นิยายกำเนิดนางร้าย The Birth of a Villainess ตอนที่69ความหลงใหล? ข้าราชการในวังยงคงเดินเตร่ไปรอบๆห้องจัดเลี้ยงเสิร์ฟเครื่องดื่มและของว่างให้แขก ขณะที่พวกเขายังคงสนทนาอย่างสนุกสนานกับเหล่าสหาย หลังจากส่วนที่สองของงานเลี้ยงเสร็จสิ้นคุณหญิงและเจ้านายยังคงนั่งสนทนากันต่อไปภายในห้องจัดเลี้ยง ในขณะเดียวกันเหล่าขุนนางยังต้องนั่งในศาลากว้างใกล้สระน้ำขนาดใหญ่เพื่อชมพระอาทิตย์ตกที่สวยงามและงานเลี้ยงที่ใกล้จะสิ้นสุดและด้วยเหตุนี้ดวงอาทิตย์จึงค่อยๆเริ่มลดระดับลงและถูกแทนที่ด้วยดวงจันทร์ เหตุการณ์ของซ่งหลินได้ทำลายฉากที่สวยงามภายในวังและยังไม่มีใครพบผู้คนจึงยังไม่แสดงกลัวและความประหม่าในขณะที่พวกเขากำลังหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน หลินเสี่ยวเฟยวางคางบนฝ่ามืออย่างเกียจคร้านขณะที่เธอวางศอกกับโต๊ะไม้ข้างตัวเธอ
เธอนั่งมองใบหน้าของหญิงสาวและบุตรชายผู้สูงศักดิ์ที่นั่งอยู่ด้วยแล้วขมวดคิ้วด้วยความเบื่อหน่าย อาจกล่าวได้ว่าแม้หลังจากที่วิญญาณของเธอได้ผ่านเข้าสู่ร่างนี้แล้วเธอก็ยังไม่ชินกับการถูกห้อมล้อมด้วยหนุ่มสาวที่ไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นหนี้โลกนี้มากแค่ไหน เธอค่อยๆถอนหายใจและหลับตาลงเมื่อจู่ๆก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นข้างหูของเธอขณะที่เธอรู้สึกว่ามีคนนั่งที่ว่างข้างๆเธอ ” ทำไมเจ้าถึงถอนหายใจ” หลิวขี่นี่กล่าวถามเธอ หลินเสี่ยวเฟยลืมตาและหันศีรษะเล็กน้อยเพื่อมองเธอ ” ความงามของข้าทำให้ท่านหลงใหลหรือไม่” หลิวฉีฉีส่งรอยยิ้มสดใสให้กับเธอเธอขยิบตาให้หลินเสี่ยวเฟยที่ขมวดคิ้วมากยิ่งขึ้น หลินเสี่ยวเฟยกำลังสงสัยว่าใครคือหญิงสาวที่กำลังนั่งอยู่ข้างๆเธอและทำตัวเหมือนเป็นเพื่อนที่สนิทสนมกับเธอ เธออยากจะหัวเราะเยาะกับความคิดเห็นของหญิงสาวผู้นี้เกี่ยวกับความงามของเธอเพราะหากพวกเขาเปรียบเทียบความงามของกันและกันหลินเสี่ยวเฟยเป็นผู้ที่ได้รับพรมากกว่าด้วยความงามที่น่าดึงดูดใจและมีพลังที่จะสะกดเหล่ามนุษย์ปุถุชน เธอไม่รู้ว่าจะพูดกับหญิงสาวว่าอย่างไรเธอมองหาไปสู่เพื่อที่จะให้เขาเข้ามาช่วยเธอหยุดกับสถานการณ์นี้แต่ไปลู่ยืนอยู่ด้านนอกของห้องจัดงานเลี้ยงเพราะพวกเขาเป็นเพียงคนรับใช้จึงไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมเว้นแต่พวกเขาจะเป็นข้าราชบริพาร ไปสู่หมอบลงและคลานเข้ามาหาเธอและกระซิบข้างหูของเธอและกล่าวว่า” คุณหนูนั่นเป็นหลานสาวของหัวหน้าสำนักเลขาธิการและยังเป็นเพื่อนในสมัยเด็กของคุณหนู” เมื่อได้ยินถึงตัวตนของหญิงสาวผู้นั้นหลินเสี่ยวเฟยก็เลิกคิ้วทั้งสองอย่างแปลกใจ ทำไมเธอถึงไม่เคยได้ยินเรื่องนี้? ยิ่งไปกว่านั้นเธอตกใจเมื่อพบว่าเธอมีเพื่อนสมัยเด็กจริงๆหรือ ” นี่อะไร? หลังจากที่ล้มป่วยครั้งที่แล้วเธอลืมไปเลยหรือว่าข้าคือใคร? ” หลิวขี่นี่ได้ยินสิ่งที่ไปสู่กล่าวขึ้นในขณะที่เธอนั่งใกล้กับ หลินเสี่ยวเฟยและดูเหมือนเธอกำลังน้อยใจ ” หลินเสี่ยวเฟย…เป็นไปได้หรือที่ท่านจะลืมว่าข้าเคยเป็นน้องสาวของท่านที่หายหน้าหายตาไปนาน? “ เธอแสร้งทำเป็นพูดเกินจริงและปาดน้ำตาในจินตนาการของเธอด้วยผ้าเช็ดหน้า เมื่อมองดูหลิวขี่นี่หลินเสี่ยวเฟยพยายามนวดศีรษะของเธอเธออยากรู้มากว่าทำไมเธอถึงถูกรายล้อมไปด้วยคนนอกรีต ตอนแรกเธอสันนิษฐานว่าตามชื่อเสียงและความเย่อหยิ่งที่น่าอับอายของเจ้าของร่างคนก่อนเธอคงจะไม่มีเพื่อนที่คบหาแต่ใครจะรู้ว่าเธอคิดผิดเจ้าของร่างคนก่อนไม่เพียงแต่มีเพื่อนแต่เพื่อนสมัยเด็กของเธอผู้นี้เป็นถึงขั้นหลานสาวของหัวหน้าสำนักเลขาธิการ ขณะที่หลินเสี่ยวเฟยอยู่ในห้วงความคิดของเธอดวงตาของหลิวขี่นี่เบิกกว้างและเธอก็ร้องอุทานออกมาทันทีและกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้น” องค์ชายและองค์หญิงอยู่ที่นี่แล้ว! ” เธอชะงักแล้วกล่าวต่อ” สวรรค์…ท่านดยุคก็เดินไปกับพวกเขาด้วย? เมื่อเธอได้ยินประโยคแรกของหลิวนี่นี่ความปรารถนาที่จะเห็นใบหน้าของศัตรูทำให้เธอต้องหันศีรษะตามแต่หลังจากที่เธอได้เห็นเขาจากด้านหลังศีรษะแล้วหลินเสี่ยวเฟยก็หยุดลงกลางคัน ในทางกลับกันหลิวฉีฉีกำลังจับตาดูร่างของผู้ที่เพิ่งมาถึง นอกจากองค์ชายทั้งสี่ที่เสด็จมาถึงมีองค์หญิงสองคนพร้อมกับคนใช้ที่ก้าวเข้าไปในศาลาและนั่งในที่นั่งที่มีเกียรติที่สุดตรงกลางเนื่องจากพวกเขาเป็นสายเลือดของราชวงศ์พวกเขาจึงต้องนั่งในตำแหน่งที่จะแสดงเหมือนรูปปั้นเทพในห้องสวดมนต์ ” ท่านผู้มีพระคุณโปรดนั่งลงที่ข้างๆของเรา” องค์หญิงเกาเสนอที่นั่งข้างๆเธอดวงตาของเธอกระพริบด้วยความตื่นเต้นและความเขินอายเล็กน้อยในขณะที่องค์หญิงซูที่มาด้วยก็กัดริมฝีปากของเธอเล็กน้อย แม้ว่าดยุคฉ่เซียวซูจะมีสายเลือดเดียวกันกับราชวงศ์แต่ความสัมพันธ์ของพวกเขาก็ห่างไกลกันเล็กน้อยเนื่องจากเขาเกิดจากน้องสาวของจักรพรรดิองค์ก่อนและมีสายเลือดเพียงเล็กน้อยจากจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน แต่นั้นไม่ได้หยุดองค์หญิงแห่งอาณาจักรเซิงให้ชื่นชมและหวังว่าพวกเขาจะได้เป็น ดัชเชสด้วยตนเอง ฉ่เซียวซูไม่ได้แม้แต่จะเหลือบมองเก้าอี้ที่องค์หญิงเกาเสนอให้เขาในขณะ ที่เขาเริ่มเดินไปที่เก้าอี้ทางด้านซ้ายใกล้สระน้ำสถานที่ที่เขานั่งอยู่นั้นต่ำกว่าสถานะปัจจุบันของเขาเพียงเล็กน้อยในฐานะดยุคและสายเลือดของราชวงศ์ ” ดยุคฉีเซียวซูท่านไม่คิดว่าเก้าอี้ตัวนั้นมันไม่เหมาะสมสำหรับตำแหน่งของท่านหรือไม่” องค์ชายโจวกล่าวถามหลังจากเห็นแววตาที่เย็นชาของน้องสาวของเขา ฉ่เซียวซูค่อยๆลืมตาขึ้นมองเขา” เกิดอะไรขึ้นเราไม่ได้ฉลองเทศกาลไหว้พระจันทร์แล้วทำไมเราถึงต้องปฏิบัติตามกฏ? ” เมื่อได้ยินเขาใบหน้าขององค์ชายโจวก็ดูน่าเกลียดและเขาต้องแสร้งทำเป็น หัวเราะเพื่อขจัดความอับอายของเขาเขาไม่เข้าใจความหมายของชายผู้นี้ได้อย่างไร? ฉีเซียวซูระบุอย่างชัดเจนว่าองค์หญิงเกาดูเคร่งขรึมเกินไปแม้ในวันที่สงบสุขเราควรเฉลิมฉลองเทศกาลและยังแสดงท่าทางเย่อหยิ่งต่อหน้าคนอื่นๆเมื่อพวกเขามาถึงที่ศาลานี้และไม่ควรใส่ใจมากเกินไปเกี่ยวกับสถานะของพวกเขาและควรจะสนุกกับเวลานี้ ใบหน้าขององค์ชายโจวบิดเบี้ยวด้วยความละอายและความโกรธแต่เขาไม่สามารถที่จะเฆี่ยนตีอย่างที่เขาต้องการได้เนื่องจากชายหนุ่มที่แสดงความคิดเห็นคำเหล่านี้ไม่ใช่คนธรรมดาและเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญมากกว่าองค์ชาย ในขณะนั้นเจ้าชายโจวพยักหน้าและกล่าวตอบว่า” ท่านมีพระคุณถูกต้องแล้วข้าจะลืมไปได้อย่างไร” จากนั้นเขาก็สะบัดแขนเสื้อแล้วนั่งลงบนที่นั่ง องค์ชายและองค์หญิงคนอื่นๆก็นั่งลงเช่นกันพวกเขารู้สึกถึงความไม่สบายใจอย่างยิ่ง และการกระทำของพวกเขาก็จบลงอย่างง่ายดาย นอกเหนือจากหยูเฟิงซูเขาแก่กว่าคนอื่นๆในศาลาเล็กน้อยแต่เนื่องจากเขาเกิดช้ากว่าผู้ใหญ่ในห้องจัดเลี้ยงเขาจึงต้องตามน้องๆของเขาไปที่นั่น หลังจากที่ได้เห็นบุคคลสำคัญๆได้นั่งลงบนที่นั่งแล้วบุตรธิดาของขุนนางและข้าราชการทุกคนก็ดูเกร็งขึ้นแต่ละคนมีความคิดที่แตกต่างกันเข้ามาในหัวของพวกเขาขณะที่พวกเขาทำแบบสุ่มเพื่อบรรเทาความไม่สบายใจของพวกเขา ด้วยการปรากฏตัวของราชวงศ์และดยุคเองพวกเขาจึงไม่สามารถกระทำการประมาทได้โดยธรรมชาติ อย่างไรก็ตามมีบางคนที่รักษาความสงบไว้ขณะที่พวกเขายังคงทำสิ่งที่กำลังทำอยู่ ตัวอย่างเช่นบุตรสาวของขุนนางมาร์ควิสและดยุครวมทั้งหลานสาวของทั้งหัวหน้าสำนักเลขาธิการหลิวและแม่ทัพหลิน ในขณะนี้หลินเสี่ยวเฟยมีเพียงสิ่งเดียวในใจของเธอเธอหวังว่าเธอจะเช็ดรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกจากใบหน้าของชายที่นั่งตรงข้ามเธอได้ หลิวขี่นี่ขยับริมฝีปากของเธอเล็กน้อยขณะที่เธอกล่าวว่า” หลินเสี่ยวเฟย..นี่ข้าตาฟาดไปหรือที่ไม่ท่านดยุคมานั่งอยู่ตรงข้ามของเรา? ” หลินเสี่ยวเฟยเหลือบมองไปทางเธอและกล่าวตอบว่า” เจ้าอาจจะคิดไปเอง? ” เป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมมากเกี่ยวกับชายผู้นี้ที่ทำให้ทุกคนชื่นชมเหมือนพวกเขาเป็นคนถ้ำที่เห็นชิ้นเนื้อลอยอยู่ในอากาศ ชายที่มีสองหน้าเช่นนี้เธอสงสัยว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อทุกคนรู้ว่าตัวตนที่แท้จริงของเขาเป็นคนแบบไหน เธอยังคงไม่ให้อภัยเขาสำหรับกลอุบายที่เขาแสดงต่อหน้าเธอและแกล้งทำเป็นทั้งผู้จัดการหลิวและดยุคเซียว หลินฉีฉีสะบัดศีรษะของเธอทันทีและกล่าวว่า” ดูสิว่าใครกำลังพูดอยู่เจ้าเป็นคนที่สะกดรอยตามเขาและหลงใหลในดยุคผู้นี้เมื่อสามปีที่แล้วไม่ใช่หรือ? ” เมื่อหลินเสี่ยวเฟยได้ยินเช่นนั้นศีรษะของเธอค่อยๆหันไปมองหลิวฉ่ก่อนที่จะใช้ตาของเธอมองไปที่ชายที่อยู่ตรงข้ามของเธอ เมื่อสบตากันรอยยิ้มเจ้าเล่ห์บนใบหน้าของเขาหายไปและเห็นปฏิกิริยาที่ นามสอคล้ายกันในใบหน้าของเธอ ทั้งสองต่างมองหน้ากันสายตาของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความปลาดใจ
นิยายกำเนิดนางร้าย The Birth of a Villainess
ตอนที่69ความหลงใหล?
ข้าราชการในวังยงคงเดินเตร่ไปรอบๆห้องจัดเลี้ยงเสิร์ฟเครื่องดื่มและของว่างให้แขก
ขณะที่พวกเขายังคงสนทนาอย่างสนุกสนานกับเหล่าสหาย
หลังจากส่วนที่สองของงานเลี้ยงเสร็จสิ้นคุณหญิงและเจ้านายยังคงนั่งสนทนากันต่อไปภายในห้องจัดเลี้ยง
ในขณะเดียวกันเหล่าขุนนางยังต้องนั่งในศาลากว้างใกล้สระน้ำขนาดใหญ่เพื่อชมพระอาทิตย์ตกที่สวยงามและงานเลี้ยงที่ใกล้จะสิ้นสุดและด้วยเหตุนี้ดวงอาทิตย์จึงค่อยๆเริ่มลดระดับลงและถูกแทนที่ด้วยดวงจันทร์
เหตุการณ์ของซ่งหลินได้ทำลายฉากที่สวยงามภายในวังและยังไม่มีใครพบผู้คนจึงยังไม่แสดงกลัวและความประหม่าในขณะที่พวกเขากำลังหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน
หลินเสี่ยวเฟยวางคางบนฝ่ามืออย่างเกียจคร้านขณะที่เธอวางศอกกับโต๊ะไม้ข้างตัวเธอ
เธอนั่งมองใบหน้าของหญิงสาวและบุตรชายผู้สูงศักดิ์ที่นั่งอยู่ด้วยแล้วขมวดคิ้วด้วยความเบื่อหน่าย
อาจกล่าวได้ว่าแม้หลังจากที่วิญญาณของเธอได้ผ่านเข้าสู่ร่างนี้แล้วเธอก็ยังไม่ชินกับการถูกห้อมล้อมด้วยหนุ่มสาวที่ไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นหนี้โลกนี้มากแค่ไหน
เธอค่อยๆถอนหายใจและหลับตาลงเมื่อจู่ๆก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นข้างหูของเธอขณะที่เธอรู้สึกว่ามีคนนั่งที่ว่างข้างๆเธอ
” ทำไมเจ้าถึงถอนหายใจ” หลิวขี่นี่กล่าวถามเธอ
หลินเสี่ยวเฟยลืมตาและหันศีรษะเล็กน้อยเพื่อมองเธอ
” ความงามของข้าทำให้ท่านหลงใหลหรือไม่” หลิวฉีฉีส่งรอยยิ้มสดใสให้กับเธอเธอขยิบตาให้หลินเสี่ยวเฟยที่ขมวดคิ้วมากยิ่งขึ้น
หลินเสี่ยวเฟยกำลังสงสัยว่าใครคือหญิงสาวที่กำลังนั่งอยู่ข้างๆเธอและทำตัวเหมือนเป็นเพื่อนที่สนิทสนมกับเธอ
เธออยากจะหัวเราะเยาะกับความคิดเห็นของหญิงสาวผู้นี้เกี่ยวกับความงามของเธอเพราะหากพวกเขาเปรียบเทียบความงามของกันและกันหลินเสี่ยวเฟยเป็นผู้ที่ได้รับพรมากกว่าด้วยความงามที่น่าดึงดูดใจและมีพลังที่จะสะกดเหล่ามนุษย์ปุถุชน
เธอไม่รู้ว่าจะพูดกับหญิงสาวว่าอย่างไรเธอมองหาไปสู่เพื่อที่จะให้เขาเข้ามาช่วยเธอหยุดกับสถานการณ์นี้แต่ไปลู่ยืนอยู่ด้านนอกของห้องจัดงานเลี้ยงเพราะพวกเขาเป็นเพียงคนรับใช้จึงไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมเว้นแต่พวกเขาจะเป็นข้าราชบริพาร
ไปสู่หมอบลงและคลานเข้ามาหาเธอและกระซิบข้างหูของเธอและกล่าวว่า” คุณหนูนั่นเป็นหลานสาวของหัวหน้าสำนักเลขาธิการและยังเป็นเพื่อนในสมัยเด็กของคุณหนู”
เมื่อได้ยินถึงตัวตนของหญิงสาวผู้นั้นหลินเสี่ยวเฟยก็เลิกคิ้วทั้งสองอย่างแปลกใจ
ทำไมเธอถึงไม่เคยได้ยินเรื่องนี้? ยิ่งไปกว่านั้นเธอตกใจเมื่อพบว่าเธอมีเพื่อนสมัยเด็กจริงๆหรือ
” นี่อะไร? หลังจากที่ล้มป่วยครั้งที่แล้วเธอลืมไปเลยหรือว่าข้าคือใคร? ” หลิวขี่นี่ได้ยินสิ่งที่ไปสู่กล่าวขึ้นในขณะที่เธอนั่งใกล้กับ
หลินเสี่ยวเฟยและดูเหมือนเธอกำลังน้อยใจ ” หลินเสี่ยวเฟย…เป็นไปได้หรือที่ท่านจะลืมว่าข้าเคยเป็นน้องสาวของท่านที่หายหน้าหายตาไปนาน? “
เธอแสร้งทำเป็นพูดเกินจริงและปาดน้ำตาในจินตนาการของเธอด้วยผ้าเช็ดหน้า
เมื่อมองดูหลิวขี่นี่หลินเสี่ยวเฟยพยายามนวดศีรษะของเธอเธออยากรู้มากว่าทำไมเธอถึงถูกรายล้อมไปด้วยคนนอกรีต
ตอนแรกเธอสันนิษฐานว่าตามชื่อเสียงและความเย่อหยิ่งที่น่าอับอายของเจ้าของร่างคนก่อนเธอคงจะไม่มีเพื่อนที่คบหาแต่ใครจะรู้ว่าเธอคิดผิดเจ้าของร่างคนก่อนไม่เพียงแต่มีเพื่อนแต่เพื่อนสมัยเด็กของเธอผู้นี้เป็นถึงขั้นหลานสาวของหัวหน้าสำนักเลขาธิการ
ขณะที่หลินเสี่ยวเฟยอยู่ในห้วงความคิดของเธอดวงตาของหลิวขี่นี่เบิกกว้างและเธอก็ร้องอุทานออกมาทันทีและกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้น” องค์ชายและองค์หญิงอยู่ที่นี่แล้ว! ” เธอชะงักแล้วกล่าวต่อ” สวรรค์…ท่านดยุคก็เดินไปกับพวกเขาด้วย?
