เมียเก็บมาเฟีย ชุด เทพบุตรมาเฟีย 93 ตอนอวสาน

ตอนที่ 93 ตอนอวสาน

หนึ่งเดือนต่อมา…กับการที่ต้องพลัดพรากจากเพื่อนสนิท เมื่อลินดาไม่ยอมย้ายไปเรียนต่อที่มอสโกกับตนเอง

“ฉันคงคิดถึงเธอมากแน่ๆ เลยลินดา แน่ใจนะว่าจะไม่ไปด้วยกัน” ยาหยีน้ำตาซึมขณะยืนอำลาเพื่อนรักอย่างลินดาด้วยความอาลัยอาวรณ์

“ไปเถอะยายลูกหยี ฉันทิ้งโกวิทไปได้ที่ไหนกันล่ะ ฉันรักเขามาก ก็เหมือนกับที่เธอไม่สามารถอยู่ห่างจากพ่อเทพบุตรตาเขียวได้แม้แต่วันเดียวนั่นแหละ” ลินดาระบายยิ้มให้กับเพื่อนสนิท ดึงร่างอรชรเข้ามาสวมกอดเอาไว้แน่น

“ถึงแม้เราจะอยู่ห่างกัน แต่ฉันก็สามารถไปหาเธอที่มอสโกได้นี่ อย่าคิดมากน่า เธออยู่กับฉันก็ไม่มีความสุขเท่ากับอยู่ใกล้พ่อเทพบุตรตาเขียวหรอกน่า” ลินดาพยายามให้กำลังใจ แต่เพื่อนของหล่อนกลับร้องไห้โฮ เดือดร้อนถึงหล่อนที่ต้องรีบกวักมือเรียกคอร์เนลที่ยืนอยู่ห่างออกไปหลายเมตรให้เข้ามาช่วยปลอบใจ

“แต่ฉันอยากให้เธอไปด้วยนี่ ไปอยู่ด้วยกันนะลินดา”

“ลูกหยี…ร้องไห้ทำไมครับ”

คอร์เนลเดินเข้ามาดึงร่างของภรรยาเข้าไปสวมกอด จูบที่เรือนผมสีดำขลับแผ่วเบาด้วยความรักใคร่

“คอร์น…ลูกหยีอยากให้ลินดาไปด้วย”

“ลินดาทิ้งคนรักไม่ได้หรอกครับ เอาไว้ผมจะพาคุณมาหาลินดาในทุกครั้งที่คุณต้องการดีไหม”

ยาหยีเงยหน้าขึ้นจากอกกว้างของคอร์เนล ระบายยิ้มออกมาทั้งน้ำตา

“จริงหรือคะคอร์น คุณไม่ได้โกหกลูกหยีใช่ไหมคะ”

คอร์เนลหันไปสบตากับลินดา ก่อนจะพยักหน้ารับยิ้มๆ

“ผมจะโกหกเมียตัวเองได้ยังไงล่ะครับ ผมมีเครื่องบินส่วนตัว จะมาเมืองไทยเมื่อไรก็ได้ คุณไม่ต้องกังวลนะลูกหยี”

“ดีจังเลยค่ะ ลินดา…ฉันจะมาหาเธอบ่อยๆ นะ” หญิงสาวหันไปยิ้มอย่างดีใจให้กับเพื่อนรัก ลินดาส่ายหน้าน้อยๆ และประชดประชันออกมา

“ฉันคงดีใจมากที่เธอมาหาฉันบ่อยๆ แต่พ่อเทพบุตรตาเขียวสามีของเธอคงจะกลุ้มใจมากทีเดียวแหละที่ต้องบินไปบินมาระหว่างกรุงเทพฯ และมอสโกเดือนละหลายๆ ครั้งน่ะ”

ยาหยีย่นจมูกใส่เพื่อน ก่อนจะเดินเข้ามาหาอีกครั้ง

“เธอเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดสำหรับฉันนะลินดา ฉันรักเธอที่สุด”

“แต่ฉันไม่อยากรักเธอเลยยายลูกหยี รู้ไหมว่าเพื่อนๆ ทั้งคณะซึ่งก็รวมถึงตัวฉันด้วยอิจฉาเธอจนตาร้อนผ่าวๆ กันเป็นทิวแถวที่เธอได้กินผู้ชายที่หล่อที่สุดในสามโลกแถมยังรวยเว่อร์อย่างพ่อเทพบุตรตาเขียว”

ลินดาทำเสียงเล็กเสียงน้อยไม่จริงจังนัก ยาหยีรู้ว่าเพื่อนแซวเล่นก็หัวเราะร่วน แต่คนที่หัวเราะดังกว่าหล่อนกลับเป็นคอร์เนลซะนี่

“ดูพูดเข้าสิลินดา…น่าอายจัง”

“ไม่เห็นน่าอายตรงไหนเลย มันน่าประทับใจและภูมิใจต่างหาก จริงไหมคะคุณคอร์เนล”

ต้นประโยคลินดาพูดกับหล่อน แต่ท้ายประโยคดันหันไปพูดกับคนตัวโตที่ยืนหน้าเปื้อนยิ้มซะงั้น แถมพ่อเจ้าประคุณก็รับมุกได้ดีราวกับเตี๊ยมกันไว้อย่างนั้นแหละ

“จริงครับ เรื่องจริงไม่สมควรอาย เพราะผมยังไม่อายเลยที่ได้ชิมคุณทุกคืนน่ะยาหยี”

“คนบ้า! พูดจาน่าเกลียด” มือบางตีเผียะลงบนต้นแขนกำยำของสามีด้วยความหมั่นไส้

“ผมพูดความจริงต่างหากล่ะลูกหยีจ๋า เอ๊ะ! นั่นเขาบอกว่าเครื่องจะออกแล้ว”

เสียงเจ้าหน้าที่สนามบินประกาศว่าเที่ยวบินที่จะเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปยังมอสโกกำลังจะออกแล้ว ทำให้หญิงสาวรีบหันไปจับมือลินดาอีกครั้ง บีบแรงๆ ด้วยความอาลัย

“ทำไมเครื่องออกเร็วจัง เรายังร่ำลากันไม่พอเลย”

“แล้วฉันจะโทรไปหานะ ไม่ต้องร้องไห้แล้วแม่คุณ ไม่ได้ตายจากกันสักหน่อย”

ลินดาว่ายาหยีแต่ก็เป็นตัวเองนั่นแหละที่น้ำตาซึมเสียเอง

“แต่เราก็ถูกผืนน้ำกั้นเอาไว้นี่…ใจหายเหลือเกิน”

สองสาวกอดกันอีกครั้งซึ่งเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่ยาหยีและคอร์เนลจะเดินโอบประคองกันหายเข้าไปในห้องรับรองผู้โดยสารขาออก ลินดายืนโบกมืออำลาจนเพื่อนรักลับตา และน้ำตาก็ไหลซึมออกมาอาบแก้ม เมื่อกี้หล่อนทำเป็นหัวเราะเข้มแข็ง แต่จริงๆ แล้วก็อดคิดถึงยาหยีไม่ได้

“แล้วที่นี่ใครจะปลุกฉันไปเรียนล่ะนี่” ลินดายกมือขึ้นป้ายน้ำตาแห่งความอาลัยอาวรณ์จนแห้งเหือด จากนั้นจึงตัดใจเดินออกไปจากสนามบินเพื่อไปขึ้นรถที่มีโกวิทแฟนหนุ่มจอดรออยู่ด้วยความเศร้าหมอง ถึงแม้จะรู้ซึ้งอยู่เต็มอกว่ายาหยีไปมีความสุข แต่หล่อนก็ยังอดใจหายไม่ได้อยู่ดีนั่นแหละ

บรรยากาศในศาลากลางสวนที่ล้อมรอบไปด้วยแมกไม้ร่มรื่น ยาหยีระบายยิ้มกว้างด้วยความสุขที่สุดในชีวิต ขณะหันหลังไปจ้องมองสายน้ำที่กำลังม้วนตัวลงมากระทบกับโขดหิน ไอเย็นของน้ำกระเซ็นมาแต้มผิวกายจนชุ่มฉ่ำ มันให้ความรู้สึกดีราวกับอยู่กลางน้ำตกในหุบเขาลึกเสียจริงๆ ทั้งๆ ที่มันเป็นแค่น้ำตกขนาดใหญ่ที่พ่อคนแสนรวยอย่างคอร์เนลจำลองขึ้นมาเพื่อความสำราญเท่านั้นเอง

“ยิ้มหวานจังเลยค่ะคุณผู้หญิง”

ยาหยีละสายตาจากน้ำตกแสนงามตรงหน้าชั่วคราว หันไปมองต้นเสียง แล้วก็ระบายยิ้มออกมาเมื่อเห็นว่าเป็นเชอรี่

“ป้านั่นเอง มีอะไรหรือเปล่าคะ”

“ป้าไม่มีอะไรกับคุณผู้หญิงหรอกค่ะ แต่คนที่มีน่ะ นู่น!” แม่บ้านร่างท้วมพยักพเยิดหน้าไปทางตึกใหญ่ และหันมาพูดต่อ

“นายน้อยค่ะ พอเท้าเหยียบพื้นบ้านปุ๊บ ก็ร้องหาคุณผู้หญิงปั๊บเลยค่ะ”

ยาหยีเลิกคิ้วขึ้นสูงด้วยความแปลกใจ

“คอร์นกลับมาแล้วหรือคะ แต่นี่มันยังไม่เวลาเลิกงานเลยนี่คะ พึ่งบ่ายโมงกว่าๆ เอง”

เชอรี่ระบายยิ้มล้อเลียนออกมาจนคู่สนทนาสาวถึงกับหน้าแดงก่ำ

“คนติดเมียก็เป็นอย่างนี้ทุกคนนั่นแหละค่ะ งานการขนมันมาทำที่บ้านหมด ขอเพียงแค่ให้ได้เห็นเมียอยู่ในสายตาก็พอแล้ว นี่ป้าว่าถ้านายน้อยย้ายออฟฟิศมาที่บ้านได้ก็คงทำไปแล้วล่ะค่ะ”

“ป้าก็พูดเกินไป คอร์นอาจจะลาพักร้อนมาก็ได้มั้งคะ” คนนั่งหน้าแดงยังอุตส่าห์เฉไฉไอ้อีกแน่ะ

“ถ้าลาพักร้อนจริงๆ อย่างที่คุณผู้หญิงว่า งั้นนายน้อยของเชอรี่คงใช้วันลาล่วงหน้าของปีหน้าและปีถัดไปจนหมดเกลี้ยงแล้วมั้งคะ”

คนพูดขำขันแต่คนฟังหน้าร้อนวาบ หัวใจเต้นแรงระรัวจนกระแทกกับหน้าอกอย่างรุนแรง

“ป้าพูดจนฉันอายหมดแล้ว ไม่พูดด้วยแล้วดีกว่า”

ยาหยีก้าวลงจากศาลา เดินนำเข้าไปในบ้าน ใช่ว่าคอร์เนลจะเป็นคนเดียวซะที่ไหนกันล่ะ หล่อนเองก็โหยหาเขาตลอดทั้งวันเช่นกัน แค่ได้ยินว่าเขากลับมาแล้ว หล่อนก็แทบอยากจะกระโจนขึ้นไปรอบนห้องนอนเสียนี่

“นั่นคุณผู้หญิงจะเดินไปไหนคะ”

เมื่อเห็นสาวน้อยกำลังจะเลี้ยวไปยังห้องทำงานของคอร์เนล แม่บ้านวัยกลางคนจึงรีบทักขึ้น

“อ้าว…ก็ป้าบอกว่าคอร์นมาแล้ว อยู่ที่ห้องทำงาน”

ยาหยีหันกลับมาจ้องหน้าเชอรี่ด้วยแก้มที่ยังเป็นสีระเรื่อไม่จาง แม่บ้านร่างท้วมส่ายหน้ายิ้มๆ

“เมื่อกี้น่ะอยู่ห้องทำงานค่ะ แต่ตอนนี้น่าจะไปอยู่ในห้องนอนเรียบร้อยแล้วล่ะค่ะ หากคุณผู้หญิงไม่อยากเสียเวลา นู่นค่ะ ห้องนอนเลย”  และก็ไม่คิดจะพูดอะไรออกมาอีกนอกจากรีบก้มหน้าเดินตรงไปยังห้องนอนที่มีพ่อเทพบุตรสุดหล่อกำลังรออยู่ในทันที

แม่บ้านร่างท้วมส่ายหน้าแล้วอมยิ้มบางๆ จากนั้นก็เอ่ยออกมาเบาๆ

“เมื่อไรนะจะมีนายน้อยตัวเล็กๆ ออกมาวิ่งเล่นสักทีนะ เราอยากอุ้มใจจะขาดอยู่แล้ว”

“คงอีกไม่นานหรอกคุณเชอรี่ ถ้านายน้อยขยันทำการบ้านมากกว่าทำงานแบบนี้”

เซอร์เกพูดขึ้นข้างหลัง เชอรี่ตกใจยกมือขึ้นทาบอก

“มาไม่ให้สุ้มให้เสียงเลยนะ ฉันตกใจหมดเลย”

“ผมก็เดินมาปกตินะคุณเชอรี่ แต่คุณเชอรี่มัวแต่ใจลอยเองต่างหาก แล้วนี่คุณผู้หญิงขึ้นห้องนอนไปแล้วใช่ไหมครับ”

แม่บ้านร่างท้วมพยักหน้ารับน้อยๆ

“ขึ้นไปแล้วล่ะ ก็คงนั่งรอนายน้อยอยู่เหมือนกันนั่นแหละ ไม่อยากจะเชื่อเลยนะว่านายน้อยของเราจะมีเมียกับเขาจริงๆ แถมยังดูท่าทางจะหลงเมียมากๆ อีกต่างหาก”

“มันก็อย่างนี้แหละคุณเชอรี่ คนที่บอกว่าเกลียดนู่นเกลียดนี่น่ะ สักวันก็จะได้ในสิ่งที่เกลียดนั่นแหละ ก็ดูอย่างนายน้อยสิ บอกว่าเกลียดผู้หญิง ไม่อยากแต่งงาน แต่สุดท้ายแล้วก็มาตกหลุมรักผู้หญิงธรรมดาๆ คนหนึ่ง ที่ไม่มีอะไรคู่ควรเลยสักนิดอย่างคุณยาหยี”

“เขาถึงเรียกว่าพรหมลิขิตนำพาไง…” เชอรี่เสริม ขณะที่เซอร์เกพยักหน้ายิ้มๆ

“อีกหน่อยลิน่าลูกสาวของเซอร์เกก็จะต้องถูกพรหมลิขิตนำพาไปหาผู้ชายสักคนหนึ่งที่จะดูแลเธอไปตลอดชีวิตเหมือนกันนั่นแหละ มันโรแมนติกดีนะ ตอนที่ฉันเป็นสาวๆ น่ะฉันก็เคยฝันถึงนิยายรักแบบนี้เหมือนกัน แต่สุดท้ายก็หาดีไม่ได้ก็เลยอยู่คนเดียวดีกว่า”

พอพูดถึงลูกสาว เซอร์เกก็ถึงกับหน้าเครียดขึ้นมาอย่างเฉียบพลัน จนคู่สนทนาต้องถามขึ้นด้วยความแปลกใจ

“ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะเซอร์เก มีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า”

“ผมเป็นห่วงลิน่าครับ ติดต่อไม่ได้มาหลายเดือนแล้ว ติดต่อไปที่มหาวิทยาลัยที่ปารีสก็ไม่ได้ข่าวคราวอะไรเลย บอกแค่ว่าเมลิน่าส่งเอกสารมาทำเรื่องของดร็อปเรียนเอาไว้”

“บางทีลิน่าอาจจะไปที่ไหนสักแห่งที่ตัวเองอยากไปก็ได้นะ”

“ไม่จริงหรอกครับ ลิน่าต้องตกอยู่ในอันตรายแน่ๆ เพราะครั้งสุดท้ายที่ผมคุยกับลูก ผมขอร้องให้เธอเข้าไปในอาณาจักรเซอร์คอฟ ซึ่งเธอก็รับปากว่าจะเข้าไป”

ประโยคที่ได้ยินพาให้สีหน้าของเชอรี่เต็มไปด้วยความวิตกกังวลไม่แพ้เซอร์เกเลยแม้แต่นิดเดียว

“แล้วบอกนายน้อยหรือยัง หากนายน้อยรู้ นายน้อยจะต้องไม่นิ่งนอนใจแน่”

