ความลับ(รัก)ของประธานพันธุ์ร้าย NC25 117 ตอนจบ ทำลายรังของประธานกู้

ตอนที่ 117 ตอนจบ ทำลายรังของประธานกู้

เด็กทดลองกลุ่มนี้เหมือนจะฉลาดกว่ากลุ่มเดิมที่หลี่เจี่ยซินเจอคราวที่แล้ว แต่ด้วยแรงของเธอและหลิวไห่เพียงพริบตาก็สามารถจัดการคนพวกนั้นได้สำเร็จ หลิวไห่หอบร่างของกู้เมิ่งวิ่งออกมาข้างนอก ในขณะที่กู้เมิ่งถือตัวยาสำคัญเอาไว้ แต่ในตอนนี้ข้างนอกกับมีเด็กทดลองล้อมเขาอยู่

หากมาเพียงไม่กี่คนก็สามารถจัดการได้ไม่ยาก แต่เมื่อมาเป็นกองทัพแบบนี้กลับไม่ง่ายเลยที่จะฝ่าออกไป

“ดวงตาสวรรค์เห็นหรือเปล่า”

หลิวไห่รีบทักดวงตาสวรรค์ทันที

“เห็นครับหัวหน้า ผมจะส่งคนไปช่วยเดี๋ยวนี้”

หลิวไห่เสียงเข้ม

“ให้เร็วมีคนมากเกินไป ฉันกับหลี่เจี่ยซินคิดว่าเอาไม่อยู่”

กู้เมิ่งถูกโยนเข้าไปอีกฝั่ง ในตอนนี้เขาเองก็หนีหัวซุกหัวซุน ในตอนนี้ทั้งเกาะเต็มไปด้วยเด็กทดลองที่หิวกระหายยังกะซอมบี้ ในขณะที่ลูกน้องของประธานกู้กลับปิดประตูห้องทดลองล็อคตาย

“ทำไมคนพวกนั้นไม่มาช่วยฉัน”

กู้เมิ่งประหลาดใจ แต่แล้วเขาก็ได้รู้คำตอบเมื่อเด็กทดลองคนหนึ่งวิ่งเข้ามาหาเขาและใช้มือฟาดเขาไม่ยั้ง กู้เมิ่งถึงกับร่างกระแทกเข้ากับต้นไม้กระนั้นก็ยังถือกระเป๋ายาเอาไว้แน่น

“เฮ้ย นักบ้าฉันคือกู้เมิ่งลูกชายประธานบริษัทนะโว้ย”

ถึงเขาจะพูดแบบนั้นแต่คนพวกนี้ไม่มีใครฟังเขา กลับขยับเข้ามาคิดจะทำร้าย หลิวไห่เห็นว่าเด็กทดลองพวกนี้ต่างเคลื่อนไหวช้ากว่าชุดเดิมมาก แต่กลับไม่สามารถแยกแยะคนสองฝ่ายได้

นั่นหมายความว่าไม่ว่าเป็นใครพวกเขาก็พร้อมฆ่าให้ตาย เขาจึงกระโดดมาช่วยกู้เมิ่งทันใด

หลิวไห่ถีบเด็กทดลองที่กำลังรุมกู้เมิ่งออกไป ทั้งกระชากเขาขึ้นมาบนพื้น ใบหน้าของกู้เมิ่งปูดยิ่งกว่าลูกแตงโม

“พวกเลวนี่ฉันจะฆ่าให้หมดฉันจะฆ่าให้หมด”

หลิวไห่บอกเสียงดัง

“พวกมันไม่รู้ใครเป็นนาย มันฆ่าทุกคนที่ขวางหน้าเพราะแบบนี้ลูกน้องของพ่อนายถึงไม่มีใครโผล่ออกมาสักคน นายได้ตายจริง ๆ แน่แล้ว”

“ไม่นะ พ่อไม่ทำกับฉันแบบนี้”

กู้เมิ่งไม่เชื่อ หลิวไห่โยนปืนให้เขาแล้วบอกว่า

“ไม่ใช่เวลาดราม่า หยิบปืนขึ้นมาแล้วยิงหัวมันซะ”

กู้เมิ่งโกรธเป็นอย่างมากที่พ่อของเขากลับทำกับเขาแบบนี้ เขาถือปืนแล้วเล็งไปที่หัวของเด็กทดลอง เพียงหัวพวกมันแตกกระจายสมองระเบิดก็ไม่มีแรงมาทำร้ายเขาแล้ว ปืนที่ได้มาเป็นปืนกลกู้เมิ่งรัวปืนอย่างบ้าคลั่ง สุดท้ายหลี่เจี่ยซินขยับมาหาเขาแล้วตบเข้าไปที่หัวของกู้เมิ่งอย่างแรง

“สมองใช้การไม่ได้หรือไง ยิงมั่วซั่วแบบนี้เปลืองกระสุน บอกให้ยิงหัวมัน พวกมันมีมากหลายร้อยคนนายมีกระสุนเท่าไหร่กัน”

กู้เมิ่งทั้งโกรธทั้งกลัวหลี่เจี่ยซินว่าจะหักคอเขา ในตอนนี้เขาจึงโค้งคำนับเธอแบบสุภาพ

“ครับพี่สะใภ้เข้าใจแล้วครับ”

“ดี อย่ามั่วอีก”

หลี่เจี่ยซินเองก็มีปืนอยู่ในมือ เธอยิงอย่างแม่นยำเด็กทดลองสมองกระจายเป็นร้อย เล็ดกระเซ็นเต็มใบหน้าของเธอ จนสุดท้ายกระสุนของพวกเขาหมดสิ้น แต่เด็กทดลองยังมีอีกเป็นร้อย หลี่เจี่ยซินและหลิวไห่เริ่มใช้มีดฟันหัวของพวกเขา เคลื่อนไหวเร็วกว่าพายุในขณะที่กู้เมิ่งไปหลบอยู่ที่มุมหนึ่ง

แรงของเขาน้อยจนไม่สามารถฆ่าใครได้ รู้สึกอดสูและอับอายแต่ก็ต้องเอาตัวรอด

หลิวไห่ร้องออกมาอย่างแรง

“ดวงตาสวรรค์ กำลังเสริมใกล้หรือยัง”

“หัวหน้าทนอีกห้านาที พวกคุณหาที่ซ่อนซะเราจะระเบิดเกาะแล้ว”

แน่นอนว่าคนทั้งสองต่างมองหน้ากันต้องฝ่าคนพวกนี้ออกไปทั้งต้องนำตัวกู้เมิ่งไปด้วย

“ฉันจะเปิดทางให้เธอพากู้เมิ่งลงน้ำไป”

หลี่เจี่ยซินไม่ยินยอม

“ไม่ที่รักพากู้เมิ่งไป ฉันจะเปิดทางให้”

กู้เมิ่งฟาดหัวของเด็กทดลองสองคนจนกระจาย ก่อนจะดึงหลี่เจี่ยซินเข้ามากอด

“ฉันแข็งแรงกว่าเธอ เชื่อฉันนะฉันจะตามไป”

หลี่เจี่ยซินห่วงเขา แต่เธอเองก็ไม่มีเวลาแล้ว จึงพยักหน้าทั้งพูดเสียงดัง

“ที่รักห้ามตายนะ ห้ามตายเด็ดขาดรับปากฉัน”

หลิวไห่พยักหน้า

“ได้ฉันรับปาก ไม่ตายฉันยังอยากเห็นหน้าลูกของเรา”

หลี่เจี่ยซินยิ้ม เขาพูดคำนี้หมายความว่าเขาต้องรักษาเธอให้ได้ เธอขยับตัวไปดึงกู้เมิ่งที่หลบซ่อนตัวออกมา ในขณะที่หลิวไห่หลอกล่อเด็กทดลองไปอีกด้าน

เมื่อคนกรูกันไปยังทิศที่หลิวไห่นำไปแล้ว หลี่เจี่ยซินได้โอกาศดึงร่างของกู้เมิ่งด้วยมือหนึ่ง เธอวิ่งอย่างว่องไหวทั้งใช้มีดฟันคนที่เข้ามาขวาง คนทางนี้น้อยลงแล้วสุดท้ายกู้เมิ่งที่รู้สึกเหมือนตัวเองเหาะได้ด้วยอัตตราความเร็วที่สูงจนใบหน้าชาก็ถูกหลี่เจี่ยซินพากระโจนลงทะเลไป

ดวงตาสวรรค์พูดขึ้น

“จะทิ้งระเบิดในหนึ่งนาที”

หลิวไห่ตอบคำหนึ่ง

“โอเค”

หลังจากนั้นเวลาก็เริ่มนับ หลิวไห่ตอนนี้หลอกคนพวกนั้นมาจนกระทั่งถึงหน้าตึกทดลอง และแล้วเขาก็พบบางอย่างทิ้งเอาไว้ตรงนั้น เป็นปืนM79 หลิวไห่หัวเราะในที่สุดก็เจอจนได้

หลิวไห่หยิบปืนขึ้นมาเขาเล็งM79 เข้าไปกลางฝูงของเด็กทดลอง

ระเบิดลูกยักษ์ถูกยิงออกไประเบิดดัง สนั่นหวั่นไหว ทำให้ช่วงตรงกลางนั้นแหวกเป็นทาง

ในช่วงที่กำลังชุลมุนหลิวไห่ยิงระเบิดไปอีกลูก วิ่งฝ่าไปทางเดิมกระโจนลงน้ำทะเลแล้วดำลงไปจนลึกสุดก่อนที่ดวงตาสวรรค์จะระเบิดเกาะนี้ทิ้งไป แต่แรงระเบิดและของต่าง ๆ มากมายที่ถูกระเบิดยังหล่นลงไปในทะเลทำให้หลิวไห่รู้สึกถึงแรงสะเทือนได้อย่างชัดเจน

แน่นอนว่าเมื่อเกิดระเบิด เกาะที่ไม่มีบนแผนที่ก็ปรากฎตัวขึ้น คนของรัฐบาลจึงจับพิกัดของเกาะได้พร้อมข้อมูลการทดลองของประธานกู้ที่ถูกปล่อยออกมา

เขาเป็นคนมีเส้นสายคนสำคัญในรัฐบาลโทรหาเขาด้วยตัวเอง

“ไม่ว่าจะต้องจ่ายเท่าไหร่ก็ขอให้ปิดข่าวเรื่องนี้ไว้ครับ ถ้าเกิดข่าวรั่วไหลเรื่องทุจริตผมก็จะเปิดโปงเหมือนกัน”

ประธานกู้ตบโต๊ะดังสนั่น คิดไม่ถึงว่าหลิวไห่จะมีฝีมือขนาดนั้น เขาทั้งโกรธแค้นแต่ในใจบางส่วนกลับพอใจเป็นอย่างมากที่หลิวไห่เอาชนะเขาได้

หลี่เจี่ยซินลอยคอมาจนถึงเรือที่คนของหลิวไห่รออยู่กลางทะเล เธอลากกู้เมิ่งที่กำลังสำลักน้ำขึ้นมาแล้วให้คนทำการปฐมพยาบาลให้

“ฉันจะกลับไปหาเขา”

ก่อนที่หลี่เจี่ยซินจะกระโดดลงน้ำไปช่วยกู้เมิ่ง เขาก็โผล่ขึ้นมาพอดี หลี่เจี่ยซินโผเข้าไปกอดเขาด้วยความดีใจเป็นอย่างยิ่ง ทั้งสองคนจูบกันอยู่ตรงนั้นเนิ่นนาน

หลายเดือนต่อมา

หลี่เจี่ยซินตอนนี้ได้รับยารักษาเธอกลับมาเป็นคนปกติไม่มีกำลังเหมือนเดิมแต่ต้องรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลจนกว่าจะหายท่ามกลางการดูแลอย่างใกล้ชิดของคุณหมอที่เป็นคนของลุงเฉิง เพราะผลข้างเคียงทำให้เธออ่อนแรงไม่สามารถเดินเหินได้ปกติต้องทำการบำบัด ซึ่งเธอกลับดีขึ้นเรื่อย ๆ

เฉินเฟยอวี๋บินมาเยี่ยมเธอ ตอนนี้เขาได้แฟนใหม่อีกแล้วเพราะทะเลาะกับคนเดิมแต่เขาก็ยังให้ความช่วยเหลือให้ผู้ชายคนนั้นทำงานในบริษัท หลี่เจี่ยซินจึงอดแซวไม่ได้

“ไหนบอกว่ารักแท้ไง”

เฉินเฟยอวี๋ย่นจมูกแล้วจับมือของเธอขึ้นมาจูบ

“รักแท้ของฉันคือเธอเท่านั้นที่รัก”

หลี่เจี่ยซินหัวเราะ แต่หลิวไห่เข้ามาเห็นภาพนี้จึงตบหัวน้องชายไปครั้งหนึ่ง

เฉินเฟยอวี๋ลูบหัวของตนเองแล้วบ่น

“ขี้หึงขี้หวง ที่รักของฉันเป็นของฉันก่อนพี่อีกนะ ถ้าไม่ใช่เพราะฉันพี่จะได้เธอเหรอบุญคุณน่ะสำนึกเสียบ้าง”

หลิวไห่ยักไหล่ เตะก้นน้องชายไล่ออกไปให้นั่งไกล ๆ หลี่เจี่ยซิน เขานั่งลงแทนที่แล้วถามด้วยน้ำเสียงห่วงใย

“วันนี้เป็นยังไงบ้าง”

หลี่เจี่ยซินยิ้ม

“ฉันเดินได้หลายก้าวเลยค่ะ ฉันให้คนถ่ายวิดีโอให้คุณดูด้วย”

หลังจากนั้นเธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอวดการเดินของตัวเอง จากวันแรกที่ก้าวขาไม่ออกตอนนี้เธอกลับก้าวได้หลายก้าวแล้ว หลี่เจี่ยซินเป็นคนเข้มแข็งเธอคิดว่าเธอยังมีชีวิตดีเท่าไหร่แล้วที่ยังได้ใช้เวลาร่วมกับเขาอีกครั้ง

หลิวไห่ยิ้มอย่างยินดี เขาหอมแก้มหลี่เจี่ยซิน

“คุณเก่งมาก อีกไม่นานก็วิ่งได้แล้ว”

หลี่เจี่ยซินจึงถามเรื่องของประธานกู้ หลังจากหลิวไห่เป็นคนเปิดโปงเรื่องเขาร่วมมือกับคนของรัฐทุจริตเขาก็ถูกตัดสินปลดออกจากตำแหน่งประธานทันใด

“เขาต้องเข้าไปอยู่ในคุกแล้ว เราไม่ได้แค่ส่งเรื่องนี้ไปให้เจ้าหน้าที่ในฮ่องกงยังส่งไปแผ่นดินใหญ่ ตอนนี้เขาต้องไปรับโทษที่แผ่นดินใหญ่แทน กู้เมิ่งตอนนี้ก็ได้ครอบครองอาณาจักรกู้ทั้งหมดแทนเขา ผมสัญญาว่าจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวต่อไปทำธุรกิจก็ทางใครทางมันไม่เกี่ยวข้องกันอีก เขาก็ดูจะพอใจเป็นอย่างมาก”

แน่ล่ะกู้เมิ่งย่อมกลัวหลิวไห่จนตัวสั่นว่าจะมายึดอาณาจักรของเขา ไม่ว่าหลิวไห่อยากได้อะไรเขาจึงรีบจัดหาให้ทันทีและไม่กล้าแตะต้องพี่ชายคนนี้อีกต่อไป

“แล้วเรื่องที่เขาทำการทดลองล่ะคะ”

หลิวไห่ส่ายหน้า

“น่าแปลกใจที่กลับไม่มีใครสนใจ เกาะนั่นถูกปิดตายและจู่ ๆ ก็หายไปจากแผนที่อีกครั้ง”

หลี่เจี่ยซินมึนงง

“หมายความว่าไงคะ”

หลิวไห่จึงตอบว่า

“คิดว่ามีคนใช้คนของประธานกู้ทำเรื่องนี้ต่อ นักวิทยาศาสตร์ก็หายไปทั้งหมด ผมกลับไปที่เกาะนั่นอีกครั้งมันกลายเป็นเกาะร้างไปแล้ว แต่ด้านล่างของมันวันนั้นเราเองก็ไม่ได้สำรวจ ถามกู้เมิ่งเขาก็รู้เท่าที่เรารู้ น่าแปลกที่มันหายไปอย่างไร้ร่องรอยแบบนั้น”

หลี่เจี่ยซินจับมือของเขาแล้วเขี่ยเล่นเบา ๆ หลิวไห่ดึงหน้าของเธอมาใกล้กระทั่งเฉินเฟยอวี๋ที่นั่งเล่นมือถืออยู่ด้านหลังกระแอม

“เอาล่ะ จะทำอะไรก็เกรงใจคนนั่งหัวโด่อยู่นี่บ้าง ฉันล่ะเชื่อเลย ฉันไม่อยู่ด้วยแล้วไปฟิตเนสดีกว่า ดูแลที่รักของฉันดี ๆ ล่ะพี่ อย่าทำให้เธออ่อนเพลียมากนัก”

หลิวไห่โบกมือ

“เดินดี ๆ อย่าสร้างเรื่องอีกล่ะ”

หลังจากเฉินเฟยอวี๋ไปแล้วหลิวไห่เองก็อดใจไม่ไหว เขาดึงหลี่เจี่ยซินมาจูบอย่างดูดดื่ม สองลิ้นแลกกันอย่างมีความสุขสุดท้ายเธอก็ซบอยู่บนอกของเขา

หลิวไห่ถามเธอเบา ๆ

“อยากออกไปเดินเล่นหรือเปล่า”

หลี่เจี่ยซินพยักหน้า

“ผมอุ้มเอง”

หลิวไห่ยิ้ม เขาไม่ชอบใช้รถเข็ญมักจะอุ้มเธอและเดินรอบโรงพยาบาลอยู่ทุกวัน จนกระทั่งสายตาของคนในโรงพยาบาลชาชินไปแล้ว

“ในที่สุดฉันก็ได้เป็นผู้หญิงอ่อนแอสมใจแล้ว”

หลี่เจี่ยซินมีความสุขมาก

หลิวไห่จูบศีรษะของเธอแล้วถามว่า

“ยิ้มกว้างแบบนี้ชอบมากเหรอ”

“ใช่ค่ะความฝันของฉันเลย”

หลิวไห่ยิ้ม ท่าทางของเขาเหม่อลอยเล็กน้อย กระทั่งหลี่เจี่ยซินจูบที่ปลายคางของเขา

“คิดอะไรอยู่คะ คุณดูเหม่อ ๆ นะคะ”

หลิวไห่เม้มปาก ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจบอกเรื่องที่เขาอัดอั้นตันใจให้หลี่เจี่ยซินฟัง

“ผมแปลกใจมาก ทั้งเรื่องยาของคุณทั้งเรื่องประธานกู้ เหมือนว่าผมกำลังถูกใช้ให้เป็นเครื่องมือ และเดินตามแผนของใครบางคนที่วางเอาไว้ เขาเองก็เหมือนจะรู้ว่าผมเป็นใครตั้งแต่แรก และแลปวิจัยของประธานกู้นั้นมันหายไปได้ยังไง ใครที่เก่งและมีฝีมือทั้งอิทธิพลขนาดนั้น”

หลี่เจี่ยซินเองเบิกตากว้าง

“คุณสงสัยเขาเหรอคะ”

หลิวไห่มองหน้าเธอ

“คุณรู้เหรอว่าใคร”

หลี่เจี่ยซินสันนิษฐาน

“คนที่เป็นคู่ขัดแย้งของประธานกู้มีไม่กี่คน และคนที่มีอิทธิพลพอจะย้ายเกาะได้เท่าที่ฉันรู้จักมีคนเดียว ลุงเฉิง”

หลิวไห่ตกตะลึงไม่น้อยที่เธอคาดเดาได้ตรงกับเขา

หลี่เจี่ยซินกระซิบ หลิวไห่อุ้มเธอไปจนถึงม้านั่งที่ด้านหน้าเป็นสวนดอกไม้ที่สวยงามเป็นอยางยิ่ง เขานั่งลงให้เธอนั่งตักเขายังเกยคางไว้บนไหล่เล็ก ๆ ของหลี่เจี่ยซิน

“ผมคิดว่าผมถูกเขาหลอกใช้เพื่อเอาสูตรยา และเขาตอบแทนโดยช่วยรักษาคุณ แต่หากเขาทดลองต่อเขาจะกลายเป็นฆาตรกรฆ่าเด็กจำนวนมากแทนกู้เมิ่งแลกกับผลประโยชน์อันมหาศาล”

หลี่เจี่ยซินโอบแขนรอบตัวเขาแล้วพูดว่า

“คุณจะทำยังไงคะ ถ้าหากเขาหลอกใช้คุณจริง ๆ”

หลิวไห่ยังไม่ตอบ เสียงใครคนหนึ่งก็ดังขึ้น

“อยู่นี่เอง ลุงเอาของกินอร่อย ๆ มาฝาก ตามหาแทบแย่”

ลุงเฉิงในชุดลำลองดูเป็นคนแก่ใจดีคนหนึ่งกำลังยิ้มให้คนทั้งสอง ข้างหลังเขาคืออเล็กซ์และลูกน้องอีกคนที่หลิวไห่คุ้นตา หลี่เจี่ยซินตาค้างพูดเบา ๆ กับเขาพร้อมกับฉีกยิ้มสวยส่งให้ลุงเฉิง

“พูดถึงโจวโฉ โจวโฉก็มา”

จบบริบูรณ์

หลังจากเข้ามาในฐานลับแล้ว หลิวไห่และหลี่เจี่ยซินต่างช่วยกันติดตั้งบางสิ่งบางอย่างเพื่อรบกวนสัญญาณด้านใน การเคลื่อนไหวของคนสองคนคล่องแคล่วและว่องไวจนกระทั่งแม้แต่กล้องวงจรปิดก็ยังจับภาพไว้ไม่ได้

หลี่เจี่ยซินลากคนสองคนเข้าไปด้านในก่อนจะช่วยกันเปลี่ยนเสื้อผ้าให้กลายเป็นคนของประธานกู้ ด้านดวงตาสวรรค์บัดนี้สามารถมองเห็นตัวอาคารได้จากดาวเทียมแล้ว จากสัญญาณที่หลี่เจี่ยซินและหลิวไห่ส่งออกมา

“เอาล่ะได้ยินแล้วใช่หรือไม่”

ดวงตาสวรรค์ถามขึ้น หลิวไห่ตอบเสียงเบา

“ได้ยินชัดเจน”

“แล้วพี่สะใภ้เล่าได้ยินชัดหรือไม่”

“ได้ยินชัดเจน”

หลี่เจี่ยซินตอบอย่างรวดเร็ว

“พวกคุณทั้งสองมีเวลาเพียงแค่ครึ่งชั่วโมงก่อนที่เราจะถูกจับได้ จัดการให้เร็วเข้าใจหรือไม่”

“เข้าใจ”

คนทั้งสองพูดขึ้นมาจนแทบจะพร้อมกัน

หลังจากนั้นดวงตาสวรรค์จึงเริ่มใช้โปรแกรมยิงสำรวจเส้นทางของฐานลับของประธานกู้ หลี่เจี่ยซินและหลิวไห่เดินไปตามเส้นทางที่พวกเขาบอกจนกระทั่งไปถึงห้องควบคุม ในขณะนั้นพวกเขาตีคนสลบไปหลายคน กระทั่งในที่สุดก็เกิดเสียงดังขึ้นมาจึงเกิดการไล่ล่ากันขึ้นมา

“มีคนบุกรุก มีคนบุกรุก”

ทีมรักษาความปลอดภัยต่างวิ่งกันมาจ้าละหวั่น เพื่อหาตัวคนที่บุกรุกแต่น่าประหลาดใจไม่ว่าจะหาทางใดก็ไม่เห็นคนทั้งสอง แม้จะดูในกล้องวงจรปิดแล้วยังไม่สามารถจับพวกเขาได้ กระทั่งในที่สุดหลิวไห่และหลี่เจี่ยซินก็โผล่มาที่ห้องควบคุมกล้องวงจรปิด

หลี่เจี่ยซินหักคอคนตายไปสองคน ในขณะที่หลิวไห่หยิบอุปกรณ์ชิ้นหนึ่งขึ้นมา เสียบเข้ากับคอมพิวเตอร์ควบคุม ดวงตาสวรรค์แฮ็กข้อมูลอย่างฉับพลัน

“ผมขอเวลาหนึ่งนาที”

หลิวไห่เสียงเย็น

“นานไป”

“ครึ่งนาที เอาล่ะเสร็จแล้ว”

“เก่งมาก”

การค้นหาจึงเริ่มขึ้น พวกเขาใช้กล้องวงจรปิดเพื่อหาตำแหน่งของห้องเก็บยาที่หลี่เจี่ยซินต้องการ จนกระทั่งค้นพบมันแล้ว ดวงตาสวรรค์แจ้งเตือน

“มีคนกำลังมาหาพวกคุณนับไม่ถ้วน เอาล่ะจะใช้ระเบิดหรือไม่”

“ไม่ใช้ แต่เราจะไต่กำแพงขึ้นไปมีท่ออากาศหรือเปล่า”

ดวงตาสวรรค์ดึงแผนผังก่อสร้างเข้ามาในคอมปรากฎเป็นรูปสี่มิติ ที่เห็นอย่างชัดเจน

“ขึ้นไปบนเพดานของพวกคุณ เลี้ยวขวาแล้วจะเจอช่องอากาศเดินตรงไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวผมจะบอกให้หยุด”

เมื่อคนของประธานกู้เข้ามาในห้องควบคุมกล้องวงจรปิดก็ไม่เห็นหลี่เจี่ยซินและหลิวไห่แล้ว มีเพียงคนของพวกเขาที่ถูกหักคอจนตายอยู่ที่นี่

มีสายรายงานไปถึงประธานกู้ว่าที่นี่ถูกคนบุกรุก เขาจึงโทรไปด่าลูกชายทันที

กู้เมิ่งแสร้งตอบรับพ่อแล้วส่งสัญญาณทันใด

เขาบุกมาจนถึงห้องเก็บตัวยาแล้ว แต่เขาเองก็ไม่รู้ว่าเป็นตัวยาชนิดไหน เมื่อรับโทรศัพท์กู้เมิ่งทำท่าหัวเสีย รีบไล่คนให้ช่วยกันตามล่าผู้บุกรุก

“จะมายืนเซ่อทำอะไรกันที่นี่วะ ไปสิวะ ไปลากคอมันมา”

คนทั้งหมดจึงวิ่งไปด้านนอกเพื่อออกตามล่าหลิวไห่และหลี่เจี่ยซิน

หลังดวงตาสวรรค์ได้รับสัญญาณจากกู้เมิ่ง พวกเขาจึงรีบบอกเส้นทางให้หลิวไห่รู้ทันที

“ตรงไปข้างหน้าจนสุดทางแล้วลงตรงห้องนั้น หลังจากออกจากห้องนั้นแล้วให้เลี้ยวขวาตรงไปเรื่อย ๆ จะเจอลิฟต์พวกคุณต้องลงไปชั้นG ระวังตอนออกจากลิฟต์จะมีปืนรอพวกคุณอยู่ หลบลูกปืนได้แล้วบอกผม”

หลิวไห่และหลี่เจี่ยซินระวังเป็นอย่างดี พวกเขาจึงถอดเพดานลิฟต์ด้านบนแล้วรออยู่ตรงนั้น เมื่อลิฟต์จอดที่ชั้นG ทันทีที่ประตูลิฟต์เปิดกระสุนห่าใหญ่ถูกสาดซัดเข้ามา พวกเขารอกระทั่งคนพวกนั้นยิงปืนจนหมดแม๊ก จึงค่อยขยับตัว

รปภ.พวกนั้นต่างงงเป็นอย่างมากเมื่อลิฟต์เปิดออกกลับไม่เจอใครสักคนอยู่ในนี้ แต่เมื่อพวกเขาเงยหน้ากลับมีควันหนาลอยลงมา คนทั้งหมดสำลักควันหลี่เจี่ยซินและหลิวไห่จึงหลบออกมาจากลิฟต์อย่างรวดเร็ว

ควันนั้นเป็นควันสลบคนที่สูดเข้าไปจึงล้มฟาดลงบนพื้นทันที

“หลบกระสุนเรียบร้อย”

ดวงตาสวรรค์คีย์รหัสอย่างรวดเร็ว และสุดท้ายเขาก็สามารถแฮ็กรหัสประตูได้

“ประตูด้านหน้าของคุณใช้รหัสนี้”

หลิวไห่กดตามประตูเปิดออก พวกเขาเลี้ยวซ้ายจวบจนสุดท้ายแล้วก็พบห้องเก็บตัวยา ด้วยในนี้มีกล้องที่บันทึกวีดีโอเอาไว้ กู้เมิ่งจึงทำท่าตกใจเมื่อเห็นหลิวไห่ หลิวไห่ตีจนเลือดอาบ กู้เมิ่งเจ็บใจเป็นอย่างมาก

“ทำไมแกเล่นใหญ่ขนาดนี้วะ”

“เพื่อความสมจริงไง อย่าบ่นเลย”

กู้เมิ่งได้แต่เก็บความแค้นในใจ กู้เมิ่งชี้ไปที่ตู้เก็บตัวยาก่อนจะแกล้งสลบไป

“เราต้องการรหัส”

หลี่เจี่ยซินพูดขึ้น

“รอสักครู่ ตรงนี้ค่อนข้างยากรหัสข้อมูลตัวเลขมันซับซ้อนมีตัวเลขเป็นล้านตัวเลย”

หลิวไห่เสียงเขียว

“เหมือนคนกำลังมาเราไม่มีเวลาแล้ว”

“โอเค บิงโก”

ดวงตาสวรรค์รวดเร็วเท่าความคิด ในที่สุดก็บอกตัวเลขให้กับหลี่เจี่ยซินและหลิวไห่จนได้ ในตู้เก็บยานี้ใช้อุณหภูมิค่อนข้างต่ำ หากขนย้ายยาอย่างไม่ถูกต้องเกรงว่าฤทธิ์ยาจะเสื่อม

หลี่เจี่ยซินเปิดตำราการแพทย์ในหัวสมองอย่างรวดเร็ว เธอเคยอ่านมาแล้วและจดจำได้ทั้งหมด

“น้ำแข็งแห้ง กระติกน้ำแข็งเก็บความเย็นสามารถเก็บได้ประมาณหนึ่งชั่วโมงคุณดูมีหรือเปล่า”

เสียงเบา ๆ ของกู้เมิ่งจึงดังขึ้น

ในห้องนั้นมีเครื่องทำน้ำแข็ง ด้านข้างและมีอุปกรณ์ขนย้ายยา

“เตรียมพร้อมให้เลยแฮะดีจังเลย”

หลี่เจี่ยซินยิ้มด้วยความดีใจเป็นอย่างยิ่ง

เธอรีบไปคว้าอุปกรณ์ขนย้ายยาพร้อมทั้งเติมน้ำแข็งจนเย็น แล้วกวาดตัวยาในตุ้ออกมาจนหมด

หลังจากนั้นคนก็กรูกันเข้ามา หลี่เจี่ยซินและหลิวไห่เผชิญหน้ากับพวกมันเต็ม ๆ ปืนต่างเล็งมาที่พวกเขา คนพวกนั้นยังไม่เข้ามาเพราะไม่มีใครมีรหัส แต่ดูท่าทางแบบนี้แล้วหลี่เจี่ยซินและหลิวไห่ไม่มีทางรอดแน่

หลี่เจี่ยซินขยับตัวกระทั่งเธอเดินไปเหยียบนิ้วมือของกู้เมิ่ง ผู้ชายคนนั้นร้องขึ้นมาด้วยความเจ็บ หลี่เจี่ยซินคิดว่องไวเตะกู้เมิ่งให้ลุกขึ้น เอาเจ็บจนปวดท้องและตกใจเมื่อหลี่เจี่ยซินยกปืนจ่อหัวของเขา

“หลีกไปถ้าไม่อยากให้นายของแกตาย”

กู้เมิ่งโวยวายเขารู้ว่าหลี่เจี่ยซินเอาจริงแน่ ๆ รีบไล่ลูกน้องให้หลบไปทั้งตะโกนด่า

“รีบถอยสิวะไม่เห็นหรือไงมันจ่อปืนที่หัวของฉันอยู่”

คนพวกนั้นต่างระมัดระวัง กลัวว่าหากกู้เมิ่งตายจะทำให้ตัวเองตกงานหรืออาจจะตายตามไปด้วยจึงยอมปล่อยให้หลี่เจี่ยซินและหลิวไห่เดินออกมาแต่โดยดี

“เอาล่ะพวกแกวางปืนและเดินเข้าไปในนั้น”

เมื่อออกมาจากห้องหลิวไห่สั่งให้คนทั้งหมดเป็นฝ่ายเข้าห้องแทน เมื่อคนกลุ่มนั้นเข้าไปจนหมดเขาจึงสั่งให้ดวงตาสวรรค์ทำการล็อคห้องนั้นไม่ให้ใครออกมาได้

“ฉันยังต้องใช้คุณนะพี่ชาย”

หลี่เจี่ยซินยังจ่อปืนที่หัวของกู้เมิ่งแล้วลากเขาให้ขึ้นลิฟต์มาด้วยเพื่อข่มขู่คนของประธานกู้ แม้จะหลุดพ้นออกมาจากห้องใต้ดินได้ แต่ข้างบนกลับมีเด็กทดลองที่กำลังรอจัดการพวกเขาอยู่อีกหลายคน

หลี่เจี่ยซินถอนหายใจ

“พ่อนายคิดจะฆ่านายเหรอถึงไม่ปล่อยเราแบบนี้”

ฐานปฏิบัติการของประธานกู้ถูกทำลายไปอีกหนึ่งที่กลับไม่สร้างความรู้สึกโกรธให้เขามากเท่าที่ควรจะเป็น นั่นเป็นเพราะว่าเขาได้คาดคิดสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นล่วงหน้าเอาไว้แล้ว อีกทั้งการที่เห็นหลี่เจี่ยซินยังไม่สมองระเบิดตายด้วยตาของตัวเองแบบนี้ก็ทำให้เขามีความสุขเป็นอย่างยิ่ง

หลิวไห่พร้อมทั้งหลี่เจี่ยซินในตอนนี้ก็ได้ตกลงร่วมมือกับกู้เมิ่งเพื่อที่จะให้เขาหาสูตรยารักษาร่างกายของหลี่เจี่ยซินมาเพื่อแลกกับการโค่นล้มประธานกู้ลงและหลิวไห่จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับธุรกิจของประธานกู้เป็นอันขาด เขาจะปล่อยให้กู้เมิ่งใช้ชีวิตของเขาในฐานะประธานคนต่อไปของกู้กรุ๊ปโดยจะไม่มีใครล่วงรู้ว่าหลิวไห่และเฉินเฟยอวี๋เป็นลูกชายฝาแฝดของประธานกู้อีกคน

ถึงแม้ว่ากู้เมิ่งจะไม่ไว้วางใจหลิวไห่แต่เขาก็ไม่มีทางเลือก เขารู้จักพ่อของตัวเองเป็นอย่างดีที่ผ่านมาเพราะมีเขาเป็นลูกชายเพียงคนเดียวพ่อจึงไม่มีทางเลือกได้แต่จำเป็นต้องยกทุกอย่างให้เขาสืบทอด

แต่ในตอนนี้ผลการตรวจดีเอ็นเอชี้ชัดแล้วว่าหลิวไห่เป็นลูกชายของเขา ทั้งยังเป็นลูกชายที่ถูกทดลองและผลการทดลองที่ออกมาก็สมบูรณ์แบบแทบไม่มีอะไรที่เป็นจุดบกพร่อง หากหลิวไห่ยินยอมช่วยเหลือและสืบทอดกิจการแน่นอนว่าโลกที่ประธานกู้ต้องการย่อมอยู่ตรงหน้าแล้ว

เพราะแบบนี้กู้เมิ่งจึงถูกเขี่ยทิ้งไปโดยที่พ่อไม่ไยดี

เขาไม่ยินยอมเป็นอันขาด ต่อให้ต้องหักหลังพ่อของตัวเองแต่เพื่ออำนาจและจุดยืนอันสูงส่งของเขาแล้วกู้เมิ่งเองก็ไม่ลังเลที่จะร่วมมือกับหลิวไห่ ตอนนี้เขารู้ตัวเองว่าไร้ค่าสำหรับพ่อแค่ไหน เพราะต่อให้ตึกนี้ทั้งตึกถล่มพ่อที่รู้ดีว่าเขาเองก็ติดอยู่ในนี้กลับไม่สนใจเขาด้วยซ้ำ ไม่ว่าเขาจะเป็นจะตายก็ไร้ความห่วงใยจากประธานกู้โดยสิ้นเชิง

ข้อมูลจากกู้เมิ่งที่เปิดเผยออกมาจึงถูกส่งต่อให้ดวงตาสวรรค์เพื่อค้นหาอาคารอันเป็นที่วิจัยหลักของประธานกู้โดยทันที

“มันอยู่ใต้ภูเขาลูกหนึ่ง ภูเขานี้ตั้งอยู่บนเกาะส่วนตัวของพ่อภายใต้ภูเขาลูกนั้นเป็นห้องแลปทดลองและเป็นสำนักงานใหญ่ เด็ก ๆ ถูกทดลองที่นั่นส่วนใหญ่เป็นเด็กเร่ร่อนถูกส่งเข้ามาจากทั่วโลก และยังมีเด็กหลอดแก้วบางส่วน ใกล้ ๆ กันเป็นเตาเผาเอาไว้ทำลายซากศพของเด็กที่ตายจากการทดลอง ตั้งแต่ด็อกเตอร์หลิวพ่อของหลิวไห่ตายไปประธานกู้ซึ่งคิดว่ามีคนเก่งที่แทนเขาได้กลับคิดผิด การทดลองล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า และหากคนที่รอดมาได้ก็มีเพียงแค่กำลังแต่สติปัญญากลับถดถอยไม่มีใครเก่งเหมือนด็อกเตอร์หลิวและด็อกเตอร์เฉินแม่ของเฉินเฟยอวี๋ที่ถูกคนเข้าใจผิดว่าฆ่าตัวตายไปแล้ว ฉันก็รู้เท่านี้นอกจากนั้นรายละเอียดลึกซึ้งฉันรู้ไม่มาก คิดว่ายารักษาน่าจะอยู่ในห้องเก็บตัวอย่างเชื้อที่นั่นการรักษาแน่นหนา ฉันเองยังไม่ได้รับอนุญาตเข้าไปต้องมีรหัสผ่านที่เป็นความปลอดภัยสูงสุด หรือไม่ถ้าให้เดาก็ต้องเป็นการแสกนดวงตาของพ่อฉันถึงจะเข้าไปได้”

เมื่อคำพูดของกู้เมิ่งถูกถ่ายทอดออกมา ดวงตาสวรรค์ทำการแสกนหาพื้นที่ตรงบริเวณนั้น พบว่าในแผนที่กลายเป็นเพียงทะเลว่างเปล่าไม่มีเกาะที่กู้เมิ่งบอก

“ที่นั่นจะต้องมีสัญญาณรบกวนดาวเทียมเป็นแน่ ถึงไม่มีในแผนที่มิน่าล่ะประธานกู้ถึงได้ทำเรื่องพวกนี้โดยไม่มีใครสงสัยและจับได้”

หลิวไห่พูดขึ้น

“แต่เราสามารถแจ้งพิกัดได้ครับ คิดว่าน่าจะเป็นส่วนนี้ที่หายไป บริเวณนี้แผนที่ถูกแสกนเข้าไปในระบบแล้วเจ้านายไปตามเส้นทางนี้ได้เลยนะครับ”

หลิวไห่กดดูแผนที่จากนาฬิกาข้อมือของเขา มีแสงสีฟ้าสว่างขึ้นมาแสดงแผนที่สี่มิติอย่างชัดเจน บริเวณนั้นเป็นทะเลไม่มีเกาะตามที่กู้เมิ่งบอกแต่เขาเองก็มั่นใจว่าต้องเป็นสถานที่จริงเป็นแน่

เขาและหลี่เจี่ยซินตั้งใจบุกเพียงลำพัง ไม่สามารถนำกำลังคนไปได้เพราะยิ่งจะเป็นจุดสนใจ ในตอนนั้นเขาวางแผนว่าจะทำลายเกาะโดยรอบเพื่อก่อกวนและเรียกความสนใจจากคนข้างใน ทั้งนี้เพื่อเปิดโอกาสให้กู้เมิ่งเข้าไปยังจุดนั้นได้ เมื่อเข้าไปด้านในและอยูตรงหน้าห้องเก็บตัวอย่างเชื้อ แน่นอนว่าดวงตาสวรรค์ยังพอจะหาทางหารหัสนั้นมาได้

หลายวันต่อมา

แม้ว่าด้วยฤทธิ์ยาจะสามารถยับยั้งการที่สมองของเธอจะระเบิดได้แต่ก็ไม่สามารถยับยั้งเนื้องอกที่ค่อย ๆ ผุดขึ้นมาได้อีกครั้งนอกจากว่าเธอจะได้รับยารักษาที่ถูกต้อง ถึงเธอจะไม่ตายในสองเดือนนี้แต่ความทรมานนั้นหลี่เจี่ยซินก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

แค่สามวันเท่านั้นประธานกู้จึงรอด้วยความใจเย็น หลังจากวันนั้นกู้เมิ่งเข้ามาหาเขาและยังต่อว่าที่ประธานกู้ทิ้งเขาไว้ในตึกที่กำลังระเบิดโดยไม่สนใจไยดีแม้แต่น้อย

ประธานกู้หัวเราะยังปลอบลูกชายด้วยคำพูดที่ทำให้กู้เมิ่งเจ็บช้ำ

“ถ้าแกไม่สามารถเอาตัวรอดจากระเบิดนั้นได้ก็ถือว่าแกอ่อนแอแล้ว ข้างตัวแกคนของฉันมีเท่าไหร่ทุกคนล้วนมีพละกำลังเหนือมนุษย์ หากแกใช้งานคนพวกนั้นไม่เป็นก็ถือว่าโง่เง่าและสมควรแล้วที่จะตายในระเบิด แต่ตอนนี้แกดูตัวแกสิรอดออกมาได้พ่อภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง”

กู้เมิ่งสะอึก เขาใช้ชีวิตลูกชายของตัวเองเพื่อทดสอบคนของเขาหรอกหรือ ในตอนนั้นเขาไม่คิดว่าหากคนพวกนี้ช่วยลูกชายเขาไม่ได้ล่ะ กู้เมิ่งต้องตายในกองไฟที่ลุกโชนแน่นอน และเขาก็เกือบตายจริง ๆ หากไม่ได้เจอสองคนนั่นและทำข้อแลกเปลี่ยนกัน

นาทีนี้กู้เมิ่งเห็นแล้วว่าพ่อของเขานั้นต้องการลูกชายที่แข็งแกร่งไม่ใช่มนุษย์ทั่วไป แต่เขาต้องการอยากได้ยินคำพูดที่แน่ชัดจากปากพ่อ จึงถามออกไป

“พ่อครับ ในเมื่อผมรอดมาได้แบบนี้พ่อยังคิดยกทุกอย่างให้หลิวไห่ลูกชายที่เพิ่งปรากฎตัวของพ่อหรือเปล่า”

ประธานกู้กลับยกยิ้ม

“พ่อจะให้แกเป็นผู้ช่วยของหลิวไห่ หากเขามาสืบทอดกิจการสกุลกู้จะอยู่เหนือทุกคนบนโลกใบนี้ ในเวลานั้นแกจะขอบคุณพ่อ”

แน่นอนว่ากู้เมิ่งเสียใจจนแทบจะร้องไห้ เขาเฝ้าทำทุกอย่างมานานแค่ไหนแล้วแต่พ่อของเขากลับไม่เห็นค่า ในเมื่อเขายังต้องเป็นลูกน้องไอ้ลูกนอกสมรส ไอ้สวะหลิวไห่นั่น ทำไมเขาต้องช่วยพ่อของเขาด้วย แต่สิ่งที่กู้เมิ่งพูดในตอนนี้มีเพียงคำว่า

“ครับพ่อ”

เขายังหลอกประธานกู้เพื่อแผนการของตัวเอง เมื่อประธานกู้เอ่ยถึงสถาณการณ์เกี่ยวกับงานวิจัย ประธานกู้หันไปถามโจวตงอิ่นด้วยเสียหน้าเคร่งเครียด

“อาตงที่เกาะฉินเรียบร้อยดีหรือเปล่า ต้องระวังให้ดีอย่าให้กู้เมิ่งและหลี่เจี่ยซินรู้ว่าศูนย์บัญชาการของเราอยู่ที่นั่น ฉันไม่ไว้ใจแกไปดูเสียหน่อย”

เป็นโอกาสของกู้เมิ่งแล้วเขาจึงเสนอตัว

“พ่อครับที่นั่นปกติพ่อไม่ค่อยอนุญาตให้ผมไป แต่ตอนนี้ผมโตแล้วผมอยากจะเฝ้าเกาะฉินแทนพ่อครับ ส่วนพ่ออยู่ทางนี้จะได้รอหลิวไห่อย่างสบายใจ”

ประธานกู้มองเขา ในตอนนี้ประธานกู้ไม่รู้ว่าใจของลูกชายได้เปลี่ยนไปแล้ว เขาเห็นว่าการมีกู้เมิ่งอยู่ที่นั่นก็ดี อย่างน้อยกู้เมิ่งก็สมควรที่จะรู้อะไรและเรียนรู้ที่จะรักษาของที่เป็นสมบัติของสกุลกู้

“ได้ แกคอยติดตามอาตงของแกให้ดี มีอะไรก็รีบรายงานจะดูถูกหลิวไห่ไม่ได้ คิดว่าเขาคงเงียบไปแค่ไม่กี่วันต้องหาทางเอาคืนพวกเราแน่”

“ครับพ่อ ผมรับรองว่าจะดูแลทุกอย่างให้ดี”

กู้เมิ่งได้โอกาสนี้แล้ว เขาย่อมไม่ยอมปล่อยไปเป็นอันขาด หลังจากนั้นเขาแอบติดต่อหลิวไห่อย่างลับ ๆ เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังหลี่เจี่ยซินจึงต้องออกโรงเล็กน้อย เธอแสร้งปลอมตัวไปเดินห้าง ซื้อของใช้จำเป็นและแสร้างล้มลงเพราะปวดศีรษะ

ในตอนนั้นแน่นอนว่าตาเทพของประธานกู้ย่อมจับได้ ดวงตาสวรรค์แอบขัดขวางการติดตามของตาเทพพอเป็นพิธีแต่ตาเทพของประธานกู้ก็สามารถแฮ็คกล้องกลับมาได้สำเร็จ ภาพของพวกเขาที่เห็นคือหลี่เจี่ยซินในท่าทางทรมานกำลังล้มลงกับพื้นโดยมีหลิวไห่แสดงสีหน้าตกใจอยู่ตรงนั้น

นั่นทำให้ประธานกู้เข้าใจว่าหลี่เจี่ยซินกำลังอยู่ในช่วงลำบาก รออีกสักวันเถิดเขาจะส่งข้อความไปกดดันหลิวไห่ให้ยอมแพ้แต่โดยดีหากยังต้องการให้หลี่เจี่ยซินมีชีวิตอยู่ต่อไป

การวางแผนเป็นไปอย่างรัดกุม สองคนในชุดดำจอดเรืออยู่ห่างจากเกาะที่มองเห็นลิบ ๆ คนขับเรื่อทิ้งพวกเขาเอาไว้และนัดพบกันในช่วงเวลาตีห้าของวันพรุ่งนี้ ตอนนี้เป็นเวลาสี่ทุ่มแล้วหลี่เจี่ยซินและหลิวไห่อยู่ในชุดนักประดาน้ำ

ข้างหน้าพวกเขามองเห็นไม่ชัดเจนเพราะมืดมาก แต่จากสัญญาณความร้อนที่พวกเขาจับได้จากเครื่องเห็นชัดว่ามันมีเกาะอยู่จริง กู้เมิ่งไม่ได้โกหกพวกเขาและในตอนนี้กู้เมิ่งก็ได้ให้สัญญาณมาแล้วว่าเขาอยู่ในนี้

หลายวันมานี้ประธานกู้กำลังรอหลิวไห่อย่างใจเย็น เวลาอีกเพียงสามวันก็จะถึงวันเกิดของหลี่เจี่ยซินถึงเธอจะได้รับยาแล้วแต่ในวันนั้นเนื้องอกของเธอจะเริ่มงอกขึ้นมาอีกครั้งและจะทำให้หลี่เจี่ยซินทรมานยิ่งกว่าเดิมเสียอีก แต่เขาคำนวนพลาดไปเมื่อในเวลาที่เขาเห็นว่าหลี่เจี่ยซินกับหลิวไห่กำลังเดินห้างกันอยู่นั้นคนทั้งสองก็มาโผล่ที่เกาะแล้ว

แท้จริงแล้วคนที่กำลังแสดงอยู่นั้นคือเฉินเฟยอวี๋และคนของหลิวไห่ที่ปลอมเป็นหลี่เจี่ยซินอย่างแนบเนียนต่างหาก

แท้จริงแล้วระหว่างทางที่เข้ามาในนี้หลี่เจี่ยซินได้โยนระเบิดลูกจิ๋วทิ้งเอาไว้ตามทางเดินโดยที่ไม่มีใครสังเกตุเห็นเพราะระเบิดนั้นเป็นเพียงฝุ่นผงเล็ก ๆ แต่หากโปรยลงไปในปริมาณที่มากพอในยามที่หลี่เจี่ยซินกดรีโมทมันจะรวมตัวกันกลายเป็นระเบิดก้อนยักษ์ที่มีอนุภาพรุนแรงที่สุด

ดวงตาสรรค์พยายามเสาะหาที่นี่และติดต่อหลิวไห่แต่ทำยังไงก็ติดต่อไม่ได้ สถานที่แห่งนี้บนดาวเทียมจะมองเห็นเป็นป่ากว้างโล่งกลืนไปกับป่าอื่น ๆ ยากที่จะระบุตำแหน่ง แต่เมื่อเกิดแรงระเบิดขึ้นอุปกรณ์ป้องกันจีพีเอสถูกทำลาย ดวงตาสวรรค์ซึ่งจับจ้องอยู่แล้วก็สามารถมองเห็นได้ทันที

คนสองคนเดินออกมาจากห้องเคลื่อนไหวรวดเร็วจนคนที่คอยเล็งปืนมาจากที่แห่งหนึ่งมองไม่ทันพวกเขาแล้ว พลังในตัวของกู้เมิ่งดูเหมือนจะมากกว่าหลี่เจี่ยซินด้วยซ้ำ เขาย้อนนึกไปถึงเมื่อตอนที่พ่อของเขาพาเขามาอยู่ด้วยในห้าปีแรกหลิวไห่มักจะได้รับยาประหลาดอยู่เสมอเขาไม่ได้สงสัยเมื่อพ่อของเขาบอกว่ามันคือวิตามินที่เด็ก ๆ ทั่วไปก็กินกัน หากกินแล้วจะร่างกายแข็งแรงเพียงแต่ต้องได้รับบางสิ่งบางอย่างที่มากระตุ้น

ที่จริงแล้วเขาเองก็ได้รับยามาตลอดเพียงแต่ตัวยาที่ได้รับเป็นปริมาณน้อย จนกระทั่งร่างกายของเขาเคยชินและตอบรับอย่างดีไม่เหมือนกับหลี่เจี่ยซินที่ได้รับการกระตุ้นที่มากจนเกินไป เพราะคนในห้องทดลองต้องการผลที่รวดเร็วเพื่อส่งต่อให้ลูกค้า

หากร่างกายของหลี่เจี่ยซินไม่สามารถปรับตัวได้เป็นอย่างดีคงสมองระเบิดไปเหมือนคนอื่นแล้ว ความลับของพ่อเขานั้นมีมากมายแต่ทั้งหมดก็ได้อธิบายในเอกสารลับที่เขาได้มาในตอนไปเอาของที่บ้านเก่ากับหลี่เจี่ยซินในครั้งนั้น

หลิวไห่ที่สงสัยเรื่องของตัวเองและน้องชายได้ปิดบังเรื่องนี้เอาไว้ไม่บอกใคร และพยายามที่จะค้นหาความจริงมาโดยตลอดในที่สุดวันนี้เขาก็สามารถประติดประต่อข้อความที่พ่อของเขาทิ้งเอาไว้ให้แล้ว

เสียงของระเบิดทำให้ประธานกู้และโจวอินตงที่เพิ่งออกไปถึงกับตกใจ

“มันเกิดขึ้นได้ยังไง ระเบิดที่นี่ เกิดขึ้นได้ยังไง”

เสียงของมือปืนคนหนึ่งพูดขึ้น

“นายครับนายต้องรีบไปแล้วครับ ดูเหมือนว่าด้านบนจะมีโดรนบินวนและทิ้งระเบิดลงมาเป็นระยะครับ”

“ยิงมันให้ร่วงสิวะ รออะไรที่นี่เป็นที่ของเรายิงมันให้ร่วง”

“กำลังจัดการอยู่ครับ แต่นายต้องรีบไปครับผมเพิ่งเห็นว่าในระหว่างที่เดินเข้ามาในนี้มือของหลี่เจี่ยซินท่าทางแปลก ๆ ผมคิดว่าเธอโปรยผงระเบิดไว้ตามทางเดินและในห้องนั้นของนายก็มีผงระเบิดด้วยครับ ตอนนี้หลี่เจี่ยซินกับหลิวไห่หลุดออกมาจากห้องแล้วครับ”

ประธานกู้หัวเราะ

“ให้มันได้ยังงี้สิ สองคนนี้ไม่ทำให้ผิดหวังจริง ๆ ”

“นายครับทำยังไงดีครับ”

โจวอินตงถามเขาเตรียมปืนไว้พร้อม หากคนสองคนโผล่มาแม้จะเป็นลูกของนายเขาก็พร้อมจะเจาะกะโหลกผู้ชายคนนั้น

“จัดการได้เต็มที่ ฉันเองก็อยากรู้จักฝีมือของพวกเขาเหมือนกันว่าจะรอดออกไปได้หรือเปล่า”

ด้านกู้เมิ่งในมือของเขาถือปืนสั้นอันหนึ่งกระสุนเจาะเกราะ เขาตั้งใจจะฆ่าหลิวไห่ให้ตายด้วยมือของตนเอง เขาไม่มีทางปล่อยให้หลิวไห่มาแย่งของทุกสิ่งทุกอย่างจากเขาเป็นแน่

“ไอ้เลวเอ๊ย มึงไม่สมควรเกิดมาในสกุลกู้ อย่างมึงต้องตายเหมือนหมาข้างถนน”

เขาถือปืนไปทั่ว แรงระเบิดทำให้อาคารสั่นสะเทือนแต่ความเกลียดชังไม่ได้ทำให้กู้เมิ่งรู้สึกกลัว ในขณะที่หลิวไห่และหลี่เจี่ยซินฆ่าคนของประธานกู้ไปหลายศพแล้ว หลังจากฆ่าพวกเขาก็โยนศพพวกนั้นเข้าไปในเปลวไฟที่กำลังลุกไล่หลังมา

ถึงแม้ว่าสปริงเกอร์ปล่อยน้ำจะถูกปล่อยออกมาจากเพดาน แต่ระเบิดที่ถูกปล่อยออกมาจากโดรนด้านบนก็ทำให้เกิดเปลวไฟอย่างต่อเนื่อง ดวงตาสวรรค์บังคับโดรนอย่างคล่องแคล่ว หนึ่งในนั้นตบโต๊ะเสียงดังคล้ายกำลังเล่นเกมเมื่อโดรนของพวกเขาถูกสอยร่วงไปหลายลำ

“แม่งเอ๊ยเจ้าลมโชยไปซะแล้ว ตัวนี้ตัวโปรดด้วย”

และอีกเสียงก็ดังขึ้น “จัดการรอบ ๆ บริเวณด้วยอย่าให้มันหนีไปได้”

ระเบิดถูกทิ้งลงมาอีกหลายลูกเหมือนกำลังเกิดสงครามโลก คนที่อยู่ในอาคารในตอนแรกเหมือนว่าจะมีน้อยแต่ไม่น่าเชื่อว่าในตอนนี้จะวิ่งหนีกันคล้ายกับมดแตกรัง คนของประธานกู้ยิงกระหน่ำโดรนไม่ขาดสาย กระทั่งปล่อยระเบิดลงมาจนหมดโดรนพวกนั้นก็บินหนีอย่างรวดเร็ว

ประธานกู้ลงมาจนถึงห้องนิรภัยด้านล่าง ห้องนี้มีอุโมงลับต่อไปจนถึงทางขึ้นเฮลิคอปเตอร์ ด้านหน้าเป็นกระจกใสเห็นสภาพอาคารที่เริ่มพังลงมาได้อย่างชัดเจน

“คนอองคนนนี้เข้ามาในนี้ไม่ถึงสองชั่วโมง กลับสามารถทำลายความภูมิใจของฉันที่สร้างมาถึงสี่สิบปีลงไปได้ แบบนี้แล้วยิ่งปล่อยเขาไปไม่ได้ โปรแกรมสมองที่จะบังคับหลี่เจี่ยซินจะใช้ได้ตอนไหน”

ประธานกู้หันมาถามหัวหน้านักวิทยาศาสตร์คนใหม่ที่ยืนอยู่ด้านหลังของเขา

“คิดว่าไม่เกินหนึ่งสัปดาห์เธอต้องซมซานมาหาเราครับ ถ้าเราบังคับหลี่เจี่ยซินได้หลิวไห่ก็อยู่ในกำมือแล้ว”

“ดี ฮ่า ฮ่า ฮ่า”

ประธานกู้เหมือนคนสิ้นสติไปแล้ว เขาหัวเราะอย่างมีความสุขแม้ว่าสถานที่แห่งนี้จะถูกคนสองคนทำลายแต่เขากลับได้สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สำคัญที่สุดกลับคืนมา ในตัวยาที่รักษาหลี่เจี่ยซินมีบางสิ่งบางอย่างแปลกปลอมเข้าไป ที่เขาสามารถบีบบังคับเธอให้อยู่ในโอวาทได้

“เด็กทดลองที่ฉันสร้างขึ้นมาทำไมฉันจะบังคับไม่ได้กันเล่า หลี่เจี่ยซินเธอมันก็แค่หนูทดลองตัวหนึ่งจะมาเก่งไปกว่าผู้ที่ทดลองเธอได้ยังไงกัน”

คนพวกนี้กำลังจะหนีไปแล้ว กู้เมิ่งกลับวิ่งหาหลี่เจี่ยซินและหลิวไห่จนเจอ เขาหลบอยู่ที่มุมหนึ่งเมื่อได้โอกาสที่หลิวไห่และหลี่เจี่ยซินกำลังวุ่นวายฆ่าคนของเขาอยู่นั้นกู้เมิ่งก็เล็งปืนขึ้น เขาจ้องไปที่หัวของหลิวไห่ เมื่อล็อคเป้าหมายพร้อมยิงแล้วเขากลับตกตะลึงเมื่อพบว่าหลี่เจี่ยซินมาโผล่ที่หน้าของเขา

“สวัสดีกู้เมิ่ง นายจะยิงที่รักของฉันเหรอ คิดผิดแล้วล่ะตอนนี้นายควรคุกเข่ากราบไหว้เขาจะดีกว่า”

ว่าแล้วหลี่เจี่ยซินก็หักมือของกู้เมิ่ง ปืนหล่นลงในมือของเธอทันใด หลี่เจี่ยซินจ่อปืนเข้าที่กะโหลกของเขา กู้เมิ่งเจ็บปวดร้องโอดโอยอยู่ที่พื้น หลี่เจี่ยซินลั่นไกลพร้อมกับพูดว่า

“เปรี้ยง”

กู้เมิ่งกุมหัว คิดว่าสมองของตัวเองคงไหลออกมาแล้ว ร้องโอดโอยทั้งร่ำไห้ เขาหวาดกลัวกระทั่งฉี่ราดกางเกงโดยไม่รู้ตัว แต่ในตอนนี้เขากลับไม่รู้สึกเจ็บที่หัว เขาลืมตาขึ้นเห็นใบหน้าสวยหวานของหลี่เจี่ยซินลอยอยู่ตรงหน้า เขาไม่ได้เป็นไร เขายังไม่ตาย

“อย่ากลัวแบบนี้สิ กู้เมิ่งคนเก่งกล้าหายไปไหนแล้ว ดูสิฉี่ราดเลย ปืนไม่มีลูกสักหน่อย ฉันหักแขนหักขาไม่ให้นายเดินไปไหนมาไหนได้จะดีกว่าฆ่านาย มันง่ายไป”

หลี่เจี่ยซินปาลูกปืนใส่หัวของเขาเล่น กู้เมิ่งทั้งโกรธทั้่งอับอาย ปืนนั้นไม่มีลูก หลี่เจี่ยซินปลดลูกกระสุนออกจากรังปืนอย่างรวดเร็วโดยที่เขาไม่เห็นด้วยซ้ำ กู้เมิ่งเห็นหลิวไห่ยืนอยู่ข้างหลังหลี่เจี่ยซิน เขาดึงเธอให้ลุกขึ้นแล้วเป็นฝ่ายก้มลงถามกู้เมิ่งเอง

“พ่อของนายทิ้งนายหนีไปแล้ว เรามาตกลงกันดีกว่ามั๊ย”

“ตกลงเรื่องอะไร กูไม่ตกลงอะไรกับมึงไอ้ลูกเมียน้อย”

หลิวไห่ตบหน้าเขาอย่างแรง

“สภาพนี้ยังปากดีอีก”

แน่นอนว่าแรงของเขาทำให้กู้เมิ่งถึงกับขากรรไกรค้าง หลิวไห่จึงช่วยขยับขากรรไกรของเขาให้กลับที่เดิมท่ามกลางการร้องโหยหวนของกู้เมิ่ง เขาจับจนอยากจะฆ่าตัวตายอยู่แล้ว แขนของเขาก็หัก ตอนนี้มีบางอย่างหลุดออกจากปาก เขาถ่มทิ้งเห็นว่าเป็นฟันสองซี่

“ว่าไง จะร่วมมือหรือจะตายแต่บอกไว้ก่อนว่าถ้าแกตุกติกธุรกิจของพ่อแกฉันฮุบทั้งหมดแน่ และตอนนี้แกจะไม่เหลืออะไรเลยแม้แต่เสื้อผ้าที่จะใส่”

“ไม่เป็นไปไม่ได้ แกจะมาเป็นพี่ชายฉันได้ยังไง ไอ้สวะ แกจะมาเป็นพี่ชายฉันได้ยังไง”

กู้เมิ่งเข้าไปในห้องนั้นทั้งยังโวยวายเสียงดังข้างหลังเขาคือโจอินตงลูกน้องคนสำคัญของประธานกู้ และเป็นคนที่โยนหลิวไห่ลงน้ำให้จระเข้กินในตอนที่เขาเป็นเด็ก หลิวไห่จำหน้าเขาได้แม่นยำ ในตอนนี้เขาได้แต่ระงับอารมณ์ของตัวเองเอาไว้ไม่ให้จัดการกับโจอินตงและอัดหน้าของกู้เมิ่ง

“โจอินตงพาอาเมิ่งออกไปก่อน”

“ครับนาย”

โจวอินตงลากกู้เมิ่งออกไปด้วยมือเดียว หลิวไห่เองก็เพิ่งสังเกตุได้อย่างชัดเจนว่าโตอินตงคนนี้ความจริงเขาไม่ได้แก่ไปมากกว่าเดิมเลยแม้แต่น้อย หากจะนับเวลากันจริง ๆ โจวอินตงน่าจะอายุพอ ๆ กับพ่อของเขาและพอกับประธานกู้ แต่คนคนนี้ไม่แก่ลงเลยแม้แต่น้อย หรือว่าเขาจะเป็นส่วนหนึ่งของการทดลองเช่นกัน

“พ่อครับผมไม่ยอมนะครับ พ่อมีผมเป็นผู้สืบทอดอยู่แล้วทำไมคิดที่จะทิ้งผมแล้วเอาให้มันทุกอย่าง พ่อครับพ่อเกลียดมันไม่ใช่เหรอพ่อฆ่ามันสิครับ พ่อครับ”

ประธานกู้ไม่ตอบ เขารู้ว่าเขาเลี้ยงกู้เมิ่งมาแบบผิด ๆ โยนทุกอย่างให้ลูกชายง่ายเกินไปจนเขากลายเป็นคนที่ใช้การไม่ได้ หากให้ปกครองธุรกิจของเขาต่อไปไม่ต้องทำนายก็รู้ถึงอนาคตของสกุลกู้ คงได้จบสิ้นเป็นแน่

“แกออกไปก่อน”

ประธานกู้ไล่ลูกชายเสียงเย็น กู้เมิ่งยังไงก็ไม่ยอมเขาจ้องหลิวไห่ดวงตาแทบถลนออกมา หลิวไห่ยกมุมปากในตอนนี้เขาเป็นต่อกู้เมิ่งทุกอย่าง จู่ ๆ เขาก็กลายมาเป็นลูกชายของคนที่สั่งฆ่าพ่อของเขาและผู้ชายเลวคนนี้ยังคิดยกทุกสิ่งทุกอย่างให้เขาอีก

โจวอินตงลากกู้เมิ่งออกไปไม่นานเขาก็กลับมา เขาเป็นลูกน้องคนสนิทของประธานกู้ ทั้งเขาและหลี่เจี่ยซินหลังจากได้รับการยืนยันเรื่องดีเอ็นเอว่าเขาเป็นสายเลือดของประธานกู้แล้วกลับปิดปากเงียบ หลี่เจี่ยซินจับมือของเขาเอาไว้ตลอดเวลาสายตาของเธอที่มองมาเป็นห่วงเป็นใยเขามาก

หลิวไห่ยิ้ม แน่นอนว่าเขาเองก็ตกใจไม่น้อยแต่คนอย่างหลิวไห่กระทั่งความตายก็ผ่านมาแล้วแค่รู้ว่าคนที่คิดจะฆ่าตัวเองกลายเป็นพ่อของตัวเองเขาก็ไม่ได้คิดที่จะยินดีกับข่าวนี้แม้แต่น้อย

เป็นเจ้าของสเปิร์มที่ทำให้เขาเกิดแล้วยังไงกันในเมื่อเรื่องที่ผ่านมาไม่ได้มีความหมายอะไรกับเขาเลยแม้แต่น้อย

“จบธุระแล้วก็ส่งยามาเถอะ”

หลิวไห่พูดอย่างไม่แยแส

“ใช่ส่งยามาให้เรา”

หลี่เจี่ยซินย้ำคำของเขา ประธานกู้ยิ้ม หน้าเหี่ยว ๆ ของเขามีเส้นตีนกาไหลรวมไปอยู่ที่หางตาแต่กลับยังดูสูงสง่าตามแบบฉบับคนรวย หลี่เจี่ยซินเองเมื่อรู้ว่าหลิวไห่เป็นลูกของประธานกู้ตอนนี้เธอเองก็มองเหมือนว่าคนสองคนจะมีหน้าตาที่คล้ายคลึงกันอยู่หลายจุด โดยเฉพาะดวงตาคมคู่นั้นในเวลาที่มองคนแทบจะลากไส้ลากพุงออกมาเลยทีเดียว

“รีบร้อนไปไหนล่ะ ไม่กินข้าวกันสักมื้อเหรอพ่อให้คนเตรียมอาหารเย็นไว้แล้ว กู้เมิ่งเมื่อกี้ที่เขาโวยวายก็อย่าไปถือสา สำหรับพ่อใครเก่งกว่าคนนั้นย่อมเหมาะสม”

หลิวไห่กลับตอบเสียงเย็น

“พ่อผมตายไปแล้วถูกไอ้เลวคนหนึ่งสั่งให้ฆ่า และผมเองก็ไม่คิดที่จะปล่อยมันให้ลอยนวล”

สองสายตาของคนที่มีสายเลือดเดียวกันต่างประสานกันอย่างเชือดเฉือนเอาเป็นเอาตาย ประธานกู้ยังยิ้มเขาผ่านประสบการณ์มาเยอะแค่คำพูดไม่กี่คำย่อมไม่ทำให้เขารู้สึกอะไร

“นับว่าในตอนนั้นพ่อไม่รู้ ขอโทษด้วยแล้วกันส่วนด็อกเตอร์หลิวหากเขาไม่ทรยศองค์กรย่อมไม่มีใครทำอะไรเขา ที่นี่แม้แต่จะเป็นลูกของประธานเองแต่หากทรยศก็ย่อมมีสภาพไม่ต่างกัน เราปล่อยให้เขาใช้ชีวิตอย่างดีมาหลายปีไม่ใช่เหรอ นับว่านั่นได้ตอบแทนที่เขาทำงานมาอย่างหนักแล้ว”

หลิวไห่กำมือแน่น หากจากจะฆ่าคนให้ตายโดยไม่แยแสคนคนนี้ยังคิดว่าพ่อของเขาติดหนี้้บุญคุณองค์กรบ้าบอนี่อีก

“ผมขอโทษครับนายน้อย”

โจวอินตงค้อมตัวลงต่ำ แน่นอนว่าในตอนนี้เขายอมรับหลิวไห่เป็นเจ้านายอีกคนแล้วหากเปรียบเทียบระหว่างหลิวไห่และกู้เมิ่งเขาก็พร้อมที่จะอยู่ข้างหลิวไห่ผู้ที่มีฝีมือเก่งกาจมากกว่ากู้เมิ่งที่ไม่เอาถ่านคนนั้น

“ฉันไม่ต้องการ”

หลี่เจี่ยซินกระแอม

“ข้าวคนเขาไม่ต้องการก็อย่าบังคับกันเลย สัจจะก็ต้องรักษายาของฉันเอามาให้ฉันได้แล้วอย่ามัวเล่นเกมอยู่เลยเสียเวลา”

ประธานกู้ลุกขึ้นยืน เขาจัดสูทของตัวเองที่ไม่ได้ยับย่นแม้แต่น้อยแต่ก็ยังทำด้วยติดนิสัย

“ฉันคืนให้แน่แต่ไม่ได้บอกว่าวันไหน หากข้าวไม่กินพักให้สบายถ้าหิวก็บอกคนที่นี่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบ คงต้องให้ลูกชายคนใหม่ของฉันและแฟนสาวของเขาพักที่นี่สักหลาย ๆ วันหน่อย อ้อ ไม่ต้องคิดหนีนะขอเตือนเอาไว้ก่อน”

ประธานกู้ออกไปอย่างรวดเร็วโดยทิ้งคนทั้งสองไว้ในห้อง เมื่อสักครู่หลิวไห่และหลี่เจี่ยซินคิดจะจับตัวประธานกู้เอาไว้ แต่ประสาทสัมผัสของคนทั้งคู่ก็ไวมากเมื่อรู้ตัวว่ามีแสงเลเซอร์กำลังจ่อมาที่หัวของพวกเขาอยู่ หากพวกเขาลงมาลูกปืนต้องเจาะกระโหลกเป็นแน่ ต่อให้เก่งแค่ไหนลูกปืนที่เล็งมาจากทุกทิศแบบนั้นพวกเขาก็ไม่สามารถหลบได้ทัน

ประธานกู้ยกมุมปากแล้วยิ้ม

“ฉันเดาไว้ไม่ผิดกระทั่งมือปืนซุ่มยินที่อยู่ไกลจากพวกนายขนาดนี้ ยังจับสังเกตุได้อีก เก่งแบบนี้พ่อทำให้ให้ลูกไปลำบากไม่ได้หรอก”

ประธานกู้หัวเราะและออกไปแล้ว สองคนนั่งลงบนโซฟา ต่างมองหน้ากันคนทั้งคู่ไม่ยอมพูดอะไร ด้วยรู้ว่าคนพวกนี้ต้องดักฟังเป็นแน่ การสื่อสารของสองคนจึงเป็นการสื่อสารด้วยสายตาและท่าทางแต่น่าแปลกประหลาดที่คนทั้งสองกลับเข้าใจกันได้อย่างรวดเร็ว

เมื่อประธานกู้ออกไปแล้วมือปืนก็เลิกเล็งปืนมาที่พวกเขา ยาที่อยู่ในกระเป๋าไม่ได้นำออกไปด้วย หลิวไห่จับยาขึ้นมาดูทั้งยังพิจารณาอย่างละเอียด

“ใช่หรือเปล่า”

หลี่เจี่ยซินส่ายหน้า

“ตอนที่ด็อกเตอร์ฉีดให้ฉันไม่ได้ทันดู แต่คิดว่าสัมผัสได้ว่าใช่ยาชนิดนั้นหรือเปล่า”

หลิวไห่กระซิบข้างหูเธอเบา ๆ “ผมจะเอากลับไปให้แล็บของลุงเฉิงทดสอบดู ไม่แน่เราอาจแยกสารประกอบแล้วทำเป็นยารักษาให้คุณได้”

หลี่เจี่ยซินยิ้ม

“ประธานกู้ไม่น่าจะโง่ค่ะ ส่วนผสมเฉพาะที่เขาสร้างขึ้นมาคงมีแต่ที่แล็บของเขาเท่านั้นที่จะทำได้ เราต้องได้สูตรยาที่ครบถ้วนฉันถึงจะมีทางรอด”

หลิวไห่ยิ้ม

“ถ้างั้นเราก็บุกไปเอาของที่ว่ากัน”

หลังจบคำพูดของหลิวไห่เสียงระเบิดก็ดังขึ้นต่อเนื่อง แม้ว่าห้องนี้จะแน่นหนาแรงระเบิดไม่สามารถทำอะไรได้ก็ถึงกับสั่นสะเทือน

ทันทีที่ระเบิดดังขึ้น ดวงตาสวรรค์ก็เห็นแล้วว่าสถานที่ซ่อนห้องทดลองของประธานกู้อยู่ตรงไหน หลังจากที่ตามสืบหามานานและเสียงของหนึ่งในดวงตาสวรรค์ก็ดังขึ้น

“ในที่สุดก็เจอเจ้านายสักที พร้อมลุยแล้วครับว่ามาเลย”

รถแล่นเข้าสู่อาคารแห่งหนึ่ง ภายนอกมีบอดี้การ์ดคอยคุ้มกันอยู่หลายคน รถแล่นเข้าไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงตัวอาคาร พวกเขาลงจากรถทั้งยังมีคนมาต้อนรับอย่างนอบน้อม

“เชิญด้านในครับ”

ปกติแล้วการพบเจอคนของประธานกู้หลิวไห่มักทักทายด้วยลูกปืนและการต่อสู้เอาเป็นเอาตาย แต่ในตอนนี้กลับได้รับการต้อนรับอย่างดีเยี่ยมหลิวไห่จับมือของหลี่เจี่ยซินแน่น เขาจะมาไม้ไหนกันแน่

คนทั้งคู่เดินตามคนนำทางไปโดยไม่พูดจา กระทั่งเข้ามาข้างในหลิวไห่ก็พบว่าภายในอาคารถูกทาเป็นสีขาวจนสะท้อนเข้าไปในดวงตา ทั้งยังเห็นเครื่องมือบางอย่างติดไว้จนทั่วกำแพง เขาเข้าใจได้ไม่ยากมิน่าล่ะสถานที่แห่งนี้จึงไม่สามารถค้นพบได้ในกูเกิ้ลแมบ สถานที่แห่งนี้ถูกติดตั้งเครื่องมือที่ทำลายการจับภาพและสัญญาณดาวเทียม อีกทั้งผนักที่ดูแล้วน่าจะหนาจนไม่สามารถทำลายด้วยระเบิดได้เป็นแน่ ทำให้หลิวไห่ชักจะสงสัยในระเบิดที่ตัวเองนำติดตัวเข้ามาว่าจะสามารถทำลายมันลงได้หรือไม่

แต่เอาเถอะขอเพียงมีโอกาสเขาก็ย่อมไม่รีรอที่จะลองสักหน การทาสีผนังให้ขาวก็เป็นความคิดที่ยอดเยี่ยม ไม่ว่าใครจะนำสิ่งใดมาติดที่ผนังก็ย่อมมองออกได้ง่าย ทั้งรอยนิ้วมือหรือบางอย่างที่อาจจะเปรอะเปื้อนกำแพงสีขาวแห่งนี้

ประธานกู้คนนี้สมแล้วที่ก้าวขึ้นมาได้ในระดับนี้ เขาทำทุกอย่างล้วนระมัดระวัง เป็นอย่างมาก หลี่เจี่ยซินเองก็เห็นแล้วเช่นกัน กล้องวงจรปิดถูกติดเอาไว้ถี่ยิบทุกพื้นที่จึงทำให้เห็นการเคลื่อนไหวของทุกคนภายในนี้ แน่นอนว่าประธานกู้ย่อมกำลังมองพวกเขาจากที่ใดสักแห่ง

ในที่สุดพวกเขามาเข้ามาถึงห้องของประธานกู้ หลิวไห่คิดว่าที่นี่คงเป็นที่เดียวในตึกแห่งนี้ที่พอจะมีสีอื่นอยู่บ้าง ด้านหลังเก้าอี้นั่งของประธานกู้มีต้นไม้คู่หนึ่งวางอยู่ หลิวไห่ไม่ใช่พวกประเภทที่เล่นต้นไม้ แต่เขาดูแค่กระถางทองคำแท้ที่ใหญ่เอาการก็พอจะรู้ว่าต้นไม้สองต้นนั้นจะมีราคาสูงแค่ไหน

ในห้องนี้อุปกรณ์ส่วนใหญ่ล้วนทำจากทองคำ แม้กระทั่งที่รองแก้วหลิวไห่ก็เห็นว่าเป็นทอง ประธานกู้มองตามสายตาของหลิวไห่เขาเพียงแต่กวาดมองไปรอบ ๆ แล้วสบตากับประธานกู้

“นั่งก่อนสิ ยินดีที่ได้พบเราสองคนมีเรื่องต้องคุยกันมากเลยทีเดียว”

ประธานกู้พูดขึ้นทั้งยังผายมือให้หลิวไห่และหลี่เจี่ยซินนั่ง คนสองคนไม่ทักทายประธานกู้สักคำเดียว ในขณะที่คนของประธานกู้ออกไปแล้วไม่น่าเชื่อว่าจะกล้าทิ้งประธานกู้เอาไว้กับพวกเขา

เมื่อเห็นแววตาอยากรู้อยากเห็นของหลี่เจี่ยซินประธานกู้จึงบอกเธอยิ้ม ๆ

“ดูให้ทั่วสิ ถ้าเธอชอบ”

หลี่เจี่ยซินนั่งไม่ติดแล้ว เธอในตอนนี้ได้แต่ร้อง ว๊าว ๆ ๆ ด้วยความตื่นตื่นใจเป็นอย่างยิ่ง ทั้งยังเดินดูห้องนี้จนรอบ เธอถือวิสาสะเข้าไปในห้องน้ำของประธานกู้ทั้งยังออกมาบอกด้วยความตื่นเต้น

“ที่รักในห้องนี้กระทั่งโถส้วมยังเป็นทอง อ่างล้างหน้าก็ทองคำ สุดยอดเลยถ้าต้องเผาทิ้งก็น่าเสียดายแย่ เราเอากลับบ้านได้หรือเปล่า”

แน่นอนว่าหลี่เจี่ยซินผู้ไม่เคยกลัวใคร คิดยังไงก็พูดแบบนั้น หลิวไห่อดยิ้มขำไม่ได้

“ถ้าเธออยากได้ฉันจะสั่งทำให้”

หลี่เจี่ยซินดวงตาเบิกกว้าง

“โถส้วมทองคำเหรอ ดูเป็นบุญตาได้แต่ไม่กล้าใช้หรอก”

หลี่เจี่ยซินกลับมานั่งข้าง ๆ หลิวไห่ ดูเหมือนว่าคนสองคนจะไม่สนใจจุดประสงค์ในการมาครั้งนี้ ทั้งหมดนั้นก็เพราะหลิวไห่ไม่ต้องการให้ประธานกู้รู้สึกว่าพวกเขาเห็นเรื่องยาสำคัญจนเกินไป ถือว่าได้ก็ดีหากไม่ได้พวกเขาก็จะเผาที่นี่ซะ

ประธานกู้กลับหัวเราะ

“เสี่ยวเจี่ยของเราชอบเหรอ ถ้าชอบลุงยกให้”

หลี่เจี่ยซินถลึงตามองประธานกู้

“เราสนิทสนมจนนับญาติกันตั้งแต่เมื่อไหร่ ถ้าไม่ใช่เพราะยาฉันไม่มีทางมาที่นี่”

“ลุงรู้ว่ามันสำคัญสำหรับหนู และสำคัญสำหรับลุงเช่นกันทำไมลุงจะไม่ให้ของด้วยล่ะ ที่ลุงตามหาหนูเพราะต้องการให้หนูมีชีวิตยืนยาวอย่าสนใจพวกนักวิทยาศาสตร์เพี้ยน ๆ พวกนั้นเลย เขาทำเกินคำสั่งของลุงไปแล้ว เสี่ยวเจี่ยต้องเข้าใจว่าลุงไม่เคยคิดฆ่าหนูเลย”

หลี่เจี่ยซินกับหลิวไห่ไม่เชื่อ คนทั้งสองจึงได้แต่หัวเราะในใจ

“อ้อ งั้นเหรอลูกน้องของประธานกู้นี่ออกจะกล้าหาญทำเกินหน้าที่ไปหน่อยนะครับ”

ประธานกู้พยักหน้า “แบบนั้นแหละอาไห่เข้าใจถูกแล้ว”

หลิวไห่อยากจะหัวเราะเยาะเขากับการเรียกชื่อที่สนิทสนมแบบนั้น ประธานกู้กดที่แป้นสี่เหลี่ยมหน้าโต๊ะ

“นำของเข้ามา”

หลี่เจี่ยซินมองหน้าหลิวไห่ เขาคงไม่คิดนำยามาให้เธอง่าย ๆ หรอกนะ แต่แล้วสิ่งที่เธอคิดกลับเป็นความจริงเมื่อมีนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งถือกระเป๋าใบหนึ่งเข้ามา

“ยาของเธออยู่ข้างในแต่มีไม่มากแล้ว และเธอก็ได้ฆ่าคนที่ผลิตยาไปแล้วจะทำยังไงดีล่ะ”

หลิวไห่มองกระเป๋าใบนั้น เขากอดอกแล้วพูดว่า

“คุณมีหมอเก่ง ๆ อยู่ในมือเท่าไหร่หากคนหนึ่งตายแน่นอนว่าย่อมต้องมีสำรองเอาไว้เพื่อใช้งาน อย่าอ้างถึงผู้หญิงคนนั้นที่ตายไปแล้วผมไม่เชื่อว่าคุณจะทำยาพวกนี้ขึ้นมาใหม่ไม่ได้ หรือไม่คุณก็มีสูตรยาพวกนี้ในมืออยู่แล้ว เรามาวันนี้ไม่ได้ต้องการยาแต่เราต้องการสูตรยาเพื่อรักษาหลี่เจี่ยซิน”

หลิวไห่พูดยืดยาว ประธานกู้ยิ้มอบอุ่น

“เรื่องนี้ฉันเคยบอกหลี่เจี่ยซินไปแล้ว ว่าถ้าเธอรักษาความสามารถของเธอจะหายไปด้วย คนที่พิเศษแบบนี้จะยินยอมเหรอ ไม่สู้มาร่วมทดลองคิดค้นหาทางรักษาร่วมกับเราไม่ดีกว่าเหรอ”

หลิวไห่ถูมือของตัวเอง โน้มใบหน้าเข้าไปใกล้ประธานกู้

“ผมคิดว่าระหว่างที่ทดลองยาคุณจะทดลองอย่างอื่นด้วยเป็นแน่ เด็กทดลองพวกนั้นคุณส่งออกไปตะวันออกกลาง ให้พวกเขาเป็นทหาร เป็นหน่วยรบ เป็นหน่วยพลีชีพ ล้างสมองพวกเขาให้ทำตามสิบกว่าปีมานี้คุณฆ่าเด็กไปเท่าไหร่แล้ว สิบคน ร้อยคน พันคน ไม่คิดละอายบ้างเลยหรือไง”

ประธานกู้หัวเราะ

“นายก็รู้ทุกอย่างแล้วนี่ ว่าฉันทำเพื่ออะไร”

หลี่เจี่ยซินจึงพูดว่า

“เงินคุณเยอะแยะขนาดนี้ใช้อีกกี่ชาติถึงจะหมดยังต้องการอะไรอีกล่ะ”

ประธานกู้ส่งเสียงจุ๊ ๆ เขารินน้ำชาให้ตัวเองและยังรินให้หลิวไห่กับหลี่เจี่ยซิน

“อำนาจยังไงล่ะ อำนาจที่จะเป็นที่หนึ่งในโลกนี้พวกเธอไม่สนใจเหรอ การที่มีโลกอยู่ในกำมือมันน่าสนุกสักแค่ไหนกันนะไม่คิดว่าอยากจะเป็นพระเจ้าของโลกใบนี้บ้างเหรอ ตำแหน่งที่มนุษย์คนเดียวที่เช่นฉันเท่านั้นที่เหมาะสม”

หลี่เจี่ยซินส่ายหน้าหัวเราะเบา ๆ

“นี่ประธานกู้คุณคิดว่าตัวเองเป็นธานอสจากการ์ตูนของมาร์เวลหรือยังไงถึงได้คิดเรื่องครองโลกขึ้นมา ประสาทแดกเสียจริง แค่ใช้ชีวิตไปอย่างคนอื่นไม่ได้หรือไง”

ประธานกู้หัวเราะกับคำพูดของหลีเจี่ยซินจนปวดท้อง

“นังหนูนี่สมแล้วที่ฉันได้สร้างขึ้นมา กระทั่งฝีปากยังกล้าหาญขนาดนี้”

หลี่เจี่ยซินยิ้มเย็น

“ฉันฉลาดด้วยตัวของฉันเอง ไม่มีใครมาสร้างฉันทั้งนั้น”

ประธานกู้เห็นด้วย

“แน่นอนว่าเซลของเธอสามารถวิวัฒนาการด้วยตัวเธอเองได้ เพราะแบบนี้เธอจึงเป็นมือหนึ่งยังไงล่ะ แต่ว่าในตอนนี้กลับมีคนที่แข็งแกร่งกว่าเกิดขึ้นแล้ว”

เขามองไปที่หลิวไห่อย่างเปิดเผย ในขณะที่หลิวไห่เองจ้องเขาไม่สะทกสะท้าน

“รู้จนได้ เร็วกว่าที่คิด”

ประธานกู้พยักหน้า

“ยังมีอีกเรื่องที่นายสมควรได้รู้เจ้าลูกชาย”

หลิวไห่ขมวดคิ้ว หลี่เจี่ยซินสำลักน้ำชาที่กำลังยกขึ้นจิบ

“ประธานกู้คุณว่าอะไรนะ”

ผู้ชายแก่คนนี้กลับหัวเราะ

“ได้ข่าวก่อนผู้หญิงคนนั้นตายว่านายคือลูกชายของฉัน ว่ายังไงล่ะสนใจตรวจดีเอ็นเอหรือเปล่าเครื่องมือของที่นี่ก้าวหน้าแค่สิบนาทีก็รู้ผลแล้ว ถ้านายเป็นลูกของฉันจริงทุกอย่างของฉัน ทั้งอาณาจักรทั้งโลกนี้ในตอนนี้ย่อมเป็นนายที่คู่ควรจะรับมันต่อจากฉัน”

หลิวไห่หัวเราะไม่ออก เขาไม่เคยคิดตามหาพ่อและยังคิดว่าเรื่องที่ผู้หญิงคนนั้นพูดออกมาก่อนตายอาจจะเป็นเรื่องเพ้อเจ้อ แต่ไม่คิดฝันมาก่อนว่าคนที่กำลังจะปะติดปะต่อเรื่องทั้งหมดให้สมบูรณ์คือประธานกู้ ทั้งหมดเขาไม่ต้องลงมือเองให้เหนื่อยยาก

แต่หากรู้ว่าประธานกู้เป็นพ่อของเขาแล้วยังไงต่อล่ะ เขาจะยกโทษให้ประธานกู้พ่อที่แท้จริง ที่ฆ่าพ่อที่เลี้ยงเขามาได้เหรอ ผู้ให้กำเนิดที่เพิ่งรู้จักกันวันนี้กับคนที่เลี้ยงดูอบรมเขามาด้วยความรัก แน่นอนว่าหลิวไห่ย่อมไม่ใส่ใจสเปริมส์ของประธานกู้ที่กลายเป็นตัวเขาเลยแม้แต่น้อย

“ขอบายล่ะ ผมไม่สนใจวันนี้ผมมาแค่ต้องการสูตรยาของหลี่เจี่ยซิน”

ประธานกู้กลับบอกว่า

“เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน ฉันจะให้เธอหลี่เจี่ยซินแต่ต้องแลกกับการที่หลิวไห่ยอมตรวจดีเอ็นเอแต่โดยดี ว่ายังไงล่ะหลี่เจี่ยซินจะเกลี้ยกล่อมเขาได้หรือเปล่าเพื่อตัวเธอเอง”

ประธานกู้ย่อมรู้ว่าหลิวไห่นั้นรักหลี่เจี่ยซินมากแค่ไหน หากเป็นเรื่องเกี่ยวกับหลี่เจี่ยซินแล้วหลิวไห่ไม่เคยลังเลแม้แต่ครั้งเดียว

“ไม่ ในเมื่อที่รักของฉันไม่ต้องการตรวจยานี่ฉันก็ไม่ต้องการเช่นกัน ไปเถอะที่รัก”

หลี่เจี่ยซินตั้งใจออกไปวางระเบิดเล่นแล้วเผ่นแน่บไปพร้อมกับหลิวไห่ อย่างน้อยมาแล้วต้องได้อะไรบ้างถึงไม่ได้ยาก็เถอะ เรื่องยาค่อยคิดกันวันหลัง แต่หลิวไห่กลับดึงมือของเธอเอาไว้

“ที่รักฉันเปลี่ยนใจแล้วอยากรู้ความจริงเหมือนกัน”

ประธานกู้หัวเราะ เขาคำนวณไว้ย่อมไม่ผิดพลาด หลิวไห่เป็นเแบบนี้จริง ๆ จุดอ่อนของเขาคือหลี่เจี่ยซิน ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ง่ายแล้ว

“พูดง่าย ๆ แบบนี้สิจะได้ไม่ต้องเสียเวลากันทั้งสองฝ่าย”

“ที่รักเราหาทางอื่นกันเถอะ อย่าทำเพื่อฉันอีกเลย”

หลิวไห่ส่ายหน้า “ไม่เป็นไรแค่ตรวจดีเอ็นเอมีอะไรน่ากลัวกันล่ะ”

หลี่เจี่ยซินมีสีหน้าไม่สบายใจ หลิวไห่จึงดึงมือของเธอให้นั่งลง

“ผมพร้อมแล้ว”

ประธานกู้เรียกคนของเขาเข้ามา มีหมอคนหนึ่งเตรียมพร้อมมาแล้ว เขานำเลือดของหลิวไห่ไปตรวจ แม้ว่าภายนอกของคนทั้งคู่จะดูสงบนิ่งแต่ภายในใจของหลีเจี่ยซินและหลิวไห่กลับร้อนราวกับไฟ ในขณะที่ประธานกู้กลับนั่งอย่างผ่อนคลาย

“เรื่องรับช่วงต่อหากผลว่านายเป็นลูกของฉันนายก็ลองคิดดูให้ดี”

หลิวไห่ไม่ตอบ เขาไม่มีทางทำเรื่องสกปรกนี้ต่อจากประธานกู้เป็นอันขาด หากเขาจะรับช่วงต่อสิ่งที่เขาทำก็คือทำลายสถานที่วิจัยนี้ทิ้งไปซะ หลี่เจี่ยซินเอ่ยถามประธานกู้ตรง ๆ

“คุณทำการทดลองที่นี่เหรอ”

“ใช่ ด้านล่างของตึกนี้”

หลี่เจี่ยซินพยักหน้า

“คงเหมือนตึกที่หลิวไห่เพิ่งไปถล่มมา มาห้องใต้ดินใช่หรือเปล่า”

“ใช่ ถ้าพวกเธออยากดูฉันยินดีจะให้คนพาไปดู”

หากพวกเขาเข้าไปดูก็ย่อมเข้าทาง ไม่ต้องตีกันแล้วลากกันไปให้วุ่นวาย

ประธานกู้ไม่ปิดบัง คนสองคนนี้เข้ามาได้แต่เขาไม่คิดจะปล่อยหลี่เจี่ยซินและหลิวไห่ออกไปแน่นอน ไม่ว่ายังไงคนทั้งคู่ต้องอยู่นี่เพื่อเป็นหนูทดลองต่อไปให้เขา เขาเก่งขนาดนี้ย่อมรู้วิธีเปลี่ยนความคิดของหลิวไห่ให้กลายเป็นคนที่เชื่อฟัง

“ฉันอยากดู”

“เสี่ยวเจี่ยก่อนเธอไปแผ่นดินใหญ่จำได้หรือเปล่าว่าตัวเธอเองก็เคยเติบโตที่นี่”

หลี่เจี่ยซินส่ายหน้า

“ด็อกเตอร์คนนั้นคงบอกคุณแล้วว่าฉันความจำเสื่อม”

หลี่เจี่ยซินรู้ดีว่าวันนั้นด็อกเตอร์คนนั้นยังไม่ได้รายงานเรื่องความจำของเธอให้ประธานกู้ได้รู้ เขาจึงคิดว่าเธอยังความจำเสื่อมอยู่

“ใช่ฉันรู้ น่าเสียดายที่เธอจำไม่ได้ แต่ไม่ต้องห่วงฉันจะให้คนคิดค้นยาช่วยเธอเรื่องความทรงจำเอง”

และแล้วผลการตรวจดีเอ็นเอก็มาถึง หมอคนนั้นยืนอยู่ตรงกลางระหว่างพวกเขา

“ผลการตรวจมีความเข้ากันถึงเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นครับ ดังนั้นคุณหลิวไห่คือลูกชายของท่านประธานครับ”

หลิวไห่เองกลับไม่อยากเชื่อ หลี่เจี่ยซินตกตะลึง ประธานกู้หัวเราะอย่างพอใจในขณะที่หน้าประตูห้องในตอนนี้มีใครคนใดคนหนึ่งยืนกำมือแน่นด้วยความโกรธแค้น กระทั่งคุณหมอคนนั้นหลังจากแจ้งผลการตรวจแล้วจึงเดินออกมา

“อ้าวคุณกู้เมิ่งยินดีด้วยนะครับที่คุณมีพี่ชายอีกคน”

หลิวไห่สะดุ้งตื่นกลางดึกโดยมีสายตาใสแจ๋วคู่หนึ่งกำลังจ้องมองเขาอยู่ ใบหน้าของเธอก็ตื่นตระหนกไม่น้อยไปกว่าเขา

“ที่รักเป็นอะไรคะ ฝันร้ายเหรอ”

หลิวไห่ลูบหน้าของตัวเองแล้วยิ้ม

“ฝันเรื่องไม่เป็นเรื่องน่ะ นอนเถอะ”

หลี่เจี่ยซินใช้แขนของหลิวไห่หนุนแทนหมอนเธอโอบแขนตัวเอาไว้ แต่หลังจากที่ฝันร้ายเขาก็นอนไม่หลับอีกเลย

เช้าวันต่อมาหลี่เจี่ยซินก็พร้อมที่จะออกจากโรงพยาบาลแล้วท่ามกลางอาการตกตะลึงของหมอที่ดูแล แผลของเธอประสานกันสนิทผมเธอยาวสลวยลงมาปิดร่องรอยที่เหมือนไม่เคยเกิดสิ่งใดขึ้น ก่อนหลิวไห่พาหลี่เจี่ยซินออกจากโรงพยาบาลเขาทิ้งคำพูดประโยคหนึ่งเอาไว้

“ผมรู้ว่าตามกฎของโรงพยาบาลยังไงคุณหมอก็ไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลคนไข้ได้ แต่เพราะหลี่เจี่ยซินร่างกายไม่เหมือนคนทั่วไปบางทีอาจมีคนต้องการรู้เรื่องของเธอ ผมหวังว่าในตอนนั้นคุณหมอจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับนะครับ เพราะผมไม่อยากฆ่าหมอดี ๆ คนหนึ่งด้วยมือของผมเอง”

ดวงตาของเขาแข็งกร้าวแม้ว่าใบหน้าของเขาจะราบเรียบ หมอคนนั้นกลืนน้ำลายลงคอ เขารู้ว่าร่างกายของหลี่เจี่ยซินพิเศษกว่าคนอื่นมีความสามารถในการฟื้นฟูตัวเองดีเป็นอย่างยิ่ง ทำให้เขาเองก็สนใจในตัวของหญิงสาว และคนอื่นอาจจะรู้เรื่องนี้เช่นกัน คุณหมอจึงพยักหน้าตอบรับคำขอของหลิวไห่

“ครับ ด้วยเกียรติของหมอเรื่องของคนไข้ย่อมตายไปพร้อมกับผมครับ”

“ขอบคุณครับ”

เมื่อออกจากโรงพยาบาลหลิวไห่ก็ได้รู้ว่ายาที่ช่วยรักษาหลี่เจี่ยซินนั้นอยู่ในมือของประธานกู้ เขาเองก็ไม่ต้องการให้เธอเสี่ยงอีก เขาจะไปเอายาของเธอด้วยตัวเอง ในขณะที่หลี่เจี่ยซินเองไม่ยินยอม

“คุณเพิ่งได้พลังของคุณกลับมา ยาที่คุณฉีดเข้าไปก็ไม่รู้ถึงผลข้างเคียงกับร่างกาย เกิดคุณเป็นอะไรไปในระหว่างนั้นจะทำยังไง”

“ผมไม่คิดว่าผมเป็นอะไร ผมจะรีบจัดการและกลับมา”

หลี่เจี่ยซินส่ายหน้า

“การที่พ่อคุณพยายามปกปิดคุณจากประธานกู้มานานขนาดนี้ จู่ ๆ คุณจะโผล่ไปให้เขารู้ว่าคุณมีตัวตนและกลับมาไล่ล่าคุณอีกแบบนี้เหรอ มันยุติธรรมสำหรับพ่อของคุณที่อยากจะให้คุณมีชีวิตแบบคนทั่วไปเหรอ”

“ยังไงสักวันผมก็ต้องเผชิญหน้ากับเขาไม่สู้ลุยให้มันรู้ดำรู้แดงไปเลยไม่ดีกว่าเหรอ”

ในเมื่อชีวิตของหลี่เจี่ยซินอยู่ในกำมือของประธานกู้ เขาเองก็พร้อมที่จะลุยไปพร้อมกับเธอและเขาก็คิดว่าผลข้างเคียงจากการใช้ยานี้ย่อมเกิดขึ้นกับเขา ไม่แน่ว่าอาจจะไม่ต่างจากหลี่เจี่ยซินและเขายังสงสัยว่าตัวเองนั้นมีเวลาหรืออยู่เท่าไหร่กันแน่

หลี่เจี่ยซินถอนหายใจ

“ไม่น่าเชื่อนะคะว่าเราสองคนจะเป็นแบบนี้ เฉินเฟยอวี๋คุณบอกเรื่องนี้กับเขาหรือยัง”

หลิวไห่ส่ายหน้า

“เขาไม่จำเป็นต้องรู้ ผมอยากให้เขาใช้ชีวิตแบบคนทั่วไป การที่พ่อของพวกเราพยายามมามากขนาดนี้คงเพราะหวังจะยืดอายุของพวกเราให้นานที่สุด ในตอนนี้เขาร่างกายแข็งแรงดีทุกอย่างไม่ได้มีปัญหาอะไรผมจะให้เขาใช้ชีวิตแบบนั้นต่อไป”

“ตัวคุณเองก็ไม่ควรจะเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้ ไม่น่าฉีดยานั่นเลย”

หลิวไห่จูบที่หน้าผากของหลี่เจี่ยซิน เขารู้ว่าเธอกำลังรู้สึกผิด

“อย่าคิดมากเลย ผมไม่ได้ทำเพื่อคุณสักหน่อย”

หลี่เจี่ยซินมองเขา หลิวไห่ยิ้มหล่อเหลา

“ผมเพียงแต่ทำเพื่อตัวเอง ถ้าไม่มีคุณอยู่ผมจะอยู่ได้ยังไงทั้งหมดก็เพื่อตัวเองทั้งนั้น ผมไม่อยากเสียใจ ผมไม่อยากเสียคุณไป หลี่เจี่ยซินคุณคือชีวิตของผมไม่รู้ตัวเลยเหรอ”

หลี่เจี่ยซินน้ำตาคลอ เธอไม่คิดว่าหลิวไห่จะรักเธอมากเช่นนี้

“ตั้งแต่เมื่อไหร่คะ ที่คุณรักฉัน”

หลิวไห่ยิ้ม “ไม่รู้สิอาจจะเป็นตั้งแต่ครั้งแรกที่คุณลากผมขึ้นเตียงก็เป็นได้”

หลี่เจี่ยซินในตอนนี้มีความสุขมาก

“รักแรกพบเหรอคะ”

“อืม จะบอกแบบนั้นก็ได้”

หลิวไห่ยังไม่ได้เล่าให้เธอฟังถึงเรื่องวันนั้น หลี่เจี่ยซินเองก็ลากเขาขึ้นเตียงตั้งแต่เรื่องที่เธอจำได้ เธอจึงไม่ได้สงสัยอะไร พวกเขาตัดสินใจว่าจะบุกเข้าไปหาประธานกู้ด้วยกัน

ด้านประธานกู้ในตอนนี้เหมือนเขาจะรู้บางอย่าง แม้ว่ากล้องวงจรปิดในอาคารทดลองจะถูกหลิวไห่ทำลายจนย่อยยับไม่สามารถจับภาพได้ แต่โทรศัพท์ของด็อกเตอร์คนนั้นยังเปิดอยู่ในตอนนั้น เธอรับสายเขาก่อนที่จะตายเขาจึงได้ยินทั้งหมด

ประธานกู้หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง เขารู้ว่าหลิวไห่จะต้องมาหาเขา เขาเองก็อยากจะพิสูจน์ว่าผู้หญิงคนนั้นพูดความจริงหรือเปล่า เขาไม่คิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะบ้าคลั่งเช่นนั้น ที่ผ่านมาที่เขาให้ความรักและคำโกหกต่อเธอก็เพราะต้องการใช้งานเท่านั้น

ไม่คิดว่าเธอจะท้องแล้วคลอดลูกแฝดให้เขาทั้งยังใจเหี้ยมเกรียมนำลูกแฝดมาทดลองเพื่อเขาอีก ประธานกู้ในตอนนี้ไม่ได้โกรธเธอเลยแม้แต่น้อยเขากลับรู้สึกสนุกและรู้สึกถึงความหวังบางอย่าง พระเจ้ายังเข้าข้างเขาที่ไม่ปล่อยให้เขาฆ่าหลิวไห่จนตาย

เมื่อคิดย้อนไปแล้วเขาก็คิดว่าด็อกเตอร์หลิวเองกับด็อกเตอร์เฉินทั้งสองคนต่างตบตาเขาได้อย่างแนบเนียน แสร้งรักกันแสร้งหย่ากันและส่งเด็กสองคนไปสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ในขณะที่ตัวเขาเองกลับไม่คิดระแวงว่าทั้งหมดจะเป็นเรื่องโกหก

ฮ่า ฮ่า ฮ่า ในที่สุดสิ่งที่สองคนพยายามทำก็ประสบความสำเร็จทั้งยังสร้างเด็กที่สมบูรณ์แบบขึ้นมาได้ กองทัพของเขาหากได้ต้นแบบจากหลิวไห่ความฝันนั้นย่อมเป็นจริงเป็นแน่ แม้ว่าด็อกเตอร์หญิงนั่นจะตายแล้วแต่เขายังมีนักวิจัยทั้งนักวิทยาศาสตร์มือดีที่สุดของโลกอยู่ที่ห้องทดลองหนึ่ง

ต่อไปไม่ว่าใครก็ต้องยอมสยบเขา และหากพิสูจน์แล้วว่าหลิวไห่เป็นลูกของเขาจริง ในตอนนี้เขายังยินดีมอบทุกสิ่งทุกอย่างของเขาให้หลิวไห่สืบทอดแทนที่กู้เมิ่งได้โดยไม่ต้องลังเล

ความแตกต่างของกู้เมิ่งและหลิวไห่นั้นย่อมแตกต่างกันมาก ทั้งฝีมือและสมองล้วนเป็นหลิวไห่ที่เหนือชั้น ประธานกู้ในตอนนี้ไม่สงสัยอีกต่อไปว่าหลิวไห่ได้ความเป็นอัจฉริยะมากจากใคร ที่แท้ก็มาจากเขานี่เอง

ในเมื่ออดทนที่จะเจอกับหลิวไห่ไม่ไหวแล้ว ประธานกู้จึงให้คนส่งข้อความไปหาหลิวไห่ทันใด

หลิวไห่อ่านข้อความที่ประธานกู้ส่งมา เขาจึงโทรหาลุงเฉิงด้วยรู้ดีว่าหากเขาเคลื่อนไหวลุงเฉิงย่อมรู้และต้องส่งคนติดตามเขา หลิวไห่ไม่ต้องการให้ลุงเฉิงลำบากไปกับเขาด้วย เรื่องนี้เป็นเรื่องของเขาและหลี่เจี่ยซิน ลุงเฉิงช่วยเขามามากแล้วหลิวไห่ไม่ต้องการให้เขาต้องมาเสียลูกน้องและคนเพื่อเขาอีก

“ผมจัดการได้ครับ ลุงไม่ต้องห่วงแต่หากลุงส่งคนมาช่วยยิ่งทำให้ผมห่วงมากยิ่งขึ้นครับ ผมขอระเบิดสักหลาย ๆ ลูกครับ”

ลุงเฉิงยอมรับในการตัดสินใจของหลิวไห่ ในเมื่อชายหนุ่มไม่ต้องการคนเขาก็ได้แต่ถอนหายใจและยอมรับ

“หากต้องการให้ช่วยเหลือก็ส่งสัญญาณ ลุงพร้อมช่วยแกอยู่ด้านนอก”

“ขอบคุณครับ ผมต้องการแค่ดวงตาสวรรค์เพื่อช่วยนำทาง”

“ได้สิ ดวงตาสวรรค์ยกให้แกไปแล้วใช้งานได้เต็มที่”

“ขอบคุณครับ”

วันต่อมาของที่หลิวไห่ขอจากลุงเฉิงก็ถูกจัดเตรียมให้อย่างพร้อมเพรียงพวกมันเป็นเพียงเสื้อผ้าและอุปกรณ์เล็กน้อยที่คนดูยังไงก็ไม่เหมือนปืน ไม่เหมือนระเบิดเลยแม้แต่น้อย อเล็กซ์ตอนนี้เป็นผู้สาธิตการใช้งานของพวกนี้ ในนาทีนี้เขานับถือหลี่เจี่ยซินเป็นอาซ้อที่เก่งกาจอย่างหมดใจ ไม่ว่าหลี่เจี่ยซินจะเอ่ยปากอะไรเป็นต้องวิ่งเข้าใส่บริการด้วยตัวเองไม่ปล่อยให้คนอื่นรับใช้หลี่เจี่ยซินตัดหน้าตัวเองเป็นอันขาด

หลิวไห่ส่ายหน้าดึงอเล็กซ์ออกห่างเมื่อเขาเข้าใกล้หลี่เจี่ยซินมากเกินไป

“เกินไปแล้วอเล็กซ์นี่อาซ้อของแกนะ”

อเล็กซ์แย้ง

“โถ่ลูกพี่ ผมรู้น่าจะคิดเป็นอื่นได้ยังไง”

เขาทำหน้าซื่อยังพยายามเอาใจหลี่เจี่ยซิน หลิวไห่ไม่พอใจอย่างมากหน้าบึ้งตึงดวงตาคมแข็งกร้าวมองอเล็กซ์อย่างจะกินเลือดกินเนื้อเพียงแค่อเล็กซ์รินน้ำให้หลี่เจี่ยซิน

“นายออกไปฉันจะดูแลผู้หญิงของฉันเอง”

หลี่เจี่ยซินหัวเราะ

“ที่รักฉันรักคุณนะคะ ไม่หลงกลอเล็กซ์หรอก”

หลิวไห่จับมือของเธอเอาไว้ สายตากวาดมองลูกน้องของเขาพร้อมทั้งจ้องอเล็กซ์ตาแทบจะถลนออกจากเบ้า

“ไม่อนุญาตให้ใครเข้าใกล้อาซ้อ เข้าใจหรือเปล่า”

“ครับลูกพี่”

ทุกคนรับคำพร้อมกันมีเพียงอเล็กซ์ที่ทำหน้าเซ็ง ๆ

“ขี้หึงไม่เข้าเรื่อง ออกไปก่อนก็ได้”

จากนั้นอเล็กซ์ก็หันมาทำหน้าระรื่นใส่หลี่เจี่ยซิน

“อาซ้อมีอะไรเรียกใช้ผมได้เลยนะครับ ผมจะรีบมา”

อเล็กซ์ถูกหลิวไห่ถีบไปครั้งหนึ่ง ผู้ชายคนนั้นจึงรีบวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็วพร้อมทั้งเสียงบ่นที่ดังมาเป็นระยะ

“ต่อไปก็ระวังตัวด้วย อย่าได้ส่งสายตาให้ใคร”

เขาบอกหลี่เจี่ยซิน

หลิวไห่และหลี่เจี่ยซินเตรียมชุดกันกระสุนและปืนสั้นพร้อมกระสุนให้พร้อมหลายกระบอก พวกเขายังมีมีดซุกซ่อนเอาไว้ใช้งาน ในการไปครั้งนี้สองคนไม่ต้องการไปเจรจาแต่ต้องการบุกไปยังรังของประธานกู้และทำลายให้สิ้นซากเสียไม่ให้เขาทำเรื่องชั่วเช่นนำเด็กมาทดลองอีก

เรื่องที่ไม่น่าเชื่อเกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อประธานกู้ถึงกับส่งคนมารับพวกเขาทั้งสองด้วยตัวเอง และคนขับรถนั่นก็สุภาพมีมารยาทดีราวกับพวกเขาคือเจ้าชายเจ้าหญิงแห่งสกุลกู้ก็มิปาน

“ไม่รู้ว่าประธานกู้กินยาอะไรผิดสำแดงนะคะ ถึงได้ดูแลดีขนาดนี้”

หลิวไห่ยักไหล่ พวกเขาไม่กลัวจึงขึ้นไปนั่งในรถโดยไม่ได้ตรวจสอบด้วยซ้ำ

“เขาคงอยากได้คุณมากจนตัวสั่นเห็นว่าเรายอมไปโดยดีแบบนี้ก็ยิ่งต้องดูแลดี”

ข้อสันนิษฐานของหลิวไห่นั้นไม่ผิด เพียงแต่นอกจากหลี่เจี่ยซินที่ประธานกู้อยากได้แล้วยังมีเขาอีกคนที่ประธานกู้ได้รู้เรื่องหมดแล้ว เพียงแต่ต้องตรวจสอบให้แน่ใจ

สถานที่แห่งนั้นค่อนข้างที่จะสลับซับซ้อนเหมาะสมแล้วที่ใช้เป็นที่ลับในการทดลองมนุษย์ หลิวไห่สังเกตุบริเวณโดยรอบในขณะที่รถผ่าน สมองของเขาในตอนนี้ไม่ต่างจากหลี่เจี่ยซินสามารถจดจำทุกอย่างได้แม่นยำเป็นอย่างยิ่ง เขาจำเส้นทางได้โดยละเอียดทั้งยังคำนวนทิศทางการหนีเอาไว้ในใจเผื่อฉูกเฉิน

ในตัวของเขาและหลี่เจี่ยซินมีระเบิดหลายลูก แต่ละลูกล้วนเป็นนวัตกรรมใหม่ที่หน้าตาไม่เหมือนระเบิด แต่กลายเป็นกระดุมที่ติดเสื้อสามารถกลืนกับเสื้อผ้าได้ดีไม่มีใครมองออกว่าเจ้ากระดุมเล็ก ๆ พวกนี้คือระเบิดที่มีอานุภาพรุนแรงเป็นอย่างยิ่ง

หลิวไห่พาหลี่เจี่ยซินมายังโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด เขารออย่างร้อนรนหน้าห้องฉุกเฉินหลี่เจี่ยซินต้องผ่าตัดนำเนื้องอกออกจากสมองอย่างเร็วที่สุด การผ่าตัดใช้เวลาราวห้าชั่วโมงกระทั่งหมอเดินออกมาจากห้อง

หลิวไห่ผู้ที่ยังไม่ได้นอนตั้งแต่เมื่อวาน ร่างกายเต็มไปด้วยเลือดเขาไม่ยอมกระทั่งเปลี่ยนเสื้อผ้าเอาแต่เดินวนไปมาที่หน้าห้องผ้าตัด เมื่อเห็นหมอออกมาแล้วเขารีบพุ่งตัวออกไปทันที

“คุณหมอครับเป็นยังไงบ้าง”

คุณหมอยิ้ม

“ผมประหลาดใจมาก ก่อนผ่าตัดเราเห็นเนื้องอกในสมองของเธอขนาดใหญ่หลายจุดแต่เมื่อเปิดกะโหลกของเธอออกกลับพบว่าเนื้องอกพวกนั้นกำลังฝ่อและหดตัวเล็กลง ที่เราทำก็คือตัดมันออกให้หมดแต่ที่น่าแปลกใจคือทำไมเนื้องอกพวกนี้จึงฝ่อได้ ผมไม่เคยพบเคสแบบนี้มาก่อนเลย และดูเหมือนว่าร่างกายของคุณหลี่จะฟื้นตัวได้เร็วมาก เพียงผมเย็บกะโหลกของเธอเสร็จเธอก็ฟื้นแล้วทั้งยังสามารถพูดคุยตอบคำถามได้คล้ายกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่ต้องห่วงนะครับเธอปลอดภัยและแข็งแรงมากจริง ๆ”

หลิวไห่โล่งอกแล้ว เขาพ่นลมหายใจออกมา

“แต่ผมยังขอดูอาการของเธอในห้องไอซียูต่อตามขั้นตอนนะครับ หากไม่มีอะไรผมก็จะให้เธออยู่ห้องปกติได้”

หลิวไห่ดีใจเป็นอย่างยิ่ง สมแล้วที่เป็นหลี่เจี่ยซิน

วันต่อมาหลี่เจี่ยซินก็ได้รับอนุญาตให้ย้ายห้อง แผลผ่ากะโหลกของเธอกลับดูขึ้นอย่างรวดเร็วจนหมอและพยาบาลต่างแปลกใจ

“ตอนนี้คุณหลี่ไม่เหมือนคนเพิ่งเข้ารับการผ่าตัดเลยนะครับ เหมือนคนหัวแตกแล้วมาเย็บแผลปกติมากกว่า”

หลี่เจี่ยซินยิ้ม เธอรู้ดีว่าเป็นเพราะฤทธิ์ยาทำให้เธอดีขึ้นแบบนี้ แต่ฤทธิ์ยาจะอยู่ได้แค่สองเดือนเท่านั้นเธอต้องการมากกว่านี้ และคนที่รู้ว่ายาพวกนี้อยู่ที่ไหนก็คือด็อกเตอร์นั่น เธออยากให้หมอพวกนี้ออกไปให้หมดเธอต้องการคุยกับหลิวไห่ในตอนนี้

กว่าหมอจะตรวจร่างกายอย่างละเอียดจนเสร็จก็เกือบชั่วโมงแล้วในที่สุดหลี่เจี่ยซินก็อยู่กันตามลำพังกับหลิวไห่

เขาดึงเธอมากอดทั้งยังจูบเธอเนิ่นนาน หลิวไห่ไม่พูดอะไรหลังจากนั้นเขากอดเธอแน่นิ่ง หลี่เจี่ยซินตบหลังเขาเบา ๆ

“ที่รักคุณไปช่วยฉันได้ยังไงคะ”

หลิวไห่ยิ้ม

“ผมบุกเข้าไป”

หลี่เจี่ยซินเอียงคอถามเขาด้วยความประหลาดใจ

“บุกเข้าไปได้ยังไง ในเมื่อคนพวกนั้นไม่ใช่คนเป็นสัตว์ประหลาดเหมือนฉัน”

หลิวไห่เคาะหน้าผากเธอ

“อย่าพูดแบบนั้นสิ ถึงจะเป็นสัตว์ประหลาดแต่ก็เป็นสัตว์ประหลาดที่น่ารักและสวยมาก ทั้งยังเป็นแฟนคนดีของผมอีก”

หลี่เจี่ยซินยิ้ม เธอกอดเขาแน่น

“เล่าให้ฟังหน่อยค่ะ”

หลิวไห่กระแอม

“ผมจำได้หมดแล้ว ความจริงเกี่ยวกับตัวผม”

หลี่เจี่ยซินมองเขาตาโต หลิวไห่จึงเริ่มเล่าให้เธอฟังว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง หลี่เจี่ยซินอุทานเธอมองเขาแล้วบอกเขาว่า

“คุณลองยกฉันด้วยมือเดียวหน่อยสิคะ”

หลิวไห่ทำตามที่เธอบอก หลี่เจี่ยซินถูกเขาจับยกขึ้นจากเตียงจนตัวลอยด้วยมือเดียวจริง ๆ โดยไม่แสดงอาการหนักแม้แต่น้อย

หลี่เจี่ยซินยังไม่ค่อยอยากจะเชื่อ เธอจึงสั่งเขา

“คุณลองเคลื่อนไหวตัวเองให้ฉันดูหน่อยสิคะ”

แน่นอนว่าความเร็วของมนุษย์ทดลองและความเร็วของคนทั่วไปย่อมต่างกัน หลิวไห่ขยับตัวรวดเร็วหลี่เจี่ยซินไม่รู้ตัวด้วยซ้ำเมื่อเขาถอดเสื้อผ้าของเธอออกจนหมด

หลีเ่จี่ยซินมองตัวเองที่ไม่เหลืออะไรติดตัวอย่างตกตะลึง และในตอนที่เขาใส่เสื้อกลับคืนให้เธอหลี่เจี่ยซินก็ไม่รู้ตัวอีก

หลิวไห่หน้าแดงดูเหมือนลมหายใจของเขาติดขัด

“ผมน่าจะทำอย่างอื่น เห็นคุณเปลือยแบบนี้แต่ทำอะไรไม่ได้อึดอัดมากเลยรู้หรือเปล่า”

หลี่เจี่ยซินยิ้มเธอลูบใบหน้าของเขาเบา ๆ

“อีกวันสองวันฉันก็หายแล้วค่ะ เราโต้รุ่งกันสักอาทิตย์ก็ได้ค่ะ คุณแรงเยอะแบบนี้ฉันเองก็อยากลองแล้ว”

หลิวไห่สำลัก เขาถลึงตาใส่หลี่เจี่ยซินในขณะที่หญิงสาวหัวเราะ

“อย่าล้อเล่นคุณเพิ่งผ่าตัดนะ ไม่ใช่ป่วยไข้ธรรมดา”

เขานั้งลงบนเตียงแล้วดึงหลี่เจี่ยซินมากอด

“ฉันไม่คิดว่าคุณจะเป็นมนุษย์ทดลองไปได้ค่ะ ฉันรู้มาว่าการทดลองเด็กผู้ชายมักจะล้มเหลวตลอด มีเด็กผู้ชายตายไปเป็นร้อยคน ทั้งเด็กไร้บ้านเด็กที่ขโมยมาและเด็กหลอดแก้ว ไม่มีใครรอดเกินหนึ่งสัปดาห์ จึงค่อนข้างที่จะเป็นไปได้ยากที่คุณจะรอดชีวิตมาได้”

“ผมก็รอดมาแล้ว พ่อผมคงคิดหาวิธีจนได้ เขาเป็นคนเก่งยังปิดบังตัวเองเก่งมากผมไม่เคยรู้เลยว่าเขาเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่เก่งขนาดนั้น”

หลี่เจี่ยซินยิ้ม

“ในความทรงจำของฉันเขาเป็นคนใจดีและยังช่วยเด็กอีกหลายคนไม่ให้ถูกฆ่าค่ะ แต่เขาก็เป็นแค่นักวิทยาศาสตร์ที่ถูกบังคับให้ทำงานเขาเองก็ทำอะไรได้ไม่มาก”

หลิวไห่พยักหน้า

“แล้วพ่อแม่ของคุณล่ะคะคือใคร คุณเป็นเด็กหลอดแก้วเหมือนฉันหรือเปล่า”

หลิวไห่เม้มปาก

“เหมือนด็อกเตอร์ผู้หญิงนั่นจะบอกว่าผมเป็นลูกแฝดของเธอ แต่เธอไม่ได้บอกว่าสามีของเธอเป็นใคร”

หลี่เจี่ยซินวาดวงกลมที่แผงอกของเขาเล่น

“อยากรู้หรือเปล่าคะ เราสืบกันดีหรือเปล่า”

หลิวไห่ส่ายหน้า

“เรื่องมันผ่านมาแล้วจะสืบแล้วได้อะไร ว่าแต่ว่าคุณได้รับยาอะไรมาถึงได้หายเร็วขนาดนี้”

หลี่เจี่ยซินถอนหายใจ ถ้าเป็นเมื่อก่อนเธอคงไม่บอกเขา แต่ตอนนี้เธอคิดว่าหลิวไห่อาจจะตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับเธอในสักวัน เธอจึงไม่ลังเลและปิดบังอีกต่อไป

“มียารักษาค่ะ ตัวยาหลักน่าจะอยู่กับประธานกู้ ยาที่ด็อกเตอร์ฉีดให้ฉันอยู่ได้แค่เพียงสองเดือนเท่านั้น การที่คุณกลับมามีพลังแบบนี้ฉันไม่แน่ใจว่าร่างกายจะเกิดต่อต้านหรือเปล่า คุณเองก็ต้องระวังเอาไว้”

หลิวไห่พยักหน้า ที่เขากลับมาเป็นแบบนี้เพราะต้องการช่วยหลี่เจี่ยซินโดยไม่คำนึงผลเสียที่จะตามมา หากผลร้ายแรงถึงขั้นชีวิตเขาก็ไม่เสียดาย เขายินดีจะทำทุกอย่างกวาดล้างพวกมันให้ตายไปทั้งหมดเพื่อให้หลี่เจี่ยซินสามารถใช้ชีวิตอย่างสงบได้

“เรื่องยาผมจัดการเอง ผมมีข้อแลกเปลี่ยนกับประธานกู้ที่ลุงเฉิงให้ผมนำไปมอบให้ ในตอนนั้นผมจะพูดเรื่องยาของคุณด้วย”

หลี่เจี่ยซินโอบเอวของเขา หลิวไห่ล้มตัวลงนอนโดยมีหลี่เจี่ยซินเกยคางที่อกของเขา ใบหน้างดงามของเธอในตอนนี้ไม่ได้ซีดแล้ว เธอฟื้นตัวรวดเร็วจนแทบจะหายเป็นปกติ

“ถ้าเขาไม่ให้ล่ะคะ”

“ไม่ให้ก็ต้องแย่ง ผมไม่กลัวสงครามของเขาแล้ว”

“ฉันจะช่วยคุณค่ะ เราสองคนช่วยกัน”

แน่นอนว่าข้างกายของประธานกู้ย่อมต้องมีคนเก่งกาจมากมายที่แฝงกายอยู่ในนั้น การต่อสู้กับเด็กทดลองจำนวนมหาศาลถึงพวกเขาจะรอดเร็วแค่ไหนก็เสียเปรียบและอาจพลาดท่ากลายเป็นฝ่ายถูกฆ่าเสียเอง

หลิวไห่จึงต้องระมัดระวังให้มาก เขาลูบหลังหลี่เจี่ยซินเบา ๆ ในที่สุดหญิงสาวก็หลับไปแล้ว เขาก้มลงจูบที่หน้าผากของเธอ หลี่เจี่ยซินในตอนนี้เพราะต้องผ่าตัดเธอจึงถูกโกนผมออกจนหมด แต่เพียงวันเดียวผมเธอก็ยาวเฟื้อยออกมาแล้ว เห็นได้ชัดว่ายาที่หลี่เจี่ยซินได้รับมันวิเศษแค่ไหน หลิวไห่หลับตาลงในตอนนั้นเขากลับฝันถึงเรื่องราวเก่าที่ตัวเองได้เผชิญมาในวัยเด็ก

ในบ้านเด็กกำพร้าแห่งนั้นมักจะมีแมวจรจัดที่ตายอย่างอนาจร่างกายถูกฉีกขาดจากสัตว์ร้ายที่พวกเขาจับตัวไม่ได้เสมอ ในตอนนั้นเฉินเฟยอวี๋ที่ตื่นมาเจอต้องร้องไห้จนฉีราดทุกครั้ง รวมทั้งเด็ก ๆ ในบ้านต่างหวาดกลัวสัตว์ประหลาดตัวนี้เป็นอย่างยิ่ง ในยามวิกาลไม่มีใครกล้าสักคนที่จะออกมาเดินเพ่นพ่านด้วยความหวาดผวา

หลิวไห่ในตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าใครเป็นคนทำ จนกระทั่งในฝันตอนนี้เขาเห็นเด็กชายคนหนึ่งกำลังวิ่งอย่างรวดเร็วไล่จับแมวที่มีมากมายแล้วหายไปในมุมหนึ่ง หลิวไห่วิ่งตามเด็กน้อยคนนั้นไป และแล้วเขาก็เห็นเด็กน้อยกำลังควักไส้แมวพวกนั้นออกมาเขาฉีกขาของมันจนขาดลำตัวขาดวิ่นแล้วโยนลงไปที่สนามหญ้าของบ้านเด็กกำพร้า

“เจ้าหนูทำอะไร โหดร้ายเกินไปแล้ว”

หลิวไห่ตำหนิเขา เด็กคนนั้นหันมามองเขาพร้อมกับยกมุมปากยิ้มเยือกเย็น มือของเขายังจับลำไส้แมวตัวนั้นทั้งเลือดแดงฉานเต็มร่างกาย ดวงตาของเด็กคนนั้นแดงก่ำเหมือนปีศาจที่เพิ่งโผล่ขึ้นมาจากขุมนรก

หลิวไห่เบิกตากว้างเมื่อคนที่เขาเห็นนั้นก็คือ ตัวของเขาเอง

วัตถุดำเมี่ยมจ่อเข้าที่หัวของด็อกเตอร์เธอหันมามองทันใด นัยน์ตาของเธอเบิกกว้างเมื่อเห็นว่าเป็นผู้ชายคนหนึ่งกำลังจ่อปืนเข้าที่หัวของเธอ เสียงเย็นของเขาสั่งพร้อมกับเสียงดังแกร็ก

“ปล่อยหลี่เจี่ยซิน”

ด็อกเตอร์ยิ้มเย็นทั้งยังท้าทาย

“ก็ลองแลกกันดู ถ้านายไม่ปล่อยฉันฉันก็ไม่ปล่อยเธอเป็นแน่”

หลิวไห่เห็นร่างของหลี่เจี่ยซินที่กำลังทรุดลงอย่างรวดเร็ว เลือดไหลออกจากร่างกายของเธออย่างช้า ๆ ดวงตาของเขาเบิกกว้างก่อนที่เขาจะขยับปืนแล้วยิงไปที่ขาของด็อกเตอร์

“ผมฆ่าคุณแน่ไม่ต้องกลัว ถ้าไม่ปล่อยเธอหรือหากเธอตาย”

ด็อกเตอร์ร้องออกมาคำหนึ่งรู้สึกชาที่ขาก่อนที่เลือดของเธอจะไหลออกมา เธอทรุดลงทันทีความเจ็บปวดวิ่งปะทะเข้าไปทั่วร่างกายของเธอ เธอมองเขาด้วยสาตาหวาดผวา

“ปล่อยเธอ”

หลิวไห่ยิงไปที่ขาของเธออีกนัด ด็อกเตอร์หัวเราะเมื่อน้ำเสียงของเขาทำให้เธอคิดถึงใครบางคน หลิวไห่เป็นห่วงหลี่เจี่ยซินมากจนใจสั่นไหวเขาแทบจะขาดสติฆ่าผู้หญิงคนนี้อยู่แล้ว

“ก็ได้ฉันปล่อยเธอ ก็ได้”

สุดท้ายแล้วผู้หญิงคนนั้นก็ตะเกียกตะกายหยุดปุ่มแก๊สพิษ หลิวไห่เห็นร่างของหลี่เจี่ยซินนอนอยู่ที่พื้นที่เต็มไปด้วยศพด้านใน

“เปิดประตู”

ด็อกเตอร์หัวเราะ

“เปิดไม่ได้แล้ว ฉันปิดตายไปแล้วและห้องนั้นก็ไม่มีทางเข้าด้วย แล้วยังไงนายจะทำยังไง”

หลิวไห่ยิงเข้าไปที่ท้องของด็อกเตอร์

“รับเคราะห์จากการกระทำของคุณซะเถอะ”

เขาไม่ได้ฆ่าผู้หญิงคนนี้ทันที เขาไม่ต้องการให้เธอสบายขนาดนั้น หลิวไห่พยายามมองหาปุ่มกดเพื่อเปิดประตู แต่แล้วเขาก็ไม่สามารถเปิดมันออกได้ สมองของเขาประมวลและคิดอย่างรวดเร็ว สุดท้ายแล้วหลิวไห่ก็ยิ้มเย็นออกมา

“คุณโกหกผมไม่ได้หรอก”

ว่าแล้วเขาก็ตัดมือของด็อกเตอร์ข้างหนึ่งแล้วใช้ลายนิ้วมือของเธอสัมผัสปุ่มเพื่อเปิดประตู ที่แท้หลิวไห่ในตอนนี้มีสายตาที่ดีมาก เขาสามารถมองเห็นลานนิ้วมือของด็อกเตอร์ที่สัมผัสปุ่มพวกนั้นได้อย่างชัดเจน และเพียงแต่เขาลองสุ่มดูว่าด็อกเตอร์ใช้นิ้วไหนในการเปิดประตูเขาก็สามารถเปิดมันออกไปสำเร็จ

ท่ามกลางเสียงร้องอย่างทรมานของด็อกเตอร์ที่ตอนนี้ถูกตัดมือทั้งยังถูกยิงเข้าที่ขาทั้งสองข้างจนไม่สามารถขยับได้แล้ว เธอจึงได้แต่นอนพังพาบอยู่ตรงนั้นในขณะที่หลิวไห่พุ่งตัวเข้าไปอุ้มหลี่เจี่ยซินที่กำลังมีเลือดออกจากทวารทั้งห้าอย่างรวดเร็ว

“เสี่ยวเจี่ยผมมาแล้ว ที่รักของผม ผมมาช่วยคุณแล้ว”

หลี่เจี่ยซินตาพร่าเธอได้ยินเสียงของหลิวไห่แต่เธอกลับมองไม่เห็นเขา ลมหายใจอุ่น ๆ ที่เป่ารดหน้าเธอทำให้หญิงสาวรับรู้ได้ว่าเธอไม่ได้ฝันไปก่อนที่เธอจะหมดสติไป หลิวไห่ตกใจเป็นอย่างยิ่งในขณะที่เขากำลังอุ้มเธอออกมานั้น ลูกน้องของด็อกเตอร์ก็แห่กันมาขวางทางของเขาเอาไว้

แน่นอนว่าทุกคนล้วนเป็นเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปี อีกทั้งยังเป็นผู้หญิงแต่เพราะพวกเขาเป็นเด็กทดลอง แม้ว่าร่างกายและสติปัญญาจะไม่พร้อมเท่าหลี่เจี่ยซินแต่หากเทียบกับคนธรรมดาแล้วความสามารถของพวกเขาก็ย่อมเหนือกว่า

คล่องแคล่ว ว่องไว พลังราวกับช้าง คนพวกนั้นขวางหน้าของเขาเอาไว้ ด็อกเตอร์ขยับตัวเปิดลิ้นชักออกมาเธอเข็มฉีดยาออกมาแล้วฉีดบางอย่างเข้าร่างกายของเธอเอง และหลังจากนั้นด็อกเตอร์ก็ไม่รับรู้ถึงความเจ็บปวดแล้ว เธอลุกขึ้นยืนแม้มืออีกข้างจะถูกตัดและเลือดกำลังไหลออกมาจนร่างกายหนาวสั่นเพราะเสียเลือดมาก แต่เธอก็ยังสามารถยืนขึ้นมาได้

“ฉันจะคอยดูว่าคุณจะออกไปได้ยังไง การเข้ามาในนี้ได้ทำให้ฉันแปลกใจมากแต่การออกไปนั้นไม่ได้ง่ายอย่างที่คุณคิด มนุษย์ธรรมดาอย่างพวกคุณไม่มีใครรอดออกไปได้”

หลิวไห่ยักไหล่

“ผมไม่สนว่าคุณจะคิดยังไง”

หลิวไห่กลับอุ้มหลี่เจี่ยซินพาดบ่า เขาหยิบปืนออกมาก่อนที่คนพวกนั้นจะเข้ามารุมเขา เขาก็ยิงปืนออกไป ปืนแต่ละนัดเป็นกระสุนเจาะพุ่งเข้าไปที่หัวของเด็กพวกนั้นอย่างแม่นยำ ด็อก

เตอร์ประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง ความรวดเร็วของหลิวไห่ในตอนนี้เหนือกว่าเด็กทดลองพวกนั้น ไม่ถึงห้านาทีเขาก็สามารถจัดการเด็กพวกนั้นจนล้มลงด้วยปืนที่เตรียมมาหลายกระบอก

ด็อกเตอร์หวนคิดถึงสิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้ ในชีวิตนี้เธอและด็อกเตอร์หลิวเป็นหัวหน้าการทดลองที่ผ่านมาคนที่เธอทดลองสำเร็จล้วนเป็นเด็กผู้หญิงส่วนเด็กผู้ชายคล้ายร่างกายจะต่อต้านกับยาที่พวกเธอใช้จึงทำให้หลังจากฉีดยากระตุ้นเข้าไปไม่เคยมีใครรอดเกินเจ็ดวัน

แต่กระนั้นเธอก็ยังคงพยายามต่อไป จนกระทั่งเธอคิดค้นยาได้สำเร็จและเด็กผู้ชายที่เธอใช้ในตอนนั้นก็คือลูกแฝดของเธอ เด็กน้อยที่เธอตั้งท้องกับประธานกู้นั่นเอง แต่ในตอนนั้นพวกเขายังเด็กมากนักอายุไม่ถึงขวบดีทั้ง ๆ ที่พวกเขาผ่านมาได้แต่ในการทดลองฉีดยาเข้าไปครั้งล่าสุดด็อกเตอร์หลิวกลับบอกว่าลูกชายฝาแฝดของเธอทั้งสองสมองระเบิดตายไปแล้ว

ในตอนนั้นเพราะเธอกลับบ้านและเพิ่งกลับมาเข้าเวรได้เห็นศพลูกชายทั้งสองและทำพิธีฝังด้วยตัวเอง ทั้งยังปิดเรื่องนี้เป็นความลับจากประธานกู้ ตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าเด็กเป็นลูกของเขาเพราะเธอกลัวว่าเขาจะไม่ยินยอมทั้ง ๆ ที่เธอมั่นใจว่าเธอสามารถทำได้ จึงอยากให้เขาเห็นวันสำเร็จมากกว่าถูกเขาคัดค้าน

จนป่านนี้ประธานกู้ยังไม่รู้ว่าเธอและเขามีลูกแฝดด้วยกัน และยังไม่รู้ว่าเธอได้จับลูกทั้งสองมาเป็นหนูทดลองอีกด้วย เธอให้เขารู้ไม่ได้เธอกลัวว่าเขาจะรับไม่ได้และผลักไสเธอ

แต่ในตอนนี้ผู้ชายที่อยู่ต่อหน้าคนนี้ทำให้เธอหวนคิดถึงเรื่องนี้ จะเป็นไปได้หรือไม่ว่าด็อกเตอร์หลิวโกหกเธอและได้แอบเลี้ยงเด็กผู้ชายเอาไว้ กระทั่งเขาโตเธอก็ยังไม่รู้ หรือว่าเขาแอบทดลองเด็กคนอื่นจนประสบความสำเร็จ

เมื่อหลิวไห่จัดการคนจนตายเรียบ เขาจึงหันกลับมามองด็อกเตอร์ประหลาดคนนี้ หญิงวัยกลางคนคนนี้นับว่ามีใบหน้าที่สวยเป็นอย่างมาก เธอถูกเขาตัดมือและยังยิงขาทั้งสองข้างแต่กลับลุกขึ้นมายืนได้ ทั้งยังมองเขาด้วยสายตาแปลกประหลาด ทั้งหัวเราะออกมา

“เธอเป็นลูกชายของด็อกเตอร์หลิวใช่หรือเปล่า”

หลิวไห่หัวเราะ เขาไม่ตอบแต่ท่าทางของเขาบ่งบอกว่าใช่ เขาไม่รู้ว่าด็อกเตอร์คนนี้จะมีชีวิตอยู่ได้นานแค่ไหนหลังจากฉีดยาประหลาดนั่นเข้าไปแล้ว แต่ที่แน่ ๆ เธอคงมีชีวิตรอดได้อีกไม่กี่ชั่วโมงด้วยเลือดที่ไหลออกมาจากตัวราวกับสายน้ำทั้งยังไม่มีใครพาเธอไปโรงพยาบาลในตอนนี้

“ใช่จริง ๆ ด้วย ฮ่า ฮ่า ฮ่า ด็อกเตอร์หลิวคนทรยศนั่นต้องแอบพวกเธอเอาไว้แน่ ๆ และเขาคงประสบความสำเร็จในการทดลองสินะเธอถึงได้เติบโตมาได้จนถึงตอนนี้”

หลิวไห่ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่ในตอนนี้เขาไม่สนใจรีบพาหลี่เจี่ยซินออกมาจากสถานที่นั้นอย่างรวดเร็ว ภายนอกคนของเขาคุมเชิงเอาไว้หมดแล้ว หลิวไห่ยกพวกมาแทบจะยกแก๊งหลังจากที่ดวงตาสรรค์สามารถระบุพิกัดของหลี่เจี่ยซินได้แล้ว และหลังจากเขาฉีดยาประหลาดเข้าไปนั้นจู่ ๆ ความทรงจำที่เขาไม่เคยคิดว่ามีอยู่ในชีวิตได้กลับเข้ามาอีกครั้ง

แท้ที่จริงแล้วเขารู้เรื่องมาตลอดจนกระทั่งพ่อของเขาฉีดยาเพื่อให้สมองลบเลือนเรื่องพวกนี้ให้ทั้งเขาและเฉินเฟยอวี๋อีกทั้งยังได้ระงับพลังในตัวของพวกเขาเอาไว้เพื่อให้ใช้ชีวิตแบบคนธรรมดา กระทั่งแอบพาเขามาที่บ้านเด็กกำพร้าและสุดท้ายก็กลับมารับเขา

โดยผู้ช่วยของเขาก็คือแม่ของเฉินเฟยอวี๋ที่หายตัวไปจากห้องวิจัยอย่างกระทันหัน แต่พ่อของเขายังทำงานอยู่ที่นี่จนกระทั่งสุดท้ายแล้วพ่อของเขาเกิดเรื่องและยังทำงานวิจัยพลาดด้วยความจงใจ ประธานกู้เห็นว่าเขาไร้ประโยชน์แล้วจึงยอมให้ออกมาแต่ยังส่งคนเฝ้าตามเขาอยู่ จนกระทั่งความลับที่เขาลักลอบนำสูตรยาออกมาถูกเปิดเผย สุดท้ายแล้วคนพวกนั้นจึงฆ่าพ่อเขาในที่สุด

ประธานกู้ไม่เคยรู้เรื่องว่าในห้องทดลองของเขามีเด็กชายสองคนที่รอดชีวิตและประสบความสำเร็จในการทดลอง อาจจะเป็นเพราะยีนส์หรืออะไรบางอย่างในตัวพวกเขาจึงสามารถตอบสนองยาทดลองได้เป็นอย่างดี

สิ่งที่หลิวไห่ไม่รู้ก็คือว่า ใครกันแน่ที่เป็นพ่อและแม่ผู้ให้กำเนิดเขา

ด็อกเตอร์ตามหลิวไห่ออกมายังตะโกนบอกเขาด้วยน้ำเสียงอันดัง

“นายคนนั้นน่ะ ฉันไม่รู้ว่าเธอจะเชื่อหรือเปล่าแต่ฉันคือแม่ของเธอและเธอก็คือลูกของฉัน ถ้านายมีฝาแฝดและอยู่กับด็อกเตอร์กู้แปลว่าเขาได้ขโมยลูกของฉันไป พวกนายคือลูกของฉัน”

หลิวไห่ไม่สนใจเขารีบอุ้มหลี่เจี่ยซินขึ้นรถแล้วบึ่งรถไปที่โรงพยาบาล ด็อกเตอร์คนนั้นยังพูดต่อ

“นายคือลูกของฉันกับประธานกู้ นายมาอยู่กับฉันเถอะกู้เมิ่งคนนั้นน่ะ เรามาเขี่ยมันให้กระเด็นไปเลย เขาต้องเชื่อและยินดีแน่นอนนายเป็นคนเหนือคนเป็นอัจฉริยะ เขาต้องยินดีให้นายเป็นทายาทผู้สืบทอด”

รถของหลิวไห่และคนของเขาเคลื่อนออกไปแล้ว ก่อนที่ระเบิดจะดังตูม ด็อกเตอร์ถูกแรงระเบิดจนกระทั่งร่างท่อนล่างของเธอขาดกระเด็นแต่ผู้หญิงคนนี้ราวกับผีร้าย เธอไม่ยอมตายยังคงพูดต่อไปคล้ายคนเสียสติ ก่อนที่ด็อกเตอร์คนนั้นจะสิ้นใจสุดท้ายแล้วเธอตัดสินใจโทรไปบอกประธานกู้

“ท่านประธานคะ ฉันมีเรื่องจะสารภาพ”

ประธานกู้ในตอนนี้ไม่สามารถเปิดกล้องวงจรปิดเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้นในห้องทดลองได้เพราะคนของหลิวไห่ทำลายอุปกรณ์จนพังยับ เขารู้สึกไม่ดีมากจนกระทั่งไม่สามารถติดต่อด็อกเตอร์ได้ทำให้เขากระวนกระวายใจ

“เกิดอะไรขึ้น”

“ฉันจะเล่าให้คุณฟัง ฉันได้แอบทดลองเด็กผู้ชายสองคนซึ่งตอนนี้การทดลองสำเร็จแล้ว พวกเขาโตแล้วค่ะคุณดีใจหรือเปล่าคะ”

ก่อนที่เธอจะพูดอะไรต่อไป เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น

“ปัง”

ประธานกู้กำโทรศัพท์แน่น เสียงหายไปพร้อมกับเสียงปืนเกิดอะไรขึ้นที่นั่นกันแน่ เขาสั่งให้คนของเขาที่อยู่ใกล้ที่สุดรีบไปดูสถานที่แล้วกลับมารายงาน เมื่อสักครู่ที่ด็อกเตอร์บอกว่าเธอทำการทดลองเด็กชายสำเร็จนั้นหมายความว่ายังไงกันแน่

กู้เมิ่งก้าวออกมาจากมุมที่หลบระเบิด เขาเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดและได้ยินด็อกเตอร์คนนั้นพูด กู้เมิ่งกำมือแน่นเขาไม่มีทางที่จะให้พ่อของเขารู้เรื่องนี้เป็นอันขาด ในเมื่อหลิวไห่ผ่านพ้นการทดลองมาได้ เขาซึ่งเป็นสายเลือดของประธานกู้ก็ย่อมมีหนทาง ถึงแม้ว่าจะหวาดกลัวแต่ความคิดบางอย่างกำลังเกิดขึ้นในสมอง

ในเมื่อหลิวไห่กลายเป็นอัจฉริยะด้วยยาทดลองนั่นได้ เขาก็ย่อมเป็นได้เช่นกัน

ก่อนที่เขาจะเดินออกมาเสียงปืนได้ดังรัวขึ้นอีกหลายนัด ร่างด็อกเตอร์คนนั้นถูกปืนยิงจนพรุนกู้เมิ่งยิ้มเหี้ยมเกรียมไม่หันหลังไปมองอีกเลย

คนของด็อกเตอร์ยังไม่ทันขยับตัวคล้ายกับมีลมพัดผ่านใบหน้าพวกเขาก็ถูกหักคอเสียแล้ว ด็อกเตอร์ที่กำลังจ้องมองจากกระจกใสแม้จะมองไม่ทันว่าเกิดอะไรขึ้นแต่เธอก็รู้แล้วว่าหลี่เจี่ยซินแอบอยู่บนฝ้าเพดาน กระทั้งก๊าซพิษก็ยังทำอะไรเธอไม่ได้ ในใจหนึ่งด็อกเตอร์เกิดความรู้สึกหวาดกลัวแต่อีกใจกลับนึกพอใจที่หลี่เจี่ยซินเก่งกาจเกินต้านทานเช่นนี้

ทั้งหมดเป็นเธอเองที่สร้างอัจฉริยะที่เก่งกาจและพร้อมทั้งร่างกายและสมอง ผิดกับมนุษย์ทดลองคนอื่นที่มีเพียงแต่แรงสมองนั้นกลับไม่ทำงาน ไม่รู้จักพลิกสถานการณ์เมื่อส่งออกไปให้ลูกค้าจึงกลายเป็นสินค้ามีตำหนิ เพราะพวกเขาโง่เกินไปและยากที่จะควบคุมคนโง่ให้ทำงานได้สำเร็จ

แม้ว่าในภายหลังเธอจะหาทางกำจัดข้อบกพร่องนี้ แต่คนพวกนี้ก็สู้หลี่เจี่ยซินไม่ได้แม้แต่คนเดียว เธอต้องได้ตัวหลี่เจี่ยซินและรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นทำให้เธอสามารถพัฒนาการด้วยตัวเองได้เช่นนี้

ในขณะที่หลี่เจี่ยซินดวงตาแดงก่ำในตอนนี้สัญชาตญาณสัตว์ป่าเข้าครอบงำ ทำให้เธอฆ่าคนของด็อกเตอร์ไปเกือบหมด จะเหลือก็เพียงมนุษย์ทดลองอีกสามคนที่ด็อกเตอร์ส่งเข้าไป

ด็อกเตอร์ปิดประตูเหล็กนั่นแล้ว เหล็กนั่นเป็นเหล็กหนาหลายชั้นหนักยิ่งกว่าภูเขาทั้งลูกไม่มีทางที่หลี่เจี่ยซินจะทำลายได้ด้วยตัวเอง

เมื่อประตูถูกปิด ในตอนนี้ด็อกเตอร์ก็เริ่มนั่งลง ผลงานการวิจัยของเธอทั้งสี่คนที่อยู่ในนั้นกำลังสู้กันเอง ช่างเป็นเรื่องที่เธอต้องการอยากรู้อยู่พอดีว่าใครกันแน่ที่จะเหนือกว่า สูตรใหม่ของเธอหรือสูตรเก่าของด็อกเตอร์หลิวที่มีข้อเสียเต็มไปหมด

“เด็ก ๆ จัดการเธออย่าออมมือ”

ด็อกเตอร์ส่งเสียงออกไป เด็กของเธอที่รอจัดการหลี่เจี่ยซินอยู่เริ่มตั้งท่าเตรียมต่อสู้ หลี่เจี่ยซินหัวเราะ

“นี่คือความรักที่คุณแสดงออกต่อฉันสินะ”

“ใช่ ฉันอยากรู้ว่าเธอและน้อง ๆ ใครจะเก่งกว่า”

หลี่เจี่ยซินหลี่ตามองเด็กหญิงสามคนที่อายุไม่น่าเกินสิบห้าปีแล้วหัวเราะ

“ยังอ่อนหัด อีกอย่างฉันเป็นลูกสาวคนเดียวของพ่อแม่”

“เธอมันแก่แล้ว เป็นรุ่นป้าที่มือไม้อ่อนแบบนี้อย่าคิดว่าจะชนะเลย”

เด็กแก่แดดพวกนั้นกลับพูดแบบนี้ หลี่เจี่ยซินเลือดขึ้นหน้า

“ใครป้ามึง หน็อยแบบนี้ต้องตบสั่งสอน”

“มาเลยป้า”

เด็กพวกนั้นไม่รอช้า พวกเขาพุ่งเข้ามาโจมตีอย่างรวดเร็วหลี่เจี่ยซินหลบหลีกว่องไว ความไวของพวกเขายังช้ากว่าหลี่เจี่ยซินมากแม้จะสู้กันสามต่อหนึ่งก็ตาม หลี่เจี่ยซินตวัดเท้าซัดไปที่คนที่หนึ่ง สอง และ สาม โดยที่พวกเขายังไม่กะพริบตาและร่างของเด็กสามคนก็ลอยปลิวไปปะทะผนังกำแพง เลือดสด ๆ ทะลักออกมาจากปากของพวกเขา หลี่เจี่ยซินเอียงคอไปมาเมื่อเห็นคนทั้งสามยังสามารถลุกขึ้นมาได้อีก

หลี่เจี่ยซินหมุนตัวอย่างรวดเร็ว คราวนี้ฝ่ามือของเธอตบเข้าที่ใบหน้าของเด็กทั้งสามจนฟันหลุด แต่เด็กพวกนั้นกลับหัวเราะชอบใจ และไม่มีทีท่าว่าจะบาดเจ็บ

“ทน ๆ แบบนี้ ฉันชอบ ไม่ได้เจอแบบนี้มานานมากแล้วตั้งแต่หนีออกจากที่นี่”

หลี่เจี่ยซินปัดมือ นึกสนุก คนทั้งสามกระโดดมารุมเธอ แรงของหลี่เจี่ยซินเริ่มน้อยลงแต่เด็กสามคนก็ยังสู้เธอไม่ได้ โชคดีที่ห้องนั้นแข็งแรงมากพลังของคนที่สู้กันในนั้นจึงไม่สามารถพังห้องนี้ได้

แม้ว่าพวกเด็กจะถูกเธอซัดไปกี่ครั้ง เลือดเต็มหน้า ปากเบี้ยว แต่พวกมันยังลุกขึ้นมาได้อีก

“พันธ์อึดสินะ แต่ฉันอึดกว่า เข้ามา”

เสียงด็อกเตอร์ดังขึ้นพร้อมทั้งเสียงหัวเราะ เธอรู้ว่าเด็กพวกนี้ยังไงก็สู้หลี่เจี่ยซินไม่ได้ แต่ยังมีเรื่องที่มากกว่านั้น

“เด็กสามคนของฉันขึ้นชื่อเรื่องความอึด ไม่ว่าจะถูกฟาดกี่ครั้งก็ลุกขึ้นมาอย่างว่องไว แต่เธอ หลี่เจี่ยซินเธอเป็นรุ่นเก่าแล้วยิ่งใช้แรงมากกว่ายิ่งเหนื่อย ในตอนนั้นเธอก็สู้คนพวกนี้ไม่ได้แล้ว ว่ายังไงจะสู้อีกหรือเปล่า”

หลี่เจี่ยซินไม่ฟังเสียงของด็อกเตอร์ด้วยซ้ำ แม้ว่าจะเป็นอย่างที่ด็อกเตอร์พูด เธอต่อยเตะพวกเขาคล้ายจะปางตายไปหลายรอบแต่คนพวกนั้นยังลุกขึ้นมาได้ แต่กำลังพุ่งเข้ามาเล่นงานเธอ

หลี่เจี่ยซินเริ่มอ่อนแรง เธอหลบคนที่หนึ่ง คนที่สอง แต่กลับหลบไม่พ้นหมัดของคนที่สาม หลี่เจี่ยซินจึงถูกซัดไปอัดที่กำแพง ร่างของเธอร่วงลงมากองอยู่ที่พื้น และทันใดนั้นเสียงของด็อกเตอร์ก็ดังขึ้น

“ฉันเตือนเธอแล้ว เด็ก ๆ ทำยังไงก็ได้อย่าเพิ่งให้เธอตายตอนนี้ แค่ให้เธอหมอบลงฉันต้องผ่าสมองของเธอในตอนที่หลี่เจี่ยซินยังมีชีวิตอยู่”

เด็กทั้งสามคนที่เป็นมนุษย์ทดลองเช่นกันกับหลี่เจี่ยซินต่างมีความคิดที่แตกต่าง แต่สิ่งเดียวที่มีเหมือนกันคือหากด็อกเตอร์สั่งให้ฆ่าแล้วพวกเขาจะร่วมมือร่วมใจกันเป็นอย่างมาก หลี่เจี่ยซินหลบหมัดของเด็กคนหนึ่งแล้วเสยหมัดคืนไป กระทั่งคางของเด็กคนนั้นหัก ดูเหมือนว่าคราวนี้เด็กคนนั้นจะลุกได้ช้ากว่าเดิมไปเกือบหนึ่งนาที

สมองของหลี่เจี่ยซินพิจารณาอย่างรวดเร็ว

และเป็นอย่างที่หลี่เจี่ยซินคิด ในที่สุดเธอก็จัดการคนพวกนั้นสำเร็จ แต่ละคนหัวขาดกระเด็นลงไปที่พื้น หลี่เจี่ยซินเหยียบศีรษะของพวกเขาจนเลือดพุ่งกระจาย เพียงครั้งเดียวที่กระทืบลงไปสมองของคนทั้งสามก็ค่อย ๆ ไหลออกมา

หลี่เจี่ยซินหัวเราะด้วยความสะใจ

“อยากได้สมองใช่หรือเปล่า จะเอาของใครดีน๊า”

ท่ามกลางความตกตะลึงกับเหตุการและความว่องไวที่เกิดขึ้น ด็อกเตอร์ได้ยืนตัวแข็งค้างไปแล้ว เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมาทำให้เธอได้สติ เป็นประธานกู้ที่โทรหาเธอ

ประธานกู้ : การทดลองไปถึงไหนแล้ว

ด็อกเตอร์ : ฉันคิดว่ามีบางอย่างที่ด็อกเตอร์หลิวไม่ได้บอกกับเราค่ะ ต้องมีอะไรที่พิเศษที่เขาได้ใส่เข้าไปในการทดลองหลี่เจี่ยซินแน่ ๆ

ประธานกู้ : คุณในตอนนี้อยู่ในฐานะผู้มีอำนาจสูงสุดในงานวิจัย ด็อกเตอร์หลิวเป็นคนทรยศและเราได้ฆ่าเขาไปแล้ว ในตอนนั้นคุณบอกผมเองไม่ใช่เหรอว่าคุณทำได้ และทำได้ดีกว่าเขา ในเมื่อพูดออกมาแล้วก็ต้องรับผิดชอบ เราเหลือเวลาไม่มากแล้วตอนนี้เรากำลังถูกจับตาอย่างหนักจากรัฐบาล และยังมีลูกค้าที่รอของล็อตต่อไปอีก หากเราส่งมอบไม่ทันในต้นปีหน้า ผมไม่ไว้หน้าคุณแน่”

ด็อกเตอร์ไม่ได้เล่าเรื่องที่กำลังเกิดขึ้นให้ประธานกู้ฟัง หลี่เจี่ยซินยังคงเดินวนไปวนมาในห้องราวกับคนเสียสติ เลือดสาดกระจายแทบไม่เห็นสีขาวของพื้น หากคนที่ไม่เคยชินกับการฆ่าก็ย่อมไม่สามารถทนดูภาพสยดสยองนี้ได้

ด็อกเตอร์ : ฉันเข้าใจแล้วค่ะ วางใจเถอะค่ะหลี่เจี่ยซินต้องการยาจากเรา เธอต้องยินยอมให้ความร่วมมือแน่

ประธานกู้ : เราช้าไม่ได้เสียเวลามามากแล้ว

พูดจบเขาก็วางสายไป ด็อกเตอร์เกิดความกังวลใจเป็นอย่างมาก ในตอนนี้เธอคงต้องทำวิธีการสุดท้ายแล้ว ฆ่าหลี่เจี่ยซินและรีบผ่าเขาสมองของเธอออกมาทันที คงพอมีวิธีนี้ที่จะรักษาสมองของเธอเอาไว้ได้

“หลี่เจี่ยซิน ฉันจะคอยดูว่าเธอยังจะรอดไปได้อีกหรือเปล่า”

ในคราวนี้ด็อกเตอร์กดปุ่มแก๊สพิษอีกครั้ง แต่คราวนี้กลับเป็นแก๊สพิษที่ทำลายระบบประสาทที่มีฤทธิ์โดยตรงกับเด็กทดลองโดยเฉพาะ

หลี่เจี่ยซินมองควันที่ถูกปล่อยออกมา เธอไม่ได้หวาดกลัวไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตามเธอก็พร้อมที่จะต่อสู้ ในเมื่อตอนนี้ไม่ว่าทางใดสิ่งที่รอเธออยู่ล้วนคือความตาย หลี่เจี่ยซินคิดจะปีนขึ้นเพดานอีกรอบ แต่ในตอนนี้ด็อกเตอร์รู้แผนเธอแล้ว ไม่ว่าหลี่เจี่ยซินจะหลบอยู่ตรงจุดไหน แก๊สพิษก็จะตามร่างของเธอไปที่นั่น

หลี่เจี่ยซินไม่มีทางหนีรอด

“อย่าคิดหนีเลย ยังไงเธอก็ต้องตายอยู่ดี เธอเป็นลูกสาวฉันนะ มีลูกสาวที่ไหนเขาเอาชนะแม่ได้กันล่ะ ถ้าเป็นแบบนี้ก็ไม่เรียกว่าอกตัญญูหรอกเหรอ”

หลี่เจี่ยซินยิ้มเย็น

“ฉันบอกแล้วว่าฉันไม่ยอมตาย ถ้าจะตายก็จะลากคุณให้ตายไปด้วยกัน”

“แล้วจะทำยังไงล่ะ ในเมื่อฉันยังมีความสุขดีไม่ได้ถูกรมควันพิษไปพร้อมกับเธอ ฉันรู้ดีว่าร่างกายของพวกเธอแพ้สารตัวไหน แม้ว่าเธอจะออกจากห้องนี้ได้เธอก็หนีไม่พ้น สารพวกนี้ไม่เป็นอันตรายต่อฉันเสียด้วย ว๊า แย่จัง”

หลี่เจี่ยซินคล้ายจะหายใจไม่ออกแล้ว ควันพิษกำลังทำลายเนื้อเยื่อของเธอ ในที่สุดเธอก็ยันตัวเองให้ยืนต่อไปไม่ไหว เข่าของเธอทรุดลงไปกับพื้น หลี่เจี่ยซินหลับตา พยายามมีสติเธอจะทำยังไงถึงจะรอดออกไปได้

เธอสัญญากับหลิวไห่แล้วว่าเธอจะกลับไปหาเขา

ควันพิษถูกพ่นเข้าไปจนเต็มห้องมองไม่เห็นร่างของหลี่เจี่ยซินอีก แต่ในตอนนี้เธอทรุดลงจริง ๆ ร่างกายไร้เรี่ยวแรงและลมหายใจเบาบางลงไปทุกที

“น่าเสียดาย แต่ฉันก็ต้องฆ่า”

ด็อกเตอร์พึมพำคนเดียวอย่างเสียดาย กระทั่งมีสัญญาณขอเข้ามาภายในเขตวิจัย ด็อกเตอร์กดปุ่มเห็นว่าเป็นลูกน้องคนสนิทของเธอเอง

“มีอะไร”

“นายใหญ่ให้เข้ามาดูคุณแล้วกลับไปรายงานครับ”

หากด็อกเตอร์ไม่อนุญาตไม่มีทางที่ใครจะเข้ามาในส่วนของการวิจัยได้ เมื่อสักครู่เธอเพิ่งวางสายจากประธานกู้ไปคิดไม่ถึงว่าเขาไม่ไว้ใจจนต้องส่งคนมาดู ถึงเธอจะสงสัยว่าหลายปีนี้เขาเคยรักเธอบ้างหรือเปล่า หรือเป็นเธอคนเดียวที่ทุ่มเทให้เขาแต่เธอก็ไม่เคยคิดที่จะหยุดรับใช้เขา

“เข้ามา”

ด็อกเตอร์กดปุ่มเปิดประตู ผู้ชายคนนั้นก้าวเข้ามา ด็อกเตอร์หันกลับมามองหลี่เจี่ยซินดูเหมือนว่าเธอจะทนกว่าที่คิด หลี่เจี่ยซินยังไม่ตายหรือร่างกายของเธอจะปรับสภาพไปแล้ว

“ดี ฉันจะเพิ่มแก๊สพิษเข้าไปอีก ดูสิว่าเธอจะทำย้งไง”

ด็อกเตอร์หัวเราะ แต่ก่อนที่เธอจะกดปุ่มเพิ่มแก๊สพิษ วัตถุบางอย่างก็จ่ออยู่ที่หัวของเธอเสียแล้ว

“ปล่อยหลี่เจี่ยซินหากคุณไม่อยากสมองกระจาย”

ภายในห้องทดลอง ในขณะที่หลี่เจี่ยซินกำลังจะถูกกระตุ้นหัวใจ จู่ ๆ หญิงสาวก็ลืมตาขึ้นแล้วกระชากมือของตัวเองออกจากเหล็กที่รัดข้อมือของเธออย่างแน่นหนา ก่อนที่เครื่องกระตุ้นหัวใจจะถูกกดลงบนหน้าอกของเธอ หญิงสาวก็ปัดมือหมอพวกนั้นออกอย่างรวดเร็ว เครื่องกระตุ้นหัวใจหล่นลงบนพื้น หลี่เจี่ยซินเอียงคอมองหมอด้วยใบหน้าเหี้ยมเกรียมดวงตาแดงคล้ายสัตว์ร้าย เธอใช้หลังมือเช็ดเลือดที่ยังเปรอะเปื้อนอยู่ที่หน้า ยิ่งทำให้สีแดงของเลือดละเลงจนเต็มใบหน้าของเธอใบหน้าที่เคยสวยงามในตอนนี้จึงดูน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง

“แย่แล้ว ออกจากห้อง ออกจากห้องเดี๋ยวนี้ ทุกคนออกมา เร็ว”

ท่ามกลางสายตาที่ตกตะลึงของทุกคนคนที่ได้สติกลับคือด็อกเตอร์คนนั้น เธอพลาดบางอย่างไปอย่างรุนแรงเสียแล้ว

หลี่เจี่ยซินที่ได้รับการกระตุ้นความทรงจำขึ้นมา สัญชาตญาณสัตว์ป่าของเธอในตอนนี้ถูกกระตุ้นขึ้นมาด้วย เธอจะฆ่าอย่างไม่เลือกหน้า นักวิทยาศาสตร์และหมอที่เข้ามาวิ่งออกจากห้องทันทีและประตูบานนั้นก็ถูกปิดตาย

เธอเงยหน้าขึ้นมองกระจกหนาที่มั่นใจว่าด็อกเตอร์ต้องอยู่ตรงนั้นอย่างแน่นอน หลี่เจี่ยซินยิ้มฟันของเธอเองก็เต็มไปด้วยเลือด หญิงสาวโบกมือทักทายด็อกเตอร์

“สวัสดีค่ะแม่ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะคะ ขอบคุณสำหรับยารักษาฉันคิดแล้วว่าคุณต้องมี คิดไม่ผิดจริง ๆ ไม่เสียแรงที่ฉันดั้นด้นมาที่นี่ ยาที่บอกว่าถ้าฉีดแล้วพลังจะสลายนี่ก็โกหกสินะ คิดจะขู่ให้กลัวหรือยังไง”

เสียงหัวเราะดังออกจากลำโพงตัวหนึ่ง

“ในที่สุดก็จำได้แล้วสินะ เด็กดีของแม่ ใช่เธอคิดถูกฉันโกหก พลังของเธอไม่สลายแต่ฉันจะบอกเธอเอาบุญนะ หนึ่งหลอดสำหรับชีวิตหนึ่งเดือนเธอได้ไปสองหลอดเธอมีชีวิตอยู่ได้แค่สองเดือนเท่านั้น เธอต้องได้รับยาอย่างต่อเนื่องและทำยังไงล่ะถ้าไม่ขอจากฉัน”

“แค่นี้ก็พอถมเถ แค่สิบนาทีฉันก็ฆ่าคุณได้แล้ว ขอบคุณที่ยังให้เวลาในการจัดการผู้ชายคนนั้นอีก นับเป็นบุญคุณอีกอย่างที่ฉันจะชดใช้ให้คุณแน่นอน”

“ด้วยความเต็มใจ แค่เธอจำได้ฉันก็ดีใจมากแล้วเพราะเธอคือลูกสาวที่ฉันรักจริง ๆ ฉันเลี้ยงเธอมากับมือจำไม่ได้เหรอ เป็นเด็กคนเดียวที่ฉันป้อนนมให้เธอยังเคยกัดมือฉันเพราะฉันป้อนนมไม่ทันใจเลย ตอนนั้นเธอดูดเลือดของฉันไปด้วย เลือดของแม่เลยนะที่ทำให้เธอมีชีวิตอยู่”

ด้านหลังด็อกเตอร์คือเด็กทดลองคนหนึ่ง เธอเป็นหมายเลขหนึ่งร้อยและเป็นตัวทดลองล่าสุดที่ประสบความสำเร็จและเก่งกาจเฉลียวฉลาดไม่แพ้หลี่เจี่ยซิน ในขณะที่ด้านหลังของเด็กคนนั้นก็มีเด็กผู้หญิงอีกสองคนที่คล้ายจะสมบูรณ์แบบยืนอยู่เช่นกัน พวกเขาทั้งหมดเป็นรุ่นของการทดลองที่เกือบจะประสบผลสำเร็จแล้ว แต่สำหรับด็อกเตอร์ไม่มีใครเก่งไปมากกว่าหลี่เจี่ยซินอีกแล้ว

เด็กคนนั้นจึงอยากจะท้าทายหลี่เจี่ยซินและแสดงให้แม่ของเธอคนนี้เห็นว่า หมายเลขหนึ่งร้อยย่อมดีกว่าหมายเลยศูนย์โดยไม่ต้องสงสัย

หลี่เจี่ยซินหัวเราะ

“ที่จริงไม่เคยลืมต่างหากล่ะคะ ฉันแค่ฝังมันเอาไว้ในหัวเพราะไม่อยากจำและไม่คิดจะน้ำตาไหลเพราะบุญคุณจอมปลอมอะไรนั่นหรอก”

หลี่เจี่ยซินย้อนคิดถึงเหตุการในวัยเด็กของเธอ ที่เธอมักจะฝันร้ายตลอดถึงแม้ว่าเธอจะได้อยู่กับครอบครัวของพ่อแล้วใบหน้าของด็อกเตอร์ยังวนเวียนอยู่ในหัว ทั้งเลือดทั้งการฆ่าและการฝึกอย่างโหดร้าย ยังคงอยู่ในความทรงจำ

ในตอนนั้นหลี่เจี่ยซินจึงเลือกที่จะลืมทุกอย่าง และปิดล็อกความทรงจำของตัวเองเอาไว้จนพ่อเข้าใจผิดคิดว่าเธอความจำเสื่อม เขาไม่รู้ว่าหลี่เจี่ยซินเป็นใครแต่เขาพบเธอข้างทาง เธอมีใบหน้าคล้ายหลี่เจี่ยซินลูกสาวของเขา ในตอนนั้นพ่อของเขาก็พบศพของหลี่เจี่ยซินตัวจริงที่อยู่ห่างจากเด็กคนนี้ไม่ไกล

เพราะพ่อเกรงว่าคุณยายจะรับไม่ได้ ท่านเหมือนจะเพ้อไปแล้วตั้งแต่หลี่เจี่ยซินหายจึงได้รับเด็กคนนี้มาแทนหลี่เจี่ยซินและทำพิธีฝังร่างของลูกสาวที่แท้จริงอย่างเงียบเชียบ เมื่อสอบถามถึงเหตุฆาตรกรรมและทำทุกทางแล้วที่จะนำตัวคนผิดมาลงโทษ แต่ตำรวจกลับไม่สืบสวนสวบสวนเรื่องนี้คล้ายกับว่าพวกเขากำลังถูกสั่งให้ละเลย

“ห้องทดลองนี้เป็นห้องทดลองที่ฉันเติบโตขึ้นมา จนกระทั่งฉันใกล้จะตายคุณพาฉันไปที่แผ่นดินใหญ่จับเด็กคนหนึ่งมาเพื่อใช้ชีวิตของเธอแลกกับฉัน พวกคุณมันเลวยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน เด็กคนนั้นมีความผิดอะไรกัน ครอบครัวของเขามีความผิดอะไรถึงทำร้ายเขา”

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ได้ยังไงสุดท้ายเธอก็มีชีวิต เราทำเพื่อเธอทั้งนั้นเป็นความผิดของเด็กคนนั้นที่มีเนื้อเยื่อเหมาะสมกับเธอ และเธอก็ยังใช้ชีวิตในคราบของหลี่เจี่ยซินจนเติบโตไม่ใช่เหรอ ทั้ง ๆ ที่ฉันคิดว่าเธอสมองระเบิดไปเหมือนคนอื่นแล้ว ตอนนี้เธอแสดงตัวออกมาให้เราพบ ทำให้เราหาเธอเจอและทำให้ฉันปลื้มใจเป็นอย่างมาก เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าเธอจะลงมือฆ่าเพื่อนของเธอ ฉันเองยังเข้าใจว่าเด็กคนนั้นสมองระเบิดตายไปแล้ว”

เป็นช่วงเวลาที่การทดลองล้มเหลว มีเด็กที่ถูกทดลองตายไปเป็นจำนวนมาก จึงทำให้เกิดความผิดพลาดที่เด็กทดลองหายไปและไม่มีใครรู้ ศพของเด็กถูกทำลายในเตาเผาซึ่งมีความร้อนสูงไม่เหลือกระทั่งเถ้าหรือกระดูก จึงไม่มีใครคิดว่าจะมีเด็กคนหนึ่งหายไป

“ฉันไม่ได้ฆ่าเพื่อนคนนั้น เป็นเธอที่จะฆ่าฉันเพราะคำสั่งของคุณไม่ใช่เหรอ เธอแอบมาหาฉันหวังจะฆ่าฉันให้ตาย เด็กคนนั้นอายุเท่าไหร่เองนะในตอนนั้นน่าเสียดายที่ถูกคุณเลี้ยงดูมาไร้สมอง เหมือนคนที่ยืนอยู่ข้างหลังคุณยังไงล่ะ”

ด็อกเตอร์ตกตะลึงไปแล้ว หลี่เจี่ยซินรู้ได้ยังไงว่าพวกเขาตอนนี้กำลังอยู่ข้างหลังเธอ

“อัจฉริยะสินะ เธอรู้ทุกเรื่องที่ต้องควรรู้แล้ว ต่อไปก็ทำตัวดี ๆ ล่ะ ฉันต้องการดีเอ็นเอของเธอ เธอจะได้มีพี่น้องเยอะ ๆ ยังไงล่ะ ลูกค้าของเรากำลังต้องการกองทัพ พวกเขาพร้อมจ่ายและยกโลกครึ่งหนึ่งให้เราดูแลหากทำสำเร็จ แต่เธอคิดดูว่าถ้าสำเร็จใครล่ะจะยอมหยุดแค่นี้”

หลี่เจี่ยซินยิ้มเย็น

“ประธานกู้สินะ ที่อยู่เบื้องหลัง คุณทำไปแล้วได้อะไรล่ะ ความรักของคุณที่มีต่อเขาขนาดนั้นเขาไม่เคยรู้กลับใช้คุณเป็นเครื่องมือ ตาบอดหรือไงนะ คุณนี่โง่กว่าที่ฉันคิดผ่านมากี่ปีแล้วก็ยังทุ่มเทถวายหัวให้เขา นอกจากใช้ประโยชน์จากคุณแล้วเขาเคยเห็นค่าของคุณหรือเปล่า แม้แต่ลูกของคุณเขาก็ยังเอามาใช้ประโยชน์ ลูกแฝดของคุณกับเขาเด็กชายสองคนที่เอามาทดลองแล้วไม่สำเร็จสองคนนั้น พวกเขาตายใช่หรือเปล่า น่าแปลกใจที่คุณฆ่าได้กระทั่งลูกตัวเอง อ้อแล้วประธานกู้เขารู้หรือเปล่าว่าคุณตั้งท้องลูกของเขา”

แท้ที่จริงแล้วคนที่กุมความลับในตอนนี้คือหลี่เจี่ยซินสินะ ด็อกเตอร์หัวเราะไม่ออกแล้วในตอนนี้ เธอแสยะยิ้มหันไปมองรอบ ๆ ดูเหมือนว่าจะมีคนที่ได้ยินเรื่องพวกนี้มากเกินความจำเป็น เธอไม่ต้องการให้ประธานกู้รู้เรื่องนี้ เธอไม่อยากให้เขาผิดหวังในตัวเธอ

“จัดการคนนอกให้หมด อย่าให้เหลือ”

สิ้นคำของด็อกเตอร์ เด็กสาวสามคนก็ลงมืออย่างรวดเร็ว คนที่ได้ยินเรื่องลูกแฝดของเธอตายโดยไม่มีโอกาสจะก้าวหนีหรือรู้ตัวด้วยฝีมือของเด็กสาวที่พวกเขาสร้างมาเองกับมือ ทุกคนถูกโปรแกรมให้ฟังคำสั่งของคนสองคนคือด็อกเตอร์ฉีเสียวและประธานกู้เท่านั้น

เมื่อทุกคนถูกฆ่า ด็อกเตอร์เริ่มวางใจสามารถพูดคุยกับหลี่เจี่ยซินได้อย่างสะดวกใจแล้ว

“เธอเคยเชื่อฟังฉันนี่ เธอรู้เรื่องแล้วและจะเงียบต่อไปใช่หรือเปล่า ถ้าเธอไม่รับปากนอกจากดีเอ็นเอของเธอแล้วฉันก็คงต้องฆ่าเธอด้วย เธอเป็นลูกสาวคนโปรดของฉันนะ ฉันไม่ต้องการให้เธอตาย แค่ฉันกดปุ่มปล่อยแก๊สพิษเธอก็ไม่รอดแล้ว”

ด็อกเตอร์กำมือแน่นพยายามระงับอารมณ์ของตัวเอง ทั้งที่ข่มขู่หลี่เจี่ยซินแต่ดูเหมือนว่าเธอไม่หวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย

“เอาสิปล่อยออกมาเลยดูสิว่าฉันจะทำยังไง”

แก๊สพิษทำให้หลี่เจี่ยซินสลบและอาจถึงตายได้ แต่เธอยังต้องใช้ดีเอ็นเอของเด็กสาวที่ยังมีชีวิต ด็อกเตอร์คิดเพียงแช่แข็งหลี่เจี่ยซินเท่านั้น

“นับว่าเธอร้องขอความตายเองนะ ไม่ต้องห่วงไปหรอก ยังไงแม่ก็ต้องรักเธอไม่ทำให้เธอลำบากอยู่แล้ว”

แก๊สพิษถูกปล่อยออกมาช้า ๆ จนกระทั่งเต็มห้องทดลอง เวลาผ่านไปชั่วด็อกเตอร์จึงค่อย ๆ ลดปริมาณแก๊สลงเมื่อคิดว่าจัดการหลี่เจี่ยซินจนสลบไปแล้ว แต่เมื่อควันพิษจางหายเธอกลับไม่เห็นหลี่เจี่ยซินอยู่ในห้อง

“เธอหายไปไหน หลี่เจี่ยซินหายไปไหน พวกเธอเข้าไปดู”

เมื่อหาหลี่เจี่ยซินที่อยู่ในห้องไม่เจอ ด็อกเตอร์ต้องให้เด็กทดลองของเธอเข้าไปค้นหาหลี่เจี่ยซินในห้อง เธอไม่พบความผิดปกติอันใดในห้องแม้แต่น้อย ไม่มีร่องรอยของประตูที่ถูกกระแทกจนพัง ไม่มีร่องรอยการทำลายข้าวของ

เด็กทดลองสองคนเข้าไปค้นในห้อง พร้อมกับบอดี้การ์ดอีกหลายคน แต่ไม่มีใครหาหลี่เจี่ยซินเจอเลย

หลี่เจี่ยซินหายไปจริง ๆ

“ยานี่หากใช้จะเกิดอะไรขึ้นครับ”

หลิวไห่มองยาในมือของตัวเองทั้งยังกัดริมฝีปากอย่างครุ่นคิด ในตอนนี้เขาไม่สามารถนั่งอยู่เฉย ๆ เพื่อรอหลี่เจี่ยซินแบบนี้ได้ แม้ว่าเขาจะให้ดวงตาสวรรค์ค้นหาเธอแต่กลับถูกฝั่งตรงข้ามคอยก่อกวน แฮกเกอร์ระดับโลกสองฝั่งกำลังต่อสู้กันอย่างหนัก ฝีมือของคนพวกนั้นสูสีกับดวงตาสวรรค์มาก ในตอนนี้สองฝ่ายทำได้คือป้องกันโปรแกรมของกันและกันเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายหาช่องโจมตีได้

เขาไม่สามารถรอได้อีกต่อไป เพียงได้เบาะแสของหลี่เจี่ยซินเล็กน้อยเขาจะลุยไปพาตัวเธอกลับมาเอง ลุงเฉิงเรียกหัวหน้าห้องทดลองเข้ามาเพื่ออธิบายผลของยานี้ให้หลิวไห่ฟัง

“เรายังไม่เคยทดลองในมนุษย์ เพียงแต่ว่าประธานกู้ได้สร้างคนพิเศษพวกนั้นจากยาตัวนี้ มันทำให้คนมีพลังพิเศษและมีความสามารถเกินกว่าที่เราจะคาดคิดครับ”

ลุงเฉิงมองหลิวไห่ด้วยใบหน้าเคร่งขรึม

“ลุงคิดว่ายาตัวนี้เป็นสูตรสมบูรณ์ที่พ่อของเธอขโมยออกมาจากแล็บของประธานกู้”

“มันใช้ยังไงครับ”

ในที่สุดหลิวไห่ก็ตัดสินใจถามออกไปโดยที่ลุงเฉิงเองกำลังเดาความคิดของเขา

“ยานี่ลุงไม่แน่ใจกับผลข้างเคียงในคน กลัวว่ามันจะเป็นเหมือนหนูพวกนั้น สมองระเบิด”

ลุงเฉิงส่ายหน้าไม่ยินยอมให้เขาใช้ เห็นหน้าหลิวไห่เขาก็รู้แล้วว่ากำลังคิดอะไรอยู่

หลิวไห่กลับถามย้ำ

“บอกผมเถอะครับ มันใช้ยังไงผมต้องหาเธอให้เจอครับ”

“อาไห่ นายเหมือนลูกชายของฉันคนหนึ่งฉันห่วงนายจริง ๆ”

“ได้โปรดเถอะครับลุงเฉิง ลุงก็รู้ว่าหลี่เจี่ยซินสำคัญกับผมมากแค่ไหน”

หลิวไห่กลับมองลุงเฉิงดวงตาไม่กระพริบ สายตาจริงจังและอ้อนวอนนั้นทำให้คนแก่ถึงกับถอนหายใจออกมาด้วยความกลัดกลุ้ม

ลุงเฉิงรู้ดีว่าหลิวไห่ดื้อรันแค่ไหน ถึงไม่บอกเขาเขาก็ต้องหาทางจนได้ และหากเขาไปหาหลี่เจี่ยซินโดยไม่มียาก็เกรงว่าหากบุกรังของประธานกู้จริง ๆ หลิวไห่จะเอาชีวิตไปทิ้งโดยเปล่าประโยชน์ ประธานกู้ย่อมต้องสร้างมนุษย์ทดลองมาเพื่อเป็นบอดี้การ์ดของเขา

“บอกเขาไป”

ลุงเฉิงสั่งให้หัวหน้าห้องทดลองเป็นคนบอกหลิวไห่ด้วยตัวเอง

“ฉีดเข้าเส้นเลือดที่ลำคอครับ แต่คุณหลิวเรายังไม่แน่ใจนะครับคุณอย่าเสี่ยงเลยครับ เราต้องการเวลาทดลองจริง ๆ นะครับ ตามที่ท่านประธานบอกมันอันตรายมากคุณอาจเป็นอันตรายได้”

หลิวไห่กลับไม่สะทกสะท้าน

“ความเสี่ยงผมรับเองครับ แม้ว่าผมจะตายผมก็ยอมรับครับ”

หัวหน้าห้องทดลองใบหน้าถอดสี

“หนูพวกนั้นมีชีวิตได้แค่หนึ่งเดือนแล้วพวกมันก็สมองระเบิดนะครับ ผมว่าอาการข้างเคียงในมนุษย์ก็ไม่ต่างกัน ทบทวนสักครั้งได้หรือเปล่าครับ”

หัวหน้าห้องทดลองเกลี้ยกล่อมอีกครั้ง แต่หลิวไห่กลับไม่สนใจ

“ผมต้องการให้ฉีดให้ผมตอนนี้ครับ”

เลขาคนนั้นลังเล กระทั่งลุงเฉิงถอนหายใจออกมาแล้วพูดขึ้น

“ทำตามที่เขาต้องการ”

“ครับ”

เลขาคนนั้นออกไปจัดการอย่างรวดเร็ว หลิวไห่มองลุงเฉิงด้วยสายตาซาบซึ้ง เขาเป็นหนี้บุญคุณลุงเฉิงมาไม่รู้กี่ครั้งแล้ว

“ขอบคุณครับ ถ้าผมไม่ตายผมสัญญาว่าผมยกชีวิตของผมให้ลุงครับ”

ลุงเฉิงโบกมือ

“อย่าคิดมากเลย ความเสี่ยงเรื่องนี้นายยอมแลกชีวิตรับเอาไว้เอง ไม่เกี่ยวกับลุงเลยเพียงแต่ลุงก็อดห่วงไม่ได้”

หลิวไห่ยิ้ม

“ถ้าไม่ได้ลุงตอนนี้ผมคงอยู่ในคุกและไม่มีโอกาสออกมาใช้ชีวิตแบบนี้ครับ”

“ลุงก็เหมือนกัน ถ้าไม่ได้นายลุงก็คงตายในคุกเหมือนกัน เราสองคนหายกันแล้วตอนนี้เราคือครอบครัวไม่มีคำว่าบุญคุณอีกเข้าใจหรือเปล่า”

หลิวไห่น้ำตาซึม ผู้ชายคนนี้เป็นทั้งผู้ให้โอกาส และคนที่เขารักเคารพและนับถือที่สุด เขาหวังเพียงแต่ว่าจะมีโอกาสได้ทดแทนบุญคุณโดยไม่ตายเสียก่อน

เลขานำพยาบาลคนเดิมที่ทำแผลให้หลิวไห่เข้ามาพร้อมกับกล่องเครื่องมือแพทย์

“ฉีดยานี่ให้คุณหลิว”

พยาบาลผู้เชี่ยวชาญพยักหน้า เธอถือเป็นพยาบาลที่เก่งมากอายุเธอนับว่าเข้าสู่วัยกลางคนแล้วและเป็นคนที่ลุงเฉิงรับเลี้ยงมาตั้งแต่เด็ก เธอจัดแจงเปิดกล่องเครื่องมือแพทย์ที่บรรจุเข็มฉีดยาอยู่ภายใน หลังจากนั้นใส่ถุงมือทางการแพทบ์และดูดยาออกจากขวดจนเรียบร้อย

หลิวไห่เตรียมใจที่จะลองรับยาตัวนี้ดู เขาไม่รู้ว่าประสิทธิภาพของยาจะเป็นยังไงแต่เขาก็ยอมรับและต้องไปช่วยหลี่เจี่ยซิน ในเมื่อยานี้มีไว้สำหรับทำลองและไม่แน่ว่าจะเป็นยาตัวเดียวกันที่หลี่เจี่ยซินได้รับ ดังนั้นเขาคิดว่าเขาต้องปลอดภัยและยังมีเวลาก่อนที่สมองจะระเบิดไปเหมือนหนูพวกนั้น

พยาบาลเช็ดแอลกอฮอที่ลำคอของเขา เส้นเลือดปูดโปนของหลิวไห่เห็นได้ชัดเจน เธอพูดเบา ๆ

“ฉันจะฉีดแล้วนะคะ”

“ครับ”

หลิวไห่รับคำใบหน้าราบเรียบไม่แสดงอาการหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย เขารู้สึกเจ็บที่ลำคอเล็กน้อยเมื่อเข็มถูกแทงลงมากระทั้งพยาบาลเดินยาเข้าเส้นเลือดของเขาด้วยความว่องไวและดึงเข็มออก

หลิวไห่สบัดคอเขาลูบที่บริเวณที่ถูกฉีดยาเบา ๆ ในขณะที่ลุงเฉิงเฝ้าดูด้วยความกังวล

“เป็นยังไงบ้าง”

หลิวไห่ส่ายหน้า

“ไม่รู้สึกอะไรเลยครับ”

ลุงเฉิงทำหน้าประหลาดใจ เขาหันไปหาหัวหน้านักวิจัยคนนั้น

“ผมคิดว่าต้องรอเวลาอีกสักนิดครับ ปกติถ้าฉีดเข้าไปในร่างกายของหนูอุณหภูมิในร่างกายของหนูตัวนั้นจะร้อนขึ้น และหลังจากนั้นมันจะค่อย ๆ แข็งแรงขึ้นเรื่อย ๆ ครับ”

หัวหน้านักวิจัยลุ้นระทึก ในฐานะนักวิจัยเขาไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าตัวเองนั้นก็แอบดีใจที่มีผู้ทดลองที่เป็นมนุษย์เสียที เขาย่อมรู้อยู่แล้วว่ายานี่มีการทดลองในมนุษย์และสร้างมนุษย์ที่มีความแข็งแกร่งเหนือคนมานับสิบปีแล้ว แต่เขายังไม่เคยเห็นกับตาตัวเองสักที และผลข้างเคียงของยาก็คือการเสียชีวิตเขาจึงไม่กล้าที่จะใช้ใครมาทดลอง

จนกระทั่งหลิวไห่เสนอตัว เขาเองจึงดีใจเป็นอย่างมาก

สิบห้านาทีต่อมา หลิวไห่กลับรู้สึกว่าร่างกายของเขาร้อนขึ้น หัวหน้านักวิจัยรีบตรวจร่างกายของเขา ยังดูดเลือดของหลิวไห่ไปหนึ่งหลอดเพื่อวิจัยต่อ อุณหภูมิในร่างกายของหลิวไห่สูงขึ้นถึงสี่สิบองศาเหมือนคนที่กำลังเป็นไข้สูงคนหนึ่ง

เขารู้สึกหนาวไปทั้งร่างอยู่ราวครึ่งชั่วโมง หลังจากนั้นอาการของเขาก็เป็นปกติแม้ว่าอุณหภูมิร่างกายของเขาจะยังสูงอยู่ก็ตาม การเฝ้าดูอย่างใกล้ชิดของเขาในตอนนี้นอกจากจะมีหัวหน้าคณะวิจัยแล้ว นักวิทยาศาสตร์ในทีมยังถูกเรียกมาเพื่อเฝ้าดูอีกด้วย

และหนึ่งชั่วโมงต่อมาหลิวไห่ก็ได้ยินเสียงผิดปกติ เขาได้ยินเสียงของคนที่กำลังพูดคุยกันอยู่ด้านหน้าบ้านของลุงเฉิง หลิวไห่แปลกใจเป็นอย่างมาก

“ผมคิดว่าผมพร้อมแล้ว”

หนึ่งชั่วโมงผ่านมา ผลเลือดของหลิวไห่ก็ออกมา ไม่มีสิ่งใดผิดปกติเลยแม้แต่น้อย ยาและเลือดของเขาเข้ากันได้เป็นอย่างดี หลิวไห่ลุกขึ้น เขาลองเดินและวิ่งรู้สึกว่าร่างกายเบาหวิวและเขายังสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็ว

หลิวไห่ตื่นเต้นเป็นอย่างมาก

“ลุงเฉิงครับ ผมคิดว่าผมพร้อมแล้ว”

ท่ามกลางความตกตะลึงในผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกับหลิวไห่ทำให้ทุกคนถึงกับนิ่งอึ้ง หลิวไห่กุมศีรษะจู่ ๆ เขาก็สามารถจำเรื่องราวหลายเรื่องได้ เรื่องที่เขาไม่คาดคิดว่ามันจะเกิดกับเขา ความทรงจำปลอม ๆ ที่เขาเคยรู้แท้ที่จริงคือเรื่องที่ถูกสร้างขึ้นก่อนที่เขาจะมาที่นี่เขาสั่งให้เฉินเฟยอวี๋ไปที่บ้านเด็กกำพร้าเพื่อสืบหาเรื่องราวในอดีตของพวกเขา และในตอนนี้หลิวไห่ก็คิดว่าการสืบหาอดีตไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้ว

เขาหัวเราะเยาะหยันตัวเอง แล้วบอกกับลุงเฉิง

“ลุงเฉิงครับ ผมคิดว่าผมจำเรื่องบางเรื่องที่ผมลืมไปจนหมดได้แล้วครับ”

เขายกมุมปากยิ้มเย็น ลุงเฉิงลุกขึ้นจับตัวที่ร้อนราวกับคนมีไข้สูงของหลิวไห่ด้วยความกังวล

“เกิดอะไรขึ้น เรื่องอะไรที่นายลืมไปอย่างนั้นเหรอ”

หลิวไห่หัวเราะ

“ผมกับน้องชายแท้ที่จริงแล้วก็เป็นเด็กทดลองเหมือนหลี่เจี่ยซิน”

ในตอนที่หลี่เจี่ยซินฟื้นขึ้นมาเธอก็พบว่าตัวเองได้นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวหนึ่งแล้ว แขนสองข้างของเธอถูกล็อคไว้ด้วยห่วงเหล็กแข็งแรงและลำตัวก็ยังถูกมัดติดกับเก้าอี้นั้น ด้านบนศีรษะของเธอมีไฟดวงใหญ่ส่องมา อาการปวดศีรษะของเธอทุเลาลงไปมากแต่ก็ยังคงรู้สึกปวดอยู่บ้าง หลี่เจี่ยซินพบว่าเรี่ยวแรงของเธอหายไปเธอไม่สามารถที่จะขยับเขยื้อนได้เลย สายตาของเธอกำลังพร่ามัวมองเห็นไม่ค่อยชัดไม่สามารถปรับโฟกัสได้

“บ้าเอ๊ย”

เธอสบทออกมาเมื่อพยายามมองไปรอบ ๆ ห้องแต่ทุกอย่างก็ยังคงไม่ชัดเจน ฉับพลันเธอรู้สึกได้ถึงของเหลวที่ไหลออกมาจากจมูกและเธอก็ไอ ของเหลวนั้นไหลออกจากปากของเธอ รสชาติเค็มของโลหิตทำให้เธอรู้สึกถึงความผิดปกติของร่างกาย

มันกำลังส่งสัญญาณเตือนว่าเวลาของเธอใกล้หมดแล้ว

“สวัสดีลูกสาว ในที่สุดก็ยอมมาโดยดีสินะ”

หลี่เจี่ยซินหรี่ตา พยายามหาทิศทางของเสียงจนกระทั่งเธอจับได้ว่ามันส่งมาจากมุมหนึ่งของห้อง

“คุณเป็นใครกันแน่”

หลี่เจี่ยซินส่งเสียงเย็นถามออกไป ผู้หญิงคนนั้นหัวเราะลั่น

“ฉันคือผู้สร้างเธอขึ้นมายังไงล่ะ สุดยอดเลยว่ามั๊ย ทั้ง ๆ ที่เคยคิดว่าเธอตายไปแล้วแต่เธอกลับยังมีชีวิตรอด ไม่เสียแรงที่ฉันเฝ้าตามหาเธอมานานหลายปี ใช่แล้ว เธอคือความภูมิใจของฉัน ลูกสาวคนเก่งของฉันที่ฉันสร้างเธอมาเองกับมือ”

“ฉันไม่ใช่ลูกแก ฉันคือหลี่เจี่ยซิน ฉันไม่ใช่คนที่แกสร้างขึ้นมา”

หลี่เจี่ยซินส่ายหน้าไม่ยอมรับ

“หลี่เจี่ยซินตัวจริงได้ตายไปแล้ว เธอไม่มีชีวิตอยู่แล้วเธอก็แค่คนที่มีใบหน้าที่คล้ายหลี่เจี่ยซิน และมีอวัยวะบางอย่างที่เราปลูกถ่ายมาไม่น่าเชื่อว่ามันจะสำเร็จ ตอนนั้นเธอกำลังจะตายแล้ว ฉันต้องเสาะหาเด็กที่มีเนื้อเยื่อตรงกันกับเธอ จนกระทั่งเจอเด็กผู้หญิงคนหนึ่เข้าก็คือหลี่เจี่ยซินยังไงล่ะ ตอนนั้นฉันแค่ให้เธอทดลองใช้ชีวิตแบบมนุษย์ธรรมดา ไม่คิดว่าเธอจะตบตาฉันและทำให้ฉันเข้าใจผิดจฉริยะแบบนี้สิสมแล้วที่เป็นลูกสาวคนโปรดของฉัน ฉันคิดว่าเธอตายในกองไฟไปแล้วในตอนนั้นทั้ง ๆ ที่พวกเราเห็นศพของเธอแล้วแต่ใครจะคาดคิดว่าเป็นศพปลอม คิดดูสิเธออายุแค่สี่ขวบแต่กลับสามารถคิดเรื่องพวกนี้มาได้ ไม่เรียกว่าอัจฉริยะแล้วจะเรียกว่าอะไร”

หลี่เจี่ยซินยอมรับความจริงไม่ได้ เธอส่ายหน้าอย่างแรง

“ไม่จริง ไม่จริง ฉันคือหลี่เจี่ยซินตัวจริง แกโกหก แกโกหก”

หลี่เจี่ยซินพยายามที่จะกระชากแขนของตัวเองให้หลุดจากการถูกรัด แต่เรี่ยวแรงของเธอกลับไม่มีเหลือเลยสักนิด เกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่

“จำไม่ได้เลยสิ คงสะเทือนใจมากเลยใช่หรือเปล่าที่ฆ่าเพื่อนของตัวเอง เพื่อนที่โตมาด้วยกันและให้เด็กคนนั้นมาเป็นตัวแทนของเธอ เธอคงรู้สึกผิดจนไม่อยากจดจำมันอีก ฉันเข้าใจดีว่าเธอรู้สึกยังไง วันนั้นมันช่างหนักหนาสำหรับเธอใช่หรือเปล่า ไม่ต้องห่วงความทรงจำของเธอฉันจะฟื้นมันให้เอง”

หลี่เจี่ยซินคล้ายจะจดจำบางอย่างได้ราง ๆ เธอในตอนนั้นกำลังฆ่าเด็กคนหนึ่งแล้วทิ้งร่างนั้นเข้าไปในกองไฟ หญิงสาวกรีดร้องเมื่อความรู้สึกเจ็บปวดวิ่งไปจนทั่วร่าง เป็นเธอที่ฆ่าเด็กคนนั้นเอง เป็นเธอที่ให้เด็กอีกคนมาเป็นตัวแทนของเธอเพื่อหนีจากสถานที่แห่งนี้

เรื่องนี้เป็นความจริงหรือมันเป็นเพียงแค่ความฝันหลี่เจี่ยซินถูกฉีดยากระตุ้นความทรงจำเข้าที่ลำคอ เธอรู้สึกเหมือนมีความร้อนวิ่งพล่านไปทั่วร่างกายและคล้ายจะถูกไฟฟ้าช็อต เธอนิ่งไปครู่หนึ่งและแล้วเธอก็เริ่มจำได้

ความทรงจำที่ขาดหายกลับคืนมาแทบทั้งหมด เธอคือเด็กอัจฉริยะที่ถูกสร้างขึ้น เธอแข็งแกร่ง ว่องไว และฉลาด อีกทั้งยังเหี้ยมเกรียม พวกเขาฝึกให้เธอฆ่าสุนัขตั้งแต่เธอเริ่มคลาน และหลังจากนั้นพวกเขาก็ฝึกกับเธออย่างหนัก เธอถูกส่งให้ไปทำเรื่องเลวร้ายมากมายโดยที่เธอไม่รู้ตัว

ร่างกายของหลี่เจี่ยซินสั่นเทาเมื่อเธอรับรู้ถึงความโหดร้ายป่าเถื่อนในวัยเด็ก และหลังจากที่พ่อของเธอรับเลี้ยงเธอไม่รู้ว่าจะด้วยความสงสารหรือคิดถึงหลี่เจี่ยซินตัวจริง เธอก็ทำให้เขาหวาดผวา เขาเคยพาเธอหนีไปอยู่ในที่แสนไกลในชนบทแห่งหนึ่ง ในเวลาที่เธอคุ้มคลั่งเธอกลับฆ่าสัตว์ในบ้านที่เขาเลี้ยงไว้จนตายหมด ไม่ว่าจะเป็นหมาแมวหรือวัวที่เขาเลี้ยงเอาไว้

เพราะแบบนี้เขาจึงพาเธอให้ออกห่างจากย่า กว่าหลี่เจี่ยซินจะกลายเป็นคนเหมือนคนทั่วไปได้พ่อของเธอต้องใช้ความอดทนเป็นปี สุดท้ายเพราะเขารู้ว่าเธอต้องได้รับการปลดปล่อยพลังที่อัดอั้นอยู่ในร่างกาย เขาจึงพาเธอกลับมาที่โรงเรียนสอนศิลปะการป้องกันตัว และฝึกเธอให้ควบคุมพลังของตัวเองมาตั้งแต่นั้น

การที่เธอแข็งแกร่งไม่ได้เกิดจากการฝึกฝน แต่การฝึกฝนทำให้เธอควบคุมอาการคลั่งของตัวเองได้ต่างหาก ในตอนนี้ดูเหมือนว่าความทรงจำของเธอจะกลับมาทั้งหมดแล้ว เธอเงยหน้าขึ้นมองไปรอบ ๆ ห้อง อาการตาพร่าของเธอกลับดีขึ้น หลี่เจี่ยซินสามารถมองเห็นอย่างชัดเจนแล้ว

ตอนนี้เธออยู่ในห้องสีขาว นอนอยู่บนเตียงและถูกมัดเอาไว้อย่างแน่นหนา เธอคงถูกฉีดบางสิ่งบางอย่างเข้าร่างกายทำให้แรงของเธอหายไป ในห้องนี้มีอุปกรณ์ทางการแพทย์ครบครัน ที่ข้อมือของเธอมีสายระโยงระยาง ด้านข้างเป็นจอมอนิเตอร์ที่แสดงถึงอัตราการเต้นของหัวใจของเธอ หลี่เจี่ยซินพบว่าในตอนนี้หัวใจของเธอเต้นแรงเป็นอย่างมาก เธอยังเห็นอุปกรณ์หลายอย่าง ดูแล้วห้องนี้คล้ายว่าจะเป็นห้องผ่าตัดห้องหนึ่ง เพียงแค่นี้เธอก็เดาไม่ยาก

พวกเขาต้องการบางสิ่งบางอย่างจากร่างกายของเธอ

แต่แล้วหลี่เจี่ยซินก็รู้สึกเจ็บปวดไปทั่วร่างกาย แต่เดิมเธอเพียงแต่ปวดหัวเท่านั้น แต่ตอนนี้ความเจ็บปวดนี้ไหลวนไปทั่วร่าง กระทั่งเลือดไหลทะลักออกมาจากปากและจมูก ดวงตาของหลี่เจี่ยซินแดงฉาน เธอปวดหัวจนแทบระเบิด เสียงของผู้หญิงคนนั้นคล้ายจะตกใจ

“เธอกำลังจะตาย สมองของเธอกำลังจะระเบิด มันเร็วกว่าที่คิดยังไม่ถึงวันเกิดของเธอเลย”

หลี่เจี่ยซินร้องด้วยความเจ็บปวด เลือดเปื้อนเสื้อของเธอจนชุ่ม ปวดที่ศีรษะจนรู้สึกชา

“ฉีดยาให้เธอ จะปล่อยให้ตายตอนนี้ไม่ได้เรายังไม่ได้ เรายังต้องการเธอ เธอคือของล้ำค่าขององค๋กร”

น้ำเสียงของผู้หญิงคนนั้นดูหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง อาการของหลี่เจี่ยซินสาหัสมากในตอนนี้ เธอกำลังเข้าสู่ช่วงภาวะสุดท้าย หลี่เจี่ยซินรับรู้ถึงเข็มที่ทิ่มเข้ามาที่ลำคอของเธอ แต่อาการของเธอกลับไม่ดีขึ้น หลี่เจี่ยซินเริ่มชักดวงตาแข็งค้าง เสียงของผู้หญิงคนนั้นดังขึ้นอีก

“ฉีดเข็มที่สองให้เธอ”

“แต่ด็อกเตอร์คะ ไม่ได้นะคะ ถ้าร่างกายของเธอไม่รับเราจะสิ้นเปลืองโดยเปล่าประโยชน์ เข็มนี้มีราคาหนึ่งร้อยล้านหยวนนะคะ”

ผู้หญิงคนนั้นไม่ยินยอม

“ฉีดให้เธอ หมายเลข1มีค่าที่เราไม่สามารถตีเป็นเงินได้ ฉีดเดี๋ยวนี้นี่คือคำสั่ง”

และแล้วยาเข็มที่สองก็ถูกฉีดเข้าที่ร่างของหลี่เจี่ยซิน ทันทีที่ยาวิ่งไปตามเส้นเลือดของเธอหลี่เจี่ยซินถึงกับชักอย่างรุนแรงจนเก้าอี้สะเทือน ในตอนนั้นหลี่เจี่ยซินดวงตาแดงก่ำเลือดของเธอค่อย ๆ หยุดไหล หญิงสาวร้องคำรามออกมาด้วยความเจ็บปวดคล้ายสัตว์ป่าตัวหนึ่ง

ด็อกเตอร์คนนั้นกำลังดูเธอที่ด้านบนในห้องกระจกกำลังลุ้นระทึกกับยาที่ฉีดให้เธอ เสียงของผู้ช่วยที่อยู่ด้านล่างดังขึ้น

“ด็อกเตอร์คะ ตอนนี้อัตราการเต้นของหัวใจเธอค่อย ๆ ลดลงค่ะ”

“ไม่มีทาง ร่างกายของเธอฉันรู้ดี หมายเลขศูนย์จะต้องไม่เป็นอะไร”

หัวใจของหลี่เจี่ยซินเต้นช้าลงเรื่อย ๆ จนกระทั่งคนในห้องเริ่มกระวนกระวาย

“เราจะทำยังไงดีคะด็อกเตอร์ เธอจะไม่รอดแล้ว”

“เตรียมเครื่องกระตุ้นหัวใจ หมอสุ่ยเตรียมพร้อมทำการกระตุ้นหัวใจของเธอ”

ภายในห้องจัดเตรียมอุปกรณ์อย่างรวดเร็ว หมอคนหนึ่งที่เตรียมความพร้อมไว้อยู่แล้วเข้ามาในห้องอย่างรวดเร็ว จวบจนสุดท้ายหัวใจของหลี่เจี่ยซินกำลังจะหยุดเต้นแล้ว

อเล็กซ์ไม่เข้าใจว่าทำไมคนของประธานกู้จึงยอมปล่อยเธอมาอย่างง่ายดาย ถึงแม้ว่าหลี่เจี่ยซินจะบอกเขาแบบนั้นแต่อเล็กซ์ก็ไม่คิดจะปล่อยเธอให้กลับไปขึ้นรถคันนั้นเป็นอันขาด ขืนทำแบบนั้นหลิวไห่คงได้ตัดขาดพี่น้องจากเขาเป็นแน่

“อาซ้อ ไม่ได้นะครับกลับไปกลับผมนะครับ ผมรับปากลูกพี่แล้วยังไงก็ต้องดูแลอาซ้อให้ดี”

หลี่เจี่ยซินยิ้มหวานเมื่อมือข้างหนึ่งของเธอถูกอเล็กซ์ลากจูงให้ไปขึ้นรถ เธอขัดขืนเขามองเขาทั้งใบหน้ายิ้ม

“ไม่ได้หรอก ฉันมีเรื่องต้องสะสางกับประธานกู้”

“อาซ้อ”

เขาพูดแค่คำนี้ก็ถูกหลี่เจี่ยซินตีจนสลบ หลี่เจี่ยซินแบกร่างใหญ่โตของอเล็กซ์ขึ้นมาด้วยมือเดียวและยังเปิดประตูรถแล้วยัดเขาเข้าไปในนั้น เธอปัดมือแล้วบอกลูกน้องของอเล็กซ์อีกสองคนที่เอาแต่ยืนตาค้างตกตะลึง

“พาเขากลับไป ดูแลเขาด้วยบอกลูกพี่พวกนายตามนี้ไม่ต้องตามมาอีก”

หลี่เจี่ยซินตบไหล่คนขับรถก่อนที่จะเดินกลับไปที่รถคันนั้น ผู้ชายคนหนึ่งถูกหลี่เจี่ยซินลากลงจากรถเธอโบกมือแล้วตะโกนเสียงดัง

“ฝากพาผู้ชายคนนี้ไปทิ้งที่หน้าโรงพยาบาลหน่อยนะ”

ว่าแล้วเธอก็ขึ้นรถคันนั้นแล้วจากไปอย่างรวดเร็ว ลูกน้องของอเล็กซ์หลังจากได้สติก็รีบวิ่งมาพยุงผู้ชายที่ถูกยิงจนเลือดอาบมาขึ้นรถ ถึงผู้ชายคนนี้จะเป็นอริแต่เพราะเป็นคำสั่งของอาซ้อพวกเขาก็ไม่สามารถเพิกเฉย

ที่หน้าโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด มีคนเจ็บคนหนึ่งคลานอยู่หน้าโรงพยาบาลทั่งร้องโอดโอยโดยที่ไม่รู้ว่าเขามาได้ยังไงและเกิดอะไรขึ้น แต่ในตอนนี้แพทย์ได้ช่วยเขาอย่างเต็มที่แล้ว

หลี่เจี่ยซินถูกพาไปยังสถานที่หนึ่ง เธอรู้สึกคุ้นตาเป็นอย่างมากด้านหน้าสถานที่นี้เป็นสุสานของผู้ที่มีฐานะ กู้เมิ่งยังคงสลบอยู่หลี่เจี่ยซินเกรงว่าเขาจะคิดไม่ซื่อก่อนจะลงจากรถเธอจึงหักขาหลิวไห่ไปข้างหนึ่ง

หลิวไห่ที่ยังสลบฟื้นขึ้นมาทันที เขาร้องด้วยความเจ็บปวดแต่ไม่มีใครช่วยเขา ทั้งยังถูกทิ้งไว้ในรถเพียงลำพัง

คนขับรถเห็นหลี่เจี่ยซินหักขาคนด้วยมือเปล่าตกใจแทบสิ้นสติ เขาเคยได้ยินมาบ้างว่าการทดลองของเจ้านายไม่เคยมีใครรอดเกินสิบห้าปี แต่ทำไมหลี่เจี่ยซินคนนี้ถึงมีชีวิตยืนยาวขนาดนี้ ไม่แปลกใจเลยที่พวกเขาค้นหาเธออย่างบ้าคลั่ง

หลี่เจี่ยซินสำรวจไปรอบ ๆ อย่างระมัดระวัง สถานที่แห่งนี้เหมือนยังอยู่ในความทรงจำของเธอ หลี่เจี่ยซินรู้สึกปวดหัวขึ้นมาเธออดทนเป็นอย่างยิ่ง กระทั่งเลือดกำเดาไหลออกมาหลี่เจี่ยซินก็ใช้หลังมือปาดออกโดยไม่สนใจ

คนขับรถเห็นท่าทางของเธอแบบนั้นยิ่งหวาดกลัว แม้จะเจ็บปวดแต่ใบหน้ายังราบเรียบ สายตาของผู้หญิงคนนี้แดงก่ำพร้อมที่จะฆ่าได้ทุกเวลา

เธอเดินลัดเลาะตามคนขับรถไป กระทั่งเดินเข้ามายังสถานที่หนึ่งคล้ายเป็นโรงเก็บของเก่าแต่เมื่อเปิดประตูเข้าไปด้านในสถานที่แห่งนี้พบว่าเป็นทางเดินโล่งกว้าง

หลี่เจี่ยซินถูกนำมายังลิฟต์ตัวหนึ่ง หญิงสาวขมวดคิ้วมุ่นจากที่เธอสังเกตุดูนั้น ที่นี่เป็นประตูอีกด้านหนึ่งเท่านั้น

“เราต้องลงลิฟต์กันครับ”

คนขับรถดูจะสุภาพกับเธอมากกระทั่งเวลาพูดคุยยังกุมมือกันที่เป้ากางเกงอย่างสุภาพนอบน้อม ผิดกับตอนแรกที่พวกเขาพากันไปจับเธอราวกับเป็นคนละคน

“ไปที่ไหน”

เสียงของหลี่เจี่ยซินหวานใส แต่คนขับรถกลับฟังแล้วสะดุ้งโหยง

“ใต้ดินครับ ผมจะพาไป”

หลี่เจี่ยซินพยักหน้า ผู้ชายคนนั้นกดลิฟต์แล้วแสกนใบหน้าลิฟต์เปิดออกทันใด คนขับรถพาเธอลงลิฟต์แล้วกดชั้นห้า เมื่อลิฟต์เคลื่อนไหวหลี่เจี่ยซินรู้สึกโหวงเหวงเหมือนตัวเองจะทนไม่ไหวแล้ว แต่เธอก็อดทนจนกระทั่งลิฟต์เปิดออก ครานี้หลี่เจี่ยซินเพียงแต่ก้าวขาออกมาเธอก็ทรุดลงไปแล้ว

ผู้หญิงคนนั้นรอเธออยู่แล้ว คนที่บอกว่าเป็นคนสร้างเธอขึ้นมา หลี่เจี่ยซินตาพร่ามัวและแขนของเธอถูกปักเข้าด้วยเข็มฉีดยา ตัวยาถูกฉีดเข้าไปที่ร่างกายของหลี่เจี่ยซินอย่างรวดเร็ว หญิงสาวลงไปกองลงกับพื้น มีเด็กผู้หญิงวัยรุ่นคนหนึ่งอายุราวสิบสี่สิบห้าเชยคางของเธอขึ้นแล้วพูดเยาะหยัน

“นี่เหรอคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นตัวที่สมบูรณ์ที่สุด จากที่ดูก็ใกล้ตายแล้วนี่ สมองระเบิดตาย ตู้ม ฮ่า ฮ่า ฮ่า”

เสียงหัวเราะเล็กแหลมของเด็กผู้หญิงยิ่งทำให้หลี่เจี่ยซินปวดหัว และเธอก็สลบไป

หลิวไห่ลงเครื่องแล้วคนของเขารายงานว่าถูกหลี่เจี่ยซินจับได้และไม่ให้ตามเธอไป เธอต้องไปแก้ปัญหาด้วยตัวเอง หลิวไห่กระวนกระวายข้อมูลที่เขาได้มาล่าสุดจากการให้คนไปสืบค้นคือบันทึกประจำวันของพ่อของหลี่เจี่ยซินที่คนนำมาให้เขาในตอนก่อนขึ้นเครื่องบิน

หลิวไห่กำบันทึกแน่น ในตอนนี้เขาไม่รู้จริง ๆ ว่าเธออยู่ที่ไหน ดูเหมือนว่าสัญญาณของเธอจะหายไปอย่างรวดเร็ว มีการเปลี่ยนรถไปหลายครั้งทำให้พวกเขาจับไม่ได้ว่าเธออยู่ในรถคันไหนกันแน่

สนามบินในตอนนี้ไม่เหลือความวุ่นวายแล้ว ลุงเฉิงโทรหาเขาบอกให้หลิวไห่ไปหาที่บ้าน จากทดลองสูตรยาที่ได้รับมานั้นสำเร็จแล้วหลิวไห่ต้องไปดูด้วยตัวเอง ในขณะที่หลิวไห่อยู่บนรถ จู่ ๆ ก็มีรถอีกคันไล่ตามเขามา หลิวไห่สั่งให้คนขับเร่งเครื่องให้เร็วขึ้นเพื่อหนีรถคันนั้น เขาดึงปืนออกมาจากที่ซ่อนในรถแล้วตั้งลำเริ่มเล็ง

แต่ใครจะคาดคิดว่ากลับมีคนคนหนึ่งขับมอเตอร์ไซต์มาขนาบข้าง มิหนำซ้ำยังกระโดดมาที่รถของหลิวไห่ เธอกระชากประตูจนเปิดออกยิ่งกว่ายอดมนุษย์แล้วกระโดดเข้ามาข้างใน เขาต้องตกใจเมื่อเห็นว่าคนคนนั้นเป็นเด็กผู้หญิงหน้าตาดีคนหนึ่ง แต่เรี่ยวแรงมหาศาลเป็นอย่างยิ่ง

เธอว่องไวและไม่รู้สึกเจ็บ หลิวไห่ยิงเธอไปหลายนัดแต่ผู้หญิงคนนั้นกลับหัวเราะ

“ยิงมาเลย ยิงมา”

หลิวไห่จึงยิงไปอีกครั้งคราวนี้กระสุนฝังที่หัวของเธอจัง ๆ และเธอหลบไม่ทันทำให้สมองแตกกระจาย แต่ยังไม่จบเมื่อมีเด็กผู้หญิงอีกคนขับรถมอเตอร์ไซต์คันใหญ่ตามมา เธอยิงปืนรัว ๆ หลิวไห่ก้มตัวต่ำหลบห่ากระสุนที่สาดเข้ามา

โชคดีที่รถของเขาเป็นรถกันกระสุน คนขับเองก็ผ่านเหตุการนี้มาแทบตลอดชีวิตจึงมีสติและยังบังคับรถให้วิ่งได้เป็นอย่างดี คนขับพาหลิวไห่เลี้ยวรถเข้าไปยังตรอกแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นถิ่นของพวกเขา เมื่อรถขับผ่านมีคนเข้ามาขวางทางคนที่กำลังตามมาทำให้หลิวไห่ได้โอกาสหนี สุดท้ายแล้วคนขับก็พาหลิวไห่ในสภาพยับเยินที่ร่างกายเต็มไปด้วยเลือดมาถึงบ้านของลุงเฉิง

ไหล่ของหลิวไห่หลุดจากการที่ถูกเด็กคนนั้นกระชาก ศพของเด็กหญิงยังอยู่ในรถตายทั้งยังลืมตา นี่เป็นครั้งแรกที่หลิวไห่ฆ่าเด็กแต่เขากลับไม่รู้สึกผิดหรือเสียใจ เพราะเขารู้อย่างชัดเจนแล้วว่าเด็กพวกนี้คือเด็กหลอดทดลอง

หลิวไห่เข้าไปหาลุงเฉิง มีหมอประจำตัวลุงเฉิงมาช่วยดูบาดแผลให้เขาในขณะที่หลิวไห่ถอดเสื้อที่เปรอะเปื้อนเลือดออกแล้วแล้วพยาบาลประจำตัวลุงเฉิงเข้ามาช่วยเขาเช็ดตัว ทั้งเขายังสนทนากับลุงเฉิงไปด้วย หลิวไห่นิ่วหน้าเมื่อคุณหมอคนนั้นดันไหล่ของเขาให้กลับไปที่เดิม

“เป็นตัวยาที่ทำให้ร่างกายแข็งแรงเหมือนไม่ใช่คน”

ลุงเฉิงส่งหลอดแก้วให้เขาด้านในบรรจุตัวยาสีทองคล้ายวัคซีนตัวหนึ่ง หลิวไห่พอเข้าใจแล้ว

“ประธานกู้กำลังทำวิจัยคนให้กลายเป็นเหนือคนใช่หรือเปล่าครับ”

“ไม่ผิด แต่ดูเหมือนว่าเด็กพวกนั้นจะไม่รอดเกินอายุสิบห้าปี พวกเขาจะสมองระเบิดจนตายไป”

หลิวไห่ดูวิดีโอบันทึกการทดลองของหนูทดลองที่สมองระเบิดไปเมื่อพวกมันอยู่มาได้ระยะหนึ่ง หนูพวกนั้นที่ได้รับยานี้สามารถพังกรงเหล็กหนาจนพัง และยังทำร้ายผู้ทดลองโดยกัดขาของคนคนหนึ่งจนขาด ตั้งแต่นั้นมาพวกมันจึงได้อยู่ในกระจกที่แน่นหนาและมีระบบปล่อยสารพิษหากพวกมันคุ้มคลั่งเกินจะควบคุม

ลุงเฉิงใบหน้าราบเรียบตอนนี้เหมือนเขาจะเข้าใจแผนการของประธานกู้อย่างกระจ่าง เขาประสานมือจ้องตากับหลิวไห่แล้วบอกว่า

“หลี่เจี่ยซินคือคนที่ถูกทดลองและเป็นเพียงคนเดียวที่รอดมาได้ และเธอจะครบวาระที่สมองจะระเบิดตัวเองในอีกสิบปีหลังจากอายุสิบห้า ตอนนี้หลี่เจี่ยซินใกล้จะอายุครบยี่สิบห้าปีแล้ว คงเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอมีเนื้องอกที่เติบโตอย่างรวดเร็วในสมอง”

หลิวไห่เกิดอาการขนลุกเมื่อคิดว่าเมื่อเธออายุครบยี่สิบห้าปีจะเกิดอะไรขึ้น

“ผมไม่ยอมให้เธอตายเป็นอันขาด!!”