เมื่อเธอได้ยินประโยคแรกของหลิวนี่นี่ความปรารถนาที่จะเห็นใบหน้าของศัตรูทำให้เธอต้องหันศีรษะตามแต่หลังจากที่เธอได้เห็นเขาจากด้านหลังศีรษะแล้วหลินเสี่ยวเฟยก็หยุดลงกลางคัน
ในทางกลับกันหลิวฉีฉีกำลังจับตาดูร่างของผู้ที่เพิ่งมาถึง
นอกจากองค์ชายทั้งสี่ที่เสด็จมาถึงมีองค์หญิงสองคนพร้อมกับคนใช้ที่ก้าวเข้าไปในศาลาและนั่งในที่นั่งที่มีเกียรติที่สุดตรงกลางเนื่องจากพวกเขาเป็นสายเลือดของราชวงศ์พวกเขาจึงต้องนั่งในตำแหน่งที่จะแสดงเหมือนรูปปั้นเทพในห้องสวดมนต์
” ท่านผู้มีพระคุณโปรดนั่งลงที่ข้างๆของเรา” องค์หญิงเกาเสนอที่นั่งข้างๆเธอดวงตาของเธอกระพริบด้วยความตื่นเต้นและความเขินอายเล็กน้อยในขณะที่องค์หญิงซูที่มาด้วยก็กัดริมฝีปากของเธอเล็กน้อย
แม้ว่าดยุคฉ่เซียวซูจะมีสายเลือดเดียวกันกับราชวงศ์แต่ความสัมพันธ์ของพวกเขาก็ห่างไกลกันเล็กน้อยเนื่องจากเขาเกิดจากน้องสาวของจักรพรรดิองค์ก่อนและมีสายเลือดเพียงเล็กน้อยจากจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน
แต่นั้นไม่ได้หยุดองค์หญิงแห่งอาณาจักรเซิงให้ชื่นชมและหวังว่าพวกเขาจะได้เป็น
ดัชเชสด้วยตนเอง
ฉ่เซียวซูไม่ได้แม้แต่จะเหลือบมองเก้าอี้ที่องค์หญิงเกาเสนอให้เขาในขณะ
ที่เขาเริ่มเดินไปที่เก้าอี้ทางด้านซ้ายใกล้สระน้ำสถานที่ที่เขานั่งอยู่นั้นต่ำกว่าสถานะปัจจุบันของเขาเพียงเล็กน้อยในฐานะดยุคและสายเลือดของราชวงศ์
” ดยุคฉีเซียวซูท่านไม่คิดว่าเก้าอี้ตัวนั้นมันไม่เหมาะสมสำหรับตำแหน่งของท่านหรือไม่”
องค์ชายโจวกล่าวถามหลังจากเห็นแววตาที่เย็นชาของน้องสาวของเขา
ฉ่เซียวซูค่อยๆลืมตาขึ้นมองเขา” เกิดอะไรขึ้นเราไม่ได้ฉลองเทศกาลไหว้พระจันทร์แล้วทำไมเราถึงต้องปฏิบัติตามกฏ? ”
เมื่อได้ยินเขาใบหน้าขององค์ชายโจวก็ดูน่าเกลียดและเขาต้องแสร้งทำเป็น
หัวเราะเพื่อขจัดความอับอายของเขาเขาไม่เข้าใจความหมายของชายผู้นี้ได้อย่างไร?
ฉีเซียวซูระบุอย่างชัดเจนว่าองค์หญิงเกาดูเคร่งขรึมเกินไปแม้ในวันที่สงบสุขเราควรเฉลิมฉลองเทศกาลและยังแสดงท่าทางเย่อหยิ่งต่อหน้าคนอื่นๆเมื่อพวกเขามาถึงที่ศาลานี้และไม่ควรใส่ใจมากเกินไปเกี่ยวกับสถานะของพวกเขาและควรจะสนุกกับเวลานี้
ใบหน้าขององค์ชายโจวบิดเบี้ยวด้วยความละอายและความโกรธแต่เขาไม่สามารถที่จะเฆี่ยนตีอย่างที่เขาต้องการได้เนื่องจากชายหนุ่มที่แสดงความคิดเห็นคำเหล่านี้ไม่ใช่คนธรรมดาและเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญมากกว่าองค์ชาย
ในขณะนั้นเจ้าชายโจวพยักหน้าและกล่าวตอบว่า” ท่านมีพระคุณถูกต้องแล้วข้าจะลืมไปได้อย่างไร” จากนั้นเขาก็สะบัดแขนเสื้อแล้วนั่งลงบนที่นั่ง
องค์ชายและองค์หญิงคนอื่นๆก็นั่งลงเช่นกันพวกเขารู้สึกถึงความไม่สบายใจอย่างยิ่ง
และการกระทำของพวกเขาก็จบลงอย่างง่ายดาย
นอกเหนือจากหยูเฟิงซูเขาแก่กว่าคนอื่นๆในศาลาเล็กน้อยแต่เนื่องจากเขาเกิดช้ากว่าผู้ใหญ่ในห้องจัดเลี้ยงเขาจึงต้องตามน้องๆของเขาไปที่นั่น
หลังจากที่ได้เห็นบุคคลสำคัญๆได้นั่งลงบนที่นั่งแล้วบุตรธิดาของขุนนางและข้าราชการทุกคนก็ดูเกร็งขึ้นแต่ละคนมีความคิดที่แตกต่างกันเข้ามาในหัวของพวกเขาขณะที่พวกเขาทำแบบสุ่มเพื่อบรรเทาความไม่สบายใจของพวกเขา
ด้วยการปรากฏตัวของราชวงศ์และดยุคเองพวกเขาจึงไม่สามารถกระทำการประมาทได้โดยธรรมชาติ
อย่างไรก็ตามมีบางคนที่รักษาความสงบไว้ขณะที่พวกเขายังคงทำสิ่งที่กำลังทำอยู่
ตัวอย่างเช่นบุตรสาวของขุนนางมาร์ควิสและดยุครวมทั้งหลานสาวของทั้งหัวหน้าสำนักเลขาธิการหลิวและแม่ทัพหลิน
ในขณะนี้หลินเสี่ยวเฟยมีเพียงสิ่งเดียวในใจของเธอเธอหวังว่าเธอจะเช็ดรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกจากใบหน้าของชายที่นั่งตรงข้ามเธอได้
หลิวขี่นี่ขยับริมฝีปากของเธอเล็กน้อยขณะที่เธอกล่าวว่า” หลินเสี่ยวเฟย..นี่ข้าตาฟาดไปหรือที่ไม่ท่านดยุคมานั่งอยู่ตรงข้ามของเรา? ”
หลินเสี่ยวเฟยเหลือบมองไปทางเธอและกล่าวตอบว่า” เจ้าอาจจะคิดไปเอง? ”
เป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมมากเกี่ยวกับชายผู้นี้ที่ทำให้ทุกคนชื่นชมเหมือนพวกเขาเป็นคนถ้ำที่เห็นชิ้นเนื้อลอยอยู่ในอากาศ
ชายที่มีสองหน้าเช่นนี้เธอสงสัยว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อทุกคนรู้ว่าตัวตนที่แท้จริงของเขาเป็นคนแบบไหน
เธอยังคงไม่ให้อภัยเขาสำหรับกลอุบายที่เขาแสดงต่อหน้าเธอและแกล้งทำเป็นทั้งผู้จัดการหลิวและดยุคเซียว
หลินฉีฉีสะบัดศีรษะของเธอทันทีและกล่าวว่า” ดูสิว่าใครกำลังพูดอยู่เจ้าเป็นคนที่สะกดรอยตามเขาและหลงใหลในดยุคผู้นี้เมื่อสามปีที่แล้วไม่ใช่หรือ? ”
เมื่อหลินเสี่ยวเฟยได้ยินเช่นนั้นศีรษะของเธอค่อยๆหันไปมองหลิวฉ่ก่อนที่จะใช้ตาของเธอมองไปที่ชายที่อยู่ตรงข้ามของเธอ
เมื่อสบตากันรอยยิ้มเจ้าเล่ห์บนใบหน้าของเขาหายไปและเห็นปฏิกิริยาที่
นามสอคล้ายกันในใบหน้าของเธอ
ทั้งสองต่างมองหน้ากันสายตาของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความปลาดใจ
นิยาย กําเนิดนางร้าย The Birth of a Villainess
ตอนที่ 68 การตายของซ่งหลิน
ซ่งหลินแยกตัวออกมาออกจากงานเลี้ยงเพื่อไปที่จุดนัดพบที่เขียนไว้ใน จดหมาย หัวใจของเธอเต้นแรงและความคาดหวังอันแสนหวานที่จะได้พบกับชายหนุ่มที่เธอใฝ่ฝัน
เธอยืนอยู่ใกล้สนามหลังวังของเจดีย์พระจันทร์ฤดูหนาว เนื่องจากไม่มีใครเดินเตร่อยู่ข้างนอกและคนใช้ในวัง ส่วนใหญ่ก็ไปประจําการอยู่ละแวกงานเลี้ยงจึงไม่มีใครห้ามไม่ให้เธอไปที่นั่นหรือมองดูเธอด้วยความสงสัย
ยิ่งกว่าไปนั้น คงจะไม่มีใครอยู่แถวๆนั้นเลยหากว่ามีอะไรเกิดขึ้นในเจดีย์นั้นเลย
ซ่งหลินมองไปยังด้านข้าง เหงื่อจากความตื่นเต้นก็เริ่มไหลตามหน้าผากของเธอ
“ทําไมถึงยังไม่มีผู้ใดมา” เธอพึมพํา กับตัวเอง
เพื่อไม่ให้การนัดพบของเธอในครั้งนี้ดูเป็นที่เปิดเผยจนเกินไป เธอจึงตัดสินใจไม่ให้สาวใช้ส่วนตัวของเธอตามมาเธ อมั่นใจว่าจะไม่มีใครกล้าก่อเหตุร้ายภายในพระราชวังและตระกูลของเธอ
แต่ซ่งหลินลืมไปว่า ในเมืองหลวงไม่ได้มีเพียงผู้คนในอาณาจักรเชิงเท่านั้น สถานที่ที่น่าเกรงขามและน่ากลัวที่สุดคือพระราชวังจักรพรรดิซึ่งมักจะมีเหตุการณ์ที่ลึกลับและน่าสยดสยองทั้งหมด เกิดขึ้นภายในนั้น
แน่นอนว่าไม่มีใครรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้และไม่มีข่าวลือที่โจ่งแจ้งเกี่ยวกับเหตุ การณ์เหล่านี้ เนื่องจากราชวงศ์มักปกปิดไว้เสมอไม่ว่าเหตุการณ์จะเล็ก หรือใหญ่ก็ไม่มีทางเป็นไปได้ที่สาธารณะชนนอกวังจะรู้ เว้นแต่พระราชวงศ์จะอนุญาตให้เผยแพร่เท่านั้น
เธอกังวลว่าจะมาผิดเวลานัดพบ ซึ่งหลินต้องการกลับไปที่งานเลี้ยงเพื่อดูว่าห ยูฟางจได้หายตัวไปจากสถานที่เพื่อพบเธอในเจดีย์พระจันทร์ฤดูหนาวหรือไม่
ในขณะที่เธอแทบจะอดใจรอไม่ไหวและกําลังจะเดินจากไปเธอได้ยินเสียง ฝีเท้ามาจากด้านหลังของเธอใจของเธอเริ่มทรุดลงและหันกลับไปอย่างรวดเร็วเพื่อดูว่าเสียงนั้นมาจากทิศทางไหน
ขณะที่เธอหันกลับมา เสียงแหบแห้งก็เข้ามาในหูของเธอ “ซ่งหลิน ท่านไม่ต้องวิตกกังวลไป”
ใบหน้าของซ่งหลินมืดลงด้วยความ โกรธและความตกใจเธอถามอย่างเย็นชาว่า “องค์ชายเจ็ดมาทําอะไรที่นี่หรือ?”
องค์ชายจิงหัวเราะ เหมือนได้ยินเรื่องตลกจากคําถามของเธอ องค์ชา ยจิงจึงเดินเข้ามาใกล้เธอ “ซ่งหลินท่านพูดอะไรข้าได้รับจดหมายจากท่าน ว่า ท่านต้องการพบข้าในฐานะสุภาพบุรุษข้าจะทําได้อย่างไรที่จะปฏิเสธคําขอจากหญิงสาว?”
เขามองเธออย่างครุ่นคิดและชอบเธอแม้ว่าในสายตาของหยูเฟิงซู ซ่งหลินก็ ไม่ได้ดูแตกต่างไปจากพื้นหลังธรรมดาในการวาดภาพเลย แต่ต่างจากองค์ชายจิงที่ไม่เลือกและชอบสตรีทั้งหมดที่สามารถให้ความสุขแก่เขาได้ตราบเท่าที่เขาต้องการ
เมื่อได้ยินคําพูดของเขา ซ่งหลินก็ขมวดคิ้วและค่อยๆกะพริบตา”องค์ชายจิงท่านกําลังพูดถึงอะไร? จดหมายอะไรหรือ?”
