ครั้นนางเถียนจากไปแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าจึงเอ่ยกับเจินเมี่ยวว่า “หลานสะใภ้ เจ้าดูเถิด ไม่ว่าจะไปสู้ศึกในสนามรบหรือแก่งแย่งในเรือนหลัง บางคราการพูดจาด้วยเหตุผลกลับง่ายกว่า เจ้ามิอาจเอาแต่จะโจมตีฆ่าฟันศัตรูนับพัน ตนล้มตายแปดร้อย บางคราเจ้าคิดว่าเจ้าชนะแล้วแต่ความจริงกลับพ่ายแพ้อย่างราบคาบ บางคราการยอมถอยสักก้าวก็เพื่อให้ได้ชัยชนะที่ยอดเยี่ยมยิ่งกว่า”
เจินเมี่ยวใช้สายตาที่เต็มไปด้วยความนับถือมองฮูหยินผู้เฒ่า
ฮูหยินผู้เฒ่าช่างเป็นผู้มีความสามารถโดยแท้ ผู้ใดบอกว่าฮูหยินผู้เฒ่าจวนเจิ้นกั๋วกงมิเก่งกาจในการดูแลเรือน ผู้อื่นเพียงแค่คร้านจะใช้มีดฆ่าโคเชือดระกา[1] เท่านั้น
ครั้นเห็นหลานสะใภ้ฉลาดทั้งยังเชื่อฟัง ฮูหยินผู้เฒ่าก็คลายโทสะลงเล็กน้อย แล้วเอ่ยด้วยความรู้สึกอันล้ำลึกว่า “หลานสะใภ้ เจ้ากับต้าหลังอายุยังน้อย กล่าวไปแล้วก็เป็นช่วงเวลาอันดีที่จะสร้างสมความรู้สึกดีๆ ต่อกัน ความสัมพันธ์ของสามีภรรยานั้นมักค่อยๆ ถอยห่างกันออกไปอย่างไม่รู้ตัว เมื่อหันกลับมาอีกครากลับมิอาจเป็นเช่นเดิมได้แล้ว ดั่งคำกล่าวที่ทั้งชิดใกล้ทั้งห่างไกลนั้นไซร้คือสามีภรรยา”
เจินเมี่ยวได้ฟังวาจานี้แล้วก็ครุ่นคิดตาม
นางอยากจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับซื่อจื่อแต่กลับมิเคยคิดถึงเรื่องความรักเลย
หากเป็นเช่นนี้ความเจ็บปวดที่ได้รับอาจน้อยยิ่งแต่มิใช่ว่าจะเกิดความน่าเสียดายอีกชนิดหนึ่งขึ้นแทนหรือ?
แต่จะว่าไป ความรักนั้นเป็นสิ่งอัศจรรย์ยิ่ง มิใช่ตนบอกว่าอยากจะมีก็จะมีได้เสียที่ไหน ภพก่อนนางก็มิเคยมีความรู้สึกพิเศษใดกับบุรุษเลย ครั้นยามนี้หรือ…เพราะมีเรื่องต่างๆ คอยเข้ามาบกวนทำให้นางยิ่งไม่เข้าใจว่าแท้จริงแล้วตนรู้สึกเช่นไรกับซื่อจื่อกันแน่
เป็นครั้งแรกที่เจินเมี่ยวรู้สึกวุ่นวายจิตใจขึ้นมา ครั้นกลับไปถึงเรือนชิงเฟิงก็นั่งเหม่อลอยอยู่บนเก้าอี้กุ้ยเฟยอย่างไม่รู้จะทำฉันใด
จื่อซูเห็นเช่นนั้นก็ส่งสายตาให้เจี้ยงจู เจี้ยงจูเข้าใจทันทีจึงไปเอาจิ่นเหยียนเข้ามาในห้อง
จิ่นเหยียนถูกเลี้ยงจนเชื่องแล้ว เมื่อออกจากกรงก็บินเข้าไปตรงหน้าเจินเมี่ยว อ้าปากร้องว่า “แม่นางคนงาม”
เจินเมี่ยวชินกับการเกี้ยวพาของนกเอี้ยงก้นลายตัวนี้จนมิเห็นเป็นเรื่องแปลกเสียแล้ว นางรับอาหารนกจากเจี้ยงจูมาป้อนให้จิ่นเหยียน ยิ้มพลางเอ่ยเย้าว่า “พ่อจอมยุทธ์หนุ่ม เจ้าไม่รู้ดอกว่าวันนี้มีสตรีงามล้ำผู้หนึ่งมาที่จวนเราด้วย น่าเสียดายที่เจ้าไม่มีโอกาสเห็น”
จิ่นเหยียนใช้จงอยไซ้ขน หัวของมันส่ายไปส่ายมา นัยน์ตาเล็กๆ นั้นดูเหม่อลอย ว่าไปแล้วมันก็เป็นเพียงนกเอี้ยงก้นลายตัวหนึ่ง ไหนเลยจะฟังภาษาคนเข้าใจ?