และอีกครั้งที่หลี่เจี่ยซินหายไปพร้อมกับข้อความที่เธอเขียนทิ้งเอาไว้

“ที่รักเรื่องนี้ฉันต้องจัดการด้วยตัวฉันเอง ไม่มีหมอคนไหนช่วยฉันได้ ยารักษาอยู่กับคนคนหนึ่ง ฉันกำลังไปเอามันมา ไม่ต้องห่วงฉัน ฉันเอาตัวรอดได้”

เพียงแค่ข้อความนี้ก็ทำให้หลิวไห่แทบคลั่ง เขารีบโทรติดต่อหาดวงตาสวรรค์อย่างรวดเร็วและพบว่าหลี่เจี่ยซินในตอนนี้กำลังจะขึ้นเครื่องไปฮ่องกง และที่น่าประหลาดใจพบว่าคนที่จองตั๋วเครื่องอย่างเร่งด่วนให้หลี่เจี่ยซินคือคนของกู้เมิ่ง และคนที่กำลังพาหลี่เจี่ยซินไปก็คือกู้เมิ่ง ท่าทางของหลี่เจี่ยซินจากกล้องวงจรปิดนั้นแสดงให้เห็นว่าเธอเป็นคนเต็มใจไปกับกู้เมิ่งเอง อีกทั้งกู้เมิ่งยังแสดงออกกับเธออย่างสุภาพอีกด้วย หลิวไห่ยิ่งสงสัยเป็นอย่างยิ่งว่าทำไมหลี่เจี่ยซินต้องเดินทางไปกับกู้เมิ่ง หรือว่าเรื่องที่เขาคิดเอาไว้ว่าหลี่เจี่ยซินเป็นเด็กทดลองคนหนึ่งจะเป็นเรื่องจริง

หลิวไห่กรอกเสียงต่ำไปตามสาย

“ตามเธออย่าให้คลาดสายตา ฉันกำลังตามเธอไป”

หลี่เจี่ยซินถอดแว่นตาออกขณะยื่นพาสปอร์ตให้เจ้าหน้าที่ตรวจ เธอเดินผ่านเครื่องสแกนร่างกายอย่างใจเย็นก่อนจะเดินมารับกระเป๋าสะพายใบเล็กของเธอ แล้วเดินตรงมาหากู้ไห่ที่รอเธออยู่แล้ว

กู้ไห่ไม่ไว้ใจให้หลี่เจี่ยซินเดินทางกับคนอื่น เขาต้องพาหญิงสาวมาด้วยตัวเอง เมื่อขึ้นมาบนเครื่องหลี่เจี่ยซินผู้อ่อนล้าก็หลับลงอย่างรวดเร็ว เธอในตอนนี้ดูเหมือนจะเหนื่อยง่ายกว่าเดิมมาก ร่างกายของเธอกำลังส่งสัญญาณใกล้ถึงวันสิ่นสุดของเธอแล้ว

ด้านหลิวไห่เองก็จองตั๋วเครื่องกลับฮ่องกงเพื่อตามหลี่เจี่ยซินมาเช่นกัน ยิ่งนึกเขาก็ยิ่งเจ็บปวดมากที่พบว่าหลี่เจี่ยซินนั้นไม่ยอมให้เขาปกป้อง จะมีสิ่งใดที่น่าเจ็บปวดไปมากกว่านี้อีกล่ะ หากไม่ใช่เรื่องที่เขาไม่สามารถปกป้องคนที่เขารักได้

เที่ยวบินของหลิวไห่ห่างจากเที่ยวบินของหลี่เจี่ยซินราวสองชั่วโมง แต่เขาได้สั่งคนของเขาดักคนทั้งสองไว้ตั้งแต่ถึงสนามบินแล้ว หวังว่าจะแยกเธอออกมาได้ทัน

เมื่อมาถึงสนามบินฮ่องกง ด้วยคำสั่งของหลิวไห่อเล็กซ์จึงออกโรงด้วยตัวเองพาลูกน้องเกือบห้าสิบคนมาดักรอหลี่เจี่ยซินและกู้เมิ่ง ด้วยเขาคาดคะเนว่าทางกู้เมิ่งเองย่อมต้องระวังตัวเองเช่นกัน

อย่างไรเสีย อเล็กซ์ก็ต้องช่วยอาซ้อให้ได้

เมื่อคนสองฝ่ายมาพบกัน แน่นอนว่าต่างฝ่ายต่างไม่ถูกกันอยู่แล้ว หลี่เจี่ยซินและกู้เมิ่งยังไม่ออกจากสนามบินด้านนอกก็ปะทะกันจนต้องเรียกตำรวจให้วุ่นวาย อเล็กซ์เองก็ห้ามลูกน้องไม่ได้ ในเมื่อตัวเขาเองก็ถูกเล่นงานจนได้แผล

เพราะแบบนี้จึงไม่สามารถระงับอารมณ์ได้อีกต่อไป อเล็กซ์จัดการกับคนของกู้เมิ่งจนน่วมและคนของเขาก็ได้รับบาดเจ็บไปหลายคน เพื่อให้รัดกุมที่สุดคนของอเล็กซ์จึงกระตัวล้อมสนามบินเอาไว้ ในขณะที่คนของกู้เมิ่งเองก็ประกบพวกเขาตัวต่อตัว

การนำคนมาครั้งนี้จะเรียกว่าสูสีก็เป็นได้ จากการต่อสู้เล็ก ๆ ระหว่างอเล็กซ์และคนของกู้เมิ่งไม่กี่คนตอนนี้กลับกลายเป็นว่าเกิดการตะลุมบอนขยายกันไปเป็นบริเวณกว้าง มาเฟียในชุดสูทต่างควักอาวุธออกมาห้ำหั่นกันโดยไม่สนใจกฎหมายบ้านเมือง

ชาวบ้านที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวต่างวิ่งหนีตายกันจ้าละหวั่น เจ้าหน้าที่ตำรวจประจำสนามบินไม่สามารถยุติความวุ่นวายนี้ได้จึงได้เรียกกำลังเสริม ผลคือไซเรนตำรวจดังสนั่นสนามบินอันเกิดจากรถตำรวจที่ล้อมพวกเขาเอาไว้ ด้านนอกต่อสู้กันชนิดเลือดสาดตามแบบฉบับมาเฟียขนานแท้

ในขณะที่หลี่เจี่ยซินไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ถึงได้วุ่นวายขนาดนั้น

นี่เป็นครั้งแรกที่เธอมาฮ่องกงจึงตื่นตาตื่นใจไม่ใช่น้อย แต่คิดไปคิดมาหลี่เจี่ยซินก็คิดว่า อาจจะไม่ใช่ครั้งแรก เพราะเธอเป็นเด็กหลอดแก้วที่ถูกทดลองและเติบโตในฮ่องกงแห่งนี้ก่อนที่จะถูกย้ายไปจีนแผ่นดินใหญ่

อันที่จริงเรื่องนี้เธอก็อยากรู้เป็นอย่างมาก คนที่จะช่วยไขข้อข้องใจของเธอได้ก็มีเพียงประธานกู้เพียงคนเดียว ทันทีที่ก้าวออกมาหลี่เจี่ยซินกลับคาดไม่ถึงว่าตัวเองจะได้ยินเสียงแตกตื่นของผู้คน ทั้งยังมีเสียงประกาศให้ทุกคนอยู่ในความสงบดังขึ้นเป็นระยะ แต่คนจำนวนมากที่ตีกันเลือดกระจายแบบนั้นในสถาณการณ์นี้จะมีใครที่สงบใจลงบ้างล่ะ

หลี่เจี่ยซินมองออกไปด้านนอก เธอหลบคุณป้าคนหนึ่งที่เกือบจะชนเธอเพราะความตกใจเล็กน้อย และยังผลักผู้ชายคนหนึ่งออกไปจากตัวของเธอในขณะที่เขาวิ่งหนีตายมาทางนี้ สงสัยเป็นเพราะเขาใส่สูทดำเหมือนมาเฟียอีกฝั่งกระมังจึงพลอยถูกเข้าใจผิด

“ข้างนอกวุ่นวายอะไรกัน”

กู้เมิ่งยิ้มเหี้ยมเกรียม

“อย่าสนใจเลย ฮ่องกงก็เป็นแบบนี้แหละ เรารีบไปกันดีกว่า”

กว่าอเล็กซ์จะรู้ว่าอาซ้อของเขาที่เคยเห็นเพียงในรูปได้ขึ้นรถไปพร้อมกับกู้เมิ่งแล้วเขาก็ถูกฟันไปหนึ่งแผล

“ไอ้พวกเซ่อเอ๊ย รีบขับรถตามไปกู้เมิ่งมันพาอาซ้อไปแล้ว”

ลูกน้องสองคนตาลีตาเหลือกไปที่รถ พวกเขาขึ้นรถอย่างรวดเร็วปล่อยให้คนอื่นกันตำรวจเอาไว้ ในขณะที่อเล็กซ์และคนสนิทอีกไม่กี่คนขับรถไล่ตามรถของกู้เมิ่งไปอย่างไม่ยอมแพ้

“พวกเขากำลังตามมา”

หลี่เจี่ยซินเห็นแล้ว กู้เมิ่งเองก็ไม่คิดปิดบัง

“คนของหลิวไห่ คนไม่รู้จักเหรอ”

หลี่เจี่ยซินส่ายหน้า

“ฉันไม่ได้สนิทกับเขาขนาดนั้น”

แน่นอนว่าเพื่อความปลอดภัยของหลิวไห่เธอย่อมไม่ให้กู้เมิ่งรู้ว่าหลิวไห่มีความสำคัญกับเธอแค่ไหน

“แต่ผมกลับคิดว่าคุณยิ่งกว่าสนิทกับเขาอีก ไม่งั้นไม่กล้าอ้างตัวเองว่าเป็นคู่หมั้นของเขาหรอก”

“ฉันก็แค่พูดไปเรื่อย อะไรที่จะดึงความสนใจจากคุณได้ฉันก็พูดได้ทั้งนั้น”

อเล็กซ์จับมือเล็กนุ่นนิ่มของหลี่เจี่ยซินไปจับเอาไว้

“ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับคุณ ไม่ต้องเอาหลิวไห่มาอ้างก็เรียกความสนใจจากผมได้ทั้งนั้น”

หลี่เจี่ยซินยิ้มเย็น เธอระงับจิตใจตนเองจนแทบบ้าเพื่อไม่ให้เผลอไปหักมือของกู้เมิ่งเข้า และแน่นอนว่าหญิงสาวดึงมือออกแทบจะทันที แรงมหาศาลนั่นทำให้กู้เมิ่งปล่อยมือของเธอและแขนของเขาแทบจะหลุดออกมา

กู้เมิ่งชักสงสัยแล้ว

“ผมถามสักคำได้หรือเปล่า”

หลี่เจี่ยซินยักไหล่

“เอาสิ”

“คุณไปพบพ่อผมด้วยเรื่องอะไร”

หลี่เจี่ยซินทำหน้าลำบากใจมาก

“หากเขาบังคับคุณ ผมจะช่วยคุณเองแค่ยอมเป็นผู้หญิงของผมพ่อก็ไม่แตะคุณแล้ว”

เขายอมรับว่าถูกใจคุณจริง ๆ หลี่เจี่ยซินแทบจะหัวเราะให้ฟันร่วง กู้เมิ่งสมองหมูคนนี้นอกจากจะโง่แล้วยังมองโลกแค่เรื่องผู้หญิงหรือนางบำเรออะไรพวกนี้ เขาไม่คิดหรือสงสัยเรื่องอื่นบ้างเหรอ

คิดแล้วก็สงสารประธานกู้ที่มีลูกแบบเขาจริง ๆ

“ขอบคุณมาก แต่ฉันเลือกพ่อของคุณดีกว่า”

อย่างน้อยฉันก็ยังมีโอกาสรอด หลี่เจี่ยซินคิดต่อในใจ

กู้เมิ่งกลับมองว่าหลี่เจี่ยซินรักเงินและอิทธิพลของพ่อไปเสียแล้ว เขาหัวเสียเป็นอย่างยิ่ง

“หลี่เจี่ยซิน เธอมันหิวเงินจริง ๆ และสภาพแบบนี้ไม่คิดเหรอว่าจะถูกพ่อตะเพิดออกจากห้องโดยไม่ไยดี”

หลีเจี่ยซินทำท่าไม่สนใจคำพูดของเขา ทั้งยังท่าทางเหมือนมั่นใจตนเองเป็นอย่างมาก

“นายก็รอดูแล้วกัน ว่าจะเป็นฉันหรือนายที่ถูกไล่ตะเพิด”

ก่อนที่คนทั้งคู่จะพูดอะไรได้ต่อ รถของหลี่เจี่ยซินก็ถูกรถของอเล็กซ์ไล่ชนจากด้านหลัง กู้เมิ่งหน้าคะมำขณะที่หลี่เจี่ยซินคิดว่าคนของหลิวไห่ถูกใจเธอมาก กัดไม่ปล่อยจริง ๆ เธอจึงสั่งคนของกู้เมิ่งให้หยุดรถ

“ทำไมล่ะ”

“ฉันจะคุยกับเขาดี ๆ รับรองเขาไม่ตามมาแน่”

กู้เมิ่งหัวเราะ

“ไม่มีทาง ฆ่ามันซะ”

หลี่เจี่ยซินตกใจมาก เธอถามเขาเสียงรัวเร็ว

“คนขับของคุณรู้เส้นทางไปพบประธานกู้หรือเปล่า”

กู้เมิ่งไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถามแบบนี้แต่กระนั้นก็ยังตอบเธอไป

“รู้สิ”

“โอเค ถ้างั้นจอดรถ”

“ไม่ต้องจอด เอาปืนมาฉันจะฆ่ามันเอง”

ปืนที่ว่าคือจรวดอาร์พีจีพาดบ่า ที่หลี่เจี่ยซินเองเพิ่งเคยเห็นของจริงเป็นครั้งแรก กู้เมิ่งเล็งปืนไปที่รถของอเล็กซ์แล้ว หลี่เจี่ยซินยิ่งตกใจมากเธอตะโกนดังลั่น

“หยุดอย่ายิงเขา”

แต่กู้เมิ่งไม่สนใจ เขายกอาร์พีจีขึ้นพาดบ่าและเล็งไปที่รถคนที่ตามมา ตอนนี้หลี่เจี่ยซินจนใจแล้วเธอจึงใช้สันมือฟาดกู้เมิ่งไปอย่างแรงจนหมอนั่นสลบลงไปก่อนที่จะได้ยิงใคร

“แกทำอะไรนายไ

คนของกู้เมิ่งเล็งปืนมาที่หลี่เจี่ยซิน แต่เธอว่องไวกว่ามากแย่งปืนจากมือของบอดี้การ์ดคนนั้นมาอย่างรวดเร็วโดยที่เขาไม่ทันตั้งตัว ทั้งยังหักมือของเขาจนร้องโอดโอย

“ฉันขอโทษไม่ได้ตั้งใจ แค่จะตีเบา ๆ ”

“แก นังบ้าหักมือฉัน นังบ้าสารเลวเอ๊ย”

หลี่เจี่ยซินเลือดขึ้นหน้า ในขณะที่รถขับอย่างรวดเร็วนั้นเธอก็ได้เลาะฟันของลูกน้องกู้เมิ่งออกจนหมดปาก

“คนสุดท้ายที่ด่าฉันว่าสารเลวลงหลุมไปแล้ว แต่แกยังโชคดีที่แค่ฟันร่วงและมือหัก”

ในนาที่นี้ไม่มีแม้กระทั่งเสียงร้องของคนคนนั้นที่หลุดออกมา เมื่อเห็นสายตาพิฆาตของหลี่เจี่ยซิน เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าผู้หญิงคนนี้จะเก่งกาจและโหดเหี้ยมขนาดนี้ สิ่งที่เขาคิดเองก็ไม่ต่างจากกู้เมิ่ง คือเธอคือคนที่นายใหญ่ถูกใจต้องการให้เป็นนางบำเรอเท่านั้น

“หยุดรถ”

หลี่เจี่ยซินเล็งปืนไปที่หัวของคนขับแล้วพูดเสียงเย็น คนขับรถคนนั้นเหงื่อชื่นเต็มฝ่ามือ มีปืนมาจ่อหัว เจ้านายถูกตีจนสลบและเพื่อนก็ถูกหักมือเลาะฟันจนร่วงแทบจะหมดปากเขามีหรือจะกล้าหืออีก

“ครับ”

เขาจอดรถอย่างรวดเร็ว หลี่เจี่ยซินตบไหล่เขาแล้วบอกเบา ๆ

“รออยู่ที่นี่ฉันจะคุยกับคนของหลิวไห่สักหน่อย อย่าเพิ่งไปไหนฉันต้องการพบประธานกู้เข้าใจหรือเปล่า ถ้านายตุกติกฉันไล่ถล่มรถแกแน่”

ในมือของหลี่เจี่ยซินมีอาร์พีจีของกู้เมิ่งอยู่ หากคนขับออกรถคงได้ถล่มสมใจแน่เขาจึงตอบเสียงสั่น

“ผมไม่กล้าแน่นอนครับ”

“ดี ถ้างั้นนายเอากุญแจรถให้ฉัน ฉันไม่ไว้ใจ และก็ลงจากรถและคุกเข่านอนก้มหน้าแนบพื้นจนกว่าฉันจะกลับมา”

“ครับ ได้ครับ”

คนขับทำตามด้วยร่างกายสั่นเทา หลี่เจี่ยซินยิ้มสมใจแล้วลงจากรถ หลังจากนั้นก็โบกมือให้คนของหลิวไห่แล้วตะโกนเสียงดัง

“ฉันชื่อหลี่เจี่ยซินเป็นคู่หมั้นของหลิวไห่ ฉันสบายดีพวกนายไม่ต้องเล็งปืนมาหาฉัน”

คนที่อยู่ด้านโน้มโบกผ้าเช็ดหน้าสีขาว หลี่เจี่ยซินก้าวเท้าเร็ว เธอซ่อนอาร์พีจีไว้ด้านหลังกลัวคนของหลิวไห่ตกใจ อเล็กซ์สั่งให้คนจอดรถอยู่ด้านหลังไม่ห่าง ด้วยความสงสัยว่าข้างหน้าจะทำอะไรกันแน่ หลี่เจี่ยซินเดินมาหาเขา ไม่มีกู้เมิ่งหรือบอดี้การ์ดคอยประกบ ทั้งคนขับรถจู่ ๆ ก็เปิดประตูลงไปนอนแนบพื้นในรถคันนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่

เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรจริง ๆ เขาจึงค่อย ๆ เดินไปหาเธอ

“สวัสดีครับอาซ้อ เรามารับอาซ้อครับ อาซ้อเป็นอะไรหรือเปล่าครับ”

หลี่เจี่ยซินกลับยื่นอาร์พีจีให้เขาแล้วบอกด้วยน้ำเสียงร่าเริง

“นายชื่ออะไร”

“อเล็กซ์ครับ”

“อืม อเล็กซ์บอกหลิวไห่ว่าฉันจะกลับไปอย่างปลอดภัยไม่ต้องห่วง หากเขาตามมาจะทำให้ฉันเป็นห่วงและแผนของฉันเสียเข้าใจหรือเปล่า พวกนายก็กลับบ้านนอนเถอะ อย่าตามฉันอีก”

สุดท้ายแล้วหลี่เจี่ยซินก็ไม่กล้าบอกเขา เธอกลัวว่าหลิวไห่จะรับไม่ได้ จึงได้แต่พูดให้เขาคลายใจ

“ฉันแค่กลัวการผ่าตัด กลัวว่าฉันจะไม่หายค่ะ ฉันไม่กล้าบอกคุณเรื่องที่ฉันป่วย ฉันกลัวคุณจะตกใจ”

หลิวไห่กอดเธอทั้งลูบศีรษะของเธอเบา ๆ

“ผมไม่ทิ้งคุณเราจะผ่านเรื่องนี้ไปด้วยกัน คุณจะต้องหายเชื่อผมนะยอมเข้ารับการตรวจและรับการรักษาเถอะ ผมจะอยู่ข้าง ๆ คุณเสมอ”

หลี่เจี่ยซินพยักหน้าอย่างว่าง่าย

“ฉันเชื่อคุณค่ะ ที่รักฉันเชื่อคุณ ฉันจะตรวจและจะรักษาค่ะ”

“ดีมาก ที่รักดีมากคุณต้องไม่เป็นไร”

หลิวไห่พูดคำนี้ราวกับว่าต้องการปลอบตนเองซะมากกว่า เขายอมรับว่าเกิดความหวาดกลัวลึก ๆ แต่เขาจะไม่ยอมให้ความหวาดกลัวนั้นทำให้หลี่เจี่ยซินทุกข์ใจ เขายิ้มให้กับเธอ จับมือของหญิงสาวอย่างมั่นคง

ในที่สุดคนขับรถก็พาหลี่เจี่ยซินมาถึงโรงพยาบาลใหญ่อันดับต้น ๆ ของประเทศและเชี่ยวชาญด้านการผ่าตัดเป็นอย่างมาก หลิวไห่โทรหาลุงเฉิงและเล่าเรื่องให้ลุงเฉิงฟังคร่าว ๆ

ลุงเฉิงเป็นผู้กว้างขวาง แน่นอนว่าเขายังสามารถติดต่อกับผู้อำนวยการโรงพยาบาลแห่งนี้ได้อีกด้วย หลิวไห่ได้พบกับคุณหมอผู้เชี่ยวชาญด้านสมองโดยเฉพาะ และยังมีคุณหมอเฉพาะด้านศัลยกรรมที่มีฝีมืออีกหลายคน

หลี่เจี่ยซินรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเป็นผู้ป่วยใกล้ตายขึ้นทุกที เพราะหมอพวกนี้ที่ต่างคนต่างรุมล้อมเธอ หลิวไห่กุมมือของเธอเอาไว้แทบจะตลอดเวลา ระหว่างฟังผลตรวจ

“มีเนื้องอกบริเวณนี้ครับ และตรงนี้ เนื้องอกที่ขึ้นมาที่เห็นชัดมีอยู่สองจุดและจากผลตรวจของโรงพยาบาลเดิมของคุณหลี่ที่เราขอไปดูเหมือนว่ามันจะโตอย่างรวดเร็ว ต้องเข้ารับการผ่าตัดโดยด่วน ดังนั้นผมจึงจองห้องผ่าตัดให้คุณหลี่ได้เร็วที่สุดคืออีกสามวันข้างหน้าครับ”

หลิวไห่พยักหน้า

“ขอบคุณครับ ร่างกายอย่างอื่นของหลี่เจี่ยซินเป็นยังไงบ้างครับ”

“ไม่ต้องห่วงครับ เธอพร้อมมากที่จะเข้ารับการผ่าตัด หากไม่มีเรื่องเนื้องอกนี้คุณหลี่นับเป็นคนที่แข็งแรงจนวิ่งแข่งโอลิมปิกได้เลยครับ”

ได้ยินแล้วหลิวไห่ก็สบายใจเป็นอย่างยิ่ง เขามั่นใจว่าเมื่อหลี่เจี่ยซินอยู่ในมือหมอที่ดีที่สุดเธอต้องหายแน่นอน ในขณะที่หลี่เจี่ยซินรู้ดีว่ายังไงเธอก็ไม่หายแน่นอน ทางเดียวที่จะช่วยเธอได้คือเธอต้องไปเอายาโดสนั้นจากประธานกู้

หลี่เจี่ยซินเปลี่ยนเป็นชุดในโรงพยาบาล หลิวไห่สั่งให้คนคอยเฝ้าดูเธอให้ดี บอดี้การ์ดหลายคนคอยเฝ้าอยู่หน้าห้องเพื่อดูแลความปลอดภัยให้เธอ ในตอนที่หลิวไห่ออกมาทำธุระข้างนอก หลี่เจี่ยซินก็แอบออกมาอย่างรวดเร็วแม้กระทั่งคนหลายคนที่เฝ้าอยู่ข้างนอกยังจับไม่ได้

หลี่เจี่ยซินโบกแท็กซี่ เธอตัดสินใจแล้วว่าจะทำยังไง เธอต้องกลับไปหาประธานกู้ คนเดียวที่จะพาเธอไปหาประธานกู้ได้ก็คือกู้เมิ่ง กระทั่งรถมาจอดที่หน้าบริษัท หลี่เจี่ยซินเดินตรงเข้าไปที่เคาเตอร์ประชาสัมพันธ์

เสียงหวานใสของประชาสัมพันธ์คนสวยใบหน้ายิ้มแย้ม เหมาะสมแล้วที่ได้ทำหน้าที่นี้จึงถามเธอทันที

“ไม่ทราบว่ามาติดต่อเรื่องอะไรคะ ได้นัดไว้หรือเปล่า”

หลี่เจี่ยซินพยักหน้า

“ค่ะ ฉันนัดประธานกู้เมิ่งเอาไว้ ช่วยบอกเขาว่าฉันหลี่เจี่ยซินคู่หมั้นคุณหลิวไห่มาขอพบ”

หลี่เจี่ยซินรู้ความขัดแยังของกู้เมิ่งและหลิวไห่เป็นอย่างดี ในตอนนี้เธอย่อมต้องบอกเขาว่าเธอคือคู่หมั้นของหลิวไห่ คิดว่าย่อมเรียกความสนใจจากกู้เมิ่งได้ไม่น้อย

“สักครู่นะคะ”

ประชาสัมพันธ์คนนั้นโทรขึ้นไปหน้าห้อง แต่เลขาหน้าห้องกลับปฏิเสธว่าไม่มีรายการนัดหมายกับท่านประธาน หลี่เจึ่ยซินซึ่งแม้ใบหน้าจะสวยแต่เธอแต่งกายด้วยเสื้อยืดกางเกงยีนง่่าย ๆ ผมของเธอยังค่อนข้างยุ่ง เธอใช้นิ้วสางอย่างรวดเร็วเมื่อสายตาพนักงานหญิงสองคนนั้นจ้องมาที่เส้นผมของเธอ

“พอดีรีบไปหน่อยลืมหวีผมค่ะ”

พูดไปแล้วก็อยากจะตีปากตัวเองนัก ใครเขาให้แก้ตัวแบบนี้กัน ทำไมต้องสนใจคนพวกนี้กันด้วย

“หน้าห้องบอกว่าคุณไม่มีรายชื่อคนนัดหมายค่ะ ตอนนี้ท่านติดงานให้เข้าพบไม่ได้ ต้องรบกวนคุณนัดหมายอีกครั้งนะคะ”

เป็นคำปฏิเสธที่สุภาพและมีมารยาทเป็นอย่างมาก หลี่เจี่ยซินจึงไม่โกรธคนสวยสองคนนี้ เธอเพียงแต่พูดเสียงเย็นและทุบมือไปที่โต๊ะประชาสัมพันธ์ที่ทำจากไม้งดงามขัดเคลือบเงาอย่างดีสุดแรง

แน่นอนว่าแรงของเธอไม่ใช่น้อย จึงทำให้เคาเตอร์ประชาสัมพันธ์ถึงกับร้าว ท่ามกลางความตกตะลึงของสองสาว

“ช่วยบอกเขาว่า ฉันหลี่เจี่ยซินคู่หมั้นคุณหลิวไห่มาขอพบ และประธานกู้คนพ่อต้องการพบฉัน เขาให้ฉันมาหาลูกชายเขาที่นี่ ถ้าพวกเธอไม่อยากตกงานรวมทั้งเลขาหน้าห้องก็ทำตามซะเดี๋ยวนี้”

เสียงของหลี่เจี่ยซินค่อนข้างเย็นและวางอำนาจ แต่คนสวยสองคนไม่ได้กลัวน้ำเสียงของเธอสักเท่าไหร่ สิ่งที่พวกเขากลัวก็คือแรงของเธอที่แค่เพียงทุบเบา ๆ ก็ทำให้เคาเตอร์ร้าวต่างหาก

ประชาสัมพันธ์สองคนต่อสายถึงหน้าห้องกู้เมิ่งอีกครั้ง คราวนี้เธออ้อนวอนให้หน้าห้องแจ้งข่าวการมาของหลี่เจี่ยซินให้กู้เมิ่งทราบ เลขาคนนั้นได้ยินคำขู่ถึงแม้ว่าจะไม่เชื่อเท่าไหร่ แต่เธอก็ต้องป้องกันความผิดพลาดเอาไว้ก่อนจึงนำเรื่องไปรายงานกู้เมิ่ง

กู็เมิ่งที่กำลังฟังลูกน้องพูดถึงผลประกอบการบริษัท และยังมีเรื่องอื่น ๆ กำลังยกมือป้องปากหาวด้วยความเบื่อหน่าย ความจริงประชุมไร้สาระนี่ไม่ต้องถึงมือเขา คนที่จ้างมามีหน้าที่ทำบริษัทให้กำไรก็ทำไปสิ เขาแค่เซ็นอนุมัติก็พอ ไม่จำเป็นให้เขาลำบากมาที่นี่เลยสักนิด

ในตอนแรกเลขาทำท่าคล้ายไม่อยากเข้าไปรบกวน แต่เมื่อเห็นท่าทางเบื่อหน่ายของกู้เมิ่งแล้วเธอจึงเข้าไปรายงาน ด้วยรู้ว่าตอนนี้ประธานกู้กำลังหาทางออกจากห้องประชุมเป็นแน่

“ท่านประธานคะ คุณหลี่เจี่ยซินคู่หมั้นของคุณหลิวไห่มาขอพบท่านประธานค่ะ”

กู้เมิ่งคล้ายจะตื่นเต้นเล็กน้อย

“คุณว่าใครมาหาผมนะ”

“คุณหลี่เจี่ยซินคู่หมั้นคุณหลิวไห่ค่ะ”

เพียงได้ยินชื่อของสองคนนี้กู้เมิ่งถึงกับยืนขึ้น พลอยทำให้คนที่นั่งประชุมรวมกันเกือบยี่สิบคนลุกขึ้นตามไปด้วย

“นั่งลง พวกคุณไม่ต้องรอผมประชุมต่อได้ มีอะไรก็ส่งมาให้เลขาแล้วกันผมมีเรื่องสำคัญต้องไปจัดการ”

กู้เมิ่งสาวเท้ายาวออกจากห้องประชุมไปแล้ว พ่อของเขาพูดไว้ไม่มีผิด ว่าหลี่เจี่ยซินต้องมาหาเขาแน่ ๆ

และเธอก็มาปรากฎตัวจริง ๆ

ที่ทำให้เขาประหลาดใจคือ หลี่เจี่ยซินยังบอกว่าเธอเป็นคู่หมั้นของหลิวไห่ไม่ใช่เฉินเฟยอวี๋ แสดงว่าเธอต้องรู้สถานะของพวกเขาแล้ว

หลี่เจี่ยซินที่ยืนรอด้วยรอยยิ้มน่ากลัวหน้าเคาเตอร์ประชาสัมพันธ์ในตอนนี้ ได้รับการต้อนรับอย่างดีเป็นอย่างยิ่ง เมื่อกู้เมิ่งสั่งให้พวกเขาพาเธอเข้ามาพบอย่างเร่งด่วน

ทั้งเลขาของเขาและประชาสัมพันธ์ทั้งสองต่างแอบตกใจเมื่อพวกเธอเกือบจะไล่คนสำคัญออกไปเสียแล้ว

ถ้าทำแบบนั้นจริง คิดว่าพวกเธอคงถูกไล่ออกไปแน่

รปภ. นำทางหลี่เจี่ยซินไปถึงชั้นสิบเก้าอันเป็นห้องทำงานของกู้เมิ่ง หญิงสาวเดินตาม รปภ.ไปช้า ๆ กระทั่งมีคนมารับเธออยู่หน้าลิฟต์ รปภ.โค้งกายให้เธออย่างนอบน้อมแล้วกดลิฟต์ลงไปยังชั้นล่าง

“เชิญคุณหลี่ด้านนี้ค่ะ ท่านประธานรอคุณอยู่ค่ะ ท่านบอกว่าดีใจมากที่คุณยอมมาพบ”

แน่นอนว่าคำพูดพวกนี้กู้เมิ่งย่อมสั่งสอนเลขาของตัวเองเอาไว้อย่างดี หลี่เจี่ยซินยิ้มบาง ๆ ให้กับผู้หญิงคนนั้น ก่อนที่เธอจะก้าวขาตามไปจู่ ๆ เธอก็เกิดอาการวิงเวียนและปวดหัวอย่างรุนแรง

หลี่เจี่ยซินเป็นคนที่อดทนต่อความเจ็บปวดอย่างล้ำเลิศเธอเพียงแต่ถามเลขาคนนั้นเบา ๆ โดยไม่ได้แสดงถึงความผิดปกติอะไรออกไป

“ไม่ทราบว่าห้องน้ำอยู่ทางไหนคะ ฉันขอตัวทำธุระสักครู่ก่อนเข้าไปพบประธานกู้”

“ด้านนั้นเลยค่ะ ดิฉันจะรอด้านนอกนะคะ”

หลี่เจี่ยซินกล่าวขอบคุณแล้วเดินเข้าห้องน้ำ เมื่อเธอล็อกประตูหลี่เจี่ยซินก็นั่งลงกับพื้นกุมศีรษะของตนเองเอาไว้ด้วยความเจ็บปวด สายตาของเธอพร่าเลือนมองไม่เห็นสิ่งใด เธอพยายามหายใจเอาไว้

เธอจะมาตายที่นี่อย่างน่าอับอายไม่ได้ หลี่เจี่ยซิน

หญิงสาวตีตนเอง เธอคว้ามีดที่พกติดตัวมากรีดเข้าที่แขนตัวเองช้า ๆ กดมีดลึกลงไปให้มีสติ เมื่อรู้สึกคล้ายสติจะดับมืดไปแล้วความเจ็บปวดที่ข้อมือค่อย ๆ เพิ่มมากขึ้น ในขณะที่ศีรษะของเธอไม่ปวดแล้ว หลี่เจี่ยซินเริ่มมองเห็นชัดเจนขึ้น จวบจนรู้สึกดีจึงสูดหายใจเข้าลึกและยืนขึ้น

เธอจัดการกับบาดแผลของตัวเองอย่างรวดเร็ว ในกระเป๋าของเธอไม่มีผ้าพันแผลหรืออะไรเธอจึงยิ้มแล้วอีกไปทั้ง ๆ ที่ข้อมือโชกเลือดแบบนั้น

“ตายแล้ว เกิดอะไรขึ้นคะ”

หลี่เจี่ยซินห้ามเลือดของตัวเองแล้ว เพียงแค่เธอสัมผัสข้อมือก็สามารถรู้ได้ว่าเส้นเลือดของเธออยู่ที่ไหน ต้องกรีดมีดตรงไหนถึงจะไม่เป็นอันตราย และจะห้ามเลือดอย่างไร

หลี่เจี่ยซินต้องขอบคุณสมองอัจฉริยะของตัวเองที่ทำให้เธออ่านตำราแพทย์ทั้งสิบเล่มหนาเตอะนั้นเพียงรอบเดียวก็สามารถจดจำได้หมด

ทั้งหมดนั้นที่เธอทุ่มเทก็เพื่อหาทางรักษาตัวเอง แต่ต่อให้อ่านตำราแพทย์มากแค่ไหน โรคที่เธอเป็นก็ไม่เคยเกิดขึ้นในโรงพยาบาลมาก่อนจึงไม่มีบันทึกเอาไว้ เลขาคนนั้นรีบพาเธอไปหากู้เมิ่ง

“ท่านประธานคะ เกิดอุบัติเหตุเล็กน้อยฉันจะเรียกแผนกแพทย์บริษัทให้มาดูคุณหลี่นะคะ”

กู้เมิ่งเห็นข้อมือเล็กของหลี่เจี่ยซินมีแผลเขาเองก็รู้สึกตกใจ เขารู้แค่ว่าพ่อของเขาต้องการตัวเธอ ใจหนึ่งก็คิดว่าหรือหลี่เจี่ยซินจะถูกสเปคพ่อของเขาเข้า จึงอยากได้เป็นเมียน้อย ความจริงพ่อของเขามีเล็กมีน้อยมาเยอะ แต่ไม่เคยจริงจังกับใคร มีเพียงแม่ของเขาเท่านั้น หรือพ่อของเขามีวัตถุประสงค์อื่นจึงต้องการตัวเธอคนนี้กันแน่

แต่ไม่ว่ายังไง เขาก็อยากได้หลี่เจี่ยซินเช่นกัน ยิ่งเป็นผู้หญิงของหลิวไห่เขายิ่งต้องการ

หลี่เจี่ยซินถูกเชิญให้ไปนั่งที่โซฟา กู้เมิ่งไม่ถามเธอว่าเกิดอะไรขึ้น คนของเขาบอกว่ารถของหลี่เจี่ยซินถูกระเบิด กู้เมิ่งไม่ได้สั่งให้ฆ่าเธอแบบนั้น จึงกำลังสืบหาว่าเป็นใคร เขาเองก็คิดไม่ถึงว่าจะเป็นฝีมือของประธานกู้เช่นกัน

“คุณบาดเจ็บจากอุบัติเหตุเหรอ”

หลี่เจี่ยซินพยักหน้า หมอเข้ามาอย่างรวดเร็ว พวกเขาทำแผลและพันแผลให้หลี่เจี่ยซิน กู้เมิ่งย่อมยังไม่พูดเรื่องที่คนนอกรู้ไม่ได้ เขาจึงปิดปากเงียบรอจนคนพวกนี้ทำแผลให้หลี่เจี่ยซินเสร็จแล้วจึงอ้าปากถาม

“ธุระของคุณคือ?”

“ฉันต้องการพบประธานกู้ค่ะ คุณพาฉันไปพบเขาหน่อย”

แรงระเบิดนั้นค่อนข้างแรง กระทั่งพลอยทำให้รถของหลิวไห่ได้รับความเสียหาย เขาหักหลบไปด้านข้างโดยไม่รู้ตัวและชนเข้ากับกำแพงอย่างจัง ถุงลมนิรภัยพุ่งออกมาจากพวงมาลัยของคนขับกระแทกร่างของหลิวไห่อย่างแรง ความรู้สึกในตอนนี้คือจุกแต่เขารู้ว่าตัวเองไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรในใจคิดถึงเพียงแต่ความปลอดภัยของหลี่เจี่ยซินเท่านั้น

หลิวไห่รู้สึกเหมือนว่าศีรษะของตัวเองจะหมุนไปรอบคอ เขามองอะไรไม่ชัดเจนจนกระทั่งถูกใครบางคนลากร่างของเขาออกจากรถอย่างรวดเร็ว

“ไม่ต้องห่วงผม แฟนผม หลี่เจี่ยซินเธออยู่ตรงนั้นรถที่มันระเบิด ไม่ต้องห่วงผมไปดูแฟนของผม”

หลิวไห่ผลักคนคนนั้นออก แต่แล้วเสียงคุ้นหูก็ดังขึ้น

“ที่รักฉันไม่เป็นอะไร ฉันสบายดีฉันกระโดดออกจากรถได้ทัน”

ความรู้สึกของหลี่เจี่ยซินว่องไวนัก เธอรู้ถึงสิ่งที่ผิดปกติโดยสัญชาติญาณบางอย่างจึงตัดสินใจกระโดดออกจากรถอย่างรวดเร็ว หลิวไห่มองหน้าของเธอสองมือของเขาจับแก้มของเธอแล้วดึงหลี่เจี่ยซินเข้ามากอด

“ที่รัก เธอปลอดภัย ขอบคุณพระเจ้าขอบคุณพระเจ้า”

เขากอดหลี่เจี่ยซินแน่น ความรู้สึกอึดอัดที่มีในหัวใจพลันโล่งขึ้น หลี่เจี่ยซินรับรู้ว่ามีบางอย่างกำลังหยดลงที่ไหล่ของเธอ ในตอนแรกเธอคิดว่าสิ่งนั้นอาจจะเป็นเลือดแต่เมื่อเธอผละออกจากอกของหลิวไห่ด้วยความตกใจกลับพบว่าตอนนี้หลิวไห่มีน้ำคลอดวงตา

เขากำลังร้องไห้เพราะคิดว่าเธอตาย และเขากำลังร้องไห้เพราะรู้ว่าเธอรอดแล้ว

หลิวไห่กอดเธออีกครั้ง คราวนี้หลี่เจี่ยซินเองก็กอดเขาแน่น เธอร้องไห้ออกมาด้วยความรู้สึกหลากหลาย และที่ชัดเจนคือ ผู้ชายคนนี้ดีกับเธอมาก เธอเสียใจที่มีเวลาอยู่กับเขาน้อยไป และเสียใจที่ทำให้เขาเจ็บปวด

สิ่งที่หลี่เจี่ยซินทนไม่ได้ก็คือเห็นเขาเจ็บปวด เธอจะทำยังไงดี

ทันใดนั้นหลี่เจี่ยซินก็คิดได้ ยานั้นที่เป็นยาสลายพลังของเธอ แม้จะเสี่ยงว่าเธอจะพิการหลี่เจี่ยซินก็ต้องลองดู ยังไงเธอก็ต้องตายอยู่แล้วเธอก็จะเสี่ยงสักครั้ง หากเธอใช้ยานั่นและทำให้เธอพิการจริงอย่างมากหลี่เจี่ยซินก็พร้อมที่จะจบชีวิตของตัวเองเสีย

เธอตบหลังหลิวไห่เป็นการปลอบใจเขา แล้วโอ๋เขาเหมือนเด็ก ๆ

“ที่รักฉันไม่เป็นไร ฉันปลอดภัยและจะอยู่กับที่รักไปอีกหลายปี”

คำพูดของเธอคล้ายกับคำมั่นสัญญา การตัดสินใจเกิดขึ้นอีกครั้ง การตัดสินใจครั้งแรกคิดจะหนีเขาไปอย่างเงียบเชียบโดยทำให้เขาเข้าใจผิด แต่การตัดสินใจในครั้งนี้คือการไปเอายาสลายพลังแล้วอยู่กับเขาในฐานะคนธรรมดาคนหนึ่ง

คนของหลิวไห่ล้อมพวกเขาเอาไว้เพื่อดูแลความปลอดภัย ตำรวจมาที่สถานที่เกิดเหตุอย่างรวดเร็วพร้อมกับรถพยาบาล คนทั้งคู่ขึ้นรถฉุกเฉินไปด้วยกันหลิวไห่ยังกอดหลี่เจี่ยซินเอาไว้แบบนั้น เมื่อสักครู่เขาแทบสิ้นสติและแทบจะตายไปพร้อมกับเธอ การเห็นระเบิดเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาแบบนี้ทำให้เขารู้อย่างลึกซึ้งว่าตัวเองนั้นรักหลี่เจี่ยซินเพียงใด

ในตอนนี้นอกจากเฉินเฟยอวี๋แล้วชีวิตของเขาก็มีหลี่เจี่ยซินอีกคนที่เขาพร้อมจะสละชีวิตเพื่อเธอ

“ที่รักเธอต้องตรวจร่างกายอย่างละเอียดนะ”

หลิวไห่บอกกับเธอก่อนที่เขาจะแยกไปตรวจร่างกายในแผนกผู้ป่วยชาย หลังจากสองคนตรวจร่างกายเรียบร้อย หลี่เจี่ยซินในตอนนี้ก็อยู่ในห้องกับคุณหมอประจำของเธอ

“คุณต้องเข้าผ่าตัดให้เร็วที่สุด ผมไม่คิดว่าเนื้องอกจะโตเร็วขนาดนี้ หากชักช้าคนอาจจะ..”

คุณหมอถอนหายใจ เป็นครั้งแรกที่เขาไม่รู้จะเกลี้ยกล่อมคนไข้ยังไงให้เข้าการผ่าตัด ถึงมันจะเสี่ยงแค่ไหนก็ยังมีโอกาสรักษา แต่หากเธอไม่ผ่าตัดเลยทางเดียวของเธอก็คือความตาย แต่หลี่เจี่ยซินคนนี้กลับยิ้มยอมรับความตายอย่างกล้าหาญ

“ฉันไม่ผ่าตัดค่ะคุณหมอ ฉันไม่มีวันหายจากเนื้องอกนี้แม้ว่าจะผ่าตัดแล้วก็ตาม”

หลี่เจี่ยซินย่อมรู้ดีว่าตัวเองนั้นไม่สามารถหลีกเลี่ยงมันได้ อายุของเธอคือยี่สิบห้าปีเต็มและเธอจะตายในวันเกิดของเธอ วิธีเดียวที่เธอพอจะมีทางรอดก็คือต้องได้ยาสลายพลังของเธอเท่านั้น

ซึ่งคนที่มียานี้มีเพียงคนเดียว ประธานกู้

หลี่เจี่ยซินยิ้มอ่อนหวานให้คุณหมอ ในขณะที่หมอคนนั้นถึงกับอึ้งไป หากคนไข้ไม่ยินยอมเขาก็ไม่สามารถช่วยเธอได้ สองคนพูดคุยกันอยู่ในห้องแต่กลับไม่รู้ว่าตอนนี้มีใครบางคนที่กำลังใจสลายแอบฟังอยู่ข้างนอก

หลี่เจี่ยซินพูดคุยกับหมออีกไม่กี่คำ เธอก็ออกจากห้องตรวจ พบหลิวไห่รออยู่ด้านนอก เธอโผเข้าไปหาเขาแล้วกอดเอวเขาแน่น

“เป็นยังไงบ้างคะ”

หลิวไห่กอดเธอตอบ หลี่เจี่ยซินในตอนนี้ผอมบางมากกว่าเดิม ผมของเธอมัดเป็นหางม้าง่าย ๆ เสื้อผ้าของเธอเปื้อนดินเปื้อนเขม่าแม้จะดูมอมแมมไปบ้างแต่ก็สวยซึ้งน่ามองเช่นเดิม

“ไม่มีอะไรน่าห่วง อวัยวะภายในยังสมบูรณ์แล้วคุณล่ะ”

ปลายเสียงของหลิวไห่กลับขาดหวิวและสั่นเล็กน้อย หลี่เจี่ยซินไม่สังเกตเห็นเธอส่ายหน้า

“ไม่เป็นไรค่ะ สบายดีที่รักก็รู้ว่าฉันแข็งแรงมากแค่ไหน”

หลิวไห่โอบเธอแล้วพาออกจากโรงพยาบาล เขารับโทรศัพท์ของเฉินเฟยอวี๋ที่โทรมาด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล

“ไม่ต้องห่วง พี่และหลี่เจี่ยซินสบายดีนายสบายใจได้”

เขาวางโทรศัพท์ไปแล้ว ใบหน้าของเขายังซีดเซียว หลี่เจี่ยซินจับหน้าผากของเขา

“ที่รักไม่สบายหรือเปล่า ไปให้หมอตรวจอีกรอบดีหรือเปล่า”

หลิวไห่ส่ายหน้า

“ไม่เป็นไร ว่าแต่ว่าเธอไม่มีอะไรที่จะบอกฉันจริง ๆ เหรอ”

หลี่เจี่ยซินเม้มปากเธอคิดว่าหลิวไห่หมายถึงเรื่องระหว่างเธอและหูเสี่ยวเทียน เธอหลอกเขาแบบนั้นเขาย่อมไม่สบายใจ

“ไม่มีอะไรนะ ฉันไปซื้อกาแฟจริง ๆ แค่บังเอิญพบหูเสี่ยวเทียนเลยคุยกับเขา”

หลิวไห่ยิ้ม

“เรื่องนั้นไม่สำคัญแล้ว”

รถมาจอดด้านหน้า เขากุมมือเธอเอาไว้แล้วบอกคนขับรถว่า

“ไปโรงพยาบาลเหลยเซิน”

หลี่เจี่ยซินมองหน้าเขา

“ที่รักจะไปเยี่ยมใครคะ”

“พาคุณไปรักษา อย่าปิดผมอีกเลยผมได้ยินหมดแล้ว”

หลี่เจี่ยซินปากสั่นระริก เขาได้ยินอะไร และได้ยินแค่ไหน

“ที่รักหมายความว่ายังไง”

หลิวไห่ดึงเธอมากอด

“ไม่สบายขนาดนั้นแล้วทำไมไม่ยอมบอก คิดจะเฉือนหัวใจผมทีละช้าจนผมตายหรือยังไง”

หลี่เจี่ยซินสะท้อนใจ กลั้นก้อนสะอื้นในลำคอ

“ที่รักได้ยินอะไรมา”

หลิวไห่ไม่กล้าแม้แต่จะพูด หลี่เจี่ยซินสัมผัสได้ว่าในตอนนี้ตัวเขาสั่นเทิ้มจนเธอต้องตบหลังเขา

“ฉันไม่ได้แย่ขนาดนั้น”

“ใช่ คุณไม่ได้แย่ขนาดนั้น คุณต้องหาย”

หลี่เจี่ยซินคิดหนัก เธอจะบอกเรื่องนี้กับเขาดีหรือเปล่าในเมื่อเขาได้ยินหมดแล้ว เขารู้แล้วแต่ยังมีความลับของเธอที่เขายังไม่รู้

“หลี่เจี่ยซิน คุณไม่ต้องห่วงยังไงผมก็ไม่ปล่อยให้คุณเป็นอะไร คุณต้องหาย คุณคือชีวิตของผม ผู้หญิงของผมตั้งแต่วันแรกที่คุณลากผมเข้าโรงแรม”

หลี่เจี่ยซินมองเขาอย่างลึกซึ้ง และในตอนนี้เธอก็ตัดสินใจบางอย่าง

“ที่รัก ฉันมีอะไรจะบอกคุณ”

หัวใจของหลิวไห่ในตอนนี้แทบจะขาดแล้ว เธอยังมีความลับอะไรอีก

“ผมพร้อมจะฟังคุณ ไม่ว่าเป็นอะไรเราจะเผชิญไปด้วยกัน หลี่เจี่ยซินจำไว้ว่าผมรักคุณ เลิกปิดบังผมเถอะถ้าคุณรักผม”

เพราะเขาพูดแบบนี้ทำให้เธอถึงกลับหลั่งน้ำตาออกมา หลี่เจี่ยซินพูดทั้งสะอื้น

“ที่รัก ฉันไม่ใช่ฉัน ฉันเป็นตัวโคลนและฉันจะตายเมื่ออายุครบยี่สิบห้าปีเต็ม ที่ฉันหายไปฉันได้รู้ความลับนี้ ถึงจะผ่าตัดเอาเนื้องอกนี้ออกก็จะมีก้อนใหม่ขึ้นมาแทนอย่างรวดเร็วยังไงฉันก็ต้องตายอยู่ดี”

หลิวไห่แทบจะลืมหายใจแล้ว มือของเขาเย็นเฉียบหัวใจแทบจะหยุดเต้น เหงื่อเย็นไหลออกมาท่วมแผ่นหลัง

“เกิดอะไรขึ้น”

หลี่เจี่ยซินร้องไห้จนตัวโยน เธอไม่เคยรู้สึกอ่อนแอแบบนี้มาก่อนในชีวิต ในตอนที่เขาไม่รู้เธอยังพอทำใจได้ แต่ในตอนนี้เธอกลับตัดใจไม่ได้ เห็นเขาที่เจ็บปวดแบบนี้หลี่เจี่ยซินยิ่งรู้สึกเจ็บปวดยิ่งกว่า

หลิวไห่ปล่อยให้หลี่เจี่ยซินร้องไห้จนคลายสะอื้น เขาลูบหลังของเธอปลอบเธอในอ้อมกอดอบอุ่น จูบหลังมือทั้งหน้าผากของเธอทั้งยังซับน้ำตาให้เธอครั้งแล้วครั้งเล่า ท่ามกลางเสียงสะอื้นและความเงียบงันคนสองคนกำลังจมดิ่งลึกลงไปในความเจ็บปวดจนใจแทบสลาย

หลี่เจี่ยซินมองภาพชายหนุ่มที่นอนหมดสภาพอยู่บนเตียงแล้วยิ้มน้อย ๆ ทั้งหมดย่อมเป็นความผิดของเธอ เธอไม่ยอมให้เขาหลับและไม่ยอมให้เขากินตลอดทั้งวัน หลิวไห่ต้องทิ้งงานทิ้งการเพื่ออยู่กับเธอ เธอใช้นิ้วไล้ใบหน้าหล่อเหลาของเขาอย่างหลงใหล ผู้ชายคนนี้ทำให้เธอเข้าใจผิดว่าคือเฉินเฟยอวี๋ได้อย่างแนบเนียน ความจริงเขาก็ไม่ต้องแสดงอะไรเลยด้วยซ้ำ แค่รูปร่างหน้าตาที่เหมือนกันเกือบจะเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์นี้ก็ทำให้คนเข้าใจผิดแล้ว

ไม่ต้องพูดถึงเธอเลย ต่อให้เป็นตำรวจก็ยังดูไม่รู้ว่าพวกเขาคือคนละคนกัน หลี่เจี่ยซินเพิ่งเคยเห็นแฝดเหมือนที่เหมือนกันกระทั่งเสียงพูดขนาดนี้ หญิงสาวถอนหายใจหวนคิดไปถึงการร่วมรักกันอย่างเอาเป็นเอาตายระหว่างพวกเขาทั้งสองคนในค่ำคืนที่ผ่านมาแล้วมาความสุข

แม้หลิวไห่จะอ้อนวอนให้เธอนอนพัก แต่เธอกลับไม่ยอม หลิวไห่เองก็ไฟแรงสูง แค่เธอสะกิดเขาเบา ๆ งูยักษ์ของเขาก็ผงกหัวแล้ว คล้ายเป็นพวกกินยังไงก็ไม่อิ่ม ซึ่งตรงกับความต้องการอันล้ำลึกของเธออยู่พอดี

ถึงเขาจะอ้อนวอนเธอหลายครั้ง หลี่เจี่ยซินก็เอาแต่ปฏิเสธ และหลิวไห่ก็ตอบสนองอารมณ์ของเธอได้อย่างดีเยี่ยม เธอหัวเราะเบา ๆ เมื่อคิดถึงคำพูดของเขาที่พูดซ้ำ ๆ ออกมาหลายต่อหลายครั้ง

“เสี่ยวเจี่ยเราจะกินข้าวกันได้หรือยัง”

เขาถามในขณะที่เธอควบขี่เขาอยู่ในตอนเช้าของวันนี้ หลี่เจี่ยซินยิ้มซุกซน

“ขอฉันเสร็จก่อนนะที่รัก เราเสร็จแล้วฉันจะให้คุณกินข้าว”

และเมื่อเธอเสร็จเธอก็ขอเขาต่ออีกรอบ ก่อนจะปล่อยเขาไปกินข้าวแต่โดยดี แน่นอนว่าหลิวไห่กินข้าวยังไม่ทันอิ่ม หลี่เจี่ยซินกลัวว่าเขาจะจุกจึงไม่ยอมให้กินต่อ เธอบังคับเขาโดยการอุ้มมาที่เตียงและลงมือข่มเหงเขาอย่างรวดเร็ว

หลิวไห่หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก มีเพียงเสียงครางอย่างจำนนที่หลุดออกมาจากปากของเขา

และต่อมาเขาก็อ้อนวอนเธออีก

“ที่รักขอผมนอนสักงีบได้หรือเปล่า ผมเพลียจริง ๆ พลังของคุณมหาศาลมาก”

หลี่เจี่ยซินจูบเขาแล้วตอบเบา ๆ ทั้งส่ายหน้าจนเส้นผมหนานุ่มกระจาย

“ขอฉันเสร็จอีกรอบก่อนนะคะที่รัก ฉันสัญญาว่าจะให้คุณนอน”

หลิวไห่ย่นคิ้ว อย่างเอือมระอา

“คุณพูดแบบนี้มาตั้งแต่เมื่อคืนจนตอนนี้จะบ่ายสองแล้วนะ”

หลี่เจี่ยซินใช้นิ้วเขี่ยหัวนมเล็ก ๆ ของเขายังแลบลิ้นออกมาเลียเบา ๆ

“ก็เมื่อกี้ฉันว่าจะหยุดแล้ว แต่ตอนอาบน้ำคุณเซ็กซี่มากนี่คะ ทำให้ฉันอดใจไม่ไหว”

หลิวไห่ทนไม่ไหวเขาถึงกับครางออกมา หลี่เจี่ยซินถือโอกาสนี้ต่อว่าเขา

“ผมอาบน้ำเป็นความผิดของผมได้ยังไง”

หลีเจี่ยซินก้มหน้าก้มตาจัดการร่างกายของหลิวไห่ราวกับมันคืออาหารอันแสนอร่อย

“ไม่ใช่ความผิดคุณ แต่เป็นความผิดของฉันเองที่อดใจไม่ไหว”

หลิวไห่ยอมแพ้แล้ว ตอนนี้ปากก็ครางไม่หยุด

“ที่รัก อื้อ คุณชอบเลียนมผมจังเลย มันเสียวมากรู้หรือเปล่า”

หลี่เจี่ยซินเอื้อมมือไปจับงูยักษ์ของเขาเอาไว้แล้วแล้วรูดเบา ๆ จนมันแข็งล้นมือ งูของเขาตัวใหญ่จริง ๆ แต่เพราะแบบนี้ทำให้เธอชอบเป็นอย่างมาก

“ที่รักพอเถอะ อย่ารูดแบบนั้นผมเสียว”

หลิวไห่จับมือของเธอเอาไว้ แล้วห้ามเบา ๆ แต่การห้ามของเขาคือการเด้งกายเข้าหามือของเธอแล้วแบบนี้จะให้หลี่เจี่ยซินหยุดได้ยังไงกัน

“เห็นหรือเปล่าว่าคุณเองก็คึกคักแบบนี้ งูของคุณผงกหัวตลอดเวลาเลยเพราะแบบนี้ฉันเลยหยุดไม่ได้”

“ก็บอกแล้วว่าไม่ใช่ความผิดผม คุณเล้าโลมเก่งชะมัด”

“แน่นอน ฉันเก่งเรื่องแบบนี้กับคุณที่สุด”

หลี่เจี่ยซินพูดทั้งแยกขาของตัวเองออกแล้วควบเขาเป็นม้าออกรบออกครั้ง หลิวไห่ผู้ที่ถูกรีดน้ำจนแทบจะหมดตัวอยู่แล้วแต่กลับคึกคักราวกับได้ยาชูกำลังชั้นเลิศ ที่กินปุ๊บ งูยักษ์ก็เด้งขึ้นมาพร้อมพ่นพิษทันที

หลิวไห่ถูกหลี่เจี่ยซินทรมานจนผ่านมาอีกหนึ่งชั่วโมงเธอจึงยอมให้เขานอนพักได้

“นอนเถอะ ฉันไม่กวนคุณแล้ว”

หลิวไห่ลูบผมของเธอ

“คุณไม่นอนเหรอ”

หลี่เจี่ยซินส่ายหน้า

“ฉันนอนมากพอแล้ว คุณก็รู้คุณนอนเถอะฉันจะนอนกอดคุณจนกว่าคุณจะหลับ”

หลิวไห่พยักหน้า เขาคว้าตัวของหลี่เจี่ยซินมากอด ร่างของหลี่เจี่ยซินทั้งเล็กและบอบบางยังมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ จากแชมพูที่เธอสระเมื่อช่วงสายลอยมา หลิวไห่ในตอนนี้รู้สึกดีเป็นอย่างมาก

หลี่เจี่ยซินเขี่ยขนตายาวงอนเหมือนปัดมาสคาร่าของเขาเล่นเบา ๆ สัมผัสอ่อนละมุนของเธอคล้ายเป็นตัวขับกล่อมไม่นานหลิวไห่ก็หลับไป

หลี่เจี่ยซินคิดว่าหลิวไห่คงไม่สงสัยว่าทำไมเธอจึงถึงคึกได้ขนาดนี้ เขาไม่รู้ว่าเธอกำลังจะตาย และเธอเองก็ไม่ต้องการให้เขารู้ ได้แต่เพียงต้องการเก็บเกี่ยวความสุขเอาไว้ให้นานที่สุดและมากที่สุดเท่าที่เธอจะตักตวงได้ วันเกิดของเธอใกล้เข้ามาแล้ว อายุยี่สิบห้าปีคือวันถูกประหารชีวิตของเธอ ในตอนนี้คนที่เธออยากปกป้องนอกจากคุณยาย ญาติที่มีไม่กี่คนยังมีโรงเรียนสอนต่อสู้ เธอต้องจัดการเรื่องพวกนี้ให้เรียบร้อย

เมื่อจัดการเสร็จ อย่างน้อยเธอก็ตายตาหลับแล้ว และหากเธอตายในอ้อมกอดของหลิวไห่ล่ะ จะเป็นยังไงกันนะ และเธอเองก็ไม่คิดที่จะบอกเรื่องนี้กับหลิวไห่เป็นอันขาด หลังจากนั้นเธอคิดว่าจะทิ้งเขาและคงต้องให้ใครบางคนมาร่วมแสดงกับเธอ

ถึงมันจะดูน้ำเน่าไปหน่อย เธอเองก็จำเป็นต้องทำ และผู้ชายเพียงคนเดียวที่เธอคิดถึงก็คือเพื่อนรักในวัยเด็กที่เธอพอจะกล้าเอ่ยปากบอกกับเขาตรง ๆ

หูเสี่ยวเทียน

หลี่เจี่ยซินมองหลิวไห่ที่นอนหลับสนิทแล้วยิ้มบาง ๆ เธอจูบที่ปากของเขาทั้งยังพูดคำหนึ่งออกมา

“ขอโทษ”

กว่าหลิวไห่จะตื่นก็พบว่าหลี่เจี่ยซินไม่อยู่เสียแล้ว เขาเดินตามหาเธอรอบบ้านแต่ไม่เจอ ถามบอดี้การ์ดกลับบอกว่าเธอออกไปข้างนอกไม่ยอมให้ใครตามไปด้วย บอดี้การ์ดพวกนี้ล้วนเป็นลูกน้องของเธอ หลี่เจี่ยซินสั่งคำใดพวกเขาก็ไม่กล้าขัดคำสั่ง

หลิวไห่รู้สึกเป็นกังวลมากแต่เธอพกเครื่องติดตามตัวไปด้วยหลิวไห่จึงรู้ว่าเธออยู่ที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่ง เป็นร้านที่เธอไปเป็นประจำ หลิวไห่โทรหาหลี่เจี่ยซิน หญิงสาวรับสายแล้วพูดกับเขาเสียงเบา และยังเกร็ง ๆ คล้ายไม่สะดวกที่จะรับสาย

หลิวไห่ : เธออยู่กับใคร

หลี่เจี่ยซิน : คนเดียว

หลิวไห่ : แน่นะ

หลี่เจี่ยซิน : แน่สิ แค่ออกมาซื้อกาแฟเดี๋ยวก็กลับแล้ว ไม่ต้องห่วงแค่นี้นะกาแฟฉันได้แล้ว

และแล้วเธอก็วางสายไปอย่างรวดเร็ว

หลิวไห่กำโทรศัพท์แน่น หลี่เจี่ยซินลืมไปแล้วเหรอว่าเขามีดวงตาสวรรค์ กล้องวงจรปิดที่อยู่ถนนตรงหน้าร้านนั้นเห็นชัดเจนว่าเธอกำลังนั่งอยู่กับหูเสี่ยวเทียนชัด ๆ ทำไมต้องปิดบังเขาด้วย หรือหลี่เจี่ยซินจะคบซ้อน

แน่นอนว่าหลิวไห่ย่อมรู้ว่าหลี่เจี่ยซินมีหูเสี่ยวเทียนอยู่ในใจ ดังนั้นการที่เธอแอบไปพบเขาก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะเธอบอกเขาว่าเธอก็ชอบเขาเช่นกัน และยังชอบหูเสี่ยวเทียนมาก ๆ ด้วย

ตั้งแต่เกิดมาหลิวไห่ไม่เคยหึงใคร แต่ตอนนี้แม้เขาจะคิดหาเหตุผลสารพัดเพื่อยับยั้งตัวเองไม่ให้คิดมาก บางทีพวกเขาอาจจะนัดคุยกันเรื่องทั่วไป หรือเรื่องประสาวัยเด็กก็เป็นได้

แต่ยิ่งคิดหลิวไห่ก็ยิ่งโกรธ

เขาโกรธตัวเองที่ไม่ได้อยู่ร่วมวัยเด็กกับเธอ ที่ผ่านมาในตอนที่เขายังเป็นเฉินเฟยอวี๋ หลี่เจี่ยซินไม่เคยปิดบังอะไรจากเขา

แต่ตอนนี้เธอกลับปิดบังเรื่องนี้และออกไปพบกับหูเสี่ยวเทียนลับ ๆ ล่อ ๆ

หลิวไห่ไม่อยากเป็นคนขี้หึง แต่ตอนนี้เขาหึงเธอมาก

ตอนนี้เขาไม่รอช้าแล้ว หลิวไห่ลุกขึ้นเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วรีบบึ่งรถออกไปยังร้านกาแฟนั้นทันที เขาต้องออกไปให้เห็นกับตา แต่เมื่อไปถึงหลี่เจี่ยซินก็สวนทางกับเขาแล้ว หลิวไห่ทำอะไรไม่ได้จึงได้แต่กลับรถแล้วขับรถตามเธอช้า ๆ

หลี่เจี่ยซินเห็นแล้วว่าหลิวไห่ตามมา แต่เธอแกล้งไม่รู้เรื่อง แผนของเธอยังมีอีกในขั้นต่อไป เรื่องที่ทำให้หลิวไห่เห็นว่าเธอเป็นผู้หญิงหลายใจ สุดท้ายต้องทะเลาะกันและเลิกกันจนได้

หลี่เจี่ยซินเองก็เจ็บปวดไม่น้อย เธอรู้สึกสงสารตัวเองที่เพิ่งมีคนรักเป็นตัวตนและเธอเองก็จริงใจกับเขามากแต่สุดท้ายดันจบลงอย่างรวดเร็ว

เธอประเมินหลิวไห่ได้ เขาเป็นคนจริงใจมากคนหนึ่ง และเธอเชื่อว่าเขารักเธอจริง ๆ หากเลิกกันเขาอาจจะเจ็บปวดไม่นาน แต่หากเธอตายเขาจะเสียใจไปตลอดชีวิต หลี่เจี่ยซินไม่อยากให้เป็นแบบนั้น

หญิงสาวกำลังจะเลี้ยวเข้าบ้าน แต่แล้วกลับเกิดบางสิ่งเกิดขึ้น

ตู้ม

เสียงดังนั้นแน่นอนว่าต้องเป็นเสียงระเบิด รถของหลี่เจี่ยซินพังยับ ส่วนรถคันอื่นที่จอดอยู่ใกล้ที่หลี่เจี่ยซินขับผ่านเกิดเสียหาย เสียงสัญญาณเตือนภัยของรถดังขึ้นพร้อมกันหลายคันพร้อมทั้งกลิ่นควันไฟจาง ๆ

หลิวไหเบรกรถกระทันหันจนหน้าทิ่ม เมื่อเขาเงยหน้ามองก็เห็นสภาพรถของหลี่เจี่ยซินไฟลุกจนท่วม เขาตกใจแทบสิ้นสติ

หลีเจี่ยซิน หลี่เจี่ยซิน เธอเป็นอะไรหรือเปล่า

แน่นอนว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเธอคือเฉินเฟยอวี๋ตัวจริง ทั้งเสียงนี้ก็ใช่เขา เธอจับใบหน้าของเขาพลิกไปมา ทั้งยังตบเบา ๆ แต่แรงของเธอเองนั้นไม่น้อยทำให้เฉินเฟยอวี๋ถึงกับเจ็บ

“จะพอหรือยัง ฉันเจ็บนะ”

หลี่เจี่ยซินปากสั่น

“เมื่อกี้ฉันเจอที่รักในครัวกับผู้ชายคนนั้นกำลังจูบกัน กำลังจูบกัน”

หลี่เจี่ยซินพูดรัวเร็ว หรือเธอจะตาฝาด หรือไม่เธอก็เห็นผี หรือเป็นเพราะคิดมากจึงทำให้เห็นภาพหลอน หลี่เจี่ยซินสับสน เป็นไปไม่ได้ที่เฉินเฟยอวี๋จะวิ่งมาดักหน้าเธอทัน คนที่ทำแบบนั้นได้คงมีแค่เธอเท่านั้น

“หรือว่าฉันจะตาฝาดจริง ๆ”

หลี่เจี่ยซินกุมศีรษะในขณะที่หลิวไห่ยกมุมปากยิ้มน้อย ๆ เอาล่ะถึงเวลาที่ต้องบอกความจริงกับเธอแล้ว แต่น้องชายตัวดีของเขานี่สิทำไมถึงได้ทำเรื่องประเจิดประเจ้อแบบนี้กัน และแล้วเสียงนั้นก็ดังขึ้นอีก

“ที่รักเธอตื่นแล้วเหรอ เป็นยังไงบ้าง”

หลี่เจี่ยซินได้ยินเสียงของเขาถึงกับหันขวับไปมาก ผู้ชายคนนั้นก็คือเฉินเฟยอวี๋ ทั้งยังมีแฟนหนุ่มของเขาอยู่ที่นั่น

“นี่มันอะไรกัน”

เฉินเฟยอวี๋เดินเข้ามา จับมือทั้งสองข้างของหลี่เจี่ยซินเอาไว้ แล้วจับใบหน้าของเธอ

“ที่รักเธอไม่มีไข้ คงจะนอนหลับไปแบบที่หมอบอกจริง ๆ”

หลี่เจี่ยซินหันมามองเฉินเฟยอวี๋ที่อยู่ข้าง ๆ อีกครั้ง คราวนี้เธอสบัดมือของเฉินเฟยอวี๋หมายเลขหนึ่งออก และก้าวถอยหลังไปหลายก้าว มองพวกเขาสลับกัน สองคนนอกจากเสื้อผ้าที่ต่างกันแล้วนอกนั้นเหมือนกันทุกอย่าง กระทั้งเสียงก็ยังดูคล้ายกันจนแยกไม่ออก

“นี่ฉันไม่ได้ตาฝาดหรือฝันไปใช่หรือเปล่า”

เฉินเฟยอวี๋ทำหน้าเศร้าสำนึกผิด

“ไม่หรอก เธอสติยังดีและฉันมีเรื่องจะสารภาพ”

หลี่เจี่ยซินมองคนทั้งสองด้วยสายตาเหมือนคนแปลกหน้าและระแวดระวังเป็นอย่างยิ่ง

“ว่ามา พวกนายสองคนเกิดอะไรขึ้น”

หลิวไห่ยิ้มบาง แล้วชี้เข้าที่ตัวเอง

“ฉันขอแนะนำตัวแล้วกัน ฉันคือหลิวไห่เป็นพี่ชายฝาแฝดของเฉินเฟยอวี๋”

หลี่เจี่ยซินแทบเข่าทรุด เธอเห็นแหวนหมั้นอยู่ที่นิ้วของหลิวไห่ เธอจึงเริ่มไม่มั่นใจแล้ว

เฉินเฟยอวี๋เดินเข้ามาหาเธอช้า ๆ คราวนี้หลี่เจี่ยซินไม่ถอยหนีแล้ว เฉินเฟยอวี๋กุมมือของเธอมานั่งที่โซฟา คนทั้งหมดเดินตามมา และแฟนของเฉินเฟยอวี่เห็นว่าตัวเองไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้จึงปลีกตัวออกไป

แค่มีเฉินเฟยอวี๋คนเดียวเขาก็สู้ไม่ได้แล้ว ยังมีหลิวไห่อีกคน แม้ว่าเขาจะชอบหลี่เจี่ยซินแค่ไหนในตอนนี้ก็เกินเอื้อมแล้ว เขาจึงบอกเฉินเฟยอวี๋

“ผมไปรอที่ห้องนะ พวกคุณคุยกันเถอะ”

“จ้ะ เดี๋ยวฉันตามไปนะ”

เฉินเฟยอวี๋มองตามเขาตาเยิ้ม หลี่เจี่ยซินในตอนนี้แยกแยะคนสองคนได้อย่างเด็ดขาด

อันที่จริงเธอก็สามารถแยกแยะได้อยู่แล้ว เพียงแต่เธอคาดไม่ถึงว่าสองคนนี้จะเป็นคู่แฝด หลี่เจี่ยซินถอนหายใจมองที่หลิวไห่ พิจารณาเขาอย่างละเอียดอีกครั้งก่อนจะพูดกับเขา

“คุณคือหลิวไห่ คนที่หมั้นกับฉัน คุณสวมรอยเป็นหลี่เจี่ยซินตั้งแต่กลับจากฮ่องกง”

เขาพยักหน้า ไม่จำเป็นต้องเล่าเรื่องทั้งหมดเธอก็สามารถเดาเรื่องได้แล้ว เพียงแต่ที่ผ่านมาเธอหลอกตัวเองและไม่เคยเฉลียวใจเลย เหมือนมีบางสิ่งบางอย่างบังตาอยู่ คนสองคนนี้เหมือนกันมากจนเกินไป มากจนเธอไม่สามารถแยกแยะได้

“เธอเข้าใจหมดแล้ว มีอะไรอยากรู้อีกหรือเปล่า”

หลี่เจี่ยซินพยักหน้า

“ถึงฉันจะรู้แล้วก็ยังอยากรู้เรื่องทั้งหมด มันเกิดอะไรขึ้นแน่รวมทั้งเรื่องโครงการลับของประธานกู้มันเกี่ยวอะไรกับคุณคะ คุณหลิวไห่”

หลิวไห่ไม่ชอบให้หลี่เจี่ยซินเรียกเขาว่าคุณหลิวไห่ เขาชอบที่เธอเรียกเขาว่าที่รัก แม้ว่านั่นจะเป็นสรรพนามเอาไว้เรียกเฉินเฟยอวี๋ก็ตาม แต่เรื่องนี้เขาจะยอมถกกับเธอทีหลัง ลำพังตอนนี้ก็รู้สึกผิดกับเธอมากอยู่แล้ว

“เรื่องมันเป็นแบบนี้ เพราะเฉินเฟยอวี๋ไปฮ่องกงขอร้องผมให้มาช่วยกอบกู้บริษัทเดิมที่ผมกะแค่จะมาอยู่ไม่นาน แต่แล้วคนที่ต้องการซื้อบริษัทของเฉินเฟยอวี๋กลับเป็นศัตรูของผม”

หลังจากนั้นเขาก็เล่าทุกอย่างให้เธอฟัง เรื่องพ่อของเขา เรื่องที่ประธานกู้ทำให้เขาติดคุก ทุกเรื่องที่หลิวไห่ไม่คิดจะปิดบังเธออีกต่อไป

เดิมทีเขาตั้งใจจะกันหลี่เจี่ยซินให้ถอยห่าง แต่ในตอนนี้เหมือนเขาจะคิดว่าบางทีหลี่เจี่ยซินอาจเกี่ยวข้องกับการทดลองนั่น และตัวเขากับน้องชายก็มีอะไรแปลก ๆ พวกเขาอาจเป็นเด็กที่พ่อแม่บุญธรรมตั้งใจฝากเลี้ยงเอาไว้ที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า และเมื่อพวกเขาโตพอจึงมารับและแยกย้ายกันไปเลี้ยงดู

ทุกอย่างยังเป็นปริศนาสำหรับหลิวไห่ และเขาเองก็คิดว่าหลี่เจี่ยซินสำควรรับรู้เรื่องราวพวกนี้ด้วยเช่นกัน

หลี่เจี่ยซินเข้าใจแล้ว และเธอเองในตอนนี้ก็ไม่มีเวลาที่จะโกรธใคร ไม่มีเวลาอีกต่อไปแล้ว เธอยิ้มน้อย ๆ เฉินเฟยอวี๋มองเธออย่างสำนึกผิด จับมือของเธอเอาไว้แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย

“เธอโกรธฉันหรือเปล่า ไม่คิดจะโกหกเธอจริง ๆ นะแต่เรื่องมันเลยเถิดไปแล้วฉันก็ไม่รู้จะอธิบายยังไง”

หลี่เจี่ยซินกลับยิ้มเศร้า ๆ

“ไม่โกรธหรอก เข้าใจแล้วว่าเธอจำเป็นแค่ไหน”

เฉินเฟยอวี๋ดีใจเป็นอย่างยิ่ง

“ขอบใจมากที่รัก รู้หรือเปล่าว่าฉันกลุ้มใจแค่ไหน ไม่กล้าบอกความจริงเพราะกลัวว่าถ้าเธอรู้จะโกรธฉัน”

“เลิกกลุ้มได้แล้วเดี๋ยวไม่สวย ฉันไม่เป็นอะไรเลยจริง ๆ”

หลี่เจี่ยซินหันไปถามหลิวไห่คำหนึ่ง

“ว่าแต่ว่าหลิวไห่ ที่ผ่านมาคุณชอบฉันหรือเปล่า ฉันสารภาพเลยว่าฉันชอบคุณจริง ๆ”

หลิวไห่ยิ้ม เขาสบสายตาของเธอทั้งยังส่งความรักที่มีไปให้เธออย่างล้นปรี่

“ชอบสิ ผมชอบคุณมากเลยล่ะ”

หลี่เจี่ยซินยิ้มกว้าง เธอดีใจเป็นอย่างยิ่งและแล้วแววตาของเธอกลับกระตือรือร้นขึ้นมา

“ที่รักเธอจูบฉันหน่อย”

เฉินเฟยอวี๋ถึงกับมึนงงเมื่อจู่ ๆ หลี่เจี่ยซินก็ขอให้เขาจูบเธอ แต่คิดไปคิดมาเธอในตอนนี้อาจต้องการกำลังใจ เฉินเฟยอวี๋จึงจูบเข้าไปที่แก้มของหลี่เจี่ยซินเบา ๆ แต่หญิงสาวคนนี้กลับจับใบหน้าของเฉินเฟยอวี๋แน่น และบดขยี้จูบเข้าไปที่ริมฝีปากของเขา

หลิวไห่ตกใจจนแทบขาดสติ เขาเกือบจะกระชากหลี่เจี่ยซินออกมาแล้วเมื่อหญิงสาวจู่โจมเฉินเฟยอวี๋แบบนี้ แต่เขายังไม่ทันลงมือหลี่เจี่ยซินก็ผลักเฉินเฟยอวี๋ออกเสียก่อน

“ที่รักเธอทำอะไร เธอจูบฉันทำไม่มันน่าขยะแขยง”

เฉินเฟยอวี๋น้ำตาเต็มสองเบ้า ในขณะที่หลี่เจี่ยซินหัวเราะจนปวดท้อง

“เธอคิดจะลงโทษฉันเหรอ ถ้าคิดจะลงโทษฉันทำไมไม่ทำวิธีอื่น วิธีนี้มันเกินไปนะ”

เฉินเฟยอวี๋ยังโวยวายไม่หยุด หลี่เจี่ยซินไม่สนใจเขาแล้วกลับจ้องหลิวไห่ดวงตาเป็นประกาย และแล้วโดยที่หลิวไห่ไม่ทันคาดคิดหลี่เจี่ยซินก็โผเข้าสู่อ้อมกอดของเขา หลิวไห่อ้าแขนรับเธอโดยอัตโนมัติ ริมฝีปากของหลี่เจี่ยซินประทับลงที่ริมฝีปากกระด้างของเขาแล้วจูบเขาอย่างเร่าร้อน

เฉินเฟยอวี๋ร้อง หึ ออกมา เมื่อคนทั้งคู่ต่างนัวเนียกันไม่สนใจเขาอีกต่อไป

“ฉันไม่สนพวกเธอแล้ว ไปหาที่รักของฉันดีกว่า จะทำอะไรก็อย่าให้ประเจิดประเจ้อมาก”

เฉินเฟยอวี๋มองหลิวไห่อย่างกินเลือดกินเนื้อ เห็นพวกเขาเป็นแบบนี้ก็ย่อมรู้แล้วว่าเขากับหลี่เจี่ยซินมีความสัมพันที่พิเศษกันขนาดไหน แต่เฉินเฟยอวี๋กลับโล่งใจ ตั้งแต่กลับจากฮ่องกงหลายครั้งที่หลี่เจี่ยซินมองเขาแปลก ๆ และเขาเองก็ไม่สามารถตอบรับความรู้สึกนั้นได้

หลี่เจี่ยซินจูบหลิวไห่เนิ่นนาน จนกระทั่งเธอปล่อยปากของเขาแล้วพูดเบา ๆ ด้วยความดีใจ

“ฉันดีใจจริง ๆ ที่คุณไม่ใช่เฉินเฟยอวี๋ เมื่อกี้จูบเขาไปได้รู้จริง ๆ ว่ายังไงเขาก็ไม่ใช่คุณ”

“ทำไมล่ะ ต่างกันเหรอ”

หลี่เจี่ยซินพยักหน้า

“ต่างกันมากความจริงแล้วฉันกับเขาไม่เคยจูบกันมาก่อน มันดูแปลก ๆ และไม่ใช่ กลิ่นของคุณเป็นแบบชายแท้และหอมมาก”

หลิวไห่หัวเราะ ใช้หลังมือปัดจมูกของเธออย่างรักใคร่

“ชอบจูบของผมเหรอ”

หลี่เจี่ยซินพยักหน้าแรง ๆ

“ชอบมาก ชอบงูของคุณด้วย เข้าห้องกันเถอะฉันอดใจไม่ไหวแล้วคิดถึงคุณมากเลยรู้หรือเปล่า ฉันเสียใจมากที่คุณไม่รับรักฉัน”

หลิวไห่หัวเราะชอบใจ เสียงของเขาแหบพร่าลงเล็กน้อย

“คนที่ไม่รับรักคือเฉินเฟยอวี๋ หลิวไห่คนนี้จะไม่รับรักหลี่เจี่ยซินได้ยังไง แหวนหมั้นยังไม่เคยถอดเลย”

เขาอวดแหวนหมั้นต่อหน้าเธอ ทั้งยังจูบเบา ๆ ที่แหวนนั้น หลี่เจี่ยซินจูบที่แก้มของเขา

“น่ารักจังเลย ที่รักของฉัน”

หลิวไห่ขอร้องเธอจริงจัง

“ต่อไปห้ามเรียกเฉินเฟยอวี๋ว่าที่รักอีก ให้เรียกผมคนเดียวเท่านั้น”

หลี่เจี่ยซินพยักหน้า

“ยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่รักของฉัน”

หลี่เจี่ยซินคล้ายจะมีน้ำตาคลอหน่อยในนั้น เธอเพิ่งค้นพบแท้ ๆ ว่าหลิวไห่มีตัวตนจริง ไม่ใช่ผู้ชายที่อยู่ในร่างของเฉินเฟยอวี๋ เธอก็ต้องตายเสียแล้ว หลี่เจี่ยซินอยากจะร้องไห้นัก เธอจะทำยังไงดี ความสุขที่มาพร้อมกับความทุกข์อันยิ่งใหญ่นี้ เธอจะแก้ไขยังไงดี

หลิวไห่เห็นหญิงสาวเงียบไปทั้งคิ้วยังขมวดเป็นปม เขาจึงอุ้มเธอขึ้นแล้วพูดเบา ๆ

“ที่รักของผมคิดอะไรอยู่ อย่าเก็บเอาไว้คนเดียวทุกอย่างผมจะช่วยคุณและปกป้องคุณเอง ขอเพียงบอกผม”

หลี่เจี่ยซินซบหน้าลงบนอกของเขา เธอพูดงึมงำด้วยความตื้นตันใจ

“ฉันรักคุณมาก และไม่อยากจากคุณไป ฉันจะทำยังไงดี”

หลิวไห่วางเธอลงบนเตียงแล้วถามเธอเบา ๆ

“ที่รักคุณหายไปไหนมา รู้หรือเปล่าว่าผมเป็นห่วงคุณแทบไม่ได้กินได้นอน หาตัวคุณยังไงก็ไม่พบ”

หลี่เจี่ยซินส่ายหน้า

“ฉันเองก็ไม่รู้ แต่เมื่อฟื้นขึ้นมาก็ถูกคนของประธานกู้จับตัวไปแล้ว ยังมีเรื่องดีเอ็นเออีก ฉันจะเล่าให้ที่รักฟังทีหลังได้หรือเปล่า ตอนนี้จูบฉันหน่อยสิ ฉันอยากได้จูบและกอดของที่รัก”

หลิวไห่ถอดเสื้อของตัวเองออกแล้ว โดยมีหลี่เจี่ยซินช่วยเหลือ สองร่างโอบกอดกันอยางรักใคร่ เขาจูบเธออย่างลึกซึ้งพูดเบา ๆ

“ต้องบอกผมให้หมดนะ ผมจะทำให้คุณมีความสุขเอง”

“อ๊า ที่รักแรง ๆ เลย อื้อ ฉันชอบจังเลย”

หลี่เจี่ยซินครวญครางภายใต้อ้อมกอดของหลิวไห่ ในตอนนี้เธอรู้แล้วว่าที่แท้จริงงูของหลิวไห่ตื่นอยู่เสมอเมื่อเธอสัมผัส ที่ผ่านมาเป็นเธอที่เข้าใจผิดไปเองว่าเขาไร้สมรรถภาพ และใจก็พลอยสงสัยว่าแล้วเฉินเฟยอวี๋เล่าหายหรือยัง หรือแฟนใหม่ของเขาจะทำให้เขาซู่ซ่าและหายจากอาการเซ็กเสื่อมโดยไม่ต้องพึ่งยาแล้ว

หลิวไห่ขยับสะโพกซอยแล้วอัดร่างกายเข้าหาหลี่เจี่ยซินอย่างบ้าคลั่ง เพราะเขาคิดถึงเธอมาก อยากกอดเธอแทบคลั่งในตอนที่เธอหายไป ตอนนี้เขาจึงปลดปล่อยอารมณ์นั้นที่ร่างกายของเธอ

หลีเจี่ยซินกดไหล่ของหลิวไห่ลงมา แอ่นหน้าอกใส่ปากของเขา

“ที่รักเลียนมให้หน่อย ซี๊ด อื้อ อยากได้ปากของที่รักจัง”

หลี่เจี่ยซินเปิดเผยความรู้สึก ไม่ว่าเธอต้องการสิ่งใดเธอก็จะบอกเขาตามตรง หลี่เจี่ยซินไม่ใช่ผู้หญิงประเภทเขินอาย เธอทั้งเร่าร้อนและอ่อนหวานในบางครั้งก็รุนแรงจนทำให้เขาบ้าคลั่งตามไปด้วย

หลิวไห่อ้าปากกว้าง ดูดรวบหัวนมของหลี่เจี่ยซินเข้าปาก เขาดูดอย่างแรงแล้วปล่อยก่อนที่จะดูดรวบอีกครั้ง

“อื้อ ที่รัก นมเด้งสู้ปากมากเลย คนดีของผม นมคุณอร่อยมาก”

หลี่เจี่ยซินดันศีรษะของเขาเข้าใกล้มากยิ่งขึ้น หลิวไห่กินไปครางไปเมื่อสะโพกยังซอยไม่หยุด

“ที่รักดูดนมเก่งจังเลย อื้อ ข้างนี้ด้วย เสียวมากเลยค่ะ”

หลี่เจี่ยซินชมเขา พลอยทำให้คนที่ได้รับคำชมแทบจะลอยอยู่แล้ว เขาปรนเปรอเธอด้วยปลายลิ้นร้อนฉ่า ตวัดเลียรอบหัวนมสีชมพูที่ถูกดูดเลียจนกลายเป็นสีแดงไปแล้วอย่างโหยหิว ก่อนจะย้ายมาอีกข้างแล้วตวัดเลียป้านหัวนมไปรอบ ๆ ทั้งยังดูดดันเล่นเบา ๆ

“ที่รักข้างนี้ก็สู้ลิ้น ดูสิหัวนมของคุณแข็งมากเลย เสียวมากใช่หรือเปล่าคนดี”

หลี่เจี่ยซินอ้าปากคราง ซี๊ด ด้วยความเสียว เธอชอบที่ตัวตนของเธออยู่ในปากของเขา เธอชอบที่หลิวไห่เลียนมของเธอ เธอชอบทุกสิ่งที่หลิวไห่ทำ เธอชอบเขามากจนจะคลั่งตายอยู่แล้ว

“เสียวมาก อื้อ กระแทกแรกกว่านี้สิคะ ฉันใกล้จะเสร็จแล้ว”

หลิวไห่ทำตามที่เธอขอ สะโพกของเขาขยับเร็วขึ้นทั้งปากยังคาบดูดเลียเนินนมของหลี่เจี่ยซินไม่หยุด

“ที่รักถ้าเสร็จแล้วผมขอหลาย ๆ รอบได้หรือเปล่า”

หลี่เจี่ยซินใบหน้าแดงระเรื่อ ดวงตาหวานเยิ้มทั้งดึงใบหน้าของเขาขึ้นมาชิดใบหน้าของเธอ เธอจูบเขาแล้วปล่อยก่อนจะพยักหน้า

“จะให้เอาจนกว่าที่รักจะหมดแรงเลยล่ะ ที่รักก็รู้ว่าฉันแรงเยอะ”

หลิวไห่ครางออกมา เมื่อเห็นใบหน้างามยั่วยวนของหลี่เจี่ยซิน หญิงสาวคนนี้เป็นประเภทไฟแรงสูง เมื่อเขาสัมผัสปุ๊บร่างกายของเธอก็ตอบสนองทันที และเขามั่นใจว่าหลี่เจี่ยซินเป็นแบบนี้กับเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น

คนทั้งคู่จูบดูดดื่มทั้งแลกลิ้นกันอย่างกระหาย สองลิ้นพันกันแทบจะแยกไม่ออก เขาตวัดเลียจนพอใจก่อนจะลากลิ้นเลียมาที่ปลายคางของเธอ และสำรวจลงมาที่ลำคอดูดคอของหลี่เจี่ยซินจนเห็นเป็นรอยเขียวจ้ำ

“อ๊า ซี๊ด ที่รัก ดูดตรงไหนก็เสียวไปหมดเลยค่ะ”

หลี่เจี่ยซินบิดกาย เมื่อการกระแทกของหลิวไห่ทำให้เธอกำลังเสร็จสมและก้าวขึ้นสู่ประตูสวรรค์ หลิวไห่เร่งเครื่องอย่างแรงจวบจนกระทั่งร่างกายของหลี่เจี่ยซินกระตุกและหญิงสาวกรีดร้องออกมา

หลี่เจี่ยซินหอบหายใจเล็กน้อย น้ำหวานของเธอไหลเลอะออกมา หลี่เจี่ยซินเสร็จแล้วและกำลังถูกหลิวไห่กระตุ้นด้วยการดูดเนื้อนมและร่างกายของเธออีกครั้ง หลี่เจี่ยซินถูกจับให้หันหลัง หญิงสาวคลานอยู่ในท่าสุนัข ถูกหลิวไห่กระทุ้งร่องสวาทอย่างเมามันจนเกิดเสียงเนื้อกระแทกเนื้อดังสนั่น

ในยามนี้หลี่เจี่ยซินได้ยินเสียงครางของเฉินเฟยอวี๋ เธอถึงกับตกตะลึง หลี่เจี่ยซินคิดว่าตัวเองเสียงดังแล้วแต่เฉินเฟยอวี๋กลับชนะได้ยังไง

เธอเป็นประเภทไม่ยอมแพ้ใครอยู่แล้ว เมื่อหลิวไห่กระทุ้งท่อนยาวเข้ามาในร่างของเธอ หลี่เจี่ยซินจึงไม่ยับยั้งเสียงอีกต่อไปแล้ว คราวนี้เธอครางดังขึ้นอีก เปล่งเสียงตะเบ็งโดยไม่กดข่มเอาไว้เช่นเดิม

ใช่ เธอต้องชนะเฉินเฟยอวี๋

หลิวไห่นึกประหลาดใจ เมื่อจู่ ๆ เสียงของหลี่เจี่ยซินก็ดังขึ้น แต่เขาชอบมาก เสียงครางของหญิงสาวกระตุ้นให้เขาเร่าร้อน เขาโน้มกายลงมาแล้วกอบกุมเต้านมที่ห้อยลงตามแรงโน้มถ่วงเอาไว้

หลี่เจี่ยซินชอบที่เขาดูดนมเธอ หญิงสาวพลิกตัวหงายครึ่งหนึ่ง แล้วยันพื้นเอาไว้ด้วยมือเดียว อีกมือเอื้อมกดศีรษะของหลิวไห่ให้ก้มลงมา

“ที่รักดูดนมฉันค่ะ”

หลิวไห่อ้าปากรวบหัวนมเอาไว้ทันที ท่านี้ทำให้หลี่เจี่ยซินเสียวเป็นอย่างยิ่ง และหลิวไห่อีกก็เช่นกัน เขาถูกร่องสวาทหวานเยิ้มของเธอบีบรัดอย่างรุนแรง สะโพกที่ซอยกระแทกกระทั้นของเขาทำให้หลี่เจี่ยซินครางไม่หยุด

“อ๊า ที่รัก ซี๊ด เสียวค่ะ กระแทกอีก อ๊าแบบนั้น อื้อ ปากของคุณ ดูดนมเก่งจังเลย อ๊า เลียแบบนั้นฉันชอบมาก เลียรอบ ๆ หัวนมอีกสิคะ เสียวที่สุดเลย”

ทุกคำพรรณาของหลี่เจี่ยซินทำเอาหลิวไห่ในตอนนี้น้ำแทบจะแตก

“ไม่ไหวแล้ว ผมแตกแล้ว”

หลิวไห่ปล่อยนมของเธอ กระแทกหลี่เจี่ยซินเข้ามาอย่างแรงอีกสองสามครั้งก็ปลดปล่อยน้ำของเขาออกมา

“อ๊า ที่รักผมเสร็จแล้ว”

หลี่เจี่ยซินปล่อยให้เขาปล่อยน้ำเข้าสู่ร่างกายของเธอ หลิวไห่กระซิบข้างหูเธอด้วยน้ำเสียงที่หวานฉ่ำ

“เอาอีก ผมอยากอีกแล้ว”

“อื้อ เอาสิคะ”

หลี่เจี่ยซินนอนหงาย

“ยัดท่อนยักษ์ของคุณเข้าปากฉันสิคะ ฉันจะดูดให้”

หลิวไห่ไม่รอช้า ลิ้นและปากของหลี่เจี่ยซินสุดยอดแค่ไหนเขาย่อมรู้ดี เขายัดท่อนเอ็นของตัวเองเข้าปากเธอขณะเดียวกันก็กลับหัวทำท่า 69 เพื่อบำเรอกลีบหวานของเธอด้วยลิ้นร้อนฉ่าของเขาเช่นกัน

เมื่อหลี่เจี่ยซินครอบครองเขา หญิงสาวก็เริ่มไล้ลิ้นเลียตั้งแต่ปลายหัวหยักลงมาถึงโคน แล้วลากขึ้นไปที่ปลายหัวหยักอีก ขาของเธออ้าออกกว้างให้หลิวไห่ลงลิ้นได้อย่างไม่เกะกะ อย่างหนุ่มตวัดลิ้นเลียตุ่มไตสีหวานของเธอ ลิ้นของเขาชำนาญเป็นอย่างยิ่ง เมื่อเขาลงลิ้นละเลงกลีบดอกทีละข้าง กระทั่งแหย่ลิ้นเข้าไปในรูสวาทหลี่เจี่ยซินก็ดิ้นเร่าเด้งกายเข้าหาเขาไม่หยุด

“อ๊า เสียวสุด ๆ ไปเลยค่ะที่รัก อื้อ ชอบจังเลย”

เธอชมเขาทั้งดูดเลียดุ้นของเขาจนหลิวไห่เองก็ครางในลำคอเช่นกัน ปลายหัวหยักของหลิวไห่มีน้ำไหลซึมออกมาบ่งบอกว่าเขาเองก็เสียวมากแค่ไหน หลี่เจี่ยซินอมรูดหัวหยักด้วยปากของเธอ ในขณะที่หลิวไห่เองก็แยงลิ้นของเขาเองเข้าไปในรูสวาท

“อื้อ เสียวจังเลยค่ะ ซี๊ด”

หลี่เจี่ยวซินครางไม่หยุดหลิวไห่เองก็เปล่งเสียงแหบโหยเมื่อถูกลิ้นนุ่มนิ่มหลี่เจี่ยซินเลียจนทั่วลำ เขาดูดตอดกลีบและช่อเกสรที่เบ่งบานอย่างเต็มที่ ตรงนั้นมันแข็งรับลิ้นของเขายิ่งกระตุ้นเร้าให้หลี่เจี่ยซินดูดท่อนยักษ์ของหลิวไห่แรงขึ้นอีก

“อ๊า ที่รักผมจะแตกอีกแล้ว”

หลี่เจี่ยซินเองก็ทนไม่ไหว เมื่อหลิวไห่จ้วงลิ้นลงมาอย่างแรง ละเลงเลียเธอจนน้ำเปียกฉ่ำ

“อ๊า คุณก็ทำให้ฉันเสียวมากค่ะ”

หลิวไห่ดูดร่องของเธออย่างแรงแล้วลากลิ้นเลียลงมาที่โคนขา ก่อนจะตวัดปลายลิ้นกลับไปที่ช่องทางรักของหลี่เจี่ยซินอีกครั้ง คราวนี้เขาใช้นิ้วมือสอดเข้าไปในช่องทางสีหวานฉ่ำ ทั้งใช้ลิ้นเลียให้เธอ

เขางอนิ้วเล็กน้อยเริ่มใช้นิ้วปั่นอารมณ์รักของหลี่เจี่ยซินให้พุ่งทยานสูงขึ้น หลี่เจี่ยซินแทบจะคลั่งทั้ง ๆ ที่มีของอยู่เต็มปากกลับครางไม่หยุด

“อ๊า เสียว ซี๊ด ที่รักขาไม่ไหวแล้ว อ๊า”

หลี่เจี่ยซินเกร็งร่างและแล้วน้ำหวานของเธอก็พุ่งออกมาอีกรอบ หลี่เจี่ยซินมีความสุขมาก ยังปรนเปรอหลิวไห่ด้วยปากของตัวเองไม่หยุด

ก่อนที่หลิวไห่จะเสร็จเขาถอนท่อนเอ็นยักษ์ออกมาแล้วยัดเข้าไปในโพรงสวาทของหลี่เจี่ยซินอีกครั้ง คราวนี้เขานอนหงายปล่อยให้หลี่เจี่ยซินควบขี่เขา ย้อนคิดไปถึงวันแรกที่พบเธอและถูกเธอขืนใจและทิ้งเงินเอาไว้ จึงทำให้เขาอดหัวเราะไม่ได้

วันนั้นเธอก็เป็นฝ่ายควบขี่เขาแบบนี้เช่นกัน

หลี่เจี่ยซินโยกกายรุนแรงขึ้นมือหนึ่งบีบนมของตัวเองยั่วเขา หลิวไห่อ้าปากแลบลิ้นออกมารอ เป็นสัญญาณว่าให้เธอป้อนนมให้เขาหน่อย แต่หลี่เจี่ยซินส่ายหน้า ยกมืออีกข้างมาบีบนมของตัวเองยั่วเขา

นมของหลี่เจี่ยซินสวยมาก มันใหญ่ล้นทั้งยังกลมสวย หัวนมของเธอก็แสนจะเซ็กซี่หลิวไห่แค่ได้สัมผัสวันแรกหลังจากนั้นเขาก็ฝันถึงนมของเธอมาตลอด ร่างกายของหลี่เจี่ยซินเองก็ไร้ที่ติ สิ่งทีสมควรใหญ่ก็ใหญ่เป็นอย่างยิ่ง เอวของเธอคอดเล็กสะโพกผาย หุ่นดียิ่งกว่าพวกนางแบบเสียอีก

หลิวไห่ตะโกนออกไป

“ที่รักได้โปรดให้ผมได้กินนมของคุณเถอะ ผมทนไม่ไหวแล้วครับ”

หลี่เจี่ยซินฟื้นขึ้นมาแล้วเธอพบว่าตัวเองนอนอยู่ที่ห้อง ๆ หนึ่งที่สะอาดตาเป็นอย่างยิ่ง และกลิ่นหอมที่อบอวลแตะเข้าจมูกก็ทำให้ผ่อนคลายและสดชื่นเป็นอย่างมาก คล้ายกลับว่าเธอกำลังอยู่ในสปาสุดหรู และเธอก็แน่ใจว่านี่คงเป็นหนึ่งในสถานที่กบดานของเฉินเฟยอวี๋เป็นแน่

หลี่เจี่ยซินย้อนกลับไปคิดถึงความทรงจำของตัวเองก่อนที่เธอจะนอนหลับไปก็ยิ่งมั่นใจ ในตอนนั้นเมื่อเห็นหน้าเขาพุ่งเข้ามาหาเธอ หลี่เจี่ยซินก็โผเข้าหาอ้อมกอดของเขาและเธอก็ไม่สามารถทนความง่วงได้อีกต่อไปแล้ว

เพียงแค่ซบใบหน้าเข้ากับอกอุ่น ๆ นั่นก็ทำให้เธอหลับเป็นตายและหลับลึกเสียด้วย เธอมองไปรอบ ๆ ห้อง ไม่มีเฟอร์นิเจอร์อะไรในห้องนี้มากมายนักนอกจากเตียงของเธอและแจกันดอกไม้ที่วางเอาไว้ค่อนข้างไกลพอสมควร ด้านข้างของเธอมีเครื่องฟอกอากาศตัวหนึ่งที่ทำงานด้วยเสียงอันเงียบกริบ ทั้งยังกลิ่นอโรม่าหอมกรุ่นที่ช่วยให้ผ่อนคลายนี่อีก

หลี่เจี่ยซินซาบซึ้งใจมากไม่คิดว่าเฉินเฟยอวี๋จะใส่ใจเธอถึงขนาดนี้

เธอเจอหน้าเขาในตอนนั้น เป็นเพราะความกังวลอยู่ลึก ๆ ในใจทำให้เธอไม่ได้นอนมาหลายวัน คอยควบคุมเด็กเกเรติดยาพวกนั้นให้ผลัดกันขับรถเพื่อมาหาเฉินเฟยอวี๋ เธอไม่ได้โทรหาเขาเพราะไม่รู้จะพูดยังไงดี

หากเขาถามว่าเธอหายไปไหน หลี่เจี่ยซินก็เหมือนน้ำที่เต็มปาก เธอสามารถเล่าให้เขาฟังได้ว่าเธอถูกจับและหนีออกมาได้ตอนนี้ก็กำลังโดนตามล่า แต่การโทรศัพท์หาเขาจะทำให้เขาไม่ปลอดภัย หลี่เจี่ยซินไม่ได้อยู่ข้าง ๆ เขา จึงทำให้เธอไม่วางใจ ดังนั้นเธอจึงคิดจะกลับไปหาเขาเงียบ ๆ ไม่ให้ใครจับได้ และเธอจะคอยดูแลเขาเงียบ ๆ

แต่สุดท้ายเธอก็ถูกดวงตาสวรรค์ของเฉินเฟยอวี๋จับได้อยู่ดี เธอลืมไปได้ยังไงกันนะว่าเขายังมีดวงตาสวรรค์อยู่ และการหาตัวเธอนั้นก็ง่ายดายราวกับพลิกฝ่ามือ

เมื่อหลี่เจี่ยซินได้นอนเต็มอิ่มจึงรู้สึกสดชื่น ตอนนี้เธอไม่ได้รู้สึกปวดหัวอีกต่อไปแล้ว หลี่เจี่ยซินครุ่นคิดอย่างหนักเธอยอมรับว่าเธอหวาดกลัวความตาย แต่เมื่อรู้แล้วว่าตัวเองคล้ายจะเป็นเพียงแค่ตัวโคลนทดลองตัวหนึ่ง และการมีชึวิตของเธออาจจะทำให้โลกใบนี้ตกอยู่ในอันตรายหลี่เจี่ยซินกลับคิดว่าตัวเองขอตายไปเลยดีกว่า

ความคิดของหลี่เจี่ยซินเริ่มไล่ลำดับ สิ่งที่เธอต้องทำก่อนตายว่าเธอต้องทำอะไรบ้างเพื่อไม่ให้เป็นภาระของคนที่อยู่ข้างหลัง

อันดับแรกเธอจึงตั้งใจที่จะไปโรงพยาบาลและถามหมอให้แน่ใจว่าเธอสามารถมีชีวิตอยู่ได้อีกนานเท่าไหร่

จะเป็นปี เดือน หรือวันกันแน่ หลี่เจี่ยซินมั่นใจว่าก้อนเนื้อในสมองของตัวเธอจะเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ และนั่นทำให้เวลาของเธอเหลือน้อยลงทุกที ในเวลาที่เหลือเธอจะทำอะไรดีล่ะ

ที่ผ่านมาคนเรามักไม่เห็นค่าของเวลา แต่เมื่อรู้วันตายของตัวเองว่าอยู่ใกล้แค่ปลายจมูกกลับรู้สึกว่าที่ผ่านมาเธอใช้เวลาไปโดยเปล่าประโยชน์มากเพียงใด เธอคิดถึงเฉินเฟยอวี๋ ถึงเขาจะไม่มีใจให้เธอ และไม่มีวันมีใจได้ แต่เธอก็มีความสุขเพราะอย่างน้อยเธอก็รู้เรียนรู้ว่าการมีความรู้สึกรักใครคนหนึ่งมันมีค่ามากมายแค่ไหน

หลี่เจี่ยซินรู้สึกคล้ายน้ำตาเอ่อล้นอยู่ที่ขอบตา เธอกำลังเศร้าซึมและกลัวว่าสุดท้ายแล้วจะตายอย่างโดดเดี่ยว ญาติของเธอที่สนิทด้วยมีเพียงคุณยายคนเดียว เธอไม่ได้ห่วงคุณยายเพราะคุณยายยังมีคนอีกหลายคนนอกจากเธอคอยดูแล

แต่เธอก็คิดที่จะไปลาคุณยายก่อนลาจาก แล้วจากไปอย่างสงบ หลี่เจี่ยซินวางแผนที่จะตายไปอย่างเงียบ ๆ และตั้งใจที่จะลาออกจากเฉินเฟยอวี๋ เธอไม่ต้องการให้เขาเสียใจเธอจะบอกเขาว่าเธอจะไปต่างประเทศ เดินทางรอบโลกดีหรือเปล่า ถ้าเธอทำแบบนั้นย่อมไม่มีใครสงสัย เฉินเฟยอวี๋ก็จะมีชีวิตเป็นของเขาเอง เขาไม่ได้รักผู้หญิงถึงพวกเขาจะมีอะไรกันบ่อยครั้งแต่ไม่ใช่ความสมัครใจของเฉินเฟยอวี๋ ทุกครั้งเป็นเธอที่เริ่มต้นก่อน เขาก็แค่ทำไปตามสัญชาตญาณของผู้ชายที่ยังมีอยู่ในร่างกาย

และเมื่อหลี่เจี่ยซินไม่ปล้ำเขา หลายครั้งที่เธอแต่งตัวอ่อยเขาเฉินเฟยอวี๋กลับเฉยชาและไม่แตะต้องเธอเลยสักครั้งเดียว

นั้นเป็นสิ่งยืนยันแล้วว่า เขาไม่ได้มีความรู้สึกอย่างอื่นนอกจากความห่วงใยแบบพี่น้องที่มีให้เธอเลยแม้แต่น้อย

คิดทบทวนไปมาหลี่เจี่ยซินที่ไม่ได้กินอะไรมาหลายวันกลับหิวแล้ว เธอลุกขึ้นเดินออกมานอกห้อง คิดว่าที่นี่น่าจะมีอะไรกินในครัวบ้าง ที่กบดานของเฉินเฟยอวี๋มักจะมีตู้เย็นที่เต็มไปด้วยอาหารน่ากินเสมอ

ด้านนอกเงียบสงบเธอไม่ได้ส่งเสียง เดินสำรวจบ้านหลังใหญ่โตนี่ช้า ๆ ตอนนี้เป็นเวลาที่ดึกมากแล้วไฟจึงถูกปิดจนมืด แต่เธอเห็นแสงไฟออกมาจากด้านหนึ่ง หลี่เจี่ยซินเดินไปตามแสงไฟ และแล้วเธอก็ได้พบภาพบาดตา

เฉินเฟยอวี๋กับแฟนหนุ่มของเขากำลังจูบกันอย่างดูดดื่มร้อนแรงอยู่หน้าตู้เย็น

หลี่เจี่ยซินตกใจ ใบหน้าซีดเผือด เธอจ้องพวกเขานิ่งนานอยู่แบบนั้นเงียบ ๆ มองคนสองคนที่กำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันทั้งยังแลกจูบอย่างถึงพริกถึงขิงแล้วก็รู้สึกเจ็บแปลบในอก ถึงเธอจะรู้ความสำพันธ์ของพวกเขาเป็นอย่างดีแต่ก็ไม่เคยเห็นภาพบาดใจเต็มสองตาแบบนี้มาก่อน ความเสียใจพรั่งพรูออกมาและเธอแทบจะกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ได้

หลี่เจี่ยซินถอยออกมาอย่างช้า ๆ เสียใจเป็นอย่างยิ่ง เธอหันหลังกลับความหิวที่มีหายไปอย่างสิ้นเชิง แม้จะบอกตัวเองว่าจะไม่เสียใจแล้ว แม้จะพยายามแค่ไหนที่จะตัดเขาแต่เมื่อเห็นภาพนั้น ความเป็นจริงที่เกิดขึ้นทำให้เธอกลับรับไม่ได้ เธอก้มหน้าเดินงุด ๆ ก่อนที่จะถึงห้องแต่แล้วเธอก็ชนกับบางสิ่งบางอย่าง ไม่ใช่สิ เป็นคนคนหนึ่งต่างหาก เขาตัวสูงและรูปร่างดีเป็นอย่างยิ่ง

หลี่เจี่ยซินเงยหน้าขึ้นมองผู้ชายร่างสูงที่เธอชนเข้า ภายใต้ความมืดมิดเธอยังจำได้ชัดเจนว่าเป็นเขา เฉินเฟยอวี๋

หลี่เจี่ยซินเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ทำไมเฉินเฟยอวี๋ถึงมาอยู่ที่นี่ได้ เมื่อสักครู่เธอเห็นเขาเต็มสองตาว่าเฉินเฟยอวี๋อยู่ในห้องครัง

เธอคิดว่าตัวเองตาฝาด เพราะที่นี่มืดมากเธออาจชนใครเข้าแล้วคิดว่าเป็นเขา แต่แล้วไฟก็ถูกเปิดขึ้นด้วยระบบอัตโนมัติเมื่อเฉินเฟยอวี่ตบมือ หลี่เจี่ยซินตาค้างเป็นเฉินเฟยอวี๋จริง ๆ เขายังถามเธอด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“ตื่นนานแล้วเหรอ? หิวหรือเปล่า?”

หลี่เจี่ยซินที่ไม่ได้นอนมาหลายวันแล้วในตอนนี้กำลังหลับเป็นตาย เฉินเฟยอวี๋และหลิวไห่ต่างคิดว่าเธออาจจะหนีไปเพราะเข้าใจผิด ระยะหลังมานี่หลี่เจี่ยซินเหมือนมีเรื่องทุกข์ในใจไม่ยอมบอกใคร อาจจะเป็นเรื่องที่เธอรักเฉินเฟยอวี๋จริง ๆ แต่คิดว่าเฉินเฟยอวี๋ที่เป็นเกย์ไม่มีทางลงเอยกับตัวเองได้จึงเสียใจและคิดจะหลีกทางให้

เฉินเฟยอวี๋เองก็รู้สึกผิดที่ตัวเองทำให้หลี่เจี่ยซินเข้าใจแบบนั้น ถ้าความจริงถูกเปิดเผยออกมาและคนที่หลี่เจี่ยซินรักคือเฉินเฟยอวี๋ไม่ใช่หลิวไห่ล่ะ จะมีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงหรือเปล่านะ หรือเธอจะยิ่งเสียใจที่ถูกหลอกมาจนถึงตอนนี้

และถ้าเธอโกรธแล้วระงับอารมณ์ไม่ได้กลับพลั้งมือฆ่าทุกคนทิ้งล่ะจะทำยังไง

“นายก็คิดบ้าไปแล้ว เธอจะฆ่าพวกเราได้ยังไง”

หลิวไห่หัวเราะขันกับความคิดประสาทแดกของน้องชาย

“หลี่เจี่ยซินระยะหลังมาเหมือนเธอควบคุมตัวเองไม่ได้ และเริ่มจะใช้กำลังมากขึ้นเรื่อย ๆ พี่ไม่เห็นนี่”

หลิวไห่ส่ายหน้า

“เห็นสิ แต่อาจจะเป็นเพราะฮอร์โมนของผู้หญิงก็ได้ถึงทำให้เธอเป็นแบบนี้”

“พี่แน่ใจนะ”

“ใช่ แต่ถ้านายกลัวฉันจะเป็นคนบอกเธอเอง นายไม่ต้องอยู่ด้วยหรอก”

เฉินเฟยอวี๋ส่ายหน้า

“ไม่เอาหรอก ฉันต้องแสดงความจริงใจต่อเธอสิ”

“แล้วแต่นาย”

หลิวไห่สบายใจขึ้นมาก อย่างน้อยหลี่เจี่ยซินก็ยังกลับมาด้วยสภาพที่ครบสามสิบสองประการ เขายังต้องสอบสวนเด็กพวกนั้นต่อ

เขาเดินเข้าไปยังห้องที่ขังเด็กขี้ยาพวกนั้นเอาไว้ เพราะถูกขังและยาทั้งหลายของพวกเขาก็ถูกหลี่เจี่ยซินโยนทิ้งไประหว่างทาง จึงทำให้ตอนนี้พวกเขาเกิดอาการลงแดงเพราะขาดยา ทั้งคลุ้มคลั่งทั้งร้องโวยวายไม่หยุด

หลิวไห่ได้ยินเสียแล้ว เขาจึงคิดช่วยคนอีกสักครั้ง ขังพวกเขาต่อไปไม่เข้าไปสนใจ ถ้าจะตายก็ให้ตายในนั้นมีเพียงข้าวกับน้ำที่ให้คนเอาไปวางไว้ให้แล้วให้รีบออกมาอย่างรวดเร็ว

จากการที่ถามพวกเขาในเบื้องต้น รู้แต่ว่าหลี่เจี่ยซินโบกรถและพวกเขามีน้ำใจมาส่ง แต่ดูแล้วคนพวกนี้เห็นหลี่เจี่ยซินทีสวยและบอบบางขนาดนี้ คงถูกรูปร่างของเธอลวงตาและคิดจะทำร้ายมากกว่า จึงให้เธอขึ้นรถและสุดท้ายกลายเป็นทาสรับใช้ของหลี่เจี่ยซินเสียเอง

นอกจากนี้หลี่เจี่ยซินยังข่มขู่ใช้เงินพวกเขาเหมือนเงินตัวเอง อยากซื้ออะไรก็ซื้อ อยากกินอะไรก็กิน จนเงินของทุกคนหมดเกลี้ยงไม่เหลือแม้แต่หยวนเดียว

หลิวไห่สมเพชคนพวกนั้นเป็นอย่างมาก

จังหวะนรก สุดซวยในชีวิตที่มาเจอหญิงแกร่งอย่างหลี่เจี่ยซินเข้า

ในระหว่างทีหลิวไห่รอหลี่เจี่ยซินตื่น เขาก็โทรศัพท์ถึงลุงเฉิง

“เธอกลับมาแล้วครับ ปลอดภัยดี”

“ดูแลเธอให้ดี เหมือนว่าเธอก็เป็นที่ต้องการของประธานกู้ ลุงกำลังสืบดูว่าเพราะอะไรกันแน่”

“ขอบคุณครับ”

หลิวไห่กลับเข้าไปยังห้องทำงานของตัวเอง เขาอ่านผลรายงานของสูตรลับที่พ่อเขาเก็บเอาไว้แล้วถอนหายใจออกมา ผลการวิจัยออกมาแล้วพบว่าหนูทดลองที่ได้รับสารกระตุ้นพวกนี้แข็งแรงจนถึงขนาดสามารถัดกรงเหล็กขาดได้ แต่พวกมันกลับมีชีวิตเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้นก็ตาย

และหนูทุกตัวที่แข็งแรงจนน่าตกใจล้วนตายทุกตัว ไม่มีตัวไหนหนีรอดออกมาได้

นั้่นแสดงว่าประธานกู้กำลังทดลองเรื่องพวกนี้ในคนเหรอ แล้วที่เขาจับหญิงสาวที่เก่งด้านต่าง ๆ ไปนั้นเพราะเหตุใด หรือกำลังหาใครสังคนที่สอดคล้องกับคนที่เขาต้องการอยู่ จะใช่หลี่เจี่ยซินหรือเปล่า

ปัญหามีให้ขบคิดมาก หลิวไห่เองก็กังวลใจมาก ด้วยความคิดว่าจะไม่ลากหลี่เจี่ยซินเข้ามาเกี่ยวข้องแต่สุดท้ายกลายเป็นว่าเธอเป็นตัวชนวนเสียเอง เขาจะทำยังไงดี ในเมื่อความทรงจำของหลี่เจี่ยซินเองก็ยังไม่กลับมา

สูตรยาลับที่เขาได้มาตอนนี้อยู่ในมือของลุงเฉิง ซึ่งลุงเฉิงเองก็ยังไม่ตัดสินใจว่าจะทำยังไงกับสูตรนั้นดี มีอีเมลส่งมาถึงเขาพร้อมข้อความที่เข้ามาถึงพร้อมกัน เป็นดวงตาสวรรค์ที่ส่งข้อความเข้ามา

“เรื่องนี้อาจจะเกี่ยวข้องกัน”

หลิวไห่รีบเปิดดูอีเมล พบว่าเป็นข่าวเกี่ยวกับคาร์บอมในหลายพื้นที่ ทำให้คนตายเป็นจำนวนมาก ทั้งในสถานทูต ในทำเนียบรัฐบาลของหลายประเทศ รวมทั้งในทำเนียบรัฐบาลในอเมริกา

และที่น่าประหลาดใจคือ ทุกคนที่ติดระเบิดคาร์บอมนั้นล้วนเป็นเด็กหญิงอายุไม่เกินห้าขวบ และข่าวนี้ก็เกิดขึ้นพร้อมกันทั่วโลกในวันเด็กที่สถานที่สำคัญถูกเปิดให้เด็กเข้าไปดู หลิวไห่ตกใจเป็นอย่างยิ่ง เรื่องนี้ข่าวหลายสำนักวิเคราะห์ว่าเด็กพวกนี้เป็นเด็กที่กลุ่มก่อการร้ายส่งเข้ามา หรือเป็นเหยื่อที่ถูกซุกระเบิดเอาไว้โดยไม่รู้ตัว

แต่หลิวไห่กลับไม่คิดแบบนั้น

หรือว่าเด็กกลุ่มนี้ จะเป็นเด็กที่มีใครบางคนสร้างขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่พวกนี้และส่งขายให้กลุ่มก่อการร้ายหรือคนที่ต้องการไปทั่วโลกกันแน่

เขาปริ้นข้อมูลพวกนี้ออกมาดูอย่างละเอียด เรื่องที่ปะติดปะต่อไม่ได้มานานเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง

ประธานกู้อาจไม่ได้ร่ำรวยมาจากธุรกิจที่ใสสะอาดที่แท้จริง แต่เขาร่ำรวยมาจากชีวิตมนุษย์โดยมีพ่อบุญธรรมของเขารู้เห็น และยังเป็นผู้ริเริ่ม กระทั่งพ่อของเขาขอถอนตัวและแอบนำสูตรยานี้ออกมา เมื่อประธานกู้รู้เรื่องจึงได้ให้คนตามหาและฆ่าพ่อของเขาในที่สุด

ในตอนนี้ประธานกู้ยังไม่รู้เรื่องนี้ หลิวไห่ต่อสายถึงลุงเฉิงอีกครั้ง

“ผมมีเรื่องที่คิดว่า เข้าใจได้ถูกต้องมาเล่าให้ลุงฟังครับ”

หลิวไห่เริ่มต้นเล่าเรื่องที่เขาปะติดปะต่อได้ ลุงเฉิงตั้งใจฟังเป็นอย่างมาก

“คิดไม่ถึงว่าประธานกู้จะเลวขนาดนี้ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ และทำให้เรื่องการผลิตยาเสพติดเป็นเรื่องเล็กไปเลย ลุงจะหารือกับหน่วยงานระดับสูงที่พอมีเส้นสายอยู่บ้าง เพื่อทำลายประธานกู้เสีย ที่แผ่นดินใหญ่หาให้เจอว่าประธานกู้มีแหล่งกบดานอยู่ที่ไหนบ้าง แล้วส่งให้หน่วยงานรัฐ”

แน่นอนว่าลุงเฉิงต้องช่วยหลิวไห่อย่างเต็มที่ การจำกัดประธานกู้ย่อมเท่ากับกำจัดศัตรูทางธุรกิจหมายเลขหนึ่งของเขา เมื่อไม่มีประธานกู้ก็ย่อมไม่มีเสี้ยนหนามอีกต่อไป

หลิวไห่วางสายแล้ว เขาเข้าไปดูหลี่เจี่ยซินอีกครั้ง คราวนี้เห็นน้องชายตัวโตของตัวเองนอนจับมือของเธออยู่ จึงปลุกเขาเบา ๆ

“ไปนอนเถอะ ดึกมากแล้วพี่จะดูแลเธอเอง”

เฉินเฟยอวี๋งัวเงียตื่น เขาพยักหน้าก่อนจะหาวหวอดทั้งบิดตัวแล้วลุกขึ้น

“พี่ก็พักผ่อนด้วยนะ อย่าหักโหมเกินไป”

หลิวไห่พยักหน้า เฉินเฟยอวี่เดินผ่านเขาไปแล้วหันหลังกลับมาคล้ายจะนึกถึงอะไรบางอย่างได้

“พี่ฉันมีของจะให้พี่ดู ฉันบังเอิญกลับบ้านแม่แล้วไปรื้อของในตู้หากุญแจเซฟ เลยเจอภาพนี้ในเซฟ”

เพราะตื่นเต้นที่เจอหลี่เจี่ยซินแล้ว เฉินเฟยอวี๋ที่ตั้งใจว่าจะนำภาพนี้มาให้พี่ชายดูจึงได้ลืมไปเสียสนิท หลิวไห่รับภาพนั้นมาดูแล้วตกใจอยู่ไม่น้อย

“ในนี้เป็นภาพพี่และฉันตอนเด็กใช่หรือเปล่า เหมือนพวกเราจะเพิ่งเกิดเลย”

แล้วเขาก็ชี้ไปที่ผู้ชายและผู้หญิงที่อุ้มพวกเขาอยู่

“นี่แม่บุญธรรมของฉัน และนี่ พ่อบุญธรรมของพี่ พวกเขาแต่งตัวเหมือนคุณหมอหรือนักวิจัยอะไรสักอย่าง พี่ดูสิข้างหลังยังลงวันที่อีกด้วย”

ในข้อความข้างหลังทำให้หลิวไห่ยิ่งตกใจเพิ่มขึ้นไปอีก

“สุขสันต์วันเกิดลูกชายฝาแฝดของฉัน หวังว่าพวกเขาจะรอดชีวิต”

หลิวไห่ขมวดคิ้ว เด็กน้อยสองคนเป็นเด็กแรกเกิด หากจะบอกว่าเป็นลูกของคนสองคนนี่ แต่ทำไมแม่บุญธรรมของเฉินเฟยอวี๋จึงดูไม่เหมือนคนเพิ่งคลอดลูกเลยสักนิด เธอดูปกติและผอมบาง ในขณะที่พ่อของเขาเองก็ไม่ได้มีท่าทางบ่งบอกว่าดีใจที่ได้ลูกชายเพิ่งคลอดเท่าไหร่

หลิวไห่พิจารณาอย่างละเอียด ภาพพวกนี้เขาคล้ายจะเห็นมาแล้ว แต่ตอนนั่นมีคนมากมายในภาพ หลิวไห่มองหน้าเฉินเฟยอวี๋แล้วบอกกับเขา

“สงสัยว่าเราต้องกลับไปที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าแล้วสืบหาความจริงกันเสียที”

หลี่เจี่ยซินตามผู้หญิงคนนั้นมาจนถึงสถานที่ลับแห่งหนึ่ง และในที่นี้เธอก็ได้เผชิญหน้ากับประธานกู้เป็นครั้งแรก พวกเขาฉีดบางอย่างเข้าที่ร่างกายของเธอ หลี่เจี่ยซินรู้สึกว่าหมดเรี่ยวแรงแล้ว กระทั่งแรงที่จะยกมือยังไม่มี

“พวกคุณทำอะไรกับฉัน”

ประธานกู้ยิ้มอบอุ่นเหมือนคนแก่ใจดีคนหนึ่งที่ได้พบหน้ากับหลานสาวที่รักนาน

“ไม่ต้องกลัว เราไม่ทำอะไรหนูหรอก หนูเองก็เหมือนเป็นลูกสาวของฉันนะ”

หลี่เจี่ยซินคุ้นหน้าชายชราคนนี้เป็นอย่างมาก เธอแน่ใจว่าเคยเห็นเขาบ่อย ๆ

“คุณคือ”

“ประธานกู้ เรียกฉันว่าท่านประธาน”

ประธานกู้หัวเราะเบา ๆ หลี่เจี่ยซินไม่ได้ถูกจับหรือถูกมัดเอาไว้ นั่นเป็นเพราะยาที่พวกเขาฉีดให้เธอส่งผลให้เธอหมดแรงนั่นเอง ประธานกู้ยังพูดต่ออีกว่า

“ไม่ต้องกลัวนะ ที่นี่ก็เหมือนบ้านของเธอเองคนคุ้นเคยทั้งนั้น จำได้หรือเปล่า”

หลี่เจี่ยซินส่ายหน้า เธอจำอะไรไม่ได้

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวเธอก็จำได้ ฉันสร้างเธอขึ้นมาให้เป็นยอดคน ไม่ว่าเรื่องอะไรไม่นานเธอก็จะเรียนรู้และทำได้ทุกอย่างโดยไร้คู่ต่อสู้”

หลี่เจี่ยซินหลี่ตา

“คุณสร้างฉันขึ้นมาเหรอคะ หมายความว่ายังไง”

“ว่าแล้วเรื่องมันยาว ให้ดอกเตอร์เจี่ยอธิบายจะดีกว่า”

ผู้หญิงคนนั้นที่อยู่ข้างประธานกู้ ที่หลี่เจี่ยซินตามมาใบหน้าของเธอดูเหมือนคนอายุสามสิบกว่า ๆ หรืออ่อนกว่านั้นแต่ท่าทางคล้ายกับคนชราคนหนึ่งแล้ว

เมื่อถูกหลี่เจี่ยซินมองดอกเตอร์คนนั้นจึงหัวเราะแล้วส่งยิ้มหวานให้เธอ

“ฉันเป็นคนเปลี่ยนถ่ายพันธุกรรมของเธอกับมือ ดังนั้นเธอก็คือลูกสาวคนแรกของฉัน แต่ก่อนไม่ได้ตามหาเพราะคิดว่าตายไปแล้ว ความจริงเด็ก ๆ ของเรามีอายุไม่เกินห้าขวบ หากเกินห้าขวบก็ไม่สามารถมีชีวิตได้ถึงยี่สิบปี ซึ่งตั้งแต่ทดลองมาคนที่มีอายุเกินห้าขวบต่างก็กลายเป็นคนพิการ ร่างกายเสื่อมถอยลงเรื่อย ๆ แต่หลี่เจี่ยซินเธอดูตัวเธอสิตอนนี้จะอายุยี่สิบห้าแล้ว เธอเป็นสิ่งที่ฉันคาดไม่ถึง”

หลี่เจี่ยซินกลอกตา สิ่งที่ผู้หญิงคนนี้พูดเธอคล้ายจะเข้าใจแล้ว ที่แท้เธอก็คือตัวทดลองที่หลุดออกจากแลปแห่งนี้นั่นเอง

“ในตอนที่เธอหายไป เธอทำร้ายคนของเราจนตายไปหลายคน ไม่มีใคจับเธอได้ เธอไม่กลัวปืน เธอรวดเร็วและสุดท้ายหายไป เราคิดว่าเธอตายในกองเพลิงแล้วแต่ที่ไหนได้เธอไม่ตาย ยังใช้ชีวิตของหลี่เจี่ยซินต่อไปได้อีกโดยที่เราไม่สงสัย”

หลี่เจี่ยซินเริ่มจะแก้ไขปัญหาที่ตัวเองสงสัยได้ทีละจุด ผู้หญิงคนนี้แม้จะหน้าตาและท่าทางยังอายุน้อย แต่ความจริงเธอแก่มากแล้วเป็นแน่ นี่มันวิทยาการอะไรถึงได้หยุดอายุผิวของคนได้ดีขนาดนี้

“หลี่เจี่ยซินตัวจริงตายแล้วใช่หรือเปล่า”

ด็อกเตอร์พยักหน้า

“ก็ไม่นับว่าตาย ในเมื่อหัวใจที่เธอใช้และความทรงจำบางอย่างที่เหมือนเธอจะจำได้ยังเป็นของหลี่เจี่ยซินอยู่ ยังมีอวัยวะอีกหลายชิ้นที่เราเปลี่ยนถ่ายมาใส่ในร่างของเธอ เด็กคนนั้นจึงนับว่าคือเธอในบางส่วน ความจริงมันน่าเศร้าที่เราไม่สามารถรักษาชีวิตเธอเอาไว้ได้แม้จะทดลองหลายอย่างก็ตาม”

หลี่เจี่ยซินคล้ายจะรู้สึกว่า ในตอนที่ถูกทดลองหนูหน้อยหลี่เจี่ยซินคนนั้นคงทรมานเป็นอย่างมากเป็นแน่

“คุณจะบอกว่า ฉันใช้อวัยวะของหลี่เจี่ยซิน และฉันเป็นตัวทดลองของพวกคุณที่บังเอิญมีชีวิตยืนยาว ที่ฉันดันหนีออกไปในตอนเด็ก”

ด็อกเตอร์พยักหน้า

“เธอยังเก่งเหมือนเดิมนี่ เคยสงสัยหรือเปล่าล่ะ ว่าทำไมตัวเองถึงได้ต่อสู้เก่ง แรงเยอะขนาดนั้น ยังมีความสามารถด้านอื่น ๆ ที่คนระดับไอคิวสูงยังทำไม่ได้ แต่เธอไม่ว่าจะเป็นการเรียน หรืออย่างอื่นสามารถทำได้ดีจนน่าทึ่ง พ่อของเธอคงซ่อนเธอไว้อย่างดีล่ะสิ ถึงได้ให้อาศัยอยู่ในโรงเรียนศิลปะการต่อสู้เก่า ๆ นั่น คงไม่อยากให้ใครพบและที่สำคัญจิตใต้สำนึกของเธอเองก็กำลังบอกตัวเองว่าอย่าโดดเด่นเป็นอันขาดใช่หรือไม่”

หลี่เจี่ยซินเข้าใจแล้ว เธอกระจ่างแจ้งทุกอย่าง

“คุณทดลองไปเพื่ออะไร”

ด็อกเตอร์คนนั้นหัวเราะ

“ก็แค่ธุรกิจ อันที่จริงพวกเธอก็เกิดจากหลอดทดลองอยู่แล้ว แต่ความสามารถมากมาย ส่งไปเป็นสายลับให้กับรัฐบาลต่าง ๆ หรือกระทั่งเข้าร่วมสงครามระเบิดพลีชีพ ก็ต้องใช้คนที่ใจกล้า เพียงแต่ว่าทุกคนล้วนอายุไม่เกินห้าปีทุกอย่างก็เริ่มถดถอยลงแล้ว ขายไม่ได้ราคาดีเท่าไหร่แต่คนก็ยังต้องการ มีใครจะสงสัยเด็กกันบ้างล่ะ เธอว่าหรือเปล่าว่าเด็กน้อยตาดำ ๆ พวกนั้นจะกล้าพกระเบิดไปกลางชุมชนและฆ่าคนไม่เลือกหน้าได้”

แท้ที่จริงแล้วธุรกิจนี้ช่างทารุณเป็นอย่างยิ่ง หลี่เจี่ยซินแทบจะร้องไห้ออกมา นี่เธอถูกสร้างมาเพื่อทำลายโลกหรอกหรือ

“ไม่ต้องกลัว เราแค่ต้องการตัวเธอมาวิจัยว่าทำไมเธอจึงมีอายุยืนกว่าคนอื่น และยังอยู่ในสภาพที่สมบูณณ์แบบนี้”

ประธานกู้พูดขึ้น เขาไม่ปิดบังอะไรหลี่เจี่ยซินเพราะอีกไม่นานผู้หญิงคนนี้คือสิ่งล้ำค่าของเขา ในที่สุดเขาก็ทำสำเร็จแล้ว

“ฉันกำลังจะตาย มีก้อนเนื้อในสมองที่โตขึ้นทุกวันและโตอย่างรวดเร็ว โอกาสผ่าตัดแล้วหายมีน้อยมาก อีกไม่กี่เดือนก็อายุยี่สิบห้าปีแล้ว”

หลี่เจี่ยซินสารภาพ เธอเองก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าคนพวกนี้คิดจะทำอะไรกับ ตัวทดลองที่กำลังใกล้ตาย เท่าที่ฟังมาหลี่เจี่ยซินไม่ได้แปลกใจหรือตื่นเต้นเลย นั่นคงเป็นเพราะว่าแท้ที่จริงแล้วเธอเองก็รู้เรื่องนี้ แต่ใจไม่อยากยอมรับและพยายามปฏิเสธและปิดกั้นความทรงจำนี้เอาไว้

เธอเป็นคนพิเศษ การปิดกั้นนี้เธอสามารถทำได้ง่ายดาย

เมื่อเธอสารภาพดูประธานกู้จะตกใจไม่น้อย ของล้ำค่าของเขาที่แท้กำลังจะตายอย่างนั้นเหรอ

“ว่ายังไงด็อกเตอร์มีทางช่วยเธอหรือเปล่า”

ด็อกเตอร์ถอนหายใจ

“หากจะรักษาชีวิต ยับยั้งก้อนเนื้อนั้นต้องฉีดยาสลายให้เธอ ซึ่งจะทำให้กระทบถึงความพิเศษในตัว หลี่เจี่ยซินอาจจะมีชีวิตยืนยาวอีกสักสิบปีแต่เธอจะกลายเป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่ง ซึ่งเราไม่สามารถนำเนื้อเยื่อของเธอมาเพาะได้อีก”

ประธานกู้ไม่พอใจมาก

“แบบนั้นก็หาทางรักษา หรือไม่ก็รีบเลาะกระดูกเลาะเนื้อของเธอมาเอามาวิจัย ลูกค้าตื่นเต้นมากกับโปรเจคนี้ยังทุ่มไม่อั้นเพื่อได้เธอ หากเราสามารถสร้างคนอย่างหลี่เจี่ยซินได้เป็นกองทัพ โลกใบนี้ก็ตกอยู่ในมือของเราแล้ว”

ประธานกู้ออกไปแล้ว หลี่เจี่ยซินตกใจในความคิดของเขา ไม่ได้การแล้วเธอไม่ยินยอมให้ใครเอาเนื้อเยื่อของเธอไปเพาะเป็นอันขาด ถึงเธอต้องตายเธอก็ไม่ยินยอม หลี่เจี่ยซินมองด็อกเตอร์ด้วยสายตาอ้อนวอน

“ด็อกเตอร์คะ คุณบอกว่าเหมือนแม่ของฉัน แบบนี้จะช่วยฉันได้หรือเปล่าคะ ฉีดยาสลายก้อนเนื้อให้ฉันเถอะค่ะ ได้โปรด”

ด็อกเตอร์ส่ายหน้า

“ยานี่มีอันตรายและยังมีผลข้างเคียงที่ยังไม่ได้รับการยอมรับ เราใช้กับเด็กหลายคนแล้วหลังจากลองฉีดดูพวกเธอแม้จะมีชีวิตอยู่รอดแต่กลายเป็นคนพิการไปแล้ว เธอยอมเหรอ”

หลี่เจี่ยซินส่ายหน้า เธอไม่ยินยอมที่จะเป็นคนพิการ แบบนี้ขอตายดีกว่า

ด็อกเตอร์กระซิบกับเธอเสียงเบา

“แต่ยาล็อตล่าสุดตอนนี้รู้สึกว่าผลข้างเคียงจะมีน้อยมาก เธออาจจะอยู่ได้อีกสักห้าปีฉันเองก็เอาออกมาไม่ได้ เราเตรียมไว้ในอนาคตเผื่อคนที่แข็งข้อแต่ยังมีประโยชน์อยู่ อย่างน้อยฉีดยานี่จะทำให้พวกเขากลายเป็นคนปกติที่เชื่อฟัง แต่อย่างที่บอกว่าต้องให้ประธานกู้เป็นคนเปิดตู้ยา ฉันไม่มีสิทธิ์และแน่นอนว่าเขาไม่ช่วยเธอหรอก เธอคือเงินมหาศาลและอาจนำไปสู่การครองโลกใบนี้ของเขา”

หลี่เจี่ยซินถอนหายใจ ถ้าเป็นแบบนี้เธอก็มีเวลาเหลืออีกไม่กี่เดือนแล้ว เธอลุกขึ้นแล้วบอกว่า

“ฉันต้องไปแล้วค่ะ มีคนรออยู่”

ด็อกเตอร์คนนั้นยิ้มแล้วส่ายหน้า

“เธอถูกฉีดยาให้อ่อนแรง ตอนนี้เธอไม่มีแรงเหมือนเดิมแล้ว เธอจะไปไหนได้ล่ะ”

หลี่เจี่ยซินมองไปรอบ ๆ ห้อง มีคนเฝ้าเธออยู่มากแต่ละคนล้วนเป็นเด็กตัวเล็ก และเป็นเด็กผู้หญิงท่าทางน่ารัก แต่ละคนมีผิวพรรณและหน้าตาที่ผสมผสานหลากหลายเชื้อชาติ หลี่เจี่ยซินหัวเราะ

“เด็กพวกนี้จะทำอะไรฉันได้”

ด็อกเตอร์ยิ้ม

“แรงของพวกเขาเยอะมาก ไม่ต่างจากเธอเลย ถ้าในเวลาที่กำลังของเธอฟื้น พวกเขาจะสู้เธอไม่ได้แต่หากหลายคนรวมกันเธอก็สู้เด็กพวกนี้ไม่ได้ อย่าเสี่ยงเลย อยู่ที่นี่อย่างสงบให้ฉันหาทางช่วยเธอจะดีกว่า”

หลี่เจี่ยซินส่ายหน้า

“ไม่ค่ะ ฉันจำได้ทุกอย่างแล้ว ไม่รบกวนแล้วปล่อยให้ฉันตายไปเงียบ ๆ เถอะค่ะ”

ด็อกเตอร์ผายมือ เธอเองก็อยากรู้ว่าหลี่เจี่ยซินที่ถูกฉีดยาควบคุมแบบนี้จะทำอะไรได้ ปืนจ่อเข้าที่ศีรษะของหลี่เจี่ยซินแล้ว เธอกลับยิ้มแล้วหัวเราะ

“คุณไม่กล้ายิงหรอก ฉันเป็นทรัพยากรที่มีค่าที่สุดไม่ใช่เหรอคะ”

ด็อกเตอร์ยิ้มสวย “จะว่าแบบนั้นก็ใช่ เอาล่ะในเมื่อเธอไปไหนไม่รอดแล้วก็รออย่างสงบ ฉันจะไปจัดเตรียมของแล้ว”

ตกดึกคืนนั้นหลี่เจี่ยซินก็ลอบออกมาจากห้องทดลองได้อย่างรวดเร็ว ด็อกเตอร์คนนั้นไม่รู้ว่าหลี่เจี่ยซินมีความสามารถในการขจัดพิษในร่างกายที่ดีเยี่ยม นี่เป็นคุณสมบัติหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาจากร่างกายของเธอเอง และหลี่เจี่ยซินก็แปลกใจเช่นกัน

เด็กพวกนั้นต่างคนต่างนอนสลบอยู่ตามทางเดิน สัญญาณเตือนภัยดังขึ้น ผู้คนวิ่งกันขวักไขว่ หลี่เจี่ยซินอาศัยความว่องไวหนีออกมาด้านนอกได้ในที่สุด

“จะสร้างอาคารทั้งทีก็ยังสร้างเหมือนเดิมเป๊ะ ฉันน่ะจำได้อยู่แล้วว่าควรหนีแบบไหน”

หลี่เจี่ยซินเดินออกมาตามถนน เธอใช้ใบหน้าอันสวยงามของตัวเองโบกรถขอความช่วยเหลือ ไม่รู้ว่าโชคร้ายหรือโชคดีเมื่อคนที่รับเธอเป็นวัยรุ่นขี้ยาแก๊งค์หนึ่ง

“ฉันเตือนพวกนายว่าอย่ายุ่งกับฉันจะดีกว่า”

เธอเข้ามานั่งในรถ และแน่นอนว่าไม่ได้กลัวยังถูกลวนลามอีกด้วย หลี่เจี่ยซินที่นั่งนิ่ง ๆ ในตอนแรก ตอนนี้ได้หักมือของวัยรุ่นไปแล้วสองคน ทั้งยังทำปืนที่พวกมันชักออกมาหวังจะขู่เธอลั่นไปโดนขาของคนขับรถ

เด็กพวกนั้นจอดรถอยากจะปล่อยเธอลง แต่หลี่เจี่ยซินไม่ยินยอมเธอบังคับให้คนทั้งสี่คนในรถมาส่งจนถึงหน้าประตูบ้านของเฉินเฟยอวี๋ หลี่เจี่ยซินถูกจับตัวไปไกลมาก กว่าเธอจะกลับมาถึงบ้านก็กินเวลาไปเกือบสามวันเพราะความล่าช้าของคนขับที่ขับไปกลัวเธอไป ยังคิดจะหนีอีกหลายครั้ง

หลี่เจี่ยซินในตอนนี้รู้สึกเหงามาก เธออยากมีเพื่อนร่วมทางเยอะ ๆ ยังบังคับให้ขี้ยาทั้งสี่ร้องเพลงให้เธอฟังตลอดการเดินทาง หลี่เจี่ยซินโยนยาเสพติดของพวกเขาทิ้งระหว่างทาง เธอไม่หลับไม่นอนเพราะเอาแต่คิดถึงเฉินเฟยอวี๋ แต่เธอก็ไม่ได้โทรหาเขาคิดจะกลับไปเก็บของที่มีไม่กี่ชิ้นของเธอแล้วทิ้งจดหมายเอาไว้ออกจากบ้านหลังนั้นซะ

“พี่สาวใกล้ถึงหรือยัง พวกเราไม่ไหวแล้วนะพี่ใช้เงินพวกเราจนจะหมดอยู่แล้ว”

“อ้าว พวกนายบอกเองว่ามีน้ำใจจะไปส่ง ฉันถามแล้วว่าไกลนะยังจะไปอีกเหรอพวกนายต่างแข็งขันจะมาเอง ตอนนี้จะมาบ่นเดี๋ยวตบเข้าให้ หุบปากแล้วร้องเพลงเพราะ ๆ ให้ฉันฟังด้วย”

คนพวกนั้นกลัวหลี่เจี่ยซินจะตีจนตัวสั่น เมื่อใกล้จะถึงบ้านของเฉินเฟยอวี๋แล้วเกิดมีรถขับมาล้อมพวกเขาไว้ เด็กวัยรุ่นพวกนั้นกลัวจนฉี่ราด หลี่เจี่ยซินโกรธจึงป๊าบเข้าที่ลำคอของวัยรุ่นคนนั้นไปทีหนึ่ง

“กล้าดียังไงมาฉี่ใส่รถ แล้วจะเดินทางยังไง”

“พี่ดู มีคนมาล้อมรถของเรา”

หลี่เจี่ยซินเห็นแล้วว่าเป็นใคร ทั้งที่เธอคิดจะหนีจากเขาแท้ ๆ กลับทำใหญ่โตเอาคนมาดักเธอไว้ หลี่เจี่ยซินส่ายหน้า

“ไม่ต้องห่วง ผัวพี่เองแหละมาตามให้กลับบ้านเขาเป็นมาเฟีย เขาขี้หวงคนที่คิดทำร้ายพี่ก็ระวังตัวให้ดีเขาอาจฆ่าทิ้งได้”

หลี่เจี่ยซินข่มขู่เพราะสนุก แต่ทำเอาเด็กอีกสามคนฉี่ราดไปตาม ๆ กัน ในขณะที่เธอเปิดประตูและโผเข้าไปซุกในอ้อมกอดของเฉินเฟยอวี๋แล้วหลับไปทันที

“ท่านคะพบคนแล้วค่ะเป็นเธอค่ะ”

ประธานกู้กระตุกมุมปากคล้ายจะยิ้มเมื่อเลขาคนสนิทเข้ามารายงาน

“ดี บทจะเจอก็ง่ายดายจริง ไม่ต้องเปลืองแรงเลยสักนิด”

“เธออยู่ที่ไหน”

“อยู่ที่อาคารลับห้องทดลองในคุณหมิงค่ะ”

ประธานกู้มีความพอใจเป็นอย่างยิ่ง ที่ผ่านมาสูญเสียคนไปมากเปลืองแรงไปเยอะกลับไม่ได้ผล แต่เพียงแค่ให้เธอคนนั้นออกทำงานกลับสามารถตามตัวคนมาได้อย่างง่ายดาย กระนั้นเขาก็ยังชั่งใจว่าการแลกกันในครั้งนี้จะมีค่าพอหรือไม่

เขาลุกขึ้นปัดฝุ่นบนเสื้อแล้วจัดเสื้อสูทให้เป็นระเบียบแม้ว่าจะไม่มีฝุ่นเลยก็ตามด้วยความเคยชิน

“จองตั๋วเครื่องบิน”

เลขาขยับตัวแล้วเอ่ยว่า

“เรียบร้อยแล้วค่ะท่าน พร้อมที่ท่านจะบินได้ทุกเมื่อค่ะ”

ประธานกู้พยักหน้า กล่าวพึมพำออกมา

“หลายปีแล้วสินะที่ไม่ได้กลับไปเหยียบแผ่นดินใหญ่ ถึงจะหนีแค่ไหนก็คงต้องกลับไปอยู่ดี”

เขาไอออกมา ประธานกู้ยกมือขึ้นปิดปากบางสิ่งสีแดงไหลออกมาจากมุมปากของเขา เลขาเห็นแล้วตกใจเป็นอย่างยิ่ง แต่ประธานกู้กับทำใบหน้าเฉยชา เขารับทิชชู่เปียกจากเลขาที่เตรียมไว้ให้เสมอมาเช็ดปากของตนเอง

รอยสีแดงของเลือดกลายเป็นสีจางจนกระทั่งไม่มีในที่สุด ประธานกู้ปามันทิ้งถังขยะแล้วเดินออกจากห้องทำงานโดยไม่ยี่หระ โดยมีเลขาเดินตามมาอย่างเงียบเชียบ

ภายนอกห้องทำงานลูกน้องและบอดีการ์ดนับสิบคนต่างยืนตรงค้อมกายให้เขาอย่างนอบน้อม แล้วเดินตามอย่างเป็นระเบียบไม่มีใครพูดสิ่งใดออกมาสักคน

หลี่เจี่ยซินหายออกจากบ้านอย่างไร้ร่องรอย มีเพียงข้อความหนึ่งที่ทิ้งเอาไว้ให้หลิวไห่

“ฉันจะไปทำธุระสักหลายวัน ไม่ต้องห่วงและไม่ต้องตามหา”

แต่กระนั้นหลิวไห่ก็กระวนกระวายเป็นอย่างยิ่ง เครื่องมือติดตามตัวที่อยู่กับเธอหลี่เจี่ยซินก็ถอดทิ้งและเขาเห็นจากกล้องวงจรปิดชัดเจนว่าเธอหายไปกับผู้หญิงคนหนึ่ง เธอเดินขึ้นรถคันนันด้วยตัวเอง และในขณะที่รถวิ่งมาที่กลางถนนในมุมอับมุมหนึ่งเขาก็ไม่สามารถติดตามหลี่เจี่ยซินได้พบแล้ว

เธอหายไปไหน หลิวไห่กระวนกระวายเป็นอย่างยิ่ง

หลิวไห่สั่งให้ลูกน้องออกตามหาหลี่เจี่ยซินทั้งยังให้คนคอยเฝ้าจับตาดูกล้องวงจรปิดแทบจะตลอดทั้งยี่สิบสี่ชั่วโมง เขาตัดสินใจมาหาคุณยายของหลี่เจี่ยซินที่บ้าน เขาต้องได้รับคำตอบว่าแท้ที่จริงแล้วในวัยเด็กเกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่

หลิวไห่นั่งเผชิญหน้ากับคุณยาย ตัดสินใจถามเรื่องที่จะทำร้ายจิตใจคนแก่ หากเขารู้เบาะแสแม้เพียงเล็กน้อย เขายังมีหวังทีจะตามหาหลี่เจี่ยซิน

“คุณยายครับ นิทานเรื่องนั้นที่คุณยายเคยเล่ายังจำได้หรือเปล่าครับ ยังเล่าไม่จบเลยนะครับวันนี้ผมเลยแวะมาฟังนิทาน”

คุณยายในตอนนี้สมองยังจดจำได้ดี หลิวไห่ต้องพยายามให้เธอพูดก่อนที่คุณยายจะเพ้อและจดจำอะไรไม่ได้อีก

เรื่องนี้ได้กลายเป็นปมในใจของคุณยาย ที่ทำหลี่เจี่ยซินหายทำให้คุณยายเกิดคุ้มคลั่งได้ทุกเมื่อ เขารู้ดีจึงพยายามที่จะใช้คำพูดที่อ่อนโยนที่สุด

คุณยายถามด้วยความสงสัย คุณยายจำไม่ได้ว่าเคยเล่านิทานให้หลานเคยผู้หล่อเหลาและอบอุ่นคนนี้ฟังตั้งแต่เมื่อไหร่

“เรื่องอะไรกันที่ยายเล่ายังไม่จบ”

หลิวไห่กระแอมเบา ๆ นิ้วของเขาจิกลงบนฝ่ามือ ถึงใบหน้าจะผ่อนคลายและดูสบาย ๆ แต่ในใจก็เกรงว่าจะทำคุณยายรู้สึกแย่และโวยวายทั้งอาการกำเริบอีก

“เป็นเรื่องของเด็กสาวคนหนึ่งที่หายออกจากบ้านไปและหลายวันต่อมาเธอก็กลับมาพร้อมกับจำอะไรไม่ได้ครับ เรื่องนี้ผมฟังแล้วสนุกมากครับอยากฟังต่อ”

คุณยายคล้ายจะจำได้แล้ว แววตาของคุณยายไหวระริก และมีความกลัดกลุ้มอยู่มาก แต่เมื่อได้ยินหลิวไห่บอกว่ามันคือนิทานไม่ใช่เรื่องจริง ดูเหมือนคุณยายจะผ่อนคลายลงไปมาก สตรีวัยชราผู้นี้กุมความลับอะไรเอาไว้อยู่กันแน่นะ หลิวไห่ใคร่ครวญ

“คุณยายครับ หรือจำไม่ได้แล้วไม่เป็นไรครับ ผมแค่ว่าง ๆ เลยแวะมาฟังนิทานแค่นั้นรบกวนคุณยายจริง ๆ เลยนะครับ”

หลิวไห่แสร้งไม่สนใจทั้งยังหัวเราะหล่อเหลา เขาชวนคุณยายพูดถึงเรื่องอื่นแต่ดูเหมือนว่าคุณยายจะคล้ายเหม่อลอย ยังวนเวียนคิดถึงเรื่องนี้ สุดท้ายแล้วคุณยายจึงพูดว่า

“นิทานน่ะ ยายจำได้แล้วเดี๋ยวยายเล่าต่อนะ”

แน่นอนว่าความอัดอั้นตันใจนี้คุณยายย่อมมีอยู่ข้างใน เมื่อมีโอกาสได้ระบายออกไปบ้างก็คงจะคลายความอัดอั้นลงไปได้บ้าง

หลิวไห่พยักหน้า นั่งพิงเก้าอี้อย่างสบาย คนรับใช้นำผลไม้กับน้ำส้มมาให้เขาดื่ม เขาก็กินอย่างอร่อย เหมือนคนที่กำลังตั้งใจฟังเรื่องเล่าอย่างเพลิดเพลิน พลอยทำให้ใจคนที่กดดันผ่อนคลายลงได้มาก

“เรื่องมีอยู่ว่า วันหนึ่งเด็กสาวคนหนึ่งป่วยเป็นมะเร็งในสมอง ทั้งพ่อและยายของเธอพยายามรักษาอยู่นานแต่ยังไงก็ไม่สามารถยื้อชีวิตของเธอได้ เพราะในตอนที่พบมะเร็งก้อนนั้นก็สายเกินไปแล้ว”

หลิวไห่ตกตะลึง คนที่เป็นมะเร็งในอดีตจะใช่หลี่เจี่ยซินหรือไม่ เขายิ้มแล้วยกน้ำผลไม้ขึ้นดื่ม ท่าทางผ่อนคลายทั้งยังเท้าคางตั้งใจฟังเหมือนเด็กคนหนึ่งที่กำลังตื่นเต้น

“เด็กคนนั้นจะตายเหรอครับ”

คุณยายพยักหน้ายิ้มเศร้าสร้อย

“ใช่ เด็กคนนั้นกำลังจะตายแต่กลับมีปาฏิหารย์บางอย่างเกิดขึ้น”

“ดีจังเลยนะครับ ปาฏิหารย์ที่ว่าคืออะไรครับ”

คุณยายย้อนนึกถึงความทรงจำในครั้งนั้น แล้วพูดต่อ

“จู่ ๆ วันหนึ่งก็มีผู้ชายคนหนึ่ง เขาดูดีและมีลูกน้องรายรอบเข้ามาหาพ่อของเด็กคนนั้นและบอกว่ามีวิธีรักษา ขอเพียงยอมมอบเด็กคนนั้นให้เขา”

หลิวไห่ถามต่อ

“เขาเป็นหมอเหรอครับ”

คุณยายส่ายหน้า

“หมอคนนั้นที่รักษาเด็กน้อยก็อยู่ด้วย แต่คนที่เสนอไม่ใช่หมอเขาเป็นนักธุรกิจร่ำรวยคนหนึ่งที่เบื้องหลังกำลังทดลองบางอย่าง และเขาเชื่อว่าจะทำให้เด็กน้อยคนนั้นรอดตายได้”

“ก็ดีไม่ใช่เหรอครับ”

คุณยายยิ้มเศร้า

“ไม่รู้ว่าดีหรือไม่ แต่การทดลองนั้นเพิ่งเริ่มไม่รู้จะได้ผลแค่ไหน ที่สำคัญเด็กต้องถูกทดลองยาซ้ำ ๆ หลายครั้ง และเป็นการทรมานอย่างมาก พ่อของเด็กไม่ยอมปฏิเสธพวกเขาไป”

หลิวไห่เอียงคอ คุณยายจึงเล่าต่อ

“แต่ในคืนนั้นแม่ของเด็กมาเข้าฝันยายของเด็กให้ช่วยเหลือเด็ก อย่าให้เด็กตาย สุดท้ายคุณยายจึงตัดสินใจทำในสิ่งที่ไม่ควรลักพาตัวเด็กไปจากพ่อของเด็ก และปล่อยให้คนพวกนั้นเอาตัวไป”

หลิวไห่อุทานคำว่าคุณยายออกมาจากปากเสียงเบา แล้วพูดว่า

“เด็กกลายเป็นหนูทดลองเหรอครับ”

คุณชายเริ่มร้องไห้

“ใช่เด็กกลายเป็นหนูทดลอง ความจริงคนอื่นคิดว่าเด็กหายไปไม่กี่สัปดาห์แต่ความเป็นจริงเธอหายไปเกือบปี ช่วงเวลานั้นยายคุณเลวนั่นติดต่อเด็กไม่ได้ คนพวกนั้นไม่ยอมให้เธอพบเด็ก เพียงแต่ส่งรูปมาให้ดูเป็นระยะ แต่ยายรู้ว่ารูปพวกนั้นมันปลอม พ่อของเด็กออกตามหาสุดท้ายยายพูดความจริง พ่อของเด็กเองกลัวยายจะมีความผิดเลยไม่แจ้งความ ทั้งคนพวกนั้นข่มขู่จะฆ่าเด็ก หลายเดือนผ่านไปพวกมันเริ่มไม่ส่งข่าว สุดท้ายพ่อของเด็กจึงไปแจ้งความได้แต่บอกว่าลูกเพิ่งหายไป”

หลิวไห่ถอนหายใจ

“แล้ววันหนึ่งเธอก็กลับมาเหรอครับ”

คุณยายพยักหน้า

“ใช่วันหนึ่งเด็กกลับมาเอง พ่อของเด็กรีบไปแจ้งว่าเด็กกลับมาแล้วและกลัวคนพวกนั้นจะตามหาจึงได้แสร้งเผาบ้านเผาทุกสิ่งและแสร้งทำเป็นว่าเด็กตายในกองเพลิงแล้วเพื่อหลอกคนพวกนั้น ยายไม่รู้ว่าพวกมันยังตามหาเด็กอยู่หรือเปล่าจึงได้แต่แอบซ่อนเด็กเรื่อยมา”

หลิวไห่เข้าใจแล้ว ที่ผ่านมาเขาเคยสงสัยว่าทำไมดูเหมือนว่าพ่อของเธอยังห่างเหินกับคุณยายมาก คงเป็นเพราะโกรธที่คุณยายนำเธอไปให้คนพวกนั้นและพาหลี่เจี่ยซินหนีไปอยู่อีกเมือง ปิดบังเธอเอาไว้ไม่ให้โดดเด่นให้คอยดูแลโรงเรียนการต่อสู้ ไม่ให้หลี่เจี่ยซินไปไหนไกลสายตา

แล้วคนพวกนั้นจะใช่คนของประธานกู้หรือเปล่า หลิวไห่เริ่มไม่มั่นใจ

นิทานเรื่องนี้คล้ายจะจบแล้ว จู่ ๆ คุณยายก็พูดขึ้น

“เด็กคนนี้หน้าตาเปลี่ยนไปมาก เธอไม่ใช่เด็กคนเดิมแต่ความทรงจำบางอย่าง การพูดจา ท่าทางกลับเหมือนกันยังกับฝาแฝด เพราะแบบนี้พ่อของเด็กจึงโกรธยายคนนั้นและพาเด็กหนีไป ในวันที่เพลิงลุกไหม้นั้นความจริงยายตั้งใจจะตายไปแล้ว แต่เด็กคนนั้นกลับกระโจนเข้าในกองไฟและพยายามจะช่วยยายจนเธอถูกเพลิงเผาไหม้ไปทั้งตัว น่าประหลาดที่เธอกลับไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดเลย เด็กนั่นน่ะ ในตอนนั้น แม้จะเจ็บก็ไม่รู้ว่าเจ็บ แม้จะโกรธก็ไม่รู้ว่าโกรธ เธอไม่มีความรู้สึกอะไรเลยด้วยซ้ำ”

และแล้วคุณยายก็หัวเราะอย่างเจ็บปวด

“ทั้งหมดเป็นเพราะยาย เสี่ยวเจี่ยที่แท้จริงอาจจตายไปแล้วแต่ถูกบางสิ่งบางอย่างถ่ายโอนความทรางจำ ทุกสิ่งทุกอย่างมาที่เด็กอีกคน คล้ายเป็นการทำซ้ำแล้ววางไว้ในเด็กคนนี้”

หลิวไห่หวนคิดถึงคำหนึ่งขึ้นมา

“โคลนนิ่งเหรอครับ คุณยายจะหมายถึงเรื่องนี้หรือเปล่า”

หลี่เจี่ยซินคนนี้ที่จริงเป็นของทดลอง ที่โคลนพฤติกรรมและหลายอย่างมาจากหลี่เจี่ยซินคนเดิม หรือไม่ก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างจากหลี่เจี่ยซินคนเดิมมายังคนนี้ จึงทำให้เธอมีรูปร่างเปลี่ยนไป

หลิวไห่แทบจะสมองระเบิดแล้ว แท้ที่จริงแล้วเบื้องหลังการทดลองนี้คืออะไรกันแน่ แน่นอนว่าตอนนี้เขารู้แล้วว่าล้วนเป็นเรื่องที่หลี่เจี่ยซินเข้ามาเกี่ยวข้องร้อยเปอร์เซ็นต์ และเธอต้องเป็นคนที่ประธานกู้ตามหา

พ่อของหลี่เจี่ยซินปกปิดเรื่องลูกสาวมาเนิ่นนาน ถึงขั้นทำให้คนอื่นคิดว่าหลี่เจี่ยซินได้ตายไปแล้ว และที่เขาสงสัยคือคนของประธานกู้ทำไมไม่ตามหาเธอ หรือเพราะพวกเขาคิดว่าเธอตายไปแล้วจริง ๆ และเพิ่งจะสืบรู้ว่าเธอยังมีชีวิตอยู่จึงได้ออกตามหาในตอนนี้

หลี่เจี่ยซินคือผลผลิตทางวิทยาศาสตร์ที่ยังมีอยู่จริง แล้วยังมีคนอื่นอีกหรือไม่

เสียงโทรศัพท์ของหลิวไห่ดังขึ้น เป็นลุงเฉิงที่โทรหาเขา เสียงปลายสายนั้นทำให้หลิวไห่กำโทรศัพท์แน่น

“ช่างถูกจังหวะ ถูกเวลาเสียจริง”

หลิวไห่พาหลี่เจี่ยซินไปตามหาความจริงกับอดีตนายตำรวจคนนั้นที่เคยทำคดี พวกเขากดกริ่งหน้าบ้านอยู่ไม่นานก็มีคนมาเปิดประตู เป็นผู้ชายวัยชราคนหนึ่งแต่ท่าทางยังดีแข็งแรงเป็นอย่างยิ่ง

คนทั้งสองจึงแนะนำตัวและสอบถามถึงคดีเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ชายชราทำท่าคิดพร้อมกับมองหลี่เจี่ยซิน

“หนูเป็นเด็กคนนั้นเหรอที่หายไป”

“ใช่ค่ะ หนูเองค่ะ แต่หนูมีบางอย่างที่อยากจะถามคุณลุงค่ะ ไม่ทราบว่าคุณลุงพอจะบอกข้อมูลให้หนูได้รู้ได้หรือเปล่าคะ”

“อืม เข้ามาสิ”

หลี่เจี่ยซินยิ้มหวาน ใบหน้าของเธอสวยน่ารักจึงดึงดูดใจคนได้ง่ายอยู่แล้ว เขาจึงยินดีตอบคำถามยังเชื้อเชิญเธอและหลิวไห่ให้เข้ามาในบ้านอีกด้วย ห

ลี่เจี่ยซินสังเกตุเห็นว่าด้านในบ้านของนายตำรวจคนนี้เต็มไปด้วยถ้วยเกียรติยศมากมาย ในขณะที่เขาเป็นตำรวจคงทำความดีความชอบไม่น้อย นายตำรวจคนนี้คงเป็นอดีตตำรวจที่ดีมากคนหนึ่ง

“มีเรื่องอะไรสงสัยเหรอ ความจริงเรื่องก็ผ่านมานานแล้วลุงก็เหมือนจะลืมไปแล้วเหมือนกัน อาจจะให้ข้อมูลได้ไม่มาก”

หลี่เจี่ยซินจึงเริ่มต้นถาม

“ตอนนั้นหนูหายไปกี่วันคะ”

ชายชราทำท่าคิดก่อนจะตอบว่า

“ก็เกือบสิบวันเหมือนกัน ตอนนั้นเราหากันแทบพลิกแผ่นดินแต่ก็ไม่มีวี่แวว จู่ ๆ วันหนึ่งพ่อของหนูก็มาแจ้งทางเราว่าหนูกลับมาแล้วพวกเราจึงตรงไปหาหนูที่โรงพยาบาล เพราะตอนนั้นเหมือนหนูจะได้รับบาดเจ็บไปทั้งตัว พันตัวด้วยผ้าพันแผลเป็นมัมมี่เลยล่ะ”

หลี่เจี่ยซินจำไม่ได้ว่าตัวเองในตอนนั้นได้รับบาดเจ็บ

“หนูจำไม่ได้ค่ะ”

คุณลุงยิ้มน้อย ๆ

“ใช่หนูจำอะไรไม่ได้เลย จนป่านนี้ก็ยังจำไม่ได้อีกแต่แผลของหนูคือแผลไฟไหม้ น่ากลัวมากลุงในตอนนั้นยังคิดว่าหนูจะไม่หายเสียอีก ดีใจมากที่หนูโตขึ้นมาแล้วสวยขนาดนี้ ขอบใจนะที่มาหาลุง”

หลิวไห่ถามต่อ

“แล้วตอนนั้นเธอลืมทุกอย่างเลยเหรอครับ พ่อแม่จำได้หรือเปล่าครับ”

คุณลุงส่ายหน้า

“รู้สึกจะลืมทุกอย่างจริง ๆ จำอะไรไม่ได้เลย แต่ดูเหมือนว่าหนูจะคุ้นหน้าพ่อกับแม่เลยไม่โวยวาย เป็นเด็กที่เข้มแข็งจริง ๆ”

หลี่เจี่ยซินถามต่อ

“แล้วหนูหายไปที่ไหนพอจะสืบได้หรือเปล่าคะ”

คุณลุงตำรวจส่ายหน้า

“เพราะหนูจำไม่ได้ สุดท้ายเรื่องเลยเงียบทางครอบครัวก็ไม่ได้ติดตามต่อ ลุงเองก็พยายามมากแล้วแต่สุดท้ายก็ตามสืบอะไรไม่ได้ จู่ ๆ วันหนึ่งหนูก็เดินกลับเข้ามาที่บ้านเอง สมัยนั้นกล้องวงจรปิดก็ไม่มี หนูมากลางดึกไม่มีใครเห็นไม่มีพยาน ไม่มีหลักฐาน ไม่รู้ว่าหนูเกิดรอยไหม้ได้ยังไง ที่น่าแปลกคือ แม้จะมีแผลไฟลวกทั่วตัวแบบนั้นหนูกลับไม่ร้องไห้สักแอะ ดูเหมือนไม่ทุกข์ทรมานเลยด้วยซ้ำ ประหลาดมากจริง ๆ”

หลิวไห่และหลี่เจี่ยซินมองหน้ากัน ทุกคนล้วนสงสัยว่าแผลที่เกิดขึ้นหลี่เจี่ยซินได้มาได้ยังไง ผ่านมานานจนป่านนี้เรื่องพวกนี้คล้ายจะหายไปจากความทรงจำของหลี่เจี่ยซินแล้ว

“รอลุงสักครู่นะ”

คุณลุงคนนั้นลุกขึ้น เมื่อจู่ ๆ เขาเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ เขาหายไปสักพักแล้วกลับมาพร้อมกับป้ายห้อยคอแสดงหมายเลขป้ายหนึ่ง

“นี่ของหนูใช่หรือเปล่า จำได้ไหม?”