เธอรีบพูดอย่างรวดเร็ว ดังนั้นเสียงของเธอจึงฟังดูหอบทําให้กระตุ้นความปรารถนาขององค์ชายจิง
เขาเผยรอยยิ้มที่ริมฝีปากและไม่รีบร้อนที่จะหยิบจดหมายที่อยู่ในแขนเสื้อออกมา
เขายกจดหมายขึ้นและเงยหน้าขึ้นมองเธอ “นี่ไม่ใช่จดหมายที่ท่านเขียนเพื่อ เชิญข้า และนัดข้าออกมาพบที่นี่หรอกหรือ”
“องค์ชายจิง โปรดอย่าใส่ร้ายข้าข้าจะเขียนจดหมายถึงท่านโดยที่ข้าไม่รู้ได้อย่างไรต้องมีผู้อื่นที่มีนามสกุลเดียวกับ ข้า ที่อยากจะพบกับท่าน” เธอพยายามอธิบายโดยหวังว่าเธอจะหนีออกไปจากที่นั่นได้
หัวใจของเธอเต้นรัว หลังจากที่รู้ว่ามีคนหลอกล่อเธอให้มาที่นี่เธอไม่ใช่คนโง่ที่ใช้วิธีนี้ในการทําให้ชื่อเสียงสกปรกเพราะเธอเห็นป้าและแม่ของเธอใช้วิธีนี้กับหญิงสาวที่พวกเขาไม่ชอบเหมือนกับที่พวกเขาพยายามทํากับหลินเสี่ยวเฟยและรู้ว่าหากผู้ใดที่รับรู้เรื่องนี้ เธอก็จะไม่สามารถออกไปเผยใบหน้าของเธอต่อสาธารณชนได้ และจะต้องทนอยู่กับความอับอายเช่นนี้ไปตลอด
อีกอย่างองค์ชายจึงเขาคือใคร?เขาเป็นองค์ชายเจ็ดของอาณาจักรเซิงและถึงแม้ว่าเขาจะเป็นองค์ชายแต่เขาก็มีข้อบกพร่องหลายประการและสังคมก็ไม่มีความประทับใจที่ดีต่อเขาและแตกต่างจากหยูเฟิงซู
ไม่มีแม้แต่ข่าวลือ ว่าองค์ชายจึงเป็นผู้ที่ไม่เอาไหนและมักถูกพบเห็นในซ่องโสเภณีในขณะเดียวกันเขามักจะชอบ อวดหญิงสาวที่อยู่ในอ้อมแขนของเขาต่อที่สาธารณะ
ไม่เพียงแค่นั้น เขายังเป็นคนที่ไร้ค่าและมักจะใช้สมบัติในท้องพระคลังเพื่อ ปนเปอความสุขของตนเองดังนั้นหลายคนจึงไม่ชอบเขา แม้ว่าเขาจะดูเป็น มิตรและจริงใจรู้จักแสดงความเคารพต่อผู้อื่นตั้งแต่เขาเป็นสายเลือดของราชวงศ์
อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ ซึ่งหลินไม่ต้องการแสดงความเคารพหรือความจริงใจใดๆต่อเขาเมื่อสิ่งแรกที่เธอต้องการทําในตอนนี้คือวิ่งหนีไปพ้นจากร่างและสายตาของเขา
องค์ชายจึงเลิกคิ้วขึ้นเพื่อแสดงความไม่พอใจต่อทัศนคติของเธอที่มีต่อเขาองค์ชายจิงไม่โกรธแต่เขากลับรู้สึกสนใจหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า
“ถ้าสิ่งที่ท่านพูดเป็นความจริง และ หญิงสาวอีกคนที่มีนามสกุลเดียวกับที่ท่านเขียนจดหมายนี้ข้าขอทราบเหตุผลที่ท่านยังอยู่ที่นี่ได้หรือไม่” เขากล่าวขึ้นโดยไม่รีบร้อน
ซ่งหลินกัดฟัน
สิ่งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? เธอคิดกับตัวเอง
ผู้ที่ควรปรากฏในเจดีย์พระจันทร์ฤดู หนาวกับเธอควรเป็นหยูเฟิงซู ไม่ใช่องค์ ชายจึง
ในขณะเดียวกัน คําถามขององค์ชายจิงก็เป็นที่เบื่อหน่ายในใจเธอเช่นกัน และ เธอไม่สามารถหาคําตอบที่เขาต้องการได้
ดวงตาขององค์ชายจึงเป็นประกายเขาเข้าไปหาเธอไม่กี่ก้าว ในขณะที่เธอ ครุ่นคิดอยู่ลึกๆและในเวลาไม่นานก็มีช่องว่างระหว่างพวกเขาเพียงก้าวเดียว
“องค์ชายจิง…นี่..” ในที่สุดซึ่งหลินรู้สึกว่าความอันตรายมันใกล้เธอเข้ามาทุกที
“ข้าคิดว่ามีคนหลอกให้ข้ามาที่นี่จดหมายฉบับนั้นจะต้องเป็นแผนการของใครบางคนที่ต้องการจะต่อต้านข้า”
เธอให้เหตุผลโดยหวังว่าไอ้สารเลวจะปล่อยเธอไปและเข้าใจความหมายของเธอ
อย่างไรก็ตาม องค์ชายจึงจะปล่อย โอกาสนี้ไปและไม่ลิ้มรสของหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าเขาได้อย่างไร
เขาเริ่มเบื่อหน่ายตั้งแต่เข้างานเลี้ยงซึ่งดําเนินไปหลายชั่วโมงแล้ว ในฐานะชายหนุ่มที่มีความปรารถนามากมาย เมื่อเห็นหญิงสาวที่นั่งอยู่ในห้องโถงเขาจึงอดไม่ได้ที่จะเลียริมฝีปากของเขา
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากที่ได้เห็นใบหน้าที่สวยงามอย่างไร้ที่ติของหญิง สาวชุดดําผู้นั้นเขาไม่รู้ว่าเธอเป็นใครรู้เพียงว่าเธอเป็นคนของตระกูลหลิน เขาไม่สามารถทําให้หญิงสาวผู้นั้นเป็นของ เขาได้เนื่องจากตระกูลหลินไม่มีใครสามารถแตะต้องได้ตามที่พ่อของเขาเคย บอกไว้
เมื่อไม่มีโอกาสได้ลิ้มรสหญิงสาวผู้นั้นองค์ชายจิงจึงดีใจที่เขาได้รับจดหมายจากหญิงสาวอีกคนหนึ่งที่บอกให้เขาไปพบกับเธอที่หลังเจดีย์พระจันทร์ฤดูหนาว
แน่นอน องค์ชายจึงเข้าใจความหมายของซ่งหลินว่ามีคนวางแผนร้ายกับเธอ เขายังรู้สึกหงุดหงิดที่ถูกหลอกล่อให้ไปพร้อมกับเครื่องมือของใครบางคนแต่อาจเป็นเพราะเขาดื่มเหล้าไปในระหว่า งงานเลี้ยงดังนั้นเหตุผลทั้งหมดในหัวของเขาจึงหมดไป
เขารู้สึกเร่าร้อนที่ร่างกายท่อนล่างของเขาและศีรษะที่ยุ่งเหยิงของเขาเต็มไปด้วยความคิดที่สกปรกเมื่อรู้สึกว่าหญิงสาวผู้หนึ่งกําลังยืนอยู่ตรงหน้าเขา
“เอาล่ะ ซึ่งหลิน ท่านไม่จําเป็นต้องอธิบายอะไรอีก…”เขากล่าว
ดวงตาของซ่งหลินเป็นประกายและก่อนที่เธอจะถอนหายใจด้วยความโล่งอกและหันหลังกลับออกไปทันใดนั้นมือที่ใหญ่สองข้างของเขาก็เอื้อมโอบไปที่ร่างกายของเธอ
เธอตกใจกับสิ่งนี้ ซึ่งหลินอยากจะกรีดร้องแต่ปากของเธอถูกปิดด้วยมือของเขาทําให้เสียงของเธอถูกกลืนลงไปในขณะนั้นริมฝีปากที่น่าขยะแขยงของเขาก็ประกบเข้าไปที่ปากของเธอ
ซ่งหลินน้ําตาไหลเธอต้องการที่จะหนีจากเขาและกรีดร้องเพื่อขอความช่วยเหลือองค์ชายจิงโหดเหี้ยมและต่อยเข้าที่ใบหน้าและท้องของเธออย่างแรงทําให้เธอหมดสติจากความเจ็บปวด
หากเธอไม่ต่อต้าน องค์ชายจิงก็คงจะมีความสุขมากขึ้นที่จะทําตามความปรารถนาของเขาที่มีต่อเธอ
หลังจากผ่านไปหลายนาที องค์ชายจิงก็ถอยร่างของเขาออกจากเธอและจัดเสื้อคลุมของเขาดูให้แน่ใจว่าไม่มีอะไรผิดปกติเมื่อมองลงไปยังหญิงสาวที่ยังคงไร้สติเขารู้สึกเสียดายที่ไม่ได้ทําอะไรมากไปกว่านี้
เมื่อเขาจัดเสื้อคลุมเสร็จแล้วองค์ชายจิงจึงสะบัดแขนเสื้อขณะที่เขากําลังจะหันหลังจากไป
เขาไม่ได้หันมาเลียวแลหญิงสาวที่นอนเสื้อผ้าขาดวิ่นอยู่ที่พื้นเป็นครั้งที่สอง
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากความผิดพลาดของเขาที่ไม่ได้มองดูเธออย่างระมัดระวังองค์ชายจิงจึงไม่ทันได้สังเกตว่าหญิงสาวผู้นี้มีไม่มีลมหายใจอีกต่อไปและรอยฟกช้ําเริ่มก่อตัวขึ้นที่คอของเธอและข้างมือของเธอมีจดหมายที่หลุดออกมาจากแขนเสื้อของเธอ
งานเลี้ยงยังคงดําเนินต่อไปและผู้คนในห้องโถงก็ยังไม่มีใครรู้ว่ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นในวังแห่งนี้
ในขณะที่หยูเฟิงซูยังไม่รู้เกี่ยวกับปัญหาที่กําลังจะเกิดขึ้นกับตัวเขา
นิยาย กำเนิดนางร้าย The Birth of a Villainess
ตอนที่ 67 สร้างพันธมิตร
หลินเสียวเฟยก้าวออกมาจากมุมด้านในของสวน เธอไม่ได้รีบกลับไปที่หลินเฉินยู แต่ทันทีที่เธอเหลือบไปมองพื้นตรงที่พวกเขายืนคุยกัน กลับพบว่าชายผู้นั้นไม่ได้ยืนอยู่ตรงนั้นแล้ว
ในเวลาไม่นาน หลินเฉินยูที่ดูเป็นกังวลก็เดินเข้ามาในสายตาของเธอเขาวิ่ง ไปหาเธอและบ่นว่า “ทำไมลูกพี่ลูกน้องถึงทิ้งข้าไว้ที่นี่เพียงผู้เดียว เจ้ารู้ไหมว่าข้าเขินอายแค่ไหนเมื่อมีหญิงสาวเดิน ผ่านมาและเห็นว่าข้าพูดคนเดียว!”
หลินเสี่ยวเฟยเหลือบมองด้านข้าง “ข้าสนใจส่วนนี้ของสวนจึงเดินไปรอบๆ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น” โดยไม่รอให้เขาบ่นอีก เธอกล่าวต่อ “เราควรกลับไปที่ห้องโถง เพราะจะทำให้ท่านตาของเราเป็นห่วง”
หลินเฉินยู พบว่าข้อแก้ตัวของเธอดูแปลก เพราะไม่มีอะไรในสวนนั้นของส่วนที่ดูเหมือนจะดึงดูดสายตาของใครก็ตาม เมื่อสลัดความคิดออกจากหัว เขาจึงตัดสินใจไปกับลูกพี่ลูกน้องและกลับไปที่งานเลี้ยง
เมื่อพวกเขากลับมาที่ห้องโถงที่จัดงานเลี้ยง แต่ยังมีคนอีกสองสามคนที่ยังไม่กลับมา
พวกเขาคงหมกมุ่นอยู่กับการเที่ยวชมหรืออาจถูกเรียกโดยใครบางคนจากในวังหลัง
การถูกใครบางคนเรียกจากวังหลังนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกหรือหายากเลย หญิงที่อาศัยอยู่ในวังเป็นญาติของราชวงศ์ที่มาเยี่ยมหรือนางสนมที่นับได้ไม่ถ้วน
ขณะที่หลินเสี่ยวเฟยกลับไปที่นั่งของเธอ หางตาของเธอเหลือบไปเห็นสาวใช้คนหนึ่งเดินมาข้างๆซ่งหลิน และกระซิบที่หูของเธอ
ซ่งหลินรู้สึกหงุดหงิดในตอนแรก ที่สาวใช้ขัดจังหวะการสนทนากับสหายของเธอ แต่เมื่อเธอได้ยินสิ่งที่สาวใช้พูดเธอก็เริ่มสนใจและตั้งใจฟังอย่างกระตือรือร้น
สาวใช้หยิบจดหมายในมือของเธอและซ่งหลินใช้เวลาไม่กี่วินาทีในการดูและอ่านสิ่งที่เขียนอยู่ในนั้น
ผู้เขียนจดหมาย ต้องการเชิญเธอให้ไปยังหลังเจดีย์พระจันทร์ฤดูหนาวก่อน ที่งานเลี้ยงจะสิ้น
สุดลงและแขกจะตัดสินใจแยกย้ายกันกลับที่พักของตน
ไม่มีชื่อที่ลงนามไว้ในจดหมาย เธอแปลกใจและสงสัยว่าใครเป็นคนส่ง จึงหันไปถามสาวใช้ว่า “ใครเป็นผู้ให้สิ่งนี้แก่เจ้า”
“นี่…” สาวใช้ลังเลเพราะเธอไม่แน่ใจว่าจะบอกซ่งหลินได้อย่างไร ว่ามีขั้นที่ในวังมาหาเธอและมอบจดหมายนี้ให้แก่เธอ โดยไม่ได้เปิดเผยว่าใครเป็นเจ้านายของเขา
ขณะที่สาวใช้ยังคงลังเลอยู่ เธอเงยหน้าขึ้นมองทันเวลาและเห็นขันที่เดินมาตรงที่นั่งของราชสำนักและกระซิบกับองค์ชายท่านหนึ่ง
เธอชี้ไปทางขันที แล้วกล่าวกับซ่งหลินว่า “ท่านผู้นั้นเจ้าค่ะคุณหญิง”
ซ่งหลินหันตามทิศทางที่เธอใช้นิ้วชี้ไป และเห็นขันที่ยืนอยู่ข้างองค์ชายสี่หยูเฟิงซู และกำลังพูดกับเขาเกี่ยวกับบางสิ่ง
เมื่อเธอตกใจกับเหตุนี้ เธอจึงดุสาวใช้ว่า “นี่ นางสาวใช้ผู้ต่ำต้อย เจ้าพูดอะไรของเจ้า! เจ้าเข้าใจผิดอะไรหรือไม่ ขันทีผู้นั้นจะส่งจดหมายมาให้ข้าทำไม”
“แต่ข้าไม่ได้โกหกคุณหญิง!” สาวใช้ร้องไห้ “เป็นท่านจริงๆเจ้าค่ะ!”
“เงียบ และลืมสิ่งที่เห็นและได้ยินไปซะ” ซึ่งหลินตำหนิสาวใช้ เธอไม่อยากเชื่อในสิ่งที่สาวใช้พูด เธอคิดว่าอาจมีคนอื่นส่งจดหมายฉบับนี้ถึงเธอเพื่อหลอกล่อเธอ
และในเวลานั้น หยูเฟิงซูก็ลืมตาขึ้นหลังจากที่ขันที่พูดกับเขาเสร็จ ราวกับว่าโชคเข้าวิ่งเข้าใส่ซ่งหลิน พวกเขาทั้งคู่ได้สบตากันและเธอเห็นว่าเขาพยักหน้าให้กับเธอ
อย่างไรก็ตาม เมื่อหยูเฟิงซูยังคงฟังรายงานของขันที่เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นของถ้ำ เขาได้จ้องมองไปที่ร่างของเธอและกำลังสบตากับหญิงสาวที่ดูดีพอจะเรียกได้ว่าเป็นสตรีผู้สูงศักดิ์
เมื่อสบตากับเธอแล้ว หยูเฟิงซูก็ไม่สามารถเพิกเฉยได้ ดังนั้น เขาจึงพยักหน้าให้กับเธอเป็นการทักทายและไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น ก่อนจะหันไปมองทันที
หลังจากสบตาเขา ซึ่งหลินพยักหน้าและมองลงอย่างเขินอาย หัวใจของเธอเต้นเร็วขึ้น
ใบหน้าและหูของเธอเปลี่ยนเป็นสีแดงในทันที
เป็นไปได้อย่างไร? นี่เป็นเรื่องจริงหรือไม่? เธอคิดในใจเพราะไม่อยากเชื่อเลยว่าองค์ชายที่เธอจินตนาการจะเชิญเธอ ไปพบในวัง หลายคนจะได้เห็นเขาก็ต่อเมื่อมีข้อผิดพลาดหรือเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าในตอนแรกเธอจะสงสัยที่มาของจดหมาย แต่เมื่อเธอเห็นหยูเฟิงซูพยักหน้าให้กับเธอ จิตใจของซ่งหลินก็สับสน ความปรารถนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเธอในที่สุดก็สามารถบรรลุได้ และในที่สุดองค์ชายผู้นั้นก็เข้ามาหัวใจของเธอ และตกหลุมรักเธอ
ด้วยความคิดเหล่านี้ ซึ่งหลินกำมือแน่นพร้อมกับจดหมาย
หากนี่เป็นกลอุบายเพื่อหลอกล่อเธอเธอสาบานว่าเธอจะฆ่าคนเลวทรามและทำลายพวกเขา และทำให้รู้ว่ามันคือความผิดพลาดที่พวกเขาคิดจะหลอกเธอ
แต่ถ้าองค์ชายสี่ส่งสิ่งนี้มาให้เธอจริงๆ…
ซ่งหลินจะเต็มใจหรือไม่ นี่จะไม่ใช้โอกาสที่อาจเกิดขึ้นได้เพียงแค่ในฝันของเธอ?
