโจว ซาตงหนิงไปไห่โจวทำงานเช่นกัน นี่เป็นคำตอบให้ภายใน บรรดาทหารติดตามอารักขาหวังทงชินกับเรื่องพวกนี้แล้ว ไม่เกี่ยวกับตนเอง ย่อมไม่ถามให้มากความ
***************
เส้นทางขากลับช้ามาก สุขภาพหวังทงฟื้นตัวได้ไม่เลว แต่ก็ยังไม่ดีนัก เดินเร็วไม่ได้ ขุนนางท้องที่ที่ผ่านทางมาก็ล้วนส่งหมอมีชื่อมาตรวจอาการ
พอเข้าสู่เขตซานตง ก็วันที่ 5 เดือนเก้าแล้ว ตามความเร็วในการเดินทางเช่นนี้ เร่งเดินทางจากเส้นทางน้ำกลับเมืองหลวง เรื่องที่หวังทงประสบในแดนใต้ต่างๆ หวังทงได้เขียนฎีกาส่งคนม้าด่วนไปเมืองหลวงแล้ว เรื่องใหญ่เช่นนี้ หูตาในเมืองหลวงที่ส่งมาหาข่าวแดนใต้ล้วนส่งข่าวไปแล้ว
ตอนหวังทงถึงเมืองจี่หนิง เมืองหลวงก็มีราชโองการมาถึง เมืองฉางโจว เมืองซูโจว เมืองซงเจียง ผู้ว่าถูกปลดหมดสิ้น นายอำเภอก็ถูกสั่งจำคุก ทหารในพื้นที่กับขุนนางที่ดูแลปราบปรามโจรก็ถูกลงโทษหนัก กรมอาญาและสำนักองครักษ์เสื้อแพรส่งเจ้าหน้าที่ลงใต้สืบคดีนี้
ชนชั้นสูงกับขุนนางใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับเมืองหนานจิงก็ถูกราชโองการสอบ ตามรายงานข่าวของสำนักรักษาความสงบในเมืองหลวง ตอนหวังทงอยู่แดนใต้ รวมทั้งข่าวที่ถูกลอบสังหารมายังเมืองหลวง ขุนนางบัณฑิตได้โจมตีพฤติกรรมเหิมเกริมขูดรีดท้องที่ของหวังทงตอนลงใต้แล้ว ต่อมาเกิดเหตุเช่นนี้เรียกได้ว่าสวรรค์ลงทัณฑ์
ฎีกาแรกสุดถูกพักไว้ ต่อมายื่นฎีกาว่าสวรรค์ลงทัณฑ์ ฮ่องเต้จัดการปลดขุนนางบัณฑิตทั้งหมด เบาที่สุดก็ตำหนิ หนักก็ลดตำแหน่งส่งไปที่อื่น
หลังหวังทงเข้าสู่เมืองไหวอัน เมืองหลวงก็ส่งคนเดินสารมาตลอด ทางหนึ่งพวกเขามาเพื่อถ่ายทอดพระกระแสรับสั่งฮ่องเต้ว่านลี่ พระดำรัสปลอบขวัญจากฮ่องเต้ อีกทางหนึ่งก็เพื่อกลับไปรายงานอาการบาดเจ็บของหวังทง
ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงใส่พระทัยนั้นแสดงออกกระจ่างชัด ทำให้ใต้หล้าได้เห็นความปรองดองของพระองค์กับขุนนางคนสนิท
หวังทงไม่มีภัยถึงชีวิต ทว่าทำให้ร่างกายอ่อนแอลง จากเมืองจี่หนิงถึงเมืองหลินชิงระยะทางสั้นๆ หวังทงถึงกับเป็นหวัด ไม่ว่าอย่างไร ก็เป็นคนป่วย ต้องการปรนนิบัติดูแล
เมืองหลินชิงจึงส่งจวนใหญ่มาให้พัก ให้หวังทงพักผ่อนที่นี่ หากเป็นที่อื่น การมอบจวนให้ย่อมทำให้ประชาไม่พอใจ แต่ที่เมืองหลินชิง ใกล้กับเทียนจิน ไม่รู้ว่ามีคนเท่าไรต้องการทำการค้าที่เทียนจิน อาศัยเทียนจินร่ำรวย
ได้ยินหวังทงต้องการใช้เรือนพัก คหบดีเมืองหลินชิงย่อมมอบอภินันทนาการให้ เกรงก็แต่หวังทงไม่พัก
**************
หวังทงถึงเมืองหลินชิง ฮ่องเต้ว่านลี่ส่งหมอหลวงมาถึง มาพร้อมกับคนจากเทียนจิน มีคนมาตรวจและยังได้ทำงาน สองอย่างไม่เสียการ
เทียบกับเมื่อก่อนที่ยุ่งทั้งวันแล้ว หวังทงตอนนี้ว่างมาก ทว่าการพักรักษาตัวทั้งวันก็มีแต่นอนพักกับกินยา พอถึงวันที่ 20 เดือนเก้า จึงนับว่าร่างกายฟื้นคืนเต็มที่ จึงตามฉีอู่มาถาม
ตนรบมีชัยชนะเหนือเมืองกุยฮว่าเฉิง เหมือนทำให้สถานการณ์แผ่นดินหมิงบนตอนเหนือเปลี่ยนทิศทาง แม่ทัพดังเช่นชีจี้กวงจะให้คำวิจารณ์อย่างไร ในใจหวังทงก็อยากรู้มาก
“แม่ทัพชีกล่าวว่า ปราบเมืองกุยฮว่าเฉิงได้ รักษาการณ์อยู่ที่นั่น เท่ากับตอกตะปูกลางใจพวกนอกด่านแน่นหนา วันหน้าค่อยๆ กลืนกินพวกนอกด่านที่เหลือทางตะวันออกและตะวันตกดังหนอนไหมกินใบหม่อนช้าๆ ……แม่ทัพชียังบอกว่า ชัยชนะนี้ยิ่งใหญ่หากเป็นแม่ทัพอายุ 50 มีชัยเช่นนี้ จบศึกคงได้เสวยสุข แต่ท่านโหวอายุยังน้อย มีบรรดาศักดิ์เช่นนี้ ฝ่าบาทก็อายุยังน้อย วันหน้ายังอีกยาวไกล เกรงว่าท่านโหวคงยุ่งยากไม่น้อย……”