Double รักร้ายคูณสอง 12

ตอนที่ 12

“เดี๋ยวฉันกลับไปเซ็นทีหลัง” ฉันยังหายใจหายคอไม่ทั่วท้องเอริคก็เอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง แล้วเดินไปนั่งลงบนโซฟา จากนั้นเอริคก็กดเปิดทีวีดูบอลอย่างสบายอกสบายใจ ฉันกระแอมเรียกสติของตัวเองกลับคืนมาแล้วถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายทันที

“งานด่วนค่ะ คุณเอริค”

สายตาคมคู่สวยจ้องใบหน้าฉันนิ่ง พร้อมกับเสียงเข้มต่ำเอ่ยบอกท่าทางไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่นัก “บอกแล้วใช่มั้ยให้เรียกฉันว่าอะไร”

“ให้ตายเถอะ คุณจะอะไรนักหนากับการเรียกชื่อเนี่ย” ฉันกระแทกก้นลงไปนั่งบนโซฟาตัวเดียวกับเอริคอย่างหงุดหงิด เขาหันมามองใบหน้าฉันอีกครั้งพลางยักไหล่แล้วเอนตัวพิงพนักโซฟาอย่างผ่อนคลายลง

“เรียกคุณมันดูทางการเกินไป ฉันไม่ชอบอะไรที่มันเป็นทางการ”

“แต่คุณเป็นเจ้านายฉันหนิ ให้เรียกแค่ชื่อฉันจะได้โดนพนักงานคนอื่นเขม่นน่ะสิ” ยิ่งพนักงานผู้หญิงที่บริษัทดูจะปราบปลื้มเจ้าชายอย่างเอริคอยู่ด้วย อีกอย่างเลขาที่ไหนเขาเรียกแค่ชื่อเจ้านายห้วนๆ กันล่ะยะ บ้าชะมัดเลย

เอริคมองฉันด้วยสายตาคมเจ้าเล่ห์พร้อมกับขยับตัวมาใกล้มากขึ้นอีกจนฉันตกใจขยับตัวหนีเขาเล็กน้อย “เป็นอย่างอื่นมั้ยล่ะ เธอจะได้เรียกแค่ชื่อฉัน”

“ฉันเอาเอกสารที่ต้องเซ็นมาให้คุณด้วย เพราะพอจะรู้ว่าคุณคงจะไม่ยอมกลับไปที่บริษัทง่ายๆ ว่าแต่คุณไปแต่งตัวก่อนได้มั้ยคะ?”

“หึ อยากลวนลามก็บอก ฉันไม่ขัดหรอกนะโมนา”

ฉันอุตส่าห์พูดเปลี่ยนเรื่องอย่างประหม่า กำลังจะหลบสายตาคมไปมองทางอื่นแต่ก็ต้องหันขวับเงยหน้ามองเอริคด้วยความขุ่นเคืองทันทีที่เขาเอ่ยบอกท่าทางกวนประสาทพลางยกยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ ก่อนจะลุกเดินขึ้นบันไดไปที่ชั้นสองของบ้านท่าทางอารมณ์ดีกว่าที่เคย

“เหอะ ใครจะไปอยากลวนลามเขากัน กวนประสาท!” ฉันเบ้ปากใส่แผ่นหลังกว้างแล้วบ่นอุบอิบกับตัวเอง ไม่เข้าใจเลยจริงๆ ทำไมเอริคชอบกวนประสาทฉันอยู่เรื่อยเลยเนี่ย น่าโมโหที่สุด!