เซอร์เกส่ายหน้า ก่อนจะเอ่ยยืนยันออกมาเป็นคำพูด

“ยังไม่ได้บอกเลยครับ ผมไม่อยากรบกวนนายน้อยตอนนี้ นายน้อยกำลังมีความสุข เอาไว้ผมจะลองหาวิธีสืบเองไปก่อน แต่ถ้าเหลือบ่ากว่าแรงยังไง ผมถึงจะขอความช่วยเหลือจากนายน้อยก็แล้วกันครับ”

แม่บ้านร่างท้วมถอนใจออกมา

“ฉันเอาใจช่วยก็แล้วกัน แต่ฉันเชื่อว่าคนดีๆ อย่างหนูลิน่าตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้อยู่แล้วล่ะ เชื่อฉันนะ”

เซอร์เกพยักหน้ารับ ทั้งคู่คุยกันอีกสองสามประโยคก็แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตัวเอง

ภาพผู้ชายร่างกายใหญ่โตที่นอนเอกเขนกอยู่บนเตียงเรียกสีสันบนแก้มนวลให้ระเรื่อขึ้นได้อีกครั้ง ยาหยีปิดประตูเบาๆ ขณะเคลื่อนกายไปหยุดที่ขอบเตียงนอน ร่างทั้งร่างของคอร์เนลมีเพียงกางเกงในแบบบ็อกเซอร์สีเข้มตัวเดียวเท่านั้นสวมใส่อยู่

“มาหาผมสิลูกหยี คิดถึงใจจะขาดอยู่แล้ว”

เขากวักมือเรียก และหล่อนไม่เสียเวลาคิดเลยที่จะรีบโผขึ้นไปหาชายหนุ่มบนเตียงนอน เขาตวัดแขนรัดร่างอรชรเอาไว้แน่น พรมจูบทั่วใบหน้างามด้วยความโหยหาจับใจ

“ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเราพึ่งห่างกันแค่ไม่กี่ชั่วโมง”

ยาหยียกนิ้วมือขึ้นมานับ แล้วพูดเสียงกลั้วหัวเราะ

“หกชั่วโมงเองค่ะ แต่คุณทำเหมือนเราห่างกันมาเป็นปี”

“แค่นาทีเดียวที่ไม่มีคุณอยู่ข้างๆ ผมก็แทบบ้าแล้วทูนหัวจ๋า เมื่อไรคุณจะเรียนจบกันนะจะได้ไปทำงานเป็นเลขาฯ ส่วนตัวของผมสักที ขืนอยู่ห่างกันแบบนี้ทั้งวัน ผมต้องย้ายออฟฟิศมาไว้ในห้องนอนแน่ๆ เลย”

สาวน้อยหัวเราะคิกคัก ลูบไล้นิ้วเรียวไปตามแผงอกรุงรังของสามีด้วยความรักใคร่ รอยยิ้มแห่งความสุขแต้มใบหน้างามตลอดเวลา

“อีกหลายเดือนค่ะ แล้วที่คุณบอกว่าจะให้ลูกหยีไปเป็นเลขาฯ น่ะ คุณจะเอาเลขาฯ คนเดิมไปไว้ที่ไหนคะคอร์น เขาไม่ได้ทำอะไรถึงขนาดที่จะต้องไล่ออกหรือย้ายตำแหน่งกันสักหน่อย”

คอร์เนลยิ้มกว้าง ใช้ปลายนิ้วแกร่งคีบปลายถันแล้วดึงแรงๆ “ใครว่าจะให้คุณไปทำงานจริงๆ จังๆ กันล่ะลูกหยี”

“อ้าว…ก็ไหนคุณบอกว่าจะให้ลูกหยีไปเป็นเลขาฯ ไงคะ”

“เลขาฯ บนเตียงต่างหากล่ะ นี่รู้ไหมลูกหยีว่าผมสั่งให้ช่างมาต่อเติมห้องทำงานของผมให้มีห้องนอนในตัวด้วยนะ รอเพียงแค่คุณจะไปเป็นประธานเปิดห้องเท่านั้นเอง”

คนตัวโตหัวเราะออกมาด้วยความภาคภูมิใจขณะดันร่างของหล่อนให้นอนราบลงกับที่นอน โดยที่เขาขยับขึ้นมาทาบทับด้วยท่าทางแน่วแน่มั่นคง รอยยิ้มของเขาทำให้หัวใจสาวกระตุกรุนแรง เจ้าความตื่นเต้นมันครอบงำจนร่างกายของหล่อนอ่อนเปลี้ยราวกับช็อกโกแลตเหลวๆ

“นี่คุณไม่คิดจะทำงานเลยหรือคะ” ว่าเขาแต่ก็ยอมให้เขาเปลื้องเสื้อผ้าออกจากกายแต่โดยดี

“ผมแบ่งสมองได้น่า ต่อให้กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มกับคุณอยู่ ผมก็สามารถคุยกับลูกค้าได้ ไม่เชื่อไว้จะลองทำให้ดูก็แล้วกัน”

สายตารุ่มร้อนจับจ้องไปทั่วร่างงามด้วยความหิวกระหาย ประกาศความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของในทุกๆ อณูเนื้อด้วยฝ่ามือร้อนผ่าว

“สวยเหลือเกินลูกหยีจ๋า”

เวลาได้เห็นความพึงพอใจจากสายตาของคอร์เนลทีไร หล่อนรู้สึกราวกับว่าตัวเองเป็นเจ้าของทั้งสามโลกก็ไม่ปาน

“ปากหวานจังค่ะ”

“ผมน่ะอาจจะหวานแค่ปากนะ แต่คุณน่ะหวานไปทั้งตัวเลยรู้ไหมจ๊ะลูกหยีจ๋า หวานจนผมหลงหัวปักหัวปำ ทั้งๆ ที่เคยตั้งใจเอาไว้ว่าจะไม่ยอมให้ผู้หญิงคนไหนมามีอำนาจเหนือสมองได้ แต่กับคุณ ผมไม่เคยต่อต้านได้เลยแม้แต่ครั้งเดียว แค่เห็น แค่มอง ก็อยากได้จนคลั่งจะตายอยู่แล้ว”

คนตัวโตก้มลงมอบจุมพิตหวานล้ำให้กับหล่อนเนิ่นนาน ก่อนจะเคลื่อนใบหน้าลงต่ำไปรังแกเนื้ออ่อนที่ซอกคอนุ่ม สาวน้อยครวญครางออกมา กายสาวร้อนผ่าวเจียนระเบิดเพียงแค่ถูกอุ้งปากของคนตัวโตรุกรานเต้างามและปลายถันสีกุหลาบเท่านั้นเอง

“คอร์นขา…ลูกหยีรักคุณจังเลย”

เขาเงยหน้าจากอกอวบแล้วมอบยิ้มหวานฉ่ำให้อย่างใหลหลง ดวงตาสีเขียวจัดจ้องมองลึกเข้าไปในดวงตาคู่งามของภรรยาด้วยความรักใคร่

“ถ้ารักผม ครั้งนี้เป็นจ๊อกกี้ได้ไหมที่รัก เหมือนที่ทำเมื่อคืนน่ะ ผมติดใจมาก”

ยาหยีแก้มแดงก่ำ ทุกตารางนิ้วในเรือนกายเดือดพล่านร้อนฉ่าขึ้นมาในทันใดเมื่อนึกถึงลีลารักอันแสนร้อนของม้าหนุ่มแสนคึกอย่างคอร์เนล ซีร์ยานอฟในค่ำคืนที่ผ่านมา เขาร้อนแรงและทำให้หล่อนร้อนฉ่าได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ

“ดูพูดเข้าสิคะ”

“นะทูนหัว ผมคิดถึงภาพนั้นตลอดเวลาเลย จนไม่สามารถทำงานต่อได้ นี่รู้ไหมว่าวิ่งออกมาจากห้องประชุมกลางคันเลยนะ เพราะภาพจ๊อกกี้สาวแสนพลิ้วของคุณนั่นแหละลูกหยี”

น้ำเสียงของเขาไม่ได้มีความภาคภูมิใจเลยแม้แต่นิดเดียวหล่อนรู้ดี แต่มันก็แน่ล่ะคนอย่างคอร์เนล ซีร์ยานอฟ ผู้ยิ่งใหญ่ที่เคยแต่ควบคุมคนอื่น แต่พอมาถูกควบคุมบ้างก็เลยยากที่จะยอมรับง่ายๆ

“ตกลงก็ได้ค่ะ แล้วต่อจากนั้นล่ะคะ”

“ตามใจคุณสิลูกหยี อยากทำอะไรกับผมก็ตามสบาย ผมเป็นทาสรักของคุณตลอดชีวิต จำเอาไว้นะทูนหัว”

สาวน้อยตื้นตันจนน้ำตาซึม ขณะพลิกกายขึ้นไปอยู่บนเรือนร่างกำยำที่แน่นหนั่นเรียบตึงไปซะทุกสัดส่วนของคอร์เนลด้วยท่าทางขัดเขินที่ปิดไม่มิด มือบางยันหัวไหล่ทรงพลังเอาไว้ขณะโน้มตัวลงไปจูบปากเซ็กซี่ของสามีอย่างดูดดื่ม

“ขอบคุณที่รักลูกหยีค่ะคอร์น”

คอร์เนลระบายยิ้มขณะเคล้าคลึงถันงามอวบสล้างของภรรยาอย่างเพลิดเพลิน

“ไม่ต้องขอบคุณหรอกทูนหัว ผมยินดีรักคุณ นางฟ้าของผม…”

ดวงตาต่างสีสองคู่สบประสานกันเนิ่นนาน ความรักความห่วงหาจากหัวใจถูกถ่ายทอดออกมาผ่านสายใยแห่งความเข้าใจสู่กันและกันอย่างมหาศาล ยาหยียิ้มละไมขณะก้มลงจูบแก้มสามีแผ่วเบาจนน้ำตาแห่งความซาบซึ้งใจเปรอะเปื้อนแก้มสากของคอร์เนล

“ทูนหัว อย่าร้องไห้ให้ผมเห็นอีกนะ”

“ก็ลูกหยีตื้นตันใจนี่คะ ไม่เคยหวังว่าจะได้รับความรักจากคุณมากมายถึงเพียงนี้” ไม่ขัดขืนเมื่อคนตัวโตไล้นิ้วแกร่งเช็ดน้ำตาออกจากแก้มให้

“งั้นต่อไปผมคงต้องซื้อผ้าเช็ดหน้าให้คุณเป็นของขวัญเสียแล้วล่ะมั้ง เพราะความรักของผมยังจะมีให้คุณอีกมากมายหลายเท่านัก และแน่นอนว่ามันจะไม่มีวันหมด เหมือนๆ กับที่ผมจะไม่มีวันหยุดรักคุณนั่นแหละทูนหัว”

“คอร์นน่ะ พูดซึ้งแบบนี้ ลูกหยีก็ร้องไห้ตายเลย”

คอร์เนลระบายยิ้มกว้าง “งั้นก็ร้องให้พอนะ เพราะผมจะอยู่ข้างๆ คุณและจะเป็นคนเช็ดน้ำตาให้คุณตลอดไป”

“ลูกหยีรักคุณค่ะคอร์น รักเหลือเกิน…”

ยาหยีระบายยิ้มออกมาทั้งที่น้ำตานองหน้า ก้มลงแนบใบหน้ากับแผงอกกว้างของสามีด้วยความรักสุดหัวใจ ไม่อยากจะเชื่อว่าคอร์เนลจะรักผู้หญิงต่ำต้อยอย่างหล่อนได้มากมายขนาดนี้ แต่คอร์เนลไม่มีทางโกหกอย่างแน่นอน เพราะในเมื่อเสียงหัวใจของเขาที่เต้นอยู่ใกล้ๆ กับใบหูของหล่อนมันก็ยังร้องบอกตลอดเวลาว่า…

“ผมรักลูกหยี ผมรักลูกหยี”

และหล่อนก็มั่นใจว่ามันจะดังแบบนี้ไปตลอดชั่วนิรันดร์…

อวสาน

‘คอร์เนลอยู่ตรงนั้น อยู่ตรงหน้าหล่อน และก็ยังหล่อเลิศเหมือนเดิม’

เสื้อชุดสีเข้มทำให้ผู้ชายตรงหน้าดูแสนจะอันตราย แต่หล่อนจะต้องไม่กลัว จะต้องทำเป็นเหมือนแค่ลงมาคุยกับคนรู้จักเท่านั้น จะต้องทำให้ได้ด้วย

คอร์เนลเห็นท่าทางหมางเมินของยาหยีก็ยิ่งแค้นใจ ทั้งๆ ที่เป็นคนผลักไสไล่ส่งหล่อนไปเองเมื่อคืน แต่ทำไมนะ พอเห็นความไม่แยแสในดวงตาหวานๆ คู่นี้แล้ว หัวใจถึงได้เจ็บแปลบๆ ขึ้นมาอย่างรุนแรงแบบนี้

“มีอะไรก็ว่ามาค่ะ”

“ตรงนี้คนเยอะ ผมไม่ชอบให้ใครมอง”

เขาพูดเสียงไร้ความรู้สึก ก่อนจะลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้ตรงหน้าและเดินตรงเข้ามาฉวยข้อมือหล่อนไปกุมเอาไว้ พร้อมกับดึงแล้วลากออกมายังหน้าโรงแรมที่มีรถสปอร์ตสีดำคันโปรดของเขาจอดรออยู่

“นี่คุณจะพาฉันไปไหน ปล่อยนะ!”

“หุบปากเถอะน่า แล้วขึ้นไปนั่งเงียบๆ บนรถ”

เขาผลักหล่อนให้ขึ้นไปนั่งบนรถ จากนั้นตัวเองก็เดินอ้อมรถกลับมานั่งประจำที่คนขับ รถราคาแพงระยับแล่นทะยานออกไปข้างหน้าราวกับกำลังเหาะอยู่บนฟ้า มุ่งหน้ากลับไปยังคฤหาสน์ซีร์ยานอฟ สถานที่ที่เมื่อคืนหล่อนถูกขับไล่ราวกับหมูกับหมา

“คุณพาฉันมาที่นี่อีกทำไม”

“บ้านผัวอยู่นี่ ไม่มาที่นี่แล้วจะไปอยู่ที่ไหนฮะ”

ยาหยีอ้าปากค้างกับสิ่งที่ได้ยิน

“คุณว่าอะไรนะ?”

“บอกแล้วไงว่าไม่อยากให้ใครได้ยิน ขึ้นไปพูดกันบนห้องนู่น ลงมา!” เขากระโดดลงไปจากรถทันทีที่มันจอดสนิท ยาหยีนั่งนิ่ง สมองมึนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจึงยังไม่ได้ขยับตัว และนั่นก็ทำให้คอร์เนลโมโห เขาเดินอ้อมรถมากระชากประตูฝั่งของหล่อนให้เปิดออก ก่อนจะจับร่างของหล่อนพาดบ่าแล้วเดินเข้าไปในตึกใหญ่ด้วยความอุกอาจ

“นี่ปล่อยนะ คุณทำบ้าอะไร ปล่อยสิ!”

