ห้องทำงานของสำนักราชองครักษ์เที่ยงคืนก็ยังจุดไฟสว่าง เสียงเอะอะลอยมา เสียงเอะอะด้านนอกวังหลวงดึงราชองครักษ์กลุ่มใหญ่มา แต่ไม่นานก็เงียบไป ไม่รู้ว่าพูดอะไรราชองครักษ์เหล่านี้ถึงแยกย้าย
ไฟโคมค่อยๆ ดับลง นอกจากในห้องแห่งหนึ่ง ไฟโคมสว่างยังมีคนไม่น้อยยืนอยู่
“ท่านชาย ข้าไม่เป็นไรหรอก”
ชายหนุ่มดวงหน้าสีทองแดงคนหนึ่งเอ่ยขึ้น มองจูจั้นที่ยืนตรงหน้า
เขาเห็นได้ชัดว่าถูกปลุกตื่นขึ้นมาจากจากฝัน สวมเพียงกางเกงขาสั้น ท่อนบนเปลือยเปล่า สีหน้าไม่เข้าใจ
จูจั้นไม่ได้สนใจเขา แต่เอ่ยกับคนข้างหลัง
“พวกเจ้า ไปดูเขาสิ” เขาเอ่ย
ผู้ชายในชุดนอนอสองคนที่ยืนอยู่ด้านหลังเขา คนหนึ่งวัยกลางคน คนหนึ่งอายุมากอยู่บ้าง แต่ละคนสีหน้าไม่ยินดีอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าถูกเรียกขึ้นมาจากฝันเหมือนกัน
ในมือพวกเขาหิ้วหีบยา ได้ยินก็ก้าวเข้าไป
“คุณชายตรงไหนไม่สบายหรือ?” พวกเขามองสำรวจพลางเอ่ยถามพลาง
ชายหนุ่มยิ้มจนปัญญา
“ตรงไหนข้าก็ไม่เป็นไรทั้งนั้น” เขาเอ่ยขึ้น
“จางเป่าถัง เจ้าไม่ใช่บอกว่าหัวไหล่เจ็บรึ?” จูจั้นเอ่ยขึ้น
ชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่าจางเป่าถังตะลึง จากนั้นก็ยิ้ม
“ท่านชาย ท่านจำได้ด้วยรึ” เขาเอ่ยขึ้น
วันนี้ตอนกลางวันเขาพูดเช่นนั้น ไม่คิดว่าท่านชายครึ่งค่อนวันแล้วยังพาหมอวิ่งมาก เขาไม่รู้จะพูดอะไรดีอยู่บ้าง
“ท่านชายท่านดีกับข้าจริงๆ” เขาเอ่ยขึ้นอย่างจริงใจ
จูจั้นทำหน้ารังเกียจ แล้วอึดอัดนิดๆ
“ข้าไม่ใช่กลัวว่าเพราะข้าทุ่มเจ้ารึ?” เขาเอ่ยขึ้น “ท้ายที่สุดโทษก็ตกใส่หัวข้า ตอนนี้ข้ายังเป็นคนรอรับโทษอยู่นะ”
จางเป่าถังยิ้มโง่งม
ท่านหมอสองคนนั้นได้ยินเข้าก็มองตรงไปที่แขนของเขา กดนวดพักหนึ่งจางเป่าถังก็ทำหน้าเหยเก
“ตรงนี้แหละเจ็บนิดหน่อย” เขาว่า
พวกท่านหมอกดนวดอยู่ครู่หนึ่งก็ถามว่าตั้งแต่เมื่อไร เริ่มเจ็บได้อย่างไร เมื่อทราบว่าประลองยุทธ์กับจูจั้นโดนทุ่ม บรรดาท่านหมอก็ไม่สบอารมณ์ลุกขึ้นยืน
“ก็แค่กระแทกเคล็ดเท่านั้น” พวกเขาว่า “หากกลัวเจ็บจริงๆ ก็ใช้ยากระตุ้นเลือดสลายเลือดคั่ง ไม่ใช้ก็ไม่เป็นไร”
กลัวเจ็บสองคำนี้เห็นได้ชัดว่าพูดอย่างพกพาเจตนาตำหนิมาด้วย
ลูกผู้ชายคนไหนกลัวเจ็บ จางเป่าถังรีบส่ายศีรษะ
“ไม่เป็นไรไม่เจ็บแล้ว” เขาเอ่ยขึ้น
“พวกเจ้าดูให้ดีๆ” จูจั้นกลับเอ่ยขึ้น สีหน้าไม่พอใจจ้องหมอสองคนนั้น สีหน้าไม่เชื่อ “พวกเจ้ามั่นใจว่าไม่มีปัญหา?”