หลังจากสงบสติอารมณ์ขุ่นเคืองเอริคได้แล้ว ฉันก็เดินออกไปเอาแฟ้มเอกสารที่อยู่บนรถยนต์ของตัวเอง แล้วเอามันมาวางไว้บนโต๊ะหน้าโซฟาตัวเดิม จากนั้นก็เดินสำรวจบ้านรอเอริคที่ขึ้นไปแต่งตัวให้เรียบร้อย จะว่าไป… สวนหน้าบ้านน่ารักชะมัด บรรยายที่นี่ดีก็มาก ร่มรื่น สดชื่น เงียบสงบและรู้สึกผ่อนคลายดีจริงๆ ไม่น่าแปลกเท่าไหร่นักหรอกก็อยู่ตั้งบนภูเขานี่นา สงสัยตอนนั้นฉันคงหงุดหงิดปนโมโหเอริคมากไปหน่อยถึงกล้ามาตามตัวเขาตั้งไกลขนาดนี้ ขับรถมาที่นี่ก็ไม่ได้ดูเวลาหรอก มัวแต่ชื่นชมบรรยากาศและธรรมชาติข้างทางซะจนลืมทุกสิ่งทุกอย่างไปสนิทเลย

“พรุ่งนี้ค่อยเซ็นนะ วันนี้อยากพักหน่อย เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว”

ฉันชะงักแล้วหันไปมองเอริคที่สวมชุดสบายๆ แถมเขายังมายืนอยู่ข้างหลังฉันตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แต่คำพูดของเขาก็ทำเอาฉันขมวดคิ้วมุ่นขึ้นมาทันที “ถ้าคุณเซ็นเอกสารพรุ่งนี้… งั้นฉันก็ต้องกลับพรุ่งนี้น่ะสิ”

“คงงั้น”

“จะบ้าเหรอคุณเอริค!”

เอริคยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ แล้วเดินเข้าบ้านอย่างอารมณ์ดีที่เห็นสีหน้าฉันชักจะเริ่มจะหงุดหงิดอีกครั้ง ฉันเลยรีบก้าวขาฉับๆ เดินตามเขาไปด้วยความความรวดเร็ว แล้วเสียงฟ้าร้องก็ทำให้ฉันเผลอยืนนิ่งและสะดุ้งตกใจหน่อยๆ

“ฉันจะอยู่ที่นี่สักพัก”

เอริคเดินเข้าไปในห้องครัวแล้วกดเครื่องชงกาแฟด้วยความสบายใจ ฉันยืนกัดริมฝีปากล่างไว้แน่น มองแผ่นหลังกว้างภายใต้เสื้อยืดสีขาวตัวบางของเขาอย่างหงุดหงิดปนตื่นๆ กับเสียงฟ้าร้องไม่หายจนเริ่มมึนงงไปหมด

“คุณจะทำแบบนี้ไม่ได้นะ”

“ทำไมจะไม่ได้” เอริคหันมาเลิกคิ้วถามพลางยกแก้วกาแฟขึ้นจิบนิ่งๆ แล้วยกยิ้มมุมปากอย่างพอใจที่เห็นฉันหน้านิ่วคิ้วขมวดมากกว่าเดิม ให้ตายเถอะ ปวดประสาทชะมัดเลย!

“ทำไมคุณถึงต้อง…”

เปรี้ยง!

ดวงตากลมโตเบิกตาโพรงด้วยความตกใจ ฉันยืนนิ่งตัวแข็งทื่อทันทีที่ได้ยินเสียงฟ้าร้องน่ากลัวที่ดังสนั่นอยู่นอกบ้าน ริมฝีปากอิ่มเม้มแน่น แล้วสายฝนก็เทกระหน่ำลงมาอย่างบ้าคลั่งโดยไม่บอกกล่าว นี่มันวันบ้าบออะไรของฉันกันน่ะ!

“สงสัยเธอคงจะกลับไม่ได้แล้วล่ะ”

ฉันหันขวับไปมองหน้าต่างห้องครัวด้วยความรวดเร็ว ท้องฟ้ามืดครึ้มอย่างน่ากลัว ฝนตกรุนแรงจนลมพัดต้นไม้เอนไปมา เสียงฟ้าร้องก็ดังไม่หยุดหย่อน หัวใจฉันเต้นระทึกด้วยความตื่นตกใจ ฉันไม่ชอบเสียงฟ้าร้องเลย ให้ตายเถอะ

“บ้าชะมัด…”

ฉันบ่นพึมพำกับตัวเองอย่างหงุดหงิด สายตาคมจ้องมองใบหน้าฉันแล้วยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย “กาแฟหน่อยมั้ย?”