พ่อแม่ของเธอรีบเร่งหาชายหนุ่มที่เหมาะสมกับเธอ และญาติของเธอก็ชอบเปรียบเทียบเธอกับนางสนมที่ตระกูลซึ่งสร้างมา ทำให้เธอดูเหมือนคนโง่เมื่อคิดถึงสายตาที่ดูถูกและเยาะเย้ยที่นางสนมเคยมองมาที่เธอ ซ่งหลินอยากรู้ว่านางสนมและตระกูลของเธอจะแสดงสีหน้าอย่างไร หากพวกเขาพบว่าเธอได้รับคำเชิญให้ไปพบโดยหยูเฟิงซู
ด้วยใบหน้าที่แน่วแน่ของเธอ รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอก็กว้างขึ้น
“คุณหนู…ข้าควรบอกนายท่านกับคุณหญิงเรื่องนี้ดีหรือไม่?” สาวใช้กล่าวถามอย่างระมัดระวัง
เมื่อมองไปที่สาวใช้ ซ่งหลินเดือนเธอว่า “อย่าพูดอะไรกับท่านพ่อหรือท่านแม่ของข้า ถ้าข้าได้ยินอะไรจากพวกเขา… ข้าแน่ใจว่าเจ้าคงพร้อมสำหรับการโดนลงโทษ
ซ่งหลินไม่ต้องการให้พ่อแม่ของเธอรู้เรื่องนี้ หากพวกเขารู้เรื่องนี้จริงๆ ใครจะรู้ว่าพวกเขาอาจจะหยุดและขัดขวางเธอในการเป็นมเหสีขององค์ชายสี่? และถ้าเธอไม่ถูกลิขิตให้เป็นมเหสีของเขา การเป็นนางสนมของเขาก็ไม่เลวเหมือนกัน
สาวใช้ตัวสั่นเมื่อรู้ว่าซ่งหลินชอบลงโทษคนรับใช้ของเธอเพื่อความบันเทิง และหากคนใช้ทำผิด การลงโทษก็น่ากลัวเกินกว่าจะรับไหว
เมื่อนึกถึงเนื้อที่เย็นเยือกและความเรียบเนียนของแท่งทองคำที่เธอจะได้รับจากหญิงสาวสวยที่นั่งตรงข้าม เธอจึงตั้งใจอย่างแน่วแน่ที่จะทำภารกิจนี้ให้เสร็จ ด้วยทองคำที่เธอจะได้รับ เธอจะต้องจากไป ก่อนที่คุณหนูของเธอจะพบและลงโทษเธอ
ในฐานะสาวใช้ที่ไม่เคยออกจากที่พักของตระกูลซ่ง เธอไม่รู้ลักษณะหน้าตาของคุณหนูสี่ ที่ล่ำลือกันในตระกูลหลินว่าเป็นอย่างไร แม้ว่าเธอจะได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับเธอ
ดังนั้น เธอจึงคิดว่าเหล่าคุณหนูที่อยู่ข้างๆพวกเขา เป็นเพียงส่วนหนึ่งของตระกูลหลินเท่านั้น
เธอเงยขึ้นมองหญิงสาวที่อยู่ตรงข้ามพวกเขา สาวใช้พยักหน้าเล็กน้อยเพื่อบอกว่างานเสร็จสิ้นแล้ว
หลินเสี่ยวเฟยเพียงกวาดตามองเธอก่อนที่จะยิ้มอย่างเฉยเมย สายตาของเธอจับจ้องไปที่ที่นั่งอันทรงเกียรติ ที่มีชายหนุ่มกำลังจ้องมองเธอ
เมื่อเห็นสีหน้าขี้เล่นในดวงตาของเขาหลินเสี่ยวเฟยคาดว่า เขาอาจจะเพลิดเพลินกับการแสดงที่เธอคิด เธอละสายตาจากเขาและมองดูกลีบดอกไม้ที่ลอยอยู่ในถ้วยน้ำชาของเธอ
เธอไม่ชอบความจริงที่ว่า ฉู่เซียวซูมองเห็นแผนการของเธอ แต่เธอก็ไม่สามารถพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ เมื่อพวกเขาตัดสินใจที่จะสร้างพันธมิตร
ไม่ว่ากรณีใด เธอดีใจที่สาวใช้ทำภารกิจของเธอได้สำเร็จ
เมื่อมองไปที่ซ่งหลินที่ร่าเริงและเขินอาย หลินเสี่ยวเฟยแทบรอไม่ไหวที่จะได้เห็นสีหน้าของตระกูลซ่งว่าจะเป็นอย่างไร เมื่อได้เห็นลูกสาวตกไปอยู่ในกำมือของคนผิด
อย่าโทษข้าที่โหดเหี้ยมถึงเพียงนี้.. เธอคิดกับตัวเอง ถ้าเพียงตระกูลซ่งให้ความใส่ใจกับธุระกิจของตนเองมากกว่าจะไปเอะอะเรื่องการแต่งงานของเธอเธอคงจะไม่ใช้วิธีนี้ที่หลายคนในเมืองหลวงทั้งหมดใช้กัน
ฉ่เซียวซู ยังคงเฝ้าดูหญิงสาวที่เป็นพันธมิตรกับเขาด้วยความสนใจ มุมปากของเขาอดไม่ได้ที่จะยกขึ้น เมื่อเขานึกถึงละครเรื่องที่เธอวางแผนจะ สร้างขึ้นเพื่อความบันเทิงของเขา
จำได้ว่าดวงตาของเธอดูเป็นประกายเมื่อเขากล่าวว่าเธอจะต่อสู้กับราชวงศ์เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกถึงความตื่นเต้นกับสิ่งที่เธอจะทำ
กําเนิดนางร้าย The Birth of a Vilainess
ตอนที่ 66 โบอา
หลินเสี่ยวเฟย รู้สึกเหมือนอยากจะหัวเราะออกมา
ไม่มีใครรู้ว่าทําไม แต่การเปลี่ยนแปลงบุคลิกภาพของฉู่เซียวซูนั้นเร็วพอๆกับสภาพอากาศ เมื่อหลินเสี่ยวเฟยเห็นเขานั่งอยู่ข้างราชวงศ์เป็นครั้งแรก เขาไม่ได้แม้แต่จะสบตาใคร และแม้แต่กับเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่ต้องการคุยกับเขา
เขาไม่ได้พูดคุยกับราชวงศ์เป็นเวลานานและปฏิบัติต่อพวกเขาเหมือนเป็นแค่คนรู้จัก กระทั่งสังเกตได้ว่าองค์ชายและองค์หญิงเริ่มที่จะทักทายเขา
แต่เมื่อเธอเรียกเขาว่าผู้จัดการหลิว บุคลิกของเขากลับหัวกลับหางและน้ําเสียงของเขาก็ดูคลุมเครือ
ชื่อของฉู่เซียวซูและมีสายเลือดเดียวกันไหลเวียนอยู่ในเส้นเลือดของเขาในฐานะราชวงศ์
หญิงสาวทุกคนจะตกเป็นเหยื่อในเสน่ห์ของเขา แต่น่าเสียดายที่เขาไม่สนใจที่จะให้ความบันเทิงแก่หญิงสาวเหล่านั้น ดังนั้น คําพูดที่ออกจากปากของเขาจึงยากมากที่ผู้ใดจะได้ยิน
โดยปกติเมื่อชายหนุ่มพูดอะไรที่ไม่เหมาะสม เช่นที่ฉู่เซียวซูพูดในตอนนี้ หญิงสาวที่อยู่ปลายสุดของผู้รับจะหน้าแดงอย่างไม่รู้จบและไม่สามารถละสายตาไปจากเขาได้
ถึงกระนั้น ผู้หญิงคนนี้ที่ยืนอยู่ต่อหน้าเขาไม่แม้แต่จะหน้าแดงหรือหงุดหงิดกับคําพูดชี้นําของเขา นั่นทําให้ความภาคภูมิใจในตนเองของเขาลดลงเล็กน้อย
เขามองเธอด้านข้าง ราวกับเธอเป็นสัตว์ประหลาด
หลินเสี่ยวเฟยกลอกตาในใจของเธอ เธอสามารถเดาได้ว่าฉู่เซียวซูกําลังคิดอะไรอยู่ ในฐานะหญิงสาวคนหนึ่งที่แต่งงานครั้งเดียวและทํากิจกรรมระหว่างสามีและภรรยา คําพูดที่ทําให้เข้าใจผิดของเขาไม่ได้มีความหมายอะไรกับเธอ
และแม้ว่าเธอจะถูกกระตุ้นจากมัน หลินเสี่ยวเฟยก็ซ่อนมันไว้อย่างเชี่ยวชาญและไม่เปลี่ยนการแสดงออกของเธอ
“แล้วท่านรู้ได้อย่างไร” ฉู่เซียวซูเป็นคนแรกที่กล่าวขึ้น หลังจากเงียบไปนาน เขาเปลี่ยนหัวข้อทันทีโดยธรรมชาติ
“ข้าแค่เดาและโชคดีที่ข้าคิดถูก”
ในความเป็น จริงหลินเสี่ยวเฟยสงสัยในตัวเองมาระยะหนึ่งแล้ว ตั้งแต่ที่เธอได้พบกับผู้จัดการหลิว เธอไม่สามารถสลัดความรู้สึกที่เธอถูกชายที่เคยหลอกลวงเธอ และด้วยเหตุนี้เธอจึงรู้สึกหงุดหงิดและนอนไม่หลับสองสามคืน
และเมื่อเธอเห็นเขานั่งอยู่ข้างๆสมาชิกราชวงศ์ หลินเสี่ยวเฟยก็รู้สึกถึงความคุ้นเคยจากเขา ดังนั้น เธอจึงยุติดูการเคลื่อนไหวของเขาจากระยะไกล จากนั้นเธอก็นึกขึ้นได้บางอย่างราวกับว่ามีบางสิ่งที่หายไปในปริศนาของเธอปรากฏขึ้น
“ข้าเข้าใจแล้ว…” ฉู่เซียวซูลูบคาง ราวกับว่าเขากําลังครุ่นคิดอยู่ลึกๆ แต่ข้างในเขารู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยที่เขาไม่ได้รับคําอธิบายอย่างละเอียดว่าเธอเดาได้อย่างไรว่าเขา ใช้อัตลักษณ์สองตัวตนในเมืองหลวง
หลินเสี่ยวเฟยมองไปที่เขาและกล่าวว่า “ข้าสงสัยว่าทําไมท่านถึงต้องการพบข้าในทันที ในเมื่อท่านไม่มีอะไรจะพูดข้า”
หลินเสี่ยวเฟยหันกลับและกําลังจะเดินออกไป เมื่อฉู่เซียวซูเปิดปากของเขา “ทําไมท่านถึงดู กังวล และรีบที่จะกลับ? เป็นเพราะชายหนุ่มก่อนหน้านี้หรือไม่”
เมื่อเขาพูดถึงหลินเฉินยู ฉู่เซียวซูรู้สึกว่ามีบางอย่างกําลังเดือดอยู่ในตัวเขาเพราะเขาไม่ชอบให้ใครเข้ามาใกล้ผู้หญิงที่คอยให้ความบันเทิงแก่เขา
เมื่อเขาเห็นเธอเดินกับหลินเฉินยูเป็นครั้งแรก เขาก็อารมณ์เสีย เขาวางแผนที่จะพบเธอที่เจดีย์สวรรค์ แต่เขาเปลี่ยนใจทันทีที่เห็นพวกเขาและคอยติดตามเฝ้าดูพวกเขาจากด้านหลัง โดยที่ไม่มีใครพบเห็น และนิ่งเงียบราวกับสัตว์ร้ายที่ไล่ตามเหยื่อของมันก่อนที่จะกระโจนเข้าหามัน
เธอชะงักฝีเท้าแล้วหันกลับมาด้วยใบหน้าขมวดคิ้ว
“จะเป็นเพราะเขาหรือไม่ ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับท่าน?” เธอรู้สึกรําคาญกับน้ําเสียงที่รุนแรงของเขา เธอเสียเวลาไปพอสมควรและทําภารกิจช้ากว่ากําหนด ดังนั้น ความคับข้องใจของเธอที่มีต่อชายผู้นี้จึงรุนแรงขึ้น
นอกจากนี้ หลินเฉินยูมีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเธอ?
เธอเห็นดวงตาของเขาหรี่ลงและเดินเข้าไปใกล้เธอ เขาหยุดเมื่อพวกเขาอยู่ห่างจากกันเพียงไม่กี่ก้าว เขามีรูปร่างสูงและเมื่อเขายืนอยู่ต่อหน้าเธอ เงาของเขาปกคลุมเธอไปทั้งตัวแม้ว่าเธอจะค่อนข้างสูง
เมื่อฉู่เซียวซูได้ยินเธอพูดชื่อหลินเฉินยูแทนชื่อของเขา หลังจากที่พวกเขาตกลงที่จะกําจัดพิธีการ ดวงตาของเขาก็เย็นชา
“แน่นอน มันไม่เกี่ยวอะไรกับข้า อย่างไรก็ตาม ข้าไม่คิดว่าเรื่องที่รบกวนการนอนหลับของคนเฒ่าคนแก่นั้นก็คงไม่เกี่ยวอะไรกับข้าเช่นกัน” ด้วยสายตาอาฆาตในดวงตาของเขา เขามองลงมาที่เธออย่างดถูกเหยียดหยาม “การใช้ระเบิดที่ข้ามอบให้กับท่านเพื่อทําลายถ้ํานั้น.. หลินเสี่ยวเฟย
“เจ้ากําลังวางแผนที่จะต่อต้านราชวงศ์?”
“ดยุคฉู่เซียวซูกําลังพูดอะไรอยู่ โปรดอย่าพูดคําที่อาจทําลายชีวิตของใครบางคน ในวังมีทหารยามมากมายและถ้ามีคนได้ยินคําพูดเหล่านี้ ใครจะรู้ว่าตระกูลหลินของข้าจะสามารถรักษาความ ปลอดภัยคอของเราได้หรือไม่” หลินเสี่ยวเฟยปฏิเสธ เธอต้องการรู้ปฏิกิริยาของเขาว่าเขาเอนเอี ยงไปทางใด
ไม่สําคัญว่าอีกฝ่ายจะอยู่ที่ใด แต่สําหรับเธอ มันจะมีประโยชน์มาก ถ้าหากเขาไม่เอนกายไปทางฝั่งจักรพรรดิ
“เจ้าโกหกได้ดีจริงๆ” จู่ๆ เขาก็ยกมุมริมฝีปากขึ้นและมองอย่างไม่ใส่ใจ “แต่แววตาและรอยยิ้มบนริมฝีปากของท่าน กลับบอกให้ข้าแตกต่างออกไป”
เมื่อนึกถึงความจริงที่ว่าเธอกําลังต่อสู้กับศัตรู ความตื่นเต้นและความคาดหวังที่จะกําจัดพวกมันทั้งหมดทําให้เธอยิ้มโดยไม่รู้ตัว และชายหนุ่มที่ยืนใกล้เธออย่างเป็นธรรมชาติก็ไม่ปล่อยให้ปฏิกิริยานั้นออกจากดวงตาของเขา
ขณะที่หลินเสี่ยวเฟยกําลังจะพูด เธอได้ยินเขากล่าวขึ้นว่า “ถูกต้อง ข้ามีเป้าหมายเดียวกับท่าน
หลินเสี่ยวเฟยมองเขาด้วยความตะลึง แม้ว่าอีกครึ่งหนึ่งของเธอจะคาดหวังให้เขามีเป้าหมายเดียวกับเธอ แต่ถึงกระนั้น คําตอบของเขาก็ทําให้เธอประหลาดใจ ที่เขาเปิดเผยต่อหน้าเธอ เขาไม่กลัวว่าเธอจะบอกเรื่องนี้กับใคร?
ใครจะเชื่อคําพูดของเธอล่ะ?
นอกจากนี้ ไม่ว่าเขาจะพูดจริงหรือไม่ก็ตาม ไม่สําคัญ ตราบใดที่เขาจะไม่ทําลายหรือขัดขวางแผนการของเธอ เธอไม่เคยคิดที่จะเชื่อใจใครเลยนอกจากตัวเธอเอง อย่างไรก็ตาม มันจะทําให้แผนการของเธอง่ายขึ้นถ้าฉู่เซียวซูอยู่เคียงข้างเธอ
การมีผู้เล่นใหม่ในกระดานหมากรุกของเธอ เธอสงสัยว่าเขาจะเป็นตัวหมากรุกแบบไหน
และถ้าเขาบังเอิญหักหลังเธอ… การตัดเนื้อเน่าแล้วเปลี่ยนใหม่ก็ไม่ยากสําหรับเธอ
ขณะที่เธอครุ่นคิดอยู่ลึกๆ ฉู่เซียวซูพยายามเดาว่าเธอกําลังคิดอะไรอยู่ในใจของเธอ อย่างไรก็ตาม ราวกับว่าหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าเขาเป็นน้ํานิ่ง เขาไม่สามารถบอกได้ว่าเธอกําลังคิดอะไรอยู่
ราชวงศ์มีความทะเยอทะยานและโลภเกินกว่าที่พวกเขาขโมยมาจากไพร่ของพวกเขาด้วย ผู้ปกครองเช่นนี้ ใครจะรับใช้พวกเขาอย่างซื่อสัตย์และจริงใจ? พวกเขาสร้างศัตรูจํานวนมากตามทางที่พวกเขาไป แต่เนื่องจากพวกมันซ่อนของได้ดี หลายคนจึงไม่มีโอกาสต่อต้านพวกเขา
เขาจ้องมองไปยังหญิงสาวที่สวยงามราวกับดวงจันทร์ ชุดสีดําของเธอแนบชิดกับร่างและผมของเธอที่เรียงซ้อนอยู่ข้างหลังเธอราวกับผ้าไหมชั้นดี เธอดูน่าหลงใหลจนแทบลืมหายใจ
ดวงตาและขนตาที่ยาวเกินไปจะสั่นไหวเมื่อเธอพยายามหลับตา จู่ๆเขาก็รู้สึกอยากจะสัมผัสมันด้วยนิ้วของเขาและสัมผัสมัน
เขาดึงกระดาษแผ่นหนึ่งออกจากแขนเสื้อเมื่อเลิกคิด เมื่อหลินเสี่ยวเฟยมองดูมั่น เธออดไม่ได้ที่จะจ้องมองเขาอย่างไร้ความปราณี
“ทําไมสิ่งนั้น ถึงอยู่ในมือเจ้า?” หลินเสี่ยวเฟย รู้สึกว่าหัวใจของเธอเต้นรัว เมื่อเธอเห็นว่ากระดาษที่เธอเขียนก่อนหน้านี้ ก่อนที่จะออกไปนอกห้องโถงและเย้ยหยันเขา
“ไม่ต้องคอยคุ้มกันข้าถึงเพียงนั้นก็ได้ ตอนนี้เราลงเรือลําเดียวกันแล้ว เรามาทําความเข้าใจกันเถิด” เขาพูดอย่างหัวเราะด้วยน้ําเสียงที่โหดเหี้ยมของเธอ แล้ววางกระดาษลงในมือของเธอ
“ข้าแค่อยากรู้ว่าท่านวางแผนจะทําอะไรกับหญิงสาวจากตระกูลข่ง ข้าจึงให้คนของข้าคัดลอกเนื้อหานั้น แต่ไม่ต้องกังวล ตอนนี้ต้นฉบับอยู่ในมือของผู้ที่ควรได้รับแล้ว” เขายิ้มให้เธออย่างซุกซนในขณะที่ดวงตาของเขามีแววเย็นชา
เขาเห็นเธอถอนหายใจเฮือกใหญ่และนั่นทําให้เขาสนใจ
“ตระกูลซ่งทําอะไรกับเจ้า ถึงกล้าทําเช่นนี้กับพวกเขา หลินเสี่ยวเฟย?” เขารู้สึกขบขันอย่างมากกับเธอและแผนการของเธอ
กำเนิดนางร้าย The Birth of a Villainess
ตอนที่ 65 พบกันอีกครั้ง 2
หลินเสี่ยวเฟยเงียบไปครู่หนึ่ง ในตอนแรกเธออยากจะพบเขาและพูดคุยกับเขา แต่นั่นเป็นเพียงแค่ความคิดของเธอเท่านั้น ด้วยการปรากฏตัวของเขาข้างหลังเธอ ทำให้เธอรู้ว่าชายผู้นี้ไม่ใช่ชายหนุ่มที่ธรรมดาและนั่นทำให้เธอรู้สึกประหม่า
มันจะดีหรือไม่ หากเธอได้พบกับเขาในตอนนี้?
“ทำไมตอนนี้ท่านถึงลังเล” ชายหนุ่มที่อยู่ข้างหลังกล่าวและหัวเราะเยาะเธอ
“ข้าไม่เห็นความลังเลใดๆจากท่านเลย ตอนที่ท่านสั่งให้คนไประเบิดที่ถ้ำ สนุกไหมที่ได้เห็นจักรพรรดิผู้เฒ่าสะดุ้งจนกางเกงของพวกเขาบิดเบี้ยว?”