หลี่เจี่ยซินรับมา ทำหน้าสงสัย

“ของหนูเหรอคะ”

คุณลุงพยักหน้า

“หนูให้ลุงบอกว่าเป็นที่ระลึก บอกว่าต่อไปจะไม่ได้ใช้มันอีกแล้ว ลุงยังเก็บเอาไว้เพราะว่าครั้งหนึ่งมันเคยช่วยชีวิตลุง ในตอนนั้นเพราะของที่ลุงเก็บเอาไว้ในกระเป๋าเสื้อ ทั้งหมดเพราะลืมเอาออก ลุงถูกลอบยิงกระสุนเจาะมาถูกป้ายนี้พอดี คิดว่ายังไงล่ะ มันคือของนำโชคเลยล่ะ ลุงรอดมาได้เพราะมัน”

หลี่เจี่ยซินส่งป้ายห้อยคอชิ้นนี้ให้หลิวไห่ เขารับมาดูเห็นว่ามีรอยกระสุนอยู่จริง แต่ป้ายกลับไม่ได้รับความเสียหาย ที่ป้ายห้อยนี้ยังมีเลยศูนย์จำนวนสี่ตัวสลักอยู่ ดูไปดูมาเหมือนป้ายห้อยคอทหารที่กำลังออกรบ และตัวเลขก็เหมือนรหัสประจำตัวของพวกเขา

“ลุงคืนให้ ขอบคุณมากที่มาวันนี้ อันที่จริงลุงอยากเจอหนูมาตลอด แต่พอไปถามกับคุณพ่อของหนู คุณพ่อก็ปฏิเสธบอกว่าไม่อยากให้หนูจดจำเรื่องพวกนี้อีก อันไหนที่ลืมได้ก็ขอให้ลืมเสีย เพราะแบบนี้เราสองคนเลยไม่ได้เจอกันอีกเลย”

หลิวไห่และหลี่เจี่ยซินออกมาจากบ้านหลังนั้นแล้ว หลี่เจี่ยซินนั่งมองป้ายห้อยคอปริศนานี้ตั้งแต่ออกจากบ้านของอดีตตำรวจจนกระทั่งกลับถึงบ้าน เธอก็ยังนึกอะไรไม่ออก หลิวไห่กุมมือของเธอเอาไว้แล้วปลอบเสียงเบา

“ทุกอย่างมันต้องกระจ่าง อย่ากดดันตัวเองให้มากนะ”

หลี่เจี่ยซินยิ้ม ในตอนนี้จู่ ๆ เธอก็รู้สึกปวดหัว หลี่เจี่ยซินพยายามอดกลั้นเอาไว้ เธอไม่อยากให้เฉินเฟยอวี๋รู้อาการของเธอ อดทนข่มกลั้นจนกระทั่งกลับมาถึงบ้านของคุณยาย โชคดีที่เฉินเฟยอวี๋มีธุระ เขาจึงรีบออกไป

หลี่เจี่ยซินรีบวิ่งไปเข้าห้องน้ำ เธออาเจียนออกมาจนท้องไม่มีอะไรเหลือ อีกทั้งยังกำเดาไหลไม่หยุด หลีเจี่ยซินรีบไปค้นยาที่หมอจัดมาไว้ให้มากิน เธอกินไปสองเม็ดต่อมาจึงรู้สึกว่าอาการทุเลาลง

ยาที่เธอกินมีส่วนผสมของมอฟีน เมื่อสักครู่เธอตาลายและรู้สึกว่าโลกหมุน อาการพวกนี้หมอได้เตือนเธอเอาไว้แล้วว่าอาจเกิดขึ้นได้ และหากมันเกิดขึ้นให้เธอรีบไปหาหมอทันที หลี่เจี่ยซินกลับรู้สึกกลัว เธอเองยังไม่รู้ความจริง หากเธอต้องตายก็คงจะตายเปล่าทั้งที่ยังค้างคา

หลี่เจี่ยซินรีบตรงไปโรงพยาบาล เธอรอพบหมอจนกระทั่งถึงเวลา

“เราต้องทำทีซีแสกนอีกรอบ ผมคิดว่ามันแปลก”

คุณหมอบอกเธอเท่านี้ หลี่เจี่ยซินจึงเข้าไปในอุโมงค์อีกครั้ง คราวนี้ผลตรวจของเธอออกมาภายในชั่วโมงต่อมา

“เนื้องอกที่ขึ้นในสมองโตขึ้นจากเมื่อวานมามาก มันค่อนข้างน่ากลัวที่มันโตเร็วขนาดนี้ เราต้องผ่าตัดมันออกครับ”

หลี่เจี่ยซินหน้าซีด

“แล้วจะหายหรือเปล่าครับ”

คุณหมอถอนหายใจ

“มันค่อนข้างที่จะอยู่ในตำแหน่งที่อันตรายครับ ผมขอนำเรื่องนี้เข้าที่ประชุมการผ่าตัด คุยกับผู้เชี่ยวชาญก่อน คุณหลี่ใจเย็น ๆ นะครับ คุณต้องบอกญาติหรือคนใกล้ชิดแล้ว”

หลี่เจี่ยซินเดินออกมาจากโรงพยาบาล และที่นั่นเองเธอได้พบกับผู้หญิงคนนั้นอีกครั้ง คนที่ปลอมเป็นนางพยาบาลมาเจาะเลือดของเธอ

ดูเหมือนว่าวันนี้หลี่เจี่ยซินจะแปลกไปมาก เธอไม่เป็นตัวของตัวเองเลย หลิวไห่คิดว่าเธอคงเป็นกังวลกับคนพวกนั้นจึงพยายามจะปลอบเธอ ในที่สุดหลี่เจี่ยซินก็พูดขึ้น

“ที่รักฉันจะขออะไรสักอย่างได้หรือเปล่า”

เฉินเฟยอวี๋เป็นคนที่หลี่เจี่ยซินไว้ใจที่สุด และเธอก็ไม่คิดจะปิดบังเขาในทุกเรื่องนอกจากอาการป่วยของเธอ

หลิวไห่มองใบหน้างามของเธอแล้วพยักหน้า

“ได้สิ มีอะไรบ้างที่ฉันทำให้เธอไม่ได้”

หลี่เจี่ยซินเม้มปาก เห็นสายตาห่วงใยและยินดีที่จะทำตามที่เธอขอของเฉินเฟยอวี๋แล้วก็นึกตัดใจไม่ขาด ในเมื่อเธอเลือกที่จะเป็นเพื่อนกับเขาไม่แย่งชิงกับหยางชิวแล้วเธอก็ควรปล่อยเขาไปไม่ใช่หรือ

ทำไมในตอนนี้ยังคิดจะครอบครองเขาอีก เพียงแค่เห็นความอ่อนโยนเล็กน้อยของเขาแบบนี้

หลิวไห่เห็นเธอเงียบจึงถามย้ำออกมาอีก

“ว่ายังไง มีอะไรให้ฉันช่วยรีบบอกมาเร็ว”

หลี่เจี่ยซินยิ้ม

“ฉันคิดว่าฉันอาจจะไม่ใช่ตัวฉันเอง”

หลิวไห่ไม่เข้าใจ

“เธอหมายความว่ายังไง”

หลี่เจี่ยซินพร้อมแล้วที่จะเล่าความสงสัยที่เกิดขึ้นกระทันหันให้เขาฟัง

“ฉันน่ะเพิ่งรู้ว่าช่วงวัยเด็กจำอะไรไม่ได้เลย”

หลิวไห่เลิกคิ้ว

“วัยเด็กเหรอ ฉันก็ยังจำไม่ได้เลย กว่าจะจำความได้ก็รู้สึกว่าโตแล้ว ใคร ๆ เขาก็เป็นแบบนี้แล้วเธอว่ามีอะไรผิดปกติเหรอ”

หลี่เจี่ยซินส่ายหน้า

“ฉันหมายความว่า ฉันน่ะเหมือนเป็นเด็กคนอื่น ไม่ใช่หลี่เจี่ยซินคนนี้”

เธอชี้ที่รูปเด็กหญิงตัวเล็กในภาพ นั่นเป็นภาพในตอนเธออายุสามขวบ

หลิวไห่มองตาม เขาค่อนข้างตกใจอยู่ไม่น้อยที่เธอพูดคำนี้ออกมา

“ทำไมคิดแบบนั้น”

หลี่เจี่ยซินยักไหล่

“ไม่แน่ว่า ฉันอาจจะเป็นเด็กที่ไหนมาสวมรอยก็เป็นได้ และกำลังถูกปิดบังโดยคนที่ปิดบังนั้นได้ตายจากไปทั้งสองคนแล้ว”

“หลี่เจี่ยซิน เธอไม่สบายหรือเปล่า ยังปวดหัวอยู่เหรอ”

หลิวไห่กลับคิดแบบนั้น เรื่องแบบนี้จะเกิดได้ยังไงกันล่ะ คนอื่นที่สวมรอยเป็นลูกสาวของอีกบ้านมันมีแต่ในละครไม่ใช่เหรอ

หลี่เจี่ยซินถอนหายใจ

“ฉันรู้สึกแบบนั้นจริง ๆ ถ้าฉันจะบอกว่าพยาบาลคนนั้นที่เข้ามาเจาะเลือดของฉัน เหมือนฉันจะคุ้นเคยสายตาของเขามาก เธอจะว่ายังไง”

หลิวไห่รู้ว่าหลี่เจี่ยซินจริงจึงกับเรื่องนี้แล้ว ไม่ใช่ว่าแค่เธอรู้สึกไม่สบายเท่านั้น

“เธอหมายความว่ายังไงกัน คุ้นเคยคนที่ไม่เคยเจอกันมาก่อนเหรอ”

หลี่เจี่ยซินพยักหน้า

“ใช่เหมือนฉันกับเขาจะรู้จักกันมาก่อน คุ้นเคยแบบนั้นน่ะ”

หลิวไห่จับมือของหลี่เจี่ยซินเอาไว้

“เอาล่ะ เรามาพูดกันทีละประเด็นนะ ให้เธอตั้งสติก่อน”

หลี่เจี่ยซินคิดจะพูดอีกหลายประโยค แต่ก็เป็นแบบที่เขาว่า เธอต้องค่อย ๆ คิด จึงได้ตั้งสติและฟังเขา

“ข้อแรก เธอรู้สึกว่าไม่ใช่หลี่เจี่ยซินตัวจริง และเหมือนเธอจะหายไปตอนอายุสี่ขวบ”

หลี่เจี่ยซินพยักหน้า

“ข้อสอง เธอรู้สึกว่าคุ้นเคยกับพยาบาลที่มาเจาะเลือดคนนั้น เหมือนเคยเจอกันมาก่อน”

หลี่เจี่ยซินพยักหน้าอีก

หลิวไห่เม้มปาก เขาบอกกับเธอว่า

“เรื่องนี้ไม่ยาก ฉันจะให้คนของสถานีตำรวจสอบสวนดู หากว่าเธอหายไปเมื่อตอนอายุสี่ขวบต้องมีการแจ้งความ เราสามารถสืบเรื่องนี้ได้จากแฟ้มลับของตำรวจ ดังนั้นเธอในฐานะเจ้าตัวย่อมสามารถไปตามเรื่องนี้เองได้”

หลี่เจี่ยซินดีใจเป็นอย่างยิ่ง เธอจับมือเขาแน่น เฉินเฟยอวี๋คนนี้เธอไว้ใจได้จริง ๆ ผิดกับเฉินเฟยอวี๋คนที่อยู่กับหยางชิวที่เขาค่อนข้างจะขี้กลัวและโง่เขลา แต่แล้วหลี่เจี่ยซินก็คล้ายจะสะดุดบางสิ่ง

เธอกำลังแบ่งแยกเฉินเฟยอวี๋เป็นสองคน เป็นสิ่งที่เธอรู้สึกแต่ไม่คาดคิดมาก่อน ได้แต่ปล่อยมันเอาไว้ในใจโดยไม่เคยคิดจะค้นหาความจริง นั่นเป็นเพราะว่าเธอมีเฉินเฟยอวี๋อยู่ข้างกายมาตลอดเวลา จนกระทั่งมีหยางชิวโผล่เข้ามาจึงทำให้หลี่เจี่ยซินเริ่มที่จะคิดมันอีกครั้ง

เธอเป็นคนเปิดเผยอยู่แล้ว สำหรับผู้ชายคนนี้หลี่เจี่ยซินคิดสิ่งใดก็ถามออกไปตรง ๆ

“ที่รัก ฉันพูดจริง ๆ ยังมีอีกเรื่องที่ฉันคิดมากในตอนนี้”

หลิวไห่ยิ้ม

“ว่ามาสิ มีอะไรอีกฉันจะช่วยเธอคลี่คลายเอง”

หลี่เจี่ยซินยกมือขึ้น ประคองใบหน้าของเขาเอาไว้ตรึงไว้แบบนั้นไม่ให้เขาขยับ เธอค่อย ๆ สำรวจใบหน้าหล่อเหลาของเขาช้า ๆ ทั้งดวงตา เส้นผม จมูก ปาก กระทั่งรูขุมขน ไฝฝ้านั้นเฉินเฟยอวี๋ไม่มีอยู่แล้ว เขาเป็นผู้ชายหน้าสะอาด เฉินเฟยอวี๋ที่อยู่ตรงหน้าของเธอก็เช่นกัน ไม่มีอะไรที่ผิดเพี้ยนเลย

เธอจับมือของเขา เฉินเฟยอวี๋คนนี้มีแหวนหมั้นในมือ แต่ในขณะเดียวกันเขากลับถอดเมื่ออยู่ต่อหน้าหยางชิว แต่เรื่องนี้ก็เข้าใจได้นี่นา เพราะเขารักหยางชิวไม่อยากให้หยางชิวเสียใจเลยถอดแหวนหมั้น ในขณะที่หลี่เจี่ยซินกลับไม่ยอมถอดออก

อย่างน้อยสิ่งนี้ก็ทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นหัวใจ

เธอบอกให้เขาพูดออกมาสักคำ

“ให้พูดอะไรล่ะ”

“พูดอีก ยาว ๆ”

“พูดอะไร ฉันไม่รู้จะพูดอะไรนี่ เธอดูประหลาดมาก”

หลี่เจี่ยซินคุ้นเคยน้ำเสียงของเฉินเฟยอวี๋อยู่แล้ว แต่หลิวไห่เองก็มีโทนเสียงที่คล้ายกับเฉินเฟยอวี๋อย่างมาก หากไม่ใช้เครื่องแยกเส้นเสียงยังไงก็ไม่มีทางแยกออกเป็นแน่ เขางอนิ้วเขกเข้าไปที่ศรีษะของหลี่เจี่ยซิน

“เธอเป็นอะไร ดูเพี้ยน ๆ นะ”

หลี่เจี่ยซินถอนหายใจ

“ที่รักฉันอาการหนักแล้ว ฉันคิดกระทั่งว่าเธอมีอีกร่าง เธอมีฝาแฝดที่เหมือนกันมากจนกระทั่งฉันยังแยกไม่ออก”

หลี่เจี่ยซินหน้าเศร้า ในขณะที่หลิวไห่ตาค้างแข็ง นี่เขาถูกจับได้แล้วเหรอ แล้วยัยนี่ก็ปิดปากสนิท เธอคิดว่าเขาสองคนเป็นคนละคนตั้งแต่เมื่อไหร่กัน เธอรู้แล้วเหรอ

ในใจหนึ่งของหลิวไห่ก็รู้สึกดีเป็นอย่างยิ่ง เขาไม่อยากหลอกหลี่เจี่ยซินอีก คิดว่าจะหาโอกาสเหมาะ ๆ จะบอกเธอ สารภาพซะให้เสร็จสิ้น ทุกเรื่องจะได้คลี่คลาย แต่อีกใจก็กลัวว่าหากเขาและเธอเปิดตัวจะทำให้หลี่เจี่ยซินเป็นอันตราย และการสู้กับประธานกู้ก็อันตรายมาก เขายอมรับว่ารักเธอมากไม่อยากให้เธอเสียใจหากเขาเป็นอะไรไป

เพราะแบบนี้การตัดเธอออกไปก็ย่อมดี

ถึงเขาจะรู้ว่าหลี่เจี่ยซินจะรู้สึกยังไงกับเขา แต่การที่มีหยางชิวเข้ามาขวางก็ทำให้เธอย้อนกลับไปที่จุดเดิมที่ว่าเขาเป็นเกย์ ไม่สามารถเปลี่ยนได้ ดังนั้นหลี่เจี่ยซินก็คงทำใจได้ง่ายขึ้น แต่หากงานของเขาสำเร็จ เขาก็จะขอเธอแต่งงานอย่างเปิดเผย ได้แต่หวังว่าในตอนนั้นคงไม่สายไป

แต่ที่หลิวไห่ไม่รู้คือหลี่เจี่ยซินเองกลับคิดว่าตัวเองกำลังจะตาย เป็นความรู้สึกที่เธอค่อนข้างแน่ใจ แต่กลับไม่ตระหนกจนเกินไป คล้ายกับว่าจิตใต้สำนึกของเธอล่วงรู้วันตายของตัวเองมาเนิ่นนานแล้ว

แต่สิ่งที่เธอสงสัยเธอต้องได้คลี่คลายก่อน เกิดอะไรขึ้น และทำไมเธอถึงเป็นแบบนี้ เป็นหลี่เจี่ยซินที่แข็งแกร่งไม่มีใครสู้ได้ และทำไมเธอถึงต้องตายด้วย

หลิวไห่แสร้งหัวเราะออกมาทำลายความเงียบ เขายิ้มแล้วบอกว่า

“อย่าคิดมากเลย เอาแบบนี้ดีหรือเปล่า เรามาช่วยกันตามหาความจริงเกี่ยวกับเรื่องของเธอค่อย ๆ แกะปมไปทีละเรื่องจนกระจ่าง ตอนนั้นค่อยมาว่ากันเรื่องความรู้สึกที่เธอมีต่อฉัน”

หลี่เจี่ยซินใคร่ครวญ ใช่ เธอไม่รู้จะตายวันไหน อย่างน้อยก่อนตายก็ขอให้รู้ว่าตัวเองเป็นหลี่เจี่ยซินตัวจริงหรือเปล่า

“ก็ได้ ขอบคุณนะที่รัก เพราะมีเธอทำให้ฉันไม่รู้สึกตัวคนเดียวอีกต่อไป”

หลิวไห่ดึงเธอเข้ามากอด จูบปลอบโยนที่หน้าผาก หลี่เจี่ยซินอบอุ่นหัวใจกอดเขาอย่างมีความสุข และคืนนี้เธอก็ออดอ้อนให้เขานอนกับเธอ หลิวไห่เองก็เตรียมพร้อมไว้อยู่แล้ว เขายังเตรียมเสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัวมาด้วย

คืนนี้ทั้งคู่นอนกอดกันอย่างมีความสุข หลี่เจี่ยซินแทบจะไม่คลายอ้อมแขนจากเขาเลย เธอเอาแต่สัมผัสลูบไล้กล้ามของเขาเล่นอยู่ทั้งคืน แม้สองคนจะร่วมรักกันอย่างหนักแล้วหลี่เจี่ยซินก็ยังไม่ปล่อยเขา

เช้าวันต่อมา

หลิวไห่เพิ่งได้ทักทายคุณยายในตอนเช้า แน่นอนว่าคุณยายตกใจและเห็นเขาเป็นคนแปลกหน้า หลี่เจี่ยซินต้องแนะนำอีกครั้งว่าเขาคือคู่หมั้นของเธอ แวะมาหาและจะพาเธอไปทำธุระ หลิวไห่ถูกคุณยายใช้ไม้เรียวตีไปหลายครั้ง เพราะยังคิดว่าหลี่เจี่ยซินเป็นเด็กน้อยจะมีคู่หมั้นได้ยังไง

สุดท้ายแล้วหลิวไห่ต้องเปลี่ยนสถานะเป็นเพื่อนวัยเด็กของเธอ ที่จะพาเธอไปเที่ยวเล่นที่สนามเด็กเล่น คุณยายถึงได้อนุญาตให้พวกเขาออกจากบ้าน

หลิวไห่และหลี่เจี่ยซินไปที่โรงพักเพื่อสืบหาความจริง แต่น่าเสียดายที่แต่ก่อนการจัดเก็บเอกสารนั้นไม่ค่อยดี ทุกอย่างจึงหายไปแล้ว อีกทั้งคดีนี้ก็ได้รับการคลี่คลายแล้วนับว่าเป็นคดีไม่สำคัญ จึงไม่มีใครสนใจเก็บไว้

หลี่เจี่ยซินคอตก พวกเขาขอบคุณคุณตำรวจเดินออกมาอย่างหงอย ๆ ที่ไม่ได้เรื่องอะไร จู่ ๆ คุณลุงคนหนึ่งก็วิ่งออกมา เขาเหมือนเป็นตำรวจที่เกษียณแล้วบังเอิญมีลูกชายเป็นตำรวจอยู่ที่นี่จึงแวะเอาข้าวกลางวันมาให้ ได้ยินเรื่องของหลี่เจี่ยซินเขาจึงจำได้ เพราะเขาก็เป็นหนึ่งในคนที่ช่วยตามหา แต่ภายหลังต้องไปทำคดีอื่นก็เลยไม่ได้ติดตามต่อ รู้แต่ว่าเด็กกลับมาอย่างปลอดภัยก็เท่านั้น

“ถ้าอยากรู้ลองไปถามผู้หมวดที่ทำหน้าที่นี้ในตอนนั้นนะครับ เขาคงดีใจที่ได้พบคุณอีกครั้ง ตอนนั้นเขาทุ่มเทหาคุณมากครับ”

ชายชราพูดพร้อมกับเขียนที่อยู่ของอดีตตำรวจให้เธอ

คุณยายจับมือของหลี่เจี่ยซิน พร้อมทั้งเอาขนมลูกกวาดในลิ้นชักให้เธอ

“กลับจากโรงเรียนแล้วเหรอ นี่ของโปรด” แล้วคุณยายก็ก้มลงกระซิบบอกหลี่เจี่ยซิน

“อย่าบอกแม่นะ รีบกินรีบเคี้ยว”

หลี่เจี่ยซินรับมา เธอแกะห่อขนมออกแล้วยัดใส่ปาก ทำหน้าตาเหมือนว่ามันเป็นขนมที่อร่อยที่สุด หลี่เจี่ยซินยิ้มแป้นพลอยทำให้คุณยายอารมณ์ดีขึ้น ในเวลานี้ที่เธอมาถึงเป็นเวลาใกล้อาหารเย็นแล้ว คนใช้จึงเพิ่มที่ของเธออีกที่ ปกติคนที่คอยดูแลคุณยายก็มักทานข้าวเป็นเพื่อนคุณยายเสมอ แต่เมื่อหลี่เจี่ยซินมาเธอจะแยกตัวไปทานต่างหาก ปล่อยให้ยายหลานได้คุยกัน

“นี่ก็ของโปรดหลาน”

คุณยายตักพะโล้หมูหวานให้หลี่เจี่ยซิน เธอกล่าวขอบคุณพร้อมกับนึกถึงเรื่องบางอย่างได้ ในวันนั้นเหมือนว่าเธอไม่ชอบของกินนี่ แต่เพราะคุณยายบอกว่าคือของโปรดหลี่เจี่ยซินจึงฝืนใจกิน แม้จะไม่ชอบนักเธอก็ยังกินจนหมด สุดท้ายแล้วกินไปกินมากลับกลายเป็นความชอบของเธอ

ในวัยเด็กเธอไม่เคยสงสัยเรื่องพวกนี้มาก่อน จนกระทั่งวันนี้เธอจึงเกิดความสงสัยขึ้นมา ทำไมคุณยายถึงบอกว่าเธอชอบล่ะ และในตอนนั้นเธอกำลังคิดอะไรอยู่เธอจึงไม่บอกว่าเธอไม่ได้ชอบของพวกนี้

ทั้งหมดเพราะอะไรกันแน่

หลี่เจี่ยซินคิดไปพลางตักข้าวเข้าไป ทั้งยังฟังคุณยายเล่าเรื่องต่าง ๆ ทุกอย่างล้วนเป็นตอนที่หลี่เจี่ยซินอยู่ในวัยเด็ก เหมือนคุณยายในตอนนี้จะหยุดเวลาไว้แค่นั้น หลังจากกินข้าวเสร็จ หลี่เจี่ยซินก็ประคองคุณยายไปที่ลานบ้าน รับลมที่โชยโบก บรรยากาศของที่นี่ยังเป็นชนบทอยู่มาก อากาศแสนบริสุทธิ์ยังมีดอกไม้ที่ปลูกส่งกลิ่นหอมอยู่รอบ ๆ

หลี่เจี่ยซินรู้สึกว่าสมองโล่งขึ้น เธอเองก็ควรหาเวลามานอนกับคุณยายบ่อย ๆ เพราะทางด้านเฉินเฟยอวี๋เธอก็ไม่มีอะไรน่าห่วงแล้ว ไม่รู้ว่าระหว่างเธอกับคุณยายใครจะมีชีวิตอยู่ได้ยืนยาวกว่ากัน

หลังจากพูดคุยกับคุณยายไปได้สักพัก หลี่เจี่ยซินก็พยายามพาคุณยายวกเข้ามาเรื่องของแม่ ตอนนี้ดูเหมือนคุณยายจะกลับมาสู่โลกปัจจุบันและไม่ได้ติดอยู่ในอดีตแล้ว

“แม่ของหนูน่ะ หน้าเหมือนหนูมากเลยน่าเสียดายเขาจากไปเร็วเกินไป เสี่ยวเจี่ยของยายต้องกำพร้าแล้ว น่าสงสารเสียจัง”

คุณยายน้ำตาคลอ หลี่เจี่ยซินยิ้มเศร้า สุดท้ายไม่สามารถที่จะหยุดความสงสัยได้ เธอแค่ถามออกไปส่ง ๆ ไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องจริง

“คุณยายคะ ตอนนั้นที่คุณยายร้องไห้ หนูหายไปเหรอคะ”

จู่ ๆ มือคุณยายก็สั่น ยังร้องไห้ออกมาอย่างหนัก คุณยายจับมือของหลี่เจี่ยซินแน่น เอาแต่พูดว่า

“หาเสี่ยวเจี่ยให้เจอ หาเธอให้เจอ ฉันมีหลานสาวคนเดียวแม่เขาลูกสาวของฉันฝากเอาไว้ จะให้เธอหายไม่ได้ จะให้เธอหายไม่ได้เด็ดขาด”

หลี่เจี่ยซินถึงกับตกใจ ที่แท้มันเกิดอะไรขึ้น ในตอนนี้พ่อของเธอจากไปแล้วผู้ที่รู้ทุกอย่าง และคุณยายก็เลอะเลือน ในตอนนี้ดูเหมือนว่าหลี่เจี่ยซินจะทำให้คุณยายจดจำเรื่องบางอย่าง จนท่านไม่สบาย หลี่เจี่ยซินรู้สึกผิดเป็นอย่างยิ่ง เธอจะทำยังไงดี

“คุณยาย เสี่ยวเจี่ยอยู่ที่นี่ค่ะ คุณยายคะ เสี่ยวเจี่ยไม่ได้หายไปไหนคะ ดูสิคะหลานยายอยู่ตรงนี้”

หลี่เจี่ยซินจับมือของคุณยายให้จับต้องสัมผัสร่างของเธอ สุดท้ายคุณยายหยุดคุ้มคลั่ง และกอดเธอแน่น ปากก็พร่ำพูดไปว่า

“เสี่ยวเจี่ยหายไปเป็นอาทิตย์เลย กลับมาแล้วเหรอลูก ยายใจจะขาดแล้วคิดถึงหนูกลัวหนูเป็นอันตราย”

หลี่เจี่ยซินตกใจที่ได้ยิน ก่อนหน้านั้นเป็นเพราะคุณยายยังสบายดีความทรงจำที่มีอย่างมากก็เลอะเลือนไปชั่วขณะ ไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้ ระยะหลังมาอาการความจำเสื่อมเริ่มมากขึ้น ในที่สุดคุณยายก็หวนกลับไปคิดถึงความหวาดกลัวที่เคยเกิดขึ้น

ความกลัวที่ไม่เคยจางหายไปจากใจของคุณยายเลย

“หนูกลับมาแล้วค่ะ หนูกลับมาแล้ว”

คุณยายไม่ได้บอกว่าหลี่เจี่ยซินหายไปไหน พ่อก็ไม่เคยพูดถึง ดูเหมือนว่าทุกคนจะปกปิดเรื่องนี้เป็นความลับ ทั้งหมดหากจะมองให้เข้าใจก็เพราะทุกคนอยากผ่านเรื่องนี้ไปด้วยกัน ไม่ย้อนกลับมาอีก หลี่เจี่ยซินในตอนนั้นสันนิษฐานว่าตัวเองมีอายุเพียงแค่ห้าขวบกว่า ๆ เท่านั้นเอง

แต่เธอหายไปไหนและกลับมาได้ยังไงเรื่องนี้เป็นปริศนาเป็นอย่างยิ่ง

สุดท้ายแล้วคุณยายก็ได้รับยาและนอนหลับไปแล้ว หลี่เจี่ยซินเดินออกมาจากห้องของคุณยาย รถคันหนึ่งมาจอดที่ลานจอดหน้าบ้านหลังเล็ก หลี่เจี่ยซินไม่คุ้นตารถคันนี้ แต่ทันทีที่ผู้ชายในรถก้าวลงมาเธอก็แทบอยากจะกระโดดไปกอดเขา

“ที่รักมาได้ยังไง”

หลิวไห่เองมาถึงได้นานแล้ว แต่เขาเพิ่งขับรถเข้ามาจอด ที่ลานกว้างหน้าบ้านเขาเห็นยายกับหลานกอดกันร้องไห้ เขาไม่รู้ว่าเป็นเรื่องอะไร แต่คิดว่าไม่สมควรที่จะเข้าไปในตอนนี้ให้เสียมารยาท

หลิวไห่ปิดประตู คว้าเอวของหลี่เจี่ยซินให้ชิดร่างของตัวเอง กอดเธอเอาไว้แน่น

ความจริงแล้วเรื่องที่เธอถูกเอาตัวอย่างเลือดไปทำให้เขากลัวมาก เพราะคนของสกุลกู้กำลังทำเรื่องที่อันตรายอยู่ ทั้ง ๆ ที่เขาไม่อยากให้หลี่เจี่ยซินเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่เป็นเขาที่ให้เธอเข้าไปร่วมในปฏิบัติการพาคนออกมา จึงทำให้เธอตกเป็นเป้าของคนพวกนั้น

ความสามารถด้านการต่อสู้ของหลี่เจี่ยซินอาจเข้าตาคนของสกุลกู้และพวกเขาคิดใช้ประโยชน์จากเธอเหมือนกับที่คิดใช้กับผู้หญิงคนอื่นที่ถูกจับตัวไป

“ทำไมมาคนเดียว ไม่บอก”

หลี่เจี่ยซินกอดเอวเขา แล้วพากันเดินเข้าไปในบ้าน

“ไม่มีอะไร เห็นว่าที่รักกำลังมีความสุข อยู่กับหยางชิวนั่นก็ดีแล้วนี่ฉันแค่คิดถึงคุณยายก็เลยตรงมาน่ะ”

หลิวไห่กระแอม คิดแย้งในใจว่านั่นไม่ใช่เขาสักหน่อย แต่จะโทษใครได้ระหว่างเขากับเฉินเฟยอวี๋ ทั้งหน้าตาทั้งเสียงทั้งรูปร่างต่างโขกออกมาจากพิมพ์เดียวกัน หากไม่ยืนเปรียบเทียบกันแล้วพบว่าเขาสูงกว่านิดหน่อยไม่มีใครเคยแยกพวกเขาออก ยิ่งหลี่เจี่ยซินที่เชื่อเสียสนิทแบบนี้โดยไม่คิดระแวงว่าเฉินเฟยอวี๋มีคู่แฝด เธอยิ่งปักใจเชื่อว่าคือคนเดียวกัน

หลิวไห่ได้แต่คิดในใจว่า

“คนโง่เอ๊ย”

หลี่เจี่ยซินเอาน้ำให้เขาดื่ม หลิวไห่ยังไม่ได้กินข้าวยังมีกับข้าวเหลืออยู่มาก เมื่อสักครู่เธอก็กินได้น้อยเพราะกังวลใจ แต่เมื่อเห็นหลิวไห่จึงรู้สึกหิวขึ้นมาอีก หลี่เจี่ยซินจึงกินข้าวเป็นเพื่อนเขาอีกรอบ พร้อมกับถามรายละเอียดคนร้าย

หลิวไห่เล่าให้เธอฟังโดยละเอียด สุดท้ายหลี่เจี่ยซินผู้ไม่สนใจโลกก็หัวเราะออกมา แน่นอนว่าเธอกลับรู้สึกสบาย ๆ ด้วยซ้ำ

“ฉันไม่กลัวหรอกไม่ต้องห่วง ไม่มีใครทำอะไรฉันได้ ได้เลือดไปแล้วยังไงอย่างมากพวกมันก็ตามมาให้วุ่นวาย แค่จัดการก็สิ้นเรื่อง”

ดูท่าทางของหลี่เจี่ยซินไม่ทุกข์ร้อนอะไรจริง ๆ แต่คนที่กังวลกลายเป็นหลิวไห่แทน ในตอนนี้เขาคิดว่าจะเปิดเผยตัวตนของตัวเองให้หลี่เจี่ยซินรู้ ยังไงเรื่องก็เลยเถิดมาจนถึงตอนนี้แล้ว

หลี่เจี่ยซินพาเขามาห้องนั่งเล่นเมื่อสักครู่เธอรื้อรูปเก่า ๆ เมื่อตอนเป็นเด็กมาดูกับคุณยาย หญิงสาวจึงกลับมาเก็บให้เรียบร้อย

“อยากดูหรือเปล่า รูปฉันตอนเด็กน่ะ กับคุณแม่และคุณยายแต่ไม่ค่อยมีคุณพ่อเขายุ่งไม่ค่อยมีเวลาเท่าไหร่”

หลิวไห่พยักหน้า เขานั่งลงที่เก้าอี้ข้างตัวเธอ พร้อมกับเปิดอัลบั้มรูปของหลี่เจี่ยซินอย่างช้า ๆ

เด็กผู้หญิงร่างอ้วนเหมือนซาลาเปา ใบหน้าน่ารัก ดูเหมือนหลี่เจี่ยซินในตอนนี้ไม่ผิด ดูแค่ตอนเด็กก็รู้แล้วว่าโตขึ้นมาจะสวยขนาดไหน แต่ที่น่าแปลกใจรูปพวกนี้กลับหยุดที่หลี่เจี่ยซินอายุสามขวบเท่านั้น หลังจากนั้นกลับไม่มีรูปของเธอจนกระทั่งเธออายุห้าขวบ ช่วงเวลาหายไปปีหนึ่งคือช่วงอายุ สี่ขวบ ช่างน่าประหลาดโดยแท้ แต่หลี่เจี่ยซินรู้เรื่องนี้อยู่แล้วจึงอธิบายให้เขาฟัง

“แม่เสียตอนสี่ขวบน่ะ ก็เลยไม่มีรูปถ่ายช่วงนั้น ปกติพ่อจะยุ่งมากมีแต่แม่ที่คอยถ่ายรูปให้”

เธอบอกเขา พร้อมกับมองหน้าผู้หญิงที่อยู่ในรูปด้วยความรู้สึกรักใคร่เป็นอย่างมาก หลิวไห่ลูบศีรษะของเธอคล้ายจะปลอบใจ

“ไม่เป็นไรนะ ตอนนี้เธอมีฉันอยู่เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป”

หลิวไห่หยิบรูปในมือของเธอขึ้นมาดูพร้อมกับอมยิ้ม หลี่เจี่ยซินตอนเด็กน่ารักมากจริง ๆ

“เธอเหมือนแม่หลานส่วนเลยนะ” แต่แล้วเขาก็แปลกใจบางอย่าง

“แต่เหมือนตอนเด็กเธอจะมีใฝเล็ก ๆ ที่ปลายคางนี่”

นั่นเป็นเพราะรูปถ่ายสมัยนั้นไม่ใช่กล้องดิจิตอล การเก็บรักษารูปก็ไม่ได้ดีมากจึงดูเหลืองและซีดมาก หลี่เจี่ยซินสังเกตตามที่เฉินเฟยอวี๋พูด ก่อนหน้านั้นแทบทุกรูปเธอจะมีจุดสีดำที่เธอไม่เคยสังเกตเห็นอยู่บนปลายคางเสมอ อันที่จริงมันเล็กมากจนคล้ายเป็นจุดที่เกิดจากการเก็บรูป แต่ที่น่าตกใจคือ มันมีเหมือนกันทุกรูป

หลังจากนั้นรูปห้าขวบของเธอไฝนั่นกลับหายไปแล้ว

ในใจของหลี่เจี่ยซินคล้ายจะกระตุก หลิวไห่จึงพูดว่า

“ตอนโตร่างกายขยายไฝอาจจะจางหายไปก็ได้”

เขาวิเคราะห์มั่ว ๆ ไม่ได้ใส่ใจนัก แต่ในใจของหลี่เจี่ยซินตอนนี้กลับไม่สงบเสียแล้ว เธอต้องตามสืบเรื่องนี้ด้วยตัวเอง หรือจะขอยืมมือของเฉินเฟยอวี๋ดีหรือเปล่านะ

หลี่เจี่ยซินออกจากโรงพยาบาลแล้วพร้อมกับผลตรวจที่ทำให้เธอค่อนข้างเป็นกังวล เธอขอให้หมอเก็บเป็นความลับและตั้งใจจะมาพบหมอตามที่นัดทุกครั้ง เรื่องนี้เธอไม่ต้องการให้เฉินเฟยอวี๋รู้ให้เขาไม่สบายใจ

เกิดเนื้องอกในสมองของเธอซึ่งดูเผิน ๆ อาจไม่พบความผิดปกติแต่ก็ต้องเฝ้าระวังอย่างเต็มที่ เดิมทีหมอไม่ได้กังวลอะไรแต่ภาวะการปวดหัวจนถึงขั้นเลือดกำเดาไหลอย่างรุนแรงของเธอทำให้ทางแพทย์กำลังพิจารณาประเด็นนี้อย่างละเอียด ที่สำคัญเหมือนกับว่ามันจะค่อย ๆ โตขึ้นอย่างรวดเร็วจนผิดปกติ

หลี่เจี่ยซินที่ได้รับการดูแลจากเฉินเฟยอวี๋อย่างดีในตอนที่เธอเข้าโรงพยาบาลแค่นี้ก็รู้สึกดีแล้ว เมื่อกลับมาถึงบ้านเฉินเฟยอวี๋ก็กลับไปบริษัทเขาให้เธอพักผ่อนให้ดีอีกทั้งเรื่องที่มีคนสวมรอยมาเป็นพยาบาลเพื่อตรวจเลือดของเธอตอนนี้กำลังให้ตำรวจสอบสวนและยังมีคนของเขาร่วมด้วย

หลังจากพาหลี่เจี่ยซินไปส่งหลิวไห่ก็กลับเข้ามาที่โรงพยาบาลอีกครั้ง เขาขอไฟล์นางพยาบาลคนนั้นมาดู ผู้หญิงคนนั้นหายไปอย่างรวดเร็วโดยที่ไม่มีใครเห็น เธอเป็นเจ้าหน้าที่พยาบาลในนี้แต่วันนี้เป็นวันหยุดของเธอ โดยปกติเธอต้องไม่มาทำงาน

หลิวไห่ได้รับที่อยู่ของพยาบาลคนนั้น เขาไม่ได้แจ้งความและยังไม่คิดจะเอาความต่อแต่ได้ขับรถไปที่พักของพยาบาลคนนั้น เธออาศัยอยู่ที่คอนโดสวัสดิการของโรงพยาบาล และเมื่อไปถึงห้องหลิวไห่กดกริ่งอยู่นานก็ไม่มีใครเปิด

“โทษนะครับ มีใครอยู่หรือเปล่าครับ”

เขากดกริ่งเรียกคนข้างในหลายครั้ง จนกระทั่งเขาตัดสินใจให้ดวงตาสวรรค์ปลดรหัสล็อคให้ โชคดีที่มันใช้ระบบคอมพิวเตอร์จึงไม่ทำให้เขาลำบากในการเข้าไปนัก เมื่อหลิวไห่เข้าไปในห้องก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าพยาบาลคนนั้นกลับนอนสลบอยู่ที่พื้น

ไม่รู้ว่าสลบไปนานแค่ไหนแล้ว

เขาโทรแจ้งเรื่องนี้กับโรงพยาบาลให้เอารถพยาบาลมารับ ปรากฎว่าเธอถูกวางยาสลบในห้องพักตัวเอง และถูกสวมรอยเข้าไปทำงาน แล้วผู้หญิงคนนั้นหายไปได้ยังไงโดยที่ไม่มีใครเห็น

หลิวไห่โทรหาดวงตาสวรรค์สั่งให้ตรวจสอบกล้องวงจรปิดบริเวณรอบโรงพยาบาลหาผู้หญิงคนที่ร้ายที่สวมรอยเป็นนางพยาบาลคนนั้น เขารู้สึกไม่สบายใจเมื่อเลือดของหลี่เจี่ยซินดันเข้าไปอยู่ในมือของคนร้าย

คนร้ายต้องการเลือดของหลี่เจี่ยซินไปเพื่ออะไร หรือว่าพวกเขาสืบได้แล้วว่าเป็นใครที่เข้าไปทลายสถานที่วิจัยลับของพวกเขา

เมื่อหลิวไห่ออกมาแล้ว เฉินเฟยอวี๋ตัวจริงก็กลับบ้าน เขาสวมกอดเธออย่างดีใจที่เธอไม่เป็นอะไรมาก ข้างตัวของเธอมีผลไม้ที่หยางซิวและน้องสาวของเขาช่วยกันปอกให้หลี่เจี่ยซิน ทั้งยังดูแลเธอเหมือนกับคนที่ป่วยติดเตียงคนหนึ่ง

เป็นเพราะหลี่เจี่ยซินยังกังวลเรื่องเนื้องอกในสมองของเธอ ซึ่งหมอบอกว่าอัตราการเติบโตของมันช่างรวดเร็วนัก เธอจึงได้แต่นอนพวกเขาอย่างสงบ เมื่อเห็นสายตารักใคร่ของเฉินเฟยอวี๋ที่มองหยางชิวแล้วยิ่งปวดใจ

เมื่อคืนเธอก็ได้รับสายตาแบบนี้จากเฉินเฟยอวี๋แต่ตอนนี้เมื่อมีหยางชิวอยู่ด้วย เธอจึงกลายเป็นหมาหัวเน่าไปแล้ว ถึงจะออดอ้อนเขายังไง เฉินเฟยอวี๋ก็ยังไม่มอง

หลี่เจี่ยซินคิดมาก เธอคิดว่าเธอกำลังจะตายแล้ว ก็สมควรปล่อยให้เฉินเฟยอวี๋มีความสุขให้มาก ภาพของเด็กหญิงที่หัวเราะกับพี่ชายทั้งสองอย่างมีความสุขทำให้หลี่เจี่ยซินรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด

เด็กหญิงที่หัวเราะโดยไม่รู้ชะตากรรมของตัวเองทำไมช่างคุ้นเคยแบบนี้

ในที่สุดหลี่เจี่ยซินก็ลุกพรวดขึ้น หลายวันมานี้มีบางอย่างที่เหมือนเธอจะลืมไปนานแล้วค่อย ๆ กลับเข้ามาอีก จนกระทั่งเฉินเฟยอวี๋พูดขึ้น

“ที่รักวันเกิดเธอปีนี้เราล่องเรือฉลองกันทั้งบริษัทเลยดีหรือเปล่า บริษัทก็เข้าที่เข้าทางแล้วจะได้ตอบแทนพนักงานด้วย”

หลี่เจี่ยซินมองหน้าเฉินเฟยอวี๋ แล้วเอ่ยคำหนึ่งออกมา

“ใช่ วันเกิด”

เฉินเฟยอวี๋พยักหน้า

“ใช่เธอจะอายุยี่สิบห้าปีแล้วนะ นับว่าไม่ใช่เด็กสาวแล้วต่อไปทำอะไรต้องระมัดระวัง ฉันไม่ปล่อยให้เธอใช้กำลังอีกแล้ว เห็นหรือเปล่าเครียดจนล้มป่วยแบบนี้”

หลี่เจี่ยซินเลิกผ้าห่มที่คลุมตัวออก จู่ ๆ เธอก็ดีดร่างของตัวเองให้เด้งออกจากเตียงนอนอย่างว่องไว หลี่เจี่ยซินคว้าเสื้อคลุมมาสวมในขณะที่ทุกคนมองเธออย่างมึนงง เมื่อสักครู่เธอยังทำท่าเหมือนคนตายอยู่นี่ ตอนนี้หลี่เจี่ยซินทำท่าเหมือนตัวเองกำลังจะออกรบกับข้าศึก

เฉินเฟยอวี๋ไม่พอใจหญิงสาวคนนี้ จึงตวาดเสียงดัง

“นี่เธอจะไปไหน นอนลงเลยนะ”

หลี่เจี่ยซินส่ายหน้า

“ที่รักฉันมีที่ต้องไป ฉันไปก่อนนะไม่ต้องห่วง”

แล้วเธอก็คว้ากุญแจรถ หายไปอย่างรวดเร็ว เฉินเฟยอวี๋สั่งให้ลูกน้องตามเธอติด ๆ อย่าให้คลาดสายตาและอย่าให้เธอได้รับอันตรายได้ ทั้ง ๆ ที่ เขารู้ดีว่าหลี่เจี่ยซินสามารถสลัดคนพวกนั้นออกไปได้อย่างรวดเร็ว

“แย่แล้วเธอไปไหนกันเนี่ย ฉันต้องโทรบอกพี่ชายให้ตามเธอแล้ว”

เฉินเฟยอวี๋โทรบอกหลิวไห่อย่างรวดเร็ว

“หลี่เจี่ยซินไม่ได้บอกว่าจะไปไหน แต่ท่าทางรีบร้อนมาก ลูกน้องเพิ่งโทรมาบอกว่าเธอสลัดพวกเขาหลุดแล้วตามไม่ทันแล้วทำยังไงดี”

หลิวไห่กรอกเสียงตอบ

“ไม่ต้องห่วง ฉันจะตามเธอเอง นายช่วงนี้ก็อย่าออกไปเพ่นพ่าน ที่บริษัทฉันให้น้องสาวนายกลับมาคุมแล้วและยังควบคุมให้ดีด้วยไม่ต้องห่วงงาน”

ข้อเสนอที่หลิวไห่ยื่นให้กับน้องสาวของเฉินเฟยอวี๋ค่อนข้างที่จะเป็นประโยชน์ต่อเธอ ยังไงเรื่องการบริหารก็ต้องยอมรับว่าเฉินเฟยอวี๋สู้น้องบุญธรรมของเขาไม่ได้ ดังนั้นหลิวไห่จึงคิดใช้งานคนหลังจากสั่งสอนเธอไปไม่ให้เธอกล้าหืออีก

หญิงสาวคนนั้นแม้จะคิดว่าตัวเองมีอำนาจในบริษัท แต่กลับถูกคนที่เหี้ยมกว่าและประสบการณ์มากกว่าอย่างหลิวไห่กำราบได้ในพริบตา เขายังขู่ฆ่าเธอโดยไม่สนใจว่าเธอจะเป็นผู้หญิงหรือเปล่า หากเธอคิดจะยืมมือคนอื่นมาทำให้บริษัทลำบากอีก

ตั้งแต่วันนั้นดูเหมือนว่าผู้หญิงคนนั้นที่เติบโตมากับเฉินเฟยอวี๋จะจับได้แล้วว่าเขาไม่ใช่เฉินเฟยอวี๋ และดูเหมือนว่าเธอรู้แต่เธอไม่ยอมพูดออกมา ยังเข้าหาเขาอย่างใกล้ชิดหลายครั้งอีกต่างหาก

หลิวไห่ได้แต่ยืนกรานด้วยการกระทำว่าเขามีความรู้สึกลึกซึ้งกับหลี่เจี่ยซิน ดังนั้นขอให้เธอหยุดอยู่แค่นั้น แน่นอนว่าผู้หญิงคนนั้นก็พอรู้ฝีมือของหลี่เจี่ยซินอยู่บ้าง เธอจึงไม่กล้าที่จะทำอะไรที่เกินเลยอีก

หลิวไห่ดูจีพีเอสติดตามตัวที่เอาแอบติดไว้ในกระเป๋าของหลี่เจี่ยซิน พบว่าเธอกลับไปที่บ้านของคุณยายของเธอ หลิวไห่เคยไปที่บ้านหลังนั้นแล้วครั้งหนึ่งเขาจึงรีบขับรถตามเธอไปอย่างรวดเร็ว

หลี่เจี่ยซินจอดรถ พร้อมกับถลาเข้าไปร้องเรียกหาคุณยาย หลังจากหลิวไห่ไปฮ่องกงเธอก็มานอนกับคุณยายเพื่อซ่อนตัวอยู่หลายวัน ในวันที่มานอนที่นี่คุณยายของเธอซึ่งหลง ๆ ลืม ๆ วันหนึ่งถึงกับวิ่งหน้าตาตื่น ทั้ง ๆ ที่ปกติคุณยายจะเดินลำบาก แต่วันนั้นกลับวิ่งได้คล่องแคล่วเป็นอย่างยิ่ง

คุณยายมาเขย่าร่างของเธอให้ตื่นขึ้น พร้อมกับร้องไห้น้ำตาไหลพราก

“กลับมาแล้วเหรอหลานรัก กลับมาแล้ว อย่าหายไปไหนอีกนะ อย่าหายไปไหนอีก”

หลี่เจี่ยซินคิดว่าคุณยายฝันร้ายในคืนนั้น เธอไม่พบว่ามีสิ่งใดผิดปกติ แต่หลังจากที่ความทรงจำคล้ายมีคล้ายไม่มีของเธอเกิดขึ้นเธอก็คิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอีก หลี่เจี่ยซินไม่รู้ว่าจะได้ข้อมูลที่เธอสงสัยกับคุณยายผู้เลอะเลือนกระทั่งจำชื่อของตัวเองไม่ได้หรือเปล่า แต่เธอก็จะค่อย ๆ ลองถามคุณยายดู

คนรับใช้เข้ามารับของจากเธอ ระหว่างทางหลี่เจี่ยซินยังมีเวลาเล็กน้อยจึงซื้อของบำรุงมาฝากคุณยายเช่นทุกครั้ง แม้จะร้อนใจแค่ไหนเธอไม่อยากเผยความร้อนใจนี้ให้คนแก่รู้ได้

อย่างน้อยก่อนเธอตาย ก็ขอให้เรื่องที่เธอสงสัยนั้นได้คลี่คลายเธอจะได้นอนตายตาหลับ

เช้าวันต่อมา

หลี่เจี่ยซินอยากกินโจ๊กเจ้าโปรด หลิวไห่จึงออกไปซื้อให้เธอด้วยตัวเอง ระหว่างนี้หมอเข้ามาตรวจเธอก่อนจะปล่อยเธอกลับบ้าน หลี่เจี่ยซินแปลกใจที่สีหน้าของหมอไม่สู้ดีเท่าไหร่ ทั้งที่เมื่อคืนเพราะเฉินเฟยอวี๋ทำให้เธอได้ปลดปล่อยและรู้สึกดีขึ้นเป็นอย่างมาก

“ผมมีข่าวร้ายมาบอก ทั้งนี้ต้องขอโทษด้วยที่มองข้ามไปในตอนแรก เราจะขอให้คุณหลี่ตรวจร่างกายให้ละเอียดอีกครั้งนะครับ ช่วงบริเวณศีรษะ”

หลี่เจี่ยซินกลืนน้ำลาย อันที่จริงเธอมีอาการปวดหัวแบบนี้มาตลอด ช่วงหลัง ๆ มานี่ยิ่งเป็นบ่อยขึ้น แต่อาการนี้เดี๋ยวมาเดี่ยวหายเธอจึงคิดว่าเป็นเพราะเธอเครียด หญิงสาวยอมรับการตรวจแต่โดยดี แต่มีข้อแม้ว่าถ้าเฉินเฟยอวี๋กลับมา ไม่ให้หมอบอกเรื่องนี้กับเขาหรือคนอื่นเป็นอันขาด

“ได้ครับ ความลับคนไข้ถ้าคนไข้ไม่อนุญาติเราก็ไม่เปิดเผยแน่นอน”

หลี่เจี่ยซินไม่ได้นั่งรถเข็ญ เธอเดินตามพยาบาลไปเอ็กซเรย์ร่างกายด้วยเครื่องอันทันสมัยอีกครั้งด้วยตัวเอง จนกระทั่งหนึ่งชั่วโมงต่อมาทุกอย่างก็เรียบร้อย

เมื่อกลับมาที่ห้องพบเฉินเฟยอวี๋รออยู่แล้ว เขากำลังเทโจ๊กให้เธอยังมีปาท่องโก๋และน้ำเต้าหู้อีกแก้ว เขารู้แต่ว่าหลี่เจี่ยซินต้องเช็คร่างกายอีกรอบก่อนออกจากโรงพยาบาล ไม่มีอะไรน่าห่วงเป็นขั้นตอนปกติเท่านั้น เขาจึงไม่ได้สงสัยอะไร

หลี่เจี่ยซินยิ้มให้เขาใบหน้าระรื่น

“เมื่อคืนฉันข่วนหลังที่รักไปหลายแผลเจ็บหรือเปล่า”

หลิวไห่ส่ายหน้า

“ทีหลังก็อย่ารุนแรงให้มาก ก๊อกน้ำในห้องน้ำหักไปแล้ว ชักโครกก็แตกดีไม่พังลงมา”

หลี่เจี่ยซินหัวเราะ เธอสามารถพูดเรื่องนี้กับเฉินเฟยอวี๋ได้โดยไม่เคอะเขิน แต่คนที่หน้าแดงกลับเป็นเขา ดูน่ารักเป็นอย่างยิ่ง

“ก็จ่ายค่าเสียหายไป ที่รักรวยมากไม่ใช่เหรอ”

“ไม่มีปัญหาหรอกเรื่องนั้น แต่ทีหลังไม่ทำแล้วนะ ในโรงพยาบาล”

หลี่เจี่ยซินตาโต

“แสดงว่าจะมีครั้งต่อไปใช่หรือเปล่า ที่รักสัญญาแล้วนะ”

หลิวไห่ยิ้ม

“ต้องดูความประพฤติเธอก่อน”

หลี่เจี่ยซินทำหน้าเศร้า

“ฉันสัญญาว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับคนของเธอเด็ดขาด”

หลิวไห่หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก เขารู้ว่าหลี่เจี่ยซินหมายถึงหยางชิวที่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเขาเลย แต่เขาก็ไม่คิดจะเฉลยคำตอบ อย่างน้อยหยางชิวก็ยังเป็นคนที่ทำให้หลี่เจี่ยซินสงบลงได้เล็กน้อย เพราะไม่อยากจะขัดใจกับเฉินเฟยอวี๋

เขายกแก้วน้ำเต้าหู้ให้เธอแล้วถาม

“ตรวจร่างกายอะไรบ้าง ทำไมนานจัง”

หลี่เจี่ยซินยักไหล่

“ก็นิดหน่อย ให้เขาตรวจให้ดีจะได้ไม่ต้องมาอีกเธอขายหน้าที่ฉันทำก๊อกหัก กับชักโครกแตกไม่ใช่เหรอ”

หลิวไห่หัวเราะ

“เล็กน้อยน่ะ ไม่เป็นไรฉันพาเธอไปโรงพยาบาลอื่นได้ถ้าเกิดมีอะไร”

หลี่เจี่ยซินหน้าเศร้าเล็กน้อย แต่เธอก็รีบปรับสีหน้าอย่างรวดเร็ว

“ฉันไม่มาอีกแล้วล่ะโรงพยาบาลน่ะ ไม่ต้องห่วง”

หลิวไห่บอกเธอให้รีบกินข้าวเสีย เขาเองก็รอกินเป็นเพื่อนเธอ ทั้งสองคนพูดคุยกันไปเรื่อย ๆ หลี่เจี่ยซินจึงถามถึงสูตรยาที่ให้ทางฮ่องกงตรวจสอบ

“เป็นสูตรยาตัวหนึ่งที่กำลังทดลองดูกับหนูทดลองอยู่ คงต้องใช้เวลาราวหนึ่งเดือนถึงจะเห็นผลแต่ทุกอย่างก็ใกล้ถึงบทสุดท้ายแล้ว เราจะได้รู้กันแล้วว่าพวกเขาทำอะไร”

“แล้วนักวิทยาศาสตร์คนนั้นล่ะ”

หลิวไห่ส่ายหน้า

“เขาเองก็รู้แค่หน้าที่ของตัวเอง เหมือนจะไม่รู้อะไรมากไปกว่านี้ ผู้บัญชาการตำรวจนำเขาเข้าเครื่องจับเท็จไปหลายครั้งก็ไม่พบอะไรผิดปกติ คนพวกนี้ทำงานแค่หน้าเดียวเท่านั้น”

หลี่เจี่ยซินถอนหายใจ เรื่องใกล้แล้วแต่ดูเหมือนจะไกลออกไป

จนกระทั่งเธอกินเสร็จ พยาบาลคนหนึ่งก็เดินเข้ามา เธอมองหลี่เจี่ยซินแปลก ๆ มาขอวัดไข้ ความดัน และอัตราการเต้นหัวใจเหมือนทุกคน แต่คราวนี้หลี่เจี่ยซินต้องชั่งน้ำหนักวัดส่วนสูงด้วย แต่น่าแปลกที่หลี่เจี่ยซินคล้ายจะคุ้นเคยคนคนนี้จนน่าประหลาดใจ

“่ขอถามชื่ออีกครั้งเพื่อความแน่ใจนะคะ คนไข้คือคุณหลี่เจี่ยซินใช่หรือเปล่าคะ อายุ ยี่สิบสี่ปีกับอีกหกเดือน”

หลี่เจี่ยซินพยักหน้า เธอไม่แปลกใจเพราะพยาบาลย่อมจะขานชื่อเธอทุกครั้งอยู่แล้ว เธอปล่อยให้พยาบาลเช็กร่างกายจนละเอียด พร้อมกับมีเจาะเลือดของเธอไปด้วยหลอดหนึ่ง

“เมื่อสักครู่เจาะเลือดไปแล้วไม่พอเหรอคะ”

พยาบาลยิ้ม

“น่าจะใช่ค่ะ พยาบาลเองก็ทำตามคำสั่งคุณหมอค่ะ เรียบร้อยนะคะขอบคุณค่ะ”

หลี่เจี่ยซินเองไม่ชอบให้ใครอยู่กับเธอและเฉินเฟยอวี๋นาน เพราะว่าเวลาของพวกเขามีน้อยมาก จึงรู้สึกขัดใจอยู่เล็กน้อย พยาบาลคนนั้นไม่ตอบเอาแต่ยิ้มให้เธอ และเหมือนจะมองเธอด้วยสายตาเอ็นดู

หลังจากพยาบาลออกไปแล้ว หลี่เจี่ยซินพูดคุยกับหลิวไห่ต่ออีกไม่กี่คำ พยาบาลอีกคนก็เข้ามา ทั้งยังทำเหมือนกันเด๊ะ

“วัดความดันหน่อยนะคะ ยังต้องวัดอัตราการเต้นหัวใจและวัดไข้ด้วยค่ะ”

หลี่เจี่ยซินกับหลิวไห่มองหน้ากัน

“เอ๊ะ เมื่อสักครู่มีพยาบาลมาวัดไปแล้วนี่คะ”

พยาบาลคนนั้นทำหน้างง

“ห้องคุณหลี่เป็นหน้าที่ฉันค่ะที่ต้องมาวัดความดันทุกวัน ไม่มีใครมาทำแทนค่ะ แปลกจัง”

“นั่นสิคะ หรือเขาเข้าห้องผิด แต่ไม่น่าจะผิดนะคะ คู่หมั้นของฉันก็เป็นพยานได้ค่ะ พยาบาลคนนั้นยังเจาะเลือดฉันไปด้วยค่ะ สรุปนี่ยังไงกันแน่คะ”

พยาบาลคนนั้นทำท่าตกใจ แน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่น่าเกิดความผิดพลาดได้

“ฉันจะให้คนเช็คกล้องค่ะ ว่าเป็นคนไหนที่เข้ามาตรวจคนไข้กันแน่ ไม่ต้องตกใจนะคะ อาจเกิดความเข้าใจผิดหรือเวรซ้อนได้ค่ะ”

หลิวไห่ไม่แน่ใจแล้ว สัญชาตญาณบางอย่างของเขาทำให้เขารู้สึกแปลก ๆ กับเรื่องนี้

“ผมขอดูกล้องด่วนครับ ผมคิดว่าเรื่องนี้ไม่ปกติทางโรงพยาบาลต้องชี้แจงกับผมจนกว่าผมจะคลายข้อสงสัย”

หลิวไห่จับมือของหลี่เจี่ยซินแน่น

คนพวกนั้นเพิ่งลักพาตัวหญิงสาวไปกักขัง และหลี่เจี่ยซินเพิ่งช่วยออกมา หรือพวกมันจะตามมาถึงที่นี่ต่อหน้าต่อตาเขาแต่เขาก็ยังปกป้องเธอไม่ได้ ในขณะที่หลี่เจี่ยซินเองกลับสงบไม่ได้รู้สึกหวาดกลัว

คล้ายกับว่าเธอกำลังรอคนพวกนี้อยู่แล้ว มันเป็นความรู้สึกลึก ๆ ที่อยู่ข้างในเธอมานับปี เหมือนกับว่าเธอกำลังรอใครบางคน รออะไรบางอย่างที่เธอไม่รู้ว่าคืออะไร แต่ทันทีที่สบตากับพยาบาลคนเมื่อสักครู่ทำให้เธอรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาผู้หญิงคนนั้นหรือเกิน ทั้ง ๆ ที่เธอแน่ใจว่าไม่เคยพบกันมาก่อน

ในที่สุดหลี่เจี่ยซินก็ฟื้นแล้ว หญิงสาวมองมือที่กำลังกุมมือเธออย่างอบอุ่นด้วยความตื้นตัน

“ไม่เป็นไรแล้วนะ”

หลี่เจี่ยซินยิ้ม นิ้วของเธอไล้แหวนที่อยู่บนนิ้วนางข้างซ้ายของเขาเบา ๆ หัวใจอบอุ่นเป็นอย่างยิ่ง ถ้ารู้ว่าหากเธอป่วยเขาจะยอมใส่แหวนรู้งี้เธอแกล้งป่วยมานานแล้ว ในตอนแรกตั้งใจจะบอกว่าตอนนี้เธอสบายดีและแข็งแรงเป็นอย่างมาก แต่เมื่อเห็นว่าเขาห่วงเธอแค่ไหนหญิงสาวจึงแสร้งอ่อนแอเอาดื้อ ๆ

“ยังปวดหัวอยู่เลย ที่รัก โอ๊ย หัวของฉันจะระเบิดแล้ว”

หลิวไห่ตกใจเป็นอย่าง มือของเขารวดเร็วกดกิ่งเรียกพยาบาลทันที พยาบาลสองคนเดินเข้ามาพร้อมเครื่องมือวัดความดันและอีกสองสามอย่าง

“ปวดหัวเหรอคะ”

หลี่เจี่ยซินที่สบายดีแล้วแต่จำเป็นต้องโกหก

“ใช่ค่ะ โอ๊ย ปวดมากเลยค่ะ”

“ตรงไหนคะ”

หลี่เจี่ยซินชี้มั่ว ๆ

“ตรงนี้ค่ะ ตรงนี้ก็ด้วยค่ะ”

“สักครู่นะคะเราตามคุณหมอมาแล้วค่ะ คุณหมออาจจะจัดยาให้คุณเพิ่ม แต่ตรวจชีพจรแล้วปกติ ความดันปกติ ไม่มีไข้ ร่างกายก็ไม่มีอะไร ปกติทุกอย่างค่ะ”

หลี่เจี่ยซินแววตาล่อกแล่ก เธอไม่อยากให้เฉินเฟยอวี๋จับได้ว่าเธอโกหก

“ฉันปวดจริง ๆ นะคะ”

“ภาวะปวดศีรษะเกิดขึ้นได้ค่ะ อาจจะมีอาการไมเกรน เพราะผลตรวจร่างกายของคุณเกิดจากพักผ่อนน้อย หรือมีความเครียดสะสมค่ะเลยทำให้เกิดอาการเกาดำไหลได้เส้นเลือดฝอยในโพรงจมูกแตกน่ะค่ะ”

หลี่เจี่ยซินแสร้งกุมขมับตัวเอง พยาบาลตรวจเช็คร่างกายเสร็จก็ถอยห่างออก ในมือของเธอยังมีสายน้ำเกลือปักอยู่ เธอมองเฉินเฟยอวี๋คล้ายจะออดอ้อนเขาให้อยู่เป็นเพื่อนเธอไม่ทิ้งให้เธออยู่โรงพยาบาลเพียงลำพัง

สักพักคุณหมอก็เข้ามา เขาตรวจหลี่เจี่ยซินอย่างละเอียดแล้วจัดยาแก้ปวดให้เธอกิน พร้อมทั้งบอกให้เธอพักผ่อนเยอะ ๆ อาจจะเป็นเพราะเกิดความเครียดจึงทำให้ล้มป่วยและยังพักผ่อนน้อย ให้เธอนอนโรงพยาบาลสักคืนพรุ่งนี้ก็สามารถออกจากโรงพยาบาลได้

หลี่เจี่ยซินเห็นด้วย เธอเครียดจริง ๆ เครียดว่าผู้ชายคนนั้นหยางชิวจะมาแย่งเฉินเฟยอวี๋ไปจากเธอ เรื่องนี้ทำให้เธอกังวลจนนอนไม่หลับและทำให้ป่วยแบบนี้ หลังจากหมอออกไปแล้วหลี่เจี่ยซินก็กุมมือของเฉินเฟยอวี๋แน่น

“ที่รักจะอยู่กับฉันใช่หรือเปล่า”

หลิวไห่พยักหน้า

“อื้ม ไม่ปล่อยให้อยู่คนเดียวหรอกน่า ทำไมกลัวเหรอคนอย่างหลี่เจี่ยซินกลัวใครเป็นด้วยเหรอ”

หลี่เจี่ยซินสารภาพ

“กลัวสิ กลัวที่สุดคือกลัวที่รักทิ้ง”

เขาอมยิ้มหล่อเหลา ท่าทางแมน ๆ แบบนี้ไม่เหมือนเกย์เลยสักนิด เขาเหมือนแฟนที่แสนดีของเธอมากกว่า ก็เพราะเขาเป็นแบบนี้เธอจึงหลงเขาหัวปักหัวปำ

เขายังแสดงความอ่อนโยนกับเธอเช่นเคย ยังลูบมือของเธอเบา ๆ สีหน้าดูผ่อนคลายขึ้นมากเมื่อรู้ว่าเธอไม่ได้เป็นอะไร

“ไม่ทิ้งหรอก สัญญากันแล้วไม่ใช่เหรอ ฉันเป็นคนรักษาสัญญา”

หลี่เจี่ยซินกอดแขนของเขาพร้อมกับใบหน้ายิ้มระรื่น

ก่อนหน้าที่หลี่เจี่ยซินจะฟื้น เฉินเฟยอวี๋และหยางชิวก็เฝ้าเธออยู่ที่นี่ เมื่อรู้ผลตรวจในฐานะคู่หมั้นว่าเธอแค่อ่อนเพลียเท่านั้นจึงทำให้พวกเขาวางใจและยอมกลับไปในที่สุด

แต่เมื่อเห็นใบหน้าซีดของหลี่เจี่ยซินหลิวไห่แม้จะผ่อนคลายลงแต่ก็ยังกังวลใจอยู่ไม่น้อย

หลายเดือนที่อยู่กันมาอย่างใกล้ชิด หลี่เจี่ยซินกับโรงพยาบาลเหมือนจะเป็นเส้นขนาน เธอแข็งแรงขนาดยกช้างยกม้าได้ไม่เคยแม้กระทั่งเป็นหวัดเลยสักครั้งอาการป่วยของเธอคราวนี้จึงทำให้เขากังวลใจ

หลี่เจี่ยซินสลบไปหลายชั่วโมง ฟื้นขึ้นมาก็หิวข้าว และเกิดอยากอาบน้ำล้างหน้าล้างตา

หลังจากกินข้าวกินยาที่หมอจัดให้เสร็จหลิวไห่จึงประคองเธอไปเข้าห้องน้ำ หญิงสาวหายไปชำระร่างกายแล้วกลับออกมาด้วยใบหน้าขาวผ่องปากเริ่มมีสีแดงระเรื่อ ยังมีกลิ่นหอมจาง ๆ ของสบู่ลอยออกมาจากร่างของเธอ

หลิวไห่ยิ้มพยุงเธอออกมา ถึงแม้ว่าหลี่เจี่ยซินจะรู้สึกสดชื่นพร้อมจะต่อสู้ล้มคนนับร้อยได้แล้ว แต่เธอกลับทำท่าอ่อนแอเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา หลิวไห่ห่มผ้าให้เธอ

“ที่รักมานอนเป็นเพื่อนฉันหน่อยสิ ฉันเหงา”

หลิวไห่หัวเราะ ลูบเส้นผมออกจากใบหน้าของเธอ หลี่เจี่ยซินคิดว่าคราวนี้เขาคือที่รักคนเดิมของเธอแล้ว ในเวลาที่ไม่มีหยางชิวคนนั้นเขาคือคนของเธอ แผนร้ายในใจเพื่อแยกหยางชิวออกจึงเริ่มขึ้นอีกครั้ง เธอไม่ยอมยกเฉินเฟยอวี๋ให้หยางชิวเป็นอันขาด

ตั้งแต่หมอนั่นมาเหยียบแผ่นดินใหญ่เธอไม่ได้จูบเฉินเฟยอวี๋สักครั้ง

“ที่นี่โรงพยาบาลนะ”

“แต่เป็นห้องพิเศษ ไม่มีใครมากวนเราแล้วนี่นาฉันหนาว”

หลิวไห่จับมือของเธอ

“ให้ปรับอุณหภูมิห้องหรือเปล่า”

หลี่เจี่ยซินส่ายหน้า

“ไม่เอา ให้ที่รักมานอนด้วยอยากกอด”

หลิวไห่ส่ายหน้า

“ประเจิดประเจ้อ”

แต่ถึงอย่างนั้นก็ถูกหลี่เจี่ยซินดึงให้นอนลงด้วยกัน สุดท้ายแล้วเป็นเขาเองที่ทำใจห่างจากร่างของเธอไม่ได้จึงไม่ขยับหนี หลี่เจี่ยซินกอดเขาแน่นทันทีที่มีเขาในอ้อมแขน เธอก็ทนไม่ไหว

“ขอจูบหน่อยนะ”

หลิวไห่หัวเราะ

“เธอไม่สบายอยู่”

“ปากฉันไม่เหม็นหรอก ฉันทดสอบแล้วหอมมาก จูบได้สบายเลย”

หลิวไห่ยังหน้าแดง แต่เขาถูกหลี่เจี่ยซินตรึงใบหน้าเอาไว้แล้ว หลังจากนั้นหลี่เจี่ยซินก็ประทับริมฝีปากอันอ่อนนุ่มลงมา

ทั้งสองคนจูบกันอย่างนุ่มนวล หลิวไห่ยังถูกหลี่เจี่ยซินลวนลามล้วงเข้าไปในกางเกงของเขาอีกด้วย มือนุ่มนิ่มของเธอสัมผัสกับความแข็งขึงของเขาแบบนั้นทำให้เขาถึงกับครางออกมา

เขาจับมือของเธอเอาไว้แล้วรีบห้าม

“ที่รักพอแล้ว ที่นี่โรงพยาบาลเรากำลังทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง”

หลี่เจี่ยซินสุดท้ายต้องยอมปล่อยเขาแต่โดยดี เธอรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะคลั่งรักเขาอยู่แล้ว ในเมื่อมีโอกาสไร้ก้างขวางคออย่างหยางชิวแต่เธอกลับไม่ได้กินเขา

แน่นอนเธอคิดว่าหยางชิวสมควรตาย

หลิวไห่จับมือของเธอไว้ ลมหายใจของเขาค่อนข้างแรง ทั้งยังต้องคอยควบคุมความประพฤติแม่สาวน้อยคนนี้อย่างเต็มที่ เขาเองก็ต้องการเธอมากแต่ที่นี่นับว่าไม่เหมาะสม

ในขณะที่หลิวไห่กำลังพยายามอย่างเต็มที่ในการระงับอารมณ์ ดูเหมือนว่าแม่สาวน้อยทอนาโดคนนี้จะอุ้มเขาตัวลอยแล้วพาเขาเข้าห้องน้ำไปแล้ว

“ที่รัก ฉันต้องการเธอ ขอเถอะนะฉันล็อคประตูห้องน้ำแล้ว ฉันสัญญาว่าจะทำอย่างรวดเร็ว”

ด้วยความที่หลี่เจี่ยซินหิวร่างกายของเขามาก เพราะอดอยากปากแห้งมานานจะเป็นผู้ชายอื่นก็ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกแบบนี้ เธอจึงเผลอฉีกกางเกงยีนส์ของเขาจนขาด

“เดี๋ยวที่รัก”

หลิวไห่สุดท้ายไม่มีปัญญาห้ามปรามเธอแล้ว เมื่อหญิงสาวที่อยู่ในชุดของโรงพยาบาลถอดกางเกงของตัวเองออกจับฝาชักโครกให้ปิดลงและดันร่างของเขาไปนั่งเรียบร้อย

หลี่เจี่ยซินตาโตเมื่อเธอเปลือยร่างของหลิวไห่สำเร็จ เธอทักทายงูยักษ์ขอเขาอย่างยินดี ทั้งยังกินมันด้วยความกระหาย

หลี่เจี่ยซินดูดหัวงูยักษ์จนหลิวไห่ครางแผ่ว ร่างกายกำยำสั่นระริก หลายวันมานี้ไม่ได้กอดเธอเขาก็คิดถึงเธอมากจนแทบจะเสร็จคาปากของเธออยู่แล้ว

สกิลการดูดของหลี่เจี่ยซินนับว่าขั้นเทพ เธอเคยดูหนังโป๊จึงจดจำมาทุกอย่าง หวังใช้มัดใจผู้ชายคนนี้ เธอเป็นคนมีความสามารถเก่งไปทุกอย่าง เรื่องยั่วยวนเฉินเฟยอวี๋ก็เป็นความชื่นชอบของเธอ

หลี่เจี่ยซินลากลิ้นเลียงูของเขาตั้งแต่หัวจนจรดโคน ยังไล้ลิ้นเล่นรักกับสองลูกในถุงกลมทั้งอมไว้ในปากแล้วดุนลิ้นเบา ๆ

“อ๊า ที่รัก เสียวสุดเลย”

หลิวไห่จับศีรษะของเธอเอาไว้แน่น เมื่อหญิงสาวห่อปากดูดเขาครั้งแล้วครั้งเล่า แม้งูของเขาจะตัวใหญ่ความสามารถของหลี่เจี่ยซินก็นับว่ามาก เธอสามารถอมมันจนมิด ลากลิ้นไล้เลียวนไปโดยรอบอย่างช้า ๆ

แม้ว่าเธอจะต้องการมากจนใจจะขาดก็ตาม แต่เธอก็ต้องยับยั้งชั่งใจเอาไว้

“ที่รักเธอยังไม่สบายอยู่นะ เบา ๆ หน่อย”

หลิวไห่รู้ดีว่าห้ามหญิงสาวคนนี้ไม่ได้ ทั้งตัวเองก็พอใจขนาดนี้แต่เขาก็รู้สึกโกรธตัวเองที่ไม่มีปัญญาห้ามปรามเธอให้รักษาสุขภาพ

“ฉันมีกำลังมากขึ้นเมื่อได้ร่วมรักกับที่รัก ไม่รู้เหรอว่าฉันเหี่ยวแห้งแค่ไหน”

หลี่เจี่ยซินเกือบจะพลั้งปากว่านับตั้งแต่หมอนั่นโผล่มา ทั้ง ๆ ที่ตัวเองเคยสัญญาเอาไว้แล้วว่าจะไม่แตะต้องผู้ชายของเขา แต่ในตอนนั้นเธอไม่ได้คิดอะไรกับเฉินเฟยอวี๋นี่นา ตอนนี้อะไร ๆ ก็เปลี่ยนไปแล้วเธอกลับทำใจไม่ได้เหมือนเดิม

หลี่เจี่ยซินถอดเสื้อออก แล้วป้อนนมของตัวเองให้เขาดูด หลิวไห่อ้าปากอย่างกระหาย เขาดูดไล้สลับกันไปมาทั้งสองข้างอย่างอร่อย

“อ๊า ที่รักแบบนี้แหละ อื้อ ดีจังเลย คิดถึงปากของที่รักที่สุดเลย”

ในตอนนี้หลี่เจี่ยซินนั่งคล่อมเขาแล้ว งูยักษ์ของเขาค่อย ๆ คืบคลานเข้าไปในโพรงหวานของเธอพร้อมกับการบีบรัดที่แทบทำให้หลิวไห่ขาดใจ

“อื้อ ที่รัก สุดยอดเลย”

หลี่เจี่ยซินดันใบหน้าของเขาให้แนบสนิทกับหน้าอกของเธอมากขึ้น แล้วเริ่มขย่มควงสะโพก หลิวไห่ครางเสียว กลืนกินเต้าข้างหนึ่งเอาไว้ในปาก ในขณะเดียวกันก็ขยำเต้าอีกข้างด้วยความเมามัน

ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าหลี่เจี่ยซินแกล้งป่วย เธอแค่พักผ่อนไม่เพียงพอเลยนอนหลับยาว เมื่อได้นอนยาวแบบนั้นร่างกายก็ดีขึ้นเพียงแต่เขาอยากให้เธอพักอีกหน่อย จึงไม่ได้เปิดโปงว่าเขารู้ว่าเธอแกล้ง

หลี่เจี่ยซินกระแทกร่างของตัวเองเข้าหาเขาอย่างแรง หลิวไห่จูบไล้ขึ้นมาจนเจอริมฝีปากของเธอ ทั้งคู่จูบแลกลิ้นกันอย่างดูดดื่ม จวบจนสุดท้ายแล้วหลี่เจี่ยซินเร่งจังหวะแรงขึ้น น้ำหวานไหลทะลักและหลิวไห่เองก็เสร็จสมขึ้นสวรรค์ไปพร้อม ๆ กัน

หลี่เจี่ยซินเหมือนกับจะยังไม่พอ เธอต้องตุนเอาไว้หน่อย เมื่อกลับไปที่บ้านเฉินเฟยอวี๋จะกลายเป็นของนายนั่นแล้ว เธอต้องขอเขาต่อรอบสอง

คราวนี้เธอก้มลงเลียหัวนมของเขา หลิวไห่พยายามดันใบหน้าของเธอออกแล้วห้ามปราม เธอยังต้องพักผ่อน

“ที่รักขอเถอะ ฉันไม่อยากข่มขืนเธอนะ”

คำพูดพวกนี้เขาเบื่อที่จะฟังแล้ว สุดแล้วจึงได้ทอดกายเป็นของเล่นให้หลี่เจี่ยซิน เธอเลยเขาไปทั้งตัว ลากลิ้นอย่างชำนาญจนเขาคึกคักอีกครั้ง งูของเขาเด้งขึ้นมาทั้งที่เมื่อสักครู่คอหักพับไปแล้ว

แต่ความสามารถของหลี่เจี่ยซินก็ไม่อาจมองข้าม เธอทำให้เขาคลั่งเธอขึ้นมาอีก คราวนี้หญิงสาวโก้งโค้งก้นหันหลังให้เขา

“ที่รัก เข้ามาเลยขอแรง ๆ เลยนะ”

หลี่เจี่ยซินที่ยั่งยวน ร่างขาว ๆ เต้าอวบและเอวคอดสะโพกผายอย่างนางแบบนิตยสารแบบนี้ใครจะอดใจไหว หลิวไห่ดันร่างเข้าไปจนมิดเริ่มซอยสะโพกไม่ยัง พร้อมทั้งก้มลงมากอดเธอไว้ ยึดเต้าทั้งสองข้างเอาไว้ เขาบีบแรง ๆ แล้วซอยหนักขึ้น

“อื้อ ใช่ แบบนี้ อ๊า อ๊า”

หลี่เจี่ยซินครางไม่หยุด หลิวไห่กลัวว่ามันจะดังไปทั่วโรงพยาบาลจึงได้ยัดนิ้วของตัวเองเข้าไปในปากของเธอ ให้หลี่เจี่ยซินดูดอย่างกระหาย

หญิงสาวคราวนี้ทั้งดูดทั้งเลียนิ้วของเขาเหมือนเป็นงูน้อย ทำให้อารมณ์ของหลิวไห่ยิ่งเตลิด

สองร่างกระแทกกันไม่หยุด เสียงเนื้อกระทบเนื้อทำยิ่งกระตุ้นความรู้สึก หลี่เจี่ยซินถูกเขากระแทกจนช่วงก้นขาวผ่องแดงไปหมด แต่เธอกลับชอบเป็นอย่างยิ่ง

“อื้อ ที่รัก ขออีก ขออีก”

และค่ำคืนในโรงพยาบาลก็เต็มไปด้วยเสียงครางต่ำของหลี่เจี่ยซินและหลิวไห่

ในที่สุดหลิวไห่ก็ให้หยางชิวมาพบเขาเพียงลำพังในเย็นวันหนึ่ง และปล่อยให้หลี่เจี่ยซินอยู่กับเฉินเฟยอวี๋เพียงสองคน

“พี่ชายหนูไปไหนล่ะวันนี้ ทำไมไม่เห็นหน้า”

หลี่เจี่ยซินเองก็ถามไปแบบนั้นด้วยความคุ้นเคย เด็กน้อยบอกเบา ๆ

“พี่ชายบอกว่าจะไปทำธุระค่ะ ไม่กลับดึกมากไม่ให้หนูรอ”

ว่าแล้วเด็กน้อยก็ทำท่ากลุ้มใจ

“ทำไมเป็นอะไรเหรอ”

หลี่เจี่ยซินเห็นเด็กน้อยทำท่าหงอย ๆ จึงถามออกไปโดยไม่คิด

“มีการบ้านค่ะ เยอะมากเลยหนูทำไม่ได้ว่าจะรอให้พี่ชายมาสอน”

หลี่เจี่ยซินพยักหน้า ก่อนจะลูบหัวเด็กน้อย

“พยายามเข้านะ”

แน่นอนว่าเธอไม่คิดจะสอน แต่เด็กคนนี้นี่สิกลับจับมือของเธอแน่น

“พี่สอนหน่อยสิคะ พี่สาวคนสวย”

หลี่เจี่ยซินส่ายหน้า เธอไม่คิดจะสอนเด็กน้อยคนนี้หรอกนะ บ้าบอ เธอไม่ใช่พี่สาวของเด็กนี่ทำไมต้องทำหน้าที่นี้ด้วย แต่เด็กน้อยกลับทำท่าจ๋อย ทั้งน้ำตาคลอเบ้า หลี่เจี่ยซินเห็นแบบนั้นก็รู้สึกสงสาร จึงบอกว่า

“เอาล่ะ พี่ไม่แน่ใจนะว่าจะสอนได้หรือเปล่า แต่จะลองดูมีวิชาอะไรบ้างล่ะ”

เด็กน้อยเอาหนังสือเล่มโตให้พี่สาว เป็นวิชาประวัติศาสตร์เล่มหนึ่ง แม้จะเป็นของเด็กประถมแต่ก็เล่มหนามากจนเธอตกใจ

“ประวัติศาสตร์สามก๊กค่ะ หนูงงไปหมดแล้วไม่รู้ก๊กไหนเป็นก๊กไหน และยังมีคณิตศาสตร์อีก”

หลี่เจี่ยซินหน้าซีด ประวัติศาสตร์บ้าอะไรกัน คณิตศาสตร์อีก

“พี่ทำได้หรือเปล่าคะ ถ้าทำไม่ได้ก็แปลว่าสู้พี่ชายไม่ได้”

ทีแรกหลี่เจี่ยซินคิดจะปฏิเสธ แต่พอเด็กน้อยบอกว่าเธอสู้พี่ชายไม่ได้หญิงสาวมีหรือจะยอม คนที่เธอจะไม่มีทางยอมแพ้ก็คือหยางชิวคนนี้แหละ

หลี่เจี่ยซินลูบหัวเด็กน้อยอีกครั้ง

“มาพี่จะสอน”

หลังจากนั้นเธอก็เปิดดูคร่าว ๆ หลี่เจี่ยซินเปิดหนังสือเพียงผ่าน แต่สิ่งประหลาดก็พลันเกิดขึ้น เธอสามารถจดจำตัวหนังสือในนั้นได้หมด แยกแยะตัวละครทุกตัวได้อย่างว่องไว และสอนเด็กน้อยด้วยบทสรุปง่าย ๆ จนเด็กเข้าใจและสนุกสนาน

เธอเก่งกาจยิ่งกว่าครูมืออาชีพ

เมื่อประวัติศาสตร์ผ่านไป ก็มาถึงคณิตศาสตร์ หลี่เจี่ยซินไม่เคยรู้ว่าตัวเองเก่งคณิตศาสตร์มาก่อน ตอนเด็ก ๆ พ่อของเธอแทบไม่ให้แตะด้วยซ้ำ เธอลืมไปแล้วว่าตัวเองสอบผ่านมาได้ยังไง

โรงเรียนที่เธอเรียนก็เป็นโรงเรียนกีฬา ไม่ได้เน้นเรื่องพวกนี้เสียด้วย แต่หลี่เจี่ยซินกลับสอนเด็กน้อยจนเข้าใจ และที่น่าประหลาดใจคือ เธอตกใจตัวเองมากเปิดอินเตอร์เน็ตดูยังเอาโจทย์แข่งขันโอลิมปิกมาลองทำ

เธอแน่ใจว่าเธอไม่เคยเรียนมาก่อน แต่หลี่เจี่ยซินสามารถตอบคำถามได้ถูกต้องทุกข้อและรวดเร็วภายในเสี้ยววินาที

นี่เกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่

ท่ามกลางความดีใจของเด็กน้อย หลี่เจี่ยซินก็สงสัยในตัวเองเป็นอย่างมาก หลี่เจี่ยซินเปิดคลิปคณิตศาสตร์ดู จนไปเจอคลิปรับรางวัลของนักคณิตเหรียญทองระดับโลก เธอดูคลิปนั้นทั้งยังรู้สึกคุ้นเคยว่าตัวเองเคยยืนอยู่บนแท่นนั้นเหมือนกัน

นี่มันอะไรกัน

เธอยิ่งคิดก็ยิ่งนึกไม่ออก ความทรงจำของเธอบางส่วนขาดหายไป แต่ก่อนเธอไม่เคยสนใจแต่เมื่อใคร่ครวญอย่างละเอียดแล้ว หลี่เจี่ยซินคิดว่ามันหายไปจริง ๆ แต่เป็นเธอที่ไม่เคยคิดจะรื้อฟื้น

ยิ่งคิดหลี่เจี่ยซินก็ยิ่งปวดหัว อาการของเธอรุนแรงเป็นอย่างยิ่ง จนกระทั่งเลือดกำเดาของเธอไหล เฉินเฟยอวี๋เดินออกมาจากห้องนอนกำลังโทรศัพท์ไปหาหยางชิว ไม่รู้ว่าคุยกับพี่ชายเขาเรื่องอะไร

ไม่ใช่ว่าหมอนั่นคิดจะทำตัวเป็นพ่อของเขา แล้วให้หยางชิวหาเงินมาสู่ขอหรอกนะ นี่มันสมัยไหนแล้ว

เฉินเฟยอวี๋คิดพลางยิ้ม ทำตัวเหมือนสาวน้อยในห้องหอ ที่กำลังลุ้นรอคอยว่าพ่อของตัวเองจะพูดอะไรกับว่าที่ลูกเขย

หลี่เจี่ยซินกำลังจับระเบียง ท่าทางไม่ค่อยดี เฉินเฟยอวี๋ไม่ได้วางสายเมื่อเขาเห็นว่าเธอทรุดลงตรงนั้น

“เป็นอะไรไป ที่รัก เธอเป็นอะไร ว๊าย เลือดกำเดา เลือด หลี่เจี่ยซิน”

หลี่เจี่ยซินหมดสติไปแล้ว ในขณะที่หยางชิวรับสายพอดีเขาเพิ่งมาถึงร้านกาแฟแห่งหนึ่งที่นัดกับหลิวไห่เอาไว้ เฉินเฟยอวี๋ก็โทรมาแล้ว เขารับสายแต่ไม่มีเสียงพูดนอกจากเสียงหวีดร้องเรียกหลี่เจี่ยซิน

“คุณหลิวครับ”

หลิวไห่มาถึงร้อนกาแฟพอดี ยังไม่ทันได้ข่มขู่หยางชิวเขาก็รู้ว่าหลี่เจี่ยซินล้มลงแล้ว เขารีบตะคอกเสียงใส่โทรศัพท์ในขณะที่เฉินเฟยอวี๋ตอบกลับมา

“พี่ชายแย่แล้วที่รักของฉันเลือดกำเดาไหล เธอเป็นลมไปแล้วฉันทำยังไงดี”

นี่เป็นครั้งแรกที่หลี่เจี่ยซินคนแข็งแรงเกิดอาการแบบนี้ ที่ผ่านมาไม่เคยมีอะไรทำร้ายเธอได้ เรื่องเจ็บป่วยอย่าให้พูดถึง เฉินเฟยอวี๋จึงกังวลเป็นอย่างมาก เขาจะทำยังไงดี

“อาเฟย พาเธอไปโรงพยาบาล พี่จะไปรอที่นั่น”

ที่โรงพยาบาล

หลี่เจี่ยซินยังไม่ฟื้น เลือดของเธอยังไหลออกมาจากจมูก มันไหลจนเปรอะเปื้อนเสื้อผ้าไปหมดยิ่งทำให้เฉินเฟยอวี๋ทำอะไรไม่ถูก เมื่อสองคนนั้นมาถึงเฉินเฟยอวี๋ถึงกลับวิ่งเข้าไปร้องไห้กอดหลิวไห่แน่น

“พี่ชาย ช่วยที่รักของฉันด้วยเธอจะเป็นอะไรไม่ได้เด็ดขาด”

หลิวไห่ทำใจให้เย็น กอดน้องชายพร้อมกับตบหลังเบา ๆ

“หมอต้องช่วยเธอได้ เธอต้องไม่เป็นอะไร”

สุดท้ายหยางชิวก็ร่วงไปกองอยู่บนพื้น พร้อมกับเสียงหวีดร้องของเฉินเฟยอวี๋ที่ดังเหมือนใครตาย เฉินเฟยอวี๋ร้องไห้ฟูมฟายเพราะใบหน้าของหยางชิวบวมเป่ง ทั้งยังนอนหน้าหงายอยู่บนพื้น

“อาชิวไม่เป็นไรใช่หรือเปล่า”

หลี่เจี่ยซินอยากจะหัวเราะเยาะ แต่เพราะท่าทางของเฉินเฟยอวี๋ที่โอเวอร์ห่วงใยหยางชิวเหมือนเขากำลังจะตายแบบนั้นทำให้เธอหัวเราะไม่ออก

เธอต่อยเขาแต่เธอดันเจ็บที่หัวใจเพราะเฉินเฟยอวี๋ที่ทำแสดงออกว่าห่วงหยางชิวมากแค่ไหน

หลี่เจี่ยซินอยากจะเข้าไปซ้ำนัก เอาให้ไอ้หมอนั่นตายไม่ได้เจอกับเฉินเฟยอวี๋อีก และเวลาที่เหลือเธอจะเป็นคนปลอบใจเฉินเฟยอวี๋เอง แต่เมื่อคิดดูอีกทีเฉินเฟยอวี๋อาจจะโกรธเธอจนไม่พูดกับเธออีกก็เป็นได้

หลี่เจี่ยซินจึงได้แต่ค่อนแคะในใจ พูดออกมาสั้น ๆ คำหนึ่ง

“กระจอก”

คำพูดของเธอหายไปในลำคอ เมื่อเฉินเฟยอวี๋หันมามองเธอด้วยน้ำตาคลอเบ้า

“ที่รักช่วยฉันพาเขาไปนอนที่เตียงที เขาต้องการหมอแล้วไม่รู้ว่าส่วนไหนจะหักบ้าง”

หลี่เจี่ยซินกลับพูดเสียงอ่อย ทั้งยังแสดงความห่วงใยหยางชิวอย่างสมบทบาททั้งที่ในใจแช่งชักหักกระดูกศัตรูหัวใจให้ตายไปเลยก็ได้ยิ่งดี

“ฉันต่อยเขาเบา ๆ เองนะ ไม่น่าเจ็บขนาดนั้น โถน่าสงสารจริง ๆ”

หลี่เจี่ยซินนั่งยอง และเธอก็อุ้มหยางชิวขึ้นในท่าเจ้าหญิง สุดท้ายร่างกายใหญ่โตของผู้ชายคนหนึ่งก็อยู่ในอ้อมกอดของเธอ ด้วยความทนุถนอมที่แสดงออกต่อหน้าเฉินเฟยอวี๋ หลี่เจี่ยซินไม่รีบเดิน กลัวว่าจะมีส่วนใดส่วนหนึ่งของเขาหลุดออกมาเหมือนหุ่นยนต์ เธอออกแรงไม่มากก็จริงแต่ผู้ชายคนนี้โดนไปหลายหมัดจึงลงไปนอนนับดาวอยู่บนพื้น

หยางชิวลืมตาที่บวมเป่งขึ้น เขารู้สึกว่าจู่ ๆ ตัวของเขาก็ลอยขึ้นมาเหนือพื้น สัมผัสใต้แผ่นหลังนุ่มเนียนเป็นอย่างยิ่ง และแขนของเขายังกระทบกับความนุ่มยวบที่เขาไม่เคยสัมผัสมาก่อน

หยางชิวที่เป็นคนมีสองรสนิยมหรือที่เรียกว่าไบเซ็กชวลสามารถชอบได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชายในตอนนี้กำลังตกตะลึงกับการกระทำของหลี่เจี่ยซิน

เขารู้สึกว่าเธอพิเศษ สวยและเก่งมาก เมื่อสักครู่เธอต่อยเขาแบบไหนเขายังมองไม่ทัน และยิ่งเห็นใบหน้าที่อยู่ใกล้ ๆ แบบนี้ ยิ่งทำให้เขาชอบ จู่ ๆ หัวใจของหยางชิวก็เต้นแรงขึ้น นอกจากเขาจะชอบเฉินเฟยอวี๋แล้วเขาก็ยังคิดว่าตัวเองกำลังตกหลุมรักหลี่เจี่ยซินอีก

หลี่เจี่ยซินวางเขาลงบนเตียงนุ่ม ในขณะที่เฉินเฟยอวี๋ส่งข้อความไปบอกเลขาให้เรียกหมอประจำตัวให้รีบมาดูชายที่เขารัก

หยางชิวเองดูจะเสียดายเป็นพิเศษที่หลี่เจี่ยซินวางเขาลงเสียแล้ว

ใบหน้าของเธอที่แสดงต่อหน้าเขาโดยที่เฉินเฟยอวี๋ไม่เห็นนั้นเต็มไปด้วยอาการเยาะเย้ยถากถางว่าสุดท้ายเป็นเขาที่ลงไปนอนอยู่ที่พื้น ในขณะที่สบสายตากันกับเฉินเฟยอวี๋ผู้หญิงคนนี้กลับเปลี่ยนสีหน้าราวกับคนละคน ดูห่วงใยและวิตกกังวลในตัวเขาเป็นอย่างยิ่ง

หยางชิวได้แต่นองนิ่ง ๆ เขาไม่ได้โกรธหลี่เจี่ยซินแต่กำลังพิจารณา และในตอนนี้เขาก็ยกมุมปากยิ้มเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าสายตาของหลี่เจี่ยซินที่มองเฉินเฟยอวี๋เป็นยังไง

มันแสดงออกด้วยความรักแบบหนุ่มสาวโดยไม่เปิดเผย และเธอกำลังเห็นเขาเป็นศัตรู

สมองของหยางชิววิ่งไปไกล

หากเขาสามารถครอบครองคนทั้งสองได้ล่ะจะเกิดอะไรขึ้น ตัวเขาเองก็ไม่มีอะไรติดตัวมา ยอมรับว่าเกาะเฉินเฟยอวี๋กิน แต่เขาก็ยินดีตอบแทนด้วยการทำงานอย่างหนัก เขายังจะหาโอกาสเข้าวงการบันเทิงอีกสักครั้งเผื่อว่าอยู่ที่แผ่นดินใหญ่จะรุ่ง

ฐานะการเงินของเฉินเฟยอวี๋ไม่ธรรมดา ไม่แน่ว่าเขาอาจจะมีเส้นสายก็เป็นได้ ในตอนนั้นหากเขาสามารถดูแลตัวเองได้แล้ว เขาจะขอแต่งงานกับคนทั้งสองได้หรือเปล่า

หากหลี่เจี่ยซินและเฉินเฟยอวี๋รู้เรื่องที่หยางชิวกำลังคิด หลี่เจี่ยซินคงฆ่าเขาด้วยมือเปล่าจริง ๆ

ว่าแล้วเขาก็รีบหยุดความคิด แต่กลับกลายเป็นความฝันแทน

หลี่เจี่ยซินเดินไปเดินมาอย่างครุ่นคิด หลังจากหมอเข้ามาดูแลหยางชิวแล้ว เธอก็หมดหน้าที่ เฉินเฟยอวี๋ก็เพิ่งกลับมาส่วนบริษัทก็เรียบร้อยดี แต่เธอไม่ค่อยไว้ใจหยางชิวคนนั้น เขาเป็นคนไม่มีหัวนอนปลายเท้า ไม่มีที่มาที่ไป ไม่แน่ว่าอาจจะทำเฉินเฟยอวี๋ลำบากในอนาคต

แต่เมื่อคิดถึงน้องสาวตัวน้อยคนนั้น หลี่เจี่ยซินก็ทำใจดำไม่ลง เอาล่ะเพื่อเห็นแก่เด็กตัวเล็ก ๆ เธอจะยอมปล่อยเขาไปสักครั้ง อย่างมากก็หาทางแยกพวกเขาแต่จะไม่ทำร้ายร่างกายเจ้าหมอนั่นอีก

หลายวันต่อมา

หลิวไห่ที่ไม่ได้เจอหลี่เจี่ยซินมานับสัปดาห์เกิดความกระวนกระวายใจและคิดถึงเธอจนนอนไม่หลับ เขาไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนถึงจะเห็นเธอผ่านกล้องวงจรปิด และรู้ว่าเธอก่อเรื่องอะไรกับเด็กของเฉินเฟยอวี๋เอาไว้บ้างเขาก็ไม่ออกไปแสดงตัว

เขาต้องการกันเธอเอาไว้ให้ห่างจากเรื่องพวกนี้ ถึงยังไงเธอก็เป็นผู้หญิง คิดว่าหากจัดการเรียบร้อยแล้วเรื่องระหว่างเขาและเธอคงสานต่อกันได้ไม่ยาก แต่นับวันที่เฝ้าดูหลี่เจี่ยซินก็ยิ่งเห็นว่าเธอแอบทำอะไรแผลง ๆ อยู่ไม่น้อย

เธอแกล้งหยางชิวกระทั่งแอบใส่เกลือในกาแฟของเขา อาหารที่กินก็แอบใส่พริกเข้าไปมากจนผู้ชายคนนั้นกินไม่ได้ บางครั้งก็แสร้งใส่ยาถ่ายลงในอาหาร แต่น่าประหลาดใจที่ผู้ชายคนนั้นกลับไม่เคยตำหนิแม้จะรู้ว่าเป็นฝีมือของเธอ กลับยอมรับด้วยรอยยิ้มจนระยะหลังมานี้หลี่เจี่ยซินเริ่มหมดหนทาง

สิ่งที่ทำให้เขากังวลคือท่าทางของหยางชิวที่แสดงต่อหลี่เจี่ยซินเมื่ออยู่ลับหลังของเฉินเฟยอวี๋ มันเหมือนอาการผู้ชายที่ตกหลุมรักหญิงสาวคนหนึ่ง แต่หลี่เจี่ยซินที่เอาแต่แกล้งผู้ชายคนนั้นกลับมองไม่เห็น

ยัยบ้านั่นสมองไม่มีหรือยังไงกันนะ

หลิวไห่ทั้งกังวลทั้งสงสัย หยางชิวเองรู้ตัวตนของเขาแล้ว แต่เขากำชับไว้อย่างดีว่าห้ามบอกเรื่องนี้กับใคร และเขาไม่ได้อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างหลี่เจี่ยซินกับเขาให้หยางชิวเข้าใจ เพราะคิดว่าไม่จำเป็น

แต่ตอนนี้เมื่อเห็นสายตาของหยางชิวที่มองหลี่เจี่ยซิน หลิวไห่ต้องทำบางอย่างเสียแล้ว

นี่เป็นอีกครั้งที่กู้เมิ่งถูกประธานกู้ตำหนิอย่างรุนแรง การที่เขาทำเรื่องพวกนี้ไม่ได้เกิดประโยชน์อันใดเลย และประธานกู้ก็รู้แล้วว่าหลิวไห่ที่มีหัวหน้าเฉิงคอยเป็นแบ็คหลังให้นั้นไม่ใช่คนธรรมดาที่เขาจะเคี้ยวได้อีกต่อไป

หากเป็นเวลาปกติเขาคงได้รีบจัดการหลิวไห่ไปแล้ว แต่ในเวลานี้ธุรกิจหลักของเขาเรื่องสัมปทานสนามบินและสัมปทานรถโดยสารระหว่างฮ่องกงกับเกาลูนก็กำลังถูกหัวหน้าเฉินสั่นคลอน ดูเหมือนว่าคนในรัฐบาลชุดใหม่ที่เพิ่งแต่งตั้งขึ้นมาจะมีคนของหัวหน้าเฉิงปะปนอยู่ด้วย

เรื่องนี้ดูแล้วยังพอมีหนทางแก้ไข แต่เรื่องงานวิจัยของเขาที่วิจัยมาเป็นสิบ ๆ ปีในตอนนี้เพิ่งย้ายฐานการวิจัยไปที่แผ่นดินใหญ่ได้ไม่นานกลับถูกตำรวจตามพบเข้า

ถ้าไม่ใช่เพราะเขาไว้ใจลูกชายคนเดียวของเขาเรื่องคงไม่ถูกจับได้ง่ายเช่นนี้

แต่สิ่งที่กวนใจประธานกู้ที่สุดก็คือตำรวจหญิงที่ปลอมตัวเป็นเหยื่อคนนั้น

ถึงกล้องของเขาจะถูกทำลายหลายตัว แต่ก็ยังมีบางส่วนที่จับภาพของเธอได้ และในตอนนี้ประธานกู้ก็เกิดอยากจะได้ตัวผู้หญิงคนนั้นขึ้นมาใจจะขาด

สุดท้ายแล้วในเมื่อมันยากที่จะหาตัวเขาก็คงต้องส่งคนของเขาไปจัดการให้เรียบร้อย

ทางด้านหลิวไห่หลังจากได้ตัวเฉินเฟยอวี๋กลับมาเขาก็ได้รับการขอร้องจากเฉินเฟยอวี๋ทันที

“พี่ชายฉันต้องการพาอาชิวไปกับฉันด้วย ยังมีน้องสาวของเขาอีกฉันไม่มั่นใจว่าคนของกู้เมิ่งจะปล่อยเขาในเมื่อฉันช่วยเขาขนาดนี้”

หลิวไห่เองไม่อยากให้เฉินเฟยอวี๋มีภาระ ลำพังแค่เฉินเฟยอวี๋คนเดียวเขาก็ระวังลำบากแล้ว ยังจะมีผู้ชายคนนั้นและเด็กหญิงอีก ต่อไปเขาก็ไม่คิดจะดึงน้องชายเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่เมื่อเห็นสายตาอ้อนวอนที่เต็มไปด้วยน้ำที่คลอหน่วยทำให้หลิวไห่เองก็เริ่มใจอ่อน

เขากล้วแต่ว่าหลี่เจี่ยซินจะมีภาระเพิ่มขึ้น คงต้องจัดคนเฝ้าเฉินเฟยอวี๋เอาไว้จนกว่าเรื่องจะเงียบ และในเวลานั้นเขาจึงจะสารภาพกับเธอว่าเขาไม่ใช่เฉินเฟยอวี๋แต่คือหลิวไห่ จากเดิมหลิวไห่ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะมีความห่วงใยผู้หญิงสักคนได้ขนาดนี้ แต่เมื่อมาพบกับหลี่เจี่ยซินตั้งแต่วันแรกที่เธอปล้ำเขาและวางเงินยับยู่ยี่เอาไว้ให้ใจของหลิวไห่ก็มีเธอเข้าไปเต็ม ๆ เสียแล้ว

เมื่อไม่สามารถปฏิเสธน้องชายได้ คนทั้งหมดจึงเดินทางกลับฮ่องกงด้วยกัน แต่ในระหว่างนี้เขาจะไม่ปรากฎตัวต่อหน้าหลี่เจี่ยซินอีก เขาจะตามสืบเรื่องของประธานกู้อย่างลับ ๆ ด้วยตัวเอง

หลี่เจี่ยซินไปรอรับเฉินเฟยอวี๋ที่สนามบินด้วยความคิดถึง เธอไม่ได้เจอเขาไม่กี่วันกลับรู้สึกเหมือนไม่ได้เจอกันนานนับปี ทันที่ที่เห็นชายหนุ่มรูปร่างสูงเข็ญรถขนกระเป๋าออกมาเธอก็วิ่งไปกอดเขาด้วยความดีใจ

“ที่รักคิดถึงเธอมาก ๆ เลย”

เฉินเฟยอวี๋เองก็คิดถึงเธอ ระหว่างที่ใช้ชีวิตอยู่ที่ฮ่องกงเขาไม่ได้โทรศัพท์หาหลี่เจี่ยซินแม้แต่ครั้งเดียว เขากอดหลี่เจี่ยซินแนบแน่นแต่หลี่เจี่ยซินสังเกตุได้ทันที่ว่าเขามาพร้อมกับผู้ชายคนหนึ่ง

เธอเห็นแล้วใบหน้าซีดเผือดทันที

“ที่รักนี่แฟนใหม่ของฉันจ้ะ”

เขากระซิบบอกเธอด้วยใบหน้าแย้มยิ้มจนปากแทบจะฉีกไปถึงรูหู หลี่เจี่ยซินตกตะลึงจนกระทั่งเฉินเฟยอวี๋ใช้ศอกกระทุ้งที่สีข้างของเธอ

“หล่อใช่มั๊ยล่ะ แน่นอนว่าสายตาของฉันก็ต้องดีมาก ๆ”

หลี่เจี่ยซินยิ้มและทักทายผู้ชายคนนั้นด้วยใบหน้าถอดสี ที่เฉินเฟยอวี๋บอกว่ามีธุระด่วนต้องรีบไปฮ่องกงไม่ใช่ว่าไปรับคนคนนี้ใช่หรือไม่ เฉินเฟยอวี๋เองก็เตรียมความพร้อมอยู่แล้ว เขาจึงบอกเธอว่า

“คนสำคัญของฉันเขาตัดสินใจจะมาอยู่ที่นี่ด้วยน่ะ อีกอย่างเราคิดว่าจะดูใจกันไปสักพักค่อยหมั้นกัน”

หลี่เจี่ยซินถึงกับเข่าอ่อน หมั้นเหรอ คืออะไร แล้วเธอล่ะ ทำไมเขาต้องเทเธอด้วย

หลีเจี่ยซินจับมือของเฉินเฟยอวี๋เอาไว้ ในขณะที่เธอกำลังจะอ้าปากพูด เฉินเฟยอวี๋ก็ดึงเด็กตัวน้อยมาแนะนำให้เธอรู้จัก

เด็กหญิงที่มีใบหน้างดงามราวกับเจ้าหญิงตัวน้อย ยิ้มทักทายเธอด้วยใบหน้าน่ารักจนหลี่เจี่ยซินนน้ำตาร่วง

“นี่เธอเตรียมลูกเอาไว้แล้วด้วย”

เฉินเฟยอวี๋โบกมือ พลางจับแขนของเธอเอาไว้ พวกเขาเดินไปด้วยกันพลางพูดคุย

“ไม่ใช่นี่น้องสาวแท้ ๆ ของหยางชิว ชื่อหยางจื่อน่ะ จะมาอยู่กับเราด้วยพวกเขากำพร้าพ่อแม่น่าสงสารใช่หรือเปล่า”

หลี่เจี่ยซินรู้ว่าระยะหลังเฉินเฟยอวี๋มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมหาศาล แต่ไม่คิดว่าเขาจะรับเลี้ยงครอบครัวผู้ชายจริงจังขนาดนี้ นี่เป็นสิ่งที่เฉินเฟยอวี๋ทำกับเธอคนเดียว ขอหมั้นและให้เงินด้วยแต่เธอก็ทำงานเป็นบอดี้การ์ดอารักขานี่นา

ทำไมเขาถึงได้ลำเอียงขนาดนี้

ตอนนี้หลี่เจี่ยซินยังช็อกอยู่ เธอไม่ค่อยพูดคุยและตอบโต้นัก ลืมสังเกตุความแตกต่างที่เกิดขึ้นจนกระทั่งเธอพาทุกคนกลับบ้าน

“ทำไมบอดี้การ์ดมีมากขึ้นเป็นเท่าตัว”

หลี่เจี่ยซินตาโต เมื่อพบว่ามีรถขับตามเธอมาจากสนามบินอีกหลายคัน

เฉินเฟยอวี๋ไม่ได้บอกเธอว่าจริง ๆ แล้วเป็นหลิวไห่ที่ห่วงเกินไปจึงจ้างคนคุ้มกันอีกบริษัทหนึ่งให้มาดูแล เขาตบไหล่เธอแล้วพูดเบา ๆ

“เอาน่าเธอจะได้สบายขึ้นตอนนี้ครอบครัวเราก็ใหญ่ขึ้นแล้ว มีคนมาคุ้มครองเพิ่มดีออก”

แต่หลี่เจี่ยซินเสียใจมาก เธอรู้สึกว่าตั้งแต่ผู้ชายคนนี้เหยียบสนามบินเธอเหมือนจะไร้ตัวตนไปอย่างสิ้นเชิง

เห็นได้ชัดว่าเฉินเฟยอวี๋กำลังมีความรักแบบหัวปักหัวปำ

เขาเป็นของเธอนะ แต่เอ๊ะ

“แหวนหมั้นของเธอล่ะ”

เฉินเฟยอวี๋มึนงง เขาถามออกไปโดยไม่ได้คิด

“แหวนหมั้นอะไร ฉันมีด้วยเหรอ”

หลี่เจี่ยซินซึมกะทือ เธอคอตกเดินกลับห้องไปโดยไม่พูดอะไรอีก

แม้กระทั่งแหวนมั้นเขายังจำไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่บอกเธอว่าห้ามถอดแท้ ๆ

เขากลับมาเป็นเฉินเฟยอวี๋คนเดิมคนนั้นอีกแล้ว

เอาเฉินเฟยอวี๋ของฉันกลับคืนมานะ

ในคืนนั้นหลี่เจี่ยซินถึงกับนอนไม่หลับ เมื่อเฉินเฟยอวี๋ยึดครองห้องนอนกับผู้ชายคนนั้น เธอคิดว่าเขาไม่รู้จักบุญคุณคน

เธอเป็นคนที่ทำให้งูของเขาผงาดขึ้นมานะ ทำไมพอหายแล้วถึงได้ทิ้งเธอไปกับคนอื่น แล้วเธอก็เสียใจมากที่กลายเป็นเครื่องมือให้เขาหลอกใช้

หลี่เจี่ยซินนอนว้าวุ่นน้ำตาไหลพราก เธอจะทำยังไงให้เฉินเฟยอวี๋หันมามองเธอบ้าง เธอถอนตัวไม่ทันแล้ว

วันต่อมา

หลี่เจี่ยซินตื่นแต่เช้า วันนี้เธอรวบผมจนเรียบตึงม้วนเอาไว้ไม่ให้มันลงมาเกะกะ เธอยังติดหนวดเข้าไปที่หน้า แต่งตัวอย่างมาดแมนเหมือนผู้ชายคนหนึ่ง หญิงสาวหมุนตัวไปหมุนตัวมาจนแน่ใจว่าตัวเองเหมือนผู้ชายแล้ว แม้จะไม่มีกล้ามแต่เธอแรงเยอะกว่าผู้ชายคนนั้นอีก

หลี่เจี่ยซินเดินออกจากห้อง แม่บ้านเตรียมอาหารเช้าเป็นปกติ วันนี้ถึงกับทักเธอด้วยความแปลกใจ

“คุณหลี่คะ วันนี้ทำไมติดหนวดคะจะไปแสดงละครที่ไหน”

หลี่เจี่ยซินกระแอม ทำเสียงให้แหบแห้งเหมือนผู้ชาย

“ป้าว่าผมเหมือนผู้ชายเท่ห์ คนหนึ่งหรือเปล่าครับ”

ป้าแม่บ้านส่ายหน้า บอกตามตรง

“คุณผมขนาดนี้หน้าอกก็ใหญ่แบบนั้น ไหนจะเอวคอด ก้นผายหุ่นยังกะดาราจะเหมือนผู้ชายตรงไหนคะ แต่งแบบนี้ก็ดูแปลกและน่ารักดีค่ะ”

แย่แล้ว

หลี่เจี่ยซินก้มมองดูหน้าอกของตัวเอง เป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกรังเกียจมัน แต่ตอนอยู่กับเฉินเฟยอวี๋เขาก็ชอบลูบคลำนี่นา หรือเธอจะไปเอาออกดี

ในขณะที่หลี่เจี่ยซินกำลังกลุ้มใจกับขนาดหน้าอกของตัวเองอยู่นั้น เฉินเฟยอวี๋ก็ควงแขนแฟนหนุ่มคนใหม่ลงมาอย่างกระหนุงกระหนิง เด็กหญิงตัวน้อยเดินตามมาต้อย ๆ หลี่เจี่ยซินเพิ่งรู้ว่าป้าแม่บ้านจัดห้องรับแขกให้เด็กน้อยอยู่ถาวร

สองคนหวานกันมาก ต่างคนต่างป้อนอาหารให้กันคล้ายโลกนี้มีเขาเพียงสองคน

“ว่าไงที่รักสวัสดีตอนเช้าจ้ะ”

เฉินเฟยอวี๋ทักทายหลี่เจี่ยซินแต่สายตาของเขากลับจับจ้องอยู่ที่หยางชิวเท่านั้น สายตาที่คลั่งรักขนาดนี้ทำให้หลี่เจี่ยซินปวดใจ เธอกระแอมเสียงดัง จนกระทั่งเด็กน้อยหยางจื่อร้องทักขึ้น

“พี่สาวมีหนวดด้วยเหรอคะ”

หลี่เจี่ยซินรีบพูดเสียงดัง

“ใช่ พี่ดูเท่ห์หรือเปล่าคะ”

เด็กน้อยส่ายหน้า

“ดูแปลก ๆ ค่ะ หน้าพี่สาวสวยใส่หนวดแล้วดูตลกค่ะ”

หลี่เจี่ยซินแทบจะล้มลงจากเก้าอี้ นี่เธอแต่งหนวดนี่อยู่นานนอกจากป้าแม่บ้านจะว่าเธอแปลก เด็กคนนี้ยังว่าเธอแปลกอีก เอาล่ะ หลี่เจี่ยซินเธอต้องใจเย็น ๆ นะ คนที่ต้องให้ความเห็นคือเฉินเฟยอวี๋ไม่ใช่คนนอก

หญิงสาวฝืนยิ้มหันไปถามเฉินเฟยอวี๋เสียงเข้ม

“ที่รักเธอว่าฉันหล่อหรือเปล่า”

เฉินเฟยอวี๋หันมาบีบแก้มของเธอ ยังดึงหนวดที่หลี่เจี่ยซินตั้งใจติดเกือบชั่วโมงทีละเส้นออกในครั้งเดียว หญิงสาวร้องโอ๊ยออกมาและเสียใจมาก นี่คือคำตอบของเขา

“เธอขี้เหร่มาก หน้าสวย ๆ เก็บไว้ล่อผู้เถอะ จะมาติดหนวดทำไม ยังเสียงของเธออีกเป็นหวัดเหรอกินยาหรือยัง”

เขาสำรวจเธออย่างละเอียด ก็ยังถือว่ามีน้ำใจห่วงใย แต่ความรู้สึกแบบนี้หลี่เจี่ยซินไม่คุ้นเคยเลย มันเหมือนหลี่เจี่ยซินเห็นเฉินเฟยอวี๋คนเดิมเปี๊ยบ ไม่ใช่เฉินเฟยอวี๋ของเธออีกต่อไป

“ที่รักเธอกลับมาเป็นคนเดิมแล้ว ที่ผ่านมาฉันคงฝันไปใช่หรือเปล่า”

เฉินเฟยอวี๋เข้าใจว่าหลี่เจี่ยซินหมายถึงว่าเขากลับจากฮ่องกงแล้ว และดีใจมากจนร้องไห้ เขาหัวเราะลูบหัวเธอแล้วหันไปพูดกับแฟนของเขา

“เธอก็อ่อนไหวแบบนี้แหละ อย่าถือสานะ”

ดีที่ผู้ชายคนนั้นไม่ค่อยช่างพูด เขาดูเป็นคนเงียบ ๆ ท่าทางไม่มีพิษภัย แต่หลี่เจี่ยซินเองยังไม่ไว้ใจเธอต้องจับตาดูเขาให้ดี

“ที่รักวันสองวันนี้ฉันจะพาน้องสาวของเราไปสมัครเรียนหนังสือ อีกอย่างอาชิวก็มีความสามารถหลายอย่างฉันดูตำแหน่งงานในบริษัทให้เขาแล้ว หลังจากนี้สามวันฉันจะพาเขาไปทำงานเธอว่ายังไงดีล่ะ”

“ไม่ได้”

หลี่เจี่ยซินไม่เห็นด้วย จะให้ผู้ชายคนนี้เกาะติดเฉินเฟยอวี๋ตลอดเวลาไม่ได้เด็ดขาด ไม่งั้นเธอยิ่งถูกกีดกันจนไม่มีโอกาสเป็นแน่

“ทำไมล่ะ”

เฉินเฟยอวี๋ประหลาดใจ เพราะฝีมือของหลิวไห่ที่ถีบน้องสาวของเขาให้ออกจากบริษัท อำนาจเต็มจึงกลับมาที่เขาอีกครั้ง ต่อไปทำอะไรเขาก็แค่ไปปรึกษาพี่ชาย คนในบริษัทถูกเปลี่ยนถ่ายเป็นคนของหลิวไห่แทบทั้งหมด เขาจึงไม่มีห่วงอะไรแล้ว

หลี่เจี่ยซินกลัวเฉินเฟยอวี๋รู้ว่าเธอหาทางกีดกัน จึงพูดว่า

“ก็ต้องให้เขาเรียนรู้งานจากฉันก่อน ต่อไปฉันจะดูแลเขาเอง”

เฉินเฟยอวี๋ส่ายหน้า

“เธอทำอะไรได้ล่ะในบริษัท นอกจากคุ้มครองฉันเธอก็ทำอะไรไม่เป็นเลยนะ”

หลี่เจี่ยซินไม่ยอมแพ้

“ก็ให้เขามาเป็นบอดี้การ์ดลับไง อย่างน้อยก็มีฉันเป็นหัวหน้า ฉันฝีมือดีไม่ใช่เหรอ”

เฉินเฟยอวี๋เห็นด้วย แต่หยางชิวกลับคิดในใจอย่างดูถูก

หลี่เจี่ยซินผอมบางซ้ำยังเป็นผู้หญิงต่อให้เธอได้เหรียญทองโอลิมปิกด้านการต่อสู้มา เขาก็ไม่คิดว่าหลี่เจี่ยซินจะเอาชนะเขาได้

เฉินเฟยอวี๋เห็นด้วย

“ก็ดีนะ อาชิวว่าไงจ้ะยินดีหรือเปล่า”

เฉินเฟยอวี๋แอบลูบแขนหยางชิว หลี่เจี่ยซินหมั่นไส้เป็นอย่างยิ่งอยากซัดผู้ชายคนนั้นสักหมัด

“ก็ดี แต่ผมคิดว่าเธอดูอ่อนแอไปนะ”

เขาให้ความเห็นอย่างตรงไปตรงมา หลี่เจี่ยซินยกมุมปาก

“ลองดูสักหน่อยดีหรือเปล่าคะ ฉันกับคุณใครจะชนะ”

เฉินเฟยอวี๋รีบส่ายหน้าทั้งโบกมือ

“ไม่เอาที่รัก เธอจะทำหน้าหล่อ ๆ ของอาชิวเสียโฉม”

หยางชิวกลับพูดว่า

“ผมไม่ตีต่อยกับผู้หญิง โดยเฉพาะคนผอมบางหน้าสวยแบบนี้”

เขาเองก็ไม่เห็นด้วย หลี่เจี่ยซินยังไงก็เป็นคนสำคัญของเฉินเฟยอวี๋ ทั้งยังเป็นคู่หมั้นปลอม ๆ ของเขาอีก ยังไงเขาก็ทำร้ายผู้หญิงที่พิเศษคนนี้ไม่ลงเป็นแน่

หลี่เจี่ยซินยกยิ้ม ใบหน้าสวยงามของเธอทำให้หยางชิวถึงกับใจสั่น

“ไม่กล้าเหรอ กลัวถูกฉันซัดคว่ำเหรอ”

จากการสอบถามคนท้องถิ่นถึงแก๊งมาเฟียที่ทำมาหากินในถิ่นนี้ หลายวันมานี้ไม่พบรถผิดสังเกตุเข้ามาในถิ่นหรือผิดปกติใด แต่ที่วัดแห่งหนึ่งกลับมีบางส่วนถูกปิดไม่ให้คนเข้าไปสักการะ จากการสืบของอเล็กซ์วัดแห่งนี้ไม่ใช่วัดที่ประธานกู้อุปการะโดยตรง แต่กลับมามหาเศรษฐีคนหนึ่งที่อเล็กซ์มั่นใจว่ามีความสัมพันธ์อันดีกับประธานกู้คอยดูแล

แน่นอนว่ามาเฟียในฮ่องกงนั้นที่ใหญ่ ๆ มีอยู่ไม่กี่แก๊ง ลูกน้องต่างกระจายกันอยู่แต่ละที่ แต่คนถิ่นอย่างอเล็กซ์ที่เข้านอกออกในแทบจะทุกพื่นที่ในฮ่องกงด้วยเท้าของตัวเองมาตั้งแต่เด็กจึงไม่มีสิ่งใดลอดหูลอดตาเขาไปได้

สำหรับเงินแล้วถ้าเอาเข้าจริง ๆ พวกปลายแถวหลายคนยอมขายข่าวให้เขา

เมื่ออเล็กซ์เข้าไปในวัดแห่งนั้น เขาก็ไม่รอช้า และไม่คิดจะมาแบบเงียบเชียบเสียด้วย คนของอเล็กซ์เกือบครึ่งร้อยบุกเข้าไปเปิดศึกฟันฝั่งตรงข้ามด้วยเหตุผลว่า มีใครคนใดคนหนึ่งในแก๊งมาเฟียแก๊งนั้นทำให้เขาไม่พอใจ

“กูมาที่นี่ไม่ได้มาเพื่อเจรจา กูมาเพื่อคิดบัญชีกับคนที่กล้วถุยน้ำลายลงในถิ่นของกู”

ไม่รู้ว่าเป็นใครที่ไปถิ่นของนายใหญ่เฉิง และยังถุยน้ำลายลงพื้นอีกทำให้อเล็กซ์ต้องยกพวกมาถึงที่นี่

คนที่คุ้มกันอยู่ที่นี่มีค่อนข้างมาก แน่นอนว่าสถานที่กว้างขวางย่อมไม่แออัดกลับดูเหมือนคนน้อยด้วยซ้ำ

“ที่นี่เป็นวัดเราไม่ควรมีเรื่อง ใครเป็นคนถุยน้ำลายก็จับมันมาลงโทษก็น่าจะเลิกราได้”

คนที่พูดและยืนอยู่ตรงกลาง เป็นชายชราคนหนึ่งซึ่งมีหน้าที่ดูแลวัดแห่งนี้ สองสามวันมานี้เขาไม่รู้เรื่องอะไร รู้แต่ว่าจู่ ๆ เจ้าอาวาสก็สั่งให้ปิดวัดชั่วคราวเพื่อปรับปรุง เขาก็ได้แต่ทำตามและคอยดูแลช่างไม่คิดว่าจู่ ๆ จะมีคนวิ่งเข้ามาหาเรื่องถึงที่นี่

อเล็กซ์พูดว่า

“อมิตาพุทธ แต่เรื่องต้องสะสางใครก็รู้ว่าการถุยน้ำลายลงถิ่นหมายถึงการหยามเกียรติระหว่างแก๊ง ในเมื่อกล้าสร้างเรื่องก็ต้องกล้ารับ”

คนมากขนาดนี้จะไปหาตัวการจากที่ไหนกันล่ะ และคนที่มาหาเรื่องยังตั้งหน้าตั้งตามาแบบนี้อีกด้วย

และแล้วสงครามย่อย ๆ ก็เกิดขึ้น ข้างนอกโกลาหลกันมาก อเล็กซ์ยังให้คนซุ่มมองอยู่ข้างนอก หากจะมีการเปลี่ยนเคลื่อนไหวให้รีบจัดการทันที

หลังจากอเล็กซ์เปิดศึก ฝั่งของหลิวไห่ก็กำลังเจรจากับกู้เมิ่ง

เงินที่กู้เมิ่งต้องการเตรียมเรียบร้อย และในตอนนี้ก็กำลังถูกส่งเข้าไปทยอยซื้อในรูปของบิทคอย เพียงเงินปล่อยซื้อราคาบิทย่อมพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง กู้เมิ่งหัวเราะด้วยความสะใจ หารู้ไม่ว่าหน้าจอที่เขากำลังดูอยู่ที่แท้เป็นการทำเลียนแบบโดยกลุ่มดวงตาสวรรค์

ถ้าพูดกันจริง ๆ ในตอนนี้กู้เมิ่งไม่สามารถสู้ดวงตาสวรรค์ได้ ทุกอย่างที่เขาเห็นในคอมพิวเตอร์จึงเป็นของปลอมทั้งหมด กระเป๋าบิทคอยของเขาถูกเติมเข้ามาเรื่อย ๆ กู้เมิ่งกำลังดื่มไวน์ฉลองชัยชนะ

“ปล่อยน้องฉันได้แล้ว”

กู้เมิ่งส่ายหน้า ตอนนี้เขากล้าที่จะวิดีโอคอลกับหลิวไห่แบบเปิดหน้าเปิดตาแล้ว

“อย่าใจร้อน ให้เหรียญเข้าครบตามต้องการก่อน หลังจากนั้นแกได้น้องของแกกลับคืนแน่ ก่อนอื่นฉันต้องแสดงความเสียใจด้วยที่ทำให้แกหมดตัว แต่แกก็น่าจะชินเพราะยังไงแกมันก็แค่ไอ้กระจอก คนชั้นต่ำที่คิดจะปีนขึ้นที่สูง”

หลิวไห่ไม่ตอบเขา เวลาของหลิวไห่เองก็มีจำกัด ดวงตาสวรรค์หลอกกู้เมิ่งได้แค่ไม่เกินยี่สิบนาทีหลังจากนั้นระบบคอมพิวเตอร์ของกู้เมิ่งน่าจะจับได้ว่าทุกอย่างเป็นของปลอม

“ถ้างั้นก็ให้น้องของฉันคุยกับฉันหน่อยสิ”

หลิวไห่ต่อรอง เขาต้องมั่นใจว่าเฉินเฟยอวี๋ยังปลอดภัยดี และการต่อสายโทรศัพท์ของกู้เมิ่งในครั้งนี้กลุ่มดวงตาสวรรค์ได้จับจ้องเอาไว้แล้ว กู้เมิ่งเองก็มีความมั่นใจในการป้องกันของตัวเองเป็นอย่างมากในตอนนี้

แม้แต่ดวงตาสวรรค์ก็ไม่สามารถเข้าถึงเขาได้

โทรศัพท์ที่กู้เมิ่งใช้ จึงเป็นแบบโบราณ และจะใช้สัญญาณเฉพาะเครื่องเท่านั้น

“ถ้าแกคิดจะตามมันจากโทรศัพท์ที่ฉันโทรออกก็บอกแก่ก่อนจะได้ไม่เสียเวลา ฉันไม่มีทางพลาดให้แกโดยเด็ดขาด”

กู้เมิ่งต่อสายไปถึงคนของเขา และให้เฉินเฟยอวี๋เป็นคนพูด

กู้เมิ่งสั่งให้เฉินเฟยอวี๋ทักทายพี่ชายสักครั้ง หลังจากวางสายก็ให้จัดการเฉินเฟยอวี๋ได้เลยไม่ต้องออมมือ เพราะเขาหวังจะส่งเฉินเฟยอวี๋ที่หายใจรวยรินกลับไปยังอ้อมอกพี่ชายของมัน หลิวไห่คงจะทรมานไม่น้อย ทรมานเหมือนที่มันเห็นพ่อของมันตายคาตาแต่ทำอะไรไม่ได้

“ปล่อยฉันนะ ปล่อยฉัน พี่ชายที่นี่มีกลิ่นสบู่เต็มไปหมด ฉันแพ้กลิ่นสบู่แสบจมูกจะตายอยู่แล้วรีบมาช่วยฉันเร็ว”

แน่นอนว่าหลิวไห่เข้าใจทันที และโทรศัพท์ของเขาก็ถูกต่อไปแจ้งกับอเล็กซ์ทันใด

กลิ่นสบู่เหรอ โรงงานผลิตสบู่ที่เกาลูนไม่มีโรงงานใหญ่อยู่แถวนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นโรงงานเล็ก ๆ ทำกันเองในบ้าน หรือไม่หากจะมีที่หนึ่งเขาก็มั่นใจแล้ว

หลังวัดแห่งนี้นี่เอง ในเมื่อเขาค้นหาในวัดจนทั่วแล้วไม่เจอ แสดงว่าเฉินเฟยอวี๋ต้องถูกจับอยู่ในป่าหลังวัดแห่งนี้ ซึ่งที่นั่นยังเป็นโรงงานผลิตสบู่อีกด้วย

เหลืออีกสิบนาทีสุดท้ายก่อนที่ทุกอย่างจะถูกเปิดเปิง

เป็นข้อความจากดวงตาสวรรค์ที่กู้เมิ่งได้รับ

เขาลุ้นระทึกหวังให้อเล็กซ์ไปช่วยเฉินเฟยอวี๋ได้ทัน ก่อนที่กู้เมิ่งจะรู้ตัว

และเมื่อคนของกู้เมิ่งได้รับสัญญาณให้ทำร้ายเฉินเฟยอวี๋แล้วพวกมันก็เริ่มลงมือ แต่ใครจะคาดคิดว่าเฉินเฟยอวี๋เองเมื่อเรียวแรงกลับมาจะแรงเยอะขนาดนั้น เขายังแก้เชือกที่ผูกมือของเขาได้

เฉินเฟยอวี๋ลุกขึ้น ตวัดมือเข้าไปที่ใบหน้าผู้ชายคนนั้นที่มัวตกตะลึงแล้วตบจนเขาหน้าหงายก่อนจะเตะไข่ของมันจนหน้าเขียว

“ไอ้เลวสมัยเด็กกูนี่แช้มป์แก้เงื่อนเชือก เงื่อนเป็นเงื่อนตายมาแบบไหนกูแก้ได้หมด คิดจะมัดกูมึงต้องมัดแบบนี้”

เฉินเฟยอวี๋จับผู้ชายคนนั้นมัดจนแน่นหนา แล้วยังดีใจกับผลงานของตัวเอง กระทั่งคนข้างนอกได้ยินเสียงผิดปกติจึงแห่กันเข้ามา เฉินเฟยอวี๋ในตอนนี้แก้มัดขาของตัวเองได้แล้ว เขาเริ่มจัดการคนที่เข้ามาทีละคน

“พวกมึงคิดว่าก็ไปฟิตเนสเพื่อจับผู้ชายอย่างเดียวเหรอ กูนี่ฝึกมวยมามากนะโว๊ยตั้งแต่อยู่กับหลี่เจี่ยซิน กูก็ถูกนางจับซ้อมทุกวันมึงคิดว่ากูจะไม่เก่งเหรอ พวกโง่”

เขาจัดการถีบเตะไปหลายคน แต่พวกมันก็มีมากสุดท้ายแล้วสาวน้อยของเขาก็เริ่มอ่อนแรง

แต่สิ่งที่ไม่น่าเชื่อพลันเกิดขึ้นในระหว่างที่เขากำลังต่อสู้อย่างหนักนั้น ผู้ชายคนนั้นก็กระโดดเข้ามาช่วยเขา พร้อมด้วยสายตาสำนึกผิด

“ผมขอโทษพวกมันบังคับผม พวกมันจับน้องสาวผมไป”

เฉินเฟยอวี๋แทบกรี๊ด ในตอนนี้คิดว่าตัวเองเป็นสาวงามและมีวีรบุรุษกระโดดเข้ามช่วย มือไม้จึงอ่อนลงเล็กน้อย แสร้งอ่อนแอให้ผู้ชายปกป้อง

ผู้ชายคนนี้ฝีมือดีไม่น้อย เมื่อร่วมมือกับเฉินเฟยอวี๋ไม่นานก็จัดการจับพวกมันไปกองที่พื้น แต่ก่อนที่พวกเขาจะหนีออกมาได้สำเร็จน่าเสียดาย ที่ทั้งคู่กลับถูกปืนจ่อเข้าไปที่หน้าผากจนไม่กล้าขยับ

“พวกมึงคิดจะหนีพ้นเหรอ กลับเข้าไปเดี่ยวนี้”

หลังจากนั้นทั้งสองคนก็คอตก ถูกจับขังรวมในห้องพร้อมกับพวกกระจอกที่นอนล้มระเนระนาดที่พื้นโดยไม่มีใครสนใจ

“พวกเลวเอ๊ย”

เฉินเฟยอวี๋เตะเข้าที่ท้องของพวกนั้นทีละคน เป็นการระบายอารมณ์แน่นอนว่าลอกเลียนแบบหลี่เจี่ยซินมา ในเวลาที่เธอทำร้ายพวกอันธพาลเธอมักจะใช้คำนี้และทำแบบนี้ แน่นอนว่าสำหรับเฉินเฟยอวี๋แล้วเขาคิดว่ามันเท่ห์มาก จึงได้คิดว่าสักวันตนเองจะทำแบบนี้บ้าง

คิดไม่ถึงว่าวันนี้เขาจะได้ทำในสิ่งที่มุ่งหวังแล้ว

“ผมขอโทษที่ล่อลวงคุณ”

เฉินเฟยอวี๋หยุดเตะคนแล้วหันมามองเขาคนนั้น

“ไม่เป็นไร ว่าแต่ว่าคุณชื่ออะไรเหรอ เอาชื่อจริง ๆ นะ ส่วนฉันเฉินเฟยอวี๋ฉันไม่ใช่หลิวไห่หรอก”

เขายิ้มเศร้าเหมือนรู้อยู่แล้ว แน่นอนว่าคนโง่ที่สุดในตอนนี้ก็คือเฉินเฟยอวี๋ แต่ผู้ชายเขามีเหตุผลนี่ น้องทั้งคนเลยนะ เฉินเฟยอวี๋เลยรีบให้อภัยไม่ใช่เพราะเขาหล่อ แต่เพราะเขาหล่อมาก ต่างหาก คนหล่อ ๆ ไม่สมควรทำหน้าเศร้าแบบนี้

ก่อนที่เฉินเฟยอวี๋จะถูกกระทืบ ห้านาทีต่อมาก็มีเสียงคนบุกเข้ามาแล้ว สุดท้ายประตูเปิดออกพร้อมกับนาทีสุดท้ายที่กู้เมิ่งจับได้ว่าสิ่งที่เขากำลังดูอยู่ในคอมพิวเตอร์นั้นคือเรื่องโกหก

“ไอ้เลวเอ๊ย หลิวไห่มึงกับกูชาตินี้อยู่ร่วมโลกกันไม่ได้ มึงกล้าหลอกลวงกู สั่งเด็กของเราให้ฆ่ามันซะ ไอ้เฉินเฟยอวี๋นั่นฆ่ามันให้ตายเฉือนเนื้อมันออกมาและโยนกลับไปให้พี่มันดู”

“ครับนาย”

เมื่อคนของกู้เมิ่งโทรศัพท์ไปหากลุ่มคนที่จับตัวเฉินเฟยอวี๋เอาไว้ กลับมีเสียงหนึ่งรับสายแทนแล้วตอบว่า

“มึงไม่ได้ตายดีแน่ ถ้ากล้าทำเรื่องชั่วในถิ่นของอาเฉิงอีก บอกนายมึงว่ากูอเล็กซ์ไม่ยอมมันอีกต่อไป”

และข่าวนั้นก็ถึงหูของกู้เมิ่ง เขาโมโหคว้าปืนขึ้นมาลั่นไกยิงขาลูกน้องคนนั้นไปสองนัดทันที ลูกน้องล้มหน้าคว่ำนอนจมกองเลือดหลายคนตกใจและช่วยหามเพื่อนออกจากห้องนี้

“โถ่โว๊ย ไอ้พวกเลี้ยงเสียข้าวสุก โทรไปบอกท่านประธานว่าฉันไม่เอาแฮ็กเกอร์กลุ่มนี้แล้ว ขอให้ท่านประธานส่งคนที่เก่งที่สุดมาให้ฉัน”

หลิวไห่ก้มมองโทรศัพท์ เป็นข้อมความที่ส่งมาจากอเล็กซ์

พบตัวเฉินเฟยอวี๋แล้วปลอดภัยดีและกำลังพยายามปล้ำผู้ชายคนหนึ่ง

หลิวไห่หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ไอ้น้องเลวนี่ในเวลาแบบนี้ยังหื่นได้อีก

ด้านเฉินเฟยอวี๋ผู้ถูกจับตัวมาหลังจากร้องไห้จนไม่มีน้ำตาเหลือแล้วก็เปลี่ยนวิธีใหม่ ผู้ชายคนนี้ถูกจ้างมาล่อลวงเขาดังนั้นเขาจึงคิดว่าเงินคงเป็นทางออกที่ดี เขาไม่รู้ว่าเบื้องหลังคนที่ว่าจ้างคือใคร ที่จับมาจุดประสงค์หลักเพื่ออะไร ข่มขู่พี่ชายเขา หรือต้องการเงิน

เฉินเฟยอวี๋รู้ดีว่าตัวเองมีเครื่องติดตามติดอยู่ที่ตัว จากเวลาที่เขาหายมาจวบจนป่านนี้ก็ผ่านมาข้ามคืนแล้วแต่เขากลับไม่เห็นวี่แววของคนที่มาติดตามเขาย่อมรู้ดีว่าต้องเกิดเรื่องผิดพลาดบางอย่างแน่นอน

หรือว่าเครื่องติดตามตัวจะใช้ไม่ได้

ในตอนนี้เฉินเฟยอวี๋ถูกมัดให้ติดอยู่กับเก้าอี้ตัวหนึ่ง เขาหาเรื่องปวดท้องเข้าห้องน้ำไปครั้งหนึ่ง คนพวกนั้นกลับยืนเฝ้าเขาทั้งที่เปิดประตูห้องน้ำเอาไว้ เฉินเฟยอวี๋มีใจเป็นหญิงย่อมอับอายอย่างมาก หลังจากนั้นเขาก็ไม่หาเรื่องให้ตัวเองอับอายอีก

คนพวกนั้นไม่คู่ควรที่จะเห็นงูของเขา

เมื่ออยู่กันสองต่อสองกับผู้ชายคนนั้น เฉินเฟยอวี๋ก็เริ่มต่อรอง

“ถ้านายต้องการเงินฉันคุยกับนายได้”

ผู้ชายคนนั้นกลับยกยิ้ม เขาพยักเพยิดหน้าขึ้นด้านบน เฉินเฟยอวี๋มองตามแล้วก็เห็นกล้องวงจรปิดที่ติดอยู่ในห้องจึงรีบหุบปากของตัวเองทันที

เขาสังเกตุพฤติกรรมของผู้ชายคนนั้นแล้วก็รู้สึกว่าเหมือนคนคนนี้กำลังเจอเรื่องลำบากใจ

ทำไมเขาไปโผล่ที่ฟิตเนส และ ทำไมคนพวกนั้นถึงรู้ว่าผู้ชายแบบนี้เป็นสเปคของเขา และเฉินเฟยอวี๋ก็มั่นใจในสายตาของตัวเอง หยางเจิงหรือจะชื่ออะไรก็ไม่รู้คนนั้นต่างมีรสนิยมเดียวกันกับเขา

เขาเชื่อสายตาตัวเองว่ามองไม่พลาด

เอาล่ะคราวนี้อาจจะต้องแสดงหนังสดกันหน่อย

เฉินเฟยอวี๋ยิ้มแล้วพูดว่า

“หยางเจิงฉันชอบคุณจริง ๆ นะ ฉันไม่ได้พูดเล่น”

เหมือนหยางเจิงจะหน้าแดง เขาหันหลังแล้วเดินออกมาจากห้องทันที เฉินเฟยอวี๋ไม่รู้ว่าผู้ชายคนนั้นกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ เขาดูไม่โหดเหี้ยมพอที่จะลักพาตัวคน และตอนนี้เหงื่อเขาก็ท่วมตัว ท่าทางกระวนกระวายเหมือนเกิดเรื่องไม่ดีกับตัวเขาเอง

หรือว่าที่เขาทำนี่ไม่ใช่เพราะเงิน แต่เพราะมีความจำเป็นอย่างอื่น

เฉินเฟยอวี๋สลัดความคิดพวกนี้ทิ้งเมื่อคิดได้ว่าตัวเองตอนนี้ยังเอาตัวไม่รอด ที่นี่ไม่มีหลี่เจี่ยซินสักหน่อย เขาในตอนนี้คิดถึงเธอจริง ๆ นะ คิดถึงมากที่สุด ถ้าหลี่เจี่ยซินอยู่ที่นี่เขาไม่มีทางตกอยู่ในสถาณการณ์นี้แน่นอน

เฉินเฟยอวี๋ได้แต่กระทืบเท้าลงพื้นน้ำตาหลั่งออกมาอีกครั้ง

ด้านอเล็กซ์ได้ช่วยกระจายกำลังคนของเขาออกตามหาเบาะแสของเฉินเฟยอวี๋อย่างเร่งด่วน เขาได้ใบหน้าของคนคนนั้นที่มาหลอกเฉินเฟยอวี๋แล้ว และกำลังตรวจสอบครอบครัวของคนคนนั้นอยู่

ผู้ชายคนนี้ชื่อหยางชิว เมื่อสืบหาคนในครอบครัวก็พบว่าหยางชิวมีน้องสาวคนหนึ่งพ่อแม่เสียเพราะอุบัติเหตุ และตอนนี้น้องสาวของเขาก็หายไปเด็กหญิงตัวน้อยมีอายุแค่เพียงสิบขาวเท่านั้น

หยางชิวเป็นนายแบบแต่ชื่อเสียงไม่ค่อยดังนักเป็นดาราเกรดซีที่ไม่ค่อยมีงาน หรือเพราะเขาหาเงินลำบากทั้งยังต้องเลี้ยงน้องสาวจึงรับทำงานล่อลวงนี้ จากการที่อเล็กซ์สืบมาดูแล้วน่าจะเป็นไปได้ เพราะหยางชิวมีหน้าตาคล้ายกับคู่ควงคนก่อน ๆ ของเฉินเฟยอวี๋แต่หล่อเหลาก่อมากเป็นสเปคของชายหนุ่มคนนั้นเขาจึงได้รับการติดต่อ

สงสัยว่าหยางชิวอาจจะปฏิเสธน้องสาวเลยถูกจับตัวไป

แล้วหยางชิวล่ะอยู่ที่ไหน หากว่าพบหยางชิวก็ย่อมตามหาเฉินเฟยอวี๋ได้

อเล็กซ์เองเมื่อสมัยเด็กเป็นหัวขโมยตามถนนในเกาะฮ่องกงนี้ไม่มีที่ไหนที่เขาไม่เคยไป และจากการที่เขาตามหาในตอนนี้คาดได้ว่าเฉินเฟยอวี๋จะอยู่ที่เกาะเกาลูน พวกนั้นคงพาเขาไปแอบซ่อนที่นั้น

ดูเหมือนว่าประธานกู้หรือกู้เมิ่งจะพาเขาไปที่นั่นเป็นแน่ และสิ่งที่สำคัญในตอนนี้นอกจากการตามหาตัวเฉินเฟยอวี๋แล้วคนที่พวกเขาต้องตามตัวให้เจอก่อนก็คือน้องสาวอายุสิบขวบของหยางซิว

ซึ่งง่ายกว่ามาก

นั่นเป็นเพราะว่าคนของกู้เมิ่งคิดไม่รอบคอบ ไม่คิดว่าพวกเขาจะตามแกะรอยจากวิธีนี้ การกระจายกำลังกันค้นหาจึงเกิดขึ้นเมื่อได้ภาพจากกล้องวงจรปิดจนพอที่จะตีวงแคบเพื่อค้นหาน้องสาวของหยางซิวแล้ว

ในบริเวณนั้นนอกจากบ้านเรือนของคนที่ไม่คิดว่าพวกคนร้ายจะจับตัวเอาไว้ในนั้นแล้วก็ยังมีวัดที่อยู่บนภูเขาสูงแห่งหนึ่ง หลิวไห่ได้ข้อมูลจากดวงตาสวรรค์มาแล้วเขาจึงรีบนำคนไปอย่างลับ ๆ เพื่อตามหาตัวเด็ก

พวกเขาเฝ้าอยู่รอบบริเวณวัดจนกระทั่งสัญญาณความร้อนจากดาวเทียมจับได้ว่าในวันนั้นมีเด็กผู้หญิงถูกจับขังอยู่ในห้องสวดมนต์แห่งหนึ่ง โดยข้างนอกมีคนเฝ้าอยู่สี่คน วัดแห่งนี้ยังพบว่ามีประธานกู้ให้การทำนุบำรุงอยู่เสมอ

หลิวไห่หัวเราะในใจ

“คนใจบาปอย่างประธานกู้ต่อให้พระพุทธเจ้าฟื้นขึ้นมาแสดงธรรมด้วยตนเองเขาก็ไม่มีทางที่จะบรรลุธรรมได้ คิดว่าให้เศษเงินกับวัดแล้วจะทำให้ตัวเองสบายใจได้จริงเหรอ”

เมื่อคนพร้อม และได้โอกาสบุก หลิวไห่สั่งให้คนบุกเข้าไปและช่วยเด็กคนนั้นเอาไว้ทันที เป็นเพราะการเฝ้าเด็กค่อนข้างหละหลวมด้วยไม่มีใครคิดว่าพวกหลิวไห่จะตามต้นตอมาถึงที่นี่จึงสามารถจับคนได้อย่างง่ายดาย

หลิวไห่เปิดประตูไม่ออกเพราะคนร้ายกลืนลูกกุญแจเข้าไปในท้อง เขาหัวเราะกับความโง่เขลาของผู้ชายคนนั้น คิดว่ากินลูกกุญแจแล้วจะสามารถแสดงความจงรักภักดีให้กู้เมิ่งเห็นได้อย่างนั้นเหรอ น่าตลกสิ้นดี

หลิวไห่ไม่แยแสเขาจึงใช้แรงถีบอย่างเต็มที่ไม่กี่ครั้งกลอนง่อย ๆ ก็พังลงจนสามารถเปิดประตูได้

เสียงเด็กหญิงร้องไห้ขึ้นมาอย่างน่าสงสาร ใบหน้าเล็ก ๆ ของเด็กน้อยเพียงเท่าฝ่ามือเท่านั้น

“ไม่ต้องกลัวนะพี่เป็นเพื่อนพี่ชายหนู พี่ชายหนูชื่อหยางซิวใช่หรือเปล่าเขาให้พี่มาช่วย”

เด็กคนนั้นแม้จะร้องไห้เพราะหวาดกลัวที่จู่ ๆ มีคนถีบประตูเข้ามาพอได้ยินชื่อพี่ชายตัวเองก็หยุดร้อง ทั้งยังกอดหลิวไห่เอาไว้แน่น

“พี่ชายให้มาช่วยหนูเหรอคะ บอกพี่ชายนะคะว่าหนูเข้มแข็งมากไม่ร้องไห้เลย”

หลิวไห่พยักหน้า เขาคว้ามือของเด็กออกมาแล้วให้คนพาไปที่รถ ขณะเขาสวบสวนคนสี่คนที่ถูกคนของเขาจับมัดเอาไว้เรียบร้อย เขาสั่งให้คนลากตัวคนร้ายไปขึ้นรถแล้วมาที่โกดังร้างของลุงเฉิงสถานที่ประจำที่เขาเคยซ้อมคนที่นี่

คนพวกนั้นถูกลากลงมาจากรถทีละคุณ หลิวไห่ดวงตาแดงก่ำด้วยความโกรธ คนพวกนี้ดูจะกระจอกและคงเป็นลูกน้องปลายแถว

“พวกแกจับน้องฉันไปไว้ที่ไหน”

แน่นอนว่าคนสี่คนเอาแต่ก้มหน้าและหุบปากแน่น หลิวไห่ยิ้มเย็นพลันแตะเข้าไปที่ใบหน้าของพวกมันทีละคน ทั้งยังใช้ส้นรองเท้ากระทืบโดยไม่คิดที่จะปราณีเลยสักนิด

หลิวไห่จับคอเสื้อคนพวกนั้นขึ้นมาทีละคน ก่อนจะต่อยหน้าจนฟันของพวกมันแทบหลุดไม่เว้นแม้แต่คนเดียว

การทรมานของเขายังไม่จบสิ้น หลิวไห่ลากพวกมันออกมายังพื้นข้างนอก สั่งให้คนถอดรองเท้าพวกมันออกให้หมด ด้านหน้าของเขาเป็นเศษแก้วที่แตกจำนวนมาก มองดูเผิน ๆ เหมือนแก้วนั้นจะเป็นสีแดง แต่เมื่อดูดี ๆ กลับพบว่าเป็นเศษแก้วที่เปื้อนไปด้วยเลือด

ที่แท้สีแดงนั้นคือเลือดของมนุษย์ ไม่รู้ว่าจะมีใครต้องย่ำเศษแก้วนี้ไปเท่าไหร่แล้ว

หลิวไห่ยกมุมปากเหี้ยมเกรียม การทรมานคนเขาไม่เคยชอบเลยสักนิด แต่หากไม่ทำเช่นนี้ก็อย่าหวังว่าจะได้สิ่งที่ต้องการจากปากของคนพวกนี้

สุดท้ายแล้วพวกมันต่างมองหน้ากัน ระยะทางเบื้องหน้าหากต้องเหยียบเข้าไปก็ไม่รู้ว่าพวกเขาจะทนทรมานได้หรือเปล่า เศษแก้วคมที่พร้อมจะทิ่มตำร่างกายของคนทำให้พวกมันขนลุก

หลิวไห่รู้ดีว่าคนของประธานกู้โหดร้ายแค่ไหน แม้ในตอนนั้นที่เขาถูกทรมานโยนลงน้ำก็เกือบจะกลายเป็นเหยื่อของจรเข้ไปแล้ว หากพ่อของเขาไม่ยอมปริปาก

สุดท้ายแล้วคนพวกนั้นย่อมทนไม่ได้ มีคนหนึ่งพูดขึ้นมาทันใด

“ผมรู้แค่ว่าเขาอยู่ฝั่งเกาลูนครับ แต่ที่ไหนผมเองก็ไม่รู้ครับ ไม่รู้จริง ๆครับ ผมรู้แค่นี้จริง ๆ ครับ”

หลิวไห่คาดคั้นต่อ

“ใครเป็นคนติดต่อคนฝั่งโน้น”

ผู้ชายคนนั้นที่คุกเข่าอยู่ทั้งใบหน้าเต็มไปด้วยเลือดชี้ไปที่ ผู้ชายอีกคนที่ทนพิษเท้าของหลิวไห่ไม่ไหวจนสลบไปแล้ว

“เขาครับ”

หลิวไห่สั่งให้คนค้นตัวแต่ไม่พบโทรศัพท์สักเครื่อง

“โทรศัพท์อยู่ไหน”

ผู้ชายคนนั้นตอบทั้งที่เลือดเริ่มกลบปาก

“โทรศัพท์มีคนเอาไปแล้วครับ”

หลิวไห่รีบโทรศัพท์หาอเล็กซ์ทันที

“อยู่เกาลูน คาดว่าอาจจะเป็นวัดสักที่”

อเล็กซ์รับคำ

“ไม่ต้องห่วงคิดว่าได้เบาะแสแล้ว ไม่นานต้องเจอตัวแน่”

ข่าวถูกแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว จากแหล่งที่น่าเชื่อถือได้ ว่ามีเงินหนึ่งพันล้านดอลล่าห์สหรัฐถูกเตรียมเอาไว้เพื่อซื้อบิทคอยน์ในเวลาที่เหมาะสม แน่นอนว่าการแปลงเงินจำนวนมากเป็นบิทคอยน์ในคราวนี้จะส่งผลกระทบกับตลาดเป็นอย่างมาก คนที่ถือครองบิทคอยน์ซึ่งเป็นสกุลเงินดิจิตอลอยู่ในตอนนี้ เมื่อมีการนำเงินหนึ่งพันล้านดอลล่าห์เข้าไปซื้อก็จะส่งผลให้คนที่ถือครองบิทคอยน์อยู่ร่ำรวยมหาศาลอันเป็นผลกระทบที่เกิดขึ้นในทันที

ราคาบิทคอยน์จะยิ่งพุ่งสูงขึ้น หากใครเทขายในตอนนี้ก็เท่ากับสร้างกำไรได้มหาศาล

ซึ่งแน่นอนว่ากู้เมิ่งย่อมถือครองบิทคอยน์ในมืออยู่ไม่น้อย เงินที่เขาเคยพลาดท่าสูญเสียให้หลิวไห่ในตอนนั้น ได้เวลาที่เขาจะเอาคืนแล้ว เขาได้ทั้งเงินเข้ากระเป๋าได้ทั้งเหรียญอันเกิดจากเงินใหม่ของกู้เมิ่งเข้ามาถือครอง ราคาของบิทที่พุ่งขึ้นไปเป็นร้อยเท่าหลังจากมีการซื้อขายจริงจะทำให้เขาได้กำไรต่อที่สองอีก

หลิวไห่ถ่วงเวลาในการเตรียมเงิน แน่นอนว่ากู้เมิ่งย่อมประเมินเขาต่ำ เขายังคิดว่าเงินจำนวนนี้หลิวไห่อาจไม่มีปัญญาด้วยซ้ำ และตัวเองก็ต้องการเงินนี้เขาจึงตกลงให้เวลาหลิวไห่สามวันในการเตรียมเงิน

ซึ่งเป็นเวลาที่เขาให้ได้มากที่สุด หากหลิวไห่ยังหาเงินไม่ได้ในสามวันนี้เขาจะฆ่าเฉินเฟยอวี๋แล้วส่งศพที่ถูกตัดเป็นชิ้น ๆ ไปคืนให้หลิวไห่

หลิวไห่เองแม้จะวิตกกังวลมาก แต่เขาก็ดูสงบนิ่งเป็นอย่างมาก แต่เพราะคราวนี้กู้เมิ่งประเมินเขาสูงขึ้น เกี่ยวกับดวงตาสวรรค์ทำให้การติดตามหาเฉินเฟยอวี๋ทำได้ยาก

“ลุงเฉิงครับ ผมขออเล็กซ์มาช่วยตามหาน้องชายได้หรือเปล่าครับ”

หลิวไห่ในตอนนี้อยู่ในห้องอาหารส่วนตัวของนายใหญ่เฉิง ด้านหลังเขามีเพียงคนสนิทและพนักงานเสริฟที่ไว้ใจได้สองคนคอยช่วยเหลือแกะก้าง แกะกุ้ง แกะปู ให้พวกเขา

ลุงเฉิงยิ้มพร้อมพยักหน้า

“ได้สิ แต่วันนี้กินให้มากนะ เราไม่ได้พบกันมานานแล้ว”

หลังจากนั้นลุงเฉิงก็ชวนหลิวไห่พูดเรื่องหุ้นในตลาดทั่วโลก ซึ่งทุกครั้งที่เจอหน้าย่อมเป็นแบบนี้เสมอ แม้หลิวไห่จะเป็นเด็กที่เคยเรียนรู้ทุกอย่างมาจากลุงเฉิง แต่หลังจากเขาศึกษาจนชำนาญแล้วเรื่องการวิเคราห์ตลาดในอนาคตลุงเฉิงกลับไม่สามารถเทียบชั้นหลิวไห่ได้

เพราะแบบนี้เด็กหนุ่มคนนี้จึงเติบโตอย่างรวดเร็ว ยิ่งเด็ก ๆ ดวงตาสวรรค์ที่เปรียบเป็นลูกรักของลุงเฉิงยอมคุกเข่าให้หลิวไห่ ลุงเฉิงยิ่งขอบคุณตัวเองที่คิดไม่ผิดที่ช่วยเหลือคนคนนี้

หลิวไห่วิเคราะห์หุ้นใหญ่ในตลาดและทิศทางให้ลุงเฉิงทราบพร้อมกับให้คำแนะนำ เลขาของลุงเฉิงได้ทำการบันทึกคำพูดของหลิวไห่ไว้อย่างละเอียด

การลงทุนในครั้งนี้ ถ้าหลิวไห่วิเคราะห์ได้ถูกต้องเหมือนที่ผ่านมานายใหญ่จะมีทรัพย์สินเพิ่มอย่างมหาศาล แต่หากว่าวิเคราะห์พลาดนายใหญ่ก็แทบจะล้มละลายเช่นกัน แต่เงินที่หายไปนายใหญ่ไม่เคยสนใจ วิธีการหาเงินของพวกเขามีมาก เพียงแต่ค่อนข้างเสี่ยงกับตำรวจก็เท่านั้น

พักหลัง ๆ มากิจการผิดกฎหมายจึงน้อยลงมาก เพราะมีหลิวไห่ให้คำแนะนำเรื่องการเงิน

ลุงเฉิงหรือนายใหญ่เฉิงผู้ที่กว้างขวางและสืบตำแหน่งหัวหน้าแก๊งมาเฟียอันดับหนึ่งของฮ่องกงที่มีมาอย่างยาวนานอนุญาตอย่างไม่ลังเล หลิวไห่ในตอนนี้เป็นเหมือนลูกชายเขา ถึงหลิวไห่จะปฏิเสธงานผิดกฎหมายเช่นงานเกี่ยวกับยาเสพติด

แต่หลังออกจากคุกลุงเฉิงก็ได้ส่งหลิวไห่ไปเจรจากับนักการเมืองหลายคนที่กำลังจะแปรภักดิ์ไปอยู่ฝั่งของประธานกู้

หลิวไห่เป็นคนมีไหวพริบที่หาตัวจับยาก เดิมทีลุงเฉิงอยากให้เขามาเป็นหัวหน้าแก๊งคนต่อไป

เขาเองก็อายุมากแล้วจำเป็นต้องหาคนสืบทอดแต่หลิวไห่คนนี้ไม่ใช่ใครก็จะบังคับได้ง่าย ๆ เขาสามารถทำงานได้บางเรื่อง แต่บางเรื่องที่ขัดกับหลักศีลธรรมแม้จะเอาปืนจ่อเขาหลิวไห่ก็ไม่แสดงความหวาดกลัวออกมา กลับพร้อมที่จะตายได้ทุกเมื่อ

และเพราะหลิวไห่เป็นคนแบบนี้ ไม่ทิ้งเพื่อน ไม่เอาตัวรอด ยึดหมั่นในหลักการของตนเองลุงเฉิงจึงยิ่งถูกใจเขามาก และยินยอมปล่อยเขาไปตามทางในที่สุด

ลุงเฉิงรู้ว่าหลิวไห่เข้ามาอยู่ในเรือนจำด้วยสาเหตุใด เขายื่นมือเข้าช่วยเพราะหลิวไห่ช่วยเหลือตนเองนี่จึงเป็นวิธีการตอบแทนคุณอย่างหนึ่ง แต่เรื่องความบาดหมางระหว่างสกุลกู้กับหลิวไห่ที่ผ่านมาลุงเฉิงไม่เคยยุ่งเกี่ยว

แน่นอนว่าถึงจะมีศัตรูคนเดียวกัน แต่ละคนย่อมมีวิธีการชำระแค้นและหลีกเลี่ยงที่ต่างกัน

หลังจากวิเคราะห์หุ้นทั้งยังกินข้าวกันอย่างสนิทสนม อเล็กซ์ก็มาถึงห้องอาหารพอดี เขาทำความเคารพลุงกู้แล้วกอดหลิวไห่ น้ำตาคลอเบ้าอย่างที่ชอบทำ หลิวไห่ดันตัวอเล็กซ์ออกห่างพร้อมกับพูดเบา ๆ

“ฉันมีเจ้าของแล้วจะมากอดกันแบบนี้ไม่ได้”

อเล็กซ์ตาโต

“เจ้าของเหรอ พี่เจอผู้หญิงทรงพลังคนนั้นแล้วเหรอ”

หลิวไห่หัวเราะเบา ๆ พร้อมกับดึงให้อเล็กซ์นั่งลงข้าง ๆ

“เจอเธอแล้ว และเธอก็ขี้หวงด้วย”

หลิวไห่ไม่รู้ว่าหลี่เจี่ยซินขี้หวงจริง ๆ หรือเปล่า เพราะเขายังไม่เคยพิสูจน์กับผู้หญิงคนอื่น แต่ยังไงเขาก็ไม่ชอบให้อเล็กซ์มากอดเขานาน ๆ แบบนี้ มันอึดอัดเหมือนกับตอนที่เฉินเฟยอวี๋กอดเขานั่นแหละ

อเล็กซ์นั่งลงอย่างสบาย เขาไม่ได้กลัวหรือเกร็งเหมือนลูกน้องคนอื่นเมื่ออยู่ต่อหน้าลุงเฉิงและหลิวไห่ ยังทำตัวเป็นตัวของตัวเองแบบสุด ๆ นั่นเพราะเขาอยู่กับลุงเฉิงมาตั้งแต่เกิด อเล็กซ์ก็เหมือนลูกบุญธรรมของลุงเฉิง เพียงแต่ไม่ได้รับอนุญาตให้เรียกพ่อก็เท่านั้น

นอกนั้นแล้วอภิสิทธิ์ทุกอย่างอเล็กซ์ย่อมมีเหนือคนอื่น ข้อดีของอเล็กซ์คือเชื่อฟังลุงเฉิง เขาไม่เคยกลัวที่หลิวไห่จะขึ้นเป็นหัวหน้า เพราะตั้งแต่อยู่ในคุกเขาได้รู้อย่างแจ่มแจ้งว่าความสามารถของหลิวไห่นั้นมีมากเพียงใด

อเล็กซ์รู้สึกว่าตัวเองนั้นเหมือนคนโง่ทุกครั้งที่คุยกับหลิวไห่ นอกจากเรื่องการใช้กำลังแล้วเขาก็ไม่รู้อะไรเลย หนังสือที่หลิวไห่เรียนแน่นอนว่าลุงเฉิงเคยพยายามกับเขามาแล้ว แต่เรื่องพวกนี้กลับเหมือนเป็นฝุ่นผงที่พัดเข้าไปในหัวของเขาแล้วก็ต้องรีบสะบัดออกอย่างรวดเร็วไม่งั้นอาจไปเกาะสมองทำให้เขาทึ่มยิ่งไปกว่านี้อีก

แต่เรื่องที่อเล็กซ์เก่งที่สุดคือเรื่องสืบหาคน เขาเก่งยิ่งกว่าโคนันเสียอีก ไม่ว่าอะไรหายเขากลับสามารถตามหาได้อย่างรวดเร็ว

ข้อดีนี่จึงเป็นข้อดีอีกข้อนอกเหนือจากการใช้กำลังที่ลุงเฉิงออกปากชมเขาจนตัวลอยบ่อย ๆ

“เมื่อวันก่อนได้รับโทรศัพท์จากกู้เมิ่ง มันจับอาเฟยไป”

“ว่าแล้วว่าต้องเกิดเรื่องพี่ถึงได้ทิ้งพี่สะใภ้กลับมาเร็วขนาดนี้”

หลิวไห่ไม่มีเวลาบอกเรื่องนี้กับใคร นอกจากขอความช่วยเหลือจากลุงเฉิง

“แกรู้จักฮ่องกงแทบจะมองเห็นหมด คิดว่าอาเฟยจะถูกจับไปไว้ที่ไหน”

“ทำไมไม่ให้ดวงตาสวรรค์เช็คจากกล้องวงจรปิดล่ะ จะไม่ง่ายกว่าเหรอ”

อเล็กซ์ยกซุบสมองหมูขึ้นมาซดอย่างอร่อย หลิวไห่เห็นก้อนสมองที่ลอยอยู่ในน้ำซุบแล้วต้องหันหน้าหนี เขาเป็นคนไม่เลือกกินแต่เครื่องในสัตว์จำเภทของพวกนี้สมองลิง สมองหมู เขาทำใจไม่ได้จริง ๆ

เมื่อเห็นอเล็กซ์กินได้อย่างเอร็ดอร่อยแบบนั้นจึงอดทึ่งเล็กน้อยไม่ได้ เขายกมือปิดปากทั้งตอบอเล็กซ์เสียงอู้อี้

“พวกมันทำลายสัญญาณติดตามตัวที่ฉันติดไว้กับตัวของอาเฟย ตอนนี้ดวงตาสวรรค์ก็ตามไม่ได้ให้คนไปสืบหาบริเวณที่อาเฟยหายตัวไปแล้วแต่ก็อย่างที่รู้ไม่ได้อะไร”

อเล็กซ์พยักหน้าเข้าใจ ลุงเฉิงมองอเล็กซ์ยิ้ม ๆ ยังเลื่อนซุปสมองหมูน้ำซุปสีทองราคาแสนแพงให้อเล็กซ์อีกหนึ่งชาม รวมทั้งหลิวไห่ด้วย ชอบขนาดนี้ก็เชิญกินไปคนเดียว

“อาไห่มีเวลาแค่สามวันแต่ฉันอยากรู้ว่าแม่หนูเฟยตอนนี้อยู่ที่ไหน”

หลิวไห่สำลักน้ำแกงตุ๋นเหยื่อไผ่ของตัวเอง เมื่อได้ยินลุงเฉิงเรียกเฉินเฟยอวี๋ว่าแม่หนู ไอ้ยักษ์น้องชายเขานี่แตกต่างจากคำว่าแม่หนูราวฟ้ากับเหว

หลิวไห่เองก็รู้ว่าถึงจะยังไม่เคยคุยกันแต่เขารู้ว่าลุงเฉิงให้คนติดตามเฉินเฟยอวี๋อยู่จึงรู้นิสัยมาบ้าง และคงจะบังเอิญชอบนิสัยของน้องชายเขาเข้า

อเล็กซ์ยิ้ม เขาดึงชามสมองหมูทั้งสองชามมาไว้ตรงหน้า แล้วเทใส่ชามเดียวกันแน่นอนว่าย่อมไร้มารยาทอย่างที่สุด แต่การไม่ต้องมีพิธีรีตองและไม่ต้องกังวลเรื่องมารยาททำให้คนทั้งหมดบนโต๊ะรู้สึกว่าพวกเขาคือครอบครัวเดียวกันอย่างแท้จริง

“นายใหญ่พูดขนาดนี้ผมต้องทำเต็มที่ครับ พรุ่งนี้ผมจะพา แม่หนูเฟยกลับมาคุกเข่าต่อหน้านายใหญ่ฝากตัวเป็นลูกสาวตัวเล็กให้ได้ครับ”

หลิวไห่อยากจะร้องไห้กับคำพูดของอเล็กซ์นัก แต่เขากลับตบไหล่อเล็กซ์เบา ๆ ด้วยความทราบซึ้งใจ

“ขอบใจมากอเล็กซ์”

หูเสี่ยวเทียนยังนำลูกน้องคนสนิทที่เขาไว้ใจได้มาด้วย การสืบสวนของเขาในครั้งนี้แน่นอนว่าย่อมดำเนินการอย่างลับ ๆ กับผู้บัญชาการตำรวจเพื่อให้คนนอกรู้เรื่องนี้น้อยที่สุด ข้อมูลที่หูเสี่ยวเทียนได้มาคือข้อมูลการวิจัยลับอย่างหนึ่งของนายทุนผู้หนึ่ง

ซึ่งนักวิจัยคนนั้นก็ไม่รู้ว่าเบื้องหลังของงานวิจัยนี้คือใคร

หน้าที่ของเขามีเพียงทดสอบดีเอ็นเอของหญิงสาวเหล่านี้ อีกทั้งยังต้องทดสอบเรื่องพันธุกรรมว่ามีความเกี่ยวข้องกับตัวอย่างที่เขาได้รับมามากน้อยแค่ไหน เท่าที่ทราบมาหญิงสาวที่ถูกจับนั้นไม่มีใครที่เกี่ยวข้องกับตัวอย่างเลย

แต่กระนั้นผลที่ทดสอบยังเป็นผลระยะสั้น เรื่องของพันธุกรรมในร่างของผู้หญิงพวกนั้นยังซับซ้อนมาก จึงต้องใช้เวลาอีกสักพักเพื่อตรวจสอบ เพราะฉะนั้นคนที่ถูกจับตัวจึงต้องถูกคุมขังเอาไว้

แต่พวกเธอไม่ได้ถูกนำเลือดมาทดสอบเท่านั้น ยังมีการฉีดสารบางอย่างเข้าสู่ร่างกายของพวกเธอ เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายเผยบางสิ่งบางอย่างที่ซุกซ่อนออกมา นักวิทยาศาสตร์คนนั้นเองก็ไม่รู้ว่าตัวสารที่ฉีดเข้าไปคืออะไรกันแน่

เขาไม่ได้อยู่ในส่วนของการวิจัยสารนั้น จึงเห็นได้ชัดว่าคนที่อยู่เบื้องหลังมีความระมัดระวังเพียงใด แม้กระทั่งการทำงานเขายังไม่ให้คนในองค์กรรู้ว่าแต่ละส่วนทำงานอย่างไร แต่ละคนเป็นเหมือนเครื่องจักรแค่ทำหน้าที่ในส่วนของตัวเองเท่านั้น

หลี่เจี่ยซินเดินตามหูเสี่ยวเทียนเข้าไปในห้องนั้น ทั้งยังแนะนำตัวว่าตัวเองเป็นหัวหน้าหน่วยที่จับกุมตัวนักวิทยาศาสตร์คนนี้ เธอต้องพูดแบบนั้นเพราะว่าคงไม่มีใครเชื่อว่าเธอเข้าไปที่นั่นเพียงลำพัง และอุ้มนักวิทยาศาสตร์คนนี้ออกมาอย่างง่ายดายขนาดนั้น

นักวิทยาศาสตร์คนนั้นยังถูกปิดตาอยู่ และยังถูกหลี่เจี่ยซินยัดผ้าไว้ในปากของเขาไม่ให้พูด ก่อนที่เธอจะสั่งลูกน้องให้รมยาสลบเขาอีกครั้งเพื่อเคลื่อนย้ายไปยังสถานที่ ที่หูเสี่ยวเทียนเตรียมเอาไว้แล้ว

หูเสี่ยวเทียนมองหลี่เจี่ยซินอย่างระมัดระวัง แต่ท่าทางของคน ๆ นั้นก็เป็นมิตร เขาสามารถจับความรู้สึกว่าปลอดภัยเป็นอย่างยิ่งเอาไว้ได้ จึงพูดคุยกับหลี่เจี่ยซินอีกหลายคำ

“ผมไม่รู้ว่าพวกคุณเป็นใคร แต่นายของผมบอกว่าไว้ใจพวกคุณได้ ผมต้องขอขอบคุณพวกคุณที่ช่วยทำให้ตำรวจทำงานได้ง่ายขึ้น”

หลี่เจี่ยซินมีเครื่องแปลงเสียงติดอยู่ที่ปาก เวลาพูดเสียงของเธอจะทุ้มและแหบเครือ แต่หูเสี่ยวเทียนก็ยังเดาได้ว่านั่นไม่ใช่เสียงจริงของเธอ หัวหน้าหน่วยคนนี้เองก็ไม่ใช่ธรรมดา ในขณะที่เขาเปิดหน้าเปิดตาเดินเข้ามา แต่คน ๆ นี้แม้แต่ลูกตาเขายังไม่ได้เห็น แต่ถึงจะปิดมิดชิดเขาก็ยังสัมผัสความจริงใจจากคน ๆ นี้ได้

หลี่เจี่ยซินกระแอมเล็กน้อย เธอดีใจที่เครื่องแปลงเสียงนี้ทำงานได้เป็นอย่างดี แน่นอนว่าย่อมเป็นอุปกรณ์ที่กลุ่มดวงตาสวรรค์ติดตั้งให้เธอก่อนที่จะบุกรังโจร

“ผมจะรอฟังข่าวจากคุณตำรวจ หวังว่าจะสืบเรื่องได้เพิ่มขึ้นจากผู้ชายคนนั้น”

“แน่นอนครับ ผมจะไม่ทำให้พวกคุณต้องผิดหวัง”

หูเสี่ยวเทียนพิจารณาคนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นหัวหน้าของคนพวกนี้อย่างละเอียด คนคนนี้ตัวเล็กจนเหมือนจะเป็นผู้หญิง แต่ท่าทางของลูกน้องทั้งหลายก็เชื่อฟังเธอเป็นอย่างยิ่ง คงจะมีฝีมือไม่น้อย

หลี่เจี่ยซินตบไหล่เขา แน่นอนว่าเธอใช้แรงไม่มากแต่ทำให้หูเสี่ยวเทียนที่ไม่ทันระวังแทบจะกระเด็นล้มลงไป เขาเซเล็กน้อย หลี่เจี่ยซินจึงช่วยจับเขาเอาไว้ หูเสี่ยวเทียนรู้สึกคุ้นเคยกับฝ่ามืออุ่น ๆ นี้เหลือเกิน แต่เขาก็คาดไม่ถึงว่าจะเป็นเธอ

หลี่เจี่ยซินเห็นท่าทางของเขาคล้ายจะเจ็บไม่น้อย จึงได้แต่พูดขอโทษออกไป

“เอ่อ ผมขอโทษ”

หลี่เจี่ยซินเม้มปากโดยที่หูเสี่ยวเทียนไม่รู้ เธอไม่ได้ตั้งใจแค่จะทำเหมือนพวกผู้ชายเขาทำกัน ตบไหล่เพื่อให้กำลังใจ ไม่คิดว่าเธอจะเผลอรุนแรงไปจนเขาอาจจะเจ็บได้

“ไม่เป็นไรครับ คุณตัวเล็กขนาดนี้แรงไม่น้อยเลยนะครับ”

หลี่เจี่ยซินแข็งค้าง แน่นอนว่าเธอร้อนตัวกลัวว่าเขาจะจับได้ ทั้ง ๆ ที่ไม่มีทางอยู่แล้ว แต่เธอก็อดกลัวลนลานไม่ได้

“เอ้อ บังเอิญผมชอบกินข้าวเยอะ ๆ กับไก่ทั้งตัวครับ”

หูเสี่ยวเทียนมึนงง คน ๆ นี้จู่ ๆ ทำไมพูดเรื่องกินข้าวกัน หรือเพราะเขากินไก่เยอะถึงได้มีแรงมากขนาดนี้ ว่าแต่ว่ามันใช่เรื่องจริงเหรอ หรือว่าเขาจะลองกินดู

“อ้อครับ”

เขาเออออไปแบบนั้นแหละ เพื่อสร้างความคุ้นเคย หลี่เจี่ยซินเห็นเขาไม่สงสัยอะไร แอบถอนหายใจอย่างโล่งอก พลางพูดต่อว่า

“อีกอย่าง คนที่จับตัวผู้หญิงพวกนั้นไว้ ทางเราคิดว่าอาจจะเป็นคนของประธานกู้ มหาเศรษฐีผู้โด่งดังนะครับ อันนี้ไม่มีหลักฐานเชื่อมโยงเป็นเพียงข้อสงสัยของฝั่งเรา ที่เราบอกคุณตำรวจก็เพราะว่าอยากให้จับตาดูกู้เมิ่งเอาไว้ด้วยครับ”

หูเสี่ยวเทียนพยักหน้า เขาได้ยินแบบนี้เขาย่อมตกใจไม่น้อยเพราะตัวเองเพิ่งเข้าไปร่วมงานเลี้ยงของบริษัทกับหลี่เจี่ยซินมาได้ไม่นาน กู้เมิ่งคนนั้นท่าทางอ่อนเป็นอย่างยิ่ง เขาคนนั้นดูหยิ่งยโสคิดว่าตัวเองเก่ง แต่แท้ที่จริงเป็นคนขี้ขลาดและชอบใช้อำนาจของพ่อเข้าไปข่มเหงคนอื่น

หูเสี่ยวเทียนเป็นตำรวจ เขาย่อมต้องศึกษากู้เมิ่งคนที่อาจจะได้ร่วมธุรกิจกับพ่อเขามาไม่น้อย แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะเหี้ยมโหดจนถึงขั้นทดลองคน อีกทั้งยังเป็นผู้หญิงที่ท่าทางดี และมีความสามารถระดับหัวกะทิทั้งนั้น

กู้เมิ่งคนอ่อนแอที่เอาพ่อเป็นกำบังคนนั้นจะทำได้เหรอ นอกเสียจากว่าประธานกู้จะรู้เห็น แน่นอนว่าการวิจัยในเรื่องพวกนี้ต้องใช้เงินทุนมหาศาล และคนที่ใช้เงินทุนมหาศาลนั้นหากบอกว่าเป็นประธานกู้ นักธุรกิจอันดับหนึ่งในฮ่องกง ทั้งยังมีความสัมพันธ์อันดีกับนักการเมืองระดับชาติแล้ว ย่อมสามารถทำได้และไม่มีใครกล้าตรวจสอบด้วย

เพียงแต่เขาต้องหาหลักฐานในแน่น และต้องสืบให้ได้ว่าคนคนนั้นกำลังทดลองอะไรกันแน่

หลี่เจี่ยซินยังกำชับเขาอีกเรื่อง

“หลีกเลี่ยงสถานที่มีกล้องวงจรปิดด้วยนะครับ คนพวกนั้นมีคนที่เก่งกาจทางด้านคอมพิวเตอร์มาก พวกเขาสามารถหาคนได้อย่างว่องไวจนคุณคาดไม่ถึง จากกล้องวงจรปิดที่ติดตั้งเอาไว้ทั่วโลก”

หูเสี่ยวเทียนรู้สึกว่า สิ่งที่คนคนนี้พูดถึงดูจะเวอร์ไปสักหน่อย แต่เรื่องพวกนี้เขาก็สัมผัสมาเยอะ บางทีเธออาจจะพูดถูกก็ได้ เมื่อได้ยินแบบนั้นก็เศร้าสลดใจที่วิทยาการของตัวร้ายล้ำหน้าไปกว่าของตำรวจมาก

“แล้วพวกคุณล่ะครับ ทำแบบนี้ได้หรือเปล่า”

หลี่เจี่ยซินสงสัย

“แบบไหนครับ”

“ก็หาคนโดยใช้กล้องที่มีอยู่ทั่วโลก”

หูเสี่ยวเทียนวนนิ้วในอากาศ คล้ายจะบอกว่าทั้งโลกนี้เต็มไปด้วยกล้อง ซึ่งเขาก็พูดไม่ผิด

“ใช่ครับ เราเองก็ทำได้แต่ว่าคนพวกนี้นก็ยังดัดหลังเราได้หลายครั้ง พวกแฮ็กเกอร์ต่างลงมือรวดเร็ว เวลาชั่ววินาทีก็สร้างความได้เปรียบแล้ว ผมเองก็ไม่ค่อยรู้ แต่คุณต้องระวังตัวด้วยอย่าให้พวกมันรู้ว่าคุณเข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่อย่างนั้นจะทำอะไรก็ลำบาก พวกมันไม่ได้ตามคุณโดยคน แต่เป็นเทคโนโลยีที่คุณคาดไม่ถึงเลยล่ะ กระทั่งโทรศัพท์ก็ต้องใช้รหัสลับอย่าให้ใครดักฟังได้”

หลี่เจี่ยซินเตือนเขาด้วยความหวังดีจริง ๆ แม้เธอจะรู้ใจตัวเองแล้วว่าเธอชอบเฉินเฟยอวี๋ ที่ผ่านมาเป็นแค่การชื่นชมหูเสี่ยวเทียนจนคิดว่ามันคือความรักแต่เธอก็หวังดีกับเขา อีกอย่างหากเฉินเฟยอวี๋ปฏิเสธเธอ เธอก็คิดจะพิจารณาหูเสี่ยวเทียนคนหล่อที่จิตใจดีคนนี้อีกสักรอบ

เธอจึงต้องปกป้องเขาอย่างเต็มที่ ไม่ให้ว่าที่สามีสำรองของเธอต้องได้รับความลำบาก

หูเสี่ยวเทียนเข้าใจแล้ว เขาต้องระวังตัวเองให้มาก ต่อไปการรายงานทุกอย่างไม่ต้องใช้นกพิราบสื่อสารแล้วเหรอ เฮ้ย เทคโนโลยีพวกนี้มีทั้งข้อดีและข้อเสียจริง ๆ

“เมื่อผมได้เรื่องจะติดต่อพวกคุณยังไงครับ”

หลี่เจี่ยซินส่ายหน้า

“ไม่ต้องห่วงครับ ผมจะให้คนไปหาคุณที่สถานีถามความคืบหน้าเป็นระยะ”

หลังจากนั้นหลี่เจี่ยซินก็กระซิบบอกเขาถึงรหัสที่ใช้บอกผ่าน มันเป็นบทกลอนบทหนึ่งที่หูเสี่ยวเทียนเคยสอนเธอท่องในตอนยังเป็นเด็ก

หูเสี่ยวเทียนย่อมคุ้นเคยเป็นอย่างดี เขาฟังไปอมยิ้มไปในใจก็คิดถึงใบหน้าของหลี่เจี่ยซิน

“ผมไม่ยักรู้ว่ามีคนจำบทกลอนนี้ได้แม่นขนาดนี้”

หลี่เจี่ยซินหัวเราะ แต่ไม่เผยพิรุธ

“ก็เป็นกลอนทั่วไปที่เด็ก ๆ ต้องท่องจำนี่ครับ ผมเลยจำได้แม่นยำ ทำไมครับ คุณมีความหลังกลับโครงกลอนบทกวีนี่เหรอครับ”

หูเสี่ยวเทียนยิ้มหล่อเหลา เขาในตอนนี้อยู่นอกเครื่องแบบ ใส่เสื้อเชิตขาวเหมือนคนทำงานออฟฟิศแต่ท่อนล่างเป็นกางเกงยีนส์สีซีด ยังมีขาดที่หัวเข่าเล็กน้อย ดูแล้วเหมือนดารานักแสดงสุดหล่อที่เปล่งประกายจนคนแสบตา

“คือว่า ผมเคยสอนคนที่ผมแอบชอบท่องบทนี้ครับ เลยจำได้ดีและค่อนข้างมีความทรงจำที่ดีกับมัน”

หลี่เจี่ยซินถึงกับตกตะลึง คนที่เขาแอบชอบในอดีตเหรอ ละ…แล้วตอนนี้ล่ะ ยังชอบอยู่หรือเปล่า

แต่หูเสี่ยวเทียนไม่รู้เรื่องว่าเธอกำลังคิดล่องลอยไปไกล เขาจึงพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่เป็นงานเป็นการเป็นอย่างยิ่ง

“ผมจะพาเขาไปไว้ยังที่ปลอดภัย รับรองว่าห่างไกลจากกล้องวงจรปิดและจะไม่มีใครเห็นหน้าเขาแน่ ๆ”

หลี่เจี่ยซินได้สติแล้ว เธอกะพริบตาไล่ความคิดฟุ้งซ่าน คิดถึงคำพูดของกลุ่ม F4 สุดหล่อแล้วย้ำกับเขาอีกรอบ ตามที่ดวงตาสวรรค์บรีฟเธอมาอย่างดี

“เรื่องส่วนสูงของเขาด้วยนะครับ ให้ผู้ชายคนนั้นแต่งตัวให้ดูอ้วนหน่อยและใสรองเท้าเสริมส้น พวกนั้นบางทีก็ติดตามคนจากความสูง พวกเขาจะคัดกรองคนที่สูงขนาดเท่าเหยื่อแล้วค่อยไล่ตามดูทีละคน ดังนั้นเสื้อผ้า และรองเท้าของเขาต้องพิเศษสักหน่อย”

หูเสี่ยวเทียนพยักหน้า

“ครับ เข้าใจแล้วผมจะดูแลเรื่องนี้ด้วยตนเอง”

หูเสี่ยวเทียนรู้สึกถูกชะตากับหัวหน้าหน่วยลึกลับนี้ เหมือนพวกเขาคุ้นเคยกันเป็นอย่างมาก แต่คน ๆ นี้ไม่ปล่อยให้เขาเห็นพิรุธอะไรเลย น้ำเสียงที่ถูกแปลงจากเครื่องแปลงเสียงทำให้เขาจับน้ำเสียงไม่ได้ เสื้อผ้าที่ปกปิดมิดชิดใส่กระทั้งแว่นดำสวมหมวกทำให้เขาประเมินไม่ได้ว่าคนคน ๆ คล้ายคลึงกับคนที่เขารู้จักหรือเปล่า