”ก็ได้ค่ะ… แต่เดี๋ยวฉันทำเอง” ร่างสูงขยับตัวออกจากเครื่องชงกาแฟเล็กน้อย ฉันเลยเดินไปทำกาแฟของตัวเองดื่ม เผื่อจะหายหงุดหงิดขึ้นมาบ้าง

“เธอรู้ได้ยังไงว่าฉันอยู่ที่นี่”

เอริคที่เดินมายืนอยู่ข้างๆ หันมาถามฉันอีกครั้ง ฉันถอนหายใจอย่างเซ็งๆ พลางหยิบแก้วกาแฟจิบเบาๆ เพื่อให้รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาบ้าง “ฉันไปถามเลวี่มาค่ะ”

“หึ เลยตามมาถึงที่นี่เลยงั้นเหรอ?”

“ใช่ แต่ฉันไม่เข้าใจเลย คุณจะทำให้มันยุ่งยากทำไมเนี่ย” ฉันขมวดคิ้วมุ่นมองเอริคอย่างไม่เข้าใจ เขาจะมาไกลถึงที่นี่เพื่ออะไรกัน แค่เซ็นเอกสารที่บริษัทนิดหน่อยก็เสร็จแล้ว

“ฉันไม่ชอบ”

“ให้ตายสิเอริค”

สายตาคมดุดันที่มองฉันอยู่ก่อนแล้ววาววับอย่างเจ้าเล่ห์ ฉันชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเพิ่งรู้ว่าเผลอเรียกเขาอย่างสนิทสนมเกินไป ก่อนจะรีบเม้มริมฝีปากด้วยความประหม่าและทำเป็นไม่สนใจสายตาคมของเอริค เขาหัวเราะในลำคอแกร่งแล้วยักไหล่ จากนั้นก็เดินเอาแก้วกาแฟที่ดื่มหมดแล้วไปวางไว้ที่อ่างล่างจาน และเอ่ยบอกท่าทางสบายๆ

“ฉันไม่ชอบเข้าบริษัท เธอก็รู้”

“ถ้าคุณไม่มาดูแลบริษัทแทนท่านประธาน แล้วคุณจะทำอะไรคะ?”

ฉันหันไปมองหน้าเอริคที่ยืนอยู่ข้างๆ กะพริบตาปริบๆ มองเขาอย่างสงสัยและอยากรู้เล็กน้อย “ก็คอยให้คำปรึกษาแผนกช่างในบริษัท”

“ไหนคุณไม่ชอบเข้าบริษัทไง“ อะไรของเขากันล่ะเนี่ย ฉันไม่เข้าใจเอริคเลยจริงๆ สิน่า

“มันคนละส่วนกัน แผนกช่างมันต้องคอยซ่อมกับวางแผนทำส่วนประกอบต่างๆ แต่ที่พ่อฉันทำมันยุ่งอยู่แต่กับเอกสาร และการเงิน ฉันไม่ถนัด ยุ่งยาก วุ่นวาย”

เปรี้ยง!

เอริคยังอธิบายให้ฟังไม่ทันจบประโยค ฉันก็ต้องสะดุ้งโหยงจนกาแฟในแก้วเกือบหก หัวใจเต้นระรัวขึ้นมาอย่างตระหนกตกใจ ทันทีที่ได้ยินเสียงฟ้าร้องฟ้าฝ่าจากนอกบ้าน ไอ้ฟ้าบ้านี่ก็จะร้องดังไปถึงไหนกันยะ! ฉันสูดหายใจเพื่อตั้งสติ พอหันมามองเอริคก็เห็นว่าเขาเลิกคิ้วมองฉันด้วยความกังวลปนสงสัย

“กลัวเสียงฟ้าร้องเหรอ”

“ก็… ก็ไม่เชิงหรอกค่ะ แค่ตกใจนิดหน่อยน่ะ”

ฉันกัดริมฝีปากล่างอย่างเลิกลั่กไม่หาย สายตาคมคู่สวยจ้องใบหน้าฉันนิ่งจนฉันทำตัวไม่ค่อยถูกเลยรีบหันไปล้างแก้วกาแฟของตัวเองลงที่อ่างล้างจานแทน