ทว่าสาวใช้ทั่วทั้งห้องกลับแปลกใจยิ่ง
เจินเมี่ยวใจดีกับบรรดาสาวใช้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ไป่หลิงจึงกล้าเอ่ยถามออกไปว่า “ต้าไหน่ไหน่ ท่านผู้นั้นเป็นสตรีงามล้ำยิ่งจริงหรือเจ้าคะ?”
เรื่องที่นายท่านรองสกุลหลัวนำอนุนอกเรือนกลับมาทั้งยังถูกส่งไปอยู่ที่เรือนซินหยวนมิได้ถูกขายทิ้งไปนั้นแพร่กระจายไปทั่วจวนนานแล้ว
เรือนชิงเฟิงมีฐานะพิเศษ ทั้งหลัวเทียนเฉิงยังมีตำแหน่งขุนนางระดับสูงอีก ทำให้ผู้คนต่างมิกล้าละเลยเรือนชิงเฟิง แม้นไม่มีผู้ใดไปสอบถามก็จะมีคนมาบอกเล่าเรื่องราวสัพเพเหระเหล่านี้เอง
“งดงามหยาดเยิ้มจริงๆ” เจินเมี่ยวระลึกถึงความรู้สึกอึ้งงันยามได้มองนางแล้วก็เอ่ยขึ้นอย่างทอดถอนใจ
เจินเมี่ยวมองไปโดยรอบคราหนึ่งแล้วเอ่ยกำชับว่า “นางเป็นคนของบ้านรอง โอกาสที่จะได้พบเจอนั้นคงไม่มาก แต่ต่อไปหากได้พบก็ให้อยู่ให้ห่างไกล หญิงงามมักก่อให้เกิดหายนะ”
สาวใช้หลายคนมองสบตากันแล้วกลั้นยิ้มเอาไว้ ต่างคิดในใจว่าวาจานี้ของต้าไหน่ไหน่นั้นคล้ายลืมไปว่าตนเองมีรูปโฉมเช่นไร แค่สาวใช้ทงฝังผู้หนึ่งย่อมมิอาจนำมาเปรียบกับต้าไหน่ไหน่ของพวกนางได้
สาวใช้หน้าตาสะสวยพูดคุยหยอกล้อกันไปมาทำให้อารมณ์เจินเมี่ยวดีขึ้นมาทันใด
ยังมิทันเห็นคนก็ได้ยินเสียงของเชวี่ยเอ๋อร์ดังลอยเข้ามาก่อนแล้ว “ต้าไหน่ไหน่ วันนี้ซื่อจื่อส่งแมวงดงามตัวหนึ่งมาให้ท่านเจ้าค่ะ”
ไป่หลิงกัดฟันเอ่ยขึ้นว่า “เชวี่ยเอ๋อร์ผู้นี้นับวันยิ่งไร้กฎระเบียบไปทุกทีแล้ว”
เชวี่ยเอ๋อร์แหวกม่านเดินเข้ามาแล้วหัวเราะคิกคักพลางเอ่ยว่า “พี่ไป่หลิงด่าข้าอีกแล้วหรือ ต้าไหน่ไหน่ท่านดูสิเจ้าคะ บ่าวพูดไม่ผิดเลยใช่หรือไม่?”