พวกเขายังไม่ได้ยืนยันหรือไง?
ท่านเป็นหมอหรือว่าพวกเขาเป็นหมอ?
ต่อให้เจ้าเป็นท่านชายก็ไม่อาจรังแกคนเช่นนี้ได้นะ
ท่านหมอสองคนเดิมทีก็กรุ่นโกรธเต็มอกอยู่แล้ว เที่ยงคืนถูกปลุกขึ้นมาคิดว่าโรคร้ายอาการหนักเกี่ยวพันกับความเป็นความตายอันใด ผลปรากฏว่าเป็นเจ้าหนุ่มกำยำแข็งแรงคนหนึ่งถูกทุ่มนิดหน่อย
ก็ไม่ใช่ตุ๊กตาโคลนตัวหนึ่งเสียหน่อย คนเป็นทหารเหล่านี้โดนทุ่มนิดหนึ่งเป็นอะไรไป? ยังจะมั่นใจว่ามีหรือไม่มีปัญหาอีก
พวกเขามองจูจั้น แล้วก็มองเจ้าหนุ่มที่ทำหน้าละอายใจอย่างเห็นได้ชัดคนนี้อีกครั้ง อดแค่นเสียงในใจไม่ได้
มิน่าบุตรชายเฉิงกั๋วกงอายุยี่สิบกว่าปีแล้วยังไม่สู่ขอตบแต่งภรรยา ที่แท้ก็ชอบแบบอื่น
“ท่านชาย พวกเราร่ำเรียนไม่แตกฉาน มองไม่ออกจริงๆ ว่ามีปัญหาอะไร ท่านไม่วางใจก็เชิญยอดฝีมือคนอื่นมาเถอะ” พวกเขาเอ่ยขึ้นไม่อินังขังขอบ
จูจั้นหน้าบึ้งจะเอ่ยวาจา จางเป่าถังรีบลุกขึ้นมาห้ามปราม
“พี่รอง ข้าไม่เป็นไรจริงๆ” เขาเอ่ยขึ้นอย่างจริงใจ ทั้งยังคำนับขอบคุณท่านหมอสองคนนั้น แล้วให้ทหารยศน้อยหยิบถุงเงินถุงหนึ่งให้พวกเขา ไปส่งกลับด้วยตนเอง
ท่านหมอสองคนตอนนี้ถึงสีหน้าอ่อนลงจากไป
“เจ้าไม่เป็นไรจริงๆหรือ?” จูจั้นเอ่ยถามอีกครั้ง
“ข้าไม่เป็นไรจริงๆ ตอนนั้นข้าก็แค่พูดเช่นนั้นขึ้นมาเฉยๆ…” จางเป่าถังเอ่ยขึ้น พูดถึงตรงนี้ก็ชะงัก
ตอนนั้นเด็กสาวคนนั้นบอกว่าตนเป็นท่านหมอ เด็กสาวคนนั้นเห็นได้ชัดว่ารู้จักกับท่านชาย
ดังนั้นเขาถึงอยากให้หน้านาง พูดว่าตนเองเจ็บไหล่ไปโดยไม่รู้ตัว
ส่วนเด็กสาวคนนั้นพูดว่า..
“ไหล่ขวาเจ็บสินะ?”
