หวังทงจำไม่ได้ว่าก่อนสลบไปได้คิดถึงว่าจะตายหรือไม่ และไม่รู้ว่าตนเองสลบไปนานทเท่าใด ตอนตื่นขึ้นมา ก็อยู่บนเรือแล้ว
พอลืมตามา หวังทงยังไม่ทันได้สติดี รอจนมั่นใจว่าตนเองฟื้นแล้วไม่ได้สลบอยู่ ก็หันไปจะคว้าอาวุธ ทว่าว่างเปล่า
“ท่านโหวฟื้นแล้ว!!”
ตามมาด้วยเสียงทหารตื่นเต้นยินดีถ้วนหน้า เห็นใบหน้าเบียดเสียดกันดีใจกรูเข้ามา หวังทงผ่อนลมหายใจ หลิ่วซานหลังให้ทหารหนุ่มพวกนี้ออกไปตามหมอเข้ามา เข้าไปกล่าวเบาๆ อย่าละอายใจว่า
“เป็นพวกข้าน้อยคุ้มกันไม่ดี……”
หวังทงคิดจะยกมือ แต่กลับรู้สึกมือเท้าไร้เรี่ยวแรง อ้าปากจะพูด ก็รู้สึกว่าตนเองไร้แรงจะพูด เสียงแหบพร่ากล่าวว่า
“ไม่ต้องพูดวาจาเช่นนี้ บอกข้าก่อนว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
ถูกดาบอาบยาพิษปาดจนสงบล้มลง สื่อชีกับอู๋เอ้อร์มีประสบการณ์เรื่องพวกนี้ วินาทีแรกก็รีบเข้าไปดูบาดแผลทันที พยายามดูดพิษออก ทว่าพิษนั้นรุนแรงมาก หวังทงจึงไม่ได้สติ
ได้แต่ส่งไปยังอำเภอชิงผู่ เชิญหมอมาตรวจอาการ ผู้แทนพระองค์ประสบเหตุลอบสังหาร ขุนนางอำเภอชิงผู่ย่อมชุลมุนกันไปหมด จากนั้นก็พบร่างของขุนนางตายอยู่ในเมือง ยิ่งทำให้ทุกคนตกใจอลหม่าน
ดีที่เป็นพื้นที่รุ่งเรือง จึงมักมีหมอดี หมอที่เชิญมาแม้จะแตกตื่นตกใจ แต่ก็ยังรักษาได้ดี ใช้สมุนไพรขจัดพิษ จากที่หมอบอกนั้น ยาพิษบนดาบถูกความชื้นแดนใต้ทำให้เสื่อมสภาพ ฤทธิ์ยาไม่ได้รุนแรงเหมือนเดิม กอปรกับหวังทงร่างกายแข็งแรง จึงไม่เป็นภัยถึงชีวิต แต่หลังหวังทงได้รับบาดเจ็บ ไม่ได้ดูดพิษออกในทันที พิษจึงเข้าสู่ร่างกาย ส่งผลต่ออวัยวะภายใน ต้องใช้เวลารักษาให้ฟื้นคืนกำลังดังเดิม
หวังทงสลบไปที่อำเภอชิงผู่ได้วันหนึ่ง บรรดาหมอแม้บอกว่าจะฟื้นในเวลาไม่นาน แต่ทหารหวังทงกลับร้อนใจยิ่ง เห็นสภาพพวกเขาแล้ว หมอชิงผู่ก็ไม่รู้ว่าตนเองคิดเองหรือทางการสั่งให้บอกไป จึงบอกไปว่าอำเภอหวาถิง เมืองซงเจียงมีหมอดัง ไปที่นั่นน่าจะมั่นใจกว่า
สภาพร่างกายหวังทงตอนนี้ ขี่ม้าไม่สะดวก มีคนนำเรือมา จากชิงผู่นั่งเรือมาไปอำเภอหวาถิง
“มือสังหารเป็นผู้ใดส่งมา?”
“ท่านหมอกำชับให้ท่านโหวอย่าเหนื่อยมาก เรื่องนี้……”
“บอกข้า มือสังหารเป็นผู้ใดส่งมา?”