“น่ารำคาญน่ะลูกหยี เก็บเสียงเอาไว้ใช้ประโยชน์อย่างอื่นดีกว่านะ”

คนตัวโตดุเสียงรำคาญจัด ขณะที่ยาหยีแก้มแดงก่ำเมื่อเข้าใจดีว่าประโยชน์อย่างอื่นที่เขาว่าน่ะมันคืออะไร แต่เขาไม่มีสิทธิ์ทำอย่างนี้กับหล่อนนี่ เขาหมดสิทธิ์นั้นตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้ว หญิงสาวน้ำตาไหลพราก ความน้อยใจแล่นทะลักขึ้นมาจุกอก ยิ่งถูกเขาทุ่มใส่เตียงแรงๆ ด้วยแล้วก็ยิ่งคับข้องใจ

“หยุดทำบ้าๆ สักทีเถอะค่ะ เราจบกันแล้ว”

คอร์เนลแสยะยิ้มเย็นชา ยิ่งยาหยีทำเย็นชาใส่เท่าไร เขาก็ยิ่งทนไม่ได้

“มันไม่จบง่ายๆ อย่างนี้หรอกยาหยี”

“แต่คุณเป็นคนบอกให้ฉันไป คุณเป็นคนบอกให้ฉันเลิกรักคุณ และตอนนี้ฉันก็ทำได้แล้วด้วย คุณมันก็แค่คนที่ฉันเคยรู้จัก”

คำพูดคำนี้ของยาหยีทำไมถึงทำให้หัวใจของเขาเจ็บลึกราวกับถูกฟันด้วยมีดคมๆ นักนะ จบแล้ว ตัดใจจากเขาได้แล้วอย่างนั้นหรือ ไม่มีทางหรอก เขาไม่ยอมให้มันลงเอยแบบนี้เด็ดขาด เมื่อคืนเขาก็แค่พ่ายแพ้ให้กับเจ้าสัตว์ร้ายในใจก็เท่านั้นเอง แท้จริงแล้วเขายังต้องการยาหยีไม่เคยเปลี่ยนแปลง ต้องการทุกนาที และก็จะต้องการจนวันตายด้วย

“เมื่อคืนคุณยังบอกว่ารักผมอยู่เลย แล้วทำไมวันนี้ถึงตัดใจได้เร็วนักล่ะ”

คอร์เนลกระชากเสื้อสูทออกจากตัว ปลดกระดุมข้อมือ จากนั้นก็ไล่ปลดกระดุมด้านหน้าจนหมด สาบเสื้อแยกออกจากกันจนเห็นแผงอกกว้างปุกปุยด้วยเส้นขนสีเข้ม ยาหยีกลืนน้ำลายกับภาพยวนตานั้นโดยไม่รู้เลยว่าชายหนุ่มก้าวขึ้นมาบนเตียงตั้งแต่เมื่อไร มารู้ตัวอีกทีร่างของหล่อนก็ตกอยู่ในอ้อมแขนกำยำเสียแล้ว

“ปล่อยฉันนะ ได้โปรดปล่อยฉันไป…อย่าทำร้ายฉันอีกเลย”

“ไม่! ผมจะไม่มีทางปล่อยคุณไปอีกแล้ว”

ยาหยีหัวเราะทั้งน้ำตา ยังจดจำช่วงเวลาที่คอร์เนลโยนเงินค่าตัวใส่หน้าตัวเองได้เป็นอย่างดี เขาใจร้ายได้อย่างสาหัสสากรรจ์เลยทีเดียว

“บอกมาเถอะค่ะว่าตอนนี้คุณกำลังต้องการอะไร อีตัวหรือว่านางบำเรอคะ เงินที่มีคงหาผู้หญิงที่ถูกใจไม่ได้ใช่ไหม ถึงต้องไปลากฉันมาแก้ขัด”

“ลูกหยีอย่าประชดผมแบบนี้”

“ก็ในสายตาของคุณ ฉันมันอีตัวไม่ใช่หรือไง เมื่อคืนคุณทำให้ฉันรู้ตัวว่าฉันควรทำยังไงกับตัวเอง และฉันก็ตั้งใจไว้แล้วว่าจะลืมคุณให้ได้”

น้ำตาไหลพรากออกมา ความเจ็บปวดจากความโหดร้ายของผู้ชายตรงหน้าทำให้หล่อนไม่อยากจะเสี่ยงกลับเข้าไปในลำเนาเสน่หานั้นอีก กลัวว่าจะต้องเจ็บมากกว่าเดิมอีกหลายเท่า

“แต่คุณไม่มีทางลืมผมได้ และทุกอย่างจะจบได้ก็ต่อเมื่อผมเป็นฝ่ายทำให้มันจบเท่านั้น”

อวดดี โอหัง แต่หล่อนก็ยังหลงรักเขาหัวปักหัวปำ ไม่น่าเชื่อว่าหล่อนจะยังมีเยื่อใยต่อผู้ชายคนนี้อยู่อีก ทั้งๆ ที่เมื่อคืนก็ถูกเขาไล่ราวกับหมูกับหมา

“แต่ฉันเกลียดคุณ”

คนตัวโตพรมจูบไปทั่วใบหน้าที่นองน้ำตาของหล่อน ลิ้นแกร่งของเขาไล้เลียจนหยาดน้ำตาแห้งเหือด

“คุณเกลียดผมไม่ลงหรอกลูกหยี คุณไม่สามารถเกลียดผมได้ ก็เหมือนกับที่ผมไม่สามารถเกลียดคุณได้เลย แม้ว่าจะพยายามมากแค่ไหนก็ตาม”

หญิงสาวเบิกตากว้าง มองผู้ชายเจ้าของอ้อมกอดอบอุ่นทั้งน้ำตา

“คุณน่ะเหรอไม่เกลียดฉัน ในเมื่อทุกอย่างที่คุณกระทำลงไป มันเต็มไปด้วยความเกลียดชัง”

“ไม่มีความเกลียดเลยในความสัมพันธ์ของเรา มีแค่ความพยายามที่จะเกลียดเท่านั้น”

คนตัวโตดันร่างอรชรของยาหยีให้นอนลงบนที่นอน และทาบทับตามลงมา แม้จะพยายามขัดขืนแต่ก็ต่อสู้กับหัวใจของตัวเองไม่สำเร็จ เมื่อเช้าอุตส่าห์เล่นบทผู้หญิงเย็นชาได้อย่างดีเยี่ยม แต่มาตกม้าตายเอาตอนที่ถูกปากร้อนๆ มืออุ่นๆ สำรวจเนื้อตัวซะงั้น

“จำได้ไหมว่าผมเคยบอกว่ารักคุณ”

“คุณบอกว่าบางทีคุณอาจจะไม่เคยรักฉันเลย”

คอร์เนลระบายยิ้มออกมา ค่อยๆ เปลื้องผ้าออกจากกายสาว เจ้าหล่อนขัดขืนแต่เขาก็สามารถเอาชนะได้อย่างไม่ยากเย็นเลยแม้แต่นิดเดียว

“นั่นเป็นคำพูดที่ผมใช้ป้องกันหัวใจจากคุณต่างหาก แต่สุดท้ายก็ทำไม่สำเร็จ แค่เห็นคุณเย็นชาใส่เมื่อเช้า ผมก็คลั่งจนอกแทบจะระเบิดแล้ว รู้ไหมว่าผมยอมได้ทุกสิ่ง แต่ยอมให้คุณมองไม่เห็นผมอยู่ในสายตาไม่ได้”

“คุณพูดเหมือนกับว่าฉันคือคนสำคัญของคุณ ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้หรอก”

ยาหยีส่ายหน้า น้ำตายังคงไหลพราก คอร์เนลยิ้มบางๆ พร้อมกับก้มลงจูบปากอิ่มแผ่วเบา แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเทาเล็กน้อย มันบอกให้รู้ว่าผู้ชายที่คนทั้งโลกเรียกว่าเทพบุตรผู้เหี้ยมโหดกำลังประหม่าและเขินอายอย่างที่สุด

“ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมาผมพยายามบอกตัวเองว่าคุณทรยศ คุณไม่ได้รักผม และการที่คุณเอาตัวรับกระสุนแทนผมก็เป็นเพียงแค่ละครฉากหนึ่งที่เกิดผิดพลาดเท่านั้น แต่ผมก็เกลียดคุณไม่สำเร็จ พยายามทำงานทั้งวัน พยายามควงผู้หญิงคนอื่น”

“ถึงได้มีข่าวกับผู้หญิงแทบทุกวัน”

คอร์เนลได้ยินคำพูดประชดประชันของยาหยีเต็มสองหูแต่เขาก็ไม่คิดจะโต้ตอบ ในเมื่อสิ่งที่เขาต้องการพูดยังไม่จบสิ้น

“แต่ผมก็ยังลืมคุณไม่ได้ ผมคิดถึงคุณทุกคืนจนต้องเปลี่ยนห้องนอน”

“ป้าเชอรี่บอกฉันแล้ว” เผลอระบายยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว

“และเมื่อคืน…ที่ผมทำร้ายกาจกับคุณลงไป ก็เพราะผมเกลียดตัวเอง เกลียดที่ตัวเองไม่เคยสามารถต้านทานคุณได้เลยแม้แต่ครั้งเดียว  แต่คงไม่เท่าคุณ…ผมขอโทษนะลูกหยี ขอโทษที่ทำให้คุณเจ็บปวด เมื่อก่อนผมรักคุณมากแค่ไหน ตอนนี้ความรักของผมก็ยังคงมีให้คุณเช่นเดิม”

“แต่ว่าฉัน…”

นิ้วแกร่งยกขึ้นจุปากของหล่อนเอาไว้ และชิงพูดเสียเอง

“คุณคงเกลียดผมเข้าไส้แล้วสินะ แต่ถึงยังไงผมก็ยอมให้คุณจากไปไม่ได้อยู่ดี ผมคงต้องตายแน่ๆ หากข้างกายไม่มีคุณอีกครั้ง มันทรมานนะที่ต้องนอนหลับไปพร้อมๆ กับความคิดที่ว่าคุณจะไม่กลับมาหาผมอีกแล้ว”

น้ำเสียงของคนตัวโตดูเศร้าสร้อยจับใจ และเมื่อเขาทำท่าจะผละออกห่าง มือบางก็รีบตวัดรัดรอบกายกำยำเอาไว้แน่น เป็นเชิงบอกว่าหล่อนเองก็เสียใจเหมือนกันที่ต้องนอนอย่างเดียวดายตามลำพังบนเตียงมาตลอดทั้งเดือน

“ฉันเสียใจมากค่ะที่ทรยศคุณวันนั้น แต่ฉันไม่มีทางเลือก”

“ผมรู้ทูนหัว ไม่ต้องพูดถึงมันอีกแล้ว”

“ไม่ค่ะ ฉันต้องพูด วันนั้นฉันเสียใจมากที่รู้ว่าคุณไม่ได้จดทะเบียนกับฉันด้วยความรัก แต่ที่ต้องจดก็เพราะว่าไม่มีทางเลือก หัวใจของฉันเจ็บปวด แต่ฉันก็ยังรักคุณอยู่ดี ฉันปฏิเสธคำขู่ของอาคุณไม่ได้ เมื่อเขาเอารูปพ่อที่นอนจมกองเลือดมาให้ดู ฉันสับสนมาก และสุดท้ายฉันก็เลือกที่จะทรยศคุณเพื่อช่วยพ่อเอาไว้ แต่มันก็ไม่สามารถช่วยพ่อเอาไว้ได้อยู่ดี พ่อตายเพราะไม่อยากให้ฉันลำบาก”

น้ำตาแห่งความอาดูรไหลพรากลงมาอาบแก้มของยาหยีอีกครั้ง คอร์เนลพรมจูบซับให้ด้วยความอ่อนโยน

“หยุดร้องไห้เถอะนะลูกหยี เรื่องมันผ่านมาแล้ว ยังไงเราก็ย้อนกลับไปแก้ไขมันไม่ได้ เรามาทำวันนี้ให้ดีที่สุดดีกว่านะ อยู่กับผม อยู่เป็นเมียคนเดียวในชีวิตของผม”

รอยยิ้มกระจ่างตาของคอร์เนลทำให้ความอิ่มเอิบแล่นเข้าไปสู่เนื้อหัวใจอย่างมหาศาล ในที่สุดก็มีวันนี้จริงๆ เหรอ วันที่คอร์เนลเอ่ยปากขอให้หล่อนเป็นผู้หญิงของเขาไปตลอดชีวิต น้ำตาทะลักเพิ่มมากขึ้นอีก แต่คราวนี้มันทะลักออกมาพร้อมๆ กับความตื้นตันใจ

“คุณพูดจริงหรือคะคอร์เนล รักฉันจริงๆ หรือคะ”

มือบางยกขึ้นไล้สันกรามกระด้างของผู้ชายตัวโตที่กำลังทาบทับกายสาวอยู่อย่างแผ่วเบา มองเข้าไปในดวงตาสีเขียวดุจมรกตเนื้อดีของเขาอย่างเปิดเปลือยหัวใจ

“ขอให้เชื่อผมเถอะลูกหยีว่าผมรักคุณจริงๆ รักมากกว่าชีวิตของตัวเองเสียอีก” คำยืนยันของเขาช่างหนักแน่นซะเหลือเกิน และมันก็ทำให้หัวใจของหล่อนพองโตจนคับอก

“คอร์เนล…ฉันไม่อยากเชื่อเลยว่าจะได้ยินคำนี้จากปากของคุณอีกครั้ง”

“ผมพูดแล้วไง พูดจากใจจริงซะด้วย” เขายิ้มกว้าง ใบหน้าแต่งแต้มด้วยความสุขล้นใจ ก้มลงจูบสะเปะสะปะไปทั่วใบหน้านวล

“รู้ไหมคะว่าครั้งแรกที่เห็นหน้าคุณ ฉันรู้สึกยังไง”

“ตกหลุมรักใช่ไหม” เขากระเซ้าเสียงหวาน ขณะงับเนื้อนุ่มที่ซอกคอหนักๆ

“ไม่ใช่สักหน่อย”

“ไม่ใช่แล้วยังไงล่ะครับ”

คนตัวโตถามไปงั้นแหละ ไม่ได้อยากจะฟังอะไรหรอก เพราะตอนนี้ความสนใจของเขาพุ่งเป้าไปที่ร่างอวบงามของภรรยาอย่างแน่วแน่เลยทีเดียว

“ฉันรู้สึกราวกับว่าตัวเองตายแล้วโชคดีได้ไปเกิดบนสวรรค์ต่างหาก”

คอร์เนลหัวเราะลั่น แต่กระนั้นก็ยังไม่ยอมเงยหน้าขึ้นจากร่างงามแม้แต่น้อย

“ขนาดนั้นเชียวหรือ สงสัยผมคงหล่อลากไส้น่าดู”

สาวน้อยเบ้ปากใส่ด้วยความหมั่นไส้ พลางหวนนึกไปถึงการพบกันครั้งแรกของหล่อนและสามีสุดหล่อ

“อย่าทำเป็นแกล้งไม่รู้ไปหน่อยเลยค่ะ คุณก็รู้ตัวดีไม่ใช่หรือคะว่ามีเสน่ห์มากแค่ไหน ฉันน่ะรู้สึกต่ำต้อยลงทันทีเพียงแค่เห็นคุณยืนอยู่ตรงหน้าเท่านั้นแหละ”

“ผมไม่ได้เลิศเลอขนาดนั้นหรอกนะลูกหยี ผมอาจจะโก้หรู อาจจะหล่อเหลาปานเทพบุตร แต่ผมก็ร้ายกาจพอๆ กับความดูดีของตัวเองนั่นแหละ ซึ่งคุณก็รู้ดีไม่ใช่หรือ”

คนตัวโตย้ำคำพูดของตนเองด้วยการจูบหนักหน่วง แต่สำหรับคอร์เนล แค่จูบเฉยๆ มันเพียงพอที่ไหน เขาต้องสำรวจร่างงามด้วยฝ่ามือร้อนๆ ตามไปด้วย

“อื้อ…อย่าซนสิคะ พะ…พอก่อนค่ะ”

หญิงสาวพ้อเสียงระทดระทวย กว่าจะรวบรวมสติพูดต่อได้ก็ปาเข้าไปหลายอึดใจเลยทีเดียว ก็พ่อเจ้าประคุณเล่นซุกซนซะเหลือเกินนี่ ลูบนู่น คลำนี่ จับนู่น บีบนี่ จนกายสาวชอกช้ำไปซะทั้งตัว

“อย่าขัดใจผมสิทูนหัว ผมจะคลั่งแล้วนะ”

‘นั่นไง ดูสิ คนตัวโตเอาแต่ใจอย่างน่าหมั่นไส้นักเชียว’

“อย่าดื้อสิคะ ฟังก่อน”

ในที่สุดก็ดันใบหน้าแดงก่ำด้วยฤทธิ์เดชของเพลิงสวาทออกจากซอกคอได้สำเร็จ คนตัวโตแสดงท่าทางขัดอกขัดใจออกมา

“ฟังก็ได้ครับ แต่ผมมีเวลาให้แค่หกสิบวินาทีนะ ถ้าพูดไม่จบ ผมไม่สนใจแล้วด้วย รู้ไหมว่าหิวจนตาลายไปหมดแล้ว อยากกินลูกหยี”

สาวน้อยหน้าแดงระเรื่อ คำพูดและสายตาของสามีสร้างความปั่นป่วนให้กับกายสาวได้อย่างมหาศาลเลยทีเดียว

“อยากพูดอะไรก็พูดมาครับ ก่อนจะหมดเวลา” เขาเร่งยิก มองหล่อนราวกับจะกลืนกินเข้าไปทั้งตัวอย่างไงอย่างงั้น

ยาหยียิ้มหวานฉ่ำ จ้องสามีด้วยความรักใคร่หมดหัวใจ ก่อนจะพูดถามในสิ่งที่คาใจของตนเองออกมาด้วยกลีบปากที่สั่นระริก