“ฉันจะเข้าไปทำงานต่อ แต่ก่อนที่เขาจะเดินออกไปจากห้องครัวฉันก็จับท่อนแขนแข็งแรงเอาไว้ซะก่อน

“คือฉัน… ขอยืมเสื้อยืดคุณสักตัวได้มั้ยคะ ที่จริงฉันมีเสื้อผ้าสำรองอยู่รถ แต่ตอนนี้ฝนตกแรง แล้วก็…”

“เดี๋ยวไปดูงานที่ค้างก่อนแล้วจะเอาไปให้ที่ห้อง”

“โอเคค่ะ”

ฉันพยักหน้าหงึกหงักอย่างเข้าใจ พอหันไปมองที่หน้าต่างก็ยังคงเห็นแต่ท้องฟ้ามืดครึ้มกับสายฝนที่เทลงมาอย่างแรงไม่หยุด ให้ตายสิ ฉันถอนหายใจอีกรอบแล้วเดินมาที่ห้องรับแขกตามที่เอริคบอก เปิดประตูมาก็เจอกับห้องนอนกว้างขวางดูเป็นระเบียบเรียบร้อยเหมือนมีแม่บ้านมาทำความสะอาดให้ตลอด การตกแต่งก็ไม่มีอะไรหรูหรา ออกจะดูสบายๆ เรียบง่าย และผ่อนคลายเป็นธรรมชาติจนฉันยิ้มกว้าง ที่นี่ก็ดูน่าอยู่ดีนะเนี่ย

“หนาวจัง”

ฉันปิดประตูห้องแล้วยืนลูบแขนตัวเองป้อยเพื่อคลายความหนาว และพอมองเห็นหน้าต่างที่เปิดม่านอยู่ฉันก็รีบเดินดุ่มๆ ไปปิดทันที แสงจากฟ้าแล่บเมื่อกี้ทำให้ฉันรู้สึกตื่นๆ อย่างบอกไม่ถูก ฉันไม่ใช่คนกลัวฝนหรืออะไรหรอก แต่ฉันไม่ชอบสายฟ้าที่มันมากับเสียงฟ้าร้องเลยให้ตายเถอะ ถ้าฟ้าผ่าฉันขึ้นมานี่คงไม่น่ารอด แค่คิดก็ต้องกลืนน้ำลายดังอึก

พอเข้ามาอาบน้ำได้ไม่นาน ฉันกำลังจะเอื้อมมือสั่นๆ ของตัวเองไปหยิบผ้าขนหนูที่แขวนอยู่มาเช็ดตัวต้องสะดุ้งตกใจ ชะงักมือค้างอากาศไว้อย่างทำตัวไม่ถูกเมื่อได้ยินเสียงฟ้าร้องดังสนั่นอยู่ด้านนอก บ้าจริง เมื่อไรเสียงฟ้าร้องฟ้าแล่บบ้าๆ นั่นจะหยุดสักทีเนี่ย!

พรึ่บ!

“อึก…”

และเหมือนวันนี้จะเป็นวันซวยของฉันจริงจู่ ๆ ไฟในห้องน้ำก็ดับโดยที่ฉันไม่ทันได้ตั้งตัวซะงั้น ความมืดมิดทำให้ต้องกะพริบตาปริบๆ อยู่หลายครั้งเพื่อปรับสายตา ยังดีนะที่ฉันดึงผ้าขนหนูมาพันรอบตัวเอาไว้แล้วเรียบร้อย อยากจะบ้าตาย ฉันสูดหายใจลึกๆ เพื่อตั้งสติ ก่อนจะฉันค่อยๆ ก้าวเท้าอย่างระมัดระวัง มือก็คลำไปทั่วมั่วไปหมดอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว เพราะไม่คุ้นชินกับสถานที่สักเท่าไหร่ อะไรอยู่ตรงไหนฉันยังไม่รู้เลยเนี่ย ให้ตายเถอะ

“บ้าชะมัด…”