คำพูดของเขาดูไม่เหมาะสมและตรงไปตรงมา หากผู้คนที่ได้ยินเขาเรียกจักรพรรดิ
ว่า “คนแก่” หลินเสี่ยวเฟยมั่นใจว่าพวกเขาจะไม่หัวเราะด้วยและไม่มีใครสามารถพูดเรื่องที่ไม่สมควรพูดกับจักรพรรดิและต่อหน้าผู้อื่นได้ แต่ชายหนุ่มผู้นี้กับไม่สนใจแม้แต่น้อย
เธอยังแปลกใจที่ได้ยินเขาพูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับถ้ำ ทหารที่เข้ามาในห้องโถงไม่ได้รายงานเรื่องที่เกิดขึ้นในถ้ำเลยด้วยซ้ำ แต่ชายผู้นี้สามารถรับข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว ทำให้เธอสงสัยว่าเขาอาจจะส่งคนของเขามาแอบฟังเรื่องราวภายในวังเหมือนที่เขาเคยทำกับเธอ
การที่จะส่งพวกของเขาเข้ามาในวังแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย เนื่องจากราชวงศ์เป็นคนขี้ขลาดและเป็นคนที่กังวลเป็นอย่างมาก หากได้ยินเสียงใดที่ผิดที่ปกติ พวกเขาก็พร้อมที่จะวิ่งหนี และหากจับได้พวกเขาจะกำจัดบุคคลใดก็ตามที่พวกเขาถือว่าเป็นผู้ที่น่าสงสัย
หลินสี่ยวเฟย มองไปที่ลูกพี่ลูกน้องของเธอและเห็นว่าเขาไม่ได้สังเกตด้วยซ้ำว่ามีใครบางคนอยู่ข้างหลังเธอ แม้จะเป็นชายหนุ่มที่มีการฝึกฝนในด้านศิลปะการต่อสู้
“เป็นเพราะเขาเหรอ?” น้ำเสียงของชายหนุ่มที่อยู่ข้างหลังเธอกล่าวขึ้นอย่างเฉียบแหลม และเธอสามารถเดาได้ว่าดวงตาของเขาเริ่มหลง
ฉ่เซียวซู โกรธที่คิดว่าหญิงผู้นี้เขาลังเลเพราะชายหนุ่มที่โง่เขลาผู้นั้น และเขายังแสดงทีท่ากระโดดไปรอบๆ ราวกับเด็กที่ไม่เคยเห็นโลกภายนอกมาตลอดชีวิต แม้จะไม่ได้หันหน้ามาทางเธอและหันหลังให้กับต้นไม้ที่อยู่ข้างหลังเธอ เขาก็รู้สึกได้ว่าเธอกำลังจ้องมองไปที่ทิศทางของชายหนุ่มผู้นั้น
ฉ่เซียวซูอยากจะพาหลินเฉินยูออกไปจากตรงนั้น เพื่อที่เขาจะได้รับความสนใจจากเธอเพียงผู้เดียว
“ไม่” เป็นคำตอบสั้นๆ จากเธอ
หลนเสี่ยวเฟยไม่เพียงแต่ลังเล เพราะหลินเฉินยูอาจเห็นเธอกับเขาและตั้งข้อสงสัยบางอย่างระหว่างทาง อาจทำให้แผนการของเธอนั่นยากลำบากขึ้นสำหรับเธอที่จะตระหนัก
แต่เพราะชายหนุ่มผู้อยู่เบื้องหลังเธอ เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาเป็นพันธมิตรหรือศัตรูที่เธอต้องการจะกำจัด
“งั้นก็มาทางนี้ส” เธอได้ยินเขาพูด เสียงของเขาฟังดูลึกลับราวกับมีเวทย์มนตร์แฝงอยู่ในนั้น มันอาจทำให้คนๆหนึ่งหลงใหลและตามเขาไปอย่างดาย
แต่เมื่อเธอได้ยิน กลับทำให้เธอรู้สึกเหมือนกับว่ามีมารกำลังเชื้อเชิญเธอให้เดินทางไปยังส่วนลึกของนรก
เธอจึงขจัดความลังเล หลินเสี่ยวเฟยจึงก้าวไปด้านข้างและเดินไปรอบๆต้นไม้ ที่นั่นเธอพบว่าเขายืนอยู่ตรงหน้าเธอ ขณะที่เขาเอนหลังพิงอยู่บนลำต้นของต้นไม้อย่างเกียจคร้าน
ชายหนุ่มผู้นี้มีผมสีดำสนิทและรวบทรงผมอย่างสมบูรณ์แบบ ไหล่และหลังกว้างที่ของเขา ทำให้เขาดูน่าเกรงขามและเป็นลูกผู้ชายมากกว่าชายคนไหนๆที่เธอเคยพบ
ราวกับว่าลมหายใจของเธอถูกพรากไป หลินเสี่ยวเฟยเกือบลืมหายใจเมื่อเผชิญหน้ากับใบหน้าที่หล่อเหลาของชายผู้นี้ ซึ่งมีความสมบูรณ์แบบ เธอเคยเห็นใบหน้าที่หล่อเหลาต่างๆในอดีต และรู้สึกว่าพวกเขาดูน่าเบื่อเพราะเธอตาบอดจากความเมตตาของหยูเฟิงซู นั่นเป็นเหตุผลที่หลินเสี่ยวเฟยสามารถบอกได้เลยว่าชายผู้นี้ดูเหนือกว่าชายคนอื่นๆเป็นอย่างมาก
หลินเสี่ยวเฟย คุกเข่าลงเพื่อโค้งคำนับเขา “ข้ายินดีที่ได้พบกับท่าน ท่านดยุคฉ่เซียวซู”
ฉ่เซียวซูขบขันและพยักหน้าให้กับเธอ รอยยิ้มของเขากว้างขึ้นเมื่อเขามองดูใบหน้าที่สวยงามและจ้องไปที่ดวงตาของเธอ ราวกับพึ่งเคยเห็นเธอเป็นครั้งแรก ดวงตาของเธอเบิกกว้างเมื่อได้สบตาทำให้เขารู้สึกประหลาดใจ
“อย่าทำเหมือนข้าเป็นคนแปลกหน้าเลย และเรียกข้าว่าฉ่เซียวซู”
“ข้ามิกล้าทำเช่นนั้น” เธอกล่าวตอบปฏิเสธที่จะเรียกชื่อเขาตามปกติ “มันคงจะหยาบคายสำหรับข้า ที่จะเรียกโดยไม่มีชื่อตำแหน่งที่น่านับถือของท่าน”
นอกจากนี้ การเรียกเขาด้วยชื่อที่ปกติและไม่ใช้ชื่อตามยศศักดิ์ของเขา จะทำให้ดูเหมือนว่าพวกเขาไม่ใช่คนแปลกหน้า แต่ดูเหมือนเป็นผู้ที่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกัน
หลินเสี่ยวเฟยยังลังเลที่จะใช้ชื่อของเขาเพื่อหลีกเลี่ยงความสับสนเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของพวกเขา เธอต้องการให้เขาเป็นพันธมิตรเท่านั้นไม่ใช่คนรักของเธอ
” แต่ข้าขอยืนยัน” ฉ่เซียวซูเดินเข้ามาใกล้เธอ ทำให้เธอก้าวถอยหลัง ” ข้าอยากจะเรียกท่านด้วยชื่อของท่าน”
คิ้วของหลินเสี่ยวเฟยย่นมากยิ่งขึ้น เธอเงยหน้าขึ้นสบตาเขาและเห็นว่าเขาตั้งใจแน่วแน่ที่จะให้เธอเห็นด้วยกับเขาและเรียกชื่อของเขา “ถ้านั่นคือสิ่งที่ท่านต้องการ ข้าก็จะขอทำตามท่านด้วย”
ดวงตาของฉ่เซียวซูเป็นประกาย เขาไม่ได้คาดหวังให้เธอเห็นด้วยกับเขาง่ายๆ และรู้ว่าการเรียกชื่อของใครซักคน ถ้าไม่ใช่คนในตระกูลหรือคนใกล้ชิดสนิทสนมกับคนๆนั้น ผู้คนอาจจะเข้าใจผิดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ในฐานะคู่รัก
ด้วยการเกิดและตำแหน่งอันสูงส่งของเขา การเรียกชื่อเขาโดยไม่มีตำแหน่งเป็นการไม่ให้เกียรติเขาเลย แต่ฉ่เซียวซูก็ยังอยากให้หลินเสี่ยวเฟยเรียกเขาด้วยชื่อปกติของเขาอยู่ดี
ขณะที่เขากำลังคิด หลินเสี่ยวเฟยก็ยิ้มและขจัดความกลัวหรือความลังเลใจใดๆที่หลงเหลืออยู่ในตัวเธอ ขณะที่เธอก้าวเข้ามาหาเขาอย่างกล้าหาญ ทำให้เขามองเธอด้วยความประหลาดใจ
“แต่ข้าไม่ต้องการที่จะเรียกท่าน ด้วยชื่อของท่าน “ฉีเซียวซู” แต่ข้าต้องการเรียกท่านด้วยชื่อที่ข้าคุ้นเคย
“และนั่นคืออะไร?” อู่เชียวซู เอียงศีรษะเล็กน้อยไปด้านข้างอย่างเย่อหยิ่งและเลิกคิ้วขึ้น
“ไม่คิดว่าจะได้เจอกันอีก ผู้จัดการหลิว”
ฉ่เซียวซูเงียบไป จากนั้นเขาก็เอื้อมมือไปหาเธอและดึงเธอไปที่อื่น เขาสังเกตเห็นว่าหลินเฉินยูกำลังจะเพิกเฉยต่อสิ่งรบกวนและมองดูทางของเธอ นั่นเป็นสาเหตุที่เขารีบออกไปจากที่นั่นและไม่มีใครขัดจังหวะพวกเขา
หลินเสี่ยวเฟย ตกใจกับการเคลื่อนไหวของเขาและต้องการดึงมือของเธอออกจากเขา ขณะที่สัมผัสผิวของเธอ เธอรู้สึกว่าผิวบริเวณมือของเขาเริ่มร้อนขึ้น
“ลูกพี่ลูกน้อง?” เธอได้ยินเสียงของหลินเฉินยูเรียกเธอ น้ำเสียงของเขาทำให้เธอรู้ว่าฉ่เซียวซูต้องดึงเธอออกไป
เมื่อเขารู้สึกว่าเธอไม่ได้ขัดขืน เขายิ้มและเริ่มเดินเร็วขึ้นเพื่อซ่อนร่างของพวกเขาให้พ้นจากสายตาที่แอบมอง
พวกเขาเดินห่างจากจุดที่พวกเขายืนอยู่ในตอนแรกไม่กี่เมตรและพบว่าตัวเองอยู่ในสวนเล็กๆ ที่ไม่ได้รับการดูและไร้สายตาจากผู้คน
ไม่มีแขกคนใดมาเดินดูรอบๆ และดูเหมือนว่าพวกเขาไม่ได้ตั้งใจที่จะมาทางด้านนี้เพราะว่าด้านนี้ของพระราชวังไม่มีอะไรให้ดูมากนัก
ขณะที่พวกเขาหยุดเดิน มือของหญิงสาวที่เขาจับอยู่ก็ไม่ถอยกลับ เขาคาดหวังให้เธอดึงมือออกจากเขาในทันที
เขาหันไปมองเธอและเห็นว่าใบหน้าของเธอเริ่มแดง ริมฝีปากของเธอก็แยกออกเล็กน้อยขณะที่เธอหอบ
” ท่านสบายดีหรือไหม?”
เมื่อจ้องมองไปที่เขา หลินเสี่ยวเฟยควบคุมการหายใจของเธอหลังจากเดินห่างจากที่อื่นไม่กี่ระยะทาง เธอไม่ควรจะหอบและรู้สึกเหนื่อยเช่นนี้ แต่เป็นเพราะเธอไม่ได้อยู่ในร่างเดิมของเธอ แต่กลับอยู่ในร่างของเด็กที่นิสัยเสีย
หลังจากที่เห็นเธอจ้องมาที่เขาด้วยความรำคาญ ฉีเซียวซูพบว่าการแสดงออกของเธอเป็นที่น่าสนใจ เธอมีใบหน้าที่เย็นชาเมื่อพวกเขาพบกัน และเห็นว่าปฏิกิริยานี้จากเธอเป็นเรื่องใหม่สำหรับเขา
“คราวหน้า ท่านควรไปเยี่ยมหงเปยโหลวของข้าอีกสองสามครั้งเพื่อให้ขาของท่านคุ้นเคยกับการเดินในระยะไกล” เขาล้อเธอและพูดถึงโรงเตี้ยมที่พวกเขาพบกันสองครั้งแล้ว
เนื่องจากหลินเสี่ยวเฟยเรียกเขาว่า “ผู้จัดการหลิว” เขาเดาว่าเธอรู้ตัวตนทั้งสองของเขาในฐานะ ดยุคเซียวและผู้จัดการของหงเปยโหลว
“บางที่ท่านควรจะค่อยๆพิจารณา เพราะข้าเป็นเพศที่ยุติธรรมกว่า” เธอพึมพำภายใต้ลมหายใจของเธอ
เธอไม่ได้รับคำตอบจากเขา และนั่นทำให้เธอเงยหน้าขึ้นมองเขา
“อะไร?” เธอตะคอก
“เปล่าครับ” เขายิ้ม “ข้าแค่ไม่รู้ว่าท่านชอบเดินช้าๆ ข้าคิดว่าท่านคงอยากจะไปให้ข้าไปจากที่นี่ให้เร็วขึ้น ขอบคุณที่บอกข้าล่วงหน้า”
กําเนิดนางร้าย The Birth of a Villainess
ตอนที่ 64 พบกันอีกครั้ง
ตามที่คาดไว้ หยูเฟิงซูเข้าไปในห้องโถงอีกครั้ง ใบหน้าของเขาเริ่มถอดสีและแสดงความกังวลเหงื่อที่ไหลพรากอยู่บนหน้าผากของ เขาแม้ว่าเขาจะพยายามเช็ดมันออกเพียงใดและรักษาสภาพปกติของเขาไว้มันจึงไม่สามารถควบคุมหัวใจที่เต้นแรงของเขาได้
เขาเม้มปากขณะที่เขาเดินไปที่นั่งของเขา ทุกคนในห้องโถงสังเกตเห็นว่าเขาดูเหนื่อยและกระสับกระส่าย ทําให้พวกเขาสงสัยว่าทหารผู้ต่ําต้อยผู้นั้นได้บอกอะไรกับเขา
จักรพรรดิหยุนขมวดคิ้วด้วยความสงบ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อไหร่และที่ใดราชวงศ์จะต้องเผชิญหน้าต่อผู้อาวุโสที่มีเมตตา ซึ่งไม่มีปัญหาใดที่พวกเขาจะไม่สามารถแก้ไขได้ต่อหน้าผู้คน
“ หน้าซีดเชียวนะพี่สี่ ดื่มชาก่อนแล้วสงบสติอารมณ์ เจ้าไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ต่อหน้าท่านพ่อและเจ้าหน้าที่ที่อยู่ข้างหน้าเราตอนนี้” หยูจิงเหล่ย น้องสาวของเขาซึ่งเป็นองค์หญิงคนที่สองกล่าวขึ้นเพื่อเตือนพี่ชายของเธอ
ในฐานะองค์หญิงที่อาศัยอยู่ภายในพระราชวังที่เต็มไปด้วยสิ่งสวยงามและแฝงไปด้วยความน่ากลัวที่สามารถฆ่าคนได้
หยูจิงเหล่ยรู้ทุกอย่างว่าพ่อและพี่น้องที่รักของเธอมีความลับหลายอย่าง พวกเขาจึงจําเป็นที่จะต้องเก็บความลับเหล่านี้ให้พ้นจากสาธารณะเพื่อให้ครอบครัวของพวกเขา สามารถครอบครองทุกสิ่งและดูถูกผู้อื่นได้
“ขอบคุณพี่สาว.” หยูเฟิงซูพยักหน้าราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นความสงบของเขากลับมาและใบหน้าของเขาแสดงรอยยิ้มที่สดชื่นซึ่งเป็นที่สนใจของหญิงสาวที่พบเห็น
หญิงสาวที่นั่งอยู่บนเก้าอี้และมองมาทางเขาตาบอดชั่วครู่หลังจากเห็นรอยยิ้มที่บาดใจของเขา เหล่าคุณหญิงในห้องโถงก็ไม่สามารถหยุดหวังว่าบุตรสาวของพวกเขาจะได้รับความสนใจจากองค์ชายที่อยู่ตรงหน้า หากพวกเขาโชคดี ตระกูลของพวกเขาจะมีเกียรติและชีวิตจะอยู่อย่างรุ่งโรจน์อย่างไม่รู้จบ
ในบรรดาคนเหล่านี้ที่ชื่นชมและมองไปยังทิศทางขององค์ชายอย่างกระตือรือร้น ซึ่งหลินไม่สามารถละสายตาจากหยูเฟิงซูได้และรู้สึกว่าขนนกกําลังจักจี้ไปทั่วร่างกายของเธอ ขณะที่เธอเฝ้าดูชายในอุดมคติของเธอ
หัวใจของเธอเต้นผิดจังหวะ ในตอนที่เธอมองดูร่างของเขาเมื่อตระกูลของเธอเข้าไปในห้องโถงและเห็นหยูเฟิงซูองค์ชายที่โดดเด่นและถ่อมตนเช่นเดียวกับหญิงสาวคนอื่นที่ต้องการไต่อันดับและใช้ ชีวิตที่หรูหราซ่งหลินก็ไม่ต่างจากคนอื่นๆ
นอกเหนือจากชื่อของนางสนมหรือมเหสีที่อยู่เคียงข้างของหยูเพิ่งจูเขายังเป็นที่ต้องการของหญิงสาวอีกหลายคน แต่ซึ่งหลินก็ยังเก็บหัวใจของเขาไว้
ใบหน้าของเธอเริ่มแดง และจ้องไปที่หยูเฟิงซูด้วยความหวังว่าเขาจะสังเกตเห็นการจ้องมองของเธอและตกหลุมรักเธอบ้าง
ขณะที่เธอมองดูเขาต่อไป ก็ยังมีคนอีกคนหนึ่ง ที่กําลังมองดูอยู่ทิศทางไหนสักแห่ง คนๆนั้นไม่ได้มองไปที่ทิศทางขององค์ชายสี่แต่กําลังเฝ้าดูซ่งหลินอยู่ตลอดเวลา
และคนๆนั้นไม่ใช่ใครอื่น นอกจากหลินเสี่ยวเฟย
ด้วยรอยยิ้มที่เยาะเย้ยบนริมฝีปากของเธอ เธอสามารถเข้าใจได้ว่าทําไมซ่งหลินจึงถูกพาตัวไปที่หยูเฟิงซู ผู้ที่ทําให้ชีวิตของเธอต้อง อนาถหญิงสาวคนใดจะไม่อยากมีองค์ชายรูปงามที่มีทุกอย่าง และมีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นผู้ปกครองของอาณาจักรนี้เป็นคนต่อไป?
แม้แต่เธอที่เคยถูกเขาทําร้ายในอดีต และความรักในครั้งนั้นได้ลากเธอเข้าไปในคุกใต้ดินเพื่อทรมานและสังหารอย่างไม่รู้จบ
อืม…. หยูเฟิงซู เจ้ามีความสามารถในการทําให้ดอกไม้ทุกดอกส่งเสียงร้องและปล่อยร่างกายต่อหน้าเจ้าเพื่อก้าวขึ้นไป หลินเสี่ยวเฟยคิด
เธอเกลียดความจริงที่ว่าเธอเคยรักเขาและอุทิศชีวิตให้แก่เขาในฐานะภรรยา
แต่ชีวิตและความรักนั้นไม่มีอีกต่อไปแล้ว เมื่อมันพรากชีวิตของเธอไปและนําเธอไปมีชีวิตอีกครั้งในร่างของคนอื่น
ดวงตาของหลินเสี่ยวเฟยเป็นประกายขึ้น
ดีมาก… ดูเหมือนว่าเธอไม่ต้องใช้ความพยายามมากนักในการสอนบทเรียนให้กับซ่งหลินและตระกูลของเธอ
ผู้เล่นทั้งสองอยู่ที่นั่น และเธอจะใช้พวกเขา
เมื่องานเลี้ยงครึ่งแรกเสร็จสิ้น แขกทุกคนสามารถเดินไปรอบๆวังเพื่อเที่ยวชมหรือสูดอากาศบริสุทธิ์ พระบรมวงศานุวงศ์ยังได้ร่วมเสด็จพระราชดําเนินไปตามสถานที่ต่างๆ ที่พวกเขาเคยพบเห็นตั้งแต่ประทับอยู่ในวัง และเนื่องจากมีคนจํานวนมาก จึงไม่สามารถหลีเกเลี่ยงที่จะเดินไปยังสถานที่เหล่านี้ได้
หลินเฉินยูสะกิดเธออย่างอ่อนโยนจากด้านข้างของเธอเมื่อพวกเขาออกจากห้องโถงและเห็นว่าหลินเสี่ยวเฟยอยู่เพียงลําพังจากนั้นเขาก็กระซิบกับเธอว่า “ลูกพี่ลูกน้องที่รัก ไปด้วยกันสิคนอื่นๆได้พบกันและรวมกลุ่มกับเหล่าสหายของพวกเขาแล้ว ข้าเห็นว่าเจ้าอยู่เพียงลําพังข้าก็เช่นกัน ข้าคิดว่าเราควรไปเดินเที่ยวในพระรา ชวังด้วยกัน”
เขาเสนอด้วยความภาคภูมิใจในตนเอง ที่พยายามไปกับลูกพี่ลูกน้องที่โดดเดี่ยวซึ่งไม่มีใครอยู่เคียงข้างเธอ
เนื่องจากเธอเป็นคนที่มีชื่อเสียงที่น่าอับอาย ผู้คนจึงพยายามหลีกเลี่ยงหลินเสี่ยวเฟยและแม้ว่าพวกเขาจะพยายามเอาใจเธอเพื่อให้ได้รับความโปรดปรานจากตระกูลหลิน แต่พวกเขาก็ยังรู้สึกรังเกียจเธออยู่ดี
ดังนั้น หลินเฉินยูจึงคิดว่าจะเป็นความคิดที่ดี ที่จะใกล้ชิดกับเธอและพาเธอเดิมชมวังเพื่อที่จะได้ใกล้ชิดกับเธอยิ่งขึ้น
หลินเสี่ยวเฟย เหลือบมองด้านข้างและไม่ได้ปฏิเสธ เธออยากจะหัวเราะเยาะข้ออ้างของเขา ที่บอกว่าเขาเป็นหนึ่งเดียวและไม่มีใครอยู่กับเขาเหมือนเธอ
เธอเห็นเขาสนทนาอย่างเป็นมิตรกับบุตรชายของตระกูลคนอื่นๆและพวกเขาก็ไม่ได้เป็นศัตรูกัน แล้วมันเกิดขึ้นได้อย่างไรที่หลินเฉินยูถูกทิ้งให้อยู่ตามลําพังกับหลินเสี่ยวเฟย?