หลิ่วซานหลังยังกล่าวไม่ทันจบก็ถูกหวังทงขัดขึ้น น้ำเสียงหวังทงแม้ไม่ดัง แต่ก็เด็ดขาดยิ่ง หลิ่วซานหลังเงียบไปครู่หนึ่งจึงกล่าวว่า
“มือสังหารมาจากมณฑลซานซี พวกเขาเล็งช่องว่างอย่างดี เมืองซงเจียงทุกหน่วยงานไม่สนใจท่านโหว ท่านโหวยังเจอเหตุโจมตีจากหมู่บ้านเชียนเติงเจิ้นมาระลอกหนึ่ง พวกเขาจึงสังหารขุนนางหลายคนแล้วถอดเอาชุดมา ปลอมตัวเป็นขุนนางมาลงมือ ถูกหานกังตีสลบไปคนนั้น พอตื่นมาสอบความมาได้เท่านี้”
ก็ไม่รู้ว่าใช้วิธีการทรมานอย่างไร จึงได้ทำให้มือสังหารเดนตายถึงกับยอมสารภาพได้ หวังทงขี้เกียจจะสนใจ เพียงแต่จับตาดูเพดานเรือนิ่งไปครู่หนึ่ง
เพิ่งจากฟื้นจากการสลบ ในสมองยังคงรู้สึกงงอยู่ ตั้งแต่เกิดมาถึงตอนนี้ จากพลทหารองครักษ์เสื้อแพรธรรมดามาเป็นผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรแผ่นดินหมิง ยังได้รับแต่งตั้งเป็นถึงโหว หวังทงผ่านความเป็นความตายมาอยู่ แต่กลับไม่เคยผ่านประสบการณ์เหมือนตายเช่นนี้ ยามนี้สมองเหมือนว่างเปล่า แต่ความคิดสับสนเริ่มพรั่งพรูขึ้นมาในห้วงความคิด
หวังทงจัดการอารมณ์ให้นิ่งอยู่นาน จึงได้ค่อยๆ กล่าวว่า
“เป็นพวกตระกูลสวีส่งมาหรือไม่?”
“อันนี้ข้าน้อยไม่กล้าฟันธง เมี่ยวลั่งทางนั้นบอกว่าเมืองซงเจียงเป็นพื้นที่พวกเขา พวกเขาไม่ควรลงมือในเมืองซงเจียง หากจะทำจริง ในเมืองซงเจียงยังมีอีกหลายแห่งที่ซุ่มโจมตีได้ เช่นนั้นย่อมมีความมั่นใจมากกว่า พอคิดได้เช่นนี้ ก็ไม่น่าเป็นตระกูลสวี และ…….”
“อย่าเอาแต่อึกอัก ว่ามา!!”
หวังทงอยู่ ๆ ก็หงุดหงิด ตวาดไป หลิ่วซานหลังรีบกล่าวว่า
“มือสังหารเดนตายพวกนี้ ตระกูลสวีเลี้ยงได้ แต่ไม่เลี้ยง คนเช่นนี้เลี้ยงไว้ ไม่ได้ใช้ประโยชน์ใดในแดนใต้นี้ กลับเป็นภัยมากกว่า น่าจะไม่ใช่ตระกูลสวี”
“เจ้าหมายความว่ามือสังหารเดนตายสี่คนไม่น่าใช่ตระกูลสวีส่งมา!?”
แม้ว่าหวังทงน้ำเสียงอ่อนแรง แต่หลิ่วซานหลังก็ยังรู้สึกหนาวสันหลัง ได้ยินเช่นนี้ก็กล่าวอย่างหวาดกลัวว่า
“ข้าน้อยไม่ใช่ออกหน้าแทนตระกูลสวี เพียงแต่กล่าวว่าหากตระกูลสวีส่งมือสังหารเดนตายมา เส้นทางจากตอนเหนือแม่น้ำถึงหนานจิงก็น่าจะลงมือได้มั่นใจกว่า”
หวังทงเงียบไปนานก่อนจะกล่าวว่า
“คนอื่นมีบาดเจ็บไหม?”
“ด้วยบารมีท่านโหว นอกจากแม่นางสองคนตกใจแล้ว คนอื่นไม่เป็นไร ยังมีอีกเรื่องที่ต้องแจ้งท่านโหว ตอนนี้ผู้คุ้มกันรอบเรือล้วนเป็นทหารจากอำเภอชิงผู่ เป็นคนของเมี่ยวลั่ง”
หวังทงพยักหน้าช้าๆ ครั้งนี้ไม่กล่าวอันใด หลิ่วซานหลังรอสักพัก กล่าวเบาๆ ว่า
“ไม่มีเรื่องอันใดแล้ว ข้าน้อยออกไปก่อน พวกข้าน้อยมือหนัก งานปรนนิบัติท่านโหวขอมอบให้แม่นางไจ๋กับแม่นางหลูแทนก็แล้วกัน!”