มิทันรอให้เจินเมี่ยวพูดอันใด สาวใช้หลายคนก็กรูเข้าไปรุมล้อม
เชวี่ยเอ๋อร์อุ้มแมวตัวไม่ใหญ่นักนั้นไว้ในอ้อมแขน ขนของมันทั้งขาวทั้งยาวทั้งหนา ดูท่าน่าจะอุ่นยิ่ง โดยเฉพาะตาของมัน ข้างหนึ่งเป็นสีฟ้าใส อีกข้างเป็นสีเหลืองอำพัน
แม้นแต่จื่อซูและไป๋เสาที่แสนสุขุมยังอดมองอยู่หลายครามิได้
เชวี่ยเอ๋อร์เดินอุ้มแมวขาวนั้นเข้ามา “ต้าไหน่ไหน่ แมวนี้สวยงามใช่หรือไม่เจ้าคะ ได้ยินพี่หลัวเป้าบอกว่าแมวตัวนี้นั่งเรือข้ามน้ำมาจากแดนไกล ซื่อจื่อใช้เวลาอยู่นานกว่าจะหามันมาได้”
นางพูดพลางส่งแมวไปให้เจินเมี่ยว
ตั้งแต่เจี้ยนอานปั๋วบังคับให้นางรับเจ้านกเอี้ยงก้นลายนี้ไว้ เจินเมี่ยวกลับพบว่าน่าสนใจและสนุกยิ่งเมื่อได้เห็นแมวปัวซือ[2]ที่ยากนักจะพบเห็นได้ในต้าโจวก็ย่อมต้องรู้สึกสนใจจึงยื่นมือออกไปรับมันมา
เวลานี้เองจึงได้ยินเสียงพึ่บพั่บดังขึ้น จิ่นเหยียนที่อยู่ข้างกายนางพลันบินเข้าไปใช้กรงเล็บสองข้างของมันขย้ำขนอันยาวนุ่มของแมวทันที
เหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วยิ่ง เชวี่ยเอ๋อร์กรีดร้องคราหนึ่งแล้วปล่อยมือ
แมวและนกต่างก็ร่วงตกลงพื้น พริบตาขนนกและขนแมวก็ปลิวว่อน เสียงนกและแมวดังประสานกัน จิ่นเหยียนที่ขยุ้มไม่ปล่อยก็เอ่ยคำด่าว่าซึ่งมิทราบเรียนมาจากที่ใดออกมา แมวหนึ่งนกหนึ่ง วิวาทกันพัลวันชุลมุนไปหมด
เจินเมี่ยวมีสติคืนมาก่อนผู้ใด นางมองไปรอบๆ คราหนึ่ง
ดีมาก บรรดาสาวใช้น้อยต่างตกใจอึ้งงันไปหมด
เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาของเจินเมี่ยว คนทั้งหลายจึงเริ่มรู้สึกตัว
เชวี่ยเอ๋อร์อยู่ใกล้ที่สุดจึงเข้าไปแยกพวกมันออกจากกัน เจินเมี่ยวรีบร้องห้าม “อย่าเข้าไป หากถูกข่วนคงไม่ดีแน่!”