หลินเสี่ยวเฟยพูดโกหกและไม่ปฏิเสธ
ไม่ใช่เพราะเธอเหงา แต่มุมมองของหลินเฉินยูที่มีต่อเธอ เธอกลัวว่าหากมีโอกาสที่เธอจะได้พบหยูเฟิงซูระหว่างทาง เธออาจจะควบคุมอารมณ์ตนเองไม่ได้และอาจจะทําอะไรที่ไม่ควรซึ่งมันอาจจะส่งผลต่อแผนการในอนาคตของเธอ
หลินเฉินยูยังคงพูดคุยหัวเราะอย่างสนุกสนานและแสดงความพอใจกับทิวทัศน์ตรงหน้าของพวกเขา
ข้างหลังพวกเขา มีคนกําลังเฝ้าดูและติดตามพวกเขาอย่างเงียบๆ
หลินเสี่ยวเฟยและหลินเฉินยูเดินไปยังสถานที่ที่ไม่มีแขกคนอื่นๆอยู่ในห้องโถง
พวกเขายังคงเดินไปตามทางเดินและหลินเฉินยูรู้สึกถึงกับสวนที่พวกเขาไป
“ลูกพี่ลูกน้องที่รัก ห้องโถงทางซ้ายมือของเราคือหอหญ่กวนข้าได้ยินมาว่านั่นคือที่ที่จักรพรรดิองค์ก่อนสิ้นพระชนม์”
” ที่อยู่ข้างหน้าเราคือเจดีย์พระจันทร์ฤดูหนาว…”
“และอันนั้นคือ…”
หลินเฉินยูพูดพล่ามต่อไป และชี้นิ้วไปยังทิศทางต่างๆในขณะที่อยู่ห่างจากหลินเสี่ยวเฟย
แทนที่จะได้สูดอากาศที่บริสุทธิ์ แต่ดูเหมือนพวกเขากําลังจะเดินทางเข้าไปในวัง
หลินเสี่ยวเฟยไม่ได้เว้นแม้แต่สถานที่ที่เขาชี้ไปเธอไม่สนใจทัศนียภาพภายในวังเมื่อไม่มีอะไรที่สวยงามหรือยิ่งใหญ่ในสถานที่ที่สร้างขึ้นบนกองกระดูกและรอยเลือดที่ตกเป็นเหยื่อของทุกราชวงศ์
อย่างไรก็ตาม เธอไม่สามารถตําหนิเขาได้จริงๆที่ทําตัวเช่นนี้หลังจากที่เธอแต่งงานกับหยูเฟิงซูในเวลานั้นเขาได้พาเธอไปที่วังเพื่อฝึกฝนมารยาทของราชวงศ์และเรียนรู้วิธีการทําตัวเหมือนเป็นสมาชิกที่เหมาะสมของราชวงศ์
เธอยังรู้สึกถึงกับความตระการตาของวัง ที่เต็มไปด้วยควา มยิ่งใหญ่ตระการตาทุกที่ที่เธอมองไปก็เพียงพอที่จะขับไล่ขอทานเพื่อกัดทุกอย่างเพียงเพื่อตรวจสอบว่าเป็นของจริงหรือไม่และเข้าไปขโมยสมบัติที่ซ่อนอยู่ลึกเข้าไปในที่พักของราชวงศ์
หลังจากหมดความสนใจในการเดินครั้งนี้ หลินเสี่ยวเฟยจึงตัดสินใจเอนหลังพิงโคนต้นไม้ที่อยู่ใกล้กับเธอ
เมื่อจู่ๆ เสียงของชายคนหนึ่งก็พูดขึ้นข้างหลังเธอว่า “ทําไมเจ้าไม่มาที่เจดีย์สวรรค์ ตามที่ข้าเขียนไว้ในจดหมาย” คนข้างหลังกล่าวขึ้นต่อว่า ” ท่านทําให้ข้ารอเป็นเวลานาน”
ด้วยความตกใจเล็กน้อยบนใบหน้าของเธอ หลินเสี่ยวเฟยไม่รู้สึกว่ามีใครบางคนยืนอยู่หลังต้นไม้ที่เธอพิงอยู่ จนกระทั่งเธอได้ยินเสียงของเขา
เขามายืนข้างหลังเธอตั้งแต่เมื่อไหร่? เธอคิดว่าอยากจะเดินไปรอบๆต้นไม้และเผชิญหน้ากับเขาแต่มันกลับทําให้เธอรู้สึกกังวล
“ข้าไม่ชอบให้ใครมาสั่ง” เธอกล่าวตอบ. เธอมองไปที่ทิศทางที่หดินเฉินยูยืนอยู่ และเห็นว่าเขากําลังหันหลังให้กับเธอ ” และเจ้าไม่ได้ระบุเวลาที่เราต้องพบกัน”
“อืม… ถูกต้อง ข้าขอโทษสําหรับเรื่องนั้น” คนข้างหลังหัวเราะ“แต่ขาหวังว่าท่านจะไม่รังเกียจถ้าข้าจะพาท่านไปที่อื่น ที่เราคุยกันได้โดยไม่ให้ผู้อื่นได้ยิน”
ตอนที่ 63 เกมกำลังจะเริ่ม
หยูเฟิงซู เหลือบตาไปมองทหารที่นั่งคุกเข่าตรงหน้าเขา
” บอกข้ามาทว่าเกิดอะไรขึ้น!” น้ำเสียงของเขาฟังดูเย็นชา และทำให้ทหารผู้นั้นพูดขึ้นในทันทีและบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้เขา
ทหารคนแรกเล่าถึงกิจวัตรประจำวันของทหารยามทุกคนที่ประจำการอยู่นอกถ้ำ
และเนื่องจากไม่มีใครได้รับอนุญาตให้เข้าไป เว้นแต่จะเป็นคำสั่งที่เชื่อถือได้ของหยูเฟิงซูหรือจักรพรรดิ ผู้คุมจึงไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในถ้ำ ดังนั้น จึงไม่มีทางที่พวกเขาจะเข้าไปได้
ไม่มีสิ่งผิดปกติที่พวกเขาสังเกตเห็นในตอนแรก และทุกสิ่งทุกอย่างในถ้ำก็อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง อย่างไรก็ตามสิ่งนั้นเปลี่ยนไปเมื่อพวกเขารู้สึกว่าพื้นมีการสั่นสะเทือนพร้อมกับเสียงที่ดังออกมาจากในถ้ำ
ยามทหารไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น และพวกเขาก็ไม่รู้ว่าเสียงภายในถ้ำเกิดจากอะไร แต่นั่นเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น
โศกนาฏกรรมครั้งต่อไปจะเกิดขึ้นไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียว
ช่องเปิดของถ้ำตกลงบนพื้นราวกับน้ำตกและหินก็พังทลายลงมาทุกหนทุกแห่ง ยามทหารที่ยืนอยู่ข้างนอกเพื่อปกป้องถ้ำ และเหล่าสหายทหารยามของเขาจึงถูกก้อนหินขนาดใหญ่ตกลงมาทับพวกเขาและเสียชีวิตในทันที
ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น และเมื่อไม่มีใครอยู่ในถ้ำ มีทหารยามไม่กี่คนที่ไม่ได้รับบาดเจ็บจากแรงสั่นสะเทือน และต่อมาสถานการณ์เริ่มคลี่คลาย พวกเขาจึงตรวจสอบสถานที่แห่งนั้นว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
อย่างไรก็ตาม แม้จะเข้าไปข้างในถ้ำได้แต่สิ่งที่หลงเหลือทำให้ทุกคนต้องตกตะลึง เมื่อเห็นว่าอัญมณีที่อยู่ทุกหนทุกแห่งภายในถ้ำร่วงหล่นลงกับพื้น เหลือแค่เพียงฝุ่นผง
ทหารยามรู้ว่าดีว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับถ้ำนั้น พวกเขารู้สึกถึงความไม่ปลอดภัยและเกรงว่าหัวของพวกเขาอาจจะหลุดออกจากบ่าในทัน
พวกเขาเดินไปข้างหน้าเพื่อค้นหาที่ได้ในถ้ำที่ยังไม่ถูกทำลายโดยสิ่งที่สร้างความยุ่งเหยิงนี้ อย่างน้อย พวกเขาอาจจะมีข้อแก้ตัวให้ตนเองเมื่อถูกถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ และสิ่งที่อยู่ข้างหน้าของพวกเขาทำให้เข่าของพวกเขาล้มลงกับพื้น เปรียบเสมือนโลกของพวกเขากำลังจะแหลก
เบื้องหน้าของพวกเขา คือกำแพงที่กั้นระหว่างอาณาจักรเชิงและอาณาจักรชูได้หายไป เหลือเพียงหลุมขนาดใหญ่ ที่จะเป็นจุดสิ้นสุดของความโลภและความเห็นแก่ตัวของราชวงศ์เชิง
เมื่อหยูเฟิงซูได้ยินรายงานของทหาร เขาต้องใช้มือพยุงร่างกายของเขาในขณะที่เขารู้สึกว่าหัวเข่าของเขาแทบจะทรุดลงพื้น
เขาไม่อยากเชื่อเลยว่าหูของเขากำลังฟังสิ่งนี้อยู่จริงๆ และด้วยแววตาที่อาฆาต เขากระแทกโต๊ะและหายใจอย่างแรงด้วยความโกรธ
“ไอ้พวกไร้ความสามารถ!” เขาเตะผู้นั้นเข้าที่ท้อง
หัวหน้าขันที่ก้มศีรษะลงด้วยความกลัว พวกเขาเข้าใจว่าเรื่องนี้ จะสั่นคลอนและความพยายามอย่างมากที่ผ่านมาของราชวงศ์ ที่จะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับของถ้ำจากคนอื่นๆ
ตอนนี้หลุมขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นที่สนามด้านหลังวังหลวง อาณาจักรชูและอาณาจักรเชิงจึงมีคำถามมากมายที่พวกเขาจำเป็นที่จะต้องตอบ
อีกประการหนึ่ง หยูเฟิงซูรู้สึกโกรธที่สูญเสียความมั่งคั่งอย่างมหาศาล เขาคิดอยู่เสมอว่าตราบใดที่เขาเป็นเองค์ชายที่โดดเด่นที่สุดและด้วยความวางใจของบิดาในพระองค์ ในที่สุดเขาก็จะได้บัลลังก์และกรรมสิทธิ์เหนือถ้ำ และทำให้เขากลายเป็นผู้ที่ร่ำรวยที่สุดในโลก
แต่ดูเหมือนว่าความฝันของเขาที่เขาจะได้รับในไม่อีกกี่ปีข้างหน้านั้น กลายเป็นเพียงความฝันที่สิ้นหวังไปแล้ว
ไม่เพียงแต่ถ้ำที่อัญมณีล้ำค่าหายไป คนตาบอดที่พวกเขาดึงมาที่ดวงตาของอาณาจักรชูก็ถูกถอดออกด้วย
แน่นอน พระราชบิดาของเขาและจักรพรรดิจะจับผิดเขาในเรื่องนี้ และอาจลดความไว้วางใจในตัวเขา
แต่ทำไม ถ้ำถึงถูกทิ้งให้ถูกทำลายอย่างง่ายดายเช่นนั้น?
ทหารกล่าวถึงพื้นดินที่สั่นสะเทือน แต่หยูเฟิงซูและผู้คนในพระราชวังไม่รู้สึกถึงแผ่นดินไหว นอกจากนี้ มีเพียงผู้คนที่อาศัยอยู่ใกล้ภูเขาเท่านั้นที่รู้สึกว่าพื้นดินสั่นสะเทือน ไม่ใช่เมืองหลวงทั้งหมด ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่แผ่นดินไหวจะสามารถทำให้ถ้ำที่แข็งแรงพังทลายลงมาได้ โดยไม่มีสัญญาณใดๆเตือน
ถ้าเช่นนั้น…. นี่อาจเป็นแผนการของผู้อื่นหรือไม่? หยูเฟิงซูกำปั้นมือของเขาและกัดฟันด้วยความคิด
ราชวงศ์มีศัตรูมากมายเกินกว่าที่จะสงสัยผู้ใด
หากเป็นผู้อื่นที่ทำเช่นนั้นและวางแผนต่อต้านเขาและราชวงศ์หากหยูเฟิงซูแน่ใจว่าผู้ใดเป็นผู้ที่กระทำ เขาจะทำให้คนเหล่านั้นชุดใช้มันด้วยชีวิต
เธอยกถ้วยน้ำชาขึ้นที่ริมฝีปากของเธอ อารมณ์ของหลินเสียวเฟยรู้สึกเป็นที่น่าพอใจเป็นอย่างมาก และยังมีความตื่นเต้นในดวงตาของเธออีกด้วย
ปลายริมฝีปากของเธอยกขึ้นเล็กน้อย ขณะที่เธอคิดถึงการเฝ้าดูของหยูเฟิงซูและปฏิกิริยาของราชวงศ์ และดูว่าพวกเขาจะหาวิธีแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างไร เพื่อแก้ปัญหาที่เธอมุ่งไปสู่ทิศทางของพวกเขา
เธอลืมตาขึ้นหลังจากจิบชาเล็กน้อยและมองไปยังราชวงศ์ เธอดูเย่อหยิ่งและมีเสน่ห์อย่างยิ่ง เมื่อยกคิ้วขึ้น
เมื่อเห็นใบหน้าซีดของจักรพรรดิและรอยยิ้มที่สมบูรณ์แบบบนใบหน้าของเขาก็เริ่มคลายลงแต่กลับแสดงสีหน้าที่ดูร้อนรน เธอคิดว่าจะต้องตบรางวัลให้กับเฉินโม่อย่างคุ้มค่าสำหรับแผนการที่เขาทำให้สำเร็จในครั้งนี้
เธอมีความคาดหวังเล็กน้อยจากเขา แต่ดูเหมือนว่าเขาจะทำภารกิจของเธอได้ในเวลาที่เหมาะสม เธอสงสัยว่าพวกเขาจะชอบดอกไม้ไฟที่เธอจุดขึ้นโดยเจตนาหรือไม่
เธอเลียริมฝีปากและความกระหายในการแก้แค้นของเธอค่อยๆ ดับลง แต่ก็ยังไม่เพียงพอ เธอยังมีอีกหลายสิ่งที่เตรียมไว้สำหรับพวกเขา
เกมได้เริ่มต้นขึ้น
คนอื่นๆเห็นการกระทำของเธอและรอยยิ้มที่สวยงามบนใบหน้าของเธอ พวกเขาไม่ได้คิดอะไรอีกเลยและคิดว่าเธอสวยและมีเสน่ห์มาก
อย่างไรก็ตาม มีคนๆหนึ่งที่มองเธออย่างตั้งใจ และมีรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา
ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความสนุกสนาน
กําเนิดนางร้าย The Birth of a Villainess
ตอนที่ 62 คุณหนูของข้าชอบดอกไม้ไฟ
ทหารยกมือขึ้นตรงหน้าเขาและก้มศีรษะลงขณะรายงาน “ฝาบาท ทหารผู้ต่ําต้อยผู้นี้มีเรื่องต้องรายงานครับ!”
คิ้วของจักรพรรดิขมวดเมื่อเขาเห็นทหาร และไม่ต้องการอะไรนอกจากตัดหัวเขาเพราะขัดจังหวะของงานเลี้ยงยามข้างนอกกํา ลังทําอะไรอยู่? ปล่อยให้ทหารที่ต่ําต้อยเข้ามาโดยที่ไม่ได้รับอนุญาตได้อย่างไร?
เขามองไปยังหัวหน้าขันที่ข้างๆเขา หัวหน้าขันที่เข้าใจเจตนาของเขาในทันทีและไปลากทหารออกจากทุกคนและฟังสิ่งที่เขาต้องการจะรายงาน
แม้ว่าจักรพรรดิหยุนจะไม่ชอบความจริงที่ว่าทหารเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่เขาไม่ใช่คนธรรมดาและเห็นเพียงแค่ความซีดบนใบหน้าของทหารและตราที่ห้อยอยู่บนเข็มขัดของเขา
หยูเฟิงซู ยังได้รับการแจ้งเตือนจากการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของทหารและจําได้ว่าเขาเคยเป็นหนึ่งในทหารที่เขาเคยแต่งตั้งให้ปกป้องถ้ําในช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์โดยดูจากตราพิเศษ
อย่างไรก็ตาม ยังคงเป็นปริศนาว่าทําไมยามถึงลากทหารผู้นี้ออกมาท่ามกลางผู้คนที่มองดูเขาคลานบนพื้นสกปรกด้วยความตื่นตระหนก
หนูเฟิงซูมองไปที่พ่อของเขาซึ่งส่งสัญญาณให้เขาไปตามขันทีและทหารเพื่อฟังในสิ่งที่ทหารผู้นั้นต้องการจะพูด
เมื่อทหารและขันที่จากไป ผู้คนที่พูดคุยกันอย่างอึกทึกก็ลดน้อยลง และทุกคนก็เริ่มเครียดเมื่อเห็นจักรพรรดิและสีหน้าที่แปลกประหลาดของหยูเฟิงซู
จักรพรรดิหยุนมองดูจักรพรรดินีที่แสดงรอยยิ้มและหันไปหาผู้คนในห้องโถง
“ตั้งแต่เทศกาลได้เริ่มขึ้นในที่สุด พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงอ่อนน้อมถ่อมตนและต้องการมอบของขวัญให้กับทุกคนข้าหวังว่าทุกคนจะไม่ดูแคลนของขวัญเล็กๆน้อยๆของเรา” จักรพร รดินีฉีกล่าวด้วยรอยยิ้มว่าเธอฝึกฝนอย่างเชี่ยวชาญมาตลอดหลายปีที่เธออยู่ภายในกําแพงวัง
ด้วยคําอุทานของจักรพรรดินี ทุกคนอดไม่ได้ที่จะดูเคร่งเครียดและยิ้มออกมาราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
” พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชบรมนาถบพิตรไม่มีทางที่พวกเราจะคิดว่าพรสวรรค์ของพระองค์จะต่ําต้อย”
“ขอบคุณท่านจอมมาร!”
ทุกคนโค้งคํานับและแสดงความขอบคุณต่อผู้อาวุโสพวกเขาไม่ได้ตั้งคําถามและดําเนินการไปตามที่จักรพรรดินีสร้างขึ้น
ในขณะเดียวกัน หลินเสี่ยวเฟยไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ เพราะผู้อาวุโสใช้อํานาจในการปิดเรื่องเงียบและโน้มน้าวใจ ในเรื่องของพวกเขาตามคําพูดและอารมณ์ของพวกเขาเอง
เช่นเคย จักรพรรดินี่รู้วิธีช่วยเหลือจักรพรรดิเมื่อเกิดปัญหาขึ้นระ หว่างทาง
หลินเสี่ยวเฟยยิ้มอย่างชั่วร้าย เมื่อคิดว่าในที่สุดแผนการของเธอ ก็มีบทบาทในการสร้างปัญหาให้กับราชวงศ์
มันถูกต้องแล้วสําหรับเธอ ที่จะใช้ความสามารถของเฉินโม่แทน ที่จะเข้าไปที่ถ้ด้วยตนเอง
สองชั่วโมงที่แล้ว
เฉินโม่ยืนอยู่หน้ารูเล็กๆและถือถุงผ้าขนาดเล็ก น้ําตาในดวงตา ของเขาเริ่มจะเอ่อล้น
“ทําไมถึงต้องเป็นข้าอีก เขาคิด.