“ทำไมถึงรักฉันคะ ทั้งๆ ที่ฉันเป็นแค่ผู้หญิงข้างถนนแสนธรรมดา”

คอร์เนลฉีกยิ้มกว้างอีกครั้ง พร้อมๆ กับยักคิ้วข้างหนึ่งขึ้นสูง ซึ่งมันก็ทำให้เขาดูหล่อมากขึ้นอย่างเหลือเชื่อ ยาหยีมัวแต่นอนมองใบหน้าคมสันเพลินจนไม่รู้ว่าตัวเองถูกถอดชั้นในชิ้นสุดท้ายออกไปตอนไหนกันแน่ ตอนที่หล่อนมองเขายักคิ้ว หรือว่าตอนที่หล่อนแลบลิ้นไล้กลีบปากด้วยความกระหายเขากันแน่นะ

“คุณไม่ธรรมดาสักหน่อย ไม่อย่างนั้นจะมัดใจผมได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เรา…กันหรือไง”

สาวน้อยหน้าแดงจัด กายสาวร้อนฉ่าเมื่อพ่อคนตัวโตเริ่มปฏิบัติการล่าสวาทกับเรือนร่างของหล่อนอีกครั้ง ตั้งแต่ซอกคอระหง ไล่ต่ำลงไปยังเต้างามอวบสล้าง และท่าทางจะไม่ยอมหยุดแค่นั้นซะด้วย

“ฉันแทบไม่เชื่อว่าคุณจะติดใจฉัน ทั้งๆ ที่ไม่คุ้นเคยกับความสัมพันธ์แบบนี้เท่าไรนัก”

“คุณไม่เคยเลยต่างหากยาหยี และผมก็ภูมิใจมากเหลือเกินที่ได้เป็นคนสอนทุกอย่างให้กับคุณ ทุกอย่างจริงๆ” เขางึมงำกับปลายถันสีสวยสด หญิงสาวกัดฟันข่มเสียงแห่งความรัญจวนเอาไว้ขณะพยายามพูดออกมาอีก

“ฉันนึกว่าคุณจะคิดว่าฉันจืดชืดซะอีก”

คราวนี้คนตัวโตเงยหน้าจากเต้างามขึ้นมาจ้องมองลึกเข้ามาในดวงตาของหล่อนนิ่งนาน

“หากจะให้พูดจากใจจริง ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงเลือกคุณ ทำไมถึงต้องรักคุณ ทั้งๆ ที่คุณเป็นสาวไร้ประสบการณ์ แถมเรื่องบนเตียงก็ยังไม่เอาไหนเสียเลย ตอนแรกผมคิดว่าแค่ครั้งเดียวผมก็คงจะเลิกติดต่อกับคุณอีก แต่พอได้ครอบครองคุณจริงๆ ความคิดของผมที่จะปล่อยคุณไปก็ค่อยๆ เปลี่ยนแปร ผมต้องการคุณตลอดเวลาจนแทบบ้า เซอร์เกเตือนผมอยู่บ่อยๆ แต่ผมก็ยังไม่สามารถตัดใจจากคุณได้ แค่อยู่ห่างเพียงชั่วโมงเดียวผมก็เกือบคลั่งจนต้องบุกไปหาถึงในห้องเรียนยังไงล่ะ รู้ไหมว่าผมไม่เคยทำตัวไร้สาระแบบนั้นมาก่อนเลย แต่พอได้มาเจอคุณ ผมต้องทำทุกอย่างที่ตัวเองเคยตั้งแง่รังเกียจ และทุกอย่างที่ผมทำลงไปทั้งหมดก็เพื่อให้มีคุณอยู่ข้างกายผมตลอดไปเท่านั้นเอง”

“คอร์เนล…”

“สัญญาสิว่าคุณจะอยู่กับผม จะไม่เดินไปจากผมอีก”

ยาหยีระบายยิ้มกว้างออกมาทั้งน้ำตา น้ำตาแห่งความดีใจ สุขใจ และซาบซึ้งใจ ไม่เคยคิดเลยว่าผู้ชายที่ดูภายนอกแล้วแสนอำมหิต สุดร้ายกาจ และไม่มีหัวใจอย่างคอร์เนล เวลาหวานแล้วจะทำได้อย่างดีเยี่ยมแบบนี้

“ฉันจะอยู่ค่ะ และจะอยู่กับคุณตลอดไป” สาวน้อยยิ้มหวานทั้งน้ำตา

“ชั่วนิรันดร์…” ยาหยีตอกย้ำความมั่นใจให้กับสามีสุดหล่อด้วยการโขมยจุมพิตเบาๆ ที่แก้มสากของเขาฟอดใหญ่ คอร์เนลยิ้มกว้างจนแก้มแทบปริ พรมจูบดวงหน้านวลของหญิงในอ้อมแขนอย่างไม่คิดจะยอมเสียเปรียบ

“ทูนหัว…ยอดรักของผม”

อ้อมกอดของคอร์เนลแน่นขึ้น ขณะที่ริมฝีปากร้อนผ่าวของเขาก้มลงมาตักตวงความหวานฉ่ำจากกลีบปากที่เผยอรออยู่แล้วของยาหยีอย่างนุ่มนวล ปลายลิ้นใหญ่แทรกลึกเข้าไปเกี่ยวกระหวัดรัดรึงลิ้นเล็กด้วยความหิวกระหาย ฝ่ามือใหญ่ลูบไล้ไปทั่วเรือนกายสาวด้วยความหลงใหล ทุกสัมผัสอ่อนนุ่มราวกับว่าเขาต้องการจะขอโทษขอโพยในสิ่งที่ตนเองได้กระทำกับหล่อนเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา

“ผมรักคุณ… ลูกหยี”

เขาพร่ำบอกกับผิวสาวของหล่อนในทุกซอกทุกมุม ประกาศให้สาวน้อยรู้ว่าตนเองจะรักและภักดีต่อหล่อนไปตลอดชีวิต

“และจะไม่มีวันหยุดพูดคำนี้เลยตราบที่ผมยังมีลมหายใจอยู่…”

“คอร์เนล…”

ยาหยีนอนหลับตาพริ้มยิ้มรับกับความร้อนแรงของสามีที่เพิ่มทวีขึ้นเรื่อยๆ เมื่ออารมณ์ของเขาเดินหน้ามาไกลเกินกว่าที่จะควบคุมได้ นิ้วเรียวจิกลงบนหัวไหล่ทรงพลังอย่างลืมตัว เมื่อความซาบซ่านฉุดร่างของหล่อนให้ทะยานขึ้นสู่สรวงสวรรค์ เสียงร่ำร้องของเขาดังก้อง ก่อนที่คนตัวโตจะซบลงมาจุมพิตปากอิ่มของหล่อนอีกครั้งเนิ่นนาน

“ผมรักคุณเหลือเกิน แม่ลูกหยีแสนหวาน…”

คนตัวโตกระซิบคำรักข้างหูของหล่อนซ้ำแล้วซ้ำอีกอย่างไม่รู้จักหน่าย สองดวงใจถูกพันธนาการกันไว้อย่างแนบแน่นด้วยสายใยแห่งรักแท้ และแน่นอนว่ามันจะแนบสนิทเช่นนี้ไปชั่วนิจนิรันดร์

“แน่ใจนะว่าไปไหว”

ลินดาถามเพื่อนด้วยความเป็นห่วง เพราะเห็นสภาพของยาหยีแล้วไม่ต่างจากคนซังกะตายเลยแม้แต่นิดเดียว

“ฉันสัญญาเอาไว้ตั้งแต่ตอนมาถึงแล้วนี่ ยังไงก็ต้องไปเป็นเพื่อนเธอ”

“แต่ฉันไปเองได้น่า ไม่ต้องกลัวฉันหลงทางหรอก ร้านนั้นอยู่ใกล้ๆ โรงแรมเองไม่ใช่เหรอ” ลินดายังพยายามคัดค้าน แต่ยาหยีไม่คิดจะยอมแพ้

“ถ้าไม่อยากให้ฉันผูกคอตายในห้องพัก ก็ให้ฉันไปด้วยเถอะลินดา บางทีการได้มองนู่นมองนี่อาจจะทำให้ฉันคลายความเจ็บลงบ้างก็ได้นะ” น้ำตาซึมออกมาอีกแล้ว แต่เจ้าตัวก็รีบป้ายมันทิ้งซะก่อน

ลินดามองเพื่อนด้วยความสงสาร หล่อนผิดเองที่บังคับให้ยาหยีมาที่กรุงมอสโกนี่ หล่อนผิดเองที่มองพลาดว่าคอร์เนลอาจจะยังรักยาหยีอยู่ แต่ทุกอย่างมันก็เป็นอย่างที่เห็น ยาหยีร้องไห้น้ำตาท่วมหน้ากลับมาเมื่อคืนมันก็ตอบคำถามได้ดีแล้วนี่ว่าพ่อเทพบุตรตาเขียวคนนั้นสิ้นเยื่อใยกับเพื่อนรักของหล่อนไปโดยสิ้นเชิงแล้ว

“ก็ได้…งั้นเราไปด้วยกันนะ”

ยาหยีฝืนยิ้ม ก่อนจะเดินตามหลังลินดาออกไปจากห้อง แม้ความเจ็บปวดจากวาจาถากถางของคอร์เนลที่เกิดขึ้นเมื่อคืนจะยังไม่จางหาย แต่หล่อนก็ต้องข่มมันไว้ให้มิด หล่อนจะไม่ยอมอ่อนแอให้ใครต้องเป็นห่วงอีกแล้ว

‘หล่อนจะต้องเข้มแข็ง ลืมให้ได้ว่าตัวเองมาที่นี่ทำไม หล่อนมาที่กรุงมอสโกนี่ก็เพื่อท่องเที่ยวเท่านั้น ใช่…หล่อนมาเที่ยว ไม่มีอะไรมากกว่าการท่องเที่ยวเลย’

ยาหยีร้องบอกตัวเอง พร้อมกับฝืนยิ้มอีกครั้ง แม้มันจะยังเจือความขมขื่นอยู่บ้างก็ตามที

คอร์เนลยืนพิงรถคันงามของตัวเองอยู่ด้วยความหงุดหงิด เมื่อเซอร์เกคนที่ขับรถมาให้เขาในวันนี้เดินหายเข้าไปในร้านขายของฝากชื่อดังของกรุงมอสโกนานเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว ให้ตายเถอะ ตั้งแต่เกิดมาเขายังไม่เคยต้องรอใครนานถึงขนาดนี้เลย จะมีก็แค่…ชายหนุ่มหยุดคิดเพียงเท่านั้น ก่อนจะเดินตรงไปยังร้านค้าขนาดใหญ่ตรงหน้าด้วยความคับข้องใจ

แล้วเขาก็ได้เห็นเซอร์เกกำลังยืนคุยอยู่กับยาหยีและลินดาอย่างออกรสออกชาติ ซึ่งมันยิ่งกระตุ้นต่อมเดือดดาลของเขาให้ทวีความรุนแรงมากขึ้นยิ่งนัก

‘ให้ตายเถอะ ปล่อยให้เขารอแหง็กอยู่ที่รถ ตลกสิ้นดี’

คอร์เนลคำรามอยู่ในอกขณะก้าวเท้าเข้าไปสมทบ

“นึกว่านายตายไปแล้วซะอีกเซอร์เก”

“นายน้อย…เอ่อ…พอดีผมบังเอิญเจอคุณลินดากับคุณยาหยีก็เลยทักทายกันตามประสาคนเคยรู้จักน่ะครับ นี่ก็กำลังจะกลับแล้ว” เซอร์เกละสายตาจากใบหน้าของยาหยีมายิ้มให้กับคอร์เนลที่ใบหน้าบึ้งตึงราวกับโกรธใครมาสักร้อยชาติ

“ก็ดี…งั้นก็กลับได้แล้ว”

คอร์เนลจ้องมองยาหยีไม่วางตา ขณะที่หญิงสาวมองผ่านเขาไปราวกับเขาเป็นอากาศธาตุก็ไม่ปาน มันน่าแค้นใจนักที่ผู้หญิงที่คร่ำครวญว่ารักเขามากมายเมื่อวาน ตอนนี้กลับขว้างความเย็นชาใส่หน้าเขาราวกับไม่เคยรู้จักกันมาก่อน คงคิดว่าเขาจะสนใจใช่ไหม ฝันไปเถอะแม่คุณ!

“ฉันจะไปรอที่รถ รีบตามไปด้วยล่ะ ไม่อย่างนั้นฉันจะทิ้งนายไว้ที่นี่แหละ!”

ทันทีที่คอร์เนลก้าวยาวๆ ออกไปจากร้านขายของฝากด้วยความเดือดดาล เซอร์เกก็หันกลับมายิ้มบางๆ ให้กับยาหยีและลินดาอีกครั้ง

“อีกหน่อยก็คลั่งแล้วล่ะครับ อีกนิดเดียว”

“ช่างเขาเถอะค่ะ ฉันไม่อยากรับรู้เรื่องราวของเขาอีกแล้ว” ยาหยีพูดขึ้นเสียงราบเรียบไร้ความรู้สึก ลินดายกมือขึ้นตบไหล่เพื่อนเบาๆ

“ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเธอจะตีหน้าขรึมได้เนียนขนาดนี้ ดูพ่อเทพบุตรตาเขียวสิ หน้ามึนออกไปเลย คงจะตกใจที่ถูกเธอแสดงท่าทางเย็นชาใส่บ้างล่ะมั้ง” ลินดาหัวเราะออกมา ขณะที่ยาหยีเอาแต่ระบายยิ้มขมขื่นออกมาเท่านั้น

“ผมต้องขอตัวก่อนนะครับ ไว้วันเดินทางผมจะไปส่งที่สนามบิน”

“อย่าเลยค่ะ ฉันกับลินดากลับเองได้ ไม่อยากรบกวนคุณ” ยาหยีพูดด้วยความเกรงใจ เซอร์เกส่ายหน้าน้อยๆ

“ไม่ต้องเกรงใจหรอกครับ เพราะบางทีคุณอาจจะไม่ได้กลับตามกำหนดก็ได้ ใครจะไปรู้ ผมไปก่อนนะครับ” เซอร์เกโบกมือให้สองสาว ก่อนจะรีบวิ่งออกจากร้านขายของฝากไปทั้งๆ ที่ยังไม่ได้อะไรติดมือไปเลยแม้แต่อย่างเดียว

“นึกว่าจะนอนอยู่ในนั้นซะอีก” เมื่อมาถึงรถคันงามพ่อคนหน้าบูดก็ค่อนแคะทันที

“ขอโทษจริงๆ ครับนายน้อย”

“ไม่ต้องขอโทษหรอก ว่าแต่ไหนนายบอกว่าจะเข้าไปซื้อของฝากเพื่อนที่รู้จักไง แล้วทำไมไม่เห็นได้อะไรติดมือมาสักอย่างเดียว”

น้ำเสียงข้องใจของคอร์เนลทำให้เซอร์เกต้องรีบแก้ตัว เพราะเขาคงไม่กล้าบอกออกไปหรอกว่าที่เข้าไปในนั่นก็เพราะเห็นยาหยีกับลินดาอยู่ข้างใน

“พอดีของที่อยากได้มันไม่มีน่ะครับ เอาไว้ผมไปหาดูร้านอื่นอีกครั้งดีกว่าครับ”

คอร์เนลหรี่ตาแคบมองคนสนิทอย่างไม่ไว้ใจ ก่อนจะก้าวขึ้นรถ เซอร์เกถอนใจออกมาก่อนจะรีบสวมบทบาทสารถีพารถคันงามเคลื่อนออกไปจากหน้าร้านขายของฝากอย่างรวดเร็ว

ตลอดทางในรถมีแต่ความเงียบ คอร์เนลนั่งหลับตานิ่งคล้ายกับไม่ทุกข์ไม่ร้อนใดๆ ทั้งๆ ที่ภายในอกกำลังถูกแผดเผาด้วยไฟโลกันตร์อย่างอำมหิต ให้ตายเถอะ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่ายาหยีจะกล้าแสดงท่าทางเย็นชาแบบนี้ใส่เขามาก่อน ทั้งๆ ที่เขาจ้องหล่อนซึ่งๆ หน้า แต่หล่อนก็ยังทำเฉย ทำเหมือนไม่มีเขาอยู่ตรงหน้า

‘ระยำ! นี่มันเรื่องระยำอะไรกันนะ’

คอร์เนลฟาดกำปั้นลงกับเบาะรถข้างตัวแรงๆ อย่างต้องการระบายอารมณ์ ทำไมเขาถึงลืมผู้หญิงคนนี้ไม่ได้สักทีนะ ทั้งๆ ที่คิดว่าทำได้ดี ทำได้อย่างดีเยี่ยม แต่พอเห็นหล่อนไม่แยแสต่อการมีตัวตนของเขา ชายหนุ่มก็แทบคลุ้มคลั่ง  ตอนนี้หลงคิดไปว่าตัวเองสามารถกุมชัยชนะเอาไว้ในมือได้ แต่ทุกอย่างก็กลับตาลปัตรเมื่อได้เห็นสายตาห่างเหินราวกับคนไม่เคยรู้จักกันของหล่อนเมื่อกี้นี้ มันหมายความว่ายังไงกันนะ?