แน่นอนว่าย่อมไม่มีหลี่เจี่ยซินอยู่ในสายตา สำหรับหูเสี่ยวเทียนแล้ว หลี่เจี่ยซินคือสาวน้อยน่ารักที่พอเฉินเฟยอวี๋ไม่อยู่ก็ลาพักร้อน อยู่บ้านปลูกดอกไม้อย่างมีความสุข ผู้หญิงที่สวยบอบบางและจิตใจดีแบบหลี่เจี่ยซินคงไม่มีทางมาใส่เครื่องแบบปิดมิดชิดและยังเป็นหัวหน้าหน่วยจับกุมคนร้ายที่เหี้ยมโหดคนนี้ได้

หูเสี่ยวเทียนขึ้นรถพานักวิทยาศาสตร์คนนั้นออกไปแล้ว หลี่เจี่ยซินยกมุมปาก ข้อมูลที่เขาให้ตำรวจไปเมื่อสักครู่ย่อมเป็นเพียงบางส่วนเท่านั้น ส่วนพวกเขาจะขูดส่วนที่มากกว่าจากนักวิทยาศาสตร์คนนั้นได้หรือไม่ก็ต้องขึ้นอยู่กับฝีมือของพวกเขาแล้ว

หลี่เจึ่ยซินกดโทรศัพท์หาเฉินเฟยอวี๋ เพื่อรายงาน เฉินเฟยอวี๋ไม่ได้รับสายเธอ เธอจึงคิดว่าเขากำลังยุ่งจึงได้แต่ฝากข้อความไว้ว่าเรียบร้อย ให้ที่รักเธอกลับหาเธอด้วย เพราะเธอคิดถึงเขามาก

แน่นอนว่าข้อความพวกนั้นเป็นระหัสลับของพวกเขา หมายถึงว่าเธอทำงานเรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วงเมื่อได้เรื่องคืบหน้าเธอจะรีบรายงานเขาทันที

เฉินเฟยอวี๋ฟังข้อความของหลี่เจี่ยซินแล้วสบายใจ และแน่นอนว่าโทรศัพท์ของเขาถูกแฮ็กเรียบร้อย นั่นเป็นเพราะว่าเฉินเฟยอวี๋ตั้งใจตั้งแต่แรก อย่างน้อยปลาก็กินเหยื่อแล้ว ข้อความที่หลี่เจี่ยซินพูดกับเฉินเฟยอวี๋ล้วนหวานเลี่ยนที่สุด

กู้เมิ่งที่กำลังดักฟังอยู่ถึงกับรู้สึกสะอิดสะเอียน แน่นอนว่าเรื่องไร้สาระพวกนี้กู้เมิ่งย่อมไม่สนใจ ผู้หญิงสำหรับเขาก็แค่เครื่องบำบัดความใคร่ กู้เมิ่งหัวเราะในลำคอ

“ท่าทางว่าหลี่เจี่ยซินจะไร้การปกป้องจากหลิวไห่แล้วหาโอกาสไปจับตัวเธอมาให้กู”

“ครับนาย”

ลูกน้องของเขารับคำอย่างรวดเร็ว เมื่อหลิวไห่ไม่อยู่ การรักษาความปลอดภัยย่อมหละหลวมลงไปมาก ไม่มีใครเฝ้าหลี่เจี่ยซินตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงอีกต่อไป

“อ้อยกำลังเข้าปากช้าง ฮ่า ฮ่า ฮ่า”

กู้เมิ่งรู้สึกถึงชัยชนะอันหอมหวาน เขาสั่งให้คนที่จับตัวเฉินเฟยอวี๋ซ้อมไอ้ตุ๊ดควายคนนั้นให้ปางตายก่อนส่งถึงมือหลิวไห่ ให้เฉินเฟยอวี๋ไปตายในอ้อมอกพี่ชายสุดที่รักของมัน เขาได้ทั้งเงินได้ทั้งชีวิตของเฉินเฟยอวี๋ ให้ไอ้หลิวไห่กระจอกนั่นรู้ตัวสักทีว่าอย่าได้ริปีนขึ้นมาเทียบชั้นกับเขาอีก

“อัดไอ้นั่นให้น่วม เอาให้มันขาดใจตายคาอ้อมอกของไอ้หลิวไห่ ฮ่า ฮ่า ฮ่า ทนไม่ไหวแล้วโว๊ย อยากเป็นหน้ามันตอนที่มันได้รู้ว่าน้องมันกำลังจะตายจริง ๆ ”

“พี่ชายปล่อยฉันไปเถอะ ฉันกลัวจริง ๆ นะ”

เฉินเฟยอวี๋พยายามพูดคุยดี ๆ กับผู้ชายคนนั้น ตอนนี้เขายังถูกปิดตารู้แต่ว่าตัวเองถูกมัดแต่ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนกันแน่

ผู้ชายคนนั้นที่บอกเขาว่าชื่อหยางเจิงคล้ายจะเดินไปวนมาอยู่ข้างหน้าเขา แต่ไม่พูดอะไร จนกระทั่งมีเสียงคนเปิดประตูเข้ามาพวกเขาพูดคุยกันเสียงเบา เฉินเฟยอวี๋เงี่ยวหูฟัง ดั่งที่เขาบอกว่าหากคนเราสูญเสียประสาทสักด้านอีกด้านหนึ่งจะแจ่มชัดขึ้น

ตอนนี้เฉินเฟยอวี๋ถูกปิดตามองไม่เห็นคิดว่าหูของตนเองคงจะดีแน่ ๆ แต่จนแล้วจนรอดกลับไม่ได้ยินว่าพวกเขาคุยอะไรกัน เฉินเฟยอวี๋จึงเดือดดาลเป็นอย่างยิ่ง

หลังจากที่เขาถูกจับมานี่ เฉินเฟยอวี๋ในใจก็กังวลเป็นอย่างมาก โชคดีในตัวของเขายังมีเครื่องติดตามจึงคิดว่าไม่นานคนของหลิวไห่คงตามตัวเขาพบ

แต่เขาไม่รู้ว่าสถานที่แห่งนี้มีสัญญาณรบกวนอยู่ ไม่ว่าจะเป็นสัญญาณอะไรก็ไม่สามารถส่งออกไปได้ กระทั่งโทรศัพท์ยังไม่มีคลื่น สถานที่ถูกจับกุมตัวของเฉินเฟยอวี๋อยู่ที่ไหนนั้นทางหลิวไห่แม้จะให้ดวงตาสวรรค์ค้นหาก็ยังหาเขาไม่พบ

เมื่อมองไม่เห็น หูก็ไม่ค่อยดี เฉินเฟยอวี๋จึงลองสูดกลิ่นรอบ ๆ ดู เขาไม่ได้กลิ่นอะไรเลย ดูเหมือนว่าสถานที่นี้จะสะอาดเป็นอย่างยิ่ง ที่นี่คงไม่ใช่ตึกร้าง เขายังได้กลิ่นหอมสะอาดจาง ๆ เหมือนกลิ่นที่ใช้ในโรงแรมราคาปานกลาง

แต่คิดไปคิดมา หากจะจับคนไปที่โรงแรมก็ดูเหมือนว่าจะเสี่ยงต่อการพบเห็น เพราะฉะนั้นที่นี่ย่อมไม่ใช่โรงแรม แต่กลิ่นแบบนี้ต้องอยู่ในโรงแรมชัด ๆ

เฉินเฟยอวี๋เป็นคนมีความรู้เรื่องกลิ่น ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาชอบเอามาก ๆ เหมือนเป็นพรสวรรค์อย่างหนึ่งของเขา เมื่อแยกแยะกลิ่นออกแล้วเขาก็เริ่มต้นวิเคราะห์อย่างจริงจังว่ามีส่วนผสมอะไรในกลิ่นนั้นบ้าง

และแล้วเขาก็จับสังเกตุถึงบางสิ่งได้ผ่านลมที่ลอยพัดเข้ามา ด้านนอกยังมีกลิ่นหอมของดอกไม้หลายชนิด ปะปนกันไป หรือที่นี่จะเป็นสวนที่ใดสักแห่งที่เอาไว้ใช้ผลิดพวกสบู่หรือยาสระผมเทือกนั้น

ในฮ่องกงมีสถานที่แบบนี้อยู่มากแค่ไหนกันนะ เกาะเล็ก ๆ แห่งนี้

เขาใคร่ครวญและรอคอย จนกระทั่งผ่านไปสักพักเฉินเฟยอวี๋ก็รู้สึกง่วงขึ้นมา แน่นอนว่าเขาไม่ได้ง่วงเพราะต้องการพักผ่อน แต่ง่วงเพราะกลิ่นที่โชเข้ามต่างหาก มันเหมือนเป็นยากล่อมประสาทชนิดหนึ่ง

หลังจากนั้นเขาก็คล้ายหลับคล้ายตื่น เฉินเฟยอวี๋ถูกใครบางคนจับให้ลุกขึ้น เขาแน่ใจว่าต้องเป็นพ่อหนุ่มที่เขากำลังคั่วอยู่จนตกอยู่ในอันตราย ได้ยินเสียงกระซิบเบา ๆ ที่ข้างหู

“ผมขอโทษ ผมไม่ได้คิดหลอกคุณพวกเขาจับแม่ของผมเอาไว้แล้วให้ผมมาล่อลวงคุณ”

เสียงนั้นเบามากและเขาถูกยากล่อมประสาท แต่เฉินเฟยอวี๋กลับรับรู้ได้ว่ามันเป็นความจริง

ความจริงแล้วมันก็ย่อมเป็นเรื่องที่วางแผนเอาไว้ เพียงแต่เขาข้องใจว่าคนคนนี้รู้ได้ยังไงว่าเขาจะไปฟิตเนสวันนี้ เรื่องของเขาที่ไปไหนมาไหนมีเพียงทีมบอดี้การ์ดที่รู้ นอกจากจะมีหนอนบ่อนไส้

มาเฟียฮ่องกงถนักนักเรื่องหักหลังกัน เขาคิดอย่างละเอียดแล้วว่าต้องมีใครบอกพวกมันเป็นแน่

และหลังจากนั้นเฉินเฟยอวี๋ก็หลับไป

การตามหาตัวเฉินเฟยอวี๋ค่อนข้างลำบากสำหรับดวงตาสวรรค์ เมื่อสัญญาณติดตามตัวของเขาหายไปโดยจุดสุดท้ายที่เขาส่งข้อมูลให้หลิวไห่ คนของหลิวไห่ก็ปูพรมหาจนทั่วแล้วก็ยังไม่พบ

เวลาผ่านไปจนกระทั่งหลิวไห่เดินทางมาถึงฮ่องกง โดยที่เขาไม่บอกแม้กระทั่งหลี่เจี่ยซิน จนกระทั่งเขาลงเครื่องถึงได้พบข้อความสารพัดของหลี่เจี่ยซินที่ส่งมา ทั้งหมดคือเป็นห่วงเขาให้รีบติดต่อกลับ

หลิวไห่โทรหาเธอในทันที

“มีเรื่องงานด่วนฉันจะรีบกลับไม่ต้องห่วงนะ ฉันปลอดภัย”

เขาคุยกับหลี่เจี่ยซินไม่กี่ประโยค ทั้งยังกำชับว่าให้เธอคุ้มครองนักวิทยาศาสตร์คนนั้นให้ดีอย่าให้ใครมาทำร้ายได้ หลี่เจี่ยซินใจก็เป็นห่วงเขาแต่คิดว่าเฉินเฟยอวี๋ระยะหลังมานี่สามารถวางใจได้ เธอจึงตั้งใจคุ้มครองความปลอดภัยของนักวิทยาศาสตร์คนนั้นให้ดีที่สุด

สิ่งที่ผู้ชายคนนั้นเปิดปากทำให้หลี่เจี่ยซินถึงกับตกตะลึง เรื่องที่พวกเขากำลังทดลองอยู่

หลี่เจี่ยซินนั่งรออย่างสงบ คนของหลิวไห่หลายคนที่เข้ามาดูมีความรู้และเป็นพวกนักวิทยาศาสตร์เหมือนกัน เธอใส่เสื้อผ้ามิดชิดยังสวมหน้ากากปะปนกับคนของหลิวไห่ เธอกำลังรอหูเสี่ยวเทียนอยู่ หลังจากสอบคนจนได้ข้อมูลแล้ว หลิวไห่ก็ติดต่อกับหูเสี่ยวเทียนอย่างลับ ๆ ให้ตำรวจมาสืบเรื่องนี้ต่อโดยให้คนในกรมตำรวจรู้น้อยที่สุด

คนที่หลิวไห่ไว้ใจมีเพียงหูเสี่ยวเทียนในตอนนี้ แน่นอนว่าเขามั่นใจว่าหูเสี่ยวเทียนย่อมไม่ทุจริตในหน้าที่

เดิมสกุลของหูเสี่ยวเทียนร่ำรวยมาก ธูรกิจของเขาหลัก ๆ กระจายกันอยู่หลายประเทศทั่วโลก ทำให้เขาไม่ต้องพึ่งพานักการเมืองท้องถิ่นสักเท่าไหร่

หูเสี่ยวเทียนเดินผ่านหลี่เจี่ยซินไป เขาไม่รู่ว่าคนชุดดำที่ยืนเฝ้าอยู่ด้านนอกคือเธอ

เฉินเฟยอวี๋ในชุดออกกำลังกายกำลังยกตัวเองขึ้นจากบาร์โหนตั้งพื้นที่ฟิตเนสหรูในฮ่องกง ถึงหลิวไห่จะย้ำกับเขาว่าอย่าได้เถลไถลออกไปที่ไหนเฉินเฟยอวี๋ก็ไม่สามารถทนได้อีกต่อไป

เขามาอยู่ที่นี่หลายเดือนแล้วในขณะที่ปล่อยให้พี่ชายช่วยกอบกู้กิจการจากน้องสาวตัวร้ายที่จ้องจะขายกิจการของแม่ที่ทิ้งเอาไว้ให้คนอื่น

ยัยน้องเลวคนนั้นป่านนี้ไม่รู้สำนึกหรือเปล่าหลังจากถูกหลิวไห่ปลดออกจากตำแหน่งทุกอย่างโทษฐานที่เธอปล่อยให้เกิดการทุจริตภายในบริษัทโดยที่รู้เห็นเรื่องพวกนั้น

เมื่อเช้าเฉินเฟยอวี๋เพิ่งได้รับโทรศัพท์จากหลิวไห่เรื่องที่อีกไม่กี่วันจะให้เขาบินกลับไปแผ่นดินใหญ่ในอีกไม่กี่วัน

เฉินเฟยอวี๋ดีใจเป็นอย่างยิ่ง อันที่จริงเขาโคตรจะเบื่อเมื่ออยู่ที่นี่ สำหรับเฉินเฟยอวี๋แล้วถึงที่นี่จะมีแสงสีเสียงอันตื่นตาตื่นใจ แต่ระยะหลังมานี้เกิดการประท้วงรัฐบาลบ่อยครั้ง ยังมีระเบิดพลีชีพพวกนั้นอีก เฉินเฟยอวี๋ก็หวาดกลัวไม่น้อย

เพราะแบบนี้ทำให้เขาไม่กล้าจะออกไปไหน วัน ๆ จึงเอาแต่ขลุกอยู่ที่บ้าน โชคดีที่บ้านของหลิวไห่ตั้งอยู่ในเขตของคนรวย ทำเลนับว่าดีมากและกว้างขวางทั้งมีวิวที่สวยงามจึงไม่ทำให้เขาเบื่อมากนัก

และเลขาที่หลิวไห่ให้คอยดูแลเขาคนนั้น เฉินเฟยอวี๋ในตอนนี้ก็เอาเขามาเป็นผัวเรียบร้อยโรงเรียนเฉินเฟยอวี๋เรียบร้อย จึงทำให้คืนวันของเขาที่ฮ่องกงกลายเป็นคืนวันอันแสนหวานราวกับคู่แต่งงานใหม่

แต่คิดไปคิดมาแล้วก็น่าสงสาร

เฉินเฟยอวี๋คนนี้กลับเห็นผู้ชายคนนั้นเป็นเพียงของเล่น เขาเริ่มเบื่อแล้วและเมื่อหลิวไห่โทรมาเขาจึงมีข้ออ้างที่จะห่างจากผู้ชายคนนั้นได้เสียที

โล่งอกเป็นอย่างมาก

วันนี้เป็นวันแรกที่เฉินเฟยอวี๋มาใช้บริการออกกำลังกายของโรงยิมระดับสูงที่มีชื่อเสียงที่สุดในฮ่องกง เพราะว่าเขาใกล้กลับแล้วจึงคิดจะมาเปิดหูเปิดตาสักหน่อย การมาคราวนี้ก็ไม่ได้พาใครมาคุ้มกันมากนัก

ที่นี่คงไม่มีใครสนใจเขาเป็นแน่ การป้องกันจึงเกิดการหละหลวมไม่เหมือนเช่นในตอนที่เขามาที่นี่ใหม่ ๆ

เฉินเฟยอวี๋เดินมาวิ่งต่อที่ลู่วิ่ง เพราะสายตาดันไปแสกนเจอผู้ชายคนหนึ่งที่ถูกสเปคเข้าอย่างจัง ถึงจะชอบแค่ไหนเขาก็ยังวางฟอร์ม เดินไปด้วยท่วงท่าที่สง่างามที่สุด เมื่อไปถึงลู่วิ่ง เฉินเฟยอวี๋มองผู้ชายคนนั้นผ่าน ๆ คล้ายไม่สนใจ

แต่แล้วสายตาของคนทั้งคู่ก็ประสานกัน เฉินเฟยอวี๋รู้สึกเหมือนถูกกระแสแม่เหล็กดึงดูดอย่างรุนแรง เขาอึ้งไปเล็กน้อยจนกระทั่งผู้ติดตามสงสัย

“คุณหลิวครับ”

แน่นอนบอดี้การ์ดในชุดออกกำลังกายของเขาไม่รู้ว่าเขาไม่ใช่หลิวไห่ เขายังอยู่ที่นี่ในฐานะของหลิวไห่ เฉินเฟยอวี๋ได้สติ คำพูดของพี่ชายทำให้เขาขนลุก

“ถ้าฉันรู้ว่าแกทำภาพพจน์ของฉันเสียหาย ฉันจะทำลายทุกอย่างของแกซะ”

แน่นอนว่าเฉินเฟยอวี๋รู้ว่าหลิวไห่พูดจริง ดังนั้นในเมื่อทุกอย่างกำลังเข้าที่เข้าทางเขาจะทำให้เรื่องเสียไม่ได้ เฉินเฟยอวี๋จึงกระแอม ทำแสงมาดแมนออกไปทั้งที่อยากหวีดผู้ชายข้าง ๆ จนเต็มแก่

“อืม ฉันแค่ร้อนน่ะ”

ใช่แล้ว เขายังไม่ลืมที่จะอ่อยผู้ชายคนนั้น เฉินเฟยอวี๋ถอดเสื้อของตัวเองออกเผยให้เห็นมัดกล้ามอันสวยงาม เขาไม่เล่นกล้ามให้ใหญ่ไปและไม่ให้เล็กลีบ ร่างกายของเฉินเฟยอวี๋จึงสมบูรณ์แบบเป็นอย่างมาก

เฉินเฟยอวี๋ชอบรูปร่างของตัวเองเป็นอย่างยิ่ง ความสูงของเขาระดับร้อยแปดสิบกว่า หุ่นดียิ่งกว่านายแบบในนิตยสารเสียอีก เขามักจะชื่นชมรูปร่างตัวเองบ่อย ๆ แต่ใครจะรู้ว่าภายใต้ความมาดแมนนี้ จิตใจของเฉินเฟยอวี๋ผู้นี้บอบบางราวกับผีเสื้อตัวน้อย

ผู้ชายคนนั้นมองเขาอย่างชื่นชม พร้อมกับยิ้มให้ ด้วยมารยาทเฉินเฟยอวี๋ย่อมยิ้มตอบ แต่ในใจของเขานั้นร้องกรี๊ด กรีดร้องไปจนถึงแผ่นดินใหญ่ด้วยความดีใจ

ในใจพลันคิดถึงเพื่อนซี้ หลี่เจี่ยซิน

ยัยนั่นถึงจะเฉิ่มไปบ้าง แต่เรื่องหวีดผู้ชายนี่เฉินเฟยอวี๋และหลี่เจี่ยซินมีฝีมือล้ำเลิศไม่ต่างกัน บางทีแค่เจอเป้าหมายก็เข้าใจกันโดยไม่ต้องมองหน้ากันแล้ว

ยัยนั่นอยู่กับหลิวไห่จะเป็นยังไงบ้างนะ คงไม่ถูกหลิวไห่รังแก

แต่แล้วเฉินเฟยอวี๋ก็หัวเราะ

นั่นมันหลี่เจี่ยซินนะ จะถูกรังแกได้ยังไง

เอาล่ะ สลัดความคิดถึงยัยนั่นออกแล้วเริ่มล่อผู้ชายได้แล้ว

คนอย่างเฉินเฟยอวี๋ย่อมดูออกเพียงพริบตา ว่าใครที่มีรสนิยมเหมือนตัวเอง ความรักและเซ็กส์แน่นอนว่าย่อมไม่มีพรมแดน เขาคือเขาและจะเยกับใครก็ได้ขอเพียงมีหัวใจตรงกัน

และในวันนี้เฉินเฟยอวี๋กำลังท้าทายตนเองที่จะฟาดหนุ่มหล่อตรงสเปคคนที่แม้แต่ขนตายังเซ็กซี่คนนี้ให้จงได้

เขายิ้มให้คน ๆ นั้นอย่างเป็นมิตร กระทั่งเสียงอันไพเราะของผู้ชายคนนั้นดังขึ้น

“ผมชอบกล้ามคุณมากเลยครับ พอจะแนะนำวิธีดูแลรูปร่างได้หรือเปล่าครับ”

เอาล่ะสิ เจอสายรุกเข้าแล้ว

เฉินเฟยอวี๋ตีปีกพั่บ ๆ ในใจ แต่เขาก็สงวนท่าทีเอาไว้อย่างเป็นมืออาชีพ เขาจะไม่ทำให้กระต่ายตัวนี้ตื่นตูมง่าย ๆ เป็นอันขาด

เฉินเฟยอวี๋เลิกคิ้วทำเสียงเข้มแต่ดูสุภาพและเป็นมิตร

“ไม่ทราบว่าคุณคือ”

ผู้ชายคนนั้นยื่นมือให้เขาจับ พร้อมกับพูดว่า

“ผมหยางเจิงครับ”

เขายิ้มหล่อเหลาจนใจของเฉินเฟยอวี๋แทบละลายกลายเป็นน้ำไปหมดแล้ว ชายหนุ่มหน้าแดงเล็กน้อย คนที่รู้กันย่อมไม่พูดมาก หยางเจิงคนนี้แสดงออกทางสีหน้าและการกระทำอย่างชัดเจนมือเฉินเฟยอวี๋ยื่นมือไปจับเขา

“ผมเฉิน..เอ๊ย หลิวไห่ครับ”

เฉินเฟยอวี๋ถูกหยางเจิงคนนั้นจับมือแล้วยังบีบไม่ปล่อย นิ้วของเฉินเฟยอวี๋เรียวยาวและหากเทียบกันแล้วจะเล็กกว่าของหลิวไห่เล็กน้อย นั่นแสดงว่ามือของเขาเล็กกว่ามือของผู้ชายมาตรฐานเดียวกับหลิวไห่เช่นหยางเจิงคนนี้

เขาบีบมือของเฉินเฟยอวี๋ไม่ปล่อย และแน่นอนว่าเฉินเฟยอวี๋ก็ไม่ปล่อยมือของเขาเช่นกัน

แม้จะถูกขู่ฆ่าจากผู้เป็นพี่ชายในตอนนี้เฉินเฟยอวี๋ก็คิดว่าเขาจะดื้อรั้น ในใจเอาแต่ขอโทษขอโพยหลิวไห่ที่ไม่รักษาสัญญา

พี่จ๋า หนูจะมีผัวเป็นตัวตน หนูเจอเนื้อคู่แล้ว อย่าดุหนูเลย

เฉินเฟยอวี๋คิดอย่างน่ารักอีกทั้งตัวเขาเองได้คิดท่าทางออดอ้อน (ตีน) ของหลิวไห่เอาไว้แล้ว

บอดี้การ์ดของเฉินเฟยออวี๋กระแอม สองคนนั้นจึงยอมปล่อยมือ แต่ท่าทางก็เสียดายไม่ใช่น้อย เฉินเฟยอวี๋ถูกเขาชวนคุยต่อ น้ำเสียงของผู้ชายคนนี้เพราะมากและดูอ่อนโยน เขาถามเกี่ยวกับหลักการออกกำลังกายของเฉินเฟยอวี๋ ชายหนุ่มก็ตอบอย่างเป็นจังหวะ และยังชวนเขาไปนั่งคุยต่อ

เอาล่ะ เฉินเฟยอวี๋ตัดสินใจแล้วว่าเขาจะยอมเสียเหงื่อให้กับผู้ชายคนนี้แทนการเสียเหงื่อจากการออกกำลังกายซะ แน่นอนว่าการเสืยน้ำเอ๊ยเหงื่อให้ผู้ชายย่อมทั้งได้สุขภาพและได้ความฟินเป็นที่สุด

สองคนจากเดิมนั่งพูดคุยอย่างเป็นทางการ และด้วยเหตุใดไม่รู้ผ่านไปราวครึ่งชั่วโมงพวกเขาก็นั่งขาติดกันแล้ว เฉินเฟยอวี๋หลายครั้งที่อดใจไม่ไหวถึงขนาดแสร้งมือตกไปลูบขาของผู้ชายคนนั้น

และเขาเองก็ไม่น้อยหน้า

กรี๊ด ผู้ชายคนนี้ที่ตรงสเปค ยิ่งกว่าแม่เหล็กขั้วบวกขั้วลบที่ดึงดูดกันอย่างแรงเสียอีก ทุกอย่างลงตัว ทุกอย่างใช่แล้ว

ที่ผ่านมาเฉินเฟยอวี๋มักจะถูกหลี่เจี่ยซินตำหนิว่าเขาเป็นคนใจง่าย ใครในโลกนี้ขอให้ตรงกับไทป์ที่เขาชอบกลายเป็นเนื้อคู่ของเขาไปเสียหมด เฉินเฟยอวี๋เถียงใจจะขาด เขาไม่ใช่คนแบบนั้นอย่างแน่นอน

และตอนนี้เขาก็คิดเช่นนั้น ผู้ชายคนนี้ย่อมคือเนื้อคู่แน่นอน

ไวยิ่งกว่าลูกปืนก็คือเฉินเฟยอวี๋นี่แหละ เย็นนี้พวกเขานัดพบกันที่ผับแห่งหนึ่ง แน่นอนว่าเฉินเฟยอวี๋ยังคงสงวนท่าทีไม่ได้เปิดตัวว่าตัวเองเป็นฝ่ายรุกหรือรับ แต่ผีย่อมมองเห็นผี ผู้ชายคนนั้นย่อมต้องเป็นผัวอย่างแน่นอน

เฉินเฟยอวี๋ฉีดน้ำหอมทั่วร่าง เขาคงฉีดมากไปคนขับรถของเขาจึงทั้งสำลักทั้งไออยู่นาน ดีที่นายเลขาของเขาไม่ตามมาเพราะหลิวไห่มีเรื่องด่วนให้ผู้ชายคนนั้นทำ เอาล่ะ เฉินเฟยอวี๋ค่อยสบายใจ เพราะตัวเองก็คิดเทผู้ชายคนนั้นอยู่แล้ว

เมื่อมาถึงผับดัง เฉินเฟยอวี๋พร้อมบอดี้การ์ดหลายคนเดินเข้ามาอย่างสง่าผ่าเผย แน่นอนว่าผู้ชายคนนั้นมาคนเดียว เขาใส่ชุดสูทสีขาวยืนหล่อเหลาโดดเด่นอยู่ท่ามกลางสาว ๆ ในผับแห่งนี้

เฉินเฟยอวี๋เองก็หล่อเหลาไม่เบา เมื่อเขาเดินเข้ามาก็ได้รับความสนใจไม่ใช่น้อยเช่นกัน ทุกคนต่างจ้องมองเขามีผู้หญิงหลายคนใช้สายตาอ่อยเขา เฉินเฟยอวี๋จึงทำตัวเป็นหลิวไห่ยิ้มให้กับผู้หญิงพวกนั้น แม้ว่าใจอยากพุ่งไปหาพ่อหนุ่มรูปงามว่าที่สามีของเขาในค่ำคืนนี้

หลิวไห่เองก็มีชื่อเสียงอยู่มาก หลายคนจึงรู้จึกเขา สาว ๆ ต่างกรี๊ดกร๊าดแต่ไม่มีใครเข้าถึงตัวเขาได้สักคนเพราะมีคนคอยคุ้มกันแน่นหนา หลิวไห่ในตอนที่อยู่ฮ่องกงมีแบ็คใหญ่โตอย่างลุงเฉิง มาเฟียตัวพ่อที่ทำกิจการสีเทาหลายอย่าง ทั้งบ่อนและติดสินบนนักการเมืองเพื่อให้ได้สัมปทานการเดินรถเขาจึงนับเป็นคนสนิทของลุงเฉิงที่ใคร ๆ ต่างก็เกรงใจและหวาดกลัว ด้วยฝีมือของหลิวไห่เองนั้นก็ไม่ใช่ธรรมดา

เฉินเฟยอวี๋ในร่างของหลิวไห่เมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่นจึงวางฟอร์มได้ค่อนข้างดี เขาเข้าห้องวีไอพีไปกับพ่อหนุ่มรูปงามนามเพราะหยางเจิงคนนั้น

ทั้งดื่มทั้งเต้นเสียดสีกันไปมาอยู่จนกระทั่งดึก เฉินเฟยอวี๋ก็เมาแล้ว แน่นอนว่าการเมาคือส่วนหนึ่งของแผนการที่เฉินเฟยอวี๋วางเอาไว้ เขาคิดจะจับหนุ่มในเสปคเอาไว้ให้แน่น

พ่อหนุ่มคนนั้นในที่สุดก็ได้ขึ้นรถของเฉินเฟยอวี๋ ยังถูกเฉินเฟยอวี๋ลวนลามอยู่หลายครั้ง เฉินเฟยอวี๋ในรถลิมูซีนคันโตตอนนี้กำลังนั่งคล่อมหนุ่มรูปงามเอาไว้ ปากของเขาคลอเคลียกับพ่อหนุ่มคนนั้น อารมณ์กระเจิดกระเจิงและเร่าร้อน

“ผมจะพาคุณขึ้นสวรรค์”

น้ำเสียงของหยางเจิงอ่อนนุ่ม เหมือนหนุ่มในฝันที่สาว ๆ ทั้งโลกต้องการ กระทั่งบางอย่างแข็ง ๆ ดันที่ท้องของเฉินเฟยอวี๋ เขาจึงร้องอุ๊ยออกมา

“ให้ตายเถอะ ทำไมคุณใจร้อนแบบนี้ แข็งง่ายจังเลยนะ”

หยางเจิงหัวเราะ ยังกดของแข็งแนบท้องของเขา เฉินเฟยอวี๋แสร้งเขินใบหน้าแดงซ่าน เขาใช้มือคลำของแข็งนั้นฉับพลันนัยน์ตาแสดงความฉงน

เอ๊ะ รูปร่างของแข็งช่างแปลกประหลาด

เฉินเฟยอวี๋กำรอบของแข็งอีกครั้ง และแล้วเขาก็เริ่มรู้สึกว่าไม่ใช่แล้ว เขาก้มลงมองและเห็นของแข็งเข้าเต็มตา เฉินเฟยอวี๋ผู้จิตใจอ่อนไหวแทบเป็นลม เขากรีดร้องแสดงตัวตนราวกับผู้หญิงเห็นแมลงสาบ

“บอกคนขับรถให้ขับไปตามทางที่ผมบอก และให้บอดี้การ์ดทั้งหมดที่ตามมาออกห่างเราให้มากที่สุด”

เฉินเฟยอวี๋น้ำตาตกแล้ว เขาได้แต่คิดในใจว่า

พี่จ๋าช่วยหนูด้วย หนูถูกลักพาตัว

เวลาเที่ยงคืน แผ่นดินใหญ่

หลิวไห่ได้รับโทรศัพท์สายลึกลับสายหนึ่ง เขาแทบจะยกเท้าก่ายหน้าผากด้วยความกลัดกลุ้มและเป็นห่วงน้องชายตัวดี

เขาบอกให้อยู่บ้านเฉย ๆ อย่าเที่ยวออกไปวุ่นวายตามท้องถนนไม่ใช่หรือ ทำไมถึงพลาดท่าถูกคนของประธานกู้จับตัวไปได้ เขารู้ว่ากู้เมิ่งเจ็บแค้นเขาที่แพ้เขาในเรื่องบริษัท แต่กู้เมิ่งไม่รู้ว่าเขาร่วมมือกับตำรวจรวมทั้งหลี่เจี่ยซินทำลายศูนย์ปฏิบัติการลับของสกุลกู้อย่างแน่นอน

คิดไม่ถึงว่ากู้เมิ่งจะลงมือกับเฉินเฟยอวี๋ได้

ไอ้สารเลวนั่นคงไม่อยากตายดีแล้ว แต่ในตอนนี้หลิวไห่ต้องรีบกลับไปที่ฮ่องกงให้เร็วที่สุดเพื่อช่วยเฉินเฟยอวี๋ออกมาให้ได้

“เตรียมเงินพันล้านเหรียญสหรัฐเอาไว้ พวกมันต้องการให้เราแลกบิทคอยน์แล้วโอนเข้ากระเป๋าบิทของพวกมัน”

หลิวไห่สั่งการอย่างเงียบขรึม เขาไตร่ตรองบางอย่างก่อนให้เลขารีบจองตั๋วเครื่อง หลังจากนั้นโทรศัพท์ให้กลุ่มดวงตาสวรรค์สืบให้ได้ว่าเฉินเฟยอวี๋ถูกจับกุมตัวอยู่ที่ไหน

“คิดจะทำร้ายน้องชายฉัน แกก็ต้องยอมรับผลที่ตามมา”

หลิวไห่ทุบกำปั้นลงบนโต๊ะเสียงดังสนั่น

หลี่เจี่ยซินไม่ตอบแต่กลิ่นไวน์หอมกรุ่นที่ออกจากปากของเธอกำลังพ่นใส่หน้าเขา พร้อมด้วยเสียงฟืดฟาดที่บ่งบอกอาการว่าเธอต้องการเพียงใด หลิวไห่ถูกเธอจับกดเอาไว้กับที่นอน เขาร้องห้ามเสียงดัง

“หลี่เจี่ยซินเธอต้องกินไวน์มาแน่ ๆ ฉันได้กลิ่น”

หลี่เจี่ยซินลูบหน้าอกของเขา

“กินไปไม่กี่แก้วเองนะ จู่ ๆ ก็อยากกิน”

หลิวไห่กลอกตาขึ้นลง เขากำลังใช้สมองและปล่อยให้เธอลูบหน้าอกของเขาอย่างบ้าคลั่ง สุดท้ายแล้วหลิวไห่จึงเข้าใจ

“หลี่เจี่ยซินเธอต้องมีปัญหากับไวน์แล้วแน่ ๆ ทีหลังถ้าฉันไม่อนุญาตห้ามกินโดยเด็ดขาด”

หลี่เจี่ยซินไม่เข้าใจ หลิวไห่จึงพูดว่า

“ตอนที่อยู่ในงานเลี้ยงเธอดื่มไวน์ ตอนที่ไปกินข้าวกลับหูเสี่ยวเทียนเธอก็ดื่มไวน์ ทั้งสองครั้งเธอจะมีอาการนี้”

หลี่เจี่ยซินพยักหน้า คิดในใจว่าช่างมันเถิด ต่อไปเธอไม่กินแล้วก็ได้แต่ตอนนี้เธอต้องการเขาจริง ๆ หญิงสาวคิดจะถอดเสื้อของเขา หลิวไห่รีบร้องเสียงหลง

“อย่าให้เสื้อผ้าฉันยับ อย่านะ”

หลี่เจี่ยซินระงับอารมณ์ตัวเอง เธอยังมีสติอยู่บ้างจึงถอดเพียงแต่กางเกงของเขาทักทายงูที่แข็งชันขึ้นมาเสียงเบาซึ่งดูเหมือนว่าในครั้งนี้หลิวไห่ไม่ผลักไสเธอแล้วกลับให้ความร่วมมืออย่างดี

เขาก้มลงจูบปากของเธอเบา ๆ แต่กลับถูกหลี่เจี่ยซินกดคอของเขาลงมาแล้วเป็นฝ่ายรุกแลกลิ้นจูบเขาอย่างกระหาย มือของเธอไต่ไปจนเจอกับงูยักษ์ของเขาพร้อมกับพูดเสียงกระเส่า

“เห็นหรือเปล่าว่าเธอก็ต้องการฉัน ใช่หรือเปล่ามันเด้งขึ้นมาแบบนี้”

หลิวไห่ครางในลำคอเมื่อหลี่เจี่ยซินเริ่มรูดหัวของมันเบา ๆ ตัวของเขาแข็งค้างไปแล้ว

“หลี่เจี่ยซินเธอมันยิ่งกว่างูพิษเสียอีก ขืนใจฉันครั้งแล้วครั้งเล่า”

หลี่เจี่ยซินกระซิบชิดริมฝีปากของเขา

“ที่รัก ถ้าเธอคิดว่าฉันแพ้ไวน์ฉันสาบานว่าจะไม่กินมันอีกแล้วไม่กินมันอีกจริง ๆ ขอเถอะนะครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย”

หลิวไห่ถอนหายใจแล้วบอกว่า

“เธอกดฉันซะขนาดนี้ ฉันจะสู้อะไรเธอได้ล่ะ”

หลี่เจี่ยซินดีใจเป็นอย่างยิ่ง และในตอนนี้เธอก็เผลอฉีกเสื้อของเขาจนขาดอีกครั้ง หลิวไห่ถอนหายใจพร้อมกับบอกเธอว่า

“หลี่เจี่ยซินชุดนี้ราวสองหมื่นเหรียญเธอมีปัญญาชดใช้เหรอ”

หลี่เจี่ยซินสะดุ้งสุดตัว

“ที่รัก ฉันขอใช้ร่างกายเพื่อแลกกับการทำเสื้อผ้าของเธอขาด”

หลิวไห่ร้องออกมา

“หลี่เจี่ยซินเธอนี่มันผู้หญิงที่เอาแต่ได้”

แต่เขายังไม่ทันได้ตำหนิเธอดีนักหลี่เจี่ยซินก็ทำให้เขาเคลิบเคลิ้มเสียแล้ว เมื่อหญิงสาวเริ่มลากลิ้นเลียลำคอของเขา หลิวไห่เพิ่งอาบน้ำเสร็จได้ไม่นานตัวของเขาจึงหอมกรุ่นจนเธอคลั่งใคล้ น้ำหอมที่เขาใช้ก็เป็นกลิ่นที่เธอชอบ ไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็ถูกใจเธอไปเสียหมดจนเธอไม่อาจต้านทานหัวใจของเธอได้อีกต่อไปแล้ว

“ที่รัก วันนี้ฉันรู้แล้วว่าฉันชอบเธอจริง ๆ”

หลิวไห่ยังคงคิดในใจว่าคนที่หลี่เจี่ยซินบอกชอบนั้น จริง ๆ แล้วเป็นตัวเขาหรือว่าเป็นเฉินเฟยอวี๋กันแน่

หลี่เจี่ยซินลากลิ้นเลียลงมาจนถึงสะดือของเขาทั้งถอดชุดเดรสตัวสวยที่หลิวไห่เพิ่งเลือกให้เธอออกจากร่างกาย หญิงสาวกางขา จับงูยักษ์ของเขาเอาไว้แล้วยัดเข้าไปในถ้ำสวาทแสนร้อนของตัวเอง

“ที่รัก อ๊า ดีจังเลย”

หลี่เจี่ยซินครางแผ่ว ทั้งขยับสะโพกเป็นจังหวะ หลิวไห่เอื้อมมือไปจับสะโพกของเธอ เขาหลับตาพริ้มเมื่อหลี่เจี่ยซินกระแทกร่างของตัวเองลงมาทั้งครางอย่างมีความสุข

“หลี่เจี่ยซินฉันจะทำโทษเธอคอยดูเถอะ”

หลี่เจี่ยซินยิ้ม เธอก้มลงมาจูบปากของเขา หลิวไห่อ้าปากเพื่อให้เธอสอดลิ้นเข้ามาภายใน สัมผัสอันเร่าร้อนที่เกิดจากแรงกระตุ้นทางร่างกายอันมีไวน์เป็นตัวนำทำให้หลี่เจี่ยซินแทบคลั่ง

แม้ว่าเธอจะได้ควบขี่เขาในตอนนี้หลี่เจี่ยซินกลับรู้สึกคล้ายกับว่ายังไม่พอ ช่างแตกต่างจากครั้งล่าสุดที่เธอจับเขากดเข้ากับกำแพง ทำไมในตอนนี้มันถึงได้รุนแรงมากยิ่งขึ้นหรือเป็นเพราะว่าเธอมีใจให้เขาแล้ว

หลิวไห่โอบมือรอบร่างของหญิงสาว สะโพกของหลี่เจี่ยซินซอยไม่หยุดเธอยังคงสวมเสื้อชั้นในอยู่ เขาขยับมือมาด้านหลังหวังปลดตะขอเสื้อชั้นในจิ๋ว แต่หลี่เจี่ยซินว่องไวกว่า เธอต้องการให้เขาครอบครองเธอเช่นกัน จึงปลดตะขอชั้นในอย่างเร่งร้อน

เธอดันศีรษะของหลิวไห่เข้าหาหน้าอกของตัวเอง ฝ่ามือยังช่วยประคองศีรษะของเขาเอาไว้ เอ่ยเสียงหวานใส

“ที่รักช่วยดูดนมให้ฉันหน่อย ฉันต้องการปากของเธอ”

หลี่เจี่ยซินคนนี้ในเวลาที่ต่อยตีคนก็ทำคนปางตาย ในเวลาที่มีเซ็กส์ก็แสนจะร้อนแรงเป็นอย่างยิ่ง หลิวไห่ไม่รอช้าอ้าปากขึ้นแล้วรวบดูดปลายหัวนมของเธอเข้าไว้ในปาก

“อ๊า ซี๊ด อื้อ แรง ๆ เลยที่รัก ฉันรักปากเธอที่สุด”

หญิงสาวขยับสะโพกว่องไว ปล่อยให้ผู้ชายที่เธอเข้าใจว่าคือเฉินเฟยอวี๋ปลนเปลอด้วยปากและลิ้นที่แสนชำนาญของเขา หลี่เจี่ยซินหลับตาพริ้มดันใบหน้าของเขาให้แนบชิดกับหน้าอกของตนเองให้มากขึ้น

เธอขยับสะโพกเร่งเร้าขึ้น ได้ยินเสียงครางต่ำแหบโหยของเฉินเฟยอวี๋แล้วยิ่งตื่นเต้น เขาย้ายปากมาดูดนมอีกข้างของเธอ ในขณะที่มือของเขายกขึ้นมาขยำนมข้างที่ว่างเปล่าอย่างรู้ใจ

“อ๊า ที่รักฉัน อื้อ เสียวสุดๆ เลย”

ทางรักของหลี่เจี่ยซินน้ำหวานแตกทะลักใหลออกมาเป็นสาย ความชุ่มฉ่ำหล่อลื่นให้การร่วมรักยิ่งเร้าใจ หลิวไห่พลิกตัวของหลี่เจี่ยซินให้อยู่ข้างล่าง เขาละปากจากเต้านมของเธอแล้วลากลิ้นเลียมาจนถึงลำคอ

หลิวไห่เผลอดูดคอเธอจนช้ำ ซึ่งแน่นอนว่าการกระทำของเขาถูกใจหลี่เจี่ยซินเป็นอย่างยิ่ง

“ที่รัก ซอยลงมาเร็วเข้า อ๊า ซี๊ด”

หลิวไห่ลากปลายลิ้นมาจนถึงติ่งหูนุ่มนิ่ม ร่างกายนี้ของหลี่เจึ่ยซินหอมหวาน ความคิดแต่เดิมที่จะสลัดผู้หญิงคนนี้ทิ้งในตอนนี้แตกดับไปแล้วอย่างสิ้นเชิง หลี่เจี่ยซินเป็นผู้หญิงของเขาแล้ว เขาจะทนได้หรือไม่ที่ต้องอยู่ห่างไกลจากเธอ

และหากเธอรู้เรื่องราวหลอกลวงนี้เธอจะโกรธเขาหรือเปล่า

หลิวไห่สลัดความคิดพวกนี้ทิ้งไป เมื่อความเสียวซ่านแล่นออกจากกลางร่างกายไปจนถึงปลายเท้า แล้วไหลย้อนขึ้นมาด้านบน หลี่เจี่ยซินแยกขาออกกว้าง ปล่อยให้หลิวไห่กดร่างของเขาลงมาอย่างถนัดและหนักหน่วง

เสียงครางแผ่วหวานของเธอกระตุ้นให้เขาฮึกเหิม ตั้งแต่ร่วมรักกันมานี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้อยู่ด้านบน

“ที่รัก อ๊า ซี๊ด ฉันจะเสร็จแล้ว”

หลิวไห่ซอยสะโพกเร็วขึ้น หลี่เจี่ยซินดึงหน้าของเขามาใกล้ แล้วจูบหลิวไห่อย่างตะกละตะกลาม หญิงสาวตั้งขากับเตียงนอนพร้อมกับยกสะโพกน้อย ๆ รอรับการกระแทกที่รุนแรงขึ้น เธอเองก็ใกล้ถึงจุดหมายเช่นกัน

รสจูบที่หนักหน่วงและหวานล้ำทำให้เธอเกิดอาการเสพติด คนทั้งคู่แทบจะไม่ผละปากออกจากกัน จวบจนกระทั่งหลิวไห่เร่งจังหวะเร็วขึ้นและหลี่เจี่ยซินครางอย่างสุขสม น้ำหวานไหลล้นหลั่งเป็นสัญญาณบอกหลิวไห่ว่าเธอเสร็จแล้ว

คราวนี้เขาจึงกดสะโพกแรงขึ้นเพียงสองสามครั้งก็หลังน้ำกามสีขาวเข้าไปในตัวเธอ

หลิวไห่ฟุบใบหน้าลงบนอกของหลี่เจี่ยซิน หญิงสาวปัดปอยผมให้เขาอย่างรู้สึกผิด

“ที่รักผมเธอยุ่งเล็กน้อย แต่ก็ยังหล่อมากอยู่ดี”

หลิวไห่ยิ้ม

“เธอก็เหมือนกัน ถึงผมจะยุ่งขนาดนี้ฉันกลับรู้สึกว่าเธอสวยมาก”

หลี่เจี่ยซินหยิกแก้มของเขา

“ปากหวาน”

หลิวไห่ลุกขึ้นนั่ง เขาต้องชำระร่างกายอีกรอบ เขาดึงเธอขึ้นไปนั่งบนเตียงแล้วถามว่า

“หลี่เจี่ยซินเธอไม่คิดว่าเธอจะท้องเหรอ”

หลี่เจี่ยซินหัวเราะเสียงดังลั่น

“ไม่หรอก ฉันขอแสดงความเสียใจกับเธอด้วยแม้ว่าเธออยากจะให้ฉันท้องก็ไม่มีทางเกิดขึ้นหรอก”

หลิวไห่เอียงคอ

“เธออย่าบอกนะว่าเธอเป็นหมัน”

หลี่เจี่ยซินพยักหน้า

“ใช่ฉันเคยไปตรวจแล้ว และฉันก็ไม่สามารถท้องได้จริง ๆ ไม่ต้องกังวลไปนะ ฉันไม่ทำเธอเดือดร้อนแน่นอน”

หลิวไห่ไม่รู้ว่าตัวเองจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี จู่ ๆ หัวใจของเขาก็ดิ่งวูบลง แท้ที่จริงแล้วเขากำลังหวังสิ่งใดกันแน่ หวังให้เธอมีลูกตัวเล็กน่ารักให้เขาแบบนั้นเหรอ

หลิวไห่สลัดความคิดบ้า ๆ ออกจากสมอง เขาไม่สนว่าเธอจะมีลูกได้หรือเปล่า

สิ่งที่เขาสนคือหลี่เจี่ยซินผู้หญิงที่กระโดดเข้ามาในชีวิตของเขาแบบบ้าคลั่งคนนี้ต่างหาก

จู่ ๆ หลิวไห่ก็ดึงรู้สึกอยากกอดเธอ เขาจึงดึงร่างเล็กของเธอไปกอดเอาไว้แนบแน่น จนกระทั่งหลี่เจี่ยซินพูดว่า

“ที่รัก เรากำลังจะสายนะ รีบกันเถอะ”

ประธานกู้ถึงกับหัวร้อนเมื่อถูกใครบางคนลูบคม ยังดีที่เขายังสามารถกู้สถาณการณ์เอาไว้ได้ทัน เขาฟาดลูกน้องคนหนึ่งจนปางตายเพราะการทำงานที่ผิดพลาดในครั้งนี้

“ปล่อยให้มันเข้ามาได้ยังไง ไหนบอกว่าข้อมูลที่ได้เป็นข้อมูลจริงยังไงล่ะ”

กู้เมิ่งที่อยู่ในหน้าจอใหญ่ในห้องทำงานของประธานกู้เหงื่อซึมทั้งใบหน้าซีดเผือด งานนี้เป็นงานแรกของเขาในถิ่นใหม่เขากลับทำพลาดอย่างไม่น่าให้อภัย

“พวกมันมีเพราะกลุ่มที่ชื่อว่าดวงตาสวรรค์ครับ พวกมันส่งข้อมูลปลอมเข้าระบบหวังล่อให้เราติดกับ”

ประธานกู้ปาถ้วยน้ำชาที่อยู่ในมือทิ้ง น้ำเสียงของเขาคราวนี้เหี้ยมเกรียมเป็นอย่างยิ่ง

“และแกก็ไปฮุบเหยื่อของมัน กู้เมิ่งพ่อไม่คิดว่าแกจะอ่อนหัดขนาดนี้”

กู้เมิ่งดวงตาแดงก่ำ

“ผมขอโทษครับพ่อ ผมไม่รอบคอบเองตรวจสอบข้อมูลไม่ชัดเจน ผู้หญิงคนนั้นมันเป็นสายลับครับ ผมกำลังสืบว่ามันอยู่หน่วยไหนเป็นใครกันแน่”

ประธานกู้สูดลมหายใจเข้าลึก

“ลากคอมันมาให้ฉัน คราวนี้ถ้าแกทำพลาดอีกแม้แกจะเป็นลูกฉัน ฉันก็ไม่มีวันยกโทษให้ ยังมีหัวหน้านักวิทยาศาสตร์คนนั้นอีก พาเขากลับมาให้ได้ถ้าพากลับไม่ได้ก็ฆ่ามันซะ”

“ครับพ่อ”

ประธานกู้วางสายไปแล้ว กู้เมิ่งลุกขึ้นสายตาแดงก่ำด้วยโกรธจัด เขาถือว่าความผิดนี้เป็นความผิดของลูกน้องของเขาทั้งหมด ทั้ง ๆ ที่ตัวเองเป็นคนตัดสินใจแท้ ๆ

“ยังอยู่ทำไม ไปตามลากคออีนั่นมาให้กู ถ้าลากมันมาไม่ได้ก็ไม่ต้องกลับมา”

“ครับนาย”

ลูกน้องของเขาออกไปแล้ว กู้เมิ่งยังอาละวาดจนข้าวของในห้องแตกกระจาย งานนี้เขาไม่รู้ว่าเป็นหลิวไห่ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมด เขาคิดว่าเป็นเพราะดวงตาสวรรค์ทำงานให้ตำรวจ ยังมีความเข้าใจว่าผู้หญิงที่บุกเข้ารังของเขาคือสายลับที่ถูกฝึกมายอย่างดี

“ไม่ว่าแกจะเป็นใครฉันจะลากคอแกออกมาให้ได้”

หลิวไห่ทิ้งจีพีเอสและเครื่องดักฟังเสียงที่อยู่ในร่างกายของนักวิทยาศาสตร์คนนั้นไว้ที่โกดังร้างแห่งหนึ่ง พร้อมทั้งให้คนของเขาเฝ้าดูว่าจะมีใครบุกมาหรือเปล่า แน่นอนว่าเรื่องนี้เขาไม่ต้องเปลืองแรงเอง เขาส่งเรื่องให้ฝ่ายสืบสวนของหูเสี่ยวเทียนในการตามจับคนต่อ

หลี่เจี่ยซินกลับไม่พอใจเธออยากลงมือด้วยตัวเองมากกว่า

“ไม่ต้องเอาตัวเองไปเสี่ยงหรอก ไหน ๆ เราก็มีตำรวจเป็นลูกน้องก็ใช้พวกเขาซะ คนที่มาก็ต้องเป็นมือกลุ่มนักฆ่าอยู่แล้ว ถึงเราจะจับพวกมันได้ก็ไม่ได้อะไรหรอก เอาเวลามาเค้นความจริงกับคนที่อยู่กับเราดีกว่า”

“ก็ได้จะเอายังไงต่อล่ะ”

หลิวไห่คิดว่าหลังจากนี้เขาคงไม่มีเวลาที่จะมาจัดการงานในบริษัทของเฉินเฟยอวี๋แล้ว เรื่องภายในเขาก็เคลียร์ให้เรียบร้อย ถึงเวลาที่เฉินเฟยอวี๋จะกลับมาดูแลต่อและแยกตัวหลี่เจี่ยซินออกจากเขาเพื่อไม่ให้เธอเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องจนได้รับอันตราย

สูตรยาที่เขาส่งให้ลุงเฉิงช่วยวิเคราะห์ก็ดูเหมือนว่าจะได้เรื่องแล้ว เขาจำเป็นต้องกลับไปฮ่องกงในอีกไม่ช้า

“นายครับเขาฟื้นแล้วครับ”

หลังจากที่เอาของพวกนั้นออกจากร่างกายของนักวิทยาศาสตร์คนนั้น เขาก็เป็นลมไปทันทีตอนนี้หลิวไห่ย้ายเขามายังสถานที่ซ่อนอันเป็นความลับแม้แต่หลี่เจี่ยซินยังไม่รู้

“พวกนายหาทางง้างปากมันให้ได้ ฉันให้ดวงตาสวรรค์ตามหาลูกของมันแล้ว คิดว่ายังไงมันก็คงยอมเปิดปาก”

ครับนาย

หลิวไห่ยังต้องมาทำงานแทนเฉินเฟยอวี๋เป็นปกติ เรื่องน้องสาวบุญธรรมของเฉินเฟยอวี๋เขาก็จัดการเรียบร้อยจนเธอในตอนนี้เชื่อฟังเป็นอย่างยิ่ง ดูเหมือนว่าเฉินอิ่งยังอยากจะสร้างความสัมพันธ์กับเขาขึ้นมาใหม่ด้วย

และคืนนี้เธอก็นัดเขาทานข้าว

หลิวไห่ตัดสินใจที่จะไปตามนัด เขารู้ดีว่าเฉินอิ่งมีความสัมพันธ์กับกู้เมิ่งค่อนข้างลึกซึ้ง ในเวลาที่กู้เมิ่งถูกเหยียบจมูกเขาต้องแสดงออกให้กู้เมิ่งเห็นว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเขาแม้แต่น้อย

ไม่แน่ที่เฉินอิ่งนัดเขาวันนี้ก็เพื่อที่จะเป็นสายสืบให้กับกู้เมิ่งว่าเขาในช่วงนี้ยังปกติหรือไม่ แต่ด้วยสติปัญญาของกู้เมิ่งหลิวไห่เชื่อว่ายังไงเขาก็ย่อมตามไม่ทันเป็นแน่

หลิวไห่แต่งตัวหล่อเหลา เขาไม่ต้องส่องกระจกก็รู้ว่าเขาดูดีขนาดไหน จากสายตาที่มองไม่กะพริบของหลี่เจี่ยซิน

“ที่รักฉันปล่อยเธอไปหาผู้หญิงอื่นไม่ได้”

หลี่เจี่ยซินรู้สึกหวงเขาขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายในตอนนี้ไม่ควรที่จะเห็นความสมบูรณ์แบบของโลกที่อยู่ตรงหน้าเธอ มันเสี่ยงเกินไปแล้ว

หลิวไห่หัวเราะ เขายีผมของเธอพร้อมกับพูดเบา ๆ

“ฉันไปกินข้าวกับน้องสาวจะมีอะไรกัน เธอไม่ต้องตามไปหรอกช่วงนี้กู้เมิ่งก็อยากได้เธอด้วย ฉันดูแลตัวเองได้”

หลี่เจี่ยซินส่ายหน้าจริงจัง เธอเป็นบอดี้การ์ดของเขาจะไม่ไปได้ยังไง

“แต่เฉินอิ่งขอให้ฉันไปคนเดียว บอกว่าเป็นเรื่องที่พี่น้องต้องปรับความเข้าใจกันฉันแค่อยากจะทำให้เรียบร้อยก่อนที่เฉินเฟยอวี๋จะ…”

หลิวไห่เกือบจะหลุดปากไปแล้ว หลี่เจี่ยซินฉลาดไม่น้อยที่ผ่านมาเธอสงสัยมากแต่ยังจับไม่ได้คาหนังคาเขา

หลี่เจี่ยซินขมวดคิ้วมองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถามร้อยแปด

“ที่รักเธอจะพูดอะไร กำลังจะพูดอะไร”

หลิวไห่แสร้งหัวเราะกลบเกลือน ก่อนจะพูดต่อว่า

“ก่อนที่ฉันเฉินเฟยอวี๋คนนี้จะเกลียดน้องสาวเข้าไส้ไปมากกว่านี้ เราต้องปรับความเข้าใจกันคุณแม่ที่อยู่บนสวรรค์จะได้สบายใจ”

หลี่เจี่ยซินยังมองเขาไม่วางตา แต่สุดท้ายเธอก็ไม่มีอะไรจะพูดอยู่ดี

“ก็ได้ ฉันไม่เข้าไปก้าวก่ายแต่จะมองดูห่าง ๆ ได้หรือเปล่า”

หลิวไห่ยอมแพ้แล้ว เขารู้ว่าหลี่เจี่ยซินไม่ปล่อยเขาไปลำพังแน่ เพราะแบบนี้เขาจึงทำอะไรไม่สะดวกต้องให้เฉินเฟยอวี๋ตัวจริงกลับมาเสียที

“ก็ได้ แต่เธอก็อย่าทำให้ตัวเองเป็นจุดสนใจก็แล้วกัน”

หลี่เจี่ยซินยิ้มปากฉีก เธอดีใจมากรีบไปเปลี่ยนชุดใส่สูทเป็นบอดี้การ์ดอย่างเรียบร้อย หลิวไห่ไล่ให้เธอไปเปลี่ยนบอกให้แต่งตัวอย่างผู้หญิงธรรมดา หลี่เจี่ยซินส่ายหน้า

“ฉันไม่มีเสื้อผ้าผู้หญิง”

หลิวไห่ยกยิ้ม

“ในตู้เสื้อผ้าเธอ อีกฝั่งฉันให้คนส่งมาให้หลายชุดเลยเธอเลือกที่เหมาะ ๆ มาสักชุด”

หลี่เจี่ยซินกระโดดโลดเต้นเข้าไปเลือกชุด และแล้วเธอก็ไม่สามารถเลือกได้เดือดร้อนหลิวไห่ต้องเข้าไปช่วยเหลือ

“แต่ละชุดทั้งแพงทั้งสวย ที่รักเธอดีแบบนี้เราแต่งงานกันจริง ๆ เถอะ”

หลี่เจี่ยซินจับมือของเขา ในขณะที่หลิวไห่ก้าวถอยหลัง หลี่เจี่ยซินยังเดินหน้าต่อเรื่อย ๆ ใช่เธอจริงจังมาก ในใจตอนนี้คิดดีแล้วว่าที่ผ่านมาเธอกำลังมีความรู้สึกบางสิ่งบางอย่างกับเขา ในวันนี้ที่เห็นเขาหล่อเหลาเช่นนี้ เธอก็ไม่อยากให้ใครเห็นเขาแล้ว

เธออยากครอบครองเฉินเฟยอวี๋

เธอคิดว่าเธอชอบเขา จนทนไม่ไหวแล้ว

หลิวไห่ผู้ที่กำลังจะหาทางสลัดทิ้งหลี่เจี่ยซินไม่ให้เธอเข้ามายุ่งวุ่นวายกับชีวิตอีกต่อไปถึงกับตกใจ หลี่เจี่ยซินผลักเขาลงเตียงแล้วทาบทับร่างทั้งร่างของเธอลงมา

หลี่เจี่ยซินจับคางของเขาให้เงยขึ้น สบตาของหลิวไห่อย่างมีความหมาย

“เธอจะว่ายังไงเมื่อฉันคิดว่าฉันชอบเธอเข้าจริง ๆ แล้ว ตั้งแต่เธอกลับจากฮ่องกงเธอไม่ยุ่งกับผู้ชายคนไหนอีก เฉินเฟยอวี๋เธอกำลังทำให้ฉันคิดว่าเธอชอบฉัน งูของเธอก็มักผงกหัวเมื่ออยู่กับฉัน ดังนั้นฉันคิดว่าเราสองคนใจตรงกันแล้ว”

ใจของเขาเต้นแรงเมื่อหลี่เจี่ยซินพูดคล้ายกับกำลังขอเขาแต่งงาน

เขายิ้มแล้วตอบว่า

“หลี่เจี่ยซิน เธอแอบไปกินไวน์มาอีกใช่หรือเปล่า”

นักวิทยาศาสตร์คนนั้นฟื้นแล้ว แต่เขายังไม่ยอมเปิดปากพูดอะไรออกมา

"หลี่เจี่ยซินไม่ใช่ว่าเธอทำให้เขาง้างขากรรไกรไม่ขึ้นหรอกนะ"

หลิวไห่นั่งอยู่บนเก้าอี้โดยข้างเขา มีหลี่เจี่ยซินที่ตรงหน้าเขาคนนั้นและหลิวไห่เองไม่คิดปิดบังตัวเองว่าเป็นใคร แต่กับหลี่เจี่ยซินแล้วเขากลับให้เธอแต่งตัวปิดหน้าปิดตัวมิดชิดไม่ต้องการให้ใครเห็นว่าเธอเป็นใคร

หลี่เจี่ยซินเอียงคอมาหาเขายังพูดเสียงเบา

"ฉันไม่ได้ยุ่งกับปากเขาเลยนะ"

หลิวไห่ยกขาขึ้นไขว่ห้าง สั่งลูกน้องที่ยืนล้อมผู้ชายคนนั้นเสียงดัง

"ซ้อมมันจนกว่ามันจะยอมพูด"

นักวิทยาศาสตร์คนนั้นส่ายหน้าเป็นการขอร้อง เขาไม่สามารถเปิดปากพูดออกมาได้ เขาคิดว่าหลี่เจินต้องเป็นตำรวจที่ปลอมตัวมาแน่ ๆ เธอจึงมีฝีมือดีขนาดนี้

คนของหลิวไห่โหดเหี้ยมเป็นอย่างมาก รุมซ้อมนักวิทยาศาสตร์คนนั้นจนตาบวม แต่เขาก็ยังไม่พูดเลือดเปรอะเปื้อนใบหน้าของคนคนนั้นจนกลายเป็นสีแดง คิ้วของเขาแตกยับและเลือดไหลเข้าในดวงตาจนเขาต้องหยีตามอง

"ที่รักปากหนักมากผู้ชายคนนี้ ตกลงเขาเป็นนักวิทยาศาสตร์หรือหัวหน้าแรมโบ้ถึงได้อดทนขนาดนั้น"

หลิวไห่ลุกขึ้นพร้อมกับบอกเธอเบา ๆ

"ฉันจัดการเอง"

หลิวไห่เดินเข้าไปใกล้ผู้ชายคนนั้น ก่อนจะดึงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าเสื้อแล้วเปิดรูปภาพเด็กผู้ชายแก้มยุ้ยคนหนึ่งให้เขาดู

"ที่จริงไม่อยากทำแบบนี้เท่าไหร่หรอก"

หลิวไห่ยิ้มเย็น

"ลูกของนายคนนั้นคงไม่สนใจแล้วสิ"

หลี่เจี่ยซินหลี่ตา คิดไม่ถึงว่าหลิวไห่จะไวขนาดนี้กระทั่งครอบครัวของผู้ชายคนนี้ยังรู้อีก

นักวิทยาศาสตร์คนนั้นเบิกตากว้าง หลิวไห่หัวเราะเสียงต่ำออกมา อันที่จริงเขาไม่รู้หรอกว่านักวิทยาศาสตร์คนนี้มีครอบครัวหรือเปล่า เขาเพียงแต่หว่านแหไปก็เท่านั้น แต่ในตอนนี้ดูจากท่าทางของเขาแล้วแสดงว่าผู้ชายคนนี้มีลูกจริง ๆ

หลิวไห่เดินไปเดินมาต่อหน้าเขาอย่างใจเย็น แล้วพูดต่อ

"ไม่เป็นไร ถ้าคุณไม่บอกผมก็ไม่ถามต่อแล้วถ้าคุณจะยอมตายสิ่งที่ผมมีให้ก็แค่เสียงปรบมือ แต่ลูกของคุณนี่สิเขาจะอยากตายเพราะเรื่องของคุณหรือเปล่าผมไม่รู้"

หลี่เจี่ยซินตาโต คิดไม่ถึงว่าคนที่มีจิตใจเป็นหญิงแบบเขาจะโหดปานนี้

ผู้ชายคนนั้นดิ้นรน คล้ายอยากจะพูดแต่พูดไม่ได้ เขาทำท่าคล้ายกับมีบางอย่างติดอยู่ที่คอของเขา หลิวไห่ช่างสังเกตุเขานั่งลงแล้วคำไปที่ช่วงไหล่ข้างซ้ายเลยขึ้นมาจนถึงลำคอของผู้ชายคนนี้

และแล้วเขาก็ได้พบกับก้อนประหลาดบางอย่าง เขามองหน้าหลี่เจี่ยซินเธอจึงรีบมาดูว่าคืออะไร

หลี่เจี่ยซินคลำดูก้อนเนื้อนั่น เธอเข้าใจทันทีว่าคืออะไร

หญิงสาวกำลังจะพูดหลิวไห่กลับใช้นิ้วแตะปากเธอเป็นการห้าม เขาสั่งทุกคนด้วยสัญญาณมือห้ามพูดอะไรออกไป

ไม่ใช่แค่เขาที่มีเทคโนโลยี คนของสกุลกู้ก็เชี่ยวชาญไม่ต่างกัน

หลี่เจี่ยซินกระซิบ

"มันคือเครื่องติดตาม"

หลิวไห่พยักหน้าก่อนจะพูดเสียงดัง

"มันสลบไปแล้ว รอจนกว่ามันฟื้นแล้วสอบสวนต่อ"

แน่นอนว่านักวิทธยาศาสตร์คนนั้นไม่ได้สลบ หลิวไห่เพียงแต่พูดให้คนอีกฝั่งได้ยิน เขาไม่ได้เคลื่อนย้ายนักวิทยาศาสตร์คนนั้นจากที่เดิม คิดว่าหากผู้ชายคนนี้เป็นคนสำคัญไม่นานประธานกู้ต้องส่งคนมาช่วยแน่ เขาอาจจะจับคนได้เพิ่มอีก

เขาดึงแขนหลี่เจี่ยซินแล้วพาออกมาจากห้อง ก่อนออกมายังสั่งเสียงดังให้คนเฝ้าไว้อย่างดี

"หลี่เจี่ยซินถอดหน้ากากออกด้วยความอึดอัด

"เครื่องติดตามนั่นพวกมันฝังเข้าไปในร่างของเขาเลย"

หลิวไห่พยักหน้า

"ใช่ อาจมีเครื่องดักฟังด้วยเราต้องสำรวจร่างกายของเขาว่ามีอะไรผิดปกติตรงไหนแล้วเอาของพวกนั้นออกมาซะ เขาสารภาพไม่ได้หากเขาสารภาพคิดว่าเขาอาจจะร่างระเบิดหรืออาจจะถูกปล่อยสารพิษเข้าไปในร่างกาย"

หลี่เจี่ยซินอุทานด้วยความตกใจ

"คนพวกนั้นมันไม่ใช่คน ฉันต่อสู้มามากตั้งแต่เด็กจนโตอย่างมาก็เป็นพวกอันธพาลข้างถนน แต่สกุลกู้ดูแล้วเหมือนว่าพวกเขาพร้อมจะฆ่าคนโดยไม่สนใจว่าต้องฆ่าเท่าไหร่เพื่อบบรรลุจุดหมาย"

หลิวไห่พยักหน้า

"พวกมันเห็นชีวิตคนอื่นไร้ค่า และฉันต้องกระชากหน้ากากมันออกมาให้ได้"

หลี่เจี่ยซินยังข้องใจ เธอมองเฉินเฟยอวี๋อย่างค้นหาคำตอบ

"ที่รักฉันจะถามเธอเป็นครั้งสุดท้าย ทำไมเธอถึงมาพัวพันกับคนสกุลกู้ได้ขนาดนี้ มันแค่เป็นเรื่องบริษัทไม่ใช่เหรอตอนนี้เธอก็เหมือนจะชนะแล้วนี่ มีอะไรที่ยังไม่ได้บอกฉันกันแน่"

หลิวไห่ถอนหายใจ เขาคิดว่าไม่สามารถปิดบังหลี่เจี่ยซินได้จริง ๆ แต่เขายังให้เธอรู้ในตอนนี้ไม่ได้เช่นกัน เส้นทางนี้ของเขาจะเดินไปถึงจุดไหนเขายังไม่แน่ใจ

อีกไม่นานเขาจะเรียกเฉินเฟยอวี๋กลับมาดูแลกิจการของตัวเองแล้ว เมื่อไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลังเขาก็คิดจะกันหลี่เจี่ยซินออกไปให้ห่างจากคนสกุลกู้

ในตอนนี้เป็นเพราะเธอรั้นมากเขาจึงปล่อยตามใจเธอไปก่อน

"อันที่จริงมันก็มีเรื่องมากกว่านั้น เป็นเรื่องนานมากแล้วตั้งแต่ฉันจะได้รู้จักกับเธอ"

หลิวไห่ไม่ได้โกหก มันเป็นเรื่องที่นานมาแล้ว

หลี่เจี่ยซินเห็นเขาไม่อยากเล่า แม้ตัวเองจะอยากรู้ก็ไม่ได้ถามอีก

"แล้วเธอจะทำยังไงกับผู้ชายคนนั้น เขาต้องไม่พูดแน่"

หลิวไห่ยกมุมปากยิ้ม

"หาของที่อยู่ในตัวของเขาออกมาซะ หลังจากนั้นเขาต้องยอมพูดแน่ทีนี้เราจะได้รู้กันว่าพวกเขากำลังทำอะไรกันอยู่"

พวกเขาเข้าไปในห้องนั้นอีกครั้งหลิวไห่สั่งให้คนเอาผ้ามาอุดปากนักวิทยาศาสตร์คนนี้ เขาสั่งให้ลูกน้องแสกนร่างกายผู้ชายคนนั้นเพื่อหาสิ่งแปลกปลอม

ลูกน้องของเขาชี้ที่จุดที่สัญญาณดัง หลิวไห่พยักหน้าเขาโยนมีดสั้นให้ลูกน้องทำสัญญาณมือ

กรีดมันออกมา

ปลายมีดแหลมคมกรีดเข้าไปในผิวเนื้อคนเลือดพุ่งกระฉูดออกมาทันที นักวิทยาศาสตร์คนนั้นเห็นเลือดตัวเองไหลมาขนาดนี้ก็คล้ายจะเป็นลมล้มพับ ตอนที่ถูกฝังของพวกนี้เข้าไปเขาถูกทำให้สลบก่อน อย่างน้อยนายใหญ่ของเขายังใจดีกับพวกนักวิทยาศาสตร์อยู่มาก แต่ผู้ชายคนนั้นกลับเหี้ยมเกรียม ให้คนซ้อมเขาไม่พอยังใช้มีดกรีดเขาโดยไร้ยาชาจนเจ็บปวดเป็นอย่างยิ่ง

ไม่นานเครื่องติดตามตัวและเครื่องดักฟังขนาดจิ๋วก็ถูกคนของหลิวไห่ดึงออกมา

หลี่เจี่ยซินหยิบขึ้นมาดูพร้อมกับคิดว่า

นี่มันวิทยาการอะไรกัน ทำไมล้ำหน้าขนาดนี้

หูเสี่ยวเทียนได้รับการประสานจากเบื้องบนให้เข้าไปปฏิบัติหน้าที่ช่วยชีวิตเหยื่อที่ถูกจับกุมตัวทันที แต่น่าเสียดายที่เมื่อไปถึงปรากฎว่ามีเพียงเหยื่อบางคนเท่านั้นที่ถูกทิ้งเอาไว้

ดูเหมือนว่าคนพวกนั้นได้จากไปอย่างรีบร้อน พวกมันคงรู้ตัวแล้วว่าหัวหน้านักวิทยาศาสตร์ถูกจับตัวไปและยังมีหัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยที่ถูกทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัสซี่โครงหัก

อีกทั้งกล้องวงจรปิดทั้งหมดยังถูกทำลายจนไม่เหลือซากเพื่อป้องกันตำรวจหาหลักฐานมัดตัวคนที่อยู่เบื้องหลัง

"ผู้กองครับดูเหมือนว่าสถานที่นี้จะเพิ่งปรับปรุงเป็นที่ขังคนได้ไม่นานครับ ไม่ใช่รังใหญ่ของพวกมัน"

หูเสี่ยวเทียนเดินดูรอบ ๆ ผู้หญิงหลายคนที่ถูกจับมาอย่างน้อยก็อยู่ที่นี่บางส่วน พวกเธอแต่ละคนเหมือนจะไม่มีสติและพูดจาวกวนไม่รู้เรื่อง รถพยาบาลพร้อมอยู่แล้วตั้งแต่ที่เขารู้ข่าว เขาไม่รู้ว่าเป็นใครที่ส่งข้อมูลพวกนี้ให้นายระดับสูง แต่ถึงจะอยากรู้คนพวกนั้นก็ไม่ให้เขารู้อยู่ดี

ในห้องทำงานแทบจะไม่มีอะไรเหลือเป็นชิ้นเป็นอัน นอกจากอุปกรณ์ทดลองทางวิทยาศาสตร์ที่อาจจะเห็นได้ทั่วไปตามห้องแล็ปต่าง ๆ หูเสี่ยวเทียนสั่งให้คนจัดการเอาไปให้หมด

"ผู้กองครับในห้องด้านนั้นพบคนไม่สวมเสื้อผ้านอนบาดเจ็บสาหัสอยู่สองคนครับ พวกเขายังไม่ตาย"

"เรียกกู้ภัยมาเร็ว"

"ครับ"

หูเสี่ยวเทียนขออำนาจเบื้องบนให้คนทั้งหมดที่เขาเจอวันนี้เข้าโครงการคุ้มครองพยาน สั่งเสริมตำรวจเฝ้าพวกเธออย่างแน่นหนาตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ส่วนผู้ชายสองคนที่บาดเจ็บคงจะถูกทิ้งเพราะคนพวกนั้นเข้าใจผิดว่าพวกเขาตายแล้วเป็นแน่

ไม่แน่ว่าคนที่ทำเรื่องนี้อาจจะย้อนรอยมาฆ่าคนปิดปากก็เป็นได้ หูเสี่ยวเทียนจึงต้องระมัดระวังอย่างเต็มที่ เขาเรียกลูกน้องมาสั่งอย่างเด็ดขาด

"คนที่เฝ้ายามสองคนนั่น ต้องเป็นคนของเราเท่านั้นไม่ว่าจะเป็นพยาบาลหรือหมอ ห้ามเข้าไปรักษาพวกเขาโดยไม่มีคนของเราอยู่ด้วยเข้าใจหรือเปล่า"

"ครับ ผู้กอง"

"ถ้าเป็นไปได้ สถานที่รักษาสองคนนั้นห้ามเปิดเผยให้คนนอกรู้เด็ดขาด"

ลูกน้องรับคำสั่งอย่างหนักแน่น หูเสี่ยวเทียนจึงตรงไปยังรถตัวเองขับตามรถพยาบาลไปโดยไม่ให้คลาดสายตา

เขาเฝ้าตามคดีลักพาตัวมานานนับเดือน กลับไร้วี่แววและข่าวคราว คิดว่าคนร้ายมีความเป็นมืออาชีพมาก แม้กระทั่งคนที่พวกเขานัดดูตัวด้วยก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย แต่ไม่รู้ว่าคนที่ส่งข่าวนี้ให้กับนายตำรวจชั้นสูงเป็นใคร ถึงได้รู้ลึกรู้ละเอียดจนกระทั่งทำให้พวกเขาตามตัวเหยื่อได้

ไม่ว่าคนที่ส่งข่าวจะเป็นใคร หูเสี่ยวเทียนก็คิดที่จะสืบให้รู้ให้ได้ เขาคิดว่าคนคนนี้อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับคนร้าย หรืออาจจะหักหลังกันจนต้องการเล่นงานอีกฝั่งก็เป็นได้

หลี่เจี่ยซินขับรถไปยังสถานที่นัดพบกับหลิวไห่ตามจีพีเอสที่เขาส่งมาให้อย่างไม่รีบร้อน เธอขับรถวกวนจนกระทั่งมาถึงถนนเส้นเปลี่ยวเส้นหนึ่ง

"ที่รักเธอไปหาที่แบบนี้ได้ยังไง"

หลี่เจี่ยซินหัวเราะเพราะสองข้างทางที่เธอผ่านมาตอนนี้ล้วนเต็มไปด้วยแปลงผักของชาวบ้าน และห่างไกลผู้คนเป็นอย่างยิ่ง

"ที่นี่แหละ เพราะว่าไม่มีกล้องวงจรปิดฝั่งของประธานกู้ก็มีมือดีที่เราประมาทไม่ได้ ขอโทษด้วยที่ทำให้เธอต้องขับรถลำบาก"

หลี่เจี่ยซินโอดครวญทันที

"ไกลมากเลยนี่ฉันขับรถมาเกือบสี่ชั่วโมงแล้วนะ"

เสียงทุ้มของหลิวไห่ดังขึ้น

"เอาไว้ฉันจะเลี้ยงหม้อไฟ"

หลี่เจี่ยซินกลับหัวเราะ

"ขี้งก แค่หม้อไฟจะพออะไรฉันต้องเสี่ยงอันตรายเพราะหม้อไฟหรอกเหรอ"

หลิวไห่กลับทำเสียงเข้มตอบกลับมา

"ฉันจะเลี้ยงเธอตลอดชีวิต ไม่ดีเหรอ"

น้ำเสียงของเขาทั่งนุ่มนวลทั้งจริงจัง จู่ ๆ หลี่เจี่ยซินก็เกิดหัวใจเต้นระรัว ใบหน้าแดงซ่านเหมือนสาวน้อยแรกรุ่น

"อย่าพูดเล่นน่า ถ้าเธอทำไม่ได้"

เขากลับพูดมาว่า

"ก็จะลองดู เธอว่ายังไงล่ะ"

หลี่เจี่ยซินถึงกับนิ่งอึ้ง เธอรู้ว่าเฉินเฟยอวี๋เป็นคนที่ชอบพูดเล่น ที่ผ่านมาเขาก็มักพูดประโยคพวกนี้อยู่บ่อย ๆ แต่หลี่เจี่ยซินฟังแล้วก็รู้สึกขบขันและรู้ว่ามันไม่จริง

แต่คราวนี้ทำไมเธอถึงได้คิดจริงจัง ว่าเขาคนนี้กำลังพูดเรื่องนี้กับเธออย่างจริงใจกันนะ

หลี่เจี่ยซินเธอจะบ้าไม่ได้ เขาคือเฉินเฟยอวี๋ที่เปลี่ยนผู้ชายยิ่งกว่าเปลี่ยนกระดาษชำระเสียอีก จะไปจริงจังกับคำพูดของเขาไม่ได้เป็นอันขาด

หลี่เจี่ยซินคิดไปไกล จนกระทั่งได้ยินเสียงเฉินเฟยอวี๋พูดว่า

"จากพิกัดของเธออีกไม่ถึงสิบนาทีก็มาถึงแล้ว ไม่ต้องรีบนะถนนไม่ค่อยดีเท่าไหร่"

"อื้อ"

หลี่เจี่ยซินตอบสั้น ๆ แล้ววางสายไป

หลี่เจี่ยซินสลัดความคิดทั้งหมดทิ้ง เธอไม่สมควรคิดมากกับเฉินเฟยอวี๋เธอมีหูเสี่ยวเทียนที่เธอคิดว่าเธอชอบเขามาตั้งแต่สมัยเรียนหนังสือแล้ว เธอไม่ควรว่อกแว่กกับผู้ชายที่ไม่ชอบผู้หญิงอย่างเฉินเฟยอวี๋อีก

คงเป็นแค่เพราะมีอะไรกัน เธอจึงเกิดความรู้สึกแปลก ๆ กับเขา แต่จริง ๆ เธอมั่นใจว่าเธอชอบหูเสี่ยวเทียนแน่ ๆ

จู่ ๆ หลี่เจี่ยซินก็เกิดอาการปวดศีรษะอย่างแรง มันเกิดขึ้นเพียงวูบเดียวจนเธอเกือบขับรถลงข้างถนน หลี่เจี่ยซินเบรกรถกระทันหันโชคดีที่รถขับมาช้าเพราะถนนไม่ค่อยดี หากเป็นที่ถนนหลวงเธอคงขับชนคันอื่นไปแล้ว

ความเจ็บปวดนั้นถึงจะมาไม่ถึงสิบวินาที แต่หลี่เจี่ยซินกลับรู้สึกหมดแรง เหมือนกับว่าเธอกำลังจะตาย ช่างเป็นสิบวินาทีที่ยาวนานมาก หญิงสาวรอจนกระทั่งตัวเองรู้สึกดีขึ้น เธอไม่รู้ว่าระหว่างที่ผู้ชายคนนั้นดูดเลือดของเธอ เขาได้ใส่อะไรในร่างกายของเธอหรือไม่

หลี่เจี่ยซินคิดว่าต้องเป็นเพราะเขา เธอต้องให้หมอตรวจอย่างละเอียดแล้วว่าทำไมเธอจึงรู้สึกปวดหัวแบบนี้ได้กัน หลี่เจี่ยซินตั้งสติเมื่อเห็นว่าตัวเองสามารถขับรถได้แล้วจึงเริ่มเหยียบคันเร่งอีกครั้ง

หลิวไห่รอเธออยู่แล้วเมื่อหญิงสาวจอดรถเธอก็ถอดหน้ากากออก ลงรถมาด้วยรอยยิ้มสดใสราวกับสาวน้อยที่เพิ่งกลับจากทัศนศึกษาที่แสนสนุก

หลิวไห่ก้าวเท้าเร็วเท่ากับวิ่งดึงร่างของหลี่เจี่ยซินเข้าไปกอดทันที หลี่เจี่ยซินยิ้มน่าบานแน่นอนว่าเธอมีความสุขรู้สึกเหมือนเขาเป็นสามีที่แสนห่วงใยในตัวเธอ

"บาดเจ็บหรือเปล่า เธอมาช้าไปห้านาที ฉันเห็นว่าเธอไม่เคลื่อนไหวไปช่วงเวลาหนึ่งเกิดอะไรขึ้น ถึงไม่ตอบฉันในตอนนั้นฉันเป็นห่วงมากจนจะขับรถไปตามเธออยู่แล้ว ดีที่เธอขยับรถก่อน"

หลี่เจี่ยซินส่ายหน้า

"ไม่เป็นไร ถนนไม่ค่อยดีฉันเลยหยุดรถดูก็แค่นั้นฉันไม่เป็นไรจริง ๆ"

เธอยกมือโอบรอบร่างของเขาพร้อมกับซุกใบหน้าเข้าสู่อ้อมอกอบอุ่นนั่น

"ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว อย่าทำให้เป็นห่วงอีก"

หลิวไห่กอดหลี่เจี่ยซินแน่น เมื่อสักครู่ที่เธอหยุดรถในระบบติดตามของเธอไม่เคลื่อนไหว ติดต่อไปหลี่เจี่ยซินก็ไม่ตอบ แถวนีไม่มีกล้องวงจรปิดเขาจึงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ จนกระทั่งเธอเคลื่อนไหวอีกครั้งเขาจึงค่อยโล่งใจหน่อย

"ขอบใจนะ ฉันน่ะรู้สึกแปลก ๆ อีกแล้ว"

มือของเธอยังซุกซนแอบลูบกล้ามของเขาเล่นอย่างโหยหา จนกระทั่งหลิวไห่รู้สึกตัวจึงดันร่างเล็กของหลี่เจี่ยซินออกมองเธอด้วยสายตาตำหนิในตอนนี้หลิวไห่แน่ใจแล้วว่าหลี่เจี่ยซินไม่เป็นอะไรแน่ ๆ เธอถึงได้ลูบไล้เขาต่อหน้าธารกำนัลและยังล้วงเข้าไปในเสื้อเชิตของเขาและเล่นหัวนมของเขาจนหลิวไห่ขนลุกไปหมดแล้ว

"คนลามกก็สามารถลามกได้ทุกที่"

"ที่รักฉันแค่หาความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่าถือสากันเลย"

หลี่เจี่ยซินยกนิ้วของตัวเองมาดมสูดความหอมของร่างกายของชายหนุ่มที่ติดอยู่ที่ปลายนิ้วของตัวเองราวกับคนที่เป็นโรคจิตคนหนึ่ง หลิวไห่ส่ายหน้าใช้นิ้วจิ้มหน้าผากของเธอเบา ๆ ก่อนจะกุมมือของเธอเอาไว้ กระทั่งมือนั่นเธอก็ไม่ละเว้นคว้าไปดมทั้งชื่นชมอย่างไม่ปิดบัง

"พอได้แล้ว ไม่อายคนหรือไง"

หลิวไห่มองลูกน้องของตัวเองที่มองพวกเขาดวงตาเป็นประกาย หลิวไห่แต่เดิมเป็นคนเคร่งขรึมและค่อนข้างถือตัวเย็นชา แต่เมื่อต้องมาอยู่ในร่างของเฉินเฟยอวี๋แล้วเขาก็เปลี่ยนไปมาก

โดยเฉพาะต่อหน้าหลี่เจี่ยซินคนนี้ ดูเหมือนว่าหลิวไห่จะแสดงอยู่ให้คนอื่นเห็นในมุมที่อ่อนโยนที่เขามีอยู่บ่อย ๆ

สุดท้ายแล้วหลี่เจี่ยซินก็ไม่สามารถสลัดเขาหลุดได้ เธอเข้ามาเคลียคลอเขาอีกครั้งเมื่อได้กลิ่นที่ตัวเองชื่นชอบออกมาจากตัวของเขา

"นี่เธอใส่น้ำหอมกลิ่นที่ฉันชอบด้วยนี่ อยากเอาใจฉันเหรอที่รัก"

หลี่เจี่ยซินยิ่งร่าเริงขึ้น หลิวไห่กระแอมแล้วตอบเสียงแข็ง

"แค่หยิบมั่ว ๆ ไม่ได้ตั้งใจหรอก"

หลี่เจี่ยซินเบะปาก

"ว๊า ชอบทำลายความหวังเล็กน้อยของฉันเสียจริง"

เอาล่ะ หลิวไห่ถอนหายใจไม่คิดจะพูดเล่นกับเธออีก ยังมีงานสำคัญต้องทำ

"พอได้แล้วน่า หลี่เจี่ยซินผู้ชายคนนั้นเขาอยู่ไหน?"

"ท้ายรถ"

หลี่เจี่ยซินชี้ไปด้านหลัง หลิวไห่จึงสั่งคนของเขาให้หิ้วปีกนักวิทยาศาสตร์คนนั้นมา ดูจากสภาพของเขาที่ไม่ได้สติตอนนี้ทำให้หลิวไห่มองหลี่เจี่ยซินอย่างไม่ไว้วางใจ

"ฉันบอกให้เบามือ ไม่ใช่ว่าเธอฆ่าเขาไปแล้วนะ"

หลี่เจี่ยซินห่อปากอย่างไม่พอใจ

"ฉันรู้กำลังดีหรอกน่า แค่ทำให้หลับเท่านั้นเขาอาจจะคอเคล็ดเล็กน้อยตอนตื่นขึ้น รับรองไม่ตายแน่นอน"

หลิวไห่สั่งให้หมอตรวจร่างกายของคนคนนั้น พร้อมกับให้คนลากเข้าไปด้านในเขาสงสัยว่าผู้ชายคนนี้โดนหลี่เจี่ยซินตีไปแรงแค่ไหน ผ่านมาหลายชั่วโมงแล้วยังไม่ฟื้นขึ้นมาอีก

หลังจากนั้นหลี่เจี่ยซินก็ถูกจับมัดอีกครั้ง เธอนั่งอยู่บนเก้าอี้คล้ายกับเก้าอี้ที่เป็นของหมอฟัน หลี่เจี่ยซินแสร้งทำเป็นเสียงสั่นตื่นตระหนก

"พวกคุณจะทำอะไรกับฉันกันแน่"

ผู้ชายคนนั้นตอบเสียงเบา

"เราแค่ต้องการบางอย่างจากคุณ"

"อะไร ฉันไม่มีอะไรให้คุณหรอก คุณต้องการเงินเหรอ จะเอาเท่าไหร่ถึงฉันจะไม่รวยมากแต่ขอให้คุณปล่อยฉันไป ฉันยินดียกให้ทั้งหมด"

สคริปตรงนี้เธอไม่ค่อยชอบ เงินของเธอไม่ได้มีเยอะมากมายทำไมต้องยกให้หมอนี่ด้วย นี่มันน้ำพักน้ำแรงของเธอเชียวนะ

หลี่เจี่ยซินไม่ชอบใจ แต่เธอเป็นนักแสดงที่ดีเธอก็ต้องทำตามหน้าที่

"ผมไม่ต้องการเงินของคุณหรอก นอกจากเลือดของคุณที่มีค่ามากกว่าเงินทั้งหมดที่คุณมีในบัญชีเสียอีก"

"จะเอาเลือดฉันไปทำไม"

นักวิทยาศาสตร์คนนั้นไม่ตอบเธอแล้ว เขาเพียงแต่สั่งคนสองคนที่ตามเขาเข้ามาภายในห้องนี้หลังจากจับหลี่เจี่ยซินมัดจนติดเก้าอี้แล้ว

"พวกนายออกไปรอข้างนอก อย่าให้ใครเข้ามา"

พูดจบเขาก็ใช้บางอย่างรัดที่แขนของเธอ แล้วใช้หัวแม่มือกดเข้าที่แขนของหลี่เจี่ยซินแล้วแทงเข็มเข้าไปในนั้นพร้อมกับดูดเลือดของเธอออกมาหลอดใหญ่

คนพวกนั้นถอยออกไปแล้ว หลี่เจี่ยซินคิดว่าก็ดีเธอจะได้มีเวลาจัดการกับไอ้อ้วนคนนี้

"คุณต้องอยู่ที่นี่จนกว่าจะตรวจเลือดเสร็จ หากคุณไม่ใช่คนที่เราตามหาเราก็จะปล่อยคุณไป แต่หากว่าคุณอาจจะใช่ก็จะถูกกักตัวไว้ก่อน"

ผู้ชายคนนั้นถอดเข็มออกจากหลอดเลือดของเธอพร้อมกับเก็บเอาไว้ในกระเป๋าใบเล็กแล้วเขียนหมายเลข102ลงไปที่ด้านหน้ากระเป๋า

"นายจะเอาเลือดฉันไปทำอะไร"

หลี่เจี่ยซินรู้สึกหงุดหงิดเป็นอย่างยิ่ง เธอพยายามระงับอารมณ์ของตัวเองไม่ให้ขุ่นมัวจนทำเรื่องยุ่ง แต่หากเธอไม่ลงมือตอนนี้คนพวกนั้นที่ได้เลือดของเธอไปก็อาจจะเอาไปทำอะไรที่เป็นอันตรายต่อเธอได้ ต่อให้อยากรู้เรื่องของพวกเขามากกว่านี้แต่เธอก็รู้สึกว่ามันเสี่ยงเกินไปหากยังอยู่ที่นี่

หลี่เจี่ยซินไม่อาจปล่อยไปได้ เธอจึงพูดถ่วงเวลาเขาอีกหน่อย

"คุณจะบอกฉันดี ๆ ได้หรือเปล่าคะ ว่าที่แท้คุณต้องการอะไรกันแน่แล้วทำไมต้องขังผู้หญิงพวกนั้นเอาไว้ด้วย หากฉันไม่รอดอย่างน้อยฉันจะได้รู้ว่าตัวเองต้องตายเพราะอะไร ฉันเห็นผู้หญิงพวกนั้นแล้วไม่มีทางที่คุณจะปล่อยพวกเธอไปแน่ ๆ"

ผู้ชายคนนั้นเองชอบสติปัญญาของหลี่เจี่ยซินมาก ผู้หญิงคนนี้แม้มาอยู่ตรงนี้แล้วกลับไม่ร้องไห้โวยวายเหมือนคนอื่น ดูจะสงบกว่ามาก เขาจึงคิดว่าจะใจดีกับเธอสักครั้งยังไงก็แค่คนที่ถูกขังเอาไว้เท่านั้น

"ก็ตามที่คุณคิดนั่นแหละ เราได้เลือดมาแล้วและหากคุณใช่คนที่เราต้องการเรา คุณจะได้รับเกียรติทดลองในขั้นตอนถัดไป แต่หากว่าไม่ใช่แต่คุณดันสมองล้ำเลิศมันสมองของคุณอาจทำประโยชน์ได้ เอ่อ ในแง่วิทยาศาสตร์นั่นแหละเราต้องทดลองอีกมาก แต่หากไม่เข้าขั้นนั้นก็คงต้องส่งกลับ"

หลี่เจี่ยซินรู้มาว่าผู้หญิงที่หายไปไม่มีใครกลับบ้านแม้แต่คนเดียว ไอ้คำว่าถูกส่งกลับนั้นก็คงเป็นการฆ่าแน่นอน

"คุณพอจะบอกได้หรือเปล่าคะว่ากำลังทดลองอะไรอยู่ ท่าทางของคุณเก่งขนาดนี้ต้องเป็นเรื่องที่สุดยอดแน่นอน"

นักวิทยาศาสตร์คนนั้นดูจะหลงตัวเองอยู่มาก หลี่เจี่ยซินชมไปอย่างนั้นเขาก็ทำท่ายืดอก

"อย่ารู้เลย มันเป็นเรื่องที่คุณไม่เข้าใจหรอก คุณมันก็แค่นักวิจัยอวกาศนี่นะ"

เขายังดูถูกเธอและไม่ยอมบอก ก่อนที่จะจับกระเป๋าตัวอย่างเลือดของเธอและทำท่าจะเดินออกไป

"เดี๋ยวก่อน นายยังไปไหนไม่ได้"

ผู้ชายคนนั้นหันมามองเธอกำลังจะหัวเราะเยาะแต่กลับถูกเชือกเส้นใหญ่ตวัดเข้าใส่ใบหน้ากระทั่งถูกลูกตาจนเขาเจ็บจนต้องร้องออกมา

"โอ๊ย นี่มันอะไรกัน"

น่าเสียดายที่ห้องนี้เก็บเสียงคนข้างนอกจึงยังไม่ได้ยิน

หลี่เจี่ยซินตอนนี้เธอแก้มัดตัวเองเรียบร้อย ด้วยพลังเช่นเธอแค่ดึงเชือกที่มัดแน่นให้หลุดจากข้อมือนั้นเป็นเรื่องเล็ก หลี่เจี่ยซินเหวี่ยงอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่วางอยู่ด้านข้างไปกระทบกล้องวงจรปิดจนกระทั่งมันแตก และเคลื่อนไหวรวดเร็วกระแทกฝ่ามือเข้าที่ต้นคอของเขาจนกระทั่งผู้ชายคนนั้นฟุบลงทันที

หลี่เจี่ยซินเก็บกระเป๋าตัวอย่างเลือดของตัวเองเอาไว้กับตัว จนกระทั่งคนสองคนที่เฝ้าอยู่ข้างนอกหันมาเห็นเข้าพอดีว่านักวิทยาศาสตร์คนนั้นกำลังล้มฟุบแทบเท้าหลี่เจี่ยซิน

พวกเขามองหน้ากันต่างคนต่างงวยงงเป็นอย่างยิ่งว่าเกิดอะไรขึ้นเนื่องจากไม่มีใครเห็นเหตุการณ์ก่อนหน้านั้น พวกเขาจึงรีบวิ่งเข้ามาในห้องด้วยอาการตื่นตระหนกและไม่ระวังตัวด้วยควิดว่าหลี่เจี่ยซินเป็นผู้หญิงตัวเล็กไม่มีพิษมีภัยอะไร และนักวิทยาศาสตร์คนนั้นอาจจะหน้ามืดล้มลงไปเอง

ทันทีที่พวกเขาเปิดประตูเข้ามาพร้อมปืน ก็ไม่พ้นถูกหลี่เจี่ยซินที่แข็งแรงและไวกว่าจัดตีเข้าที่จุดตายของพวกเขาทั้งสองคนด้วยแรงมหาศาลและความเร็วชนิดที่พวกเขายังไม่ทันได้คิดก็ล้มลงไปแล้ว

"อะไรกันพวกนายควรจะมีฝีมือกว่านี้สิ"

หลี่เจี่ยซินบ่นเบา ๆ ก่อนจะลากพวกเขาไปไว้หลังเตียงในมุมอับมุมหนึ่ง พร้อมทั้งเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดของพวกเขาอย่างว่องไว

จะว่าโง่กันหรือก็ใช่ที่ทุกคนในนี้ล้วนปิหน้าปิดตากัน ดังนั้นหลี่เจี่ยซินในชุดคล้ายชุดทหารสีเขียวและสวมหน้ากากปิดใบหน้าจึงลากไอ้นักวิทยาศาสตร์นี่ออกมาได้อย่างง่ายดาย

เธอแบกนักวิทยาศาสตร์ที่สลบนั่นขึ้นบนบ่า ทั้งยังให้ใส่เสื้อผ้าของเธอถือปืนของทหารคนหนึ่งเอาไว้ในมือแล้วเดินออกมาอย่างเปิดเผย กระทั่งมีคนคนหนึ่งเข้ามาถาม

"หัวหน้าจะพาคนไปไหนครับ"

หลี่เจี่ยซินหยุดนิ่ง เพราะความแข็งแรงของเธอที่สามารถแบกคนตัวใหญ่คนหนึ่งอย่างสบายและยังสวมชุดของทหารมีป้ายแขนแสดงตำแหน่งถูกต้องจึงทำให้คนอีกคนเข้าใจว่าหลี่เจี่ยซินคือหัวหน้าของเขา

"ไม่ใช่หน้าที่ของแก ไปเตรียมรถก็พอ"

ผู้ชายคนนั้นชงักอยู่ชั่วครู่ แต่แล้วเขาก็พยักหน้า

"ครับหัวหน้า"

เสียงของหลี่เจี่ยซินแหบต่ำ ถึงผู้ชายคนนั้นจะแปลกใจแต่เขาก็ยังเดินนำหน้าเธอในขณะที่หลี่เจี่ยซินยังแบกนักวิทยาศาสตร์ร่างท้วมคนนั้นราวกับแบกกระสอบนุ่นตามออกมา

ระหว่างนั้นหลี่เจี่ยซินแสกนสายตาไปในห้องทุกห้องที่ขังผู้หญิงไว้ ปฏิกิริยาของเธอนิ่งสงบจนคนจับไม่ได้ เธอจำหน้าคนที่เธอเห็นได้ทุกคน แน่นอนว่าความสามารถของหลี่เจี่ยซินมีมากเกินกว่าคนทั่วไปจะรู้ คนในชุดคล้ายทหารยังยืนเรียงรายกันตามทางที่หลี่เจี่ยซินแบกคนออกมา ทุกคนยังทำความเคารพเธอด้วย

หลี่เจี่ยซินจึงวางมาดหัวหน้าอกภายไหล่ผึ่งเต็มที่ ชุดใหญ่ที่เธอใส่แล้วหลวมชุดนี้หากไม่ใช่เป็นเพราะว่ากำลังแบกคนร่างใหญ่เช่นนักวิทยาศาสตร์คนนี้อยู่บนบ่าคงจะทำให้คนสงสัยไม่น้อย โชคดีที่ร่างสูงใหญ่อ้อนท้วนของหมอนี่ทำให้เธอรอดตัวมาได้

รถถูกเตรียมให้เธอเรียบร้อย มันง่ายกว่าที่คิดเพราะว่าเธอดันไปจัดการกับตัวหัวหน้าหน่วยดูแลนี้เข้าพอดี

หลี่เจี่ยซินโยนร่างของนักวิทยาศาสตร์คนนั้นเข้าด้านหลังรถตู้ ก่อนจะเดินเข้ามานั่งข้างคนขับในขณะที่หลิวไห่ส่งพิกัดนี้ให้กับทางตำรวจเรียบร้อย

"ไปไหนครับ"

"ไม่ต้องให้ใครตาม นายสั่งให้พาเขาไปที่แห่งหนึ่ง แกขับตามที่ฉันบอก"

ผู้ชายคนนั้นไม่สนใจเสียงที่แหบแห้งผิดปกติของหลี่เจี่ยซิน เพราะแถบสีแสดงฐานะของเขาที่อยู่บนแขนและไม่มีใครคาดคิดว่าผู้หญิงที่มาใหม่จะร้ายกาจขนาดนี้

เขาขับรถออกมาจนกระทั่งถึงถนนเส้นหลัก หลี่เจี่ยซินจึงบอกให้เขาลงมาแล้วเธอจะเป็นคนขับเอง ผู้ชายคนนั้นเพียงเปิดประตูรถลงมาก็ถูกหลี่เจี่ยซินตีจนสลบ

"ฉันล่ะสงสารคนจ้างพวกนางจริง อ่อนแอแบบนี้ยังคิดทำงานใหญ่"

หลี่เจี่ยซินเตะผู้ชายคนนั้นจนกลิ้งลงไปข้างทางแล้วกดต่างหูตัวเองพร้อมทั้งกรอกเสียงสั่งการลงไป

"ที่รักฉันกำลังจะกลับแล้ว บุกไปช่วยคนได้"

หลิวไห่ขยับราวกั้นนั้นแต่เขากลับขยับไม่ออก เขาเดินเข้าไปในช่องนั้นที่พอดีกับรถคันหนึ่งจนกระทั่งถึงชั้นสอง กล้องวงจรกระจายอยู่ภายในอุโมงค์หลายตัว แต่ก็ถูกดวงตาสวรรค์จัดการได้อย่างรวดเร็ว ภาพหลิวไห่จึงไม่ปรากฎตัวอยู่ในนั้น

หลิวไห่ร้อนใจมากเมื่อสุดท้ายแล้วเขาก็ไม่สามารถที่จะเข้าไปได้ เมื่อเขาไปสะดุดกับบางสิ่งและทำให้สัญญาณบางอย่างดังขึ้น หลิวไห่ตกใจมากเขาจึงออกจากอุโมงค์นั้นทันใด

"ดวงตาสวรรค์มีเสียงสัญญาณดังช่วยจัดการที"

หัวหน้ากลุ่มดวงตาสวรรค์ในชื่อย่ออักษร K ส่ายหน้าส่งเสียงผ่านไปหาหลิวไห่

"เจ้านายระวังด้วย มันอาจเป็นลูกปืนนะครับในครั้งหน้า"

ปลายเสียงส่งตอบกลับมา

"เข้าใจแล้ว จะระวัง"

เมื่อสัญญาณเตือนภัยดังขึ้นหลิวไห่จึงจำใจต้องออกจากที่นั้น เขาเฝ้าระวังอยู่ตรงนั้นพร้อมทั้งให้ดวงตาสวรรค์หาจุดที่หลี่เจี่ยซินอยู่ เขารอด้วยความทรมานจนกระทั่ง K ส่งสัญญาณแจ้งเตือน

"ซือเจ้อยู่ห่างจากจุดที่เจ้านายอยู่ประมาณสิบห้ากิโลครับ ผมกำลังส่งตำแหน่งให้"

หลังจากได้ตำแหน่งจากดวงตาสวรรค์ หลิวไห่เปลี่ยนรถที่ใช้และยังปลอมตัวเป็นคนขับรถแท็กซี่มุ่งหน้าที่ยังทิศนั้นทันที

หลี่เจี่ยซินรอจนกระทั่งรถพาเธอมายังสถานที่หนึ่ง หญิงสาวแกล้งสลบต่อปล่อยให้พวกมันหิ้วปีกเธอมายังห้องขังห้องหนึ่ง ทั้งได้ยินเสียงของพวกมันคุยกัน

"อย่าให้บุบสลายหรือเกิดริ้วรอยล่ะ คนนี้น่าจะเป็นของจริงที่เจ้านายกำลังตามหาอยู่"

การแต่งหน้าของหลี่เจี่ยซินนับว่าขั้นเทพ แม้แต่คนที่เคยเห็นและคลุกคลีกับเธอก็ยังดูไม่ออกว่าเป็นหลี่เจี่ยซิน คนพวกนี้หลี่เจี่ยซินเห็นว่ามีบางคนเคยเป็นหนึ่งในแก๊งที่เคยคิดจะมาจับตัวเธอ

หลี่เจี่ยซินถูกขังอยู่ในห้อง ๆ หนึ่ง แน่นอนว่าในห้องต้องมีกล้องวงจรปิด หลี่เจี่ยซินไม่กล้าขยับเพราะกลัวว่าพวกมันจะจับได้ รอจนกระทั่งเสียงของคนที่เฝ้าเธออยู่หน้าประตูดังขึ้น

"ทำไมยังไม่ฟื้นอีก เจ้านายอยากคุยกับเธอนะหรือจะใส่ยามากเกินไป"

เสียงของชายอีกคนดังขึ้น

"นั่นน่ะสิ ทำไมยังไม่ฟื้นอีก"

เพราะได้ยินเช่นนั้น ไม่นานหลี่เจี่ยซินก็ขยับตัว เธอทำท่ามึนงงแล้วลุกขึ้น หญิงสาวเดินไปเคาะประตูพร้อมกับตะโกน

"ช่วยด้วย ช่วยด้วย ฉันถูกขังอยู่ในนี้ค่ะ ช่วยฉันด้วย"

หลี่เจี่ยซินไม่รู้ว่าที่เธอทำนั้นถูกต้องตามหลักการหรือเปล่า ทั้งหมดเธอจำมาจากในหนังเมื่อนางเอกถูกจับตัว ต้องทำท่าตื่นตระหนกแล้ววิ่งไปเคาะประตูร้องขอความช่วยเหลือด้วยความกลัว

เมื่อไม่มีใครมาเปิดสุดท้ายนางเอกต้องทรุดตัวลงนั่งแล้วเริ่มร้องไห้

และตอนนี้หลี่เจี่ยซินกำลังแสดงบทบาทนั้นที่เธอคิดว่าแนบเนียน พยายามคิดเรื่องเศร้าเพื่อให้น้ำตาไหลออกมา หลี่เจี่ยซินคิดยังไงก็คิดไม่ออกจนกระทั่งเธอคิดถึงเรื่องหนึ่งเข้า

เฉินเฟยอวี๋ทำไมไม่เป็นผู้ชายวะ ฮือ ฮือ ฮือ ทำไมเธอต้องใจเป็นหญิงด้วย

หลี่เจี่ยซินถึงกับน้ำตาไหล เธอตกใจเมื่อคิดว่าเรื่องนี้ช่างเป็นเรื่องเศร้าที่สุดในชีวิต เป็นเรื่องเศร้ากว่าเรื่องที่หูเสี่ยวเทียนจะรู้ว่าเธอแข็งแรงพลังช้างสารหลายเท่านัก ไม่รู้ว่าทำไม่เธอจึงได้เศร้าขนาดนี้ หลี่เจี่ยซินร้องไห้น้ำตาเป็นเผาเต่า คร่ำครวญในใจเรื่องอยากให้เฉินเฟยอวี๋เป็นผู้ชายเต็มตัว

อีกด้านคนที่กำลังเฝ้าเธออยู่ข้างนอก ได้ยินเสียงหลี่เจิงร้องขอความช่วยเหลือพวกเขาก็ได้แต่เงียบ ตอนนี้ก็รู้ว่าเธอร้องไห้เพราะหวาดกลัวแล้ว พวกเขามองหน้ากันไม่คิดว่าด็อกเตอร์จากนาซ่าคนนี้จะขวัญอ่อนร้องไห้โวยวายได้ขนาดนี้

มันออกจะดูขาดสติไปสักหน่อย แต่อย่างว่าแหละ เธอยังไงก็แค่ผู้หญิงคนหนึ่ง

พวกเขารอจนกระทั่งมีคนสวมชุดกาวน์สีขาวพร้อมด้วยผ้าปิดจมูกมิดชิดลักษณะคล้ายนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมผู้ช่วยอีกสองคนที่แต่งตัวคล้ายกันเดินเข้ามา

"เปิดประตูแล้วพาอยู่หญิงออกมา"

คนพวกนั้นรีบเปิดประตูแล้วช่วยกันจับแขนของหลี่เจินที่มองพวกเขาอย่างตระหนกให้ลุกขึ้น

หลี่เจี่ยซินเริ่มแสดงอาการหวาดวิตก เธอขยับหนีพวกเขาอย่างที่เคยเห็นในหนัง ในใจคิดตื้นตันว่าการแสดงของตัวเองช่างยอดเยี่ยมสมควรได้รับรางวัลออสก้า

หลี่เจี่ยซินเช็ดน้ำตาแล้วสะอื้น เสียงสะอื้นนี้ของจริง เพราะอารมณ์ตกค้างที่อาลัยอาวรณ์เฉินเฟยอวี๋อยู่

"พวกคุณเป็นใคร จะพาฉันไปไหน"

คนที่ใส่เสื้อกาวน์สีขาวเป็นผู้ชายร่างท้วม เขายังสวมแว่นหนาเตอะพิจารณาหลี่เจี่ยซินตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า หลี่เจี่ยซินก็มองเขาเช่นกัน คนพวกนี้ระวังตัวมาก แต่ละคนปิดหน้าปิดตามิดชิด ไม่มีใครสักคนเดียวที่ยอมเปิดเผยหน้าตาของตัวเอง

ดูเหมือนกับพวกคนชั่วในหนังจริง ๆ ด้วย แบบนี้ยิ่งสนุกล่ะสิ หึ หึ

"ไม่ต้องกลัวนะครับ พวกเราแค่อยากรู้บางอย่างรับรองว่าคุณจะปลอดภัย"

หลี่เจี่ยซินมีหรือจะเชื่อ เหอะเล่นจับคนมาแบบนี้แล้วปลอบว่าคนคนนั้นจะปลอดภัยเนี่ยนะ

"ฉันไม่ไปตอบฉันมาก่อนพวกคุณจะพาฉันไปไหน"

เธอมองคนสองคนที่จับเธอด้วยดวงตาสั่นระริกที่เสแสร้งแกล้งทำอย่างแนบเนียน

ผู้ชายใส่เสื้อกาวน์ยังพูดต่อ

"ไม่ต้องห่วงครับมากับพวกเราดี ๆ เถอะ จะได้ไม่ถูกทำร้าย แต่ถ้าคุณขัดขืนคนพวกนี้อาจจะทำอันตรายกับคุณก็ได้ครับ ด็อกเตอร์หลี่เจิน"

หลี่เจี่ยซินดวงตาเบิกกว้าง ชื่นชมดวงตาสวรรค์ในใจคนพวกนั้นก็สมควรได้รับรางวัลนักเขียนบทยอดเยี่ยมเหมือนกัน

"คุณรู้จักฉันได้ยังไง ฉันไม่รู้จักคุณ"

หลี่เจี่ยซินในตอนนี้ถูกคนสองคนลากแขนแล้ว เธอกลัวว่าตัวเองจะเผลอไปตีพวกเขาเข้าจึงได้แต่สงบใจแล้วปล่อยให้พวกเขาลากเธอไปตามทาง

"ว่าง่าย ๆ นะครับ หากคุณไม่ใช่คนที่พวกเราตามหาเราก็จะปล่อยคุณไป"

ผู้ชายคนนั้นยังพูดต่อ จนกระทั่งหลี่เจี่ยซินถูกนำตัวไปยังสถานที่หนึ่ง ที่ ๆ เธอถูกลากผ่านเป็นห้องกระจกใส ดูเหมือนว่าคนที่อยู่ข้างในจะมองไม่เห็นคนข้างนอก แต่คนข้างนอกสามารถมองเห็นคนข้างในได้อย่างชัดเจน

แต่ละคนเป็นผู้หญิงหน้าตาดี ยังแต่งตัวด้วยชุดสีขาวเหมือนว่าพวกเขาอยู่ในโรงพยาบาล มีเตียงนอนและยังมีห้องเล็ก ๆ ถูกกั้นเอาไว้ เหมือนเป็นห้องน้ำอีกหนึ่งห้อง

หลี่เจี่ยซินตกใจมาก ผู้หญิงที่เธอเห็นทุกคนล้วนเป็นคนที่ออกข่าวว่าหายตัวไปอย่างลึกลับ จนตอนนี้ยังจับคนไม่ได้ ที่แท้พวกเธอถูกขังอยู่ที่นี่ และแต่ละคนดูจากสภาพที่ทรุดโทรมแบบนั้นคงผ่านอะไรมามาก บางคนดูเหมือนจะเหม่อลอย บางคนเอาแต่ร้องไห้ บางคนนอนนิ่ง ๆ อยู่บนเตียง บางคนทุบประตูจนมือพัง

นี่เกิดอะไรขึ้นกับพวกเธอ คนเลวพวกนี้กำลังทำอะไรกันแน่?

หลี่เจี่ยซินแสกนสายตาอย่างรวดเร็ว ความจำของเธอดีเป็นอย่างยิ่ง เธอได้กลิ่นสีดูเหมือนว่าที่นี่คงเพิ่งจะถูกสร้างไม่นาน หรือว่าจะเป็นที่วิจัยใหม่ของสกุลกู้ ที่ย้ายฐานจากฮ่องกงมาที่แผ่นดินใหญ่ตามที่เฉินเฟยอวี๋บอกเธอกันแน่

หลี่เจี่ยซินไม่ยักกะถูกปิดตา คนพวกนี้ควรจะปิดตาเธอไม่ใช่เหรอ ทำไมพวกเขาถึงให้เธอเห็นอะไรแบบนี้

"พวกนายกำลังจะทำอะไร จะจับฉันขังเอาไว้เหมือนผู้หญิงพวกนั้นเหรอ"

แน่นอนว่าน้ำเสียงของหลี่เจี่ยซินต้องเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก

"ก็ต้องดูว่าคุณให้ความร่วมมือมากแค่ไหน หากไม่ให้ความร่วมมือก็จะเป็นเหมือนพวกเธอ"

หลี่เจี่ยซินพยายามชวนคุย เรื่องพวกนี้ดวงตาสวรรค์ที่กำลังดักฟังอยู่ต้องได้ยินแน่ ๆ

และเป็นจริงดังนั้น กล้องของดวงตาสวรรค์ที่ติดอยู่แทบจะรอบร่างของเธอกลายเป็นหูตาสับปะรดชั้นเยี่ยม ที่พวกเขามองเห็นได้ทะลุปรุโปร่ง หลักฐานพวกนี้ถูกบันทึกไว้อัตโนมัติ

"บอกฉันมา ฉันจะร่วมมือทุกอย่าง ฉันแค่ทำงานในนาซ่าวิจัยอวกาศไม่ได้รู้เห็นเรื่องภายนอกมาหลายปีแล้วนะคะ"

นี่คือสคริปที่เธอท่องมา และได้ใช้งานจริง ๆ

ผู้ชายคนนั้นตอบเธออย่างใจเย็น น้ำเสียงของเขายังเป็นกันเองกับเธอด้วย

"ผมรู้ว่าคุณเป็นใคร ประวัติของคุณเราสืบมาอย่างละเอียดแล้วนั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมคุณถึงมาที่นี่ บางทีคุณอาจช่วยพวกเราได้ครับ"

เขาเดินนำหลี่เจี่ยซินเข้าไปในห้องแห่งหนึ่ง ในนั้นมีเตียงนอนคนไข้เหมือนเตียงที่เธอเห็นในห้องผู้หญิงเหล่านั้นที่ถูกขังเป๊ะ หลี่เจี่ยซินเริ่มไม่ไว้ใจ เธอในตอนนี้แทบอยากจะง้างมือชกหน้าพวกเขาแล้วช่วยผู้หญิงพวกนั้นออกมาซะ

แต่จากที่เธอดู สถานที่แห่งนี้มีกล้องอยู่แทบทุกจุด ยังมีคนถือปืนคุมเชิงอยู่มาก คนมากขนาดนี้เธอช่วยตัวเองย่อมไม่มีปัญหา แต่หากให้ช่วยผู้หญิงพวกนั้นด้วยเธอคิดว่ามันคือภารกิจที่เธอคงจะทำไม่สำเร็จ

หลี่เจี่ยซินมักจะประเมินและวางแผนการต่อสู้ได้รวดเร็วเสมอ ถึงแรงของเธอจะมหาศาลแต่การแบกชีวิตคนอื่นไว้บนบ่าหลายชีวิตแบบนั้น เธอไม่แน่ใจจะสำเร็จ เมื่อไม่แน่ใจเธอย่อมยังไม่ลงมือ

หลิวไห่ได้ยินเสียงของหลี่เจี่ยซินแล้ว เขาค่อยสบาย เขาจึงบอกเธอว่า

"ที่รักถ้าเธอสบายดีให้กระแอมนะ ฉันจะได้สบายใจไม่ต้องห่วงฉันใกล้จะถึงเธอแล้ว"

หลี่เจี่ยซินได้ยินแบบนี้ เธอจึงกระแอมออกมา เทคโนโลยีล้ำเลิศของดวงตาสวรรค์นี่นับว่าใช้ได้ดีเป็นอย่างยิ่ง คนที่จับตัวเธอลากหลี่เจี่ยซินเข้าไปในห้อง ผู้ชายใส่ผ้าปิดปากใส่แว่นคนนั้นจึงพูดขึ้น

"ผมขอเตรียมอุปกรณ์สักครู่ เดี๋ยวจะกลับมาระหว่างนี้ก็ให้รออย่างใจเย็นนะ"

หลี่เจี่ยซินแทบจะพ่นคำว่า ใจเย็นพ่องงงง ออกไป

จับคนมาขังเอาไว้แล้วยังมีผู้ชายท่าทางน่ากลัวถือปืนคุมแบบนั้นอีก ใครจะใจเย็นได้ฟะ ท่าทางอีนักวิจัยคนนี้ก็ดูจิตไม่ปกติ เมื่อกี้เธอเห็นกับตาว่าเขายังหัวเราะเยาะผู้หญิงคนนั้นที่ทุบประตูจนมือพัง สายตาของหมอนั่นดูจะมีความสุขมากที่ได้ขังคนเอาไว้เหมือนสุนัขแบบนี้

เอาล่ะ หลี่เจี่ยซินตัดสินใจแล้ว ว่าไอ้นักวิทยาศาสตร์คนนี้เป็นคนที่เธอต้องลากคอมันกลับไปกับเธอให้ได้

“ขอโทษครับคุณผู้หญิง คุณทำกระเป๋าสตางค์หล่นครับ”

หลี่เจี่ยซินแทบจะลมจับอยู่แล้วเพราะเธอคิดว่าหูเสี่ยวเทียนจะจำเธอได้ แต่ที่ไหนได้ที่เขาตามเธอมาก็เพราะเธอทำกระเป๋าเงินหล่นนั่นเอง หญิงสาวบีบเสียงให้แหลมเล็กพร้อมกับก้มหัวลงเล็กน้อย

“ขอบคุณมากค่ะ”

แน่นอนว่าใบหน้าของหลี่เจี่ยซินย่อมคุ้นหน้าเขาเป็นอย่างมาก หูเสี่ยวเทียนจึงถามออกไป

“ไม่ทราบว่าเราเคยเจอกันมาก่อนหรือเปล่าครับ”

หลี่เจี่ยซินยิ้มหวานในใจ สมแล้วที่เป็นคนที่เธอชอบฉลาดจังเลย แต่ก่อนที่จิตใจของเธอจะเตลิดคุณลุงคนขับรถที่มาด้วยก็กระแอมเสียงดัง

หลี่เจี่ยซินจึงแสร้งทำหน้าบึ้งเล็กน้อย เอาล่ะถึงเวลาที่เธอต้องแสดงละครแล้ว

“อย่าใช้มุกนี้จีบสาวอีกนะคะ มันโบราณมากเลยค่ะ”

หลี่เจี่ยซินในคราบของหลี่เจินจึงสะบัดหน้าหนีออกมาท่ามกลางอาการโล่งอกของหลิวไห่และอาการเก้อของหูเสี่ยวเทียน เขาคุ้นหน้าเธอจริง ๆ แต่จำไม่ได้ว่าเคยเจอที่ไหน แต่การถามเธอไปแบบนั้นก็ทำให้เธอเข้าใจผิดได้

หูเสี่ยวเทียนจึงเดินไปหยิบของที่ต้องการซื้อแล้วเดินไปจ่ายเงิน คนของกู้เมิ่งที่กำลังสะกดรอยตามหลี่เจินอยู่ย่อมรู้จักตำรวจชื่อเสียงโด่งดังอย่างหูเสี่ยวเทียน พวกเขาจึงรอจนกระทั่งตำรวจคนนั้นเดินห่างออกไปจึงเริ่มตามหลี่เจินอีกครั้ง

หลี่เจี่ยซินกวาดตามองเธอแสร้งไปเข้าห้องน้ำเพื่อให้คนพวกนั้นมีเวลาเตรียมตัวจับตัวเธอ

จนกระทั่งพวกเขาซื้อของเสร็จจึงเดินไปที่รถ ลานจอดรถชั้นใต้ดินอาคารห้างสรรพสินค้ามีรถจอดอยู่เต็มไปหมด และแน่นอนว่าเพราะชั้นนี้ที่จอดรถเต็มแล้วจึงไม่มีรถคันอื่นสวนไปมา หลี่เจินมากับคนแก่คนหนึ่งซึ่งเป็นคนขับรถจึงตกเป็นเป้าการลักพาตัวได้อย่างง่ายดาย

เมื่อคนของกู้เมิ่งยืนยันตัวตนของหลี่เจินเรียบร้อย พวกเขาจึงคิดหาทางลงมือ

ในขณะที่หลิวไห่เปิดประตูรถเพื่อสตาร์ทรถรอนั้นเอง คนพวกนั้นก็เตรียมตัวเข้าชาร์ทตัวหลี่เจี่ยซิน หลิวไห่แสร้งทำของหล่นเขาจึงก้มลงเก็บ และหลี่เจี่ยซินถูกคนพวกนั้นลากมาเธอแสร้งโวยวายจนกระทั่งถูกผงยาสลบปิดที่ปาก

ไม่นานหลี่เจี่ยซินก็สิ้นฤทธิ์ แต่ร่างกายของหลี่เจี่ยซินเป็นอะไรที่แปลกประหลาด ไม่นานเธอก็สามารถกำจัดพิษของผงยาสลบออกไปได้ หญิงสาวรู้สึกตัวในอีกห้านาทีต่อมาและเธอกำลังอยู่ในรถตู้คันหนึ่ง

หลี่เจี่ยซินยังแกล้งสลบ แต่เสียงของคนในรถรวมทั้งใบหน้ากำลังถูกดวงตาสวรรค์ของหลิวไห่จ้องมองและบันทึกภาพอยุ่

“พวกมันเลี้ยงไปที่ถนนตงไห่ครับนาย เดี๋ยวผมจะส่งจีพีเอสให้”

หลิวไห่กังวลใจมาก แต่เขาได้ยินเสียงของคนพวกนั้นชัดเจนจากอุปกรณ์ไฮเทคที่ติดตัวหลี่เจี่ยซินไป หญิงสาวเองในตอนนี้ถูกมัดปากและมัดมือมัดเท้า หลี่เจี่ยซินไม่กล้าขยับตัวเพราะกลัวว่าเธอจะเผลอทำเชือกขาดทำให้แผนการณ์ของเธอต้องยุติ

หลี่เจี่ยซินได้แต่ท่องในใจว่าตอนนี้ตัวเองคือผู้หญิงอ่อนแอคนหนึ่งเท่านั้นนะ เธอต้องสะกดจิตตัวเองว่าเธอกำลังกลัว ไม่สามารถทำร้ายคนพวกนี้ได้

นิสัยเสียของหลี่เจี่ยซินคือ ถ้าใครลงมือทำร้ายเธอหลี่เจี่ยซินค่อนข้างจะหัวร้อนและเอาคืนให้หนักกว่า หญิงสาวจึงได้แต่หลับตาและคิดว่าตัวเองสบายดีข่มอารมณ์ตัวเองอย่างเต็มที่

จนกระทั่งเธอได้ยินเสียงหลิวไห่ที่ดังข้างหูอันเป็นผลมาจากไมโครชิพที่ต่างหูของเธอ

“ที่รักอย่าตกใจนะ ฉันกำลังตามเธอไปเธอห้ามทำร้ายคนเด็ดขาด”

เอาล่ะสิ ที่หลิวไห่ก็เธอตกใจก็เพราะกลัวว่าหลี่เจี่ยซินจะทำแผนแตกเช่นเดียวกับเธอ เขาไม่ได้ห่วงเธอแม้แต่น้อย

หลี่เจี่ยซินนอนฟังนิ่ง ๆ ได้ยินพวกเขาพูดคุยกันอย่างสนุก

“งานนี้ง่ายกว่าที่คิดไว้ว่ะ แม่สาวสวยนี่คงคิดไม่ถึงว่าจะมีใครมาลักพาตัวถึงได้ไม่ป้องกันอันตรายอะไรเลย”

หลี่เจี่ยซินได้ยินแบบนั้นก็คิดให้อภัยลดโทษลงเหลือกึ่งหนึ่ง จากความผิดร้อยเปอร์เซ็นตอนนี้ลดเหลือสัก ห้าสิบเปอร์เซ็นในฐานะที่พวกเขาบอกว่าเธอสวย

นั่นแปลว่าเธอจะไม่ฆ่าพวกเขาแต่ให้สาหัสแทนแล้วกัน

“แล้วคนก่อนหน้านั้นล่ะ เราต้องปล่อยพวกเธอหรือเปล่า ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่คนที่นายใหญ่ตามหา”

อีกคนได้ยินจึงพูดว่า

“จะปล่อยให้พวกมันตามตำรวจมาจับเราเหรอ มึงบ้าหรือเปล่าที่ถามแบบนี้เมื่อไม่มีประโยชน์แล้วนายใหญ่ก็ต้องให้กำจัดทิ้งให้หมดอยู่แล้ว”

อีกคนจึงพูดว่า

“พวกเธอแต่ละคนมีโปรไฟล์ไม่ธรรมดานะ ถ้าฆ่าทิ้งแล้วคนของพวกเธอตามกัดเราไม่ปล่อยล่ะ”

ผู้ชายคนนั้นดูจะกลัวมาก แต่ผู้ชายอีกคนกลับคิดชั่ว

“ข่มขืนพวกมัน แล้วถ่ายคลิปเอาไว้ดีหรือเปล่าค่อยปล่อยกลับ ใครกล้าหือเอาเรื่องก็ขู่ปล่อยคลิปให้มันอับอายแม่งเลย”

หลี่เจี่ยซินที่นอนนิ่ง ๆ กำมือแน่น เธอคันไม้คันมืออยากจะซัดคนให้หมอบคาตีนแล้ว

หน็อยคิดจะข่มขืนผู้หญิง กล้ามากนะพวกแก

หลิวไห่ได้ยินที่พวกเขาคุยกันก็กลัวมาก เขากลัวว่าหลี่เจี่ยซินจะระงับอารมณ์ไม่อยู่จริง ๆ เขาพยายามคิดหาวิธีไม่ให้เธอหัวร้อน

“ที่รักเธอใจเย็น ๆ นะ อย่าเพิ่งสติหลุดจัดการพวกมันจะเราไปไม่ถึงรังมันนะ”

หลิวไห่ย้ำอีกครั้ง หลี่เจี่ยซินหลับตาแน่น คิดว่าไม่ได้ยินอะไร เธอไม่ได้ยินอะไร

หลี่เจี่ยซินนั่งอยู่ในรถตู้ราวสองชั่วโมง รถของคนร้ายก็พาเธอเลี้ยงเข้าไปในสถานที่แห่งหนึ่ง ที่เป็นเหมือนอุโมงค์ลึกและหลังจากรถของเขาคันนั้นเข้าไปในอุโมงแล้ว หลี่เจี่ยซินก็พบว่าสัญญาณของหลิวไห่ขาดหาย เมื่อไม่มีเขาเธอก็กลัวว่าเธอจะอดใจไม่ไหวแล้ว

หลี่เจี่ยซินได้แต่คิดในใจ

ให้ตายเถอะ เฉินเฟยอวี๋เธอต้องทำอะไรทุกอย่างแล้ว ตอนนี้พวกมันกำลังดูถูกผู้หญิงฉันทนไม่ไหวอยากจะต่อยให้ฟันมันร่วงเสียจริง

หลิวไห่เองก็ขาดการติดต่อจากเธอทั้ง ๆ ที่เขาขับรถตามแท้ ๆ กลับถูกรถบรรทุกคันหนึ่งบังหน้าและพวกนั้นก็หายจากสัญญาณไปในที่สุด

นอกจากนั้นเขายังไม่สามารถติดต่อหลี่เจี่ยซินได้อีก

หลิวไห่จอดรถข้างทางบริเวณที่หลี่เจี่ยซินหายไป เขาตรวจสอบโดยรอบพบว่าใต้สะพานนี้เป็นที่กลับรถซึ่งค่อนข้างเปลี่ยวและรถตู้ที่จับหลี่เจี่ยซินก็หายไปใต้อุโมงค์แห่งนี้

หลิวไห่ขับรถวนดูอีกรอบ จนกระทั่งจอดตรงหัวโค้งเขาเห็นกรวยตำรวจตั้งอยู่แถวนั้น จึงเอามาเรียงและสั่งคนของเขาให้มาหาเขาสองคน ช่วยกันปฏิบัติการตามหาหลี่เจี่ยซิน

นั่นเป็นเพราะว่าเขาไม่อาจกระโตกกระตากได้ การนำคนมาสองคนเขาคิดว่าเพียงพอแล้ว

คนของเขามาถึงอย่างรวดเร็ว พร้อมกรวยจรจรปิดถนน สังเกตุตามผนังห้อง สุดท้ายหลิวไห่ก็รู้แล้วว่าตรงนี้ด้านในเป็นรูกลวง นั่นแสดงว่าตรงนี้ย่อมเป็นประตูที่รถสามารถผ่านเข้าไปได้แน่

หลิวไห่พลาดท่าเมื่อด้านหน้ามีกล้องวงจรปิด เขาจึงขยับมาในมุมอับ โทรให้ดวงตาสวรรค์กำจัดกล้องนั้นทิ้งทันใด

ดวงตาสวรรค์หาข้อมูลกล้องอันนั้นโดยใช้เวลาไม่ถึงห้านาที พวกเขาก็ควบคุมทุกอย่าง เริ่มจากเอาภาพเดิมที่ไม่มีรถผ่านเข้ามาปิดช่วงเวลาที่พวกเขาลบภาพหลิวไห่และคนของเขาออก นอกจากนั้นยังใช้ภาพปลอมฉายทับเข้าไปในวิดีโอ ทำให้พวกนั้นไม่รู้ความเคลื่อนไหวของหลิวไห่แล้ว

หลังจากชื่นชมในความสวยแบบแปลกตาจนเรียกว่าแตกต่างจากหลี่เจี่ยซินคนเดิมอย่างสิ้นเชิงหลิวไห่ก็เริ่มไม่สบายใจ

“ที่รักเธอสวยขนาดนี้ฉันไม่กล้าปล่อยเธอไป”

หลี่เจี่ยซินยิ้มหวาน เธอคิดว่านี่เป็นครั้งแรกที่เฉินเฟยอวี๋ชมเธอด้วยใจจริง แบบไม่ได้อิจฉาตาร้อนเหมือนทุกครั้ง และระยะหลังมานี้ดูเหมือนว่าเธอจะทำให้เฉินเฟยอวี๋มีความเป็นผู้ชายเพิ่มขึ้นมาอีกหลายส่วน

“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ฉันดูแลตัวเองได้”

หนุ่มF4นำอุปกรณ์ไฮเทคหลายอย่างมาให้หลี่เจี่ยซิน

“นี่เป็นต่างหูที่ผมติดสัญญาณติดตามตัวครับ มันดูเหมือนต่างหูเพชรเม็ดเล็ก ๆ ที่ผู้หญิงชอบใส่เล่นกันรับรองว่าไม่มีใครจับสังเกตุ สวนนี่เป็นกำไลข้อมือไฟฟ้า แค่ดึงออกมากดปุ่มเล็ก ๆ นี่แล้วจี้เข้าไปที่ตัวคนร้าย มันจะส่งไฟช็อตทันที ส่วนนี่เป็นกระเป๋าถือมหัศจรรย์ สะบัดมันแบบนี้มันจะกลายเป็นเสื้อกันกระสุนครับรับรองไม่มีใครจับได้”

และหลังจากนั้นยังมีเครื่องมืออีกหลายอย่างที่พวกเขาทำขึ้นมาให้เธอ

หลี่เจี่ยซินอ้าปากค้างถามพวกเขาอย่างชื่นชม

“พวกนายนี่มันสุดยอดอัจฉริยะของจริง นอกจากเป็นแฮ็กเกอร์แล้วยังเป็นนักวิทยาศาสตร์อีก”

หนึ่งในนั้นตอบอย่างภาคภูมิใจ

“ก็แค่ของเล่นเล็กน้อยครับ แต่หลัก ๆ แล้วก็ต้องเป็นฝีมือของพี่สาวครับ ซึ่งผมเชื่อว่าระดับนี้แล้วของพวกนี้กลายเป็นของเล่นไปแล้ว แต่พกไว้ก็ไม่เสียหายเผื่อได้ใช้ครับ”

หลี่เจี่ยซินพยักหน้า เก็บของพวกนี้เอาไว้ยังมีกล้องวงจรปิดที่เป็นมุกประดับคอเสื้อของเธออีก

“กล้องชนิดนี้กันน้ำครับ รับรองว่าแม้จะตกน้ำมันก็ยังทำงานอย่างดีไม่ว่าที่ไหนในโลกนี้ผมสามารถเชื่อมอินเตอร์เน็ตได้หมด”

“โอ้ นี่มันความลับกองทัพเลยนะ พวกนายนี่เจ๋งมากเลย”

แต่ก่อนหลี่เจี่ยซินไม่เคยเชื่อเรื่องของกลุ่มที่มีอิทธิพลไม่กี่กลุ่มที่กุมอำนาจของโลกเอาไว้ ตั้งแต่ได้รู้จักกับดวงตาสวรรค์สุดยอดคนพวกนี้แล้ว เธอจึงเชื่อโดยทันที พวกเขาเป็นกลุ่มคนพิเศษที่จะสร้างอะไร หรือเนรมิตอะไรก็ได้ของจริง

“เอาล่ะ เราต้องไปแล้ว อพาร์ทเม้นของเธอเรียบร้อยแล้ว ฉันจะปลอมเป็นคุณลุงคนขับรถให้เธอวางใจได้”

หลิวไห่ลงทุนปลอมตัวเป็นคุณลุง แน่นอนว่าทักษะการแต่งหน้าของคนของเขายอดเยี่ยมมาก ไม่นานหลิวไห่ก็กลายเป็นอาแปะแก่ ๆ คนหนึ่งเขายังสวมบุคคลิกคุณลุงได้เหมือนอีกด้วย

แน่นอนว่าลักษณะทางกายภาพพวกนี้หลิวไห่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีจนเขาเชี่ยวชาญในการปลอมตัวที่สุด

เขาเปลี่ยนรถใหม่ให้หลี่เจี่ยซินในคราบของหลี่เจินใช้ และพาเธอไปที่อพาร์ทเม้น หลี่เจี่ยซินเดินรอบอพาร์ทเม้นด้วยความสนใจ อพาร์ทเม้นนี้เหมือนเป็นอพาร์ทเม้นของคนรวยทั่วไป ดูห่างไกลคนอื่นเป็นสัดส่วน แต่ก็ไม่ได้หรูหราไปกว่าที่ควรจะเป็น และยังถูกตกแต่งอย่างเรียบง่าย

“ในโปรไฟล์ของหลี่เจินคือคนที่พยายามทำตัวให้เรียบง่ายที่สุด ไม่ชอบเป็นจุดเด่นของใคร”

หลิวไห่อธิบาย ทั้งยังเช็คกล้องวงจรปิดในอพาร์ทเม้นแห่งนี้อย่างละเอียด จนกระทั่งเรียบร้อยพวกเขาจึงเริ่มออกล่อเหยื่อ

หลิวไห่กลายเป็นคนขับรถให้หลี่เจี่ยซิน ภาพของหลี่เจินที่ถูกปล่อยไปก่อนหน้านี้ทำให้คนของกู้เมิ่งพอจะรู้เบาะแสของเธอแล้ว แน่นอนว่าหลังจากนั้นเขาต้องให้คนตามมาสืบดูที่อยู่ของหลี่เจินอย่างชัดเจน

หลี่เจี่ยซินถือกระเป๋า เธอสวมเสื้อคลุมกันหนาวและกางเกงยีนส์ไสตล์อเมริกันจ๋า ในขณะที่กำลังเดินซื้อของในซุปเปอร์มาร์เก็ตอยู่นั้นก็มีคนอเมริกันสองคนเดินมาถามบางอย่างกับหลี่เจี่ยซิน

หลิวไห่ในตอนนี้เป็นแค่คนขับรถ เขาไม่สามารถจะช่วยหลี่เจี่ยซินได้ จึงหวังว่าเธอจะสามารถเอาตัวรอดจากสถาณการณ์นี้ได้ คนของกู้เมิ่งกำลังจับตาดูอยู่ หากหลี่เจี่ยซินฟังภาษาอังกฤษไม่ออก โต้ตอบไม่ได้คิดว่าพวกเขาคงสงสัยเป็นแน่

ในขณะที่หลิวไห่กำลังกระวนกระวาย หลี่เจี่ยซินกลับทำให้เขาประหลาดใจ เมื่อเธอสามารถโต้ตอบภาษาอังกฤษได้คล่องแคล่ว สำเนียงอเมริกันชัดเจนเหมือนไปโตที่ต่างประเทศแบบนั้นเธอทำได้ยังไง

แน่นอนว่าก่อนที่จะมาที่แผ่นดินใหญ่ หลิวไห่ได้ตรวจสอบประวัติของหลี่เจี่ยซินแล้ว การศึกษาก็นับว่าเก่งแต่ก็อยู่ในระดับโรงเรียนไม่ได้ติดในตัวท็อปนอกโรงเรียนแต่ประการใด การเรียนพิเศษภาษาอังกฤษหลี่เจี่ยซินเองก็ไม่เคยเรียน สิ่งที่เธอทำหลังจากกลับจากโรงเรียนในทุกวันคือซ้อมศิลปะการป้องกันตัวทุกแขนง ซึ่งเรื่องนั้นไม่แปลกเพราะเธอต้องสืบทอดกิจการของที่บ้าน

นอกจากนั้นเขาก็ไม่เคยเห็นเธอพูดภาษาอังกฤษมาก่อน และหากพูดได้ก็ไม่น่าคล่องแคล่วราวเกิดมาจากท้องคนอเมริกันแบบนั้น เมื่อคนต่างชาติสองคนได้รับคำตอบแล้ว หลิวไห่จึงกระซิบถามเธออย่างไม่สามารถทนได้อีกต่อไป

“เธอไปฝึกพูดภาษาอังกฤษมาตั้งแต่เมื่อไหร่”

หลี่เจี่ยซินยักไหล่

“ฉันเรียนเอาเองน่ะ ตอนนั้นเรื่องเฟรนด์ซีรีส์อเมริกันดังมาก พ่อบังคับให้ฉ้นดูดูไปดูมาก็เลยเก่งขึ้นมาเฉยเลย ตั้งแต่นั้นฉันก็เลยดูหนังอเมริกันเพราะชอบเลยพูดได้”

หลิวไห่เองเขาเรียนภาษาอังกฤษตั้งแต่ยังอยู่ในคุก เพราะมีคนต่างชาติที่อยู่ในแดนเดียวกัน จึงทำให้เขาพูดคล่องแต่เมื่อเทียบกับหลี่เจี่ยซินแล้วหลิวไห่ต้องยกธงขาวยอมแพ้ จริง ๆ

เรื่องของหลี่เจี่ยซินยังทำให้หลิวไห่ทึ่งไม่หยุด ในมุมของคนอัจฉริยะที่หลี่เจี่ยซินกำลังแสดงอยู่นี้หญิงสาวทำได้อย่างไร้ที่ติ

หรือหลี่เจี่ยซินจะแอบเรียนการแสดงมาด้วย นี่เป็นสิ่งที่หลิวไห่คิด

เดินไปเดินมาด้วยโลกที่โคตรจะกลม หลี่เจี่ยซินและหลิวไห่ก็เจอคนคุ้นเคยเข้า

ผู้ชายคนนั้นคือหูเสี่ยวเทียน

หูเสี่ยวเทียนเป็นประเภทคลั่งรักหลี่เจี่ยซิน แน่นอนว่าเขาเห็นเธอแล้วและกำลังเดินตรงมาทางนี้ เขาอาจจะสงสัยก็เป็นได้และไม่แน่เขาอาจจะรู้ หลิวไห่เห็นสายตาของหูเสี่ยวเทียนแล้ว เขาจ้องมาที่เธอ และอีกด้านคนของกู้เมิ่งกำลังมองอยู่ หลิวไห่พยายามที่จะพาหลี่เจี่ยซินไปอีกทาง แต่หูเสี่ยวเทียนก็ยังตามมาติด ๆ เขาไม่มีทางหนีแล้วและกลัวว่าคนที่จับตามองจะเกิดสงสัย

“เอายังไงดี เขาทำท่าจะทักเธอแล้ว เขาจำได้ยังไงกัน”

หลิวไห่หวาดระแวง แต่เขาไม่ได้ทำท่าตื่นตระหนกยังคงเป็นคุณลุงคนเดิมที่คอยเดินตามหลี่เจินเพื่อช่วยเข็ญรถให้เธอ

“ไม่ต้องห่วงฉันจัดการเอง”

หลี่เจี่ยซินดูมั่นใจเป็นอย่างมากว่าหูเสี่ยวเทียนจะจำเธอไม่ได้ โปรไฟล์ของหลี่เจินคือ ไปเติบโตที่อเมริกาไม่มีเพื่อนที่นี่นอกจากคุณยายและคุณตาที่เสียไปแล้ว การมาพักร้อนของหลี่เจินคือมาเยี่ยมหลุมศพไปในตัว

ดังนั้นหลี่เจินจะรู้จักหูเสี่ยวเทียนไม่ได้ ถึงหลี่เจี่ยซินจะบอกว่าเธอเอาอยู่แต่หลิวไห่ก็ยังห่วงอยู่ดี คนของกู้เมิ่งพวกนี้ไม่ใช่นักเลงหัวไม้ แต่เป็นคนที่ได้รับการคัดเลือกมาอย่างดีเพื่อติดตามดูพฤติกรรมของหลี่เจินไม่ให้เข้าใจผิดและจับผิดตัว ดังนั้นหลิวไห่ไม่สามารถพลาดได้

จนกระทั่งหูเสี่ยวเทียนเดินเข้ามาใกล้ เขามองหลี่เจี่ยซินแล้วยิ้มก่อนจะเอ่ยปากออกมาคำหนึ่ง

โจอินตงบาดเจ็บจนต้องเข้าโรงพยาบาล ลูกน้องของกู้เมิ่งคนอื่นก็ไม่ถูกใจเขา เรื่องของหลี่เจี่ยซินก็ดูเหมือนว่าจะไม่คืบหน้า ยังมีเรื่องของผู้หญิงอัจฉริยคนนั้นอีกที่ยังสืบไม่ได้ว่าเธออยู่ที่ไหน ทำให้กู้เมิ่งอารมณ์เสียเป็นอย่างมาก

และโทรศัพท์จากประธานกู้ก็ทำให้เขาถึงกับตัวสั่น

“กู้เมิ่งเรื่องที่ให้จัดการไปถึงไหนแล้ว”

“พ่อครับผมรับรองครับว่าภายในวันสองวันนี้ต้องรู้ที่อยู่ผู้หญิงคนนั้นแน่นอน”

“ดี ฉันจะคอยดูฝีมือของแก แล้วเรื่องที่แกใช้คนเกินคำสั่งของฉันอย่าให้เกิดขึ้นอีกเข้าใจหรือเปล่า”

กู้เมิ่งถึงกับหน้าถอดสี เขารู้ดีว่าพ่อของเขาย่อมรู้เรื่องที่เขาก่อเอาไว้ทุกอย่าง แต่ไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้ ไม่รู้ว่าใครมันบังอาจไปฟ้องพ่อทั้ง ๆ ที่เขากำชับไว้อย่างดีแล้ว

“เข้าใจครับ ผมไม่คิดว่าคนของมันจะฝีมือดีขนาดนี้”

“เรื่องของหลิวไห่ฉันจะจัดการเอง แกแค่ทำในสิ่งที่ฉันสั่งเอาไว้ก็พอเข้าใจหรือเปล่า”

“เข้าใจแล้วครับ”

กู้เมิ่งวางสายจากประธานกู้แล้ว แต่เขายังโค้งคำนับโทรศัพท์นั้นหัวแทบจะติดพื้น

ในเมื่อพ่อของเขาไม่ได้กล่าวโทษเขามากกว่านี้ และเขาเองก็รับปากไปส่งเดชแล้วว่าจะหาตัวผู้หญิงอัจฉริยะคนนั้นให้พบเขาก็ต้องทำได้

กู้เมิ่งต่อสายถึงกลุ่มแฮ็คเกอร์ของเขาทันที เร่งรัดให้ทุกคนรีบหาตัวคนที่ต้องการให้ได้

ในขณะที่ฝั่งดวงตาสวรรค์ของหลิวไห่ตอนนี้ ได้เริ่มปล่อยข้อมูลของหลี่เจินออกมาแล้ว

“เอาล่ะ ตอนนี้ก็แค่แต่งภาพวับ ๆ ว่าเธอไปเดินซื้อของที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตแถวถนนตงไห่”

หนึ่งในดวงตาสวรรค์แต่งภาพได้อย่างแนบเนียน แน่นอนว่าฝีมือระดับนั้นไม่มีใครจับพิรุธของเขาได้

“เจ๋ง”

เมื่อทำสำเร็จย่อมได้รับคำชมจากเพื่อน พวกเขาแตะมือกันแล้วออกมานั่งกินข้าวกลางวันพร้อมกับหลิวไห่และหลี่เจี่ยซินที่เข้ามา

อาหารมื้อนี้ค่อนข้างพิเศษ ที่บอกว่าพิเศษก็เพราะมีหลี่เจี่ยซินมาร่วมกินด้วย พวกเขาจึงไม่ได้กินอาหารขยะอย่างพิซซ่าหรือไก่ทอดซ้ำ ๆ อีก

“แบบนี้พี่สาวน่าจะมาบ่อย ๆ นะครับ เจ้านายจะได้เอาใจพวกเราแบบนี้ทุกวัน”

หลิวไห่มองคนพวกนั้นด้วยสายตาตำหนิ

“อะไร ฉันดูแลพวกนายดีแค่ไหนพวกนายก็รู้ อย่ามาใส่ร้ายนะ”

หลิวไห่ค้อนพวกเขา หลี่เจี่ยซินหัวเราะเบา ๆ

“ไม่ต้องหึงหรอก ยังไงพวกเขาก็เป็นของเธอ”

หลี่เจี่ยซินกลับพูดเอาใจหลิวไห่ให้เขาสบายใจ จนกระทั่งคนหนึ่งพูดขึ้น

“เจ้านายครับ ผมเจอแล้วนะครับคนที่เจ้านายให้หา”

หลิวไห่แทบจะวางช้อนลงแล้วลากให้เขาคนนั้นเข้าไปในห้องทำงานตอนนี้ แต่โชคดีที่เขารอบคอบปริ้นเอกสารมาให้หลิวไห่ดู

“นี่ผู้ชายคนนี้ครับ เคยทำงานกับประธานกู้จริง ๆ ครับ และที่สำคัญเขาไม่ได้เป็นเลขาเหมือนที่เจ้านายบอก เบื้องหลังเขาคือผู้เชี่ยวชาญด้านพันธุกรรมที่เคยมีคดีติดตัว แต่เขาเก่งมากครับตอนนั้นรู้สึกจะมีเรื่องเกี่ยวกับการตัดต่อพันธุกรรมผิดกฏหมายอะไรสักอย่างที่อเมริกา และกลับมาที่จีนจนได้รับการติดต่อจากประธานกู้ ผู้หญิงคนนี้ก็เหมือนกันครับพวกเขาเคยแต่งงานกันมาก่อนและหย่าหลังจากกลับมาจากอเมริกาแล้ว”

หลิวไห่มองภาพของแม่บุญธรรมของเฉินเฟยอวี๋กับพ่อบุญธรรมของเขาอย่างตกตะลึง พวกเขาทั้งคู่ล้วนเป็นนักวิทยาศาสตร์และยังเป็นคุณหมอวิสัญญีผู้เก่งกาจ ไอคิวระดับไอสไตล์เลยก็ว่าได้

แต่ทำไมถึงได้เลิกทำเรื่องพวกนั้นและหันหลังมาใช้ชีวิตธรรมดากันนะ เกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา หลิวไห่เริ่มสงสัย การที่แม่บุญธรรมและพ่อบุญธรรมของพวกเขามารับอุปการะเขาและเฉินเฟยอวี๋นั้นแท้ที่จริงแล้ว พวกเขาจะเป็นพ่อแม่ที่แท้จริงของเขาหรือเปล่า

หัวใจของหลิวไห่เต้นโครมคราม เขาเหม่อลอยและกำลังคิดว่าความจริงแล้วจะเป็นยังไงกัน

หากเขาอยากรู้ก็ต้องตรวจดีเอ็นเอ หากข้อสันนิษฐานของเขาเป็นจริง ว่าเขาคือลูกของคนทั้งคู่นั่นแสดงว่าบริษัทที่เขากำลังกอบกู้นี้เป็นบริษัทของแม่ที่แท้จริงของเขา และพวกเขามีสาเหตุอะไรกันถึงต้องฝากเขาและเฉินเฟยอวี๋ไว้ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า และยังมารับเพื่อแยกกันไปดูแลเมื่อพวกเขาโตขึ้น

เรื่องราวยิ่งซับซ้อนเข้าไปทุกที และเขาเชื่อว่าประธานกู้ย่อมรู้เรื่องนี้ไม่มากก็น้อย เพราะในรูปถ่ายนั้นล้วนมีเขา เฉินเฟยอวี๋ พ่อ แม่ และยังมีประธานกู้อีก

เสียงดวงตาสวรรค์บ่นพึมพำ ว่าพ่อแม่ของเขาปลอมแปลงตัวเก่งมากกว่าจะค้นหาได้สำเร็จก็ใช้เวลานานกว่าที่คิด หรือไม่ก็เพราะฝีมือของเขาตกลงแล้ว

หลิวไห่ย่อมต้องให้รางวัลที่พวกเขาทำสำเร็จ เขาตบไหล่ของหนึ่งใน F4 แล้วถามว่า

“คราวนี้อยากได้อะไร”

พวกเขาหัวเราะแล้วตอบเล่น ๆ

“ขอเกาะส่วนตัวสักที่ครับ ขอสวย ๆ ”

หลิวไห่หัวเราะ “ได้อยู่แล้ว เงินก้อนนั้นของกู้เมิ่งก็มีมากพอสมควรฉันสมทบทุนสักเล็กน้อยก็ได้เกาะสวย ๆ มาให้พวกนายแล้ว อยากได้ตรงไหนเลือกมาเลย”

เสียงเฮดังขึ้นอีกครั้ง แน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้สนใจเกาะนั่นหรอกเพียงแต่ตื่นเต้นที่เอาชนะกู้เมิ่งได้จนได้ได้เงินก้อนนั้นมาครองต่างหาก

หลี่เจี่ยซินกระแซะข้างกายเขาแล้วถามว่า

“ที่รัก ถ้าฉันอยากได้ล่ะเธอจะซื้อให้หรือเปลา”

หลิวไห่โอบมือรอบไหล่ของเธอ ทั้งยังจับไก่ชิ้นโตยัดเข้าปากของหลี่เจี่ยซิน

“เธอได้ฉันไปแล้วมีค่ายิ่งกว่าทรัพย์สมบัติใดในโลกนี้ยังไม่พอใจอีกเหรอ”

หลี่เจี่ยซินกลอกตาแล้วหันมายิ้มหวานให้เขา

“ที่รัก แต่ฉันรู้สึกว่ายังไม่พอคืนนี้ขออีกสักครั้งนะ”

หลิวไห่ยกมือกอดอก ส่ายหน้าอย่างรวดเร็ว

“ไม่เอา”

ที่เขาปฏิเสธก็เพราะว่าไม่อยากเป็นเบี้ยล่างให้เธอควบขี่แล้ว หลิวไห่ตั้งใจว่าต่อไปเขาจะเป็นฝ่ายขี่เธอเอง เขาต้องเรียกคืนศักดิ์ศรีของเขาให้กลับคืนมา

ในขณะที่พวกเด็ก ๆ F4 ต่างสำลักในคำพูดของพวกผู้ใหญ่ทั้งสองที่ไร้ยางอายที่นั่งอยู่ตรงนี้

หลังกินอาหารเสร็จ หลิวไห่ก็ให้ช่างแต่งหน้าพิเศษมาแปลงโฉมหลี่เจี่ยซิน เพื่อเปลี่ยนให้เธอเป็นหลี่เจิน สองสามวันนี้เธอไม่สามารถกลับมาเป็นหลี่เจี่ยซินได้ ในเมื่อกู้เมิ่งพุ่งเป้าไปที่ตัวหลี่เจินแล้ว

กว่าจะแปลงกายต่อผมให้ยาวจนถึงก้น และยังมีขนตาปลอมและเนื้อเทียมที่ใช้แต่งเนื้อพวกนั้นอีก หลี่เจึ่ยซินก็หลับแล้วหลับอีกจนกระทั่งในที่สุดก็เรียบร้อย

“กรี๊ดดดด”

หลิวไห่ที่กำลังดูเอกสารการเงินของบริษัทอยู่สะดุ้งสุดตัว วิ่งเข้ามายังห้องที่หลี่เจี่ยซินแต่งหน้าอยู่ด้วยความตกใจ แน่นอนว่าทั้งสี่หนุ่มดวงตาสวรรค์ก็พุ่งตัวออกมาอย่างรวดเร็วเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น

“ที่รัก ดูสิ ฉันสวยมากเลย ฉันสวยจริง ๆ นะ เหมือนกับว่าคนในกระจกไม่ใช่ฉัน”

ในตอนนี้ไม่ใช่แค่หลี่เจี่ยซินเท่านั้นที่ตะลึงในความสวยของตัวเอง ดูเหมือนว่าหลิวไห่และหนุ่ม ๆ ทั้งสี่ต่างก็อ้าปากค้างแล้ว

โจอินตงส่งลูกน้องคอยติดตามหลิวไห่และหลี่เจี่ยซินอย่างใกล้ชิด คืนนี้ตั้งใจว่ายังไงต้องส่งหลี่เจี่ยซินไปถึงมือของกู้เมิ่งให้ได้ เขามองหลิวไห่และหลี่เจี่ยซินที่กำลังจูบกันอย่างดูดดื่มอย่างใจเย็น ร้านหม้อไฟของพวกเขาเป็นร้านแบบเปิดโล่งเหมือนร้านแบบวัยรุ่นทั่วไป โจอินตงจึงสามารถมองเข้าไปในร้านได้อย่างสบาย

เขาเห็นว่าหลิวไห่ชอบเด็กผู้หญิงคนนั้นขนาดไหน คนเย็นชาแบบหลิวไห่กลับมีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะดังออกมาไม่หยุด

เห็นพวกเขาอยู่ด้วยกันโจอินตงกลับคิดในใจว่าพวกเขาเป็นคู่ที่เหมาะสมกันเป็นอย่างยิ่ง

โจอินตงหวนคิดถึงวันนั้นที่เขาจับหลิวไห่โยนลงในบ่อจรเข้นั่น ถึงจะถูกเขาทำร้ายแต่หลิวไห่กลับไม่แม้แต่จะร้องขอชีวิต อีกทั้งยังตะเกียกตะกายดิ้นรนต่อสู้ด้วยตัวเองอย่างเดือดดาล

เด็กคนนั้นที่ไม่ยอมแพ้ดวยสายตาที่แข็งกร้าวและต่อมาเมื่อถูกสกุลกู้โยนเข้าเข้าไปในมุมที่มืดที่สุดในชีวิตกลับสามารถผงาดขึ้นมาแข่งกับกู้เมิ่งได้

เขาเองก็นับถือหลิวไห่เป็นอย่างยิ่ง และจากสายตาของเขาในวันนี้ก็ยังมองว่าไม่แน่ผู้ชายคนนั้นอาจจะผงาดขึ้นมาก้าวนำสกุลกู้ในสักวันหนึ่งหากหลิวไห่ไม่ตายเสียก่อน ถึงหลายคนจะมองว่าเป็นไปไม่ได้ที่หลิวไห่จะมีวันนั้นแต่โจอินตงกลับไม่คิดเช่นนั้น

หลิวไห่คนนั้นมีวิญญาณของนักสู้อยู่เต็มเปี่ยม เขาเหมือนหมาจนตรอกที่ไม่ยอมแพ้ใคร

โจอินตงพิจารณาหลี่เจี่ยซินโดยละเอียด หลี่เจี่ยซินคนนั้นรูปร่างบอบบางใบหน้างดงามเป็นอย่างยิ่ง แม้เธอจะดูรั้น ๆ บ้างแต่ก็ยังมีความอ่อนหวานอยู่ในที เขายิ่งมองก็ยิ่งเข้าใจว่าทำไมกู้เมิ่งถึงชอบเธอนัก นอกจากว่าหลี่เจี่ยซินจะเป็นคนที่หลิวไห่ชอบและกู้เมิ่งก็ต้องการทำลาย เขาคิดว่ากู้เมิ่งเองก็ชอบหลี่เจี่ยซินเช่นกัน

โจอินตงในตอนนี้รู้สึกสลดใจเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมาฉุดคร่าผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง ทั้ง ๆ ที่เธอคนนั้นไม่มีความผิดเพียงแต่อยู่ในตำแหน่งที่ผิดที่ผิดเวลาก็เท่านั้น

โจอินตงรู้สึกสงสารหลี่เจี่ยซินแต่เขามีหน้าที่รับใช้สกุลกู้ ไม่ว่าผู้เป็นนายจะสั่งอย่างไรเขาก็คงได้แต่ต้องทำตามเท่านั้น

ในขณะที่โจอินตงกำลังทอดถอนใจอยู่นั้น เบื้องหน้าของเขาก็ไม่เห็นหลี่เจี่ยซินเสียแล้ว เขาพบว่าหลิวไห่อยู่ภายในร้านคนเดียว เขาจึงพึมพำออกมา

“หรือว่าเธอจะไปเข้าห้องน้ำ ไปตอนไหนทำไมไวขนาดนั้น”

และแล้วโจอินตงก็ได้ยินเสียงของผู้หญิงหวีดร้องขึ้น เมื่อพบว่ามีคนนอนจมกองเลือดอยู่ในมุมตึก โจอินตงมึนงงเป็นอย่างมาก ผู้ชายหลายคนนั่นคือลูกน้องที่เขาตั้งใจพามาฉุดหลี่เจี่ยซิน นี่มันเกิดอะไรขึ้นหรือพวกเขาจะบังเอิญไปมีเรื่องกับใคร

จู่ ๆ ก็มีคนคนหนึ่งสะกิดหลังของเขา โจอินตงหันไปสายตาของเขาพลันพล่าเลือนและล้มฟุบลงไปกองที่พื้นทันที

หลี่เจี่ยซินใช้เท้าเขี่ยโจอินตงอย่างแรงจนจะนับว่าเตะก็ได้

“โจอินตงฉันจำนายได้หรอกน่า”

เธอบอกเขาทั้งใช้เท้าสะกิดจนแน่ใจว่าหมอนั่นไม่ได้สติแล้ว

“แก่มากแล้วนี่ทำไมยังมาทำเรื่องเลว ๆ อีก แบบนี้ตายไปสวรรค์ไม่เอานรกไม่รับต้องเป็นผีเร่ร่อนนะ”

หลี่เจี่ยซินทำเสียง จิ๊ จ๊ะ ในลำคอพร้อมกับส่ายหน้า

ในมือของเธอมีไอศครีมโบราณถั่วดำแบบแท่งก่อนจะยัดเข้าไปเลียไปทีหนึ่งแล้วดึงออกมา หลังจากนั้นหลี่เจี่ยซินก็เดินกระโดดโลดเต้นเข้าไปในร้านหม้อไฟร้านนั้นอย่างรวดเร็ว

“ไปไหนมา”

หลิวไห่มองเธอด้วยสายตาเป็นห่วง หลี่เจี่ยซินบอกว่าจะไปเข้าห้องน้ำแต่เธอก็หายไปเลยราวสิบนาที

หลี่เจี่ยซินยักไหล่แล้วบอกว่า

“ก็มีคนตามฉันเข้าไปในห้องน้ำ เลยกระทืบมันแล้วถามว่ามีใครอีกจนมันสารภาพก็เลยออกไปจัดการหน่อย”

หลิวไห่ส่ายหน้า

“ทีหลังให้บอกฉันก่อน ห้ามทำอะไรโดยพละการ”

หลี่เจี่ยซินไม่สนใจ

“ก็ถ้าบอกพวกมันอาจจะหนีไปก่อน นี่ฉันบอกเธอว่าฉันอัดโจอินตงคนนั้นแล้วล่ะ หมัดเดียวสลบเลยนี่มือยังแดงไม่หาย”

เธอยกมือให้เขาดู หลิวไห่เลิกลั่ก

“มันอยู่ไหน”

หลี่เจี่ยซินชี้ไปที่มุมถนน

“ตรงมุมโน้น แต่เหมือนจะมีคนมาเก็บพวกมันไปแล้วไม่รู้พวกไหน”

หลิวไห่ไม่ไว้ใจเขาจึงโทรหาดวงตาสวรรค์

“พวกนายลบภาพในกล้องวงจรปิดบริเวณนี้ที่หลี่เจี่ยซินต่อยคนออกให้หมด แล้วเช็คดูว่าเป็นใครที่มาช่วยพวกมันไป”

ดวงตาสวรรค์รับคำ ไม่นานหลิวไห่ก็ได้รับรูปคนที่มาช่วยแบกร่างของคนพวกนั้นขึ้นรถตู้ไป

“คนของสกุลเมิ่งแน่นอน คงมีใครขอความช่วยเหลือ”

หลิวไห่เริ่มรู้สึกว่าเรื่องจะลุกลามแล้ว ความจริงเขาไม่ได้มากันแค่สองคนแต่ยังมีบอดี้การ์ดอีกหลายคนที่ดูแลความปลอดภัยให้พวกเขา หากคนพวกนั้นลงมือย่อมไม่พ้นสายตาบอดี้การ์ดไปได้

แต่หลี่เจี่ยซินของเขานี่สิ มือไวใจเร็วมักจะจัดการก่อนเสมอ หากพวกมันรู้ว่าหลี่เจี่ยซินมีความสามารถพิเศษ กลัวว่าพวกมันจะอยากได้เธอ

จากการที่หลิวไห่สันนิษฐานพบว่า ประธานกู้อาจกำลังทดลองบางอย่าง โดยใช้ยีนส์หรือดีเอ็นเอของผู้หญิงเก่ง ๆ ที่เขาจับตัวไปมาทดลอง และหลี่เจี่ยซินถึงแม้ว่าสมองของเธอจะไม่ใช่อัจฉริยะแต่ฝีมือการต่อสู้และแรงมหาศาลของเธอเรียกได้ว่ามีมากเกินมนุษย์ ดังนั้นอาจเรียกความสนใจจากประธานกู้จนต้องหาวิธีจับตัวเธอก็เป็นได้

ดังนั้นหลังจากแผนเหยื่อล่อที่พวกเขาให้หลี่เจี่ยซินปลอมตัวนี้สำเร็จ เขาจะกันเธอออกมาไม่ให้หลี่เจี่ยซินกลายเป็นที่สนใจอีกต่อไป อิทธิพลของประธานกู้เองก็มีมากจนเขาไม่สามารถประเมินได้

ที่เขายังต่อกรได้ในตอนนี้เพราะคนที่เดินเกมคือกู้เมิ่งที่ไร้ปัญญาคนนั้น จึงพลาดท่าเสียทีเขาได้ง่าย แต่หากว่าเรื่องนี้ประธานกู้เข้ามาเล่นด้วยตัวเองเรื่องคงไม่ง่ายเป็นแน่ ดังนั้นเขาต้องรีบเปิดโปงสิ่งที่คนพวกนั้นกำลังทำก่อนที่ประธานกู้จะเข้ามาขัดขวางเขาด้วยตัวเอง

โจอินตงฟื้นขึ้นมาก็พบว่าตัวเองอยู่ที่โรงพยาบาลแล้ว เขามึนงงเป็นอย่างยิ่ง คนที่ทำร้ายเขาคือใคร ลูกน้องคนหนึ่งของเขาที่กำลังเฝ้าเขาอยู่มารายงานทันทีที่เขาฟื้น

“พวกเรารู้แต่ว่ามันมากันหลายคนครับ ยังไม่ทันตั้งตัวก็ถูกฟาดจนสลบแล้ว”

แน่นอนว่าไม่มีใครเห็นตัวคนที่ทำร้ายพวกเขา รวมทั้งโจอินตงเอง ดังนั้นความเชื่อในตอนนี้ของพวกเขาคือ ถูกหลิวไห่จับได้และคนพวกนั้นก็แอบซุ่มตีพวกเขาจนสลบ

“กล้องวงจรปิดแถวนั้นบังเอิญเสียทุกตัวครับ ไม่มีใครจับภาพพวกเราได้สักคน แต่ก่อนหน้านั้นรอบบริเวณร้านหม้อไฟนั่นก็มีคนของหลิวไห่กระจายกำลังกันอยู่เต็มไปหมด ก็น่าจะเป็นคนพวกนั้นที่ตีเราจนสลบครับ”

โจอินตงกำมือแน่น พูดออกมาอย่างแค้นเคือง

“ไอ้สารเลวหลิวไห่ บังอาจมากไปแล้ว”

หลังจากจัดการเรื่องในบริษัทจนเรียบร้อยแล้ว ดูเหมือนว่าหลิวไห่จะสามารถผูกมิตรกับนายตำรวจชั้นสูงคนนั้นได้อีกด้วย เดิมทีหลิวไห่ก็ไม่ได้ดำเนินกิจการอะไรที่ขัดต่อกฎหมายอยู่แล้ว ในขณะที่ทางฝั่งของกู้เมิ่งเองกลับทำธุรกิจผิดกฎหมายหลายชนิด ทั้งยังใช้บริษัที่จดทะเบียนถูกต้องเพื่อฟอกเงิน

เขาซึ่งเป็นผู้บัญชาการระดับสูงจึงไม่สามารถละเลยได้ เพียงแต่ฝั่งของสกุลกู้กำลังผูกมิตรกับนักการเมืองระดับสูงหลายคน อีกทั้งหลักฐานของเขาก็ไม่แน่นพอที่จะเอาผิดจึงทำให้เขาไม่สามารถแตะต้องกู้เมิ่งได้ในตอนนี้

การมาของหลิวไห่ซึ่งแสดงเจตนารมณ์ชัดเจนว่าเป็นฝั่งตรงข้ามกับสกุลกู้จึงทำให้ผู้บัญชาการตำรวจแอบเปิดไฟเขียวให้หลิวไห่อย่างเต็มที่

หลังจากนั้นไม่นานเรื่องของหญิงสาวอัจฉริยะก็หลุดออกมาเข้าหูของคนของกู้เมิ่ง

“นายครับคนนี้ของจริงครับ ประวัติทางครอบครัวไม่แน่ชัดอีกทั้งยังเป็นมันสมองของนาซ่าตอนนี้เธอกลับมาพักร้อนครับ”

กู้เมิ่งดูคลิปที่ลูกน้องส่งมาให้ พร้อมทั้งรายละเอียดของผู้หญิงคนนั้น

“หลี่เจินอย่างนั้นเหรอ สวยไม่ใช่เล่นนี่ชักอยากจะพบตัวจริงแล้วสิ”

“ครับนายตอนนี้กำลังสืบที่อยู่ของเธอครับ ทุกอย่างของเธอดูเหมือนจะเป็นความลับครับกระทั่งเที่ยวบินกลับของเธอก็ยังเป็นความลับ ดูเหมือนว่าเธอจะใช้ชื่ออื่นในพาสปอร์ตด้วย”

กู้เมิ่งกลับมั่นใจในความเก่งของคนของเขา

“ยิ่งเป็นความลับยิ่งน่าสนใจ ไม่แน่ว่าจะเป็นคนนี้ที่พ่อของฉันกำลังตามหา รีบหาตัวผู้หญิงคนนี้ให้พบคราวนี้พ่อจะได้ยอมรับฉันซะที”

โจอินตงรับคำ ก่อนที่จะหันไปสั่งการให้ลูกน้องรีบติดตามผู้หญิงคนนั้นมา

กู้เมิ่งยกเท้าขึ้นมาพาดที่โต๊ะทำงานเอนหลังอย่างสบายหรี่ตามองโจอินตง

“เรื่องของหลี่เจี่ยซินเมื่อไหร่จะจัดการ”

โจอินตงประสานมือเข้าด้วยกันแล้วตอบเสียงเรียบ

“ที่ผ่านมาหลี่เจี่ยซินอยู่กับหลิวไห่ตลอดเวลา ทั้งยังมีพวกตำรวจอีกที่มาดูแลทำให้ค่อนข้างลำบากที่จะดึงหลี่เจี่ยซินออกมาครับ”

กู้เมิ่งนึกสงสัย

“ทำไมตำรวจมายุ่งเรื่องนี้ครับ”

“ผมเองก็ไม่แน่ใจครับ ดูเหมือนว่าหลี่เจี่ยซินจะมีแฟนเก่าเป็นตำรวจครับ ผู้ชายคนนั้นช่วงนี้จึงป้วนเปี้ยนกับเธอไม่ห่าง”

กู้เมิ่งหัวเราะ

“แค่ตำรวจชั้นต่ำกลัวอะไรวะ จัดการมันสิ”

“ตำรวจคนนั้นเป็นหลายของอธิบดีตำรวจและยังเป็นลูกชายของคุณหูนักธุรกิจใหญ่ที่นายอยากร่วมทุนด้วยคนนั้นครับ ฝีมือของเขาก็นับว่าดีมากเด็ก ๆ ของเราเลยหาโอกาสลงมือไม่ได้”

กู้เมิ่งลุกขึ้นถีบเข้าไปที่เก้าอี้ที่เขานั่งอย่างแรงจนเก้าอี้เกระเด็น

“โถ่โว๊ย นี่มึงไม่เข้าใจหรือยังไงกูไม่ต้องการข้ออ้างกู้ต้องการตัวนังนั่น กู้ต้องได้สั่งสอนไอ้หลิวไห่ให้มันรู้ว่ากูเป็นใคร มึงเข้าใจหรือเปล่าไปจับมันมาให้กูเดี๋ยวนี้”

“ครับนาย”

โจอินตงค้อมตัวให้กู้เมิ่งแล้วเดินออกมา เขาเองก็อิดหนาระอาใจกับกู้เมิ่งเป็นอย่างมาก

ความจริงแล้วหลิวไห่คนนั้นก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับแผนการที่นายใหญ่วางไว้ แต่กู้เมิ่งวัน ๆ ก็เอาแต่วิ่งไล่ตามหลิวไห่โดยไร้ประโยชน์และยังพยายามจะเอาชนะจนไม่สนใจเรื่องที่นายใหญ่ให้ทำเท่าที่ควร

ตอนนี้ยังอยากให้เขาเข้าไปยุ่งกับคนใหญ่คนโตของถิ่นนี้อีก แม้ว่านายใหญ่จะมีอิทธิพลมากแค่ไหนแต่หากล่วงเกินหลายคนเข้าก็ย่อมทำให้งานที่ทำอยู่สะดุดได้ ทั้งลูกชายหัวแก้วหัวแหวนคนนั้นวัน ๆ เอาแต่ทำตัวอันธพาลฉุดคร่าผู้หญิงที่ไม่เกี่ยวข้องเขาจึงเหนื่อยใจเป็นอย่างยิ่ง

แต่โจอินตงเองกลับไม่กล้าเอาเรื่องนี้บอกกับประธานกู้ เขารู้ดีว่าประธานกู้รักและตามใจลูกชายมากแค่ไหนจึงปล่อยให้เรื่องนี้เป็นเรื่องระหว่างพ่อลูกซึ่งเขาไม่คิดจะเข้าไปยุ่งเกี่ยว

ข่าวปลอมของผู้หญิงอัจฉริยะถูกปล่อยออกไปแล้ว หลิวไห่ในตอนนี้จึงค่อนข้างห่วงหลี่เจี่ยซิน แม้เรื่องจะเดินมาถึงตอนนี้เขากลับลังเลใจ

“เธอแน่ใจนะว่าเธอจะไม่เป็นอะไร”

หลี่เจี่ยซินตบหลังมือของเขาเบา ๆ

“แน่ใจสิ เธอก็รู้ว่าฉันแข็งแรงแค่ไหน”

หลิวไห่ถอนหายใจ

“รู้น่ะรู้ แต่พวกมันเจ้าเล่ห์มันอาจวางยาเธอก็ได้ใครจะรู้”

“ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันไม่ปล่อยให้พวกมันทำถึงขนาดนั้นหรอก”

หลี่เจี่ยซินกำลังกินหม้อไฟอย่างอร่อยที่ร้านโปรด ในขณะที่ลากหลิวไห่ออกมาด้วย ท่าทางของเธอก็สบาย ๆ เป็นอย่างยิ่ง

หลิวไห่มองหญิงสาวแล้วถามสิ่งที่คาใจออกไป

“หลี่เจี่ยซินเธอบอกฉัน เรื่องนั้นได้หรือเปล่า”

หญิงสาวเคี้ยวของในปากจนหมด มองเขาตาแป๋วแล้วถามว่า

“เรื่องอะไรล่ะ”

“เธอไม่กลัวท้องเหรอ”

หลี่เจี่ยซินหัวเราะเสียงดัง ในขณะที่หลิวไห่ถามเรื่องนี้ออกมาเองแล้วหน้าแดงเอง

“ไม่กลัวหรอก”

หลิวไห่คิ้วชนกัน

“ทำไมล่ะ ชอบเด็กเหรอ”

หลี่เจี่ยซินส่ายหน้า

“ไม่ใช่แบบนั้น ฉันน่ะไปตรวจมาแล้ว”

“ตรวจอะไร”

กู้เมิ่งรินเหล้าใส่แก้วตัวเองแล้วยกดื่ม เขาไม่อนุญาตให้หลี่เจี่ยซินดื่มด้วยเพราะหญิงสาวต้องเป็นคนขับรถ

“ก็ตรวจร่างกาย นี่ฉันจะเล่าให้ฟังนะเรื่องบางอย่างที่ฉันทำบ้า ๆ ลงไป”

หลี่เจี่ยซินกระซิบ หลิวไห่ใจเต้นตึกตักโดยไม่มีสามเหตุ หน้าตาของเขาในตอนนี้ทำให้หลี่เจี่ยซินถึงกับหัวเราะ มันกำลังบอกเธอว่า เขาอยากรู้อยากเห็นแค่ไหน

นี่สิถึงจะเป็นเพื่อนสาวที่รู้ใจของเธอ หญิงสาวจ้องหลิวไห่พร้อมกับรอยยิ้มสดใส

“มีอะไรถึงจ้องฉันขนาดนั้น รีบพูดสิฉันอยากรู้แล้ว”

หลี่เจี่ยซินขยับเก้าอี้ไปใกล้เขา แล้วพูดเสียงเบา

“ฉันน่ะไปตรวจมาแล้ว ฉันเป็นหมันมีลูกไม่ได้หรอกเพราะฉะนั้นเรื่องท้องไม่ต้องห่วง ฉันยังทำกับเธอได้เรื่อย ๆ”

กู้เมิ่งตกใจหน้าแดงลามไปจนถึงใบหู

“เธอเขินอะไรกัน แน่นอนว่าต้องขอเธอก่อนไม่ต้องกลัว”

ถึงหลี่เจี่ยซินจะพูดแบบนั้น เขาก็ไม่เคยเห็นว่าเธอจะขอเขาเลยสักครั้งเดียว เมื่อเธอต้องการไม่ว่าที่ไหนหลี่เจี่ยซินก็พร้อมที่จะขืนใจเขา และแน่นอนว่าเขาไม่สามารถห้ามตัวเองได้เช่นกัน

“ยังมีเรื่องอื่นอีกหรือเปล่า”

หลิวไห่ไม่แยแส เขาไม่สนใจว่าเธอจะเป็นหมันสักหน่อย ถ้าสมมุติว่าแต่งงานกับเธอเขาก็ไม่รังเกียจที่จะรับเด็กมาเลี้ยงเหมือนที่พ่อของเขารับเขามาเลี้ยงนั่นแหละ

“มีสิ เรื่องนี้ลับสุดยอดที่ฉันเองก็อยากจะขอร้องเธอด้วย”

หลิวไห่ก้มลง คราวนี้ตั้งใจฟังยิ่งกว่าเดิม

หลี่เจี่ยซินเริ่มเล่า

“ความจริงฉันน่ะมีเรื่องที่ติดค้างอยู่ในใจเรื่องหนึ่ง”

หลิวไห่มองหน้าเธอ ผู้หญิงคนนี้ยังมีเรื่องอะไรอีก

“เล่ามา”

น้ำเสียงของหลิวไห่กระตือรือร้นเหมือนเป็นสาวขาเม้ามอยของหลี่เจี่ยซิน หญิงสาวจึงอดหัวเราะไม่ได้ สายตาของหลิวไห่ไม่ธรรมดามันบ่งบอกถึงความอยากรู้อยากเห็น หลี่เจี่ยซินกระแอมก่อนจะเริ่มเล่า

“ฟังให้ดีนะ คือฉันน่ะเคยขืนใจผู้ชายคนหนึ่งที่บังเอิญเจอกัน จนป่านนี้ฉันยังไม่รู้ว่าเขาคือใครและอยากเจอเขาเพื่อขอโทษเรื่องวันนั้นจริง ๆ ฉันทำร้ายเขายังทำร้ายคนของเขาอีกไม่รู้ป่านนี้พวกนั้นมีใครตายหรือเปล่า เธอพอจะให้ดวงตาสวรรค์ช่วยฉันได้หรือเปล่า ฉันจำโรงแรมได้ฉันว่าพวกเขาต้องมีกล้องวงจรปิด ฉันอยากรู้ว่าเขาเป็นใครหน้าตาเป็นยังไง”

หลิวไห่ถึงกับนิ่งอึ้ง เขาคิดไม่ถึงว่าหลี่เจี่ยซินจะจำเรื่องนั้นได้

“เธอจำได้ด้วยเหรอ แล้วจำหน้าเขาไม่ได้เหรอ”

หลี่เจี่ยซินส่ายหน้า

“วันนั้นฉันโดนวางยา จำหน้าใครไม่ได้รู้แต่ว่าเขาเป็นผู้ชาย”

หลิวไห่จู่ ๆ ก็รู้สึกโกรธขึ้นมา นั่นเป็นความทรงจำที่เขาไม่มีวันลืมแต่ยัยนี่กลับจำได้เพียงแต่ว่าคนที่เธอขืนใจเขาอย่างทุกข์ทรมานนั้นเป็นผู้ชาย

ใช่สิ จะให้เป็นผู้หญิงได้ยังไง

“ที่รัก ฉันขอร้องให้ดวงตาสวรรค์ช่วยฉันหน่อยได้หรือเปล่า”

ท่าทางของหลี่เจี่ยซินที่อยากรู้อยากเห็นยิ่งทำให้กู้เมิ่งคิดอยากจะแกล้งเธอ อีกทั้งเขายังไม่พร้อมที่จะเปิดเผยตัวตนของตัวเองในตอนนี้ ในคืนนั้นนอกจากหลี่เจี่ยซินจะข่มขืนเขาแล้ว เธอยังได้เจอกับเฉินเฟยอวี๋เป็นครั้งแรกด้วยเช่นกัน

ถ้าเธอเห็นวิดีโอพวกนั้นหลี่เจี่ยซินต้องสงสัยและคาดคั้นเขาแน่นอน

“เอาไว้ให้เสร็จงานใหญ่ หลังจากนั้นค่อยว่ากันได้หรือเปล่า”

หลี่เจี่ยซินดีใจจนลืมตัว แน่นอนว่าเธอดึงหลิวไห่มาจูบเพื่อตอบแทน หลิวไห่ถอนหายใจแล้วดันตัวเองออก คนกำลังมองมาทางนี้แต่หลี่เจี่ยซินติดใจเสียแล้ว เธอกดท้ายทอยของเขาเอาไว้ แทรกลิ้นเข้ามาดอมดมความหอมของกลิ่นแอลกอฮอร์ที่หลิวไห่เพิ่งดื่มเข้าไปจนเต็มปอด

กว่าเธอจะยอมปล่อยหลิวไห่ก็หอบหายใจเมื่อถูกสูดลมหายใจจนเหนื่อยหอบ

“เธอมันคนบ้า”

“อย่าถือสาฉันเลยที่รัก เธอควรจะชินได้แล้วนะอยู่กับเธอแล้วอดใจไม่อยู่ทุกทีเลย ก็เธอมันคนงามของฉันนี่”

หลี่เจี่ยซินมีความสุข เธอคีบเนื้อให้เขาอย่างเอาใจทั้งยังป้อนเขาอีก

“ยังไงฉันก็ยืนยันว่าเธอน่ะเป็นคนบ้า”

หลิวไห่ทำท่าทางโกรธไปอย่างนั้น ทั้งที่ในใจหลงระเริ่งในรสจูบของเธอเป็นอย่างยิ่ง

ในที่สุดดวงตาสวรรค์ก็สืบเรื่องเร่งด่วนของหลิวไห่ที่ถูกคนร้ายเล่นงานจนได้ความ

“ฝีมือคนที่เป็นตำนานของแฮ็กเกอร์ครับ ได้ข่าวว่าเขาวางมือไปหลายปีแล้วไม่คิดว่าจะกลับมาเล่นในสนามอีกหรือไม่ก็เป็นลูกน้องของเขา มือขวาของเขาคนนั้นในนามไร้ชื่อครับ”

หนึ่งในหนุ่มF4ดวงตาสวรรค์ของหลิวไห่เอ่ยขึ้น

“คน ๆ นี้มีฝีมือขนาดนี้เลยเหรอ ขนาดพวกนายเองยังสู้ไม่ได้”

หลิวไห่หัวเราะ เขาไม่คิดว่าเด็ก ๆ ของเขาจะด้อยกว่าแต่ก็อดทึ่งคน ๆ นั้นไม่ได้

“ก็ไม่เชิงหรอกครับ ถือว่าเขาเป็นรุ่นพี่ในวงการเขาคลุกคลีอยู่ในวงนี้มานานกว่าเรา แต่พวกเรายังไม่ได้วัดฝีมือกับเขาเลยสักครั้ง แต่เจ้านายจะตัดสินแบบนั้นไม่ได้นะครับ ผมว่ามันไม่ถูกต้อง”

หลิวไห่ยกมุมปากยิ้ม แล้วพูดว่า

“ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะทำงานให้สกุลกู้ คนเก่งแบบนั้นมีอะไรที่น่าสนใจเหรอ”

หนึ่งหนุ่มF4จึงบอกว่า

“คนหนุนหลังพวกเราจริง ๆ ก็ยักษ์ใหญ่ทั้งนั้นครับ ถ้าจะให้พวกเราเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องคดีต่าง ๆ และเล่นกับคนของรัฐบาลพวกเราก็ค่อนข้างคิดหนักครับ ถ้าหากคนที่หนุนหลังไม่ใหญ่จริง เราก็ไม่คิดจะเข้าไปยุ่งเด็ดขาด แต่ก็ยังมีอีกหลายปัจจัยครับ อย่างพวกเราที่ช่วยนายก็เพราะถูกชะตาก็แค่นั้นครับ”

“ฉันรู้ว่าฉันเก่งน่า พวกนายถึงยอมมาเป็นลูกน้อง”

หลิวไห่ไม่ถ่อมตัว เขาตบไหล่หนึ่งในนั้นเบา ๆ ก่อนที่ทุกคนจะหัวเราะตามเขาโดยไร้สาเหตุ

ในขณะนี้หลี่เจี่ยซินได้แต่นิ่งฟังพวกเขา หลายวันมานี้เธอเรียนรู้เกี่ยวกับระบบของแฮ็คเกอร์หลี่เจี่ยซินเองจากที่ไม่ค่อยเข้าใจในวันแรกในตอนนี้เธอกลับคิดว่าตัวเองนั้นเข้าใจเรื่องพวกนี้ดี ถึงขนาดมองออกถึงข้อมูลที่คนพวกนี้กำลังทำกัน แม้จะคลุกคลีกันขนาดนี้พวกเขาก็ยังไม่ยอมบอกชื่อแซ่ของตนให้เธอรู้

ในห้องนี้หลี่เจี่ยซินไม่ได้รับอนุญาตจากหลิวไห่ให้พูดอะไร หรือกระทั่งห้ามมองหน้าหนุ่ม ๆ F4 หากเธออยากเข้ามาร่วมวงด้วย

หลี่เจี่ยซินคิดว่าไม่ยุติธรรมแต่เธอก็ยอมรับ การได้เข้ามาในนี้เหมือนกับเธอได้ข้ามมาในเกาะสวรรค์ แค่เห็นคนเท่ห์ ๆ รวมตัวกันเหมือนพวกวงบอยแบนด์เธอก็มีความสุขจนเก็บเอาไปฝันหวานแล้ว ถึงต้องแอบมองพวกเขาและฟังเขาอย่างสงบนิ่งก็มีคุณค่าต่อใจซือเจ้อย่างเธอเป็นอย่างยิ่ง

หนึ่งหนุ่ม F4 พูดต่อ

“สกุลกู้กำลังทำอะไรที่น่าสนใจสักอย่าง มันท้าทายพวกเรานี่จึงเป็นเหตุผลที่พวกเราช่วยเจ้านาย ส่วนฝั่งของหัตถ์เทวดาเขาก็คงอยากจะรู้ว่าระหว่างเรากับเขาใครจะเก่งกว่ากันก็เลยกระโดดเข้ามาเล่นเกมส์นี้ครับ”

หนุ่มอีกคนอธิบายต่อ

“เขาดึงเงินจากบัญชีของเจ้าของบ่อนพนันออนไลน์ทั่วโลกแล้วโอนมาเข้าบัญชีของเจ้านาย ยังสร้างหลักฐานปลอมที่น่าเป็นไปได้ว่าเจ้านายเป็นเจ้าของบ่อนที่แท้จริงทำให้ตำรวจหลงเชื่อ”

หลิวไห่และหลี่เจี่ยซินเข้าใจแล้ว กู้เมิ่งกำลังคิดว่าหลิวไห่ยังเป็นคนอ่อนแอที่กู้เมิ่งอยากจะจับยัดเข้าคุกไปปรับทัศนคติเมื่อไหร่ก็ได้ แต่กู้เมิ่งคิดน้อยไปคราวนี้หลิวไห่จะทำให้กู้เมิ่งรู้จักคำว่า ให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัว อย่างถ่องแท้

หลิวไห่ถามต่อ

“แล้วมีวิธีจัดการหรือเปล่า เอาให้กู้เมิ่งไปต่อไม่ได้”

หนึ่งหนุ่ม F4 พูดว่า

“กำลังคิดครับ จริง ๆ เราก็มีหลายวิธีแต่ยังไม่ตัดสินว่าจะใช้ของใคร”

หลิวไห่พยักหน้า เด็กพวกนี้เก่งเรื่องคอมแต่ไม่เก่งเรื่องดัดหลังคนเขาจึงจำเป็นต้องดูแลด้วยตนเองแล้ว เขาจึงเสนอว่า

“สืบหาว่าใครบ้างที่เป็นคนทำคดีของฉัน ไล่ตั้งแต่ตัวใหญ่ ๆ ลงมาจนถึงตัวเล็กหาบัญชีลับ บัญชีของลูกเมียพวกเขา แล้วแบ่งเงินตามสัดส่วนให้ตำรวจพวกนั้นแล้วเอาหลักฐานนั้นมาให้ฉัน และทำคลิปปลอมขึ้นมา ว่าพวกเขาได้เจรจารับเงินสินบนจากฉันไปด้วย เอาให้เนียนอย่าให้ใครจับได้”

หนุ่ม F4 หัวเราะเสียงดัง

“ไม่เสียแรงที่พวกเรายกให้เป็นเจ้านาย ข้าน้อยขอคารวะจริง ๆ ไม่ต้องห่วงนะครับ เรื่องพวกนี้เราจัดการให้สบายมาก”

