ยามค่ำคืน ภายใต้การนำทัพของจางเสี่ยวหลิน หน่อยลอบโจมตีได้มารวมตัวกันกว่าสามร้อยคนและลอบเข้าไปยังแคมป์ที่พักของน่ากองทัพหลานเทียนฮวง
อย่าดูถูกจำนวนคนสามร้อยกว่าคนนี้เชียว จอมยุทธระดับต่ำที่สุดในหน่วยคือระดับตัวอ่อนวิญญาณ นอกจากนั้นก็มีระดับก้าวสู่เทวาสิบกว่าคน ระดับสวรรค์สองคนและระดับทลายมิติ
เมื่อคิดดูแล้ว ถึงแม้น่าหลานเทียนฮวงจะเตรียมตัวรับกับสถานการณ์เอาไว้แล้ว แต่หากพบกับหน่วยลอบจู่โจมตีแข็งแกร่งเช่นนี้ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องเกิดความสูญเสียอย่างมหาศาล และเมื่อใดที่สถานการณ์เริ่มดูย่ำแย่ พวกก็จะค่อยถอนทัพกลับมา
อย่างไรก็ตาม เมื่อรุ่งอรุณเปิดฟ้า หลิงฮันก็เห็นจางเสี่ยวหลินกลับมาในเมืองพร้อมกับจอมยุทธระดับสวรรค์แค่สองคน ใบหน้าของพวกเขามืดมนและมีบาดแผลสาหัสที่ลึกจนมองเห็นกระดูก
พวกเขาไม่ได้กล่าวคำพูดใดๆและกลับไปยังที่พักของตน แต่ครึ่งวันต่อมากองทัพก็มีคำสั่งให้ทุกคนล่าถอยทันที
เกิดอะไรขึ้นกันแน่ แค่การลอบจู่โจมครั้งเดียวทำไมต้องให้ทุกคนล่าถอยด้วย?
แต่นั่นเป็นคำสั่งของจอมยุทธระดับทลายมิติ ใครจะกล้าตั้งคำถามหรือปฏิเสธ?
ทันใดนั้นกองทัพกว่าหนึ่งหมื่นหน่วยก็ถอนตัวออกจากเมืองและล่าถอยไปยังพื้นที่กว้างด้านหลัง ระหว่างทางในที่สุดความจริงเกี่ยวกับการลอบโจมตีเมื่อคืนก็ถูกเผยออกมา
ข้อมูลนี้เป็นสิ่งที่จอมยุทธระดับสวรรค์เล่าให้ลูกหลานของตนเองฟัง และลูกหลานเหล่านั้นดันเป็นพวกปากผล่อย ภายในพริบตาข่าวก็แพร่กระจายปากต่อปากไปทั่ว
เมื่อคืนนี้หลังจากหน่วยลอบจู่โจมเข้าไปยังแคมป์ที่พักของศัตรู พวกเขาก็ถูกซุ่มโจมตีในทันที
น่าหลานเทียนฮวงส่งกองกำลังมารอคอยพวกเขาอยู่แล้ว เพราะงั้นการบุกเมื่อคืนจึงไม่ใช่การลอบโจมตีอีกต่อไปแต่เป็นสงครามระยะสั้น
ฝั่งของจางเสี่ยวหลินมีจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณสามร้อยกว่าคนและมีตัวตนระดับทลายมิติเป็นผู้นำ แต่น่าหลานเทียนฮวง กลับทำตรงกันข้าม เขาเตรียมจอมยุทธเอาไว้รอถึงหนึ่งหมื่นคน ซึ่งหนึ่งหมื่นคนนี้ส่วนใหญ่จะมีระดับพลังเพียงแก่นแท้วิญญาณและห้วงจิตวิญญาณ ผู้นำทัพที่ซุ่มโจมตีนั้นไม่ใช่น่าหลานเทียนฮวงแต่เป็นอสูรระดับทลายมิติ