ระหว่างที่คลำทางเพื่อเดินออกจากห้องน้ำ ฉันก็บ่นพึมพำกับตัวเองอย่างหงุดหงิด เสียงฝนที่ตกอยู่ข้างนอกก็ดังขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตกเลยสักนิด ก็เข้าใจอยู่ว่าบ้านหลังนี้ตั้งอยู่บนถูเขาสูงและต้นไม้ร่มรื่น สดชื่นมาก แต่ฝนมันก็ไม่จำเป็นต้องมาตกในวันที่ฉันมาแบบนี้สิยะ ไอ้ฝนตกน่ะไม่เท่าไร แต่ฟ้าร้องฟ้าแล่บนี่ฉันจะไม่ไหวแล้วนะ

เปรี้ยง!!

“กรี๊ดดด…” มือที่เพิ่งคลำหาลูกบิดประตูห้องน้ำเจอถึงกับกำมันเอาไว้แน่น และยืนนิ่งค้างอยู่อย่างนั้น ฉันรีบกัดริมฝีปากล่างตัวเองไว้อย่างตื่นๆ หัวใจเต้นแรงขึ้นด้วยความตกใจ ความมืดรอบตัวก็ทำให้ฉันแทบเป็นประสาทตายคาห้องน้ำได้แล้วตอนนี้ นี่ฉันไม่ได้อยู่ในหนังผีสักเรื่องใช่ไหมยะ!

“โมนา”

“อะ… เอริค”

เสียงเข้มต่ำที่ดังอยู่หลังบานประตูห้องน้ำทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วเปิดประตูออกช้าๆ ความมืดทำให้ฉันพูดชื่อเขาออกไปเบาๆ เพื่อความแน่ใจ ถึงแม้จะรู้อยู่แล้วว่าร่างสูงใหญ่เจ้าของแผ่นหลังกำยำด้านหน้าที่กำลังถือไฟฉายหันไปอีกทางนั้นคือเอริคแน่ๆ เขาหันมาทางฉันพร้อมกับส่องไฟฉายกระบอกเล็กๆ ตามมาจนฉันต้องยกมือขึ้นมาบังหน้าไว้เล็กน้อย สักพักแสงไฟจากไฟฉายก็ลดต่ำลง

“เป็นอะไรรึเปล่า”

เอริคเดินเข้ามาใกล้ฉันเรื่อยๆ โดยที่ฉันยังยืนอยู่ที่เดิม อยากจะขยับตัวไปหาเขาเองอยู่หรอก แต่เมื่อกี้แสงสว่างวาบจากฟ้าแล่บลงมาใกล้กับหน้าต่างห้องนอนมันทำให้ฉันได้แต่ยืนนิ่งตัวแข็งทื่อ ฉันบอกแล้วไงว่าฉันไม่ได้กลัวเสียงฟ้าร้อง แต่กลัวฟ้าแล่บ ฉันกลัวฟ้าผ่าตัวเองตายแล้วศพไม่สวย!

“ฉันไม่เป็นไรค่ะ” ฉันกระแอมแล้วบอกด้วยน้ำเสียงแหบแห้งกว่าปกติ เอริคเลิกคิ้วแล้วมองสำรวจทั่วตัวฉัน จากนั้นเขาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย

“อาบน้ำเสร็จยัง”

ฉันเงยมองใบหน้าหล่อเหลาแล้วตอบเขาเสียงเบา เมื่อสายตาแอบเห็นแสงจากฟ้าแล่บลงมาอีกครั้ง “เสร็จแล้วค่ะ คุณได้เอาเสื้อมาให้ฉันหรือเปล่าคะ”

ฝ่ามือหนายื่นเสื้อยืดสีเทาตัวบางของเขามาให้ ฉันรับมาถือไว้ รอให้เอริคหันหลังเพื่อที่ฉันจะได้เปลี่ยนชุด แต่เขาก็ยังคงยืนมองหน้าฉันนิ่งไม่ขยับสักทีจนฉันต้องเงยหน้าจ้องเขาแล้วขมวดคิ้วมุ่น