เงินที่อยู่ในบัญชีหลิวไห่ ถูกถ่ายโอนมาจากเงินของนักพนันทั่วโลก ถึงจะออกมาจากบัญชีของนักพนันคนละไม่มากแต่เมื่อรวมกันแล้วจึงกลายเป็นเงินก้อนมหาศาล

หลิวไห่คิดว่าหลังจากเขาถูกจับเข้าคุกแล้วเงินที่ถูกอายัดไว้ต้องถูกกู้เมิ่งดึงคืนอย่างแน่นอน ดังนั้นเขาจึงคิดกระจายเงินออกไปแล้วให้เด็กเหล่านี้ลบแอคเค้าเงินที่โอนออกให้หมด ไม่ให้กู้เมิ่งตามรอยได้

หลิวไห่หัวเราะเสียงดัง เมื่อคิดภาพกู้เมิ่งตัวสั่นเมื่อรู้ว่าตัวเองได้สูญเงินจำนวนมหาศาลของตัวเองไป พร้อมทั้งยังทำอะไรหลิวไห่ไม่ได้อย่างเช่นที่เคยเป็นมาก่อน

หลังจากคำสั่งของหลิวไห่ไม่นาน หลักฐานเท็จก็ถูกสร้างขึ้นอย่างไร้ที่ติ

เมื่อได้หลักฐานเท็จ สิ่งแรกที่หลิวไห่ทำคือโทรไปเจรจากับผู้บัญชาการตำรวจระดับสูง

“เงินพวกนี้มีคนส่งมาให้ผม หลักฐานทั้งหมดก็เป็นหลักฐานปลอมและตอนนี้เงินก็ถูกส่งเข้าบัญชีของลูกสาวท่านและเข้าบัญชีของภรรยาท่าน จำนวนนับว่าเอาผิดท่านได้เลยล่ะและผมกำลังโอนเข้าบัญชีลับของท่านอีกก้อนหนึ่ง หากเรื่องของผมยังไม่จบก็ถือว่าเป็นการเริ่มต้นระหว่างผมกับท่าน แต่หากเรื่องของผมจบเงินก้อนนั้นจะหายไปและไม่มีในประวัติการโอนเข้าบัญชีท่าน และถูกเปลี่ยนเป็นเงินสดเพื่อเป็นการปลอบใจที่ทำให้ท่านตกใจ ท่านคิดให้ดีว่าจะรับข้อเสนอของผมหรืออยากทำลายเกียรติของตัวเองให้คนทั้งประเทศได้รับรู้”

หลิวไห่หัวเราะเสียงเย็นเพื่อเป็นการป้องกันตัว เขายังให้หนุ่มF4แปลงเสียงของเขาอีกด้วย ผู้บัญชาการตำรวจคนนั้นเดิมทีก็รับสินบนอยู่บ้าง แต่ไม่เคยมีก้อนไหนใหญ่เท่าก้อนนี้มาก่อน แม้คิดจะวางมือเป็นตำรวจที่ดีก่อนเกษียณแต่เรื่องนี้กลับทำให้เขากลัวและโลภขึ้นมาอีกครั้ง หลักฐานที่หลิวไห่มีเขาเช็คอย่างละเอียดแล้วไม่มีช่องโหว่แม้แต่น้อย หากเรื่องนี้หลุดออกไปถึงเขาจะมีเส้นสายมาก ประการแรกต้องถูกสวบสวนยังต้องถูกพักราชการเอาไว้ก่อน ชื่อเสียงเกียรติยศของเขาที่สั่งสมมาย่อมมัวหมอง อีกไม่กี่ปีเขาจะเกษียณแล้วเขาย่อมไม่อยากให้เรื่องนี้เกิดขึ้น

หลังจากตัดสินใจอย่างรอบคอบในที่สุดนายตำรวจคนนั้นก็รับเงื่อนไขของหลิวไห่

“ก็ได้ ฉันตกลงต่อไปเรื่องของนายจะหายไปจากระบบของตำรวจเรา จัดการเอาหลักฐานเท็จของนายให้เรียบร้อยด้วย”

เพราะเป็นคดีข้ามชาติ การสืบสวนยังเป็นเรื่องภายในดังนั้นจึงเป็นเรื่องไม่ยากที่สามารถเคลียร์ได้โดยที่ไม่มีใครคัดค้านนอกจากตำรวจระดับล่างที่ทำคดีด้วยตนเอง ดูเหมือนว่าแม้นายจะไม่สั่งให้สืบต่อ แต่พวกเขายังดื้อด้านกัดหลิวไห่ไม่ปล่อย

เพียงสองวันหลังจากนั้น ตำรวจทุกคนที่เกี่ยวข้องต่างได้รับเงินจัดสรรปันส่วนตามลำดับชั้น พร้อมด้วยคลิปหลักฐานปลอมที่หลิวไห่สั่งให้ดวงตาสวรรค์ทำขึ้น

จู่ ๆ ภรรยาของนายตำรวจคนนั้นที่จับหลิวไห่ก็หิ้วกระเป๋าใบงามราคาแพงเข้าบ้าน ทั้งลูกสาวของเขายังได้รับโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ล่าสุดราคาแพงลิบลิ่วและแพ็คเก็จท่องเที่ยวสุดหรูที่ต่างประเทศ

ในตั๋วนั้นระบุชื่อผู้ที่มีสิทธิ์ท่องเที่ยวฟรีทั้งครอบครัวของพวกเขา

“นี่มันอะไรกัน ปรากฎว่าในข้อความมือถือของภรรยาเป็นเขาที่ส่งข้อความให้จริง จากโทรศัพท์ของเขาเองพร้อมด้วยเงินโอนออกจากบัญชีของเขาหลายหมื่นเหรียญ

ข้อความนั้นบอกว่า

“เธออยากได้อะไรก็ซื้อเลย ฉันได้รับเงินพิเศษจากการปฏิบัติงานให้เธอทำตามใจที่ต้องการเลย”

หลังจากนั้นก็ส่งหลักฐานการโอนเงินหลายหมื่นเหรียญให้ภรรยา

นอกจากภรรยาแล้วลูกสาวของเขาก็ได้รับเงินเช่นกันเพื่อเอาไปซื้อโทรศัพท์ราคาแพงเครื่องนั้น

ตำรวจคนนั้นถึงกับเหงื่อตก เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นจะตำหนิภรรยาและลูกที่ไม่รู้เรื่องก็ยังไม่กล้าเอ่ยปาก จนกระทั่งโทรศัพท์ลึกลับดังขึ้น

“ผมบอกคุณแล้ว ว่าทั้งหมดเป็นเรื่องที่ผมถูกใส่ร้าย ตอนนี้คุณก็ได้รับเงินเหมือนกันนี่ยังมีเมียกับลูกคุณอีก ยุติการสืบเรื่องนี้ซะก่อนที่เรื่องของคุณและการรับเงินสินบนของคุณจะถูกเปิดโปง ในตอนนั้นด้วยหลักฐานที่ผมมีคุณคงต้องไปแก้ตัวในคุกแล้วล่ะ คิดถึงหน้าเมียและลูกเอาไว้”

ตำรวจคนนั้นถึงกับทรุกลงกับพื้น และเพื่อนในทีมของเขาก็ได้รับข้อความในลักษณะเดียวกัน

“นี่อะไรวะ”

ตำรวจแต่ละนายต่างกลัวจนตัวสั่น คนในคลิปที่รับสินบนคือพวกเขาแน่นอน การตัดต่อนั้นก็แนบเนียนจนไม่มีข้อบกพร่องและแม้จะใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์แยกก็ยังแยกไม่ออกว่าเป็นคลิปตัดต่อ อีกทั้งยังมีเสียงของพวกเขาอีกที่เป็นหลักฐานว่ารับสินบนบ่อนพนัน

แน่นอนว่าเมื่อเดือดร้อนกันถ้วนหน้าตั้งแต่ผู้บังคับบัญชาระดับสูงจนถึงระดับล่าง เรื่องนี้จึงถูกเคลียร์อย่างเรียบร้อยและว่องไวอย่างที่หลิวไห่คาดการณ์เอาไว้

ตำรวจคนนั้นที่จับหลิวไห่ได้เข้ามาหาเขาที่ห้องทำงาน ท่าทางนอบน้อมจนหลิวไห่คิดว่าเป็นคนละคนกันกับคนเดิมเสียอีก

หลิวไห่ทำหน้าราบเรียบแล้วพูดกับเขา

“ผมบอกคุณแล้ว คุณไม่เชื่อ ผมไม่ตั้งใจทำร้ายคุณและครอบครัวแต่เรื่องบางเรื่องคุณก็ต้องเรียนรู้ว่าไม่สามารถใส่ร้ายคนอื่นเพียงเพราะหลักฐานในมือคุณได้ เข้าใจหรือเปล่า”

เขาพยักหน้า และในตอนนี้จากท่าทางของหลิวไห่เขาย่อมเชื่อแล้วว่าผู้ชายคนนั้นก็ถูกมือมืดใส่ร้ายเช่นกัน หากเขาไม่มีความสามารถพอก็คงไปนอนรับผิดในคุกไปแล้ว

เขาคอตกเดินออกมาจากบริษัทของหลิวไห่ ตอนนี้เขายังถูกพักราชการเพราะปฏิบัติหน้าที่บกพร่องจับกุมตัวผิดคน ถึงจะเศร้าใจที่ต้องถูกพักราชการเป็นเวลาหนึ่งเดือนโดยไม่ได้รับเงินเดือน แต่เขากลับได้เงินสดจากหลิวไห่จำนวนหนึ่ง ทั้งภรรยาและลูกก็ได้ของที่ตัวเองอยากได้โดยที่เขารู้ตัวเองดีว่าคงไม่มีปัญญาซื้อให้สองคนแม่ลูกเป็นแน่ เขาเป็นตำรวจที่ดีคนหนึ่งไม่เคยรับสินบนจะเอาเงินส่วนไหนให้ลูกเมียใช้สุรุ่ยสุร่ายกันล่ะ

“พ่อคะ พ่อลาพักร้อนหนึ่งเดือนเพื่อพาเราไปเที่ยวจริงเหรอคะ”

ลูกสาวของเขาถามอย่างตื่นเต้น

เขายิ้มเลื่อนลอยไม่กล้ามองหน้าลูกสาวอย่างเต็มตานัก

“ใช่จ้ะ”

“พ่อรู้หรือเปล่าว่าพ่อดีที่สุดเลย ที่ผ่านมาพ่อเอาแต่ทำงานจนหนูคิดว่าพ่อลืมเราสองคนแม่ลูกแล้ว พ่อมักจะอยู่นอกบ้านเพื่อทำงานตลอดจนไม่มีเวลาให้หนูเลย”

ตำรวจคนนั้นถึงกับน้ำตาซึม คิดถึงคำพูดของเฉินเฟยอวี๋ที่บอกกับเขาว่า

“ครอบครัวคือสิ่งสำคัญที่ผมให้เงินและตั๋วเครื่องบินไม่ใช่เพราะจะติดสินบน แต่เพราะผมไม่มีโอกาสทำแบบนั้นกับพ่อที่จากไปแล้วของผม ไปเที่ยวกับครอบครัวแทนผมด้วยนะคุณตำรวจ”

ในตอนนั้นเขาเดือดดาลมาก แต่ในตอนนี้เขากลับรู้สึกว่ามันมีค่ามากจริง ๆ เฉินเฟยอวี๋คนที่จริงคิดลึกซึ้งกว่าเขามาก

เขาคิดว่าตัวเองคงต้องตัดสินใจเกี่ยวกับเฉินเฟยอวี๋ใหม่เสียแล้ว

ข่าวเรื่องของหลิวไห่ไม่ถูกจับกุม แถมตำรวจพวกนั้นยังมาขอโทษเขาพร้อมกับช่อดอกไม้ทั้งยังนำทุกอย่างที่นำออกไปจากบริษัทมาคืนเขาอย่างสุภาพทำให้กู้เมิ่งถึงกับมือสั่นตามที่หลิวไห่ทำนาย

“มันทำได้ยังไงกัน หัตถ์ทิพย์บ้าบอนั่นมันเก่งจริงหรือเปล่า แค่เรื่องนี้ยังทำไม่ได้แล้วงานใหญ่มันจะไม่ทำพังเหรอ”

กู้เมิ่งหัวเสียเป็นอย่างมาก เขาถึงกับปาแก้วเหล้าในมือไปกระแทกกับผนังห้อง

โจอินตงลูกน้องของเขาที่ยืนอยู่ตรงนั้น เกือบไปแล้วที่หลบแก้วเหล้าไม่ทัน เขาบอกกับกู้เมิ่งว่า

“นายครับ เรื่องนี้ไม่ใช่หัตถ์เทวดาที่ดูแลด้วยตนเองแต่เป็นหนึ่งในทีมของเขา งานสำคัญที่นายให้หัตถ์เทวดาทำคือเรื่องตามหาเด็กผู้หญิงไม่ใช่เหรอครับ”

“ก็ใช่ แต่มันก็ไม่ควรให้มือสมัครเล่นมาทำเรื่องนี้”

โจอินตงส่ายหน้า

“คนนี้เป็นมือดีที่สุดรองจากหัตถ์เทวดาเลยนะครับ ถ้าหัตถ์เทวดาไม่อยู่เขาก็นับว่าเป็นมือหนึ่งของเรา”

กู้เมิ่งยิ่งฟังยิ่งอารมณ์เสีย ในตอนนี้เขารู้สึกว่าตัวเองกระจอกกว่าไอ้หลิวไห่คนขี้คุกคนนั่นอีก

“ถุ้ย มือหนึ่งของมึงทำยังกับเป็นเด็กอมมือไล่มันออกไป มันหมดประโยชน์แล้ว คนที่ทำให้กูขายหน้าคนนั้นไล่มันออกไปซะ”

“ไม่ได้นะครับนาย เขาเป็นคนสนิทของหัตถ์เทวดาหากทำให้ไม่พอใจเขาอาจไม่ช่วยเราได้ ยิ่งถ้านายใหญ่รู้เรื่องว่าเราไล่คนออกโดยไม่ไตร่ตรองนายใหญ่จะตำหนินายได้นะครับ”

โจอินตงรีบห้าม เขาเองก็ไม่คิดว่าคนของหลิวไห่จะเก่งกาจขนาดนี้ คนของเขาคนนี้เป็นนักแฮ็กเกอร์ฝีมือดี ที่ผ่านมาไม่เคยมีใครที่จะสู้กับเขาได้ ไม่คิดว่าเมื่อปะทะกันตรง ๆ กับคนของหลิวไห่จะพ่ายแพ้ยับเยินแบบนี้ ทุกสิ่งที่เป็นประโยชน์คนพวกนั้นกลับลบทิ้งทั้งหมด ข้อมูลพวกนั้นหายวับไปกับตาคนที่อยู่กับหลิวไห่ก็ล้วนแต่ไม่ธรรมดา

“โถ่โว้ย ตกลงนี่ใครเป็นเจ้านายใครเป็นลูกน้องกันแน่วะ ทำอะไรไม่ได้สักอย่างไอ้หลิวไห่นั่นยังไม่มีปัญญาจัดการมันเลย เงินมหาศาลที่ควรเป็นของฉันนั่นจู่ ๆ มันก็หายไปกับตา ไอ้หลิวไห่มันทำยังไงกันแน่ คนที่เป็นลูกน้องของมันพวกนั้น ดวงตาสวรรค์อะไรนั่น โจอินตงแกไปหาทางดึงตัวมา จะต้องใช้เงินเท่าไหร่ฉันไม่สนเอาพวกมันมาเป็นลูกน้องของฉันให้ได้”

โจอินตงรู้ดีว่านักแฮ็กเกอร์พวกนี้ไม่สนใจเรื่องเงินทอง พวกเขามีวิธีหาได้อย่างง่ายดาย เพียงแต่ว่าคนที่เป็นลูกพี่ของเขาได้ต้องฉลาดและเก่งจริงเท่านั้น เหมือนที่หัตถ์เทวดายอมรับใช้นายใหญ่ และเขาแน่ใจว่าคนที่เกือบจะจมดินอย่างหลิวไห่กลับฟื้นขึ้นมาได้อย่างยิ่งใหญ่นั้นย่อมต้องมีของดีจึงทำให้ดวงตาสวรรค์พวกนั้นยอมทำงานให้

แต่กู้เมิ่งนายของเขาคนนี้ นอกจากมีพ่อที่ยิ่งใหญ่คอยเป็นแบคให้แล้วเขาออกจะสมองทึบและโง่ไปด้วยซ้ำ ไม่มีทางที่จะดึงคนเก่งมาทำงานให้ได้แน่นอน

แต่สิ่งพวกนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่สมควรที่เขาจะพูดออกไป

“นายครับ อย่าโกรธเลยครับเราต้องใจเย็น ๆ นะครับ เรื่องหลิวไห่นั่นยังไม่สำคัญเท่างานใหญ่ที่นายใหญ่สั่งมานะครับ หลิวไห่ให้ผมส่งลูกน้องไปจัดการมันเลยดีหรือเปล่า ยิงสมองมันให้กระจายไปเลย นายจะได้ไม่ต้องเสียเวลาเล่นกับมันครับ”

“ถุ้ย คราวที่แล้วฉันส่งคนให้ไปฉุดผู้หญิงของมันมา พวกนั้นก็ตัวสั่นกลับมาบอกถูกคนของหลิวไห่รุมซ้อม ตอนนี้ยังมีหน้ามาพูดแบบนี้อีก”

ในคราวนั้นเพราะกลัวว่าเจ้านายจะหาว่าพวกเขากระจอกที่แพ้ผู้หญิงคนเดียว ลูกน้องของโจอินตงจึงตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จว่าหลิวไห่จ้างบอดี้การ์ดมืออาชีพหลายสิบคน พวกเขาจึงถูกรุมซ้อม และจนตอนนี้ทุกคนยังอยู่ที่โรงพยาบาล เมื่อเป็นแบบนี้โจอินตงจึงไม่กล้าประมาทหลิวไห่อีก

“ตั้งแต่มันออกจากคุกและยังไปเป็นคนสนิทของเถ้าแก่เฉิง มันก็ระวังตัวมากขึ้นครับ แต่คราวนี้ผมจะไม่ให้มันไหวตัวทั้งตัวของหลิวไห่และผู้หญิงคนนั้นผมจะลงมือด้วยตัวเองครับนาย นายไม่ต้องห่วง”

โจอินตงกำลังจะก้าวออกไป กู้เมิ่งจึงบอกว่า

“เดี๋ยวก่อน ผู้หญิงน่ะจับมาดี ๆ อย่าให้มีรอยช้ำ ฉันอยากลองผู้หญิงของหลิวไห่สักหน่อยว่าจะวิเศษแค่ไหน ความจริงก็สวยถูกใจฉันอยู่บ้างเข้าใจหรือเปล่า”

โจอินตงก้มหัวเล็กน้อย

“เข้าใจครับนาย ผมจะพาเธอมาโดยไม่ให้มีรอยขีดข่วนเลยครับ”

ความจริงที่กู้เมิ่งอยากได้หลี่เจี่ยซินเป็นเพราะตั้งแต่วันนั้นที่เธอแอบใส่เกลือในน้ำกับใส่ในกาแฟของเขา ทำให้กู้เมิ่งเกิดนึกชอบในความเจ้าเล่ห์ไม่กลัวคนของหลี่เจี่ยซินไม่น้อย

“ผู้หญิงดุแบบนี้สมควรอยู่ข้างกายฉันมากกว่าแก ไอ้หลิวไห่ไอ้กระจอก”

หลิวไห่และหลี่เจี่ยซินกลับไปยังบริษัท เขาพบว่ามีตำรวจที่มาพร้อมหมายค้นอยู่เต็มไปหมด

“เกิดเรื่องอะไรครับ”

ตำรวจคนหนึ่งยื่นหมายค้นให้เขาดูพร้อมกับตำรวจอีกหลายคนที่กำลังยกเอกสารพร้อมกับถอดฮาร์ทดิสของบริษัทออกจากเครื่องคอม

“ผมมาจากกองสืบสวนสวบสวนอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ ผมต้องเชิญคุณเฉินไปที่โรงพักเพื่อสอบสวนครับ”

หลี่เจี่ยซินขวางระหว่างหลิวไห่และตำรวจคนนั้นเอาไว้ ทั้งยังผลักตำรวจคนนั้นออกถึงเธอจะพยายามออมแรงแล้วแต่ตำรวจคนนั้นก็ยังเซอยู่ดี

“นี่เธอเห็นตัวเล็ก ๆ นี่แรงเยอะไม่ใช่เล่นเลยนะ”

หลี่เจี่ยซินไม่สนใจยังต่อว่าตำรวจคนนั้นต่อ

“จับกุมคนโดยไม่มีความผิดแบบนี้ก็ได้เหรอคะคุณตำรวจ”

ตำรวจคนนั้นผลักเธอออก แต่หลี่เจี่ยซินกลับยืนนิ่ง เขาพยายามจะผลักอีกครั้งแต่คราวนี้กลับถูกหลี่เจี่ยซินจับมือเอาไว้อย่างแรง

“กรุณารักษามารยาทกับผู้หญิงด้วยค่ะ”

ตำรวจถึงกับปาดเหงื่อ ยังตอบเธออย่างเกรง ๆ เล็กน้อย

“คุณเฉินเฟยอวี๋มีความผิด เราได้รับหมายค้นเรียบร้อย ยังไงก็ต้องเชิญไปที่โรงพักส่วนเรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง”

“โรงพัก ไม่ไปฉันไม่ยอมหรอก”

หลี่เจี่ยซินถลึงตาใส่ตำรวจคนนั้น หลิวไห่เห็นเธอกำลังอารมณ์ขึ้น กลัวว่าเธอจะทำร้ายคนจึงบอกให้หลี่เจี่ยซินใจเย็น ๆ

“ไม่ต้องห่วง ไม่มีอะไรน่าตกใจหรอกฉันจะกลับมาหาเธอโดยที่ไม่มีส่วนไหนบุบสลาย”

หลิวไห่ผู้คุ้นเคยกับคุกดีย่อมไม่ตกใจเรื่องเล็กแค่นี้ เขารู้โดยไม่ต้องสืบเลยว่าเป็นใครที่กำลังแกล้งเขาอยู่ในตอนนี้

“ไม่ได้นะที่รัก เธอไม่ได้ทำอะไรผิดจะไปโรงพักทำไม”

หลี่เจี่ยซินส่ายหน้าทั้งพยายามกอดเขาไว้ เธออยากจะซ่อนเขาเหมือนเด็กเล็ก ๆ คนหนึ่งแต่เฉินเฟยอวี๋ก็ตัวโตเกินไปซ่อนยังไงก็คงโดนจับได้อยู่ดี

“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า แค่แวะไปทักทายสถานีตำรวจ เธอไปบอกเลขาไป๋ให้ติดต่อทนายแล้วตามฉันไปที่โรงพักนะ”

หลี่เจี่ยซินกังวลเป็นอย่างมาก อาของเธอก็โดนสั่งย้ายไปคุมพื้นที่อื่นแล้ว ไม่อย่างนั้นเธอยังขอให้เขาช่วยเหลือได้ หรือเธอจะโทรติดต่อเขาดี

อันดับแรกเธอต้องปลอบเฉินเฟยอวี๋ก่อน ผู้ชายใจปลาซิวอย่างเขาเห็นโรงพักก็คงขาสั่นแน่ ๆ หลี่เจี่ยซินกอดเขาแล้วตบหลังเบา ๆ

“ที่รักไม่ต้องกลัวนะ ฉันจะรีบตามไปช่วย ถ้าพวกเขาจะขังเธอฉันก็จะพังห้องขังไปพาเธอออกมา”

หลี่เจี่ยซินกอดหลิวไห่แน่น เขายิ้มแล้วลูบศีรษะเธอเบา ๆ ในตอนนี้หลี่เจี่ยซินดูเป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องของเขามาก ยิ่งดูก็ยิ่งน่ารัก

“หลี่เจี่ยซิน เธอห่วงฉันมากเลยเหรอ”

“อื้ม ห่วงมากเลยถ้าเขาจับฉ้นแทนได้ฉันยอมให้จับแทนเธอเลย”

หลี่เจี่ยซินน้ำตาคลอเบ้า เธอไม่ได้ร้องไห้มานานมากแล้ว รู้สึกทนไม่ได้ที่เห็นว่าเฉินเฟยอวี๋กำลังจะถูกจับโดยไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ

ยิ่งเห็นน้ำตาของเธอหลิวไห่ก็ยิ่งหวั่นไหว สุดท้ายเขาอดทนไม่ได้ที่จะก้มลงจูบที่หน้าผากของเธอแผ่วเบา

“ที่รักของฉันไม่ต้องห่วงหรอกนะ รับรองว่าไม่มีใครเอาฉันเข้าคุกได้อีกแล้ว”

พูดจบเขาก็กอดเธอและจูบที่หน้าผากอีกครั้ง

หลี่เจี่ยซินตาค้าง รู้สึกเหมือนมีบางสิ่งแล่นผ่านตั้งแต่หน้าผากในจุดสัมผัสแผ่ขยายไปถึงปลายเท้า

หัวใจของหลี่เจี่ยซินเต้นแรงจนเธอตกใจ

หลิวไห่ถูกตำรวจพาตัวไปแล้ว หลี่เจี่ยซินรีบไปบอกเลขาไป๋ให้ตามทนายฝีมือดีที่สุดมาช่วยเฉินเฟยอวี๋

เมื่อไปถึงโรงพักหลิวไห่ถูกตั้งข้อหาฟอกเงินและแอบเปิดพนันออนไลน์มีหมายจับหลายประเทศติดตัวเขาอยู่

หลิวไห่ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาอย่างใจเย็น

แค่ฟอกเงินเรื่องเล็ก เขาเคยติดคุกด้วยข้อหาฆ่าพ่อตัวเองตายด้วยซ้ำ สำหรับหลิวไห่แล้วเรื่องนี้จึงเป็นเรื่องเล็กมากสำหรับเขา และเขารู้ดีว่าเป็นใครที่ปล่อยข่าวเท็จและทำข้อมูลเท็จนี่ออกมา

“หลักฐานของพวกคุณคืออะไรครับ”

หลิวไห่ในตอนนี้อยู่ในห้องสอบสวน ด้านข้าง ๆ ห้องนี้เป็นห้องกระจกคงมีนายตำรวจหลายคนกำลังดูอยู่ และด้านในก็เป็นห้องสี่เหลี่ยมที่เปิดไฟสลัวตามแบบในหนังสืบสวนของตำรวจเป๊ะ

นายตำรวจคนนั้นโยนแฟ้มหนาลงบนโต๊ะ

“นี่คือหลักฐานเส้นทางการเงินทั้งหมดของเว็บพนันมันเชื่อมโยงมาหาคุณ เงินจากทั่วทุกที่สำหรับสิ่งผิดกฎหมายที่คุณทำไหลเข้าบัญชีของคุณที่เซี่ยงไฮ้ ยังมีจำนวนมากที่ถูกแปลงเป็นเหรียญบิทคอยน์ มูลค่าไม่อาจนับได้ คูณเฉินมีอะไรจะพูดอีกหรือเปล่า”

หลิวไห่หัวเราะ เขายกมุมปากแล้วส่ายหน้า

“ผมปฏิเสธไม่รู้ไม่เห็นทุกข้อกล่าวหา และยังจะร่วมมือกับตำรวจตามหาตัวคนร้ายตัวจริงให้ได้ภายในสิบวัน”

ตำรวจคนนั้นหัวเราะ

“สิบวันเหรอคุณคิดว่าคุณมีโอกาสออกไปอีกเหรอ ผมได้ทำเรื่องคัดค้านการประกันตัวแล้วหยุดเล่นตลกกับผมแล้วสารภาพมาเถอะเผื่อว่าโทษหนักจะได้เป็นเบา”

หลิวไห่ยักไหล่

“ผมกำลังรอทนายของผม และผมขอบอกคุณเป็นครั้งสุดท้ายว่าผมไม่ได้ทำ”

ตำรวจคนนั้นเหมือนกำลังเต็มไปด้วยความโกรธ เขาตามสืบคดีอาชญากรรมนี้มานาน พวกเปิดเว็บพนันเถื่อนหลอกคนไปมากมายแล้วเปลี่ยนเงินพวกนี้เป็นเงินบริสุทธิ์ใช้ชีวิตอย่างสบาย

“ไม่มีโจรที่ไหนรับสารภาพง่าย ๆ หรอก เฉินเฟยอวี๋นายอย่าคิดว่านายจะรอดไปได้วันนี้ยังไงแกก็ต้องนอนคุก”

เวลาผ่านไปราวครึ่งชั่วโมงทนายของหลิวไห่มาถึงพร้อมกับหลักทรัพย์ในการประกันตัว

“อะไรกันไม่ให้ประกันตัวไม่ใช่เหรอ ฉันทำเรื่องคัดค้านไปแล้วนี่”

ตำรวจคนนั้นโวยวาย ในสายตาของเขาคนรวยอย่างเฉินเฟยอวี๋ย่อมเป็นผู้ร้ายแน่นอน เขาตามสืบเรื่องนี้มานานสุดท้ายก็จับได้จะปล่อยคนไปง่าย ๆ ได้ยังไงกัน

“ผมขอตัวก่อนนะครับ อีกสิบวันเจอกันพร้อมหลักฐานของผม”

หลิ่วไห่ตอบบ่าของเขา พร้อมกับรับโทรศัพท์ที่ถูกยึดไว้ในตอนแรกคืน ทนายความของเขาจัดการจนเรียบร้อย ทันทีที่เขาออกจากสถานีหลี่เจี่ยซินก็วิ่งมากอดเขาไว้อย่างแนบแน่น

“ไม่เป็นไรนะ เธอหายเข้าไปตั้งหลายชั่วโมงฉันจะบ้าตายอยู่แล้ว”

หลิวไห่กอดไหล่ของเธอเอาไว้ ช่วยเช็ดน้ำตาให้หลี่เจี่ยซิน ไม่เชื่อว่าจนป่านนี้เธอยังไม่หยุดร้องไห้ ดวงตาของหลี่เจี่ยซินแดงก่ำ

“ทำไมอ่อนไหวง่ายขนาดนี้ไม่สมเป็นเธอเลย”

อย่าว่าแต่หลิวไห่ไม่เข้าใจ หลี่เจี่ยซินเองก็ไม่เข้าใจตัวเองที่ทำไมพักหลัง ๆ นี้เธอมีอาการแปลกประหลาดหลายอย่าง ยิ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับเฉินเฟยอวี๋ยิ่งทำให้เธอไม่สามารถทนได้แม้แต่เรื่องเดียว

“ฉันไม่รู้สิ น้ำตามันไหลเองไหลไม่หยุดเสียด้วย”

สองคนเดินจับมือจนกระทั่งไปขึ้นรถที่จอดรออยู่ วันนี้หลี่เจี่ยซินไม่ได้ขับถรให้เฉินเฟยอวี๋เธอจึงลากคนขับรถบริษัทมาด้วยคนหนึ่ง พวกเขานั่งอยู่ด้านหลังเฉินเฟยอวี๋กดกระจกกั้นเสียงแล้วคุยกับหลี่เจี่ยซิน

“มีคนใส่ร้ายว่าฉันเป็นบอสบ่อนพนันออนไลน์ เงินจำนวนมากไหลเข้าบัญชีฉันที่เซี่ยงไฮ้ และยังมีบัญชีนอมินีอีกหลายบัญชีที่ฉันจ้างให้พวกเขาเปิดบัญชีแทน”

หลี่เจี่ยซินส่ายหน้า เธออยู่กับเฉินเฟยอวี๋แทบจะตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง วัน ๆ ก็ยุ่งกับการพลิกฟื้นบริษัทยังมีพวกสกุลกู้นั่นอีกจะเอาเวลาไหนไปทำเว็บการพนันกัน

“ทำไมถึงถูกใส่ร้ายล่ะ ใครมันจะมาใส่ร้ายเธอในเรื่องนี้กัน”

หลิวไห่ยิ้มคลึงมือเรียวของหลี่เจี่ยซินเล่นอย่างมีความสุข ทันทีที่เขาออกจากโรงพักเขาไม่คิดว่าการที่ได้เห็นหน้าหลี่เจี่ยซินที่กำลังรอเขาอยู่จะให้ความรู้สึกลึกซึ้งอ่อนหวานได้ขนาดนี้

“คนที่ไม่ชอบฉันไง กู้เมิ่งต้องเป็นเขานั่นแหละ”

หลี่เจี่ยซินกำมือแน่น

“ฉันจะไปจัดการเขาให้หลาบจำ คนเลวคนนั้นฉันจะฆ่ามันเอง”

หลิวไห่บีบมือของเธอ

“ใจเย็นคนสวย เขาทำอะไรฉันไม่ได้หรอกฉันไม่ใช่ไก่อ่อนเหมือนเดิมแล้ว ฉันจะทำให้กู้เมิ่งได้รู้ว่าเกมส์ที่แท้จริงเขาเล่นกันยังไง”

ระหว่างทางกลับบ้านหลิวไห่ตำหนิหลี่เจี่ยซินอย่างไม่พอใจ

“ฉันเตือนเธอแล้วว่าอย่ามาเจอเขาอีก คนดื้อด้านไม่รู้จักเข็ดหลาบ ฉันล่ะอ่อนใจกับเธอจริง ๆ”

“ฉันก็ไม่ได้ไปที่ไหนไกลนี่ มันคาเฟ่ใต้ออฟฟิศถิ่นของเธอเองนะ ใครจะกล้าทำอะไรอีกอย่างเขาเป็นตำรวจนะไม่ทำเรื่องนั้นหรอก”

“เธอนี่มันตาบอดหรือยังไง สองครั้งสองคราวยังไม่ยอมเชื่ออีก”

หลี่เจี่ยซินเถียงไม่ลดละ

“เมื่อกี้เธอก็ให้ฉันไปตรวจร่างกายแล้วนี่ ไม่มีอะไรผิดปกติฉันไม่ได้ถูกวางยาสักหน่อย เธอน่ะคิดมากไป ฉันว่ายังไงก็ไม่ใช่ตามที่ผลตรวจบอกนั่นแหละ”

หลิวไห่ไม่เชื่อ เขาต้องพาเธอไปตรวจที่โรงพยาบาลใหม่ให้แน่ใจว่าเธอไม่มีสารอะไรตกค้างในร่างกาย

“ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ ถ้าเธอเป็นแบบนั้นอีกแล้วฉันไม่อยู่เธอจะทำยังไง”

หลี่เจี่ยซินยักไหล่อย่างไม่แคร์

“คงต้องให้เขาช่วยแก้ขัด”

หลิวไห่โมโหจนหน้าแดง ผู้หญิงคนนี้คิดจะนอนกับคนอื่นนอกจากเขาได้ยังไง ทำไมไม่มีหัวใจกันบ้าง เขาตะคอกเธอเสียงดัง

“หลี่เจี่ยซินนี่เธอสามารถนอนกับคนอื่นได้ง่าย ๆ เหรอ”

หลี่เจี่ยซินเบ้ปาก ทั้งทำหน้าสลด

“ถ้าง่าย ๆ ก็ดีสิ ทำไมต้องเป็นเธอด้วย เธอไม่ชอบผู้หญิงนะฉันไม่ได้อยากต้องการพึ่งพาเธออีกแล้ว ฉันสงสารเธอฉันไม่อยากขืนใจเธอ ฮือ ฮือ ฮือ มันทรมานรู้มั๊ย มันทรมาน ”

หลิวไห่หัวเราะไม่ออกแล้ว คนที่โวยวายตอนนี้กลายเป็นหลี่เจี่ยซินไปแล้ว เขาตบไหล่เธอเบา ๆ พยายามที่จะปลอบใจเธอ กลัวว่าหญิงสาวจะขับรถกลับไม่ถึงบ้าน

“ไม่เป็นไร ฉันเต็มใจบอกแล้ว”

หลี่เจี่ยซินเหมือนจะร้องไห้ นับวันเธอยิ่งคิดกับเขามากขึ้นเธอต้องรีบหาคนอื่นมาแทนเขา เธอสงสารเฉินเฟยอวี๋ที่ต้องมาเป็นที่รองรับอารมณ์ของเธอ

หลี่เจี่ยซินรู้ดีว่าร่างกายของเธอไม่ปกติ หนึ่งปีมานี้ที่ใกล้จะครบรอบวันเกิดของเธอเข้าทุกวัน เธอยิ่งรู้สึกถึงความแปลกประหลาด

ปีนี้เป็นปีที่เธอจะมีอายุยี่สิบห้าปีเต็ม

“หูเสี่ยวเทียนกำลังสืบคดีสาว ๆ ที่หายตัวไปเหรอ?”

“ใช่เธอคิดว่าเป็นกลุ่มคนพวกนั้นหรือเปล่า”

“น่าจะเป็นไปได้”

หลิวไห่พยักหน้า

หลี่เจี่ยซินจึงพูดว่า

“ถ้าใช่นายตำรวจนั่นก็รู้ดีที่สุด”

“ฉันคิดว่าต้องเป็นสกุลกู้แน่ ฉันกำลังให้ลูกน้องลากตำรวจคนนั้นมาสอนสวน”

หลี่เจี่ยซินสงสัย

“ที่รักเธอกับสกุลกู้ไม่ใช่มีแค่เรื่องบริษัทใช่หรือเปล่า ยังมีเรื่องที่ไม่ได้บอกฉันใช่มั๊ย”

หลิวไห่ยิ้ม เขาจับมือของเธอแล้วคลึงเบา ๆ

“ถึงเธอจะแข็งแรงแต่ฉันก็ไม่อยากให้เธอมาเสี่ยงชีวิตไปกับฉัน เพราะฉะนั้นรู้เท่าที่ฉันอยากให้รู้เถอะ ยังไงเธอก็เป็นแค่ผู้หญิงคนหนึ่ง”

หลี่เจี่ยซินไม่ยินยอม

“ฉันเป็นบอดี้การ์ดเธอ และยังเป็นคู่หมั้นถึงจะแค่ในนามก็เถอะ ที่รักบอกฉันเถอะฉันอยากรู้จริง ๆ”

หลิวไห่ถอนหายใจ

“ฉันขอเวลาหน่อย ตอนนี้พูดจริง ๆ เลยก็คือข้อมูลที่มีอยู่ในมือของฉันก็ไม่ได้มากไปกว่าที่เธอรู้ ถ้ามันกระจ่างเมื่อไหร่ฉันสัญญาว่าฉันจะบอกเธอ”

เขาเป็นห่วงหลี่เจี่ยซินแต่เธอไม่มีรายชื่ออยู่ในกลุ่มที่พวกนั้นจับตามอง

ผู้หญิงส่วนใหญ่ไม่เป็นเจ้าของบริษัท ก็ทำงานในระดับหัวกะทิขององค์กรต่าง ๆ และข้อมูลของคนที่หายตัวไป ในตอนนี้เขาได้สั่งดวงตาสวรรค์แฮ็กเข้าไปในข้อมูลลับของตำรวจแล้ว

ตามความต้องการของหลิวไห่ ตาสวรรค์ส่งข้อมูลคนที่หายตัวไปให้กับหลิวไห่ในเวลาไม่นาน หลิวไห่ตรวจดูอย่างละเอียด

“นายครับตรงกับข้อมูลที่คนของสกุลกู้จับตาดูครับ ตอนนี้หายไปจะยี่สิบคนแล้ว”

“ยี่สิบคนเลยเหรอ แล้วตำรวจมีข้อมูลอย่างอื่นเพิ่มเติมหรือเปล่า”

หนึ่งใน F4 ของหลี่เจี่ยซินคีย์แป้นคอมรัว ๆ ไม่กี่ทีก็ได้ข้อมูลมา

“รู้สึกว่าพวกเธอจะโสดครับ และเหมือนว่ากำลังอยู่ในช่วงนัดดูตัวในเวลาใกล้ ๆ กัน เรื่องนี้น่าแปลกครับตำรวจกำลังหาผู้ชายที่เป็นคู่ดูตัวของพวกเธออยู่ รู้สึกว่าอยู่ ๆ ข้อมูลของฝั่งผู้ชายก็หายไปครับ”

หลิวไห่จึงพูดขึ้น

“ข้อมูลปลอมทั้งหมด ทั้งคนและข้อมูลพวกนั้นไม่มีอยู่จริง มีเอาไว้เพื่อล่อเหยื่อเท่านั้น”

“ผู้หญิงพวกนี้ฉลาดทุกคน ไม่น่าถูกล่อได้ง่าย ๆ นะครับ”

หลิวไห่หัวเราะ

“รู้จักสกุลกู้น้อยไป คิดว่าพวกเขาคงเตรียมการมาอย่างดีจนไร้ข้อพิรุธให้จับได้เลยล่ะ พวกเขาน่าจะยังมีแผนจับตัวคนอื่นอีก”

หลี่เจี่ยซินคิดเรื่องบางเรื่องขึ้นมา

“เธอจะคิดว่าเป็นยังไง ถ้าฉันจะช่วยเรื่องนี้”

หลิวไห่มองหน้าหวานของหญิงสาว

“เธอคิดจะทำอะไร”

หลี่เจี่ยซินยิ้มซุกซน

“ให้ฉันเป็นคนนั้นสิ เหยื่อที่พวกมันมองหา”

หลิวไห่ส่ายหน้า

“ไม่ได้ฉันไม่ยอมให้เธอเสี่ยงเป็นอันขาด ฉันบอกแล้ว”

หลี่เจี่ยซินเกลี้ยกล่อม

“เธออยากรู้ไม่ใช่เหรอว่าพวกมันจับผู้หญิงไปทำไม ด้วยฝีมือของฉันและเธอร่วมกันยังไงพวกมันก็ทำอะไรเราไม่ได้หรอก”

หลิวไห่ใคร่ครวญ หลี่เจี่ยซินเกลี้ยงกล่อมอีกหลายประโยคจนกระทั่งเขาเริ่มเห็นด้วย

“ถ้าจะปลอมเป็นผู้หญิงคนนั้นก็มีวิธีอยู่บ้าง แต่เธอต้องทำตามแผนของฉันห้ามคิดเองทำเองโดยพละการโดยเด็ดขาด”

หลี่เจี่ยซินยิ้ม

“ฉันเชื่อเธออยู่แล้ว รับรองว่าจะไม่ทำอะไรโดยที่เธอไม่อนุญาตโดยเด็ดขาด”

“ถ้ายังงั้นขอฉันคิดก่อน”

หลายวันต่อมาแผนการของหลิวไห่ที่จะส่งหลี่เจี่ยซินแฝงตัวเพื่อจับคนร้ายก็เรียบร้อย เขาเล่ารายละเอียดให้หลี่เจี่ยซินฟังอย่างครบถ้วนหลังจากนั้นคนทั้งคู่ก็มายัง ออฟฟิศของสี่หนุ่ม F4 ของหลี่เจี่ยซิน

“นายครับ พร้อมแล้วครับ ผมได้เตรียมข้อมูลและได้สลับข้อมูลที่ตำรวจคนนั้นมีส่งให้กับทางสกุลกู้แล้วครับ”

“ดีมาก ในสังคมออนไลน์ล่ะพร้อมหรือยัง”

“พร้อมครับ ต่อไปชื่อของหลี่เจินจะโด่งดังขึ้นมาในฐานะนักวิทยาศาสตร์ที่ได้เข้าร่วมกับองค์การนาซ่าอย่างลับ ๆ ของอเมริกา ข้อมูลนี้ผมกำลังปล่อยให้รั่วครับ”

“ดีมาก คิดว่าคงจะดึงความสนใจของพวกมันได้แน่ ๆ”

หลิวไห่บอกหลี่เจี่ยซินให้เตรียมพร้อม เขายังหาบ้านให้เธอหลังหนึ่ง และหาช่างแต่งหน้ามือระดับพระกาฬไว้คอยช่วยเธอปลอมตัว

“ต่อไปเธอคือหลี่เจิน เพิ่งเดินทางกลับจากอเมริกาเพื่อพักผ่อน หลังจากร่วมโปรเจ็คกับนาซ่า พวกมันกำลังตามหาตัวคนที่มีมันสมองระดับนี้ ข้อมูลปลอมฉันให้ดวงตาสวรรค์จัดการให้ทั้งหมดแล้ว ต่อไปพวกเขาจะได้รับข้อมูลนี้ คิดว่าต้องตามหาตัวเธอแน่ ฉันจะหาบ้านพักให้และติดกล้องไว้ตลอดไม่ต้องห่วงนะ”

หลี่เจี่ยซินตื่นเต้นเป็นอย่างมาก ทั้งรู้สึกทึ่งกับเฉินเฟยอวี๋

“ที่รักที่แท้เธอแอบซ่อนความเก่งกาจเอาไว้ เหมือนพระเอกซีรีส์เลย”

ดวงตาของหลี่เจี่ยซินเป็นประกาย ชื่นชมเขาเป็นอย่างมาก หลิวไห่ภูมิใจเป็นอย่างยิ่งเขาจึงอดยิ้มไม่ได้ ท่ามกลางสายตาของหนุ่ม ๆ F4 ที่มองมาอย่างขำ ๆ ทำให้เขาเขินจนหน้าแดง

โทรศัพท์ของหลิวไห่ดังขึ้น ปรากฎว่าเป็นทนายความของบริษัที่เขากำลังส่งเรื่องฟ้องร้องน้องสาวของเฉินเฟยอวี๋อยู่โทรมา

“มีเรื่องด่วนครับ คุณเฉินต้องกลับบริษัทในตอนนี้ สกุลกู้กำลังทำให้เราลำบากแล้ว”

อารมณ์หื่นของหลี่เจี่ยซินสุดท้ายก็ถูกปลดปล่อย ในขณะที่หลิวไห่กำลังยืนหนาวสั่นเพราะถูกเธอฉีกเสื้อผ้าจนขาด โชคดีที่กางเกงของเขาพอจะใส่ได้จึงไม่ได้ดูอนาจารเท่าไหร่

“ฉันขอโทษนะที่รัก ฉันรุนแรงเกินไป”

หลี่เจี่ยซินยกมือปิดปาก ดวงตากลมโตเบิกกว้างเธอตกใจที่เพิ่งรู้ว่าเขาในตอนนี้มีสภาพย่ำแย่แค่ไหน

หลิวไห่หัวเราะ พยายามทำตัวให้แข็งแรงเอาไว้ ภายในเวลาชั่วพริบตาหลี่เจี่ยซินรีดน้ำของเขาออกไปถึงสี่น้ำโดยที่เขาเองยังไม่รู้เลยว่าเธอทำได้ยังไง ดูเหมือนว่าหลี่เจี่ยซินจะมีความสามารถรู้จุดอ่อนของเขาไปเสียหมด เขายังจุกไม่หายที่เธอต่อยท้อง ขายังสั่นระริกเหมือนจะยืนไม่ไหวแล้ว พยายามทำเสียงให้เเข้มแข็ง

“ฉันไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย แค่นี้จิ๊บ ๆ ยินดีที่ได้ช่วยเธอ”

“ฉันไม่ได้ตั้งใจ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับฉันจริง ๆ ถึงได้เป็นแบบนี้”

หลิวไห่เริ่มหนาว อากาศเย็นแบบนี้เขาเหมือนจะกลายเป็นน้ำแข็งแล้ว หลังของเขาพิงผนังที่เย็นชื้นจึงเด้งออกมาอย่างไว ปากของเขาเริ่มสั่นในตอนที่หลี่เจี่ยซินดึงกางเกงของตัวเองขึ้นมา

“ฉันว่าไอ้หมอนั่นต้องวางยาเธอแน่ ๆ แต่ตอนนี้เรากลับกันเถอะก่อนจะมีใครมาเจอฉันในสภาพนี้”

หลี่เจี่ยซินอยากจะแย้ง เธอไม่คิดว่าเขาจะวางยาแน่นอน มันไม่เหตุผลเอาเสียเลยที่หูเสี่ยวเทียนจะทำแบบนั้น แต่ก็เหมือนที่เขาบอกว่าที่นี่ไม่เหมาะที่จะคุยกัน

หลี่เจี่ยซินมองถนนหน้าตรอกที่มีแสงไฟเลือนลาง เห็นว่ายังเปลี่ยวเธอจึงหิ้ว เอ๊ย พยุงเขาออกไป

หลิวไห่ปัดมือของเธอออก แค่นี้เขาก็รู้สึกว่าตัวเองดูน่าอนาจเกินไปแล้ว จึงไม่ยอมให้เธอพยุง ทันทีที่เขาเดินอย่างผ่าเผยออกไปเจอแสงไฟ ผู้หญิงกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งก็เดินผ่านมาทันที

พวกเขาเห็นหลิวไห่ในสภาพเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งทั้งกางเกงยังขาดจนเห็นกางเกงใน ถึงเขาจะกล้ามแน่นและหน้าตาดี แต่ในเวลานี้ที่โผล่ออกมามาในมุมมืดอย่างถูกจังหวะ ใครเห็นก็คิดว่าเขาเป็นพวกโรคจิตอนาจาร

“กรี๊ดดด”

“คนลามก ไอ้คนวิปริต”

เสียงกรีดร้องดังขึ้น พร้อมกับเสียงของตำรวจที่มาตรวจบริเวณนี้พอดี ตำรวจเป่านกหวีดให้เขาหยุด หลิวไห่ยังตกตะลึงเขาพยายามอธิบาย ผู้หญิงกลุ่มนั้นกำลังจะรุมตีเขาหลิวไห่ไม่เคยทำร้ายผู้หญิงจึงได้แต่ยืนนิ่ง ๆ ถูกมือถูกเท้าคนพวกนั้นไปหลายที

ก่อนที่ตำรวจจะถึงตัวของหลิวไห่ เหมือนมีลมใหญ่หอบหนึ่งพัดมาอย่างรวดเร็ว ผู้หญิงพวกนั้นถูกผลักกระเด็นกระจายเป็นวงกลมโดยรอบ หลี่เจี่ยซินหิ้วหลิวไห่ด้วยมือเดียว วิ่งหนีเร็วยิ่งกว่านักวิ่งโอลิมปิด

หลิวไห่ที่อยู่ในอ้อมแขนของหลี่เจี่ยซินรู้สึกตัวอีกที ก็ถูกเธอยัดใส่ในรถของเธอเองและขับออกมาอย่างรวดเร็ว ทิ้งคนกลุ่มใหญ่ที่อยู่ข้างหลังมึนงงว่าผู้ชายลามกคนนั้นหายไปไหน

“ที่รักฉันทำเธอเดือดร้อนแล้ว”

หลี่เจี่ยซินขอโทษขอโพยเขา เรื่องเกิดขึ้นราวกับฝันไปหลิวไห่ยังมึนงง กระทั่งเขาได้สติ หลิวไห่ในตอนนี้ยังเจ็บที่หลี่เจี่ยซินต่อยท้องเขาไม่หาย ยังมาถูกผู้หญิงพวกนั้นตบหน้าเพราะเข้าใจผิด เขารู้สึกสงสารตัวเองเป็นอย่างยิ่ง ได้แต่นั่งนวดหน้าตัวเองอย่างเจ็บปวด

นี่เขาเป็นประธานพันล้านทำไมคนพวกนั้นรวมทั้งหลี่เจี่ยซินถึงได้ย่ำยีเขาเหมือนกับคนข้างถนนทั่วไปด้วย

ทั้งหมดนี้ต้นเหตุคือหูเสี่ยวเทียนที่วางยาหลี่เจี่ยซิน

“ฉันจะไม่ปล่อยให้เธอเจอเขาอีกแล้ว ทั้งหมดเพราะเขาวางยาเธอ”

“ที่รักฉันรู้ว่าเธอไม่เชื่อฉัน แต่ฉันมั่นใจว่าไม่ใช่เขาจริง ๆ ฉันคิดว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นกับฉัน”

“ใช่สิ เธอถูกวางยาก็เลยเป็นแบบนี้ มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอยังไงล่ะ ถ้าฉันไม่ตามมาตอนนี้เธอคงถูกหมอนั่นลากไปขืนใจแล้ว”

ถึงหลิวไห่จะพูดแบบนั้นแต่เขาก็แน่ใจว่าคงเป็นหลี่เจี่ยซินที่เป็นฝ่ายปล้ำหูเสี่ยวเทียนต่างห่าง ถ้าหากเขาไม่ตามมาต้องเกิดเรื่องแน่ ๆ แค่นี้ก็ทำให้เขาโกรธจนอยากลากคอมันมากระทืบแล้ว

หลี่เจี่ยซินส่ายหน้า

“ไม่แน่นอน ฉันมีความต้องการแต่เห็นเขาแล้วกลับไม่ได้อยากนอนกับเขา ในใจของฉันมีแต่เธอน่าแปลกมากต้องเป็นเธอเท่านั้นที่ช่วยฉันได้ ที่รักเรื่องนี้แปลกฉันต้องไปหาหมอแล้ว”

หลี่เจี่ยซินพูดไปเรื่อย ๆ ในขณะที่หลิวไห่สะดุดกับคำพูดของเธอ ประโยคเมื่อกี้

“เธอว่ายังไงนะ”

หลี่เจี่ยซินทวนคำ

“ฉันคิดว่าฉันต้องไปหาหมอ”

“ไม่ใช่ก่อนหน้านั้น ก่อนไปหาหมอ”

หลี่เจี่ยซินย้อนคำพูดตัวเอง

“ฉันบอกว่าฉันต้องการมาก แต่เป็นคนอื่นไม่ได้ต้องเป็นเธอเท่านั้นในใจของฉันมีแต่เธอ”

หลิวไห่มองหลี่เจี่ยซินทั้งตกตะลึง

“เธอบอกว่าในใจมีแต่ฉันเท่านั้น”

“อิ้อ แปลกมาก ฉันไม่สามารถทำเรื่องนี้กับคนอื่นได้ ต้องเป็นเธอเท่านั้น ที่รักฉันว่าฉันไม่สบายจริง ๆ ทำไมเป็นแบบนี้”

หลิวไห่หัวเราะเสียงดัง

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า”

หลี่เจี่ยซินมองเขา “หัวเราะอะไร”

หลิวไห่อมยิ้ม ในใจลิงโลดโบยบินยิ่งกว่าผีเสื้อ

“ยัยบื้อเอ๊ย”

เขาคิดว่าเธอต้องชอบเขา แต่เธอไม่รู้ตัวยังคิดว่าตัวเองชอบไอ้หน้าขาวตำรวจนั่น ถึงจะถูกวางยาแต่เธอก็ยังคงโหยหาแค่เขา นั่นมันเป็นปฏิกิริยาของร่างกายและของหัวใจที่มีต่อคนที่เธอพอใจเท่านั้น

และแน่นอนมันคือเขา หูเสี่ยวเทียน นายแพ้ฉันแล้ว เอาล่ะฉันตัดสินใจไม่ถือสานาย

“เธอว่าฉันเหรอ”

หลิวไห่เสียงอ่อนลง

“ไม่ได้ว่า ฉันแค่บอกว่าเธอไม่สบายเธอไปตรวจร่างกายน่ะดีแล้วล่ะ ดูว่ามีสารตกค้างในร่างกายหรือเปล่า”

“อื้อ”

หลายวันต่อมาหูเสี่ยวเทียนกำลังตามสืบคดีคนหายต่อเนื่อง มีผู้หญิงหายออกจากบ้านทั้งยังติดต่อไม่ได้นับสิบคนอย่างไร้ร่องรอย เขาค่อนข้างยุ่งแต่ยังมีเวลาแวะมาหาหลี่เจี่ยซินตามที่นัดหมายกันในเย็นวันหนึ่ง

“วันนั้นขอโทษนะ ฉันเสียมารยาทหรือเปล่าที่รีบกลับแบบนั้น”

หูเสี่ยวเทียนส่ายหน้า

“ไม่เป็นไร แต่เธอเหมือนมีเรื่องด่วนนะจัดการเรียบร้อยแล้วเหรอ”

“อื้ม จัดการแล้วขอบใจที่เข้าใจนะ”

หลี่เจี่ยซินเห็นหน้าหล่อ ๆ ของเขาแล้วก็รู้สึกสบายอกสบายใจ

“เห็นเธอยุ่งมากเลยนะช่วงนี้”

“ใช่มีคดีหญิงสาวหายตัวไป แต่ละคนหน้าตาดีและอายุประมาณเธอทั้งนั้น ที่นัดมาวันนี้ก็เพื่อจะเตือนเธอให้ระวังตัว อย่าอยู่คนเดียว”

หลี่เจี่ยซินตกใจ

“มีเบาะแสคนร้ายหรือยัง”

หูเสี่ยวเทียนส่ายหน้า

“ไร้ร่องรอย คนร้ายเป็นมืออาชีพไม่มีหลักฐานอะไรเลย ฉันเห็นว่ามันน่ากลัวช่วงนี้ก็ให้ระวังหน่อย”

เขาดึงมือของหลี่เจี่ยซินไปจับ

“ฉันห่วงเธอจริง ๆ นะ”

หลี่เจี่ยซินผู้อ่อนแอในสายตาของหูเสี่ยวเทียนแกล้งทำท่าทางตกใจ กระทั่งเธอถูกใครคนหนึ่งกระชากมือออกจากการเกาะกุมของหูเสี่ยวเทียน

“ไม่ต้องห่วงหรอกคู่หมั้นของฉัน ฉันดูแลเองได้”

“ที่รักเธอมาได้ยังไง”

หลิวไห่ลากเก้าอี้ออก นั่งลงข้าง ๆ เธอ

“นี่เธอจะตกใจทำไมในเมื่อเธอนัดกับเขาอยู่ที่คาเฟ่ในตึกบริษัท ฉันก็ตามมาได้สิ”

หลี่เจี่ยซินยิ้มแหย ๆ

“เอ่อจริงด้วยแฮะ”

หลิวไห่นั่งอยู่มุมหนึ่งของร้าน เขาสั่งอาหารไปส่ง ๆ จนเต็มโต๊ะ แต่กลับไม่แตะสักคำ ยิ่งเห็นหลี่เจี่ยซินกำลังดื่มไวน์แล้วหัวเราะอย่างมีความสุขยิ่งนั่งไม่ติด

หูเสี่ยวเทียนยกแก้วไวน์ขึ้นดื่มชวนเธอกินอาหารออร์เดิรฟแสนอร่อย แล้วเริ่มชวนคุย

“ไม่คิดว่าเธอจะไปแสดงเป็นตัวประกอบด้วยนะ คิดไม่ถึงจริง ๆ”

หลี่เจี่ยซินสำลักไวน์ แทบจะพ่นใส่หน้าของหูเสี่ยวเทียน

“อ้อ คือ เอ่อ….ไม่เลือกงานไม่ยากจนน่ะ”

หูเสี่ยวเทียนหัวเราะลั่น

“กิจการของเธอกำลังไปได้ดีไม่ใช่เหรอ? หรือว่าคู่หมั้นปล่อยให้ลำบาก ถึงต้องมาทำงานเป็นตัวประกอบแบบนี้”

หลี่เจี่ยซินส่ายหน้า

“ไม่ ๆ ใช่แบบนั้น เฉินเฟยอวี๋เขาดูแลฉันดีมากเลยล่ะเพียงแต่ฉันเองอยากจะหาประสบการณ์ใหม่ ๆ บ้าง พอดีรู้จักกับคนในกองเห็นว่าสนุกดีเลยอยากลองดู ไม่เกี่ยวกับที่ว่าเขาดูแลไม่ดีหรอก”

“เข้าใจแล้ว แล้วชื่อเรื่องอะไรล่ะหนังที่เธอเล่น ถ้าหนังออกฉายฉันจะได้ไปเป็นกำลังใจให้”

หลี่เจี่ยซินมึนแล้ว เธอคิดชื่อหนังไม่ออก กระทั่งหูเสี่ยวเทียนเป็นฝ่ายตอบเสียเอง

“หรือเป็นความลับ เขาไม่ให้เธอบอกคนอื่นเหรอ?”

หลี่เจี่ยซินรีบพยักหน้า รอดแล้วเธอไม่ต้องลำบากคิดชื่อเรื่องแล้ว

“อื้อ นั่นแหละ แบบนั้นเลย นายนี่เข้าใจวงการนี้ดีนะ”

หูเสี่ยวเทียนยิ้ม

“ฉันเคยมีเพื่อนเป็นคนในวงการน่ะ”

หลี่เจี่ยซินพูดแซวขำ ๆ

“เพื่อนหรือแฟน”

เธอพูดแบบไม่คิดอะไร แต่กลับทำให้หูเสี่ยวเทียนสำลักได้

“ปิดเธอไม่ได้เลย แต่ไม่ต้องห่วงนะเราเลิกกันไปนานแล้ว”

หลี่เจี่ยซินมองเขายิ้ม ๆ สองสายตาต่างมองกันหวานเชื่อมจนกระทั่งหลี่เจี่ยซินคล้ายจะรับรู้ถึงสายตาอาฆาตมาจากมุมใดสักมุมในร้านอาหารนี้

หลี่เจี่ยซินมองไปรอบ ๆ ทุกโต๊ะดูปกติยกเว้นโต๊ะที่อยู่ห่างจากเธอไปมุมนั้น เขามาคนเดียวแต่สั่งอาหารเต็มโต๊ะ และอาหารโต๊ะนั้นกลับไม่พร่องเลยแม้แต่น้อย

ในตอนที่เธอจ้องไปยังโต๊ะนั้น คน ๆ นั้นที่กำลังยกเมนูบังหน้ายังไม่ยอมลดเมนูลง

พวกแอบติดตาม หึ กล้าลองดีกับฉันเหรอ

หลี่เจี่ยซินหัวเราะในใจ เธอยังทำตัวเป็นปกติไม่ได้แสดงออกว่ารู้แล้วว่าตัวเองกำลังโดนใครบางคนติดตามอยู่

“ลองกินนี่ดูสิ อร่อยมากเลยสลัดหนวดหมึกยักษ์ นี่เป็นเมนูชื่อดังของเชฟกะทะเหล็กเลยนะ”

หลี่เจี่ยซินเห็นจานสลัดตรงหน้าแล้วแทบจะอ้วกออกมา เธอไม่ชอบกินผักที่สุดเลย แต่ดูท่าทางของหูเสี่ยวเทียนจะชอบผู้หญิงสุขภาพดี หญิงสาวจึงฝืนใจกินเข้าไป เพียงสัมผัสกับกลิ่นเหม็นเขียวของผักนั่นทำให้เธอแทบจะคายออกมา แต่เห็นสายตาของหูเสี่ยวเทียนแล้วทำให้จำใจกลืนเข้าไปแล้วฝืนยิ้มฝืด ๆ ให้เขา

“ทำไมไม่อร่อยเหรอ”

หลี่เจี่ยซินแทบจะไม่เคี้ยวเลย เธอรีบกลืนจนผักติดคอต้องรีบดื่มน้ำตาม

“อร่อยมาก แต่ฉันคิดถึงเฉินเฟยอวี๋น่ะเขาชอบกินผักพวกนี้มาก ๆ เลย เมนูนี้เขาน่าจะชอบ”

ใบหน้าของหูเสี่ยวเที่ยนหม่นหมองเล็กน้อย

“เธอกับคู่หมั้นดูเข้าใจกันดีนะ”

“อื้มเข้าใจดีมากเลย เขากับฉันน่ะรู้ใจกันเขายังเป็นคนขี้เล่นคุยสนุกด้วยนะ อยู่กับเขาแล้วไม่เบื่อเลย”

หลังจากนั้นหลี่เจี่ยซินก็นั่งร่ายความดีงามของเฉินเฟยอวี๋ให้หูเสี่ยวเทียนฟังเป็นชั่วโมง จนกระทั่งนาฬิกาบอกเวลาสามทุ่มกว่าหลี่เจี่ยซินยังเห็นว่าคนที่แอบติดตามเธอยังนั่งอยู่ตรงนั้น เธอมองผ่านไปทางนั้นเขาต้องยกเมนูขึ้นมาปิดหน้าทุกครั้ง

หลี่เจี่ยซินคิดในใจ

ไม่เนียนไปเรียนมาใหม่นะน้อง

หญิงสาวแอบหักนิ้วรอ ดีใจที่วันนี้จะได้ยืดเส้นยืดสายสักที

“วันนี้เราสองคนคุยสนุกมากเลยนะ เธอว่าหรือเปล่า”

เมื่อเห็นว่าหูเสี่ยวเทียนดูเงียบไปจึงสงสัย

“เป็นอะไรเมาแล้วเหรอ”

หูเสี่ยวเทียนส่ายหน้า

“รู้สึกเศร้าน่ะ ความจริงคิดว่าจะคุยกับเธอหลายเรื่องเลย แต่เธอกลับเอาแต่คุยถึงคู่หมั้นฉันคนไม่มีแฟนก็เลยอดเหงาไม่ได้”

หลี่เจี่ยซินเบิกตาโต แย่แล้ว นี่เธอพูดเรื่องเฉินเฟยอวี๋มากขนาดนั้นเลยเหรอ ไม่นะเธอพูดถึงเขานิดเดียว นิดเดียวจริง ๆ

“เธออย่าเข้าใจผิดนะ คือแบบว่า..แบบ”

หลี่เจี่ยซินพยายามจะอธิบายว่าเฉินเฟยอวี๋เป็นเกย์ พวกเธอเลยเข้าใจกันได้ดีเหมือนเพื่อนสาวเท่านั้น เหมือนผู้หญิงกับผู้หญิงน่ะแม้ว่าเธอจะหื่นในบางครั้งที่เห็นเฉินเฟยอวี๋เป็นที่ระบายความใคร่ก็ตามที แต่นั่นเพราะเธอขืนใจเขาต่างหาก

“ไม่ต้องอธิบายแล้ว ฉันเข้าใจดีเห็นเธอเรียกเขาว่าที่รักแล้วก็ยินดีด้วยนะ”

หลี่เจี่ยซินน้ำตาตกใน แทนที่ความสัมพันธ์ของเธอและหูเสี่ยวเทียนจะดีขึ้น กลับดูเหมือนเขาจะเข้าใจไปแล้วว่าเธอรักเฉินเฟยอวี๋ในฐานะคู่หมั้นจริง ๆ

หรือว่าเธอจะขอเลิกกับเฉินเฟยอวี๋เพื่อพิสูจน์ความจริงใจ แล้วค่อยกลับมาจีบเขาใหม่ดี

หลี่เจี่ยซินอยากจะบอกเขาเหลือเกินว่าเฉินเฟยอวี๋เป็นเกย์ แต่เธอพูดไม่ได้ หลี่เจี่ยซินรู้สึกว่าร่างกายของตัวเองร้อนผ่าว นี่เธอเป็นอะไรไป หญิงสาวจึงขอตัวเข้าห้องน้ำ

หลี่เจี่ยซินชำเลืองตามองคนคนนั้น ก็พบว่าเขายังนั่งอยู่ที่เดิม สายตาของเธอดีเป็นอย่างยิ่ง อาหารไม่พร่องมีเพียงไวน์ที่เขาดื่มไปหลายแก้ว

สายสืบคนนี้ไม่ได้เรื่องเลย ถ้าเป็นลูกน้องของเธอ เธอคงไล่ออกแล้ว มาทำงานยังมีอารมณ์มาจิบไวน์ราคาแพงของที่นี่อีก

หลี่เจี่ยซินส่ายหน้า ยิ่งรู้สึกร้อนขึ้นกว่าเดิม อาการแปลก ๆ เกิดขึ้นกับเธอแต่เธอยังไม่รู้ว่าคืออาการอะไร

หลังจากเข้าห้องเสร็จเธอก็ล้างมือ เมื่อเงยหน้าขึ้นมองกระจกถึงกับผงะออกด้วยความตกใจ

“นี่ฉันแต่งหน้าหนาขนาดนี้เลยเหรอนี่”

หลี่เจี่ยซินในตอนนี้รู้สึกอับอายแบบสุด ๆ เธอใช้ทิชชู่เช็ดคิ้ว เช็ดหน้าของตัวเองออกอย่างแรง แต่เครื่องสำอางค์ก็กันน้ำอีก หลี่เจี่ยซินตัดสินใจใช้สบู่ล้างมือมาล้างหน้าของตัวเอง

เอาล่า หน้าฉันหนาขนาดนี้คงไม่แพ้หรอก

กว่าจะลบคราบเครื่องสำอางค์ออกไปจนเหลือหน้าใสกิ๊กของเธอดังเดิมก็ลำบากไม่น้อย

หลี่เจี่ยซินกรีดร้องในใจ

เฉินเฟยอวี๋คนบ้า เขาบอกว่าจะแต่งหน้าให้เธอบาง ๆ ยังไงล่ะ แต่เธอดูกระจกในห้องของเฉินเฟยอวี๋แล้วนะ ตอนนั้นก็ดูสวยใสดีนี่

แต่ก่อนเธอออกมาเฉินเฟยอวี๋บอกของเติมให้เธอเล็กน้อย เธอเองก็ไม่คิดมากเลยปล่อยเขาทำ ไม่คิดว่าเขาจะแกล้งเธอได้

หมดกัน แต่งหน้าขั้นเทพใสกิ๊กเหมือนไม่ได้แต่งอะไร หลี่เจี่ยซินคำรามลั่น

“นี่มันเหมือนจะไปเล่นงิ้วที่ไหนเลย ฮือ ฮือ ภาพสาวน้อยน่าใสหายไปหมดแล้ว”

หลี่เจี่ยซินโมโหยังโกรธเฉินเฟยอวี๋ไม่หาย เมื่อออกมาจากห้องน้ำเธอกลับเห็นชายหญิงคู่หนึ่งกำลังยืนจูบกันหน้าไม่อายอยู่ตรงนั้น

หลี่เจี่ยซินตกตะลึง เมื่อเห็นว่าพวกเขายังแลกลิ้นกันอย่างเอาเป็นเอาตาย

พวกเขาหันมาเห็นหลี่เจี่ยซินแล้ว สองคนดูตกใจเป็นอย่างมากจึงรีบจับมือกันก้มหน้าเดินหนีไปอย่างละอาย

พวกเขาทิ้งภาพวาบหวิวเอาไว้ให้เธอ หลี่เจี่ยซินยืนแข็งทื่อ อาการนี้มันเกิดขึ้นอีกแล้ว เธอเกิดความต้องการจนแทบคลั่ง

ภาพคนจูบกันทำให้เธอมีอารมณ์ทางเพศอย่างรุนแรง สิ่งแรกที่เธอคิดคือจะมีใครมาช่วยเธอได้ ใช่แล้วเธออยู่กับหูเสี่ยวเทียน

หูเสี่ยวเทียน หูเสี่ยวเทียน

หลี่เจี่ยซินท่องชื่อของเขา ทั้งยังพยายามระงับอารมณ์ของตัวเอง เธอกลับมาที่โต๊ะเรียกว่าแทบจะถลาเข้าไปหาเขาก็ได้

หูเสี่ยวเทียนมองท่าทางประหลาดของเธอพร้อมกับถาม

“ไม่สบายหรือเปล่าหน้าแดงมากเลย”

ตอนนี้หลี่เจี่ยซินคงเห็นสภาพของตัวเองแล้วหูเสี่ยวเทียนเลยคิดว่าหญิงสาวคงตกใจจึงออกมาในสภาพสาวน้อยน่าใสคนเดิมแบบนี้

หลี่เจี่ยซินกลับจ้องเขาดวงตาแทบจะถลนออกจากเบ้า แต่แปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่งเมื่อเธอกลับเห็นใบหน้าของเขาเป็นใบหน้าของเฉินเฟยอวี๋

เธอส่ายหน้าให้สติกลับมา พร้อมกับพูดประโยคที่หูเสี่ยวเทียนไม่เข้าใจ

“แปลกมาก ไม่ได้ ยังไงกับเธอฉันกับเป็นแบบนี้”

ในใจของหลี่เจี่ยซินร่ำร้องหาเพียงเฉินเฟยอวี๋เท่านั้น เฉินเฟยอวี๋คนเดียว

หลี่เจี่ยซินยกมือทาบอก เธอต้องรีบกลับบ้านให้เขาช่วยในตอนนี้ เธอมองแก้วไวน์ที่ตัวเองดื่มจนหมดไปหลายแก้ว จะเรียกว่าหมดไปเป็นขวดแล้วมองหน้าหูเสี่ยวเทียน

“หูเสี่ยวเทียนมันวางยาเสียสาวกับเธอแน่ ๆ”

คำพูดของเฉินเฟยอวี๋ลอยมาอีกครั้ง หลี่เจี่ยซินมองหูเสี่ยวเทียนอย่างไม่ไว้ใจ เธอไม่มีหลักฐานแต่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นสองครั้งติดกันแล้ว แต่เขายังดูปกติหลี่เจี่ยซินจึงคิดว่าไม่น่าใช่ เขาเป็นคนดีมาก ๆ คนหนึ่ง ต้องมีอะไรที่ผิดปกติ

“หลี่เจี่ยซินเธอเป็นอะไร”

หลี่เจี่ยซินส่ายหน้าแรง ๆ แล้วบอกเขาว่า

“ฉันจะกลับบ้านแล้ว ขอบคุณสำหรับอาหาร สวัสดี”

หูเสี่ยวเทียนกำลังจะลุกขึ้นบอกจะไปส่ง หลี่เจี่ยซินดันเขาให้นั่งลงอย่างลืมตัว หูเสี่ยวเทียนในตอนนี้ไม่สามารถขยับได้เขาตกใจไม่น้อย

“ไม่ต้อง ฉันกลับเองไว้ฉันจะโทรหา”

หูเสี่ยวเทียนยังตกตะลึงในกำลังของหลี่เจี่ยซิน เขานั่งนิ่งไม่ไหวติงอยู่ตรงนั้น

หลี่เจี่ยซินแทบจะวิ่งออกจากภัตตาคารแห่งนั้น และเธอรู้ว่าตัวเองถูกใครคนหนึ่งติดตามออกมา หลี่เจี่ยซินคิดว่าจะจัดการคนคนนั้นให้รู้สำนึกที่บังอาจมาคอยตามเธอ แทนที่เธอจะเดินตรงไปที่รถกลับเดินมาที่ตรอกเปลี่ยวแห่งหนึ่ง

หลี่เจี่ยซินยืนนิ่งที่ตรอกมืดมิด คนคนนั้นเดินเข้ามาช้า ๆ หลี่เจี่ยซินขยับตัวรวดเร็วต่อยเข้าไปที่ท้องของเขาอย่างแรง

หลิวไห่รู้สึกว่าตับไตไส้พุงของเขากำลังแตกกระจายเป็นเสี่ยง ๆ นี่เกิดอะไรขึ้น

“หลี่เจี่ยซิน”

มีเพียงชื่อเธอเท่านั้นที่เขาเปล่งออกมาได้ เขาไม่มีแรงที่จะห้ามเธอแล้ว

หลี่เจี่ยซินยั้งมือทันทีเมื่อรู้ว่าเป็นใคร เธอร้องออกมาด้วยความตกใจ

“ที่รักทำไมเป็นเธอล่ะ ฉันเกือบฆ่าเธอแล้วรู้หรือเปล่า”

หลิวไห่พูดไม่ออก ดีที่หลี่เจี่ยซินยั้งมือเอาไว้ทันไม่งั้นเขาคงล้มพับไปแล้ว

“ฉันเป็นห่วงเลยตามมาดู”

หลี่เจี่ยซินจู่ ๆ ก็น้ำตาไหลพราก เธอซาบซึ้งในความห่วงใยนี้ และ ก็กลิ่นของเขาทำให้เธอรู้สึกดีเป็นอย่างยิ่ง เธอเริ่มลวนลามเขา หลิวไห่ยังเจ็บอยู่เขายังไม่รู้ตัว จนกระทั่งหลี่เจี่ยซินลูบเข้าไปในเสื้อของเขา สัมผัสฝ่ามือกับกล้ามเนื้อเป็นลอนสวยที่ทำเอาเธอน้ำลายสอ

เมื่อสักครู่เธอไม่ได้รู้สึกแบบนี้กับหูเสี่ยวเทียน มีเพียงแต่เขาเท่านั้นที่เธอเกิดอาการคลั่งเซ็กส์แบบนี้

“ละ หลี่เจี่ยซิน อย่าบอกนะว่า”

“ที่รัก ช่วยฉันนะ”

“หลี่เจี่ยซิน เธอเพิ่งต่อยท้องฉันนะ ฉันยังเจ็บอยู่เลย เอาไว้เรากลับบ้านกันก่อนนะ ฉันจะช่วยเธอ ฉันขอร้องตรงนี้ไม่ได้”

“ที่รักไม่ทันแล้ว ฉันอ๊าอยากได้เธอตอนนี้”

หลี่เจี่ยซินไม่ฟังอะไรแล้ว เธอฉีกเสื้อผ้าของหลิวไห่จนขาด โดยที่เขาไม่ทันตั้งตัวหลิวไห่ที่เพิ่งถูกต่อยท้องเจ็บจนน้ำตาเล็ดก็ถูกหลี่เจี่ยซินผลักชิดกำแพงชื้น ถอดกางเกงของเขาแล้วใช้มือย่ำยีงูที่กำลังนอนหลับสนิทอยู่ในที่ปลอดภัยจนมันผงกหัวขึ้นมา

หลิวไห่ร้องอย่างแค้นเคือง

“หลี่เจี่ยซินนี่เธอถูกวางยาอีกแล้วแน่ ๆ ฉันบอกแล้วว่าอย่ามาเจอเขาอีก”

“ที่รัก อื้อ อย่าพูดเลย ฉันสัญญาว่าครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย อ๊า อื้ม จูบของที่รักหวานที่สุดเลย อื้ม”

หลังจากนั้นที่ตรอกแคบอันมืดมิดที่แสงไฟส่องไม่ถึง แห่งนี้ก็มีเสียงครางแผ่ว ๆ ของคนคู่หนึ่งดังขึ้น

“แน่ใจนะว่าชุดนี้สวย”

หลิวไห่พยักหน้า

“สวยมาก”

“จริงเหรอแต่ฉันว่ามันแปลก ๆ เธอไม่คิดว่าแปลกเลยเหรอ”

หลิวไห่ไม่ยอมให้เธอเปลี่ยน ยังหว่านล้อมด้วยราคาที่แสนแพงของมัน

“รู้หรือเปล่าว่านี่มันกุชชี่เลยนะ ชุดนี้หมื่นหยวน เธอไม่เชื่อรสนิยมฉันเหรอ”

หลี่เจี่ยซินหมุนตัวเธอไม่แน่ใจ เธอจะไปดินเนอร์กับชายในดวงใจหูเสี่ยวเทียนแต่หลิวไห่กำลังให้เธอแต่งชุดเหมือนชุดวอร์มที่กำลังจะไปยิมแบบนี้ด้วยล่ะ

“บ้าแล้ว ที่รักสมองเธอฟั่นเฟือนแล้ว นี่ฉันอุตส่าห์คิดว่าเธอมีรสนิยมที่สุดแล้วนะ ฉันว่าฉันเปลี่ยนดีกว่า แต่ชุดกระโปรงไม่ค่อยมีคราวที่แล้วที่ไปงานก็มีอยู่ชุดเดียว ตอนนั้นเราสองคนรุนแรงกันมาก มันขาดหมดแล้วเสียดายจริง ๆ”

หลี่เจี่ยซินหมายถึงเรื่องเซ็กส์ระหว่างเธอกับหลิวไห่ เธอพูดอย่างไม่อายแต่เขากลับหน้าแดง

หลี่เจี่ยซินยิ้ม คิดว่าเขาคงเห็นเป็นเรื่องอัปยศ และอยากจะลืมหลี่เจี่ยซินจึงพูดปลอบ

“ไม่ต้องคิดมากน่า ฉันไม่ถือสาหรอก”

หลิวไห่ตะคอกเสียงดัง

“แต่ฉันถือสา เธอมันคนไม่มีหัวใจ”

หลี่เจี่ยซินยิ้มหวานย้อย ตบที่อกเขาเบา ๆ ให้เขาใจเย็นลง

“ใจฉันให้หูเสี่ยวเทียนไปแล้ว ไม่เหลือแล้วล่ะ”

หลิวไห่อ้าปากค้าง เขากำลังช๊อคกับคำตอบที่ได้ยิน ทั้งเสียใจรู้สึกเหมือนกำลังโดนเธอกระโดดถีบที่ผนังห้องหัวใจอย่างแรงไปหลายครั้ง เขากัดปากแล้วพูดเสียงเย็น

“เอามีดมาแทงฉันเลยถ้าจะพูดแบบนี้”

หลี่เจี่ยซินคิดว่าเขากำลังอิจฉาตัวเองที่กำลังมีความรักจึงปลอบใจด้วยกอดแรง ๆ ไปครั้งหนึ่ง

“อย่าอิจฉาฉันเลย สักวันเธอต้องเจอคนที่เธอชอบจริง ๆ เหมือนฉัน”

หลิวไห่จ้องเธอเขม็ง ดวงตาของเขาเหมือนมีน้ำขังอยู่ในนั้น

“ถ้าฉันจะบอกเธอว่าฉันเจอแล้ว แต่คนคนนั้นไม่เคยรู้ตัวเลยเธอจะเชื่อหรือเปล่า”

เขาส่งผ่านความรู้สึกออกไปทางสายตา ทั้งออดอ้อนและวิงวอนไม่ต้องการให้เธอไปกินข้าวกับไอ้ตำรวจหน้าขาวคนนั้น คนที่เขาเข้าใจว่าเคยวางยาเสียสาวหลี่เจี่ยซิน

หญิงสาวมองเห็นความอบอุ่นและความจริงใจในสายตาของเขา เธอยิ้มพร้อมกับจับมือของผู้ชายที่เธอคิดว่าคือเฉินเฟยอวี๋เอาไว้

“ที่รัก นี่เธอหมายความว่าเธอเจอคนที่ชอบจริง ๆ แล้วใช่หรือเปล่า”

หลี่เจี่ยซินมองเขาอย่างอบอุ่น หลิวไห่เปิดเปลือยความรู้สึกของตัวเองกับเธอ หวังให้เธอเห็นว่าเขาคิดอะไรกับเธอ

“ใช่ ฉันเจอคน ๆ นั้นแล้ว”

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า”

หลิวไห่ที่กำลังซึ้งถลึงตาใส่หลี่เจี่ยซิน

“เธอเป็นบ้าอะไร อยู่ ๆ หัวเราะขึ้นมา”

“ก็ที่รัก เธอพูดแบบนี้ที่ควงผู้ชายใหม่ทุกครั้งนี่นา แล้วก็เลิกกันฉันฟังจนเบื่อแล้ว เฮ้ย อย่าเป็นคนแบบนี้เลยเธอจะเสียใจเปล่า ๆ”

หลิวไห่กำมือแน่น นั่นมันเป็นเฉินเฟยอวี๋เกี่ยวอะไรกับเขากันเล่า ไอ้น้องเฮงซวยพลอยทำให้เขาโดนเข้าใจผิดไปด้วย

หลี่เจี่ยซินทำท่าจะถอดชุดพละออก หลิวไห่รีบห้าม

“ทำไม่ล่ะ เธอยังจะให้ใส่อีกเหรอ”

เขาจับแขนทั้งสองข้างของเธอเอาไว้ แล้วพูดอย่างจริงจัง

“เธออยากรู้หรือเปล่าว่าเขาชอบเธอแค่ไหน?”

หลี่เจี่ยซินหยุดฟัง

“ก็อยากรู้นะ”

“ใช่ อยากรู้ใช่หรือเปล่า นี่ไงมีวิธีถ้าเธอใส่ชุดนี้ไปแล้วเขารับได้ เขายังกินข้าวกับเธอและยังติดต่อเธอปกติแปลว่าเขาชอบเธอจริง ๆ ”

หลี่เจี่ยซินผู้ไม่มีประสบการณ์ด้านความรักเริ่มลังเล

“จริงเหรอ เธอคิดว่ามันจะช่วยพิสูจน์เหรอ”

“ใช่สิ ใส่ชุดนี้แหละ เธอปิดเขาไม่มิดหรอก ถ้าสมมุติแต่งงานกันสักวันเขาก็ต้องรู้ว่าเธอน่ะไม่ใช่ผู้หญิงอ่อนแอ ถ้าเลิกกันตอนนั้นยิ่งจะต้องเสียใจ”

หลี่เจี่ยซินคิดหนัก ใคร่ครวญอยู่หลายรอบ คำพูดของหูเสี่ยวเทียนเธอยังจำได้ทุกประโยค

ฉันชอบผู้หญิงตัวเล็กน่ารัก ดูอ่อนแอนุ่มนิ่มสมกับที่เป็นผู้หญิงน่ะ โตขึ้นฉันอยากเป็นตำรวจเพื่อปกป้องเธอ

หลี่เจี่ยซินคำทบทวนคำพูดนี้ซ้ำไปซ้ำมา แต่หากว่าเรื่องมันเลยเถิดถึงขั้นแต่งงาน เธออาจจะเผลอเปิดเผยความลับนี้ ทำให้เขารู้และเขาอาจจะทิ้งเธอไป

“เฉินเฟยอวี๋ เธอนี่มันสุดยอดเลย”

เอาล่ะหลี่เจี่ยซินตั้งใจจะค่อย ๆ เปิดเผยตัวตนของตัวเองให้เขารู้เล็กน้อย แค่เล็กน้อยเท่านั้นนะไม่มากไปกว่านี้

“ตกลงเธอจะใส่ใช่หรือเปล่า”

หลี่เจี่ยซินพยักหน้า

“อื้ม ฉันว่าจะลองใจเขาดู”

เมื่อหลี่เจี่ยซินขับรถออกไปยังร้านอาหารสุดหรู หลิวไห่ย่อมอยู่ไม่ได้ เขาปลอมตัวออกไปให้เห็นเธอกับตา หวังว่าเจ้าหูเสี่ยวเทียนนั่นคงสลัดเธอทิ้งแบบไม่ไยดี

หลิวไห่หัวเราะสะใจอยู่คนเดียว หลี่เจี่ยซินเธอนี่จริง ๆ ก็เป็นผู้หญิงโง่คนหนึ่ง ที่ปล่อยให้เขาหลอกได้ง่าย ๆ

เวลา 19.00 น. หลี่เจี่ยซินปรากฎที่หน้าร้านอาหารหรู เธอบอกพนักงานหน้าร้านว่าจองโต๊ะเอาไว้แล้ว แต่พนักงานไม่ให้เธอเข้าเพราะการแต่งตัวของเธอ

“ไปซะ ออกไปจากหน้าร้านอย่าเกะกะ”

หลี่เจี่ยซินพูดอย่างสุภาพ

“เอ่อ คือเพื่อนของฉันเขาจองร้านนี้เอาไว้ นี่ฉันก็มาถูกร้านนี่คะ คุณช่วยเช็คให้หน่อยนะคะ จองในนามของผู้กองหูเสี่ยวเทียนค่ะ”

นอกจากพนักงานคนนั้นจะไม่ดูรายชื่อจองให้เธอแล้ว ยังเรียก รปภ.มีช่วยไล่เธออีก หลี่เจี่ยซินจึงเริ่มโวยวาย

“อะไรกัน ร้านอาหารนี่คนก็บอกจองไว้แล้ว ชื่อของผู้กองหูเสี่ยวเทียนทำไมไม่ให้เข้าไป มาซื้อกินนะไม่ได้มาขอ”

หลี่เจี่ยซินเริ่มโวยวาย เธอโมโหแทบจะต่อยผู้ชายคนนั้นที่มองเธอด้วยสายตาดูถูก

“ไม่ได้ เธอจะใส่ชุดแบบนี้เข้าไปไม่ได้ ต้องกลับไปเปลี่ยนให้เรียบร้อย เธอดูคนอื่น ๆ สิ มารยาทการแต่งกายมีหรือเปล่ากลับไปเลย แอบอ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้ หน้าตาก็สวยดีไม่คิดว่าจะหากินด้วยวิธีนี้”

“นี่นายไม่เห็นเหรอ นี่กุชชี่เลยนะราคาหลายหมื่นเหรียญ นายนี่มันตาบอดชัด ๆ ทำไมฉันจะใส่ชุดนี้แล้วยังไงห๊ะ”

พนักงานคนนั้นเป็น รปภ. พูดเสียงแข็งและดุใส่เธอ ยังทำหน้าตาเหมือนรังเกียจ เขายังผลักเธอให้ถอยไปจากหน้าร้านอีกหลายที หลี่เจี่ยซินปัดมือของเขาออก ผู้ชายคนนั้นถลึงตาใส่เธอ ยังไล่เธอแบบไม่ให้เกียรติ

“อย่ามาเกะกะหน้าร้าน ไปไหนก็ไป”

หลี่เจี่ยซินรับไม่ได้กับสายตาแบบนั้น ถ้าบอกเธอดี ๆ เธอยังจะกลับไปเปลี่ยนให้ นี่ไล่ยังกับหมูกับหมา เหมือนเธอเป็นขอทานเธอจึงไม่ยอม

“นายนี่มันวอนโดนซะแล้ว เดี๋ยวเหอะ”

หลี่เจี่ยซินกำหมัดแน่น คิดว่าจะซัดเขาสักที หลิวไห่แอบมองเธออยู่ห่าง ๆ ครั้งแรกก็นึกโกรธเป็นไฟ อยากจะเข้าไปสั่งสอนคนพวกนั้นแทนหลี่เจี่ยซิน แต่ก็คิดได้ว่าเขาไม่ควรแสดงตัว จึงแอบมองอยู่ห่าง ๆ อย่างห่วง ๆ

ก่อนที่หลี่เจี่ยซินจะต่อยคน หูเสี่ยวเทียนก็มาถึงพอดี

“คุณหู”

พนักงานคนนั้นรวมทั้ง รปภ.รู้จักหูเสี่ยวเทียนเป็นอย่างดี หลี่เจี่ยซินรีบฟ้องโดยไม่รอช้า

“คนพวกนี้ไม่ให้ฉันเข้าไป นายดูเถอะ เราเปลี่ยนร้านกันดีกว่า พวกเขาหาว่าฉันใส่ชุดพละมา นี่ฉันเพิ่งกลับจากออกกำลังกายเสร็จ ตัวแค่เหม็นเหงื่อนิดหน่อย หน้าสดเล็กน้อย กลัวนายรอก็ตรงมาที่นี่เลย พวกเขาเห็นฉันโทรม ๆ ล่ะสิเลยไม่ยอมให้เข้าไป เราไปหาร้านใหม่ดีกว่า ฉันไม่ชอบร้านนี้แล้ว”

หูเสี่ยวเทียนมองชุดกีฬาราคาแพงลิ่วที่หลี่เจี่ยซินใส่ ทั้งใบหน้าของเธอที่ถูกแต่งจนเข้ม หญิงสาวปัดแก้มแดงแจ๋ ขนตาหนาเตะเหมือนจะพาเธอบินได้ ในขณะที่ปากก็ถูกเคลือบด้วยลิปสติกสีแดงเป็นลูกเชอรี่แบบนั้น เขาสูดหายใจฟุดฟิดก็ได้กลิ่นน้ำหอมโชยฟุ้งจนเขาแทบจาม ทำให้เขาถึงกับนึกเอ็นดู

“หลี่เจี่ยซิน นี่เธอไม่ได้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ออกกำลังกายเสร็จก็ออกมาเลยจริง ๆ นะ อ้อ หน้าสดด้วย อืม มิน่าล่ะเขาถึงไม่ให้เข้า”

หูเสี่ยวเทียนถามเธอทั้งอมยิ้ม ยิ่งดูก็ยิ่งคิดว่าเธอน่ารักยิ่งกว่าเดิม เธอคงจะตื่นเต้นมากที่จะมากินข้าวกับเขาจนลนลานไปหมด

หลี่เจี่ยซินพยักหน้า ทำหน้าตาบ๊องแบ๊วใส่เขา ริมฝีปากแดงของเธอดูไปดูมาเหมือนไปดื่มเลือดมาเสียมากกว่าจะแดงเป็นสีเชอรี่แล้ว เธอยังปั้นหน้าโกหกต่อ

“ใช่สิ ฉันหน้าสดแต่ยังสวยนะ”

หูเสี่ยวเทียนอมยิ้ม คิดว่าหน้าสดก็หน้าสด ยังไงหลี่เจี่ยซินก็น่ารักสำหรับเขาอยู่ดี หูเสี่ยวเทียนจับมือของเธอแล้วพาเข้าไปข้างในโดยที่ไม่มีใครมาขวางอีก

หลิวไห่กำมือแน่น เขาทุบกำแพงจนเจ็บมือเพราะลืมตัวเมื่อเห็นว่าหูเสี่ยวเทียนไม่เกรงใจแหวนหมั้นบนนิ้วของหลี่เจี่ยซินเลยแม้แต่น้อย เห็นทีว่าเขาต้องบังคับให้หลี่เจี่ยซินใส่วงใหญ่ขึ้นแล้ว ก่อนจะเดินตามเข้าไปในร้านอยางเงียบเชียบ

หลี่เจี่ยซินเห็นว่าพนักงานสองคนนั้นถึงกับตัวสั่น เมื่อเข้าไปในร้านยังได้ที่นั่งวีไอพี วิวร้อยล้านอีกต่างหาก

“คนพวกนั้นทำแบบนั้นกับเธอฉันขอโทษด้วยนะ”

หลี่เจี่ยซินกลายเป็นผู้หญิงอ่อนหวาน

“ไม่เป็นไร ฉันไม่ถือโทษหรอกพวกเขาแค่ทำตามกฎ”

ถ้านายมาไม่ทัน ฉันต่อยหน้ามันไปแล้ว โชคดีของพวกมันที่รอดตายวันนี้ แม้ในใจจะคิดเรื่องเลือดสาดแต่กลับยิ้มอ่อนหวานเหมือนกระต่ายน้อยให้หูเสี่ยวเทียน

“เธอนี่ยังน่ารักอ่อนโยนเหมือนเดิมเลยนะ วันนี้เราคุยกันนานหน่อยนะอย่าเพิ่งรีบกลับ”

หลี่เจี่ยซินทำตาแป๋วให้ดูน่ารักที่สุดเท่าที่จะทำได้

“ได้สิ ฉันไม่มีธูระอะไรอยู่แล้ว”

“คู่หมั้นของเธอคงจะไม่ว่า”

หลี่เจี่ยซินรีบโบกมือ เธอยังแอบถอดแหวนหมั้นเอาไว้ในกระเป๋ากางเกง พยายามกางนิ้วให้หูเสี่ยวเทียนเห็นว่านิ้วของเธอว่างเปล่า

“ไม่เป็นไร ความสัมพันธ์ของเราสองคนมันไม่ได้ลึกซึ้งขนาดนั้น ก็เลยไม่ได้ต้องมานั่งหึงหวงกัน”

หูเสี่ยวเทียนพยักหน้า เขาเห็นแล้วว่านิ้วของเธอไม่มีแหวนหมั้น จึงอมยิ้มอย่างมีความสุข ไม่แน่ว่าหลี่เจี่ยซินอาจกำลังจะถอนหมั้นเร็ว ๆ นี้

เราเรียกพนักงานเข้ามาแล้วพูดเสียงเบาในระหว่างที่หลี่เจี่ยซินกำลังสั่งอาหาร

“ไปบอกสองคนนั้นมาคุกเข่าขอโทษคุณผู้หญิงซะ ถ้ายังไม่อยากถูกไล่ออก”

“ค่ะ”

หลี่เจี่ยซินได้ยินที่เขาพูด เธอมองหูเสี่ยวเทียนอย่างสงสัย

“ร้านนี้เป็นร้านของพ่อฉันน่ะ รู้สึกว่าเธอไม่เคยมาอาหารค่อนข้างอร่อยอยากให้เธอได้กิน”

หลี่เจี่ยซินเข้าใจแล้ว โอ๊ะ หล่อ รวย ขาว สูง สเป๊ค กรี๊ดด

ในขณะที่หลิวไห่ตามเข้ามาและนั่งแอบดูอยู่มุมหนึ่ง เขาแอบจองร้านอาหารนี้ตั้งแต่รู้ว่าหูเสี่ยวเทียนจะพาเธอมา จึงขอมุมที่ใกล้พวกเขาแต่ไม่เป็นที่สังเกตุ

หลี่เจี่ยซินถูกเขาจับแต่งหน้าจัด และใส่ชุดวอร์มแบบนั้นหูเสี่ยวเทียนยังไม่มีปฏิกิริยา ทำให้ผิดจากที่หลิวไห่คาดการณ์เอาไว้ ตอนนี้ในใจของหลิ่วไห่แทบจะลุกเป็นไฟแล้ว

เขากำหมัดแน่นเมื่อเห็นว่าหูเสี่ยวเทียนกำลังรุกหนักแค่ไหน

หลี่เจี่ยซิน เธออย่าหวังว่าจะพ้นเงื้อมมือฉัน ฉันไม่มีทางยอมเด็ดขาด

“พี่ชายฉันเบื่อแล้วจะให้ฉันกลับเมื่อไหร่”

เฉินเฟยอวี๋วีดีโอคอลมาหาหลิวไห่ในตอนที่เขาหลี่เจี่ยซินบอกเขาว่าจะออกไปจัดการธุระส่วนตัวที่โรงฝึก เขาคุยโทรศัพท์ไปด้วยดูกล้องวงจรปิดที่ให้ดวงตาสวรรค์แฮ็คข้อกล้องของจราจรเพื่อติดตามหลี่เจี่ยซินด้วยความเป็นห่วง

เขาเห็นเธอจอดรถแล้วและกำลังเดินเข้าไปที่โรงฝึกท่าทางอารมณ์ดีเป็นอย่างยิ่ง

“พี่ชายนายฟังฉันอยู่หรือเปล่า ใจลอยไปถึงไหนแล้ว”

เฉินเฟยอวี๋เตือนสติเขา หลิวไห่รู้ตัวว่าเขาอยู่กับหลี่เจี่ยซินมากเกินไปพอเธอไม่อยู่เขาก็กระวนกระวายแล้ว เขาดึงสติให้กลับมาพร้อมกับตอบน้องชายด้วยเสียงราบเรียบ

“ไม่นานหรอก บริษัทกำลังเข้าที่เข้าทางแล้ว เพียงแต่น้องสาวบุญธรรมของนายคนนั้นจะเอายังไงกับเธอดี”

เฉินเฟยอวี๋ยักไหล่

“ไม่รู้สิ แต่เห็นแก่หน้าคุณแม่ก็เบามือหน่อยแล้วกัน”

หลิวไห่ยิ้ม

“ถ้ายังงั้นให้หลี่เจี่ยซินจัดการเธอ”

เฉินเฟยอวี๋โวยวายเสียงดัง

“ไม่ได้ ๆ หลี่เจี่ยซินผู้หญิงคนนั้นไม่รู้จักคำว่าเบา ถ้าเธอลงมือคงได้เข้าโรงพยาบาลเป็นปีแน่ วิญญาณคุณแม่จะมาเข้าฝันลงโทษฉัน พี่นั่นแหละจัดการเองก็แล้วกัน อย่าให้รุนแรงมาก”

หลิวไห่หัวเราะ

“ยังมีใจเมตตาคนที่พยายามจะถีบนายออกจากบริษัทอีกเหรอ”

เฉินเฟยอวี๋ยิ้มหวาน แต่หลิวไห่กลับรู้สึกขนลุก

“แน่ล่ะ ฉันเป็นคนจิตใจงดงามเหมือนหน้าตา ว่าแต่ว่าที่รับปากฉันจะไม่แตะต้องหลี่เจี่ยซินพี่รักษาสัญญาหรือเปล่า”

หลิวไห่ไม่ตอบ เขายังอ้ำอึ้งเล็กน้อย

“ไม่ได้นะ พี่นอนกับเธอแล้วเหรอ”

หลิวไห่ทำหน้าตาน่าสงสาร

“เป็นหลี่เจี่ยซินที่ปล้ำฉัน ฉันขัดขืนไม่ได้ไม่รู้เป็นอะไรหมู่นี้เธอชอบคึกคักอย่างประหลาด”

เฉินเฟยอวี๋ไม่เชื่อ

“ไม่มีทาง ตอนอยู่กับฉันที่รักของฉันเขาไม่เคยเป็นแบบนั้นอย่ามาใส่ความคนของฉัน ต้องเป็นพี่แน่ ๆ ที่ยุ่งกับเธอก่อน”

หลิวไห่อยากจะบีบคอน้องชายคนนี้เหลือเกิน รู้ทั้งรู้ว่าหลี่เจี่ยซินเรี่ยวแรงเยอะขนาดนั้นคนแบบเขาจะทำอะไรได้

“เอาล่ะ ไร้สาระแล้วถ้าพร้อมแล้วจะให้กลับมาแล้วกัน”

หลิวไห่กดวางสายทันที เขาส่งวีแชทหาหลี่เจี่ยซินถามว่าเธออยู่ไหนแล้ว หญิงสาวตอบว่าแวะมาดูโรงฝึกสักหน่อยกำลังจะกลับ

หลิวไห่วางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ แล้วนั่งทำงานต่อ นักสืบส่งรายงานเกี่ยวกับเรื่องน้องสาวบุญธรรมของเฉินเฟยอวี๋มาให้เขาจำนวนหนึ่ง ส่วนใหญ่เป็นเอกสารเรื่องที่เธอเผยความลับบริษัทให้บริษัทคู่แข่งรู้ และยังมีเรื่องแอบยักยอกเงินอีกหลายครั้ง

“ฉันไม่อยากทำร้ายผู้หญิงหรอกนะ แต่ฉันก็ปล่อยเธอไว้ไม่ได้”

หลี่เจี่ยซินออกมาจากโรงฝึกแล้ว นักเรียนยังคงลงเรียนจนเต็มและยังมีที่จองคิวเพราะว่าที่โรงเรียนกำลังมีชื่อเสียง เพราะแช้มป์กีฬาโอลิมปิกคนล่าสุดที่เพิ่งผ่านพ้นไปมีเด็กที่ได้เหรียญทองโอลิมปิกให้สัมภาษณ์ว่าเพราะมาเรียนที่โรงเรียนของเธอจึงติดทีมชาติ ทำให้เธอมีวันนี้คว้าเหรียญระดับโลกมาได้

เพราะเป็นแบบนี้ชื่อเสียงของโรงเรียนศิลปะการต่อสู้หลี่จึงยิ่งดังขึ้น ยังพบว่าที่นี่ยังสร้างคนมีฝีมืออีกหลายคนที่กำลังแข่งระดับโลก คนที่เดินมาส่งเธอคือครูฝึกเก่าแก่ที่ตอนนี้ทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการ เขากำลังปรึกษาหลี่เจี่ยซินว่าจะขยายอีกสักสาขาดีหรือเปล่าเพราะนักเรียนมาเข้าเรียนเป็นจำนวนมาก

“ลองพิจารณาดูค่ะ ถ้าคุณลุงเห็นว่าควรเปิดและเรามีครูที่มีความสามารถพอก็เปิดได้ค่ะ เงินเก็บเราก็มีพอ”

ครูฝึกเดินมาส่งหลี่เจี่ยซินถึงลานจอดรถ พูดคุยเรื่องธุรกิจกันอีกไม่กีคำก็เกิดเรื่อง

มีคนเข้ามาล้อมหลี่เจี่ยซินและครูฝึกไว้ ท่าทางเป็นนักเลงโต หลี่เจี่ยซินถามเสียงแข็ง

“พวกแกต้องการอะไร”

“น้องสาวไปกับพวกพี่เถอะ อย่าขัดขืนเลยเจ้านายของพี่กำลังรออยู่”

หลี่เจี่ยซินยกมุมปาก

“ไม่ไปไม่ว่าง”

เธอบอกให้คุณลุงกลับไปก่อน คุณลุงหัวเราะแล้วบอกว่า

“เอาอีกแล้วพอมีเรื่องสนุกก็ไล่ทุกทีเลย”

หลี่เจี่ยซินจับมือของเขาดึงเข้ามาใกล้ ๆ

“คุณลุงเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนฝึก ถ้ามีเรื่องจะมีคนพาลมาปิดโรงเรียนของเราได้กลับไปก่อนนะคะฉันจัดการเอง”

“ถ้างั้นลุงดูอยู่ห่าง ๆ นะเผื่อเสี่ยวเจี่ยต้องการให้ช่วย”

หลี่เจี่ยซินเห็นว่าเขายังห่วงเธอจึงพยักหน้า

“ตามใจค่ะ”

หญิงสาวบอกกับคนพวกนั้น

“ฉันยอมไปด้วย แต่ปล่อยคุณลุงของฉันไปนะคะ”

คนพวกนั้นดูสุภาพขึ้น เมื่อเห็นว่าหลี่เจี่ยซินไม่ขัดขืน จึงหลีกทางให้คุณลุงแต่โดยดี

เมื่อคุณลุงเดินไปลับตาแล้ว หลี่เจี่ยซินจึงเปลี่ยนน้ำเสียง

“ไม่ไปแล้วเปลี่ยนใจ ทางใครทางมันเถอะ บอกกู้เมิ่งว่าฉันไม่ว่างถ้าอยากเจอก็เจอกันที่บริษัทมาพบได้ในเวลาทำงาน เสาร์อาทิตย์วันหยุด แต่ให้นัดล่วงหน้าก่อน”

หลี่เจี่ยซินร่ายยาวเหยียด ก่อนจะเปิดประตูรถ เธอรู้อยู่แล้วจากสายตาของกู้เมิ่งวันนั้น ยังไงเขาก็ไม่ปล่อยเธอเอาไว้แน่

หลี่เจี่ยซินกำลังก้าวขึ้นรถ แต่ถูกผู้ชายตัวใหญ่คนหนึ่งดึงประตูเอาไว้ หลี่เจี่ยซินมองตาเขียว

“ปล่อยก่อนที่นิ้วของนายจะหัก”

เธอไม่อยากใช้กำลัง คุยกันก็น่าจะรู้เรื่อง

“ไม่ปล่อย ทำไมน้องสาวกลัวเหรอจ้ะ ถ้ากลัวก็ไปกับเราดี ๆ เถอะ”

หลี่เจี่ยซินหัวเราะเยาะ

“กลัวบ้านป้ามึงน่ะสิ บอกให้ปล่อย”

ผู้ชายร่างยักษ์กลับหัวเราะด้วยความถูกใจ

“ดุซะด้วย สวย ดุ แบบนี้ไม่น่าล่ะเจ้านายชอบ”

หลี่เจี่ยซินคิดให้โอกาสครั้งสุดท้าย

“ฉันจะนับหนึ่งถึงสาม ถ้าไม่ปล่อยนิ้วนายจะขาด”

“เอาสิจ้ะ”

เขายังท้าทาย หลี่เจี่ยซินจึงเริ่มนับ

“สาม”

หลี่เจี่ยซินนับเร็วรัวก่อนจะปิดประตูด้วยแรงมหาศาล ผู้ชายคนนั้นยิ้มหวานให้เธอเขาไม่รู้สึกอะไรเลยสักนิด จนกระทั่งลูกน้องของเขาอีกสองคนที่มาด้วยมองเขาตาค้าง

“ละลูกพี่ นะ นิ้ว”

ในจังหวะนั้นเองที่เขารู้สึกปวดแปลบตรงนิ้วมือ เมื่อหันไปดูก็พบว่าประตูรถของหลี่เจี่ยซินปิดสนิทงับมือของเขาจนแนวหลุด ที่เขาไม่รู้สึกเพราะมันเกิดขึ้นว่องไวมาก

หลี่เจี่ยซินหัวเราะลั่น เธอเห็นเลือดแล้วรู้สึกของขึ้น

“แกนังชั่ว”

ผู้ชายคนนั้นร้องโอดโอย

“จัดการมันสิวะยืนเซ่ออยู่ได้”

เดิมทีหลี่เจี่ยซินคิดว่าพวกมันมากันแค่สามคน แต่ที่ไหนได้ยังมีคนเข้ามาเพิ่มตอนนี้เธอไม่มีเวลานับแล้วเมื่อถูกพวกมันกรูกันเข้ามาจับตัวเธอ

ในตอนแรกหลี่เจี่ยซินยืนนิ่ง ๆ นึกในใจว่าจะจัดการพวกมันยังไงดี จนกระทั่งเธอถูกจับไว้ด้วยผู้ชายสองคน

หลี่เจี่ยซินไม่สะทกสะท้านเมื่อหัวหน้าของพวกมันที่ตอนนี้นิ้วหลุดออกมาเดินมาหยุดต่อหน้าเธอ

“กูจะฆ่ามึงก่อนกูไปโรงพยาบาล”

หลี่เจี่ยซินหัวเราะจนเจ็บท้อง

“ไอ้ห่ายังมีหน้าจะฆ่าก่อนไปโรงพยาบาลอีก ไอ้ตุ๊ดเอ๊ย”

หลี่เจี่ยซินตกใจคำพูดของตัวเอง เวลาเธอโกรธและเลือดขึ้นหน้านับวันยิ่งจะหยาบคายขึ้น

“อีเวรนี่”

ผู้ชายคนนั้นยกเท้าขึ้นตั้งใจถีบหลี่เจี่ยซินจนสุดแรง แต่กลับกลายเป็นถีบอากาศ เธอสลัดคนที่จับเธอทิ้งแล้วหมุนตัวเร็วยิ่งกว่าพายุ ซัดพวกเขาคนละไม่กี่ทีคนทั้งสิบคนก็ร่วงลงกับพื้น

หลี่เจี่ยซินปัดมือ เดินไปเหยียบนิ้วผู้ชายคนนั้นที่ขาดอย่างไม่ตั้งใจ

เสียงร้องแหบโหยดังขึ้น ก่อนที่สัญญาณไซเรนรถตำรวจจะมาจอดที่ถนน ที่แท้ในตอนแรกมีคนเห็นหลี่เจี่ยซินกำลังโดนรุมจึงรีบแจ้งความให้ตำรวจมาจัดการ ที่ไหนได้พอเธอหันหลังไปคุยกับตำรวจหันมาอีกทีผู้ชายพวกนั้นก็ทรุกลงกับพื้นเหลือเพียงผู้หญิงตัวเล็กบอบบางคนนั้น

“หลี่เจี่ยซิน เธอเป็นยังไงบ้าง”

คนที่มาถึงที่แท้เป็นผู้กองหูเสี่ยวเทียน เพื่อนวัยเด็กที่หลี่เจี่ยซินตกหลุมรัก เธอตกใจเป็นอย่างมากที่เห็นเขา

“เสี่ยวเทียนนายมาได้ยังไง”

เขาสำรวจร่างกายของเธออย่างตื่นตระหนก และขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่ามีผู้ชายเป็นสิบคนนอนกองบาดเจ็บเลือดสาดอยู่ที่พื้น

“เกิดอะไรขึ้น ทำไมพวกเขาเป็นแบบนี้กัน ใครทำพวกเขา”

เหตุการณ์กลับแย่ลงเมื่อมีพยานเห็นเหตุการณ์เข้ามาให้ปากคำ

“ฉันเห็นค่ะ ผู้หญิงคนนี้ซัดผู้ชายพวกนี้จนสลบไป แบบนี้ เฟี้ยว ฟุบ ผลั่ก อั๊ก”

พยานคนนั้นดูจะให้ข้อมูลที่ไม่น่าเป็นไปได้ ผู้กองหูเสี่ยวเทียนถึงกับทำหน้าประหลาด เมื่อพยานคนนั้นยืนยันและผู้ชายใจเสาะที่อยู่บนพื้นก็ร้องโอดโอยจนเธออยากจะกระทืบให้สลบเพื่อไม่ให้เป็นพิรุธ

หลี่เจี่ยซินหน้าเสียร้องในใจว่า ตายห่า จะแก้ตัวยังไงดี

เธอมองไปรอบ ๆ เห็นโปสเตอร์โฆษณาหนังของต่อสู้ของเฉินหลงติดอยู่กลางตึกใหญ่ หลี่เจี่ยซินฉลาดเป็นอย่างยิ่ง เธอจึงทำท่าโวยวายใหญ่โต

“นี่คุณฉันกำลังถ่ายหนังกัน คุณมาทำให้เสียเวลาแล้ว เห็นหรือเปล่านั่นก็กล้อง นี่ก็กล้องที่ซ่อนอยู่ ฉันแค่รับจ๊อปมาเป็นตัวประกอบหญิงเหล็ก คุณไม่ดูตาม้าตาเรือไปแจ้งความทำให้คุณตำรวจเสียเวลา”

หลี่เจี่ยซินแก้ตัวเป็นพัลวัน หูเสี่ยวเทียนมองไปรอบ ๆ หลี่เจี่ยซินชี้ให้เขาดูจุดดำ ๆ ที่อยู่มุมถนนแบบส่ง ๆ

“เห็นหรือเปล่านั่นกล้อง พวกเขาซ่อนกล้องกัน นั่นก็กล้อง นี่ก็กล้อง”

หูเสี่ยวเทียนยังสับสน ถ้าจะบอกว่าไม่ได้ถ่ายหนังก็คงไม่ใช่ หลี่เจี่ยซินจะล้มผู้ชายตัวโตพวกนี้ได้ยังไง มันเป็นไปไม่ได้

หลี่เจี่ยซินไล่เขาให้รีบไปแต่เขายังลังเล ทำยังไงก็ยังยืนอยู่ตรงนี้ หลี่เจี่ยซินต้องหาพยาน เธอแตะเข้าที่ร่างของผู้ชายที่เธอใช้ประตูรถหนีบจนนิ้วขาดให้เขาลุกขึ้นมาช่วยยืนยัน

“คัทแล้วลุกขึ้นมาเถอะ”

ผู้ชายคนนั้นไม่มีแรงที่จะยืนแล้ว หลี่เจี่ยซินเตะเขาเบา ๆ ไปอีกครั้ง คิดในใจว่าทำไมยังไม่ยืนขึ้นอีก เธอจึงคว้าเสื้อเขาด้วยมือเดียว ยกผู้ชายร่างโตเป็นกระสอบนุ่นให้ยืนขึ้น ทำท่าจับแขนเขาอย่างคุ้นเคย

“นี่พวก ๆ กัน แสดงด้วยกันตลอด เอ่อ รับจ๊อบพิเศษน่ะ เงินไม่พอใช้”

เหตุผลของหลี่เจี่ยซินมีมากมาย ทั้งพยายามให้ผู้ชายคนนั้นยืนนิ่ง ๆ สายตามองเขาอย่างกินเลือดกินเนื้อ บังคับให้เขาพูดตามที่เธอสั่ง

“บอกเขาไปว่านายเป็นตัวประกอบ ใช่หรือเปล่า”

ผู้ชายคนนั้นพ่นเลือดออกมาจากปาก หลี่เจี่ยซินหน้าเสีย เธอรีบพูดทันที

“นี่ไง ตัวประกอบ นี่เลือดของปลอม นี่นิ้วขาดของปลอมใครจะไปทำนิ้วเขาขาดได้”

“คะครับ อ๊อก พวกเรากำลัง อ๊อก ถะถ่ายหนังกันครับคุณตำรวจ”

หลี่เจี่ยซินยิ้มหวานอย่างเสแสร้ง พอใจที่ผู้ชายคนนั้นพูดออกมาเสียที หัวเราะแห้ง ๆ หูเสี่ยวเทียนจะจับนิ้วของผู้ชายคนนั้นดูแต่เธอกระชากไปข้างหลังเสียก่อน

เธอเตะไปที่ผู้ชาอีกคนที่นอนอยู่ให้ลุกขึ้น พูดเสียงเย็น

“บอกเขาว่าเรากำลังถ่ายละคร พวกนายลุกขึ้นมาบอกคุณตำรวจไปว่าเขากำลังทำให้เราเสียเวลา”

ทุกคน ที่มาต่างก็ลุกไม่ขึ้นแล้ว พวกเขาจะมาฉุดผู้หญิงแต่ถูกผู้หญิงตีปางตาย ตำรวจยังมาอีกถ้าตำรวจรู้พวกเขาก็เดือดร้อน ทุกคนจึงยืนยันว่ากำลังถ่ายหนังกันอยู่

“พวกเรากำลังถ่ายหนังกันครับ คุณตำรวจ อย่าทำให้ผมเสียเวลาเลย ผมอยากกลับบ้านแล้ว”

ผู้ชายคนหนึ่งพูดทั้งร้องไห้ เขาเจ็บไปทั้งตัวเหมือนว่ากระดูกจะหัก เขาอยากจะไปโรงพยาบาลแล้ว ฮือ ฮือ ฮือ

“เห็นหรือเปล่า ไปออกไปเดี๋ยวผู้กำกับจะมาดุ หักค่าตัวพวกเรา นายรีบไปเถอะ”

ก่อนที่เรื่องจะมากไปกว่านี้ เสียงจากลำโพงสาธารณะตัวหนึ่งก็ดังขึ้น

“คุณตำรวจที่อยู่ตรงสนามน่ะครับ ช่วยขับรถออกไปหน่อย นี่เป็นการถ่ายหนังขออนุญาตเจ้าของสถานที่เรียบร้อยแล้ว พวกคนกำลังทำให้งานเราเสียเวลา โปรดออกไปจากบริเวณนี้ด้วยครับ”

หลี่เจี่ยซินจ้องลำโพงตัวนั้น เสียงคนที่พูดก็ดูฟังแล้วคุ้น ๆ เป็นอย่างมาก เธอยิ้มแล้วไล่เขาอีก

“เห็นหรือเปล่าว่านายกำลังทำให้งานเสีย ไปเถอะเสร็จงานแล้วฉันจะโทรหานะ วันนี้เย็นว่างหรือเปล่าไปกินข้าวกัน”

ถึงจะยังงงอยู่บ้าง หูเสี่ยวเทียนก็เชื่อแล้วเขาจึงยิ้มอย่างดีใจ ทำท่าขอโทษไปที่กล้องตัวหนึ่งสีดำ ๆ ที่หลี่เจี่ยซินชี้ให้ดู พร้อมทั้งพูดเสียงดัง

“ขอโทษครับที่รบกวน” แล้วหันมาบอกหลี่เจี่ยซินว่า “วันนี้เลยได้หรือเปล่า เธอเสร็จงานแล้วไปกินข้าวกัน”

หลี่เจี่ยซินดีใจมาก เธอรีบพูด

“ได้สิ หนึ่งทุ่มเจอกันนะนายจองร้านอาหารได้เลย ฉันจะตามไป”

หูเสี่ยวเทียนดีใจมาก เขารับปากแล้วขับรถออกไปอย่างรวดเร็ว

รถตำรวจไปแล้ว หลี่เจี่ยซินปล่อยร่างใหญ่โตของผู้ชายคนนั้นลงบนพื้น ลูกน้องของพวกเขาต่างกระเสือกกระสนหนีตาย เธอหันไปที่มุมกล้องบนถนนแล้วตะโกนสุดเสียง

“ขอบคุณนะที่รัก ฉันรู้ว่าเป็นเธอที่ให้ดวงตาสวรรค์ช่วยเหลือ รักเธอที่สุดเลย”

หลี่เจี่ยซินถอนหายใจอย่างโล่งอก เธอเกือบถูกชายในดวงใจจับได้เสียแล้ว คราวหน้าต้องระวังให้มากขึ้นกว่านี้อีก แต่ว่าวันนี้เธอจะใส่อะไรดี ไปปรึกษาเฉินเฟยอวี๋ดีกว่า

ข้อมูลลับที่พ่อของเขานำออกมาถูกปริ้นออกมาเป็นกระดาษชุดแล้วชุดเล่าจนกระทั่งเป็นกระดาษปึกหนึ่ง หลิวไห่ไล่ดูทีละแผ่นเมื่อเห็นว่าเป็นสูตรทางเคมีบางอย่าง

“มันคือสูตรอะไรกันแน่ ที่พ่อของฉันต้องตายเพราะมัน”

หนึ่งในแฮ็คเกอร์หนุ่มหล่อพูดขึ้น

“เหมือนพวกเขากำลังทดลองบางอย่างอยู่เลยนะครับ สูตรพวกนี้ ว่าแต่ว่าคุณพ่อของเจ้านายเป็นนักวิทยาศาตร์เหรอครับ”

หลิวไห่ส่ายหน้า

“ไม่ใช่เหรอ เขาเป็นแค่เลขาคนหนึ่งเท่านั้นไม่มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องวิทยาศาสตร์เลย”

อีกหนุ่มหล่อหัวเราะ

“นายครับส่วนพวกผมก็เป็นแค่นายแบบธรรมดา ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเป็นแฮ็คเกอร์เลยเหมือนกัน”

ความหมายนี้หลิวไห่ไม่ต้องตีความ

หรือว่าพ่อของเขาจะมีตัวตนอีกตัวตนหนึ่งที่หลิวไห่ไม่รู้ เขาล้วงในกระเป๋าแล้วดึงภาพที่เขาเพิ่งพบออกมาดู ทุกคนในนั้นล้วนใส่เสื้อกาวน์สีขาว รวมทั้งพ่อของเขาด้วย

คนพวกนี้กำลังทดลองอะไรอยู่กันแน่

“ต่อไปงานของพวกนายคือต้องหาให้เจอว่ากู้เมิ่งมันแอบซ่อนอะไรเอาไว้หรือเปล่า ล้วงเอาความลับของมันมาให้ได้”

“ไม่มีปัญหาครับ”

หลิวไห่เก็บเอกสาร เขารู้สึกว่าคนพวกนี้กำลังทำเรื่องไม่ดี เพียงแต่ว่าเป็นเรื่องอะไรและเขาต้องเปิดโปงคนพวกนี้ให้ได้

สูตรทางเคมีพวกนี้หลิวไห่คิดว่าคงต้องให้ลุงเฉิงเป็นคนช่วยเหลือเขาเสียแล้ว

“ส่งข้อมูลสูตรลับพวกนี้ให้นายใหญ่ อีกไม่นานเราก็จะได้รู้กันว่ามันคือสูตรอะไรกันแน่”

หลายวันต่อมาในขณะที่หลิวไห่กำลังทำงานอยู่นั้น กู้เมิ่งก็เข้ามาหาเขาถึงบริษัท หลิวไห่วางปากกาลงเอนตัวพิงเก้าอี้พร้อมทั้งกอดอก

สายตาแบบนี้แน่นอนว่ากู้เมิ่งย่อมรู้แล้วว่าเขาไม่ใช่เฉินเฟยอวี๋

“นายมีอะไรก็ว่ามา”

“หึ ฉันก็แค่แปลกใจเลยมาดูให้เห็นเองกับตา ไม่คิดว่าจะมีคนที่เหมือนนายจนคนอื่นแยกไม่ออกแบบนี้”

“เห็นแล้วยังไง”

หลิวไห่ยักไหล่ เขาไม่ได้คิดปิดบังอะไร

“ไม่กลัวฉันเอาเรื่องนี้ไปบอกพวกผู้ถือหุ้นเหรอ คนที่นั่งทำงานบริหารอยู่นี้ที่แท้คือฝาแฝดของเฉินเฟยอวี๋ ชื่อหลิวไห่ คงสนุกน่าดู”

หลิวไห่ไม่สนใจ

“อยากทำอะไรก็เรื่องของนาย ฉันไม่สนใจหรอก”

“อ้อ ไม่แคร์ซะด้วย”

“ใช่ ไม่แคร์อยากทำอะไรก็ทำเถอะ”

กู้เมิ่งหัวเราะ

“บริษัทกระจอก ๆ นี่ตอนแรกก็อยากได้จะเอามาฟอกเงินแต่ตอนนี้ยิ่งเห็นว่าเป็นบริษัทของน้องชายของนายยิ่งอยากได้มากขึ้น นายคิดว่ายังไงล่ะจะยอมแพ้เลยหรือเปล่า”

หลิวไห่หัวเราะ

“คิดว่าฉันจะยอมง่าย ๆ เหรอ”

“ไอ้ขี้คุกอย่างแกนี่ยังอวดเก่งเหมือนเดิมนะ จำไม่ได้เหรอว่าเป็นใครที่จับแกโยนเข้าคุก”

หลิวไห่ไม่สะทกสะท้าน

“ไอสวะที่ปากดีฝีมือไม่มีอาศัยบารมีพ่อแบบแกนี่มาข่มขู่คนอื่นอย่างไม่อายปากเลยนะ กู้เมิ่งถ้าแกไม่มีพ่อก็คงไม่ต่างจากหมาข้างถนนตัวหนึ่งหรอก ถามจริงเหอะแกยังภูมิใจอะไรในตัวเองวะ”

เมื่อถูกดูถูกกู้เมิ่งคนอันธพาลมีหรือจะยอม เขากระชากคอเสื้อของหลิวไห่ขึ้นมาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ

“แกก็คอยดูว่าฉันจะทำลายบริษัทนี้ยังไง ไม่ว่าแกหรือไอ้น้องตุ๊ดของแกฉันก็ไม่มีทางไว้หน้า”

“ก็ลองดูสิถ้าแกแน่จริง ฉันในตอนนี้ไม่ใช่เหยื่อของแกอีกแล้ว กู้เมิ่งแกมันไอ้กระจอกคิดเหรอว่าฉันจะอยู่เฉย ปล่อยให้แกทำอะไรเหมือนเมื่อก่อน”

เสียงเคาะประตูดังขึ้น กู้เมิ่งปล่อยหลิวไห่ในขณะที่เขาขยับคอเสื้อ จ้องตาของกู้เมิ่งไม่ลดละ

หลี่เจี่ยซินถือแก้วกาแฟมาให้ผู้ที่มาเป็นแขก เธอเป็นห่วงเฉินเฟยอวี๋ ท่าทางของกู้เมิ่งเหมือนอันธพาลข้างถนนไม่เหมือนนักธุรกิจเลยสักนิด จึงหาทางเข้ามาหาเขาข้างใน

“คุณกู้คะ กาแฟค่ะ น้ำค่ะ”

หญิงสาววางกาแฟลงบนโต๊ะ ขยับให้เขา กู้เมิ่งกล่าวขอบคุณพร้อมกับจับมือนุ่มนิ่มของเธอ หลิวไห่ตาลุกเป็นไฟแต่เขาก็ได้แต่ใจเย็นเมื่อเห็นว่าหลี่เจี่ยซินกัดฟันกรอด แต่เธอยังมีมารยาทค่อย ๆ ดึงมือของตัวเองออกมาจากการเกาะกุมของกู้เมิ่ง

คราวนี้หลี่เจี่ยซินวางกาแฟให้หลิวไห่ เขาจับมือของเธออย่างเปิดเผยยังใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดมือของเธอที่ถูกมือสกปรกของกู้เมิ่งจับเมื่อสักครู่

“รีบไปล้างมือนะ สกปรกหมดแล้ว”

หลี่เจี่ยซินอมยิ้ม ปล่อยให้หลิวไห่เช็ดมือให้จนเขาแน่ใจว่าสะอาดแล้วทิ้งผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นทันที

กู้เมิ่งมองพวกเขาด้วยความสนใจ เมื่อเห็นว่าหลิวไห่ไม่กลัวเขาเลยสักนิด กล้าที่จะเปิดเผยความรู้สึกว่าคิดยังไงกับผู้หญิงคนนั้น

หลิวไห่ยกกาแฟขึ้นจิบ เขารู้ทันทีว่าเป็นกาแฟสำเร็จรูปราคาถูกที่เขาไม่กิน หลี่เจี่ยซินคนนี้คงชงมาส่ง ๆ แต่หลิวไห่ก็ยังกินอย่างมีความสุข ไม่ว่าเป็นอะไรที่เธอทำเขาก็ชอบทั้งนั้น

“มีอะไรให้เรียกเลยนะคะ ฉันจะเข้ามาทันที”

หลี่เจี่ยซินกระซิบ หลิวไห่ส่ายหน้าเห็นเธอที่กังวลขนาดนี้ก็รู้สึกอับอายเล็กน้อย มีผู้ชายที่ไหนที่ต้องให้ผู้หญิงคอยกังวลและยังพยายามจะทำตัวเป็นโล่กันกระสุนให้เขา

หลี่เจี่ยซินมองเฉินเฟยอวี๋อย่างห่วงใย เห็นเขายังสบายดีก็วางใจ ใจหนึ่งอยากจะอยู่ฟังพวกเขาคุยกันแต่เธอก็ถูกหลิวไห่ไล่ออกมาอีกครั้ง

“ไม่ต้องห่วงนะ ออกไปเถอะ”

เขาจับมือเธอแล้วบีบเบา ๆ พร้อมพยักหน้าอีกคร้ง

แม้จะยังไม่วางใจในความปลอดภัยของเขาหลี่เจี่ยซินก็ต้องออกมาตามคำสั่ง ยังจ้องกู้เมิ่งด้วยสายตาราวกับต้องการฟาดฟันให้ตาย มีเพียงหลิวไห่ที่เห็นในขณะที่กู้เมิ่งเอาแต่จ้องหลิวไห่เช่นกัน

หลิวไห่หัวเราะในลำคอ กู้เมิ่งถูกหลี่เจี่ยซินหมายหัวแล้วอย่าหวังว่าเขาจะอยู่ดีมีสุข

เมื่อออกมาแล้วหลี่เจี่ยซินถือถาดกาแฟแน่น หญิงสาวแนบหูเข้ากับประตู พยายามแอบฟังในสิ่งที่พวกเขาคุยกันน่าเสียดายที่ห้องทำงานของเฉินเฟยอวี๋เป็นห้องเก็บเสียงเธอจึงไม่ได้ยินอะไร เธอพึมพำออกมา

“คราวหน้าฉันจะแอบติดที่ดักฟังไว้ในห้องเจ้านาย จะได้รู้ว่าพวกเขาคุยอะไรกัน ไม่ไว้ใจเลยจริง ๆ ฉันไม่ไว้ใจเลย”

เมื่อพยายามฟังเต็มที่แล้วไม่ได้ยินอะไร หญิงสาวจึงเอาแต่เดินวนไปวนมาอยู่หน้าห้องทำงานของเขาด้วยยังกังวล

เฉินเฟยอวี๋คนอ่อนแอคนนั้นถ้าเกิดอันตรายจะกล้าร้องหรือให้ช่วยเหรือเปล่านะ? ไม่ใช่กลัวจนกระจู่หดไม่กล้าส่งเสียงนะ?

เลขาของเฉินเฟยอวี๋ทนไม่ไหว ดึงหลี่เจี่ยซินให้นั่งลง

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ไม่ต้องห่วงขนาดนั้น เจ้านายไม่เป็นอะไรหรอก คุณกู้เขาไม่โง่พอจะหาเรื่องให้ตัวเองในออฟฟิศของเจ้านายหรอกค่ะ”

หลี่เจี่ยซินยิ้มพร้อมกับพยักหน้า ถึงจะเข้าใจแล้วแต่เธอก็ยังห่วงอยู่ดี หลี่เจี่ยซินนั่งได้ไม่นานเธอก็เริ่มเดินวนอีกครั้ง เธอเดินจนเลขาอีกคนของเฉินเฟยอวี๋ถึงกับเวียนหัวแต่ไม่เข้ามาห้ามเธอแล้ว

เมื่อสักครู่ที่หลี่เจี่ยซินเข้ามา กู้เมิ่งเห็นแล้วว่าหญิงสาวดูเป็นห่วงหลิวไห่มาก และหลิวไห่ที่มองหญิงสาวตาเยิ้มแบบนั้นก็คงมีใจให้เธอไปแล้ว

ในตอนนี้ไม่รู้ว่าหลี่เจี่ยซินมีฝีมือแค่ไหน เขารู้เพียงแต่ว่าเธอคือคู่หมั้นปลอม ๆ ของเฉินเฟยอวี๋

“นายชอบเธอเหรอ ชอบคู่หมั้นปลอม ๆ ของน้องชายตัวเองจริง ๆ เข้าล่ะสิ”

หลิวไห่ยิ้มเย็น

“นายคงสืบเรื่องของฉันมาจนหมดแล้วสิ ว่างมากเหรอถึงได้มาหาเรื่องคุย”

หลิวไห่ไม่อยากให้กู้เมิ่งรู้ว่าเขากำลังตามสืบสกุลกู้อยู่ จึงพูดคุยอย่างสบายพยายามที่จะทำให้เขารู้ว่าหลิวไห่สนใจเพียงบริษัทของเฉินเฟยอวี๋เท่านั้น

“ฉันกำลังจับตาดูนายอยู่ หลิวไห่ฉันอยากรู้ว่านายจะไปได้ไกลแค่ไหน”

หลิวไห่ลุกขึ้นหยิบสูทที่พาดอยู่บนเก้าอี้ขึ้นมา

“ก็รอดูแล้วกัน ฉันมีธุระถ้านายอยากอยู่ต่อก็เชิญ”

“คู่หมั้นปลอม ๆ ของนายสวยมากเลยนะ ท่าทางจะอ่อนหวานเมื่ออยู่บนเตียง”

หลิวไห่คิดเรื่องร้อนแรงบนเตียงของเขาและหลี่เจี่ยซิน เขาอยากจะซัดหน้ากู้เมิ่งนัก

หลี่เจี่ยซินไม่ใช่ผู้หญิงอ่อนหวานอย่างที่เห็น ตรงกันข้ามเธอร้อนแรงยิ่งกว่าไฟเสียอีก เขากดเสียงเข้ม

“อย่ายุ่งกับเธอ หากนายไม่อยากตาย”

เขาเตือนกู้เมิ่งด้วยความหวังดีจริง ๆ แต่กู้เมิ่งกลับหัวเราะ

“ฉันก็จะคอยดูว่านายจะปกป้องผู้หญิงคนนั้นได้แค่ไหน ฉันน่ะนายก็รู้ว่าชอบแย่งของคนอื่นเสียด้วย”

หลิวไห่เป็นฝ่ายดึงคอเสื้อของกู้เมิ่งขึ้นมา น้ำเสียงเย็นเยียบฟังดูน่ากลัว

“ฉันเตือนนายแล้ว ว่าถ้าไม่อยากตายอย่ายุ่งกับเธอ”

หลิวไห่ส่ายหน้าดวงตาแข็งกร้าวก่อนจะสะบัดกู้เมิ่งลงไปบนพื้น แล้วเดินออกไปจากห้องทันที หลิวไห่ได้ยินเสียงหัวเราะของกู้เมิ่งไล่หลัง คิดแทนเขาว่า กู้เมิ่งนายซวยแล้วที่คิดจะแตะต้องหลี่เจี่ยซิน

กู้เมิ่งเห็นท่าทางของหลิวไห่แล้วหัวเราะลั่น ท่าทางของหมอนั่นจะตกหลุมรักหลี่เจี่ยซินจริง ๆ แล้ว และยังไม่ปิดบังเขาสักนิดคิดเหรอว่าจะปกป้องเธอได้

เขาจินตนาการภาพ เห็นร่างขาว ๆ สวย ๆ ของหลี่เจี่ยซินอยู่บนเตียงตัวเอง แล้วร้องโหยหวนออกมาแล้วหัวเราะด้วยความพอใจ

กู้เมิ่งมองถ้วยกาแฟที่หลี่เจี่ยซินนำมาให้ เขายิ้มกับแก้วกาแฟนั้นราวคนบ้า

“ไหนดูหน่อยว่าคนสวยจะชงกาแฟอร่อยแค่ไหน”

กู้เมิ่งดื่มกาแฟเข้าไปคำโตก่อนจะพ่นออกมาเมื่อมันเค็มจนเกลือเรียกพี่

“ยัยบ้าคนนี้ แก แกกล้าแกล้งฉันเหรอ ไม่อยากตายดีซะแล้วนังบ้าเอ๊ย”

เขารีบหยิบน้ำที่วางตรงหน้ามากิน ที่ไหนได้มันเค็มกว่าเดิมเสียอีก กู้เมิ่งโกรธจนเส้นเลือดขึ้นดวงตาร้องออกมาอย่างโกรธจัด

“อีบ้าเอ๊ย กูจะฆ่ามึงมึงกล้ามาก มึงกล้ามาก”

เมื่อหลี่เจี่ยซินไม่มีอะไรทำเธอจึงเดินมาที่ตู้เย็นขนาดใหญ่ ด้านข้างเป็นเครื่องชงกาแฟแสนไฮเทค ความจริงหลี่เจี่ยซินอยากกินกาแฟแต่เธอชงไม่เป็นจึงพยายามทำความเข้าใจกับวิธีการของมันชั่วครู่สุดท้ายก็ไม่กล้าแตะต้อง

กระทั่งร่างสูงของใครคนหนึ่งเท้าแขนยาวกักตัวเธอไว้กับเคาเตอร์หน้าเครื่องชงกาแฟ

“จะกินอะไรเดี๋ยวทำให้กิน”

เสียงทุ้มต่ำของเขาฟังแล้วมาดแมนเป็นอย่างยิ่ง หลี่เจี่ยซินถึงกับเหงื่อซึมที่หน้าผาก

“ที่รัก ไปฝึกทำเสียงเซ็กซี่แบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”

หลิวไห่กระชับวงแขนให้แคบลงก้มลงสูดดมความหอมจากเรือนผมของเธอ เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าตัวเองเหมือนผู้ชายคนหนึ่ง ไม่ใช่ลูกไล่ให้หลี่เจี่ยซินคอยกลั่นแกล้ง

“ชอบหรือเปล่าล่ะ”

หลี่เจี่ยซินหัวใจเต้นตึกตัก

“ก็ชอบ แต่ว่ารู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่”

หลิวไห่หัวเราะเสียงทุ้ม

“ทำไมล่ะ ชอบแต่รู้สึกไม่ค่อยดี”

หลี่เจี่ยซินเงยหน้ามองเขา เธอหมุนตัวจนกระทั่งเผชิญหน้ากับหลิวไห่ สบสายตากับเขาอย่างไม่เขินอายแม้แต่น้อย

“ที่บอกว่าชอบ แต่รู้สึกไม่ค่อยดีก็เพราะได้ยินแล้วกลัวจะอดใจไม่ไหวน่ะ”

หญิงสาวลากเสียงแล้วใช้นิ้วเรียวลากจากปลายคางลงมาที่คอหอยของเขาเบา ๆ หลิวไห่ขนลุกเกรียว เขารู้สึกว่าตัวเองพลาดแล้วที่คิดหยอกล้อเธอในตอนนี้ ตอนที่พวกเขาไม่ได้อยู่ลำพัง ยังมีก้างอันใหญ่สี่อันในห้องนั้นอีก

“พอเถอะ”

หลิวไห่เปลี่ยนเสียงเป็นเสียงเล็กเสียงน้อย

“ทำไมล่ะ ทำแป๊บเดียวเองฉันสัญญา”

“หลี่เจี่ยซิน หัดมียางอายบ้าง”

หลิวไห่ดุแล้ว แต่หลี่เจี่ยซินกลับมองเขาเป็นลูกแมวเหมียว น่ารักเป็นอย่างยิ่ง เธอเกาคางเขาแล้วหยอกเย้า

“ตายๆๆ ฉันกลัวจังเลยน่ากลัวมากเลย เมี๊ยว”

หลิวไห่ถลึงตา เขากระแอมแล้วถามว่า

“จะกินอะไรจะชงให้กิน”

หลี่เจี่ยซินขยับตัวกอดเอวเขาจากด้านหลัง ซบหน้าลงบนหลังกว้างของเขาแบบที่นางเอกเอ็มวีชอบทำ หลิวไห่ใจเต้นแรงพยายามระงับอาการมือสั่นของตัวเองเอาไว้

“ฉันอยากกินคาปูน่ะ ทำให้หน่อยนะที่รัก”

เสียงของเธอหวานใสทำให้เขาเคลิบเคลิ้ม หลิวไห่พยักหน้าทำตามคำขอว่องไวยังแถมให้เธออีกแก้วก่อนจะกดทำอเมริกาโน่ให้ตนเอง

“ขอบคุณนะที่รัก” หลี่เจี่ยซินมองแก้วกาแฟรูปหัวใจสองแก้วอย่างเอ็นดู ด้านบนนั้นหลิวไห่ยังทำเป็นรูปหัวใจให้เธอด้วย

เขากระแอมแล้วตอบเสียงเข้ม

“แถมให้แก้วหนึ่งทำตัวดี ๆ นะ ถ้าเบื่อก็เปิดทีวีดู”

“อื้ม”

หลี่เจี่ยซินพยักหน้าก่อนเข้าไปในห้องนั้นหลิวไห่ยังอบครัวซองให้เธอกินระหว่างรออีกด้วย

“เป็นแม่บ้านที่น่ารักแบบนี้ชักอยากได้เป็นภรรยาจริง ๆ แล้วสิ”

หลี่เจี่ยซินแกล้งแหย่เล่น หลิวไห่หน้าตึงพยายามกลั้นยิ้มไว้อย่างเต็มที่

อยากจะตบหน้าตัวเองนัก ทำไมดีใจกับคำชมบ้าบอของหลี่เจี่ยซินด้วย

หลิวไห่ปล่อยหลี่เจี่ยซินเอาไว้ ถือกาแฟแก้วใหญ่เข้าไปในห้องท่ามกลางสายตาล้อเลียนของF4ทั้งสี่คน เขากระแอมแก้เขิน

“หัวหน้านี่หวานกับแฟนจังเลนนะครับ ยิ่งกว่าวัยรุ่นเสียอีก ถึงขนาดออกไปชงกาแฟให้แฟน ไม่น่าเชื่อ”

“หุบปาก ทำงานของพวกนายไป”

คนทั้งสี่ต่างเป็นแฮ็กเกอร์มือฉมัง แต่เดิมหนึ่งในแฮ็กเกอร์ถูกจับกุมได้และกลายเป็นลูกน้องของลุงเฉิง เมื่อพบกับหลิ่วไห่รู้สึกถูกชะตาจึงยอมติดตามหลิวไห่อีกคน

เมื่อหนึ่งคนยอมอีกสามคนที่เป็นอันหนึ่งเดียวก็กลายเป็นลูกน้องของหลิ่วไห่ไปโดยปริยาย

ฉากหน้าของพวกเขาคือนายแบบที่รับงานเดินแบบเพื่อบังหน้า แต่ฉากหลังกลับเป็นอาชญากรตัวร้ายที่แอบซุ่มโจมตีองค์กรต่าง ๆ ด้วยระบบคอมพิวเตอร์เพื่อท้าทายตัวเองและด้วยความเป็นอัจฉริยะคนพวกนี้เมื่อรวมตัวกันจึงกลายเป็นแฮ็คเกอร์ระดับโลกในนามของดวงตาสวรรค์ ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นอันดับหนึ่งจากเหล่าแฮ็คเกอร์ทั่วโลก

“เจ้านายครับ ได้แล้วครับ”

หลิวไห่ขยับเข้าไปดู เห็นชุดข้อมูลตัวเลขชุดหนึ่ง เขาถึงกับยิ้มออกมา

“ที่แท้รหัสคือวันที่พ่อรับฉันเข้ามาอยู่บ้านวันแรก วันนั้นเขาพาฉันไปกินไอศครีมด้วย”

“ชมหน่อยครับ หรือไม่ก็ซื้อซูเปอร์คาร์ให้พวกเราคนละคัน”

หลิวไห่ตบไหล่พวกเขาทีละคน

“พรุ่งนี้ไปที่โชว์โรมเลือกคันที่พวกนายชอบได้เลย ไม่มีปัญหา”

เสียงโห่ร้องดังขึ้นอย่างดีใจ หนึ่งในนั้นถูมือของตัวเองแล้วพูดยิ้ม ๆ

“เอาล่ะ มาดูกันว่าข้อมูลพวกนี้คืออะไร”

เพียงคีย์รหัสเปิดข้อมูลที่ถูกต้องเข้าไป ไฟล์ถูกดาวโหลดทันที หลิวไห่ใจเต้นแรงสิ่งที่เขาสงสัยมานานในตอนนี้ความจริงอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว

ของที่พ่อซ่อนเอาไว้ในที่ซ่อนสมบัติวัยเด็กของเขาเป็นของที่ทำให้หลิวไห่สนใจเป็นอย่างยิ่ง

ความทรงจำของเขาไม่ได้ผิดเพี้ยน เขายังจำได้เป็นอย่างดีภาพของเด็กหญิงวัยสี่ถึงห้าปีจำนวนมาก มีทั้งชื่อ อายุ ความสามารถของพวกเธออย่างละเอียด ซึ่งแต่ละคนมีความสามารถแตกต่างกัน แต่น่าเสียดายที่ในนั้นล้วนระบุวันตายของเด็กเหล่านั้น

พวกเขาตายตอนอายุห้าขวบทุกคน

หลี่เจี่ยซินดูรูปพวกนั้นทีละรูป

“นี่มันเรื่องอะไร สาเหตุการตายคือหัวใจล้มเหลวกระทันหัน เกิดอะไรขึ้นกัน”

หลิวไห่ส่ายหน้า

“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน เพียงแต่คิดว่ามันน่าจะเกี่ยวกับเรื่องที่พวกเขากำลังทำอยู่ในตอนนี้”

“น่าสนใจดีแฮะ ชักจะตื่นเต้นแล้วสิ”

หลี่เจี่ยซินเทรูปที่อยู่ในซองที่พวกเธอเพิ่งได้จากตำรวจคนนั้นออกมาดู

“หลายคนฉันรู้จักด้วยนะ แต่ละคนการศึกษาดี หน้าตาดี หน้าที่การงานดี คนพวกนี้จะรวบรวมข้อมูลของผู้หญิงเก่ง ๆ ทั้งหลายไปทำไมกัน”

หลิวไหเองยิ่งตามเรื่องนี้เขาก็ยิ่งสงสัยเขาไล่ดูรูปเด็กพวกนั้นไปเรื่อย ๆ จนสะดุดที่รูปเด็กเล็กคนหนึ่ง

เด็กคนนี้ไม่ระบุอะไรทั้งนั้น รูปร่างอ้วนท้วนแก้มกลมเหมือนเด็กสุขภาพดีทั่วไป สิ่งที่เขียนในรูปใบนั้นคือ หมายเลข 1

“ทำไมเด็กคนนี้ไม่มีรายละเอียดเหมือนคนอื่นล่ะ”

หลี่เจี่ยซินชะโงกหน้ามาดู

“หรือจะเป็นลูกพี่ลูกน้องของเธอ”

หลิวไห่ส่ายหน้า เขาก็ไม่เคยเห็นเหมือนกัน หลี่เจี่ยซินหันไปสนใจซองน้ำตาลที่เธอได้มาจากคนร้าย หลิวไห่เปิดดูรูปไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเขาเจอรูปหนึ่งที่ทำให้เขาถึงกับมือสั่น

เขารีบเก็บรูปนั้นอย่างรวดเร็วไม่ให้หลี่เจี่ยซินเห็น

“เธอดูไปก่อนนะฉันไปเข้าห้องน้ำ”

เขาบอกเธอด้วยท่าทางเป็นปกติ หลี่เจี่ยซินพยักหน้าก้มหน้าก้มตาดูหลักฐานที่ตัวเองไม่เข้าใจในมือต่อ

หลิวไห่ล็อคประตูห้องน้ำอย่างแน่นหนา เขาดึงภาพออกมาจากกระเป๋ากางเกง และยิ่งไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น

ในภาพนี้คือพ่อของเขาและแม่ของเฉินเฟยอวี๋กำลังอุ้มเด็กชายแฝดอายุราวขวบหรือสองขวบ พวกเขายังใส่เสื้อคลุมสีขาวคล้ายเสื้อกาวน์ของหมอในขณะที่ตรงกลางนั้นคือคนที่เขาเกลียดที่สุดในโลก และด้านหลังนั่นก็ยังมีคนสวมเสื้อกาวน์หลายคนอุ้มเด็กอยู่ ใบหน้าของพวกเขายิ้มแย้มเหมือนกับกำลังถ่ายรูปครอบครัวใหญ่ที่แสนสุข

ดวงตาของหลิวไห่จับจ้องประธานกู้กำลังอุ้มเด็กทารกคนหนึ่งอยู่ ที่แท้แม่ของเฉินเฟยอวี๋และพ่อของเขารู้จักกันหรอกเหรอ

เขาแน่ใจว่าเด็กแฝดที่สองคนนั้นอุ้มคือพวกเขาแน่ ๆ เสื้อผ้าในวันเด็กชุดนั้นพ่อของเขาบอกว่าได้มาจากบ้านเด็กกำพร้าเป็นชุดเก่งไม่กี่ชุดในวัยเด็กที่เขามีพ่อจึงเก็บไว้อย่างดี ในขณะที่เด็กอีกคนหนึ่งที่หน้าตาเหมือนเขาก็ใส่ชุดคล้ายกัน

“นี่มันเรื่องอะไรกัน”

หลิวไห่ถึงกับอุทานออกมา ความมึนงงและกระหายที่จะรู้เรื่องราวเบื้องหลังพุ่งเข้าชนเขาอย่างบ้าคลั่ง

ทำไมล่ะเพราะอะไร ที่ผ่านมาไม่เคยมีใครบอกเขาว่าคนทั้งสองรู้จักกัน พ่อของเขาและประธานกู้นั่นไม่แปลก แต่แม่ของเฉินเฟยอวี๋และประธานกู้รู้จักกันด้วยเหรอ

หลิวไห่มืดแปดด้าน เรื่องจริงคืออะไรกันแน่เขาต้องสืบให้ได้

โทรศัพท์ของหลิวไห่ดังขึ้น เขารับสายพร้อมกับเก็บรูปนั้นเอาไว้ในกระเป๋า เขาสงสัยว่าเด็กที่อยู่ในมือของประธานกู้คือใครและเกี่ยวข้องอะไรกับพวกเขา

เขาตอบรับคำเดียวก็วางสาย ก่อนจะล้างมือให้สะอาดแล้วออกไปบอกกับหลี่เจี่ยซิน

“ฉันต้องไปที่แห่งหนึ่ง เธอไม่ต้องไปกับฉัน”

หลี่เจี่ยซินไม่ยอม

“เราเพิ่งโดนคนร้ายสะกดรอย ฉันให้เธอไปคนเดียวไม่ได้หรอก”

ความจริงหลิวไห่ไม่อยากดึงหลี่เจี่ยซินเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องของกู้เมิ่ง เรื่องนั้นมันอันตรายเกินไป แต่ผู้หญิงคนนี้ก็ดื้อเหลือเกิน ที่สำคัญเขาสู้แรงของหลี่เจี่ยซินไม่ได้ ถ้าเธอบอกว่าไม่ปล่อยเขาไปคนเดียว ต่อให้เขาห้ามหลี่เจี่ยซินก็จะตามไปอยู่ดี

“ก็ได้ ที่นี่ค่อนข้างลึกลับสักหน่อย คนที่ฉันจะไปพบค่อนข้างเงียบขรึมและระวังตัว ถ้าพวกเขาทำท่าทางแปลก ๆ ก็อย่าถือสา”

“อื้ม เข้าใจแล้วค่ะเจ้านาย”

หลี่เจี่ยซินรับคำ เธอลุกขึ้นอย่างกระตือรือร้นชีวิตบอดี้การ์ดแบบเธอไม่มีวันไหนที่น่าเบื่อเลยสักนิด

ไม่นานหลิวไห่พร้อมกับหลี่เจี่ยซินจึงขับรถมายังที่แห่งหนึ่ง

หลี่เจี่ยซินเห็นว่าที่นี่ก็เหมือนตึกสำนักงานทั่วไปที่ดูค่อนข้างทันสมัย ยังมีป้ายบริษัทรับออกแบบบ้านติดอยู่

รปภ.หน้าบริษัทเพียงแค่เห็นรถของหลิวไห่พวกเขาก็เปิดประตูแล้ว รถเคลื่อนเข้าไปจอดช้า ๆ หลี่เจี่ยซินเปิดประตูรถมองไปรอบ ๆ

“ที่นี่ไม่มีพนักงานบริษัทเหรอ”

“มี แต่พวกเขากินอยู่ที่นี่ไม่ออกไปไหน”

เมื่อเข้ามาด้านในบริษัท หน้าประตูทางเข้าสำนักงาน หลี่เจี่ยซินได้กลิ่นพิซซ่าโชยมา กล่องพิซซ่าหลายกล่องพร้อมกล่องอาหารสำเร็จรูป ทั้งถ้วยบะหมี่สารพัดวางอยู่ข้างหน้ารอคนมาเก็บกวาด

“พวกเขาเป็นผู้ชายทั้งหมด ไม่มีผู้หญิงชอบกินอะไรง่าย ๆ น่ะ”

“ไม่มีคนเก็บขยะเหรอ ทำไมขยะล้นหน้าออฟฟิศแบบนี้”

หลี่เจี่ยซินยิ่งสงสัย

“มีแม่บ้านคนหนึ่งเธอจะมีทุกสามหรือสี่วันจนกว่าพวกเขาจะเรียก”

หลิวไห่มาถึงหน้าออฟฟิศที่ปิดประตูแน่นหนา ตรงนี้เป็นประตูทึบที่ถูกออกแบบมาอย่างดี หลี่เจี่ยซินเห็นว่าตรงด้านหน้ามีขยะกองเต็ม และข้างในก็เป็นผู้ชายที่กินนอนอยู่ที่นี่เธอจึงคิดว่าต้องสกปรกแน่ หญิงสาวจึงเตรียมตัวยยกมือปิดจมูก ป้องกันกลิ่นไม่พึงประสงค์

แต่ที่ไหนได้เพียงประตูนั้นเปิดออกอัตโนมัติ หลี่เจี่ยซินก็พบว่าข้างในทั้งโล่งและสะอาดมาก ไม่ได้มีการแบ่งเป็นห้อง ๆ เล็ก ห้องน้อยเหมือนออฟฟิศทั่วไป แต่กลายเป็นห้องโล่งเหมือนบ้านห้องหนึ่ง มีพื้นที่ห้องรับแขกที่มีจอทีวีขนาดใหญ่น้อง ๆ จอภาพยนต์ ยังมีอุปกรณ์เล่นเกมส์ไฮเทคสารพัดวางอย่างเป็นระเบียบ

หุ่นยนต์ทำความสะอาดสองตัววิ่งไปทั่วห้องนี้ และสะอาดสะอ้านเป็นอย่างยิ่ง

ในนี้มีห้องแบ่งเป็นสี่ห้องยังมีรับแขกเล็ก ๆ และห้องครัวที่สะอาดเอี่ยมเหมือนไม่เคยมีใครทำอาหารเลย

หลิวไห่เปิดชั้นเก็บรองเท้า ให้เธอเปลี่ยนรองเท้าเป็นรองเท้าใส่ในบ้านพร้อมกับบอกเธอเสียงเบา

“พวกเขารักสะอาดมาก เปลี่ยนรองเท้าก่อนนะ”

หลี่เจี่ยซินรู้สึกผิดคาด ไม่คิดว่าพวกผู้ชายที่อยู่รวมกันจะเนี๊ยบได้ขนาดนี้ ไม่มีฝุ่นในนี้แม้แต่น้อยอากาศข้างในกลับมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ยังมีเครืองฟอกอากาศที่ทำงานตลอดเวลา

“ที่นี่สุดยอดเลย ไม่เคยเห็นออฟฟิศที่เป็นแบบนี้มาก่อน”

หลิวไห่ยิ้ม

“ห้องทำงานจริง ๆ ของพวกเขาอยู่ข้างใน เธอทำตัวตามสบายนะอยากกินอะไรก็หยิบในตู้เย็นเลย แต่ระวังความสะอาดหน่อย”

หลี่เจี่ยซินส่ายหน้า

“ไม่ล่ะฉันไม่หิว แค่ตกใจไม่คิดว่าเธอจะมีออฟฟิศแบบนี้ซ่อนอยู่”

หลิวไห่วางมือบนไหล่ของเธอพร้อมกับบีบเบา ๆ

“ความจริงเป็นของเพื่อนที่อยู่ฮ่องกงน่ะ ฉันจะมีอะไรแบบนี้ได้ล่ะเธอก็รู้ดี”

หลี่เจี่ยซินสงสัยเขาจนเลิกสงสัยให้ตัวเองเครียดแล้ว จึงพยักหน้าไม่ถามอะไรอีก

หลิวไห่ดันร่างของเธอให้เดินตาม พาเธอเข้าไปที่ห้องใหญ่ห้องหนึ่ง

“ห้องทำงานจริง ๆ อยู่ที่นี่”

เมื่อเปิดประตูหลี่เจี่ยซินต้องอ้าปากด้วยความตกตะลึง ด้านหน้าของเธอมีจอคอมขนาดยักษ์หลายสิบจอตั้งเรียงราย ในจอนั้นมีตัวเลขมากมายจนเธอตาลาย

อุปกรณ์คอมพิวเตอร์เห็นแล้วก็รู้ว่ามันมีไว้สำหรับมืออาชีพ และที่สำคัญมีผู้ชายที่หล่อยิ่งกว่าไอดอลสี่คนกำลังยืนขึ้นเพื่อต้อนรับพวกเขา

“หัวหน้าสวัสดีครับหัวหน้า สวัสดีครับพี่สาวคนสวย”

คนทั้งสี่ส่งรอยยิ้มพิฆาตมายังเธอ พวกเขาหล่อมาก ขาว และสูงเกือบจะเท่าหลิวไห่ ยังแต่งตัวแบบสบาย ๆ เสื้อยืดสีขาวกางเกงยีนส์ขาด ๆ ที่ใส่แล้วโคตรเท่ห์

ใบหน้าฟ้าประธานพวกนั้นเมื่อมารวมตัวกันทำให้หลี่เจี่ยซินถึงกับเข่าอ่อน

หญิงสาวตาแข็งค้าง อาการแพ้คนหล่อขั้นรุนแรงเริ่มกำเริบ พวกเขาเป็นใคร อะไร

“F4 นี่มัน F4 ชัด ๆ”

หลิวไห่เห็นท่าทางของหญิงสาวก็พลันหน้าตึง ยังไม่ทันได้แนะนำตัวหลี่เจี่ยซินก็ถูกเขาเตะออกจากห้องทำงานห้องนี้แล้ว

“เป็นความลับระหว่างฉันกับพวกเขา เธอไม่เกี่ยว ออกไปก่อน เธอออกไปรอข้างนอกเลย”

หลี่เจี่ยซินหัวเสีย ร้องออกมาอย่างเหลืออด

“ให้ตายเถอะเฉินเฟยอวี๋ เธอมีของดีในมือแล้วไม่แบ่งเพื่อนรักอย่างฉันไม่ได้นะ ตาย ๆ หล่อลากดินแบบนี้มัน F4 ชัด ๆ โอ๊ย ใจสั่น หล่อ ๆ ๆ ๆ”

ในที่สุดหลี่เจี่ยซินก็เข้าใจแล้วว่าทำไมหลิวไห่ถึงพยายามกีดกันไม่ยอมให้เธอมาด้วย

เมื่อกลับเข้ามาสู่ความวุ่นวายของเมืองอันแออัดจู่ ๆ หลี่เจี่ยซินก็รู้สึกคล้ายว่าพวกเขากำลังถูกจับตามองจากใครคนหนึ่ง ด้วยความที่เธอรู้สึกแปลก ๆ จึงได้กระซิบบอกเฉินเฟยอวี๋ในตอนที่พวกเขากำลังติดไฟแดง

“ผมก็รู้สึกแบบนั้น แต่แน่ใจว่าไม่มีใครตามเรามาแน่ แต่ยังไงก็ทำตัวให้ดูปกติเอาไว้นะ”

“อื้ม”

หลี่เจี่ยซินรับคำ เธอออกรถเมื่อสัญญาณไฟกลายเป็นสีเขียว จนกระทั่งเธอต้องจอดติดไฟแดงอีกครั้งทั้ง ๆ ที่ไฟเขียวเพิ่งผ่านไปไม่ถึงยี่สิบวินาที เมื่อเป็นแบบนี้หลายครั้งเธอก็รู้สึกว่ามันแปลกเกินไปแล้ว

เสียงคำบ่นด่าสัญญาณไฟจากคนที่ใช้ท้องถนนเริ่มดังขึ้น หลี่เจี่ยซินจับแฮนด์รถแน่นเธอมองไปที่ไฟแดงก่อนจะบอกเฉินเฟยอวี๋ว่า

“ฉันคิดว่ากำลังมีคนควบคุมสัญญาณไฟจราจร”

เฉินเฟยอวี๋ก้มลงชิดใบหูของหญิงสาวแล้วพูดกับเธอราวกับหนุ่มสาวกำลังจู่จี๋กับคู่รัก

“ใช่มีคนกำลังบังคับสัญญาณไฟจราจรและมีคนกำลังจับตาดูเราจากกล้องทุกตัวบริเวณนี้ ผมคิดว่าอาจจะมีคนแฮ็กกล้องของตำรวจเพื่อตามเราและมันกำลังจะบีบให้เราถึงบ้านช้าที่สุด”

ที่ผ่านมาการต่อสู้ของหลี่เจี่ยซินค่อนข้างตรงไปตรงมา ต่อยมาต่อยกลับเธอจึงไม่คุ้นเคยการต่อสู้ที่ค่อนข้างไฮเทคแบบนี้เท่าไหร่

“เอายังไงดีคะ”

หลิวไห่ยักไหล่

“จะเรียกคนของเราก็ไม่ทันแล้ว เราหนีเองน่าจะคล่องกว่าในเมื่อพวกมันใช้วิธีนี้ผมคงต้องจัดการเหมือนกัน”

หลิวไห่กดโทรศัพท์ถึงใครบางคนทันที

หลิวไห่ : มีคนกำลังตามฉันจากกล้องของตำรวจ เช็คตำแหน่งฉันจากสัญญาณโทรศัพท์นี่แล้วจัดการได้หรือเปล่า”

คนที่อยู่ปลายสายกำลังหารหัสเพื่อเปิดแฟรชไดรส์ให้หลิวไห่กำลังเคี้ยวหมากฝรั่งในปาก เขาพ่นทิ้งแล้วรับคำ

ปลายสาย : ไม่มีปัญหา ฉันจะทำให้พวกมันหลงทางเอง

หลิวไห่ : เยี่ยม

เขาวางสายแล้วจึงบอกกับหลี่เจี่ยซินด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ ปล่อยให้คนที่สมควรต่อสู้กันได้ต่อสู้อย่างสูสี

“เรียบร้อย เธอขับไปเรื่อย ๆ นะไม่ต้องหนีไม่ต้องเร่งรีบแล้วทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น”

“ทำไมง่ายแบบนี้ล่ะคะ”

“แล้วทำไมเราต้องทำให้มันยากด้วยล่ะ เป็นสาวน้อยวัน ๆ คิดแต่จะใช้กำลังระวังไม่มีใครเขาเอาไปเป็นเมียนะ”

“เฮ๊ะ ใครจะสนล่ะ ถ้าอยากละก็จะขอร้องที่รักสักครั้งสองครั้งให้ช่วยฉัน”

หลิวไห่ร้องเสียงดัง

“ผู้หญิงที่ไหนเขาพูดเรื่องนี้หน้าด้าน ๆ แบบเธอบ้างล่ะ”

“เรื่องจริง เราได้กันแล้วจะอายทำไมฉันบอกแล้วจะรับผิดชอบเธอไม่ยอมเองนี่”

หลิวไห่ร้องเสียงหลง

“หลี่เจี่ยวสิน เธอนี่มันไร้ยางอายจริง ๆ”

หลี่เจี่ยซินนึกบางอย่างออก

“โอ้ ลืมไปเลยที่รักไม่ต้องห่วงเรื่องนี้แล้ว เพื่อนฉันคนนั้นน่ะจำได้หรือเปล่าที่เป็นตำรวจน่ะ เขาขอฉันเดทแล้วนะวันหยุดนี้ว่าจะขอเธอไปเดทพอดี”

จู่ ๆ ใจของหลิวไห่ก็เจ็บแปลบ เขากอดเธอแน่นขึ้น

“ไม่ได้ คนนั้นเป็นคนไม่ดีวางยาปลุกเซ็กส์เธอไม่ใช่เหรอ ฉันไม่ปล่อยให้เธอไปหรอก”

หลี่เจี่ยซินรีบส่ายหน้า

“ไม่ใช่เขาหรอก มันเป็นเพราะฉันน่ะ”

หลิวไห่มองเธอ เขาไม่เข้าใจที่เธอพูด

“เธอว่าอะไรนะ”

“ช่างเถอะ ไฟแดงแล้วเธอกอดแน่น ๆ แล้วกัน”

ขับไปได้ไม่ถึงสิบยี่สิบวินาทีเช่นเคย พวกเขาก็ติดไฟแดงอีก หลี่เจี่ยซินยิ้มเมื่อในสมองเริ่มคิดจะบิดหนี หลิวไห่ได้รับข้อความจากคนคนนั้น

นับหนึ่งถึงสิบได้เลย ไม่ต้องห่วง

หลิวไห่ตบไหล่หลี่เจี่ยซิน

“เรียบร้อยไม่มีใครตามเราได้แล้ว”

คนที่กำลังจะบิดเครื่องหนีด้วยความรู้สึกคึกคักอย่างเธอต้องพ่นลมออกมาจากปากอย่างเบื่อหน่าย

“เฮ้ย ไม่สนุกเลยแต่ก็ดีกว่าสร้างความลำบากให้คนอื่น”

หลิวไห่ตบไหล่เธอเป็นการปลอบใจ แล้วกลับเข้าเรื่องตำรวจหนุ่มคนนั้นต่อ

“ตกลงไม่ได้ถูกวางยาแน่นะ”

“แน่สิ”

“แล้วทำไม”

หลี่เจี่ยซินหัวเราะ

“ก็แค่เห็นภาพพวกนั้นแล้วอยาก ทำไมจะให้รับผิดชอบเหรอ เอาสิไม่มีปัญหา”

ในที่สุดหลิวไห่ก็หยุดพูดแล้ว หลี่เจี่ยซินพูดแบบนี้เขาสารภาพว่ามันทำให้เขาตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย

นี่เธออยากเอาเขาจริง ๆ ใช่หรือเปล่า?

หลิวไห่คิดได้แบบนี้ก็ยิ้มไม่หุบ

ในขณะที่พวกเขาอยู่บนท้องถนนอย่างวางใจ อีกด้านหนึ่งคนที่กำลังดูกล้องวงจรปิดภาพพวกเขาอยู่ถึงกับต้องตกใจ

“หัวหน้าครับ พวกเขาโผล่ไปทุกที่เลยครับเกิดอะไรขึ้น ตอนนี้ระบุตำแหน่งที่แน่ชัดของพวกเขาไม่ได้ครับ”

“เป็นไปได้ยังไง”

ผู้ชายร่างสูงคนนี้ถึงกับวางแก้วกาแฟแล้วเข้ามาควบคุมกล้องวงจรปิดที่พวกเขาแฮ็กมากับมือด้วยตัวเอง เขาพยายามแก้ไขปัญหานี้แต่ก็ยังพบว่าเฉินเฟยอวี๋และคู่หมั้นกำลังติดไฟแดงอยู่แทบจะทุกแยก

“ใครมันเป็นคนทำกันครับ มันถึงได้เทพอย่างนี้”

เขาพยายามแก้ไขหาตัวหลิวไห่กับหลี่เจี่ยซินว่าที่จริงแล้วพวกเขาอยู่ที่ไหนกันแน่ใส่รหัสข้อมูลเข้าไปจนนิ้วแทบพัง แต่พวกเขายังคงอยู่ทุกที่ดูไม่ออกเลยว่าแยกไหนที่เป็นคนพวกนั้นจริง ๆ

“ไอ้บ้าเอ๊ย มันเป็นใครหน้าไหนวะกล้ามาเล่นกับกู”

เขารัวนิ้วใส่รหัสเข้าไปอีกครั้งแต่แก้ไขยังไงก็ไม่สำเร็จ

ในขณะที่คนของฝั่งตรงข้ามแกะห่อขนมแล้วยัดเข้าปาก นั่งยอง ๆ บนเก้าอี้รัวนิ้วไปอีกไม่กี่ทีก็หัวเราะเสียงดังเหมือนเด็กได้ของเล่นที่ถูกใจ เขาหักนิ้วตัวเองทั้งสิบนิ้วเสียงดัง กร๊อบ ก่อนจะวางนิ้วบนแป้นคีย์บอร์ดอีกรอบ

“ทีนี่ก็เจอของจริงกันดีกว่า ฮ่าฮ่าฮ่า”

เพียงนิ้วชี้ที่จิ้มแป้นลงไป ภาพของหลิวไห่และหลี่เจี่ยซินก็หายไปจากจอของคนอีกฝั่ง

“ลูกพี่ครับมันหายไปแล้ว ไม่มีสักแยกเลยครับตามไม่ได้เลยครับว่าพวกมันไปที่ไหน”

“โถ่โว้ย มันเป็นใครวะกล้าลองดีเหรอ มันคงไม่เคยตายซะแล้ว”

ถึงคนที่เป็นลูกพี่จะพูดแบบนั้น แต่เขาก็ไม่สามารถมองหาหลิวไห่และหลี่เจี่ยซินเจออีกแล้ว พวกเขาหายไปราวกับมีเวทมนต์ในอากาศ

ผู้ชายคนนั้นโมโหถึงกับทุบแป้นคอมพิวเตอร์จนยับเยิน ก่อนที่จะหัวเราะออกมา

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ไม่ต้องสืบแล้วว่าคนที่อยู่บนถนนคือใคร จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากหลิวไห่เขาคือหลิวไห่จริง ๆ ไม่งั้นเทพพระเจ้าแฮกเกอร์ฉายาดวงตาสวรรค์คงไม่อยู่กับมันหรอก แจ้งนายใหญ่ได้เลยว่าระบุตัวตนได้แล้ว ผู้ชายคนนั้นคือหลิวไห่ ไม่ใช่เฉินเฟยอวี๋”

หลังออกจากคุกมาหลิวไห่ก็ได้หัวหน้าเฉิงที่คุมบ่อนฝั่งตะวันออกของฮ่องกงคอยคุ้มกะลา เพราะแบบนี้จึงไม่มีใครไปหาเรื่องเขาอีก แต่คนของสกุลกู้ก็ไม่สามารถปล่อยเขาได้เมื่อของบางอย่างที่พ่อของหลิวไห่นำออกมายังไม่สามารถนำกลับไปคืนได้ และหนึ่งในคนที่ยอมรับใช้หัวหน้าเฉิงก็ลือกันว่าคือดวงตาสวรรค์ คิดไม่ถึงว่าคนคนนั้นจะยอมรับใช้หลิวไห่ด้วย ผู้ชายคนนี้เขาไม่สามารถดูถูกได้จริง ๆ

เมื่อกู้เมิ่งย้ายมาตั้งหลักฐานที่แผ่นดินใหญ่เพราะในฮ่องกงกำลังได้รับการจับตามองจากรํฐบาลพวกเขาทำสิ่งใดต้องระวังเป็นอย่างมาก ธุรกิจของสกุลเมิ่งจึงกำลังถูกโอนถ่ายเทมาที่แผ่นดินใหญ่ซึ่งมีพื้นที่กว้างขวาง ยัดเงินข้าราชการนักการเมืองท้องถิ่นและทำสิ่งใดได้สะดวกกว่า

กู้เมิ่งสนใจบริษัทของเฉินเฟยอวี๋ คิดว่าจะเป็นแหล่งฟอกเงินที่ผิดกฎหมายของเขาได้เป็นอย่างดีจึงให้คนติดตาม เขาต้องตกตะลึงเมื่อเห็นใบหน้าของเฉินเฟยอวี๋มีใบหน้าที่เหมือนกับหลิวไห่จนเขายังแยกไม่ออก ตั้งแต่นั้นมาเขาจึงให้คนคอยติดตามหลิวไห่และเฉินเฟยอวี๋

แต่เมื่อให้คนติดตามทั้งสองคนกับพบว่าพวกเขาเป็นคนละคนกัน จนกระทั้งหลายสัปดาห์ที่แล้วเกิดความเปลี่ยนแปลงของเฉินเฟยอวี๋ที่น่าสนใจจึงทำให้พวกเขาจับตาดูคนคนนี้อีกครั้ง และคราวนี้เป็นเพราะดวงตาสวรรค์คอยช่วยเหลือจึงมั่นใจได้ว่าผู้ชายคนนี้คือหลิวไห่แน่นอน ส่วนคนที่อยู่ฮ่องกงต้องเป็นเฉินเฟยอวี๋

คนในวงการนี้ใครเป็นใครแม้ไม่เห็นหน้าแต่เห็นฝีมือกันก็รู้แล้วว่าใครกันแน่ที่เหนือกว่า เมื่อมีปรมาจารย์สกุลกู้มีหรือจะนิ่งเฉย พวกเขาก็กำลังตามตัวปรมาจารย์มาจากอเมริกาเพื่องานนี้เช่นกัน

มู่หรงฉายาหัตถ์เทวดาแม้จะแพ้ดวงตาสวรรค์แต่อาจารย์ของเขาผู้ลึกลับเป็นยิ่งกว่าเทพเจ้าแฮ็กเกอร์ย่อมไม่มีทางแพ้แน่นอน

หิมะตกเพียงปรอย ๆ อากาศไม่นับว่าหนาวมากความทนทานต่อความหนาวของหลี่เจี่ยซินและหลิวไห่มีมากกว่าคนโดยทั่วไป พวกเขาจึงไม่ลำบากในการขับรถบิ๊กไบค์บีเอ็มดับเบิ้ลยูราคาห้าแสนหยวนคันนี้สักเท่าไหร่ เมื่อขับออกมาพ้นถนนเส้นเดิมแล้วการจราจรหนาแน่นขึ้นโชคดีที่พวกเขาขับมอเตอร์ไซต์จึงทำให้หลีกหนีจากถนนที่แออัดออกมาชานเมืองได้อย่างรวดเร็ว

หลี่เจี่ยซินขับรถอย่างคล่องแคล่วและนับว่าเร็วมาก ด้วยความเร็วระดับนี้เมื่อวิ่งอยู่บนถนนที่แทบร้างผู้คนทำให้หลิวไห่คิดว่าเธอคนนี้สามารถที่จะไปเป็นนักแข่งมืออาชีพได้เลย

พ่อแม่ของเธอเลี้ยงมาแบบไหนถึงได้มีจิตใจที่แข็งแกร่งและไม่กลัวอะไรแบบนี้ สมแล้วที่ได้สืบทอดโรงเรียนศิลปะการต่อสู้อันมีประวัติยาวนาน

กระทั่งหลี่เจี่ยซินพาเขาเลี้ยวเข้าสู่ถนนเส้นรอง ขับรถมาเกือบสามชั่วโมงก็ใกล้จะถึงที่หมาย หลี่เจี่ยซินเห็นว่าสองข้างทางเริ่มกลายเป็นถนนในชนบท มีแปลงข้าวและผักปลูกสุดลุกหูลูกตาจนกระทั่งมาถึงบ้านเก่าหลังหนึ่ง

หลี่เจี่ยซินจอดรถบิ๊กไบค์ หลิวไห่กอดเธอมาตลอดทางและกอดแน่นเสียด้วย ช่วงเวลาที่นั่งซ้อนท้ายเธอมาเขารู้สึกมีความสุขและอยากจะลืมเลือนเรื่องทุกอย่าง

อยากให้โลกนี้มีเพียงเขาและเธอเท่านั้น

“ที่รักที่นี่ที่ไหนกันเหรอ”

หลิวไห่จับมือของเธอเขาเดินไปยังที่ลับควานหากุญแจที่ซ่อนเอาไว้ มันยังอยู่ที่เดิม

“แต่ก่อนมันเคยเป็นบ้านพักผ่อนของพ่อน่ะ ท่านชอบมาพักที่นี่และยังมีบ้านต้นไม้ของฉันด้วยนะ”

หลี่เจี่ยซินเดินตามเขาและสำรวจไปรอบ ๆ บ้านหลังนี้ฝุ่นจับหนาและเหมือนไม่มีใครมาเหยียบนานมากแล้ว ของหลายอย่างก็ชำรุดทรุดโทรม

“ไม่มีใครดูและเลยเหรอ ที่รักก็อยู่ไม่ไกลนี่ทำไมไม่กลับมาดูบ้างล่ะ”

หลิวไห่ยิ้ม เขาไม่ตอบเธอ เขาบอกไม่ได้ว่าเขาไปอยู่ฮ่องกงและเคยติดคุกหลายปีกระทั่งเขาลืมบ้านนี้ไปแล้ว แต่เมื่อเขาเห็นซองน้ำตาลที่ข้างในมีรูปของผู้หญิงจำนวนมาก จู่ ๆ เขาก็คิดออก

ตอนนั้นในซองน้ำตาลของพ่อ ก็มีรูปผู้หญิงจำนวนมากเหมือนกัน ทุกคนล้วนเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็ก มีชื่อ อายุ ความสามารถ และนิสัย บอกทุกอย่างเกี่ยวกับพวกเธอโดยละเอียด วันนี้เขาเหมือนได้เห็นซองนั้นอีกครั้ง

เหมือนเขาจะจำได้ว่าพ่อได้ซ่อนของพวกนี้เอาไว้ที่ไหนสักแห่งที่บ้านหลังนี้

หลิวไห่ใจเต้นแรง คล้ายกับว่าเขาใกล้จะค้นพบบางสิ่งบางอย่างแล้ว สิ่งที่เขาสงสัยมานานว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่

หลี่เจี่ยซินเดินตามเขาไม่ห่าง พวกเขาเดินออกมาสำรวจที่สวนด้านนอกจนกระทั่งไปถึงบ้านต้นไม้ของเขา

“นี่บ้านต้นไม้ของเธอเหรอ”

หลิวไห่พยักหน้า เขาแหงนหน้าขึ้นไปมองบ้านหลังเล็กข้างบน

“แต่ก่อนมันเป็นบ้านที่หลังใหญ่มาก พ่อเป็นคนสร้างให้ฉันชอบมากถึงขั้นขังตัวเองอยู่ในนั้น ทำกิจกรรมไปด้วย อ้อแล้วยังมีห้องสมบัติด้วยนะ เป็นสถานที่ลับของฉันกับพ่อที่ไม่มีใครรู้…”

และแล้วหลิวไห่ก็เหมือนจะตาสว่างแล้ว เขามั่นใจว่าพ่อของเขาต้องแอบซ่อนบางสิ่งบางอย่างไว้ในบ้านต้นไม้นี่เป็นแน่ สถานที่นี้ในตอนเด็กพ่อมักจะพาเขาแอบมา เขาเองก็เคยสงสัยว่าทำไมพ่อถึงต้องทำเหมือนหลบซ่อนใคร แต่ในตอนนั้นพ่อของเขาเพียงบอกว่า

“บ้านหลังนี้คือความลับของเราสองพ่อลูก ดังนั้นเราจะไม่ให้ใครรู้เสี่ยวไห่ต้องเชื่อฟังนะลูก ถ้าไม่อยากให้ใครพรากมันไปจากเรา”

ตั้งแต่นั้นมาเขาก็ไม่เคยปริปากพูดบ้านแห่งความลับของพ่อและเขาให้ใครรู้อีกเลย

“รออยู่ตรงนี้นะ ฉันจะปีนขึ้นไปข้างบนดูหน่อย”

หลี่เจี่ยซินจึบแขนของเขาไว้

“เธอไม่เคยปีนป่าย ให้ฉันไปดีกว่าจะเอาอะไร”

หลิวไห่ดึงมือของเธอออก เขาจ้องเขาไปในดวงตาคู่สวยของเธอ

“ไม่เป็นไร ฉันปีนได้รอฉันอยู่ตรงนี้นะ”

จู่ ๆ หลี่เจี่ยซินก็ใจเต้นแรง มือของเขาที่จับมือเธอในตอนนี้ช่างร้อนราวกับไฟ หลิวไห่คลายกระดุมเสื้อเชิตแล้วพับแขนเสื้อขึ้น โหนตัวจับกิ่งไม้ขึ้นไปบนต้นไม้อย่างคล่องแคล่ว กระทั่งไปถึงบ้านไม้เล็กด้านบน

หลิวไห่มีช่องลับในบ้านไม้ ถ้าดูเผิน ๆ เหมือนว่าส่วนนี้จะเป็นเนื้อของต้นไม้ต้นนี้ ไม่มีใครสังเกตุได้ว่ามันเป็นช่องลับช่องที่กว้างพอช่องหนึ่ง เขาคว้าของทั้งหมดออกมาถือเอาไว้แล้วกระโดดลงจากต้นไม้ต้นนั้น

หลี่เจี่ยซินรีบเข้ามาปัดเศษไม้ที่เกาะตามเนื้อตัวให้เขาจนสะอาด เหมือนกำลังดูแลลูกชายที่กำลังซนคนหนึ่ง

หลิวไห้ยิ้มให้กับท่าทางน่ารักของเธอ

“ได้มาแล้วเหรอ”

หลิวไห่ยกซองพลาสติกหลายซองขึ้นมา ในนี้หลายซองเป็นของที่เขาเก็บเอาไว้เองและยังมีอีกซองที่เขาจำไม่ได้ว่าเป็นของเขา ในเมื่อไม่ใช่ของเขาก็คงจะเป็นของพ่อเป็นแน่

“อื้ม มาดูกันว่ามีของที่ต้องการหรือเปล่า”

หลิวไห่มองไปรอบ ๆ เขาคิดว่าที่นี่อาจจะไม่ปลอดภัย ความจริงแล้วประธานกู้ส่งคนตามเขาตลอดแต่เขาจับได้และจัดการไปหลายคนแล้วเขาจึงยัดของทั้งหมดลงใต้เบาะบิ๊กไบค์

“เรากลับบ้านกันดีกว่า อย่างน้อยก็ปลอดภัยกว่าที่นี่ที่มีเพียงเราสองคน”

หลี่เจี่ยซินเห็นด้วย ในซองน้ำตาลในมือของหลิวไห่มีอะไรกันแน่นะ

หลิวไห่ยิ่งสงสัย คนพวกนี้กำลังทำอะไรกันแน่

“ทำไมต้องหาคนคนนั้น เพื่ออะไร”

สองคนส่ายหน้า

“เราเองก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าต้องหาคนก็เท่านั้นแต่เราไม่เคยก้าวก่ายชีวิตของพวกเขาเลย ไม่ได้ทำอะไรผิดคนที่เราจับตาดูถ้าถูกคัดออกพวกเราก็ไม่เคยไปยุ่งเกี่ยวอีก”

หลิวไห่เปิดซองน้ำตาลดู ในนั้นเป็นรูปถ่ายผู้หญิงหน้าตาดีจำนวนมากยังมีชื่ออายุสถานที่ทำงานและประวัติการเรียนอย่างละเอียด คนสกุลกู้กำลังทำอะไร เรื่องนี้เขาค่อนข้างมั่นใจว่าต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องที่พ่อเขาตายเป็นแน่

“พวกแกแน่ใจนะว่ารู้เรื่องแค่นี้”

“เราถูกจ้างให้ทำแค่นี้จริง ๆ ไม่คิดว่าผิดอะไรนี่”

หลิวไห่ส่ายหน้า

“ไม่ผิดได้ยังไง แกเป็นตำรวจมีหน้าที่ต้องทำให้ประชาชนปลอดภัยแต่แกเล่นไปจับตาดูประชาชนเสียเอง ละเมิดสิทธิส่วนบุคคลนี่มันผิดกฎหมายชัด ๆ ถ้าคนพวกนี้รู้แกคิดหรือว่าแกจะยังอยู่ในอาชีพนี้ได้ ฉันจะทำยังไงดีนะแฉแกดีหรือเปล่า”

ตำรวจคนนั้นคิดไม่ถึงว่าหลิวไห่จะใช้วิธีนี้เล่นงานเขา เขาส่ายหน้า

“อย่านะครับ อย่าทำเลยผมก็แค่รับงานเล็กน้อยผมสัญญาผมจะไม่ทำอีกแล้ว ผมสัญญา”

หลิวไห่หัวเราะ

“ไม่ใช่ไม่ทำ แต่แกต้องทำเรื่องนี้ต่อให้จบ”

“ผมไม่เข้าใจครับ”

หลี่เจี่ยซินคิดว่าตำรวจคนนี้เหมือนจิ้งจกเปลี่ยนสี เมื่อสักครู่ยังด่าว่าเธอและเฉินเฟยอวี๋ด้วยคำพูดรุนแรงอยู่เลย ตอนนี้แทบจะหมอบแทบเท้าพวกเขาอยู่แล้ว

“ข้อแรกถ้าแกไม่ทำต่อ คนที่จ้างแกก็ต้องสงสัยและกำจัดแกแน่ฉันเตือนเพราะหวังดี คนพวกนี้ฉันรู้จักดีพวกมันฆ่าได้โดยไม่กะพริบตาด้วยซ้ำ”

ตำรวจคนนั้นคิดแต่จะเอาตัวรอด เมื่อได้ยินหลิวไห่พูดประเด็นนี้ก็ทำให้เขาถึงกับตัวสั่น

“ข้อสอง ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่ามันกำลังหาใครและคิดจะทำอะไรกันแน่ ดังนั้นถ้าได้คนที่เก่งที่สุดแล้วแกต้องส่งข่าวให้ฉัน”

เฉินเฟยอวี๋ดึงรูปในกระเป๋าเสื้อของตัวเองออกมาแล้วโยนลงที่พื้น

ตำรวจคนนั้นเห็นรูปถึงกับตกใจ มือของเขาสั่นจนควบคุมไม่ได้

“ลูกเมียแก แม่ยายแก ยายของแก พ่อแม่แก คนทั้งหมดนี้ฉันรู้ว่าอยู่ที่ไหน จำไว้หลังจบงานนี้แกก็อย่าได้ยุ่งกับเรื่องพวกนี้อีกเพราะแกกำลังลากพวกเขามาลำบาก”

“อย่าทำอะไรพวกเขาเลยนะครับ”

ร่างใหญ่ของตำรวจถึงกับทรุดลงบนพื้น เขาหยิบรูปพวกนั้นแล้วรีบยัดใส่กระเป๋า

“มันก็ขึ้นอยู่กับแก แกอีกคนอย่าคิดว่าฉันจะตามไม่รู้ว่าแกคือใคร ทั้งสองคนอย่าทำให้ผิดหวังถ้างานสำเร็จรับรองว่าฉันมีรางวัลให้มากกว่าที่แกได้รับอีก”

หลิวไห่รู้นิสัยคนพวกนี้ดี นอกจากความสัมพันธ์ของครอบครัวที่คนบางคนไม่มี ก็ต้องใช้เงินเป็นตัวล่อ เขาตบไหล่คนทั้งสองแล้วบอกว่า

“เห็นความสามารถของคนของฉันแล้วใช่หรือเปล่า ถ้าคิดจะหักหลังก็คิดให้ดี ๆ รับรองว่าพวกแกจะตายโดยไม่ได้กะพริบตาด้วยซ้ำ”

หลี่เจี่ยซินโยนปืนของผู้ชายอีกคนให้หลิวไห่ เขาเอากระสุนออกแล้วคืนให้คนทั้งสองพร้อมกับลุกขึ้น

“นั่งหันหน้าชิดกำแพงแล้วหลับตา แล้วฉันจะติดต่อมา”

คนพวกนั้นทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย หลิวไห่เดินไปคืนหมวกกันน็อคไว้ที่เดิมคนส่งของที่กำลังวิ่งวุ่นถามหาหมวกกันน็อคของตัวเองจากในตึกที่เขาขึ้นไปส่งอาหารออกมาพอดี เขากำลังจะต่อว่าหลิวไห่ที่กำลังเดินหนีแต่เห็นเงินปึกหนึ่งวางอยู่ที่เบาะก็รีบคว้าเงินขึ้นมาแล้วหุบปากสนิท

เขาตะโกนไล่หลังหลิวไห่ด้วยเสียงที่ดังฟังชัด

“ขอบคุณที่ใช้บริการ โอกาสหน้าเชิญใหม่นะครับ”

หลี่เจี่ยซินเปิดเบาะนั่ง ข้างในมีหมวกกันน็อคสำหรับคนซ้อนอีกอัน

“อ้าวมีด้วยเหรอ ทำไมไม่บอก”

“จะรู้เหรอว่าเธอจะเข้าไป ฉันบอกให้คอยอยู่ที่นี่พักหลังมานี่ชักจะเป็นอันธพาลขึ้นทุกวันแล้วนะ ไม่รู้ไปติดนิสัยจากใครมา”

หลิวไห่เบ้ปาก

“จ้ะ แม่คนดี”

หลี่เจี่ยซินหัวเราะจนตาหยี

“ฉันน่ะใช้กำลังเป็นนิสัยแล้ว แต่เธอบอบบางขนาดนี้จะมาใช้กำลังได้ยังไง”

หลี่เจี่ยซินลูบแขนที่มีกล้ามแน่นเป็นมัด ๆ ของเขาแล้วมองเฉินเฟยอวี๋ในสายตาของเธอเหมือนผู้หญิงร่างบางคนหนึ่ง

หลิวไห่หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกเมื่อหลี่เจี่ยซินคิดแบบนั้นกับผู้ชายกล้ามโต ที่ขึ้นชื่อว่าโหดที่สุดในคุกและยังเป็นประธานจอมโหดที่ใครต่อใครหวาดกลัวว่าคนบอบบาง

เอาเถอะ เธออยากจะคิดอะไรก็เรื่องของเธอแล้ว

คราวนี้หลี่เจี่ยซินถามเขาอย่างเป็นงานเป็นการ

“ไปไหนต่อคะเจ้านาย”

หลิวไห่มองซองสีน้ำตาลที่เพิ่งได้มาอย่างครุ่นคิด และจู่ ๆ เขาก็คิดบางสิ่งออก

“ไปที่ที่หนึ่ง เธอลงมาฉันจะขับเอง”

หลี่เจี่ยซินไม่แน่ใจ

“แต่ที่รักเธอขับมอไซต์ไม่เป็นนะ”

หลิวไห่พ่นลมหายใจออกมา เขาจะบอกว่าไปฝึกขับมาแล้วก็คงเป็นเหตุผลที่ไม่เข้าท่า ในเมื่อหลี่เจี่ยซินอยู่กับเฉินเฟยอวี๋แทบจะตลอดเวลา

“ขอโทษลืมไปน่ะ”

“แล้วที่รักจะไปไหนต่อล่ะ”

“ไปที่นี่…”

หลิวไห่ตั้งจีพีเอสที่หน้าจอบิ๊กไบท์ให้หลี่เจี่ยซินเสร็จสรรพ

“ไปที่นี่ มีของที่ลืมไว้นานแล้วจะกลับไปเอา”

“ได้เลยค่ะเจ้านาย เอาล่ะกอดแน่น ๆ ด้วย ไม่ใช่จับชายเสื้อแบบนั้นมันอันตราย”

“ได้จ้ะ”

หลิวไห่แสร้งทำเสียงของเฉินเฟยอวี๋อีกครั้ง การทำเสียงเล็กเสียงน้อยแบบนี้ทำให้เขารู้สึกขนลุกไม่คิดว่าตัวเองจะเหมือนเฉินเฟยอวี๋จนคนแยกไม่ออกแบบนี้ ความเหมือนทางด้านร่างกายของเขาและเฉินเฟยอวี๋เรียกได้ว่าเกือบจะเก้าสิบห้าเปอร์เซ็นต์เพียงแต่เขาสูงกว่าเฉินเฟยอวี๋ราวสองเซ็นติเมตร และมีเสียงที่ทุ้มกว่ามากแต่เรื่องพวกนี้มันเล็กน้อยเท่านั้น จึงแน่นอนว่าไม่มีใครแยกพวกเขาออกว่าใครเป็นใครตั้งแต่เล็ก ๆ แล้ว

เขานั่งซ้อนหลังเธอแล้วใช้สองมือจับเอวของเธอ หลี่เจี่ยซินส่ายหน้าไม่พอใจ เธอจับมือของเขาแล้วโอบรอบเอวบางของเธออย่างแน่นหนา

หลิวไห่แนบร่างหนาใหญ่โตของเขาลงบนแผ่นหลังบอบบางของเธอพร้อมกับฟังหลี่เจี่ยซินพูดประโยคที่ทำให้เขาพูดไม่ออกอีกครั้ง

“กอดแน่น ๆ นะที่รักบอบบางแบบนี้กลัวว่าเธอจะปลิวไปตามลมน่ะ”

หลี่เจี่ยซินในชุดมิดชิดใส่หมวกกันฯ็อคเดินตรงไปยังตรอกนั้นโดยไม่มีใครสังเกตเห็น ในชั่วโมงที่ผู้คนต่างยุ่งอยู่กับการทำงานและหิมะกำลังโปรยปรายลงมาเช่นนี้ จึงไม่มีใครสนใจคนอื่นสักเท่าไหร่ หลิวไห่ยืนมองเธอจากอีกฟากของถนน สายตาของเขามีเธอเป็นจุดโฟกัสทั้ง ๆ ที่รู้ว่าหลี่เจี่ยซินเอาอยู่เขาก็ยังห่วงเธอมากอยู่ดี

หลี่เจี่ยซินเดินไปหยุดระหว่างคนสองคนที่กำลังจ้องกันราวกับกำลังรอว่าใครจะเป็นฝ่ายเริ่มก่อน แต่ละคนจับที่เอวของตัวเองแน่นอนว่าพวกเขาต่างก็พกปืนกันมา

หลี่เจี่ยซินกระแอม ทั้งยังทำเสียงให้เข้มกว่าปกติเล็กน้อย

“ทะเลาะกันเสร็จหรือยัง จะขอถามอะไรหน่อย”

ผู้ชายร่างใหญ่สองคนมองมาที่เธอ หลี่เจี่ยซินยกกระจกหมวกกันน็อคขึ้นแล้วยิ้มจนตาหยี เธอกำลังมีมารยาทจะขอของและถามดี ๆ เพื่อไม่ต้องลงไม้ลงมือกัน แต่สองคนนั้นกลับหัวเราะ

ถึงแม้ว่าหลี่เจี่ยซินจะอยู่ในชุดตัวโคร่งแต่เธอก็ยังตัวเล็กมากอยู่ดี

“เจ้าหนูมายุ่งอะไรเรื่องของผู้ใหญ่ ไปให้ไกล ๆ ตีน ก่อนจะเจอตีนเสียเอง”

ตำรวจคนนั้นพูดขึ้นอย่างรำคาญ เขายังโบกมือไล่เธออีกด้วย

“ยังไม่เสร็จธุระไปไม่ได้”

หลี่เจี่ยซินส่ายหน้า

“ทำไมจะถามทางเหรอ จะไปไหนล่ะ”

ตำรวจคนนั้นถึงจะช่วยคนร้ายทำงานแต่เขาก็ยังเป็นคนดีอยู่มาก

“ไม่ใช่หรอก จะถามว่าซองในซองน้ำตาลในมือของนายน่ะมีอะไร และก็พวกนายกำลังคุยอะไรกันอยู่”

ผู้ชายอีกคนหัวเราะเสียงดัง

“เจ้าหนูนี่วอนตายแล้วมั๊ยล่ะ เสือกอะไรกับเรื่องผู้ใหญ่ถ้าไม่อยากตายก็ไปให้ไกลเลย”

หลี่เจี่ยซินหัวเราะบ้าง ถึงน้ำเสียงจะแหลมเล็กแต่สำหรับหลี่เจี่ยซินแล้วเธอคิดว่านี่ช่างเป็นน้ำเสียงที่น่ากลัวและดุดันจนทำให้คนตัวสั่น

หลิวไห่รอเธออย่างใจเย็น เขาไม่ได้ยินว่าหลี่เจี่ยซินพูดอะไรกับคนพวกนั้นแต่ท่าทางเธอในตอนนี้เหมือนกำลังจะถูกพวกเขารุมอัดอยู่แล้ว เขาลุกขึ้นข้ามถนนที่ไม่มีรถผ่านมาอย่างวดเร็ว หลิวไห่มองไปรอบ ๆ เห็นมอเตอร์ไซต์จอดส่งของจอดอยู่คันหนึ่งจึงคว้าหมวกกันน็อคที่วางอยู่บนเบาะมาสวม

เขาปล่อยให้เธออยู่กับพวกนั้นลำพังไม่ได้อีกต่อไป หลิวไห่สวมหมวกกันน็อคพร้อมกับวิ่งเร็วเมื่อเห็นหลี่เจี่ยซินถูกผู้ชายสองคนผลัก และเธอกำลังจะถูกซัดเข้าที่ใบหน้า แต่แล้วเขาก็ต้องเบาฝีเท้าเมื่อหลี่เจี่ยซินก้าวขาไวจนเขามองไม่ทัน พริบตาเดียวผู้ชายสองคนนั่นก็ล้มไปนอนบนพื้นจมตีนเธอเรียบร้อยแล้ว

“โอ้ ไม่ต้องให้ช่วยแฮะ เอาล่ะใจเย็นหลิวไห่เข้าไปให้เท่ห์ ๆ หน่อย”

เขาบอกกับตัวเองเมื่อคิดว่าท่าทางของตัวเองตอนนี้ลุกลี้ลุกลนจนเกินไป

“ไอ้งั่งเอ๊ย ฉันจะอัดแกให้น่วมเลยคอยดู”

หลี่เจี่ยซินเตะเข้าที่ปากของผู้ชายคนนั้นอย่างแรง เลือดจากปากสาดออกมาเต็มพื้น เธอหัวเราะเสียงใส

“เมื่อกี้ใครจะอัดฉันนะ ไอ้เลวเอ๊ยมีมารยาทมั่งคนถามดี ๆ กลับคิดจะตบกบาลฉันเหรอจำใส่สมองไว้ แกกับฉันมันคนละชั้น”

หลี่เจี่ยซินถือปืนของพวกเขาไว้ทั้งสองมือ หลิวไห่ไม่คิดว่าเธอจะเร็วขนาดฉกปืนของตำรวจและคนร้ายได้ในเวลาพร้อม ๆ กัน

“นี่แกเป็นตัวอะไรกันแน่”

เมื่อตำรวจคนนั้นเห็นหลี่เจี่ยซินถือปืนไว้ในมือถึงกับตกใจ เขาไม่รู้ตัวเลยว่าเด็กน่ากลัวคนนี้แย่งปืนไปจากเขาตอนไหน

“บรรพบุรุษของแกยังไงล่ะ”

“ไอ้เลวแกกล้าด่าบรรพบุรุษฉันเลย”

“เอาสิวะ จะทำไมล่ะจะอัดฉันหรือไง”

หลี่เจี่ยซินดูหนังมาเฟียมาเยอะ เธอยืมคำพูดพวกนี้มาใช้แล้วก็รู้สึกคึกคักและสนุกมาก ในขณะที่คนฟังแทบคลั่งจนผวาเข้าไปจะต่อยเธอ ตำรวจคนนั้นยังไม่ทันขยับตัวก็ถูกเท้าใหญ่ของใครบางคนถีบจนล้มหน้าฟาดไปกับพื้นอีกครั้ง

หลี่เจี่ยซินตาค้าง

ที่รักของเธอทำไมรุนแรงแบบนี้ คนบอบบางแบบหลิวเฟยอวี๋ไปจำนิสัยอันธพาลแบบนี้มาจากใครกัน หลี่เจี่ยซินรู้สึกรับไม่ได้จริง ๆ เธอชอบหลิวเฟยอวี๋ที่นุ่มนิ่มบอบบางเละคอยให้เธอคุ้มครองมากกว่า

“กล้าคิดอัดคนของฉันเหรอวะ”

ผู้ชายอีกคนขยับคิดวิ่งหนี หลี่เจี่ยซินเห็นแล้วจึงดึงให้เขานั่งคุกเข่าลงตามเดิม

“เจ้านายเอายังไงดี”

“ให้มันคายข้อมูลออกมา ถ้าไม่ยอมบอกก็ตัดนิ้วมันซะ”

หลี่เจี่ยซินขนลุก รู้สึกปลาบปลื้มใจที่เขาทำได้ดีทั้งที่เมื่อสักครู่ยังอยากให้เฉินเฟยอวี๋บอบบางอยู่เลย

เฉินเฟยอวี๋นายนี่เท่ห์ชะมัด ว๊าว ตัดนิ้ว คำนี้ฉันก็อยากจะพูดเหมือนกัน

เธอโยนปืนของตำรวจให้หลิวไห่ เขาดึงกระสุนออกจนหมดรังปืนโดยที่ไม่มีใครรู้เพื่อป้องกันเหตุร้ายเอาไว้ก่อน

สองคนที่ได้ฟังถึงกับสะดุ้ง ตำรวจคนนั้นรักตักกลัวตายเขาหาเงินจากการทุจริตในหน้าที่มาเยอะ ยังไม่ได้ใช้เลยเขาจะมานิ้วขาดไม่ได้

“พวกแกต้องการอะไร”

เขาจึงถามขึ้น

“ก็แค่บอกมาว่าพวกแกกำลังให้คนตามเฝ้าใครและทำไมกัน”

“เฝ้าใคร ฉันจะตามเฝ้าใครแกพูดเรื่องอะไร”

ตำรวจคนนั้นได้รับการฝึกมาดี จึงปฏิเสธได้ไหลลื่นจนไม่มีพิรุธ

หลี่เจี่ยซินดึงมีดพกออกมา แล้วดึงมือของตำรวจคนนั้นออกมากางที่พื้น

“เจ้านาย นิ้วไหนก่อนดี”

หลิวไห่เหยียบเข้าที่มือของตำรวจคนนั้นแล้วขยี้เบา ๆ

“ไม่ต้องเลือกตัดทิ้งทั้งห้านิ้วเลย”

หลี่เจี่ยซินวางมีดลงบนนิ้ว ดึงเวลาเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าตำรวจคนนั้นกำลังเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เขากำลังพูดไม่ออก

“ฉันชอบนับขอนับสามแล้วกัน”

เธอกดปลายมีดลงไปที่นิ้วก้อยของเขาก่อน ยังไม่ทันอ้าปากตำรวจคนนั้นก็โพล่งออกมา

“บอกแล้ว บอกแล้ว ฉันกำลังตามคน ตามคนอยู่”

หลี่เจี่ยซินทำหน้าท่าเสียดายมากที่ไม่ได้ตัดนิ้วคน หลิวไห่ยกยิ้มเมื่อคน ๆ นี้คายข้อมูลออกมาแล้ว

“ตามใครบอกมาให้หมด”

นายตำรวจคนนั้นชี้ไปที่ผู้ชายอีกคน

“ถามเขาสิ เขารู้ดีกว่าผมอีก”

หลิวไห่นั่งลงใช้ปืนของตำรวจจ่อเข้าที่ปลายคางของเขา พร้อมกับทำเสียงเหี้ยม

“เฟี้ยว นัดเดียวจอดแกคิดว่าจะรอดหรือเปล่า อย่าให้ถามมากรีบบอกมา”

ผู้ชายคนนั้นที่ผ่านมาเขาที่คุกเข่าอยู่ตรงนั้นหยิบซองน้ำตาลแล้วโยนให้พวกเขา

“พวกเราแค่ตามคนพวกนี้ ผู้หญิง เก่ง ฉลาด อายุ ยี่สิบถึงยี่สิบห้าปี ในย่านนี้ทุกคนแล้วค่อย ๆ คัดคนที่โง่ในกลุ่มออกทีละคนจนกว่าจะเจอคนที่เก่งที่สุด”

คืนนี้หลิวไห่นอนไม่หลับทั้งคืน เขาคิดเรื่องต่าง ๆ มากมายในขณะที่หลี่เจี่ยซินนอนกรนเบา ๆ อยู่ข้าง ๆ แม้ว่าเขาจะปฏิเสธไม่ให้เธอร่วมเตียงกับเขาแต่หลี่เจี่ยซินก็เป็นแสดงความห่วงใยที่เกินจริง กลัวว่าเขาจะคิดมากจนฆ่าตัวตายที่ต้องเสียน้ำให้เธอซึ่งเป็นผู้หญิง หลิวไห่ถูกเธอตื้ออย่างหนักสุดท้ายก็ต้องยอมอย่างจำใจ

เขาเกลี่ยผมที่ปรกหน้าออกให้เธอพึมพำเสียงเบา

“หลี่เจี่ยซินผู้หญิงบ้านี่เธอช่างไม่รู้อะไรเลย ไม่รู้เหรอว่าฉันพยายามห่างเธอแค่ไหน”

เขายิ้มอย่างอ่อนโยน ค่อย ๆ ไล้ไต่นิ้วตามกรอบใบหน้าสวยหวานของเธออย่างหลงใหล ยิ่งเขาได้ใกล้ชิดเธอยิ่งรู้ว่าหลี่เจี่ยซินพิเศษมากเพียงใด

เธอเหมือนไม่ใช่คนจริง ๆ แต่จากประวัติที่เขาสืบมาแล้วผู้หญิงคนนี้ก็ไม่ได้มีอะไรที่น่าสงสัย

เป็นเด็กผู้หญิงที่เติบโตขึ้นมาในโรงฝึกศิลปะการต่อสู้ธรรมดา ๆ คนหนึ่งเท่านั้น

“หลี่เจี่ยซินถ้าเธอเป็นผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งจะเป็นยังไงนะ ความจริงฉันก็อยากจะเป็นฝ่ายปกป้องเธอบ้างไม่ใช่ให้เธอคอยปกป้องอยู่แบบนี้ มันน่าอายไม่รู้หรือ”

หลี่เจี่ยซินขยับตัวเธอพลิกมากอดเขาไว้ ปากยังงึมงำใบหน้างามยกยิ้มอย่างมีความสุข

หลิวไห่ขยับตัวดึงเธอเข้าอยู่ในอ้อมกอดกระซิบถามเสียงเบา

“เธอฝันหวานเหรอ ที่รัก เธอฝันเห็นอะไรนะ”

และแล้วหลี่เจี่ยซินกลับพูดขึ้น

“ที่รักฉันอยากลองอีกสักน้ำพิสูจน์ว่างูของเธอผงกหัวแล้ว”

หลิวไห่ใบหน้าเห่อร้อน เขาถอนหายใจออกมาแล้วพูดเสียงเบา

“ยัยลามกเอ๊ย เอาเถอะอย่างน้อยก็ยังฝันถึงฉัน”

หลายวันต่อมา หลิวไห่ให้คนตามสืบว่าหลี่เจี่ยซินโดนใครวางยา แต่เธอกลับห้ามเขาและบอกว่าเธอรู้แล้วว่าเป็นใคร แต่เธอจะจัดการเรื่องนี้เองหลิวไห่ถามยังไงหลี่เจี่ยซินก็ไม่ยอมบอกเขาเด็ดขาด

“เอาไว้ฉันจะบอกเธอเองนะ ไม่ต้องห่วงหรอกฉันจัดการมันไปแล้ว”

เมื่อหลี่เจี่ยซินไม่ให้เขายุ่ง หลิวไห่จึงคิดว่าหรือจะเป็นนายตำรวจเพื่อนรักของเธอคนนั้นจริง ๆ และหลี่เจี่ยซินกำลังพยายามปกป้องเขาอยู่ สร้างความเจ็บใจให้หลิวไห่เป็นอย่างมาก

เขาต้องรู้ให้ได้ว่าใครกำลังทำร้ายเธอกันแน่

ต่อมาคนของหลิวไห่ถูกส่งมาจากฮ่องกงเพื่อตรวจเช็คบัญชีที่เขาคิดว่าผิดปกติ และแล้วเขาก็พบจริง ๆ หลิวไห่ตั้งใจเชือดไก่ให้ลิงดูเขาแจ้งข้อหากับผู้ตรวจบัญชีและพนักงานบัญชีที่ปกปิดข้อมูลและสร้างข้อมูลเท็จเรียงตัว หลังจากนั้นแจ้งข้อหาส่งตัวให้ตำรวจและไล่ออกจนตำแหน่งงานในบริษัทครึ่งหนึ่งว่างลง

หลังจากนั้นภายในวันต่อมาเขาจัดการเอาคนของเขาเข้ามานั่งทำงานโดยไม่สนใจความคิดเห็นของผู้ถือหุ้นคนอื่น

ในการประชุมผู้ถือหุ้นหลายคนต่างแย้งเขาว่าทำแบบนี้ไม่ถูกต้อง หลิวไห่นั่งไขว่ห้างโยนปากกาเล่นแล้วพูดเสียงเย็นพร้อมกับโยนเอกสารให้คนพวกนั้นดู

“นี่มันอะไรครับ”

“นี่คือรายชื่อผู้ถือหุ้นครับ ผู้ถือหุ้นหลักในตอนนี้คือคุณหลิวไห่นักธุรกิจจากห้องกง เขาได้มอบอำนาจให้ผมแล้วมีใครจะแยังอะไรอีกหรือเปล่าครับ”

ทุกคนต่างหน้าเสีย ไม่คิดว่าเฉินเฟยอวี๋จะไปรู้จักสนิทสนมกับหลิวไห่คนลึกลับนั่น เป็นเพราะไม่กี่วันก่อนหุ้นของบริษัทร่วงลงจนแทบจะติดพื้นเพราะข่าวลือว่าบริษันได้ตัดสินใจจะหาผู้ร่วมทุนด้วยไม่อาจยื้อภาวะการขาดทุนเอาไว้ได้

เมื่อข่าวลือถูกปล่อยหุ้นจึงตกลงมาอย่างหนัก ในตอนนั้นเองหลิวไห่ก็กว้านซื้อหุ้นแทบจะทั้งหมดเอามาถือครองเอง ในตอนนี้เขาจึงเป็นต่อคนพวกนั้นและมีอำนาจเต็มอยู่ในมือ

เรื่องกระจอกง่ายดายเพียงนี้ เฉินเฟยอวี๋กลับไม่สามารถจัดการได้ หลิวไห่เองก็อยากจะเคาะกะโหลกน้องชายฝาแฝดออกมาดูนักว่าในนั้นมีสมองหรือไม่ คนพวกนี้ไม่ใช่จะจัดการยากเสียหน่อย

เขากำลังค่อย ๆ พลิกฟื้นกิจการของสกุลเฉินด้วยสองมืออย่างรวดเร็ว ในขณะที่เขาเองก็ตามสืบเรื่องของตำรวจคนนั้นไปด้วย

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นหน้าจอแจ้งว่าเป็นหลี่เจี่ยซินที่เขาให้เธอตามดูตำรวจคนนั้น

หลิวไห่ : ได้เรื่องแล้วเหรอ

หลี่เจี่ยซิน : ใช่ค่ะให้จัดการเลยดีหรือเปล่า?

