ตอนที่ 609 ได้เงินเดือนจากผู้ใดก็ภักดีต่อผู้นั้น
“ฝ่าบาทก็ทรงเห็น ตัวยาที่ต้องใช้นั้น ถึงจะเป็นของที่หาได้ทั่วไป แต่หากจะส่งไปยังพื้นที่ประสบภัยทีละมากๆ ต้องใช้วิธีต่างๆ นานา บวกกับวิธีที่กระหม่อมจะใช้เพื่อป้องกันแล้วนั้น จะต้องใช้เงินเป็นจำนวนมาก มากจริงๆ”
“โชคดีที่กระหม่อมมีตำแหน่งถ้านฮวา จึงได้รับเงินมาเป็นจำนวนมาก และจุดที่สมควรจะต้องใช้เงินที่สุดเห็นจะเป็นเรื่องนี้ ดังนั้นกระหม่อมจึงอยากจะใช้เงินและวิธีการพวกนี้ ช่วยให้แผ่นดินต้าโจวของเราไม่ต้องประสบทุกข์ภัยเรื่องโรคระบาดอีก!”
ซูหลีพูดถึงตรงนี้แล้วก็ประสานมือเข้าหากันและค้อมคำนับลง
“ถ้านฮวาซู ท่านพูดเองว่าวิธีพวกนี้ท่านเป็นคนคิดค้นเอง หากไร้ซึ่งประโยชน์ขึ้นมาจะไม่เท่ากับว่า…”
“จริงด้วย โรคระบาดไม่ใช่เรื่องขายของ หลายปีขนาดนี้ยังหาวิธีแก้ไม่ได้ ท่านคิดว่าวิธีที่ท่านคิดค้นในเวลาเพียงไม่กี่เดือนจะแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้หรือ?”
“ฝ่าบาทกระหม่อมคิดว่าไม่สมควร!”
……
การกระทำในคราวนี้ของซูหลีเป็นน้ำผึ้งหยดเดียว ขุนนางส่วนมากไม่เชื่อว่าซูหลีจะควบคุมโรคระบาดอย่างที่พูดได้
ในสายตาคนเหล่านี้ ซูหลีก็แค่ขี้โม้เท่านั้นเอง
ซูหลีอายุแค่ไม่สิบกว่าปีเท่านั้น หากอายุน้อยแต่มีความสามารถมากขนาดนี้ ก็เกินความคาดหมายอย่างยิ่งแล้ว
คนมักจะคลางแคลงสงสัยยามเผชิญเรื่องที่ไม่พบไม่เคยเจอมาก่อน
ซึ่งซูหลีเองก็ย่อมพอจะนึกออกว่าพวกเขาจะมีท่าทีเช่นนี้
นางเหลือบตาขึ้นมองเล็กน้อย ก็เห็นแววตาลึกซึ้งของฉินเย่หาน
เห็นได้ชัดเจนว่าจู่ๆ ที่นางเอาของจำนวนมากเช่นนี้ออกมา อยากจะให้คนเชื่อถือในทันทีนั้นเป็นไปไม่ได้
ซูหลีเองก็ไม่ได้ตื่นตระหนก หลังจากนางชะงักนิ่งไปครู่หนึ่งก็เอ่ยเสียงดัง “เสฉวนในตอนนี้มีผู้ป่วยโรคระบาด วิธีนี้จะมีประโชน์หรือไม่ไม่สู้ลองดูเล่า!”
ทันทีที่เอ่ยเช่นนี้ออกมาเสียงสงสัยรอบบริเวณก็เบาลงไม่น้อย
ถูกต้อง อยากจะรู้ว่าวิธีนี้มีประโยชน์หรือไม่ ต้องลองด้วยตนเองถึงจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด แค่ยารักษาโรคในเมื่อซูหลีกล้าพูดว่าเห็นผลเร็วที่สุด ก็มาดูกันว่าจะเร็วขนาดไหน
“แต่หากมีอะไรผิดปกติ จนเกิดผลเสีย จะทำอย่างไร?”
“จริงด้วยถ้านฮวาซูหากเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา ท่านรับผิดชอบไหวหรือ?”
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งก็มีคนเสนอขึ้นมา
บรรดาตาแก่ในราชสำนักก็เป็นเช่นนี้กันหมด ตนเองอับจนหนทาง แต่คนอื่นคิดออก พวกเขายังไม่อยากจะรับผิดชอบอะไร!