ไม่แน่อาจจะมีโรคพิษสุนัขบ้าก็เป็นได้ แม้นจะเพียงแค่บาดทะยักอักเสบ แต่หากอยู่ในยุคสมัยนี้ก็อาจตายได้เช่นกัน
เชวี่ยเอ๋อร์ยืนอึ้งอยู่ตรงนั้นไม่เดินเข้าไปแต่ก็ไม่ถอยออกมาเช่นกัน
เวลานี้เองชัยชนะของแมวและนกจึงปรากฏขึ้น จิ่นเหยียนยืนเหยียบอยู่บนตัวแมว แล้วร้องขึ้นด้วยความภาคภูมิ
เจี้ยงจูจึงอาศัยจังหวะนี้เดินเข้าไปอย่างเงียบๆ แล้วจับปีกจิ่นเหยียนไว้แน่นด้วยความรวดเร็ว นางยกมันขึ้น แต่จิ่นเหยียนไม่ยินยอม มันยกกรงเล็บขึ้นข่วนหลังแมวขาวตัวนั้นคราหนึ่ง
แมวขาวเองก็ฉลาดเช่นกัน เมื่อมันเห็นจิ่นเหยียนถูกจับไว้ก็เปลี่ยนจากท่าทีน่าสงสารเมื่อครู่เป็นการกระโดดงับขาจิ่นเหยียนทันที
จิ่นเหยียนร้องขึ้นเตรียมเอาคืน
แมวขาวกลับวิ่งหนีออกไปข้างนอก
แมวกับนกข่วนกัดกันกลิ้งหลุนๆ ออกไปด้านนอก
เจินเมี่ยวกุมขมับตน…นางคิดว่าภายหน้าคงคึกคักกว่านี้เป็นแน่
ลางสังหรณ์ของนางไม่ผิดสักนิด หลังจากวันนั้นทุกคราที่จิ่นเหยียนและแมวตัวนั้นที่นางตั้งชื่อมันว่า ‘ไป๋เสวี่ย’ พบหน้ากันต่างก็เข้าไปขยุ้มอีกฝ่ายทันทีอย่างไม่มีทางดีต่อกันได้
เจินเมี่ยวพบว่าสาวใช้ในเรือนกลับมือเท้าว่องไวขึ้นมากพอๆ กัน ยามกินข้าวก็ตักเพิ่มขึ้นอีกครึ่งชาม
หลังจากผ่านเหตุการณ์วุ่นวายขึ้นอีกครั้ง เจินเมี่ยวก็กัดฟันเอ่ยว่า “ใกล้จะถึงเทศกาลวันตรุษแล้ว ไปสอบถามที่เรือนหน้าสักหน่อยเถิดว่าซื่อจื่อจะกลับมาวันใด”
นางรับรองว่าจะไม่คิดบัญชีกับเขาแน่!
เมื่อหลัวเทียนเฉิงฟังถึงเจตนาที่หลัวเป้ามาหาตนก็อดยกมุมปากขึ้นยิ้มมิได้ สตรีล้วนชมชอบแมว นก อันใดพวกนี้ไม่มีผิดจริงๆ
“ต้าไหน่ไหน่เห็นแมวแล้วมีท่าทีเช่นไรบ้าง?”
“เรื่องนี้ข้าน้อยไม่ทราบขอรับ แต่ตอนนี้แม่นางเชวี่ยเอ๋อร์อุ้มแมวไปก็ดูเบิกบานใจยิ่ง ข้าน้อยคิดว่าต้าไหน่ไหน่จักต้องชอบอย่างแน่นอนขอรับ มิฉะนั้นคงมิส่งคนมาถามข้าว่าท่านจะกลับเมื่อใดแน่ ทั้งที่ข้าก็ไปส่งของขวัญให้ต้าไหน่ไหน่อยู่หลายคราแล้ว”
หลัวเทียนเฉิงพลันเผยรอยยิ้มออกมา “ไป กลับจวนวันนี้แล”
คนทั้งสองขี่ม้ากลับไปที่จวนกั๋วกง ในที่สุดหลัวเป้าที่ยึกๆ ยักๆ อยู่นานก็เอ่ยขึ้นมาในระหว่างทางว่า “ซื่อจื่อ ข้าน้อย…ข้าน้อยอยากจะขอร้องท่านอยู่หนึ่งขอรับ”
“พูดมาเถิด” หลัวเทียนเฉิงกำลังอารมณ์ดี มุมปากเคลือบรอยยิ้ม
หลัวเป้าหน้าแดงขึ้นมา
หลัวเทียนเฉิงเลิกคิ้วขึ้น “มีเรื่องใดที่ยากจะเอ่ยปากเช่นนั้นหรือ?”