วันก่อน คุณหนูสี่หรือนายหญิงแห่งความตายที่เขาพยายามหลีกเลี่ยงมาโดยตลอด แต่กลับได้พบกับเขาอีกครั้งหลังจากกรณีของเค่อซ่งและสําหรับเวลาก่อนหน้านี้ที่เขาต้องพาเธอออกไปข้างนอกเฉินโม่พยายามหลีกเลี่ยงเธอและต้องซ่อนตัวอยู่ในที่ลับที่น่ากลัวของเขา
แต่ใครจะรู้ว่าหลินเสี่ยวเฟยก็หาเขาจนเจออย่างง่ายดายและตอนนี้เขาต้องทําไปภารกิจตามคําสั่งของเธอ
เฉินโม่ก้าวไปข้างหน้าและกําลังลังเลที่จะใช้รูนี้ซึ่งดูเหมือนว่าเป็นปากของสัตว์ประหลาดที่จะกําลังจะกลืนกินเขา เข้าไปทั้งเป็น
เขาไม่รู้ว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของการทําภารกิจนี้คืออะไรแต่ด้วยแววตาที่เย็นชาและการคุกคามที่คุณหนูของเขาสัญญาไว้แม้ว่าเขาต้องการจะหลบหนีก็ตาม แต่เนิ่นโม่ก็เข้าใจมากกว่าที่จะโกรธหลินเสี่ยวเฟย.
เมื่อเฉินโม่ยังรู้สึกสั่นคลอนกับความทรงจําในคืนนั้น ก็ทําให้หัวใจของเขาเต้นแรงและเริ่มคลานเข้าไปในรูที่มีขนาดแคบมากจนเขาทําได้แค่เพียงใช้แขนของเขาเพื่อค่อยๆคลานเข้าไป
หลินเสี่ยวเฟย บอกเขาแค่ว่าเธอต้องการให้เขาเข้าไปสํารวจในถ้ําอย่างสนุกสนาน แต่เขาจะไม่ใช้ทางเข้าหลัก ที่คนของหยูเฟิงซูประจําการอยู่จึงจําเป็นต้องใช้ทางเข้าที่เป็นรูเล็กๆ นี้แทน
เฉินโม่บ่นพึมพําภายใต้ลมหายใจของเขา เขาสาบานว่าจะไม่เชื่อฟังคําสั่งของเธออีก และนี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาจะทําอะไรบางอย่างเพื่อเธอ
เขาใช้เวลาสองชั่วโมง และในที่สุด เขาก็มองเห็นปลายกด้านของอุโมงค์เล็กๆหรือรูที่เขาคลานเข้าไป
ด้วยการต่อสู้กับการเดินทางเพียงเล็กน้อยและการสาปแช่งที่มากขึ้น ในที่สุด เฉินโม่ก็ออกจากอุโมงค์เล็กๆราวกับเขายังเป็นเด็กแรกเกิดที่ออกมาจากครรภ์มารดาของเขา เขาเดินไปทาง ขวาตามคําแนะนําของหลินเสี่ยวเฟย
ขณะที่เขาเดินเข้าไปในถ้ําต่อไป เฉินไม่พบว่าไม่มีชีวิตอยู่ภายในแต่มีสิ่งอื่นๆที่เขาสังเกตเห็น
นอกจากอัญมณีหลากสีและอัญมณีมากมายที่อยู่บนพื้นผนังและเพดานของถ้ําแล้ว ยังมีกระดูกจํานวนนับไม่ถ้วนที่กระจัดกระจายอยู่ทุกหนทุกแห่งและทําให้ความงามของกระดูกสันหลังในถ้ําดูเยือก เย็นและน่ากลัว
ไม่ว่าเขาจะมองไปทางไหน กระดูกก็จะตามอัญมณีไปด้วยเนื่องจากพวกมันกระจัดกระจายไปทั่วถ้ํา ราวกับว่าพวกมันเป็นอัญมณี บางชนิดที่พบในถ้ําด้วย
เมื่อเดินไปอีกไม่กี่นาที่ภายในถ้ํา เฉินโม่ก็หยุดอยู่ตรงหน้ากําแพงขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นกําแพงเดียวที่ไม่มีอัญมณีติดอยู่ในนั้น
“มันต้องอย่างนี้สิ” เขาบอกตัวเองขณะที่นึกถึงสิ่งที่หลินเสี่ยวเฟยบอกให้เขาทําหลังจากหันหน้าเข้าหากําแพง
เขาดึงถุงผ้าออกจากตัวแล้วแกะสิ่งที่อยู่ข้างในออก กล่องไม้หกเหลี่ยมที่ทําจากไม้คุณภาพสูงอยู่ภายในกระเป๋า
เฉินโม่รู้สึกว่าคุณหนูของเขากําลังพยายามจะฆ่าเขา โดยให้เขาทําเช่นนี้
เขาเปิดกล่องและเห็นสิ่งที่อยู่ภายในกล่อง จนทําให้เลือดเดือดพล่านด้วยความกลัวและความวิตกกังวล
“นี่ไม่ใช่ความผิดของข้า… คุณหนูของข้าเพียงต้องการจุดดอกไม้ไฟขนาดใหญ่ เพื่อเฉลิมฉลองการเริ่มต้นของเทศกาล” เขาพึมพําขณะจุดไส้ตะเกียง
กําเนิดนางร้าย The Birth of a Villainess
ตอนที่ 61 งานเลี้ยง 2
เมื่อพวกเขามาถึงงานเลี้ยง เจ้าหน้าที่หลายคนนั่งบนที่นั่งของตนแล้วแต่พวกเขาไม่ปฏิบัติตามการจัดที่นั่งแบบเดิมซึ่งจะมีที่นั่งตามอันดับของพวกเขาพวกเขากําลังนั่งอยู่บนที่นั่งที่สามารถสนทนากับสหายได้อย่างอิสระ
ในขณะที่ที่นั่งและโต๊ะอื่นๆ ถูกวางกระจายอยู่ทุกด้านของห้องโถงซึ่งเหล่าขุนนางสามารถเข้าไปนั่งได้
ที่นั่งสูงสุดและไกลที่สุด มีคนสองคนนั่งอยู่บนเก้าอี้นั้น ที่ถูกทําขี้นอย่างวิจิตรบรรจงอยู่แล้ว
นั่นคือจักรพรรดิและจักรพรรดินี ทั้งสองมีรอยยิ้มอันสง่างามของพวกเขาติดอยู่บนใบหน้าและไม่มีคําใบ้ใดที่จะบอกใครได้ว่าเมื่อใดที่พวกเขาจะเช็ดรอยยิ้มที่น่ารําคาญออกจากใบหน้าของพวกเขาเสียที
นอกจากนี้ยังมีเก้าอี้และโต๊ะอีกหลายตัวที่เรียงรายอยู่ใต้ที่นั่งของจักรพรรดิและจักรพรรดินี ที่นั่งเหล่านี้ถูกใช้โดยราชวงศ์ของจักรพรรดิและดูเหมือนว่าองค์ชายและองค์หญิงทุกคนจะอยู่ที่นั่นขณะที่พวกเขานั่งอยู่ที่นั่นแล้ว
แต่มีที่นั่งหนึ่งที่ไม่ได้เป็นของราชวงศ์ใดๆ และเป็นที่นั่งอันมีเกียรติของดยุคเชียว เนื่องจากเขามีตําแหน่งสูงสุดจากความสําเร็จที่โดดเด่นของเขาและในฐานะคนที่มีเลือดของราชวงศ์ไหลผ่านเส้นเลือดของเขาดยุคจึงได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษ
ขณะที่หลินเซียวเหมิง นั่งอยู่ใต้องค์ชายและดยุคเพื่อให้ความเคารพแก่เขา
เมื่อตระกูลหลินที่เหลือมาถึงห้องโถง เสียงพูดคุยของหญิงสาวส่วนใหญ่ก็เบาลง ก่อนที่จะหยุดชั่วคราวเมื่อพวกเขามองดูสมาชิกตระกูลหลินที่เดินเข้าไปในห้องโถง
ขันทีในวังประกาศการมาถึงของพวกเขาและสมาชิกตระกูลหลินก็โค้งคํานับเพื่อกล่าวทักทายและให้ความเคารพต่อราชวงศ์
และเมื่อหลินเสี่ยวเฟยโค้งคํานับ นางเพียงลดตัวลงเล็กน้อยจนไม่ปรากฏว่านางโค้งคํานับเลย ศีรษะของเธอยังเงยขึ้นเล็กน้อย เพื่อให้เธอสามารถมองดูใบหน้าของศัตรูได้
เล็บของเธอฝังอยู่ในฝ่ามือ ทําให้เกิดรอยคล้ายพระจันทร์เสี้ยวหลินเสี่ยวเฟยพบว่ามันยากที่จะควบคุมความปรารถนาของเธอที่จะฆ่าคนเหล่านี้ที่นั่นและต่อหน้าทุกคน
หลินเสี่ยวเฟยจ้องมองและเธอก็ก้มศีรษะลง ซ่อนการเยาะเย้ยเย็นชาจากดวงตาของพวกเขา
เท่าที่เธอต้องการจะฆ่าพวกเขาทั้งหมด หลินเสี่ยวเฟยคิดว่ามันเร็วเกินไปสําหรับเธอที่จะทําเช่นนั้น และมันจะไม่ถือว่าเป็นการแก้ แค้นอีกต่อไปหากพวกเขาตายอย่างง่ายดาย
พวกเขาทําให้ชีวิตของเธอน่าสังเวชและเต็มไปด้วยความเจ็บปวดไม่รู้จบแล้วทําไมเธอต้องปล่อยให้คนเหล่านี้ประสบกับสิ่งที่เธอประสบเพียงเศษเสี้ยวเดียวเท่านั้น?
หลังจากโค้งคํานับและทักทายผู้อาวุธโสและราชวงศ์แล้ว หลินเสี่ยวเฟยก็เดินและนั่งในที่ที่สมาชิกในตระกูลหลินที่เหลือเลือกที่จะนั่ง
ขณะที่พวกเขานั่งบนที่นั่ง บรรดาหญิงสาวของตระกูลหลินก็ทักทายมิตรสหายของพวกเขาทันทีและพูดคุยกันอย่างมีความสุขคุณหญิงหนึ่งและสองก็เหมือนกัน เมื่อเผชิญหน้ากับเหล่าคุณหญิงที่ทัก
ทายพวกเขา
ในทางกลับกันหลินเฉินยูและหลินจุนไค ต้องนั่งกับบุตรชายคนเล็กของเจ้าหน้าที่และเหล่าสหาย
และมีเพียงหลินเสี่ยวเฟยเท่านั้นที่ถูกทิ้งให้อยู่ตามลําพังและดูเหมือนไม่มีใครมีเจตนาที่จะเข้าใกล้และสนทนากับเธอ
“หลินเสี่ยว นั่นคือคุณหนูสี่ของตระกูลเจ้าใช่หรือไม่” สหายของ
“ใช่ นั่นน้องสาวคนที่สี่” หลินเสี่ยว ก้มหน้าตอบด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยนบนใบหน้าของเธอ
“ชิ! ทําไมนางถึงมาที่นี่หรือ” สหายอีกคนของหลินเสี่ยวพร่ําขณะที่เธอจ้องไปที่หลินเสี่ยวเฟยอย่างน่ารังเกียจ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าที่นี้ไม่ปล่อยให้ขยะเข้ามา?”
“ซียี่เจ้าพูดอะไร หลินเสี่ยวเฟยเป็นลูกพี่ลูกน้องคนที่สี่ของข้าและเป็นสายเลือดของท่านตาของเธอ เธอสามารถเข้าร่วมงานเลี้ยงวันนี้ได้” หลินเสี่ยวกล่าวอย่างไร้เดียงสา และซ่อนความหมายของเธอเพื่อให้น้องสาวของเธอคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้
เช่นเดียวกับที่เธอคาดการณ์ไว้ สหายของเธอจ้องมองไปที่ทิศทางของหลินเสี่ยวเฟยและเยาะเย้ยเพื่อให้เธอได้ยิน ”ฮ่า! อาศัยอยู่หลังตาของนาง นางมีความแตกต่างอะไรกับเจ้าหน้าที่ทุจริตและประจบประแจงน่าขยะแขยง!”
“ถูกต้อง นางควรจะอยู่ในลานบ้านของนางไปอีกหลายปีแทนที่จะออกมาตอนนี้!”
“โชคดีที่ตระกูลชู ยกเลิกการหมั้นก่อนที่จะมีอะไรเกิดขึ้นใครจะไปรู้ว่าพวกเขาอาจจะถูกทําลายเพราะนาง!”
พวกเขายังคงพูดจาไม่ดีต่อหลินเสี่ยวเฟย และเมื่อหลินเสี่ยวพอใจกับความคิดเห็นของพวกเขาเกี่ยวกับลูกพี่ลูกน้องของเธอ เธอพยายามพูดในนามของหลินเสี่ยวเฟย
“พอแล้ว” เธอบอกพวกเขา “ลูกพี่ลูกน้องของข้าอาจจะเคยทําเรื่องโง่ๆมาก่อนแต่ข้าแน่ใจว่าหลังจากที่เธออยู่แต่ในที่พักของเธอนานถึงสามปีเธอต้องคิดที่จะเปลี่ยนวิถีชีวิตของเธอในตอนนี้”
“ช่างไร้สาระ!” ซียเยาะเย้ยและกอดอก “อีกไม่กี่ปีนางจะเปลี่ยนไปไม่มีทางมองดูนางสิ นางยังเหมือนเดิม ดูโง่เขลาที่ไม่รู้ว่าจะทําตัวเหมือนหญิงสาวยังไงมองดูชุดที่นางใส่สิ!”
เมื่อเธอพูดจบ หญิงสาวทุกคน แม้กระทั่งคุณหญิงและชายหนุ่มที่อยู่ใกล้ๆก็มองไปยังที่ที่หลินเสี่ยวเฟยนั่งอยู่
อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่สามารถเห็นหญิงสาวที่พวกเขาอธิบายว่าโง่และเป็นขยะ
จากหญิงสาวที่กําลังนั่งมองลงมาที่ถ้วยน้ําชาของเธอราวกับว่าเป็นสิ่งที่น่าสนใจที่สุดที่เธอเห็นในห้องโถงที่เต็มไปด้วยของสวยงามและหายาก
ศีรษะของเธอก้มลงเล็กน้อยและขนตาที่ยาวเกินไปทําให้เกิดเงาบนแก้มของเธอ ผู้คนไม่สามารถละสายตาได้อีกต่อไป เมื่อเธอมีใบหน้าที่สวยงามและไม่มีใครเทียบได้
แม้ว่าเธอกําลังให้ความสนใจกับกลีบดอกไม้ในถ้วยน้ําชาของเธอแต่หลินเสี่ยวเฟยก็ได้ยินเสียงของพวกเขาชัดเจนจากที่ที่เธอนั่งและรู้สึกถึงผู้ที่กําลังจ้องมองมาที่เธอหลายครั้ง
เธอต้องการหัวเราะเยาะกับคลื่นที่พวกมันสร้างขึ้นเพียงเพราะเธออยู่ที่นั่น เธอไม่ได้พยายามพูดและเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับ เธอเพราะถ้าเธอพูด คนที่จะเหนื่อยจะเป็นตัวเธอเองที่พยายามพู ดกับแต่ละคนและเปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับเธอ
ในขณะที่บางคนกําลังจดจ่ออยู่กับเธอ ขุนนางส่วนใหญ่ที่มาและราชวงศ์ไม่ได้สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงในทิศทางของพวกเขาพวกเขาจดจ่ออยู่กับการสนทนากับเหล่าสหายและพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องอื่นๆ
จากนั้นราวกับสายฟ้าฟาดผ่านห้องโถงที่สงบและคึกคักชายในชุดเครื่องแบบทหารก็วิ่งเข้ามาภายในห้องโถง
ด้วยเสียงที่ดังและแหบแห้งของเขา เขาตะโกนด้วยใบหน้าซีด“ฝ่าบาท! มีสิ่งเลวร้ายเกิดขึ้น!”