หลิวไห่ : อยู่ที่ไหน

หลี่เจี่ยซิน : ถนนมู่ค่ะ

หลิวไห่ : ไม่ไกลมากไม่เกินสิบนาทีฉันจะไปถึงที่นั่น จับตาดูไว้ให้ดี

หลี่เจี่ยซิน : ได้ค่ะ

หลี่เจี่ยซินนั่งอยู่บนมอไซต์บิ๊กไบค์คันใหญ่ เธอตามตำรวจคนนั้นมาจากสถานีอย่างระมัดระวัง เห็นเขานัดพบผู้ชายหลายคนและสุดท้ายขับรถมาจอดในโรงแรมชานเมืองแห่งหนึ่ง หลี่เจี่ยซินจึงจอดมอเตอร์ไซต์แล้วแอบดูอยู่ห่าง ๆ

เธอขยับเข้าไปไกล้จนได้ยินตำรวจคนนั้นและผู้ชายอีกคนหนึ่งคุยกัน พวกเขากำลังทะเลาะกันหูของหลี่เจี่ยซินดีเป็นอย่างยิ่งเธอได้ยินที่พวกเขาทะเลาะกัน เป็นเรื่องเงินก้อนใหญ่ที่เหมือนว่าตำรวจคนนั้นจะซ่อนเอาไว้

หลี่เจี่ยซินเคี้ยวหมากฝรั่งรอคอยอย่างเงียบ ๆ จนกระทั่งหลิวไห่นั่งแท็กซี่มาถึง เขาอยู่ในเสื้อเชิตสีขาวไม่ได้ใส่สูทแล้ว ร่างสูงก้าวยาว ๆ มาหาเธอแสงแดส่องกระทบร่างนั้นทำให้หลี่เจี่ยซินหลี่ตาเขาดูเท่ห์จนเธออดกรี๊ดในใจไม่ได้

“ที่รักแบบนี้จะไม่ให้ฉันอยากกินเธอได้ยังไง”

หญิงสาวครางอย่างรู้สึกไม่ยุติธรรม ใครใช้ให้ผู้ชายใจหญิงคนหนึ่งเท่ห์ได้ขนาดนี้กัน มันลำบากต่อหัวใจดวงน้อย ๆ ของเธอเสียจริง

เขาขยับเข้ามาใกล้เธอแล้วถามทันทีเมื่อเห็นว่าคนสองคนเริ่มผลักกันไปมาในมุมถนนที่เปลี่ยวคน

“เกิดอะไรขึ้นเหรอ ทำไมพวกมันมีปากเสียงกัน”

หลี่เจี่ยซินหัวเราะ

“คนชั่วทะเลาะกันเรื่องเงิน ให้จัดการเลยดีหรือเปล่าคะ จะถามให้รู้เรื่องเลยในซองนั้นน่าจะมีของที่เราต้องการ”

หลิวไห่อยู่ที่นี่แล้วเขาจึงปล่อยให้หลี่เจี่ยซินเข้าไปจัดการ

หลี่เจี่ยซินหยิบหมวกกันน็อคแล้วสวมลงที่หัว ก่อนที่เธอจะเดินเข้าไปจัดการถูกหลิวไห่ดึงมือเอาไว้ ทุกครั้งที่เห็นเธอลงมือเขาเองก็รู้สึกห่วงเธอมากแม้รู้ว่าเธอจะไม่เป็นอันตรายอะไร

“อะไรคะ”

“ระวังตัวนะ”

“ที่รักไม่ต้องห่วงค่ะ จะจัดการอย่างรวดเร็วจนที่รักดูไม่ทันเลยล่ะ”

หลี่เจี่ยซินคล่อมร่างตัวเองกับร่างของเฉินเฟยอวี๋ เธอแยกขาออกแล้วจับท่อนเนื้อของเขายัดเข้าไปในร่องสวาทของเธอเอง เพราะน้ำของเธอชุ่มฉ่ำเตรียมพร้อมอยู่แล้วท่อนอวบใหญ่ของเขาจึงมุดเข้าไปด้านในได้อย่างง่ายดาย

หลี่เจี่ยซินกัดปากหลิวไห่ตัวสั่นเขาระริกด้วยความกระสันเสียว หลี่เจี่ยซินกลับคิดว่าเขากำลังกลัว เธอจูบที่หน้าผากของเขา

“ที่รักใจเย็น ๆ นะเธอกำลังมีความสุขในร่างของฉัน เดี๋ยวฉันจะขยับนะถ้าเสียวก็ครางออกมา”

หลิวไห่ในตอนนี้แทบจะหัวเราะออกมา ผู้หญิงคนนี้คิดว่าเขาเป็นเด็กอายุสิบห้าที่เพิ่งจะเคยเยสาวเป็นครั้งแรกหรือยังไง ถึงได้ทำท่าทางแบบนี้กับเขา

ช่างขายหน้าโดยแท้

หลี่เจี่ยซินขยับตัวรุกเร้าอย่างรวดเร็วเธอบดเบียดลำตัวลงมากระแทกร่างกายรุนแรงเพื่อปลดปล่อยอารมณ์ที่เก็บกดมาเนิ่นนาน

ใช่สิเธอก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งมีความต้องการ

“อ๊า หลี่เจี่ยซิน ซี๊ด เธอทำให้ฉันเสียวเป็นบ้า”

หลี่เจี่ยซินได้ยินเสียงครางของชายหนุ่มแล้วพอใจเป็นอย่างมาก

“ที่รักเธอโตแล้วสินะ แบบนี้ล่ะครางออกมาเลย ดีมาก”

และแล้วหลี่เจี่ยซินก็บดสะโพกแรง เสียงเนื้อกระทบเนื้อดังขึ้นเป็นจังหวะสอดประสาน เหงื่อของหลี่เจี่ยซินซึมออกมาตามไรผม ใบหน้างดงามแหงนเงยพลางอ้าปากคราง

เธอกดริมฝีปากจูบเฉินเฟยอวี๋อย่างเร่าร้อน ซอยสะโพกรัวเร็วกระทั่งเฉินเฟยอวี๋ใกล้จะแตกออกมา

“ที่รัก อ๊า ฉันปล่อยในตัวเธอไม่ได้”

เขาพยายามผลักหลี่เจี่ยซินออก หากเธอท้องเขาจะทำยังไงดีชีวิตของเขายังเสี่ยงอันตรายเขาจะมีลูกไม่ได้

“อย่าขัดขืนสิที่รัก เธอจะไม่เป็นไรเธอใกล้ถึงจุดสุดยอดปล่อยน้ำของเธอเข้าไปในร่องของฉันเลย ปล่อยเลย”

หลี่เจี่ยซินจูบที่ปลายหัวนมเล็กของเขาที่แข็งเป็นไตแล้วเลียเบา ๆ ก่อนที่จะลากลิ้นเลียรอบหัวนมเล็ก ๆ กระทั่งเลื่อนลิ้นทั้งจมูกไปที่ซอกคอของเขาแล้วดูดอย่างแรงจนเกิดรอยช้ำ

หลิวไห่ร่างกายเหยียดเกร็งจวบจนครางแหบโหย

“อ๊าหลี่เจี่ยซินฉันจะแตกแล้ว ฉันจะแตกแล้ว”

“ที่รัก อ๊าฉันจะซอยเธอไม่ยั้งแล้ว”

หลี่เจี่ยซินซอยสะโพกว่องไวเธอบดเบียดจนตัวเองเสียวซ่านและเสร็จสม เธอครางในลำคอขณะที่รับรู้ว่าร่างกายของเฉินเฟยอวี๋เหยียดเกร็ง สองกันโหมกระหน่ำจูบกันอย่างบ้าคลั่ง

น้ำสีขาวขุ่นถูกฉีดเข้าไปในร่างกายของหลี่เจี่ยซินโดยไร้การป้องกันอย่างสิ้นเชิง หลี่เจี่ยซินกอดเขาแนบแน่นจมูกของเธอยังซุกไซร้ซอกคอหลิวไห่ไม่หยุด

“ที่รักพอแล้ว พอเถอะ”

ความจริงแล้วหลิวไห่ไม่ได้รู้สึกอยากจะหยุด แต่เขากำลังสับสนเป็นครั้งแรกที่เขาฉีดน้ำรักเข้าไปในตัวหญิงสาวโดยที่ไม่ป้องกันแบบนี้ ความกังวลเล็ก ๆ จึงฉายเแววในดวงตา

หลี่เจี่ยซินขยับตัวเธอหยิบเสื้อชั้นในมาใส่แล้วดึงกระโปรงลงมองหากางเกงในของตัวเองและยังยังช่วยเฉินเฟยอวี๋จัดการแต่งตัวจนเรียบร้อย

เห็นเขากำลังเหม่อลอยเหมือนไม่มีสติหลี่เจี่ยซินก็รู้สึกตัว

“ที่รักฉันขอโทษนะ แต่ฉันทนไม่ไหวจริง ๆ การกระทำของเธอในคราวนี้เหมือนว่าได้ทำบุญทำกุศลกับฉันเลยนะ จะให้ฉันไปเยกับคนอื่นฉันก็คงเสียใจ”

หลี่เจี่ยซินพูดไปยังงั้น ความจริงเธอเองก็เสียใจเพียงเล็กน้อย ยาไร้สาระนี่เธอรู้ดีว่าส่งผลกับเธอได้แค่เพียงชั่วครู่หากเธอนั่งนิ่งดื่มน้ำเย็นสักหลายแก้วเธอก็สามารถขับพิษนี่ออกมาได้ แต่หลี่เจี่ยซินเลือกที่จะช่วยให้ความเป็นชายของเฉินเฟยอวี๋ใช้งานได้ นั่นเขาได้ประโยชน์เลยนะ

แต่เมื่อเห็นท่าทางเซื่องซึมของเขาแล้วเธอก็อดเสียใจเล็ก ๆ ไม่ได้ เขาคงฝืนใจมากใช่หรือเปล่า

ในขณะที่หลี่เจี่ยซินคิดไปมากมาย เฉินเฟยอวี๋กลับกำลังกังวลกลัวว่าจะทำเธอท้องเขายังไม่พร้อมจริง ๆ ที่จะเป็นพ่อคน เขายังต้องตามหาคนที่ฆ่าพ่อเขา ยังต้องสู้กับคนสกุลกู้ให้รู้ดำรู้แดง

หลี่เจี่ยซินดึงเขาเข้ามากอดลูบหลังเขาอย่างอ่อนโยน หลิวไห่วางใบหน้าของตนลงบนอกของเธออย่างเหม่อลอย

“ไม่ต้องกลัวหรอก ถ้าเธอไม่ถือสาฉันยินดีจะรับผิดชอบเธอเอง”

หลิวไห่เด้งตัวออกมาจากอ้อมกอดของหลี่เจี่ยซินผู้หญิงบ้าคนนี้ทันที

วันนี้เขายังรู้สึกเสียศักดิ์ศรีที่โดนจับกดไม่พอใช่หรือเปล่า จึงต้องร้องขอความรับผิดชอบจากผู้หญิงคนนี้อีก

เขาถอนหายใจออกมาไม่สามารถแก้ต่างอะไรให้ตัวเองได้อีก

“เราไปกันเถอะที่ผ่านมาแล้วก็แล้วไปเถอะ”

หลี่เจี่ยซินยิ้มออกมา ตบมือตัวเองพร้อมกับเด้งกายลุกขึ้นเธอทำเหมือนเรื่องเมื่อสักครู่ไม่ได้เกิดขึ้น ในขณะที่หลิวไห่คิดว่า

ช่างเถอะหากท้องก็ลูกของเขา อย่างไรก็ต้องดูแลให้ดีที่สุด

แววตาอันแสนชั่วร้ายของหลี่เจี่ยซินทำให้หลิวไห่กลัว

เขาไม่ได้กลัวเธอแต่กลัวตัวเองต่างหาก กลัวว่าเขาเองก็ไม่สามารถระงับจิตใจของตัวเองได้เช่นกัน

เขาเองก็รับปากน้องชายเอาไว้ว่าจะระวังตัวไม่ให้ความลับเปิดเผย และจะไม่ล่วงเกินหลี่เจี่ยซินเป็นอันขาด

แต่ไม่ทันเสียแล้วหลิวไห่ถูกหลี่เจี่ยซินกระชากร่างของเขาและผลักลงบนโซฟา หลิวไห่รู้สึกเจ็บหลังเมื่อแรงกระแทกนั้นไม่ธรรมดา

เขาปกป้องร่างกายตัวเองด้วยสองมือที่โอบเข้าหากันราวกับผู้หญิงที่กำลังจะถูกโจรชั่วทำมิดีมิร้าย ปากก็ขอร้องหลี่เจี่ยซินไม่หยุด

“หลี่เจี่ยซิน อย่านะได้โปรดเถอะ แล้วเธอจะเสียใจ”

หลี่เจี่ยซินเกิดหน้ามืดตามัว เธอจับแขนล่ำของเขากดลงบนโซฟา ใช่ร่างเล็กของตัวเองทับเขาไว้ไม่ให้เขาขยับหนี เสียงหวานนั้นออกจะแหบเครือเล็กน้อย

“ที่รักคนดีของฉัน ยอมฉันสักครั้งเถอะนะฉันไม่รู้เป็นอะไรมันร้อนไปหมดแล้ว”

อาการของหลี่เจี่ยซินในตอนนี้เหมือนเธอจะไม่ใช่ตัวของตัวเองแล้ว หลิวไห่คิดว่าเธอกำลังถูกวางยาเสียสาว แต่ใครจะวางยาเธอล่ะในเมื่อหลี่เจี่ยซินอยู่กับเขาตลอดเวลา

เรื่องราวนึกย้อนไปถึงที่งานเลี้ยง หลี่เจี่ยซินดื่มไวน์หรือว่าไอ้ตำรวจนั่นจะเป็นคนวางยาเธอ

เพียงชั่วลมหายใจหลิวไห่ก็เปลือยส่วนบนและถูกหลี่เจี่ยซินชิมรสชาติ เธอแลบลิ้นเลียปลายถันสีแดงออกคล้ำเล็กน้อยของเขาราวกับกำลังเลียไอติม

“ที่รักทำไมตัวเธออร่อยจังเลย”

หลิวไห่มีปฏิกิริยากับหลี่เจี่ยซินเป็นอย่างมาก ท่อนกายของเขาแข็งชันและในตอนนี้มันก็อยู่ในกำมือของหลี่เจี่ยซินราวกับลูกไก่ตัวหนึ่ง

“หลี่เจี่ยซินเธอถูกวางยา มีสติหน่อยสิ”

ถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่นเขาคงถีบออกจากตัวจนร่างเล็กนี่กระเด็นไปแล้ว แต่นี่คือหลี่เจี่ยซินผู้หญิงที่มีแรงยังกับยักษ์และใจของเขาก็อ่อนระทวยภายใต้กำมือของเธอ

“ที่รัก ดูสิมันสู้มือฉันเธอไม่ต้องกินยาก็เด้งออกมาแบบนี้ ที่รักดูสิ”

หลิวไห่อยากจะบ้าตายที่เห็นหลี่เจี่ยซินดีใจและตื่นเต้นยิ่งกว่าถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่หนึ่ง

“ฉันเห็นแล้ว หลี่เจี่ยซินเธอปล่อยฉันเถอะฉันไม่อยากทำจริง ๆ ฉันกลัวเธอจะเสียใจได้โปรดนะ ฉันขอบอกเธอเป็นครั้งสุดท้ายปล่อยฉันไปเถอะ”

หลี่เจี่ยซินมีหรือจะเชื่อฟัง เธอก้มลงมาปิดปากของเขาด้วยปากของเธอ มอบจูบดูดดื่มหวานชื่นให้เขาอย่างเปิดเผย เธอดูดริมฝีปากของเขาพร้อมกับพูดปลอบโยนราวกับพูดกับเด็กน้อยคนหนึ่ง

“อย่ากลัวเลยที่รัก ฉันหวังดีกับธอนะดูสิงูของเธอมันสู้มือขนาดนี้ มันแข็งขนาดนี้แล้วนะที่รัก เราก็มาทำให้เสร็จเถอะ เผื่อว่าโรคงูหลับของเธอจะหาย ฉันสัญญาว่าจะอ่อนโยนกับเธอที่สุด ยอมฉันเถอะนะอย่าโวยวายเลย”

“หลี่เจี่ยซิน ไม่ อื้อ อ๊า อื้อ ซี๊ด หลี่…เจี่ย..ซิน..

เสียงของหลิวไห่ค่อย ๆ หายไปในที่สุด ในตอนนี้จิตใจของเขากระเจิดกระเจิงไปแล้ว ด้วยสัมผัสอันอ่อนหวาน ร่างกายนุ่มนิ่มเนียนมือของเธอทำให้เหตุผลที่หลิวไห่พยายามสร้างขึ้นเพื่อปกป้องตนเองเลือนหายไปในที่สุด

หลิ่วไห่ผู้ลืมตัว ตอนนี้ได้ฉีกสัญญาที่ให้ไว้กับน้องชายฝาแฝด ว่าจะไม่แตะต้องเธอทิ้งโดยไม่ไยดีทันที

เขาปลดปล่อยตัวเองอย่างเต็มที่ ทั้งสองคนผวาเข้าหากัน อ้าปากจูบแลกลิ้นกันอย่างดูดดื่ม

หลี่เจี่ยซินขยับปลายลิ้นกวาดความหอมหวานจากไวน์ที่เขาดื่มไปหลายแก้วในงานเลี้ยง เธอขึ้นคล่อมร่างของเขาพร้อมทั้งถูกหลิวไห่ถลกชุดเดรสตัวสั้นขึ้นมาจนถึงเอว

“อ๊า ที่รักจัดการฉันเลย”

หลี่เจี่ยซินขยับตัวดึงให้หลิวไห่ขึ้นมาอยู่ด้านบน หลิวไห่ตอนนี้รู้สึกฮึกเหิมเมื่อตัวเองเป็นฝ่ายควบคุมเกม เขาดึงเดรสสั้นร้อนแรงของหญิงสาวขึ้นมาจนพ้นเต้าคู่สวย ถอดบราไร้สายของเธอออกเปิดเผยเนื้อหนังอวบอูมของเธอต่อหน้าเขา

“ที่รัก เธอสวยมากเลยรู้หรือเปล่า”

เขาจ้องเต้าคู่งามไม่วางตา หลี่เจี่ยซินท้าทาย

“อยากทำอะไรกับมันดีล่ะ เธอคิดจะดูเฉย ๆ เหรอ มาฉันจะสอนให้ว่าต้องทำยังไงกับผู้หญิง”

หลี่เจี่ยซินไม่มียางอายแม้แต่นิดเดียว เธอคิดว่าเฉินเฟยอวี๋ไม่เคยมีอะไรกับผู้หญิงจึงไร้ประสบการณ์ หญิงสาวจึงคิดจะเป็นครูคนแรกให้ชายหนุ่มที่ไม่ใช่ชายแท้ผู้นี้

“กินมันสิ อ้าปากแล้วกินมัน”

หลิวไห่แข็งจนปวดไปทั้งลำ เขาเลียริมฝีปากเมื่อเกิดอาการน้ำลายสอ ถ้าจะให้เขาสารภาพก็คือ เขาคิดอยากจะกินมันตั้งแต่เห็นเธอใส่ชุดราตรีตัวนี้ในงานแล้ว

หน้าอกของหลี่เจี่ยซินสวยมาก มันสวยได้รูปราวกับว่าเธอไปทำศัลยกรรมเสริมความงามมา แต่เขารู้ดีว่าทั้งหมดนี้คือของจริง

หลี่เจี่ยซินเห็นว่าเฉินเฟยอวี๋รอช้า และยังลังเลเธอจึงจัดการดันศีรษะของเขาลงและเด้งเต้านมให้เขากินทันที

“ที่รักเธอดูดมันสิ ตรงหัวนี่มันทำให้ฉันเสียว”

หลี่เจี่ยซินเองก็สาบานกับตัวเองว่าเธอไม่เคยรู้สึกกับใครแบบนี้มาก่อน ผู้ชายที่ทำให้เธอร้อนแรงได้เพียงนี้ ไม่ว่าจะเป็นด้วยยาหรืออะไรแต่คนระดับหลี่เจี่ยซินถ้าไม่ต้องการต่อให้ถูกวางยาเธอก็สามารถผลักคนนั้นให้กระเด็นได้

ดูเหมือนว่าเธอในตอนนี้จะอาศัยยานี้ทำให้ตัวเองกล้าหาญที่จะทำให้เฉินเฟยอวี๋เป็นของเธอ

หลี่เจี่ยซินตกใจเมื่อคิดได้ว่า

หรือเธอจะตื่นเต้นกับการที่เขาเป็นเกย์จนเพี้ยนไปแล้ว

ดูเหมือนว่าสติที่หลุดลอยของหลี่เจี่ยซินจะถูกกระชากครั้งแล้วครั้งเล่า เมื่อหลิวไห่เริ่มต้นดูดเต้าของเธอในขณะที่มืออีกข้างหนึ่งกุมเต้าอีกข้างเอาไว้เช่นกัน

หลิวไห่ไม่ใช่ลูกกระจ๊อกในเรื่องนี้ เขารู้ดีว่าจะทำยังไงให้ผู้หญิงพอใจ ลิ้นของเขาเองก็เก่งกาจว่องไวตวัดเลียรอบปลายถันของหลี่เจี่ยซินจนเธอครางระงม

“อ๊า ที่รัก สุดยอด ลิ้นของเธอ อ๊า ที่รักเสียว อ๊า เลียแบบนี้เสียวมากเลย”

หลี่เจี่ยซินเองกลับภาคภูมิใจที่เฉินเฟยอวี๋เรียนรู้ว่องไว เธอจับศีรษะของเขากดลงบนเต้าของตัวเองจนใบหน้าของเขาจมลงไปในนั้น มือของหลิวไห่ข้างหนึ่งขยับลงต่ำจวบจนกระทั่งพบเจอความชุ่มชื่นจนเปียกกางเกงในตัวจิ๋ว

เขาครางหอบเมื่อสัมผัสเข้าไปเต็มมือ ในตอนนั้นที่เขาถูกเธอขืนใจ หลิวไห่ทำได้เพียงนอนให้เธอกระทำอย่างบ้าคลั่ง เขาไม่มีเวลาสำรวจร่างกายของเธอแบบนี้ เมื่อได้จับต้องจึงทำให้เขารู้ว่าหลี่เจี่ยซินคนนี้ช่างเป็นคนที่สวรรค์สร้างขึ้นมาได้แสนเพอร์เฟคเป็นอย่างยิ่ง

“อ๊า เธอชุ่มไปหมดแล้ว”

“ที่รักให้ฉันทำดีหรือเปล่า เธอทำเป็นหรือเปล่าตรงรูนั้นน่ะ เธอรู้หรือเปล่าว่าอะไร”

หลี่เจี่ยซินขยับตัวมาจับมือของเขาเอาไว้

หลิวไห่ในตอนนี้ถึงอารมณ์จะเตลิดแค่ไหนแต่เขาก็นึกอยากจะร้องไห้ขึ้นมา เสือหนุ่มจอมกระหายเช่นเขากำลังถูกผู้หญิงคนหนึ่งสอนงานคล้ายกับเขาเป็นหนุ่มน้อยได้ยังไง

เมื่อเห็นว่าเฉินเฟยอวี๋เงียบ หลี่เจี่ยซินจึงคิดว่าเขาคงทำไม่เป็นจริง ๆ

เอาล่ะ หลี่เจี่ยซินคนนี้จะสอนเขาเองว่ารูนี่มีไว้ใช้สำหรับทำอะไร

ปฏิบัติการเปลี่ยนเกย์ให้เป็นชายจึงเริ่มต้นขึ้น

หลิวไห่และหลี่เจี่ยซินต่างมองหน้ากัน

ตำรวจเหรอ ทำไมเรื่องนี้ถึงมีตำรวจเข้ามาเกี่ยวข้อง

พวกเขาต่างนิ่งเงียบเพื่อฟังเสียงสนทนาของคนทั้งสอง ในที่สุดหลิวไห่ก็รู้จักชื่อของผู้ชายคนนั้น

โจอินตง

ตำรวจ : คนที่พวกนายให้ตามหาฉันรวบรวมไว้หมดแล้วทั้งชื่ออยู่ในซองน้ำตาลนี่

โจอินตง : ทั้งหมดในเขตแล้วเหรอ

ตำรวจ : ใช่ คนที่โดดเด่นหน้าตาดีอายุประมาณที่ต้องการทั้งหมดราวร้อยคนอยู่ในนี้ทั้งหมด เรายังไม่กล้าตัดใครออก

โจอินตงพยักหน้าแล้วยื่นซองสีน้ำตาลให้ตำรวจคนนั้น เขารับมาเปิดดูเล็กน้อยแล้วยิ้มพร้อมกับยัดใส่ในกระเป๋าเสื้อทันที

โจอินตง : จับตาดูต่อ อย่าให้รอดสายตาแม้แต่คนเดียว

ตำรวจ : คนเป็นร้อยนี่เยอะมาก ต้องใช้เงินเพิ่มถ้าจะให้จับตาพวกเขาทุกคน

โจอินตงโยนซองน้ำตาลซองใหญ่ให้ตำรวจคนนั้นอีกซอง ในนั้นคงเป็นเงินจำนวนมหาศาล

โจอินตง : น่าจะพอเราจะเช็ครายละเอียดแล้วให้เงียบเชียบที่สุด อย่าลงมือทำอะไรให้เป็นจุดสนใจเข้าใจหรือเปล่า

ตำรวจลุกขึ้นหยิบซองน้ำตาลออกมา เขาหยิบบุหรี่ออกมาจุดสูบ

ตำรวจ : ไม่ใช่ปัญหาปล่อยให้มืออาชีพอย่างฉันจัดการเถอะ

ทั้งคู่มองหน้ากันอีกครั้ง หลี่เจี่ยซินพูดขึ้น

“พวกเขากำลังจับตาดูใครอยู่ คนเป็นร้อยเลยเหรอ”

“เราต้องตามต่อ คนพวกนี้กำลังทำอะไรกันแน่”

หลี่เจี่ยซินไม่เข้าใจ

“ที่รักแต่มันเกียวกับธุรกิจของเธอเหรอ จากที่ฟังดูไม่เห็นว่าจะเกี่ยวตรงไหนเลยนะ เรากำลังตามเรื่องที่เปล่าประโยชน์หรือเปล่า”

หลิวไห่ยิ้มเย็น

“เรื่องของกู้เมิ่งทั้งหมดเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับฉัน เธอแค่คอยตามอารักขาก็พอส่วนเหตุผลอื่นอย่าใส่ใจให้มาก”

หลี่เจี่ยซินพยักหน้า

“เข้าใจแล้วค่ะเจ้านาย เรื่องนั้นวางใจฉันได้ ฉันเป็นบอดี้การ์ดอันดับหนึ่งไม่ปล่อยให้เจ้านายได้รับความลำบากแน่”

หลิวไห่อดยิ้มไม่ได้ หากเขาไม่รู้เบื้องลึกของเธอคงเป็นหลี่เจี่ยซินเป็นแค่ผู้หญิงบอบบางที่ตะเบ๊ะท่าทำเป็นเก่งก็เท่านั้น ใครจะรู้ล่ะว่าผู้หญิงคนนี้แท้จริงแล้วมีความเก่งกาจเพียงใด

แม้แต่เขาที่ผ่านเรื่องเลวร้ายมามากจนกระทั่งเข้าไปอยู่ในคุก ความเหี้ยมโหดยังสู้หลี่เจี่ยซินไม่ได้

สังเกตการณ์ต่ออีกไม่นานก็ไม่ได้ข้อมูลอะไรเพิ่ม คนพวกนั้นคุยกันเพียงแค่เรื่องผู้หญิงและเรื่องทั่วไป เห็นได้ชัดว่าตำรวจคนนั้นกับโจอินตงมีความใกล้ชิดและรู้จักกันมานานเพียงใด

หลิวไห่ต้องสืบเรื่องของโจอินตงแล้ว

หลี่เจี่ยซินเองก็สงสัย

“ตำรวจคนนั้นเป็นแค่จ่านี่ แต่ฟังพวกเขาคุยกันดูเหมือนว่าจะมีบารมีและเลี้ยงลูกน้องเอาไว้ไม่น้อย”

หลิวไห่เฉลยให้เธอเข้าใจ

“ตำรวจพวกนี้เป็นตำรวจสืบสวนสอบสวนแผนกยาเสพติด คนของพวกเขาก็พวกขี้ยาทั้งหลายนั่นแหละ ยิ่งเป็นตำรวจชั้นผู้น้อยยิ่งใกล้ชิดกับพวกค้ายา ไม่ยากที่จะตั้งตัวเป็นมาเฟียเสียเอง จับเองปล่อยยาเองตั้งแก๊งค์เองไม่มีใครกล้ากับพวกเขา”

หลี่เจี่ยซินมองเขาด้วยความประหลาดใจ

“ที่รักเธอใช่เฉินเฟยอวี๋จริงหรือเปล่า”

มือของหลี่เจี่ยซินในตอนนี้บีบที่คอหอยของเขา ถึงจะไม่แรงแต่หลิวไห่รู้ดีว่าถ้าเธอคิดจะบีบเขาไม่รอดแน่

เขาแสร้งหัวเราะเสียงใส ดัดเสียงเต็มที่

“ที่รักทำอะไรเนี่ย เธอก็รู้ว่าฉันกลัวเธอนะ”

หลี่เจี่ยซินยิ้มเหี้ยม

“ฉันเป็นลูกน้องเธอก็จริง แต่จำไว้ว่าฉันเป็นลูกน้องของเฉินเฟยอวี๋ ถ้าเธอไม่ใช่เฉินเฟยอวี๋ฉันบอกได้คำเดียวว่า คนที่โกหกฉันที่ยังเหลืออยู่ในโลกนี้ไม่มีแล้ว”

หลิวไห่ยิ้มหวาน เลียนแบบท่าทางออดอ้อนของเฉินเฟยอวี๋ เขาใช้นิ้วจี้ไปที่เอวของหลี่เจี่ยซิน ที่เป็นจุดอ่อนของเธอ

จิ้มไปไม่กี่ทีหญิงสาวก็หัวเราะ จุดอ่อนของหลี่เจี่ยซินแน่นอนว่าย่อมมีเพียงเฉินเฟยอวี๋ที่รู้ กระทั่งใฝฝ้าในร่างกายของเธอเฉินเฟยอวี๋ก็แทบจะเห็นหมดแล้ว

แน่นอนว่าหลิวไห่ก็เห็นแล้วเช่นกัน เป็นการเห็นที่ชัดเจนยิ่งกว่าเฉินเฟยอวี๋เสียอีกแต่หลี่เจี่ยซินจำไม่ได้

“ใฝที่ก้นของเธอน่ะ ยังอยู่ดีใช่หรือเปล่า เม็ดสีแดงน่ารัก ๆ ที่ฉันอยากมีน่ะ”

เขาพูดคำนี้ออกมา หลี่เจี่ยซินแม้จะสงสัยเขาแต่ในตอนนี้เธอก็มั่นใจหลายส่วนแล้วว่าไม่ใช่ตัวปลอม เธอดึงมือออกแล้วรีบขอโทษทันที

“ขอโทษด้วย หลายครั้งที่เธอทำให้ฉันสงสัย”

หลิวไห่แอบพ่นลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก

“ฉันรู้ว่าฉันเปลี่ยนไปมาก แต่ถ้าฉันไม่โตพวกนั้นก็รังแกฉันได้เธอชอบเห็นฉันเป็นแบบนั้นเหรอ”

หลี่เจี่ยซินส่ายหน้า เธอชอบเฉินเฟยอวี๋ในตอนนี้มาก ๆ ชอบจนอยากจะจับเขากดแล้วบังคังให้เป็นสามีจริง ๆ ไม่ใช่เป็นการเล่นละครบังหน้าผู้คนแบบนี้

หลิวไห่กอดไหล่ของเธอ ซบใบหน้าลงบนลาดไหล่บอบบาง

“เราดูต่อกันเถอะ”

หลี่เจี่ยซินลูบหัวเขา พวกเธอกำลังทำเรื่องน่ากลัวอย่างแอบดูชาวบ้านโดยใช้วิทยาการล้ำเลิศ แต่เขากลับซบใหล่เธอเหมือนกำลังดูละครน้ำเน่าเรื่องหนึ่ง

เอาล่ะ หลี่เจี่ยซินคิดว่าจะไม่สงสัยเขาอีกต่อไปแล้ว นี่คือเฉินเฟยอวี๋จริง ๆ

ตำรวจคนนั้นออกไปจากห้องแล้ว ในห้องไม่สนทนาอะไรกันต่อ หลิวไห่และหลี่เจี่ยซินตามดูพฤติกรรมของพวกเขาจนกระทั่งเจอเรื่องที่ทำให้ทั้งสองคนหน้าร้อนเป็นไฟ

ในห้องนั้นมีผู้หญิงเข้ามาอีกหลายคน ทั้งหมดล้วนแต่งตัวแทบจะเรียกว่าเอาเศษผ้ามาปิดร่างกาย

เสียงเพลงดังยิ่งกว่าเดิมทั้งดื่มทั้งเต้นกันอย่างสนุกสนาน และสุดท้ายแล้วพวกเขาก็เริ่มมีเซ็กส์หมู่กัน

ผู้หญิงเริ่มถอดเสื้อผ้าในขณะที่ผู้ชายเองก็เปลือย ต่างคนต่างฟัดและนัวเนียกันไม่รู้ว่าคู่ไหนเป็นคู่ไหน

หลิวไห่เองกลัวว่าหลี่เจี่ยซินจะอาย เขารีบกดบังคับให้แมลงตัวนั้นออกมาจากห้องทันที แมลงหุ่นยนต์บินกลับมาทางรูเดิมที่หลิวไห่เจาะเอาไว้ เอาเก็บมันไว้ในกล่องอย่างว่องไว

เขาเองยังไม่กล้าสบตากับหลี่เจี่ยซินเกรงว่ายิ่งจะทำให้เธออายมากขึ้น ยังไงเธอก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง

“ไปกันเถอะหมดเรื่องแล้ว”

หลิวไห่เก็บกระเป๋าลุกขึ้น เขาบังเอิญสบตากับเธอแต่แล้วก็ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อหลี่เจี่ยซินมองเขาเหมือนกำลังมองอาหารรสเลิศจานหนึ่ง ไม่พอหลี่เจี่ยซินยังเลียปากอีกด้วย

หลิวไห่ยกมือปิดอกของตัวเอง หัวใจสั่นไหวไปกับสายตาหิวโหยของเธอที่จ้องมองเขาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า

หลิวไห่ตะคอกเธออย่างเหลืออดแล้ว เขากอดอกอย่างป้องกันตัวและค่อย ๆ ก้าวถอยหลังในขณะที่หลี่เจี่ยซินตามก้าวตามจนกระทั่งเขาเสียหลักล้มลงบนโซฟาอีกครั้ง

“หลี่เจี่ยซินเธอคิดจะทำอะไร อย่านะ”

ในผับนี่เสียงดังสนั่น หลิวไห่หว่านเงินไปเยอะเพื่อให้ได้เข้าห้องวีไอพีที่อยู่ติดกันกับห้องของคนของกู้เมิ่ง หลี่เจี่ยซินเมื่อเข้ามาด้านในเธอถอดเสื้อคลุมออกและหลิวไห่เองก็กลายเป็นหนุ่มเพลย์บอยควงคู่กับสาวสวยมาทันที

“เอาเหล้าที่แพงที่สุดมาและอย่าให้ใครมารบกวนเรา”

หลี่เจี่ยซินในชุดเดรสสายเดี่ยวสั้นเพราะเธอเพิ่งตัดกระโปรงยาวออกด้วยมีดของเธอเองในตอนนี้ถูกหลิวไห่ล้มทับลงบนโซฟา ท่าทางของพวกเขาเหมือนเมามากแทบจะร่วมรักกันอยู่แล้วทำให้พนักงานคนนั้นตาลีตาเหลือกรับทิปก้อนโตแล้วออกจากห้องไป

หลี่เจี่ยซินถือโอกาสนี้จูบหลิวไห่จริง ๆ ด้วยความคึกคะนอง เขาถูกเธอลวนลามกระทั่งล้วงลิ้นเข้ามาในปาก และเขาเองก็ไม่สามารถห้ามตัวเองได้เช่นกัน สองคนแลกลิ้นจูบกันอยู่เนิ่นนานดูเหมือนว่าความรู้สึกที่ได้จูบเขาจะทำให้หลี่เจี่ยซินคุ้นเคยเป็นอย่างมาก

รสจูบแบบนี้เธอเคยสัมผัสมาแล้วอย่างนั้นเหรอ พวกเขายังจูบกันเนิ่นนาน ไม่มีใครผละออกหลี่เจี่ยซินรุนแรงจนกระทั่งฉีกเสื้อของเขาออกจนกระดุมหลุดรุ่ย หลิวไห่เองก็ตกใจไม่น้อยจนกระทั่งเขาหอบหายใจ

“ที่รักเธอจะทำเรื่องสมจริงเกินไปแล้ว”

หลี่เจี่ยซินตกใจ เธอตีปากตีเองแล้วผลักเขาออก ทั้ง ๆ ที่สาบานไปเมื่อสักครู่ว่าจะไม่ทำให้เขาตกใจแต่เธอก็ไม่สามารถรักษาคำพูดของตัวเองเอาไว้ได้ นี่เธอล้ำเส้นเกินไปจริง ๆ ด้วย

หลิวไห่เองคิดว่าเขายังไม่พร้อมที่จะเปิดเผยตัวกับเธอ เขายังไม่มั่นใจว่าจะสามารถเชื่อใจหลี่เจี่ยซินได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ผู้หญิงคนนี้เขายังไม่ได้ตรวจสอบให้แน่ชัด ดังนั้นเขาไม่สามารถเผลอใจไปกับเธอได้

บริกรนำเหล้าและกลับแก้มเข้ามาให้พวกเขา หลี่เจี่ยซินผวาดึงหลิวไห่เข้ามากอดเธอซุกใบหน้ากับซอกคอของเขา หลิวไห่เองจ่ายเงินค่าทิปหนัก ๆ ให้บริการ โบกมือพร้อมกับบอกว่า

“ห้ามให้ใครเข้ามาเฝ้าหน้าห้องให้ดี ๆ ”

บริกรคนนั้นเห็นแล้วว่าหลิวไห่ถูกกระชากคอเสื้อจนกระดุมหลุดรุ่ยในขณะที่คุณผู้หญิงแสนสวยคนนั้นก็พร้อมที่จะเปลือยร่างเช่นกัน ได้เงินก้อนโตมาแล้วเขาจึงค้อมตัวและออกไปทำหน้าที่หน้าห้องอย่างแข็งขัน

เมื่อคนออกไปจนหมด และแน่ใจว่าจะไม่มีใครเข้ามาแล้ว หลิวไห่กลายเป็นอีกคนที่เคร่งขรึม เขาเปิดกระเป๋าใบเล็กเอาอุปกรณ์ไฮเทคออกมา อย่างแรกคือหูแอบฟัง หลี่เจี่ยซินยกขึ้นมาดูแล้วมองเขาอย่างทึ่ง ๆ

“ที่รักเธอไปเอาของพวกนี้มาจากไหน”

หลิวไห่ยกมุมปาก รอยยิ้มของเขาดูเยือกเย็น

“เพื่อนให้มาน่ะ นี่คือหูฟังเธอเอาด้านนี้ใส่ที่หูแล้วอีกด้านแนบเข้ากับกำแพง ถ้ากำแพงไม่หนาเกินไปเธอจะได้ยินเสียงพวกเขาจากห้องนั้น ลองดูสิ”

ทั้งคู่หยิบหูฟังขึ้นมาคนละอัน หลี่เจี่ยซินทำตามที่เขาบอก เธอได้ยินจริง ๆ ว่าอีกฝั่งของประตูนั้นมีเสียงอะไร แต่มันกลายเป็นเสียงเพลงที่ดังสนั่นจนแก้วหูแทบแตก

ฟังอยู่นานก็ไม่ได้เรื่อง หลิวไห่โยนหูฟังกลับเข้าไปในกระเป๋า เขาหยิบอุปกรณ์ชิ้นหนึ่งขึ้นมคล้ายเครื่องเจาะ

“ฟังไม่ได้ก็เจาะเลยเลยล่ะกัน เห็นเล็ก ๆ แบบนี้ประสิทธิภาพเหนือความคาดหมาย”

หลี่เจี่ยซินถึงกับปรบมือ

“แล้วพวกเขาจะไม่ได้ยินเหรอ”

“ไม่ต้องห่วงมันไร้เสียง ต่อให้นอนหลับอยู่ก็ไม่ตื่นเพราะมันอย่างแน่นอน ยิ่งเสียงเพลงดังขนาดนั้นยิ่งไม่ได้ยินล้านเปอร์เซ็น”

ในขณะที่หลี่เจี่ยซินคอยดูต้นทางหน้าประตูให้ หลิวไห่ก็เริ่มต้นเจาะ เขาใช้เวลาไม่นานเครื่องเจาะนั่นก็ทะลุกำแพงไปอีกฟัง คราวนี้หลิวไห่ปล่อยอุปกรณ์อะไรสักอย่างเข้าไปในรูนั้น พร้อมกับยกเครื่องบังคับอันจิ๋วออกมาจากกระเป๋า

หลี่เจี่ยซินกลับมานั่งที่โซฟาข้างเขาอย่างสนใจ

“นี่อะไรอีกคะ”

“เจ้าตัวที่ปล่อยออกไปเมื่อกี้คือแมลงดักฟัง มันมีกล้องและไมโครโฟนด้วยข้อดีคือมันจะตัดเสียงรอบตัวตามคำสั่งที่เราตั้งโปรแกรมได้”

“สุดยอด”

หลี่เจี่ยซินมองเขาอย่างไม่เชื่อสายตา

“นี่ที่รักไปฮ่องกงมาคราวนี้เหมือนกับเป็นคนละคนเลยนะคะ ถ้าไม่ใช่เพราะหน้าตานี้ล่ะก็ฉันคิดว่าไม่ใช่คุณแล้ว”

หลิวไห่ไม่สบตาเธอ เขาก้มหน้าบังคับเครื่องเล็ก ๆ นั่นต่อ พร้อมกับทำสัญญาณให้เธอเงียบเป็นการเลี่ยงที่จะตอบคำถามของเธอ

หลี่เจี่ยซินมองจอเล็ก ๆ ที่วางอยู่บนโต๊ะ หลิวไห่บังคับสัตว์ปีกหุ่นยนต์ให้บินไปเกาะที่ชายเสื้อของผู้ชายคนนั้น คนที่เขาจำมันได้ดีและอยากจะฆ่ามันยิ่งกว่าใคร

เสียงของคนสองคนคุยกัน จอภาพฉายไปที่หน้าของผู้ชายอีกคน หลิวไห่รู้สึกคุ้นหน้าเขามากแต่จำไม่ได้ จนกระทั่งหลี่เจี่ยซินผู้มีความจำเป็นเลิศพูดขึ้น

“นั่นฉันจำได้ว่าเป็นตำรวจที่มากับหูเสี่ยวเทียนนี่นา ใช่เป็นเขาแน่ ๆ”

ในวันนั้นที่หูเสี่ยวเทียนออกตรวจและบังเอิญเจอเธอที่โรงฝึก เธอเห็นหน้าตำรวจคนนี้เพียงแวบเดียวก็จำได้แม่นยำ เขายังมีใฝเม็ดใหญ่อยู่ที่แก้มซ้าย

“เธอแน่ใจนะ”

หลี่เจี่ยซินพยักหน้า

“แน่ใจสิ เป็นเขาแน่ ๆ”

ในขณะที่หลิวไห่หัวฟัดหัวเหวี่ยงอยู่เพียงลำพัง ผู้ชายคนนั้นก็ออกมาด้านนอกพร้อมใครอีกคน หลิวไห่ตามเขาไปโดยไม่ลังเล ท่าทางคนพวกนั้นดูมีพิรุธ พวกเขากำลังคุยอะไรกันหลิวไห่ไม่ได้ยินแล้ว

สองคนหายเข้าไปในห้อง ๆ หนึ่ง หลิวไห่ตามไปอย่างเงียบเชียบจนพบมุมหนึ่งที่สามารถหลบได้ กระทั่งมีคน ๆ หนึ่งประชิดตัวเขา

หลิวไห่เตรียมฟันศอกใส่อย่างเต็มที่แต่กลับถูกคนคนนั้นจับศอกของเขาเอาไว้อย่างแน่นหนา

เธอไม่หลบเขายังก้มลงมาแล้วใช้นิ้วชี้จรดที่ปากของตัวเองเป็นการบอกเขาให้เงียบ

ที่แท้เป็นหลี่เจี่ยซินนั่นเอง

เขาทำสัญญาณมือว่าตามเขามาได้ยังไง

หลี่เจี่ยซินเอาแต่ยิ้ม ในตอนนี้ไม่สะดวกให้คุยกันสักเท่าไหร่ พวกเขาจึงแอบดูสองคนนั่นโดยเบียดกันอยู่ในมุมหนึ่ง

หลี่เจี่ยซินอยู่ใกล้กับอกของเขา ได้กลิ่นหอม ๆ บนตัวของเฉินเฟยอวี๋แล้วทำให้เธอรู้สึกดี เมื่อรู้สึกดีจึงอดไม่ได้ที่จะซบหน้าลงตรงซอกคอสูดดมเขาหนักขึ้น มือไม้เกินจะควบคุม เธอเริ่มต้นลวนลามเฉินเฟยอวี๋โดยที่เขาไม่สามารถขัดขืนหรือยับยั้งเธอได้เพราะแรงสู้หลี่เจี่ยซินไม่ได้แม้แต่น้อย

เฉินเฟยอวี๋ตัวแข็งทื่อ เขาขัดขืนไม่ได้ ร้องไม่ได้ โวยวายไม่ได้ และตัวเขาเองก็รู้สึกดีที่ใบหน้าของหลี่เจี่ยซินซุกอยู่ตรงซอกคอของเขา และเธอกำลังดูดคอของเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย ลิ้นนุ่ม ๆ นั่นทำให้เขาแทบระเบิด

“หอมจังเลย อื้อ ที่รักฉันชอบกลิ่นของเธอมากเลยรู้หรือเปล่า”

หลี่เจี่ยซินพึมพำราวกับคนเมา

“ทะที่รัก ปะปล่อยฉันเถอะ เรากำลังตามคนอยู่นะ”

“อื้อ ที่รักอีกนิดนะ อีกนิดเดียว”

อันที่จริงมีคนคนหนึ่งแอบเห็นพวกเขาแล้ว แต่เมื่อเห็นสภาพที่เฉินเฟยอวี๋ถูกลวนลามอย่างหนักจึงได้แต่หลบไปเพราะคิดว่าเป็นคูรักหนุ่มสาวที่ทนไม่ไหวจนแอบมาเสียดสีกันที่มุมมืด

เสียงคนอีกคู่ที่กำลังเดินคุยกันมาและเดินผ่านพวกเขาไปโดยที่ไม่เห็นทำให้หลี่เจี่ยซินได้สติ

เธอเห็นว่าเฉินเฟยอวี๋ตัวแข็งยังมือสั่นเล็กน้อยหญิงสาวจึงรู้สึกผิด ยกมือขอโทษขอโพยแทบไม่ทัน

เธอตีมือตัวเองหลายครั้งแล้วสาบานว่าถ้าไม่จำเป็นจะไม่ทำให้เขาตกใจเป็นกระต่ายน้อยอีก

ในขณะที่เฉินเฟยอวี๋นั้นกำลังควบคุมตัวเองอย่างหนักไม่ให้จับเธอกดลงบนพื้นแล้วถลกกระโปรงของเธอขึ้นยัดเยียดความเป็นสามีให้เธอพูดไม่ออก หลี่เจี่ยซินกลับกำลังคิดว่าเขากลัวเธอล่วงเกิน

เมื่อสองคนสงบจิตสงบใจได้แล้ว ต่างใบหน้าแดงก่ำตั้งใจดูสองคนนั่นที่พวกเขาสะกดรอยตามมา

หลี่เจี่ยซินลอบมองเฉินเฟยอวี๋ ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่าเขาน่ารักขึ้นทุกวัน

น่าเสียดายที่กลายเป็นหญิงในร่างชายแบบนี้

หลี่เจี่ยซินตามเขาออกมาตั้งแต่มองไม่เห็นเขาในงานเลี้ยงแล้ว คิดว่าเขาคงจะงอนเพราะเห็นหลิวไห่กำลังจีบผู้ชายร่างสูงคนนั้นที่เธอเข้าไปคุยด้วย พวกเขาคงไปเป็นก้างขวางคอ จึงทำให้เฉินเฟยอวี๋โกรธเธอมาก

แต่หลี่เจี่ยซินก็คิดว่าเฉินเฟยอวี๋รุกผู้ชายเกินไป เขาตัวไปติดก้นเขาแนบชิดแบบนั้นใคร ๆ ก็ต้องตกใจเป็นธรรมดา

หลี่เจี่ยซินเองก็ภูมิใจตัวเองไม่น้อยที่วันนี้ทำให้เพื่อนเก่าของเธอเกิดความรู้สึกดี ๆ ด้วย ถึงการเต้นรำจะไม่รอดเพราะเธอไม่ชอบกลิ่นน้ำหอมของเขาก็เถอะ

เธอขอตัวมาเข้าห้องน้ำ แล้วแอบตามหาเฉินเฟยอวี๋ การตามหาที่รักของเธอนั้นไม่ยากหรอกในเมื่อเธอมีจมูกที่ดีขนาดนี้ กลิ่นของเฉินเฟยอวี๋อยู่ไหนเธอก็แค่เดินตาม

จนกระทั่งมาพบเขากำลังแอบฟังคนสองคนนั่นคุยกัน

เธอนั่งลงข้างเขาแล้วตั้งใจฟังอย่างเงียบเชียบ คนสองคนคุยกันอยู่พักใหญ่กระทั่งมีคนมาตามพวกเขา หลี่เจี่ยซินกับหลิวไห่จึงออกมาจากที่นั่น

เขายังหน้าบึ้งตึง หลี่เจึ่ยซินรู้ดีว่าเฉินเฟยอวี๋ขี้งอนแค่ไหนเธอจึงพยายามง้อเขา

“ฉันขอโทษนะ ไม่น่ามาเป็นก้างของเธอเลย และเรื่องเมื่อกี้อีก ตัวเธอหอมมากฉันอดใจไม่ไหว เอาเป็นว่าฉันจะไม่ทำอีกแล้วนะ ฉันขอโทษจริง ๆ อย่าโกรธเลยนะ”

“เห๊อะ คนที่เป็นก้างคงเป็นฉันมากกว่า ไม่อยู่กับเพื่อนรักของเธอล่ะ เขาไม่ตามหาแล้วเหรอ หายมานานขนาดนี้”

“โอ๊ะ จริงด้วย รอฉันแป๊บนะฉันจะกลับกับเธอ”

หลี่เจี่ยซินนึกได้ว่าเธอหายมานานเกินไปแล้ว ในสายตาของหูเสี่ยวเทียนเธอเป็นแค่สาวน้อยอ่อนแอคนหนึ่งเท่านั้นนี่นา

เธอกดโทรศัพท์โทรไปหาเขาทันที

หลี่เจี่ยซิน : ฮัลโหลเสี่ยวเทียนขอโทษนายนะ วันนี้เกิดรู้สึกไม่สบายฉันนั่งแท็กซี่กลับก่อน

หูเสี่ยวเทียน : เป็นอะไรมากหรือเปล่า รอฉันกำลังไปหาเธอ

หลี่เจี่ยซิน : ไม่ต้องหรอกแค่ปวดหัวน่ะ กลัวทำนายไม่สนุกฉันอยู่บนแท็กซี่แล้วขอโทษด้วยนะ ไว้เราค่อยนัดกินกาแฟกัน

หูเสี่ยวเทียน : ได้สิ พรุ่งนี้ฉันไปหาได้หรือเปล่า”

หลิวไห่ได้ยินเต็มสองหู เขาส่ายหน้าดวงตาแทบจะถลนออกจากเบ้า หลี่เจี่ยซินมองเขาแล้วยิ้มแหย ๆ เธอคิดว่ากลยุทธ์ของเฉินเฟยอวี๋ก็ดีไม่น้อย อย่าง่ายเกินไปไม่งั้นผู้ชายจะมองไม่เห็นค่า จึงขอบใจในคำแนะนำของเขา

หลี่เจี่ยซิน : พรุ่งนี้ฉันมีงานต้องทำ เอาไว้จะส่งข้อความหานะ

หูเสี่ยวเทียน : ได้…

เขายังพูดไม่จบ มือถือของหลี่เจี่ยซินก็ถูกหลิวไห่แย่งไปเสียแล้ว

เอาล่ะเมื่อจบเรื่องหูเสี่ยวเทียนได้เฉินเฟยอวี๋จึงถามเขาทันที คราวนี้เธอเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นงานเป็นการขึ้นทันใด

“เจ้านายทำไมต้องมางานด้วย คิดจะมาสืบข่าวเหรอคะ”

หลิวไห่พยักหน้า หลี่เจี่ยซินจับมือของเขาแล้วพาออกจากงานเหมือนเขาเป็นเด็กคนหนึ่ง ปากก็ตำหนิเขาด้วยความเป็นห่วง

“ที่รักเธออย่าทำเรื่องพวกนี้ให้ฉันตกใจอีกนะ หากเกิดอะไรขึ้นฉันได้ตายตามเธอไปแน่ ๆ”

หลิวไห่อยากจะหัวเราะแต่น่าเสียดายที่เขาขำไม่ออก

“ห่วงฉันเหรอ ห่วงฉันแล้วมาแรด ๆ กับผู้ชายนี่นะ”

ใช่แล้ว คำพูดพวกนี้คือเฉินเฟยอวี๋ไม่ใช่เขาที่คิดจะพูด หากเป็นเฉินเฟยอวี๋ก็คงจะพูดแบบนี้แหละ

หลี่เจี่ยซินรู้ว่าเขายังโกรธ เธอจึงง้อเขาอีกครั้ง

“ไม่ห่วงที่รักแล้วจะห่วงใคร นี่ไงฉันทำตามสัญญาแหวนหมั้นอยู่ที่นิ้ว ก็เธอบอกว่าจะพักผ่อนนี่ฉันก็บอกแล้วว่าจะออกมาเที่ยวกับเพื่อน”

เธอชูมือขึ้นให้เขาดู นั่นทำให้หลิวไห่รู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย เขาเองที่ไม่รอบคอบไม่คิดว่าเพื่อนที่เธอพูดถึงจะเป็นไอ้หนุ่มหน้าหยกคนนั้น

หลิวไห่เดินนำหน้าหลี่เจี่ยซิน เขาพาเธอไปที่รถและหลี่เจี่ยซินก็เป็นคนขับ

“แล้ววันนี้ได้ข่าวอะไรมาหรือเปล่า คนพวกนั้นเป็นใครเหรอ”

หลิวไห่ไม่ปิดบัง

“คนของกู้เมิ่ง พวกวายร้ายน่ะ น่าเสียดายว่าไม่รู้ว่ามันคุยอะไรกัน”

หลี่เจี่ยซินยิ้ม

“ที่รักอยากรู้ก็อ้อนวอนฉันสิ ฉันจะบอกว่าพวกเขาคุยอะไรกัน”

หลิวไห่ดวงตาแทบถลนออกจากเบ้า เขาถามอย่างไม่แน่ใจ

“อย่าบอกนะว่าเธอได้ยินที่พวกเขาพูด”

หลี่เจี่ยซินส่ายหน้า

“ถึงฉันจะเก่งแต่ก็ไม่ได้เก่งขนาดนั้น”

หลิวไห่หัวเราะ

“ในเมื่อไม่ได้ยินแล้วจะรู้ได้ยังไงล่ะ นี่เธอปั่นหัวฉันเล่นเหรอ”

หลี่เจี่ยซินหมุนพวงมาลัยพาเขาจอดที่หน้าผับแห่งหนึ่ง หลิวไห่มองเธอด้วยความสงสัย

“อะไรอีก”

“ไปเที่ยวกันเถอะ”

“ไม่มีอารมณ์กลับบ้านกันเถอะ” เขากอดอกคิดว่ายังไงก็จะไม่ยอมลงไปจากรถเด็ดขาด

“ไปเถอะน่า มีของดีในนั้นนะ”

“ไม่เอา ไม่มีอารมณ์เที่ยว”

หลิวไห่ปฏิเสธเสียงแข็ง อะไรของแม่สาวคนนี้ เขายังมีงานให้ทำอีกมาก ไหนจะต้องถอดรหัสแฟรชไดรฟ์นั่นอีกเธอกำลังทำให้เขาเสียเวลา

“ที่รักฉันจะบอกเธอให้นะ ถึงฉันจะไม่ได้ยินว่าพวกเขาพูดอะไรกันแต่ฉันก็อ่านปากได้ คนพวกนั้นคุยกันถึงผับแห่งนี้ เที่ยงคืนพวกเขามีนัดสำคัญกับคนคนหนึ่ง ถ้าอยากรู้เราก็แค่เข้าไปเที่ยวกัน ฉันรู้ว่าพวกเขาอยู่ห้องวีไอพีที่เท่าไหร่”

คราวนี้หลิวไห่ถึงกับอึ้ง ในสมองของเขาเอาแต่คิดว่า

หลี่เจี่ยซินนี่เธอเป็นตัวอะไรกันแน่

ใครว่าหลิวไห่ไม่อยากไปงานเลี้ยงของกู้เมิ่ง แน่นอนว่าเขาย่อมไม่พลาด ในคืนนี้เขายืนอยู่ในงานเรียบร้อยแล้วในฐานะลูกชายของบริษัทแห่งหนึ่งซึ่งมีสายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับเขาตั้งแต่อยู่ที่ฮ่องกง

หลิวไห่ปลอมตัว เขาใส่แว่นใส่หนวดและยังทำผมสีขาวแทบจะไม่มีใครสังเกตุว่าเขาเป็นใคร ในงานนี้ทุกคนต่างมีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือสร้างสัมพันธ์กับกู้เมิ่ง นายทุนยักษ์ใหญ่ที่จะมาลงหลักปักฐานในแผ่นดินใหญ่

ว่ากันว่ากู้เมิ่งมีอิทธิพลมากกระทั่งนักการเมืองระดับชาติเขาก็ซื้อตัวมาเป็นพวกเรียบร้อยแล้ว เขาจึงเป็นดาวเด่นในงานอย่างแท้จริง

งานเลี้ยงดำเนินไปอย่างราบรื่น ดูเหมือนว่าน้องสาวของเขาเฉินอิ่งจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับกู้เมิ่งเป็นอย่างมาก เธอเป็นคนสวยแน่นอนว่าย่อมเข้าตากู้เมิ่ง และท่าทางสนิทสนมนั้นก็ทำให้ใครหลายคนในงานต่างมองพวกเขาว่ามีย่อมมีเบื้องหลังที่มีความสัมพันธ์กันเกินเพื่อนแน่นอน

มิน่าล่ะ เฉินอิ่งจึงทำทุกวิธีทางที่จะควบรวมกิจการให้กับกู้เมิ่ง ในขณะที่เฉินเฟยอวี๋วัน ๆ คิดแต่เรื่องใช้เงิน บริษัทที่พ่อแม่บุญธรรมก็ถูกเฉินอิ่งวางแผนขายมานานแล้วสิท่า

หลิวไห่คิดไม่ออกว่าเฉินเฟยอวี๋จะทำยังไงหากไม่มีเขา จะไม่อดตายอยู่ข้างถนนหรอกหรือ

ในขณะที่หลิวไห่กำลังสังเกตในงานอย่างละเอียด พลันเขาก็สะดุดเข้ากับคนคนหนึ่ง

เขาจ้องผู้ชายคนนั้นเขม็ง สายตาแข็งกร้าว ความรู้สึกในวันนั้นกลับมาอีกครั้ง

ผู้ชายคนนั้นคือคนที่จับเขาโยนลงน้ำเป็นเหยื่อล่อจรเข้ และอาจเป็นคนที่ฆ่าพ่อของเขาด้วย

หลิวไห่ตามหาตัวมันมาหลายปี สุดท้ายก็โผล่หางออกมาจนได้

เพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกตหลิวไห่เริ่มต้นสนทนากับใครบางคนในงานด้วยเรื่องธุรกิจของพวกเขา หลิวไห่เองก็มีความชำนาญและความรู้รอบตัวอยู่มาก ไม่ว่าใครจะคุยด้วยเรื่องอะไรเขาก็สามารถโต้ตอบได้อย่างมีความรู้

เขาค่อย ๆ ขยับเข้าไปใกล้ผู้ชายคนนั้นทีละก้าว จวบจนกระทั่งมาหยุดยืนอยู่ที่หลังผู้ชายคนนั้นโดยที่เขาไม่ทันระวัง

ในใจของเขาอยากจะชักมีดออกมาฆ่าคนให้สมกับความแค้นนัก แต่เรื่องของเขาเพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น เขาจะทำให้พวกมันได้รับกรรมอย่างสาสม

ทั้งเรื่องพ่อของเขา และเรื่องที่ทำให้เขาต้องติดคุก

หลิวไห่เงี่ยหูฟังเรื่องที่ผู้ชายคนนั้นกำลังพูดคุยกับใครบางคน ข้างในนี้มีเสียงที่ค่อนข้างดังมากเขาจึงไม่ได้ยินเสียงกระซิบของผู้ชายคนนี้ ท่าทางแบบนี้คล้ายกับมีเรื่องสำคัญ

หลิวไห่ค้อมตัวลงเมื่อคนที่เขาสนทนาด้วยขอตัวไปคุยกับใครอีกคน พร้อมทั้งทายทายด้วยความดีใจ

“สวัสดีครับผู้กองหูไม่คิดว่าคุณจะมาร่วมงานนี้ด้วย”

หลิวไห่ได้ยินชื่อนายตำรวจคนนั้นอย่างชัดเจน เขาจึงหันขวับมามองผู้ชายคนนั้นทันใด

ที่แท้เป็นหูเสี่ยวเทียน เพื่อนวัยเด็กของหลี่เจี่ยซิน วันนี้เขาสวมชุดสูทแปลกตายังควงมากับสาวสวยคนหนึ่งแต่งหน้าจัดจ้านแต่ก็ดูแล้วสวยสะดุดตาไม่เบา แต่ เอ๊ะ

หลิวไห่แทบจะทำแก้วไวน์ในมือหลุดลงบนพื้น

หลี่เจี่ยซิน

ทำไมผู้หญิงคนนี้มาอยู่ที่นี่กัน และยังกล้าควงคู่มากับคนอื่นอีกด้วย เธอกล้าดียังไง เธอมีเขาอยู่แล้วนะ และทำไมเธอต้องแอบมาโดยไม่บอกเขาสักคำ ทำไมล่ะหลี่เจี่ยซิน เธอคิดอะไรอยู่

หลิวไห่ขยับตัวมาแอบฟังพวกเขาคุยกัน และจากการสนทนาของพวกเขาหลิวไห่ก็ได้รู้ว่าผู้กองหูคนนี้เป็นลูกชายเจ้าของบริษัทใหญ่คนหนึ่ง ร่ำรวยไม่ใช่เล่นแต่เขาชอบเป็นตำรวจมากกว่าเป็นนักธุรกิจ

คำถามว่า ทำไม? ทำไม? ทำไม? วนเวียนอยู่ในหัวของหลิวไห่ เขาคิดสมองแทบแตกที่พบคู่หมั้นของตัวเองเอ๊ยของน้องชายอยู่ที่นี่ด้วย

ผู้ชายคนนั้นถามหูเสี่ยวเทียนต่อ ในขณะที่หลิวไห่ขยับตัวประชิดเขาจนแทบที่จะสิงร่างของชายคนนั้นอยู่แล้ว ดูเหมือนว่าเขาคงจะอึดอัดจึงขยับออกไป

เป็นครั้งแรกที่หลิวไห่ใจลอย เขาไม่มีสติแล้วจึงทำเรื่องโง่ ๆ พวกนั้นออกไป

“คือคุณหลิวครับ ผมว่าคุณอยู่ใกล้ผมเกินไป”

ผู้ชายคนนั้นเริ่มไม่สบายใจแล้วเมื่อหลิวไห่ในคราบของบุตรชายประธานหลิวประกบหลังเขาจนชิดจนเป้าแทงก้นของเขาแบบนี้

หลี่เจี่ยซินชะโงกหน้ามาดู แน่นอนว่าเธอย่อมจำได้ว่าเขาคือใคร แต่มองอย่างประหลาดใจแต่ไม่เปิดโปงเจ้านายของตัวเอง เธอบอกเขาว่าจะมาเที่ยวกับเพื่อนเก่า เขาก็อนุญาตส่วนตัวเขาเองบอกว่าต้องการพักผ่อน ไม่คิดว่าเขาจะเสี่ยงมาที่นี่คนเดียว

ที่รักของเธอตอนนี้กล้าหาญจนน่าประทับใจ

ไม่ว่าเขาจะปลอมตัวยังไงเธอย่อมจำเขาได้ หลี่เจี่ยซินไม่ใช่คนธรรมดาเธอเป็นอัจฉริยะ เธอเก่งทุกด้านและไม่ใช่เก่งแบบธรรมดา หลี่เจี่ยซินเป็นคนเก่งระดับประเทศ หรือจะเรียกว่าระดับโลกก็ได้ หากความสามารถของเธอไม่ถูกพ่อแม่ยับยั้งเอาไว้ให้อยู่แต่ในโรงฝึกซ้อมเธอคงใกล้เคียงไอสไตลไปนานแล้ว แน่นอนว่านี่คือความคิดของตัวเธอเองและยังไม่มีบทพิสูจน์ และหลี่เจี่ยซินเองก็ไม่มีความฝันอย่างอื่นนอกจากทำให้พ่อแม่มีความสุข

หลิวไห่ไม่รู้ว่าตัวเองถูกหลี่เจี่ยซินจับได้แล้ว เขาขยับตัวออกห่างผู้ชายคนนั้นพร้อมกับกล่าวคำขอโทษด้วยความสุภาพ

“ขอโทษครับ ผมไม่ทันมอง”

“ไม่เป็นไรครับ”

ผู้ชายคนนั้นขยับตัวถอยหนีเขายังคุยต่อกับผู้กองและคู่ควงของเขา หลายครั้งที่หันมามองหลิวไห่อย่างหวาดระแวง

“ไม่ทราบว่าคนที่อยู่ข้าง ๆ นี่แฟนใช่หรือเปล่าครับไม่เคยเห็นหน้าเลยสวยมากเลยนะครับ”

หลิวไห่กำมือแน่นจนเส้นเลือดปูดโปนออกมา

กล้าดียังไงมาถามว่าคู่หมั้นของเขาเป็นแฟนคนอื่นหรือเปล่า

หูเสี่ยวเทียนยิ้มแก้มฉีกจนถึงใบหู

“อ้อ เพื่อนครับ เพื่อนของผมเองแต่ดีใจนะครับที่คุณคิดว่าเธอเป็นแฟนของผม”

หลี่เจี่ยซินแสร้งปิดปากหัวเราะ พร้อมกับค้อมตัวลงอย่างสุภาพ

“ฉันหลี่เจี่ยซินค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”

หลี่เจี่ยซินปลายตามองเฉินเฟยอวี๋ในคราบนักธุรกิจอาวุโสผมหงอกใส่แว่น เธอหัวเราะในลำคอท่าทางมีความสุขเป็นอย่างยิ่ง

หูเสี่ยวเทียนขยับตัวมาโอบเอวของเธอ เมื่อเพลงเต้นรำดังขึ้น

“เต้นรำกันมั๊ย”

หลี่เจี่ยซินส่ายหน้า

“ฉันเต้นไม่เป็น”

หูเสี่ยวเทียนดึงมือของเธอ การใกล้ชิดกับผู้ชายในฝันทำให้ผู้หญิงที่แสร้งทำเป็นอ่อนแอใจพองโต

“ไม่เป็นไร ฉันสอนให้”

เอาล่ะสิ หลี่เจี่ยซินปลากินเบ็ดแล้ว เธอมีหรือจะปฏิเสธ ในใจลิงโลดคล้ายกำลังถูกลอตเตอรี่ใบใหญ่ แสงไฟพลันสลัวทำนองเพลงหวานดังพลิ้วไหว หลายคู่ต่างออกไปเต้นรำ ในท้องของหลี่เจี่ยซินดูเหมือนจะมีผีเสื้อนับล้านตัวบินวน

ผู้ชายรูปหล่อคนนี้กำลังประคองเธออย่างทนุถนอมไปกลางฟลอร์เต้นรำ ท่ามกลางสายตาของคนนับร้อยและคู่รักคู่อื่นที่ทยอยกันออกมา ช่างเป็นงานเลี้ยงที่มีความสุขและเป็นกันเองอย่างยิ่ง

ในขณะที่หลายคนกำลังมีความสุข ในมุมหนึ่งไฟแห่งความริษยากำลังแผดเผาผู้ชายคนหนึ่งอย่างน่าสงสาร

แก้วในมือของหลิวไห่แตกไปแล้ว เขาโกรธจนไม่รู้จะแสดงออกยังไง บริกรที่อยู่ตรงนั้นตกใจรีบวิ่งมาเช็ดแก้วที่หล่นกระจายอยู่บนพื้น โดยที่ไม่ทันมองว่าเป็นใครที่ทำแก้วหล่น

หลี่เจี่ยซินเอนตัวเข้าซบลงบนอกอบอุ่นของหูเสี่ยวเทียน แต่เธอต้องชะงักเมื่อรู้สึกว่าไม่ชอบน้ำหอมของเขาเสียจริง หากเธอเป็นแฟนกับเขาคงต้องซื้อให้ใหม่ ตรงกันข้ามกับน้ำหอมของเฉินเฟยอวี๋ ก่อนหน้านั้นเขาใช้ในสิ่งที่เธอเลือก เธอจึงชอบกอดเขานัก

ว่าแล้วเธอก็มองหาเฉินเฟยอวี๋ แต่ว่าตอนนี้เขาหายไปแล้ว

หลี่เจี่ยซินมองตามหลังของเฉินอิ่งไปอย่างครุ่นคิด ผู้หญิงคนนั้นดูเหมือนว่าจะไม่กลัวเฉินเฟยอวี๋แม้แต่น้อย ตั้งแต่เธอทำหน้าที่เป็นบอดี้การ์ดให้เฉินเฟยอวี๋หลายครั้งที่หลี่เจี่ยซินมั่นใจว่าเป็นฝีมือของเฉินอิ่งที่ลอบทำร้ายเฉินเฟยอวี๋เพราะเรื่องธุรกิจ

หลิวไห่มองเธอดวงตาเป็นประกาย ท่าทางกังวลของหลี่เจี่ยซินทำให้เขาแอบยิ้ม

หญิงสาวขยับเข้ามาใกล้เขาแล้วก้มลงมาเท้าแขนกับโต๊ะทำงานพร้อมกับถามเฉินเฟยอวี๋

“ที่รัก เธอไปเอาความกล้ามาจากไหน ถึงได้ต่อปากต่อคำกับเฉินอิ่งได้ทั้งที่แต่ก่อนกลัวผู้หญิงคนนั้นหัวหดแทบจะวิ่งมาหลบอยู่ข้างหลังฉันด้วยซ้ำ”

หลิวไห่สบตาของหญิงสาว

“ความกล้าเหรอ ก็มาจากเธอไง”

เฉินเฟยอวี๋ชี้มือเข้าที่หน้าอกต้วเอง

“ฉันเหรอ”

หลิวไห่พยักหน้า เขาชอบมองท่าทางแปลกใจของหลี่เจี่ยซิน

“ใช่สิ”

“ยังไง ความกล้าจากฉันได้ยังไง ฉันยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ”

“ก็เพราะเธออยู่ที่นี่ ต่อให้เฉินอิ่งลงมือเธอก็ต้องจับน้องสาวฉันหักมือไม่ให้ผู้หญิงคนนั้นแตะต้องฉันได้แน่ ๆ ฉันคิดว่าฉันขี้ขลาดมานาน ฉันเลยอยากจะลองท้าทายผู้หญิงคนนั้นสักหน่อย”

หลี่เจี่ยซินเข้าใจแล้ว

“อ้อ แต่ก่อนไม่เห็นคิดแบบนี้นี่ จู่ ๆ กล้าหาญแบบนี้ฉันเลยตกใจน่ะ”

หลิวไห่ยิ้ม

“บอกแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าฉันจะสู้ไม่ถอยต่อไปก็คงมีอีกหลายเรื่องทำให้เธอประหลาดใจ”

หลี่เจี่ยซินหัวเราะเบา ๆ ขยับเข้าใกล้ตัวเฉินเฟยอวี๋มากกว่าเดิม รู้สึกว่าในตอนที่เขามาดแมนแบบนี้ดูดีไม่น้อย

“ฉันชอบที่เธอเป็นแบบนี้นะ ดูกร้าวใจดี”

“ฉันจะทำให้เธอชอบมากกว่านี้อีก”

หลี่เจี่ยซินลูบที่ไหล่ของเขา

“คิดว่าจะยั่วฉันสำเร็จเหรอ ฉันไม่ใช่ของเล่นนะ”

หลิวไห่ยักไหล่

“ก็ไม่แน่นะ ใครจะรู้ล่ะอะไรก็เกิดขึ้นได้”

หลี่เจี่ยซินดูเหมือนจะนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ สายตาของเขาแบบนี้ดูอันตรายเป็นอย่างยิ่ง

“ฉันขอตรวจดูนี่อีกสักหน่อย”

หลิวไห่ไม่คุยต่อแล้ว คราวนี้เขาก้มหน้าก้มตาอ่านรายงานการเงินโดยละเอียด เขาพบจุดที่บกพร่องหลายจุดและยังใช้ปากกาวงกลมเอาไว้หลายจุด

เวลาผ่านไปราวชั่วโมงหลิวไห่จึงถอนหายใจออกมา ตัวเลขหลอกลวงกันแบบนี้เฉินเฟยอวี๋คงเชื่อสนิทใจ คงเพราะเป็นแบบนี้เฉินเฟยอวี๋ถึงได้บริหารขาดทุนย่อยยับแบบนี้

เสียงเคาะประตูดังขึ้น เป็นเลขาของเฉินเฟยอวี๋อีกคน

เธอเดินเข้ามาแล้วนำการ์ดเชิญมาให้เขาพร้อมกับอธิบาย

“ท่านประธานคะนี่คือการ์ดเชิญเพื่อสร้างสัมพันธ์ของสกุลกู้ค่ะ ประธานกู้จัดงานเลี้ยงทั้งยังเชิญผู้บริหารหลายบริษัทเข้าร่วมงานในสัปดาห์หน้าค่ะ งานนี้มีทั้งคนในวงสังคมนักการเมืองใหญ่ทั้งระดับชาติและท้องถิ่นเข้าร่วมงาน ดิฉันดูตารางงานของท่านในวันและเวลานั้นแล้วไม่ได้ติดอะไร ท่านประธานจะให้ตอบรับเลยหรือเปล่าคะ”

อันที่จริงเลขาของเขาอยากจะบอกว่า ตารางของเฉินเฟยอวี๋ว่างและมีเวลาเหลือเฟือจนน่าตกใจ

หลิวไห่รับการ์ดเชิญจากเลขา เขาเปิดดูการ์ดสีแดงและตัวหนังสือจึนที่เป็นทางการด้านในเขาคิดอยู่แล้วว่าเป็นบริษัทของกู้เมิ่ง แต่เขาก็ยังถามเลขาออกไป

“ประธานกู้ที่ว่านี่ชื่ออะไรเหรอครับ และเป็นใครมาจากไหน”

เลขาตอบเขาอย่างสุภาพ

“เห็นว่าเพิ่งย้ายมาจากฮ่องกงเพื่อดูแลขยายกิจการค่ะ เป็นลูกชายคนเดียวของสกุลกู้ชื่อกู้เมิ่งค่ะ คนหนุ่มไฟแรงที่มีความสามารถคนหนึ่งเลยทีเดียว”

หลิวไห่ถึงกับหัวเราะเสียงดังแต่น้ำเสียงนั้นดูขมขื่นอยู่ในที

“คนหนุ่มมีความสามารถเหรอครับ ฮ่า ฮ่า ฮ่า”

“ใช่ค่ะ เห็นใคร ๆ ต่างก็พูดถึงเขาแบบนั้นหากท่านประธานลืมก็คือคนที่ต้องการควบรวมกิจการของบริษัทเราค่ะ เป็นคนคนเดียวกัน”

หลิวไห่พยักหน้า ดูเขาไม่ได้ตกใจอะไร

“คุณออกไปก่อนเถอะ ผมจะพิจารณาอีกทีว่าสมควรไปหรือเปล่า”

“ได้ค่ะ”

เมื่อเลขาปิเดประตูห้องแล้ว หลี่เจี่ยซินถามเขาว่า

“เกิดอะไรขึ้นถึงได้หัวเราะแบบนั้น ทำไมล่ะ หรือว่ากลัวจนเพี้ยนแล้วเหรอ ไม่ต้องกลัวนะถ้าที่รักไปฉันก็จะอยู่ข้าง ๆ คอยดูแลความปลอดภัยให้อย่างเต็มที่”

“ไม่ได้กลัวแบบนั้นสักหน่อย”

หลิ่วไห่ไม่อธิบายให้หลี่เจี่ยซินฟัง เขาก้มลงกวาดสายตาอ่านทุกตัวอักษรในการ์ดอย่างละเอียด

เขาคิดว่าหากเขาไปเกรงว่ากู้เมิ่งจะรู้ตัวเร็วเกินไปอาจจะส่งผลเสีย เขาอยากพบกู้เมิ่งในตอนที่เขากอบกู้บริษัทนี้ให้มั่นคงกว่านี้ และให้คนเลวคนนั้นรู้ว่าไม่มันไม่สามารถจะซื้อบริษัทนี้ได้ เขาย่อมรู้ดีว่างานแรกที่ประธานกู้มอบหมายให้กู้เมิ่ง ก็คงเป็นการเทคโอเวอร์เฉินอวี๋เทคโนโลยี

บริษัทอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกที่เคยเป็นบริษัทแถวหน้ามีมูลค่าทรัพย์สินมหาศาลแห่งนี้ บริษัทที่มีผู้บริหารห่วยแตกและยังเป็นเกย์อีกด้วย กู้เมิ่งคงคิดว่าคงจะสามารถยึดครองได้อย่างง่ายดายสินะ

“ที่รัก ที่รัก”

หลิวไห่เหม่อลอย หลี่เจี่ยซินตบไหล่เขาเบา ๆ กระทั่งเขารู้สึกตัว

“เป็นอะไรหรือเปล่า”

หลิวไห่ส่ายหน้า

“คิดอะไรเพลิน ๆ น่ะ ไม่ได้กลัวใครแบบที่เธอคิดหรอกสบายใจได้”

“แล้วเธอจะไปหรือเปล่างานเลี้ยงน่ะ จะได้ให้คนเตรียมชุดสูทชุดใหม่ให้เร่งตัดใหม่ตอนนี้ก็น่าจะทัน”

หลิวไห่ส่ายหน้า เขาตัดสินใจแล้ว

“ยังไม่ถึงเวลา เห็นว่าเฉินอิ่งสนิทกับประธานกู้คนนี้นี่ ให้เฉินอิ่งไปแทนก็แล้วกัน”

หลี่เจี่ยซินเองก็กลัวว่าเฉินเฟยอวี๋จะเกิดเรื่อง อีกทั้งงานในบริษัทแห่งนี้เขาก็แทบจะไม่รู้อะไรเลยจึงคิดว่าเขาไม่ไปน่ะถูกต้องแล้ว อย่างน้อยต้องเตรียมตัวและเตรียมความพร้อมให้มากกว่านี้

“ฉันก็คิดแบบนั้น ที่รักยังต้องฝึกปรือฝีมืออีกหน่อย”

หลิวไห่มองเธอด้วยสายตาอ่อนโยน

“ห่วงเหรอ”

หลี่เจี่ยซินพยักหน้า

“อื้อ ห่วงสิเกิดไปทำขายหน้าล่ะอายเขาแย่เลย”

จู่ ๆ เขาก็ดึงหลี่เจี่ยซินให้นั่งลงบนตักของเขา ยังรวบตัวกอดเธอเอาไว้หลี่เจี่ยซินยังไม่ชินกับพฤติกรรมแปลกประหลาดของเขาแต่เธอก็ไม่ได้ขัดขืน

“สัญญาว่าต่อไปจะไม่ทำให้คู่หมั้นของฉันขายหน้าอีก ไม่ต้องกลัวนะ”

หลี่เจี่ยซินถูกเขาจ้องด้วยสายตาแสนอบอุ่น จู่ ๆ เธอก็รู้สึกหน้าแดงและกระดากอาย เธอจึงดึงมือของเขาออกแล้วลุกขึ้นทันที

“เอ้อ ฉะ ฉันไปเอากาแฟให้ที่รักนะ”

หลี่เจี่ยซินหาทางเลี่ยงเขา เธอเดินออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว

หลิวไห่มองเธอจนลับสายตา ดวงตาเป็นประกายพร้อมกับยิ้มออกมา

“หลี่เจี่ยซิน เธอรู้ตัวหรือเปล่าว่าเวลาเธออายแบบนี้แล้วน่ารักเป็นบ้า”

ความจริงเฉินอิ่งก็รู้อยู่แล้วว่าเฉินเฟยอวี๋เป็นเกย์ ภาพที่หลี่เจี่ยซินและหลิวไห่กำลังจูบกันในห้องทำงานแห่งนี้จึงทำให้เธอคิดไปไกล

หรือว่าเฉินเฟยอวี๋จะเป็นไบเซ็กชวล ชายก็ได้หญิงก็ดี

เฉินอิ่งยิ่งคิดดูถูกเฉินเฟยอวี๋ในใจ คนที่ไม่รู้กระทั่งว่าตัวเองเป็นเพศอะไรที่น่าสมเพช เธอยิ่งเห็นเขาก็ยิ่งรู้สึกขยะแขยงเป็นอย่างยิ่ง

เธอเป็นลูกบุญธรรมที่สกุลเฉินรับมาเลี้ยงเช่นกัน ถึงจะมีความสามารถและเก่งกว่าเฉินเฟยอวี๋มากเพียงใด พ่อและแม่ของเธอกลับยกบริษัทให้เฉินเฟยอวี๋คนไร้ความสามารถแต่ขี้ประจบคนนั้นแล้วให้เธอที่ทุ่มเททุกอย่างเพื่อบริษัทนั่งอยู่ในตำแหน่งรองประธานโดยไม่สนใจว่าใครกันแน่ที่เก่งกว่า

เฉินอิ่งในฐานะรองประธานบริษัทเพื่อช่วยประคับประคองให้บริษัทก้าวผ่านเรื่องร้ายไปได้หลังจากที่พ่อแม่เสีย เธอลงแรงไปก็มากในขณะที่เฉินเฟยอวี๋ทิ้งภาระทุกอย่างให้เธอ วัน ๆ เอาแต่เที่ยวเล่นและใช้จ่ายเงินสุรุ่ยสุร่าย

หากจะเที่ยวจะกินก็ช่างเถอะ แต่เฉินเฟยอวี๋ยังคงกอดตำแหน่งประธานบริหารเอาไว้ไม่ยอมให้อำนาจเธอเต็มตัวและยังกินแรงจากเธออีก ในที่สุดเฉินอิ่งก็หมดความอดทน เมื่อสกุลกู้สนใจที่จะซื้อบริษัทแห่งนี้และยังเสนอตำแหน่งประธานบริหารให้เธอ เฉินอิ่งมีหรือจะรอช้าเธอยินดีเป็นอย่างยิ่ง

เมื่อไม่มีเธอสักคน บริษัทในมือของเฉินเฟยอวี๋ก็ไม่สามารถทำกำไรได้ แน่ล่ะคนไร้ความสามารถอย่างเขาจะทำอะไรได้เล่า

เฉินอิ่งจึงนับวันรอดูเขาล่มจมและเธอจะก้าวเข้ามากอบกู้บริษัทเอาไว้ ให้พนักงานทุกคนรู้ว่าใครเป็นใครกันแน่

“เฉินอิ่ง”

หลิวไห่รู้จักเฉินอิ่งจากปากของเฉินเฟยอวี๋ จากที่เขาได้ยินมาความสัมพันธ์ของสองคนค่อนข้างแย่ และดูเหมือนว่าเฉินอิ่งจะเป็นตัวการที่ส่งคนมาฆ่าเฉินเฟยอวี๋ เพียงแต่เขาไม่มีหลักฐานที่จะเอาผิดผู้หญิงคนนั้น

เฉินอิ่งคนนี้ใบหน้าเรียวเล็ก หน้าตานับว่าสวยน่ารักคนหนึ่ง หากมองดูภายนอกก็ดูคล่องแคล่วอีกทั้งยังดูอ่อนหวาน ท่าทางไม่มีพิษมีภัย

คนแบบนี้สำหรับเขาแล้วยิ่งต้องระวัง และที่สำคัญเขาให้คนสืบค้นไปยังบ้านเดิมของเธอ คนทั้งบ้านของเฉินอิ่งต่างตายกันหมดด้วยถูกไฟคลอก ข้อมูลของเธอคือเธอถูกพ่อแท้ ๆ ของเธอทุบตีเป็นประจำ และแม่ก็ไม่เคยปกป้องเธอเลย

น่าประหลาดใจที่ในคืนนั้นคนทั้งบ้านต่างถูกไฟคลอกแต่เฉินอิ่งที่มีอายุเพียงหกเจ็ดขวบกลับรอดชีวิตออกมาได้

เด็กหกขวบที่ทุกคนต่างสงสาร กลับไม่มีน้ำตาไหลออกมาสักหยดในวันที่คนทั้งบ้านตาย ผู้หญิงคนนี้ไม่สามารถประมาทได้ เธอคือคนที่ซ่อนมีดเอาไว้ข้างหลังพร้อมจะแทงศัตรูให้ตายทันทีที่เผลอ

เสียงหวานใสของเฉินอิ่งดังขึ้น

“พวกพี่กำลังทำอะไรกันคะ”

หลิวไห่เลียนแบบท่าทางของเฉินเฟยอวี๋ในเวลาที่พูกกับเฉินอิ่งตามที่เขาสอนมาพร้อมกับมองน้องสาวคนนี้ด้วยสายตาหมางเมิน

“ไม่เห็นเหรอว่ากำลังทำเรื่องส่วนตัว ห้องประธานเป็นห้องที่เธอคิดจะเข้ามาก็สามารถผลักประตูเข้ามาได้เลยแบบนี้เหรอ”

เฉินเฟยอวี๋ถามพร้อมกับอมยิ้ม แต่ช่างเป็นรอยยิ้มที่น่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง

เฉินอิ่งรู้สึกประหลาดใจแต่เธอกลับไม่โกรธ

นี่เป็นครั้งแรกที่เธอถูกเฉินเฟยอวี๋ตำหนิ แต่ไหนแต่ไรมาเขาแทบไม่ก้าวเข้ามาในบริษัท อยู่ที่นี่เธอจึงมีอำนาจเต็ม ท่าทางที่แปลกประหลาดของเฉินเฟยอวี๋ทำให้เฉินอิ่งแอบยิ้มในใจ พลางคิดว่า

หมาจนตรอก คงหลังชนฝาแล้วคิดจะหันมากัดเธอล่ะสิ แบบนี้รู้สึกว่าจะสนุกขึ้นมานิด ๆ แล้ว

“ขอโทษนะคะ ความจริงห้องนี้เป็นพี่ที่ยกให้ฉันแล้วไม่ใช่เหรอ ไม่คิดว่าจู่ ๆ จะทวงห้องคืน”

หลิวไห่เดินไปนั่งที่เก้าอี้ เขาไม่คุยเรื่องนี้กับเธอแล้วเขาหยิบเอกสารการเงินของบริษัทที่ดูเมื่อสักครู่ขึ้นมาแล้วตบลงที่โต๊ะดัง ปัง

“เรื่องห้องก็ช่างเถอะ แต่เธอเห็นนี่หรือยังมีหลายจุดที่น่าสงสัย”

เฉินอิ่งมองรายงานงบการเงินพร้อมกับกอดอก

“มีอะไรน่าสงสัยคะ ผู้สอบบัญชีตรวจดูและผ่านการเซ็นรับรองแล้ว”

หลิวไห่จ้องเฉินอิ่งเขม็ง

“ไม่คิดว่าตาของเธอจะถั่วขนาดนี้ เสียแรงที่ไว้ใจให้ดูแลกิจการแทนช่วงหนึ่ง เธอจะรับผิดชอบยังไงดีล่ะถ้าฉันตรวจเจอความผิดปกติ”

เฉินอิ่งรู้สึกว่าเฉินเฟยอวี๋ดูไม่เหมือนเดิม แต่เธอยังแยกแยะไม่ออกว่าเขาไม่เหมือนเดิมตรงไหน เฉินอิ่งถึงกับพูดไม่ออก

หลี่เจี่ยซินขยับไปยืนอยู่ข้าง ๆ เฉินเฟยอวี๋ ตั้งแต่วันแรกที่เธอรับปากมาเป็นบอดี้การ์ดของเขาคนที่น่าสงสัยที่สุดก็คือเฉินอิ่งคนนี้ ถึงจะมีฐานะเป็นว่าที่พี่สะใภ้กับน้องสามี แต่คนทั้งสองก็แทบจะไม่เคยพูดคุยกันเลยสักคำ

“ยังยืนยันว่าตรวจสอบถูกต้องแล้วใช่หรือเปล่า”

หลิวไห่จ้องหญิงสาวเขม็ง แต่เฉินอิ่งไม่เคยกลัวเขา เธอยกมุมปากขึ้นแล้วยังพูด้วยน้ำเสียงเอื่อย ๆ คล้ายไม่ใส่ใจให้มันจบ ๆ ไป

“เอาไว้ฉันจะให้คนตรวจอีกที ถ้าพี่คิดมันไม่ถูกต้อง”

หลิวไห่ยกมุมปาก จ้องเธอเขม็ง

“คงไม่รบกวนท่านรองประธาน ฉันจะให้คนของฉันมาตรวจสอบดูในเมื่อเธอมั่นใจแล้วว่าถูกต้องก็ลองให้คนของฉันดูหน่อย”

เฉินอิ่งเลิกคิ้ว

“ตรวจสอบอีกเหรอคะ คนของพี่เหรอ”

เฉินอิ่งแทบจะหัวเราะออกมา เธอปิดปาก

แน่นอนว่าสายตานั้นดูถูกเขาเป็นอย่างยิ่ง รอบกายเฉินเฟยอวี๋ล้วนแต่เป็นพวกชั้นต่ำ ขนาดคู่หมั้นยังคว้าลูกสาวโรงเรียนชกต่อยมาบังหน้า ทั้งไร้รสนิยมและยังทำตัวไร้ค่า จะมีปัญญาจากไหนหาคนเก่งมาตรวจสอบบัญชี

เธอกอดอกแล้วจ้องเขาตาไม่กระพริบ

“เอาสิ พี่เป็นประธานนี่ มีอำนาจเต็มอยู่แล้ว แต่ให้เร่งหน่อยนะเพราะการบริหารที่ผิดพลาดของพี่ผลประกอบการของเราจึงติดลบได้ขนาดนี้ หุ้นร่วงจนแทบจะติดพื้นอยู่แล้ว เรื่องนี้ฉันก็คิดว่าพี่ต้องรับผิดชอบด้วย ถ้าไม่มีความสามารถพอก็ให้คนอื่นเขามาบริหารเสียเถอะ ส่วนพี่ก็ล้มบนฟูกได้เงินก้อนใหญ่เอาไปเสพสุขกับหนุ่ม ๆ เอ๊ย คู่หมั้นของพี่ตามที่พี่ต้องการเลยไม่ดีเหรอ”

หลิวไห่กอดอกเขาพิงเก้าอี้อย่างสบาย

“ดูท่าทางอยากนั่งเก้าอี้ประธานจนตัวสั่นเลยนะ”

เฉินอิ่งยิ้มเย็น

“ตำแหน่งของพี่ยังไงมันก็ต้องเป็นของฉันอยู่แล้ว เก้าอี้นี้พี่เกาะให้แน่นแล้วกันนะ ไม่ต้องห่วงหรอกฉันเอาใจช่วยพี่อยู่แล้ว”

เฉินอิ่งก้าวออกจากห้อง ทั้ง ๆ ที่ในห้องเธอต่อปากต่อคำกับเฉินเฟยอวี๋โดยไม่เกรงกลัวแต่เมื่อออกมาจากห้องนั้นมือของเฉินอิ่งกลับสั่นไม่หยุด

เฉินเฟยอวี๋ดูไม่เหมือนเดิม สายตาของเขานั้นดูน่ากลัวและเย็นชาเป็นอย่างยิ่ง ช่วงเวลาที่เขาหายไปไม่กี่วันนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่

“ท่านประธานครับผมขอโทษครับท่านประธาน ผมจะไม่ทำอีกแล้วครับ ไว้ชีวิตผมด้วยนะครับ อย่าไล่ผมออกเลย”

หลิวไห่หัวเราะเสียงเย็น เขาดึงมีดพกออกมาแล้วควงเล่นเพื่อข่มขวัญผู้จัดการคนนั้น ในขณะที่หลี่เจี่ยซินเบิกตากลมพลางหัวเราะในใจ

เฉินเฟยอวี๋ เธอไปหัดเล่นใหญ่แบบนี้มาจากไหนกัน แต่ก่อนกลัวมีดกลัวปืนไม่ใช่เหรอ

หลิวไห่นั่งยอง ๆ ใช้มีดเชยคางของผู้จัดการคนนั้นขึ้นมา

“รีบจัดโต๊ะเก้าอี้ชุดใหม่ให้ผม ก่อนที่ผมจะไล่คุณออกและต่อไปก็ให้รู้เอาไว้ว่าใครเป็นใคร”

“ครับ ผมเข้าใจแล้วครับ จะรีบจัดการตอนนี้เลยครับ”

ผู้จัดการคนนั้นตัวสั่นงันงกออกไปแล้ว หลิวไห่มองที่พื้นดูเหมือนฟันของผู้ชายคนนั้นจะหักไปซี่หนึ่ง เขาโบกมือเบา ๆ บอดี้การ์ดก็เดินออกไปคอยอารักขาอยู่ด้านนอก

หลี่เจี่ยซินสั่งให้เลขาสาวอีกคนที่มีหน้าที่ดูแลเรื่องตารางงานของเฉินเฟยอวี๋เอาเอกสารที่จำเป็นทุกอย่างมาให้เขาตรวจ

หลิวไห่นั่งลงบนโต๊ะตัวนั้น พลิกเอกสารดูไม่กี่หน้าเขาก็วางลงบนโต๊ะ

“ทำไมมีอะไรผิดปกติคะ เจ้านาย”

เมื่ออยู่ในที่ทำงานหลี่เจี่ยซินจะเรียกเขาว่าเจ้านายอย่างให้เกียรติ

“ผิดปกติตั้งแต่หน้าแรก”

หลี่เจี่ยซินจึงหยิบเอกสารพวกนั้นมาเปิดดู เธอไม่เห็นว่าจะบกพร่องตรงไหน

หลิวไห่ใช้นิ้วเคาะที่หน้าผากของเธอแล้วหัวเราะเบา ๆ

“สงสัยล่ะสิว่าผิดปกติตรงไหน”

หลี่เจี่ยซินพยักหน้า

“ใช่ค่ะ”

“มันไร้ที่ติเกินไป ดูก็รู้ว่ามีการเตรียมการปกปิดเป็นอย่างดี แต่ไม่ต้องห่วงหรอกเดี๋ยวผมจะให้คนของผมมาตรวจดูให้ละเอียด”

หลี่เจี่ยซินอดทึ่งเขาไม่ได้

“ยังมีคนอื่นอีกเหรอคะ ที่จะมาช่วยงาน”

หลิวไห่พยักหน้า

“แน่นอน”

หลี่เจี่ยซินบ่นอุบอิบ

“ทำไมไม่ให้มาช่วยตั้งนานแล้วคะ ต้องรอเข้าตาจนก่อนหรือยังไง”

หลิวไห่เห็นด้วย

“ใช่ ทำไมเรื่องพวกนี้ไม่หัดคิดให้มากมัวห่วงศักดิ์ศรีจนเกือบจะถูกไล่ออกจากบริษัทตัวเองอยู่แล้ว”

เมื่อถูกเฉินเฟยอวี๋ยอกย้อนหลี่เจี่ยซินก็ยิ่งมึนงง

เขาพูดเหมือนว่าคนคนนี้ไม่ใช่ตัวเอง หลิวไห่ยิ้มเขาหยิกแก้มยุ้ยของเธอจนกลายเป็นสีแดง

“อย่าคิดมากสิ ขมวดคิ้วจนหน้ายับแล้ว”

หลี่เจี่ยซินจับมือของเขา หลิวไห่จึงอาศัยจังหวะนี้สอดมือเข้าไปในนิ้วเรียวของเธอ อาการสนิทสนมทำให้หลี่เจี่ยซินรู้สึกเขินเล็กน้อยทั้งที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ไม่นานเฟอร์นิเจอร์โต๊ะทำงานชุดใหม่เอี่ยมก็ถูกยกเข้ามาโดยมีผู้จัดการฝ่ายอาคารคนนั้นมาดูแลด้วยตัวเอง

หลิวไห่พิจารณาอยู่ชั่วครู่

“ผมไม่ชอบ ไม้ดูราคาถูก และเก้าอี้นี่ก็ไม่ดีต่อสุขภาพหลังแต่จะทนใช้ไปก่อนให้โอกาสคุณอีกครั้งพรุ่งนี้ผมต้องได้ของใหม่ที่ถูกใจ อ้ออีกอย่างหาโต๊ะทำงานมาให้คู่หมั้นของผมด้วย จัดให้เหมาะสม”

ผู้จัดการฝ่ายอาคารไม่คิดว่าเฉินเฟยอวี๋หลังจากหายไปหลายวันกลับมาแล้วจะกล้าวางโตขนาดนี้ก็นึกแปลกใจ เรื่องนี้เขาจึงได้รายงานกับท่านรองประธานเฉินอิ่งไปเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้เพราะกลัวตัวเองจะถูกอัดและถูกไล่ออกจึงได้แต่ต้องนอบน้อมกับเฉินเฟยอวี๋ให้มากขึ้น

“ได้ครับ ขอโทษนะครับที่ทำให้ท่านประธานไม่พอใจ”

“รีบไสหัวออกไปก่อนที่ฉันจะโมโหกว่านี้ เรื่องที่สั่งก็ให้เรียบร้อย”

“ครับ ได้ครับ”

ผู้จัดการฝ่ายอาคารออกไปแล้ว หลิวไห่จึงจับหลี่เจี่ยซินให้นั่งลงบนเก้าอี้ตัวใหม่ โดยมีเขานั่งอยู่บนโต๊ะ

หลี่เจี่ยซินทดสอบเอนตัวไปตามเก้าอี้ก็คิดว่าไม่ได้แย่นี่นาทำไมเฉินเฟยอวี๋ถึงได้ไม่พอใจ

“เก้าอี้นี่ก็นั่งสบายนี่ทำไมถึงไม่ชอบล่ะคะ”

หลิวไห่ยักไหล่พลางเบ้าปากเล็กน้อย

“ก็หาเรื่องแกล้งคน อีกอย่างผมยังคิดว่ามันไม่ดีพอ”

หลี่เจี่ยซินขยับตัวเข้าใกล้เขา ยังโน้มใบหน้าเข้าไปชิดหลิวไห่พูดเสียงเบาหวิว

“ขี้แกล้งนะเรา”

เมื่อได้ยินเสียงหวานใสของเธอแซวเล็กน้อย หลิวไห่ถึงกับขนลุก เขาขยับตัวออกห่างเธออัตโนมัติ

หลี่เจี่ยซินหัวเราะ

“เห๊อะ ใกล้นิดใกล้หน่อยทำเป็นรังเกียจ”

พูดจบเธอก็ลุกขึ้น หลิวไห่จับแขนของหลี่เจี่ยซินเอาไว้ดวงตาของเขาเป็นประกาย ค่อย ๆ โน้มตัวลงมาช้า ๆ กระทั่งหลี่เจี่ยซินเอนตัวลงไปหลังแนบกับโต๊ะตัวนั้น

ใบหน้าของเขาชิดใบหน้าของเธอ หลี่เจี่ยซินสัมผัสได้ถึงลมร้อนจากปากของเขา หลิวไห่ยกมุมปากยิ้มหล่อเหลา ยังทำท่าคล้ายจะจูบเธอ

หลี่เจี่ยซินกลั้นหายใจ ภายในใจเต้นระรัว เธอไม่ได้ผลักเขาออกกลับเผลอไผลไปกับความมาดแมนของเขา เขาปัดผ่านริมฝีปากลงไปที่ริมฝีปากนุ่มนิ่มของเธอ

หลี่เจี่ยซินจู่ ๆ ก็กลั้นหายใจ เธอคิดว่าเขาอาจจูบเธอเหมือนในหนัง หลี่เจี่ยซินจึงหลับตา

เธอรอคอยริมฝีปากของเขา กระทั่งยื่นปากของตัวเองออกไปแต่กลับไม่ได้รับสัมผัสที่รอคอย

หลี่เจี่ยซินค่อย ๆ ลืมตาขึ้น เห็นดวงตาขี้เล่นของเฉินเฟยอวี๋เหมือนว่าเขากำลังเป็นผู้ชนะหลี่เจี่ยซินถึงกับหน้าเห่อร้อน

“ทำไมคิดว่าฉันจะจูบเธอเหรอ ฮ่า ฮ่า ฮ่า หลี่เจี่ยซินเธอนี่ก็หวังสูงไม่ใช่เล่นนะ”

หลี่เจี่ยซินแทบจะตีอกชกตัว ใจของเธอยังเต้นไม่หาย

“นี่เธอแกล้งฉันเหรอ”

หลิวไห่ปล่อยเธอแล้ว หลี่เจี่ยซินแทบจะหงายหลังแต่เขาก็ไม่ปล่อยให้เธอจับเขาอยู่ดี หลี่เจี่ยซินจึงพลิกตัวลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล

หลิวไห่ตอบว่า

“แล้วเธอคิดว่ายังไงล่ะ”

หลี่เจี่ยซินขยับมาลูบนิ้วเข้าไปในแผงอกของเขา เธอรวดเร็วมากจนเขาหนีไม่ทัน นิ้วเรียวนั่นให้สัมผัสที่ดีมากคราวนี้หลิวไห่เป็นฝ่ายกลั้นหายใจ

หลี่เจี่ยซินดันร่างของเขาไปจนชิดกำแพง หญิงสาวกางแขนออกเหมือนอันธพาลที่กำลังต้องการล่วงเกินหญิงสาวในซีรีส์ หลิวไห่ไม่สามารถดิ้นรนหนีจากอ้อมแขนของเขาได้

เขารู้สึกอับอายเหมือนตัวเองเป็นผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งที่ไร้ทางสู้

หลี่เจี่ยซินตัวเล็กกว่าเขามาก แต่หลิวไห่ไม่สามารถสู้แรงนี้ได้ เธอเขย่งเท้าขึ้นจับคางหลิวไห่เอาไว้ให้เขาอยู่นิ่ง ๆ

“เธอจะทำอะไรอย่านะ”

หลิวไห่อยากตบปากตัวเองนักที่พูดออกไปแบบนั้น นี่มันบทของสาวน้อยอ่อนหวานที่กำลังโดนพระเอกกลั่นแกล้งไม่ใช่เหรอ

หลี่เจี่ยซินหัวเราะชั่วร้าย

“วางใจเถอะสาวน้อย ฉันจะทำให้เธอมีความสุข”

“หลี่เจี่ยซิน อย่า…..”

เสียงของหลิวไห่ถูกหลี่เจี่ยซินกลืนหายลงไปในลำคอ เธอจูบเขาเบา ๆ ที่ริมฝีปาก คิดแค่จะแกล้งเขาคืนรู้ทั้งรู้ว่าเขาไม่ชอบผู้หญิง คิดว่าเฉินเฟยอวี๋ต้องโวยวายแน่ ๆ นึกถึงท่าทางนั้นยิ่งรู้สึกสนุก

แต่แล้วเพียงริมฝีปากสัมผัสกัน หลี่เจี่ยซินกลับห้ามใจไม่ได้หญิงสาวอ้าปากแล้วแทรกปลายลิ้นเข้ามาในโพรงปากของเขา จูบหลิวไห่อย่างดูดดื่มโดยครั้งแรกเหมือนว่าเขาจะขัดขืนเล็กน้อย แต่แล้วกลับโอนอ่อนผ่อนตามอย่างว่าง่าย

หลิวไห่ตาค้างได้แต่คิดในใจว่า

หลี่เจี่ยซินเธอมันใจกล้าหน้าด้าน ทำไมใช้ลิ้นกับฉันแบบนี้ แล้วฉันจะทนได้ยังไงกัน

ในขณะที่หลิวไห่ไม่สามารถขัดขืนและยังเคลิบเคลิ้มไปกับรสจูบนั่น เสียงกระแอมของใครบางคนกลับดังขึ้น

ทั้งคู่ต่างผละออกจากกันอย่างรวดเร็ว และเสียงของผู้ที่ก้าวเข้ามาใหม่ก็ตำหนิพวกเขาทันใด

“พี่บ้าไปแล้วเหรอคะ ที่นี่มันออฟฟิศนะคะ”

วันต่อมา

หลี่เจี่ยซินบิดตัวอย่างขี้เกียจ ยังหาวส่งเสียงลากยาวตอนนี้เธอกำลังนอนอยู่บนอกแข็ง ๆ ของใครบางคน ยังมีมือของคนคนนั้นที่กกกอดเธออยู่ หลี่เจี่ยซินสะดุ้งสุดตัวหญิงสาวลุกขึ้นพบว่าตอนนี้ตัวเองกำลังตกอยู่ในอ้อมกอดของเฉินเฟยอวี๋จึงรู้สึกผ่อนคลาย

นี่เป็นครั้งแรกที่เธอตื่นขึ้นมาในอ้อมกอดของเขา คิดไปคิดว่าว่าเฉินเฟยอวี๋คงกำลังมีความรักและอาจจะใช้ตัวเธอแทนแฟนหนุ่มของเขา หลี่เจี่ยซินคิดจะช่วยเพื่อนสาวจึงซบตัวลงบนอกของเขาอีกครั้ง

ชายหนุ่มยังหลับสนิท ลมหายใจของเขาสม่ำเสมอ หลี่เจี่ยซินมองนาฬิกาตั้งโต๊ะ ตอนนี้เป็นเวลาหกโมงแล้วเธอควรปลุกเขาดีหรือเปล่า

หญิงสาวแอบยิ้ม เอาล่ะวันนี้เธอจะช่วยเขาสักเล็กน้อยในเรื่องนั้น หลี่เจี่ยซินล้วงมือเข้าไปในกางเกงของเขาลูบคลำงูที่กำลังนอนหลับคอพับคออ่อนเบา ๆ

เอ๋ มันดูเหมือนกำลังผงาดในอุ้งมือของเธอ

หลี่เจี่ยซินยิ้มเล็กน้อย เธอเร่งจังหวะความเร็วขึ้นพลางจ้องนาฬิกาคิดว่ากี่นาทีกันนะที่มันจะพ่นพิษออกมา

เธอหัวเราะให้กับความลามกของตัวเอง เหมือนว่าหลี่เจี่ยซินกำลังเป็นโรคจิตแล้วในสิ่งที่เธอกำลังทำอยู่ เธอกำลังติดใจงูของเขาที่เห็นมันอ่อนแล้วผงกหัวขึ้นมาต่อสู้

เธอกุมงูยักษ์ตัวนี้เอาไว้โดยไม่กระดากใจ และชอบที่มันมีอยู่ในมือ

หลิวไห่เองคิดว่าตัวเองกำลังฝันหวาน โดยมีหลี่เจี่ยซินช่วยเหลือเขาอยู่

เขาครางแผ่วออกมา

กระทั่งได้ยินเสียงกระซิบที่ใบหู

“เสียวหรือเปล่า ปลดปล่อยออกมาเลยนะฉันช่วยเธอเอง”

เสียงหวานใสนี้เหมือนว่ามีอยู่จริง และยังลมหายใจร้อน ๆ นั่นอีก

หลิวไห่ตะบบมือเข้าที่งูของตัวเอง พบนิ้วเรียวของใครบางคนกำลังช่วยเหลือเขาอยู่ หลิวไห่สะดุ้งสุดตัวเด้งออกจากเตียงทันใด

หลี่เจี่ยซินนั่งอยู่บนเตียงของเขา ใบหน้าของเธอดูผิดหวังมาก

“ที่รักทำไมล่ะฉันกำลังช่วยเธอนะ เธอรังเกียจฉันเหรอ”

หลิวไห่หายใจแรง จู่ ๆ เขาเกิดหวาดกลัวหลี่เจี่ยซิน สองมือของเขากุมเป้าเอาไว้พูดด้วยเสียงสั่นเครือ

“ที่รักเธอออกไปก่อนจะได้หรือเปล่า ฉันไม่อยากเป็นแบบนี้อีกแล้ว”

ยิ่งเห็นใบหน้าของชายหนุ่มที่กำลังตกใจเหมือนลูกแกะตัวหนึ่งหลี่เจี่ยซินก็รู้สึกว่าเขาน่ารักเป็นบ้า

“ทำไมล่ะไม่ให้ช่วยแล้วเหรอ”

หลิวไห่ส่ายหน้า

“ไม่ต้องแล้ว ขอร้องล่ะเธอออกไปเถอะนะ”

หลี่เจี่ยซินยังทำหน้าหื่นใส่เขา ไม่เข้าใจเฉินเฟยอวี๋สักนิดทำไมต้องทำท่าหวาดกลัวขนาดนั้น

“ให้ออกไปจริง ๆ เหรอ”

“ขอร้องล่ะ”

หลิวไห่แทบจะร้องไห้ออกมาแล้ว หลี่เจี่ยซินคิดว่าเขากลายเป็นกระต่ายตื่นตูมเพราะเธอเป็นผู้หญิงเฉินเฟยอวี๋จึงหวาดกลัวแบบนี้

“ก็ได้ ฉันออกไปก่อนแต่ถ้าเธอต้องการให้เรียกฉันนะยังไงเราก็เป็นผู้หญิงด้วยกัน”

หลิวไห่คิดในใจ

ไม่ต้องแล้วถ้าขืนหลี่เจี่ยซินเข้ามาเขากลัวว่าจะทนระงับอารมณ์ตัวเองไม่ไหวและคิดล่วงเกินเธอ ในตอนนั้นคงได้ถูกหลี่เจี่ยซินจับทุ่มกระดูกหักแน่ ๆ เขาขอใช้แม่นางทั้งห้านิ้วช่วยตัวเขาเองดีกว่าต้องอาศัยเธอ

“ขอบใจนะ แต่ฉันว่าเธอรีบไปอาบน้ำแต่งตัวเถอะ วันนี้ฉันจะเข้าบริษัท”

หลิวไห่เอาเรื่องงานมาอ้างหลี่เจี่ยซินจึงยินยอมออกไปแต่โดยดี

หลิวไห่รีบวิ่งไปปิดประตูห้องแล้วล็อกอย่างแน่นหนาป้องกันหลี่เจี่ยซินเข้ามา

ในห้องน้ำหลิวไห่ช่วยตัวเองอย่างอดสู เขาอยากเปิดเผยตัวเองกับเธอเหลือเกินไม่อยากจะทนกล้ำกลืนแบบนี้อีกแล้ว

สองชั่วโมงต่อมา

หลี่เจี่ยซินพาหลิวไห่มาที่บริษัทหลังจากเขาหายหน้าไปเป็นสัปดาห์ หลิวไห่รับรู้โดยทันทีว่าตอนนี้ฐานะของเฉินเฟยอวี๋ในใจของทุกคนเป็นยังไง ทั้งสายตาดูถูกเหยียดหยาม ยังมีสายตาล้อเลียนที่แสดงออกอย่างเปิดเผย

หลิวไห่คิดว่าคนที่บริษัทคงจะพอเดาได้ว่าเฉินเฟยอวี๋ไม่ใช่ผู้ชายแท้ และที่หมั้นกับหลี่เจี่ยซินก็แค่ต้องการสร้างภาพเท่านั้นเอง

เอาล่ะเขาต้องเริ่มจัดการทุกอย่างให้เข้าที่เข้าทางแล้ว

หลิวไห่และหลี่เจี่ยซินที่อยู่ในชุดสูทสุดหรูเดินเข้าไปในห้องทำงาน เขามองรอบ ๆ ห้องพร้อมกับเดินไปที่โต๊ะประจำตำแหน่ง

เขาสำรวจห้องจนทั่ว เห็นได้ชัดว่าที่นี่ไม่มีใครต้องการเฉินเฟยอวี๋อย่างแท้จริง กระทั่งเก้าอี้ของเขายังเป็นเก้าอี้ที่มีร่องรอยการใช้งานหลายปี

เฉินเฟยอวี๋ดูท่าว่าอยู่ที่นี่คงถูกรังแกจากคนพวกนี้ และยังมีน้องสาวของเขาเฉินอิ่งที่เป็นรองประธานบริษัทแต่กลับมีอำนาจมากกว่าเฉินเฟยอวี๋หลายเท่า อีกทั้งเธอยังเป็นตัวตั้งตัวตีให้สกุลกู้เข้ามาเทคโอเวอร์บริษัทและยังจะยกตำแหน่งประธานให้เฉินอิ่งน้องสาวในนามของเฉินเฟยอวี๋อีกด้วย

หลิวไห่ไม่ยอมนั่งเก้าอี้ตัวนั้น เขารู้สึกว่ามันช่างสกปรกเหลือเกินกระทั่งโต๊ะประธานก็ยังดูน่ารังเกียจ กระทั่งคอมพิวเตอร์ยังเป็นรุ่นเก่าเก็บทุกสิ่งบนโต๊ะไม่มีอะไรบ่งบอกถึงตำแหน่งสูงส่งของเฉินเฟยอวี๋เลยสักนิด

ในฐานะเลขาของเขาหลี่เจี่ยซินยังคอยอยู่ข้าง ๆ งานเรื่องอื่นเธอไม่ถนัดนอกจากเรื่องรังแกคนอื่น

หลิวไห่บอกให้เธอไปตามผู้จัดการฝ่ายอาคารมาพบเขา

หลี่เจี่ยซินให้คนไปตามผู้จัดการคนนั้นมา สุดท้ายพนักงานเข้ามารายงานว่าผู้จัดการคนนั้นไม่สามารถมาได้

“พนักงานที่ไปตามเขาบอกว่า เขาติดธุระสำคัญของรองประธานเฉินอิ่งค่ะ”

หลิวไห่หัวเราะ คนพวกนี้ดูจะเป็นคนของเฉินอิ่งน้องสาวที่พ่อแม่บุญธรรมของเฉินเฟยอวี๋เก็บมาเลี้ยงอีกคนไปแล้ว

“อืม น่าสนใจแค่ผู้จัดการฝ่ายอาคารกระจอก ๆ คนหนึ่งยังกล้าปฏิเสธคำสั่งของประธานบริหาร นายนี่มันไม่ได้เรื่องจริง ๆ เฉินเฟยอวี๋”

หลี่เจี่ยซินจึงพูดขึ้น

“เอายังไงดี ให้ไปลากคอมาเลยมั๊ย”

หลิวไห่รู้สึกเห็นด้วย แต่ไม่อยากให้พวกกระจอกนั่นต้องเปื้อนมือหลี่เจี่ยซิน เขาจึงสั่งให้คนของเขาหาคนมาให้สักสองสามคน

รออยู่ไม่นานคนที่เขาต้องการก็มาถึง พวกเขาล้วนเป็นบอดี้การ์ดรับจ้างมือดี ท่าทางและหน่วยก้านดีเป็นอย่างยิ่ง

คำสั่งแรกของหลิวไห่ก็คือ

“ไปลากคอผู้จัดการฝ่ายอาคารมา งานของพวกนายก็คือจัดการคนที่ฉันต้องการให้มันนอบน้อม”

“ครับนาย”

หลีเจี่ยซินเห็นความเปลี่ยนแปลงของเฉินเฟยอวี๋ถึงกับพูดไม่ออก จู่ ๆ เขาก็มีเงินมาจ้างบอดี้การ์ดและดูเหมือนจะดีกว่าชุดแรกอีกต่างหาก

ท่าทางว่าคนที่หนุนหลังเขาอยู่จะร่ำรวยมหาศาล เธออยากเห็นหน้าแฟนหนุ่มคนใหม่ของเฉินเฟยอวี๋จริง ๆ

ไม่นานผู้จัดการอาคารคนนั้นก็ถูกลากเข้ามาในห้องพร้อมกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยเลือด เขาคุกเข่าลงตรงหน้าหลิวไห่ยังอ้อนวอนขอชีวิต

“ท่านประธานครับ ผมยอมแล้วครับ ท่านประธานครับผมขอโทษครับ”

หลิวไห่ถีบคอมพิวเตอร์ตัวเก่าที่อยู่บนโต๊ะทำงานลงกับพื้นเสียงดังโครม กระทั่งผู้จัดการฝ่ายวัสดุและอาคารสะดุ้งโหยง จู่ ๆ เฉินเฟยอวี๋คนขี้ขลาดคนนั้นก็กลายเป็นแบบนี้ไปได้ยังไง เขาจึงรู้สึกหวาดกลัวจนตัวสั่น

หลิวไห่พูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ

“อ้อ สุดท้ายก็รู้แล้วเหรอว่าใครกันแน่ที่เป็นประธานบริษัท”

“ฉันถามเธอจริง ๆ นะที่รัก เธอเอาเงินจากไหนมาจ่ายค่าแหวนพวกนี้”

หลี่เจี่ยซินมองแหวนในมือพร้อมกับคิดว่าตัวเองกำลังฝันไป

“ไม่ต้องสงสัยหรอก เอาเป็นว่าฉันไม่ได้ถังแตกอย่างที่เธอเข้าใจ”

หลิวไห่ตอบเสียงราบเรียบ

หลี่เจี่ยซินตีเข้าที่แขนของเขาต่อว่าด้วยน้ำเสียงน้อยใจ

“เธอกำลังมีความลับกับฉันเหรอ ตอบฉันมาตามตรงเถอะฉันเข้าใจ เธอนอกใจฉันอีกแล้วใช่หรือเปล่า”

หลิวไห่กำลังขับรถเขามองเธอแล้วถามว่า

“หมายความว่ายังไง”

หลี่เจี่ยซินยิ้มทำเสียงเล็กเสียงน้อย

“เธอไปฮ่องกงคราวนี้คงไปหาหนุ่มสักคนที่รวยมาก ๆ และกำลังเลี้ยงดูเธออยู่ใช่หรือเปล่า”

หลิวไห่สำลัก ผู้หญิงคนนี้คิดบ้าอะไรของเธออยู่

หลี่เจี่ยซินยังพูดด้วยความห่วงใย

“ฉันว่าที่งูของเธอผงกหัวคงเป็นเพราะผู้ชายคนใหม่แล้วล่ะ คงไม่ใช่เพราะฉันแล้ว ฉันน่ะเสียใจจริง ๆ นะทั้ง ๆ ที่คิดว่าเป็นเพราะฉันแท้ ๆ แต่ความจริงกลับไปไม่ใช่ แต่ถ้าเธอกินยามากมันก็ไม่ดีนะมันส่งผลเสียต่อสุขภาพของเธอโดยตรง”

หลิวไห่ส่ายหน้าพลางคิดว่า

เอาล่ะเขารู้จักหลี่เจี่ยซินเพิ่มขึ้นมาอีกนิดแล้ว ผู้หญิงคนนี้เป็นผู้หญิงสายมโนของแท้เลยล่ะ

“เธออย่าเดามั่วได้หรือเปล่า”

“ไม่ต้องอายหรอกเราสองคนแทบจะกลายเป็นแฝดกันอยู่แล้ว จะปิดบังฉันทำไมมีอะไรก็พูดมาตรง ๆ เถอะ”

หลิวไห่เคาะศีรษะหลี่เจี่ยซินเบา ๆ

“ฉันไม่อยากเป็นแฝดกับเธอแล้วล่ะ อย่าพูดมากอีก”

หลี่เจี่ยซินดวงตาเป็นประกายเหมือนลูกสุนัขถูกทิ้งตัวหนึ่ง

“ใจร้าย”

หลิวไห่ไม่มองเธอแล้ว เขาตั้งอกตั้งใจขับรถ

“อย่าคิดอะไรเหลวไหลอีก”

“จะไม่ให้คิดได้ยังไงเธอไปเอาเงินมาจากไหนเยอะแยะ ทั้ง ๆ ที่บริษัทกำลังย่ำแย่แล้วยังจะถูกถีบออกจากตำแหน่งอีก”

“ฉันก็มีเส้นสายอยู่บ้าง ถ้าไม่ต้องห่วงหรอก”

หลี่เจี่ยซินเห็นว่าเขาเริ่มมีความลับของเขาแล้ว เธอจึงไม่เซ้าซี้อีก ยังไงเฉินเฟยอวี๋ก็เป็นเจ้านายของเธอ เธอสามารถรู้เท่าที่เขาต้องการให้รู้เท่านั้น

หลี่เจี่ยซินคิดว่าตัวเองมีความเป็นมืออาชีพพอจึงพยักหน้าเข้าใจ

“ค่ะเจ้านาย”

หลิวไห่มองเธอรู้สึกพอใจที่หลี่เจี่ยซินเป็นผู้หญิงที่เข้าใจอะไรง่าย ๆ ก็รู้สึกโล่งใจ เธอคนนี้ไม่ทำให้เขารำคาญแม้แต่น้อย

แต่เรื่องที่เขาต้องกำชับก็ต้องกำชับเธออยู่ดี

“แหวนน่ะ เธอห้ามถอดนะ”

หลี่เจี่ยซินไม่ได้คิดสงสัยอะไรจึงพยักหน้ารับคำ

“อืม”

“ยิ่งอยู่ต่อหน้าคนอื่นยิ่งต้องห้ามถอด แสดงตัวให้ดีว่าตัวเองมีคู่หมั้นแล้วอย่าทำให้ฉันขายหน้าและอย่าให้ใครนินทาได้”

“เข้าใจแล้วน่าไม่ต้องห่วง”

“ต่อหน้าหูเสี่ยวเทียนเพื่อนคนนั้นด้วย”

หลี่เจี่ยซินขมวดคิ้ว

“เข้าใจแล้ว ฉันก็ไม่คิดจะทำให้เธอขายหน้าหรอกน่า”

หลิวไห่ยิ้มอย่างพอใจแต่ต้องหุบยิ้มทันทีที่หลี่เจี่ยซินพูดคำต่อมา

“เอาไว้ฉันค่อยหาโอกาสอธิบายให้เขาเข้าใจทีหลัง”

“ไม่ได้จนกว่าฉันจะอนุญาตถ้าฉันไม่อนุญาตเธอก็ไม่มีสิทธิ์บอกใครเรื่องนี้โดยพลการ”

หลี่เจี่ยซินไม่พอใจที่ตัวเองโดนกันซีนขนาดนี้ แต่ในเมื่อเขาเป็นเจ้านายเธอจะพูดอะไรได้ เขามีบุญคุณกับเธอขนาดนี้จึงได้แต่หุบปาก

“เข้าใจแล้วน่า แต่เธอน่าจะใจกว้างกว่านี้”

หลิวไห่ยกมุมปาก

“ฉันน่ะเป็นคนใจแคบมาก ๆ เข้าใจนะ”

เขาทำเสียงสูงหลี่เจี่ยซินเห็นว่าเขาเริ่มอารมณ์ไม่ดีจึงไม่ต่อปากต่อคำอีก

“ค่ะ เจ้านาย รับทราบ”

“ดีมาก ต่อไปให้เชื่อฟังคำสั่งให้ดีและอย่าคิดอะไรเลอะเทอะอีก”

หลี่เจี่ยซินไม่เข้าใจว่าตัวเธอไปคิดอะไรเลอะเทอะตอนไหน เธอจึงไม่ตอบเขาดวงตาจับจ้องอยู่ที่แหวนบนนิ้วมือ

การใส่แหวนหมั้นของเขาและเขายังมีสัญลักษณ์เดียวกันบนนิ้วมือนั้นทำให้เธอรู้สึกแปลก ๆ และบางครั้งยังพาลให้ใจเต้นระทึก

กระทั่งกลับมาถึงบ้านเขาหลิวไห่รีบตรงเข้าไปที่ห้องทำงาน ท่าทางเร่งรีบยังบอกหลี่เจี่ยซินว่าห้ามรบกวน

หญิงสาวสงสัยเป็นอย่างยิ่ง ปกติเฉินเฟยอวี๋ไม่เคยใช้ห้องทำงานเลยแม้แต่ครั้งเดียว คราวนี้ถึงกับเปิดห้องนั้นสงสัยว่าเขาคงตั้งใจจริงที่จะเอาบริษัทคืนเป็นแน่

ท่าทางจริงจังและมาดแมนของเขาแบบนี้จู่ ๆ ก็ทำให้หลี่เจี่ยซินใจเต้นระรัว เธอบอกเขาเสียงเบา

“ก็ได้ อยากได้อะไรก็บอกนะฉันจะเตรียมให้”

“ไม่เป็นไร ถ้าดึกมากฉันยังไม่ออกมาเธอก็นอนก่อนนะ”

“อื้ม”

หลิวไห่หายเข้าไปในห้องทำงานหลายชั่วโมงจนกระทั่งดึกดื่นก็ยังไม่ออกมา หลี่เจี่ยซินทำได้แค่นอนรอเขาในห้องกระทั่งหลับไป

ด้านหลิวไห่ ตอนนี้เขาพยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะหารหัสผ่านเพื่อที่จะเข้าไปดูข้อมูลในแฟรชไดร์ฟที่เขาได้มา

ปลายสายโทรศัพท์ของเขาอยู่ที่ฮ่องกง พวกเขาพยายามกันอย่างมากก็ไม่สามารถเปิดดูข้อมูลได้

“ถ้างั้นนายต้องมาหาฉันที่นี่แล้วล่ะ ฉันคิดว่าเราต้องรอบคอบกว่านี้”

หลิวไห่พูดขึ้น

ปลายสายของเขาคือลูกน้องคนสนิทชื่อ อาไฉ่ ซึ่งเป็นอีกคนที่ติดตามเขาตั้งแต่ออกจากคุกเช่นกัน

“ได้ครับนาย พรุ่งนี้ผมจะจองตั๋วเครื่องบินไฟลท์แรกเลยครับ”

หลิวไห่วางสายไปแล้ว เขาดึงแฟรชไดร์ฟออกจากคอมพิจารณาอยู่นาน

“พ่อครับพ่อใช้รหัสอะไรกันแน่ครับ มันคงสำคัญมากจนทำให้พ่อต้องใช้ชีวิตของพ่อแลกกับมัน”

หลิวไห่กลับไปที่ห้องนอนเขามองดูนาฬิกาตอนนี้เป็นเวลาตีสองกว่าแล้ว และหลี่เจี่ยซินก็กำลังนอนอย่างไม่เกรงใจเขาสักนิดจนเต็มเตียง

หลิวไห่ขยับขาของหลี่เจี่ยซินที่นอนพาดมายังฝั่งเขาพร้อมกับบ่นเบา ๆ

“ผู้หญิงที่ไหนเขานอนเหมือนเธอกันบ้าง”

หลิวไห่ถอนหายใจ มองผู้หญิงร่างเล็กที่นอนหลับอย่างสบายใจตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า

“ฉันชอบอะไรในตัวเธอกันนะ”

หลี่เจี่ยซินหันหันหน้ามาฝั่งเขา หลิวไห่จึงเอนตัวลงนอนตะแคงมองหน้าหลี่เจี่ยซินเนิ่นนาน เขาใช้นิ้วเขี่ยขนตายาวงอนของเธอ หญิงสาวพลิกตัวหลิวไห่สะดุ้งสุดตัวเมื่อโดนขาหนัก ๆ ของเธอพาดเข้าที่ท้อง

ท่าทางว่าคืนนี้เขาคงนอนไม่หลับอีกเป็นแน่

“ถ้าเธอไม่เลือกสักทีก็เอาวงนี้แหละ ก็ดูดีนะ”

หลี่เจี่ยซินรับแหวนราวกับรับลูกบอลที่ไร้ค่าลูกหนึ่ง เธอเห็นแล้วแย้งขึ้นมาทันที

“มันเม็ดโตเกินไปใครเขาจะใส่ติดมือได้ล่ะ”

หลิวไห่กวาดตามองอีกครั้ง สะดุดตาเข้ากับแหวนเม็ดโตอีกวง เขาจึงหยิบขึ้นมาแล้วโยนให้เธอ หลี่เจี่ยซินรับราวกับมันเป็นลูกบอลลูกที่สอง เมื่อพิจารณาอยู่ชั่วครู่หลี่เจี่ยซินจึงส่ายหน้า

“วงนี้ก็ใหญ่เกินไป เธอหาวงเล็ก ๆ หน่อยสิ”

หลิวไห่เริ่มหงุดหงิดแล้ว

“ทำไมเรื่องมากแบบนี้นะ นั่นก็ไม่เอานี่ก็ไม่เอา”

เขาบ่นเบา ๆ ให้เธอได้ยินเพียงคนเดียว หลี่เจี่ยซินหน้ามุ่ยคิดในใจว่า

ฉันไม่ได้คิดจะมาสักหน่อย เป็นเธอนั่นแหละที่ลากฉันมา ในใจก็อยากจะถามเขาว่า ช่วงนี้ถังแตกไม่ใช่เหรอทำไมถึงมาร้านหรูขนาดนี้ล่ะ หรือกลัวจะเสียหน้ากันแน่

สองคนเลือกเพชรอยู่นานก็ไม่ได้อย่างที่ต้องการสักที ต่างโยนกันไปโยนกันมาอย่างสนุกสนาน

พนักงานที่คอยดูแลสองคนต่างมองหน้ากันด้วยความหวาดเสียวกลัวว่าแหวนจะร่วงลงพื้น ตั้งแต่ทำงานมาพวกเธอไม่เคยเห็นใครเลือกแหวนหมั้นราคาสูงลิบลิ่วแล้วโยนให้กันราวกับว่ามันเป็นของปลอมราคาต่ำแบบนี้

แหวนสองวงนี้มีราคาพอกับคฤหาสน์สุดหรูเลยนะ

เมื่อหลี่เจี่ยซินยืนกรานอยากได้แหวนที่เล็กลงกว่านี้หลิวไห่ก็ขี้เกียจทะเลาะกับเธอแล้ว เขาจึงหันไปบอกพนักงาน

“คู่หมั้นผมอยากได้วงเล็กกว่านี้มีหรือเปล่าครับ”

พนักงานยิ้ม ดูท่าทางแล้วสองคนนี้ทั้งหน้าตาดี แต่ดูแล้วการแต่งตัวก็ไม่เท่าไหร่ ถึงชุดสูทผู้ชายจะดูราคาแพงแต่ผู้หญิงกลับแต่งตัวเหมือนบอดี้การ์ด ไม่เหมือนคุณผู้หญิงที่กำลังจะแต่งงานแม้แต่น้อย หากไม่หน้าตาสวยล่ะก็คงยากที่จะต้อนรับด้วยใจจริง

พนักงานคนนั้นจึงปรามาสคนทั้งสองในใจ

คงเป็นพวกอวดรวย เสียแต่ว่าหน้าตาดี ไม่รู้ว่าจะเอื้อมถึงแหวนในร้านนี้สักวงหรือเปล่า

พนักงานคนนั้นทำท่าลังเลแล้วพูดด้วยเสียงราบเรียบว่า

“วงเล็กกว่านี้ทางเรามีค่ะ แต่ราคาก็ค่อนข้างสูงนะคะเนื่องจากเป็นเพชรน้ำงามที่ได้รับการการันตีจากสมาคมค้าเพชรค่ะ หากจะมองหาราคาที่ต่ำคิดว่าต้องเชิญร้านถัดไปแลวค่ะ”

คำพูดนี้ใครฟังก็ดูรู้ว่ากำลังได้รับการดูถูก หลี่เจี่ยซินไม่ใช่คนโง่เธอถึงกับหน้าร้อนผ่าว ในขณะที่หลิวไห่เองเขาไม่ได้ยินคำพูดประเภทนี้มาเนิ่นนานจนลืมไปแล้ว

นั่นทำให้เขาคิดถึงวันแรกที่ออกจากคุกมา และได้รับสายตาสมเพชที่มองมาที่เขาแบบนี้

หลิวไห่ยกยิ้มแล้วพูดว่า

“ไม่ทราบว่า ใครถามราคาครับ ผมและคู่หมั้นได้ถามราคาไปหรือยังครับถึงได้ตอบผมแบบนี้ เงินแค่นี้เล็กน้อยมากครับสำหรับผม”

หลิวไห่เองไม่ชอบให้ใครตอบไม่ตรงคำถาม

พนักงานคนนั้นอึกอัก แล้วตอบว่า

“เอ้อ ก็เห็นคุณผู้หญิงต้องการเม็ดเล็กกว่านี้เราถึงต้องแจ้งราคาไปด้วยค่ะ”

พนักงานคนนั้นพยายามแก้ตัว คงเป็นเพราะพวกเขาดูไร้รสนิยมในการเลือกของจึงดูเหมือนไม่มีเงินในสายตาเธอ ทำให้เธอพูดแบบนั้นออกไป

หลิวไห่หัวเราะหยัน เขาไม่ชอบคนดูถูกคนที่สุด

“ผมถามแค่ว่ามีเล็กกว่านี้หรือเปล่า ไม่ได้ถามว่าราคาเท่าไหร่คุณคนนี้คงจะไม่เข้าใจ ถ้าเช่นนั้นผมขอเปลี่ยนพนักงานดูแลนะครับ ถ้าไม่เปลี่ยนวันนี้ผมคงได้ออกจากร้านตัวเปล่าแล้ว”

พนักงานคนนั้นหน้าเสียทันที ในขณะที่พนักงานอีกคนพูดขึ้น

“ต้องขอประทานโทษคุณผู้ชายนะคะที่อาจจะเข้าใจผิด เดี๋ยวยังไงทางเรานำแหวนมาให้ดูนะคะ และจะมีพนักงานคนใหม่มาให้บริการคุณผู้ชายค่ะ”

หลิวไห่พยักหน้าแล้วพูดว่า

“ดีครับผมรู้สึกว่าพนักงานท่านนี้ทำเกินหน้าที่ไปสักหน่อย อ้อ แหวนสองวงเมื่อสักครู่ที่ผมโยนเล่น ผมขอซื้อทั้งสองวงเลยครับแม้ว่ามันจะไม่ถูกใจคู่หมั้นเท่าไหร่เพราะคู่หมั้นอยากได้วงเล็กหน่อยเขาจะได้ใส่สบายใจคุณช่วยเลือกที่ดีที่สุดให้คู่หมั้นของผมด้วยนะครับ”

“ค่ะ ได้ค่ะรอสักครู่นะคะ ขอบคุณมากค่ะ ดิฉันจะเตรียมออกใบรับประกันให้ด้วยเลยนะคะ เมื่อสักครู่ต้องขออภัยด้วยจริง ๆ ค่ะ”

“ไม่มีค่าให้พูดถึงครับ”

หลิวไห่โบกมือ หลี่เจี่ยซินมองเขาอย่างทึ่ง ๆ ท่าทางของเขาในตอนนี้ดูเท่ห์จริง ๆ

พนักงานทั้งสองคนนั้นเก็บแหวนทั้งหมดออกไปแล้ว หลี่เจี่ยซินรู้สึกอัดอั้นคันปากยิก ๆ อยากจะถามเขาเหลือเกินว่าทำไมเขาถึงได้เวอร์ขนาดนี้ แต่พนักงานคนใหม่เข้ามาพร้อมกับแหวนสองวงที่หลิวไห่เลือกแบบโยน ๆ เมื่อสักครู่ ยังมีแหวนวงเล็กกว่าอีกหลายวงมาให้หลี่เจี่ยซินเลือก

หลี่เจี่ยซินจึงเลือกวงเล็กไปส่ง ๆ ในใจอยากจะคุยกับเขาสองต่อสองนัก

หลิวไห่ถามย้ำ เมื่อเห็นว่าหลี่เจี่ยซินดูเหม่อลอย

“ตกลงชอบวงนี้นะ”

หลี่เจี่ยซินพยักหน้า

“ค่ะ”

หลิวไห่ค่อย ๆ สวมแหวนเข้าที่นิ้วนางข้างซ้ายของเธอ เพชรเม็ดเล็กแต่น้ำงามมากฝังอยู่ในตัวเรือนเปล่งประกายงดงามเข้ากับหลี่เจี่ยซินเป็นอย่างยิ่ง มันสวยและพอดีกับนิ้วของหลี่เจี่ยซินพอดีเป๊ะ

หลิวไห่พอใจมาก

หลี่เจี่ยซินก้มลงมองนิ้วของตัวเอง จู่ ๆ ก็ใจเต้นแรงกระหน่ำ ใบหน้าของหลี่เจี่ยซินแดงซ่าน

หลิวไห่คิดว่าหญิงสาวคงรู้สึกประทับใจมาก เขาจึงยิ้มออกมา ในที่สุดเขาก็ทำให้ผู้หญิงคนนี้เขินอายได้แล้ว ช่างน่าภูมิใจจริง ๆ

หลิวไห่ตอบตกลงกับพนักงาน

“ผมอยากได้อีกวงครับ เอาแบบนี้คล้ายกัน ขอเป็นของผู้ชายนะครับ”

“ได้ค่ะ คุณผู้ชายรอสักครู่นะคะ เรามีของผู้ชายที่คล้ายกันพอดีเลยค่ะ”

พนักงานนำแหวนคู่มาให้เขาอีกวง หลิวไห่เคาะหน้าผากของหลี่เจี่ยซิน ดูเหมือนว่าเธอกำลังตกอยู่ในภวังค์คิดว่าหลี่เจี่ยซินคงกำลังปลื้มใจจนน้ำตาไหลเป็นแน่

“ที่รักใส่ให้ผมหน่อยสิ”

หลี่เจี่ยซินชี้ที่ตัวเอง หลิวไห่พยักหน้าแม้จะไม่ได้พูดเธอก็อ่านใจเขาออก

เธอน่ะแหละยัยตัวดี แสดงละครดี ๆ ล่ะอย่าให้ขายหน้า

นั่นทำให้เธอรีบสวมแหวนให้เขา หลิวไห่มองแหวนที่หลี่เจี่ยซินสวมให้แล้วยิ้มไม่หยุด

หลี่เจี่ยซินตั้งสติได้แล้วจึงถามเขาทันใด

“ที่รักคะ แหวนทั้งหมดนี่ราคาเท่าไหร่กันคะ”

หลิวไห่เลิกคิ้วพร้อมส่ายหน้า

“ไม่รู้สิ เท่าไหร่ก็เท่านั้นแหละ จะถามทำไม”

“ก็บอกหน่อยนะคะฉันอยากรู้นี่คะ”

หลี่เจี่ยซินทำท่าอ้อน หลิวไห่ใจอ่อนยวบเมื่อเห็นตาปริบ ๆ ของเธอ เขาจึงหันไปถามพนักงาน

“คุณตอบคู่หมั้นผมหน่อยว่าราคารวมกันแล้วเท่าไหร่”

พนักงานจึงตอบพร้อมรอยยิ้มบาดใจ

“แหวนหมั้นสองวงนี้เป็นเพชรน้ำงามเลยนะคะราวร้อยล้านหยวนค่ะ ถ้ารวมทั้งหมดที่คุณผู้ชายสั่งก็ราวหนึ่งร้อยห้าสิบล้านหยวนค่ะ”

หลี่เจี่ยซินตาโต น้ำตาของเธอเหมือนจะไหลพรากออกมา จู่ ๆ เธอก็ดึงหลิวไห่เข้ามากอดแนบแน่น

หลิวไห่ปลื้มใจมากคิดไม่ถึงว่าหลี่เจี่ยซินจะอ่อนไหวเหมือนผู้หญิงคนอื่น ๆ เมื่อได้แหวนเพชรที่มีราคาสูงลิ่วแบบนี้ ยิ่งเห็นเธอหลั่งน้ำตาด้วยความดีใจเขาก็รู้สึกเหมือนเป็นผู้ชนะ

กระทั่งหลี่เจี่ยซินกระซิบที่ข้างหูของเขาน้ำเสียงสั่นเครือ

“เธอจะเอาเงินไหนมาจ่ายเขา เราจะชิ่งหนีออกไปยังไงดีโดยไม่ขายหน้า ฉันใจเต้นแรงไปหมดแล้วกลัวว่าเขาจะจับได้ว่าเราไม่มีเงิน”

หลิวไห่ถึงกับตกใจในความคิดของเธอ

อย่าบอกนะว่าที่เธอร้องไห้หน้าแดงนี่ เพราะคิดว่าเขาไม่มีเงินจ่ายและกำลังจะหาทางชิ่งหนีเพราะกลัวจะถูกจับได้

หลี่เจี่ยซินเธอนี่มัน….เฮ้ย

หลิวไห่ไม่ได้สนใจคำคัดค้านของเธอ เขาขับรถมุ่งตรงไปที่ร้านเพชรหรูแห่งหนึ่ง ทั้งสองคนได้รับการต้อนรับอย่างดีจากพนักงาน

พวกเขาพาหลิวไห่และหลี่เจี่ยซินที่เดินค้องแขนกันเข้ามาไปยังห้องพิเศษส่วนตัว

หลังจากทำการวัดนิ้วมือของหลี่เจี่ยซินแล้วก็สอบถามความต้องการของพวกเขาทันที

“เราอยากได้แหวนหมั้น เอาที่ดีที่สุดในร้านมาครับ”

หลิวไห่ตั้งใจว่าจะให้เป็นแหวนหมั้นที่ดีที่สุด เขาให้ลูกน้องเช็คแล้วว่าร้านนี้เป็นร้านเพชรอันดับหนึ่งในเมืองที่คนดังต่างเลือกใช้บริการจึงพาหลี่เจี่ยซินตรงมาที่นี่

พนักงานถามอย่างนอบน้อม

“ไม่ทราบว่าคุณผู้หญิงชอบแบบไหนคะ แบบเป็นตัวเพชรทั้งหมดหรือมีพวกทับทิมหรือไพลินเป็นส่วนประกอบด้วย”

เป็นครั้งแรกที่หลี่เจี่ยซินเข้ามาในร้านเพชรหรู อีกทั้งตัวเธอตลอดชีวิตก็ขลุกอยู่กับเรื่องต่อยตี จะให้มาเลือกแหวนหมั้นแบบนี้เธอรู้สึกรับไม่ไหว

“คือว่าเอาธรรมดาพอค่ะ ฉันปกติไม่ค่อยได้ใส่เครื่องประดับพวกคุณลองดูที่เหมาะสมมาก็แล้วกันค่ะ”

ดีที่เธอยังฉลาดตอบอยู่บ้างไม่ให้คู่หมั้นหนุ่มขายหน้าไปกว่านี้

หลิวไห่ยิ้มหล่อเหลา เขาโอบไหล่ของหลี่เจี่ยซินอย่างรักใคร่พร้อมกับพูดว่า

“ที่รักนี่ก็จริง ๆ เลยนะ ไม่เห็นแก่หน้าผมเลย พวกคุณไปเอาเพชรอย่างดีที่สุดมา ไม่ต้องประดับด้วยอะไรทั้งนั้นขอเป็นตัวเรือนเพชรอย่างเดียว”

พนักงานรับทราบก่อนออกไปนำแหวนมาให้พวกเขา

หลี่เจี่ยซินถึงกับอ้าปากค้าง ดวงตาของเธอแทบบอดด้วยแสงเปล่งประกายอันเจิดจ้าของอัญมณีล้ำค่า

“ที่รักชอบหรือเปล่าครับ”

หลิวไห่ลูบมือของหลี่เจี่ยซิน หลังมือของเธอนุ่มเนียนแต่ฝ่ามือของเธอด้านไปเล็กน้อย ผิดปกติวิสัยของผู้หญิงทั่วไปนั่นคงเป็นเพราะว่าหญิงสาวเคยชินกับการใช้กำลังซึ่งหลิวไห่เห็นแล้วว่าเธอทำได้ดี

ที่ผ่านมาผู้หญิงที่เข้ามาในชีวิตของหลิวไห่ล้วนอ่อนแอและบอบบาง ร่างกายนุ่มนิ่มเปราะบางจนบางครั้งเขาเกินรำคาญแต่หลี่เจี่ยซินคนนี้กลับให้ความรู้สึกที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง

เขาถามเธอย้ำเมื่อหลี่เจี่ยซินเอาแต่จ้องของพวกนั้นโดยไม่กะพริบตา

“ตกลงที่รักชอบหรือเปล่า”

ความกังวลแสดงออกอยู่เต็มใบหน้าของหลี่เจี่ยซิน เธอกระซิบถามคู่หมั้นหนุ่ม

“เธอแน่ใจนะว่าจ่ายไหว ดูแล้วราคาน่าจะแพงเอาการ”

หลิวไห่ยิ้ม ที่แท้ผู้หญิงประหลาดคนนี้ก็กังวลเรื่องราคาแทนเขานี่เอง เขาจึงกระซิบตอบ

“แน่ใจสิ”

จากนั้นเขาก็กระแอมออกมาบอกหลี่เจี่ยซินเสียงดัง

“เลือกสักวงสิ เอาที่เธอชอบ”

เขานั่งกอดอกมองเธอ หลี่เจี่ยซินจับวงนั้นแล้วดูวงนี้ เธอคิดว่ามันแต่ละวงมีเพชรประดับที่ใหญ่เกินไปล้วนเป็นเพชรน้ำงามราคาคงจะแพงลิบลิ่ว

ไม่ใช่ว่าสตรีร่างยักษ์ที่นั่งข้างเธอคิดจะเอาหน้าจนยอมทุ่มหมดตัวเพื่อซื้อแหวนให้เธอหรอกนะ

นี่ถ้าเฉินเฟยอวี๋เป็นผู้หญิงจริง ๆ หลี่เจี่ยซินคงคิดว่าเขากำลังมีประจำเดือนแน่ ๆ ถึงได้คิดอะไรแปลกประหลาดทั้งวันแบบนี้

หลิวไห่เห็นเธอไม่เลือกสักทีก็สะกิดเธออีกครั้ง

หลี่เจี่ยซินมองเขาแล้วถามเสียงเบาจนเกือบจะกลายเป็นเสียงกระซิบ

“ไม่เลือกไม่ได้เหรอ ฉันว่าสำหรับเรามันไม่จำเป็นเท่าไหร่หรอก”

“ทำไมคิดว่าไม่จำเป็นล่ะ เป็นคู่หมั้นกันทั้งทีฉันเฉินเฟยอวี๋ทำให้เธอขายหน้ามานานแล้ว คราวนี้คิดจะชดใช้”

หลี่เจี่ยซินก็เห็นด้วยกับเขาบางส่วน ในตอนแรกแค่คิดแสดงเป็นแฟนกันเรื่องอื่นต่างคนต่างไม่ใส่ใจ

แต่ตอนนี้เขากลับคิดรอบคอบเป็นอย่างยิ่ง เรื่องบางเรื่องมันก็ต้องทำจริง ๆ แหละ แต่ว่าแค่แหวนหมั้นปลอม ๆ เธอคิดว่าเป็นแหวนธรรมดาก็พอแล้ว

หลี่เจี่ยซินกวาดตามองแหวนจนครบทุกวง เธอเริ่มตาลายอีกครั้งยังจับมาลองอีกหลายวง เห็นเพชรเม็ดใหญ่ที่ประดับอยู่ที่นิ้วของเธอก็คิดว่าเทอะทะจังเลย

ตรงข้ามกับหลิวไห่ที่เขาคิดว่าแหวนพวกนี้ช่างเข้ากับนิ้วเรียวยาวของเธอได้เป็นอย่างดี

นิ้วนั้นที่สามารถหักคอคนให้หักได้ในพริบตาเดียว

หลิวไห่สลัดความคิดนี้ออกไป เมื่อตัวเองเริ่มรู้สึกขนลุกขึ้นมา

เขากวาดตามองจนทั่วแล้วโยนแหวนที่อยู่ด้านหน้าของเขาให้เธออย่างไม่ใส่ใจ ราวกับมันเป็นของที่ไม่สำคัญอะไร

หลี่เจี่ยซินมองเขา รู้สึกผิดปกติอยู่บ้าง

ปกติแล้วเฉินเฟยอวี๋ชอบเครื่องประดับพวกนี้มาก การแตะต้องของแต่ละชิ้นก็ทำราวกับลูกรักของเธอ

แต่วันนี้นอกจากจะดูไม่ค่อยสนใจแล้ว ยังทำท่าทางแปลกประหลาดกับของล้ำค่าพวกนี้ด้วย

หรือว่าเฉินเฟยอวี๋จะพยายามแสดงแบบผู้ชายแสดงกัน

หลังจากปล่อยคนไปแล้ว หลี่เจี่ยซินก็นำกระเป๋าสตางค์ใบนั้นให้คู่หมั้นดู ปกติเฉินเฟยอวี๋ไม่เคยสนใจเรื่องประเภทนี้มักจะยกให้หลี่เจี่ยซินจัดการทั้งหมด แต่คราวนี้เรื่องที่น่าอัศจรรย์ก็เกิดขึ้น เมื่อเฉินเฟยอวี๋บอกว่าจะสืบต่อเอง

“เธอไม่ต้องสืบต่อแล้ว ฉันจะให้คนของฉันสืบต่อเอง”

หลี่เจี่ยซินหรี่ตา เธอไม่ได้รู้สึกไม่พอใจเพราะลูกน้องของเธอก็ไม่ได้เก่งเรื่องเกี่ยวกับการสอบสวนเท่าไหร่ แต่สงสัยว่าเฉินเฟยอวี๋ไปมีคนตั้งแต่เมื่อไหร่

“ก็คนของเพื่อนเก่าที่เจอที่ฮ่องกงไงล่ะ ฉันบอกเธอแล้วนี่พวกเขาเก่งเรื่องนี้”

หลี่เจี่ยซินพยักหน้าเข้าใจ

“อ้อ จำได้แล้ว”

สองคนเดินออกจากโรงเรียน เด็ก ๆ ยังคงเรียนกันอย่างตั้งใจ หลี่เจี่ยซินอธบายให้เขาฟังด้วยความภูมิใจ

“ยังไงก็ต้องขอบคุณที่รักที่เข้ามาช่วยกู้สถาณการณ์ได้ทันเวลาพอดี ไม่งั้นแย่แน่เลย”

หลิวไห่รู้เรื่องนี้ดีเพราะน้องชายเล่าให้ฟังโดยละเอียด

“ถ้าวันนั้นไม่ได้ที่รักฉันอาจจะตายไปแล้วก็ได้ พยุงบริษัทและรอดมาได้จนถึงวันนี้ก็เพราะเธอนะ”

จู่ ๆ หลิวไห่ก็กอดเธอ หลี่เจี่ยซินยิ้มยอมให้เขากอด สองคนเดินไปด้วยกันจนกระทั่งมาถึงหน้าตึก กำลังจะขึ้นรถเสียงของผู้ชายคนหนึ่งก็ทักหลี่เจี่ยซิน

“เจี่ยซิน สวัสดี”

แค่เพียงหลี่เจี่ยซินเห็นไอ้หนุ่มหน้ามนตัวสูงคนนั้นก็รีบผลักหลิวไห่ออกทันที

แรงของหลี่เจี่ยซินมีไม่ใช่น้อยหลิวไห่เกือบเสียหลักล้มลงไม่เป็นท่า หลี่เจี่ยซินนึกขึ้นได้รีบคว้าแขนของหลิวไห่เอาไว้ได้ทันก่อนที่เขาจะหน้าคว่ำลงไปกองคลุกหิมะ

หลิวไห่โกรธจัดจนหน้าแดง หลี่เจี่ยซินรีบปัดมือปัดไม้ให้เขาแม้ว่าเขาจะยังไม่ล้มก็ตาม

“ที่รักฉันขอโทษนะ ฉันลืมตัว”

หลี่เจี่ยซินดูจะตื่นเต้นผิดปกติ หลิวไห่เองก็มึนงง จู่ ๆ ถูกผลักออกโดยไม่ทันตั้งตัว ทั้ง ๆ ที่เมื่อสักครู่กอดกันเดินออกจากตึกแท้ ๆ

ผู้ชายคนนั้นเดินเข้ามาใกล้ เห็นได้ชัดว่าหลี่เจี่ยซินหน้าแดงเป็นลูกตำลึง หลิวไห่ยิ่งไม่พอใจ

“เจี่ยซินเธอก็อยู่ที่นี่เหรอ”

“อื้ม”

หลี่เจี่ยซินยิ้มอาย ๆ ยังบิดแขนเสื้อหลิวไห่เล่น

“นายมาตรวจลาดตระเวณเหรอ”

“ใช่ ผ่านมาทางนี้เลยแวะดูความเรียบร้อยให้เธอหน่อย ก่อนหน้านี้ก็ไปอีกเขตเห็นโรงเรียนของเธออีกสาขาสงบดีก็วางใจแล้ว”

หลี่เจึ่ยซินยิ้มหน้าบาน

“นายยังใจดีกับฉันเหมือนเดิมนะ”

“สำหรับเธอเท่านั้นแหละ”

เขาหยอดคำหวาน หลี่เจี่ยซินทั้งเขินทั้งอายม้วน ดูผิดปกติวิสัยเป็นอย่างยิ่ง

หลิวไห่กระแอมหลายครั้ง ดูเหมือนว่าสองคนนั้นกำลังเตะขาออกจากตรงนี้ เหมือนเขาเป็นส่วนเกินหรืออะไรสักอย่าง

หลี่เจี่ยซินเพิ่งจำได้ว่าเฉินเฟยอวี๋อยู่กับเธอ เธอจึงแนะนำเขาให้กับเพื่อนรักที่เป็นตำรวจคนนี้ให้เขารู้จัก

“อ้อลืมแนะนำไปเลย นี่เพื่อนสมัยเด็กของฉันค่ะ เขาคือ ผู้กองหูเสี่ยวเทียน ส่วนนี่ก็เป็นเจ้านายของฉันค่ะ คุณเฉินเฟยอวี๋”

หลิวไห่กระแอมเมื่อหลี่เจี่ยซินแนะนำตัวเขาไม่ครบ หลี่เจี่ยซินพูดแค่นั้นก็มองนายตำรวจหูเสี่ยวเทียนนั่นตาเยิ้ม

หูเสี่ยวเทียนจึงพูดขึ้น

“ใช่ครับเราเป็นเพื่อนกันตั้งแต่เด็ก ผมมาเจอเธออีกครั้งไม่นานมานี้ ยังเป็นเหมือนเดิม ผู้หญิงตัวเล็ก น่ารักสดใสที่แสนอ่อนแอคนเดิม ผมยังไม่เชื่อเลยว่าเธอจะสามารถดูแลโรงเรียนสอนศิลปะของพ่อต่อได้ ยังขยายสาขาอีก ผมนี่ทึ่งมากเลย ทั้ง ๆ ที่เธอบอบบางและอ่อนแอแบบนี้”

หลิวไห่แทบจะดวงตาถลนออกมา เขาจ้องหลี่เจี่ยซินเหมือนเธอเป็นตัวประหลาด

หลี่เจี่ยซินนี่นะ อ่อนแอ น่าทะนุถนอม บอบบาง ช่างเป็นคำนิยามที่ตรงข้ามกับเธออย่างสิ้นเชิง

หูเสี่ยวเทียนยื่นมือมา ทำความรู้จักกับเขา หลิวไห่ยื่นมือออกไปจับและค่อนข้างจะบีบแน่นสักหน่อย

หูเสี่ยวเทียนเองก็รู้สึกว่าแรงบีบค่อนข้างเยอะ กระทั่งเจ้านายของหลี่เจี่ยซินพูดขึ้นมาว่า

“ผมนอกจากจะเป็นเจ้านายของเธอแล้ว ยังเป็นคู่หมั้นที่ใกล้จะแต่งงานกันด้วย”

หลี่เจี่ยซินคาดไม่ถึงว่าเขาจะกันซีนเธอขนาดนี้ เธอมองคู่หมั้นหนุ่มด้วยสายตาผิดหวัง เธอรู้ว่าเฉินเฟยอวี๋เกลียดตำรวจเพราะเคยถูกนายตำรวจหักอกมา แต่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเธอสักหน่อย ทำไมเขาถึงพาลได้ขนาดนี้

หูเสี่ยวเทียนเองก็ชอบหลี่เจี่ยซินมานาน การที่ผู้ชายคนนี้จู่ ๆ ประกาศตัวเป็นคู่หมั้นของหลี่เจี่ยซินทำให้เขาตกใจ

เมื่อตกใจจึงเผลอบีบมือของหลิวไห่แน่นเช่นกัน

สองหนุ่มกำลังต่อสู้กันด้วยกำลัง ดูเหมือนว่าแรงของทั้งสองคนจะพอ ๆ กัน แต่สุดท้ายคนที่มีเล่ห์เหลี่ยมย่อมชนะ นายตำรวจหนุ่มแสนซื่อจะสู้ผู้ชายที่ผ่านคุกมาอย่างหลิวไห่ได้ยังไง

สุดท้ายแล้วเขาก็เป็นฝ่ายแพ้และต้องรีบดึงมือออกอย่างรวดเร็ว

หลิวไห่ยิ้มเยาะเย้ย หลี่เจี่ยซินเองคอตก ไม่รู้จะแก้ตัวยังไง คราวนี้เธอขายไม่ออกแน่แล้ว

หูเสี่ยวเทียนที่กำลังผิดหวังจึงพูดขึ้น

“ยังไงวันนี้ฉันขอตัวก่อนนะ มีอีกหลายที่ต้องไปลาดตระเวณ”

“อื้อ ไว้เจอกันนะ อาหารมื้อที่นายติดฉันอยู่ฉันยังรออยู่นะ”

หลิวไห่ควันออกหู เขาจึงพูดขัดขึ้น

“ในฐานะที่เป็นคู่หมั้น ขอตามแฟนไปทานอาหารด้วยจะได้หรือเปล่าครับ ไหน ๆ ก็เป็นเพื่อนเก่ากัน เพื่อนของคู่หมั้นผมเองก็อยากสนิทด้วย”

หูเสี่ยวเทียนอยากจะตะโกนใส่หน้าผู้ชายหน้าทนคนนี้นัก

ไม่อยากสนิทโว้ย

แต่ด้วยมารยาทจึงได้แต่ทนกล้ำกลืนเอาไว้ ได้แต่พยักหน้ารับ

“ยินดีครับ วันนี้ขอตัวก่อนนะครับ”

หูเสี่ยวเทียนขับรถตำรวจออกไปแล้ว หลิวไห่กอดไหล่ของหลี่เจี่ยซินเอาไว้ เธอสบัดมือของเขาออกแล้วพูดอย่างโกรธ ๆ

“กันซีนฉันรู้หรือเปล่า ไม่ชอบตำรวจแต่ก็ไม่น่าทำขนาดนี้”

หลิวไห่ตามน้ำ

“รู้แล้วก็อย่าทำ ฉันบอกก่อนว่าฉันไม่ชอบหน้าไอ้หมอนั่น”

“แต่เขาเป็นเพื่อนฉันนะ อีกอย่าง ฉันน่ะ ก็แอบชอบเขาอยู่”

หลิวไห่แทบจะพ่นไฟออกจากปากเมื่อได้ยินคำนี้

“อ้อ ก็เลยแสร้งทำอ่อนแอต่อหน้าเขาเพราะกลัวเขารู้ตัวตนของเธอแล้วจะไม่ชอบล่ะสิ”

หลี่เจี่ยซินแทบจะร้องไห้ออกมา

“ก็ใช่น่ะสิ เขาชอบผู้หญิงตัวเล็กน่ารักแรงน้อย ฉันนี่ตรงกันข้ามกับคำว่าแรงน้อยเลย ถ้าฉันบอกความจริงว่าฉันเป็นยังไงกลัวจะวิ่งหนีไปน่ะสิแค่นี้โอกาสของฉันก็น้อยนิดแล้ว รอบกายของเขามีแต่ผู้หญิงประเภทนี้ทั้งนั้น”

หลิวไห่ถอนหายใจออกมา

“ถ้าเขาไม่ชอบตัวตนของเธอ เธอจะฝืนทำไมล่ะ”

หลี่เจี่ยซินตอบเสียงเบา

“ก็ไม่รู้สิ บางทีคงเป็นเพราะฉันชอบเขามากจนอยากให้เขาชอบฉันล่ะมั้ง”

หลิวไห่พ่นไฟออกจากปากอีกครั้งโดยที่หลี่เจี่ยซินไม่รู้ เขาลากเธอไปขึ้นรถเป็นฝ่ายคาดเข็มขัดนิรภัยให้

หลี่เจี่ยซินนั่งหงอยถามเขาว่า

“เราจะไปไหนกันต่อล่ะ”

หลิวไห่ยกมุมปากคล้ายจะยิ้ม

“เธอกับฉันหมั้นกันภาษาอะไร แม้แต่แหวนหมั้นยังไม่มี ฉันจะพาเธอไปซื้อแหวนหมั้น”

หลี่เจี่ยซินหันขวับมองเขาทันใด

“แหวนหมั้นเหรอ ทำไมต้องใส่มันด้วยล่ะ”

หลี่เจี่ยซินพาเขามาถึงโรงเรียนสอนศิลปะการป้องกันตัวของเธอเอง ตอนนี้ที่โรงเรียนกิจการดีขึ้นทำให้นักเรียนมาเรียนค่อนข้างมาก คนพลุกพล่านแต่กลับไม่มีใครสนใจหลี่เจี่ยวซินที่หิ้วคนสองคนเข้ามาในโรงแรียน

เธอพาคนสองคนนั้นไปที่โรงยิมหลังโรงเรียน เป็นโรงยิมเล็กที่เธอไม่ได้ใช้แล้วจึงไม่มีคนนอกเข้ามาวุ่นวาย

หลี่เจี่ยซินมัดพวกเขาผูกติดกับเก้าอี้สองคนนั้นยังสลบอยู่ หลี่เจี่ยซินจึงไปหาเก้าอี้มาให้เจ้านายของเธอนั่งรอ

“ที่รักอย่าตกใจไปนะ ถ้าฉันทำอะไรรุนแรงสักหน่อย”

เธอยังให้คนเอาน้ำเย็นมาให้เขาด้วย

หลิวไห่พยักหน้าแล้วตอบเสียงเล็กเสียงน้อยทั้ง ๆ ที่รู้สึกทุเรศตัวเองเป็นอย่างยิ่ง

“อย่าทำรุนแรงมากนะ เค้ากลัว แต่ต้องเค้นเอาความจริงมาให้ได้”

หลี่เจี่ยซินยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่ทำให้หลิวไห่ถึงกับชะงักค้าง

เอาอีกแล้วผู้หญิงคนนี้กำลังหว่านเสน่ห์ให้เขาอีกแล้ว

“ไม่ต้องกลัวนะ ถ้าตกใจก็เอามือปิดตาไว้ล่ะกัน”

หลี่เจี่ยซินปลอบเขาเหมือนเป็นเด็กเล็ก ๆ คนหนึ่ง ความจริงเธอไม่อยากให้คู่หมั้นเห็นอะไรแบบนี้ รู้ว่าร่างกายบึกบึนนี่กลัวเลือดแค่ไหน แต่วันนี้น่าประหลาดที่เขายืนกรานจะดูเธอไต่สวนคนร้าย

หลี่เจี่ยซินปลอบเขาอีกไม่กีคำก็เริ่มกระบวนการสอบสวน

อันดับแรกคนของหลี่เจี่ยซินท่าทางค่อนข้างน่ากลัวสองคนนำน้ำเย็นจัดมาให้เธอ หลี่เจี่ยซินไม่รอช้าสาดน้ำเข้าไปที่ร่างของคนสองคนที่ถูกจับมัดโดยทันที

พวกมันสะดุ้งตื่น และทันทีที่สะดุ้งก็ถูกหมัดของหลี่เจี่ยซินต่อยจันฟันร่วง

หลิวไห่ตกตะลึงไม่คิดว่าหลี่เจี่ยซินจะเหี้ยมโหดแบบนี้

ภาพของผู้หญิงบอบบางคนหนึ่งทำเรื่องชั่วช้า หลิวไห่รู้สึกรับไม่ได้เขาจึงยกมือปิดหน้าเอาไว้

หลี่เจี่ยซินมองเฉินเฟยอวี๋เห็นเขายกมือปิดหน้าตัวเองก็หน้าเสีย

ตายล่ะเธอทำรุนแรงไปจริง ๆ แม่สาวบอบบางนั่นจึงได้ตกใจขนาดนั้น

หลี่เจี่ยซินจึงคิดจะลดแรงลงสักหน่อย เพื่อไม่ให้คู่หมั้นตกใจจนเกินไป

เมื่อหลี่เจี่ยซินไม่ตีคนแล้ว หลิวไห่จึงยกมือลงเขากระแอมแล้วกอดอกดูตุลาการศาลเตี้ยหลี่เจี่ยซินสอบสวนคนร้ายต่อ

“ใครจ้างพวกแกมา”

สองคนนั้นส่ายหน้าลนลานด้วยความหวาดกลัว พวกมันทั้งสองยังไม่ได้ตั้งตัวก็วูบไป ฟื้นขึ้นมาก็อยู่ที่ไหนแล้วก็ไม่รู้ ผู้หญิงคนนี้ช่างโหดเหี้ยมเหลือเกิน กระทั่งฟื้นขึ้นมาก็ฟันหักไปคนละซี่แล้ว

“ยังไม่สารภาพอีก”

หลี่เจี่ยซินทำท่าหลังแหวน สองคนนั้นกลัวจนตัวสั่น เธอยังหันมายิ้มหวานให้คู่หมั้นของตัวเอง เอาล่ะต้องปลอบใจเฉินเฟยอวี๋ไม่ให้กลัวเกินไป เดี๋ยวจะนอนไม่หลับเอา

“จะพูดไม่พูด”

หลี่เจี่ยซินถีบเก้าอี้ที่มัดคนทั้งสองเอาไว้ แต่ยังยั้งแรงโชคดีเก้าอี้ไม่ล้มเพียงแต่มันหมุนรอบทิศไปหลายรอบจนทำให้สองคนนั้นอ้วกออกมา

อย่าว่าแต่คนร้ายสองคนนั้นเลย หลิวไห่เองที่นั่งมองเก้าอี้นั้นหมุนเป็นลูกข่างยังอดที่จะเวียนหัวแทนไม่ได้

วิธีการนี้ของหลี่เจี่ยซินโหดเหี้ยมจนเขาชักจะกลัว หากอนาคตเขานอกใจเธอหรือทำให้หลี่เจี่ยซินโกรธอะไรจะเกิดขึ้นกับเขากันนะ

หลิวไห่ดูไปก็ขนลุกไปเมื่อคิดถึงอนาคตของตัวเองที่ต้องผูกติดกับผู้หญิงคนนี้

เขาเตือนสติตัวเอง

กลับตัวกลับใจตอนนี้ยังทัน แต่ที่น่าเจ็บใจคือใจเจ้ากรรมของเขาดันไม่ฟังเขาแม้แต่น้อย

ลูกน้องของหลี่เจี่ยซินเข้ามา ในมือของพวกเขามีคีมเหล็กและเตาไฟร้อน ๆ

“ท่านประธานครับ”

หลิวไห่ยืดตัวคิดว่ามีใครเรียกตัวเอง แต่ที่ไหนได้ไม่ใช่เขาสองคนนั้นค้อมตัวให้หลี่เจี่ยซินแล้วยืนคีมเหล็กนั่นให้เธอ

หลิวไห่ร้อง เห๊อะ ในใจ

ผู้หญิงคนนี้เป็นท่านประธานอย่างนั้นเหรอ อ้อ ก็น่าจะใช่ ในเมื่อเธอขยายกิจการต่อสู้ไปหลายสาขา ตำแหน่งในตอนนี้ก็คงเป็นท่านประธานอยู่แล้ว

หลี่เจี่ยซินรับคีมเหล็กมา เธอเอาไปเผาไฟจนร้อนแล้วจุ่มลงในน้ำเสียงดัง ซู่

สองคนนั้นตกใจแทบสิ้นสติ เมื่อหลี่เจี่ยซินพูดว่า

“ถ้ายังไม่บอก ฉันจะเอาคีมนี่เผาไฟแล้วหนีบน้องชายพวกนายจนขาด ต้องการแบบนี้ใช่หรือเปล่า”

นอกจากสองคนนั้นจะกลัวจนแทบฉี่ราดแล้ว หลิวไห่เองในตอนนี้ก็นั่งหุบขากุมน้องชายเอาไว้พลางเหงื่อตก

เมื่อสักครู่ว่าหลี่เจี่ยซินโหดเหี้ยมแล้ว ที่ไหนได้ วิธีการนี้โหดเหี้ยมยิ่งกว่าอีก

หลี่เจี่ยซินยัดคีมเหล็กเข้าไปในเตาไฟ สั่งคนของเธอให้ถอดกางเกงผู้ชายทั้งสองคน

พวกเขาเริ่มโวยวาย

“ขอร้องครับเจ้านาย เอ้อ ท่านประธานครับ ขอร้องครับ ผมบอกแล้วครับผมบอกแล้ว”

หลี่เจี่ยซินยิ้มเหี้ยมเกรียมุ หลี่เจี่ยซินโยนคีมเหล็กลงบนพื้นแล้วถามต่อ

“มันเป็นใคร”

สองคนนั่นแย่งกันพูด

“พวกผมไม่ได้ฆ่าใครครับ ปกติก็รับจ้างติดจีพีเอสให้กับพวกชอบมีบ้านเล็กบ้านน้อยครับ คนที่จ้างบอกผมว่าผู้ชายคนนี้มีเมียน้อย ให้พวกผมหาโอกาสติดจีพีเอสในตอนที่พวกเขาเผลอ เราก็แค่รับจ้างติดจีพีเอสนะครับ เท่านั้นจริง ๆ ครับ”

หลิวไห่ตะโกนออกไป

“หน้าอย่างฉันนี่เหรอจะมีเมียน้อย คนที่พวกแกกำลังคุยด้วยก็คู่หมั้นของฉัน พวกแกนี่มันวอนตายแล้ว”