“ข้าน้อย…”
รออยู่นานก็ไร้วี่แวว หลัวเทียนเฉิงจึงหน้าบึ้งขึ้น “เป็นบุรุษกลับทำอ้ำอึ้งเป็นสตรี หากไม่พูดอีก เจ้าก็ไม่ต้องพูดแล้ว”
ครานี้หลัวเป้าจึงร้อนใจขึ้นมา เขาหลับตาเอ่ยออกไปทันควันว่า “ข้าน้อยชอบ…ต้าไหน่ไหน่…ต้าไหน่ไหน่…”
วาจายังมิทันกล่าวจบก็ถูกหลัวเทียนเฉิงถีบตกจากหลังม้า
หลัวเป้าร้องโหยหวนออกมาโดยมิสนใจสายตาแปลกประหลาดขอผู้คนที่สัญจรไปมา เขากุมท้องพลางกระโดดขึ้นหลังม้า แล้วเอ่ยขึ้นอย่างน่าเวทนาภายใต้สายตาพิฆาตของนายตน “ซื่อจื่อ ข้างกายต้าไหน่ไหน่มีสาวใช้ผู้หนึ่ง ข้าน้อยชมชอบนางผู้นั้นขอรับ แต่ต่อให้ท่านไม่รับปากก็มิควรทำเพียงนี้กระมัง”
“สาวใช้ของต้าไหน่ไหน่หรือ?” หลัวเทียนเฉิงลูบจมูกตนคราหนึ่ง
หลัวเป้าเป็นถึงองครักษ์ประจำตัวของหลัวเทียนเฉิง ย่อมต้องมิใช่คนโง่ ครั้นเห็นท่าทีประหม่าของอีกฝ่ายก็อดแสดงสีหน้าอึ้งงันออกมามิได้เมื่อทราบว่าเหตุใดเขาจึงถูกถีบตกม้า
ซื่อจื่อ ซื่อจื่อมิจำเป็นต้องหึงหวงถึงเพียงนี้กระมัง
อีกอย่างต่อให้เขาคิดอันใดต่อต้าไหน่ไหน่จริงก็คงมิเอ่ยออกไปตามตรงเช่นนี้กระมัง? ไม่ทราบว่านายท่านของเขาคิดได้อย่างไร
โธ่เอ้ย ตีให้ตายเขาก็ไม่ทางมีความคิดเช่นนั้นแน่!
ไม่ได้การแล้ว เขาคิดเรื่องเหลวไหลอันใดอยู่หรือ
หลัวเป้าตบหน้าผากตน
หลัวเทียนเฉิงทราบว่าตนวู่วามเกินไปก็มีท่าทีอ่อนลงเล็กน้อย “เป็นอันใดหรือ?”
“ข้าน้อยปวดท้องขอรับ!”
หลัวเทียนเฉิงมองหลัวเป้าที่กุมหน้าผากตนไว้แล้วออกหัวเราะเสียงดังออกมามิได้ “ยังดีที่เจ้ามิได้บอกว่าเจ็บก้น!”
หลัวเป้ารีบวางมือลงทันใด สีหน้าดังคนจะร้องไห้แต่กลับไร้น้ำตา
ซื่อจื่อไม่ควรจะรังแกกันเกินไปเช่นนี้!
“เจ้าชมชอบคนใดหรือ เชวี่ยเอ๋อร์?”