เซอร์เกจ้องมองท่าทางของเจ้านายหนุ่มด้วยความพึงพอใจ อีกไม่นานหรอกคอร์เนลก็จะต้องรีบวิ่งแจ้นกลับไปง้องอนขอคืนดีกับยาหยีอย่างแน่นอน เขาเอาหัวเป็นประกันได้เลย

“นายน้อยจะไปออฟฟิศก่อน หรือว่าจะไปโรงงานครับ” เมื่อรถแล่นมาถึงทางแยกที่ต้องตัดสินใจ เซอร์เกจึงเอ่ยถามเจ้านายของตัวเอง แต่คำตอบที่ได้นี่สิ กลับทำให้เซอร์เกปล่อยก๊ากออกมาด้วยความขบขัน

“ไม่ไปไหนทั้งนั้นแหละ”

“แล้วนายน้อยจะให้ผมขับรถไปไหนล่ะครับ” แกล้งทำเป็นไขสือ ทั้งๆ ที่รู้อยู่เต็มอกว่าตอนนี้คอร์เนลอยากจะไปไหนใจจะขาด

“โรงแรมซาวอยมอสโก” คอร์เนลกระชากเสียงตอบ พยายามจะทำเป็นไม่ใส่ใจกับใบหน้ายิ้มๆ ของคนสนิทมากนัก

“ครับนายน้อย” สารถีแสนรู้ใจกลับรถอย่างรวดเร็ว และเพียงไม่นานรถคันหรูก็มาจอดที่หน้าโรงแรมซาวอยมอสโก คอร์เนลก้าวลงไปทันที เซอร์เกกำลังจะเดินตามชายหนุ่มเข้าไป แต่ก็ถูกห้ามเอาไว้เสียก่อน

“โทรให้คนเอารถสปอร์ตมาให้ฉันด้วย ส่วนนายจะไปไหนก็ไป”

จบคำพูดห้วนกระด้าง ร่างของคอร์เนลก็ก้าวเข้าไปในโรงแรมระดับสี่ดาวเบื้องหน้าในพริบตา เซอร์เกส่ายหน้าช้าๆ ก่อนจะเคลื่อนรถออกไปเช่นกัน

“มีสิ่งใดให้รับใช้คะ”

“ต่อสายมิสยาหยี โรจน์มหามงคลให้ผมหน่อย”

คอร์เนลเอ่ยกับประชาสัมพันธ์สาวสวยที่โปรยยิ้มหวานให้กับตัวเองด้วยน้ำเสียงที่พยายามข่มให้ราบเรียบที่สุด

“จะให้เรียนว่าใครจะคุยด้วยคะ”

“ผัว!”

ชัดเจน และดังพอที่จะทำให้พนักงานอีกสองสามคนที่อยู่แถวๆ นั้นหันมามองด้วยความเสียดาย แต่คอร์เนลไม่สนใจ เขายังคงยืนกอดอกนิ่งด้วยความอดทนที่ใกล้หมดลงเต็มที

“มีสายถึงคุณยาหยีค่ะ เอ่อ…เขาบอกว่าเป็นผะ…เอ่อ…สามีค่ะ”

ประชาสัมพันธ์พูดเสียงนุ่มนวลไปตามสาย ลินดาที่เป็นคนรับสายรีบยื่นกระบอกโทรศัพท์ไร้สายให้กับเพื่อนสนิทที่กำลังนั่งเหม่อลอยอยู่บนเตียง

“อะไรเหรอ?” ยาหยีถามขึ้นเมื่อเห็นลินดายื่นโทรศัพท์มาให้ตรงหน้า

“ของเธอ เขาบอกว่าสามีเธอต้องการคุยด้วย”

“สามี? ฉันไม่มีใครนะนอกจาก…”

หญิงสาวนึกถึงคอร์เนลขึ้นมาในทันที แต่เขาจะมาได้ยังไงล่ะในเมื่อเขาเป็นคนบอกหล่อนเองว่าจะไม่เจอกันอีกแล้วในชาตินี้

“อย่าเดาเลยน่ารับเถอะ เดี๋ยวฉันขอตัวลงไปเดินเล่นข้างล่างแป๊บนะ สักสองสามชั่วโมงจะกลับขึ้นมา”

ยาหยีรับโทรศัพท์จากมือเพื่อนมาถือเอาไว้ ขณะมองตามร่างของลินดาหายไปกับบานประตูห้อง หญิงสาวยกโทรศัพท์มาแนบหู

“ผมมีเรื่องต้องการคุยกับคุณ…”

เสียงนี้ต่อให้ตาย หล่อนก็จำได้ไม่มีวันลืมแน่นอน

“คอร์เนล…”

“จะลงมาหรือให้ผมให้ไปหาบนห้องล่ะ”

แค่ได้ยินเสียงเขาเพียงเท่านั้น หัวใจของหล่อนก็เต้นแรงจนน่าตกใจ และหากต้องเห็นหน้าสบตากันด้วย มีหวังหล่อนทำใจแข็งเป็นเย็นชาเหมือนเมื่อเช้าไม่ได้แน่ๆ เลย

“เราไม่มีอะไรต้องพูดกันอีก และฉันไม่อยากพบคุณ” น้ำเสียงของยาหยีห่างเหินจนคอร์เนลที่ฟังอยู่ถึงกับอึ้งไปหลายวินาที

“งั้นก็แสดงว่าต้องการให้ขึ้นไปบนห้องใช่ไหม ได้…งั้นรอเดี๋ยว!”

ด้วยความหวาดกลัวที่จะต้องเผชิญหน้ากับคอร์เนลตามลำพัง ยาหยีจึงต้องรีบตอบตกลง ยังไงพบกันข้างล่างก็ยังมีคนอยู่ในเหตุการณ์บ้างล่ะน่า

“ก็ได้ ฉันจะลงไปพบ…ที่ไหน”

“ผมรออยู่ที่ล็อบบี อย่าช้าล่ะ ผมไม่ชอบนั่งรอใครนาน” เขาวางสายไปแล้ว แต่หล่อนยังกำกระบอกโทรศัพท์เอาไว้แน่น กำจนข้อนิ้วซีดขาวทีเดียว

“ยังเห็นฉันเจ็บไม่พอหรือไงคะคอร์เนล”

ยาหยีผ่อนลมหายใจออกจากปากยาวๆ เพื่อลดความเครียดภายในอก จากนั้นก็ค่อยๆ วางลงกับแป้น และเดินออกไปจากห้อง มุ่งหน้าลงไปยังล็อบบีอย่างไม่มีทางเลือก

“ขอบคุณนะคะที่มาส่ง ลาก่อนค่ะ” เมื่อรถจอดที่หน้าโรงแรม ยาหยีก็เอ่ยลาและจะก้าวลงจากรถ แต่เซอร์เกรีบเรียกเอาไว้เสียก่อน

“นายน้อยใจร้ายกับคุณมากใช่ไหมครับ”

หญิงสาวไม่สามารถเก็บกักน้ำตาได้อีกต่อไป มันทะลักออกมาอีกครั้งอย่างท่วมท้น ขณะพูดคร่ำครวญออกไปเสียงสั่นระริกจนคนฟังอดเวทนาไม่ได้

“เขาเกลียดฉัน…เขาบอกว่าเขาอาจจะไม่เคยรักฉันเลยก็ได้”

“ไม่จริงหรอกครับ นายน้อย…” เซอร์เกพยายามจะพูด แต่ก็ถูกยาหยีแทรก

“จริงค่ะ ทุกอย่างมันคือเรื่องจริง และฉันก็ยอมแพ้แล้ว ฉันจะไม่เข้าไปวุ่นวายกับเขาอีก เพื่อความสบายใจของเขา”

เซอร์เกนั่งมองยาหยีร้องไห้อยู่นานพอดูจึงพูดขึ้น

“แล้วคุณยาหยีจะกลับกรุงเทพฯ พรุ่งนี้เลยหรือเปล่าครับ”

ยาหยียิ้มทั้งน้ำตา

“ฉันก็อยากจะกลับพรุ่งนี้ใจจะขาด แต่ตั๋วเครื่องบินที่ซื้อไว้มันเป็นแบบไปกลับ และกำหนดกลับมันก็อีกสองวันข้างหน้า แต่รับรองนะ ฉันจะไม่เข้าไปใกล้ในรัศมีของคอร์เนลแน่นอน ฉันสัญญา…ฝากลาป้าเชอรี่ด้วยนะ”

“ครับคุณยาหยี”

เซอร์เกหมดปัญญาที่จะเหนี่ยวรั้งหญิงสาวเอาไว้ได้อีก ทำได้แค่เพียงปล่อยให้หล่อนก้าวลงจากรถไปต่อหน้าต่อตา ในใจก็นึกหมั่นไส้คอร์เนลนัก อย่างนี้มันน่าปล่อยให้อกหักไปตลอดชีวิตนักเชียว ชายวัยกลางคนถอนใจออกมา ก่อนจะเคลื่อนออกไปจากหน้าโรงแรมทันที

“นายใช่ไหมที่เป็นตัวตั้งตัวตีให้แม่นั่นขึ้นไปหาฉันบนห้องนอน” เมื่อก้าวลงจากรถก็พบกับเสียงคำรามแสนเดือดดาลของคอร์เนลทันที เซอร์เกพยักหน้ารับ

“ผมคิดว่านายน้อยจะดีใจที่ได้เห็นเธอ แต่ผิดคาดนายน้อยคงเกลียดเธอมาก ถึงได้ทำร้ายเธอแบบนั้น”

“ฉันทำอะไร ฉันไม่ได้ฆ่าแกงแม่นั่นสักหน่อย ก็แค่…”

‘ก็แค่ฟัดจนเละก็เท่านั้นแหละ’

ชายหนุ่มพูดต่อในใจ ก่อนจะหมุนตัวหันไปกอดอกมองท้องฟ้าด้วยท่าทางไม่รู้ไม่ชี้อะไรทั้งสิ้น

คนสนิทส่ายหน้าไปมาช้าๆ ก่อนจะพูดออกมา

“ที่ผมพยายามทำแบบนี้ก็เพราะคิดว่านายน้อยอาจจะยังต้องการคุณยาหยีอยู่ แต่ตอนนี้ผมพอจะรู้แล้วล่ะครับว่านายน้อยไม่ได้ต้องการเธอแล้ว ดังนั้นผมจะไม่พยายามรั้งเธอไว้อีก และจะยินดีมากที่พรุ่งนี้เธอจะกลับเมืองไทย”

คอร์เนลหันขวับกลับมาจ้องหน้าเซอร์เกเขม็งทันที

“พรุ่งนี้หรือ เที่ยวไหน?”

“นายน้อยจะรู้ไปทำไมล่ะครับ ในเมื่อนายน้อยเกลียดคุณยาหยีราวกับกิ้งกือไส้เดือน ขนาดผู้หญิงมาง้อถึงเตียงยังไล่ส่งไปแบบไม่ไว้หน้าอย่างนั้น” เซอร์เกประชดประชัน คอร์เนลหน้าแดงก่ำด้วยโทสะ

“ไม่ต้องบอกก็ได้ ฉันก็ถามไปอย่างนั้นแหละ ไม่เห็นจะอยากรู้เลย”

“ก็ดีครับ ผมก็ไม่อยากจะบอกเหมือนกัน เออ…แต่ว่าพรุ่งนี้ผมขออนุญาตนายน้อยไปส่งคุณยาหยีกับคุณลินดาขึ้นเครื่องบินนะครับ ผมอยากลาเธอเป็นครั้งสุดท้าย”

“ลินดาเหรอ? อ้าว…ไหนนายบอกฉันว่ายาหยีมากับแฟนใหม่ไง” คอร์เนลหรี่ตามองเซอร์เกเขม็งอย่างเอาเรื่อง

“อ๋อ…เรื่องนั้นนั่นเอง ผมเข้าใจผิดไปครับ พอดีเห็นผู้ชายเดินข้างๆ คุณยาหยีก็เลยทึกทักเอาแบบนั้น แต่จริงๆ แล้วคุณยาหยีมากับคุณลินดาแค่สองคน และมาเพื่อง้องอนคนไร้หัวใจอย่างนายน้อยโดยเฉพาะเลยครับ”

‘นั่นไง…หัวใจอ่อนยวบลงทันที แต่ภาพเมื่อเช้าล่ะ ยาหยีกับผู้ชายคนนั้น’

“แต่เมื่อเช้าฉันเห็นยาหยีจับมือกับผู้ชายคนหนึ่ง…ท่าทางจะสวีตกันน่าดูเลยด้วย”

เซอร์เกแทบหัวเราะก๊ากออกมาเมื่อคอร์เนลเฉลยออกมาแล้วว่า ที่วันนี้ทั้งวันอารมณ์เสียจนแทบจะพังบ้านพังเมืองได้เป็นเพราะสาเหตุอะไร

‘คนปากแข็ง!’

“อ้าว…นายน้อยไปที่โรงแรมซาวอยมอสโกมาด้วยหรือครับ ผมไม่ยักจะรู้ แต่ว่านายน้อยไปที่นั่นทำไมล่ะครับ ในเมื่อ…”

“ฉันไปทำธุระนิดหน่อย แล้วก็บังเอิญเห็นแค่นั้นเอง”

เมื่อกำลังจะถูกจับความรู้สึกได้ คอร์เนลจึงรีบแก้ตัวพัลวัน มันช่างเป็นคำแก้ตัวที่ฟังไม่ขึ้นเลยแม้แต่นิดในความคิดของเซอร์เก

“เหรอครับ งั้นผมขอตัวไปนอนก่อนนะครับ พรุ่งนี้จะได้เตรียมตัวไปหาคุณยาหยีแต่เช้า” เซอร์เกเดินจากไปแล้ว แต่คอร์เนลก็ยังหงุดหงิดงุ่นง่านไม่หยุด

“อ๋อ…เรื่องนั้นนั่นเอง ผมเข้าใจผิดไปครับ พอดีเห็นผู้ชายเดินข้างๆ คุณยาหยีก็เลยทึกทักเอาแบบนั้น แต่จริงๆ แล้วคุณยาหยีมากับคุณลินดาแค่สองคน และมาเพื่อง้องอนคนไร้หัวใจอย่างนายน้อยโดยเฉพาะเลยครับ”

‘นี่ยาหยีไม่ได้มากับแฟนใหม่แต่มากับลินดาหรอกหรือ’

ชายหนุ่มถอนใจออกมาเมื่อนึกถึงความระยำของตัวเองที่กระทำกับยาหยีในห้องนอนเมื่อครู่ที่ผ่านมา หยาดน้ำตา เสียงสะอื้น และคำอำลา ทุกสิ่งทุกอย่างที่หลุดออกมาจากปากอิ่มสวยที่เขาชิมมาเป็นร้อยครั้งพันครั้งล้วนแต่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดเหลือแสน

แต่เขาจะเชื่อหล่อนได้ยังไงกัน ในเมื่อเรื่องผู้ชายคนเมื่อเช้ายังไม่มีใครให้คำตอบเขาได้สักคนเลยว่าเป็นใคร แล้วทำไมถึงได้มาจับมือถือแขนยาหยีได้

คอร์เนลถอนใจออกมาแรงๆ ก่อนจะหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในตึก เนื้อตัวยังปวดร้าว โหยหาความหอมหวานจากกายสาวของยาหยีจนแทบคลั่ง ความจริงหากเขาละทิฐิออกไปได้ ป่านนี้เขากับยาหยีก็คงจะต่อยอดทำลายสถิติรักฉบับเก่าจนพังพินาศไปแล้วล่ะ แถมยังไม่ต้องมาหงุดหงิดงุ่นง่านแบบนี้ด้วย

‘โธ่เว้ย!’