“ข้าฝังเข็มให้สองที ให้ยาท่านอีกหนึ่งขนาน”
ดังนั้น…
จางเป่าถังมองจูจั้นในที่สุดก็เข้าใจ
“ท่านชาย วิชาแพทย์ของคุณหนูคนนั้นร้ายกาจมากหรือ?” เขาเอ่ยถาม
จูจั้นแค่นเสียงเหอะ
ร้ายกาจ…ก็ไม่อาจปฏิเสธได้อยู่ แต่…
“เจ้าไม่ต้องสนใจ” เขาเอ่ยขึ้น ขมวดคิ้ว “นั่นไม่ใช่คนปกติ”
ไม่ใช่คนปกติ?
เด็กสาวคนนั้นน่ะหรือ?
ดูท่าท่านชายจะสนิทกับนางมากจริงๆ นะ
จางเป่าถังอดไม่ได้อยากเอ่ยปากถาม จูจั้นกลับสะบัดแขนเสื้อก้าวยาวจากไป
“เจ้านอนเถอะ” เขาทิ้งไว้หนึ่งประโยคออกจากประตูไป
…
ราตรีกำลังจะผ่านพ้น แม้กระทั่งตลาดกลางคืนไกลออกไปก็ยังค่อยๆ เปลี่ยนเป็นมืดสลัวไม่ชัด
บนถนนด้านนี้ทุกสิ่งยังคงหลับใหล ในราตรีมีเงาคนปรากฏ เดินอย่างไร้สุ้มเสียง หยุดหน้าประตูบานหนึ่ง
ไฟโคมดวงน้อยสว่างเลือนรางท่ามกลางราตรี ส่องสว่างป้ายด้านบนประตู ไฟโคมสว่างอยู่เพียงชั่วพริบตา ถึงขนาดยังไม่ทันส่องใบหน้าของคนที่มาชัดก็สลายไปแล้ว
เงาคนถอยหลังหลายก้าวเลือนหายไปในความมืด
ค่ำคืนฤดูร้อนอันอบอ้าวพลันมีลมพัดมา กิ่งก้านของต้นไม้ใหญ่ในลานส่ายไหวน้อยๆ พักหนึ่ง ส่งเสียงกระทบกันแผ่วเบา
กิ่งไม้ส่ายไหว ยื่นเข้าไปทางหน้าต่างที่เปิดอยู่บนชั้นสามของตึกหลังน้อยครั้งละนิดๆ เงาคนผู้หนึ่งพลันประดุจแมวจากบนต้นไม้กระโดดเข้าหาหน้าต่าง
แต่จากนั้นคนทั้งร่างก็ประดุจแมวคู้ตัวแขนขาเกาะอยู่ตรงขอบหน้าต่างนิ่งไม่ขยับ
ค่ำคืนดูเหมือนจะจมสู่ความเงียบสงัดอีกครั้ง
ทิศตะวันออกค่อยๆ ส่องแสงสีขาว ยืนอยู่ตรงหน้าต่างมองเห็นบนเตียงที่อยู่ติดหน้าต่างได้เลือนราง
ม่านโปร่งทำให้เด็กสาวที่นอนตะแคงอยู่ด้านในเดี๋ยวหายเดี๋ยวปรากฏ
“เฮ้”
เงาคนข้างหน้าต่างส่งเสียงเอ็ดเบาๆ ทีหนึ่ง
“เจ้าตื่นเร็ว”
ผู้หญิงบนเตียงราวกับหลับลึก นิ่งไม่ขยับ
เงาคนเอนศีรษะเล็กน้อยยกไหล่อย่างระมัดระวัง ไม่รู้กัดอะไรออกมาจากหัวไหล่
“อย่าขยับมั่ว” เด็กสาวบนเตียงเอ่ยขึ้น เสียงขึ้นจมูกหนักหน่วงยามเพิ่งตื่นนอน “อย่าคิดว่ากลไกจะให้เจ้ามีโอกาสส่งอาวุธลับใส่ข้า”
จูจั้นนิ่งไม่ขยับจริงๆ สบถออกมา
“ใจคนพาลจริงนะ นอนยังต้องวางกับดักโหดเหี้ยมเช่นนี้ไว้อีก” เขาเอ่ย
คุณหนูจวินหัวเราะ
“ถ้าอย่างนั้นท่านชาย ท่านลูกผู้ชายอกสามศอกเที่ยงคืนปีนหน้าต่างห้องข้าทำอันใด?” นางเอ่ยถาม
นางเอ่ยวาจา คนยังนอนอยู่บนเตียงไม่ลุก
จูจั้นแค่นหัวเราะ
“ไม่มีอะไร บังเอิญผ่านทางเท่านั้น” เขาว่า
คุณหนูจวินหัวเราะไม่พูด ลุกขึ้นนั่งช้าๆ ดึงม่านโปร่งออก
“ถ้าอย่างนั้นก็บังเอิญจริงๆ” นางว่า “ท่านชายต้องการดื่มชาสักถ้วยหรือไม่?”