“ขอโทษครับ พวกเราไม่ได้ตั้งใจครับ มีคนจ้างพวกเราก็แค่ทำงานครับ”

หลี่เจี่ยซินถามต่อ

“ใครเป็นคนจ้างพวกแก”

“ไม่รู้ครับ พวกเขาโอนเงินทางอินเตอร์เน็ต ให้รูปรถและที่อยู่มาครับ พวกเราแก็แค่ทำงานจริง ๆ นะครับ ผมไม่รู้จักลูกค้าคนนี้ครับ ผมสาบานได้ครับ”

แค่รับงานติดจีพีเอส พวกเขาทำมานักต่อนักแล้วไม่เคยมีปัญหา แต่วันนี้ดันซวยเจอของจริงเข้าแล้ว เห็นทีว่าพวกเขาคงเข็ดจนตาย

หลี่เจี่ยซินยกคีมเหล็กขึ้นมาขู่พวกมันอีก

“ถ้าโกหกคิดว่าพวกนายจะเจออะไร”

สองคนนั้นตะโกนลั่น

“เป็นความจริงครับ นามบัตรผมอยู่ในกระเป๋ากางเกงครับ นามบัตรผมครับคุณดูได้เลย”

หลี่เจี่ยซินสั่งให้ลูกน้องของเธอค้นตัวสองคน เจอนามบัตรของพวกเขาและเอาไว้เช็คในอินเตอร์เน็ต

“ท่านประธานครับ พวกเขารับจ้างติดจีพีเอสจริง ๆ ครับ”

หลิวไห่ดูรูปพวกเขาในเว่ยป๋อ ทั้งในเว็บไซต์ก็มีรับติดจีพีเอสพร้อมด้วยโปรไฟล์ผลงาน แต่เธอยังไม่วางใจเท่าไหร่

“เอาเบอร์ของลูกค้าคนนั้นมาให้ฉัน ส่วนพวกนายถ้าโกหกจำไว้ว่าฉันไม่ปล่อยนายไปแน่ ไสหัวไปแล้วเก็บฟันของนายไปด้วย”

หลี่เจี่ยซินสั่งให้ลูกน้องแก้มัด แล้วพาพวกเขาไปส่งยังที่ห่างไกลสักแห่ง ยึดกระเป๋าตังค์ของพวกเขาเอาไว้ตรวจสอบ

หลิวไห่เห็นว่าการทำงานของหลี่เจี่ยซินยังหละหลวม เขาจึงถามว่า

“ไม่กลัวพวกมันไปแจ้งความเหรอ แบบนั้นจะสร้างความยุ่งยากให้เรานะ”

หลี่เจี่ยซินหัวเราะ

“มันไม่กล้าหรอก ลูกน้องของฉันสืบค้นครอบครัวของมันแล้ว ถ้ามันกล้าหาเรื่องให้ตัวเองก็ลองดู”

การทำงานของหลี่เจี่ยซินว่องไวและรอบคอบกว่าที่เขาคิดมาก นี่คงเป็นเรื่องเดียวที่หลิวไห่ยอมรับการตัดสินใจของเฉินเฟยอวี๋

คือการที่จ้างให้หลี่เจี่ยซินเป็นบอดี้การ์ดและยังเป็นคู่หมั้นจอมปลอม

นับว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ดีที่สุดที่หลิวเฟยอวี๋ทำในชีวิตแล้วกระมัง

พวกเขาไปถึงไปรษณีย์เขตผู่ซี หลิวไห่เข้าไปแสดงตัวเป็นคนที่เช่าตู้ไปรษณีย์หมายเลขเจ็ดสิบแปดเขาบอกหลี่เจี่ยซินให้คอยอยู่ข้างนอก

หลี่เจี่ยซินคอยดูแลความปลอดภัยอย่างเงียบ ๆ

เธอไม่เห็นเฉินเฟยอวี๋แล้วเมื่อเขาเดินเข้าไปข้างใน หลี่เจี่ยซินคิดว่าเขาน่าจะปลอดภัย เห็นรถขายไอศครีมที่มีเด็ก ๆ รุมล้อม หลี่เจี่ยซินจึงคิดอยากจะกินบ้างเธอจึงเดินไปที่รถคันนั้น

คนขายไอศครีมเป็นผู้ชายแก่คนหนึ่ง หลี่เจี่ยซินเห็นน่าสงสารจึงพูดว่า

“เด็ก ๆ อยากกินอะไรหยิบเต็มที่เลยนะพี่สาวเลี้ยงเอง”

เด็ก ๆ มองเธอท่าทางกลัว ๆ อยู่เล็กน้อย

หลี่เจี่ยซินจึงยิ้มหวานให้พวกเขา ด้วยความที่เธอเป็นคนสวยอยู่แล้วจึงผูกมิตรกับเด็ก ๆ ได้ไม่ยาก

เด็กผู้หญิงคนหนึ่งจึงพูดขึ้นว่า

“พี่สาวจะซื้อไอศครีมให้จริง ๆ นะคะ”

หลี่เจี่ยซินพยักหน้า

“แน่สิจ้ะ ใครอยากกินอะไรก็หยิบได้เต็มที่เลย”

จากนั้นเสียงเด็ก ๆ ก็ร้องขึ้นมาอย่างดีใจ หลี่เจี่ยซินเห็นแล้วว่าเด็ก ๆ แต่ละคนสภาพค่อนข้างมอมแมม คงเป็นลูกคนงานก่อสร้างแถวนี้

หญิงสาวเลือกไอศครีมมาแท่งหนึ่ง ให้คนขายคิดเงินแล้วจ่ายเงินโดยไม่รับเงินทอน

หลี่เจี่ยซินยืนกินไอศครีมรอหลิวไห่อยู่ข้างนอก ยังกินไม่หมดแท่งหลี่เจี่ยซินก็เห็นผู้ชายท่าทางแปลก ๆ สองคนป้วนเปี้ยนอยู่แถวรถของเธอ

แน่นอนว่าหลี่เจี่ยซินไม่รอช้า เธอเดินไปที่รถทันที

สองคนนั้นกำลังทำบางอย่างกับล้อรถ หลี่เจี่ยซินยัดไอศครีมที่เหลืออีกครึ่งแท่งเข้าปาก เธอเดินตรงไปกระโดดถีบคนทั้งสองที่กำลังก้ม ๆ เงย ๆ ท่าทางลับ ๆ ล่อ ๆ นั่นทันที

พวกเขาเห็นหลี่เจี่ยซินแล้ว แต่เพราะเธอคนนี้เป็นผู้หญิงบอบบางยังสวยมากคนหนึ่งผู้ชายคนนั้นจึงพูดว่า

“น้องสาวอย่ามายุ่งดีกว่า พี่ไม่อยากทำผู้หญิงสวย ๆ บาดเจ็บ”

คนทั้งสองลุกขึ้นเมื่อทำงานเสร็จ หลี่เจี่ยซินเข้าขวางพวกมันเอาไว้

“เดี๋ยวก่อน พวกแกยังไปไม่ได้”

ผู้ชายคนนั้นกลับหัวเราะ แต่ใบหน้าเหี้ยมโหดเป็นอย่างยิ่ง

“ทำไมอยากเป็นเมียพี่ก่อนเหรอจ้ะ เอาสิตรงนี้เลยก็ได้ สวย ๆ แบบนี้ถูกใจพี่มาก”

คนสองคนขยับตัวเล็กน้อย หลี่เจี่ยซินจึงบอกว่า

“อย่าขยับมากกว่านี้ถ้าไม่อยากเจ็บตัว”

“โอ้ เก่งซะด้วย ฮ่า ฮ่า ฮ่า”

แน่นอนว่าหลี่เจี่ยซินไม่ได้พูดเล่น แค่คนสองคนขยับตัวเธอก็เหวี่ยงพวกมันไปอัดกำแพงแล้ว

สองคนนั่นรู้สึกเหมือนตัวเองบินได้ ก่อนจะกระแทกเข้ากับกำแพงปูนแล้วหล่น ตุ๊บ ลงพื้น

“อ๊อก อะไรวะ เกิดอะไรขึ้น”

สองคนยังมึนงง หลี่เจี่ยซินตามไปกระทืบโดยไม่รอช้า

“พวกแกมาทำอะไร ตอบฉันมา ตอบฉันมา”

“เดี๋ยวก่อน อ๊อก ดะเดี๋ยวก่อนครับคุณผู้หญิง อ๊อก”

หลี่เจี่ยซินถามไปเตะพวกมันไป จนพวกมันเลือดกลบปาก คนขายไอศครีมที่เห็นเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นเพิ่งได้สติ เขารีบยกโทรศัพท์มาถ่ายคลิปของหลี่เจี่ยซินเอาไว้

สาวน้อยพลังมหาศาลกำลังต่อยผู้ชายสองคนจนล้มคว่ำ

เด็ก ๆ ที่กินไอศครีมอยู่นั้นเห็นสาวสวยกำลังกระทืบผู้ชายตัวโตสองคนถึงกับอ้าปากค้าง

เด็กคนหนึ่งพูดขึ้น

“พี่สาวแรงเยอะจังเลย สุดยอด”

หลิวไห่ออกมาเห็นเหตุการณ์นั้นพอดี เขารีบเดินไปหาคนขายไอศครีมแล้วแย่งโทรศัพท์ของผู้ชายแก่คนนั้นมา แล้วลบรูปอย่างรวดเร็ว

“ถ้ายังอยากแก่ตายกรุณาอย่าถ่าย”

หลิวไห่บอกเขาเสียงเหี้ยม ผู้ชายคนนั้นเห็นหน้าเหี้ยมโหดของหลิวไห่แล้วเกิดขนลุก เขาดูลนลานหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง

“ครับ ไม่ถ่ายแล้วครับ ไม่กล้าแล้วครับ”

หลิวไห่จึงคืนโทรศัพท์ให้เขาแล้วตบเข้าที่ไหล่ของคนขายไอศครีมเบา ๆ ก่อนจะวิ่งไปหาหลี่เจี่ยซินที่อัดคนพวกนั้นจนสลบไปแล้ว

“เกิดอะไรขึ้น”

หลี่เจี่ยซินถุยไม้ไอศครีมออกจากปาก หักนิ้วตัวเองเสียงดังกร๊อบแล้วทำท่าจะกระทืบพวกเขาต่อ จนหลิวไห่ต้องห้ามเอาไว้เพราะกลัวเธอฆ่าคนจริง ๆ

“พอแล้วพวกมันสลบไปแล้ว”

หลี่เจี่ยซินใช้เท้าเขี่ยทั้งสองคนแล้วพูดว่า

“พวกมันมาป้วนเปี้ยนแถวล้อหลัง ไม่แน่ใจว่ากำลังทำอะไรกันแน่เลยอัดมันก่อน”

หลิวไห่เดินไปหาคนทั้งสองที่ยังนอนสลบอยู่ตรงนั้น เขาถอดเสื้อของพวกมันออกแล้วใช้เสื้อของทั้งสองคนมัดพวกมันอย่างแน่นหนา

หลี่เจี่ยซินมองเขาด้วยความประหลาดใจ ที่รักของเธอทำไมมัดคนได้คล่องแคล่วขนาดนั้น แต่เธอไม่มีเวลาคิดมากมายขนาดนั้นเมื่อหลิวไห่ตะโกนบอกเธอ

“ยัดพวกมันไว้ที่หลังรถ”

หลี่เจี่ยซินพยักหน้า

เธอหิ้วผู้ชายร่างโตสองคนเหมือนหิ้วถุงพลาสติกใส่ของแล้วยัดเข้าไปด้านหลังกระโปรงรถ

หลิวไห่สำรวจล้อหลังพบว่าพวกมันกำลังติดบางสิ่งบางอย่างเหมือนสัญญาณจีพีเอสเข้าที่ตัวรถ เขาจึงดึงออกแล้วทิ้งไว้ที่โคนต้นไม้ สำรวจรถโดยรอบอีกครั้งเมื่อไม่เห็นสิ่งผิดปกติจึงบอกให้หลี่เจี่ยซินขึ้นรถ

“ไม่ใช่ระเบิดนะ”

“ไม่ใช่หรอก มันไม่ยอมให้ฉันตายหรอก”

ในตอนนี้หลิวไห่ค่อนข้างมั่นใจแล้วว่า สกุลกู้ไม่เคยปล่อยเขาเลยสักครั้งเดียว พวกมันคงรู้ความเคลื่อนไหวทั้งหมดและคงกำลังตามเขาอยู่ และพวกมันเองก็ไม่รู้จักหลี่เจี่ยซิน ในระหว่างที่เขาเข้าไปด้านในมันจึงลอบให้คนมาติดจีพีเอสคอยติดตามเขา แสดงว่าคนสกุลกู้รู้ตัวตนของเขาและเฉินเฟยอวี๋แล้วแน่ ๆ

เขาหัวเราะในลำคอ อิทธิพลของสกุลกู้ ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะล้อเล่นได้เลย เอาล่ะในเมื่อไม่ยอมปล่อยเขา เขาก็จะลองฟัดกับพวกมันให้รู้ผลแพ้ชนะกันไปเลย

หลิวไห่ในตอนนี้ไม่มีความกลัวเลยแม้แต่น้อย

“พวกมันเป็นใครกัน”

หลี่เจี่ยซินปิดฝากระโปรงรถถามเขาพลางปัดมือของตนเอง

หลิวไห่ดึงมือของเธอมาดู เห็นว่ามีคราบสกปรกจึงดึงผ้าเช็ดหน้าของตัวเองออกมาจากกระเป๋าเสื้อ แล้วค่อย ๆ เช็ดให้เธอจนสะอาด

“พวกสกุลกู้”

“พวกมันคงคิดข่มขู่จนถึงที่สุด”

“คงแบบนั้น เราไปกันเถอะ ก่อนที่จะมีคนแห่กันมาอีก”

หลี่เจี่ยซินแย่งกุญแจรถของเขาไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้

“ฉันขับเอง เดี๋ยวไปที่โรงเรียนของฉันเอาพวกมันไปเค้นที่นั่นจะเหมาะกว่า”

หลิวไห่เห็นด้วย เขาเดินไปหาคนขายไอศครีมแล้วยัดเงินปึกหนึ่งให้ผู้ชายคนนั้น

“อย่าพูดเรื่องเธอกับใคร เข้าใจนะครับ”

ผู้ชายคนนั้นมองเงินจำนวนมากในมือถึงกับน้ำตาไหล

“ครับ ผมจะหุบปากให้สนิทเลยครับ วันนี้ผมไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น”

หลิวไห่พยักหน้าเดินกลับมาหาหลี่เจี่ยซินแล้วบอกว่า

“ไปกันเถอะ”

เขาไม่รอให้หลี่เจี่ยซินเปิดประตูให้ ในมือของเขาตอนนี้มีแฟรชไดร์ที่เขาต้องการแล้ว ความลับของพ่ออันเป็นสาเหตุการตายที่แท้จริงนั้นคืออะไรกันแน่

หลังอาหารเช้าหลี่เจี่ยซินและหลิวไห่เดินมาที่โรงจอดรถด้วยกัน

“จะไปที่ไหนคะ เข้าบริษัทเลยหรือเปล่าคะ”

“วันนี้ยัง ผมมีที่ที่ต้องการจะไปก่อน”

หลี่เจี่ยซินมองเขา เธอยังไม่คุ้นเคยกับคำเรียกตัวเองว่า ผม สักเท่าไหร่ จึงรู้สึกขัดหูอยู่บ้าง

หลิวไห่ตั้งใจที่จะไปเอาของที่พ่อของเขาเคยให้ส่งมาเมื่อนานแล้ว บางทีมันอาจจะเป็นแฟรชไดร์นั่นก็ได้

พวกเขาเดินไปที่รถด้วยกัน หลี่เจี่ยซินดึงแขนของเขาเอาไว้ มองด้วยความสงสัย

“จะไปไหนคะ”

“อ้าวก็บอกแล้วไงว่ามีที่ต้องไป”

หลิวไห่เริ่มงง หรือผู้หญิงคนนี้เป็นคนพูดครั้งเดียวไม่รู้เรื่อง

“ไม่ใช่ค่ะ หมายถึงว่าวันนี้ไม่ต้องให้ฉันเช็คระเบิดก่อนเหรอคะ”

หลิวไห่เลิกลั่ก ไม่เข้าใจที่เธอพูด

“เช็คระเบิด”

“ใช่สิคะ ปกติที่รักจะแอบอยู่หลังเสาต้นนั้นรอจนฉันเช็ครถจนเรียบร้อยค่อยขึ้นรถนี่คะ”

หลี่เจี่ยซินหรี่ตามองเขา

หลิวไห่กระแอม คิดด่าน้องชายในใจ

ต้องเป็นคนตาขาวขนาดไหนถึงสามารถแอบอยู่หลังเสาแล้วปล่อยให้ผู้หญิงคนหนึ่งเช็คระเบิดในรถให้ตัวเอง เฉินเฟยอวี๋แกนี่มันทำให้ขายหน้าแท้ ๆ

หลิวไห่แย่งกุญแจรถจากมือของเธอไปถือเองแล้วบอกว่า

“จากนี้ผมบอกแล้วว่าจะเป็นผู้ชายคนหนึ่ง ลืมเรื่องที่ผ่านมาและเริ่มต้นใหม่กันเถอะ ไม่ต้องเช็คอะไรทั้งนั้น บ้านหลังนี้ระบบความปลอดภัยแน่นหนาขนาดนี้ยังจะกลัวอะไร ต่อไปผมขับเอง คุณไม่ต้องขับแล้ว”

เขายิ้มหล่อเหลาให้เธอ

หลี่เจี่ยซินยิ้มน้อย ๆ แล้วแซวเขาทั้งหัวเราะ

“งูของที่รักผงาดพ่นพิษได้เป็นครั้งแรกนี่ ถึงกับทำให้เปลี่ยนไปขนาดนี้เลย ที่รักของฉันเติบโตมาดีจริง ๆ เลยนะ”

หลี่เจี่ยซินควงแขนของเขาแล้วยังลูบเบา ๆ เหมือนเขาเป็นเด็กเล็ก ๆ คนหนึ่ง

หลิ่วไห่หลั่งน้ำตาในใจเมื่อเธอพูดถึงเรื่องนี้อีก อยากจะตะโกนออกไปนักว่า

ในคืนนั้นที่เธอปล้ำเขา เขาเก่งขนาดไหน และทำเรื่องนั้นกับเธอตั้งหลายรอบ สมองของเธอน่ะมีปัญหาแล้วถึงลืมเขาได้เสียสนิทแบบนั้น เขาไม่ใช่คนแบบที่เธอคิดนะ

หลิวไห่แสร้งกระฟัดกระเฟียดเหมือนผู้หญิงคนหนึ่ง

“เลิกพูดเลย ฉันไม่ชอบเธอแล้ว”

“ก็ได้ ๆ โอ๋ ๆ อย่าโกรธเลยนะ ฉันไม่พูดแล้ว ไหนบอกจะเป็นผู้ชายแล้วยังไงล่ะ”

หลิวไห่หน้าบึ้ง หลี่เจี่ยซินยิ้มแล้วส่ายหน้า

ผู้หญิงร่างยักษ์คนนี้งอนอีกแล้ว และเวลาที่เฉินเฟยอวี๋งอนเขาไม่ชอบให้เธอเกาะแกะ และไม่นานอาการงอนของเขาก็จะหายไปเอง

เพราะแบบนี้ หลี่เจี่ยซินไม่ได้สนใจเขาอีกต่อไป รอจนกระทั่งเขาหายเองเหมือนทุกครั้ง

หญิงสาวยังวิ่งไปเปิดประตูให้เขา ผายมือแล้วพูดเบา ๆ

“เชิญคุณผู้หญิงค่ะ”

หลิวไห่ก้าวไปนั่งประจำที่นั่งคนขับ เขาสตาร์ทรถหันมาอีกครั้งก็เห็นว่าหลี่เจี่ยซินนั่งอยู่ข้าง ๆ เขาแล้ว

ความเร็วของหลี่เจี่ยซินไม่ธรรมดา เขาไม่ได้ยินกระทั่งเสียงเปิดประตูรถของเธอ

หญิงสาวยิ้มแป้นให้เขา แล้วถามว่า

“จะไปที่ไหนกันคะ”

หลิวไห่ตอบเสียงเบา

“ที่ฝากไปรษณีเขตผู่ซี”

หลี่เจี่ยซินพยักหน้า เธอไม่ได้ถามว่าเขาจะไปที่นั่นทำไม สายตาคอยระวังอยู่ตลอดเวลา หลิวไห่ขับรถได้ราวครึ่งชั่วโมง เขาก็มาถึงเขตผู่ซี

หลี่เจี่ยซินจึงถามเขาว่า

“ที่รักจะแจ้งความหรือเปล่า เรื่องเมื่อคืนนี้น่ะ”

หลิวไห่ตอบว่า

“ไม่จำเป็นที่ผ่านมาตำรวจก็ไม่เคยทำอะไรได้ไม่ใช่เหรอ”

“ก็จริง คิดจะจัดการเองมันก็ไม่ง่ายหรอกนะ ฉันเก่งแค่เรื่องปกป้องที่รักแต่เรื่องสืบสวนยอมรับว่าห่วยอยู่มาก”

หลิวไห่ยกมุมปาก

“ไม่ต้องห่วง ตอนไปฮ่องกงเจอเพื่อนเก่าเส้นสายของเขามีอยู่มาก ต่อไปเราจะดูแลตัวเองไม่ยุ่งกับตำรวจ”

หลี่เจี่ยซินหัวเราะ

“ดูที่รักจะเกลียดตำรวจจริง ๆ นะ ลืมรักครั้งนั้นไม่ลงล่ะสิ ผู้กองคนนั้นน่ะที่ทิ้งที่รักไปน่ะ คงยังเจ็บปวดสินะ”

หลิวไห่เร่งความเร็วรถ ฟังหลี่เจี่ยซินพล่ามเรื่องของเฉินเฟยอวี๋ให้เขาฟังต่อ

“ดีนะที่ที่รักยังไม่ตัดสินใจแปลงเพศเพราะเขาน่ะ ไม่งั้นยิ่งจะเจ็บปวดยิ่งกว่านี้ แต่จริง ๆ ตำรวจที่เป็นคนดีก็มีเยอะนะ อย่าคิดเหมารวมเลย มันดูจะไม่ยุติธรรมกับพวกเขาไปสักหน่อย”

หลิวไห่กำพวงมาลัยแน่น เขาเกือบช็อคตายเพราะคำพูดของเธอ ที่บอกว่าเฉินเฟยอวี๋มีความคิดที่จะแปลงเพศ ถึงเขาจะไม่ขัดข้องที่น้องชายมีใจเป็นหญิง แต่เรื่องบางเรื่องก็ต้องขอเวลาทำใจยอมรับบ้าง เขาถอนหายใจก่นด่าน้องชายในใจอีกครั้ง

ไอ้บ้าเฉินเฟยอวี๋ วัน ๆ นอกจากเรื่องผู้ชายแล้วรู้สึกว่าแทบจะไม่ทำประโยชน์อย่างอื่นเลย แบบนี้จะไม่ให้บริษัทเจ๊งได้ยังไง

คิดไปคิดมาหลิวไห่สะดุดใจกับคำพูดของหลี่เจี่ยซิน ที่บอกว่าตำรวจดีมีเยอะ เขาจึงถามด้วยความสนใจ ส่วนตัวเขาเองเขาเกลียดตำรวจแค่ไหน เขาย่อมรู้ดี

“ที่รักดูจะชอบตำรวจนะ ตำรวจดี ๆ ผมไม่เคยเห็น”

หลี่เจี่ยซินพยักหน้า

“แน่สิ เป็นตำรวจนี่เท่ห์ออก ที่สถานีของอาหลิวของฉัน อาทิตย์ที่แล้วที่เธอไม่อยู่ฉันแวะไปเยี่ยมอาหลิว นี่รู้หรือเปล่าว่าที่นั่นมีนายตำรวจหนุ่มไฟแรงย้ายมาใหม่ ฉันเพิ่งจำได้ว่าฉันกับเขาเคยเรียนที่เดียวกันสมัยม.ต้นด้วย เขาหล่อและเท่ห์มากเลยนะ เห็นหน้าเขาแล้วก็ได้แต่คิดว่านี่มันพรมลิขิตชัด ๆ ที่ทำให้ได้พบเขาอีกครั้งโดยไม่ได้ตั้งใจ”

จู่ ๆ หลิวไห่ก็เหยียบเบรคจนหน้าของหลี่เจี่ยซินแทบจะทิ่มเข้าไปในคอนโซลรถ

“เธอว่าอะไรนะ พรหมลิขิตงั้นเหรอ”

หลี่เจี่ยซินคิดว่าเขาคงตกใจเกือบจะชนอะไรบางอย่างจึงยังไม่ทันได้ฟังเขา

“ที่รักมีอะไร เดี๋ยวฉันลงไปดูนะ”

หลิวไห่ห้ามเธอไม่ทัน หญิงสาวก็ลงจากรถไปสำรวจอย่างแข็งขัน

ในขณะที่หลิวไห่มองหลี่เจี่ยซินแล้วตะโกนเสียงดังคนเดียว โดยที่เธอไม่ได้ยิน

“เห็นเพื่อนเก่าสมัยม.ต้นครั้งเดียว บอกเป็นพรหมลิขิต แล้วคนที่เธอฟันแล้วทิ้งแล้วกลับมาเจอเธอโดยไม่ได้ตั้งใจแบบฉันนี่เธอจะเรียกอะไร หลี่ เจี่ย ซิน เธอนี่มันจริง ๆ เลย”

หลิวไห่รู้สึกโกรธเธอมาก เขากำหมัดแน่นทุบเข้าไปที่พวงมาลัยกระทั่งไปโดนแตรรถ เสียงดังสนั่น

หลี่เจี่ยซินรีบขึ้นรถมาถามเขาด้วยใบหน้าบ้องแบ๊วปนตระหนก

“ที่รักเกิดอะไรขึ้น บีบแตรทำไม”

“เปล๊า จู่ ๆ ก็รู้สึกหัวร้อนขึ้นมา”

หลิวไห่สตาร์ทรถแล้วออกรถอย่างแรง

หลี่เจี่ยซินไตร่ตรองอย่างละเอียด เป็นเพราะเธอหัวไวจึงคิดได้อย่างรวดเร็ว ทั้งหมดเป็นเพราะเธอเริ่มเอง คราวนี้เงียบกริบ

เธอเข้าใจแล้ว รู้สึกผิดเป็นอย่างยิ่ง

“ขอโทษนะที่รัก ที่พูดถึงตำรวจคนนั้นทำให้ที่รักเจ็บปวดและอารมณ์ไม่ดี ฉันไม่คิดว่าเธอจะยังรู้สึกกับเขารุนแรงขนาดนั้น ฉันสาบานว่าจะไม่พูดถึงผู้ชายที่ทิ่มตูดเธอแล้วทิ้งเธอไปคนนั้นอีกเลยตลอดชีวิต”

หลิวไห่หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก สบทคำหนึ่งออกมา

“โถ่โว้ย เธอจะรู้ดีเกินไปแล้ว หลี่เจี่ยซิน ถ้าจะให้ดีก็อย่ายุ่งกับตำรวจอีกจะได้หรือเปล่า”

หลี่เจี่ยซิน

“แล้วเกี่ยวอะไรกับฉันล่ะ เธออย่ามาพาลนะ”

หลิวไห่ไม่รู้ตัวเลยว่าเนื้อตรงนี้ของเขามันจะแข็งขึ้นมาแบบนี้ เขาหุบขาเข้าด้วยกันแล้วพูดว่า

“ฉันไม่ได้ตั้งใจนะมันเกิดขึ้นเอง”

หลี่เจี่ยซินกลับไม่ถือสา ยังรู้สึกดีที่ได้ช่วยเขา หลี่เจี่ยซินน้ำตาคลอด้วยความตื่นเต้น ทั้งยังพูดกับเขาเสียงสั่นว่า

“ที่ผ่านมาเธอลำบากมากไม่ใช่เหรอ กว่างูของเธอจะผงกหัวได้ก็ต้องอาศัยยาช่วยมาโดยตลอดจนเธออยากจะตัดมันทิ้งเพราะเธอเห็นมันเป็นส่วนเกินของร่างกาย วันนี้มีเรื่องแปลกมาก ๆ เลย ฉันดีใจที่มันลุกขึ้นมาต่อสู้ด้วยตัวของมันเองแล้ว นี่เป็นเรื่องดีเลยนะฉันดีใจด้วยจริง ๆ”

หลี่เจี่ยซินทั้งดีใจและเข้าใจในตัวหลิวไห่ เธอกอดเขาอย่างสบายใจและร้องไห้ออกมาจริง ๆ

หลิวไห่บรรลุแล้ว ที่แท้น้องชายของเขาเป็นพวกนกเขาไม่ขันจนต้องได้ใช้ยาช่วยหรอกเหรอ ความสนิทสนมของเฉินเฟยอวี๋กับหลี่เจี่ยซินนี่มันถึงขั้นไหนกันนะ เหมือนผู้หญิงกับผู้หญิงที่คุยกันทุกเรื่องแบบนั้นเหรอ

เป็นแบบนี้ก็ดีเพราะในตอนนี้หลิวไห่ทั้งดีใจมากและโล่งใจที่หลี่เจี่ยซินไม่เข้าใจเขาผิดจนลุกขึ้นมาจับเขาทุ่มใส่กำแพง

เขาขอบคุณเธอเบา ๆ และพบว่าร่างนุ่มนิ่มที่กอดเขาอยู่ในตอนนี้หลับไปแล้ว

“เสี่ยวเจี่ย เสี่ยวเจี่ย ที่รัก ที่รัก”

หลิวไห่นอนไม่หลับ เขาไม่กล้าขยับตัว นี่เป็นคืนแรกที่เขานอนกับผู้หญิงคนหนึ่งโดยที่ไม่มีอะไรกัน

หลี่เจี่ยซินคือผู้หญิงที่เขาต้องการและตามหามานาน เมื่อได้พบแล้วเขาก็อดไม่ได้ที่อยากจะทำเรื่องแบบนั้นกับเธอ แต่หญิงสาวคนนี้กลับนอนหลับเสียสนิท

สุดท้ายแล้วหลิวไห่ก็ลืมคำที่สัญญากับน้องชายของตัวเอง

เขายกมือโอบร่างของหลี่เจี่ยซินเอาไว้และขยับตัวให้เธอเป็นฝ่ายมาอยู่ในอ้อมกอดของเขาแทน

เมื่อสัมผัสแนบชิดแบบนี้ทำให้เขาร้อนรุ่ม หน้าอกอวบของเธอชิดอยู่กับหน้าอกเปลือยของเขา หลิวไห่กลั้นหายใจเบียดหลี่เจี่ยซินเข้ามาอีกหน่อย

เขาค่อย ๆ ล้วงมือเข้าไปในเสื้อยืดของเธอจับหน้าอกนุ่มของเธอด้วยหัวใจที่เต้นแรง เขาตื่นเต้นมาแต่แล้วกลับถูกหลี่เจี่ยซินจับมือของเขาแน่นแล้วพึมพำออกมา

“อยากตายเหรอไอ้โจรชั่ว”

หลิวไห่แทบจะกระโดดออกจากร่างของหญิงสาวเมื่อถูกจับได้คาหนังคาเขา

เธอพูดจบหลี่เจี่ยซินกลับปล่อยเขาเธอพลิกตัวแล้วนอนหันหลัง พึมพำอีกหลายประโยคออกมา

หลิวไห่โบกมือผ่านหน้าของเธอหลายครั้ง แต่หลี่เจี่ยซินก็ไม่ตื่น เขาจึงถอนหายใจออกมา

“ละเมอเหรอ”

เขาคุยกับตัวเอง รู้สึกเจ็บที่ข้อมือทั้งยังชาเล็กน้อย ตอนนี้หลิวไห่ไม่กล้าแตะตัวเธอแล้ว เขาทิ้งตัวลงนอนตั้งใจจะไม่สัมผัสเธออีก แต่หลี่เจี่ยซินกลับหันหน้ามาทั้งเกยขาและกอดเขาเอาไว้

ปรากฎว่าคืนนี้ทั้งคืนหลิวไห่ไม่สามารถข่มตาหลับได้เลย

เช้าวันต่อมา

หลี่เจี่ยซินตื่นขึ้นมาอย่างสดชื่น เธอบิดขี้เกียจแล้วอ้าปากหาวรู้สึกว่าตัวเองนอนสบายมาก ๆ จนกระทั่งมือไปโดนที่หน้าขาของคนคนหนึ่ง เธอหันมามองต้องสะดุ้งจนลุกพรวดขึ้นมาเมื่อเห็นว่าเป็นเฉินเฟยอวี๋ที่นั่งพิงหัวเตียงด้วยท่าทางซึมกะทือ

หลี่เจี่ยซินขยี้ตาเมื่อเห็นเขาชัดเจนเธอจึงรีบเด้งเข้าไปหาเขาด้วยความตกใจ

“ที่รักเป็นอะไร ทำไมตาเป็นแพนด้าแบบนั้น นี่หน้าตายังซีดขนาดนี้เกิดอะไรขึ้น ไม่สบายเหรอ”

หลี่เจี่ยซินยกมือจับหน้าผากของเขาและหน้าผากของตัวเอง เมื่อเห็นว่าเขาตัวไม่ร้อนก็รู้สึกสบายใจเล็กน้อย แต่ทำไมหน้าตาเป็นแบบนั้นล่ะ

“ไม่มีอะไรหรอก คิดหลายเรื่องน่ะเลยนอนไม่ค่อยหลับ”

เขายิ้มอย่างอ่อนแรง นั่นเป็นเพราะเมื่อคืนเขาต้องการหลี่เจี่ยซินเป็นอย่างมาก จนนอนไม่หลับ

พอสัมผัสถูกเธอแค่เล็กน้อยก็ถูกหลี่เจี่ยซินจับหักแขนหักขาโดยไม่รู้ตัว ความต้องการของเขาหดหายและคงเหลือเพียงความเจ็บปวดแทน เขาจึงได้แต่ลุกขึ้นมานั่งอยู่แบบนี้แทบทั้งคืน ปล่อยให้เธอนอนกลิ้งตัวอยู่บนเตียงใหญ่ของเขาอย่างมีความสุข

หลี่เจี่ยซินไม่รู้หรอกว่าชายหนุ่มคิดอะไรอยู่ เขาบอกอะไรเธอก็เชื่อ

“บอกแล้วยังไงล่ะว่าอย่าคิดมาก ฉันปกป้องที่รักเอง เราเป็นคู่หมั้นกันนะถึงจะแค่ในนามก็เถอะ”

หลี่เจี่ยซินสงสารเฉินเฟยอวี๋มาก สาวน้อยหวาดกลัวจนนอนไม่หลับจริง ๆ เธอจึงตัดสินใจแล้ว

“เอาล่ะ ตั้งแต่คืนนี้ไปฉันจะมานอนเป็นเพื่อนเอง ไม่ต้องกลัวนะ”

หลิวไห่เบิกตาโพลง เขาตกใจมากแล้วบอกว่า

“อย่าเลยลำบากเธอเปล่า ๆ ฉันไม่ได้กลัวแล้วนะ ไม่ได้กลัวจริง ๆ”

หลี่เจี่ยซินยิ้มหวาน เห็นท่าทางของเพื่อนสาวเป็นแบบนี้ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองต้องทุ่มเทปกป้องให้มากขึ้น

“ไม่เป็นไร ไม่ต้องเกรงใจ ฉันจะปกป้องเธอแม้กระทั่งยามนอน”

ถึงหลิวไห่จะปฏิเสธแต่หลี่เจี่ยซินก็ยังยืนกราน เขาจึงได้แต่ถอนหายใจออกมาและพยักหน้ายอมรับอย่างไม่เต็มใจ

หลี่เจี่ยซินเหมือนคิดอะไรออก เธอมองไปที่เป้าของเขาแล้วถามโดยไม่รู้สึกกระดากอายเลยสักนิด

“ว่าแต่ว่างูของที่รักผงกหัวหรือเปล่าเช้านี้ เมื่อคืนเหมือนมันจะดีแล้วนะ”

หลิวไห่กุมแท่งเอ็นของตัวเองเอาไว้ ขยับถอยห่าง

“เธออย่ากังวลเลย ฉันจัดการได้นะ”

หลี่เจี่ยซินส่ายหน้า ยังยืนกรานที่จะทดสอบ

“มาฉันดูหน่อย ถ้ามันตื่นแปลว่าอาการดีขึ้นแล้วยังไงล่ะ แต่ก่อนเธอก็ปรึกษาฉันทุกเรื่องนี่ กระทั่งเอาให้ดูก็ยังบ่อยเลย”

หลิวไห่ด่าเฉินเฟยอวี๋ในใจ

ไอ้น้องบ้า ทำไมถึงได้ไม่รักนวลสงวนตัวสักนิด ปล่อยให้คนอื่นเห็นงูของตัวเองง่าย ๆ ได้ยังไง ยังเป็นหลี่เจี่ยซินอีก

ยังไงหลิวไห่ก็ไม่ยินยอม แต่เขาสู้แรงหลี่เจี่ยซินไม่ได้

เขาถูกหญิงสาวจับกางขาแล้วทับเอาไว้ด้วยขาของตัวเอง ยังจับเขากดลงบนเตียงอย่างง่ายดาย ยังมีสายตาชั่วร้ายของเธอที่แลดูเหมือนโจรปล้นสวาท ทำให้หลิวไห่ขนลุกขึ้นมา

หลี่เจี่ยซินยิ้มเหี้ยมเกรียม

“ขอดูหน่อยไม่ต้องอายนะ”

แล้วเธอก็ล้วงมือเข้าไปในกางเกงของเขา หลิวไห่หน้าแดงยังถูกมือนุ่มนิ่มของเธอสัมผัส แน่นอนว่าเขามีความรู้สึกกับเธออยู่แล้ว หัวงูยักษ์ของเขาย่อมต้องผงกขึ้นมาสู้มือ

“โอ้ที่รักงูของเธอมันตื่นแล้ว”

หลี่เจี่ยซินบอกเขาอย่างดีใจ เธอกำลังจะปล่อยเขาอยู่แล้ว หลิวไห่ทั้งมีอารมณ์ทั้งอับอายที่ถูกผู้หญิงคนหนึ่งจับกด จู่ ๆ หลี่เจี่ยซินกลับไม่ยอมปล่อย เธอบอกเขาว่า

“เดี๋ยวเรามาลองดูดีหรือเปล่าว่ามันจะใช้การได้นานขนาดไหน”

หลิวไห่ส่ายหน้า

“อย่านะ เสี่ยวเจี่ย อย่าทำฉันเลย ปล่อยฉันเถอะนะ ฉันขอร้อง ฉัน อ๊า ฉัน”

หลิวไห่เหมือนสาวน้อยขี้อายที่กำลังจะถูกปล้นสวาท ทั้งพยายามขัดขืนแต่กลับสู้แรงคนตัวเล็กกว่าไม่ได้

หลี่เจี่ยซินจูบแก้มเขาอย่างปลอบประโลม น้ำเสียงอ่อนโยนเป็นอย่างมาก

“ไม่เป็นไรหรอกน่า ฉันจะช่วยเธอรักษาเองถึงเธอจะเห็นว่ามันเป็นส่วนเกินก็ตาม นั่นคงเป็นเพราะว่าเธอไม่เคยได้ใช้ประโยชน์จากมันจริง ๆ เลยสักครั้ง เรามาพยายามด้วยกันเถอะนะ”

หลิวไห่อยากจะตะโกนใส่หน้าเธอว่า

พยายามกับป้าเธอน่ะสิ แต่เขาก็ได้แต่กัดปากเอาไว้

หลี่เจี่ยซินเริ่มต้นรูดท่อนเนื้อของเขา หลิวไห่เองเก็บกดมาตั้งแต่เห็นหน้าเธอ มือของหลี่เจี่ยซินทั้งอุ่นทั้งนุ่ม และยังคล่องแคล่วอีก เมื่อคืนเขาก็กอดเธอทั้งคืนและยังแอบจับหน้าอกของเธอ ถึงแม้ว่าจะถูกเธอตีจนเจ็บก็ตามเถอะ

เธอชักรูดให้เขาไม่กี่ครั้ง หลิวไห่ที่เก็บกดมาทั้งคืนก็ครางออกมา

“อ๊า เสี่ยวเจี่ย อ๊า สะ เสร็จแล้ว อ๊า ซี๊ด”

หลี่เจี่ยซินหัวเราะชอบใจ มือของเธอยังเร่งจังหวะจนกระทั่งเขาปล่อยน้ำเต็มฝ่ามือ

เธอรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นหมอคนหนึ่งที่ได้ช่วยคนไข้ เกิดความภาคภูมิใจเป็นอย่างมาก ถึงจะเร็วไปไม่ถึงนาทีก็ยังสามารถช่วยเขาได้ นับว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีมาก

“ที่รัก มันคายน้ำแล้วถึงจะไวมากก็เถอะ แบบนี้เขาเรียกนกกระจอกไม่ทันกินน้ำหรือเปล่า”

หลี่เจี่ยซินชอบใจในขณะที่หลิวไห่อับอายและเสียวที่ได้ปลดปล่อยจนได้แต่ครางแผ่ว ทั้งยังไม่สามารถเอ่ยคำพูดแก้ต่างให้ตัวเองได้แม้แต่ประโยคเดียว

ครั้งแรกของเขาก็ถูกหลี่เจี่ยซินปรามาสว่า นกกระจอกไม่ทันกินน้ำเสียแล้ว

หลิวไห่ในตอนนี้รู้สึกอยากจะแทรกแผ่นดินหนีเหลือเกิน

หนึ่งชั่วโมงต่อมา

หลี่เจี่ยซินในชุดเสื้อยืดกางเกงบอลตัวใหญ่ก็เข้ามาที่ห้องของหลิวไห่ ในมือของเธอยังมีนมอุ่นติดมาด้วย หลิวไห่นอนรอเธออยู่คลุมผ้าห่มจนเหลือเพียงแต่ศีรษะที่โผล่ออกมา หลี่เจี่ยซินยื่นนมให้เขาแล้วพูดว่า

“กินนมเสียหน่อยจะได้นอนหลับสบายลืมเรื่องวันนี้ไปเถอะนะ”

หลิวไห่ยิ้ม เขาลุกขึ้นรับนมจากมือของหลี่เจี่ยซินแล้วดื่มอย่างเชื่อฟัง

หลี่เจี่ยซินนั่งนิ่งเหมือนกำลังตกใจบางอย่าง หลิวไห่มองเธอเห็นหญิงสาวจับจ้องอยู่ที่หน้าอกที่เต็มไปด้วยกล้ามของเขาแล้วก็ต้องตกใจถึงกับสำลักนมจนไอออกมา

หลี่เจี่ยซินได้สติเธอรีบหยิบทิชชู่มาเช็ดนมที่เลอะหน้าอกให้เขา หลิวไห่จับได้ว่าหญิงสาวยังแอบลูบกล้ามของเขาไปหลายครั้ง

หลิวไห่กลืนน้ำลายเหนียวลงคอ เขาวางแก้วนมลงที่โต๊ะข้างเตียงแล้วยกมือปิดหัวนมสีชมพูของตัวเองเอาไว้อย่างหวงแหนและเหนียมอายพร้อมขยับตัวออกห่างจากหลี่เจี่ยซิน

“ที่รักเธอจ้องเหมือนอยากจะกินฉันเลยนะ คิดอะไรหรือเปล่าเนี่ย”

หลิวไห่พูดคล้ายจะติดตลก ผู้หญิงแรงเยอะคนหนึ่งในชุดนักบอลตัวใหญ่อยู่ในห้องเขา ยังมองเขาด้วยสายตาหื่นกระหายและลวนลามเขาโดยไม่ไว้หน้า

ทำให้หลิวไห่รู้สึกใบหน้าร้อนจนเห่อขึ้นมา

หลี่เจี่ยซินชะงักกึก เธอเผลอใจไปได้ยังไง มองนิ้วมือของตัวเองที่กำลังลูบหน้าอกของเขาอยู่ถึงกับต้องรีบดึงออกมา

แม้ว่าจะเสียดายแค่ไหนก็ตามที

เอาล่ะเธอจะเป็นคนแบบนี้ไม่ได้ ถึงเฉินเฟยอวี๋จะมีรูปร่างราวกับเทพบุตรแต่หลี่เจี่ยซินเธอจะลืมไม่ได้ว่าเขาเป็นเพียงสาวน้อยคนหนึ่งที่จิตใจบอบบางและตื่นตระหนกง่ายเป็นอย่างยิ่ง

หญิงสาวขับไล่ความคิดบ้าบอของตัวเองออกไป แล้วยิ้มอ่อนหวานเอาอกเอาใจเขา

“ขอโทษนะ ฉันไม่ได้ตั้งใจมันเผลอไปนิดหน่อย”

หลิวไห่หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก นี่เขาต้องระมัดระวังว่าหลี่เจี่ยซินจะปล้ำเขาหรือเปล่าอย่างนั้นเหรอ

ท่าทางของเธอในตอนนี้ก็ยังหื่นอยู่ดี เขายังแอบเห็นหลี่เจี่ยซินเช็ดน้ำลายอีกด้วย

“เอาล่ะ ไม่มีอะไรแล้วเรานอนกันดีกว่า”

หลี่เจี่ยซินกลัวว่าถ้าขืนยังเปิดไฟอยู่ และยังเห็นกล้ามแน่น ๆ ของเขาแบบนี้จะทำให้เธออดใจไม่ไหวไล่ปล้ำสาวน้อยหน้าหล่อคนนี้เข้า เธอจึงเอื้อมมือไปปิดไฟหัวเตียงทั้งสองข้าง แต่ก็ยังมีแสงจากไฟดวงเล็ก ๆ ที่อยู่บนผนังด้านบนทำให้มองเห็นคนที่อยู่ใกล้ ๆ อยู่ดี

หลิวไห่ยังถูกหลี่เจี่ยซินจ้องจนแทบหน้าจะไหม้อยู่แล้ว เขากระแอมแล้วบอกเธอ

“เอ่อ ฉะ ฉัน ขอใส่เสื้อก่อนดีกว่า”

หลี่เจี่ยซินร้องออกมา

“ไม่ได้”

เธอกดตัวของหลิวไห่ให้นอนลงด้วยแรงที่หลี่เจี่ยซินคิดว่าเล็กน้อย แต่ทำเอาหลิวไห่ขยับตัวไม่ได้อีกทั้งน้ำเสียงของเธอค่อนข้างดุจนหลิวไห่ชักกลัวเล็กน้อย

“ทะ ทำไม่ล่ะ”

หลี่เจี่ยซินตกใจตัวเองที่ตะคอกเฉินเฟยอวี๋ออกไป เธอเคาะหน้าอกของเขาแล้วบอกว่า

“เปิดปิดไฟบ่อย ๆ มันไม่ดีนะ นอนเถอะฉันไม่ทำอะไรที่รักหรอกสัญญา”

อันที่จริงในตอนแรกหลิวไห่แค่ต้องการแกล้งหลี่เจี่ยซิน เขาอยากจะเห็นเธอจะตกใจแค่ไหนที่เห็นเขาไม่ใส่เสื้อนอนนอกจากกางเกงบ็อกเซอร์ตัวเดียว ที่ไหนได้เขากลับไม่เห็นความเหนียมอายของหลี่เจี่ยซินเลย

คนที่กำลังตกเป็นเหยื่อในตอนนี้กลายเป็นตัวเขาเอง เขาไม่น่าเล่นกับไฟเลย เขาคิดผิดไปจริง ๆ

เขารับปากเฉินเฟยอวี๋แล้วว่าจะไม่ล่วงเกินหลี่เจี่ยซินหรือทำให้เธอเสียใจตื่นตระหนกเป็นอันขาด แต่ตอนนี้คนที่กำลังตื่นตระหนกกลับเป็นเขาเองแล้ว

หลี่เจี่ยซินเองกลับนอนไม่หลับ เธอรู้สึกว่าเฉินเฟยอวี๋ท่าทางแปลก ๆ แต่เมื่อเห็นท่าทางของเฉินเฟยอวี๋ในตอนนี้ที่ดูเหมือนจะหวาดกลัวเธอเอามากก็อยากจะตีหัวของตัวเองนัก

เธอจะคิดมากไปทำไม คนที่น่ากลัวย่อมเป็นเธออยู่แล้ว ด้วยแรงเท่ามดของเฉินเฟยอวี๋จะทำอะไรเธอได้เล่า

เขาเป็นเพื่อนที่ดีและเจ้านายของเธอหลี่เจี่ยซินจะไม่ทำให้เขาตกใจอีก

ถึงแม้ว่าจะชอบรูปร่างและหน้าตาของเฉินเฟยอวี๋มากแค่ไหนก็ได้แต่หักห้ามตัวเองเอาไว้

“ที่รักฉันขอโทษนะ”

เอาล่ะเธอสบายใจที่ได้บอกขอโทษเขา

ในขณะที่หลิวไห่มึนงง ผู้หญิงคนนี้เป็นอะไรของเขากัน หรือว่ามันจะเป็นเรื่องความรู้ใจระหว่างเฉินเฟยอวี๋และหลี่เจี่ยซินกันนะ

หลิวไห่ไม่รู้ว่าหญิงสาวจู่ ๆ มาขอโทษเขาด้วยเรื่องอะไร เขาจึงได้แต่เล่นตามบท

“ไม่เป็นไร แต่อย่าทำอีกนะ”

เขาก็พูดไปเฉย ๆ หลี่เจี่ยซินยิ้มแล้วบอกว่า

“ได้สิ ฉันจะไม่แตะต้องร่างกายของที่รักอีกสบายใจได้”

หลิวไห่อยากจะประท้วง ใครเขาให้เธอสัญญาอะไรแบบนั้นกัน เขากระแอมแล้วพูดว่า

“อย่าคิดมากแบบนั้นสิ ฉันชอบที่เธอจับฉันนะ”

หลี่เจี่ยซินเชยคางเขาขึ้นทั้งสองสบตากันอย่างมีความหมาย หญิงสาวเห็นใบหน้าหล่อ ๆ ของเฉินเฟยอวี๋ในตอนนี้ที่ผมปรกหน้าผากลงมา ท่าทางเหมือนเด็กมัธยมปลายก็อดรู้สึกว่าเขาน่ารักไม่ได้

เธอปัดปอยผมให้เขา จูบที่แก้มใสของเฉินเฟยอวี๋เบา ๆ

“ฝันดีนะ คืนนี้ฉันจะกอดเธอหน่อยคงไม่เป็นไร”

หลี่เจี่ยซินดึงร่างหนาของเฉินเฟยอวี๋มากอด ในขณะที่ชายหนุ่มผู้ได้รับจูบอันนุ่มนวลของเธอยังคงร่างกายแข็งค้าง ช่างเป็นความอ่อนโยนที่เขาไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน

ความรู้สึกแบบนี้ทำให้เขาอิจฉาน้องชาย ที่ผ่านมาในเวลาที่เขาโดดเดี่ยวเฉินเฟยอวี๋กลับมีร่างนุ่มนิ่มและสัมผัสอ่อนโยนของหลี่เจี่ยซินเคียงข้าง

สวรรค์ช่างโหดร้ายกับเขาเสียจริง

เฉินเฟยอวี๋พาดมือของเขาเข้าที่ร่างของเธอ ร่างกายบอบบางของหลี่เจี่ยซินกอดเขาเอาไว้และลูบศีรษะของอย่างอ่อนโยนจนกระทั่งเขาเกือบจะหลับไปแล้ว กระทั่งหลี่เจี่ยซินพูดว่า

“ที่รักงูของที่รักแทงหน้าขาของฉันแล้วควรจัดการยังไงดี”

หลี่เจี่ยซินรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง คู่หมั้นของเธอคนนี้ปกติไม่ค่อยชอบกอดกับเธอเท่าไหร่ มีหลายครั้งที่หลี่เจี่ยซินเผลอตัวไปกอดเขาหลายครั้งยังถูกถีบออกมาอีก

แต่เอาล่ะวันนี้เฉินเฟยอวี๋คงจะตื่นกลัวมาก หลี่เจี่ยซินจึงเป็นฝ่ายดึงเขาเข้ามากอดอย่างแนบแน่น

หลิวไห่แอบยิ้ม เขากอดเธอแน่นยังแกล้งตัวสั่นอีกด้วย เขาถามเธอเสียงเบา

“ดูเหมือนว่าที่รักจะยิงปืนแม่นมาก”

หลี่เจี่ยซินจึงบอกว่า

“ก็รู้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ทักษะพวกนี้จริง ๆ ก็แค่ฝึกเล่น ๆ แต่ดันเก่งก็งงเหมือนกัน”

หลิวไห่จึงแกล้งแซว

“น่าจะไปสมัครเป็นนักยิงปืนทีมชาติ คงได้เหรียญทองโอลิมปิกแน่”

หลี่เจี่ยซินปล่อยเขา แล้วหัวเราะ

“อยู่กับที่รักได้เงินเยอะกว่าไม่ใช่เหรอ ถึงตอนนี้ที่รักจะกำลังถังแตกก็เถอะ”

หลิวไห่ถามเธอตรงไปตรงมา

“รู้แล้วว่ากำลังจะถังแตกทำไมยังอยู่ด้วยล่ะ”

หลี่เจี่ยซินลูบศีรษะของเขาอย่างเคยชิน

“ก็สงสารผู้หญิงตัวเล็ก ๆ อย่างที่รัก ถ้าฉันไม่อยู่ใครจะดูแลเธอล่ะ เอาเป็นว่าไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว ที่รักรีบกลับมารวยเราสองคนจะได้ไม่อดตายอยู่กันอย่างมีความสุขจนแก่เฒ่าไปด้วยกันดีหรือเปล่า เธอห้ามทิ้งฉันไปมีสามีก่อนแล้วกัน”

หลิวไห่พูดว่า

“ไม่มีทาง ฉันคิดจะอยู่กับที่รักจนวันสุดท้ายนั่นแหละ”

หลี่เจี่ยซินหัวเราะ เธอออกรถและบอกว่า

“เรารีบกลับบ้านกันดีกว่า วันนี้เหนื่อยมาทั้งวันยังมาเจออะไรแบบนี้อีก”

หลิวไห่พยักหน้า เขาเอื้อมมือไปดึงมือของหลี่เจี่ยซินมาจับ หญิงสาวมองเขาด้วยความสงสาร

“ยังไม่หายกลัวเหรอ เหงื่อชื้นเต็มฝ่ามือเลย”

“อืม ยังตกใจอยู่เลย จับมือจนถึงบ้านได้หรือเปล่า”

“ได้สิ”

หลี่เจี่ยซินอนุญาตในขณะที่หลิวไห่ยังทำท่าอ่อนแอ ซบหน้าเข้าที่แขนเล็ก ๆ ของเธออีก หลี่เจี่ยซินขับรถจนถึงบ้านเธอจอดรถแล้ววิ่งอ้อมมาด้านเปิดประตูรถให้หลิวไห่ ช่วยประคองเขาลงจากรถเมื่อคู่หมั้นของเธอทำท่าทางว่าจะเดินไม่ไหว

“ดูจะกลัวมากจริง ๆ ปกติเจอก็ไม่ขนาดนี้นี่”

หลิวไห่จึงพูดว่า

“วันนี้คงทั้งเดินทางมาไกล ทั้งไปบ้านคุณย่าเหนื่อยมากทั้งยังมาเจอเรื่องแบบนี้อีกน่ะ”

หลี่เจี่ยซินประคองเขาเข้าไปในบ้าน สั่งคนใช้ให้ไปเตรียมน้ำให้เขาอาบ หลิวไห่ไม่รู้ว่าห้องตัวเองอยู่ไหนจึงอ้อนหลี่เจี่ยซิน

“ที่รักพาเค้าไปที่ห้องหน่อยสิ เขาเดินไม่ไหวอีกแล้ว”

หลี่เจี่ยซินจึงเป็นฝ่ายเดินนำโดยมีผู้ชายร่างโตออดอ้อนอยู่ข้าง ๆ หลี่เจี่ยซินรู้สึกเดินลำบากจึงบอกเขาว่า

“ที่รักจะอุ้มเธอเองนะ สาวน้อย”

ว่าแล้วหลี่เจี่ยซินก็ทำในสิ่งที่หลิวไห่ไม่คาดคิด เมื่อหญิงสาวตัวเล็กร่างบางทั้งยังนุ่มนิ่มเหมือนนุ่นคนนี้จู่ ๆ ก็ช้อนข้อพับขาของเขาทั้งสองข้างแล้วอุ้มเขาขึ้นจนตัวลอย

หลิวไห่ลืมตัวด้วยความตกใจจึงร้องเสียงดังออกมา

“เฮ้ย ทำไรน่ะ”

หลี่เจี่ยซินกลับมองเขาด้วยความสงสัย

“ที่รักเป็นอะไร ปกติเมาฉันก็อุ้มเธอตลอดนี่ ไม่เห็นต้องทำเสียงตกใจขนาดนี้ ดูสิเสียงแมนหลุดเลย”

หลิวไห่ที่ยังตกใจไม่หายเกือบจะยกมือตีศีรษะของตัวเองแล้ว เขารู้ว่าเธอแรงเยอะแต่นี่จะไม่มากเกินไปเหรอที่สามารถอุ้มผู้ชายร่างกายสูงกว่าเธอเกือบยี่สิบเซ็นติเมตร อีกทั้งกล้ามเป็นมัด ๆ แบบนี้ราวกับปุยนุ่น

นี่จะไม่มากเกินไปเหรอ มันจะขายหน้าเกินไปแล้ว สรุปแล้ว หลี่เจี่ยซินคนนี้เป็นตัวอะไรกันแน่

หลิวไห่ปรับอารมณ์ของตัวเองอย่างรวดเร็ว เขาซบเข้ากับไหล่เล็ก ๆ ของเธอแล้วพูดเบา ๆ ว่า

“พาเขาไปที่ห้องเถอะ ทีหลังจะอุ้มก็บอกกันก่อนนะ คนมันตั้งตัวไม่ทันน่ะ”

หลี่เจี่ยซินคิดว่าวันนี้คงหนักหนาสำหรับคู่หมั้นของเธอมากไปแล้ว ปกติเฉินเฟยอวี๋ทั้งขี้กลัวทั้งอ่อนแอ เขาเคยถูกไล่ล่ามาบ้างแต่วันนี้ดูจะเป็นวันแรกที่ประจันหน้ากับคนร้าย ย่อมตกใจจนแปลกประหลาดเป็นธรรมดา

“ขอโทษแล้วกัน วันหลังจะไม่อุ้มเธอโดยพละการอีก”

หลี่เจี่ยซินอุ้มหลิวไห่จนถึงห้อง เธอยังจะช่วยเขาถอดเสื้อผ้าอีกด้วย หลิวไห่ตกใจจนเกือบจะร้องออกมา

ในขณะที่หลี่เจี่ยซินมึนงงกับท่าทางที่แปลกประหลาดของหลิวไห่ตั้งแต่เจอหน้ากันวันนี้

“ที่รักเธอแปลกไปมากนะ ปกติก็ให้ฉ้นช่วยถอดเสื้อผ้าอาบน้ำไม่ใช่เหรอ อะไรต่ออะไรของเธอก็เห็นจนหมดแล้วนี่”

หลี่เจี่ยซินชินกับเขา เพราะปกติเฉินเฟยอวี๋มักจะเมากลับบ้าน และพาผู้ชายมานอนด้วย หลายครั้งที่เมาหลับตรงหน้าบ้านหรือจะเป็นที่บรรไดก็เป็นเธอที่หอบหิ้วเขาขึ้นมาบนห้อง ยังช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้าอาบน้ำให้เหมือนเด็ก ๆ

แรก ๆ หลี่เจี่ยซินก็รู้สึกอายอยู่บ้าง แต่ระยะหลังเธอทำจนกลายเป็นเรื่องเคยชิน และงูของเฉินเฟยอวี๋เมื่ออยู่ต่อหน้าเธอไม่เคยผงาดเลยสักครั้ง เอาแต่หลับเหมือนโดนวางยา

หลี่เจี่ยซินรู้ว่าเขาไม่ชอบผู้หญิง เพราะจิตใจของเฉินเฟยอวี๋เป็นผู้หญิงเหมือนกัน เธอจึงเห็นเขาเป็นเพื่อนสาวที่แท้จริงมาตลอด

แต่วันนี้เฉินเฟยอวี๋ของเธอดูเปลี่ยนไปมากจริง ๆ จนเธอเริ่มสงสัยบางอย่าง

หลิวไห่เห็นท่าทางของหลี่เจี่ยซินแล้วในใจอยากจะเปิดเผยความจริง แต่อีกใจหนึ่งก็คิดว่ารับปากน้องชายเอาไว้แล้ว อยากให้หลี่เจี่ยซินยังอยู่บ้านนี้กับเขาอย่างสนิทใจ และต้องการใกล้ชิดกับเธอ เขาจึงพูดว่า

“ก็ฉันบอกแล้วว่าฉันจะพยายามเป็นผู้ชายนี่ ที่รักยังทำเหมือนเดิมเมื่อไหรฉันจะเป็นผู้ชายได้ล่ะ”

“อ้อ ที่แท้ก็แบบนี้”

หลี่เจี่ยซินพยักหน้าเข้าใจ เธอชี้ไปที่ประตู

“งั้นที่รักดูแลตัวเองนะ ฉันออกไปก่อนมีอะไรก็เรียกได้ตลอด”

หลิวไห่จับแขนของเธอเอาไว้แล้วบอกว่า

“ที่รักแต่คืนนี้เค้ากลัวอยู่เลย อาบน้ำเสร็จมานอนเป็นเพื่อเค้านะ”

หลี่เจี่ยซินยิ้ม เธอเขย่งเท้าแล้วดึงเขาลงมาให้ก้มต่ำ ก่อนจะยกมือลูบศีรษะของหลิวไห่อีกครั้ง ดูเหมือนว่ากิริยานี้หลี่เจี่ยซินจะเคยชินแล้วหญิงสาวยังบอกเขาเสียงเบาว่า

“ได้สิเจ้าลูกหมา เดี๋ยวที่รักมานอนด้วยนะ อีกสักชั่วโมงจะเข้ามาหาแล้วกันที่รักขอไปอาบน้ำก่อนนะ”

หลี่เจี่ยซินยังจูบที่แก้มเขาเบา ๆ หลิวไห่ตกตะลึงจนกระทั่งหญิงสาวเดินออกไป หลิวไห่ยังยืนอยู่หน้าประตูแล้วจับแก้มที่ถูกเธอจูบเมื่อสักครู่โดยไม่ขยับตัวแม้แต่น้อย

กระทั่งเขายิ้มออกมา ความรู้สึกร้อนจากริมฝีปากของหญิงสาวยังคงอยู่ที่ตรงนั้น หลิวไห่พึมพำโดยที่ตัวเองยังไม่รู้ตัว

“หลี่เจี่ยซิน เธอเป็นใครถึงมาทำให้หัวใจของฉันเต้นแรงได้ขนาดนี้”

น่าเสียดายที่วันนี้กว่าเขาจะออกจากบ้านคุณย่าของหลี่เจี่ยซินก็มืดค่ำแล้ว หลิวไห่จึงได้แต่ต้องรอให้ถึงวันพรุ่งนี้เพื่อที่จะเดินทางไปยังบ้านเก่าของเขาเพื่อไปเอาจดหมายในตู้ไปรษณีย์ที่เขาเช่าเอาไว้

ขับรถออกมาได้ไม่นาน หลี่เจี่ยซินก็รู้สึกถึงบางอย่าง

“ที่รักคุณก้มตัวลงต่ำหน่อย อย่าเงยหน้าขึ้นมาเด็ดขาดนะ อันตราย ถ้าเสียงดังให้ใช้นิ้วอุดหูเอาไว้”

หลิวไห่เองก็รู้สึกถึงความผิดปกติ เขามองหลี่เจี่ยซินพลางทำหน้าสงสัย เธอยังเปิดเพลงเสียงดังเหมือนกำลังจะกลบเสียงบางอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้นพร้อมกับพูดว่า

“ฉันคิดว่ามีคนตามเรามา ระวังเอาไว้ก่อนก็ดี”

หลิวไห่เองต้องทำตัวอ่อนแอให้หลี่เจี่ยซินปกป้อง แม้ว่าเขาจะสามารถดูแลตัวเองได้และยังรู้สึกกระดากที่ต้องให้ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ อย่างหลี่เจี่ยซินปกป้องก็ตาม

“พวกมันคงจ้องวันที่ที่รักจะกลับมาคิดจะลงมือวันนี้ ไม่มีทางหรอกฉันไม่มีวันยอม”

“พวกมันจ้องเล่นงานฉันเหรอ”

หลิวไห่ถามด้วยความสงสัย แต่เขาคิดว่าคนของสกุลกู้ชอบใช้วิธีนี้อยู่แล้วก็ไม่มีอะไรแปลกอยู่แล้ว

“ใช่ มันคงโกรธที่ที่รักไม่ยอมขายบริษัทให้มัน คงคิดสั่งสอน แต่คอยดูเถอะวันนี้ว่าใครกันแน่ที่จะสั่งสอนใคร”

หลี่เจี่ยซินพูดขึ้น เธอเร่งความเร็วของรถและขับแซงคันอื่นอย่างน่าหวาดเสียว หลิวไห่ก้มตัวตามที่หลี่เจี่ยซินบอก เขาไม่ต้องการให้หลี่เจี่ยซินสงสัยจึงแสดงสีหน้าคล้ายจะวิตก ยังแกล้งทำเสียงอ่อนทั้งยังสั่นเครือบอกหลี่เจี่ยซินให้ระวัง

“ที่รัก คุณระวังด้วยนะ”

“ไม่ต้องห่วง เธอก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าฉันดูแลตัวเองและปกป้องเธอได้”

หลี่เจี่ยซินยังมีเวลาปล่อยพวงมาลัยแล้วลูบหัวเขาคล้ายเป็นลูกหมาตัวหนึ่งที่เธอต้องปกป้อง

หญิงสาวเหยียบคันเร่งจนมิด หลิวไห่ในใจอยากเห็นว่าหลี่เจี่ยซินจะเก่งแค่ไหน นอกจากแรงที่เธอมีแล้วการขับรถของเธอก็นับว่าเป็นเทพเจ้าซิ่งสายฟ้าได้เลยทีเดียว

และเห็นอย่างที่หลี่เจี่ยซินคาดเดา มีรถสองคันที่ตามพวกเขามา คันหนึ่งเป็นมอเตอร์ไซต์และอีกคันหนึ่งเป็นรถเก๋งที่เครื่องแรงไม่ใช่น้อย

หลี่เจี่ยซินเร่งเครื่องพาหลิวไห่หนีอย่างรวดเร็ว สายตาของเธอนับว่าดีมาก ไม่มีวอกแวกและมั่นคง

“เอาล่ะ ฉันจะเลี้ยวซ้ายข้างหน้า”

เธอพูดจบก็หักพวงมาลัยเลี้ยวกระทันหัน จนกระทั่งรถที่ตามมาถูกปาดหน้าต้องเบรกและบีบแตรสนั่น โชคดีที่พวกเขาไม่เกิดอุบัติเหตุ การตัดสินใจของหลี่เจี่ยซินในครั้งนี้สามารถสลัดรถยนต์คันนั้นที่ตามมาได้แต่ยังไม่หลุดจากมอเตอร์ไซต์คันหนึ่ง

ถนนค่อนข้างแคบ หลี่เจี่ยซินกลืนน้ำลายลงคอเมื่อเห็นว่าคนที่ซ้อนหลังรถมอเตอร์ไซต์มีปืนกลเบาและกำลังเล็งมาที่รถของพวกเขา ถึงรถคันนี้จะกันกระสุนแต่เธอก็กลัวว่าเฉินเฟยอวี๋จะตกใจจนกรีดร้องออกมา

เห็นเขาร่างบึกบึนกล้ามแน่นแบบนี้ใจอ่อนแอเป็นอย่างยิ่ง

เธอจึงลูบหัวของเขาอีกครั้งแล้วพูดปลอบใจเอาไว้

“อย่ากลัวนะ ข้างหลังมีปืนยกมืออุดหูเอาไว้ไม่ต้องห่วงรถค้นนี้กันกระสุน”

หลิวไห่ยิ้มออกมา เมื่อหลี่เจี่ยซินกำลังดูแลเขาราวกับว่าเขาเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง เขาในฐานะที่เป็นเฉินเฟยอวี๋จึงต้องแสดงละครเล็กน้อย

“ที่รักช่วยคุ้มครองฉันด้วย”

“ไม่ต้องกลัว ฉันจะปกป้องเธอด้วยชีวิต”

หลี่เจี่ยซินบอกเขา ตั้งใจขับรถต่อ ในขณะที่หลิวไห่รู้สึกแปลกประหลาดที่ได้ยินผู้หญิงตัวเล็กพูดกับเขาแบบนี้

ไม่นานกระสุนก็สาดมายังรถของพวกเขา หลิวไห่ก้มตัวลงต่ำเพราะหลี่เจี่ยซินสั่งเขาเสียงดัง ในขณะที่เขาเองก็ห่วงเธอไม่น้อย

แต่ฝีมือของหลี่เจี่ยซินทำให้หลิวไห่ต้องอ้าปากค้าง เมื่อเธอคล่องแคล่วพามอเตอร์ไซต์คันนั้นมาถึงที่เปลี่ยวแล้วกลับรถเสียงดังเอี๊ยด

หลี่เจี่ยซินดึงปืนออกมาจากเบาะข้าง เธอเปิดกระจกออกแล้วเล็งปืนออกนอกกระจก ขับรถพุ่งเข้าหามอเตอร์ไซต์คันนั้นอย่างไม่เกรงกลัว หลิวไห่ยังเห็นดวงตาเย็นชาของเธอพร้อมทั้งรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม

มันเป็นรอยยิ้มเดียวกันกับที่เธอข่มขืนเขาในวันนั้น

ใช่เขาดูไม่ผิดหรอก มันเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน

หลี่เจี่ยซินกดไกปืน เธอยิ่งรัวไม่ยั้งและก็ค่อนข้างแม่น มอเตอร์ไซต์คันนั้นในตอนนี้หวาดกลัวจนกลับรถและหนีไปแล้ว กลายเป็นหลี่เจี่ยซินที่เป็นฝ่ายไล่ล่า

หญิงสาวยิงโดยไม่คิดว่ามันจะตายหรือเปล่า เป็นครั้งแรกที่หลิวไห่เห็นผู้หญิงที่น่ากลัวขนาดนี้ เขาเอาแต่คิดว่า หลี่เจี่ยซินโตมาแบบไหนกันนะ เหมือนเธอจะสามารถฆ่าคนได้โดยที่ตาไม่กะพริบด้วยซ้ำ

สุดท้ายแล้วกระสุนปืนของหลี่เจี่ยซินหมด เขาคิดว่าคงจะจบแล้วเมื่อมอไซต์คันนั้นเร่งเครื่องหนี แต่หลี่เจี่ยซินกับยกยิ้มเหี้ยมเกรียมอีกครั้ง เธอหยิบปืนอีกอันขึ้นมา คราวนี้หญิงสาวรัวปืนเป็นชุด

“บิงโก ยิงถูกมันแล้ว สนุกเป็นบ้าเลย”

เป็นครั้งแรกที่หลิวไห่รู้สึกตื่นเต้นที่ได้เห็นผู้หญิงเป็นแบบนี้ ยิ่งเห็นว่าเธอหัวเราะชอบใจก็ยิ่งคิดว่าหลี่เจี่ยซินคนนี้น่าสนใจไม่ใช่น้อย

แต่แล้วคนขับมอเตอร์ไซต์คันนั้นก็ขับรถกระโดดข้ามเกาะเล็กหนีไปได้ หลี่เจี่ยซินเบรกรถเสียงดังเอี๊ยด ถ้าไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภัยหลิวไห่คงหน้าชนกับคอนโซลรถไปแล้ว

หลี่เจี่ยซินตบเข้าที่พวงมาลัยเสียงดัง พร้อมกับสบถออกมาอย่างแรง

“ไอ้เลวเอ๊ย หนีไปจนได้”

หลิวไห่ค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมองเธอ หลี่เจี่ยซินปรับสีหน้าที่ดูน่าหวาดกลัวเมื่อสักครู่ให้อ่อนลงแล้วถามเขา

“ที่รักกลัวมากใช่หรือเปล่า เสียดายที่ฉันฆ่ามันไม่ได้แต่พวกมันคงเข็ดไม่มาตามตอแยไปอีกหลายวัน”

หลิวไห่อยากจะถามเหรอเกินว่าเกิดเหตุการณ์นี้บ่อยเหรอ ทำไมน้องชายของเขาไม่เคยเล่าให้ฟังเลย แต่เขาไม่สามารถถามเธอออกไปได้ นอกจากคำว่า

“ที่รักฉันขอกอดได้หรือเปล่า ฉันกลัวจริง ๆ นะ”

หลี่เจี่ยซินเปลี่ยนเส้นทางจากที่แต่เดิมตั้งใจจะกลับบ้านของพวกเขา แต่ตอนนี้หญิงสาวขับรถมุ่งออกไปนอกเมือง ถนนทั้งโล่งทั้งกว้างเพราะวันนี้เป็นวันหยุดไม่นานเธอก็พาคู่หมั้นปลอม ๆ มาถึงบ้านเดิมของย่าซึ่งเป็นบ้านทรงโบราณหลังไม่ใหญ่มากติดกับริมแม่น้ำบรรยากาศอึมครึมหลังหนึ่ง

คนชราเดินออกมาต้อนรับพร้อมทั้งมีอาสะใภ้ของหลี่เจี่ยซินคอยพยุง

หลี่เจี่ยซินวิ่งเข้าไปกอดคุณย่าอย่างดีใจ

“มาแล้วเหรอ เสี่ยวเจี่ยกับหลานเขย”

เป็นครั้งแรกที่หลิวไห่เห็นคุณย่าของหลี่เจี่ยซิน ดูแล้วคงอายุร่วมร้อยปีได้กระมังแต่ใบหน้ายังสดใสเป็นอย่างยิ่ง ความจำของคุณย่ายังดีและพูดจาคล่องแคล่วไม่มีติดขัด

ตั้งแต่หลี่เจี่ยซินได้งานบอดี้การ์ดทั้งยังเป็นคู่หมั้นปลอม ๆ ของเฉินเฟยอวี๋ฐานะการเงินของเธอก็มั่นคงขึ้น เขาช่วยเธอใช้หนี้ยังให้หักเงินเดือนเพื่อผ่อนชำระ และยังได้เงินเดือนก้อนโตจนสามารถดูแลย่าของเธอได้เป็นอย่างดี

หลิวไห่มองสำรวจรอบบริเวณบ้านหลังใหญ่แบบโบราณอย่างรวดเร็ว เขาทำความเคารพคนชราแล้วถูกพาเข้ามายังลานกลางบ้าน

“ไม่ต้องเกรงใจนะ ย่าเตรียมของบำรุงไว้มาก กินให้อิ่มย่าให้อาสะใภ้ใส่กล่องกับบ้านให้หลานทั้งสองด้วย”

“ขอบคุณครับคุณย่า”

หลี่เจี่ยซินสังเกตุดูเห็นว่าหลิวไห่ไม่ได้รู้สึกอึดอัดเหมือนทุกครั้งก็รู้สึกสบายใจ หรือว่าความยากลำบากในการที่ต้องรักษาบริษัทจะทำให้เขาคิดได้ ไม่เอาแต่ความสบายเหมือนเดิม

ปกติแล้วเฉินเฟยอวี๋เป็นคนไม่ชอบบ้านหลังนี้ หนึ่งปีที่หมั้นกันมาเฉินเฟยอวี๋มาที่นี่แทบจะนับครั้งได้ นั่นเป็นเพราะเขาบอกว่าบรรยากาศน่ากลัวจึงไม่ค่อยชอบบ้านหลังนี้นัก

คิดแล้วก็ช่างตรงกันข้ามกับในตอนนี้ ไม่ว่าเขาจะเสแสร้งแกล้งทำหรือชื่นชมความงามของบ้านอย่างใจจริง หลี่เจี่ยซินก็รู้สึกดีเป็นอย่างยิ่ง

และดูคุณย่าเองก็จะชอบเขามากขึ้นแล้ว

“นี่คือยาบำรุงที่ย่าตุ๋นเองกับมือ เป็นสูตรเฉพาะของต้นตระกูลรับรองว่าหลานเขยกินแล้วต้องแข็งแรงกว่าม้าพันธุ์ดี จะได้มีเหลนให้ย่าเร็ว ๆ”

หลี่เจี่ยซินที่กำลังยกน้ำแกงขึ้นดื่มแทบจะสำลัก

“ย่าคะยังไม่แต่งกันเลยจะมีเหลนได้ยังไง”

คนชราอายุเกือบร้อยปีแต่ยังแข็งแรงอยู่มากโบกมือพร้อมกับหัวเราะ

“ไม่ต้องจัดงานแต่งให้วุ่นวาย จดทะเบียนสมรสก็เสร็จพิธีแล้ว ขอเพียงรักและจริงใจต่อกันก็พอ”

หลี่เจี่ยซินถึงกับหัวเราะออกมา

“ย่าคะ ทำไมย่าไม่หัวโบราณเลยล่ะ จะมายกหลานสาวให้คนอื่นโดยไม่จัดพิธีได้ยังไง”

“ก็ถึงเวลาสมควรต้องแต่งงานแล้วไม่ใช่เหรอ”

หลิวไห่พยักหน้าแล้วเห็นด้วย

“ถ้ายังงั้นก็จดทะเบียนพรุ่งนี้เลยดีหรือเปล่าครับ ส่วนพิธีวันไหนสะดวกก็จัดเลยไม่ต้องวุ่นวายมาก ตัวผมเองก็ไม่มีญาติที่ต้องเชิญให้วุ่นวายด้วย”

เมื่อหลานเขยพูดถูกใจ ย่าของหลี่เจี่ยซินจึงยิ้มกว้าง คะยั้นคะยอให้เขาดื่มยาบำรุงจนหมด ยังมีน้ำแกงสมุนไพรที่ตุ๋นกับมืออีกหลายชาม

หลี่เจี่ยซินยิ้มแป้น นั่นเป็นเพราะว่าเธอเข้าใจว่าเฉินเฟยอวี๋เพียงแต่พูดเล่นเท่านั้น

“แล้วแต่คุณเลยค่ะ”

เธอยังสนับสนุนเขาอีก

“ดี ในเมื่อตกลงแล้วพรุ่งนี้เรามาจดทะเบียนกัน”

ย่าของหลี่เจี่ยซินดีใจมาก ยังอวยพรพวกเขาอีกหลายคำ

หลังดื่มของบำรุงเรียบร้อย ย่าของหลี่เจี่ยซินก็ให้บางอย่างแก่หลิวไห่

“นี่คือของสำคัญของสกุลหลี่ เป็นประคำหยกศักดิ์สิทธิ์เก็บไว้นะจะทำให้แคล้วคลาด ย่าเก็บไว้ให้หลานเขยนานแล้ว”

หลิวไห่มองหยกล้ำค่าในมือ เขาพอดูของเก่าเป็นอยู่บ้างจึงได้แต่ตกใจ

“คุณย่าครับหยกนี่มีราคาไม่น้อยเลยนะครับ ให้ผมจะดีเหรอครับ”

ย่าของหลี่เจี่ยซินจึงจับมือของเขาเอาไว้ มือเหี่ยว ๆ ของคนแก่ให้ความอบอุ่นแต่แห้งผากทำให้คนที่ได้สัมผัสรับรู้ได้ถึงประสบการณ์ที่ผ่านโลกมายาวนานของสตรีผู้นี้

ตอนนี้เขารู้สึกอบอุ่นในใจและรู้สึกเศร้าใจไปพร้อม ๆ กัน

หลังจากนั้นคนชราจึงจับมือของหลี่เจี่ยซินมาวางที่มือของเขา เขาถือโอกาสจับมือของหลี่เจี่ยซินเอาไว้อย่างถนอม

โชคชะตาของเขากับหลี่เจี่ยซินเหมือนว่าได้เริ่มต้นมานานแล้ว และตอนนี้เขาก็พร้อมจะสานต่อแล้วเช่นกัน

“สองคนต่อไปถือเป็นคนคนเดียวกันแล้ว ต้องดูแลกันให้ดีนะ หลานเขยของย่าดูก็รู้ว่าเป็นคนดีขนาดไหน ถึงจะมีบางเรื่องที่ปิดบังบ้างแต่ย่าเชื่อว่าเขาจริงใจกับเสี่ยวเจี่ยของย่า รับปากว่าจะดูแลเสี่ยวเจี๋ยให้ดีได้หรือเปล่่า”

ความรู้สึกของหลิวไห่ในตอนนี้คือ

คุณย่าคนนี้รู้แล้วว่าเขาไม่ใช่เฉินเฟยอวี๋ตัวจริง แต่ยังวางใจเขาได้ขนาดนี้ เป็นเพราะอะไรกัน

มือของเฉินเฟยอวี๋สัมผัสมือคนชราอย่างอบอุ่น

“ผมจะดูแลเสี่ยวเจี่ยให้ดีที่สุดครับคุณย่าไม่ต้องเป็นห่วง”

เป็นเพราะนิสัยแบบนี้ของเขา ชอบใจอ่อนกับคนชรา ทำให้เผลอรับปากเรื่องดูแลหลี่เจี่ยซินไป

การรับปากแบบนี้จะไม่เท่ากับการยินดีรับเธอเอาไว้ตลอดชีวิตหรอกเหรอ

ในขณะที่หลิวไห่คิดไปไกล หลี่เจี่ยซินกลับคิดว่านี่ก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งในการแสดงของเขา

มีคนมาหาที่หน้าบ้าน อาสะใภ้จึงออกไปต้อนรับ พบว่าเป็นคนส่งจดหมายคนหนึ่ง เธอรับมาพร้อมกับกล่าวขอบคุณเบา ๆ

จดหมายฉบับหนึ่งอยู่ในมือของอาสะใภ้ แต่หลี่เจี่ยซินเห็นว่าเธอซ่อนเอาไว้ไม่ให้คุณย่าเห็น หลี่เจี่ยซินจึงยิ้มซุกซน

หลิวไห่เห็นท่าทางสองคนมีพิรุธ เขาเองก็อดสงสัยไม่ได้แต่ก็ไม่ได้ถามออกไป

“ใครมาเหรอ”

ย่าถามขึ้น

“ไม่มีอะไรค่ะ แค่คนมาถามทางเท่านั้น”

อาสะใภ้กลับโกหกคุณย่าไปแบบนั้น หลิวไห่ไม่คิดว่าการที่คนจะมาส่งจดหมายเป็นเรื่องแปลกอะไร เขายังไม่เข้าใจนัก หรือระหว่างหลี่เจี่ยซินกับอาสะใภ้คนนี้จะมีความลับบางอย่างที่บอกคุณย่าไม่ได้

เวลาผ่านไปจนกระทั่งถึงเย็น หลิวไห่และหลี่เจี่ยซินจึงขอตัวกลับได้ ในตอนนั้นคนแก่ก็หมดแรงแล้วจึงเข้านอนตั้งแต่หัวค่ำ

เมื่ออยู่ในรถกันสองคนหลี่เจี่ยซินจึงเป็นฝ่ายบอกเขาเอง

“ที่รักสงสัยเหรอคะว่าคนส่งจดหมายเอาอะไรมาส่ง”

เขาพยักหน้าแต่ก็บอกเธอว่า

“ถ้าไม่สะดวกพูดก็ไม่เป็นไรนะ ไม่จำเป็นต้องบอกทุกเรื่องก็ได้”

หลี่เจี่ยซินคาดเข็มขัดนิรภัยให้เขาด้วยความเคยชิน กลิ่นแชมพูหอมอ่อน ๆ ยังคงติดอยู่ที่เรือนผมของเธอ หลิวไห่อดที่จะสูดความหอมของเรือนผมนั้นไม่ได้

“พูดได้ค่ะ ความจริงของนั่นสำคัญกับคุณย่าไม่น้อย”

“สำคัญแต่ก็ปิดบังท่านเหรอ”

“ใช่ค่ะ”

“ทำไมล่ะ”

หลิวไห่ยิ่งฟังก็ยิ่งงง

“คุณย่าแก่มากแล้ว หลายครั้งมักจะลืมว่าคุณปู่เสียแล้วคิดว่ายังทำงานอยู่ต่างเมือง จึงมักจะส่งจดหมายถึงคุณปู่เป็นประจำค่ะ อาสะใภ้ไปส่งก็ต้องมีหลักฐานการส่งเลยใช้จดหมายฉบับเดิมนั่นแหละ ส่งไปเรื่อย ๆ ที่อยู่ก็เป็นของที่นี่จดหมายฉบับนั้นจึงถูกตีกลับมาที่นี่ประจำค่ะ”

“หมายความว่าคุณย่า ส่งจดหมายหาคุณปู่แต่อาสะใภ้ให้ให้ที่อยู่ผู้รับเป็นที่นี่เหรอ”

หลี่เจี่ยซินพยักหน้า

“ใช่คะ ที่อยู่ที่ทำงานของคุณปู่ไม่มีนี่คะ ท่านเสียไปนานแล้วอาสะใภ้เลยเขียนที่อยู่ที่นี่แทน”

“อืม ผมเข้าใจแล้วล่ะ”

เขาตอบ คิดแล้วก็อดสงสารคนแก่ไม่ได้ เขาดีใจแทนหลี่เจี่ยซินถึงพ่อแม่จะเสียไปแล้วก็ยังมีญาติผู้ใหญ่ให้ดูแล ในขณะที่เขาไม่มีใครเลยที่นับว่าเป็นญาตในชีวิตนอกจากน้องชายฝาแฝดของเขา

แต่แล้วหลิวไห่ก็คิดอะไรบางอย่างออก

ในวันนั้นก่อนเกิดเรื่อง พ่อของเขาให้หลิวไห่ส่งของบางอย่างกลับแผ่นดินใหญ่ ในซองนั้นบรรจุอย่างแน่นหนา หลิวไห่ยังถามพ่อของเขาว่ามันคืออะไร

ซึ่งในวันนั้นพ่อของเขาตอบว่า

“ของสำคัญที่สุดในชีวิตของพ่อ มันอาจทำให้พ่อได้รับอันตรายถึงชีวิต ลูกช่วยไปส่งมันกลับแผ่นดินใหญ่ส่งไปที่ตู้ไปรษณีย์ที่เราเช่าเอาไว้แทนพ่อที”

ในตอนนั้นหลิวไห่ยังคิดว่าพ่อเขาแค่เพียงพูดเล่น จัดการส่งให้ตามที่พ่อบอกก็ลืมไปแล้ว

หรือว่าในซองนั้นอาจจะมีของที่เขากำลังตามหาอยู่ก็เป็นได้

จูบของเฉินเฟยอวี๋ไม่ใช่จูบแค่แตะริมฝีปากเหมือนที่พวกเขาแกล้งทำทุกครั้ง แต่คราวนี้หลี่เจี่ยซินกลับสัมผัสได้ทุกปลายลิ้นที่กำลังคุกคามเข้ามาในปากของเธอ

“เสี่ยวอวี๋เธอ อึก อึก”

เพียงแค่เธออ้าปากหลี่เจี่ยซินก็ถูกเขาครอบครองริมฝีปากเอาไว้ทั้งหมด แม้กระทั่งลมหายใจของเธอเขายังช่วงชิงเอาไปอีกด้วย

หลี่เจี่ยซินรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกวางยาจึงได้แต่ยืนนิ่งให้เฉินเฟยอวี๋จูบอยู่เนิ่นนาน จนกระทั่งเขาปล่อยเธอในที่สุด

หลี่เจี่ยซินขยับห่างเขาเล็กน้อยมองเฉินเฟยอวี๋ด้วยดวงตาที่สับสน ทั้งยังลูบริมฝีปากของตัวเองอีกด้วย ทำไมเธอถึงได้ใจเต้นแรงขนาดนี้กัน

“เกิดอะไรขึ้นกับนายกันแน่ เหมือนว่านายจะจูบฉันจริง ๆ”

หลิวไห่ยิ้มยกมือโอบไหล่ของเธอแล้วขยับเท้าพาหญิงสาวเดินต่อ

“ก็แค่ทดสอบน่ะ”

หลี่เจี่ยซินมองเขา ตั้งแต่เขาลงเครื่องเป็นครั้งแรกที่เฉินเฟยอวี๋พูดประโยคยาว ๆ ออกมา

“เสียงของนายก็แปลก”

หลิวไห่คิดว่าผู้หญิงคนนี้ความจริงแล้วก็สายตาดีไม่ใช่น้อย เขาก้มลงแล้วกระซิบดัดเสียงเป็นเสียงกึ่งหญิงของเฉินเฟยอวี๋

“ที่รักว่าฉันมีอะไรแปลกเหรอ ก็แค่เล่นละคร”

หลี่เจี่ยซินได้ยินเสียงอันคุ้นเคยจึงรู้สึกดีขึ้น

“ที่รักเธอกำลังทำให้ฉันขนลุก คิดว่าเธอมีคู่แฝดแล้วสลับตัวมาแกล้งฉัน”

หลิวไห่ถึงกับหัวเราะออกมา เมื่อหลี่เจี่ยซินช่างเดาได้ถูกต้องจริง ๆ

“ฉันจะหาคู่แฝดมาจากไหนได้ล่ะ นี่ไม่ใช่โรงละครนะ อีกอย่างเธอแรงเยอะขนาดนั้นจับฉันหักคอจะทำยังไงล่ะ”

หลี่เจี่ยซินเริ่มรู้สึกคุ้นเคยขึ้น ถึงจะยังสงสัยหลายอย่างเธอจึงยกมือโอบเอวของเขาแล้วเดินไปด้วยกัน มือที่โอบเอวของหลิวไห่อยู่ทำให้เขาเกิดความรู้สึกสนิทสนมโดยทันที

“เธอเป็นเจ้านายฉัน ฉันไม่กล้าบุ่มบ่ามฆ่าเธอหรอก”

พวกเขาคุยกันอีกไม่กี่คำ ในตอนนี้ถึงแม้ว่าหลิวไห่จะปรับโทนเสียงให้ดูนุ่มลงเหมือนโทนเสียงของเฉินเฟยอวี๋แต่ปลายเสียงของเขายังมีความเด็ดขาดอยู่มาก

เมื่อไปถึงที่รถ หลี่เจี่ยซินเปิดกระโปรงหลังรถ ยกกระเป๋าใบใหญ่ที่น้ำหนักเกือบสามสิบกิโลของหลิวไห่ด้วยมือเดียว ยัดใส่ด้านหลังแล้วปิดกระโปรงรถอย่างเรียบร้อย

หลิวไห่มองดูผู้หญิงตัวเล็กคนนี้ด้วยความสนใจ

“ไปค่ะ อย่ายืนตากลมอยู่แล้ย เธอจะไม่สบายนะ รีบขึ้นรถเร็ว”

หลี่เจี่ยซินดูแลเฉินเฟยอวี๋เหมือนเขาเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง กระทั่งประตูรถหญิงสาวร่างเล็กคนนี้ยังเป็นฝ่ายเปิดให้

นี่เป็นครั้งแรกที่หลิวไห่ถูกผู้หญิงดูแลเช่นนี้ ที่ผ่านมาบอดี้การ์ดของเขาล้วนเป็นผู้ชายร่างยักษ์ เมื่อกลายเป็นผู้หญิงสาวสวยคนหนึ่งเขาจึงรู้สึกลำบากใจอยู่บ้าง

แต่เมื่อคิดถึงเงินห้าสิบหยวนยับ ๆ ที่เขาเก็บใส่กระเป๋าอย่างดีแล้วก็รู้สึกอยากเอาคืน

เธอคนนี้จะรู้หรือเปล่าว่าการที่ได้เขาแล้วทอดทิ้งแบบนั้นทำให้เขาเสียหน้ามากขนาดไหน

เมื่อเข้ามานั่งในรถ หลี่เจี่ยซินยังช่วยเขาคาดเข็มขัดนิรภัยก่อนจะออกรถอย่างคล่องแคล่ว กระทั่งเป็นฝ่ายชวนคุยอย่างสนิทสนม

“งานที่ฮ่องกงเรียบร้อยดีใช่หรือเปล่า”

“อืม ก็ดี”

หลี่เจี่ยซินมองเขาแวบหนึ่งชั่วระยะเวลาสั้น ๆ นั้น เฉินเฟยอวี๋หันมาสบตากับเธอ จู่ ๆ หลี่เจี่ยซินก็รู้สึกว่าตัวเองหน้าแดง หญิงสาวกระแอมไล่ความคิดบ้า ๆ ของตัวเองออกไปชวนเขาคุยต่อ

“ไม่เจอเธอแค่อาทิตย์เดียวเธอดูเปลี่ยนไปมากเลยนะ”

“ก็นิดหน่อย เรื่องบางเรื่องไม่ต้องฝึกก็เป็นเอง”

หลิวไห่หมายถึงท่าทางตุ้งติ้งแบบนี้ที่เขาเองก็ไม่คาดคิดว่าจะทำได้แนบเนียนขนาดนี้ ในขณะที่หลี่เจี่ยซินคิดในทางตรงกันข้าม

“เธอคงแอบไปฝึกมาล่ะสิ”

หลิวไห่ยกมุมปาก ปกติเขาเป็นคนไม่ชอบพูดแต่ในฐานะที่แสดงตัวเองเป็นน้องชายทำให้เขาต้องพูดมากกว่าปกติ

“ก็บอกเธอแล้วไม่ใช่เหรอ มีอะไรแปลกล่ะที่รัก”

อื้ม อย่างน้อยคำว่าที่รักเขายังทอดเสียงยาวเหมือนเดิม

“ก็มันไม่ชินนี่นา แต่เอาเถอะให้เวลาฉันหน่อย ฉันจะทำในส่วนของฉันให้ดี”

หลิวไห่จึงถามเธอว่า

“ที่บริษัทเรียบร้อยดีหรือเปล่า”

หลี่เจี่ยซินส่ายหน้า เธอไม่ได้เก่งเรื่องการดูแลภายในบริษัท แต่ในฐานะคู่หมั้นของเขาก็เลยต้องรู้ทุกเรื่องในเวลาที่เขาไม่อยู่

“คนของบริษัทกู้เมิ่งมาหาเธอที่บริษัทสองรอบ ฉันก็ได้แต่ยื้อเอาไว้บอกว่าถ้าเธอกลับมาจะติดต่อกลับเอง”

“ที่รัก เรียกฉันว่าที่รักให้ชินปาก เราตกลงกันแล้วไม่ใช่เหรอ”

หลี่เจี่ยซินหัวเราะในลำคอ ถึงเขาจะดูเปลี่ยนจนแตกต่าง แต่ท่าทางเอาแต่ใจในตอนที่ขอให้เธอทำอะไรยังคงเหมือนเดิม”

“ก็ได้ ที่รัก ขอโทษฉันนี่ชอบลืมอยู่เรื่อย”

หลิวไห่ยกยิ้มเล็กน้อยอย่างพอใจ

หลี่เจี่ยซินจึงถามต่อ

“แล้วที่รักของฉันจะเอายังไงล่ะ จะติดต่อพวกมันไปหรือเปล่า”

หลิวไห่เอนเบาะลงปรับให้พอดีกับร่างสูง ๆ ของเขา แล้วหลับตาลงเพราะต้องการพักผ่อนก่อนจะตอบเธอเสียงเบาแต่หนักแน่น

“ไม่หรอก บริษัทนี้ไม่คิดจะขายให้ใครดังนั้นก็ไม่มีความจำเป็นที่จะสนใจพวกมัน”

เขาหลับตาลงตั้งใจพักผ่อนสักหน่อย หลี่เจี่ยซินเห็นท่าทางของเขาดูเหนื่อย ๆ จึงไม่ได้พูดรบกวนอีก

เป็นเพราะหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาหลิวไห่แทบไม่ได้พักเต็มที่ เพราะทุกอย่างเป็นเรื่องกระทันหันจึงทำให้เขามีเวลาน้อยที่จะเตรียมตัว ในขณะที่น้องชายฝาแฝดของเขาตกเย็นมาก็แปลงโฉมออกเที่ยวอย่างสนุก

ในรถเงียบราวสิบนาทีเสียงโทรศัพท์ของหลี่เจี่ยซินก็ดังขึ้น เธอคิดจะปัดสายทิ้งเพราะเกรงว่าจะรบกวนที่รักของตัวเองเข้า แต่ถูกหลิวไห่ทัดทานเอาไว้ก่อน

“รับเถอะ”

หลี่เจี่ยซินจึงกดรับสาย สายคู่สนทนาออกทางลำโพงเป็นเสียงคนแก่คนหนึ่ง

“ย่าคะ”

“เสี่ยวเจี่ย วันนี้หลานเขยกลับมาแล้วใช่หรือเปล่า พาเขามาทานน้ำซุปสูตรพิเศษกับย่าที่บ้านหน่อยสิ”

“ย่าคะ หลานเขยของย่าเพิ่งกลับมาถึงให้เขาพักสักหน่อยนะคะ เสี่ยวเจี่ยสัญญาว่าจะไปหาย่าวันหลังค่ะ”

หลี่เจี่ยซินปรายตามองผู้ชายตัวสูงด้านข้างที่กำลังหลับตาพริ้ม

“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เป็นไร วันหลังก็ได้ย่าก็ลืมไปว่าเขามีงานยุ่ง”

“ผมจะไปครับ รบกวนคุณย่าแล้ว”

หลี่เจี่ยซินมองเขาที่รับคำเชิญของคุณย่า ทั้ง ๆ ที่ยังหลับตาแบบนั้น

ที่ผ่านมาเฉินเฟยอวี๋มักจะหาทางหลีกเลี่ยงไปพบคุณย่าของเธอเพราะเขาขี้เกียจแสดงละครให้คนแก่ดู แต่ตอนนี้ทำไม่ถึงได้เสนอตัวเองล่ะ

ปลายสายสนทนาดูเหมือนจะดีใจมาก คนชราจึงบอกว่า

“หลานเขยมาพักที่บ้านของย่าให้หายเหนื่อย ดื่มยาบำรุงไปสักชามรับรองว่ากำลังจะกลับมาแข็งแรงยิ่งว่าเดิม ดูอย่างเสี่ยวเจี่ยสิแข็งแรงขนาดนี้ไม่เคยเจ็บป่วยเลยทั้งหมดล้วนเป็นเพราะยาบำรุงของย่าส่วนหนึ่ง”

หลี่เจี่ยซินหัวเราะ รับปากรับคำคนชราว่าจะรีบพาหลานเขยไปหาก่อนที่คนแก่จะวางสายไป

“ขอโทษที่รักด้วยนะคะ ย่าแก่มากแล้วช่วงนี้เลยอาจจะเหงาอยู่บ่อย ๆ”

หลิวไห่ส่ายหน้าแล้วพูดว่า

“ไม่เป็นไร ผมก็อยากพบคุณย่าในฐานะหลานเขยเหมือนกัน”

หลี่เจี่ยซินฟังแล้วก็รู้สึกแปลกหูมาก เฉินอวี้เฟยคนนี้ไม่น่าเชื่อว่าภายในเวลาแค่หนึ่งสัปดาห์จะดูเหมือนเป็นคนละคนได้ขนาดนี้

แต่ในเมื่อเขายินดีไปพบคุณย่าของเธอด้วยความเต็มใจ หลี่เจี่ยซินเองก็ดีใจไม่น้อย ในชีวิตของเธอนอกจากโรงเรียนสอนศิลปะการต่อสู้แล้วก็มีเพียงคุณย่าที่อาศัยอยู่บ้านเดิมที่สำคัญกับเธอมากที่สุด

หลิวไห่ถูกผู้ดึงตัวขึ้นจากพื้นที่ว่างเท่าแมวดิ้นตายของตัวเอง และถูกบังคับให้มาคุกเข่าอยู่หน้าผู้ชายคนนั้น คนที่ถูกคนหมู่มากเรียกว่า ลูกพี่

เขาไม่อยากมีเรื่องกับใครจึงเอาแต่นิ่งเงียบ วันนี้เป็นวันแรก โทษของเขาคือตลอดชีวิตแต่เขาก็คิดจะทำตัวดี ๆ และมีโอกาสกลับไปแก้แค้น เขาเป็นคนที่ไม่เคยหมดหวัง แม้ว่าคนอื่นจะมองไม่เห็นแสงสว่าง เขาก็ยังสามารถที่จะมองเห็นได้

“เงยหน้าขึ้นมา”

หัวหน้าคนนั้นพูดขึ้น

หลิวไห่เงยหน้าไม่ใช่เป็นเพราะตามคำสั่งแต่เพราะรู้สึกว่าตัวเองต้องพักผ่อนแล้ว รีบทำจะได้รีบจบ

“โอ้ หล่อไม่เบาเลยนี่ ฮ่า ฮ่า ฮ่า”

มันหัวเราะแล้วถามต่อ

“เคยถูกเอาตูดหรือเปล่าวะ หรือเคยถูกใครเอาตูดหรือเปล่า”

หลิวไห่ไม่ตอบ ท่าทางไม่สะทกสะท้าน ผู้ชายคนนั้นหัวเราะเมื่อเห็นสายตาว่างเปล่าของเขา

“โอ๊ะ โอ ถูกใจว่ะ ท่าทางไม่กลัวเลยสักนิด”

มันลูบที่เป้าของตัวเองแล้วพูดว่า

“ไม่รู้เป็นอะไรว่ะ เห็นคนใหม่หน้าตาดีหน่อยชอบมีอารมณ์ อาจจะเจ็บหน่อยในตอนแรกนะแต่ต่อไปจะชิน”

หลิวไห่ยิ้มเย็น เขากำหมัดเตรียมพร้อม ทั้งที่เคยคิดเอาไว้ก่อนหน้าแล้วว่าเข้ามาในนี้ต้องเจอเรื่องแบบนี้แต่เขาก็ไม่เคยคิดว่าจะเจอตั้งแต่วันแรก

“ถอดกางเกงออก”

เสียงของผู้ชายคนนั้นสั่นเล็กน้อย ลูกน้องของมันยืนล้อมเป็นวงกลมไม่ได้กลัวว่าใครจะเห็นแต่เพราะต้องการบังกล้องวงจรปิดภายในห้องขังแห่งนี้ต่างหาก ทั้ง ๆ ที่ผู้คุมก็ไม่เคยสนใจเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว

“เอาสิถอดออก”

หลิวไห่ยิ้มเย็น ตอบเป็นครั้งแรกว่า

“ถอดหาพ่องมึงเหรอ”

ผู้ชายคนนั้นไม่คิดว่าหลิวไห่จะพูดคำนี้ออกมา ท่าทางก็ยอมง่าย ๆ ในตอนแรกนี่หว่า เขาจึงลุกขึ้นคิดจะจัดการหลิวไห่ด้วยตัวเอง

“กูเอง เก่งนักต้องเจอสักหมัด”

เขาห้ามลูกน้องที่ตั้งท่าจะเข้ามา ถ้าพูดถึงเรื่องความหนาของร่างกายแล้วหลิวไห่ย่อมสู้ไอ้ก้ามปูนี่ไม่ได้ แต่เรื่องศิลปะการต่อสู้และแรงแล้วเขาคิดว่าชนะขาด

เพียงแค่ไอ้ก้ามปูขยับตัว หลิวไห่ก็ขยับตัวหลบหมัดที่แกว่งออกมาโดยไร้ทิศทางแล้วสวนหมัดของตัวเองเข้าไปที่ลูกกระเดือกของมัน ขาของเขาถีบเข้าไปที่เอ็นร้อยหวายแล้วหมุนตัวต่อยเข้าที่บริเวณหลอดลมทันที

หมัดของหลิวไห่ตรงจุดและรุนแรงเป็นอย่างยิ่ง สามจุดนี้ล้วนเป็นจุดตาย คนที่ถูกต่อยทั้งหายใจไม่ออก ทั้งชา สุดท้ายเกิดความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส และเป็นสามหมัดที่ทำให้คนถูกต่อยล้มตึงลงไปนอนพร้อมกับกุมคอของตัวเองใบหน้าแดงก่ำ

“โอ๊ย อ๊าก ไอ้เลว ไอ้ อ๊อก”

หลิวไห่ปัดมือ ตั้งท่าเตรียมพร้อมแล้วเมื่อคนของพวกมันกรูกันเข้ามา ลูกน้องของมันแต่ละคนล้วนเป็นพวกขี้ยา และอยู่ในคุกมานานความแข็งแรงของร่างกายย่อมสู้หลิวไห่ไม่ได้ เมื่อกรูกันเข้ามาสิบคนก็ร่วงไปนอนบนพื้นสิบคน

แต่ละคนโดนกันไม่เกินสามหมัด หลิวไห่ดึงผ้าเช็ดตัวของหนึ่งในนั้นมาฉีกแล้วพันมือ เพราะต่อยเยอะเกินไปจึงทำให้เขาเจ็บมือแล้ว

“เอาล่ะ ใครจะมาอีก”

แต่ละคนต่างมองหน้ากัน ไม่มีใครกล้าเข้ามาสักคน

เสียงของเจ้านายพวกมันจึงดังขึ้น

“ไอ้พวกกระจอก เลี้ยงไม่เชื่อง เลี้ยงเสียข้าวสุกจริง ๆ โอ๊ย เจ็บ”

เสียงของไซเรนดังขึ้น แน่นอนว่าผู้คุมเห็นเหตุการณ์ตั้งนานแล้วแต่เมื่อเห็นว่าหลิวไห่ซึ่งกำลังเป็นคนที่ถูกรุมกลับสามารถจัดการคนพวกนั้นได้จึงดูกันอย่างสนุกสนาน

กระทั่งคนพวกนั้นร่วงไปกองกับพื้นเขาถึงกดไซเรนยับยั้งเหตุการณ์

แต่ลูกพี่ใหญ่ของไอ้หมอนั่นก็ใหญ่ไม่ใช่น้อย ผู้คุมจึงต้องทำหน้าที่เสียหน่อยพอเป็นพิธี

เมื่อเข้ามาในห้องขัง พวกเขาลากคนทั้งหมดออกไปหาหมอ และใช้กระบองไฟฟ้าตีหลิวไห่จนสลบ สุดท้ายทุกคนต้องถูกหามส่งไปที่โรงพยาบาลของเรือนจำด้วยสภาพยับเยินไม่ต่างกัน

สำหรับหลิวไห่แล้วคิดว่า

เจ็บตัวครั้งนี้คุ้มมาก เพราะเขาถูกกระบอกไฟฟ้าตีจนไหปลาร้าหัก กว่าจะรักษาตัวหายและกลับเข้าคุกอีกครั้งก็เกือบเดือน

เขาจึงได้นอนอยู่บนเตียงสบาย ๆ แทนที่จะได้รับความลำบากนอนเบียดเสียดอยู่ในห้องขังนั้นกับคนถ่อยพวกนั้น แต่ที่น่าเสียใจคือ ในประวัติของเขาได้รับการบันทึกเรื่องการชกต่อย ตั้งแต่วันแรก

ความหวังของเขาที่แทบจะมองไม่เห็นว่าจะได้ออกไปจากที่นี่ในตอนนี้จึงริบหรี่จนแทบมองไม่เห็นแล้ว

หลิวไห่ถูกดำเนินคดีฆ่าคนตายโดยไม่เจตนาเนื่องจากบรรดาลโทสะ เนื่องจากเพื่อนบ้านได้ยินเสียงทะเลาะกันอย่างแรงของผู้ชายสองคนดังออกมาจากอพาร์ทเม้นของพวกเขาและได้เรียกตำรวจมาเพื่อระงับเหตุ และในที่เกิดเหตุมีเพียงลายนิ้วมือของหลิวไห่เท่านั้นที่เปรอะอยู่เต็มห้อง

หลักฐานมัดตัวและดูเหมือนว่าคดีของหลิวไห่จะจบลงและถูกตัดสินอย่างรวดเร็ว

หลิวไห่ไม่ให้ความร่วมมือ เขาไม่ได้สารภาพว่าฆ่าพ่อของเขายังปฏิเสธอย่างแข็งขัน แต่พยานหลักฐานทุกอย่างชี้ชัดมาที่เขาทำให้หลิวไห่ไม่มีทางต่อสู้ได้อีก

เขาจึงต้องติดคุกทั้ง ๆ ที่ตัวเองไม่ผิด และไม่รู้ว่าจะเรียกร้องหาความยุติธรรมจากเขา

ภาพลักษณ์ของตำรวจในอดมคติของหลิวไห่ถูกทำลายโดยสิ้นเชิง เขาทั้งรังเกียจทั้งโกรธแค้นตำรวจเลวพวกนี้ ทุกครั้งที่เขาพูดเรื่องของประธานกู้ก็มักจะถูกมองด้วยสายตาประหลาดจากคนพวกนั้น

หลิวไห่ได้แต่คิดแค้น หากเขามีโอกาสได้ออกไปเขาจะไม่มีทางปล่อยคนที่ทำร้ายฆ่าพ่อของเขาให้ลอยนวล และจะจัดการกับตำรวจเลว ๆ ให้ได้รับบทเรียนให้ได้ ชาตินี้เขาสาบานไว้แล้วต่อให้เป็นวันสุดท้ายของชีวิตเขาก็จะทำให้คนพวกนั้นก้มลงคุกเข่าต่อหน้าเขาและรับความผิดที่ตัวเองได้กระทำอย่างสาสม

ความสงสัยที่อยู่ในใจของเขาตอนนี้ก็คือเรื่องของพ่อเขา ประธานกู้ต้องการอะไรจากพ่อของเขา และ ทำไมต้องฆ่าพ่อของเขาด้วย

เรื่องพวกนี้เขาจะมีโอกาสออกไปเพื่อสืบหาความจริงหรือไม่ แต่ไม่ว่าจะกี่ปีเขาก็ยินดีรอ

ทันทีที่หลิวไห่ก้าวเข้าไปในเรือนจำ เขาเดินตามนักโทษคนอื่น ๆ เข้าไปอย่างสงบ คนที่อยู่ด้านหน้าเขาตัวค่อนข้างใหญ่ กล้ามแน่นคล้ายก้ามปู หลิวไห่ไม่สนใจเขาจนกระทั่งเขาหยุดและหลิวไห่ไม่ทันระวังตัวจนเดินชนเขาเข้า

“ไม่มีตาหรือไงวะไอ้ลูกหมา”

เขาหันมาส่งเสียงคำรามเหมือนหมาตัวหนึ่ง หลิวไห่รู้ว่าตัวเองมัวแต่เหม่อจึงขอโทษเขาเบา ๆ

“ขอโทษ”

ผู้ชายกล้ามปูเมื่อเห็นหน้าของเขาชัดกลับยิ้มอย่างมีเลศนัย

“หึ ขอโทษเหรอ มึงคิดว่าที่นี่เป็นมหาวิทยาลัยหรือไงวะ กูไม่ต้องการคำขอโทษไร้ราคานั้นหรอก ถ้าจะขอโทษกูมึงยอมมาเป็นเด็กกูมั๊ยล่ะหน่วยก้านดีนี่ หน้าตาก็ใช้ได้ ถูกสเปคพอดี”

หลิวไห่ไม่สนใจหมาตัวนั้นที่เริ่มเห่าหอน เขาจึงเงียบไป ในเมื่อขอโทษแล้วสำหรับเขาถือว่าจบ ในขณะที่คนคนนั้นยังมองเขาด้วยสายตาที่น่าขยะแขยง

พวกเขาเดินไปได้สักพัก ก็เข้าสู่ประตูที่เปิดโดยอัตโนมัติอีกสามประตู ในตอนนี้หลิวไห่รู้สึกหน้าร้อนและสมเพชตัวเองเป็นอย่างยิ่ง ความฝันสูงสุดของเขาคือการเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ แล้วดูตอนนี้สิ เขากลายเป็นนักโทษตลอดชีวิตไปแล้วช่างตลกสิ้นดี

ผู้ชายที่อยู่ข้างหน้าเขาหันมามองหลิวไห่หลายครั้ง ผู้ชายคนนี้ตัวโตกว่าหลิวไห่ราวห้าเซ็นติเมตร ความจริงหลิวไห่ก็สูงราวหนึ่งร้อยแปดสิบห้าเซ็นติเมตร ซึ่งนับว่าเป็นคนสูงกว่าคนทั่วไป แต่ผู้ชายคนนี้กลับสูงกว่าเขาและตัวใหญ่เป็นอย่างยิ่ง

“ไม่ต้องห่วงนะไอ้น้อง พี่จะดูแลเองนี่มันถิ่นของพี่”

หลิวไห่กำมือแน่น รู้สึกว่าสายตาของผู้ชายคนนี้ที่มองเขาแปลกพิกล เขาไม่อยากก่อเรื่องคิดจะทำตัวให้ดีเผื่อมีโอกาสลดโทษลงได้บ้าง

จนกระทั่งเข้ามาด้านใน ผู้คุมเรือนจำคนหนึ่งก็เดินเข้ามา มีผู้ชายผู้คุมซึ่งน่าจะเป็นนักโทษความประพฤติให้พวกเขาเข้าไปถอดเสื้อผ้าที่จุดหนึ่ง

ทุกคนต่างต้องเปลือย หลิวไห่และนักโทษคนอื่นถอดเสื้อผ้าจนเหลือตัวเปล่าอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นก็เดินผ่านเครื่องตรวจร่างกายเพื่อป้องกันไม่ให้นำสิ่งใดแปลกปลอมเข้ามาอย่างละเอียด

ในตอนนั้นนั่นเอง ที่หลิวไห่ถูกจับก้น เขาหันไปมองผู้ชายคนนั้นด้วยความไม่พอใจ ไอ้หนุ่มก้ามปูตัวสูงคนนั้นเหมือนกำลังท้าทายเขา หลิวไห่ข่มความแค้นไว้ในใจ เดินตามนักโทษคนอื่นไปรับเสื้อผ้านักโทษและผ้าเช็ดตัวของเรือนจำหนึ่งผืนอย่างเงียบ ๆ โดยไม่หันมาโมงผู้ชายตัวโตที่ตอนนี้เดินตามก้นเขามาแม้แต่น้อย

ทุกคนต่างเปลี่ยนเสื้อผ้าและอยู่ในชุดนักโทษเรียบร้อย ทุกคนก็ถูกนำไปยังห้องโล่งห้องหนึ่งและถูกสั่งให้นั่งลงด้านหน้าเป็นเวทีเตี้ย ๆ นักโทษวันนี้หลิวไห่นับได้ประมาณสิบกว่าคน ผู้ช่วยผู้คุมคนหนึ่งเดินเข้ามาบอกกฎการอยู่ในเรือนจำอย่างละเอียดให้พวกเขารู้

หลิวไห่ฟังอย่างผ่าน ๆ สิ่งที่เขาท่องไว้ในใจคือห้ามหาเรื่อง หลังจากนั้นผู้ช่วยผู้คุมก็ปล่อยพวกเขาเข้าเรือนนอน หลิวไห่มองเห็นผู้ช่วยผู้คุมคนหนึ่งเดินมาใกล้ ๆ ผู้ชายกล้ามปูที่จับก้นเขาคนนั้น ดูเหมือนว่าพวกเขาจะส่งบางอย่างให้แก่กัน

หลิวไห่มองอย่างสนใจดูเหมือนว่าจะไม่มีใครสนใจพวกเขาเหตุการนั้นเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เหมือนว่าเป็นเรื่องที่พวกเขากระทำกันมาอย่างชำนาญจนใครก็จับสังเกตไม่ได้

หลิวไห่และผู้ชายก้ามโตถูกนำเข้ามาในห้องขังรวมห้องหนึ่ง ห้องนี้มีคนอยู่ราวสามสิบคนรวมกับคนที่มาใหม่แล้ว เพราะเป็นเวลาเย็นแล้ว พวกเขามาไม่ทันเมื้อเย็นของเรือนจำ จึงทำให้ทุกคนที่เพิ่งเข้ามาต้องอดข้าวโดยไม่มีใครสนใจ

หลิวไห่หาพื้นที่ว่างได้ที่หนึ่งซึ่งเป็นพื้นที่ว่างที่คับแคบพอแค่ให้เขาเอนตัวนอนเท่านั้น ในขณะที่ผู้คุมเข้ามาตรวจเป็นรอบสุดท้ายและสั่งให้ทุกคนเข้านอนตามเวลา หลิวไห่ไม่สนใจคนข้าง ๆ ที่ชวนเขาคุย ความเงียบของหลิวไห่ทำให้คนอื่นไม่กล้าเข้าใกล้

เมื่อเจ้าหน้าที่ไปหมดแล้ว ผู้ชายก้ามปูคนนั้นกลับไม่นอนเขาลุกขึ้นนั่งทันที หลิวไห่ชำเลืองมองคนคนนั้น เห็นว่าคนสี่ห้าคนกำลังรุมล้อมเขาอยู่พร้อมกับเรียกว่าลูกพี่ แล้วเอาขนมปังออกมาพร้อมน้ำขวดหนึ่งให้เขากิน และพื้นที่อันจำกัดของห้องนี้กลับถูกคนของเขาที่มีอยู่แค่ไม่กี่คนครอบครองไปมากกว่าครึ่ง ในขณะที่นักโทษคนอื่นแทบจะนอนกอดกันอยู่แล้ว

หลิวไห่ได้แต่คิดในใจว่า ไม่ว่าที่ไหนในโลกไม่เว้นแม้แต่คุกก็ยังมีอภิสิทธิ์ชนที่มีอำนาจเหนือคนอื่น แต่เรื่องนี้เขายังไม่ได้รับความเดือดร้อนเกินไปเขาจึงพอทนได้

ผู้ชายกล้ามปูคนนั้นมองมาที่หลิวไห่ที่ตอนนี้นอนหันหลังให้เขาแล้วพูดขึ้นมาว่า

“พวกมึงลากมันมานี่ ให้มันรู้ว่าใครเป็นใคร”

สองเดือนต่อมาพ่อของเขาก็ออกจากโรงพยาบาล เงินเก็บของพ่อมีมากจนหลิวไห่ตกใจในตอนแรก แต่เพราะค่าใช้จ่ายในการรักษาทั้งของเขาก่อนหน้านั้นและยังมีของพ่อของเขา ด้วยค่าใช้จ่ายที่มากเช่นนี้จึงทำให้เงินเก็บของพ่อเหลือไม่มากแล้ว

หลิวไห่ได้ใช้เงินส่วนหนึ่งในการปรับปรุงบ้านเพื่อให้สะดวกต่อการใช้ชีวิตของผู้ป่วยอัมพาต ยิ่งทำให้เงินของเขาหร่อยหรอลงจนเขากลุ้มใจ

“พ่อครับทุกอย่างเริ่มต้นที่ผมใช่หรือเปล่าครับ ผมทำให้ประธานกู้เกลียดทำให้กู้เมิ่งไม่ชอบหน้า พวกเราก็เลยตกอับแบบวันนี้”

หลิวไห่เอาแต่โทษตัวเอง มองพ่อด้วยสายตาเซื่องซึม

พ่อของเขาปลอบเขาด้วยรอยยิ้ม ทำราวกับว่าเรื่องที่ผ่านมาไม่ได้สำคัญอีกต่อไปแล้ว

“ไม่ใช่หรอก หากจะโทษก็ต้องโทษพ่อที่ตัดสินใจกลับเข้าไปรับงานนั้นอีก จำไว้ว่าไม่ใช่ความผิดลูกบางทีมันอาจเป็นโชคชะตาก็ได้ที่ทำให้พ่อเป็นแบบนี้”

“แต่พวกมันทำให้พ่อเป็นแบบนี้นะครับ ไม่ใช่โชคชะตามันทำให้พ่อเป็นอัมพาต”

ความคิดของหลิวไห่ในตอนนี้คือ ทำไมโลกนี้ถึงได้ไรัซึ่งความยุติธรรมเช่นนี้ คนเลวพวกนั้นจะมีใครที่สามารถจัดการพวกเขาได้หรือเปล่า

พ่อของเขาเห็นความโกรธที่อยู่ในดวงตาลูกชายแล้วรู้สึกไม่สบายใจ พยายามที่จะไม่ให้หลิวไห่คิดแค้นแล้วเอาตัวเองไปลำบาก การต่อกรกับประธานกู้เท่ากับหาเรื่องตาย

“อย่าคิดแค้นเลย พวกเราสู้เขาไม่ได้หรอก เขามีทั้งเงินมีทั้งอิทธิพลพ่อแค่หวังว่าเราสองคนจะอยู่ด้วยกันอย่างสงบ เรื่องที่ผ่านมาแล้วเพราะพ่อทะเยอทะยานเองหากพ่อไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวก็ไม่มีทางที่จะได้รับความลำบากแบบนี้ พ่ออยากให้ลูกปล่อยวางแล้วใช้ชีวิตของพวกเราไปไม่ยุ่งเกี่ยวกับคนพวกนั้นอีก ลูกจะรับปากพ่อได้หรือเปล่าว่าจะไม่ทำอะไรให้ตัวเองลำบากเด็ดขาด”

หลิวไห่ถอนหายใจ เขาไม่อยากเห็นพ่อไม่สบายใจ แต่ในใจของคนเลือดร้อนไม่ยอมคนแบบเขาก็รู้สึกต่อต้านและไม่ยินยอม

“แต่ขาพ่อล่ะครับ เพราะพวกมันขาของพ่อถึงเป็นแบบนี้”

“ก็คิดในแง่ดี ช่วงนี้พ่อก็ได้พักอย่างเต็มที่ไม่ต้องออกไปไหนมาไหนให้วุ่นวายอีก ลูกก็มีความสามารถ ถึงจะพลาดจากการเป็นตำรวจในปีนี้ปีหน้าก็ยังมีโอกาสสอบอีกได้ไม่ใช่เหรอ”

หลิวไห่ก้มหน้า น้ำตาของเขาซึมออกมาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเจ็บปวด

“พ่อครับ ผมไม่อยากเป็นตำรวจอีกแล้วครับ”

พ่อของหลิวไห่รู้สึกผิด เขารู้ว่าการเป็นตำรวจคือความฝันของลูกชายมานานเพียงใด แต่เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นทำให้หลิวไห่เกลียดตำรวจไปแล้ว เขาจึงได้แต่ตบไหล่ลูกชายเป็นการปลอบเบา ๆ

“ได้สิไม่อยากเป็นแล้วก็ไม่เป็นไร ลูกชายพ่อเป็นคนเก่งทำอะไรก็ได้ เอาแบบนี้แกกับพ่อมาช่วยกันคิดว่าพวกเราจะทำอะไรกันต่อไป พวกเราเป็นทีมเดียวกันใช่หรือเปล่า รับรองว่าถ้าพวกเราได้ร่วมมือกันไม่ว่าทำอะไรก็ต้องประสบความสำเร็จแน่นอน”

หลิวไห่ยิ้มทั้งน้ำตา

“ครับพ่อ เรามาร่วมมือกันเถอะ ต่อไปผมจะหาเงินมาเยอะ ๆ เพื่อให้พ่อไม่ต้องลำบากนะครับ”

พ่อของหลิวไห่มองลูกชายอย่างภาคภูมิใจ ถึงหลิวไห่จะไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของเขา แต่เขากลับรู้สึกว่าเด็กคนนี้เป็นสายเลือดที่เข้มข้นของเขาจริง ๆ เขาไม่ได้บอกหลิวไห่ว่าที่เขาต้องกลับมาทำงานนี้เพราะประธานกู้ขู่เอาชีวิตของหลิวไห่ ทำให้เขาตัดสินใจทำมันอีกครั้ง

ความจริงในตอนนั้นเขาน่าจะพาหลิวไห่หนีไปให้ไกลที่สุด เมื่อคิดได้ก็สายไปเสียแล้ว

หลิวไห่ยังมีความสงสัย เขาจึงถามพ่อขึ้นมาว่า

“พ่อจะบอกผมได้หรือยังครับว่ามันคืองานอะไรที่พ่อทำให้กับประธานกู้”

พ่อของหลิวไห่เพียงแต่ส่ายหน้า และพูดด้วยคำพูดเดิมว่า

“ลูกไม่รู้เรื่องจะปลอดภัยกว่า เราสองคนพ่อลูกย้ายกลับไปแผ่นดินใหญ่ดีหรือเปล่า หนีไปจากเรื่องยุ่ง ๆ พวกนี้กัน”

พ่อของเขาคิดว่าเรื่องอาจจะไม่จบ คนพวกนั้นอาจจะสงสัยแล้วย้อนกลับมาหาเขาก็เป็นได้ ดังนั้นต้องรีบหนีไปให้เร็วที่สุด

ในเมื่อพ่อไม่ยอมบอก หลิวไห่จึงไม่คิดจะคาดคั้นเรื่องนี้อีก เขาจึงได้แต่พยักหน้า

“ครับ พ่ออยากไปไหนผมก็จะไปด้วยครับ ผมอยู่ที่ไหนก็ได้ที่มีพ่อ”

พ่อของหลิวไห่ถอดสร้อยไม้กางเขนออกจากคอของเขา แล้วสวมให้หลิวไห่

“อย่าถอดออกนะลูก แล้วพระเจ้าจะคุ้มครองให้ลูกปลอดภัยถือเป็นเครื่องลางและของขวัญจากพ่อ”

หลิวไห่มองสร้อยไม้กางเขนที่ตัวเองสวมอยู่ สร้อยนี้พ่อของเขาใส่ไม่เคยถอดออก วันนี้ยกให้เขาหลิวไห่จึงตื้นตันเป็นอย่างมาก

“ครับพ่อ ผมรักพ่อครับ”

สองคนพ่อลูกต่างกอดกัน น้ำตาลูกผู้ชายไหลออกมาด้วยความซาบซึ้งใจ ผู้ชายคนนี้สำหรับหลิวไห่แล้วมีความสำคัญกับชีวิตของเขามากยิ่งกว่าพ่อผู้ให้กำเนิดเสียอีก

น่าเสียดายที่หลิวไห่ไม่มีโอกาสกลับไปใช้ชีวิตที่แผ่นดินใหญ่กับพ่อ เมื่อวันหนึ่งเขากลับมาที่บ้านหลังจากออกไปซื้อของก็พบว่าพ่อของเขาได้ถูกทำร้ายจนอาการสาหัส ที่บ้านของเขาถูกรื้อกระจาย ข้าวของพังเสียหาย

“พ่อครับ พ่อ พ่ออยู่กับผมนะครับ พ่อ พ่อ”

หลิวไห่นั่งลงจมกองเลือด ร้องไห้จนน้ำตาแทบเป็นสายเลือด เขาไม่สามารถยื้อชีวิตพ่อของเขาเอาไว้ได้ เมื่อในที่สุดพ่อก็จากไป

“พ่อ พ่อ พ่อ ครับ ฮือ ฮือ ฮือ”

หลิวไห่ทำอะไรไม่ถูกได้แต่ร้องไห้อยู่เช่นนั้น หลังจากนั้นไม่นานตำรวจก็บุกเข้ามาทันใด

“คุณหลิว เพื่อนบ้านให้การยืนยันได้ยินเสียงทะเลาะกันอย่างรุนแรงระหว่างคุณและพ่อของคุณ เราขอจับกุมคุณในข้อหาฆาตกรรมพ่อของตัวเอง คุณมีสิทธิที่จะไม่พูด สิ่งที่คุณพูดอาจถูกใช้ในการพิจารณาคดีกับคุณในชั้นศาล คุณมีสิทธิที่จะมีทนายความ ถ้าคุณไม่สามารถจ้างทนายได้ ศาลจะแต่งตั้งทนายให้กับคุณ”

“ไม่ ผมไม่ได้ฆ่าพ่อ พวกคุณเข้าใจผิดแล้ว ไม่ ไม่ ผมไม่ได้ทำ ผมไม่ได้ทำ”

หลิวไห่ถูกจับใส่กุญแจมือ เขาคุ้มคลั่งไปแล้วจึงทำร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เข้าจับกุมตัวเขา บาดเจ็บนอนกองไปที่พื้นหลายราย สุดท้ายแล้วหลิวไห่ถูกยิงเข้าที่แขนและถูกกระบองไฟช็อตเข้าที่ร่าง สุดท้ายแล้วเขาก็สลบไป

ในวันนั้นตำรวจเข้ามาช่วยพวกเขาพ่อลูกเอาไว้ได้ทัน หลายวันต่อมาเขาก็ฟื้นขึ้นมาพร้อมกับข่าวร้ายเกี่ยวกับพ่อของเขา กระสุนปืนฝังเข้าที่ส่วนหลังของพ่อจนทำให้พ่อกลายเป็นอัมพาตตั้งแต่ช่วงเอวลงมา

“แล้วพ่อของผมมีทางจะรักษาหรือเปล่าครับ”

หลิวไห่ถามหมอเสียงสั่น

“อาการยังต้องประเมินอีกครั้งครับ แต่เบื้องต้นตอนนี้คนไข้ได้สูญเสียความรู้สึกช่วงล่างไปแล้ว ทางหมอจะพยายามจนถึงที่สุดครับ”

“หมอครับ พ่อผมอยู่ไหน พ่อของผมอยู่ไหนครับ”

คุณหมอตอบคำถามอย่างใจเย็น พยายามให้หลิวไห่ควบคุมอารมณ์ของตัวเอง

“ตอนนี้คุณพ่อของคุณยังอยู่ห้องไอซียูครับ คุณพ่อของคุณยังปลอดภัยดีครับไม่ต้องห่วงนะครับ เพียงแต่เราต้องเฝ้าดูอาการจนกว่าจะแน่ใจถึงจะให้ออกจากไอซียูได้ครับ”

เขาผวาลงจากเตียงต้องการไปหาพ่อของเขาในตอนนั้น แต่เขาเองก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสจึงไม่ได้รับอนุญาตให้ขยับตัว หลิวไห่เกิดคุ้มคลั่งบุรุษพยาบาลต่างเข้ามาช่วยกันจับตัวของเขา

จนสุดท้ายแพทย์ต้องตัดสินใจฉีดยานอนหลับให้หลิวไห่เขาจึงสงบลงได้

เมื่อตื่นขึ้นมาหลิวไห่พบว่าตัวเองถูกมัดเอาไว้กับเตียง เขาร้องตะโกนอย่างบ้าคลั่งรู้สึกเจ็บปวดและคล้ายกำลังจะสูญเสียบางอย่าง ได้แต่อ้อนวอนหมอให้เขาได้พบพ่อสักครั้งแต่ก็ยังไม่ได้รับอนุญาตเช่นเดิม หลิวไห่จึงได้แต่ร้องไห้คร่ำครวญอยู่ข้างนอกอย่างน่าสงสาร

เขาโกรธแค้นกู้เมิ่ง อยากฆ่าไอ้เลวคนนั้นให้ตายต้องการให้กู้เมิ่งชดใช้ให้แก่พ่อของเขา เขาจะลากมันเข้าคุกให้มันไปชดใช้กรรมในนั้น

ตำรวจมาหาเขาสองครั้งถามหลายเรื่องแล้วจดบันทึก หลิวไห่มองพวกเขาอย่างมีความหวังเขาเล่าเรื่องทุกอย่างให้ตำรวจฟัง เขาต้องการให้กู้เมิ่งและพวกของมันชดใช้กรรมและตำรวจก็เอาแต่ก้มลงจดบางสิ่งบางอย่างลงในกระดาษ ทั้งยังไม่ได้รับปากเขาเรื่องตามจับคนร้ายและออกไปอย่างเงียบเชียบ

ตั้งแต่นั้นมาตำรวจก็ไม่มาหาเขาอีกเลย

หนึ่งเดือนต่อมาหลิวไห่ก็ออกจากโรงพยาบาล หลิวไห่ในตอนนี้ไม่ได้เป็นตำรวจอย่างที่หวังแล้วเป็นเพราะวันนั้นที่เขาถูกทำร้ายทำให้เขาไม่สามารถไปรายงานตัวเข้ารับราชการตำรวจได้ทัน อีกทั้งไม่มีญาติมาอุทรณ์จนกระทั่งหมดเวลาผ่อนผันในที่สุด

หลิวไห่ต้องพลาดหวังจากการเข้ารับราชการตำรวจอย่างที่ตัวเองตั้งใจในที่สุด โลกของเขาคล้ายจะถล่มลงมาแล้ว การเป็นตำรวจเป็นสิ่งที่เขาใฝ่ฝันมาตลอดชีวิตในตอนนี้เพราะกู้เมิ่งคนนั้นทำให้ชีวิตของเขาพังลงมา ยังมีพ่อของเขาที่ต้องเป็นแบบนี้อีก

หลิวไห่พยายามถามพ่อของเขาหลายครั้งว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แล้วแฟรชไดร์ฟที่ผู้ชายคนนั้นพูดถึงคืออะไร พ่อของเขาเพียงแต่พูดว่าเพราะเรื่องนี้ทำให้พ่อกลายเป็นอัมพาต เพราะฉะนั้นเขาจะไม่ยอมให้หลิวไห่รู้เรื่องสกปรกที่พ่อทำจนต้องมารับกรรมที่ไม่ได้ทำไปด้วย

ในวันนั้นเป็นครั้งแรกที่หลิวไห่คิดว่าเขาไม่ได้รู้จักพ่อของเขาเลยสักนิด

หลังหลิวไห่ออกจากโรงพยาบาลเขาก็ไปตามเรื่องที่สถานีตำรวจ ดูเหมือนว่าเรื่องที่พวกเขาสองพ่อลูกถูกทำร้ายจะกลายเป็นเพียงเรื่องทะเลาะตบตีกันของวัยรุ่น และตำรวจก็ไม่ใส่ใจ

เมื่อไปถึงโรงพักเพื่อติดตามเรื่อง กลับไม่มีใครสักคนเลยที่สนใจเขา

หลิวไห่กลับมาด้วยความผิดหวัง การที่เขาบอกว่ากู้เมิ่งเป็นคนยิงเขาในวันนี้ทำให้ตำรวจพวกนั้นเอาแต่หัวเราะ

“นายอย่ามาล้อเล่น ลูกชายคนเดียวที่จะสืบทอดตำแหน่งประธานในเครือธุรกิจตระกูลกู้คนนั้นคงไม่ลดตัวมายิงคนที่ไร้หัวนอนปลายเท้าแบบนายหรอก”

หลิวไห่พยายามอธิบาย ดูเหมือนว่าตำรวจไม่มีทางเชื่อเขาและไม่คิดจะสืบเรื่องอะไรเลย

“แต่เป็นเขาจริง ๆ นะครับ เขาและคนของเขาเป็นคนยิงผมและพ่อ วันนั้นก็เป็นคนของเขาที่โทรเรียกรถพยาบาล”

นายตำรวจคนนั้นจึงตอบเขาด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“ไม่ใช่หรอก คนโทรเรียกเขาบังเอิญได้ยินเสียงอันธพาลแถวนั้นตีคน เขามีน้ำใจเขาก็เลยโทรเรียก นายอย่ามาใส่ความคนอื่นเลยหลักฐานไม่มีพูดไปก็ไม่มีใครเชื่อหรอก อย่าทำให้ตำรวจปวดหัวเลยนะเจ้าหนู”

“ไม่ใช่นะครับ ผมพูดจริง ได้โปรดเชื่อผมนะครับ”

ตำรวจคนหนึ่งหัวเราะหยันเขาแล้วยังพูดว่า

“ฉันรู้มาว่านายและรองประธานกู้เคยมีเรื่องบาดหมางกันตอนเป็นวัยรุ่นใช่หรือเปล่า เรื่องนี้คงแค้นจนแต่งเรื่องโกหกน่ะสิ เห็นได้ชัดว่าพวกแกถูกอันธพาลข้างถนนเล่นงานชัด ๆ ยังจะโยงไปถึงท่านรองประธาน อย่าเที่ยวพูดไปให้คนอื่นฟังนะ ไม่งั้นนายอาจจะติดคุกในข้อกล่าวหาใส่ร้ายและล่วงเกินคนอื่นแทน”

ในวันนั้นหลิวไห่โกรธจัด เขาเพิ่งเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าตัวเองกับกู้เมิ่งช่างห่างชั้นกันเหลือเกิน นี่จะไม่มีทางที่เขาจะดึงคนเลวนั่นเข้าคุกได้เลยเหรอ หลิวไห่ในตอนนั้นได้แต่เก็บความเจ็บแค้นเอาไว้ในใจ

“ผมรักษาสัญญาน่า ไม่ต้องห่วงครับดอกเตอร์”

พ่อของหลิวไห่ถูกปล่อยตัวแล้ว จึงรีบวิ่งมาหาเขาประคองหลิวไห่เอาไว้

“อดทนไว้นะลูก เดี๋ยวรถพยาบาลก็มา”

“แผลแค่นี้ผมไม่เป็นไรครับ ผมขอโทษนะครับที่ทำให้พ่อลำบาก ผมขอโทษนะครับ”

พ่อของเขาร้องไห้ รู้สึกผิดต่อลูกชายคนนี้ ทั้ง ๆ ที่เป็นเพราะเขาแท้ ๆ ในขณะที่พ่อของเขากำลังกอดหลิวไห่อยู่นั้นเสียงผู้ชายคนหนึ่งพลันดังขึ้น

“โอว้ นึกว่าใครที่แท้ก็ไอ้สวะสองพ่อลูกนี่เอง มันจะตามจองล้างจองผลาญฉันไปถึงไหนวะ ฉันบอกพ่อแล้วพ่อก็ไม่ฟังยังเรียกมันมาทำงานอีก เป็นยังไงล่ะในที่สุดก็ถูกมันหักหลังจนได้”

“ครับนาย มันยอมบอกที่ซ่อนแล้วครับ อยู่ในที่เก็บกระดูกของเมียมันครับ ผมสั่งให้เด็กไปเอามาแล้วครับ”

คนชุดขาวรายงานอย่างนอบน้อมพร้อมกับหลีกทางให้กู้เมิ่ง

หลิวไห่เห็นแล้วว่าเป็นใคร คนคนนั้นเดินมาใกล้ ๆ  หลิวไห่เบิกตากว้างด้วยความตกใจ

“กู้เมิ่ง”

หลายปีที่ไม่ได้เจอกัน กู้เมิ่งในตอนนี้ได้เริ่มเข้ามาดูแลกิจการของประธานกู้ในบางส่วนแล้ว เขาได้รับคำสั่งจากประธานกู้ว่าห้ามยุ่งเกี่ยวกับหลิวไห่อีก เพราะประธานกู้ยังต้องการใช้งานพ่อของเขาหลังจากที่ไล่ออก

ที่แท้ไม่มีใครสามารถทำงานให้ประธานกู้ได้เหมือนพ่อของหลิวไห่ ไม่มีใครมีความสามารถสักคน ดังนั้นเพื่อช่วยเหลือลูกชายของเขาให้พ้นจากการจองล้างจองผลาญของคนเจ้าคิดเจ้าแค้นอย่างกู้เมิ่ง

พ่อของหลิวไห่จึงต้องจำใจกลับมาทำงานให้ประธานกู้อย่างลับ ๆ โดยไม่บอกหลิวไห่ให้รู้เรื่องนี้ เพราะกลัวว่าลูกชายจะผิดหวังในตัวของเขาที่ยอมก้มหัวให้กับประธานกู้อีกครั้ง

สิ่งที่ทำให้ทุกคนในที่นี้ตกใจคือเมื่อกู้เมิ่งเห็นหลิวไห่ ความแค้นในวัยเด็กของเขาก็เกิดขึ้น คนอย่างเขาถูกไอ้สวะคนหนึ่งฟาดเพียงหมัดเดียวจนต้องหามส่งโรงพยาบาลถือเป็นตราบาปในชีวิต

กู้เมิ่งถูกต่อยถึงขั้นกรามหักทำให้เขาไม่สามารถหุบปากได้สนิทมาจนถึงตอนนี้ ใบหน้าของเขายังบิดเบี้ยวไม่หล่อเหลาเช่นเดิม ยังมีอาการเจ็บปวดอยู่เป็นระยะแม้จะผ่าตัดรักษาอาการนี้หลายครั้งก็ยังไม่หายขาดจากอาการนี้สักที คาดว่าเส้นประสาทบางส่วนของเขาได้ถูกทำลายไปแล้ว

ทั้งหมดนี้เป็นเพราะหมัดเดียวของไอ้สารเลวหลิวไห่ หากเขาไม่ได้แก้แค้นชาตินี้ยังไงเขาก็คงนอนตายตาไม่หลับ

หากไม่ใช่เป็นเพราะพ่อของเขากำชับนักหนาเขาไม่มีทางปล่อยมันให้อยู่ดีเป็นแน่ แต่ตอนนี้ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว งานของพ่อก็สำเร็จแล้วไม่จำเป็นต้องใช้งานพ่อของไอ้สวะนี่ก็สามารถดำเนินงานต่อไปได้

กู้เมิ่งจึงคิดแก้แค้นหลิวไห่ในวันนี้

“อย่านะกู้เมิ่ง ถ้าพ่อของนายรู้ว่านายกำลังคิดจะทำอะไร เขาต้องไม่พอใจแน่”

พ่อของหลิวไห่พูดขึ้น เมื่อเห็นว่ากู้เมิ่งชักปืนออกมา

“ทำไมจะไม่ได้ พ่อกูรู้แล้วจะทำไมมึงคิดว่ามึงเป็นใครถึงกล้ามาขู่กู วันนี้ลูกมึงได้กินลูกปืนกูแน่และคนทรยศอย่างมึงต้องตายเหมือนหมาข้างถนนตัวหนึ่ง”

“กู้เมิ่งอย่าทำอะไรพ่อกู”

หลิวไห่เอาตัวเข้าขวาง เขาจ้องกู้เมิ่งอย่างไม่เกรงกลัว เมื่อเห็นว่าผู้ชายคนนี้กำลังจ่อปืนเข้าที่ศีรษะของพ่อเขา

“นายครับอย่าครับ ท่านประธานไม่ได้สั่งให้ฆ่านะครับ”

ผู้ชายในชุดขาวพูดขึ้น

“พวกมึงกลัวมันตายหรือกลัวกูวะ”

กู้เมิ่งโกรธจัด ยิ่งถูกคนของตัวเองห้ามยิ่งทำให้เขาคลุ้มคลั่ง เขาเกลียดสายตาของหลิวไห่ที่มองเขา เขาเกลียดคนแบบมันที่คิดว่าตัวเองสูงส่งทั้ง ๆ ที่เป็นแค่ขยะไร้ค่าชิ้นหนึ่ง

“กู้เมิ่งเรื่องของเราสองคนไม่เกี่ยวกับพ่อ มึงอยากทำอะไรโกรธแค้นอะไรก็มาแก้แค้นกูนี่ ถ้ามึงเป็นลูกผู้ชายพอ”

หลิวไห่พูดขึ้น กู้เมิ่งหัวเราะเหมือนคนเสียสติไปแล้ว

“กูจะฆ่ามันให้มึงเจ็บใจเล่น ใครจะทำไม กูฆ่ามึง มึงก็สบายสิ มึงจะรู้ได้ยังไงว่ากูเกลียดมึงแค่ไหน กูอยากให้มึงเกลียดกูและทรมานที่ทำอะไรกูไม่ได้ เพราะมึงมันก็แค่ไอ้กระจอกคนหนึ่งเท่านั้น”

หลิวไห่กอดพ่อของเขาเอาไว้ เมื่อกู้เมิงขึ้นลำปืน หลิวไห่หลับตาคิดว่าวันนี้กู้เมิ่งคงไม่ปล่อยเขาแน่ ๆ ความฝันทั้งหมดที่เขาตั้งใจทำเพื่อพ่อได้จบสิ้นกันแล้ว เขาพูดเบา ๆ

“พ่อครับผมรักพ่อนะครับ”

สองพ่อลูกมองตากันแล้วยิ้ม ในตอนนี้พวกเขาไม่มีท่าทางว่ากลัวความตาย ไม่มีแม้แต่จะอ้อนวอนขอชีวิตจากกู้เมิ่ง

“เอาสิถ้าอยากรอดก็คุกเข่าให้กูทั้งพ่อทั้งลูก บางทีกูอาจจะไว้ชีวิตแต่จะทำให้มึงก็ได้ เอาสิไอ้สวะคุกเข่าสิวะ”

คราวนี้กู้เมิ่งขยับปืนมาจ่อเข้าที่ท้ายทอยของหลิวไห่ หวังให้เขากลัวจนต้องอ้อนวอน แต่หลิวไห่กลับมองเขาแล้วไม่พูดอะไรสักคำ

“มึงคิดจะท้าทายกูเหรอ มึงคิดว่ากูจะไม่กล้าเหรอวะ”

หลิวไห่ถอนหายใจ เขาหลับตากอดพ่อแน่น อาการเจ็บแผลหายไปเป็นปลิดทิ้งเมื่อความตายอยู่ใกล้แค่เอื้อม

“ได้ในเมื่อให้โอกาสแล้วยังอวดดี แต่มึงอยากตาย กูจะไม่ให้มึงตายแต่จะให้มึงพิการไปตลอดชีวิต”

กู้เมิ่งขยับปืนออกจากศีรษะของหลิวไห่ ตั้งใจจะยิงที่ขาของเขาให้มันเป็นอัมพาตเดินไม่ได้ ในขณะที่กำลังเหนี่ยวไกปืนพ่อของหลิวไห่ได้อาศัยจังหวะนั้นพลิกตัวหลิวไห่ลงด้านล่างทันที

“ปัง ปัง”

เสียงปืนดังขึ้นสองนัด พร้อมด้วยร่างของพ่อที่กระตุกหลังจากนั้นเสียงรถตำรวจจึงดังขึ้น

“เวรแล้วมั๊ยล่ะใครเรียกตำรวจวะ”

หนึ่งในลูกน้องของชายในสูทขาวก้มหน้า แล้วพูดเสียงเบา

“ก่อนที่เจ้านายจะมาลูกพี่สั่งให้เรียกรถพยาบาลนี่ครับ พวกผมแค่ทำตามคำสั่ง”

“ไอ้เวรเอ๊ย มึงอยากตายใช่หรือเปล่า”

กู้เมิ่งโมโหแทบจะยิงลูกน้องคนนั้นทิ้ง

คนชุดขาวจึงรีบพูด

“นายครับเรารีบไปกันเถอะครับ ของก็ได้แล้วปล่อยมันไว้แบบนี้ผมว่าพวกมันไม่รอดหรอกครับนายจ่อยิงขนาดนั้น รีบไปเถอะครับ”

กู้เมิ่งโมโหเป็นอย่างมาก สองพ่อลูกสลบแน่นิ่งไปแล้วเขาจึงคิดว่าทั้งสองคนคงถูกกระสุนปืนของเขาเข้า กู้เมิ่งในตอนนี้จึงถูกลูกน้องพาตัวออกจากที่เกิดเหตุอย่างรวดเร็วทิ้งร่างของสองพ่อลูกที่นอนสลบเอาไว้ข้างหลัง

“คำนวณดูแล้วกี่นาทีครับที่มันจะมาถึง สองนาที ห้านาที หรือมากกว่า ผมไม่เก่งคำนวณเหมือนดอกเตอร์ด้วยทายไม่ถูกเลย”

คนคนนั้นหัวเราะเยาะหยัน พ่อของหลิวไห่มองลูกชายที่ถูกเขี่ยลงน้ำราวกับสุนัขตัวหนึ่งก็รู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก หลิวไห่ถามออกมา

“พ่อครับ ผมไม่เข้าใจอะไรสักอย่างแต่ผมคิดว่าสิ่งที่พ่อทำมันต้องไม่ใช่เรื่องเลวร้ายครับ พ่อไม่ต้องห่วงผม”

“หลิวไห่ หลิวไห่”

พ่อของหลิวไห่ร้องไห้ เป็นเพราะเขาไม่รอบคอบสุดท้ายถูกจับได้หลิวไห่จึงต้องมารับกรรมในสิ่งที่เขาก่อไว้แบบนี้ แต่เขาก็ไม่อาจให้ลูกเสี่ยงอันตรายได้ หลิวไห่ว่ายน้ำเก่งมากจึงดูไม่ลำบากที่ควรเมื่ออยู่ในน้ำ เพียงแต่เขาไม่กล้าว่ายไปไหนด้วยกลัวว่าจะเจอกับจระเข้ที่กำลังแห่มาเสียก่อนที่จะหนีได้

“ผมยอมตายครับพ่อ อย่าสนใจผมทำสิ่งที่พ่อเห็นว่าสมควรต่อไป”

หลิวไห่ตัดสินใจแล้ว เขาเชื่อใจพ่อของเขา เรื่องที่พ่อถึงขนาดยอมเสี่ยงชีวิตแลกกับมันแปลว่าต้องสำคัญมาก ที่ผ่านมาเขาได้เป็นลูกของพ่อ เขาก็มีความสุขที่สุดแล้ว ในเมื่อพ่อเลือกของสิ่งนั้นแสดงว่ามันย่อมมีค่ามากกว่าเขา

หลิวไห่ยอมรับการตัดสินใจนี้ ตั้งใจจะให้ตัวเองจมลงไปใต้ก้นแม่น้ำ แต่ก็ได้ยินเสียงของพ่อพูดขึ้นมาก่อน

“ผมบอกแล้ว ปล่อยลูกผมก่อน ปล่อยลูกชายของผม”

พ่อร่ำไห้ขอร้องผู้ชายในสูทข่าวคนนั้น

“โอ้เวลาเพิ่งผ่านมาสามนาทีเองนะ สารภาพเร็วจังผมยังอยากเห็นนายตำรวจน้ำดีที่สอบได้ที่หนึ่งคนนี้เอาตัวรอดจากจรเข้อยู่เลย แต่ช่างเถอะเรื่องงานสำคัญกว่าเรื่องบันเทิง ดึงมันขึ้นมา”

ชายสูทขาวสั่งลูกน้อง พวกมันจึงใช้ไม้เกี่ยวหลิวไห่ขึ้นมาแต่หลิวไห่ยังขึ้นจากน้ำไม่ได้ ก็เกิดความเจ็บปวดที่ขาแล้ว

“โอ๊ยขาฉัน”

หลิวไห่สึกชาเขาก็รู้สึกเจ็บแปลบ คนที่กำลังเกี่ยวเขาเห็นว่าน้ำบริเวณใกล้ตัวของหลิวไห่มีหลังของจระข้จำนวนมากโผล่ขึ้นมา จึงตกใจอยู่ไม่น้อย

“นายครับพวกมันแห่มาเป็นฝูงเลยครับ”

พ่อของหลิวไห่ร้องเสียงดัง

“อย่าให้ลูกผมเป็นอันตราย หากเขาเป็นอะไรผมยอมตายพวกคุณจะไม่ได้ของที่ต้องการ”

คนในสูทขาวจึงสั่งเสียงดังทันที

“ยิงจระเข้สิวะ อย่าให้มันทำร้ายไอ้เด็กนั่นได้ ยิงมันเลย”

ผลของการยิงจระเข้ของพวกลูกสมุน ทำให้สัตว์ร้ายในน้ำหวาดกลัวไม่กล้าจู่โจม คนพวกนั้นจึงดึงหลิวไห่ขึ้นมาได้สำเร็จแต่เนื้อที่ขาของเขาแหว่งไปแล้วโชคดีที่มันไม่หลุดออก หลิวไห่เจ็บปวดมากแต่เขาอดกลั้นเอาไว้

“เรียกรถพยาบาลให้เขาที ได้โปรดผมขอร้องได้โปรด”

เลือดของหลิวไห่ไหลนองออกมาแผลของเขาดูน่าสยดสยอง ในขณะนั้นรถคันหนึ่งก็แล่นเข้ามาจอดใกล้ ๆ ลูกสมุนหลายคนออกไปดูด้านนอกว่าเป็นใครที่มา หลิวไห่ได้ยินเสียงเอะอะต้อนรับเจ้านายอีกคนที่เพิ่งมาถึง พ่อของเขาเป็นห่วงหลิวไห่มาก ในตอนนี้เขาไม่สามารถอธิบายอะไรให้ลูกของเขาได้รู้เลยสักอย่าง

“ลูกพ่อ อดทนไว้นะพ่อขอโทษพ่อขอโทษลูกจะต้องปลอดภัย”

“พ่อครับผมไม่เป็นไร ผมอดทนได้ครับ พ่อไม่เป็นไรนะครับ”

ผู้ชายชุดขาวจึงพูดขึ้น

“เอาล่ะดอกเตอร์เจ้านายของผมมาถึงแล้ว ตอนนี้คุณรีบบอกผมก่อนที่เขาจะเดินมาถึงนี่และโกรธมากไปกว่านี้เถอะ ตอบผมมาแฟรชไดร์ฟอยู่ที่ไหนไม่งั้นผมจะถีบลูกคุณลงไปเดี๋ยวนี้ คราวนี้รับรองไม่รอดแน่”

“ช่วยเรียกรถพยาบาลให้ผมด้วยครับ ช่วยด้วยครับลูกชายผมโดนจระเข้กัดเลือดไหลไม่หยุดแล้ว”

“บอกมาก่อนว่าแฟรชไดร์ฟอยู่ที่ไหน ผมสัญญาว่าจะช่วยคุณ”

พ่อของหลิวไห่หลับตาอย่างยอมจำนน แล้วตอบว่า

“อยู่ที่ที่เก็บกระดูกของภรรยาผมครับ”

หลังจากนั้นพ่อของหลิวไห่ก็บอกว่าสถานที่นั้นอยู่ที่ไหนทั้งน้ำตา หลิวไห่ทั้งเจ็บแผลทั้งเจ็บใจที่รู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นจุดอ่อนของพ่อ ของชิ้นนั้นต้องมีความสำคัญสำหรับพ่อมากเป็นแน่

หากไม่เพราะเขา พ่อคงไม่ต้องลำบากใจบอกเรื่องนี้กับพวกมันไป

“ผมบอกแล้ว คุณช่วยลูกผมด้วยครับเรียกรถพยาบาลให้ที เรียกรถให้ผมด้วยครับ”

หลิวไห่รอพ่อตั้งแต่ช่วงบ่ายจนเผลอหลับไป เมื่อตื่นขึ้นมาเป็นเวลาเกือบสองทุ่มแล้วพ่อก็ยังไม่กลับบ้าน

หลิวไห่เริ่มเป็นกังวล เกิดอะไรขึ้นกับพ่อของเขากันแน่ เขาโทรตามพ่อเป็นร้อยรอบแต่ไม่มีใครรับสาย พ่อไม่เคยติดต่อไม่ได้แบบนี้มาก่อน หลิวไห่เปิดดูทีวีเพื่อดูข่าวว่าเกิดอุบัติเหตุละแวกบริเวณนี้หรือเปล่า แต่ก็ไม่มีข่าวว่ามีอุบัติเหตุในวันนี้ อย่างน้อยเรื่องนี้ก็ทำให้เขาโล่งอก

หลิวไห่โทรหาเพื่อนของพ่อที่ทำธุรกิจทัวร์ด้วยกัน คนทางนั้นก็บอกว่าวันนี้ไม่ได้เจอพ่อและยังปลอบเขาว่าอย่าคิดมาก พ่ออาจจะติดธุระก็เป็นได้ หลิวไห่ทนรอไม่ไหว เขาจึงเริ่มเดินออกตามหาด้วยตัวเอง จนกระทั่งมีโทรศัพท์สายหนึ่งโทรเข้ามาหาเขา

คนแปลกหน้า : นายคือหลิวไห่ลูกชายของเถ้าแก่หลิวใช่หรือเปล่า

หลิวไห่ : คุณเป็นใคร ทำไมใช้โทรศัพท์พ่อผม พ่อผมอยู่ที่ไหน

คนแปลกหน้า : ไม่ต้องห่วงเขาจะปลอดภัยจนกว่าฉันจะได้ของคืน

หลิวไห่ : เกิดอะไรขึ้น

คนแปลกหน้า : นายมาหาฉันที่นี่ นายจะได้พบพ่อของนายแค่นายตอบคำถามตามความจริงเท่านั้นพ่อนายจะปลอดภัย อย่าแจ้งตำรวจเด็ดขาดไม่งั้นฉันฆ่าเขาแน่

แล้วคนแปลกหน้าคนนั้นก็ส่งสถานที่นัดพบให้กับหลิวไห่ เขารีบเรียกแท็กซี่ไปตามเส้นทางที่คนคนนั้นส่งมาให้ เขาทั้งหวาดกลัวทั้งตกใจ ที่แท้สิ่งที่เขาเรียนมาทั้งหมดกับสถานการณ์จริงมันต่างกันลิบลับ

ทั้ง ๆ ที่เขาพยายามนึกทบทวนหลักสูตร และทำใจให้สงบตามที่เรียนมาแล้ว แต่เขากลับไม่รู้สึกสงบใจในเมื่อคนที่ถูกจับนั้นคือพ่อของเขา แท็กซี่ส่งหลิวไห่ที่หน้าตึกร้างตึกหนึ่ง  เพียงแท็กซี่ขับออกไป หลิวไห่มองสำรวจทั่วบริเวณ พยายามจดจำลักษณะตัวตึกรวมถึงเส้นทางที่มาเอาไว้ในสมอง

แต่แล้วเขาก็ถูกตีจนสลบไป

หลิวไห่ฟื้นขึ้นมาเพราะถูกน้ำเย็นสาดเข้าที่หน้า เขาสะบัดหน้าช้า ๆ พร้อมกับยกมือลูบน้ำบนใบหน้าออก สิ่งที่เขามองเห็นเป็นอย่างแรกคือพ่อของเขาที่ถูกมัดปากมัดมืออย่างแน่นหนา แล้วนั่งคุกเข่าหันหน้าไปยังแม่น้ำสายหนึ่ง ที่ใบหน้าของพ่อมีเลือดไหลเป็นทาง

“พ่อ เกิดอะไรขึ้น พวกมันทำอะไรพ่อ”

หลิวไห่ถามทันทีด้วยความตกใจ แต่ในตอนนี้เขาถูกมัดมือมัดเท้าเช่นกันจึงไม่สามารถเข้าไปช่วยเหลือพ่อได้ เขาไม่เข้าใจทำไมเขาถูกจับและทำไมพ่อของเขาถึงมีสภาพแบบนั้น

ผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาหาเขาแล้วพูดขึ้น

“นายครับท่าทางลูกของมันจะไม่รู้เรื่องอะไร”

หลิวไห่หันไปมองผู้ชายอีกคนที่เป็นเจ้านาย ผู้ชายคนนั้นใส่ชุดสูทสีขาวท่าทางถือตัว ในมือมีไม้ขนาดใหญ่อยู่อันหนึ่ง

“พวกมึงต้องการอะไร ปล่อยพ่อกูนะ ปล่อยพ่อกูเดี่ยวนี้”

หลิวไห่ตะโกนออกไป ใบหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ เขากำลังโกรธที่ไม่รู้เรื่องอะไรสักอย่างและโกรธที่ไม่สามารถช่วยพ่อของเขาได้ พ่อของเขาดิ้นรนพยายามพูดบางสิ่ง เลือดของเขาหยุดไหลแล้ว แต่ใบหน้าของพ่อก็เต็มไปด้วยสีแดง

“ไอ้เด็กเมื่อวานซืนวอนตายคนนี้ให้จัดการเลยมั๊ยครับนาย”

ผู้ชายร่างสูงคนเดิมพูดขึ้น ทำท่าจะกระทืบหลิวไห่ แต่ถูกนายของมันห้ามเอาไว้ก่อน ผู้ชายสูตรขาวคนนั้นหน้าตานับว่าดีมาก นอกจากจะใส่สูทที่ดูราคาแพงแล้วยังคงถามเขาด้วยน้ำเสียงรื่นหู

“ไอ้หนุ่ม บอกน้ามาเธอเคยเห็นแฟรชไดร์ฟหรือเปล่า พ่อเธอบอกเธอหรือเปล่าว่ามันอยู่ที่ไหน ข้างในมีของสำคัญของน้าที่ไม่สามารถให้ใครรู้ได้ พ่อของเธอเป็นคนเอาไป  น้าถามยังไงเขาก็ไม่ยอมบอก พี่ของเธอขโมยของคนอื่นไปแบบนี้ก็เป็นคนเลวสิ ไหนเธอรู้อะไรบ้างลองบอกน้าหน่อยสิ”

หลิวไห่ส่ายหน้าทันที

“ไม่เคยเห็น พ่อไม่มีอะไรแบบนั้นคุณปล่อยพ่อผมไปเถอะครับ เขาไม่รู้เรื่องอะไรเลยครับ ผมมั่นใจว่าพ่อผมไม่ได้ขโมยครับเขาเป็นคนยังไงผมรู้ดี เขาไม่ได้ขโมยอะไรจริง ๆ นะครับ”

หลิวไห่พยายามเกลี้ยกล่อมผู้ชายคนนั้น แต่กลับได้รับรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม คนเลวต่อให้แสดงว่าตัวเองมีน้ำใจแค่ไหนก็ยังเลววันยังค่ำ เขาลุกขึ้นแล้วหวดไม้เข้าที่ตัวของหลิวไห่อย่างแรง เขารู้สึกเจ็บจนร้องครางออกมา

พ่อของเขาตกตะลึง อ้าปากพยายามจะพูดบางสิ่งเมื่อเห็นว่าหลิวไห่ถูกทำร้าย

ผู้ชายคนนั้นใช้ไม้เชยคางหลิวไห่แล้วทำท่าฟาดลงมาอย่างแรง พ่อของหลิวไห่ร้องไห้ออกมาเมื่อคิดว่าเขาจะตีหลิวไห่ซ้ำ แต่แล้วไม้อันนั้นก็วืดอากาศผ่านไปพร้อมเสียงหัวเราะเลวทรามของคนในชุดสูทสีขาวและลูกน้องอีกหลายคนของมัน

“พูดได้แล้วสินะครับคุณหลิว มีอะไรจะพูดก็รีบพูด ท่าทางจะรักลูกชายมากสินะครับ ได้ข่าวว่าวันนี้เพิ่งสอบผ่านเป็นตำรวจนี่ อนาคตไกลเสียด้วยเอายังไงดีล่ะ จะแลกของกับชีวิตลูกชายที่ดีคนนี้หรือเปล่า”

หลิวไห่ร้องไห้เมื่อเห็นสภาพพ่อที่ไม่มีแรงแม้แต่จะประคองตัวให้นั่งได้แล้วในตอนนี้ ผู้ชายคนนั้นดึงผ้าปิดปากพ่อของเขาออก คุณหลิวร้องไห้

“ผมไม่รู้จริง ๆ ครับ ไม่ใช่ผมที่ขโมยข้อมูลมา ไม่ใช่ผมจริง ๆ ครับ ลูกชายผมคนนี้ไม่รู้เรื่องอะไรเลย เขาไม่รู้เรื่องงานของผมครับ เขาคิดว่าผมมีแค่บริษัททัวร์เท่านั้น เขาไม่รู้อะไรเลยครับ ปล่อยเขาไปเถอะ ได้โปรด”

“พ่อเกิดอะไรขึ้น พ่อ”

จากคำพูดของพ่อเขาหลิวไห่เริ่มเอะใจ ว่าที่แท้จริงพ่อเขากำลังทำอะไรอยู่กันแน่ สิ่งที่เขาเห็นทั้งหมดหรือจะเป็นแค่ฉากบังหน้าของพ่อเท่านั้น

“ไม่ยอมบอกเหรอ ได้ถ้ายังงั้นผมต้องขอโทษดอกเตอร์ด้วยนะครับ ที่จริงไม่อยากทำอะไรแบบนี้เลย เรื่องข่มขู่คนแบบนี้ความจริงผมก็ไม่ชอบเท่าไหร่”

หลิวไห่ได้ยินผู้ชายคนนั้นเรียกพ่อของตัวเองว่าศาสตราจารย์แล้วยิ่งตกใจ พ่อเขาเป็นแค่คนทำทัวร์คนหนึ่ง จะเป็นดอกเตอร์ไปได้ยังไง

หลิวไห่ถูกลากไปที่ริมแม่น้ำทั้งที่ยังตกตะลึง คนพวกนั้นยังส่องไฟมาที่เขาอีกด้วย

“ดอกเตอร์ครับ คุณเก่งคำนวณไม่ใช่เหรอผมจะราดไขมันไก่ลงไปที่ตัวลูกชายคุณ เรียกสัตว์เลี้ยงแสนน่ารักของผมมาหน่อย คุณลองคำนวณว่าจระเข้ที่อยู่ห่างไปประมาณห้าร้อยเมตรจะว่ายน้ำมาถึงที่นี่ภายในเวลากี่นาทีกัน เวลาพวกนั้นก็เท่ากับเวลาที่ผมให้ดอกเตอร์ตัดสินใจนะครับ เขาจะสอบเป็นตำรวจคงว่ายน้ำเก่ง ผมจะไม่ตัดเชือกที่มือนะครับ จะตัดแค่เชือกที่เท้าให้เขาเอาตัวรอดในน้ำได้เท่านั้น”

“แก ไอ้คนเลวปล่อยลูกฉัน เขายังไม่รู้เรื่อง ปล่อยเขาไป”

พ่อของหลิวไห่ตะโกนก้องพร้อมกับเสียง

“ตูม”

หลิวไห่ตกน้ำไปแล้ว ด้วยการถีบเพียงครั้งเดียวของคนในชุดสูทขาว หลิวไห่พยายามว่ายตะเกียกตะกายอยู่ในน้ำทั้ง ๆ ที่โดนมัดมือเอาไว้

หลิวไห่เก็บของออกจากโรงเรียน น้ำตาของเขายังคงคลอเบ้าไม่มีใครกล้าพูดกับเขาสักคน เขาสะพายกระเป๋าเป้แล้วเดินออกไปหาพ่อที่รออยู่นอกห้อง

พ่อของเขาตบไหล่เขาเบา ๆ พาเขาเดินออกจากโรงเรียนท่ามกลางสายตาของนักเรียนคนอื่น หลิวไห่รู้สึกเสียใจและเสียดาย ทั้งทบทวนความผิดพลาดของตัวเอง พ่อของเขาไม่ว่าเขาสักคำยังยิ้มให้เขาอย่างภาคภูมิใจ นั่นยิ่งทำให้เขาร้องไห้จนสะอื้น

“ผมทำพ่อตกงานแล้ว เราเพิ่งย้ายมาอยู่ฮ่องกงแท้ ๆ”

พ่อของหลิวไห่จึงบอกว่า

“ไม่เป็นไรหรอก พ่อยังมีพวกพ้องอยู่แกทำถูกแล้วพ่อภูมิใจในตัวแก”

“ผมเสียใจครับที่ไม่รู้จักระงับอารมณ์ให้มากกว่านี้ ความจริงถ้าผมใจเย็นลงสักนิดยอมถูกซ้อมก่อนเรื่องมันอาจจะไม่เป็นแบบนี้ก็ได้ เพราะผมลงมือก่อนแท้ ๆ”

“ก็ถือไว้เป็นบทเรียน คราวหลังจำไว้ให้ดีที่ประธานกู้พูดนั้นมีเหตุผล เขาเป็นคนเก่งมากสิ่งที่เขาพูดมักจะถูกเสมอ”

พ่อตบไหล่ของเขา

“ตอนนี้ที่สำคัญคือเรื่องเรียนของแก หาโรงเรียนที่ไม่มีชื่อเสียงหน่อยน่าจะยังพอมีเปิดรับ”

หลิวไห่สงสารพ่อ เมื่อตกงานแล้วไหนจะค่าใช้จ่าย

“ไม่ต้องห่วงพ่อมีเงินเก็บอยู่ก้อนหนึ่ง พอสำหรับส่งแกเรียนและทำธุรกิจเล็ก ๆ ของเราได้ พ่อของแกก็เป็นคนเก่งคนหนึ่งนะไม่ตายหรอก”

“ครับพ่อ ผมขอโทษนะครับ”

“เลิกพูดคำนี้เถอะ พ่อพูดจริง ๆ ไม่คิดว่าแกจะเท่ห์ขนาดนี้ ไอ้นี่มันเท่ห์เหมือนพ่อจริง ๆ คิดปกป้องคนอื่นเป็นด้วย”

“ครับ”

“ต่อไปเราพ่อลูกจะได้เริ่มชีวิตใหม่กันจริง ๆ พ่อก็มีเส้นสายมีพรรคพวกอยู่ที่นี่บ้างไม่ต้องห่วงนะ พ่อสัญญาว่าจะเลี้ยงดูแกอย่างเต็มที่ไม่ให้มีอะไรบกพร่อง”

“พ่อครับ”

“อะไรอยากบอกรักพ่อเหรอ”

หลิวไห่หน้าแดง เขาเป็นผู้ชายไม่พูดคำเชย ๆ น่าอายพวกนี้เป็นอันขาด ในขณะที่พ่อของเขาหัวเราะ

“เอาล่ะ ถ้ารักก็แค่บอกพ่อ แต่ถึงแกจะไม่บอกพ่อก็รู้ว่าแกรักพ่อเหมือนที่พ่อรักแก”

หลิวไห่ยิ้มออกแล้ว เขาพยักหน้าแล้วเดินเร็วขึ้นยังถูกพ่อแซวเรื่องบอกรักตามหลังมาติด ๆ

หลิวไห่หวนคิดถึงเรื่องราวตั้งแต่เขายังเด็กและอาศัยอยู่ในสถานสงเคราะห์ เป็นเพราะเขาตัวค่อนข้างผอม จึงมักถูกคนอื่นรังแกอยู่เรื่อย น้องชายของเขาก็ไม่เอาไหนแค่คนเดินผ่านก็ร้องไห้แล้ว

ตอนเด็ก ๆ เขามักจะรำคาญน้องรองเสมอ ลำพังตัวเขาเองก็เอาตัวไม่รอดเด็กคนนั้นยังตามเขาแจคอยให้เขาช่วยเหลืออยู่เรื่อย จนกระทั่งวันหนึ่งในขณะที่พวกเขาสองคนถูกรังแก เขาจำได้ว่าวันนั้นเป็นวันอาทิตย์ สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าของเขาอยู่ติดกับโบสถ์คริสต์จึงมีคนมาโบสถ์ค่อนข้างเยอะ

ในขณะที่พวกเขากำลังกอดกันร้องไห้อยู่นั้น เด็กผู้หญิงคนหนึ่งก็โผล่มาซัดเด็กอัธพาลพวกนั้นจนวิ่งหนี เขาตื่นเต้นมากที่ได้เห็นเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งจะเก่งขนาดนั้น

เด็กผู้หญิงคนนั้นยื่นมือเล็ก ๆ ของเธอมาให้เขาแล้วฉุดให้ลุกขึ้น น้ำเสียงของเธอช่างน่ารักเป็นอย่างยิ่ง

“ไม่ต้องกลัวนะ ฉันจะปกป้องนายเอง”

คำพูดนี้ดูเหมือนจะสลักเข้าไปในจิตใจของเขา เขาไม่เคยเจอใครที่น่ารักและเท่ห์แบบนี้มาก่อนในชีวิต เธอเป็นเหมือนนางฟ้าตัวน้อยของเขา และ ได้กลายมาเป็น ฮีโร่ในดวงใจของเขาแล้ว

หลังจากนั้นมาทุกวันอาทิตย์เขาจะคอยไปใกล้ ๆ กับโบสถ์นั่นเพื่อหวังจะได้พบเธออีกสักครั้ง

วันอาทิตย์ต่อมาเขาก็ได้พบกับเด็กหญิงคนนั้นอีกพร้อมตะกร้าขนมที่เธอนำมาฝาก เธอเป็นเด็กสาวที่น่ารักและใจดีมาก เธอคาดโทษเด็กคนอื่นที่รังแกพวกเขาว่าหากรู้อีกว่าพวกนั้นรังแกคน จะจับหักขาให้หมด ตั้งแต่นั้นมาจึงไม่มีใครกล้ามารังแกพวกเขาสองคนพี่น้องอีกเลย

และหลังจากนั้นไม่นานพวกเขาสองพี่น้องก็ได้รับอุปการะต้องออกจากบ้านเด็กกำพร้า เด็กผู้หญิงคนนั้นไม่ได้มาที่โบสถ์แล้ว เขาจึงไม่มีโอกาสได้บอกลาเธอ เพราะมีเธอเป็นแรงผลักดัน หลิวไห่จึงอยากปกป้องคนอื่นบ้างเขาจึงมีความคิดที่จะเป็นตำรวจ หวังว่าสักวันเขาจะไปยืนต่อหน้าเด็กคนนั้นแล้วบอกเธอว่า

เขาพร้อมแล้วต่อไปไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นเขาจะเป็นคนปกป้องเธอเอง

สองพ่อลูกมาถึงบ้านต่างมองหน้ากัน เมื่อคนของประธานกู้มาที่บ้านและขับไล่เขาออกจากบ้านทันที พวกเขาเพิ่งย้ายมาที่นี่ข้าวของไม่เยอะมากจึงเก็บของที่จำเป็นแล้วออกมาโดยไม่สนใจ

หลิวไห่ยังรู้สึกผิดในขณะที่พ่อของเขายังให้กำลังใจ

“ไม่ต้องห่วงนะ พวกเราไปหาบ้านเช่าเล็ก ๆ อยู่แล้วค่อยคิดว่าจะทำยังไงต่อไป”

หลิวไห่พยักหน้า มองพ่ออย่างซาบซึ้งใจในตอนนี้กระทั่งรถของพ่อก็เป็นรถบริษัทจำเป็นต้องคืนเขาไปทุกอย่าง พวกเขาสองพ่อลูกไม่เหลืออะไรแล้วเพราะคนเลวคนนั้นหรือเพราะเขากันแน่

หลิวไห่ยิ่งรู้สึกผิดในใจ แทบจะไม่เชื่อว่าเพียงแค่ไม่ยอมก้มหัวให้คนคนหนึ่งจะทำให้ชีวิตพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือแบบนี้

วันนี้กว่าจะหาที่พักได้ก็มืดค่ำ วันนั้นเป็นวันแรกที่พ่อสอนให้เขาดื่มเหล้า เพียงแต่ใบหน้าของพ่อไม่ได้เต็มไปด้วยความทุกข์ กลับมีรอยยิ้มเต็มใบหน้าและขอบคุณที่เขาอยู่เคียงข้างพ่อ

หลิวไห่จึงหัวเราะกับโชคชะตาของตัวเองอีกครั้ง

หลายปีต่อมาหลิวไห่สอบเข้าโรงเรียนนายตำรวจได้ด้วยคะแนนอันดับหนึ่ง และเขาก็จบมาด้วยคะแนนอันดับหนึ่งเช่นกันอีกไม่กี่วันจะเป็นวันมอบตัวเข้ารับราชการ พ่อของหลิวไห่ทำกิจการทัวร์เล็ก ๆ เพื่อเลี้ยงปากท้องของพวกเขาจึงอยู่รอดมาได้อย่างสงบสุข พวกเขาได้ลืมเรื่องของประธานกู้และลูกชายไปจนหมดสิ้น

เรื่องที่คิดว่ากำลังเป็นไปด้วยดีกลับมีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตั้งแต่นั้นมาก็เปลี่ยนแปลงชีวิตของหลิวไห่อย่างสิ้นเชิง ในขณะที่เขากำลังรอพ่อกลับบ้านเพื่ออวดผลสอบอยู่นั้น เรื่องที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นอีกจนได้

หลิวไห่เล่าเหตุการณ์ตามความจริง พร้อมทั้งมีครูหลินเป็นพยาน ประธานกู้รับฟังด้วยสีหน้าราบเรียบจนกระทั่งหลิวไห่เล่าจบ

“ถ้าแบบนี้นายก็หมายความว่าลูกฉันเป็นอันธพาลสิ ผอ.คุณว่ายังไงที่ผ่านมาคุณล้วนเป็นคนรายงานความประพฤติเขานี่ บอกเขาเป็นเด็กดีครูต่างรักใคร่ไม่ใช่เหรอ จะไปทำแบบนั้นกับครูผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ได้ยังไง”

ผอ.ปาดเหงื่อ เขามองครูหลินและหลิวไห่อย่างไม่เต็มตานัก ยังหลบสายตาประธานกู้พร้อมกับบอกว่า

“ที่ผมรายงานเป็นความจริงครับ จะให้เพื่อน ๆ คนอื่นมาเป็นพยานก็ได้ ส่วนเรื่องทำร้ายครูหลินก่อนนั้นผมไม่เห็นจริง ๆ ครับ ไม่แน่ครูหลินอาจจะเข้าใจผิด”

ครูหลินและหลิวไห่ อ้าปากค้างกับคำพูดบิดเบือนของ ผอ. หลิวไห่พยายามอธิบาย

“ผมพูดความจริงครับ กู้เมิ่งเป็นฝ่ายแกล้งนักเรียนคนหนึ่ง ครูหลินไปห้ามเลยถูกดูถูกและทำร้าย ผมทนไม่ไหวเลยเข้าไปห้าม ผมยอมรับว่าต่อยเขาเพราะถูกยั่วยุ แต่เพราะเขาทำร้ายครูนะครับ ผมทนไม่ไหว”

ประธานกู้หัวเราะเสียงดัง กระทั่ง ผอ.ยังยืนตัวสั่น หากเขาไม่บอกให้พูด ผอ.ยังไม่กล้าเอ่ยปาก แล้วเด็กนี่เป็นใครจึงได้ยืนพูดฉอด ๆ อยู่ตรงหน้าเขาโดยที่เขายังไม่ได้อนุญาต

“น่าสนุกจริง ๆ เป็นเด็กที่ไม่กลัวใคร สายตาแข็งกร้าวและค่อนข้างจะไม่มีสัมมาคารวะไปสักหน่อย”

คุณหลิวค้อมตัวลงอีกครั้ง

“ขอโทษครับท่านประธาน ลูกชายผมเพียงแต่พยายามอธิบายความจริง”

ประธานกู้มองพ่อของหลิวไห่

“อืม เลี้ยงลูกได้ไม่เลวแต่เลือดร้อนไปหน่อย”

จากนั้นสายตาของประธานกู้ก็จับจ้องที่หลิวไห่

“ลุงจะบอกอะไรให้นะเจ้าหนู การจะเป็นฝ่ายชนะต้องรู้จักแพ้ก่อนเธอถึงจะได้เปรียบ ดื้อด้านดันทุรังแบบนี้มีแต่จะทำให้ตัวเองและคนอื่นลำบาก เพราะฉะนั้นลุงว่านายทำผิด ไปก้มหัวขอโทษกู่เมิ่งที่โรงพยาบาลซะ จะคุกเข่าก็ได้ลุงจะถือว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น ส่วนเรื่องกู้เมิ่งก่อเรื่องหากครูหลินไม่ว่าอะไรก็ให้เลิกแล้วต่อกันเถอะ ต่อไปก็ช่วยกันสั่งสอนเขาให้ดีแล้วกัน”

ผอ. ดีใจเป็นอย่างยิ่ง อย่างน้อยก็ไม่มีคำว่าไล่ออกหลุดออกมาจากปากของประธานกู้ ยังไงหลิวไห่ก็เพิ่งย้ายเข้ามาและผลการเรียนของเขาเรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะ เขาเองก็เสียดายเป็นอย่างมากถ้าต้องให้หลิวไห่ออกจากโรงเรียน

“ท่านประธานช่างเป็นคนใจกว้างจริง ๆ ครับ หลิวไห่รีบคุกเข่าขอโทษท่านประธานสิ เรื่องจะได้จบ ๆ ท่านช่างเป็นผู้ใหญ่ที่มีน้ำใจประเสริฐเป็นอย่างยิ่ง”

หลิวไห่มองพ่อของตัวเอง เขากำมือแน่นแล้วมองสภาพของครูหลินที่ถูกทำร้ายจนเนื้อตัวเลอะเทอะยังมีศักดิ์ศรีที่ถูกกู้ไห่จูบต่อหน้าคนอื่นอีก แต่ผู้ชายคนนี้กลับบอกให้เลิกแล้วต่อกัน และให้เขาคุกเข่าขอโทษ

แบบนี้มันช่างทำเหมือนเขาเป็นหมาตัวหนึ่งที่ไร้ศักดิ์ศรี คนเลวคนนี้เลวยิ่งกว่ากู้เมิ่งอีก เขาไม่แปลกใจเลยที่กู้เมิ่งเลวแบบนั้น

ดวงตาของหลิวไห่แข็งกร้าว มองพ่อของตัวเองเห็นใบหน้าของคนที่เลี้ยงตัวเองมาอย่างเต็มที่ซีดเซียวและไม่พอใจก็กัดฟัน เขาจึงตอบว่า

“ไม่ครับ ผมไม่ได้ผิด พ่อผมสอนมาว่าหากทำผิดต้องยอมรับแต่ครั้งนี้ผมไม่ได้คิดว่าการสั่งสอนคนเลวคนหนึ่งจะเป็นเรื่องผิด แต่ผู้ใหญ่ที่ปิดหูปิดตาเข้าข้างคนเลวนั่นต่างหากที่ผิด ผมไม่คุกเข่าขอโทษกู้เมิ่งโดยเต็ดขาด”

ประธานกู้มองหน้าเขา ทุกคนในห้องต่างตกตะลึงไม่คิดว่าหลิวไห่จะกล้าหาญพูดไปแบบนั้น

“ผู้จัดการหลิว คุณคิดว่ายังไง กับเด็กที่หัวรั้นหัวแข็งแบบนี้ คุณเป็นคนเลี้ยงเขามาแท้จริงแล้วนิสัยเหมือนกันหรือเปล่า ไหนคุณลองสั่งสอนเขาหน่อยสิให้เขารู้สึกผิดชอบชั่วดี ผมจะให้โอกาสคุณและลูกอีกครั้ง ไม่เช่นนั้นทั้งลูกและพ่ออาจจะต้องกระเด็นออกจากที่ของผม”

“ท่านประธาน พ่อของผมไม่เกี่ยวนะครับ ท่านจะไล่คนออกแบบนี้ไม่ได้ ท่านประธาน”

หลิวไห่ร้องไห้ออกมา เขาทั้งเจ็บใจและเจ็บปวดเป็นอย่างมาก ในโลกนี้มีสิ่งที่เรียกว่าความอยุติธรรมถึงขั้นนี้เลยเหรอ พ่อของเขาจับมือเขาเอาไว้พร้อมส่ายหน้า เป็นการห้ามไม่ให้เขาพูด

หลิวไห่ร้องไห้ นี่เขากำลังทำอะไรที่ผิดพลาดอยู่ใช่หรือเปล่า

“ว่ายังไงล่ะ ผู้จัดการหลิว คุณก็รู้ว่าคนในองค์กรของเรามีเยอะแยะพร้อมจะขึ้นมาแทนคุณได้ทุกเมื่อ ทุกคนล้วนเป็นคนของผมหากลูกหลานของเขาไม่เชื่อฟัง ก็ต้องสั่งสอนพ่อแม่ไม่ใช่เหรอ หรือคุณคิดว่าผมพูดผิด”

ประธานกู้หัวเราะอย่างขบขัน คล้ายกับว่าเรื่องของคนพวกนั้นไม่เกี่ยวกับตัวเอง เขานั่งพิงเก้าอี้อย่างสบายมี ผอ.โรงเรียน รินน้ำชาให้ด้วยความนอบน้อม

หลิวไห่ร่างกายสั่นระริก ตอนนี้อยากจะอาละวาดให้ทุกอย่างพังพินาศ ก่นด่าในความอยุติธรรมที่พ่อของเขาและตัวเขากำลังได้รับ

“แกคิดว่าแกทำผิดแล้วอยากก้มหัวคุกเข่าให้กู้เมิ่งหรือเปล่า”

พ่อของเขาถามออกมา ใบหน้ายังดูอ่อนโยนเป็นอย่างยิ่ง

“พ่อครับผม…”

พ่อของหลิวไห่ยิ้มตบไหล่ของลูกชายเบา ๆ พร้อมพยักหน้า

“พ่อรู้จักแกดี”

ประธานกู้พูดแทรกขึ้น

“ว่ายังไงผู้จัดการหลิว ผมไม่มีเวลามากนะวันนี้คุณกับลูกทำผมเสียเวลาเล่นหมากล้อมกับ ผอ.แล้ว”

พ่อของหลิวไห่ค้อมตัวอีกครั้ง เขามองประธานกู้นิ่งแล้วยิ้มออกมา

“ผมคิดว่าลูกของผมไม่ผิดครับ เขาทำสิ่งที่ลูกผู้ชายสมควรทำปกป้องผู้หญิงอ่อนแอคนหนึ่ง ถ้าท่านคิดว่าผมทำผิดพลาดผมก็ยินดีจะลาออกครับ”

“พ่อ”

หลิวไห่ตะโกนออกมาอย่างคาดไม่ถึง คนทั้งห้องต่างนิ่งงัน

หลิวไห่กระโดดจากโต๊ะอาหารของตัวเองมาหยุดอยู่หน้ากู้เมิ่ง แต่ถูกลูกล้อของกู้เมิ่งเข้ามาขวางเสียก่อน

กู้เมิ่งผลักคนพวกนั้นออก แล้วเงยหน้ายกมุมปากท้าทายเขา

“ไอ้ลูกหมาตัวนี้อยากหาเรื่องตายก็ปล่อยมัน”

หลิวไห่ยิ้มเย็น

“ฉันไม่อยากมีเรื่อง นายปล่อยครูไปเถอะ”

หลิวไห่ยังคงใจเย็นในขณะที่กู้เมิ่งหัวเราะอย่างชั่วร้าย นักเรียนเริ่มเข้ามามุงดูพวกเขา ใครจะกล้าคิดว่านักเรียนใหม่ที่เพิ่งย้ายเข้ามาในวันแรกจะกล้าหาเรื่องอันธพาลอันดับหนึ่งในโรงเรียนที่แม้กระทั่งพวกครูยังกลัวเกรง

“โอ้อวดเก่งซะด้วย เอาสิหากว่าเก่ง กูจะทำอะไรอีครูร่านลูกเมียน้อยนี่ก็ได้ มันกล้ามายุ่งเรื่องของกูมันก็ต้องได้รับโทษ เหมือนมึงยังไงล่ะ อยากลองกินตีนเหรอถึงได้เสือกแบบนี้ โถ่ ไอ้กระจอก”

สิ้นคำว่าไอ้กระจอก กู้เมิ่งก็ลงไปนอนนับดาวที่พื้นแล้ว เพราะความฝันที่จะเป็นตำรวจหลายปีมานี้เขาจึงเฝ้าฝึกฝนร่างกายอย่างเต็มที่แรงที่เขาซัดกู้เมิ่งไปเมื่อสักครู่ไม่นับว่าเต็มส่วน แต่กลับทำให้ลูกคุณหนูที่วัน ๆ มีแต่คนคอยปกป้องล้มคว่ำไม่เป็นท่าในหมัดเดียว

ลูกน้องของกู้เมิ่งเห็นลูกพี่ลงไปทักทายพื้นก็ตัวสั่น ไอ้หมอนี่มันเป็นใครมาจากไหน หรือมีใครหนุนหลังกันแน่พวกเขาจึงได้แต่ยืนซื่อบื้ออยู่แบบนั้น

ครูหลินกรีดร้องออกมาด้วยความตกใจ เธอลุกขึ้นยืนได้แล้วและตอนนี้ก็กำลังเป็นห่วงหลิวไห่เป็นอย่างยิ่ง

ช่างโชคร้ายเหลือเกินที่วันนี้ประธานกู้มีนัดกับผอ. เพื่อฟังผลประกอบการและเล่นหมากกันในรอบหลายเดือน เรื่องของกู้เมิ่งและหลิวไห่จึงถูกส่งตรงไปยังประธานกู้ทันที

ทันทีที่รถของประธานกู้พร้อมด้วยรถขององครักษ์อีกหลายคันเลี้ยวเข้ามาในโรงเรียน ครูหลายคนถึงกับใบหน้าถอดสีไม่รู้จะรายงานเรื่องนี้ยังไงดี

ที่ผ่านมาเคยมีนักเรียนหลายคนมีเรื่องกับกู้เมิ่งสุดท้าย ทนายของประธานกู้ที่รับหน้าที่ดูแลก็สั่งให้ทุกคนถูกไล่ออก แต่นั่นเป็นเพียงโทษทะเลาะวิวาทที่กู้เมิ่งไม่เคยถูกทำร้าย แต่วันนี้เด็กเกเรคนนั้นถึงกลับถูกหามเข้าโรงพยาบาลเพราะฟันกรามหัก

เรียกว่าร้ายแรงที่สุดก็ว่าได้ ต่างคนต่างคาดการณ์กันไปต่าง ๆ นานาว่าหลิวไห่จะถูกลงโทษยังไง แน่นอนว่าอันดับแรกถูกไล่ออก รองลงมาอาจถูกแจ้งความจับไปนอนในคุกสักปีสองปีโทษฐานทำร้ายร่างกายและพยายามฆ่า

หลายคนอาจมองว่าเป็นเรื่องชกต่อยของเด็กผู้ชายทั่วไป ไม่น่าถึงขั้นติดคุก แต่ใครจะรู้ว่าประธานกู้ที่รักลูกยิ่งกว่าแก้วตาดวงใจคนนี้จะโกรธแค่ไหน

รถเก๋งสีดำคันหนึ่งเลี้ยวตามขบวนรถของประธานกู้เข้ามา เขาจอดรถอย่างเงียบเชียบไม่ได้รับการต้อนรับจากใคร ผู้ชายคนนั้นเป็นคนตัวสูงใบหน้าถึงจะมีอายุแล้วก็ดูดีเป็นอย่างยิ่ง

ครูหลินที่ยังอยู่ในสภาพย่ำแย่ที่ถูกทำร้ายกำลังยืนอยู่ข้างหลิวไห่ที่ก้มหน้าอยู่ในห้องรับแขก

เมื่อประธานกู้เข้ามาถึง ทั้งครูทั้ง ผอ.ต่างยืนขึ้นโค้งให้เขาอย่างให้เกียรติ

หลิวไห่เห็นผู้ชายทรงอิทธิพลคนนั้นก้าวเข้ามา รู้ว่าเขาเป็นเจ้าของโรงเรียนในใจของเขายังหวังว่าประธานกู้จะมีเมตตาอยู่บ้างไม่เช่นนั้นคงยุ่งเกี่ยวกับงานเรื่องด้านการศึกษาที่ต้องดูแลเด็กไม่ได้