“มองฉันแบบนั้นทำไม”

“คุณก็หันหลังไปสิคะ ฉันจะได้เปลี่ยนชุด”

เอริคเลิกคิ้วถาม สายตาคมแวววาวอย่างเจ้าเล่ห์จนฉันอึกอักบอกเขาอย่างประหม่าหน่อยๆ แต่เอริคกลับเดินเข้ามาใกล้ฉันมากกว่าเดิม เขายกยิ้มมุมปากจ้องมองใบหน้าฉันนิ่ง

“ก็เปลี่ยนสิ มืดแบบนี้ฉันไม่เห็นอะไรมากนักหรอก”

ฉันมองร่างสูงด้วยความขุ่นเคืองเล็กน้อย ถึงเอริคจะบอกว่ามันมืดก็เถอะ แต่ก็ยังคงเห็นแบบสลัวๆ อยู่ดีนั่นแหละ จะให้ฉันแก้ผ้าโดยที่เขายืนจ้องใกล้ขนาดนี้หรือไงกันล่ะ

“ช่วยหันหลังด้วยค่ะ คุณเอริค” ฉันยังคงยืนจ้องหน้าแล้วพูดใส่เขาด้วยความมุ่งมั่น เอริคเลิกคิ้วมองฉันอย่างกวนประสาททันทีที่ฉันกลับไปเรียกเขาแบบเดิม

“โมนา บอกให้เรียกว่าไง”

ฉันถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย แล้วเม้มริมฝีปากด้วยความหงุดหงิด “เอริค หันหลังไปได้แล้ว”

พอเอริคเห็นสีหน้าที่เริ่มหงุดหงิดของฉันเขาก็หัวเราะในลำคอแกร่งเบาๆ แล้วยอมหันหลังให้แต่โดยดี ฉันพ่นลมหายใจแรง ทำไมเขาต้องคอยกวนประสาทฉันได้ทุกครั้งเลยเนี่ย!

“ไม่ต้องอายหรอกโมนา เราอายุกันขนาดนี้แล้วนะ ฉันเห็นมันหมดแล้วด้วย ไม่มีอะไรต้องอายหรอก”

ฉันที่กำลังลังเลว่าจะหยิบชุดชั้นในตัวเดิมที่ใส่แล้วมาใส่อีกดีไหมต้องชะงักความคิดไว้แล้วหันขวับไปมองแผ่นหลังกว้างกำยำพร้อมกับกัดริมฝีปากล่างของตัวเองไว้อย่างหมั่นไส้ปนขุ่นเคือง และด้วยความที่โมโหฉันเลยรีบสวมเสื้อยืดตัวโคร่งทันที ให้ตายเถอะ ยังไงฉันไม่ใช่สาวน้อยใส่ซื้ออยู่แล้วหนิ ไม่ใส่ก็ได้ย่ะไอ้ชุดชั้นในอะไรนั่นน่ะ!

“เสร็จแล้ว”

พอบอกเขาเสียงแข็งจบ เอริคก็หันกลับมามองใบหน้าฉันพร้อมกับยกยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ จนฉันอยากจะเอาเล็บไปข่วนหน้าหล่อๆ ของเขาให้หายหงุดหงิดชะมัด!

“ฉันจะลงไปดูงานที่ทำค้างไว้หน่อย เธอจะเข้านอนเลยหรือเปล่า”

ฉันนิ่งคิดสักพักก็ตัดสินใจว่าอยากจะดื่มอะไรร้อนๆ หน่อย แถมอากาศเริ่มเย็นลงจนฉันรู้สึกหนาวขึ้นมาทันที “ฉันอยากดื่มกาแฟหน่อยค่ะ”

“เดี๋ยวพาไป”

“คุณไม่มีไฟฉายอีกอันเหรอคะ อันที่จริงฉันขอยืมสักอันก็ไปเองได้ คุณจะได้ไปทำงานที่ค้างไว้ไง”

“มีแค่อันเดียว ฉันอยู่ที่นี่คนเดียวจะมีทำไมเยอะแยะ”