ไม่ว่าดูอย่างไรจางเสี่ยวหลินก็น่าจะเป็นฝ่ายได้เปรียบอย่างสมบูรณ์ เพราะถึงแม้จางเสี่ยวหลินจะต้องเข้าปะทะกับอสูรระดับทลายมิติ แต่จอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณก็สมควรกวาดล้างจอมยุทธระดับแก่นแท้วิญญาณและห้วงจิตวิญญาณหมื่นคนได้อย่างง่ายดาย
มันควรจะเป็นการสังหารโหดฝ่ายเดียวแท้ๆ แต่ผลลัพธ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น
กองทัพนับหมื่นคนที่ดูเหมือนเป็นลูกไก่กับมีพลังต่อสู้ที่น่าสะพรึงกลัว พวกเขาสามารถตอบโต้หน่วยลอบโจมตีได้อย่างง่ายดาย ส่วนจางเสี่ยวหลินที่ปะทะกับสัตวอสูรนั้นก็ค่อยๆตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
เพียงการต่อสู้สั้นๆ แต่หน่วยลอบโจมตีกลับเกือบจะถูกทำลายอย่างสมบูรณ์ จางเสี่ยวหลินเห็นว่าสถานการณ์เริ่มไม่ดีจึงช่วยจอมยุทธระดับสวรรค์สองคนหนีกลับมา
จากที่จอมยุทธระดับสวรรค์เล่า จอมยุทธหนึ่งหมื่นคนของอีกฝ่ายดูเหมือนจะใช้รูปแบบต่อสู้บางอย่างที่เมื่อพวกเขาสู้รบพร้อมกับจะทำให้มีพลังต่อสู้โดยรวมเทียบเท่ากับจอมยุทธระดับสวรรค์
หลังจากได้ยินเรื่องราวทั้งหมด หลิงฮันก็อดไม่ได้ที่จะพยักหน้าในใจ ถึงว่าทำไมหม่าตั้วเป่าถึงมีความมั่นใจขนาดนั้น ที่แท้เขาก็มีทั้งรูปแบบอาคมที่แข็งแกร่ง กองทัพที่มั่นคงและราชาที่ทรงพลัง
ถึงแม้จะเป็นเพียงจอมยุทธระดับแก่นแท้จิตวิญญาณหรือห้วงจิตวิญญาณ แต่เพิ่มผสานพลังเข้าด้วยกันและเพิ่มอำนาจของพลังแห่งจักรภพเข้าไปอีก กองทัพของพวกเขาจะแข็งแกร่งขึ้นจนสามารถต่อกรกับจอมยุทธระดับสวรรค์ได้
นี่เป็นเพียงแค่จำนวนคนหมื่นคนเท่านั้น ถ้าหากกองทัพเหล่านี้มีหมื่นคนหรือล้านคนล่ะ?
ด้วยพลังของผู้คนนับล้านคน จะเป็นไปไม่ได้เลยรึที่จะเปิดสวรรค์ได้สำเร็จ?
หลิงฮันไม่ได้แสดงความคิดเห็นอะไร ในขณะที่ทุกคนล่าถอยออกจากเมือง น่าหลานเทียนฮวงก็บุกโจมตีเมืองทันที
ด้านบนหัวเมืองถูกแทนที่ด้วยธงของจักรวรรดิจันทราม่วง นั่นหมายถึงเมืองแห่งนี้เป็นอาณาเขตของจักรวรรดิจันทราม่วงเรียบร้อยแล้ว
หลังจากนั้นหนึ่งชั่วโมง กองทัพของน่าหลานเทียนฮวงก็บุกไปยังเมืองต่อไป และด้วยการสื่อสารผ่านหินสื่อสารทำให้รู้ว่ากองทัพอีกสองกองทัพของจักรวรรดิจันทราม่วงก็แข็งแกร่งไม่แพ้กัน
สุดท้ายแล้วการรวมตัวกันสร้างกองทัพของห้านิกายโบราณก็ไม่ต่างอะไรกับเรื่องขบขัน แม้แต่การต่อต้านจักรวรรดิจันทราม่วงก็ไม่อาจทำได้สำเร็จ
เมื่อข่าวแพร่กระจายออกไป โลกทั้งโลกจะต้องสั่นไหว!