นี่ต้องอยากโยนเรื่องทั้งหมดไปให้ซูหลีรับภาระคนเดียว!
“ได้!” คิดไม่ถึงว่าฉินเย่หานที่อยู่บนบัลลังก์มังกรจะเปิดปากเอ่ยขึ้นอย่างกะทันหัน
พระสุรเสียงเย็นชาราวน้ำแข็ง ทันใดนั้นเองบรรดาขุนนางที่ยังถกเถียงกันอยู่ก็หุบปากลงในทันที
“ฝ่าบาท!” แต่ว่ามีคนผู้หนึ่งกล้าส่งเสียงขึ้นในเวลานี้
ฉินเย่หานเหลือบตามองอีกฝ่าย
แล้วจึงเห็นซูหลียืนอยู่ไกลลิบๆ ใบหน้าที่โดดเด่นวิจิตรตระการนั้น เจือด้วยความเชื่อมั่นในตนเอง กระทั้งในดวงตาสีดำสนิทคู่นั้นของอีกฝ่ายเสมือนกระแสดวงดาวอย่างนั้น
เป็นประกายระยิบระยับ!
ทำให้คนมองซูหลีอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
ทุกคนกลั้นหายใจตัวแข็งมองซูหลี กลับเห็นใบหน้าซูหลีเรียบเฉย บนริมฝีปากด้วยรอยยิ้มที่เชื่อมั่นในตนเองเอ่ยเสียงดัง
“นี่เป็นวิธีของกระหม่อม กระหม่อมยินดีรับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้นจากมัน! หากวิธีนี้ไร้ประโยชน์กระหม่อมยินดีรับโทษ!”
ทั้งท้องพระโรงเงียบสนิท มีแค่เสียงที่แสนจะเชื่อมั่นในตนเองอย่างยิ่งของซูหลีดังสะท้อนไปมา
ฉินเย่หานจ้องนางด้วยแววตาชื่นชม
เรื่องอื่นไม่ต้องพูดถึง แค่ความกล้านี้คนนับหมื่นก็เทียบไม่ติด
“ได้เงินจากผู้ใดก็ควรต้องภักดีกับผู้นั้น นี่ถึงจะเป็นหลักของช้าราชบริพารที่แท้จริง”
ตอนที่ 610 อนุญาต
“นี่คือคำตอบสุดท้ายที่ฝ่าบาททรงตรัสถามของกระหม่อม กระหม่อมยินดีบุกน้ำลุยไฟเพื่ออาณาประชาราษฎร์และเพื่อฝ่าบาท!” ซูหลีพูดถึงตรงนี้ ก็มองตรงไปที่ฉินเย่หาน แววตาเปิดเผย และไร้ซึ่งความหวาดกลัวใดๆ อีก
นางยื่นมือสะบัดชุดคลุมของตนเองออกและทรุดตัวคุกเข่าลง
“ฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี!”
ทุกคนในตำหนักชะงักนิ่งกันไป จากนั้นจึงคุกเข่าลงตามซูหลีอย่างเสียไม่ได้
“ฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี!”
เสียงร้องตะโกนดังสะท้อนกึกก้องไปทั่วตำหนักอวิ๋นเซียว!
แววตาฉินเย่หานนิ่งขรึม จ้องคนที่นั่งคุกเข่าลงในตำหนักไม่วางตา แววตาซูหลีแน่วแน่ ไม่ละสายตา จู่ๆยกมุมปากขึ้นพลางเอ่ย
“อนุญาต!”