หลิ่วซานหลังออกไป ไจ๋ซิ่วเอ๋อร์กับข่งรั่วเหมยสองนาง ยังมีหญิงรับใช้สูงวัย ก็เดินเข้ามา ข่งรั่วเหมยสีหน้าย่ำแย่ยิ่ง ทว่ายังใช้ผ้าชุบน้ำร้อนเข้ามาเช็ดหน้าผากให้หวังทง ไจ๋ซิ่วเอ๋อร์ไปดูว่ายาร้อนเกินไปหรือไม่ ค่อยๆ ประคองเข้ามา
ไจ๋ซิ่วเอ๋อร์ประคองชามยามาถึง ก็กลับเห็นหวังทงมองใบเรือ สีหน้านิ่งเฉยอยู่ ๆ ก็ยิ้ม ยิ้มนี้มิได้เป็นยิ้มพึงใจ หากเย็นเยียบยิ่ง ทำให้ไจ๋ซิ่วเอ๋อร์สะดุ้งตกใจ ชามยาในมือเกือบร่วงหล่น หวังทงพึมพำกับตนเองว่า
“ที่แท้โดนยาพิษเป็นเช่นนี้เอง……”
“นายท่าน โดนยาพิษมีอันใดให้พึงใจกัน อย่าได้คิดมากเช่นนั้น รีบดื่มยา รักษาสุขภาพให้ดีเถิด”
ไจ๋ซิ่วเอ๋อร์บ่นเบาๆ จากนั้นก็ก้าวเข้าไปเบื้องหน้า หยิบช้อนตักยาป้อนหวังทง หวังทงไร้เรี่ยวแรง นอนอยู่กับที่ ดื่มยาไปก็มักจะไหลออกจากมุมปาก ไจ๋ซิ่วเอ๋อร์หยิบผ้าเช็ดหน้ามาค่อยๆ เช็ดให้เบาๆ หวังทงตั้งแต่บาดเจ็บถึงตอนนี้ ไม่ได้ดื่มน้ำสักหยด พอดื่มยา ก็กลับรู้สึกสดชื่นขึ้นมาหน่อย
ข่งรั่วเหมยเช็ดใบหน้าไปมา ก่อนจะหยิบยาที่หมอให้มาปะแผล แล้วยังใช้ผ้าพันแผลที่ต้มน้ำมาก่อนพันแผลไว้ หวังทงสังเกตเห็นสีหน้าข่งรั่วเหมย ค่อยๆ หันไปถามขึ้น
“แม่นางหลู เจ้าคิดว่าแค้นไม่อาจชำระแล้วหรือ?”
ข่งรั่วเหมยอึ้งไป ลังเลครู่หนึ่งก้มหน้าตอบว่า
“ชีวิตข้าน้อยหากไร้ซึ่งนายท่านคงไม่อาจรอดต่อไปได้ จากนี้ไม่ขออันใดอีก ขอเพียงได้มีที่อยู่ข้างนายท่านก็พอ”
พูดไปพูดมา น้ำตาก็ร่วงเผาะ เช็ดเท่าไรก็ไม่หมด หวังทงหันหน้ากลับไป ไม่กล่าวอันใดอีก
*************
ขบวนเรือผู้แทนพระองค์มาถึงเมืองซงเจียง ผู้แทนพระองค์ถูกลอบสังหาร เรื่องใหญ่เช่นนี้ทำให้ทุกคนในเมืองซงเจียงต่างร้อนใจ เดิมคิดจะเย็นชาใส่ ผู้ใดจะคิดว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ ตอนนี้อยู่ๆ มีภัยมาถึงตัวเช่นนี้ คิดจะปัดความรับผิดชอบคงไม่ได้ ดีที่ผู้แทนพระองค์ หวังทงยังมีชีวิตอยู่ ขบวนผู้แทนพระองค์ไม่มีผู้ใดบาดเจ็บหรือเสียชีวิต ยังพอแก้ไขชดเชยได้
เรือหวังทงห่างจากเมืองซงเจียงอีกราวสองชั่วยาม ผู้ว่าเมืองซงเจียงกับนายอำเภอหวาถิงและขุนนางทั้งหลายเร่งรีบมาต้อนรับ อย่าไรก็ต้องขึ้นเรือไปขอรับผิด ถามไถ่สักหน่อย จากนั้นค่อยให้หมอมีชื่อหรืออะไรก็แล้วแต่มาดูแล
ห่างจาเมืองซงเจียงราว 15 ลี้ พวกตระกูลสวีโดยมีสวีพานเป็นผู้นำ ก็มารอต้อนรับ สวีพานลาออกจากราชการกลับบ้านเกิดตอนนั้นเป็นนายกองกรมโยธา พอกลับมาก็มีบารมีอยู่ ระดับขุนนางยังคงอยู่ ถือเป็นระดับขุนนางสูงสุดในเมืองซงเจียง
สวีพานพอเข้ามาในห้องเรือของหวังทง สีหน้าก็ละอายใจยิ่ง รีบกล่าวติดๆ กันว่า