ตอนที่ 60 งานเลี้ยง
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วและเทศกาลไหว้พระจันทร์ก็มาถึง
ตามท้องถนนเต็มไปด้วยผู้คนสวมเสื้อผ้าสีสันสดใสเพื่อเฉลิมฉลองวันมงคล เทศกาลไหว้พระจันทร์เป็นเทศกาลใหญ่งานหนึ่งที่จัดขึ้นเป็นเวลาสามวันสามคืน ผู้คนจะแขวนโคมและเดินไปตามสวนสาธารณะและถนนเพื่อต้อนรับฤดูกาลใหม่ เมื่อฤดูหนาวใกล้หมดลงลมก็เริ่มอุ่นขึ้นเล็กน้อยและสดชื่นด้วยกลิ่นอายของพืชและดอกไม้เริ่มผลิบาน
ด้านนอกของคฤหาสน์หลิน มีรถม้าสี่คันจอดอยู่ และใครๆก็เห็นว่ารถมาทุกคันมีเครื่องหมายของเสือขาวของตระกูลหลิน ผู้คนอดไม่ได้ที่จะมองข้ามและอิจฉาชีวิตที่ฟุ่มเฟือย
อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่สามารถพร่ําเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้เนื่องจากพวกเขายังรู้ด้วยว่า เหตุผลที่พวกเขาใช้ชีวิตแบบนั้น เป็นเพราะความสําเร็จทางทหารของหลินเซียวเหมิง
เมื่อผู้คนจํานวนมากขึ้นรวมตัวกันเพื่อดูรถม้าและหวังว่าจะได้เห็นสมาชิกของตระกูลหลิน
คุณหญิงสองและคุณหญิงหนึ่งของตระกูลหลินก็ออกมาจากทางเข้าพวกเขาสวมชุดที่ดีที่สุดซึ่งทําจากผ้าที่มีคุณภาพสูง และเบื้องหลังคือบุตรของพวกเขา
หลินเฉินยูที่หล่อเหลาและสะอาดสะอ้านเป็นคนแรกที่เดินออกจากประตูหลังจากคุณหญิงทั้งสอง และข้างๆเขาเป็นพี่ชายของเขาหลินจุนไคที่ดูลักษณะคล้ายกับพ่อของเขา
พวกเขามองไปด้านหลังและเห็นหญิงสาวสี่คนกําลังเดินไปที่ทางเข้าด้านหน้านั่นคือ หลินเย่วยี่,หลินฮัวโหลวและหลินเสี่ยวหญิงสาวแต่ละคนสวมชุดสวยและมีรอยยิ้มที่สวยงามบนใบหน้า
หลังจากเห็นสมาชิกที่อายุน้อยกว่าของตระกูลและฝูงชนเกือบจะผิวปากด้วยความตื่นเต้น และชื่นชมฉากที่สวยงามตรงหน้าพวกเขา ราวกับว่าพวกเขากําลังดูภาพวาดที่เต็มไปด้วยผู้คนที่สวยงาม
อย่างไรก็ตาม ภาพวาดนั้นก็ลุกเป็นไฟทันที ดวงตาของพวกเขาเบิกกว้างไปที่คนสุดท้ายที่ก้าวออกมาจากประตูหน้าของคฤหาสน์
หลินเสี่ยวเฟยสวมชุดสีดําและผมของเธอมัดเป็นทรงทําให้ดึงความสนใจของผู้คนจนทําให้ใครที่ได้พบเห็นต่างตะลึงในความงามของเธอ
เมื่อไฟต่างๆส่องเฉิดฉายไปที่หลินเสี่ยวเฟย หลินเสี่ยวและหลินฮัวโหลวก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว เพราะพวกเขาไม่ชอบที่จะเป็นพื้นหลังของภาพเหมือนที่สวยงามของหลินเสี่ยวเฟย
“ลูกพี่ลูกน้องสี่ เราควรแบ่งรถม้ากันคนละหนึ่งคันดีหรือไม่?”หลินเสี่ยวยิ้มให้เธอและตั้งใจทําให้เสียงของเธอดังกว่าปกติเพื่อให้ทุกคนได้ยิน
เมื่อทุกคนได้ยินถึงตัวตนของหญิงสาวที่ราวกับนางฟ้า ดวงตาของทุกคนที่เต็มไปด้วยความชื่นชมก็แทนที่ด้วยความรังเกียจ ในบรรดาผู้ที่รักการนินทาในเมืองหลวงคือสามัญชนที่ไม่มีอะไรทําจึงจัดอยู่ในอันดับต้นๆ
หลินเสียวเฟยเพิกเฉยต่อสีหน้าของพวกเขา และกล่าวตอบหลินเสี่ยวว่า
“นั่นจะไม่ใช่ปัญหาสําหรับพี่สามใช่หรือไม่”
หลินเสี่ยวส่ายหัวและยิ้ม “แน่นอน เราเป็นพี่น้องกันแค่แบ่งปันรถม้าคันเดียวคงจะไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าน้องสี่ไม่ต้องการข้าก็จะแบ่งปันกับพี่สาวท่านอื่นๆได้เสมอ”
หลินเสี่ยวตั้งใจที่จะพูดว่าหลินเสี่ยวเฟยไม่เต็มใจและไม่ชอบที่จะอยู่รวมกับพี่สาวน้องสาวคนอื่นๆของเธอ และไม่แสดงความเคารพต่อพวกเขาเนื่องจากพวกเขาแก่กว่าเธอ เธอยังพยายามเตือนฝูงชนที่มารวมตัวกันรอบๆว่าหลินเสี่ยวเฟยยังคงเป็นหญิงสาวตัวเล็กๆที่หยิ่งผยองและเอาแต่ใจตัวเอง
แต่หลินเสี่ยวเฟยจะไม่รู้เจตนาของเธอได้อย่างไร? หลินเสี่ยวเฟยยิ้มเยาะอยู่ข้างใน “พี่สาวคนที่สามท่านกําลังกล่าวอะไร ข้าไม่อยากแบ่งปันรถม้าคันเดียวกับเจ้าได้อย่างไรมาเถอะเข้าไปในรถม้ากัน อย่าทําให้ทุกคนรอเรา”
หลินเสี่ยวเฟยจับมือของเธอและดึงหลินเสี่ยวเข้าไปในรถโดยไม่ได้เหลือบมองคนรอบข้างด้วยรถม้าทั้งหมดที่มีสมาชิกในตระกูลหลินครอบครอง การเดินทางของพวกเขาไปยังพระราชวังจึงเริ่มต้นขึ้น
ภายในรถม้า รอยยิ้มของหลินเสี่ยวบนริมฝีปากของเธอเกือบจะหลุดออกจากใบหน้าหลังจากที่หลินเสี่ยวเฟยผลักเธอเข้าไป
เมื่อมองไปที่ใบหน้าที่ไม่มีใครเทียบ หลินเสี่ยวกัดฟันของเธอและเธอก็ไม่ชอบลูกพี่ลูกน้องของเธอมากขึ้น ขณะที่เธอคิดว่าดวงตาของเธอจะดึงดูดสายตาไปกี่ดวงจากผู้คนเมื่อพวกเขาออกจากที่พัก
เมื่อตาของหลินเสี่ยวเหลือบมองไปยังชุดของหลินเสี่ยวเฟย ดวงตาของเธอก็เป็นประกายและดูเหมือนว่าเธอจะตกใจกับชุดของหลินเสี่ยวเฟย “น้องสาวสี่ ชุดนั้น…”
“มีอะไรผิดปกติกับมันหรือไม่?” หลินเสี่ยวเฟยถามเธอ
“ทําไมเจ้าถึงใส่ชุดสีนั้น เจ้าไม่รู้หรือว่าเรากําลังไปที่วังและจะได้พบกับจักรพรรดิ
หลินเสี่ยวขมวดคิ้ว ”สิ่งนี้เจ้าไม่ควรทํา…ข้าควรส่งสาวใช้ของข้าไปหาชุดใหม่ให้กับเจ้า”
การสวมชุดสีดําต่อหน้าจักรพรรดิและในวันเทศกาลเป็นสิ่งที่ไม่ควรทํา จะเป็นการดูหมิ่นราชวงศ์ และประเพณีการเฉลิมฉลองเทศกาลในขณะที่สวมชุดสีสันสดใสหรือชุดอื่นๆได้ตราบใดที่มันไม่ใช้สี
แน่นอน หลินเสี่ยวเฟยรู้เรื่องนี้และแสดงความคิดเห็นว่า “พี่สาม ข้าว่ามันไม่จําเป็น ข้าไม่อยากรบกวนเจ้าหรือสาวใช้ของเจ้าที่จะหาชุดอื่นมาให้ข้า จริงๆแล้วข้าชอบใส่ชุดนี้และผ้ามันดูน่าสัมผัสข้าไม่อยากเปลี่ยนมัน”
“นอกจากนี้ ราชวงศ์คงจะไม่แม้แต่จะรบกวนหญิงสาวคนหนึ่งที่แต่งตัวแตกต่างไปจากเดิมเมื่อพวกเขามีหลายสิ่งที่ต้องทํา” เธอกล่าวเสริม
ใช่แล้ว พระราชวงศ์ค่อนข้างยุ่งตั้งแต่เทศกาลกําลังจะเริ่มขึ้นและเมื่อวันแรกของเทศกาลมาถึง งานของพวกเขาก็เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าดังนั้นพวกเขาจึงไม่สังเกตหรือสนใจว่าใครจะสวมชุดสีดําหรือเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง
และแม้ว่าพวกเขาจะสังเกตเห็นและพยายามสร้างปัญหาเกี่ยวกับเรื่องชุดของเธอ หลินเสี่ยวเฟยมีวิธีที่จะทําให้พวกเขาลืมเธอได้
เมื่อนึกถึงความชั่วร้ายที่เธอวางแผนไว้ในวันนี้หลินเสี่ยวเฟยก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มสวยๆบนใบหน้าของเธอ
ทันทีที่หลินเสี่ยวเฟยแต่งตัวเสร็จ เธอและสาวใช้ของเธอได้เดินออกไปที่ลานตะวันออก ที่หลินเซี่ยวเหมิงอาศัยอยู่
ทางไปลานตะวันออกนั้น เต็มไปด้วยเส้นทางที่คดเคี้ยว และทางเดินค่อนข้างสับสนเเละทำให้เธอปวดหัว
เปรียบเทียบกับที่อยู่อาศัยของหยูเฟิงซู ก็ไม่ซับซ้อนถึงเพียงนี้!
เเต่ที่อาศัยของหลินเซี่ยวเหมิงนั้นกลับดูลึกลับ เปรียบเสมือนเขาวงกต
หลังจากเดินไปได้สองสามนาที พวกเขาก็ได้เดินมาถึงหน้าลานด้านตะวันออก และกำลังจะเข้าไป เเต่กลับเจอคนกลุ่มหนึ่ง
“คุณหนู นั่นคือฮูหยินรองเเห่งตระกูลหลิน” ไป่ลู่กล่าวเบาๆ ใบหน้าของเธอแสดงถึงความเป็นห่วง
หลินเสี่ยวเฟยเหลือบไปมองไปที่คนกลุ่มนั้นเพียงเล็กน้อยเมื่อเธอได้ยินไป๋ลู่กล่าว ดวงตาของเธอเหลือบไปมองสาวใช้ ที่สวมชุดสีเขียวหลายคน ก่อนที่เธอจะสะดูดตาไปที่หญิงสาววัยกลางคนที่มีรูปร่างอ้วนท้วมที่สวมชุดสีเหลืองอยู่ตรงหน้า
เธอคนนี้คือ ฮูหยินสองเเห่งตระกูลหลิน
เธอสวมชุดผ้าไหมสีเขียวและใส่เสื้อคลุมจิ้งจอกสีเหลือง เธอดูใจดีและมีเมตตาตั้งแต่แรกเห็น แม้แต่หลินเสี่ยวเฟยก็คิดเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตาม ที่ไป่ลู่กล่าวกับเธอเมื่อสองสามวันก่อน ฮูหยินสองพยายามจะควบรวมธุรกิจของเธอและมักจะแอบรังแกหลินเสี่ยวเฟยอย่างลับๆ
ถึงแม้ว่าหลินเสี่ยวเฟยจะเป็นบุตรคนโปรดของตระกูลหลิน อย่างที่ใครๆว่า แต่ความเป็นจริงเเล้วก็ค่อนข้างที่จะแตกต่างกัน
เเต่ในความเป็นจริงเเล้ว มีเพียงเเต่หลินเซี่ยวเหมิงผู้เดียว ที่ให้ความสำคัญกับเธอ
เมื่อหลินเซี่ยวเฟยล้มป่วยเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว มีเเต่เพียงหลินเซี่ยวเหมิงผู้เดียว ที่มาเยี่ยมเธอบ่อยๆและเป็นห่วงเธออย่างแท้จริง ส่วนสมาชิกในตระกูลหลินบางคน ก็เเค่แวะผ่านมาและส่งสมุนไพรมาให้เท่านั้น และเหตุผลที่พวกเขาทำเช่นนั้นเพียงเพราะว่า ถูกหลินเซี่ยวเหมิงบังคับให้ไปเยี่ยม เเต่พวกเขาไม่ต้องการเปิดเผยจิตใจที่ต่ำทรามของพวกเขา พวงเขาจึงต้องทำตาม
ตระกูลหลินมีเพียงสองสาขา สาขาแรกเป็นของบุตรชายคนโตของตระกูลหลิน ,หลินเฟิง ในขณะที่อีกสาขาเป็นของบุตรชายคนรองหลินซาง แต่ในขณะนี้เสี่ยวเฟยไม่เคยพบเจอกับลุงของเธอทั้งสองเลย
หลินเฟิงและหลินซาง ไม่ได้เดินตามรอยเท้าของพ่อ แต่กลับกลายเป็นนักกวีวรรณกรรมและมักจะอยู่ในราชสำนักเพื่อคลายความกังวลขององค์จักรพรรดิ อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็เริ่มเข้าร่วมกับองค์ชายบางคนเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับอนาคต
ดวงตาของหลินเสี่ยวเฟย มองตรงไปในทิศทางของพวกเขาเป็นเวลาสองสามวินาที ก่อนที่เธอจะตัดสินใจเมินเฉยต่อพวกเขาโดยสิ้นเชิง
หลินเสี่ยวเฟยคนเดิม เขานั้นไม่เคยชอบคุณหญิงรองอยู่เเล้ว และแน่นอนว่าตอนนี้เธอกลายเป็นหลินเสี่ยวเฟยคนใหม่แล้ว เธอจึงไม่อยากทำตัวใกล้ชิดสนิทสนมหรือแก้ไขความสัมพันธ์ในอดีตที่เกี่ยวกับเธอและ เธอก็ไม่มีความปรารถนาที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งนั้นด้วย
“ไปกันเถอะ.” เธอพูดเเละเดินหลบหลีกไปจากอีกฝ่ายโดยทันที
เมื่อหลินเสี่ยวเฟยและสาวใช้ของเธอกำลังจะเดินผ่านไป สาวใช้ของซงหยานยี่ก็กระทืบเท้าของเธอและพูดอย่างโกรธเคืองว่า “คุณหนูสี่ เห็นคุณนายแล้ว แต่เธอก็ทำเหมือนไม่สนใจ เธอนั้นช่างมีนิสัยหยาบคายยิ่งนัก!”
ซงหยานยี่ยิ้มให้เธออย่างอ่อนโยนและพูดว่า “เจ้าไม่ต้องสนใจเรื่องนี้ คุณหนูที่ไร้อำนาจ มีอะไรต้องสนใจ ปล่อยให้นางเข้าไปด้านในเพื่อท่านตาของนางเถอะ “
ที่เธอกล่าวเเบบนั้นเธอหมายความว่าอย่างไร เพราะในตระกูลหลิน รู้กันอยู่ว่าหลินเซี่ยวเฟยมีเพียงหลินเซี่ยวเหมิงเท่านั้น ที่คอยอยู่เบื้องหลังเธอ?
เธอก็เเค่ต้นไม้ที่มีกิ่งไม้เพียงกิ่งเดียว เมื่อถึงเวลาหักโค่นขึ้นมา ก็จะไม่มีอะไรเหนี่ยวรั้งเธอไว้
ซงหยานยี่รู้สึกเกลียดหลินเสี่ยวเฟย ที่นางเป็นคนหยาบคายและเย่อหยิ่ง ทั้งสองเวลาเจอหน้ากันก็จะพูดจาดูหมิ่นกันโดยไม่เสแสร้งทำดีใส่กัน แต่เพราะหลินเสี่ยวเฟยมีหลินเซี่ยวเหมิงอยู่เบื้องหลัง เธอจึงทำได้เพียงเเอบวางแผนทำลับหลังของทุกคน และรังแกหลินเสี่ยวเฟย
เมื่ออาทิตย์ที่แล้วมีข่าวเกี่ยวกับอาการของหลินเสี่ยวเฟย ทำให้ทุกคนในตระกูลหลิน ยกเว้นหลินเซี่ยวเหมิง มีความสุขมากและสวดมนต์อ้อนวอนในห้องสวดมนต์เพื่อสาปเเช่งให้เธอไม่ต้องฟื้นขึ้นมาอีก
แต่น่าเสียดายที่พวกเขาต้องผิดหวัง ทุกอย่างไม่ได้เป็นไปตามอย่างที่พวกเค้าคิด หลินเสี่ยวเฟยไม่ตายและมีชีวิตรอดมาได้
เมื่อหลินเสี่ยวเฟยมาถึงบ้านตระกูลหลินครั้งแรก ทุกคนต่างพากันสงสัยในตัวเด็กสาวที่ถูกส่งมาจากเมืองหลวงเเละมีมารยาทที่ไม่ดี พวกเขาจึงพากันไปพบเธอ เเต่ในตอนแรกนั้นพวกเขาก็ยังไม่เชื่อในข่าวลือ แต่หลังจากที่ได้พบเธอ พวกเขาก็ต่างพากันเกลียดเธอทันที และเริ่มพูดจาเย็นชาใส่เธอ
ชื่อเสียงที่ไร้ค่าและความเย่อหยิ่งของเธอ ไม่ได้ทำเธอให้ดูดีขึ้น เพราะเธอมักจะดูหมิ่นพวกเขา พวกเขาอยากจะให้ตระกูลโจวพาเธอกลับไป
ที่น่าประหลาดใจคือ ตระกูลโจวไม่สนใจเธอหรือพูดอะไรสักคำ เเละเมื่อหลินเซี่ยวเหมิงพา
หลานสาวของเขาไป ตระกลูโจวกลับรู้สึกดีใจด้วยซ้ำ ที่เขาพาเธอไปและพวกเขาไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับเด็กสาวที่ทำตัวน่ารังเกียจเช่นนี้อีกต่อไป
สิ่งนี้ทำให้ตระกูลหลินรู้สึกไม่พอใจกับการกระทำของตระกูลโจว ความเกลียดชังของพวกเขาจึงถูกส่งต่อไปยังหลินเสี่ยวเฟย ซึ่งเป็นรุ่นเยาว์ของตระกูล
เมื่อไหร่ก็ตาม ในขณะที่หลินเซี่ยวเหมิงอยู่ด้วย พวกเขาก็จะแกล้งยิ้มและแสร้งทำเป็นว่าพวกเขาห่วงใยเธอ
หลินเสี่ยวเฟยก้าวเท้าเข้าไปในลานตะวันออก
ลานตะวันออก เป็นที่ที่หลินเซี่ยวเหมิงอาศัยอยู่ บ้านหลังใหญ่โตแต่ดูเรียบง่าย มีเพียงผนังสีขาวและกระเบื้องสีดำมีเฟอร์นิเจอร์ไม่มาก ช่วยให้ลานบ้านดูน่าดึงดูดใจผู้มาเยือนมากขึ้น ในแต่ละด้านของลานบ้าน มีที่นั่งเพียงไม่กี่ที่นั่งเท่านั้น และตรงกลางมีที่นั่งสำหรับผู้นำตระกูล
เก้าอี้ถูกทาด้วยสีดำ แต่การแกะสลักของเก้าอี้นั้นส่งกลิ่นอายที่ทรงอำนาจ หนังเสือที่อยู่ถูกปูอยู่บนเก้าอี้เป็นเครื่องย้ำเตือนว่า ถึงแม้หลินเซี่ยวเหมิงจะเกษียณไปเเล้ว แต่เขาก็ยังเป็นคนที่สามารถทำให้ศัตรูของเขา คุกเข่าลงและขอความเมตตาจากเขาได้
หลินเสี่ยวเฟยมองไปรอบๆอีกครั้ง และเห็นสาวใช้ที่กำลังตื่นตระหนกอยู่ที่มุมห้องโถง เธอเดินเข้าไปใกล้ๆและถามว่า “ท่านตาของข้าอยู่ที่ไหน”
ทันใดนั้น สาวใช้ที่กำลังหันหลังให้หลินเสี่ยวเฟย เธอได้ยินเสียงจากด้านหลัง เธอก็สะดุ้งตกใจและใบหน้าของเธอก็ขาวซีด
“คุณหนูสี่!” คนใช้พูดแล้วก้มหน้าลง
หลินเสี่ยวเฟยขมวดคิ้ว “ข้าถามว่าท่านตาของข้าอยู่ที่ไหน”
นัยน์ตาตาของสาวใช้สั่นไหวและกล่าวว่า “ท่าน… ท่านผู้อาวุโสไม่อยู่ที่นี่เจ้าค่ะ”
“แล้วเขาอยู่ที่ไหน”
“ท่านผู้อาวุโส อยู่ในห้องโถงรับแขก เเละท่านกำลังมีแขกอยู่เจ้าค่ะ ”