เชอรี่รีบกระโดดออกจากมุมตึกมาขวางหน้าเซอร์เกเอาไว้ พร้อมกับรีบยิงคำถามที่คาใจอย่างฉกาจฉกรรจ์ออกไปทันที

“เป็นยังไงบ้างเซอร์เก”

“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ พรุ่งนี้นายน้อยปากแข็งของเราสิ้นฤทธิ์แน่นอน” เซอร์เกยิ้มบางๆ ก่อนจะเดินฮัมเพลงกลับเรือนพักไปด้วยความสบายอกสบายใจ ทิ้งให้เชอรี่มองตามไปด้วยความประหลาดใจตามลำพัง

ชายหนุ่มครางออกมาเมื่อตะโบมจูบปากอิ่มด้วยความหิวจัด ตะกรุมตะกรามราวกับอดอยากปากแห้งมาแสนนาน สองมือใหญ่ฟอนเฟ้นไปทั่วทั้งกายสาว บีบเคล้นขยำขยี้อย่างเมามัน ยิ่งแม่สาวน้อยแอ่นร่างขึ้นหาแล้วส่ายไปมา เขาก็ยิ่งแทบคลุ้มคลั่ง

“คอร์เนล…ได้โปรด”

ครวญครางด้วยความเสียวซ่านเมื่อปลายถันหายเข้าไปอุ้งปากร้อนระอุ เขาดูดดึงแรงๆ ใช้ปลายลิ้นตวัดเลีย พร้อมกับขบแรงๆ ด้วยฟันคม หญิงสาวสะท้านเยือก ดิ้นพราด คอร์เนลกระชากเสื้อคลุมออกจากตัว ก่อนจะทาบทับลงมาอีกครั้ง

สาวน้อยหอบสะท้านเฮือกเมื่อถูกครอบครองด้วยความดุดันป่าเถื่อน หลับตาพริ้มปล่อยกายให้กับคนตัวโตได้ดื่มกินตามแต่ใจต้องการ หล่อนมีความสุข มีความสุขจนแทบจะทะลักออกมาเมื่อได้กลับมาอยู่ใต้ร่างของคอร์เนลอีกครั้ง ผู้ชายที่ดิบเถื่อนแต่หวานฉ่ำไปในคราวเดียวกัน

“ลูกหยี…คุณยังหวานเหมือนเดิม”

คอร์เนลครวญครางออกมาด้วยความเสียวกระสัน หนึ่งเดือนพอดีที่ต้องแยกจากกัน หนึ่งเดือนที่เขาไม่มียาหยีอยู่ข้างกาย เขาคิดถึงหล่อน โหยหา อยากจะบินไปหาวันละไม่รู้กี่รอบ แต่ก็จำต้องข่มใจเอาไว้ และวันนี้ เมื่อเช้าหล่อนทำให้เขาเดือดพล่าน ทำงานไม่ได้ แทบยังอารมณ์บูดยาวนานอีก เพียงแค่ได้เห็นหล่อนจับมือถือแขนกับผู้ชายคนอื่นเท่านั้นเอง

ชายหนุ่มเปลี่ยนจังหวะรักให้ดุดันขึ้น แรงขึ้น จนสาวน้อยใต้ร่างร้องครางไม่หยุด แวบหนึ่งเมื่อประสานสายตากัน เขามองเห็นความแปลกใจในดวงตาหวานฉ่ำหยาดเยิ้มนั้น แต่หล่อนไม่จำเป็นต้องเข้าใจหรอก แค่เขาเข้าใจเพียงคนเดียวก็พอแล้ว

“ฉันรักคุณ…คอร์เนล”

ยาหยีคร่ำครวญแต่คอร์เนลไม่คิดจะฟังมัน เขาเลือกที่จะก้มลงปิดปากหวานฉ่ำนั้นอย่างร้อนแรง มือใหญ่ข้างหนึ่งเท้ากับที่นอนเอาไว้ ขณะที่อีกข้างหนึ่งรัดเอวบางรั้งเข้าหาแน่น การเคลื่อนไหวดุดันร้อนแรงเข้าข่ายอำมหิต แต่มันก็อบอวลไปด้วยความหวานฉ่ำ

เสียงเตียงหยุดลั่นเมื่อพายุสวาทแสนร้อนแรงยุติลง พร้อมๆ กับร่างใหญ่โตโซมเหงื่อที่พลิกออกไปจากกาย ยาหยีเบิกตากว้าง รู้สึกเสียดายนักที่คอร์เนลแยกจากเร็วเกินไป หล่อนยังนอนฟังเสียงลมหายใจของเขาไม่จุใจเลย

“ฉันรักคุณค่ะ”

หญิงสาวยิ้มหวานเมื่อพยุงกายลุกขึ้นนั่ง ไม่คิดจะปกปิดความงดงามของตัวเอง จ้องมองคนตัวโตที่ตีหน้าขรึมด้วยสายตารักใคร่

“ไปซะ!” คนตัวโตกระโดดพรวดเดียวลงไปยืนอยู่ไกลถึงกลางห้องเลยทีเดียว

“คอร์เนล…”

ความวาบหวามจากเพลิงพิศวาสหายไปจนหมดสิ้น เหลือไว้แต่เพียงความเจ็บปวด ความชอกช้ำ และความอัปยศอดสูที่เกิดจากสายตาสีเขียวจัดของเขาเพียงอย่างเดียว

“มันไม่ได้ผลหรอกที่จะใช้เซ็กส์มาล่อผมเหมือนเคยน่ะ”

เขายิ้มเยาะ ขณะเดินตรงไปที่หัวเตียง เปิดลิ้นชักและหยิบธนบัตรออกมาปึกใหญ่ ก่อนจะเดินแก้ผ้าโทงๆ กลับเข้ามาหยุดตรงหน้าหล่อน

ยาหยีน้ำตาไหลพราก พยายามวอนขอ

“คอร์เนล…ได้โปรดอย่าทำแบบนี้เลย ฉันรักคุณจริงๆ”

สิ้นคำที่เอ่ยออกไป สิ่งที่ได้กลับมาจากปากชายคนรักก็คือรอยยิ้มเยาะหยันเพียงอย่างเดียว

“รักผม? แล้วไอ้ผู้ชายที่คุณจับมือถือแขนกับมันเมื่อเช้านี้ล่ะ เอามันไปไว้ที่ไหน หรือว่ามันบริการไม่ดี โยกไม่ถึงใจคุณแบบผม คุณถึงต้องกลับมาให้ผมสนองให้น่ะ ใช่ไหม ผมเข้าใจถูกไหมยาหยี”

“ผู้ชายเมื่อเช้า?”

ยาหยีทวนคำพูดของคอร์เนล และหน้าของฟรานเซเซียสผู้ชายที่พึ่งจะรู้จักกันครั้งแรกก็ปรากฏขึ้น และนั่นก็ทำให้หล่อนตั้งท่าจะปฏิเสธ แต่คนตัวโตไม่ยอมฟังเลย

“หยุดทำตัวไร้เดียงสาได้แล้ว ไปซะ ไปให้พ้นหน้าผม แล้วไม่ต้องมาเจอะมาเจอกันอีก แล้วนี่…”

เขาปาเงินใส่หน้าหล่อนเป็นสิบๆ ใบ มันฟาดใส่หน้าหล่อนจนเจ็บ แต่กระนั้นมันก็ยังเจ็บสู้หัวใจไม่ได้อยู่ดี คอร์เนลใจร้ายมาก ใจร้ายเหลือเกิน

“ผมให้เป็นค่าเสียเวลา มันคงมากพอที่คุณจะใช้เป็นค่าตั๋วเดินทางกลับกรุงเทพฯ นะยาหยี” คอร์เนลยิ้มเลือดเย็น

“ลาก่อน…”

และเขาก็เดินหายเข้าไปในห้องน้ำ ทิ้งให้หล่อนร่ำไห้อยู่เพียงลำพังบนเตียง

“คอร์เนล…ทำไมคุณใจร้ายแบบนี้”

ในที่สุดทุกอย่างก็จบลงแล้วจริงๆ คอร์เนลไม่มีทางให้อภัยหล่อนได้ พอๆ กับที่ไม่มีทางรักหล่อนได้อีกแล้วนั่นแหละ หรือบางทีเขาอาจจะไม่เคยรักหล่อนเลยเหมือนกับที่เขาพูดเมื่อครู่นี้ก็ได้ หล่อนมันโง่เอง หลงละเมอว่าทุกอย่างจะต้องจบลงอย่างสวยงามเช่นในนิยายรัก แต่ลืมไปสนิทเลยว่าตัวเองไม่ใช่นางเอก ดังนั้นต่อให้นิยายรักจะจบหวานฉ่ำแค่ไหน แต่หล่อนก็ไม่มีทางสมหวังไปได้

มือบางสั่นเทายกขึ้นปิดหน้าร่ำไห้ ทุกถ้อยคำหยามหยัน ทุกถ้อยคำดูแคลนของคอร์เนล มันช่างไม่ต่างจากใบมีดโกนคมกริบดีๆ นี่เอง มันกรีด มันผ่า มันทะลวงหัวใจของหล่อนจนเลือดทะลัก เจ็บจนแทบจะขาดใจ

“ลาก่อนค่ะ…ลาก่อนชั่วชีวิต…คอร์เนล”

ซมซานก้าวลงจากเตียงด้วยกายที่สั่นสะท้าน มือบางควานหาเสื้อผ้าที่ตัวเองเป็นคนถอดเองกับมันด้วยความชอกช้ำ รีบสวมใส่มันจนเรียบร้อย จากนั้นก็รีบรวบผมลวกๆ ก่อนจะรีบเผ่นแน่บออกไปจากห้องนอนของคอร์เนลในทันที

“คุณยาหยี!”

เซอร์เกอุทานออกมาด้วยความตกใจเมื่อเห็นยาหยีวิ่งร้องไห้ลงมาจากบันไดบ้าน อยากจะถาม แต่ดูจากสภาพของหญิงสาวแล้วคงไม่ยอมตอบแน่นอน

“ไปครับ ผมจะไปส่งที่โรงแรม”

ยาหยีไม่ได้สามารถพูดอะไรออกมาได้ นอกจากเดินตามเซอร์เกไปขึ้นรถ และรีบออกไปจากคฤหาสน์ซีร์ยานอฟให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยไม่มีโอกาสได้เห็นสายตาอาลัยอาวรณ์ของชายคนหนึ่งที่เกาะมองอยู่ที่หน้าต่างห้องแม้แต่นิดเดียว

เพล้ง!

แก้วในมือใหญ่ถูกขว้างลงกระทบกับพื้นจนแตกกระจาย

“คุณจะมีใครอีกสักกี่คนผมก็ไม่สน ไม่มีทางสน! เชิญเลย เชิญตามสบาย” เค้นเสียงออกมาอย่างเดือดดาล ความรู้สึกบางอย่างที่เจ้าตัวไม่ยอมรับว่ามีอยู่ในใจแล่นพล่านไปทั้งสรรพางค์กาย กรามแกร่งขบกันแน่นจนขึ้นสันนูนเป่ง ผิวเนื้อข้างแก้มสากกระตุกเป็นริ้ว

มือใหญ่คว้าขวดวอดก้าขึ้นมาเทกรอกปากตัวเองจนพร่องไปเกือบครึ่งขวด แต่กระนั้นไอ้เจ้าความรู้สึกระยำมันก็ยังไม่ยอมหายไปจากหัวใจ คอร์เนลเหวี่ยงขวดวอดก้าลงกับพื้นแข็งๆ ก่อนจะผุดลุกขึ้นยืน และกระโดดลงไปในสระน้ำ แหวกว่ายอยู่นานนับสิบรอบมันก็ยังไม่สามารถดับอารมณ์หวงแหนที่แน่นอกได้ จนในที่สุดชายหนุ่มก็ตัดสินใจที่จะกลับขึ้นห้องนอน คาดหวังเอาไว้ว่าการนอนหลับพักผ่อนน่าจะช่วยให้ตนเองสามารถลบลืมภาพของยาหยีกับไอ้ผู้ชายรูปหล่อคนนั้นออกจากหัวได้สำเร็จ แม้จะชั่วคราวยังดี

ชายหนุ่มกระโดดขึ้นจากสระน้ำ รับเสื้อคลุมจากสาวใช้ที่ยื่นมาสวมใส่ จากนั้นก็ก้าวยาวๆ มุ่งหน้ากลับขึ้นห้องนอนไปทั้งๆ ที่เนื้อตัวยังเปียกโชกไปด้วยหยาดน้ำมหาศาล

ยาหยีรีบวิ่งออกไปหลบที่ระเบียงเมื่อได้เสียงเดินหนักๆ มาหยุดที่หน้าประตูห้อง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเจ้าของฝีเท้านั้นเป็นใคร

คอร์เนลในสภาพเปียกโชกเดินเข้ามาภายในห้อง เขาหมุนตัวอยู่กลางห้องชั่วอึดใจ ก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ

หญิงสาวเป่าลมออกจากปากด้วยความโล่งอกเมื่อสามารถพาตัวเองรอดพ้นจากสายตาคมกริบของหนุ่มหล่อขั้นเทพมาได้อย่างหวุดหวิด ขณะก้าวเข้ามาอยู่ในห้องอีกครั้ง กำลังหมุนตัวอยู่กลางห้องว่าจะจัดการง้องอนคอร์เนลยังไงดี และจะเริ่มยังไง ประตูห้องน้ำก็ดันเปิดออกมาซะก่อน ตามด้วยร่างที่เปลือยเปล่าที่อลังการไปซะทุกๆ ส่วนของคอร์เนลเดินออกมา

ทั้งเขาและหล่อนต่างชะงักงันเมื่อสายตาประสานกันโดยบังเอิญ หล่อนยิ้มหวาน มองเขาด้วยความรักใคร่ ในขณะที่คอร์เนลกลับแสดงท่าทางชิงชังและขยะแขยงออกมาโดยไม่คิดจะปิดบัง ความมั่นใจลดฮวบลงในทันทีที่เขาแสยะยิ้มเลือดเย็นต้อนรับ

“ไม่คิดว่าจะได้เจอคุณในห้องของผมอีก”

“ฉัน…”

“เข้ามาได้ยังไง”

เขาถามขณะเดินตรงไปยังตู้เสื้อผ้า ก้มๆ เงยๆ ไม่นานความเปลือยเปล่าก็ถูกบดบังด้วยเสื้อคลุมตัวยาวแค่เข่าเนื้อดีสีน้ำเงินเกือบดำ

“ผมถามว่าเข้ามาได้ยังไง หูแตกหรือไง หรือว่าต้องให้ผมไปจัดการไอ้คนที่มันเกี่ยวข้องกับการปรากฏตัวในครั้งนี้ของคุณด้วย” เขาตะคอกใส่เสียงเดือดดาล ก่อนจะแสยะยิ้มเหยียดหยามออกมา

“และอย่าคิดว่าผมจะปรานีคนที่มันขัดคำสั่งของตัวเองหรอกนะ”

“ฉัน…ฉันเข้ามาเอง ฉันแอบเข้ามา”

ด้วยกลัวคนอื่นจะเดือดร้อนเพราะการกระทำของหล่อน ทำให้ยาหยีรีบก้มหน้ารับผิดทั้งน้ำตา กายสาวสั่นระริก ความกล้าลดต่ำลงจนติดลบเสียแล้ว

“โกหก! ต่อให้เป็นแมลงก็เข้ามาถึงห้องนอนของผมไม่ได้ หากไม่มีคนในช่วย”

“ได้โปรด…ฉันยอมรับผิดคนเดียว เพราะฉันต้องการพบคุณอีกครั้ง พวกเขาจึงไม่มีทางปฏิเสธฉันได้” น้ำตาของยาหยีที่ไหลออกมานั้นไม่ได้ทำให้คอร์เนลลืมภาพที่หล่อนกำลังกะหนุงกะหนิงกับผู้ชายคนอื่นได้เลยแม้แต่นิดเดียว

แพศยา! คำนี้แหละที่เหมาะสมกับยาหยีที่สุด

“ถ้าจะลงโทษก็ลงที่ฉันเถอะ”

คอร์เนลแสร้งทำเป็นเกรี้ยวกราด พยายามข่มเจ้าความต้องการที่อยากจะจับเจ้าหล่อนนอนลงบนเตียงแล้วจากนั้นก็ฟัดให้หายอยากเอาไว้ในอกอย่างมิดชิด เขาจะไม่มีทางแสดงให้ผู้หญิงคนนี้รู้หรอกว่าหล่อนยังมีอิทธิพลต่อหัวใจและร่างกายของเขาแค่ไหน