……
“อาหลี” การสอบจบลงเมื่อฝ่าบาททรงตรัสนคำว่าอนุญาตออกมา
คนในตำหนักอวิ๋นเซียวต่างเดินออกไปด้านนอก เซี่ยอวี่เสียนเดินไปหาซูหลี และเรียกหา
“พี่เซี่ย” ซูหลีหันหน้าไปยิ้มให้เขา
เซี่ยอวี่เสียนเห็นรอยยิ้มที่ไม่เก็บงำแม้แต่น้อยของซูหลี ใจกระตุกวูบ ซูหลีเป็นเช่นนี้เสมอ เหมือนว่าคนที่เปลี่ยนแปลงไปเร็วที่สุดคืออีกฝ่าย แต่พอคิดอีกทีคนที่ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยก็เห็นจะเป็นซูหลี
เมื่อครู่คนพวกนั้นต่างเรียกเซี่ยอวี่เสียนว่า ‘จอหงวนเซี่ย’ มีเพียงซูหลีที่เรียกเขาว่าพี่เซี่ย
เสียงเรียกพี่เซี่ยที่ใสซื่อไร้เจตนาแอบแฝง แต่ทำให้เซี่ยอวี่เสียนผ่อนคลายลงไม่น้อยทันที
“วิธีการของเจ้าคงจะไม่มีปัญหาอะไรกระมัง?” เซี่ยอวี่เสียนห่วงใยอีกฝ่าย ชะงักนิ่งไปเล็กน้อย แล้วจึงถามสิ่งที่สงสัยในใจออกมา
ซูหลีได้ยินเช่นนั้น จึงยิ้มเล็กน้อย แววตานางเป็นประกายแวววับเอ่ยเสียงเบา “พี่เซี่ยแม่นมท่านสบายดีหรือยัง?”
เซี่ยอวี่เสียนได้ยินแล้วก็ชะงักไป จากนั้นจึงวิตกกังวลขึ้นมาทันที
“อาหลีทำอะไรก็มีขั้นมีตอนเสมอ แต่เป็นข้าต่างหากที่สู้เจ้าไม่ได้เลย แต่ก็ได้ตำแหน่งจอหงวนมา!” เซี่ยอวี่เสียนจ้องไปที่ซูหลี แล้วเอ่ยความในใจออกมาอย่างอดไม่ได้ ใบหน้ายังยิ้มขนขื่น
ซูหลีถามเขาว่าแม่นมเขาสบายดีอยู่หรือไม่ ใช่แล้ว อีกฝ่ายสบายดี อีกเพราะกินยาของซูหลี ในขณะที่หมอทุกคนต่างถอดใจกับอาการป่วยของแม่นม แต่เป็นยาของซูหลีที่ช่วยแม่นมเอาไว้
ซูหลีทำให้คนใกล้ตายกลับมามีชีวิตได้ อย่าว่าแต่เดิมทีวิธีรักษาโรคระบาดนั้นมีอยู่แล้ว เพียงแต่เวลาในการรักษายาวนานเกินไป จนคนรอไม่ไหว
ในตอนที่เซี่ยอวี่เสียนพูดแล้ว ใบหน้าเยาะๆ เหมือนวันนี้เย้ยหยันตนเองในตำแหน่งจอหงวน
ซูหลีเห็นเช่นนี้แววตาวูบไหว นางชะงักฝีเท้าและมองเซี่ยอวี่เสียน
“พี่เซี่ยสงสัยในพระวินิจฉัยของฝ่าบาท?”
“…ไม่!” เซี่ยอวี่เสียนลนลานตอบ “ฝ่าบาททรงพระปรีชา ไหนเลยข้าจะกล้าสงสัยพระองค์”
“ถูกต้องแล้ว” ซูหลีผงกศีรษะเล็กน้อย จากนั้นจึงระบายยิ้มและเอ่ย “พี่เซี่ยเห็นเพียงแต่ข้อดีของข้า แต่มิเห็นข้อเสีย จอหงวนไม่เพียงแต่ต้องเก่งกล้าสามารถ อีกทั้งยังต้องเก่งครบทุกด้าน พี่เซี่ยเก่งทั้งบุ๋นและบู๊ เพียงแค่ข้อนี้พี่ก็เก่งกว่าข้ามากแล้ว”
“พี่เซี่ยลองคิดดู จอหงวนต้องขี่ม้ารอบเมืองหลวง หากเป็นข้าจะให้ข้าโอบคอม้ารอบเมืองหลวงเช่นนั้นหรือ? เกรงว่าคงกลายเป็นเรื่องตลกของทั้งเมืองหลวงแน่แล้ว!” ตอนก่อนที่เซี่ยอวี่เสียนจะได้ยินคำพูดของซูหลี ใบหน้าเขาผ่อนคลายลง
แต่พอซูหลีสำทับอีกประโยคหนึ่ง เขาก็หัวเราะขำขันอย่างยิ่ง
ความหงุดหงิดในใจนั้น ก็สลายหายไป
ซูหลีช่างเป็นคนที่มีจิตใจบริสุทธิ์นัก