ในตอนแรก มีใครบ้างที่ไม่คิดว่าจักรวรรดิจันทราม่วงเป็นเพียงเรื่องขบขัน? แต่ตอนนี้จากอำนาจที่จักรวรรดิจันทราม่วงแสดงออกมา นอกจากห้านิกายโบราณแล้ว เห็นใดชัดว่าพวกเขาจะกลายเป็นอีกหนึ่งขุมอาจที่น่าสะพรึงกลัว
ในไม่ช้าจางเสี่ยวหลินก็ประกาศยกเลิกการรวมกองทัพและสั่งให้ทุกคนแยกย้าย ห้านิกายจะต้องรีบปรึกษาหารือกันอย่างเร่งรวด
จักรวรรดิจันทราม่วงแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ใครที่จะบุกรุกจะต้องคิดให้ดีเพราะแม้แต่ห้านิกายโบราณก็ไม่สามารถหยุดพวกเขาได้และต้องยอมแพ้
แต่สำหรับจอมยุทธทั่วไป พวกเขาไม่คิดอะไรมากอยู่แล้ว พวกเขาก็แค่อยู่ในส่วนของพวกเขา จะห้านิกายโบราณหรือจักรวรรดิจันทราม่วงแล้วจะอย่างไร?
จอมยุทธจำนวนมากได้ตัดสินใจแล้วหลังจากที่ล่าถอย พวกเขาจะไม่ฟังคำพูดอะไรจากผู้อื่นทั้งนั้น พวกเจ้าจะทำสงครามหรืออะไรกันข้าก็ไม่สน สุดท้ายแล้วหากฝ่ายใดเป็นฝ่ายชนะ ข้าก็จะฝ่ายเดียวกับขุมอำนาจนั้น
จักรพรรดิพิรุณและมู่หลงชิงกลับสำนักเพื่อชักชวนเหล่าคนที่มีพรสวรรค์ให้เข้าร่วมกับพวกเขา ส่วนหลิงฮันนั้นตัดสินใจมุ่งหน้าไปยังจักรวรรดิจันทราม่วง เขาต้องการพบหม่าตั้วเป่า มีคำถามมากมายที่เขาอยากจะถามอีกฝ่าย
รอบกายเขายังคงประกบด้วยจูเสวียนเอ๋อและฮูหนิว
สามวันต่อเขาก็ได้เดินทางมาถึงอาณาเขตของจักรวรรดิจันทราม่วง แต่หากจะไปยังเมืองจักรพรรดิของจักรวรรดิจันทราม่วง คงต้องใช้เวลาอีกเกือบๆยี่สิบวัน
ในเวลาแบบนี้เรือรบทองคำมีประโยชน์ขึ้นมาทันที พวกเขาขึ้นนั่งเรือรบโดยมีหลิงฮันและจูเสวียนเอ๋อสลับกันควบคุม
‘ตูม!’
ในวันที่ห้า จู่ๆหลิงฮันก็รู้สึกถึงภัยคุกคาม เขารีบคว้าร่างของจูเสวียนเอ๋อและฮูหนิวเข้าไปยังหอคอยทมิฬ ทันใดนั้นหลังจากที่ทั้งสามคนหลบเข้าไป เรือรบทองคำก็ระเบิดออกและพังทลายทันที
ร่างของหลิงฮันโผล่กลับออกมา ดวงตาของเขามองไปยังท้องฟ้าและเห็นชายวัยกลางคนร่างผอมยืนอยู่บนท้องฟ้าโดยมีมือขวายืนออกมาด้านหน้า
เห็นได้ชัดว่าการระเบิดเป็นฝีมือของชายคนนี้
หูเจียนอี่ ผู้นำนิกายนิกายวายุจันทรา