จูจั้นสีหน้าอดรนทนไม่ไหว
“เดินเดิน อยู่ที่นี่พูดไร้สาระอะไร” เขาเอ่ย
แต่เหล่าชายหนุ่มกลับไม่ขยับ มองคุณหนูจวินสนใจอย่างยิ่ง
“เจ้าเป็นจริงรึ” ชายหนุ่มผู้ใบหน้าสีทองแดงเก่าคนหนึ่งเอ่ยขึ้น คิดนิดหนึ่ง “พักนี้ข้ามักจะปวดหัวไหล่ เจ้าดูให้หน่อยสิว่าเป็นอะไร?”
คุณหนูจวินยังไม่ทันเอ่ยคำ จูจั้นก็สบถทีหนึ่ง
“เป็นอะไร แค่ทุ่มข้ามไหล่ทีหนึ่งเจ้าล้มจนต้องแกล้งป่วยเชียวรึ” เขาเอ่ยไม่สบอารมณ์
บรรดาชายหนุ่มหัวเราะขึ้นมา
คุณหนูจวินก็หัวเราะด้วย
“ไหล่ขวาเจ็บสินะ?” นางเอ่ย “เหมือนเข็มตำ กลางวันไม่เจ็บ กลางคืนเจ็บ”
สิ้นเสียงนาง ชายหนุ่มคนนั้นก็ร้องเอ๋เบิกตาโต
“ใช่!” เขาเอ่ย “เจ้ารู้ได้อย่างไร?”
“เพราะข้าเป็นหมอไง” คุณหนูจวินยิ้มเอ่ยขึ้น หลางก้มหน้าเปิดหีบยา “ข้าฝังเข็มให้ท่านสองที แล้วให้ยาท่านขนานหนึ่ง”
รักษาให้จริงๆ ด้วย
ถ้าอย่างนั้นวันนี้ที่บังเอิญพบกันที่นี่ เป็นบุตรชายเฉิงกั๋วกงกับคุณหนูจวินนัดกันไว้ก่อนแล้วรึ?
เป็นไปไม่ได้หรอก
แม้เชื่อฟังคำสั่งของนายน้อยไม่เข้าไปยุ่งธุระของคุณหนูจวิน แต่เขาก็ให้คนจับตาตลอดเวลาไม่เห็นคุณหนูจวินกับบุตรชายเฉิงกั๋วกงไปมาหากัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงนัดกัน
คงเป็นพบโดยบังเอิญ คุณหนูจวินเดินวนมั่วไปทั่วเช่นนี้ก็เพื่อบังเอิญพบบุตรชายเฉิงกั๋วกง ตอนนี้ในที่สุดก็พบแล้ว
ในเมื่อทั้งสองคนรู้จักกัน แล้วก็เห็นคุณหนูจวินบอกว่าเป็นหมอเร่แล้ว สหายข้างกายก็บอกว่าไม่สบายด้วย ไม่ว่าจริงหรือหลอก ให้คุณหนูจวินรักษาเป็นพิธีย่อมไม่มีปัญหา
บุตรชายเฉิงกั๋วกงเหตุเพราเฉิงกั๋วกง ในเมืองหลวงจึงคบหามิตรสหายมากมาย ในกองทัพยิ่งนับถือเขา
มีบุตรชายเฉิงกั๋วกงป่าวประกาศ โรงหมอจิ่วหลิงของคุณหนูจวินนี่แปบเดียวก็จะมีชื่อแล้ว
ใครให้บุตรชายเฉิงกั๋วกงเดิมก็เป็นคนดังคนหนึ่งเล่า
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วโล่งใจ คุณหนูจวินมีแผนของตนเองจริงๆ
ได้ยินคุณหนูจวินพูดเช่นนี้ ชายหนุ่มที่บอกว่าหัวไหล่เจ็บก็ระริกระรี้อยากลอง
“เอาสิ” เขาเอ่ยกำลังจะเดินออกมา แขนยาวของจูจั้นก็พรึบทีหนึ่งจับไว้ดึงกลับมา
“ดีอะไรเล่า” จูจั้นเอ่ยไม่สบอารมณ์ ถลึงตามองคุณหนูจวินทีหนึ่ง “ลวงโลก”
พูดจบก็หมุนตัวจากไป
“ไปได้แล้ว”
ชายหนุ่มที่อยู่ที่นั่นมึนงง
นี่ไปจริงๆ หรือว่าแกล้งไป?