“พอแล้วคนแซ่จวิน” จูจั้นเอ่ยไม่สบอารมณ์ “รีบเอาของพิเรนทร์นี่ออกไป ข้ามามีเรื่องจะถามเจ้า”
คุณหนูจวินหัวเราะ ลุกขึ้นลงจากเตียงเดินมาข้างหน้าต่าง
นางเดินช้ามาก ห่างจากหน้าต่างไกลไม่กี่ก้าวชัดๆ นางกลับเดินหน้าถอยหลัง ซ้ายก้าวหนึ่ง ขวาก้าวหนึ่ง เดินอย่างเชื่องช้า
เวลานี้ท้องฟ้าค่อยๆ สว่าง ต่อมาแสงสีครามก็ส่องเห็นบนพื้นลวดเงินลวดทองกระจายอยู่ถี่ยิบ วางเป็นค่ายกลสี่เหลี่ยมอันหนึ่ง
คุณหนูจวินก็กำลังเดินผ่านในค่ายกลนี้ทีละก้าวๆ นี่เอง
จูจั้นกลอกตา
ในห้องของตนเองวางกลไกที่แม้กระทั่งตนเองยังต้องระมัดระวังไม่อาจเดินพลาดได้ไว้ ล่วงเกินคนมาเท่าไรถึงใช้ชีวิตเช่นนี้
ว่าแล้วไม่ใช่คนปกติ
“พูดเช่นนี้ไม่ได้ ข้าเป็นคนเก็บสมุนไพร เก็บสมุนไพรอันตรายยิ่ง” คุณหนูจวินเอ่ยเสียงอ่อนโยน มองจูจั้นทีหนึ่ง “ท่านชายก็รู้ ข้าไม่อาจไม่ระวังวังการป้องกัน”
คนเก็บสมุนไพร
จูจั้นแค่นหัวเราะ
“เสร็จแล้ว เชิญนั่งเถอะ” คุณหนูจวินว่า เก็บลวดเงินลวดทองไป ชี้เก้าอี้โต๊ะที่อยู่ด้านข้าง
จูจั้นกระโดดลงมาจากหน้าต่าง ดูไปแล้วแรงนัก ลงพื้นกลับไร้สียง
เขาไม่ได้นั่ง “สหายของข้าคนนั้นที่หัวไหล่เจ็บ มีโรคจริงหรือ?” เขาเอ่ยถามเข้าประเด็น
เพื่อเรื่องนี้หรือ
“แน่นอน ข้าเป็นหมอ ไม่หลอกลวงคนหรอก” คุณหนูจวินว่า
จูจั้นหัวเราะหยัน
“ไม่หลอกลวงคน?” เขาเอยขึ้น “ถ้าอย่างนั้นคาบกิ่งไม้รักษาอาการเจ็บคอ คืออะไร?”
คาบกิ่งไม้
ครั้งแรกตอนพบกันบนเขาร้าง ระแวงกันและกันกลับช่วยเหลือกัน เขาที่คาบกิ่งไม้แบกตนเองลงเขา
คุณหนูจวินหัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว
……………………………………….