เสียงเข้มต่ำพูดเรียบนิ่ง แล้วมือหนาก็จับข้อมือฉันไว้ จากนั้นเขาก็จูงฉันให้เดินตามหลังเขาไปช้าๆ ฉันถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่ายแล้วดินตามเอริคโดยไม่พูดอะไรอีก ทำได้เพียงมองแผ่นหลังกว้างกำยำพร้อมกับความอบอุ่นจากการที่เขาจับมือฉันไว้แน่น ไออุ่นร้อนๆจากร่างสูงใหญ่ที่อยู่ใกล้ๆ ทำให้หัวใจฉันรู้สึกปลอดภัย อุ่นวาบภายในอกอย่างบอกไม่ถูก ฉันเม้มริมฝีปากด้วยความประหม่าก่อนจะเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว

“ถึงแล้ว”

ฉันกะพริบตาปริบๆ พลางสะบัดหัวไล่ความคิดเพ้อเจ้อของตัวเองแล้วมองไปรอบห้องครัวมืดมิดที่มีเพียงแสงจากไฟฉายของเอริคที่ทำให้เห็นเพียงสลัวๆ อย่างมึนงง นี่ฉันมัวแต่คิดอะไรเรื่อยเปื่อยนานขนาดไหนกันน่ะ ให้ตายสิ

“เอ่อ… คุณปล่อยมือฉันก่อนสิคะ”

เอริคเหลือบมองลงไปยังมือหนาที่ยังคงจับมือฉันเอาไวแน่นแล้วยกยิ้มมุมปาก จากนั้นก็หันมามองใบหน้าฉันด้วยสายตาคมเจ้าเล่ห์ “หึ ทำกาแฟเผื่อด้วย”

ฉันพยักหน้าเข้าใจ หลบสายตาคมวาววับอย่างประหม่าหน่อยๆ แล้วหันไปชงกาแฟด้วยอาการเลิ่กลั่ก บ้าจริง ทำไมหัวใจฉันถึงเต้นระรัวเพียงแค่เผลอสบสายตากับเอริคด้วยล่ะ! ฉันสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่เพื่อรวบรวมสมาธิ พอทำกาแฟเสร็จก็ยื่นไปให้เอริคแก้วหนึ่ง เอริคยกขึ้นจิบ ฉันเลยหันไปถามเขาเพื่อทำลายความเงียบและอาการทำตัวไม่ถูกของตัวเอง

“คุณต้องกลับไปที่ห้องทำงานใช่มั้ยคะ?”

“อือ เหลืออีกนิดหน่อย”

ฉันจิบกาแฟในมือ ขมวดคิ้วมุ่นแล้วหันไปมองทางเอริคทันที “ไฟดับแบบนี้คุณจะทำงานยังไงล่ะคะ?”

“ที่ห้องทำงานมีตะเกียงอยู่ แค่นั้นก็สว่างพอแล้ว”

“ระ… เหรอคะ”

“ไปด้วยกันมั้ย”

เสียงเข้มต่ำเลิกคิ้วถาม พอฉันพยักหน้าหงึกหงักเบาๆ กลับไปให้แทนคำตอบ เอริคก็ยกยิ้มพอใจ ฝ่ามือหนาเอื้อมมาจับข้อมือบางไว้หลวมๆ แล้วพาฉันเดินไปที่ห้องทำงานของเขาโดยที่มืออีกข้างก็ถือทั้งแก้วกาแฟของเขาและไฟฉายเอาไว้…

พรึ่บ!

พอเอริคพาฉันเดินมาถึงห้องทำงานของเขา เจ้าของมือหนาที่จับข้อมือฉันไว้ตลอดทางก็เดินไปจุดตะเกียงที่อยู่มุมห้องทั้งสองฝั่งด้วยความเคยชิน ฉันหันไปมองสำรวจรอบห้องทำงานของเอริคด้วยความอยากรู้และตื่นเต้นแปลกๆ ทุกอย่างในห้องนี้ส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับเครื่องบิน ส่วนประกอบเครื่องบิน มีโมเดลเครื่องบินเกือบจะทุกประเภทจนฉันรู้สึกทึ้งไม่น้อยเลย เห็นแบบนี้แล้ว… เอริคคงจะชอบมันมากจริง ๆ

เปรี้ยง!