หลัวเป้ารีบส่ายหน้า ครานี้มิกล้าอ้ำอึ้งเพราะเขินอายอีก “มิใช่ๆ ข้าน้อยชอบแม่นางจื่อซูขอรับ”
“จื่อซู?” หลัวเทียนเฉิงนึกอยู่ครู่หนึ่ง ข้างกายเจินเมี่ยวมีสาวใช้ชุดสีม่วงผู้หนึ่งที่มิใคร่พูดจาอยู่ผู้หนึ่ง ดูท่าก็น่าจะอายุไม่น้อยแล้ว
หลัวเป้าอายุยี่สิบกว่าแล้ว หากทั้งสองคนลงเอยกันได้ก็ดูเหมาะสมกันยิ่ง
“ซื่อจื่อ?” หลัวเป้ามองหลัวเทียนเฉิงด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“รอกลับไปแล้วข้าจะพูดกับต้าไหน่ไหน่ดู แต่จื่อซูเป็นสาวใช้ขั้นหนึ่งของต้าไหน่ไหน่ บางทีนางอาจจะมีความคิดอื่นใดไว้แล้วก็เป็นได้”
“มีความคิดอื่นใดไว้แล้ว?” สายตาที่หลัวเป้ามองหลัวเทียนเฉิงพลันแปลกไป
แยกแล้ว เหตุใดเขาจึงลืมไปได้ สาวใช้ที่ติดตามคุณหนูออกเรือนนั้นโดยมากมักถูกจัดเตรียมไว้เพื่อเป็นสาวใช้ทงฝัง
ที่ซื่อจื่อถีบเขานั้นไม่ผิดเลยจริงๆ!
“สายตาเช่นนี้ของเจ้าหมายความว่าอย่างไร?” หลัวเทียนเฉิงเห็นแล้วก็พาลโมโห “ที่บอกว่าอาจมีความคิดอื่นใดคือต้าไหน่ไหน่อาจจะคิดจะยกสาวใช้ผู้เก่งกาจของนางให้กับพ่อบ้านผู้ดูแลจวนก็ได้ เจ้าได้คิดเรื่องที่มันไม่มีทางเกิดขึ้นเหล่านั้นเด็กขาด!”
หลัวเป้าพลันเบิกบานใจขึ้นมาจึงผลิยิ้มทึ่มทื่อพลางเอ่ยว่า “ต้าไหน่ไหน่ได้เรียกข้าน้อยไปพบแล้วขอรับ”
“หืม?” หลัวเทียนเฉิงรู้สึกว่าเขาจะอยากถีบคนขึ้นมาอีกแล้ว
หลัวเป้าจึงรีบเล่าเรื่องวันนั้นทันที
หลัวเทียนเฉิงเอ่ยเตือนอย่างคนคิดการณ์ไกลว่า “หลัวเป้า เจ้าแต่งกับผู้อื่นข้ามิยุ่ง แต่แต่งกับสาวใช้คนสนิทของต้าไหน่ไหน่ หากภายหน้าเจ้ารังแกนาง ทำให้ต้าไหน่ไหน่ไม่พอใจต่อข้า ข้าก็จะไม่ไว้หน้าเจ้าเช่นกัน เมื่อรู้ว่าต้องเป็นเช่นนี้แล้ว เจ้ายังอยากจะแต่งอยู่หรือไม่? เจ้าคิดให้ดีแล้วค่อยพูดเถิด”
“มิต้องคิดแล้วขอรับ หากข้าน้อยมีวาสนาเช่นนั้นแล้วจักต้องดูแลแม่นางจื่อซูอย่างดีแน่นอนขอรับ หากภายหน้ามีสิ่งใดที่ทำไม่ดีก็ยินยอมให้ซื่อจื่อตำหนิและลงโทษขอรับ”
หลัวเทียนเฉิงพยักหน้าอย่างพอใจ หลังจากถึงจวนก็ไปน้อมทักทายฮูหยินผู้เฒ่าแล้วกลับเรือนชิงเฟิงทันที
——
[1] ใช้มีดฆ่าโคเชือดระกา เปรียบเปรยว่าทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ ออกแรงมากโดยไม่จำเป็นคล้ายสำนวนไทย ขี่ช้างจับตั๊กแตน
[2] แมวปัวซือ คือแมวเปอร์เซีย