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วก็อึ้งไปเหมือนกัน อยากจะปฏิเสธหรือตอบรับ?
“พวกเจ้าไปไม่ไป? ไม่ไป วันหลังก็ไม่ต้องมาเที่ยวเล่นกับข้า”
เสียงจูจั้นดังมาจากด้านหน้า
บรรดาชายหนุ่มสีหน้าลำบากใจมองคุณหนูจวินทีหนึ่ง
“แม่นางน้อยดูท่าทำให้น้องรองจูไม่พอใจไม่เบา” ชายหนุ่มดวงหน้าขาวสะอาดขยิบตาให้คุณหนูจวินเอ่ยขึ้น พลางขยับปาก “ขอโทษด้วย พวกเราก็ไม่กล้าทำให้เขาไม่พอใจ”
พูดจบก็หัวเราะก้าวยาวไล่ตามไป
ชายหนุ่มที่เหลือก็มองคุณหนูจวินทีหนึ่ง ก้าวเร็วตามไปด้วย
แม้คนเหล่านี้ไม่ได้มองตัวเขา แต่ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วก็อึดอัดจนทั้งร่างแข็งทื่อ
ทำเช่นนี้ได้อย่างไร…
ที่แท้เป็นรักเขาข้างเดียวหรือ?
นั่นก็ไม่แปลก บุตรชายเฉิงกั๋วกงแต่ไหนแต่ไรไม่เคยไว้หน้าใคร ไม่ว่าใคร พระญาติเชื้อพระวงศ์ชายหญิงผู้เฒ่าเด็ก เขาแต่ไหนแต่ไรล้วนทำตามอำเภอใจ
น่าอึดอัดเกินไปแล้ว
ภาพน่าอึดอัดเหลือเกินเช่นนี้ตนเองยังไงก็รีบหลบเถอะ เลี่ยงไม่ให้แม่นางน้อยรับไม่ได้มากกว่าเดิม
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วก้มหน้ากำลังจะหมุนตัว กลับได้ยินเสียงคุณหนูจวินลอยมา
“จูจั้น ข้าเปิดโรงหมอแล้ว อยู่ตรงถนนนี่เอง ยังเป็นชื่อเดิม”
เสียงของนางอ่อนโยนทั้งยังเบิกบานอยู่บ้าง ไม่ต้องพูดถึงร้องไห้ อึดอัดสักนิดก็ไม่มี
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเงยหน้าขึ้น บรรดาชายหนุ่มที่เดินออกไปหันกลับมาเช่นกัน
เด็กสาวคนนั้นยืนอยู่ที่เดิมสีหน้ายิ้มแย้ม เหมือนกับหลังพบหน้าพูดคุยกันเบิกบานยิ่งนักบอกลา
“แม่นางน้อยคนนี้น่าสนใจ” ชายหนุ่มดวงหน้าขาวสะอาดดึงจูจั้นไว้อีกครั้งเอ่ยขึ้น “รู้จักได้ย่างไร? ใครกัน? ทำไมไม่สนใจผู้อื่นเล่า?”