เขาใส่สูทสีน้ำเงินเข้ม ท่าทางองอาจและเหมือนมีรัศมีบางประการอยู่รอบ ๆ ตัว เป็นรัศมีที่ข่มคนอื่นให้ดูเล็กจนตัวลีบ เขาไม่ได้มองหลิวไห่เพียงแต่นั่งตัวตรง ฟัง ผอ.รายงานเรื่องที่เกิดขึ้น

“กู้เมิ่งทำไมถูกทำร้ายได้ ไม่เห็น ผอ.จะรายงานเรื่องนี้นี่ สาเหตุที่เด็กคนนั้นทำร้ายลูกผม”

เสียงของประธานกู้ฟังดูเยือกเย็นเป็นอย่างยิ่ง หลิวไห่รู้สึกใจชื้น เขาได้ยินครูโทรเรียกพ่อของเขาแล้ว ไม่นานพ่อก็คงมาถึง

ครูกำลังจะอธิบาย พ่อของกู้เมิ่งก็มาถึงพอดี

“พ่อ”

คุณหลิวยิ้มให้หลิวไห่อย่างให้กำลังใจ เด็กชายเพียงเห็นพ่อของตัวเองก็รู้สึกว่าน้ำตากำลังไหลเอ่อ ยิ่งเห็นท่าทางนอบน้อมต่อท่านประธานกู้ เขาก็ยิ่งรู้สึกผิด ว่ากันว่าที่ประธานกู้สร้างโรงเรียนแห่งนี้ขึ้นมาก็เพราะต้องการสร้างให้ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนให้อยู่ในสภาพที่ดีที่สุด

เพราะเป็นแบบนี้พ่อแม่ผู้ปกครองจึงแห่กันให้ลูกมาเรียนที่นี่ อีกทั้งถ้าใครได้ขึ้นชื่อว่าเคยอยู่โรงเรียนนี้ยังได้รับการพิจารณาพิเศษให้เข้าทำงานในบริษัทในเครือของประธานกู้ที่มีมากมายแทบจะทั้งฮ่องกง และลามไปถึงแผ่นดินใหญ่ด้วย

กู้เมิ่งจึงกลายเป็นคนที่อยู่ในฐานะพิเศษที่ใครก็กลัว และไม่อยากมีเรื่องด้วย

คุณหลิวค้อมตัวให้ประธานกู้ ผู้ชายคนนั้นมองคุณหลิวด้วยความสนใจ

“นี่ลูกของผู้จัดการหลิวเหรอ ทำไมบังเอิญแบบนี้”

“ครับ ขอโทษด้วยครับที่ลูกชายผมสร้างความเดือดร้อนใจให้ท่านประธาน”

ประธานกู้โบกมือ

“เรื่องเล็กน้อย เป็นเรื่องทะเลาะกันของเด็กผู้ชายวัยรุ่น อย่าใส่ใจเลยที่มานี่เพราะต้องการมาเล่นหมากกับผอ.เป็นปกติเท่านั้น”

“ยังไงผมก็ต้องขอโทษที่สั่งสอนลูกไม่ดีครับ”

คุณหลิวค้อมตัวอีกครั้ง ประธานกู้หัวเราะเสียงดัง ภายในห้องแห่งนี้นอกจากพ่อของหลิวไห่และประธานกู้แล้วก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไรอีก

“เอาล่ะ ไหน ๆ ก็มาแล้ว ผมก็เป็นคนยุติธรรมจะให้โอกาสลูกชายผู้จัดการอธิบายว่าทำไมถึงต่อยลูกชายผมจนต้องเข้าโรงพยาบาลแบบนั้น”

คุณหลิวมองหลิวไห่ พร้อมกับบอกให้เขาอธิบาย

“ท่านประธานเป็นคนยุติธรรมไม่ต้องกลัว มีอะไรก็เล่าไปตามความจริง”

“ครับ”

ที่แท้คนที่จับแขนของเขาไว้คือครูประจำชั้นของเขานั่นเอง ครูประจำชั้นคนนี้ชื่อครูหลินเป็นครูคนแรกที่หลิวไห่รู้จัก ครูหลินมีน้ำใจกับเขามากทั้งช่วยแนะนำหลายอย่าง ครูหลินส่ายหน้าแล้วบอกเขา

“อย่าเข้าไปยุ่ง เธอเพิ่งมาอย่าหาเรื่องเจ้าของโรงเรียนนี้ก็คือเจ้าของบริษัทที่พ่อของเธอทำงานอยู่ นั่นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเขาเธอจะทำให้พ่อเดือดร้อนได้ ให้ครูจัดการเอง”

หลิวไห่จึงหยุดนิ่ง ครูหลินเดินเข้าไปไม่ได้ห้ามปรามเด็กเกเรกลุ่มนั้นแต่กลับพูดจาด้วยดี ๆ

“เกิดเรื่องอะไรกันจ้ะ แยกย้ายไปกินข้าวได้แล้วเวลาพักใกล้หมดแล้วนะ อ้าวอาเสิ่นหกล้มเหรอมาครูช่วย”

ครูหลินเป็นคนสวยเพิ่งเรียนจบไม่นานก็มาเป็นครูที่นี่ เพราะความสวยของครูจึงถูกใจลูกชายของท่านประธานคนนั้นเป็นอย่างมาก มันขยับห่างมองครูหลินตาวาว ไม่สนใจสายตาของเด็กคนอื่นในโรงเรียนที่กำลังแอบมอง

“คนสวยนี่เอง ใจดีอีกแล้วนะ”

เด็กคนนั้นมองครูหลินโดยไม่ละสายตา หลิวไห่วางจานข้าวนั่งลงคล้ายจะตั้งใจกินข้าวต่อไม่สนใจเรื่องนั้นอีก ในเมื่อครูจัดการแล้วก็คงไม่มีอะไร

จนกระทั่งได้ยินเสียงของครูหลินดังขึ้น

“กู้เมิ่งฉันเป็นครูของเธอนะ”

หลิวไห่ไม่ทันได้ดูว่าเกิดอะไรขึ้น เขาได้ยินผู้หญิงที่อยู่ด้านหลังของเขาพูดเบา ๆ

“ครูหลินหาเรื่องแล้ว กู้เมิ่งเคยไว้หน้าใครที่ไหนไปจูบครูแบบนั้นคิดดูว่าเรื่องนี้ใครจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ”

หลิวไห่วางช้อน ที่แท้คนคนนี้ก็เป็นลูกชายคนสุดท้องของประธานกู้เจ้านายของพ่อนั่นเอง เขาเคยเห็นประธานกู้ในทีวีหลายครั้งมีธุรกิจมากมายทั้งในจีนแผ่นดินใหญ่และในฮ่องกง ยังได้ยินพ่อของเขาพูดถึงหลายครั้งว่าเป็นคนเด็ดขาดและน่ากลัวคนหนึ่ง

ว่ากันว่าเขาชอบอยู่ที่ฮ่องกงเพราะมีภรรยานอกสมรสอยู่ที่นี่ เป็นดาราสาวสวยที่เขาหวงแหนและยังให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่ง หลังจากลูกชายเกิดประธานกู้ก็หย่าขาดจากภรรยาคนเก่าและแต่งงานจดทะเบียนกับภรรยาคนสวยทันที

ครูหลินอบรมกู้เมิ่งอีกหลายคำ น้ำเสียงดูเยือกเย็นเป็นอย่างยิ่ง

“ครูจะไม่ถือสาที่เธอทำแบบนี้ คงเป็นอารมณ์ชั่ววูบของวัยรุ่น แยกย้ายกันไปเถอะใกล้จะหมดเวลาพักแล้ว”

ครูหลินหน้าแดง ยังพยายามอบรมลูกศิษย์เป็นอย่างดี น่าแปลกที่มีครูอีกหลายคนอยู่ในบริเวณนี้แต่ไม่มีใครเข้ามาห้ามปรามหรือช่วยครูหลินแม้แต่คนเดียว

การที่ผู้หญิงคนหนึ่งถูกทำลายชื่อเสียงเพราะเด็กนักเรียนของตัวเองท่ามกลางสายตาของเด็กเป็นจำนวนมาก เมื่อพยานชัดเจนแบบนี้ถ้าเป็นที่อื่นกู้เมิ่งก็มีปัญหาแล้ว

แต่ที่นี่ไม่ใช่แบบนั้น กู้เมิ่งไม่กลัวใคร เขาต่อว่าครูที่กล้าสั่งสอนเขา ครูหลินจึงดุเบา ๆ ไปครั้งหนึ่ง กู้เมิ่งไม่พอใจขาจับต้นคอของครูหลินแล้วจูบลงมาอีกครั้ง ครูหลินขัดขืนจึงถูกเขาผลักลงไปกองกับพื้น พร้อมกับทำท่าทางยโส

“นังผู้หญิงร่าน คิดว่าฉันไม่รู้ประวัติเธอเหรอ ต่อหน้าคนในโรงเรียนทำเป็นครูที่แสนดีคิดจะมาสั่งสอนฉัน แม่แกมันก็ผู้หญิงขายตัวคนหนึ่งส่วนแกเองถึงจะชุบตัวก็ไม่ต่างจากแม่แกหรอกว่ามั๊ย ฮ่า ฮ่า ฮ่า”

เสียงหัวเราะของบรรดาลูกสมุนของกู้เมิ่งดังขึ้น ครูหลินพยายามลุกขึ้นแต่กลับถูกหนึ่งในลูกสมุนของกู้เมิ่งผลักลงไปอีก คราวนี้หลินไห่ไม่สามารถอดทนได้แล้ว เขาลุกขึ้นแล้วตวาดออกไปอย่างแรง

“หยุดลวนลามครูเดี่ยวนี้”

หลิวไห่วางช้อนลงอย่างแรง ดวงตาจับจ้องที่ใบหน้าของกู้เมิ่งในขณะที่กู้เมิ่งก็มองเขาเช่นกัน

เฉินเฟยอวี๋คนใหม่จึงได้รับความรักอย่างท่วมท้นมาตั้งแต่นั้น กลายเป็นคุณชายสกุลเฉินที่ใคร ๆ เห็นก็เกรงอกเกรงใจ ต่อมาไม่นานมารดาของเขาได้รับเลี้ยงเด็กเพิ่มอีกคนกลายเป็นคุณหนูรอง เฉินอิ่ง ผู้ทั้งสวยและฉลาดเฉลียวความฉลาดของเธอดูเหมือนจะแซงหน้าเฉินเฟยอวี๋แต่ก็ไม่ได้รับความโปรดปรานเท่ากับเฉินเฟยอวี๋ผู้หล่อเหลาและขี้อ้อนคนนั้น

ในสายตาของเฉินอิ่ง เฉินเฟยอวี๋จึงเหมือนตัวน่ารังเกียจที่แอ๊บแมนต่อหน้าพ่อแม่แต่เบื้องหลังแอบทำเรื่องเลวทราม หลังจากเฉินเฟยอวี๋เรียนจบมาจากต่างประเทศพ่อบุญธรรมของพวกเขาก็ตั้งใจจะยกบริษัทให้เฉินเฟยอวี๋แต่จู่ ๆ ก็เกิดอุบัติเหตุเสียชีวิตอย่างไม่คาดฝัน

หลังจากนั้นการบริหารตกอยู่ในมือของคุณนายเฉิน จนกระทั่งคุณนายเฉินล้มป่วยลงมาอีกคนและต้องการให้เฉินเฟยอวี๋แต่งงานก่อนที่เธอจะเสียชีวิต จู่ ๆ วันหนึ่งเฉินเฟยอวี๋ก็พาผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาในบ้านพร้อมกับแนะนำว่าคือคู่หมั้นของเขาจนตอนนี้เวลาผ่านไปหนึ่งปีแล้วเขาก็ยังคบกับคู่หมั้นและยังย้ายบ้านไปอยู่ด้วยกันอีกด้วย ทั้งหมดก็เพื่อบังหน้าคนในบริษัท

เรื่องราวของเฉินเฟยอวี๋ดูจะราบเรียบเป็นอย่างมาก ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายและเติบโตมาอย่างดี แต่เรื่องราวของหลิวไห่กลับไม่เป็นเช่นนั้น

ครอบครัวอุปถัมภ์ของหลิวไห่เป็นผู้ชายคนหนึ่งที่สูญเสียภรรยาไปจากโรคมะเร็ง เขามาช่วยเหลือเด็กเป็นประจำที่บ้านเด็กกำพร้า และวันหนึ่งได้พบหลิวไห่เข้า เขาชื่นชมความฉลาดของเด็กคนนี้จึงมาหาบ่อยครั้ง จนกระทั่งพบว่าน้องชายฝาแฝดของเขาถูกรับเลี้ยงไปแล้วทำให้เด็กชายซึมเศร้าลง

เมื่อเห็นเด็กชายไม่ร่าเริงเหมือนเดิมคุณหลิวจึงคิดอุปการะเด็กน้อย ไม่นานเด็กคนนี้ก็ได้ออกจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าพร้อมพ่อบุญธรรมคนใหม่ ยังได้ใช้แซ่หลิวและพ่อของเขายังตั้งชื่อว่าไห่ซึ่งแปลว่ามหาสมุทร เพราะพ่อต้องการให้เขาเป็นคนใจคอกว้างขวางเหมือนชื่อของเขา

หลิวไห่มีครอบครัวใหม่แล้วเขาดีใจเป็นอย่างยิ่ง คุณหลิวดูแลเขาอย่างดี ถึงครอบครัวของเขาจะไม่เทียบเท่าครอบครัวของเฉินเฟยอวี๋แต่เขาก็มีความสุขมาก หลิวไห่เรียนจนมัธยมต้น

ในช่วงมัธยมปลายเขาต้องย้ายตามพ่อบุญธรรมมาที่ฮ่องกงและในตอนนั้นเองที่เขากลับไปที่บ้านเด็กกำพร้าและตามหาที่อยู่น้องชายเพื่อทิ้งจดหมายให้น้องชาย ตั้งแต่นั้นมาพวกเขาจึงเริ่มติดต่อกันอีกครั้งโดยที่ผู้ใหญ่ทั้งสองครอบครัวไม่มีใครรู้เรื่อง

วันแรกที่เขาเข้าเรียนหนังสือหลิวไห่ผู้มีน้ำใจก็ต้องเจอเรื่องไม่เป็นธรรมในโรงเรียน ด้วยหน้าที่การงานของพ่อบุญธรรมเป็นถึงผู้จัดการบริษัทก่อสร้างยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่ง เขาจึงได้เข้าเรียนโรงเรียนเอกชนที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง

ช่วงพักกลางวันหลิวไห่เจอผู้ชายคนหนึ่งถูกคนกลุ่มหนึ่งรุมแกล้งอย่างหนัก ท่าทางของคนกลุ่มนั้นจะมีอิทธิพลในโรงเรียนอยู่ไม่น้อย แม้กระทั่งในโรงอาหารยังกล้าที่จะระรานคนอื่น

“ไอ้แว่นกินไปสิวะ กลัวไรที่บ้านก็เก็บขยะขายไม่ใช่เหรอถ้าไม่ใช่เพราะทุนโง่ ๆ นั่นจะอยู่โรงเรียนของฉันได้เหรอวะ ถ้าใครรู้เข้าว่าที่นี่มีลูกคนจนอยู่ด้วยคงน่าอายแย่”

พูดจบหนึ่งในคนกลุ่มนั้นก็เทข้าวของผู้ชายผอมใส่แว่นคนนั้นลงพื้น ผู้ชายคนนั้นหลิวไห่เห็นเขาเป็นเด็กเรียนนั่งหน้าและยกมือตอบแทบจะทุกวิชา ไม่คิดว่าจะถูกเพื่อนแกล้งแบบนี้

หลิวไห่กำมือแน่น เดิมทีคิดว่าตัวเองเป็นคนใหม่ไม่คิดที่จะยุ่งเรื่องของใคร แต่คนที่นี่ดูแล้วต่างหวาดกลัวไม่มีใครยื่นมือไปช่วยเด็กคนนั้นเลยแม้แต่คนเดียว เด็กคนนั้นมองข้าวของตนที่ถูกคนพวกนั้นเททิ้งด้วยดวงตาแดงก่ำ  เขากำหมัดแน่นอย่างเจ็บปวดแต่ไม่ตอบโต้อะไร

ในขณะที่หลิวไห่กำลังคิดจะไปช่วย ก็ถูกคนคนหนึ่งดึงแขนเอาไว้

“ครูหลิน”

หนึ่งปีต่อมา

ฮ่องกง

“พี่ใหญ่พี่ต้องช่วยฉันนะ ฉันไม่รู้จะทำยังไงแล้วคุณแม่ของฉันท่านเสียแล้ว ฉันกำลังจะทำบริษัทของท่านพัง ต้องโทษฉัน โทษฉันเองที่ไม่สามารถดูแลสิ่งที่คุณแม่ทิ้งไว้ให้ฉันได้ พวกมันดูถูกฉัน พวกมันรวมทั้งน้องสาวบุญธรรมของฉันด้วย บริษัทของฉันกำลังจะกลายเป็นบริษัทที่พัวพันเกี่ยวกับการฟองเงินแล้ว”

หลิวไห่คลึงแก้วเหล้าในมือแล้วส่งให้น้องชายฝาแฝดของตัวเอง น้องของเขาที่เขาเฝ้าอิจฉามาตลอดและได้ยินดีด้วยที่เขาพบครอบครัวอุปถัมภ์ที่แสนวิเศษ ทั้งร่ำรวยรักเขาจริง ชีวิตน้องชายของเขาไม่ควรจะมีเรื่องพวกนี้จนกระทั่งแม่บุญธรรมของเขาตายไปเมื่อหลายเดือนที่แล้ว

คนที่ถูกเลี้ยงดูมาแบบตามใจและไม่เคยหยิบจับอะไรจริงจังแบบนี้ย่อมกลายเป็นเหยื่อของเสือร้ายที่พร้อมจะขย้ำเขาให้ตายทั้งเป็น

“ลุกขึ้นเถอะ แล้วทำไมแต่งตัวแบบนี้ไม่กลัวคนเขาจับได้เหรอ”

เขามองน้องชายที่แต่งหน้าทาปากแล้วยังใส่เสื้อผ้าสีสันเจิดจ้า มีประกายทองวิบวับจนเขารู้สึกแสบตา

“ที่นี่ฮ่องกงจะกลัวใครล่ะ แต่ถ้าพี่ไม่ช่วยฉัน ฉันไม่ลุกขึ้นหรอก”

“หัวเข่าของลูกผู้ชายมีค่ายิ่งกว่าทองคำไม่เคยได้ยินเหรอ”

น้องชายของเขาส่ายหน้า

“ฉันไม่ใช่ผู้ชาย ฉันไม่สนพี่ต้องไปช่วยฉันได้โปรดทำเพื่อฉันสักครั้ง”

หลิวไห่ถอนหายใจ คิดย้อนไปถึงเมื่อครั้งที่พวกเขาอายุเจ็ดขวบและอาศัยอยู่ที่บ้านเด็กกำพร้าแล้วถูกจับแยกกันไปเพราะครอบครัวอุปถัมภ์แล้วต้องดึงตัวของน้องชายขึ้นมานั่งข้าง ๆ

“นายมีคู่หมั้นแล้วและยังอยู่บ้านเดียวกันกับผู้หญิงคนนั้นอีกจะให้ฉันสวมรอยเป็นนายได้ยังไงกัน”

“ทำไมจะไม่ได้ฉันกับเสี่ยวเจี่ยเป็นเหมือนเพื่อนกัน พี่ก็แค่แสดงละครเล็ก ๆ น้อย ๆ ต่อหน้าเธอ เวลาปกติฉันก็ปิดบังตัวเองเป็นผู้ชายที่เข้มแข็งอยู่แล้วมีแต่เวลาที่อยู่กับเสี่ยวเจี่ยเท่านั้นที่จะกลายเป็นตัวของตัวเอง อีกอย่างพี่ไม่ต้องดูแลเธอเลยเสี่ยวเจี่ยแข็งแรงและต่อสู้เก่งมาก เธอเก่งทุกอย่างเลยนะพี่ยังคุ้มกันพี่ได้อีกด้วย”

“รู้สึกเสี่ยวเจี่ยคู่หมั้นของนายคนนั้นจะดีเกินไปแล้ว ทั้งเข้าอกเข้าใจทั้งเป็นบอดี้การ์ด ผู้หญิงพวกนั้นล้วนหิวเงินนายอย่าซื่อให้ม้นมาก”  หลิวไห่ถอนหายใจแล้วถามต่อ “แล้วนายอยู่ทางนี้จะไหวเหรอ”

หลิวไห่ไม่ได้ห่วงตัวเอง แต่ห่วงว่าน้องชายของเขาจะรับมือไม่ไหวถึงเขาจะมีเลขาคู่ใจที่เก่งกาจคอยปกป้องก็ตามที

“ไหวสิ มีอะไรไม่ไหวกันฉันทำได้อยู่แล้วบริษัทนี่ของพี่ถ้าต้องตัดสินใจอะไรฉันก็แค่โทรไปปรึกษากับพี่ไม่มีใครกล้ามายุ่ง แต่บริษัทของฉันถ้าปล่อยไว้แบบนี้ต้องพังลงมาแน่นอน คนพวกนั้นพยายามจะเอาของสกปรกมาฟองเงินที่นี่ฉันไม่ต้องการแบบนั้น พี่เป็นญาติคนเดียวของฉันนะเราเกิดมาแทบจะพร้อมกันพี่จะไม่ดูดำดูดีฉันเลยเหรอ”

“เพราะฉะนั้นเลยวิ่งมาหาฉันถึงฮ่องกงล่ะสิ”

“จะพูดแบบนั้นก็ถูก”

“พี่พวกนั้นมันร่วมหัวกับคนสกุลกู้คิดจะยึดบริษัทของฉัน ถ้าพี่ไม่ช่วยฉันลำบากแน่”

“สกุลกู้อีกแล้วเหรอ”

“ใช่ คนเลวพวกนั้นฉันอยากจะตบ ตบ พวกมันให้ตายนัก”

หลิวไห่มองหน้าน้องชายอย่างจนใจ ความจริงน้องชายคนเดียวด้วยฐานะในตอนนี้เขาสามารถเลี้ยงดูให้น้องสบายได้ตลอดชีวิต แต่เพราะน้องชายดื้อรั้นที่จะรักษาบริษัทของแม่บุญธรรมเอาไว้จึงทำให้เขาลำบากใจ

ในที่สุดหลิ่วไห่ก็พยักหน้า เขาพยายามออกห่างจากสกุลกู้แต่ในเมื่อพวกนั้นยื่นมือเข้ามายุ่งกับน้องของเขาก่อน หลิวไห่ก็ไม่คิดจะละเว้นอีกต่อไป

หลิวไห่ครุ่นคิดอย่างเหม่อลอย ไม่สนใจน้องชายอีกสุดท้ายคนอ่อนแอคนนั้นก็ลุกขึ้นนั่งข้างเขา รินเหล้าดื่มเงียบ ๆ ในขณะที่หลิวไห่คิดย้อนเวลากลับไปเมื่อพวกเขาอายุเจ็ดขวบ

บ้านเด็กกำพร้า

“ต้าเกอผมไม่อยากไปผมจะอยู่กับต้าเกอ”

“ไม่ต้องกลัวนะ คุณน้าทั้งสองต่อไปจะเป็นพ่อและแม่ของน้องรองแล้ว เราสองคนจะได้มีพ่อแม่เหมือนคนอื่นยังไงล่ะพวกท่านใจดีขนาดนั้นต้องดีกับน้องรองมากแน่ ๆ”

น้องรองของเขาในตอนนั้นร้องไห้ในขณะที่หลิ่วไห่กอดเขาเอาไว้พร้อมกับปลอบใจ ในตอนนั้นพวกเขาทั้งสองเป็นเด็กกำพร้าถูกคนเอามาทิ้งไว้หน้าศูนย์รับเลี้ยงเด็กกำพร้าตั้งแต่แรกเกิด พวกเขาอยู่ในตะกร้าใบหนึ่งถูกห่อตัวด้วยผ้าสีขาวและมีสร้อยสลักวันเกิดของพวกเขาเอาไว้ในสร้อยเส้นนั้น

เจ้าหน้าที่ของศูนย์ได้ยินเสียงร้องไห้ของเด็กจึงรีบออกมาดู ในตอนนั้นหิมะกำลังตกลงมาอย่างหนักเจ้าหน้าที่จึงรีบพาพวกเขาเข้าไปในศูนย์ และรับเลี้ยงดูพวกเขามาตั้งแต่ตอนนั้น เด็กทั้งสองจึงไม่เคยรู้ว่าพ่อแม่ของพวกเขาเป็นใคร

หลักฐานเดียวที่มีคือสร้อยเงินสลักวันเกิดและสัญลักษณ์บางอย่างอยู่ในนั้น นั่นคือสมบัติติดกายที่พวกเขามีไว้คนละชิ้น พวกเขาถูกจับแยกกันไปอยู่กับต่างครอบครัวด้วยความเป็นเด็กจึงไม่ได้ติดต่อกันอีกตั้งแต่นั้น ภาพสุดท้ายที่เขาเห็นน้องรองของเขาคือเด็กชายตัวอ้วนที่มีน้ำตานองหน้าอยู่ในอ้อมกอดของผู้หญิงแสนสวยคนหนึ่ง

เขาสัมผัสได้ว่าน้องรองของเขาต้องมีความสุขกับครอบครัวใหม่แน่นอน และก็เป็นจริงตามนั้น น้องรองถูกเลี้ยงมาเหมือนเจ้าชายครอบครัวสกุลเฉินเคยมีลูกชายคนหนึ่งและได้เสียไปแล้วด้วยโรคหัวใจโตแต่กำเนิด พวกเขาทำยังไงก็ไม่มีลูกอีกจนวันหนึ่งมาทำบุญที่บ้านเด็กกำพร้าได้เห็นหน้าน้องรองจึงถูกชะตาและตัดสินใจรับเลี้ยงเขาทันที

น้องรองในตอนนั้นมีรูปร่างอ้วนกว่าเขามากหน้าตาคล้ายกับลูกชายที่เสียไปของสกุลเฉินจึงได้รับความรักเป็นอย่างมาก น้องรองได้ใช้แซ่เฉินตามครอบครัวอุปถัมภ์และมีชื่อใหม่ว่า เฟยอวี๋ ซึ่งเป็นชื่อเดิมของลูกชายสกุลเฉิน

หลี่เจี่ยซินไม่ได้ฆ่าโจรทั้งสามคน พวกมันไม่สามารถหนีไปไหนได้เพราะถูกเธอยิงเข้าที่ข้อเท้าอย่างแม่นยำจนพวกมันต้องนอนกองกันที่พื้น

หลี่เจี่ยซินช่วยผู้หญิงคนนั้นออกจากกองขยะ ตัวเขาเหม็นไปทั้งตัวและตอนนี้ผมของเขาก็ถูกกระชากหายไปแล้ว

“พี่สาว…ผมพี่”

หลี่เจี่ยซินตาค้าง มองผู้หญิงที่ไม่เหมือนผู้หญิงมีผมที่สั้นเกรียนทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ยังมีผมยาวสลวยเต็มหัว ผู้หญิงคนนั้นจับผมแล้วทำท่าเหนียมอาย ใบหน้าของเธอถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางจนแน่น ยังมีขนตายาวเฟื้อยนั่นอีกแม้จะเป็นแสงไฟอันสลัวจากท้องถนนก็ยังสามารถเห็นมันได้ชัดเจน

“วิกผมน่ะ ความจริงฉันไม่ใช่หญิงแท้”

เธอเอ๊ยเขายังบิดมือเล็กน้อย หลี่เจี่ยซินกะพริบตาหลายครั้งเธอเข้าใจแล้ว เธอเริ่มเดาไปมั่ว หรือว่านี่คือคุณชายจากตระกูลใหญ่ที่มีใจเป็นหญิงเลยถูกพ่อแม่ไม่พอใจจนต้องสั่งฆ่า

และแล้วเธอก็ส่ายหน้าเมื่อคิดว่าตัวเองฟุ้งซ่านเกินไปแล้ว

“ขอบคุณพี่สาวมากนะคะที่ช่วยฉัน ไม่คิดว่าพี่จะเก่งขนาดนี้สุดยอดเลย”

“รีบไปกันเถอะก่อนที่พวกมันจะตามมา”

หลังจากหายตกตะลึงหลี่เจี่ยซินก็นึกได้ เธอจับมือของเขาแล้วทั้งสองคนก็ออกวิ่งจนในที่สุดหลี่เจี่ยซินก็พาเขาคนนั้นกลับมาที่บ้านของเธอได้อย่างปลอดภัย

“พี่สาวฉันขอใช้โทรศัพท์หน่อย”

มือถือของเธอก็หายไปแล้ว หลี่เจี่ยซินจึงต้องเดินขึ้นไปที่ชั้นสองในตอนนี้เป็นเวลาตีห้าห้านาที อาจารย์เฉียนหรืออาเฉียนของหลี่เจี่ยซินคงตื่นแล้ว อาเฉียนตกใจเมื่อเห็นสภาพของหลี่เจี่ยซิน

“ออกไปเที่ยวทำไมกลับมาในสภาพนี้ มีใครมาหาเรื่องเหรอ”

“เดี๋ยวฉันเล่าให้อาฟังค่ะ ยังได้ช่วยคนไว้อีกด้วยขอร้องอาช่วยมาดูหน่อยค่ะ เขาได้รับบาดเจ็บด้วย”

“ได้สิ เดี๋ยวอาให้อาหญิงลงไปดูให้เขารอสักครู่”

“ขอบคุณค่ะ”

หลี่เจี่ยซินถือโทรศัพท์ลงไปด้านล่างพร้อมผ้าสะอาดผืนโต หญิงสาวยื่นทั้งผ้าทั้งโทรศัพท์ให้เขา ผู้ชายคนนั้นกระแอมกดโทรศัพท์ถึงคนคนหนึ่ง ส่งเสียงห้าวแบบผู้ชายร้อยเปอร์เซ็นต์ออกไป

“ผมเอง ถนนซิวหัวสุดถนนตรงมุมถังขยะมีคนช่วยผมไว้พวกมันถูกยิงสามคนไม่รู้ยังอยู่หรือเปล่าส่งคนไปดูหน่อย แล้วมารับผมที่นี่”

พูดจบเขาก็ถือโทรศัพท์ออกห่าง ถามเสียงหวานเล็กกับหลี่เจี่ยซิน

“ที่นี่ที่ไหนคะ”

หลี่เจี่ยซินตามยังไม่ทัน เธออึ้งไปเล็กน้อยก่อนจะบอกที่อยู่ของตัวเองให้เขาไป

อาจารย์เฉียนลงมาแล้วพร้อมอาหญิง หลี่เจี่ยซินแนะนำคนทั้งสองในขณะที่ถามเขา

“นี่อาเฉียนของฉันและภรรยาไม่ต้องกลัวนะคะ อาหญิงจะทำแผลให้คุณเธอเป็นพยาบาลค่ะ”

“ขอบคุณค่ะ”

ชายหนุ่มในชุดผู้หญิงคนนั้นตอบเสียงเล็กอย่างนอบน้อมและซาบซึ้งใจ โชคดีแผลที่เขาได้รับเป็นแค่แผลกระสุนที่ถากออกไป ไม่มีกระสุนฝังในแต่ทุกครั้งที่ถูกแอลกอฮอร์ล้างแผล

ผู้ชายตัวโตสูงร้อยแปดสิบกว่าเซ็นติเมตร ทั้งยังมีกล้ามแน่นไปทั้งตัวกลับร้องราวกับเด็กน้อยคนหนึ่ง

“คุณอาขาเบา ๆ ค่ะ ฉันเจ็บค่ะ โอ๊ย ฮือ ดูเลือดสิคะ เลือด”

หลี่เจี่ยซินกอดอกมองเขาอย่างนึกเอ็นดู ตั้งแต่เกิดมาผู้ชายที่อยู่รอบตัวเธอก็ล้วนแข็งแรง ถึงจะถูกตีถูกฟันแทบตายก็ไม่มีใครร้องสักแอะ

“ความจริงพวกเราไม่อยากยุ่ง แต่ในเมื่อมีวาสนาได้ช่วยชีวิตกันแล้วยังไงก็ควรรู้เรื่องสักหน่อย”

อาเฉียนพูดขึ้น

ผู้ชายคนนั้นเช็ดหน้าเช็ดตา แต่เครื่องสำอางเป็นของอย่างดีกันน้ำและทนทานเป็นอย่างยิ่ง ถึงจะถูหน้าแรง ๆ แบบนั้นก็ยังไม่หลุด หลี่เจี่ยซินจึงไม่เห็นใบหน้าที่แท้จริงของเขา แต่ดูจากท่าทางแล้วคงต้องหล่อเหลาเป็นอย่างมาก ผิวพรรณของเขาเกลี้ยงใสมือนุ่มนิ่มยิ่งกว่ามือของเธอคงไม่เคยลำบากมาก่อนในชีวิตนี้

รูปร่างของเขาสูงโปร่ง จนเธอต้องแหงนศีรษะมอง สัดส่วนนั้นก็สูงน่าจะพอ ๆ กับผู้ชายคนนั้น คนที่เธอเพิ่งจะยัดเงินห้าสิบหยวนใส่มือแล้วต่อยเขาจนสลบก่อนจะออกมา

หลี่เจี่ยซินจู่ ๆ ก็หน้าแดงขึ้นมา เพราะฤทธิ์ยาทำให้เธอเบลอจนจำเขาได้ไม่ชัดเจน รู้แต่ว่าแค่เห็นก็ชอบเขามากแล้วตรงสเป็กเธอเป็นอย่างยิ่ง แต่กลับจดจำรายละเอียดปลีกย่อยไม่ได้ รู้เพียงดวงตาของเขานั้นสวยมาก สวยเหมือนดวงตาของคนคนนี้

กระทั่งคนคนนี้ที่นั่งอยู่ต่อหน้าเธอพูดแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ

“สวัสดีค่ะ ไม่ปิดบังนะคะในเมื่อพวกคุณเห็นฉันในสภาพนี้แล้ว ฉันชื่อเฉินเฟยอวี๋ค่ะ เรื่องที่เกิดขึ้นคงเป็นเพราะฉันกำลังจะขึ้นเป็นประธานบริษัทเลยมีคนไม่ชอบใจ ความจริงเรื่องที่ฉันมีใจเป็นผู้หญิงไม่มีใครรู้ วันนี้เกิดนึกอยากออกมาเที่ยวไม่คิดว่าพวกมันจะตามมา เพราะมีแต่คนที่ไว้ใจได้ที่รู้เรื่องความชอบของฉันเลยพาบอดี้การ์ดมาไม่กี่คน ผลที่ได้คือต้องหนีตายแบบนี้ ถ้าไม่เจอพี่สาวคนสวยเข้าคงได้ตายข้างถังขยะไปแล้วค่ะ”

อาเฉียนยกมือปิดปาก ท่าทางตกใจเป็นอย่างมาก

“คุณคงไม่ใช่คุณชายใหญ่เฉินคนนั้นหรอกนะ ข่าวใหญ่ของเมืองเราผมเพิ่งดูก่อนเข้านอนเมื่อคืน ว่าคุณกำลังจะรับตำแหน่งประธานบริษัทต่อจากแม่ของคุณและกำลังจะเข้าพิธีหมั้นกับคุณหนูสกุลใหญ่คนหนึ่งไม่ใช่เหรอ”

เขาพยักหน้า ดูจะเป็นเรื่องเศร้าสำหรับเขากรีดนิ้วเช็ดน้ำตาทีไหลลงมาตามร่องแก้ม เหมือนผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งดูน่าสงสารเป็นอย่างยิ่ง

“ฉันไม่ได้ชอบผู้หญิงจะแต่งงานได้ยังไงคะ ทั้งหมดเพราะถูกคุณแม่บังคับท่านกำลังป่วยฉันก็ไม่อยากขัดใจ เรื่องนี้ก็ขอร้องพวกคุณช่วยเก็บเป็นความลับ เห็นพวกคุณมีน้ำใจช่วยคนแบบนี้ท่าทางจะเป็นคนดีจริง ๆ”

ความจริงข่าวลือของเฉินเฟยอวี๋มีมาไม่น้อย เขาเป็นพวกลูกคุณหนูรักสบาย แม่ของเขากำลังป่วยหนักอยากให้เขาแต่งงานและรับช่วงกิจการ เฉินเฟยอวี๋มีน้องสาวคนหนึ่งเป็นนักธุรกิจที่เก่งกาจ ตรงกันข้ามกับเฉินเฟยอวี๋ที่วัน ๆ เอาแต่กินเที่ยวชื่อเสียงของเขาฉาวโฉ่ถึงจะมีข่าวว่าเขาเป็นพวกชอบไม้ป่าเดียวกันแต่ก็มีข่าวว่าเขาควงผู้หญิงไม่ซ้ำหน้าเช่นกัน

เมื่อได้เห็นกับตาในวันนี้หลี่เจี่ยซินก็รู้แล้วว่าข่าวไหนเป็นข่าวปลอม

“แล้วพี่สาวคนสวยชื่ออะไรคะ บุญคุณครั้งนี้เฟยอวี๋ต้องตอบแทนให้เหมาะสมพี่สาวต้องการอะไรบอกฉันได้เลยนะคะ ไม่ต้องเกรงใจ”

หลี่เจี่ยซินยิ้มแล้วยื่นมือออกไป

“ฉันชื่อหลี่เจี่ยซินค่ะ เป็นเจ้าของโรงเรียนสอนต่อสู้ถ้าจะตอบแทนฉันขอยืมเงินคุณสักก้อนได้หรือเปล่าคะ ตอนนี้โรงเรียนของฉันกำลังจะถูกยึด”

หลี่เจี่ยซินออกจากโรงแรมในสภาพทุลักทุเล เธอยังคว้าเสื้อสูทของผู้ชายคนนั้นติดมือมาด้วย เพราะสภาพชุดของเธอตอนนี้ขาดเป็นหย่อม ๆ แน่นอนว่าเกิดจากฝีมือของตัวเอง เขาตัวใหญ่ไม่ใช่น้อยเธอจึงใชเสื้อสูทเพียงตัวเดียวคลุมร่างของตัวเองจนมิด

หลี่เจี่ยซินไม่มีเงินติดกระเป๋าแล้ว โทรศัพท์ของเธอก็หายไปด้วยหนทางเดียวที่จะกลับบ้านได้ก็คือเดิน หลี่เจี่ยซินเป็นสาวแข็งแรงแต่อากาศที่หนาวเหน็บในเวลาตีสามของค่ำคืนอันแสนบ้าคลั่งนี้ก็ทำให้ตัวของเธอสั่น ถ้าขืนเธอยังอยู่ตรงนี้อาจจะแข็งตายแน่ ๆ

หญิงสาวเร่งจังหวะเดินให้เร็วขึ้น เดินไปเรื่อย ๆ จนรู้สึกปวดเท้า เธอใส่รองเท้าส้นไม่สูงมากนักแต่เดินไปมากก็ทนไม่ไหวในที่สุดหญิงสาวก็ถอดรองเท้าออกมาถือ เดินมาได้สักพักด้านหน้าเป็นตึกค่อนข้างเปลี่ยวแต่หลี่เจี่ยซินก็ไม่กลัว ถิ่นนี้เธออาศัยอยู่ตั้งแต่เด็กรู้ทุกซอกทุกมุมของแต่ละตึกดี

แต่แล้วเหตุการณ์แห่งความวุ่นวายยังไม่จบ เมื่อหลี่เจี่ยซินได้ยินเสียงปืนดังขึ้น หลี่เจี่ยซินยังไม่ทันจะหลบหนีจากเหตุการณ์นี้เธอก็ถูกผู้หญิงร่างยักษ์คนหนึ่งชนเข้าจนเธอเกือบจะล้ม โชคดีที่พื้นฐานวิชาต่อสู้ของเธอแข็งแกร่งร่างกายพลิ้วไหวจึงไม่ล้มลงไปง่าย ๆ ยังช่วยประคองผู้หญิงคนนั้นไว้ได้อีกด้วย

“ช่วยฉันด้วยค่ะ ช่วยฉันด้วย”

หลี่เจี่ยซินคิดว่านี่มันอะไรกันอีก ความวุ่นวายของคืนนี้ทำท่าจะไม่หมดสิ้น หญิงสาวที่ยืนอยู่ด้วยกันสองคนในตอนนี้คนหนึ่งรูปร่างแข็งแรงบึกบึนอีกคนหนึ่งบอบบางราวกับกิ่งไผ่ที่พร้อมจะลู่ไปตามลมแต่คนที่ร้องขอให้ช่วยเหลือกลับเป็นผู้หญิงร่างยักษ์นั่น

หลี่เจี่ยซินรู้สึกสงสารและไม่มีเวลาแล้วเมื่อเสียงนั้นดังเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ เหมือนว่าจะมีบางสิ่งเหนียว ๆ ไหลออกมาจากแขนของผู้หญิงคนนี้

หลี่เจี่ยซินเข้าใจแล้วเสียงปืนที่เธอได้ยินนั้นกำลังไล่ตามล่าใครอยู่ หญิงสาวจึงฉุดกระชากแขนของผู้หญิงคนนั้นให้วิ่งตามเธอมาทันที

“ไป”

เรียกได้ว่าหลี่เจี่ยซินแทบจะลากร่างยักษ์นั้นให้ติดตามเธอมาอย่างว่องไว ทั้งสองคนวิ่งกันสุดชีวิตหลี่เจี่ยซินไม่อยากยุ่งเรื่องของคนอื่น ถ้าเป็นไปได้ขอให้การช่วยเหลือผู้หญิงคนนี้สามารถผ่านพ้นไปได้โดยที่ไม่มีใครเห็นหน้า

นั่นเป็นเพราะเรื่องของเธอในตอนนี้ก็หนักหนาสาหัสเกินไปแล้ว เธอไม่อาจรับสิ่งใดได้อีก

หลี่เจี่ยซินคิดจะจัดการให้เสร็จแล้วรีบจากไป เธอลากผู้หญิงคนนั้นให้เข้าไปอยู่ในกองขยะ ใช้ถุงดำคลุมจนมิด ผู้หญิงคนนี้ยังคงตกใจมากหลี่เจี่ยซินให้เธอทำอะไรแม้จะอยู่ในกองขยะเขาก็ไม่ปริปากออกมาสักคำ

“หลบอยู่ในนี้อย่าขยับ ฉันจะจัดการเอง”

หลี่เจี่ยซินอำพรางร่างของเธอคนนั้นจนกลืนไปกับขยะเหม็น ๆ พวกนั้นโดยใช้กล่องกระดาษบังเขาเอาไว้ แล้วเธอก็เดินออกมาทำท่าเมาเล็กน้อย คนกลุ่มนั้นวิ่งตามมาไม่เห็นผู้หญิงคนนั้นแล้ว ในตอนนี้มีเพียงผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเดินโซเซท่าทางเมามากมาทางนี้

ท่าทางของพวกมันก็ระวังตัวเป็นอย่างยิ่ง พวกมันมองเธอหลี่เจี่ยซินก้มหน้าทำท่าอ้วกอยู่ข้างถนน เธอนั่งลงช้า ๆ เมื่อพวกมันเดินผ่านหลี่เจี่ยซินแอบมองเล็กน้อย

พวกมันมีกันราวห้าหกคน ท่าทางแต่ละคนเหมือนเป็นพวกมือปืนรับจ้าง เห็นแบบนี้แล้วหลี่เจี่ยซินก็คิดว่าผู้หญิงคนนั้นต้องไม่ใช่เป็นคนธรรมดา คนพวกนี้ค่าจ้างไม่ใช่น้อยคนที่จ้างวานได้ส่วนใหญ่หากไม่ใช่พวกนักการเมือง ก็ต้องเป็นพวกเศรษฐีที่ทำธุรกิจแล้วขัดผลประโยชน์กัน

ด้านหน้าเป็นทางแยก พวกมันจึงแบ่งเป็นสองกลุ่มกระทั่งสามคนที่เหลือกำลังจะเดินไป คนที่หลบอยู่ในถังขยะกลับจามออกมา หลี่เจี่ยซินได้แต่ส่งเสียง จิ๊ ในลำคอ

จะมาจามอะไรตอนนี้อีกนิดเดียวก็หนีพ้นแล้วแท้ ๆ

ผู้ชายสามคนนั้นหัวเราะ เดินไปยังกองขยะกองใหญ่เริ่มค้นหาคนที่พวกเขาต้องการ

“คิดว่าจะหนีพ้นเหรอ”

ชายร่างโตคนหนึ่งพูดขึ้น ในขณะที่มันเริ่มเล็งปืนไปที่กองขยะ หลี่เจี่ยซินเห็นแล้วว่าตอนนี้่ปืนในมือทั้งหมดของพวกมันใส่กระบอกเก็บเสียงเข้าไปที่ปลายปืนเรียบร้อยแล้ว เมื่อสักครู่คงเกิดเสียงดังจนอาจพาคนแห่มาเป็นแน่ ดูแล้วมันคงตั้งใจฆ่าพี่สาวคนนั้น กระทั่งผู้หญิงไม่มีทางสู้พวกมันยังไม่ละเว้น

“ไม่ต้องเสียเวลาค้น ยิงกราดไปเลยไปเลยยังไงมันก็ไม่รอดแน่”

คงเป็นเพราะขยะกองนั้นค่อนข้างเป็นขยะกองใหญ่ พวกมันคงกลัวเชื้อโรคจึงไม่ลงมือ หลี่เจี่ยซินมองพวกมัน หนึ่งในสามคนจึงพูดขึ้น

“แล้วผู้หญิงคนนี้ล่ะ มันเห็นหน้าพวกเราแล้ว”

“ฆ่าสิจะรอให้มันเป็นพยานลากมึงเข้าคุกหรือไง”

หลี่เจี่ยซินเป่าปาก เธอคำนวณองศาการต่อสู้อย่างว่องไว ชายหนุ่มคนนั้นยกปืนมาหาเธอแล้วเดินมาช้า ๆ

“เสียดายสวยมากด้วย ไม่คิดว่าจะมาตายเปล่าเพราะดันเห็นเรื่องที่ไม่ควรเห็นเข้า”

หลี่เจี่ยซินใจเต้นระทึก อะดรีนาลีนหลั่งไปทั่วร่างกายแต่ดวงตายังสงบนิ่ง รู้สึกว่าช่างเป็นวันที่วุ่นวายไม่รู้จบเสียจริง เพียงผู้ชายคนนั้นกะพริบตาเธอเคลื่อนไหวรวดเร็วแย่งปืนจากผู้ชายคนนั้นมาแล้วยิงเข้าที่ขาของมันทั้งสองข้าง ก่อนเล็กไปที่ผู้ชายอีกสองคนยิงไปที่มือที่พวกมันถือปืนแม่นยำเป็นอย่างยิ่ง

เพราะพวกมันคิดว่าเธอเป็นแค่ผู้หญิงอ่อนแอคนหนึ่ง จึงไม่มีใครระวังตัวและไม่มีใครคาดคิด หลี่เจี่ยซินเดินมาช้า ๆ ยิงไปที่ข้อเท้าของคนอีกสองคนจนทรุด

หญิงสาวสะบัดลำคอเสียงดังกร๊อบ สามคนนั้นร้องโหยหวนอย่างน่าเวทนา

“แกคิดจะฆ่าใครกัน พวกสวะเอ๊ย”

หลี่เจี่ยซินสบทเสียงดัง พร้อมกับร้องเรียก

“พี่สาวคนสวยออกมาเถอะปลอดภัยแล้ว พวกมันไม่สามารถทำอะไรคุณได้แล้ว”

หลี่เจี่ยซินไม่สนใจ เธอก้มลงแทะเล็มเขาจนในที่สุดเขาก็เริ่มร้อนขึ้นมา

แน่นอนว่าหลี่เจี่ยซินที่สวยขนาดนี้ รูปร่างดีขนาดนี้เป็นใครที่ถูกล่วงเกิน หากเป็นชายแท้แล้วย่อมต้องมีความรู้สึก เขากัดฟันสะกัดกั้นเสียงของตนเองไม่ให้เล็ดลอดออกมา ในขณะที่ถูกหลี่เจี่ยซินเล้าโลม

เขาเปลือยแบบนี้เธอจึงใช้มือลูบไปจนทั่วร่าง ทั้งยิ้มทั้งหัวเราะอย่างพอใจ

“คุณบ้าไปแล้วจริง ๆ ด้วย”

ดูเหมือนเขายังด่าเธอไม่จบ หลี่เจี่ยซินตั้งอกตั้งใจล่วงเกินจนเธอไม่สนใจว่าเขาจะพูดอะไรอีกต่อไป รู้แต่ว่าความปรารถนาของตัวเองจะต้องถูกเติมเต็มให้เร็วที่สุด

หลี่เจี่ยซินถอดชุดเดรสของตัวเองออกจนหมด ในที่สุดเธอก็คล่อมเขาไว้และจับแขนทั้งสองข้างของเขากดเอาไว้บนเตียง เธอก้มลงมองเขาใกล้ ๆ ยังสูดดมความหอมจากซอกคอของเขาด้วย

“พระเจ้าคุณหล่อชะมัด นี่มันสเป็กของฉันเลย ยอมฉันเถอะขอแค่คืนนี้เท่านั้น ฉันไม่อยากขืนใจคุณ”

“คุณพูดบ้าอะไรของคุณ”

“ฉันขอโทษด้วยนะคะ หากทำรุนแรงฉันไม่มีประสบการณ์”

ดวงตาใสแจ๋วเป็นประกายที่กำลังจ้องมองเขาเหมือนคนหิวกระหายจากทะเลทรายและคำพูดเพ้อเจ้อของเธอทำให้ชายหนุ่มรูปหล่อแทบจะหัวเราะออกมา

“คุณบอกว่าไม่มีประสบการณ์แต่กำลังไล่ปล้ำผมอยู่นี่นะ”

“อืม ขอโทษค่ะ คุณถูกใจฉันจริง ๆ ฉันไม่คิดรังแกคุณ”

ถึงเธอจะพูดแบบนั้นแต่เธอก็ทนไม่ไหวแล้ว คุณชายใหญ่คงใช้ยาแรงกับเธอ หลี่เจี่ยซินมองรูปร่างที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามแสนเพอร์เฟคของเขาไปทั้งตัว แบบนี้แหละชายในฝันของเธอ หญิงสาวหัวเราะชั่วร้ายและปล้ำเขาจนเขาหมดแรง เธอก่อกวนจนเขาพร้อมรับและในที่สุดชายนิรนามคนนั้นก็ถูกหลี่เจี่ยซินล่วงเกิน

ในที่สุดเขาก็ร้องออกมา

“อ๊า อ๊า อ๊า นี่คุณ ไม่เคยจริง ๆ ด้วย”

เขาถึงกับตกใจเมื่อพบว่าหลี่เจี่ยซินบริสุทธิ์เหมือนอย่างที่เธอพูด นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นมา ผู้หญิงบริสุทธิ์คนหนึ่งถึงได้ทำแบบนี้ และผู้หญิงคนนี้ยังเป็นคนแปลกที่เรี่ยวแรงมหาศาลอีกด้วย

“ใช่ค่ะ ฉันไม่เคย อ๊า อ๊า แต่ดีจังเลย”

ในที่สุดผู้ชายสุดหล่อของหลี่เจี่ยซินก็เลิกพูดแล้ว เขายังตั้งอกตั้งใจช่วยเธออย่างเต็มที่อีกด้วย แต่หลี่เจี่ยซินไม่วางใจ ทุกอย่างเธอเป็นคนลงมือ อันไหนที่ตอบสนองความพึงพอใจของเธอได้ หลี่เจึ่ยซินย่อมไม่เขินอายที่จะลงมือ

“อืม สุดยอด คุณร้องออกมาสิ อ๊า แบบนี้ ร้องเลย”

เขาสอนเธอ หลี่เจี่ยซินทำตามและพบความสุขอันเกิดจากเรือนกายของเขาอย่างที่เธอคาดไม่ถึง

เธอล่วงเกินเขาหลายครั้ง ถึงครั้งแรกจะเจ็บสำหรับเธอ แต่ความเจ็บนั้นสำหรับหลี่เจี่ยซินมันเล็กน้อยมาก เมื่อมีอะไรกับเขาแล้วเธอก็ยังรู้สึกไม่พอ จวบจนกระทั่งเกือบตีสามเธอจึงทำเขาหมดแรงและหลับไป

ความรู้สึกของหลี่เจี่ยซินว่องไวเป็นอย่างยิ่ง เมื่อยาหมดฤทธิ์หลี่เจี่ยซินก็พบว่าตัวเองได้ปล้นสวาทผู้ชายหล่อ ๆ คนหนึ่งไปเสียแล้ว ยิ่งมองเขาในตอนที่หลับทั้งยังกอดเธออยู่ก็รู้สึกผิดทั้งตกใจตัวเองอยู่ไม่น้อย นี่เธอทำอะไรลงไป

เธอจำไม่ได้ว่าเป็นคนลากเขาเข้าโรงแรมแห่งนี้ หรือนี่คือห้องของเขา เธอจำอะไรไม่ได้สักอย่าง คิดได้อย่างเดียวว่าต้องรีบเผ่นออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด

หลี่เจี่ยซินลุกขึ้นจากที่นอน เจ็บแปลบที่ช่วงกลางลำตัว หญิงสาวแต่งตัวอย่างรวดเร็วค้นหากระเป๋าสตางค์ของตัวเองที่สะพายมา ทั้งเนื้อทั้งตัวเธอมีเงินแค่ห้าสิบหยวน หลี่เจี่ยซินจึงยกมือขอโทษเขา เขียนการ์ดเล็ก ๆ ไว้ใบหนึ่งว่า

ขอโทษ ฉันขอชดใช้ให้ ฉันไม่ได้เป็นโรคร้าย แค่เมาไปหน่อย

แล้วเธอก็วางธนบัตรห้าสิบหยวน ยับ ๆ ใบนั้นไว้บนกระดาษทับด้วยที่ทับกระดาษอีกที

หลี่เจี่ยซินยังก้มลงลูบหัวเขาทีหนึ่ง เธอมองหน้าหล่อเหลาของเขาคิดว่าผู้ชายคนนี้หล่อมากจนเธอไม่เสียใจแล้วที่ลงมือไปแบบนั้น เธอยังกระซิบเบา ๆ

“นี่คือเงินทั้งหมดในกระเป๋าของฉันแล้ว ขอโทษจริง ๆ นะคะ ฉันไม่ได้ตั้งใจ”

เขาลืมตาขึ้น หลี่เจี่ยซินตกใจ เขายังไม่ได้พูดอะไรอีก หลี่เจี่ยซินก็ต่อยเขาอีกครั้งจนสลบไปแล้ว

“ขอโทษนะคะ ฉันไม่ได้ตั้งใจอีกแล้ว”

เธอสำรวจเขาพบว่ามีเลือดออกเล็กน้อย จึงเช็ดให้อย่างเบามือยังมีน้ำใจห่มผ้าให้เขาแล้วย่องออกมา

เมื่อหลี่เจี่ยซินเปิดประตูห้องออกมา เธอยังพบคนของเขานอนสลบอยู่บนพื้นเช่นเดิม หลี่เจี่ยซินจึงคิดว่าชั้นนี้ทั้งชั้นคงเป็นชั้นพิเศษที่ไม่มีใครกล้าขึ้นมายุ่งแน่จนป่านนี้ยังไม่มีใครเห็นคนนอนสลบสักคน เธอยกมือประกบกันขอโทษขอโพยคนทั้งสองที่นอนอยู่ตรงนั้น แล้วรีบเผ่นแน่บทันที

คุณชายใหญ่คิดว่าที่เธอปฏิเสธเพราะอยากออกนอกหน้ากับเขา แต่เขาให้เธอเรื่องนี้ไม่ได้ หลี่เจี่ยซินสวยมากก็จริงแต่ก็โลภมากด้วย คนที่เขาจะแต่งงานต้องเป็นคนที่เหมาะสม ที่พ่อแม่เลือกให้เท่านั้นเขาจึงจะมีสิทธิ์สืบทอดมรดกของครอบครัว

“ผมจะรอคุณ ยังไงก็คิดว่าเสี่ยวซินจะคิดให้ดี”

หลี่เจี่ยซินยิ้ม เธอออกจากห้องนั้นทันที จู่ ๆ ก็รู้สึกวิงเวียนศีรษะ หลี่เจี่ยซินจึงเข้าห้องน้ำเธอล้างหน้าและรู้สึกคอแห้งแปลก ๆ ตัวของเธอยังร้อนจนผิดปกติและรู้สึกถึงอารมณ์ที่อ่อนไหวของตัวเอง

หลี่เจี่ยซินรู้ว่าตัวเองเป็นอะไรทันที ถึงจะยังไม่เคยมีแฟนเป็นตัวเป็นตนแต่เธอก็ไม่ใช่หญิงสาวอ่อนต่อโลก ความผิดปกติแบบนี้หลี่เจี่ยซินย่อมรู้

ในห้องน้ำที่เธอเข้ามาไม่มีใครสักคนเดียว หลี่เจี่ยซินเดินเซ เธอเห็นผู้ชายสองคนเข้ามาพร้อมที่จะหิ้วปีกเธอไป เธอจำหน้าพวกเขาได้ทั้งสองคนเป็นคนสนิทของคุณชายใหญ่

“พวกแกวางยาฉัน”

สองคนนั้นยิ้ม มีคนหนึ่งพูดขึ้น

“เป็นผู้หญิงของคุณชายใหญ่ดีจะตาย ทำไมต้องวุ่นวายให้พวกเราใช้วิธีนี้ เล่นตัวเรียกเงินเพิ่มเหรอ”

คนตัวใหญ่ทั้งสองพูดจบก็เข้ามาหิ้วปีกหลี่เจี่ยซิน คิดจะพาเธอไปให้เจ้านาย แต่พวกเขาไม่รู้ว่าเธอมีความสามารถเพียงใด

ในตอนที่หลี่เจี่ยซินเดินออกจากห้องน้ำ ก็ทำให้คนสองคนที่ตัวโตสลบไปเรียบร้อย ดูเหมือนว่าคนหนึ่งจะถูกเธอบิดแขนจนไหล่หลุดอีกด้วย

หลี่เจี่ยซินพยายามจะกลับไปหาเพื่อนของเธอ และรีบออกจากที่นี่แต่ยาปลุกเซ็กส์ที่เธอโดนแรงจนเกินไป หญิงสาวในตอนนี้รู้สึกต้องการเป็นอย่างมาก หลี่เจี่ยซินหน้ามืดตามัวแล้ว เธอออกมานอกผับหรูกระทั่งโทรศัพท์ของตัวเองก็ไม่รู้ว่าทำหล่นไว้ที่ไหน

หลี่เจี่ยซินเดินมาที่ลานจอดรถ ฝั่งตรงข้ามผับแห่งนี้เป็นสถานีตำรวจและข้าง ๆ สถานีตำรวจเป็นโรงแรมหรู หลี่เจี่ยซินเดินโซเซข้ามถนนมาจนได้ เดิมทีตั้งใจว่าจะไปแจ้งความว่าตัวเองถูกวางยา แต่ไม่รู้ด้วยเหตุใดเธอจึงเดินเข้าไปในโรงแรมได้

หลี่เจี่ยซินเป็นคนสวย วันนี้แต่งตัวมาเที่ยวจึงยิ่งดูสวยเป็นพิเศษ ชุดที่เธอใส่เป็นชุดเดรสสีดำของหลินกว่างที่รัดรูปร่างสมส่วนงดงามของเธอเป็นอย่างยิ่ง หลี่เจี่ยซินจึงถูกมองว่าเป็นแขกในโรงแรมหรูแห่งนี้ หญิงสาวเดินโซซัดโซเซมาจนถึงหน้าลิฟต์

ในสมองมึนงงกว่าตัวเองกำลังจะไปที่ไหนกันแน่ จนกระทั่งเธอเห็นผู้ชายคนหนึ่ง กำลังเดินเข้าลิฟต์รอบกายของเขามีคนอยู่สองคน หลี่เจี่ยซินจู่ ๆ หลังจากมองหน้าคนหล่อคนนั้นแล้วเธอก็เกิดน้ำลายสอ เธอเดินตามพวกเขาไปเป็นผู้หญิงคนเดียวภายในลิฟต์แห่งนี้  เธอยืนอยู่ข้างผู้ชายรูปหล่อ เขาตัวสูงกว่าเธอมากจนเธอต้องแหงนหน้ามองเขา ดวงตาของหลี่เจี่ยซินไม่ปิดบังว่าต้องการเขา ผู้ชายคนนั้นทำท่าทางเย็นชาใส่เธอหลี่เจี่ยซินก็ยังไม่เลิกมอง ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะฤทธิ์ยา

บอดี้การ์ดสองคนนั่นมองเธออย่างระวัง แต่หลี่เจี่ยซินไม่ได้ทำอะไร และคนชายของพวกเขาก็ถูกจ้องเช่นนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว พวกเขาจึงค่อนข้างชิน หลี่เจี่ยซินไม่สนใจสองคนนั้นรู้แต่ว่าสายตาของเธอกำลังจ้องไปที่ผู้ชายสุดหล่อตรงหน้า อารมณ์เปิดเปลือยเป็นอย่างยิ่ง จนกระทั่งลิฟต์เปิดหลี่เจี่ยซินยังเดินตามเขาไป และหยุดอยู่หน้าห้องของผู้ชายคนนั้น

เธอไม่ได้ยินว่าเขาพูดอะไร เมื่อคนสองคนกำลังจะเข้ามาจับตัวเธอ หลี่เจี่ยซินก็ว่องไวทำร้ายผู้ชายพวกนั้นจนล้มลงไปกองที่พื้นอย่างรวดเร็ว ภาพในสมองของเธอก็รางเลือนมีเพียงใบหน้าของผู้ชายที่เธอมองเขาเป็นเหยื่อที่ถูกใจเท่านั้น

หากเธอจะต้องเสียตัวให้ใคร ก็ต้องเป็นคนนี้ที่เป็นสเปคของเธอ

หลี่เจี่ยซินบังคับผู้ชายคนนั้นเข้าไปในห้องจนได้ น่าแปลกที่เขาไม่ขัดขืนเธอมากนัก คงเป็นเพราะเขาเห็นฝีมือของเธอแล้วรู้สึกกลัวก็เป็นได้ หลี่เจี่ยซินพาเขามาที่เตียงผลักเขาลงแล้วเริ่มต้นขืนใจเขา เธอใช้เนกไทมัดมือเขาเอาไว้แน่นหนาจนเขาดิ้นไม่หลุด และแล้วเธอก็สามารถขืนใจปลุกปล้ำถอดเสื้อผ้าของเขาออกจนหมด

“คุณผู้หญิง คุณบ้าไปแล้วเหรอ คุณผู้หญิงไม่ใช่คุณเป็นเอดส์แล้วเที่ยวไล่ข่มขืนชาวบ้านหรอกนะ”

เขาผลักเธอออก แต่เธอมีเรี่ยวแรงมากกว่าผู้ชายทั่วไปถึงสามเท่า ใครเล่าจะผลักออกสำเร็จ หลี่เจี่ยซินหูอื้อตาลาย ไม่ว่าเขาจะพูดอะไรมาเธอก็ไม่ได้ยินสักคำเดียว และดูเหมือนเขาจะพูดไม่มากอีกด้วย

“นี่คุณปล่อยผมเดี่ยวนี้ คุณเป็นใครกันแน่”

“ฉันขอโทษนะคะ แต่คุณถูกใจฉัน ฉันอดใจไม่ไหวแล้ว”

เขายังร้องโวยวาย พยายามขืนตัวเท่าไหร่ก็สู้แรงผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ เขาเป็นผู้ชายตัวโตเรื่องการต่อสู้ก็เก่งกาจ แต่ทำไมถึงทำอะไรผู้หญิงบ้ากามคนนี้ไม่ได้ กระทั่งเสียหน้าถูกเธอจับมัดอยู่แบบนี้

“ปล่อยผม ปล่อยนะ”

หลี่เจี่ยซินกลัดกลุ้มเรื่องหนี้สินเป็นอย่างยิ่ง หลินกว่างเพื่อนที่คบกันตั้งแต่ยังเด็กจึงชวนเธอไปผ่อนคลาย หลี่เจี่ยซินทนที่เพื่อนสาวรบเร้าไม่ไหวเธอจึงถูกอีกฝ่ายลากออกไปในที่สุด

"ถ้าเธอมาฉันถึงวางใจกล้าเมาได้เต็มที่"

ความลับเรื่องหลี่เจี่ยซินเป็นยอดนักสู้มีหลินกว่างที่รู้ดีทุกอย่าง หญิงสาวจึงวางใจเป็นอย่างยิ่งเวลาที่มาเที่ยวกับหลี่เจี่ยซิน

ยิ่งดึกเสียงเพลงยิ่งดัง หลี่เจี่ยซินใช้สำลีอุดหูเธอไม่มีอารมณ์จะสนุกจึงได้แต่ปล่อยให้เพื่อนสาวเต้นเพียงลำพัง

 วันนี้หลี่เจี่ยซินมาที่นี่ยังมีอีกสาเหตหนึ่งคือตั้งใจจะคุยกับคุณชายใหญ่ตระกูลจินผู้เป็นเจ้าของผับใหญ่แห่งนี้ เพราะเธอเป็นคนสวยที่หายากในแถบนี้ชื่อเสียงจึงเลื่องลือ หลี่เจี่ยซินจึงถูกคุณชายใหญ่คนนี้ตามจีบมานาน แต่เธอก็ไม่เคยสนใจ

ในตอนนี้เมื่อจวนตัว นอกจากเขาคือคนร่ำรวยเพียงคนเดียวที่เธอรู้จักแล้ว หลี่เจี่ยซินก็ไม่รู้จักใครอีก คืนนี้จึงคิดจะมาพบเขาเพื่อขอยืมเงินสักก้อนเพื่อไปตัดยอดเงินกู้ก่อนที่ตึกของเธอจะถูกขายทอดตลอดตามหมายศาล

เธอเดินไปบอกคนคุมผับที่รู้จักว่าตัวเองต้องการพบคุณชายใหญ่ การมาของหลี่เจี่ยซินทำให้เขารู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก แถมหญิงสาวยังขอพบเขาด้วยตัวเองทำให้คุณชายใหญ่ถึงกับแปลกใจ

"พาเธอเข้ามา"

คุณชายใหญ่นั่งอยู่ท่ามกลางสาว ๆ ในห้องส่วนตัว สายตามองไปที่ประตูจนกระทั่งเห็นหลี่เจี่ยซินกับหลินกว่างเดินเข้ามา ผู้หญิงทั้งสองนั่งลงตรงข้าม คุณชายใหญ่มองหลี่เจี่ยซินด้วยดวงตาเป็นประกาย สองสาวทักทายเขาอย่างสุภาพ

"เสี่ยวซินคนสวยของผม วันนี้มาหาถึงที่นี่ทำให้ผมแปลกใจไม่น้อย"

หลี่เจี่ยซินไม่เสียเวลาคุยเรื่องไร้สาระกับเขา เธอจึงเข้าประเด็นทันที

"ฉันมีธุระจะคุยกับคุณชายใหญ่"

คุณชายใหญ่หัวเราะ ยกแก้วเหล้าขึ้นมาจิบพร้อมกับไล่เด็ก ๆ ออกไป 

"หลินกว่างคุณก็ด้วย"

หลินกว่างกับคุณชายใหญ่ค่อนข้างคุ้นเคยกัน เพราะในตอนที่เขาตามจีบหลี่เจี่ยซินอย่างหนักนั้นมีหลินกว่างคอยเป็นแม่สื่อ แต่สุดท้ายเมื่อเพื่อนไม่สนใจเธอก็ไม่ฝืนใจเพื่อนและเลิกเชียร์อีกต่อไป

หลินกว่างมองหลี่เจี่ยซินด้วยสายตาเป็นห่วง เธอไม่ได้ห่วงว่าหลี่เจี่ยซินจะเป็นอันตราย แต่กลัวเพื่อนของเธอจะเป็นคนทำอันตรายคุณชายใหญ่จนออกจากผับแห่งนี้ไม่ได้ 

"ไปเถอะ ไม่ต้องห่วงระวังตัวด้วยนะฉันจะรีบคุยรีบออกไป"

หลี่เจี่ยซินบอก หลินกว่างบีบมือเพื่อนสาวก่อนจะเดินออกไป

ภายในห้องที่เย็นเฉียบ เสียงเพลงถูกลดลงแล้ว คุณชายใหญ่นั่งไขว่ห้างอย่างผู้ที่อยู่เหนือกว่า 

"ว่ามามีเรื่องเดือดร้อนอะไร ทำให้คนสวยของผมยอมมาพบผมถึงที่นี่"

แน่นอนว่าคนยิ่งยโสอย่างหลี่เจี่ยซินย่อมไม่วิ่งมาหาเขา ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ 

"บ้านของฉันกำลังจะถูกธนาคารยึด ฉันจะขอยืมเงินคุณค่ะ"

คุณชายใหญ่ยิ้ม ใบหน้าดูอบอุ่นเป็นอย่างยิ่ง เขาไม่ใช่คนหล่อใบหน้าธรรมดาแต่รูปร่างใช้ได้และมีเงินมาก ดังนั้นคนมีเงินไม่จำเป็นต้องหล่อก็รู้สึกว่าตัวเองมีหน้าตาเหนือคนอื่นแล้ว

"ไม่ได้ดูถูกนะ แต่เสี่ยวซินจะเอาอะไรมาใช้ผม กิจการของคุณรายได้ก็แค่พอเลี้ยงปากท้องคนในโรงเรียนไม่ใช่เหรอไม่พอใช้หนี้หรอก"

หลี่เจี่ยซินขยับเข้ามาใกล้ คุณชายใหญ่รินเหล้าให้เธอ หลี่เจี่ยซินลังเลเล็กน้อยแต่แล้วหญิงสาวก็ยกแก้วขึ้นดื่มจนหมด

คุณชายใหญ่ยิ้ม หลี่เจี่ยซินพูดต่อ

"ฉันจะทำงานเพิ่ม ไม่มีทางเบี้ยวคุณชายแน่นอนค่ะ เชื่อฉันนะคะ"

หลี่เจี่ยซินขอร้อง ใบหน้าสวย ๆ ของเธอถูกใจเขาเป็นอย่างยิ่ง คุณชายใหญ่สกุลจินจึงพูดว่า

"ถ้าตกลงเป็นผู้หญิงของผมก็ไม่วุ่นวายแบบนี้แล้ว รับรองว่าชีวิตของเสี่ยวซินจะสุขสบาย ถึงจะออกนอกหน้าเป็นภรรยาตามกฎหมายไม่ได้แต่ผมไม่ทำให้คุณลำบากแน่นอน"

หลี่เจี่ยซินเป็นเพียงผู้หญิงจากชนชั้นกลางคนหนึ่ง ไม่สามารถแต่งงานกับเขาเพื่อเชิดหน้าชูตาได้อยู่แล้วเธอรู้เรื่องนี้ดี แต่เธอก็ไม่ต้องการเป็นเมียเก็บของใครและอีกอย่างเธอไม่ได้รู้สึกอะไรกับคุณชายใหญ่คนนี้

"ฉันจะทำงานหาเงินมาใช้หนี้ค่ะ"

คุณชายใหญ่หัวเราะ

"ตอนนี้ยังต้องวิ่งมากู้เงินผู้ใช้หนี้ แล้วจะมีวิธีไหนหาเงินมาคืนผมล่ะ เสี่ยวซินนี่มองโลกในแง่ดีเกินไปแล้วถ้ามีอะไรง่ายคุณก็คงไม่ลำบากแบบนี้ คิดดูให้ดีหรือถ้าคิดไม่ได้ผมก็มีวิธีช่วย"

เขายังยื่นเหล้าให้เธออีกแก้ว หลี่เจี่ยซินยกแก้วแล้วชนกับเขาตามมารยาท ยังไงวันนี้เธอก็ต้องง้อเขา 

"คุณชายจะไม่ให้ใช่หรือเปล่าคะ"

เธอถามออกไปในที่สุด

"ก็ถ้าเสี่ยวซินเป็นเด็กดี รับปากผมก็ไม่ใช่เรื่องยากนี่"

หลี่เจี่ยซินเริ่มคิดหาทางอื่น เธอลุกขึ้นแล้วบอกเขาอย่างสุภาพ

"ฉันขอคิดดูก่อนค่ะ ขอบคุณที่ยื่นข้อเสนอนะคะแต่ฉันอยากให้คุณชายใหญ่เข้าใจฉันไม่อยากเป็นเมียเก็บใครจริง ๆ ค่ะ"

หลี่เจี่ยซินสั่งให้คนของเธอมัดผู้ชายสิบกว่าคนเอาไว้ ในตอนนี้เธอเป็นฝ่ายนั่งบนเก้าอี้ จับพวกมันถอดเสื้อผ้าออกจนหมด กระทั่งกางเกงในยังไม่เหลือ หญิงสาวยกมือปิดตามองพวกเขาพร้อมกับทำท่าน่าสมเพช

"วัน ๆ คิดแต่เรื่องชั่ว จะจับฉันส่งขายซ่องเหรอวันกลางวันอยู่หรือเปล่า ห๊า"

หลี่เจี่ยซินใช้ปลายกระบอกปืนสั้นในมือดันปลายคางของเจ้านายของพวกมันขึ้นแล้วตบหน้ามันไปอย่างแรง เห็นข้อมือเล็ก ๆ ของเธอแต่แรงนั้นกลับตรงกันข้ามเลือดจึงไหลออกมากบปากของผู้ชายคนนั้นทันที

"ถ้าไม่อยากตายก็บอกมาดี ๆ แกทำอะไรกับอาของฉัน"

"ถ้ายังอยากให้อาเธอมีชีวิตก็ปล่อยฉันซะเถอะ โหดแบบนี้อยากได้เป็นเมียชะมัด"

"ไอ้หน้าตัวเมีย กระจู๋เท่านิ้วเด็กอย่างแกเหรอฝันไปเถอะ"

หลี่เจี่ยซินหัวเราะจนปวดท้องอย่างดูแคลน ผู้ชายคนนั้นทนไม่ได้ถึงกับถ่มน้ำลายที่เต็มไปด้วยเลือดออกมาใส่หน้าเธอ มันเป็นถึงหัวหน้าระดับสูงของแก๊งแต่ตอนนี้กลับถูกผู้หญิงตัวเล็กเท่าฝ่ามือคนนี้จับมัดจนดิ้นไม่หลุด ยังถูกทำร้ายจนแทบเดินไม่ไหวอีกด้วย

"นังแพศยา"

หลี่เจี่ยซินเช็ดหน้าของตัวเองออกช้า ๆ สีแดงของเลือดและกลิ่นเหม็นของน้ำลายของมันทำให้เธอสะอิดสะเอียน เธอตบมันอีกครั้งคราวนี้ยังกระทืบจนมันปากสั่นระริก 

ภาพผู้หญิงตัวเล็กที่กำลังกระทืบผู้ชายร่างโต แถมยังว่องไวจนพวกเขามองไม่ทันทำให้คนในแก๊งคนอื่นถึงกับตัวสั่น

หลี่เจี่ยซิน ไม่ใช่ผู้หญิงทั่วไปที่ใคร ๆ จะมารังแกได้ง่าย ๆ ตรงกันข้ามเธอกลับเป็นเหมือนปีศาจร้ายตัวหนึ่งอยู่แฝงกายอยู่ภายใต้ร่างกายอันบอบบาง

ลูกน้องของไอ้เลวคนนั้นเห็นเจ้านายของตัวเองถูกทำร้ายจนสาหัส ดูเหมือนว่าหากไม่รีบนำส่งโรงพยาบาลคงได้ตายเป็นแน่ก็ต่างหน้าซีด ไม่มีใครกล้าพูดออกมาแม้แต่คนเดียว

พวกเขาได้บอกเจ้านายแล้วว่าหลี่เจี่ยซินร้ายกาจแค่ไหน แต่เจ้านายคนนี้กลับไม่เชื่อ

แน่นอนว่าการทำร้ายคนของเธอ หลี่เจี่ยซินไม่เคยออมมือเลยแม้แต่ครั้งเดียว เธอเป็นลูกสาวคนเดียวผู้สืบทอดโรงเรียนศิลปะการป้องกันตัวแห่งนี้ ถูกฝึกฝนมาตั้งแต่ยังเดินไม่ได้ด้วยซ้ำ ถึงร่างกายจะดูบอบบางเหมือนผู้หญิงทั่วไปแต่ใครจะรู้ว่าเธอมีกระดูกที่แข็งยิ่งกว่าเหล็ก ความทรมานสารพัดรูปแบบหลี่เจี่ยซินผ่านมาแล้ว

ยังจะมีการฝึกฝนอย่างหนักตลอดชีวิตที่ผ่านมาทำให้ฝีมือของเธอเหนือกว่าคนทั่วไปหลายขุม และเหมือนเธอจะได้รับพรจากพระเจ้ามาเพราะมีกำลังกายที่เหนือกว่าผู้ชายทั่วไปถึงสามเท่า

เพราะแบบนี้เธอจึงไม่เคยกลัวใคร แม้จะผ่านเรื่องราวเลวร้ายแค่ไหน เธอก็สามารถเอาตัวรอดมาได้ทุกครั้ง 

หลี่เจี่ยซินนั่งยอง ๆ เก็บฟันหน้าของผู้ชายคนนั้นที่หล่นลงพื้นขึ้นมาดู ยังร้องออกมาด้วยความตกใจ

"โอ๊ะ โอ ฟันของนางหักซะแล้ว ขอโทษฉันไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ"

หญิงสาวใช้ปืนดันใบหน้าเขาขึ้น แล้วจ่อเข้าที่ปลายคางปลดน้ำเสียงของเธอนั้นความจริงทั้งหวานทั้งใส แต่ตอนนี้กลับทำให้ผู้ชายคนหนึ่งถึงกับตัวสั่น

"จะบอกได้หรือยังว่าอาของฉันอยู่ไหน ถ้าเขาเป็นอะไรไปรับรองว่าแกจะได้ตามเขาไปแน่ ๆ"

เสียงอู้อี้ดังขึ้น ท่าทางของมันเปลี่ยนไป เคารพนบน้อมเป็นอย่างยิ่ง

"บอกแล้วครับ บอกแล้ว ได้โปรดช่วยยั้งมือก่อน ผะ ผม ขอโทรศัพท์ด้วยครับเดี๋ยวผมจะจัดการให้ตอนนี้เลย ผมแค่จับเขาไว้ยังไม่ได้ทำอะไรเลยครับ"

หลี่เจี่ยซินหัวเราะ

"นับว่าแกยังโชคดีอยู่มาก จำไว้ฉันไม่เคยล้อเล่นกับใคร"

หลี่เจี่ยซินส่งโทรศัพท์ให้มัน หลังจากนั้นต่อมาอาของเธอก็ปรากฏตัวในสภาพที่ไร้ร่องรอยของการถูกทำร้าย คนพวกนี้เพียงแต่อาศัยช่วงที่เขาเผลอโป๊ะยาสลบเขาแล้วมัดเอาไว้เพื่อสั่งสอน และหวังจะข่มขู่หลี่เจี่ยซินให้หวาดกลัวจนต้องยอมขายตัวเข้าซ่องแต่โดยดี

คิดไม่ถึงว่าเรื่องจะเป็นแบบนี้ไปได้

หลี่เจี่ยซินเห็นอาของตัวเองปลอดภัยดีแล้ว จึงยอมปล่อยพวกมันไปทั้งที่ล่อนจ้อน แต่ละคนได้รับบาดเจ็บสาหัสและพาตัวเองไปโรงพยาบาลอีกทั้งไม่ปริปากพูดอะไรอีก

ตั้งแต่นั้นมาแก๊งทวงหนี้โหดก็หายไปจากชีวิตของหลี่เจี่ยซินได้สักพัก จนกระทั่งในวันหนึ่ง ผู้ชายคนนั้นก็กลับมาคุกเข่าต่อหน้าเธอพร้อมทั้งเรียกเธอว่านายหญิง

"ฉันไม่ใช่หัวหน้าแก๊งอันธพาล แกกลับไปเถอะ"

หลี่เจี่ยซินโบกมือ

"แต่ผมถูกไล่ออกแล้วครับ ผมยอมรับว่าเลื่อมใสนายหญิงมากตั้งแต่เกิดมาไม่เคยมีใครกล้าทำแบบนี้กับผมมาก่อน ได้โปรดครับนายหญิงรับผมเอาไว้ด้วย ผมสัญญาว่าจะเป็นลูกน้องที่ดี"

ถึงหลี่เจี่ยซินจะปฏิเสธยังไงแต่คน ๆ นี้ยังติดตามไม่เลิก ในที่สุดเธอก็ใจอ่อนยอมให้ผู้ชายคนนี้ที่ชื่อไป๋หลีและลูกน้องของเขามาคอยตามดูแล กิจการของหลี่เจี่ยซินถูกเปิดขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เป็นเพราะเธอมีผู้ช่วยแล้ว แก๊งทวงหนี้แก๊งใหม่ที่บริษัทจ้างมาจึงถูกพวกไป๋หลี่ไล่ตะเพิดไป โชคดีที่ยังมีนักเรียนรอสมัครเป็นจำนวนมาก

หนี้นอกระบบถูกพักไปชั่วคราว แต่หนี้ในระบบนั้นทำให้เธอไม่สามารถยื้อได้อีก หลี่เจี่ยซินนั่งกลุ้มใจยังมีเงินอีกห้าล้านหยวนที่พ่อเอาตึกเข้าไปค้ำเพื่อช่วยลูกพี่ลูกน้องคนหนึ่ง และญาติคนนั้นหลังจากได้เงินไปก็หายหน้าไปพร้อมเงินก้อนใหญ่ราวกับได้ตายจากไปแล้ว หลี่เจี่ยซินพยายามทำทุกทาง

หลี่เจี่ยซินกล้ำกลืนน้ำตาลงคอมองหมายศาลในมือ ให้เธอหาเงินรีบไปชำระโดยด่วน ตึกของเธอแห่งนี้มีสี่ชั้น แต่ละชั้นถูกแบ่งเป็นบ้านของอาจารย์แต่ละคน ทุกคนล้วนสำคัญสำหรับเธอเป็นอย่างยิ่งอีกทั้งยังมีเด็ก ๆ อีก น้าสี่ของเธอที่อยู่ชั้นสองก็เพิ่งคลอดเด็กชายตัวเล็กน่ารักออกมา

หากที่นี่ถูกยึดแล้วพวกเขาทั้งหมดจะไปอยู่ที่ไหนกัน หลี่เจี่ยซินก้มหน้าซบลงบนฝ่ามือตัวเอง น้ำตาที่คิดว่าจะไหลกลับไม่ไหลออกมาสักหยด ในนาทีนี้เธอจะโทษความใจดีของพ่อผู้ล่วงลับไปแล้ว หรือจะโทษชะตาฟ้าดินดี

"นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันวะ"

สภาพของโรงฝึกที่ถูกรื้อค้นจนเละตุ้มเป๊ะ คนของเธอสามคนถูกทำร้ายและยังถูกบังคับให้คุกเข่าอยู่ต่อหน้าผู้ชายคนหนึ่ง ในมือของผู้ชายคนนั้นมีปืนที่กำลังจ่อเข้าไปที่หัวของครูฝึกของเธอ

หลี่เจี่ยซินกลืนน้ำลายลงคอ พวกเขามองหน้าเธอแล้วบอกเธอให้หนีไป หลี่เจี่ยซินน้ำตาคลอเบ้า เธอกำมือแน่นปล่อยถุงผักผลไม้ที่เพิ่งซื้อมาลงไปกองกับพื้น ส้มลูกหนึ่งกลิ้งไปหยุดที่หน้าของชายคนหนึ่งที่หนึ่งอยู่บนเก้าอี้ ม้นก้มลงเก็บส้มที่หยุดเมื่อกลิ้งมาโดนขาของมันขึ้นมา

ใบหน้าที่เป็นรอยนั้นแลดูน่ากลัว มันหยิบส้มขึ้นมาดมแล้วแสยะยิ้มพร้อมกับปอกส้มช้า ๆ 

"ถ้าเงินไม่มีก็ขายตัวให้ฉัน เข้าซ่องสักปีสองปีแป๊บเดียวก็ใช้หนี้หมดตอนนั้นอยากได้ตึกคืนก็ไม่สาย"

มันพูดเหมือนคนมีน้ำใจ แต่ช่างเป็นน้ำใจที่น่าขยะแขยงเป็นอย่างยิ่ง

หลี่เจี่ยซินยังคงสั่นไม่หยุด เธอค่อย ๆ ก้าวเข้ามา ครูฝึกคนนั้นของเธออายุเกือบจะห้าสิบปีแล้ว เขายังแข็งแรงคล่องแคล่วแต่ก็ยังสู้คนเกือบสิบคนอีกทั้งยังมีปืนอยู่ในมือไม่ได้ ส่วนครูฝึกอีกสองคนก็มีสภาพไม่ต่างกัน ถึงแม้ว่าคนพวกนั้นจะสะบักสะบอมเช่นกันแต่สุดท้ายทุกคนก็ต้องยอมแพ้ต่อลูกกระสุนที่ยิงออกมา

หลี่เจี่ยซินรู้สึกสงสารพวกเขาสุดหัวใจ เธอไม่ได้ร้องไห้เธอมองคนพวกนั้นทีละคน จดจำใบหน้านั้นเอาไว้ในสมอง สำรวจอาวุธในมือของแต่ละคนอย่างรวดเร็วแต่ไม่รีบร้อน

คนพวกนั้นคิดว่าเธอเป็นผู้หญิง ยังหน้าตาสะสวยบอบบาง แม้แต่แรงจะฆ่าไก่ยังไม่มีจึงได้แต่หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง 

แน่นอนว่าพวกมันกำลังคิดว่าตัวเองจะเป็นคิวที่เท่าไหร่ที่จะได้ลิ้มลองผู้หญิงสวยคนนี้

"ที่ผ่านมาเธอมีคนปกป้องมาตลอด ทำให้เข้าถึงตัวยาก แต่มันคิดว่ามันแน่เลยจัดการให้มันรู้เสียหน่อยว่าใครเป็นใคร ฮ่า ฮ่า ฮ่า"

หลี่เจี่ยซินเบิกตากว้าง

"แกทำอะไรคุณอา"

คุณอาหลิวของเธอที่พอจะพึ่งพาได้ เป็นตำรวจใหญ่ในท้องที่ ทำให้ที่ผ่านมาพวกทวงหนี้โหดยังไว้หน้าเธออยู่บ้าง แต่ตอนนี้เกิดอะไรขึ้น

"ไม่ต้องกลัว ไม่ถึงตายหรอกแค่พิการเท่านั้น"

ผู้ชายคนนั้นหลี่เจี่ยซินพิจารณาแล้ว เธอไม่คุ้นหน้าคุ้นตาท่าทางจะเป็นลูกพี่ใหญ่ของพวกมันที่ถึงกับลงมือเอง นั่นเป็นเพราะว่าสัญญาหนี้เลือดที่พ่อของเธอได้เผลอไปเซ็นเอาไว้เพื่อพยุงกิจการโรงเรียนต่อสู้แห่งนี้ 

เดิมทีก็สามารถส่งเงินคืนได้ไม่สะดุด แต่ต่อมามีนายทุนใหญ่ต้องการซื้อที่ดินแถวนี้เพื่อพัฒนาเมืองและมีนักการเมืองให้ความร่วมมือ กดราคาจนชาวบ้านแทบจะไม่เหลืออะไร ทั้งยังส่งคนมาข่มขู่สารพัดให้ขายในราคาต่ำ คนหลายคนทนไม่ไหวหวาดกลัวจำใจขายและย้ายออกไป

ที่นี่เป็นสมบัติเก่าแก่ของครอบครัว หลี่เจี่ยซินเหลือมันเป็นที่สุดท้ายที่พ่อของเธอฝากให้ดูแลก่อนตาย และเธอไม่ต้องการขายมันให้นายทุนหน้าเลือด ยังมีครูฝึกที่เติบโตมาในตระกูลของเธอทั้งครอบครัวของพวกเขาที่เธอต้องดูแลรวมแล้วเกือบสิบชีวิต

เดิมทีเธอก็พยายามมากอยู่แล้วเพื่อรักษาที่นี่เอาไว้ กระทั่งไปออกรายการศิลปะของจีนมีชื่อเสียงขึ้นมา คนรู้จึงแห่มาสมัครกิจการกำลังไปได้ดีแต่ดันเกิดเรื่องนี้เสียก่อน ที่เจ้าหนี้ของพ่อดันกลายเป็นนายทุนคนนั้นที่ต้องการซื้อตึกนี้

"คุณหนูหนีไปครับ ไม่ต้องสนใจพวกผม"

"คุณอา"

หลึ่เจี่ยซินรู้สึกคล้ายตัวเองถูกบีบหัวใจ เมื่อเห็นผู้ชายสองสามคนเริ่มซ้อมคนของเธอ

หลังจากพิจารณาพวกมันแต่ละคนอย่างละเอียด หลี่เจี่ยซินก็พบว่าพวกมันมีมากจนเกินไป อีกทั้งแต่ละคนยังมีปืนถ้าจะเอาชนะในครั้งนี้เธอต้องเร็วและจับตัวเจ้านายของพวกมันเอาไว้

หลี่เจี่ยซินยกมือขึ้น น้ำตาของเธอไหลออกมาอาบสองแก้ม

"ปล่อยพวกเขาไปเถอะ ฉันยินดีจะชดใช้หนี้ให้อยากให้ทำอะไรก็ได้ทั้งนั้นขอแต่อย่าทำร้ายพวกเขา"

ผู้ชายคนนั้นหัวเราะลั่น เมื่อเห็นท่าทางของหลี่เจี่ยซิน เขากวักมือเรียกเธอไปใกล้ ๆ 

"เข้ามานี่สาวน้อย ให้ฉันดูตัวเธอให้ชัด ๆ หน่อย ว่าง่าย ๆ แบบนี้ไม่ก็ไม่มีปัญหา"

เพราะหลี่เจี่ยซินเป็นคนสวยมาก ร้อยคนที่เดินมาจะมีสักคนที่หน้าตาสวยสมบูรณ์ทั้งยังหุ่นดีมาก ๆ แบบนี้ ผู้ชายที่เห็นใคร ๆ ก็ย่อมอ่อนระทวยอยู่บ้าง

หลี่เจี่ยซินเดินไปใกล้ ๆ ผู้ชายคนนั้นอย่างระแวดระวัง ท่าทางยังหวาดกลัวอยู่มาก

ลูกน้องคนหนึ่งที่ของมันพูดขึ้น

"นายครับระวัง ผู้หญิงคนนี้มันไม่ธรรมดา"

แต่ลูกน้องคนนั้นกลับถูกเขาตบเข้าที่หน้า

"แค่ผู้หญิงอ่อนแอคนเดียว จัดการไม่ได้ต้องให้ฉันลงมาดูเองเลี้ยงเสียข้าวสุก"

หลี่เจี่ยซินยังสะอื้น ที่เห็นเขาทำร้ายคน 

"ไม่ต้องกลัวเธอเป็นสินค้าชั้นยอด ให้ตายเถอะยิ่งดูใกล้ ๆ ยิ่งสวย เอาล่ะคุกเข่าลงใกล้ ๆ ฉันแล้วเงยหน้าขึ้น"

หลี่เจี่ยซินค่อย ๆ คุกเข่าลง มันยังหัวเราะอย่างพอใจ ลูกน้องคนนั้นถูกผลักให้ถอยห่างไปแล้ว

หลี่เจี่ยซินคำนวณทิศทางการเคลื่อนไหวในหัวอย่างรวดเร็วโดยที่มันไม่ทันสังเกต ก่อนที่เธอจะคุกเข่าลงด้วยทักษะอันยอดเยี่ยมและความรวดเร็วที่คนคาดไม่ถึงและไม่มีใครระวังตัว หลี่เจี่ยซินก็ถีบผู้ชายสองคนที่ยืนอยู่ข้างนายของมัน ดึงปืนออกจากมือของชายที่กำลังจ่อเข้าที่หัวของครูฝึกของเธอออกมาหมุนตัวราวพายุแล้วใช้ปืนนั้นจ่อเข้าที่หัวของเจ้านายของพวกมันแทน

ผู้ชายสองคนที่ถูกหลี่เจี่ยซินล้มถึงกับจุกลุกไม่ขึ้น หลี่เจี่ยซินหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง เธอตบเข้าไปที่ศีรษะของผู้ชายคนนั้นอย่างแรงกระทั่งหัวของเขาแตก

"ไม่ต้องกลัว ฉันไม่ฆ่าแกหรอกอย่างมากก็ทำให้เป็นอัมพาตทั้งตัว อย่างน้อยก็ทำให้พิการ ทีนี้จะแกจะปล่อยคนของฉันได้หรือยัง"

สี่ปีต่อมา

หลังจากวันนั้นที่ออกจากคุกหลิวไห่ได้พบกับลุงเฉิงอีกไม่กี่ครั้ง เขายังไม่สามารถแก้แค้นสกุลกู้ได้ และยังไม่สามารถติดตามแฟรชไดร์ของพ่อกลับมาได้เช่นกัน

แต่สิ่งทีเปลี่ยนแปลงเขาคือ ในตอนนี้หลิวไห่อาศํยความช่วยเหลือของอเล็กซ์ในการเปิดบริษัทเงินทุนและการบัญชี โดยมีมู่หลงที่หลิวไห่ช่วยเหลือเรื่องคดีจนสามารถออกจากคุกได้มานั่งในตำแหน่งผู้จัดการ

มู่หลงมีความสามารถในเรื่องบัญชีและการเงินมากจนเรียกว่าเป็นอัจฉริยะและตัวหลิวไห่เองยังมีความสามารถรอบด้าน เขาเรียนรู้ว่องไว และปราดเปรียว วางแผนเฉียบขาดมองการณ์ไกล ตัดสินใจไม่มีพลาด

ด้วยความร่วมมือกันอย่างเต็มที่ ทำให้ทั้งสองคนสามารถสร้างบริษัทให้เติบโตขึ้นมาได้อย่างมั่นคง กลายเป็นบริษัทที่น่าจับตามองน้องใหม่มาแรง จนกระทั่งหลิวไห่คิดขยายกิจการเข้าไปที่แผ่นดินใหญ่ เพราะเขาได้ข่าวว่ากู้เมิ่งถูกส่งไปทำงานที่สำนักงานใหญ่แห่งใหม่ที่เซี่ยงไฮ้

กู้เมิ่งที่ไม่มีอิทธิพลของพ่อในฮ่องกงเมื่อไปอยู่ที่แผ่นดินใหญ่อำนาจของเขาก็ลดลงไปมาก

ความจริงแล้วหลายปีมานี้เขาพยายามอย่างหนักที่จะไล่ตามสกุลกู้ แต่สุดท้ายเขาก็ไปไม่ถึงฝั่งจึงทำให้ถอดใจไปมาก คิดจะเอาใจออกห่างไม่สนใจความแค้นเหมือนที่ลุงเฉิงเคยบอกเขาให้ปล่อยวาง

แต่ในตอนนี้เขาทำไม่ได้แล้ว เมื่อสกุลกู้ยื่นมือเข้ามาสอดกระทั่งในบริษัทน้องชายของเขา และเหมือนเขาจะเริ่มมองเห็นช่องโหว่ของกู้เมิ่งแล้ว ความคิดในการแก้แค้นจึงย้อนกลับคืนมาอีกครั้ง

หลิวไห่วางแก้วเหล้าในมือลง ตัดสินใจรวดเร็ว

“ได้ นายอยู่ที่นี่ก็ไม่ต้องไปไหน ที่นี่ฉันมีผู้จัดการคอยดูแลที่ไว้ใจได้ ใช้ชีวิตในแบบที่นายต้องการเถอะ เรื่องบริษัทแม่บุญธรรมฉันจะจัดการให้นายเอง”

เฉินเฟยอวี๋โผเข้ามากอดเขา หลิวไห่ใช้แขนดันร่างของน้องชายที่แต่งตัวเป็นหญิงให้ออกห่าง

“อย่ามาทำเสื้อฉันเลอะเครื่องสำอางค์นาย”

“หลิวไห่พี่เป็นคนดีจริง ๆ พี่เป็นคนดีจริง ๆ”

เฉินเฟยอวี๋ที่ผ่านมาไม่เคยรู้เรื่องของหลิวไห่เลย เขาไม่สามารถติดต่อพี่ชายได้หลายปีในใจก็กระวนกระวายเป็นอย่างมาก แต่ยังได้รับจดหมายจากหลิวไห่ฉบับหนึ่งว่าจะไปที่แห่งหนึ่ง ไม่สะดวกติดต่อ เมื่อเขาสะดวกแล้วจะติดต่อหาเฉินเฟยอวี๋เอง

แค่รู้ว่าพี่ชายยังอยู่ดีจึงดีใจเป็นอย่างมาก เขาจึงเอาแต่เฝ้ารอว่าหลิวไห่จะกลับมาเมื่อไหร่ กระทั้งวันนั้นมาถึง หลิวไห่กลับมาแล้วพร้อมกับเปิดตัวบริษัทที่ยิ่งใหญ่

เฉินเฟยอวี๋จึงคิดว่าพี่ชายของตัวเองอยู่ดีกินดีและใช้ชีวิตสุขสบายมาตลอด

“แล้วพี่จะไปเมื่อไหร่ ฉันบอกพี่ก่อนนะว่าหลี่เจี่ยซินคู่หมั้นของฉันน่ะ เธอค่อนข้างพิเศษ เพราะฉะนั้นห้ามรังแกเธอเด็ดขาด”

“นายบอกเองไม่ใช่เหรอว่าเธอต่อสู้เก่ง ฉันจะทำอะไรเธอได้”

“ไม่รู้ล่ะ ห้ามรังแกฉันห้ามพี่แล้ว และพี่ต้องแสดงเป็นฉันอย่างแนบเนียนด้วยทำได้หรือเปล่า”

หลิวไห่ยกมือกอดอก หรี่ตามองน้องชาย

“เรื่องมากชะมัด ตกลงมาขอความช่วยเหลือหรือบังคับขู่เข็ญกันแน่”

เฉินเฟยอวี๋หยิบแก้วเหล้าของหลิวไห่มาดื่มจนหมดแล้วเช็ดปาก

“เอาตามนี้แล้วกัน ฉันเชื่อมือพี่กำจัดพวกหน้าด้านนั่นให้หมดเลยนะ เรียบร้อยเมื่อไหร่ฉันจะบินไปสลับตัวกับพี่ทันที เอกสารของบริษัททั้งหมดอยู่ในนี้แล้ว”

เฉินเฟยอวี๋ยกกระเป๋าเอกสารสีดำขนาดใหญ่วางไว้บนโต๊ะ

หลิวไห่พยักหน้า

“ขอเวลาสักหนึ่งสัปดาห์ฉันจะบินไปเป็นตัวนายให้เอง”

หนึ่งสัปดาห์ต่อมา

หลี่เจี่ยซินตื่นแต่เช้าเพราะวันนี้เฉินเฟยอวี๋จะกลับมาจากฮ่องกง เธอต้องรีบไปรับเขาในเวลาเจ็ดนาฬิกา หญิงสาวตื่นตั้งแต่ตีห้าแต่งตัวด้วยชุดเสื้อยืดกางเกงยีนรองเท้าบู๊ทสีดำยาว ยังใส่เสื้อคลุมตัวยาวทับอีกที

วันนี้เธอแต่งหน้าอ่อน ๆ ทำให้ดูนุ่มนวลและน่ารักเป็นอย่างยิ่ง

เมื่อเรียบร้อยแล้วจึงสตาร์ทรถรีบออกไปรับเขาทันที เธอไปถึงก่อนเวลาเครื่องลงราวครึ่งชั่วโมง รอเขารับกระเป๋าอีกประมาณครึ่งชั่วโมง หนึ่งชั่วโมงหลังจากนี้จึงเห็นร่างสูงหล่อเหลาของเฉินเฟยอวี๋ลากกระเป๋าใบใหญ่ออกมา

“ที่รักทางนี้ค่ะ”

หลี่เจี่ยซินชินเสียแล้วที่เรียกเขาว่าที่รัก ในความหมายคือเพื่อนสาวที่รักของเธอ เมื่อเธอซึ่งเป็นสาวสวยร่างเล็กคนหนึ่งโบกไม้โบกมือยังตะโกนเสียงดังเรียกคนรักจึงทำให้คนหันมามองเธอเป็นตาเดียว

และเมื่อร่างของผู้ชายที่หลี่เจี่ยซินเรียกว่าที่รักปรากฎตัว ก็ทำให้คนหันมามองเป็นตาเดียว

ผู้ชายร่างสูง ตัวขาวราวกับจะเรืองแสงได้คนนี้ถอดแว่นออกมา

แว๊บแรกที่หลี่เจี่ยซินเห็นเขา เธอเกิดความรู้สึกแปลก ๆ

เขาดูไม่เหมือนเฉินเฟยอวี๋แม้แต่น้อย หลี่เจี่ยซินกะพริบตาปริบ ๆ กระทั่งเฉินเฟยอวี๋อ้าแขนกว้างเธอทำหน้างงเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นว่ามีคนกำลังรอถ่ายรูปพวกเธออยู่หลี่เจี่ยซินจึงไม่รอช้าพุ่งตัวเข้าไปซบอกของเฉินเฟยอวี๋ทันที

กลิ่นน้ำหอมอ่อน ๆ แบบสปอร์ตลอยปะทะจมูก หลี่เจี่ยซินจึงเงยหน้าขึ้นถามเขาคำแรก

“ที่รักเปลี่ยนน้ำหอมเหรอคะ”

เฉินเฟยอวี๋ตอบเบา ๆ

“อืม”

หลี่เจี่ยซินคิดว่ากระทั่งท่าทางการพูดของเขาก็เปลี่ยนไป แต่หนึ่งสัปดาห์ที่เขาไปฮ่องกงเขาโทรหาเธอทุกวัน เขาก็บอกแล้วว่ากลับมาคราวนี้เขาจะเปลี่ยนตัวเองแสดงเป็นผู้ชายเต็มตัวที่โหดเหี้ยมเพื่อเอาบริษัทคืนมา

หลี่เจี่ยซินจึงให้ความร่วมมือ ไม่ว่าในบ้านหรือนอกบ้านเฉินเฟยอวี๋จะกลายเป็นผู้ชายแมน ๆ เพื่อให้เคยชิน ข้าวของเครื่องสำอางค์ที่เฉินเฟยอวี๋เคยใช้เขาจึงบอกให้หลี่เจี่ยซินกำจัดให้หมดก่อนที่เขาจะกลับมาถึง

หญิงสาวไม่ได้สงสัยอะไร เธอไม่เคยรู้มาก่อนว่าเฉินเฟยอวี๋มีฝาแฝด และเธอก็ยังจำเรื่องของเธอและหลิวไห่ในคืนนั้นไม่ได้ นั่นเป็นเพราะเธอเมาจนสมองเหลือเท่าเม็ดถั่ว

ในขณะที่หลิวไห่รู้นั้นรู้จักหลี่เจี่ยซินตั้งแต่วันแรกที่น้องชายเอารูปคู่หมั้นให้ดูแล้ว

ในวันนั้นเขาหัวเราะออกมาอย่างแรง โลกช่างกลมเหลือเกิน ผู้หญิงที่ซื้อเขาด้วยเงินยับ ๆ ราคา ห้าสิบเหรียญในวันที่เขาไปทำธุระที่แผ่นดินใหญ่กลับกลายเป็นคู่หมั้นปลอม ๆ ของน้องชายไปได้

คิดว่าได้เขาแล้วจะทิ้งไปง่าย ๆ เหรอ ไม่มีทาง ในเมื่อเจอเธอแล้วเขาไม่มีทางปล่อยไปง่าย ๆ เป็นอันขาด

ทันทีที่เจอหน้าเธอ หลิวไห่จึงคิดกลั่นแกล้งโดยการกอดเธอเป็นอันดับแรก

ร่างกายเล็ก ๆ นุ่มนิ่มของเธอนี้ไม่คิดว่าจะมีเรี่ยวแรงมหาศาลขนาดนั้น เรื่องนี้ทำให้หลิวไห่คิดถึงลูกสาวของแม่บ้านของเขาคนนั้น ที่หลิวไห่กำลังให้การรักษาอยู่ เด็กคนนั้นก็เหมือนหลี่เจี่ยซิน และยังมีเด็กหญิงในความทรงจำของเขาอีกคนที่เป็นมีลักษณะพิเศษอย่างนี้

เด็กผู้หญิงตัวเล็กท่าทางอ่อนแอมีความคล้ายคลึงกันทั้งสามคน เรื่องนี้ไม่แน่ว่าอาจจะมีอะไรเกี่ยวข้องกันก็เป็นได้

“คิดอะไรอยู่เหรอคะที่รัก”

เขายังโอบไหล่ของหลี่เจี่ยซินเอาไว้ พลางลากกระเป๋าแล้วเดินมาพร้อม ๆ กัน

หลิวไห่ยกมุมปาก ในใจสงสัยว่าเฉินเฟยอวี๋เคยจูบเธอหรือเปล่า หลิวไห่จึงหยุดเดินพร้อมกับวางกระเป๋าเอาไว้ข้าง ๆ เขาใช้มือเชยใบหน้าของหลี่เจี่ยซินขึ้นมา

หลี่เจี่ยซินย่นหัวคิ้ว เธอเริ่มสับสนกระซิบถามเขาเสียงเบา

“เสี่ยวอวี๋เธอเป็นอะไรท่าทางแปลกมากเลย”

หลิวไห่หัวเราะในลำคอ ก้มลงกระซิบชิดริมฝีปากของหลี่เจี่ยซิน

“ฉันคิดถึงเธอน่ะ”

คำพูดมีเพียงเท่านี้ หลี่เจี่ยซินก็ถูกหลิวไห่ประทับจูบอย่างดูดดื่มโดยไม่ทันตั้งตัว

อเล็กซ์พาหลิวไห่ไปซื้อเสื้อผ้าใหม่ ยังพาเข้าร้านเสริมสวยโกนหนวดตัดผม ในตอนนี้อเล็กซ์ได้แต่มองอย่างชื่นชมด้วยความหล่อเหลาของหลิวไห่ที่ดูเหมือนคนละคนในตอนที่เดินเข้ามาในร้านเสริมสวย ทำให้พนักงานทุกคนทั้งหญิงและชายต่างมองอย่างตกตะลึง และยังผลัดกันมาชื่นชมเขาไม่ขาด

“ผมเบื่อคำชมของพวกนั้นแล้ว ไปเราไปกันเถอะ รู้สึกเหมือนพี่จะโดนแย่งยังไงก็ไม่รู้”

หลิวไห่พยักหน้าแล้วเดินตามเขาออกมา

อเล็กซ์พาเขามาที่ภัตตาคารหรูแห่งหนึ่ง หลิวไห่ในชุดสูทราคาแพงและยังนั่งรถหรูมากับอเล็กซ์จึงได้รับการต้อนรับราวกับพระราชา

พวกเขานั่งในห้องวีไอพี อเล็กซ์สั่งทุกอย่างที่แพงหูฉี่ของที่ร้านมา รวมทั้งไวน์ขวดหมื่นเหรียญมาให้หลิวไห่ลองชิม

หลิวไห่ไม่ขัดข้อง เขาดื่มกินของดีอย่างเต็มที่

“หลังออกจากคุกนายคงชดเชยเต็มที่สิ”

“ใช่พี่ ตอนนี้พี่ได้ชีวิตใหม่แล้ว ประวัติของพี่นายใหญ่เคลียร์ให้ขาวสะอาด คดีของพี่ก็พลิกถูกตัดสินใหม่แล้ว รับรองว่าจากนี้ไม่มีใครยุ่งกับพี่อีก หากพี่ไม่หาเรื่องใส่ตัว”

อเล็กซ์ทุบปูอย่างแรงจนแหลกคามือ เขาส่ายหน้าแล้วเรียกพนักงาน

“หาสาว ๆ สวย ๆ มาช่วยทุบปูแกะกุ้งสักคนสองคนหน่อยสิ”

“ครับ”

หลิวไห่มองอเล็กซ์ เรื่องของลุงเฉิงยังเป็นเรื่องที่เขาอยากรู้อยู่

“ฉันถามนายคงไม่ตอบเรื่องลุงเฉิง ถ้างั้นนายพอจะตอบได้หรือเปล่าว่าสกุลกู้ทำอะไรที่ไม่สุจริตบ้าง”

อเล็กซ์หัวเราะ

“เป็นองค์กรข้ามชาติเลยแหละ ผมรู้แต่ว่าพวกมันกำลังทดลองอะไรบางอย่าง มีนักวิทยาศาสตร์มากมายอยู่ในนั้นและเป็นความลับสุดยอด นายใหญ่รู้เรื่องแต่ก็ไม่เคยบอกผมและนายใหญ่ก็ไม่อยากยุ่งกับพวกมันด้วย ผมถึงบอกพี่ยังไงล่ะว่าพ่อของพี่ที่จริงเกี่ยวพันอะไรกับพวกมันกันแน่ ถึงทำให้พวกมันตามฆ่า”

หลิวไห่เข้าใจแล้ว เขานึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้

“มีแฟรชไดร์อันหนึ่งที่พวกมันตามหา คงมีข้อมูลสำคัญอยู่ที่นั่น วันที่พวกมันฆ่าพ่อมันมาตามหาของสิ่งนั้น”

อเล็กซ์เอนตัวไปใกล้เขาแล้วพูดว่า

“ถ้างั้นพี่ต้องหาแฟรชไดร์นั้นให้เจอ ลองคิดดูว่าพ่อพี่จะซ่อนเอาไว้ที่ไหน”

หลังจากนั้นพนักงานสาวสวยที่อเล็กซ์ร้องขอก็เข้ามา พวกเขาจึงไม่ได้พูดอะไรกันอีก จนกระทั่งกินอาหารเย็นมื้อใหญ่เสร็จ อเล็กซ์ปัดมือตัวเองให้ทิปพนักงานไปจำนวนหนึ่งแล้วสั่งให้เธอออกไป

เขาบอกให้คนคิดเงินค่าอาหาร หลิวไห่ประเมินคร่าว ๆ ค่าอาหารวันนี้คงจะไม่ต่ำกว่าสามหมื่นเหรียญแน่ ๆ ยังมีไวน์ราคาแพงขวดนั้นอีกที่เขายังไม่ได้คิดรวม

ในขณะที่ไม่มีใครอยู่นั้นอเล็กซ์หยิบกล่อง ๆ หนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อด้วยมืออันว่องไว กระทั่งกล้องวงจรปิดยังจับภาพนั้นไม่ได้ แต่หลิวไห่ตาไวมองเห็นแล้ว

หลิวไห่สงสัยว่าเขาจะทำอะไรกันแน่

“นายจะทำอะไร”

อเล็กซ์หัวเราะแล้วตอบว่า

“หาเรื่องกินฟรี”

เขาเปิดกล่องไม้กล่องเล็กออก โยนแมลงสาบตัวเล็กที่อยู่ในกล่องหลายตัวลงในหม้อไฟอย่างรวดเร็วโดยไม่เป็นที่สังเกตุ ยังมีในจานของหลิวไห่ และในจานของเขา พวกมันตัวเล็กมากถ้าไม่เขี่ยดูหรือไม่สังเกตุก็แทบมองไม่เห็น

อเล็กซ์แกล้งเขี่ยอาหารบนจาน ทุกท่าทางของเขาล้วนถูกกล้องวงจรปิดบันทึกไว้

เขาเริ่มกลายเป็นนักแสดง ทำท่าเหมือนเจอบางอย่างบนจาน เขาอมบางสิ่งไว้ในปากก่อนจะทำท่าอาเจียนออกมา พร้อมกับโวยวายเสียงดัง

“อะไรกันภัตตาคารระดับนี้ แหวะ จะอ๊วก แม่งเอ๊ย พวกเลวนี่จะฆ่าฉันหรือยังไง ฉันจะฟ้องพวกแก ฉันจะฟ้องให้หมดให้พวกแกต้องปิดร้านไปเลย กล้าดียังไงทำแมลงสกปรกพวกนี้ให้ฉันกิน พวกเลวเอ๊ย”

พนักงานรีบเข้ามาทันที อเล็กซ์เขี่ยแมลงตัวเล็กออกจากจานของตัวเอง และยังมีของหลิวไห่

พนักงานขอโทษก่อน แต่ยังไม่เชื่อจนกระทั่งพวกเขาเห็นว่ามีบางสิ่งที่อยู่บนจานและในน้ำซุป

พนักงานพยายามเพ่งมอง ตอนแรกพวกเขาคิดว่าเป็นเศษพริกไทยดำ แต่เมื่อมองดูดี ๆ กลายเป็นว่ามีแมลงตัวเล็กอยู่ในนั้น

อเล็กซ์ทำท่าอันธพาล ชี้หน้าพนักงานกระทั่งไปถึงผู้จัดการร้าน

“จะแก้ตัวยังไงว่ามา ว่ามาเลย”

ผู้จัดการร้านเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อนจึงได้ขอตรวจกล้องวงจรปิด ให้พวกเขานั่งรอ

แต่เมื่อตรวจดูกล้องก็ไม่พบสิ่งใดผิดปกติ ไม่เห็นว่าอเล็กซ์เอาแมลงใส่ตอนไหน จึงต้องยอมรับความจริงและไม่คิดเงินค่าอาหาร แลกกับที่ขอให้พวกเขาไม่ฟ้อง

อเล็กซ์ยังได้บัตรทานอาหารฟรี มูลค่าหนึ่งหมื่นเหรียญเป็นเงินค่าปิดปากอีกด้วย

“ใครจะอยากมากินฟรี อาหารขยะที่มีแมลงแบบนี้ เห็นฉันกระจอกหรือไงวะ”

อเล็กซ์โวยวายอย่างหนัก สุดท้ายเขาจึงได้รับเงินสดมาฟรี ๆ อีกหนึ่งหมื่นเหรียญ

หลิวไห่ไม่เข้าใจเขานัก ทั้งสงสารพนักงาน แต่ตัวเองร่วมหัวจมท้ายกับอเล็กซ์แล้วจึงได้แต่นิ่งเงียบ

หลังออกจากร้านอาหารหลิวไห่จึงถามอเล็กซ์ว่า

“ถ้านายไม่มีเงินทำไมไม่บอก ฉันมีเงินมากพอที่จะจ่ายค่าอาหารมื้อนี้”

อเล็กซ์หัวเราะแล้วพูดว่า

“ฉันตั้งใจอยู่แล้ว ช่วยพี่แก้แค้นไงล่ะ”

หลิวไห่สงสัย

“ช่วยฉันแก้แค้น เกี่ยวอะไรกับโกงค่าอาหารคนพวกนั้นด้วย”

“พี่นี่ไม่รู้อะไร ภัตตาคารนั้นน่ะเป็นภัตตาคารอันดับหนึ่งของฮ่องกงเชียวนะ”

“ฉันรู้แล้ว นายบอกฉันแล้ว ฉันก็ไม่เข้าใจอยู่ดีเกี่ยวอะไรกับการแก้แค้น”

อเล็กซ์หัวเราะให้กับความไร้เดียงสาของหลิวไห่

“พี่คิดว่าใครล่ะเป็นเจ้าของภัตตาคารนั่น”

หลิวไห่เบิกตากว้าง เขาเข้าใจในทันที

“สกุลกู้?”

อเล็กซ์พยักหน้า

“ถึงจะหัวช้าไปบ้างแต่ก็ยังคิดได้ ถือซะว่านี่เป็นบทแรกที่ผมช่วยเริ่มต้นให้พี่แล้วกัน บทต่อไปพี่ต้องเขียนเองแล้วล่ะ อยากให้ช่วยอะไรก็บอกผมยินดี ในเมื่อเป็นคนรู้ใจของผมและยังเป็นคนที่ช่วยชีวิตนายใหญ่อีก ผมอเล็กซ์คนนี้ยินดีรับใช้พี่ด้วยชีวิต”

หลิวไห่ออกจากธนาคารไปแล้ว พร้อมด้วยรอยยิ้มของป้าแม่บ้าน เขาบอกว่าให้เวลาป้าคิดสักหลายวันเมื่อเขาหาบ้านได้แล้วเขาจะติดต่อมาเอง

“ป้าโชคดีแล้วที่เจอเศรษฐีพันล้านคนนั้น ท่าทางเขาเป็นคนดีนะครับ”

ผู้จัดการพูดขึ้น ตบกระเป๋าของตัวเองเบา ๆ เงินพิเศษหนึ่งหมื่นเหรียญที่หลิวไห่ยัดเยียดให้ทำให้เขามีความสุขราวกับถูกแจ็คพ็อต

พนักงานคนเดิมที่คิดว่าหลิวไห่เป็นโจรเดินมาเลียบ ๆ เคียง ๆ ถามผู้จัดการเสียงอ่อน

“ตกลงเขาไม่ใช่โจรเหรอคะ”

ผู้จัดการมองเธอด้วยความโกรธ และยังตำหนิรุนแรง

“ลูกค้าวีไอพีแบบนั้นคุณยังไม่มีตามองออกอีกเหรอ คุณเกือบทำให้เราพังกันหมดแล้ว”

ผู้หญิงคนนั้นถึงกับน้ำตาซึม

“ก็ท่าทางเขาแบบนั้นใครจะคิดว่าเขาเป็นเจ้าของเงินจริง ๆ ล่ะคะ”

ผู้จัดการธนาคารทำท่าไม่พอใจมาก

“อย่าตัดสินคนด้วยรูปลักษณ์ภายนอก ดูอย่างคุณสิกระเป๋าแบรนด์เนม ขับรถคันสวย หน้าตาก็สวย เหมือนจะรวยมาก แต่ความจริงใช้เงินเดือนชนเดือน หัดใช้สมองคิดและเอาตัวเองเป็นกรณีศึกษาบ้าง คนรวยขนาดนั้นถ้าเขาย้ายเงินฝากไปฝากที่อื่นคุณรับผิดชอบไหวเหรอ ผมนี่อยากจะไล่คุณออกจริง ๆ ให้ตายเถอะ อย่าให้พลาดอีกเข้าใจหรือเปล่า”

พนักงานคนนั้นคอตก รับคำทั้งน้ำตา

“ค่ะผู้จัดการ”

เมื่อออกมาจากธนาคารและมุ่งตรงมาที่โชว์รูมรถหรูที่อยู่ไม่ไกล พร้อมทั้งคนของธนาคารที่อารักขาเงินของเขาอย่างเต็มที่ หลิวไห่ไม่คิดว่าตัวเองจะถูกดูถูกอีกครั้งเมื่อก้าวเข้าไปที่โชวรูมรถหรู เขาเดินเข้าไปพร้อมกับตำรวจสองคน

หลายคนมองเขาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ลูกค้าบางคนถึงกับขยับหนี

ยิ่งทำให้คนเข้าใจผิดเมื่อพนักงานต้อนรับรีบออกมาปฏิเสธเรื่องที่พวกเขาคิดกันเอง

“คุณตำรวจครับ ทางเราไม่ได้มีการแจ้งคนร้ายขโมยรถนะครับ คนมาผิดที่แล้วครับ”

ตำรวจทั้งสองคนต่างมองหน้ากัน พวกเขายังไม่ได้อธิบายอะไร พนักงานคนนั้นก็รีบพูดเรื่องนี้ขึ้นมาแล้ว

“คุณเข้าใจผิดแล้วครับ พวกเราตั้งใจมาที่นี่ครับ ไม่ใช่แบบนั้นนะครับ”

“อะไรครับ เข้าใจผิดอะไร คนร้ายคนนี้เราไม่ได้แจ้งความครับ คุณมาผิดโชว์รูมแล้วครับ เชิญออกไปเถอะครับ คุณตำรวจทำลูกค้าคนอื่นตกใจแล้วนะครับ เอาโจรเข้ามาที่นี่ได้ยังไง มันทำให้โชว์รูมเราดูตกต่ำนะครับ”

คุณตำรวจพยายามอธิบาย แต่พนักงานผู้ชายคนนั้นก็ไม่ยอมฟัง เขายิ่งรู้สึกอารมณ์ไม่ดีเพราะวันนี้ยังไม่ได้ลูกค้าสักราย

กระทั่งมีพนักงานคนหนึ่งเดินเข้ามา คนนี้หูตาไวกว่าเห็นท่าทางของตำรวจ และยังมีรปภ.ของธนาคารหิ้วกระเป๋าสีดำเข้ามา เธอจึงคิดว่าเป็นเงินสดแน่นอนจึงรีบเข้าไปต้อนรับ

“ขอโทษนะคะคุณลูกค้า เชิญทางนี้ค่ะ”

พนักงานผู้ชายคนนั้นมองเธอด้วยสายตาประหลาด

“ลูกค้าเหรอ”

ผู้หญิงคนนั้นยิ้มหวาน

“ใช่สิ ลูกค้าฉันเอง ฉันดูแลเองนายจะไปไหนก็ไปเถอะ”

“โอ๊ะ ขอให้ขายได้นะ กล้าดียังไงพาคนแบบนี้มาที่โชว์รูม”

ผู้ชายคนนั้นมองหลิวไห่พลางเบ้ปากอีกครั้ง แล้วเดินหลีกไปอีกทาง

ผู้หญิงที่มาใหม่เชิญหลิวไห่และตำรวจให้นั่งที่ห้องรับแขก สั่งให้คนจัดหาน้ำและกาแฟ อย่างรวดเร็ว

“คุณลูกค้าไม่ทราบสนใจรถรุ่นไหนคะ”

ตอนอยู่ในเรือนจำหลิวไห่เองก็ศึกษาเรื่องรถมาค่อนข้างเยอะ เขาจึงบอกรุ่นยี่ห้อที่ตัวเองชอบอย่างไม่ลังเล

ผมขอรุ่นนี้ตัวท็อปสีแดงครับ ผมชอบสองคัน ดังนั้นผมขอซื้อสองคันที่ผมบอกไป”

“ได้ค่ะยินดีมากค่ะ ไม่ทราบว่าสนใจเป็นสินเชื่อหรือเงินสดคะ”

“เงินสดครับ ผมฝากคุณไว้ที่นี่ก่อนหนึ่งคัน เดี๋ยวผมจะมารับอีกคันวันหลังครับ”

พนักงานขายคนนั้นรู้สึกเหมือนถูกหวย เธอดีใจจนหน้าบาน แค่ต้อนรับผู้ชายผมเผ้ารุงรัง แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่เหม็นอับคนนี้อย่างกับราชา เธอก็สามารถขายรถหรูในวันนี้ได้ถึงสองคัน แถมยังเป็นเงินสดอีก

“ต้องขอประทานโทษนะคะ พอดีว่ารถเราต้องสั่งจองค่ะยังไม่พร้อมจำหน่ายเลย เกรงว่าเร็วที่สุดต้องรอหนึ่งสัปดาห์ค่ะ”

หลิวไห่จึงย้อนถามว่า

“มีพร้อมส่งตอนนี้คันไหน ผมซื้อเพิ่มอีกหนึ่งคันส่วนอีกสองวันผมรอได้ครับ”

“โอ้ได้เลยค่ะ ฉันเช็คให้นะคะคุณหลิวรอสักครู่”

หนึ่งชั่วโมงผ่านมา หลิวไห่ก็ได้กุญแจรถคันใหม่พร้อมกับจ่ายทิปให้ทั้งตำรวจและรปภ.ของธนาคารที่ตามมาดูแลเขาอย่างงาม

หลิวไห่ขับรถหรูคันละหลายล้านเหรียญออกจากโชว์รูม กลับบ้านพร้อมกับเก็บเงินสดที่ถอนออกมาไว้ในช่องลับ เพื่อนบ้านหลายคนออกมาดู เมื่อเห็นว่าเป็นหลิวไห่พวกเขาจึงได้แต่แอบนินทาว่าหลิวไห่ต้องไปทำผิดกฎหมายมาแน่นอน

หลิวไห่ดึงเงินออกมาปึกหนึ่งยัดใส่กระเป๋ากางเกงขณะที่กำลังจะออกจากบ้าน คนคุ้นเคยคนหนึ่งก็ตรงมาหาเขา

“พี่หลิวคิดถึงจังเลยอยู่ที่นี่เองหรอกหรือ ตามหาตั้งนานแหนะ”

หลิวไห่ยิ้มอย่างยินดี

“อเล็กซ์นายมาได้ยังไง”

อเล็กซ์เองก็ออกจากคุกแล้ว เขาดึงหลิวไห่ให้ขึ้นรถของเขาโดยไม่สนใจรถคันหรูที่จอดอยู่หน้าบ้านหลังเล็กนี่เลย

“คุยกันในรถ โอ้โห้ทำไมโทรมขนาดนี้ มาผมจะพาพี่ไปชุบตัวเอง”

หลิวไห่ขึ้นรถไปอเล็กซ์โดยไม่มีข้อโต้แย้ง

“นายออกมาเมื่อไหร่”

“ก่อนพี่สักเดือนมั้ง”

“รู้อยู่ใช่หรือเปล่าว่าใครช่วยพี่ออกมา”

อเล็กซ์พยักหน้า

“ใช่ เพราะพี่ช่วยนายใหญ่เอาไว้ เขาเลยตอบแทนอย่างงาม”

“ลุงเฉิง”

“โหพี่ก็ฉลาดนี่”

อเล็กซ์ว่า

“บอกพี่ได้หรือเปล่าว่าเขาเป็นใคร”

อเล็กซ์ส่ายหน้า

“ถ้านายใหญ่ไม่อนุญาตผมพูดไม่ได้ อย่าถามเลยรู้แต่ว่านายให้พี่ก็รับไว้เถอะ วันนั้นถ้าไม่ได้พี่นายคงตายไปแล้ว ตอบแทนแค่นี้เล็กน้อย”

อเล็กซ์บอก

“แต่มากเกินไปสำหรับพี่”

อเล็กซ์หัวเราะ

“ชีวิตของนายใหญ่มีค่าแสนล้าน หรือนับล้านล้านเหรียญหรืออาจจะมากเกินกว่าที่พี่จะจินตนาการได้ เชื่อผมรับน้ำใจแล้วอย่าถามให้มาก”

หลิวไห่อยากรู้ แต่รู้ว่าถามไปอเล็กซ์ก็ไม่ตอบ

“ฉันอยากพบลุงเฉิง เขาคงออกจากคุกเหมือนกัน”

“ยังหรอก นายใหญ่จะอยู่อีกสักเดือนสองเดือนจนกว่าเรื่องที่กำลังทำจะจบ อยู่ในนั้นปลอดภัยกว่านายยังไม่ออกมาหรอก ถ้าพี่อยากพบนายใหญ่ออกมาแล้วผมจะลองคุยให้”

“ขอบใจ”

“แล้วพี่จะทำอะไรต่อ”

หลิวไห่ตอบว่า

“แปลงโฉมแล้วตามล่าพวกที่มันทำร้ายพ่อกับฉัน เอาคืนให้สาสม”

“ดี ต้องอย่างนี้สิถึงจะเรียกว่าเป็นลูกพี่ของผม แต่การเอาคืนสกุลกู้ไม่ง่ายนักหรอกพี่ พวกมันใหญ่จนพี่คิดไม่ถึงเลย ถ้าจะเอาคืนพี่ต้องมีอำนาจก่อน”

“ฉันรู้ และฉันคิดว่าฉันสู้ได้”

แววตาของหลิวไห่มุ่งมั่น อเล็กซ์กอดไหล่ของเขาแล้วบอกว่า

“แค่มุ่งมั่นยังไม่พอ ก่อนอื่นพี่ต้องมีเงินมหาศาลเพื่อต่อสู้กับพวกมัน คนสกุลกู้น่ากลัวกว่าที่คิดถ้าไม่มีเงินยังไงก็ทำไม่สำเร็จหรอก หรือหากมีเงินก็ต้องมากพอที่จะสู้ได้”

“มันฆ่าพ่อฉัน”

“ผมรู้ และผมจะบอกพี่ว่าพวกมันฆ่าใครก็ต้องมีเหตุผล พ่อพี่ที่จริงแล้วทำอะไรกันแน่ถึงได้ถูกพวกมันตามล่า พี่ต้องหาเหตุผลนั้นให้เจอเสียก่อน”

ผู้จัดการคนนั้นถึงกับมือสั่นเมื่อพบยอดเงินในบัญชีของหลิวไห่

“ดูเหมือนว่าคุณจะได้รับมรดกก้อนใหญ่ใช่หรือเปล่าครับ”

หลิวไห่พยักหน้ารับ

“ใช่ครับผมนำมันไปเล่นหุ้นทั้งในและต่างประเทศมาตลอดสามปีนี้ โชคเข้าข้างครับเลยได้เพิ่มมาอีกไม่น้อยครับ”

ผู้จัดการธนาคารเข้าใจแล้ว เขาแย้งเบา ๆ ออกมาว่า

“หนึ่งพันล้านเหรียญนี่ไม่น้อยเลยครับ”

หลิวไห่ได้ยินก็ตะลึงไปชั่วครู่ เขาฟังไม่ชัดนัก และไม่แน่ใจในตัวเลขเงินที่เขามีอยู่ เขาจึงถามย้ำว่า

“อะไรนะครับ ผมมีเงินฝากเท่าไหร่”

ผู้จัดการธนาคารทำหน้างง แล้วปริ้นเอกสารให้หลิวไห่

“หนึ่งพันล้านเหรียญเพิ่งโอนมาเมื่อวานครับ ก่อนหน้านั้นมีอยู่ประมาณสองร้อยล้านเหรียญ ตอนนี้ในบัญชีของคุณหลิวรวม ๆ แล้วก็ประมาณหนึ่งพันสองร้อยล้านเหรียญครับ ผมดูคนไม่ผิดจริง ๆ คุณหลิวนี่มหาเศรษฐีเลยนะครับ”

หลิวไห่ที่กำลังยกแก้วน้ำดื่มเกือบจะทำน้ำหกแล้ว เขาเองก็ตกใจอยู่ไม่น้อย เกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่ ออกจากคุกโดยไม่รู้สาเหตุและยังได้เงินอีกพันล้านเหรียญมาฟรี ๆ จากใครกัน และเป็นไปได้ยังไง

หลิวไห่เองก็ใจเย็นอยู่ไม่น้อย เขาไม่คิดว่าเรื่องนี้คือโชค แต่มันยังหมายถึงบางสิ่งที่เขาต้องชดใช้หลังจากได้อิสรภาพและเงินก้อนนี้มา

“ครับ ผมอาจจะลืมไปครับ”

เขาพยักหน้าอย่างใจเย็น ทั้งที่ในใจตื่นเต้นจนหัวใจแทบจะทะลุออกมาจากอก

ผู้จัดการเห็นหลิวไห่ชะงักไปเพียงเล็กน้อย จากนั้นไม่ได้แสดงท่าทางว่าตื่นเต้นแต่อย่างใด ปกติเขาเป็นคนมองคนเก่ง แต่กับหลิวไห่คนนี้ผู้จัดการมองไม่ออกจริง ๆ

“เอ่อคุณหลิว พร้อมที่จะแสกนลายนิ้วมือหรือยังครับ”

หลิวไห่ยิ้ม เขาถอดหมวกออก อากาศในห้องนี้อุ่นด้วยฮีทเตอร์ซึ่งเป็นอุณหภูมิพอเหมาะ แต่ในตอนนี้หลิวไห่รู้สึกว่าตัวเองร้อนจนเหงื่อชุ่ม

เขาเช็ดเหงื่อที่มือกับขากางเกงของตัวเองแล้วพูดว่า

“พร้อมครับ อ้อผมขอเบิกเพิ่มเป็นร้อยล้านนะครับ”

“เอ๊ะ ร้อยล้านนะครับ”

“ใช่ครับร้อยล้านเหรียญครับ”

หลิวไห่พยักหน้า

“ได้สิครับ ผมขอนิ้วมือด้วยครับ”

หลิวไห่ยื่นมือให้ผู้จัดการ เขาขอให้หลิวไห่สอดมือเข้าไปที่เครื่องแสกนลายนิ้วมือ เครื่องทำงานอย่างรวดเร็วประมวลผลเพียงชั่วครู่ใบหน้าเดิมทั้งลายนิ้วมือของเขาก็ปรากฎอยู่หน้าจอ

ทั้งลายนิ้วมือใหม่และเก่าทาบกันอย่างสนิท ส่วนหน้าตาในตอนนี้เป็นเพราะหลิวไห่ดูกำยำขึ้นจากการออกกำลังกายอย่างหนัก รูปร่างสูงไม่ได้บอบบางเหมือนเมื่อหลายปีก่อน แต่เค้าหน้าเมื่อดูใกล้ ๆ ก็รู้ว่าหล่อเหลา

ผู้จัดการยิ้ม ผู้ชายคนนี้หล่อมาก ยิ่งพิจารณาใกล้ ๆ ในตอนที่เขาถอดหมวกออกยังเห็นเส้นตายาวงอนยิ่งกว่าผู้หญิง ใบหน้าสันเป็นคมถึงจะถูกหนวดเคราบังก็ยังดูหล่อ

หลิวไห่ยิ้มออกมาฟันขาวจนผู้จัดการมองอย่างตะลึง

นี่ขนาดหนาวเคราเฟิ้มขนาดนี้ ยังหล่อขนาดนี้ ถ้าโกนหนวดออกล่ะก็ เขาไม่อยากคิดเลย

พนักงานสาวคนนั้นของเขาพลาดของดีเสียแล้ว

หลังพิจารณาอย่างละเอียด ทุกอย่างถูกต้อง ผู้จัดการให้หลิวไห่ลงลายมือชื่ออีกครั้ง

คราวนี้หลิวไห่ตั้งใจเซ็นมากกว่าเดิม ลายมือจึงคล้ายของเดิมเกือบเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ เมื่อเอกสารยืนยันตัวตนถูกต้องผู้จัดการจึงเซ็นอนุมัติให้เขาถอนเงินทันที

“เรียบร้อยครับ รูสักครู่นะครับ”

“ขอบคุณมากครับ”

ผู้จัดการหยิบโทรศัพท์ในห้อง ต่อสายถึงแคชเชียร์และสั่งให้เตรียมเงินสดให้หลิวไห่จำนวนร้อยล้านเหรียญ

เหมือนปลายสายจะถามย้ำอีกหลายที เธอแทบจะทำโทรศัพท์ร่วงไม่คิดว่าผู้ชายท่าทางเหมือนโจรคนนั้นจะเป็นเจ้าของบัญชีตัวจริง

“รีบเตรียมให้คุณหลิว”

“ค่ะ ได้ค่ะ”

เมื่อวางสาย ผู้จัดการถามหลิวไห่ว่า

“คุณหลิวเอารถมาหรือเปล่าครับ ผมคิดว่าคุณควรมีคนคุ้มครอง หรือมีบอดี้การ์ดส่วนตัวหรือเปล่า”

หลิวไห่ส่ายหน้า

“ผมไม่มีรถครับ ผมต้องการเงินไปซื้อรถสักคันครับ”

“อ้อ เข้าใจแล้วครับ บริการพิเศษของทางธนาคารคือยินดีจะไปส่งคุณหลิวพร้อมด้วยตำรวจสองนาย จนกว่าจะถึงที่หมายครับ ถ้าคุณหลิวไม่รังเกียจ”

หลิวไห่เองก็คิดว่าตัวเองจะเอาเงินสดร้อยล้านไปซื้อรถยังไง จึงตอบรับอย่างยินดี

“ขอบคุณครับ ผมรับข้อเสนอของคุณ ผมจะไปโชวรูมรถหรูครับ ถ้าไม่เป็นการรบกวนให้คนไปส่งผมที่นั่นหน่อยนะครับ”

“ยินดีมาก ๆ ครับ”

ป้าแม่บ้านคนนั้นเข้ามาแล้ว เอาขนมหลายอย่างมาให้เห็นชัดว่าตั้งใจทำมาอย่างดี หลิวไห่ยิ้มแล้วพูดคุยอย่างเป็นกันเอง

“ขอบคุณครับป้า”

หลิวไห่สังเกตุเห็นว่าข้อมือของป้าถูกพันด้วยผ้าพันแผล จึงถามด้วยความสนใจ

“ข้อมือเกิดอุบัติเหตุเหรอคะ”

ด้วยมารยาทป้าไม่กล้าพูดกับลูกค้าของทางธนาคารอยู่แล้ว เธอจึงไม่กล้าตอบ ผู้จัดการเห็นลูกค้าวีไอพีอย่างหลิวไห่สนใจเลยบอกว่า

“คุณหลิวอยากรู้อะไร ถ้าป้าตอบได้ก็ตอบไปเถอะครับ ถือว่าคุยเป็นเพื่อนลูกค้า”

ป้าแม่บ้านยิ้มแล้วตอบว่า

“ลูกสาวป้าทำน่ะค่ะ บางทีเธอควบคุมตัวเองไม่ได้ก็จะทำร้ายป้า เธอค่อนข้างแรงเยอะเลยบิดแขนของป้าจนเคล็ดค่ะ”

หลิวไห่พยักหน้าเข้าใจ ป้าคนนั้นจึงพูดต่อว่า

“เพราะแบบนี้เธอเลยไปโรงเรียนไม่ได้ค่ะ เพราะควบคุมตัวเองไม่ได้ในบางครั้งทำร้ายเพื่อนจนบาดเจ็บ ป้าเลยต้องให้เธออยู่บ้านค่ะ สามีของป้าถูกเธอทำร้ายที่ขาจนเดินเหมือนคนปกติไม่ได้ค่ะ ตั้งแต่นั้นมาเขาก็เลยต้องอยู่บ้านคอยดูแลเธอค่ะ”

ดูเหมือนป้าแม่บ้านจะเป็นทุกข์มาก คนแก่คนนั้นปาดน้ำตาร้องไห้ออกมา

“ขอโทษนะคะ ที่ต้องให้คุณลูกค้ามาฟังอะไรแบบนี้”

“ไม่เป็นไรครับ ผมถามป้าเองนี่ว่าแต่ว่า ลูกของป้าอายุเท่าไหร่แล้วครับ”

“ห้าขวบค่ะ”

“แรงเยอะเลยเหรอครับ”

“ค่ะ คือปีก่อนเธอถูกคนลักพาตัวไปค่ะ ป้าตามหาแทบบ้าอยู่เป็นปี จนกระทั่งมีคนไปพบเธอถูกทิ้งที่ข้างถังขยะในปีต่อมา หลังจากนั้นเธอก็แปลกไป ยังมีแรงที่มากขึ้นแล้วควบคุมตัวเองไม่ได้ค่ะ”

อยู่ ๆ หลิวไห่ก็รู้สึกว่าแปลก เขาย้อนคิดไปถึงเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่เคยช่วยเขาเอาไว้

เด็กคนนั้นก็แรงเยอะจนน่าตกใจเหมือนกัน

หลิวไห่คิดบางอย่างแล้วพูดขึ้น

“ผมค่อนข้างชอบป้า ผมกำลังมองหาแม่บ้าน และผมก็รู้สึกชอบป้ามาก จะเป็นอะไรหรือเปล่าถ้าผมจะเสนอเงินเดือนให้ให้ป้าเดือนละสามหมื่นเหรียญมาทำงานเป็นแม่บ้านให้ผมนะครับ อ้อ ตอนนี้ผมยังไม่มีบ้านแต่กำลังจะไปซื้อ ถ้าป้าไม่รังเกียจก็ย้ายมาอยู่กับผมที่บ้านใหม่ผมได้เลยและสามารถเริ่มงานได้เลย”

ทั้งผู้จัดการธนาคารทั้งป้าแม่บ้านที่เงินเดือนไม่ถึงสามพันเหรียญถึงกับตกใจ

“สามหมื่นเหรียญนี่เท่ากับเงินเดือนผู้จัดการเลยนะคะ”

“ครับ ผมให้สามหมื่นเหรียญหรือถ้าเกิดป้าคิดว่าน้อยไป เสนอมาได้เลยนะครับผมยินดีจ่ายเพิ่ม”

“ผมขอดูเอกสารของเขาหน่อย คุณแน่ใจนะว่าเขาเป็นคนร้าย”

พนักงานคนนั้นพยักหน้าด้วยความมั่นใจ

“ฉันแน่ใจค่ะ ลายเซ็นของเขาไม่เหมือนกันกับที่ให้ไว้ค่ะ แล้วดูเขาสิคะสภาพแบบนั้นแต่เบิกเงินตั้งห้าสิบล้านเหรียญ เขาต้องทำอะไรคุณหลิวตัวจริงแล้วสวมรอยเป็นคุณหลิวแน่ ๆ ค่ะ”

จินตนาการของพนักงานคนนั้นไปไกลถึงไหนแล้วไม่รู้ คงเป็นเพราะเธอประสบการณ์น้อยเกินไป

ผู้จัดการเดินไปมองหลิวไห่ผ่านทางกระจก เขาแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าเก่าซีด หนาวเครารุงรังแต่มีบางสิ่งที่ทำให้ผู้จัดการไม่คิดว่าเขาเป็นคนร้ายและอาจจะเป็นคุณหลิวตัวจริง

“ตำรวจมาถึงแล้วครับ”

ยามคนนั้นเดินเข้ามาภายในบอกกับผู้จัดการธนาคาร ชายร่างเตี้ยสูงอายุที่มีอำนาจเต็มในธนาคารแห่งนี้จึงเดินไปพร้อมกับตำรวจ โดยมีพนักงานผู้หญิงคนนั้นมองด้วยใจระทึก

หลิวไห่มองตำรวจที่มาใหม่ และท่าทางของยามคนนั้นแล้วกลับไม่ตื่นตระหนก เขายังนั่งตัวตรงท่าทางเคร่งขรึม

“สวัสดีครับคุณหลิว ผมคือผู้จัดการธนาคารครับให้ผมดูแลคุณหลิวนะครับ”

ผู้จัดการธนาคารทักทายเขา พร้อมกับค้อมตัวลงอย่างสุภาพ

หลิวไห่จ้องผู้ชายคนนั้นด้วยสายตาครมกริบ กระทั่งผู้จัดการธนาคารรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ หลังจากนั้นหลิวไห่ส่งเสียงเนิบนาบดูไม่เร่งร้อนแต่กลับสามารถกดดันคนอื่นได้อย่างน่าขนลุก

“ผมจะเบิกเงินของผมได้หรือยังครับ หรือว่าที่นี่มีกฎไม่ให้ลูกค้าเบิกเงินฝากของตัวเอง”

ผู้จัดการธนาคารมองหลิวไห่แล้วพูดตามตรงว่า

“เอ่อ มีปัญหาเล็กน้อยครับ”

จากประสบการณ์การทำงานมานานหลายสิบปี เขาจึงไม่ตัดสินคนจากภายนอก เพียงแต่สิ่งที่ไม่เหมือนในตอนนี้นอกจากหน้าตาของหลิวไห่ที่ดูจะเปลี่ยนไปมากแล้ว ยังมีลายมือของเขาอีกที่เพี้ยนไปมาก

“มีปัญหาอะไร ที่บอกว่าเล็กน้อยคงจะไม่กระมัง ไม่อย่างนั้นพวกคุณคงไม่เรียกตำรวจสองคนนี่หรอก”

หลิวไห่ถามตรง ๆ เขาไม่เห็นพนักงานผู้หญิงคนนั้นแล้ว

ผู้จัดการรีบปฏิเสธ

“เรื่องตำรวจเราเรียกเพื่อดูแลความปลอดภัยให้คุณหลิวครับ เงินที่คุณเบิกวันนี้เป็นเงินสดค่อนข้างมาก ทางเราหวังดีต้องการให้ลูกค้าปลอดภัยจนกว่าจะถึงที่หมายครับ”

หลิวไห่หัวเราะต่ำ

“อ้อ บริการพิเศษ ผมคงต้องขอบคุณคุณสินะ”

เขายกขาไขว่ห้าง ท่าทางสง่างามจนแสบตา ท่าทางของหลิวไห่ล้วนฝึกมาจากคุณลุงเฉิงคนนั้น เขาเลียนแบบท่าทางนั่นตลอดสามปีจนติดเป็นนิสัยและกลายเป็นส่วนหนึ่งในบุคลิกของเขาในที่สุด

นั่นเป็นเพราะว่าหลิวไห่สังเกตุว่า ด้วยท่าทางแบบนั้นของลุงเฉิงทำให้แม้แต่พวกผู้คุมและคนที่มีความรู้ที่ต้องโทษทั้งหมดต้องก้มหัวให้เขาอย่างเกรงใจ

หลิวไห่จึงไม่รอช้าที่จะศึกษาและเลียนแบบคนคนนั้น เขาคิดว่าช่างเป็นท่าทางของคนที่มีแรงดึงดูดพร้อมกันนั้นก็ทำให้คนเกรงกลัวเป็นอย่างยิ่ง

ผู้จัดการอยู่ ๆ ก็รู้สึกว่าตัวเองตัวเล็กกว่าหลิวไห่มาก เขาพูดอย่างสุภาพและในใจอยากจะดูข้อมูลของผู้ชายคนนี้เหลือเกินว่าเขามีเงินในบัญชีมากเท่าไหร่กันแน่

“คือพูดตามตรงนะครับ ลายมือของคุณหลิวไม่เหมือนเดิม และใบหน้าก็เปลี่ยนไปมาก อีกอย่างคุณหลิวเบิกเงินสดมากขนาดนี้ต้องให้เวลาเราเตรียมเงินสักครู่นะครับ”

หลิวไห่เอียงคอ

“ผมไม่คิดว่าเงินจำนวนนั้นจะมากมายอะไร อ้อคุณยังมีลายนิ้วมือไม่ใช่เหรอก็รีบแสกนพิสูจน์สิ ผมจะได้ไปทำธุระต่อ”

ผู้จัดการคนนั้นยิ้ม เห็นด้วยกับเขา เพียงแต่นานมาแล้วที่เขาไม่เห็นใครเบิกเงินมากขนาดนี้ สมัยนี้ใคร ๆ เขาก็โอนเงินซื้อของหรือใช้การ์ดแทนเงินสดกันแล้ว ไม่รู้ว่าหลิวไห่คนนี้ไปอยู่ที่รูไหนมาจึงได้ไม่ทันสมัยเอาเสียเลย

เขาตอบด้วยน้ำเสียงสุภาพ

“อ้อ คุณหลิวใช่จริง ๆ ด้วยครับ ผมต้องขออนุญาติเชิญคุณหลิวที่ห้องส่วนตัวของผมนะครับ”

หลิวไห่ขยับแจ็คเก็ตของตัวเองลุกขึ้นเดินตามผู้จัดการธนาคารเข้าไปยังห้องหนึ่งที่ตกแต่งเพื่อรับแขกวีไอพีอย่างดี พร้อมด้วยตำรวจท่าทางเคร่งขรึมอีกสองคน

“คุณหลิวรอสักครู่นะครับ ผมจะไปเอาตัวแสกนลายนิ้วมือมาให้คุณหลิวสแกนครับ”

หลิวไห่พยักหน้า ผู้จัดการคนนั้นเดินออกจากห้อง ส่วนตำรวจสองคนเฝ้าอยู่หน้าห้อง สักครู่เขาได้ยินคนสองคนคุยกันอยู่หน้าห้อง

“ป้าจะเอาน้ำผลไม้ไปไหน”

เสียงใสของผู้หญิงคนหนึ่งพูดขึ้น

“เอาไปให้แขกในห้องรับรองค่ะ”

“เอากลับไปเก็บเลยนะ โจรหรือเปล่าก็ไม่รู้แต่งตัวแบบนั้นกลิ่นตัวก็เหม็นเกินทน ถ้าจะเอาไปให้เอาน้ำเปล่าก็พอ เปลือง”

หลิวไห่นั่งฟังอย่างสงบ น่าสนใจมากทีเดียว เขาก้มดมเสื้อผ้าตัวเองแล้วหัวเราะเบา ๆ ป้าแม่บ้านคนนั้นกลับพูดว่า

“ไม่ว่าจะยังไงเขาก็เป็นแขกนะคะ ฉันจะเอาน้ำผลไม้ให้เขาค่ะท่าทางเขากระหายน้ำเหมือนกันนะคะ ปากแห้งแบบนั้นได้อะไรหวาน ๆ คงจะทกให้เขารู้สึกดีค่ะ”

ผู้หญิงคนนั้นกลับพูดว่า

“นี่ตกลงป้าเป็นแม่บ้านหรือเป็นหมอ ปากแห้งอะไรกัน ฉันบอกให้เอาไปเปลี่ยน เอามานี่ฉันดื่มเองไม่ต้องเอาไปให้ เผลอ ๆ เข้าไปถูกจับเป็นตัวประกันจะทำยังไง อ้อและเถียงเก่งแบบนี้ไม่อยากทำงานแล้วใช่หรือเปล่า”

“ขอโทษค่ะ แต่ฉันคิดว่า”

“แน๊ะ ยังจะเถียงอีก”

ดูเหมือนว่าน้ำผลไม้ของหลิวไห่จะถูกแย่งไปแล้ว เขาได้ยินเสียงป้าคนนั้นพูดว่า

“เดี๋ยวฉันไปเอาน้ำเปล่ามาค่ะ”

“ทีหลังฉันสั่งอะไรก็ทำตามอย่าคิดจะเถียงอีก”

ผู้หญิงคนนั้นเดินผ่านหน้าห้องรับรอง หลิวไห่ได้ยินทุกอย่างเห็นว่าในมือของเธอคนนั้นมีแก้วน้ำส้มอยู่ด้วย ผู้จัดการกลับมาแล้วใบหน้ายิ้มแย้มพร้อมกับเครื่องแสกนลายนิ้วมือเครื่องเล็ก

เขาต่อเครื่องนั้นเข้ากับคอมพิวเตอร์อย่างรวดเร็ว

“ขอโทษนะครับ ปกติไม่ค่อยได้ใช้ครับเราเลยต้องเก็บเอาไว้ในห้องนิรภัย เรียบร้อยครับเดี๋ยวผมขอดูข้อมูลสักครู่นะครับ ก่อนอื่นขอเช็คยอดเงินในบัญชี หลังจากนั้นผมจะให้คุณหลิวสแกนลายนิ้วมือนะครับ”

หลิวไห่พยักหน้าไม่พูดอะไรอีก

เสียงเคาะประตูดังขึ้นเป็นผู้หญิงสูงอายุคนหนึ่งแต่งตัวด้วยชุดแม่บ้าน ในมือของเธอมีแก้วน้ำเปล่าและน้ำผลไม้อีกหนึ่งแก้ว

หลิวไห่ยิ้มพร้อมกับรับน้ำใจแม่บ้านคนนั้น เขามองแก้วน้ำผลไม้แล้วถามว่า

“ของผมเหรอครับ”

ป้าแม่บ้านมองผู้จัดการอย่างเกรงใจ ตอบเบา ๆ ไม่กล้าสบตาเขา

“ใช่ค่ะ เห็นท่าทางคุณผู้ชายกระหายเลยนำน้ำผลไม้มาให้ด้วย ถ้าไม่ชอบดื่มก็ไม่เป็นไรนะคะ”

“ผมชอบครับ ขอบคุณมากครับ”

ป้าคนนั้นยิ้มให้เขาก่อนจะก้าวออกจากห้องผู้จัดการคนนั้นพูดเสียงดังขึ้นมาทันที

“เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งไป”

“คะ”

ป้าแม่บ้านหยุดเท้า คิดว่าตัวเองคนโดนดุแน่ ๆ ที่นำน้ำผลไม้มาให้ผู้ชายคนนี้ ในขณะที่หลิวไห่ก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน แต่ผู้จัดการกลับพูดว่า

“ป้าเอาของว่างมาให้คุณหลิวด้วย กว่าจะนับเงินเสร็จคงสักพักให้คุณหลิวได้พักอย่างสบาย”

ป้ามองผู้จัดการอย่างงง ๆ แล้วรับคำ

“ค่ะ”

หลิวไห่นอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลอยู่หลายเดือน เขาคงยังไม่ถึงคาดเมื่อในที่สุดก็รอดออกมาได้ แต่ที่ทำให้เขาต้องแปลกใจคือหนังสือลดโทษและเขาได้ออกจากเรือนจำในวันที่เขาออกจากโรงพยาบาลพอดี

หลิวไห่ดีใจมาก แต่เขาก็ไม่กล้าปริปากถามใคร ต้องมีเรื่องอะไรสักอย่างที่เขาไม่รู้แน่ ๆ

และตกลงคือใครที่ช่วยเขาและช่วยยังไงให้นักโทษคดีประหารชีวิตคนหนึ่งสามารถออกจากคุกได้ วันที่เขาเซ็นชื่อออกจากเรือนจำหลิวไห่ก็ยังได้ใช้ชื่อแซ่เดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงและผู้คุมคนหนึ่งกระซิบบอกเขาว่า

“อย่าทำตัวมีพิรุธ อย่าถามอะไรใครเป็นไปได้ปิดปากให้สนิทรีบเซ็นชื่อแล้วออกไปจากที่นี่ซะ คนที่ช่วยนายหากเขาต้องการให้นายรู้เขาจะไปหานายเอง”

หลิวไห่พยักหน้า เขารู้ว่าอะไรเป็นอะไร และคนที่ช่วยเขาหลิวไห่ก็สงสัยว่าอาจจะเป็นลุงเฉิงคนนั้น

ลุงเฉิงแท้ที่จริงเป็นใครกันแน่ คิดจะเอาใครออกจากคุกก็ง่ายดายเหมือนพลิกฝ่ามือ ทั้ง ๆ ที่เขาคนนี้มีคดีร้ายแรงติดตัว

ผู้คุมอีกคนมาหาเขาก่อนที่เขาจะออกมา ท่าทางสุภาพกับเขามาก ยังให้เงินสดกับหลิวไห่มาจำนวนหนึ่งพร้อมกับเอกสารการถือครองหุ้นที่เขาได้ช่วยหลิวไห่เก็บรักษาเอาไว้ เขายังเรียกหลิวไห่อย่างเคารพว่าหัวหน้า

“หัวหน้าหลิวอย่าลืมผมนะครับ ถ้ามีหุ้นตัวไหนที่จะแนะนำอีกก็บอกผมหน่อย บุญคุณของหัวหน้าผมไม่มีวันลืมจริง ๆ มีอะไรให้ช่วยเหลือบอกผมได้นะครับ อ้ออีกอย่างมูลค่าหุ้นของหัวหน้าก็นับว่าสูงมากนะครับ ขายหุ้นแล้วเอาไปตั้งตัวได้สบายเลยที่สำคัญอย่ากลับเข้ามาในนี้อีกก็พอ”

ผู้คุมคนนั้นมีปัญหาหนี้สินจนภรรยาแทบจะขอหย่าและพาลูกหนีไปแล้วเพราะเขาติดพนันออนไลน์ แต่เมื่อได้รู้จักหลิวไห่และหลิวไห่ได้สอนเขาเล่นหุ้น เป็นเพราะเขาเห็นว่าหลิวไห่ท่าทางดีจึงยอมเชื่อ ในที่สุดหุ้นตัวที่หลิวไห่แนะนำก็ราคาดีดขึ้นเพียงข้ามวัน ทำให้ผู้คุมคนนั้นเป็นเศรษฐีขึ้นมาทันที

ตั้งแต่นั้นมาหลิวไห่จึงได้รับความเคารพจากเขาเป็นอย่างมาก

หลิวไห่กลับมาที่บ้านและเริ่มต้นทำความสะอาด เขาเอาเสื้อผ้าเก่ามาใส่ หลายปีที่ไม่ได้ทำความสะอาดเสื้อผ้าจึงถูกแมลงกัดเป็นรูอีกทั้งยังเหม็นอับ หลิวไห่ไม่มีเวลามาดูแลเรื่องพวกนี้นักเขาค้นที่ช่องลับใต้พื้นห้องนอนของเขาเพื่อหาสมุดบัญชี

เมื่อแงะพื้นไม้ออกมาก็พบว่าสมุดบัญชียังอยู่ที่เดิม หลิวไห่เตรียมเอกสารให้พร้อมและรีบไปที่ธนาคารทันที ระหว่างทางเขาซื้อนิตยสารมาเล่มหนึ่งเมื่อเห็นว่าคนที่ขึ้นหน้าปกนิตยสารคือใคร

เขาหัวเราะเยาะหยัน คนที่สมควรเข้าคุกคือผู้ชายคนนี้แต่ดูตอนนี้สิ เขากลับใส่สูทราคาแพงปรากฏตัวเป็นนักธุรกิจหนุ่มรุ่นใหม่ไฟแรงที่คนยอมรับทั้งฮ่องกง

กู้เมิ่งนั่นเอง สามปีกว่าแล้วที่เขาติดอยู่ในคุก และกู้เมิ่งก็ก้าวหน้าไปไม่น้อย ตอนนี้กำลังดูแลกิจการต่อจากประธานกู้ ช่างแตกต่างกับเขาอย่างสิ้นเชิง แต่ไม่นานหรอกเขาจะต้องเปิดโปงคนพวกนี้ให้ได้ เขาต้องรู้เบื้องหลังของพวกมันว่าที่แท้จริงแล้วพวกมันกำลังทำอะไรกันแน่ถึงได้ตามฆ่าพ่อของเขา

หลิวไห่สูดลมหายใจเข้าลึกคิดถึงวันนั้นที่เขาถูกจับโยนลงน้ำล่อจระเข้จนเกิดเรื่องราวขึ้นมากมาย

ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพราะคนสกุลกู้ ในเมื่อเขามีโอกาสได้ออกมาแล้ว เขาจึงเริ่มวางแผนสกุลกู้อยู่ในใจ เขาหยุดแล้วเงยหน้ามองตึกสูงข้างธนาคาร หน้าตึกยังเขียนชื่อตึกตัวใหญ่

อาคารสำนักงาน K Group

หลิวไห่หัวเราะในลำคอ ในตอนนี้เขาใส่กางเกงยีนสีซีด เสื้อยืดก็ตัวเก่าที่ขาดเป็นรู ผมเผ้ายาวรุงรังหนวดยังไม่มีเวลาโกน ยังใส่หมวกปิดใบหน้าอีก เขาเป็นคนตัวสูง เมื่ออยู่ในสภาพนี้จึงดูน่ากลัวไม่น้อย

กระทั่งเวลาที่เดินผ่านคนเขายังดูออกว่าหากเป็นผู้ชายก็ทำท่ารังเกียจเขา และหากเป็นผู้หญิงก็ยังทำท่าหวาดกลัวจนถอยออกจากเขาหลายก้าว

หลิวไห่ดมเนื้อตัวของตัวเอง พบว่ากลิ่นไม่ค่อยดีเท่าไหร่คงเป็นผลมาจากเสื้อผ้าอับ ๆ พวกนี้ หลังเบิกเงินไปแล้วเขาตั้งใจจะไปตัดผมโกนหนวดเพื่อเปลี่ยนแปลงตัวเองครั้งใหญ่

กระทั่งเขาก้าวเท้าเข้าไปในธนาคารกลับพบว่ายามที่เฝ้าอยู่ด้านหน้าไม่ให้เขาเข้าไป จนกระทั่งหลิวไห่บอกเขาว่า

“ผมต้องการมาเบิกเงินของผม นี่เอกสารส่วนตัว”

ยามคนนั้นมองหลิวไห่อย่างไม่ไว้วางใจ เขารับเอกสารมาเปิดดูในที่สุดก็ยินยอมให้หลิวไห่เข้าไป แต่เขายังยืนประกบอยู่ไม่ห่าง หลิวไห่นั่งรอคิวจนกระทั่งระบบอัตโนมัติเรียกคิวของเขา เขาจึงเดินไปนั่งหน้าเคาเตอร์ของพนักงานสาวคนหนึ่ง

กลิ่นของหลิวไห่คงจะแรงมาก ทั้งเนื้อตัวยังดูสกปรก พนักงานคนนั้นถึงได้แสดงสีหน้าออกมากระทั่งหยิบทิชชูมาปิดจมูก

“มาทำอะไรคะวันนี้”

เธอถามเสียงอู้อี้

“ถอนเงินครับ”

พนักงานคนนั้นยื่นเอกสารให้เขา หลิวไห่รับมารู้สึกอึดอัดอยู่บ้างที่ยามคนนั้นยืนประชิดตัวเขา หลิวไห่กรอกเอกสารก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองยามแล้วกระแอมเล็กน้อย

“เอ่อ ผมต้องเขียนจำนวนเงิน รบกวนคุณขยับห่างหน่อยครับ”

ยามคนนั้นทำหน้าตึง ยอมถอยแค่เล็กน้อย

หลิวไห่ไม่อยากมีเรื่อง เขาต้องการรีบออกไปจากที่นี่เพราะเกรงใจสายตาหลายคู่ที่มองเขาอย่างรังเกียจ

กระทั่งเขากรอกจำนวนเงินลงไป และยื่นเอกสารให้ผู้หญิงคนนั้น

พนักงานมองจำนวนเงินที่หลิวไห่เขียน และมองหน้าเขาเธอตรวจเอกสารของหลิวไห่ ก่อนจะกดปุ่มสีแดงใต้โต๊ะ เธอส่งสัญญาณให้ยามคนนั้น หลิวไห่เห็นแล้วแต่ยังนั่งเฉย

“สักครู่นะคะ เงินที่คุณเบิกค่อนข้างมาก ดิฉันจะไปเตรียมให้ค่ะ”

เธอปล่อยหลิวไห่ให้นั่งรอ หญิงสาวเดินแทบจะวิ่งไปที่ด้านหลังซึ่งเป็นส่วนเฉพาะของพนักงาน

“ผู้จัดการคะ ผู้ชายคนนั้นต้องขโมยเอกสารใครมาแน่ค่ะ ฉันแจ้งตำรวจแล้วเดี๋ยวพวกเขาคงมาถึง ระหว่างนี้เราจะทำยังไงดีคะ”

หลิวไห่คอยระวังตัว ถึงเขาจะมั่นใจว่าตัวเองคงไม่ใช่เป้าหมายของคนพวกนั้น แต่อยู่ในนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้ ตั้งแต่หลิวไห่มาอยู่ในคุกนี้เขาได้ข่าวว่ามีคนถูกเก็บไปหลายคนแล้ว ส่วนใหญ่จะขัดแย้งผลประโยชน์ข้างนอกและถูกมีนักฆ่าที่รับงานมาเก็บคนถึงในคุก

แม้ที่ผ่านมาหลิวไห่จะไม่แสดงตัวว่าตัวเองเป็นลูกน้องใคร แต่การที่เขากับอเล็กซ์สนิทสนมกันนั่นทำให้ใครหลายคนคิดว่าเขาและอเล็กซ์เป็นแก๊งเดียวกันไปแล้ว ศัตรูของอเล็กซ์ก็คงมีมากไม่อย่างนั้นคงไม่ถูกทำร้ายหรอก

พวกเขามีเวลากินข้าวกลางวันเพียงยี่สิบนาที หลังจากกินเสร็จทุกคนต่างเก็บถาดอาหารของตนเอง ในช่วงที่ลุกขึ้นนั้นเองหลิวไห่ก็เห็นคนพวกนั้นมองตากัน และจ้องไปที่ใครบางคน

หลิวไห่แอบมองและเห็นว่าคนที่กำลังเป็นเป้าในวันนี้ก็คือลุงเฉิงนั่นเอง

หลิวไห่สงสัยเป็นอย่างยิ่งว่าทำไมต้องเป็นลุงเฉิง ลุงแก่ ๆ คนหนึ่งที่ท่าทางไม่มีพิษมีภัยกับใครและยังต้องโทษประหารชีวิตอีกด้วย ต่อให้ได้รับการลดโทษยังไงคนแก่อย่างเขาจุดจบก็คือต้องตายในคุกอยู่ดี

หลิวไห่ตัดสินใจอย่างลำบากว่าจะเข้าไปยุ่งเรื่องนี้ดีหรือเปล่า ถึงเขากับลุงเฉิงจะไม่ค่อยได้พูดคุยกันเท่าไหร่ แต่ลุงเฉิงก็มีน้ำใจให้หนังสือกับเขามามาก อีกทั้งลุงเฉิงยังเป็นผู้รอบรู้ คำถามหลายคำที่หลิวไห่สงสัยก็เป็นลุงเฉิงที่ช่วยให้คำตอบ

ที่สำคัญตลอดสามปีมานี้ความรู้สึกของหลิวไห่ที่มีต่อลุงเฉิงนั้นทั้งเคารพและรักเหมือนพ่อคนหนึ่ง คงเป็นเพราะลุงเฉิงมีส่วนคล้ายพ่อของเขาอยู่มากนั่นเอง

หลิวไห่ลังเลใจว่าเขาควรจะทำยังไง การยุ่งเรื่องชกต่อยในนี้จะทำให้โทษของเขาเพิ่มขึ้นมาอีก สามปีมานี้เขาทำตัวเป็นนักโทษชั้นดี และช่วยเหลือผู้คุมมามากจึงทำให้เขาได้รับการช่วยเหลือเรื่องลดโทษอยู่เสมอ ถึงจะลดไปไม่กี่ปีมันก็คือการลดโทษ

แต่หากเขาทำผิดไม่เท่ากับว่าที่ผ่านมาสูญเปล่าหรอกหรือ และนอกจากนั้นหากวันนี้เขายื่นมือเข้าไปก็เท่ากับว่าเขากำลังหาเรื่องตาย คนที่ถูกหมายหัวคนต่อไปก็คือเขา หลังจากนี้ชีวิตของหลิวไห่ย่อมไม่ได้อยู่อย่างสงบสุขเป็นแน่

หากมีเรื่องแน่นอนว่าโอกาสที่จะสามารถออกไปจากที่นี่ได้ย่อมยากลำบากขึ้นไปอีก แล้วเขาจะทำยังไงดี

เขามองดูพวกนั้นเดินไปหาลุงเฉิงช้า ๆ และดูเหมือนลุงเฉิงก็ยังไม่รู้ถึงอันตรายที่กำลังเข้ามาทำให้หลิวไห่ลังเล ในที่สุดเขาตัดสินใจแล้ว

ช่างเถอะ ช่วยคนสำคัญกว่า อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ชาตินี้แก้แค้นไม่ได้เขาก็จะรอจนถึงชาติหน้าแล้วกัน

หลิวไห่วางถาดอาหารลงบนมือของมู่หลงแล้วพูดว่า

“ฝากเก็บด้วย”

มู่หลงมองหน้าเขาแล้วถามว่า

“จะไปไหน” เมื่อเห็นท่าทางเดือดเนื้อร้อนใจของหลิวไห่มู่หลงจึงเข้าใจและรีบห้ามทันที “อย่านะ อย่ายุ่งเด็ดขาด นายก็รู้ว่ามันไม่ใช่สิ่งที่นายจะยุ่งได้”

มู่หลงห้ามไม่ทันเสียแล้ว เมื่อเห็นหลิวไห่ไม่ฟังเขาเลย ยังเดินจนเกือบจะวิ่งพุ่งตรงเข้าไปหาคนคนหนึ่ง

หลิวไห่กระโดดถีบผู้ชายคนนั้นที่กำลังเดินสวนกับลุงเฉิงและถืออาวุธแหลมเอาไว้ในมือ ผู้ชายคนนั้นเซถลาจนล้มและอาวุธของมันก็หล่นบนพื้นทันที

ลุงเฉิงมองหลิวไห่อย่างคาดไม่ถึง เสียงโวยวายดังขึ้น หลังจากนั้นก็เกิดการตะลุมบอนกันอย่างชุลมุน โดยมีหลิวไห่ช่วยปกป้องคนแก่คนนั้นและยังถูกคนราวสี่ห้าคนรุมทำร้าย แต่ฝีมือการต่อสู้ของหลิวไห่ดีกว่าคนพวกนั้นมาก จึงทำให้แต่ละคนโดนเขาซัดลงไปหมอบที่พื้น

ผู้คุมปล่อยให้พวกเขาตีกันสักพักก็เข้ามาแยกออก ในขณะที่คนทั้งหมดถูกยิงด้วยกระสุนยาง และยังถูกตีด้วยกระบองไฟฟ้าสิ่งที่หลิวไห่คาดไม่ถึงคือในระหว่างที่กำลังวุ่นวายอยู่นั้น ในมือของผู้คุมคนหนึ่งกลับมีมีดแหลมอยู่และผู้คุมคนนั้นเดินตรงไปที่ลุงเฉิง ท่าทางของเขาคือตั้งใจฆ่าลุงเฉิงให้ตายโดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็น

หลิวไห่กกระบองไฟฟ้าตีจนชาไปทั้งตัว แต่เขาก็ยังมีสติดีก่อนที่มีดนั้นจะแทงไปยังร่างของลุงเฉิง หลิวไห่กระโดดตัวลอยบังร่างของคนแก่คนนั้นเอาไว้

ความรู้สึกในตอนนี้คือชาที่บริเวณท้อง ก่อนจะรู้สึกเจ็บหน่วงขึ้นมา

“หลิวไห่ หลิวไห่”

ลุงเฉิงเรียกเขา ก่อนจะเรียกผู้คุมคนอื่นเสียงดังกระทั่งผู้คุมกรูกันเข้ามาดูหลิวไห่ที่ถูกแทงจนเลือดอาบ

“พาไปโรงพยาบาล สงสัยจะแทงถูกจุดสำคัญเลือดถึงได้ออกมาขนาดนี้”  ไม่มีใครถามว่าคนแทงคือใคร แน่นอนว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นจนผู้คุมเคยชิน แค่เพียงไม่ตายในนี้แต่ไปตายที่โรงพยาบาลพวกเขาก็รอดแล้ว หลิวไห่จึงถูกหามส่งโรงพยาบาลอย่างรวดเร็ว

หลิวไห่ถูกจ้วงแทงไปถึงสามแผลตรงช่วงบริเวณท้องน้อย ทุกจุดล้วนถูกอวัยวะสำคัญทำให้เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส ภาพสุดท้ายที่เขาเห็นคือภาพลุงเฉิงมองเขาด้วยความซาบซึ้งใจ ก่อนที่ภาพนั้นจะตัดไป

สามปีแล้วที่หลิวไห่ติดคุกในข้อหาร้ายแรง เขายังคงตั้งใจเรียนรู้จากคนที่มีความสามารถที่วนเวียนเข้ามาและออกไป วันเวลาที่ผ่านมาหลิวไห่ไม่เคยระรานใครและไม่เคยมีใครกล้ากับเขา

จนกระทั่งวันหนึ่งลุงเฉิงผู้เงียบขรึมที่อาศัยอยู่ในห้องขังรวมกับเขาก็เริ่มที่จะออกมากินข้าวร่วมกับคนอื่น หลิวไห่ประหลาดใจมากที่ลุงเฉิงจู่ ๆ ก็ออกมา เขารู้มาจากอเล็กซ์ว่าลุงเฉิงคนนี้มีโรคประจำตัว อยู่ร่วมกับคนหมู่มากไม่ได้ผู้คุมจึงอนุญาตให้เขากินข้าวแยกต่างหาก

แต่ถึงจะพูดแบบนั้น แต่เขาผู้อยู่ร่วมห้องกับลุงเฉิงมาถึงสามปีกับไม่เคยป่วยหรือเป็นอะไรเลย ลุงเฉิงเป็นคนชอบอ่านหนังสือ เขามักจะมีหนังสือแปลกใหม่อยู่ในมือเสมอ เมื่ออ่านจบก็โยนให้หลิวไห่ไปอ่านต่อ

นี่จึงเป็นบทสนทนาเพียงเรื่องเดียวที่ลุงเฉิงกับหลิวไห่ได้สนทนากันบ้าง ส่วนคนอื่นที่อยู่ร่วมห้องไม่มีใครกล้ายุ่งกับลุงเฉิงแม้แต่คนเดียว

หลิวไห่รู้เพียงว่า ลุงเฉิงเองก็ถูกยัดข้อหาฆ่าคนตายมาเหมือนกันกับเขา คนส่วนใหญ่มักจะมองว่าที่นักโทษปฏิเสธก็เพราะว่าตัวเองได้หลอกตัวเองไปแล้วว่าไม่ได้ฆ่าใคร เป็นจิตใต้สำนึกที่กำลังปิดบังความจริงอันเจ็บปวดที่ตัวเองก่อไว้

ดังนั้นผู้ที่มีหลักฐานแน่นหนาที่เชื่อได้ว่าคนผู้นั้นเป็นคนฆ่าย่อมถูกเข้าใจผิดได้ง่าย

หลิวไห่ศึกษาทุกอย่างที่ลุงเฉิงโยนมาให้ เขาถึงขั้นลองแนะนำผู้คุมคนหนึ่งให้ซื้อหุ้นบางตัวเพื่อลองวิชาและผลที่ได้คือผู้คุมคนนั้นได้กำไรมหาศาล จึงชักชวนผู้คุมคนอื่นให้มาเล่นด้วย ระยะหลังมานี้หลิวไห่จึงกลายเป็นคนโปรดของผู้คุม

เขาสามารถนั่งอ่านหนังสือ วิเคราะห์ตลาดหุ้นได้ทั้งวันโดยที่ไม่ต้องทำอย่างอื่นเลยโดยที่ไม่มีใครว่า

หลิวไห่มีเงินเก็บอยู่ก้อนหนึ่งซึ่งเป็นเงินที่พ่อของเขาทิ้งไว้ให้นับเป็นจำนวนพอสมควร เขาได้วานผู้คุมคนหนึ่งไปที่บ้านของเขาแล้วเอาเอทีเอ็มเบิกไปเบิกเงินเพื่อมาซื้อหุ้นตัวหนึ่ง เมื่อได้กำไรเขาก็แบ่งให้ผู้คุมคนนั้นถึงครึ่งหนึ่ง

ปีที่แล้วเขาได้ช่วยเหลือนักบัญชีคนหนึ่งที่เพิ่งเข้ามาเพราะคดียักยอกเงินในบัญชีบริษัทมาเกือบสิบห้าปี จนกระทั่งถูกจับได้ในที่สุด เพราะเห็นท่าทางอ่อนแอชวนให้คนรังแกของเขาทำให้หลิวไห่อดสงสารไม่ได้

“ทำไม่ถึงทำเรื่องแบบนั้นล่ะ”

หลิวไห่ถามเขาในวันหนึ่ง

“ลูกสาวป่วยเป็นมะเร็ง ต้องใช้เงินรักษาเยอะผมไม่มีทางอื่นแล้วนอกจากวิธีนี้ ความจริงก็ตั้งใจว่าหากลูกสาวดีขึ้นจะทำงานชดใช้หนี้แต่โชคร้ายที่นอกจากลูกสาวจะจากผมไปแล้ว ผมยังถูกจับได้อีก”

หลิวไห่มองเขาแล้วพูดว่า

“คุณถูกจับได้หรือจงใจให้บริษัทรู้ล่ะ”

เขายิ้มเศร้า ๆ

“คุณเป็นคนแรกที่พูดแบบนี้กับผม”

“ผมคิดว่าคุณแค่อยากชดใช้ให้กับบริษัท และเพราะลูกสาวเสียเลยไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้ว ความจริงนักบัญชีที่เก่งแบบคุณหลบเขามาได้เป็นสิบปีอยู่ ๆ จะถึงทางตันได้ยังไง มันไม่มีทางเป็นไปได้นอกจากคุณตั้งใจเข้ามาอยู่ในนี้เอง”

ผู้ชายคนนั้นร้องไห้

“ผมแค่อยากชดใช้กรรม เผื่อว่าได้มีโอกาสเจอลูกสาวของผมบนสวรรค์เธอจะยกโทษให้พ่อแบบผม”

หลิวไห่ตบไหล่เขา แล้วพูดว่า

“เธอต้องภูมิใจแน่ ๆ คุณจำเป็นนี่นา”

ผู้ชายคนนี้ชื่อมู่หลง เขาอายุเกือบจะห้าสิบปีแล้วภรรยาก็ตายด้วยมะเร็งและมีเพียงเขาเท่านั้นที่เฝ้าเลี้ยงดูลูกสาวเพียงลำพัง แต่ลูกสาวก็โชคร้ายเมื่อได้รับเชื่อมาจากกรรมพันธ์ มู่หลงทำเต็มที่เพื่อยื้อชีวิตของลูกสาวแต่สุดท้ายเธอก็จากเขาไปอีกคน

หลังจากวันนั้นมู่หลงก็ตามติดหลิวไห่ราวกับเด็กน้อยคนหนึ่ง ไม่ว่าหลิวไห่จะอยู่ไหนยกเว้นในตอนที่ต่างคนต่างแยกไปนอนที่แดนของตัวเอง ก็มักจะเห็นมู่หลงอยู่กับเขาแทบจะตลอดเวลา

ในช่วงพักกลางวัน หลังจากที่ทุกคนต่างทำกิจกรรมที่เรือนจำกำหนดเรียบร้อย หลิวไห่กำลังต่อคิวรับอาหารอยู่ เขาบังเอิญเหลือบไปเห็นหนึ่งในนักโทษคนหนึ่งกำลังซ่อนวัตถุบางอย่างไว้ในกางเกง

หลิวไห่เดาไว้ว่าน่าจะเป็นช้อนที่ถูกทุบให้แบนแล้วเจียปลายแหลม ไม่รู้ว่าแก๊งไหนจะตีกันอีกเขาไม่อยากสนใจ เรื่องพวกนี้ล้วนมีอยู่ตลอดขอเพียงคนพวกนั้นไม่ยุ่งกับเขาก็พอ เขาจึงเอ่ยเตือนมู่หลง

“พี่มู่เห็นแก๊งที่อยู่ห่างจากเราสักสี่ห้าคนหรือเปล่า วันนี้อย่าเข้าใกล้พวกเขาเด็ดขาดไม่รู้ว่ากำลังจะทำร้ายใคร”

เห็นได้ชัดว่ามู่หลงหน้าซีด เขายังกำชายเสื้อหลิวไห่แน่น เพราะความรู้สึกที่โดนกระทืบในวันนั้นเขายังจำได้ดี เขาแค่เดินชนผู้ชายคนหนึ่งแทบจะสะกิดแต่กลับถูกรุมกินตีนจนใบหน้าบวม ถ้าหลิวไห่ไม่มาช่วยเอาไว้คงมีคางแตกหรือกระดูกหักเป็นแน่

“วันนี้ฉันจะเกาะติดพี่หลิวเลยล่ะ”

ถึงมู่หลงจะอายุมากกว่าแต่เขาก็เรียกหลิวไห่ด้วยความนับถือว่าพี่

หลิวไห่ไม่พูดอะไร เขาต่อแถวรับข้าวเงียบ ๆ จนกระทั่งถึงคิว ก็เห็นว่าลุงฉิงเดินผ่านหน้าตัวเองไป ในมือของเขามีถาดอาหารซึ่งมีกับข้าวเต็ม หลิวไห่ยังเห็นเนื้ออยู่ในถาดนั้นชิ้นใหญ่ ในขณะที่คนอื่นได้กินแค่วิญญาณหมูกับเศษผัก

ไม่รู้ว่าลุงฉิงใหญ่แค่ไหน ได้แต่เตือนตัวเองว่าอย่าหาเรื่องกับลุงแก่คนนี้

หลิวไห่รับข้าวพร้อมวิญญาณหมูและผักแข็ง ๆ ที่ผัดกับน้ำมันจนเลี่ยน แต่เขากินแบบนี้มานานจนชินแล้ว รสชาติอาหารกลายเป็นสิ่งสมมุติสำหรับเขา ในขณะที่มู่หลงทำยังไงก็ไม่ชินเสียที ยังทำหน้าแทบจะอาเจียนออกมาเมื่อเห็นของมันแผล็บบนถาดข้าวของตัวเอง

“กินไปเถอะ ถ้าทนดูไม่ได้ก็หลับตากิน”

หลิวไห่บอกเขาเมื่อนั่งคนละฝั่งเพื่อกินข้าว เขามองไปรอบ ๆ วันนี้แปลกที่ไม่เห็นอเล็กซ์ที่ปกติต้องมาทักทายเขาเพื่อเรียนวิชาการต่อสู้ทุกวัน แต่วันนี้หลิวไห่ไม่เห็นอเล็กซ์ตั้งแต่เช้าแล้ว

ลูกน้องคนหนึ่งของอเล็กซ์มานั่งข้างเขาแล้วพูดเบา ๆ ด้วยใบหน้าซีดเซียวว่า

“พี่หลิววันนี้ต้องรบกวนพี่แล้ว เมื่อวานตอนเย็นพี่อเล็กซ์ถูกลอบแทงอาการสาหัส ตอนนี้คนของพวกเราโดนเรียงตัวไปทีละคนดูไม่ทันเลยว่าเป็นพวกไหนกันแน่”

หลิวไห่ถึงบางอ้อทันทีว่าผู้ชายคนที่เขาเห็นนั้นกำลังจะใช้ช้อนที่ทำเป็นอาวุธไปจัดการพวกใครกัน

หลังหลิวไห่ออกจากโรงพยาบาลเรือนจำ เขาก็ถูกย้ายไปที่แดนนักโทษคดีร้ายแรง ส่วนใหญ่เป็นนักโทษประหารหรือนักโทษตลอดชีวิต คนในแดนนี้จึงนับว่าน้อยมาก ทำให้เขาไม่ต้องไปเบียดเสียดแออัดอยู่กับใคร

ห้องที่เขาถูกคุมขังเป็นห้องรวมกับคนสูงอายุสามสี่คน ที่ไม่ค่อยชอบพูด

ส่วนตัวของหลิวไห่เองก็ไม่ชอบพูดเหมือนกัน ในห้องขังของพวกเขาจึงแทบจะเป็นห้องเงียบ ถึงจะถูกแยกขังออกจากนักโทษทั่วไป เพราะเขาเป็นโทษตลอดชีวิตแต่เวลากลางวันพวกเขายังต้องร่วมทำกิจกรรมกับแดนอื่นอยู่ดี

ตอนนี้ไม่มีใครกล้าที่จะล่วงเกินหลิวไห่แล้ว กระทั่งคนที่เคยคิดจะทำร้ายเขาคนนั้นยังถือถาดข้าวเข้ามานั่งฝั่งตรงข้ามหลิวไห่แล้วเรียกเขาว่า ลูกพี่

“ผมชื่อ อเล็กซ์ครับลูกพี่ชื่ออะไร”

หลิวไห่มองไอ้หนุ่มหน้าจีนทุกกระเบียดนิ้วตาตี่คนนี้ที่ชื่ออเล็กซ์แล้วก็ได้แต่สงสัยว่าใครเป็นคนตั้งชื่อให้ แต่ที่นี่ฮ่องกงไม่ใช่แผ่นดินใหญ่ก็อาจจะไม่แปลก

“หลิวไห่”

อเล็กซ์ดูอ่อนน้อมถ่อมตัวมากจนผิดปกติ เขาไม่ได้หาเรื่องหลิวไห่อีกแล้วยังขอคำชี้แนะเกี่ยวกับการฝึกร่างกายและฝึกวิทยายุทธ์เหมือนหลิวไห่เป็นจอมยุทธ์คนหนึ่ง หลิวไห่จึงพูดว่า

“เวลาสู้กับคนอื่น ก็อย่าเอาแต่ใช้กำลังสมองนั้นสำคัญที่สุด”

“ครับลูกพี่ ผมจะจำไว้”

“และไม่ต้องเรียกฉันว่าลูกพี่แล้ว ฉันไม่เคยมีลูกน้อง”

“ถ้างั้นพี่เกิดปีอะไรครับ”

หลิวไห่บอกชื่อตัวเอง และอเล็กซ์ถึงขนาดตบอก

“ผมว่าแล้วว่าต้องอายุพอกัน ผมอายุน้อยกว่าพี่ปีเดียวครับ”

หลิวไห่มองอเล็กซ์ที่หน้าตาล้ำอายุไปสักสิบกว่าปีก็พยักหน้า เอาล่ะ เขาอาจจะเป็นคนตัวโตเลยทำให้หน้าแก่คราวลุงแบบนี้

หลังจากนั้นมาหลิวไห่ก็กลายเป็นคนที่อเล็กซ์ต้องเดินเข้าหาทุกครั้งที่ถูกปล่อยตัวออกมาทำกิจกรรมตรงลานกลางร่วมกัน

“ที่นี่มีอยู่สามกลุ่มใหญ่ ทุกคนมีสังกัดและถ้าเราไม่ยุ่งกับใคร กลุ่มอื่นก็จะไม่ยุ่งกับเรา มีสายเดินยา มีสายพนัน มีสายอาหาร ทุกอย่างแลกเปลี่ยนด้วยบุหรี่ครับ”

หลิวไห่แอบเห็นว่าคุณลุงที่อยู่ห้องขังเดียวกับเขามีโทรศัพท์ด้วย จึงถามอเล็กซ์เสียงเบา

อเล็กซ์กระซิบตอบว่า

“ก็มีวิธีเอาเข้าครับ โทรศัพท์รุ่นธรรมดาราคาไม่กี่เหรียญข้างนอก ถ้าเอาเข้ามาข้างในก็ต้องจ่ายหนักหน่อยค่าเครื่องจะแพงกว่าประมานสามสิบสี่สิบเท่าครับ ปกติแล้วถ้าไม่ใหญ่จริงไม่มีใครกล้าเอาเข้า”

หลิวไห่เองถามเป็นความรู้

“แล้วเอาเข้าวิธิไหน”

“แต่ก่อนก็กับคนครัวครับ เวลาเดินผ่านแดนก็โยนกันแล้วมีคนรอรับอยู่หลังกำแพง แต่หลัง ๆ โดนจับได้เลยต้องยัดผู้คุม อย่างน้อยต้องใช้ผู้คุมสามสี่คนครับราคาสูงลิ่ว”

หลิวไห่เข้าใจแล้ว เขาอยากจะหัวเราะ

“ไม่ว่าที่ไหนเงินสำคัญที่สุด”

อเล็กซ์ถูกจับเพราะคดีเก็บค่าคุ้มครองและยกพวกตีกัน แต่ดูเหมือนว่าเขาจะจงใจเข้ามาในนี้เองมากกว่า เขาเข้าออกคุกมาหลายปีและมีนายใหญ่ที่อเล็กซ์ไม่เปิดเผยอยู่ในนี้ ทุกครั้งที่เขาทำงานสำคัญและกำลังจะเริ่มบางอย่าง อเล็กซ์จะหาทางให้ตัวเองโดนจับ

ที่ทำให้หลิวไห่สนใจคือ อเล็กซ์ไม่ชอบคนของสกุลกู้สักเท่าไหร่ อเล็กซ์ถามเขาว่า

“ทำไมพี่ถึงไม่ชอบสกุลกู้ครับ”

หลิวไห่กำมือแน่น แค่เพียงคิดเรื่องนี้เขาก็รู้สึกแค้นจนเส้นเลือดที่ลำคอโปดปูนออกมา

“เพราะคนสกุลกู้ทำให้ฉันต้องเข้ามาอยู่ที่นี่ ฉันไม่มีทางอภัยให้มันเด็ดขาด แล้วนายล่ะทำไม่ไม่ชอบพวกมัน”

อเล็กซ์ส่ายหน้า

“ไม่รู้ครับแต่นายใหญ่ของผมกับพวกมันมีเรื่องกัน ผมคอยจัดการเรื่องเล็กให้นายใหญ่เลยไม่รู้ว่าเรื่องใหญ่อะไรทำให้นายใหญ่ไม่ชอบพวกมัน เหมือนกัน เมื่อนายไม่ชอบผมเป็นลูกน้องก็เลยไม่ชอบครับ”

“ฉันอยากสู้กับพวกมัน ถ้ามีโอกาสออกไป”

อเล็กซ์บอกว่า

“ขอเพียงมีเงินครับ ออกไปได้แน่”

คำพูดคำเดียวของอเล็กซ์ทำให้หลิวไห่ได้คิด ใช่ ขอเพียงมีเงิน กระทั่งในคุกที่เข้มงวดยังเอาโทรศัพท์เข้ามาได้ กระทั่งปากของตำรวจก็ยังถูกปิดได้ กระทั่งเหล็กก็ยังง้างได้ เขาต้องมีเงิน

“อเล็กซ์นายช่วยหาหนังสือเกี่ยวกับการทำธุรกิจและเกี่ยวกับธุรกิจของสกุลกู้ทั้งหมด ทั้งประวัติและทุกอย่างมาให้ฉันหน่อย ฉันอยากศึกษา”

“พี่ชอบเหรอครับ ได้สิครับ คนเก่ง ๆ ในนี้เยอะ หมอ ทนาย นักปั่นหุ้น แฮกเกอร์ พวกลักเล็กขโมยน้อย งัดบ้าน ถอดแม่กุญแจ กระทั่งเด็กขัดรองเท้าก็ยังมีครับ”

หลิวไห่สงสัย

“เด็กขัดรองเท้านายเอามาทำไม”

“ก็พวกนี้ส่วนใหญ่ขัดรองเท้าเก่งกว่าพวกผู้ใหญ่อีก มักจะได้รับความไว้วางใจให้เข้าบ้านคนใหญ่คนโต คนที่อยู่ในสังกัดของผมมันรู้จักคนไปทั่ว และจำเก่งมาก เวลาไปบ้านคนใหญ่คนโตที มันก็ชอบจำรายละเอียดมา สุดท้ายเลยโดนจับเพราะเข้าไปขโมยของ แต่ผมบอกเลยว่ากว่าจะโดนจับมันก็ลอยนวลอยู่หลายปี คนพวกนี้จึงเก่งมากครับ”

หลิวไห่เข้าใจแล้ว ตั้งแต่นั้นมาเขาจึงได้เรียนรู้จากคนพวกนี้อย่างเต็มที่โดยมีอเล็กซ์เป็นคนแนะนำ ไม่ว่าจะอะไรเขาก็อยู่ว่าง ๆ อยู่แล้ว หลิวไห่จึงตั้งใจเรียนยิ่งกว่าตอนเรียนอยู่ในโรงเรียนตำรวจเสียอีก

ความลับ(รัก)ของประธานพันธุ์ร้าย NC25

ความลับ(รัก)ของประธานพันธุ์ร้าย NC25

Score 10

Options

not work with dark mode
Reset