ก็ดูสิ ร่างกายของเขาโหยหาหล่อนอย่างรุนแรงอีกแล้ว ชายหนุ่มกัดฟันกรอดเมื่อความปวดร้าวที่หน้าขาเดินทางมาเยือน ให้ตายเถอะ หล่อนจะมายั่วให้เขาตบะแตกหรือไงกันนะ

“ไปซะ ไสหัวไปให้พ้นหน้าผมซะ” คนตัวโตหันหลังให้ แต่ยาหยีที่ยังไม่สิ้นความพยายามรีบวิ่งไปดักหน้า พร้อมกับอ้อนวอนทั้งน้ำตา

“ฉันรู้ว่าฉันผิด ฉันมันคนไม่ดี ฉันทรยศคุณ แต่…” ก้อนสะอื้นที่ทะลักออกมาจากปากทำให้ยาหยีไม่สามารถพูดจนจบประโยคในครั้งเดียวได้

“ฉันรักคุณ…”

คอร์เนลแค่นหัวเราะแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา ยาหยีจึงกัดฟันสารภาพออกไปอีก หวังไว้ในอกลึกๆ ว่าเขาจะเข้าใจและยอมให้อภัยหล่อนสักครั้ง

“ตลอดเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมาฉันพยายามที่จะลืมคุณ พยายามที่จะไม่คิดถึงคุณ แต่ฉันทำไม่ได้เลยสักครั้ง หัวใจของฉันร่ำร้องหาแต่คุณ แต่ฉันก็เสียใจนักที่ทรยศในความรักของคุณ”

“จะมาบอกผมทำไม ในเมื่อผมไม่ได้รักคุณอีกต่อไปแล้ว หรือบางทีผมอาจจะไม่เคยรักคุณเลยก็ได้” ทั้งคำพูดและแววตาของเขาช่างเลือดเย็นเหลือเกิน

“คอร์เนล…ได้โปรดอย่าทำแบบนี้กับฉันเลยนะคะ ให้โอกาสฉันอีกสักครั้ง ให้โอกาสความรักของเราเถอะนะคะ”

ยาหยีอ้อนวอนน้ำตาไหลพราก พยายามจะเข้าไปสวมกอดคนตัวโต แต่เขาก็ถอยหลังหนีด้วยท่าทางรังเกียจขยะแขยง และกิริยานี้ของเขาก็ทำให้หัวใจของหล่อนชาหนึบ

“ให้โอกาสคุณทรยศผมอีกครั้งอย่างนั้นหรือยาหยี ไม่ล่ะ ผมไม่ใช่คนดีใจแบบนั้น แค่ครั้งเดียวก็ถือว่ามากเกินพอแล้ว”

“แต่ที่ฉันทำไปเพราะไม่มีทางเลือก ฉันต้องทำ…”

ชายหนุ่มแค่นเสียงเยาะในลำคอ

“นั่นมันก็แสดงให้เห็นแล้วนี่ว่าคุณพร้อมจะทรยศผมทุกเมื่อ หากสบโอกาส” ใบหน้าหล่อเหลาเย็นชาและไร้ความรู้สึกจนยาหยีแทบถอดใจ

“ไม่นะคอร์เนล อย่าทำร้ายฉันแบบนี้ ฉันรักคุณ”

“แต่ผมไม่ได้รักคุณ ไสหัวกลับไปซะ แล้วอย่ามาให้ผมเห็นหน้าอีก ส่วนเรื่องการหย่า ผมจะให้เจสัน มอร์แกน ทนายความประจำตระกูลของผมติดต่อไปในเร็วๆ นี้ ซึ่งไม่น่าจะเกินอาทิตย์หน้าแน่นอน”

วูบหนึ่งคอร์เนลก็อยากดึงร่างอรชรที่กำลังสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวดเข้ามากอดปลอบประโลม แต่เมื่อสมองนึกถึงภาพของยาหยีกับผู้ชายคนอื่นที่ล็อบบีโรงแรมขึ้นมา เขาก็สามารถตัดความสงสารนั้นออกไปได้อย่างเด็ดขาด

‘ในเมื่อหล่อนก็มีที่หมายใหม่แล้ว จะกลับมาหาเขาอีกทำไม จะกลับมาหลอกลวงอะไรเขาอีก ที่ได้หัวใจของเขาไปนั่นน่ะยังไม่พออีกหรือไง’

“ไปซะ ผมต้องการความเป็นส่วนตัว” เขาหันหลังให้และเดินกลับไปที่เตียง

ยาหยียืนสะอื้นไห้ในเมื่อทุกทางถูกคอร์เนลปิดจนมืดมิด งั้นหล่อนก็คงต้องเสี่ยงใช้วิธีสุดท้าย วิธีที่ผู้หญิงดีๆ ไม่ควรจะทำ มือบางสั่นเทาเริ่มแกะกระดุม ปลดเปลื้องชุดสวยออกจากตัว จากนั้นก็ตามด้วยบราเซียร์สีหวานกับกางเกงชั้นในตัวน้อย

คอร์เนลได้ยินเสียงอะไรบางอย่างกระทบกับพื้นจึงหันกลับไปมอง และมันก็ทำให้เขารู้ว่าตัวเองพลาดไปอย่างมหันต์เลยทีเดียว เมื่อสายตารับภาพร่างกายสลักเสลาเกลี้ยงเกลาของยาหยีเต็มๆ ตา ขาวเนียนอมชมพู โค้งเว้าราวกับประติมากรรมจากจิตรกรชื่อก้องโลก

ลำคอของเขาแห้งผากอย่างรุนแรง ไม่อาจจะละสายตาจากความอวบอิ่มเต็มไม้เต็มมือของสาวน้อยตรงหน้าได้เลยแม้แต่นิดเดียว ปทุมถันอวบสล้าง เอวเล็ก สะโพกผายกลมกลึง และต่ำกว่านั้น…คอร์เนลแทบจะหยุดหายใจเมื่อจ้องมอง

‘ให้ตายเถอะ เขาสู้กับหล่อนไม่ได้หรอกนะ หากเจ้าหล่อนเดินเกมต่อสู้ด้วยวิธีนี้’

ชายหนุ่มกัดฟันแน่นข่มความต้องการที่อยากจะกระชากร่างแน่งน้อยเข้ามากอดมาฟัดให้หายคลั่งอย่างสุดความสามารถ พยายามจะหันหน้าหนี แต่แม่คุณก็สวยหยาดเยิ้มเหลือเกิน และเขาก็ทำไม่ได้…

ยาหยีแดงซ่านไปทั้งตัว หล่อนกล้ำกลืนความอับอายขณะค่อยๆ พาร่างอรชรเปลือยเปล่าของตัวเองเข้ามาหยุดตรงหน้าของคอร์เนล เสียงลมหายใจฟืดฟาดขาดช่วงทำให้หญิงสาวรู้ดีว่าตัวเองกำลังมีแต้มต่อที่เหนือกว่า

“คอร์เนล…ฉันรักคุณ”

“ถ้ายั่วกันแบบนี้ ก็อีตัวชัดๆ”

เขากัดฟันพูด ขณะไล่สายตาสำรวจกายสาวด้วยความหิวกระหายรุนแรง ความต้องการเบียดบดต้นขาจนปวดร้าวแทบระเบิด

“ฉันยินดีเป็นทุกอย่างเพื่อคุณค่ะ”

โดยไม่คาดฝันยาหยีก็โถมกายเข้าใส่ คอร์เนลเสียหลักล้มลงกับเตียง โดยมีร่างอรชรอวบอิ่มตามทาบทับลงมา อกสาวเบียดบดกับอกแกร่งด้วยความตั้งใจของแม่สาวน้อยมือใหม่หัดยั่ว ขณะที่มือบางพยายามที่จะทึ้งเสื้อคลุมออกจากตัวเขาอย่างสุดความสามารถ

“คุณทำบ้าอะไรน่ะยาหยี ลุกไปนะ”

“ไม่ค่ะ ฉันรักคุณ”

และยาหยีก็หยุดการต่อต้านของคอร์เนลด้วยจูบหวานๆ ของตัวเอง หล่อนประกบปากลงไป เคลื่อนไหวเลียนลีลาที่เขาเคยพร่ำสอนเอาไว้ แต่กระนั้นมันก็ยังดุเดือดไม่ถึงใจคนตัวโตอยู่ดี เพราะเพียงไม่นานการควบคุมทั้งหมดก็ตกไปอยู่ในมือของคอร์เนลอย่างเบ็ดเสร็จ เขาจับร่างอรชรให้พลิกลงไปนอนใต้ร่างหนาทรงพลังของตนเองอย่างรวดเร็ว

“อืม…”

และการรอคอยก็เดินทางมาถึงจุดสิ้นสุดสักที ยาหยีเลือกชุดที่สวยที่สุดมาสวมใส่ พรมน้ำหอมตามผิวกายอย่างพิถีพิถันตามคำแนะนำแกมบังคับของลินดา จากนั้นหล่อนก็ก้าวขึ้นลีมูซีนที่อีวานขับมารับที่หน้าโรงแรมตอนบ่ายสี่โมงแก่ๆ

“วันนี้คุณยาหยีสวยมากเลยครับ นายน้อยเห็นจะต้องตกตะลึงแน่เลย”

นี่คือคำพูดของอีวานที่เอ่ยขึ้นเมื่อเห็นหล่อนที่หน้าโรงแรม หญิงสาวยิ้มเศร้าๆ ความมั่นใจเริ่มหดหายเมื่อตัวเองเข้าใกล้อาณาจักรซีร์ยานอฟทุกขณะ

“บางทีนายน้อยของอีวานอาจจะไล่ฉันราวกับหมูกับหมาก็ได้นะจ๊ะ”

“ไม่หรอกครับ นายน้อยคิดถึงคุณยาหยีจะตาย ทุกคนในบ้านมองออกกันหมด แต่ไม่มีใครกล้าพูดเท่านั้นเอง เพราะหากพูดออกมามีหวังถูกนายน้อยเตะโด่งแน่ๆ”

“นายน้อยของอีวานดุมากขึ้นกว่าเดิมอีกหรือจ๊ะ”

“โห…ดุยังกับเสือถูกพรากลูกรักไปยังไงยังงั้นเลยครับ แถมอารมณ์ก็ยังขึ้นๆ ลงๆ ยังกับพวกผู้ชายวัยทองอีก” อีวานบ่นอุบ แล้วก็อดเล่าต่อไม่ได้

“เมื่อหลายวันก่อนมารีนคนรักของผมถูกนายน้อยให้ชงกาแฟให้เกือบสิบรอบ ทั้งๆ ที่สูตรเดิมเป๊ะ แต่นายน้อยบอกว่าไม่อร่อย ขมบ้าง หวานบ้าง พวกผมงงเต๊กเลย”

ยาหยีไม่ได้ตอบอะไรออกไป ได้แต่จ้องมองคฤหาสน์ซีร์ยานอฟตรงหน้าทั้งน้ำตา ไม่คิดว่าจะได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง

หญิงสาวรีบก้าวลงจากรถทันทีโดยไม่คิดจะรอให้อีวานมาเปิดประตูให้ เชอรี่ที่ยืนรอท่าอยู่แล้วรีบวิ่งเข้ามาสวมกอด

“คุณยาหยี โธ่! แม่หนูของป้า ในที่สุดก็มาจนได้”

แม่บ้านร่างท้วมลูบหลังลูบไหล่ของยาหยีด้วยความเอ็นดู ยาหยีระบายยิ้มบางๆ ตื้นตันกับความเป็นมิตรของทุกคนที่นี่นัก แต่กระนั้นก็ยังอดหวั่นเกรงต่ออารมณ์ของผู้ครอบครองอาณาจักรซีร์ยานอฟไม่ได้

หญิงสาวดันตัวออกจากอ้อมแขนของเชอรี่ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงกล้าๆ กลัวๆ

“นายน้อย…เอ่อ…คอร์เนลกลับมาหรือยังคะ”

เชอรี่ส่ายหน้าพรืด

“ยังเลยค่ะ ปกตินายน้อยจะกลับมาถึงบ้านห้าโมงเศษๆ แต่วันนี้ไม่รู้ว่าจะกลับเร็วหรือกลับช้า เพราะเห็นเซอร์เกว่าอาละวาดซะออฟฟิศแทบแตก ไม่รู้ไปกินรังแตนที่ไหนมา นี่ถ้านายน้อยเป็นผู้หญิง ป้าคงคิดว่ากำลังจะมีรอบเดือนแหงๆ”

ยาหยียิ้มบางๆ ขณะเดินตามคนจูงมืออย่างเชอรี่เข้าไปในตึก

“ขึ้นไปรอนายน้อยบนห้องนอนนะคะ เพราะถ้ากลับมาแล้วพ่อเจ้าประคุณมาเห็นคุณตรงนี้มีหวังบ้านแตกตามออฟฟิศอีกแน่ๆ”

หญิงสาวไม่รู้จะพูดอะไรออกมาอีก ตลอดทางจึงค่อนข้างเงียบเชียบ เงียบเสียจนหล่อนได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นระรัวปะทะอกอย่างชัดเจนจนน่าตกใจ และกว่าจะสลัดความหวาดหวั่นออกไปได้ชั่วขณะก็เมื่อได้ยินเสียงเรียกเบาๆ ของแม่บ้านร่างท้วมนั่นแหละ

“ห้องนี่แหละค่ะ เข้าไปเลย”

ยาหยีเลิกคิ้วด้วยความแปลกในเมื่อสมองที่ยังไม่ถึงกับเลอะเลือนของตัวเองร้องบอกว่าห้องตรงหน้าไม่ใช่ห้องนอนใหญ่ของคอร์เนลนี่นา

“ห้องนี้หรือคะ? แต่ว่าห้องนี้มันไม่ใช่…”

เชอรี่รู้ว่ายาหยีกำลังจะพูดอะไรจึงรีบอธิบายขึ้น

“นายน้อยเปลี่ยนมานอนที่ห้องนี้ตั้งแต่วันที่คุณจากไปนั่นแหละค่ะ ถึงแม้เธอจะไม่ยอมบอกถึงสาเหตุว่าทำไมถึงต้องย้ายห้องนอนด้วย แต่ป้าก็พอจะทราบว่าเพราะอะไร”

“เพราะอะไรคะ”

ถามเสียงเบาหวิว หัวใจเต้นระรัว

“เพราะคุณยังไงล่ะคะ ห้องนอนเดิมคงจะมีแต่ภาพและเรื่องราวของคุณเต็มไปหมด นายน้อยก็เลยทนอยู่ไม่ได้ จึงต้องมานอนห้องนี้แหละค่ะ”

“แสดงว่านายน้อยของป้าเกลียดฉันมากสินะ” น้ำเสียงเศร้าสร้อยเสียจนเชอรี่ต้องรีบแก้ความเข้าใจผิดนั้นอย่างด่วนจี๋

“รักต่างหากล่ะคะ เอาเถอะค่ะ เข้าไปรอในนี้นะ อีกไม่นานคุณก็จะได้พิสูจน์แล้วล่ะว่านายน้อยรักหรือเกลียดคุณกันแน่”

แม่บ้านร่างท้วมรีบกุลีกุจอเปิดประตูห้องให้ จากนั้นก็ดันร่างอรชรของยาหยีให้ก้าวข้ามเข้าไปในห้องนั่น

“พวกเราเอาใจช่วยนะคะ และก็มั่นใจด้วยว่าคุณจะทำสำเร็จ นายน้อยก็ดีแต่ปากแข็งเท่านั้นแหละค่ะ แต่หัวใจคงจะอ่อนยวบตั้งแต่เห็นหน้าคุณแล้วล่ะ ขอให้โชคดีค่ะ”

เชอรี่พูดจบก็รีบปิดประตูห้อง ทิ้งยาหยีให้เดินตัวชาหนึบอยู่ภายในห้องนอนห้องใหม่ของคอร์เนลตามลำพัง

หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่เพื่อรวบรวมความกล้า ก่อนจะเดินไปหยุดที่หน้าเตียงนอนขนาดใหญ่พอๆ กับห้องเดิม สายตาหวานฉ่ำด้วยอิทธิพลของขนตายาวงอนสำรวจไปรอบๆ ห้องด้วยความสนใจ

ห้องนอนใหญ่ห้องนี้ถูกตกแต่งไม่ต่างจากห้องนอนเก่าของคอร์เนลนัก ทั้งสีสันที่เน้นโทนเข้มและเฟอร์นิเจอร์ที่ล้วนแต่ทำจากไม้ทั้งหมด จากภาพที่เห็นทำให้รู้ถึงตัวตนของเจ้าของห้องได้เป็นอย่างดี ลึกลับและอันตราย

ยาหยีระบายยิ้มบางๆ ออกมาเมื่อเดินมาทรุดนั่งลงบนเตียงขนาดใหญ่ ความนุ่มของมันทำให้แก้มสาวแดงระเรื่อออกมาเมื่อสมองจินตนาการภาพร้อนๆ ของตัวเองกับคอร์เนลที่กำลังจะเกิดขึ้นบนเตียงกว้างแห่งนี้

เลือดสาวในกายร้อนฉ่าเดือดพล่าน ความตื่นเต้นอย่างรุนแรงโจมตีเข้าใส่ช่องท้องด้วยความอำมหิต หญิงสาวพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะข่มความวาบหวิวรัญจวนให้มันอยู่แต่ในอก แต่มันก็ทำไม่สำเร็จเพราะร่างกายของหล่อนยังคงร้อนระอุและตั้งหน้าตั้งตารอคอยการครอบครองที่ดุดันของคอร์เนลจนปวดร้าวทรมาน

คอร์เนลก้าวลงจากรถและเดินเข้ามาในตึกด้วยใบหน้าที่บอกบุญไม่รับ วันนี้สมองของเขาพังพินาศย่อยยับเลยทีเดียว เมื่อมันไม่สามารถลบภาพของยาหยีกับไอ้ผู้ชายรูปหล่อคนนั้นไปได้

“ทำเป็นจับมือกันกะหนุงกะหนิงอย่างกับข้าวมันปลามัน ไม่อายฟ้าดินเลยหรือไง ทุเรศชะมัด!”