จูจั้นยังคงหน้าไม่หันก้าวยาวไปข้างหน้า
“คนที่รู้จักข้ามากไป ทำไมข้าต้องสนใจ” เขาเอ่ยขึ้น
ชายหนุ่มดวงหน้าขาวสะอาดกอดไหล่ของเขา หันกลับไปเด็กสาวยังคงยืนอยู่ตรงนั้นทั้งมองจูจั้น
“พี่รอง เจ้าใช่เสียท่าในมือผู้อื่นมาใช่หรือไม่” เขาหัวเราะเอ่ยขึ้น
จูจั้นหัวเราะแห้งๆ สองทีสลัดมือเขาออก เพิ่มความเร็วฝีเท้า
ผู้คนหัวเราะตามไปไม่ได้หันหน้ากลับไปมองคุณหนูจวินอีก
คุณหนูจวินก็รั้งสายตากลับมาเช่นกัน รอยยิ้มบนหน้ายังไม่จางหายไป
“คุณหนู นี่ใครหรือเจ้าคะ?” หลิ่วเอ๋อร์เอ่ยถามอย่างสงสัย
หลิ่วเอ๋อร์ไม่เคยพบจูจั้น ทั้งตอนที่หรู่หนานและเมืองหลวงนางล้วนไม่ได้อยู่ข้างๆ
คุณหนูจวินเล่าเรื่องของจูจั้นให้หลิ่วเอ๋อร์ฟังง่ายๆ นิดหน่อย แน่นอนเล่าเพียงรู้จักกันได้อย่างไรและเข้าเมืองมาบังเอิญพบกันอีกได้อย่างไร รายละเอียดไม่ได้บอก แค่นี้ก็พอทำให้หลิ่วเอ๋อร์ฟังจนทั้งตกใจทั้งดีใจทั้งไม่พอใจ
“คนผู้นี้ไม่ดีกับคุณหนูสักนิด” นางว่า “ต่อไปคุณหนูไม่ต้องสนเขานะเจ้าคะ”
ต่อให้บุตรชายเฉิงกั๋วกงฐานะสูงศักดิ์ แต่ไม่ดีกับคุณหนู หลิ่วเอ๋อร์ก็ไม่คิดจะไว้หน้าเขา
คุณหนูจวินยิ้มแล้ว
เขาไม่ดีกับคุณหนูจวิน วาจาไม่เกรงใจ แล้วก็ไม่มีเจตนาจะผูกมิตรสักนิดด้วย เป็นคนผ่านทางคนหนึ่งอย่างสิ้นเชิง
แต่เขาดีกับองค์หญิงจิ่วหลิงไม่เลว อย่างน้อยก็ระหกระเหินมาถึงหน้าสุสานมอบดอกไม้ดอกนั้นให้
ตอนนางมีชีวิตอยู่ คนที่มอบดอกไม้ให้นางมากมาย
หลังตายไป คนที่จดจำได้มอบดอกไม้ให้นางล้ำค่ายิ่งนัก
รักษาสัญญากับคนเป็นคนหนึ่งไม่นับเป็นอะไร ใครๆ ล้วนยินดีทำ อย่างไรชื่อก็แสดงต่อหน้าคน รักษาสัญญากับคนตายคนหนึ่งกลับดั่งสวมอาภรณ์งามท่องราตรี ไม่มีความหมายอะไร
เรื่องที่ไม่มีความหมายเรื่องนี้ยังจะไปทำ คนผู้นี้นับได้ว่าเป็นวิญญูชนคนหนึ่ง แม้การกระทำของจูจั้นตรงไหนก็ไม่ใกล้เคียงกับวิญญูชนเลยก็ตาม
“เขาก็ดีนะ” นางถอนหายใจเอ่ยขึ้น
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเดินเข้ามาได้ยินประโยคนี้พอดี มีรสชาติแปลกแปร่งอยู่บ้าง แต่ก็เข้าใจอยู่บ้าง
บุตรชายเฉิงกั๋วกงแม้มาเมืองหลวงไม่มาก แต่ชื่อเสียงระบือลือไกล ชาติตระกูลนี่นิสัยนี่บวกกับหน้าตาหล่อเหลาสง่างาม เป็นหนึ่งในบุคคลที่บรรดาหญิงสาววัยเยาว์มากมายในเมืองหลวงเฝ้าฝัน ที่แถบเหนือบรรดาหญิงสาวร้อนแรงเหล่านั้นยิ่งร้ายกาจ ได้ยินว่ามีคนแขวนคอฆ่าตัวตายเพื่อบุตรชายเฉิงกั๋วกงมาแล้ว
สำหรับเด็กสาวเหล่านี้แล้ว ไม่สนใจหรอกว่าคนผู้นี้ทำอะไร เขาก็แค่ดีที่สุด
ผู้หญิงแต่ไหนแต่ไรก็ไม่มีเหตุผลแบบนี้
แม้เป็นเช่นนี้ แต่มีบางคำเขาก็ยังต้องเตือนสักหน่อย
“คุณหนูจวิน ท่านต้องการเชิญบุตรชายเฉิงกั๋วกงให้ช่วยเหลือหรือ?” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเอ่ยถามเข้าประเด็น
“ช่วยอะไรรึ?” คุณหนูจวินถามกลับไม่เข้าใจอยู่บ้าง
“คุณหนูจวิน ข้ารู้ว่าท่านคิดจะคราวเดียวทำให้คนตะลึง แต่บุตรชายเฉิงกั๋วกงฝั่งนี้เกรงว่าคงทำไม่รอด” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเอ่ยขึ้น
เดิมทีคิดว่าผูกมิตรมาพอ แต่ดูท่าทีนี้ของจูจั้นเป็นการหลีกเลี่ยงไม่เข้าใกล้ชัดๆ
เด็กสาวไม่รู้จักหนักเบา คิดว่าอาศัยหน้าตาดีก็ทำให้เรื่องสำเร็จตามใจเอื้อมมือคว้าได้ย่อมผิดมหันต์
จูจั้นคนเช่นนี้ไม่ไว้หน้าหรอก แล้วก็ไม่ให้นางใช้ประโยชน์ด้วย ไม่แน่ว่าโรงหมอจิ่วหลิงที่เมืองหลวงนี่คงต้องปิดกิจการแล้ว
คุณหนูจวินได้ยินพลันเข้าใจ หัวเราะออกมา
“ข้าไม่เคยคิดให้เขาช่วย” นางเอ่ยขึ้น ส่ายศีรษะ “เรื่องนี้เขาช่วยอะไรได้”
ความหมายนี้ฟังดูแล้วดูถูกบุตรชายเฉิงกั๋วกงหรือ?