“ข้ามีความผิด ข้ามีความผิด หากไม่ใช่ข้ามีเรื่องพิพาทที่ดินกับคนในพื้นที่ ก็คงไม่ทำให้ใต้เท้าผู้แทนพระองค์ต้องจากเมืองหลวงมาไกลเพียงนี้ ก็ย่อมไม่มาถูกโจมตีเช่นนี้ระหว่างทาง ข้ารู้สึกละอายใจยิ่ง ขอใต้เท้าผู้แทนพระองค์ลงโทษด้วย”
วาจาสวยหรูผู้ใดก็ย่อมกล่าวได้ แม้สวีพานจะร้อนรน แต่อย่างไรก็อยู่ในวงการขุนนางมาหลายปี ความสามารถในการกลบเกลื่อนสีหน้าก็ย่อมมีอยู่ หวังทงเมื่อครู่กินโจ๊กไปแล้ว กำลังวังชาคืนมาไม่น้อย ให้ทหารประคองออกมานั่งอยู่ขอบเตียง เขาจ้องมองสวีพานสองสามที สวีพานดูเหมือนพวกผู้ดีตามคาด ร่างกายดูแลอย่างดี ท่าทางดูดีไม่น้อย หวังทงส่ายหน้าเสียงแหบพร่าถามขึ้น
“ข้าพอเข้าสู่แดนใต้ก็เจอแต่เรื่องไม่สงบสุข ว่ากันว่าวัดผู่หยวนพระปลอมนั่นมีสายสัมพันธ์กับใต้เท้าสวี เรื่องนี้ใต้เท้าสวีจะว่าอย่างไร?”
ได้ยินหวังทงถามเช่นนี้ สีหน้าสวีพานเหมือนครุ่นคิด จากนั้นกล่าวว่า
“วัดผู่หยวนมีชื่อในแดนใต้ไม่น้อย ตระกูลสวีก็ใหญ่ ย่อมต้องมีคนไปมาหาสู่กับวัดผู่หยวน อันนี้เลี่ยงไม่ได้ ข้ากลับไปจะสอบถามให้หนัก”
ตอบอย่างเป็นทางการตามคาด หวังทงเงียบไปครู่หนึ่ง ถามขึ้นอีกว่า
“ข้ามาประสบเหตุที่หมู่บ้านเชียนเติงเจิ้น โจรทางน้ำพวกนั้นเป็นโจรทะเลสาบไท่หู มีคนบอกว่าเป็นการบงการจากตระกูลสวี มีเรื่องนี้ไหม?”
“ ใต้เท้าผู้แทนพระองค์โปรดพิจารณา นี่เป็นเรื่องใส่ร้ายป้ายสี บิดาข้าเป็นถึงมหาอำมาตย์ บรรพชนก็เป็นขุนนางภักดีในสมัยฮ่องเต้หลงชิ่ง บิดาข้าจากไป ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันยังทรงมีสารสดุดี ข้าเป็นขุนนางราชสำนัก จะไปสมคบกับพวกโจรได้อย่างไร ทำเรื่องเหลวไหลบัดซบราวกับสัตว์ป่าเช่นนี้ได้อย่างไร ขอใต้เท้าผู้แทนพระองค์สืบความให้กระจ่าง สืบความให้กระจ่างด้วย!!”
สวีพานยืดอกยืนยัน คิดแล้วก็คงรู้ว่าไม่ได้มีหลักฐานแน่นหนามาถึงตัว หวังทงสีหน้านิ่ง ถามขึ้นต่อว่า
“ใต้เท้าสวี เกี่ยวกับเรื่องที่นานั้น ข้ามีสัญญาเกล็ดปลาในมือ ล้วนบอกว่าใต้เท้าสวีฮุบที่ดินชาวบ้าน ใต้เท้าสวีมีอันใดแก้ตัวไหม?”
“ ใต้เท้าผู้แทนพระองค์ เรื่องรุกครองที่ดินนั้น ข้าจะพูดอย่างไรก็ไร้ประโยชน์ ทางการย่อมมีหลักฐานแสดงชัด พอใต้เท้าผู้แทนพระองค์ตรวจสอบแล้ว ข้ากับตระกูลสวีย่อมบริสุทธิ์”
ตั้งแต่ลงเรือมาจนถึงห้องหวังทงนี้ สวีพานกล่าวได้มีเหตุผลไปเสียหมด ไม่มีท่าทางอาการร้อนตัวแม้แต่น้อย หวังทงไม่กล่าวอันใดต่อ เงียบไปครู่หนึ่ง มองสวีพานยิ้มกล่าวเบาๆ ว่า
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ไปตรวจสอบที่ที่ทำการในเมืองซงเจียงก็แล้วกัน ผลออกมาอย่างไรก็ค่อยว่ากัน!”