และแล้วความคิดและขาของฉันก็ชะงักกึก รวมทั้งการกระทำทุกอย่างหยุดนิ่งทันทีที่ฉันได้ยินเสียงฟ้าร้องดังสนั่นจากด้านนอกจนบ้านหลังแทบสั่นสะเทือนไปทั้งหลัง

“ฝนจะตกหนักมากขึ้นอีก”

เสียงทุ้มต่ำที่ดังอยู่ด้านหลังในระยะใกล้ชิดเกินไปจนรับรู้ถึงไออุ่นจากแผงอกกำยำที่แนบชิดอยู่กับแผ่นหลังบางโดยที่ฉันไม่ทันได้ตั้งตัว ให้ตายเถอะ เอริคมายืนอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันน่ะ…

“แล้ว… แล้วไฟจะดับแบบนี้อีกนานมั้ยคะ?”

ฉันสูดหายใจเอาอากาศเข้าปอดลึกๆ เพื่อตั้งสติ จากนั้นก็ถามเอริคน้ำเสียงแผ่วเบาอุบอิบและยังคงยืนหันหลังให้เขาอยู่ แล้วทำไมเขาต้องมายืนแนบชิดกับฉันขนาดนี้ด้วยก็ไม่รู้

“อาจจะถึงเช้า”

พอได้ยินคำตอบของเอริคฉันก็ถึงกับถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่อย่างเหนื่อยหน่าย นี่คงเป็นคำตอบที่ฉันไม่อยากได้ยินตอนนี้มากที่สุดเลยล่ะ บ้าชะมัด ฝนตกหนักกว่าเดิมว่าแย่แล้ว ไฟยังจะดับยาวถึงเช้าของอีกวันเลยเหรอเนี่ย ฉันอยากจะบ้าตายจริงๆ!

“ว่าแต่… คุณไม่ไปทำงานที่ค้างอยู่เหรอคะ?”

ฉันหันไปเลิกคิ้วถามเอริคที่ยืนแนบชิดอยู่ด้านหลังไม่ห่าง แล้วก็อยากจะทึ้งหัวตัวเองแรงๆ สักทีเมื่อระยะห่างระหว่างฉันกับเขามันน้อยนิดจนน่าใจหาย หัวใจไม่รักดีของฉันก็เต้นตึกตักรุนแรงขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้อีกครั้ง…

หมับ

“หนาวเหรอ” ดวงตากลมโตกะพริบปริบๆ เมื่อจู่ๆ นิ้วเรียวก็ปัดเส้นผมที่ปรกใบหน้าไปทัดใบหูให้ฉัน เสียงเข้มต่ำเอ่ยถามโดยไม่สนใจจะตอบคำถามฉันสักนิดเดียว เอริคขยับตัวเข้ามาใกล้ฉันมากขึ้นเรื่อยๆ ความอบอุ่นจากร่างสูงใหญ่และสัมผัสแผ่วเบาของเขา ทำให้ฉันรู้สึกประหม่าอย่างควบคุมได้ยากเย็นนัก

“นิดหน่อยค่ะ อากาศมันเริ่มเย็น…”

ฉันเม้มริมฝีปากแน่น เงยหน้าสบกับสายตาคมดุดันวาววับด้วยหัวใจที่เต้นระรัว เอริคยกยิ้มมุมปากท่าทางเจ้าเล่ห์ ก่อนฝ่ามือหนาจะลูบไล้เส้นผมฉันลงมาจนถึงหัวไหล่บางแผ่วเบา ฉันไม่รู้จะทำตัวยังไงเลยได้แต่ยืนนิ่งอยู่กับที่ ให้ตาย อากาศเย็นมันควรทำให้ฉันหนาวแทบขนลุกสิ แต่ทำไมตอนนี้ร่างกายฉันมันถึงได้รู้สึกร้อนรุ่มแปลกๆ กันล่ะ…

Options

not work with dark mode
Reset