คิ้วผู้ดูแลใหญ่หลิ่วขมวดยิ่งไม่เข้าใจ จะเอ่ยคำพูดก็เห็นสีหน้าคุณหนูจวินเคร่งขรึมขึ้นมา
“คนที่ข้ารอมาแล้ว” นางว่า
นางกำลังรอคนอยู่จริงๆ?
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วตะลึงมองตามสายตาของคุณหนูจวินไป เห็นผู้หญิงหลายคนเดินมาจากปากตรอก
นั่นเป็นหญิงงามอายุราวสามสิบปีคนหนึ่ง ข้างกายมีสาวใช้สองคนหญิงรับใช้เฒ่าคนหนึ่งห้อมล้อม ถือถุงใบใหญ่ใบน้อย ราวกับจับจ่ายซื้อของข้างนอกกลับมา บนหน้ายังคงพกร้อยยิ้ม เห็นชัดว่าอารมณ์ดียิ่งนัก
นี่ใครกัน?
คุณหนูจวินกำลังรอนาง? หรือว่าเป็นคนใหญ่คนโตคนหนึ่ง? แต่ไม่ถูกสิ คนใหญ่คนโตไม่มีที่เขาไม่รู้จัก
นอกจากนี้ผู้หญิงคนนี้ท่าทางก็ไม่เหมือนไม่สบายด้วย
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วสีหน้าไม่เข้าใจ คุณหนูจวินพาหลิ่วเอ๋อร์เดินเชื่องช้าเข้าไปหาผู้หญิงคนนั้นแล้ว
กระดิ่งในมือส่งเสียงในตรอกใสกังวานแต่ไม่หนวกหู กลับกันปลอบประโลมคนอยู่นิดๆ
เสียงนี้ย่อมดึงดูดความสนใจของกลุ่มหญิงผู้นี้ พวกนางเงยหน้ามองมาเช่นกัน คุณหนูจวินเดินมาถึงตรงหน้าพวกนางแล้ว ราวกับจะเดินเฉียดผ่านไป แต่สายตากวาดมองทีหนึ่งกลับหยุดฝีเท้าลง ถอยหลังก้าวหนึ่ง ยืนอยู่ตรงหน้าผู้หญิงคนนี้
“นายหญิงผู้นี้” คุณหนูจวินเอ่ยขึ้นเสียงอ่อนโยน “ข้าเห็นว่าท่านมีลางร้าย”
แม่เจ้า!
ลูกตาผู้ดูแลใหญ่หลิ่วหวิดจะถลนออกมา
ทำอะไรน่ะ! เกริ่นผิดแล้วมั้ง?
เขามองไปบนธงที่หลิ่วเอ๋อรถืออยู่ ไม่ผิดนี่ เขียนว่ารักษาเฉพาะโรคร้ายรักษายาก ได้ยาโรคหาย ฝีมือเยี่ยมโรคร้ายหายดีนี่ ไม่ใช่ทำนายแม่นทายทักโชคชะตาดีร้ายแก้เคราะห์ขจัดภัยสักหน่อย
ลางร้ายนี่ออกมาได้อย่างไรเล่า?
……………………………………….