แม้จะแดกดันยาหยีด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แต่มันก็ยังกระเด็นไปเข้าหูเซอร์เกที่เดินตามหลังมาติดๆ อยู่ดี

“นายน้อยว่าอะไรนะครับ กะหนุงกะหนิง? ไม่อายฟ้าดิน? ผมงงครับ”

“ไม่มีอะไรหรอก แล้วนายก็เลิกทำเป็นคนหูดีเกินมนุษย์มนาเสียที มันน่ารำคาญ!” คอร์เนลตะคอกใส่ ส่งกระเป๋าทำงานให้กับสาวใช้ก่อนจะก้าวยาวๆ ตรงไปยังสระว่ายน้ำ เชอรี่หันไปสบตาเซอร์เกด้วยความตกใจเพราะคอร์เนลไม่ได้เดินไปตามแผนที่พวกตนวางเอาไว้

“นายน้อยไม่ขึ้นไปพักผ่อนก่อนหรือครับ อาจจะอาบน้ำก็ได้”

คอร์เนลหยุดเดิน หันกลับมาจ้องมองคนสนิทด้วยสายตากระด้าง

“ฉันจะทำอะไรมันเกี่ยวกับนายตั้งแต่เมื่อไรกันเซอร์เก ไปให้พ้นๆ หน้าเลยไป”

ชายหนุ่มเอ็ดตะโรใส่หน้าเซอร์เกอย่างหัวเสีย ก่อนจะตะโกนสั่งเชอรี่ด้วยน้ำเสียงเดียวกัน

“เอาวอดก้าไปให้ฉันที่ขอบสระด้วย ห้ามเกินห้านาทีล่ะ”

“ค่ะนายน้อย” เชอรี่รีบก้มหน้ารับคำด้วยความเคารพสุดๆ เนื่องจากกลัวจะถูกพายุอารมณ์ของเจ้านายหนุ่มเข้าอีกคน และเมื่อลับหลังคอร์เนลแล้ว หล่อนจึงรีบหันไปพูดกับเซอร์เกที่มีสีหน้าไม่ต่างจากหล่อนนักด้วยความผิดหวัง

“ทำไมวันนี้นายน้อยเกิดอยากดื่มเหล้าขึ้นมานะ ทุกทีเห็นมาถึงบ้านก็หมกตัวอยู่แต่บนห้อง”

“เดี๋ยวเมาก็คงขึ้นไปนอนเองนั่นแหละ” เซอร์เกว่า

“ไอ้ที่กลัวก็กลัวตอนเมานี่แหละเซอร์เก เพราะยิ่งเมามากเท่าไร แม่หนูยาหยีของฉันก็คงจะเละมากขึ้นเท่านั้นน่ะสิ กลัวใจนายน้อยจริงๆ เลย”

ข้ารับใช้แสนจงรักภักดีทั้งสองคนต่างพากันถอนใจออกมาพร้อมๆ กันโดยมิได้นัดหมาย เซอร์เกเดินเลี่ยงออกไป ขณะที่เชอรี่รีบเข้าไปหยิบวอดก้าให้กับคอร์เนล เพราะหากเกินห้านาทีพ่อเจ้าประคุณต้องอาละวาดบ้านแตกแน่ๆ

ยาหยีเดินลงมานั่งเล่นที่ล็อบบีโรงแรมตามลำพังเพราะลินดาขอตัวพักผ่อนด้วยความอ่อนเพลีย หญิงสาวนั่งทอดถอนใจอยู่ตามลำพังด้วยความใบหน้าที่เต็มไปด้วยความวิตกกังวลต่อสิ่งที่ตั้งใจจะกระทำ จนไม่ทันมองเห็นผู้ชายคนหนึ่งที่เดินเข้ามานั่งใกล้ๆ

“สวัสดีครับ คุณเป็นคนไทยใช่ไหมครับ”

สำเนียงภาษาที่คุ้นเคยทำให้ยาหยีที่กำลังเศร้าหมองอยู่ระบายยิ้มกว้างออกมา เมื่อคิดว่าได้เจอกับคนที่มาจากชาติเดียวกัน แต่ก็ต้องผิดหวังเพราะผู้ชายตรงหน้าถอดแบบมาจากชาวตะวันตกเปี๊ยบเลย

“ใช่ค่ะ ฉันเป็นคนไทย แต่คุณคงไม่…”

“ผมฟรานเซเซียส ซาเอนโก้ เป็นลูกครึ่งครับ แม่คนไทย ส่วนพ่อเป็นคนรัสเซีย ยินดีที่ได้รู้จักอีกครั้งครับ”

หนุ่มหล่อนัยน์ตาสีเทาสุกใสที่อัดแน่นไปด้วยความร้ายกาจและเซ็กซี่สุดใจตรงหน้ายื่นมือออกมา ยาหยีไม่อยากเสียมารยาทจึงต้องยื่นมือบางของตัวเองออกไปแตะกับอุ้งมือใหญ่ตรงหน้า พร้อมกับรอยยิ้มบางๆ แต่แค่นั้นก็พอจะทำให้คอร์เนลที่พึ่งก้าวเท้าเข้ามาในล็อบบีถึงกับขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกรอดๆ ด้วยความเดือดดาล มือใหญ่กำเข้าหากันแน่น ก่อนจะก้าวยาวๆ ออกไปจากภาพบาดตาบาดใจนั้นอย่างรวดเร็ว

“ดิฉันยาหยี โรจน์มหามงคลค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน” หญิงสาววางมือลงบนตักเมื่อฟรานเซเซียสปล่อยมือหล่อนแล้ว

“คุณเดินทางมาเที่ยวหรือครับ”

ยาหยียิ้มบางๆ ความหมองเศร้าเจืออยู่ในน้ำเสียง

“ไม่เชิงหรอกค่ะ มาตามหาอะไรบางอย่าง แต่ไม่รู้ว่าจะตามหาเจอหรือเปล่า”

ฟรานเซเซียสระบายยิ้มกว้าง มองใบหน้างามของยาหยีอย่างชื่นชม ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผู้หญิงไทยจะสวยงามดุจนางฟ้าแบบนี้

“ผมเอาใจช่วยครับ เอ่อ…ผมคงต้องขอตัวก่อน พอดีนึกขึ้นได้ว่าต้องรีบไปที่กาสิโน”

หนุ่มหล่อตัวใหญ่น่าจะพอๆ กับคอร์เนลตรงหน้ารีบผลุนผลันลุกขึ้นยืน ยาหยีรีบลุกขึ้นตาม

“ไว้โอกาสหน้าถ้าพบกันอีก ผมจะเข้ามาคุยด้วยอีกนะครับ”

“ยินดีค่ะ ขอบคุณมากนะคะที่นั่งคุยเป็นเพื่อน”

“ไม่เป็นไรครับ ผมก็กำลังเหงาไม่แพ้คุณหรอก ผมต้องไปแล้ว บายครับ”

ทันทีที่ผู้ชายตัวโตที่พึ่งรู้จักได้ไม่กี่นาทีก้าวยาวๆ เดินหายไปจากสายตาแล้ว ยาหยีก็ทิ้งกายลงนั่งบนเก้าอี้ตัวเดิม ความเครียดที่บีบคั้นอยู่ในอกทำให้หญิงสาวต้องยกมือขึ้นกดมันเอาไว้

“ยินดีมากนะครับที่ได้พบคุณยาหยีที่มอสโกอีกครั้ง”

เสียงคุ้นหูยิ่งนัก ยาหยีลดมือที่ปิดหน้าออกแล้วก็ได้เห็นเจ้าของเสียงพูดถนัดตา

“เซอร์เก!”

เจ้าของชื่อระบายยิ้มเป็นมิตรกว่าทุกครั้งที่เคยพบกัน เขาทรุดลงนั่งบนเก้าอี้ตัวตรงข้ามกับหล่อน และเริ่มต้นพูดอย่างไม่คิดจะอ้อมค้อมใดๆ อีก ทั้งๆ ที่หล่อนยังอ้าปากค้างด้วยความตกใจอยู่เลย

“เมื่อกี้ผมเห็นนายน้อยบึ่งรถออกจากที่นี่ราวกับเหาะได้ ปะทะฝีปากกันอีกแล้วหรือครับ”

คำถามของเซอร์เกทำให้คิ้วงามของยาหยีขมวดมุ่น

‘คอร์เนลมาที่นี่เหรอ? แต่หล่อนไม่เห็นเขาเลยนี่’

“ฉันไม่เห็นเขาเลย คุณคงมองผิด”

“ผมจะมองนายน้อยของตัวเองผิดได้ยังไงล่ะครับ นายน้อยขับรถสปอร์ตสวนกับผมจริงๆ และดูท่าทางจะกำลังเดือดดาลมากเสียด้วย”

“ฉันไม่รู้หรอกค่ะว่าเขาเป็นอะไร เพราะฉันไม่ได้เจอเขา หรือบางทีเขาอาจจะมาหาคู่ขาคนใดคนหนึ่งของเขาที่นี่ก็ได้”

น้ำเสียงเต็มไปด้วยความน้อยใจ จนคนฟังอย่างเซอร์เกถอนหายใจออกมา

“ผมรู้นะครับว่าคุณยาหยีมาที่นี่ทำไม”

“คุณจะมาขัดขวางฉันอย่างนั้นหรือ ที่ผ่านมายังไม่พออีกหรือไง”

เซอร์เกรีบส่ายหน้า ก่อนจะพูดอย่างสำนึกผิด

“ผมต้องขอโทษสำหรับทุกเรื่องที่ผ่านมา…ผมระแวงคุณเกินไป”

“คุณรักคอร์เนลมากนี่คะ และที่คุณทำก็ไม่ใช่สิ่งที่ผิดเลยแม้แต่นิดเดียว ทุกอย่างมันถูกต้อง ฉันเป็นผู้หญิงแพศยาที่ไม่คู่ควรกับนายน้อยของคุณเลย”

แม้จะพยายามบังคับเสียงให้ราบเรียบเพียงใด แต่มันก็ยังสั่นเทาจนน่าเวทนา

“แถมยังเป็นคนทรยศ…”

น้ำตาไหลพรากออกมาท่วมท้นแก้มนวล เซอร์เกตกใจรีบส่งผ้าเช็ดหน้าของตัวเองให้กับหญิงสาวทันที ยาหยีรีบรับเอามาซับน้ำตาเพราะเกรงว่าการสนทนาของหล่อนกับเซอร์เกจะกลายเป็นเป้าสายตาของคนเดินผ่านไปผ่านมาเสียก่อน

“แต่นายน้อยรักคุณ”

ยาหยีส่ายหน้าทั้งน้ำตา พูดไม่ออก

“และผมก็ไม่คิดจะต่อต้านคุณอีกแล้ว” เซอร์เกถอนใจออกมาก่อนจะพูดต่อ

“คุณเป็นผู้หญิงคนเดียวที่นายน้อยต้องการ ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมานายน้อยเหมือนมีแค่ร่างกายที่ซังกะตายไปวันๆ แม้มันจะเป็นผลดีต่อธุรกิจที่ล้นมือของนายน้อย แต่…ผมไม่อยากเห็นนายน้อยของตัวเองกลายเป็นคนเย็นชาสุดขั้วและไม่สามารถเข้าถึงได้มากมายขนาดนี้ ตอนที่มีคุณอยู่ข้างๆ ถึงแม้นายน้อยจะเกเรงานบ้าง หนีเที่ยวบ้าง แต่นายน้อยก็มีความสุข ซึ่งผมอยากให้นายน้อยได้ความสุขแบบนั้นคืนมาอีกครั้ง”

“คุณกำลังต้องการอะไรจากฉันคะเซอร์เก คุณต้องการให้ฉันทำอะไรกันแน่”

ไม่เข้าใจในความต้องการที่แท้จริงของผู้ชายตรงหน้าเลยแม้แต่นิดเดียว หรือจะพูดง่ายๆ ก็คือหล่อนไม่ไว้ใจเซอร์เก ก็เป็นเขาเองไม่ใช่หรือที่ต้องการให้ทุกอย่างจบลงแบบนี้ จบลงด้วยการแยกทางกันระหว่างหล่อนกับคอร์เนล และตอนนี้ทุกอย่างมันก็เป็นอย่างที่เขาต้องการทั้งหมดแล้ว เขายังจะมาวุ่นวายอะไรกับหล่อนอีก หรือต้องการจะให้หล่อนรีบไปจากมอสโกกันนะ

“วันนี้ผมไม่ได้มาร้าย ผมแค่อยากให้คุณทำทุกวิถีทางเพื่อเอาชนะหัวใจของนายน้อยให้ได้อีกครั้ง เหมือนอย่างที่คุณเคยทำมาแล้วในอดีต ผมยินดีจะช่วยเหลือทุกอย่าง”

ยาหยีแทบไม่อยากจะเชื่อหูในสิ่งที่ตนเองได้ยิน เซอร์เกคนที่พยายามผลักไสหล่อนให้ออกไปจากชีวิตของคอร์เนลเนี่ยนะกำลังอ้อนวอนให้หล่อนกลับไปหาคอร์เนลอีกครั้ง นี่หล่อนหูฝาดไป หรือว่ากำลังนอนหลับแล้วฝันไปกันแน่นะ

“ฉันคิดว่า…คุณคงกินยาผิดเข้าไป”

“ผมไม่ได้กินยาผิดหรอกครับ ผมมีสติครบถ้วนดีทุกอย่าง และที่ผมมาขอร้องคุณในวันนี้ก็เพราะว่าคุณเป็นผู้หญิงคนเดียวที่นายน้อยของผมรัก และนายน้อยของผมจะสามารถกลับมามีชีวิตที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะอีกครั้งหนึ่งได้ก็เพราะคุณ”

“คุณต้องการอย่างนั้นจริงๆ หรือคะเซอร์เก”

รู้สึกว่าเมฆหมอกที่ปกคลุมอยู่ในชีวิตกำลังเริ่มเคลื่อนตัวจากไปทีละนิด ยาหยีระบายออกมาทั้งน้ำตา หัวใจที่เคยเหี่ยวเฉาพองโตขึ้นอีกครั้ง

“ผมรู้สึกอย่างที่พูดทุกคำครับ”

เซอร์เกยิ้มกว้างออกมา ขณะลุกขึ้นยืน

“คืนนี้ถ้าคุณไม่รังเกียจก็ไปหานายน้อยที่ห้องนะครับ”

คำพูดของคู่สนทนาต่างวัยทำเอาแก้มสาวของยาหยีแดงระเรื่อ ความขัดเขินอัดแน่นอยู่ในทุกอณูเนื้ออย่างรุนแรง

“เอ่อ…แต่คอร์เนลอาจจะ…ไม่พอใจ”

“นายน้อยแค่ปากแข็งเท่านั้นเอง แค่คุณยอมเป็นฝ่ายง้อ รับรองว่านายน้อยไม่มีทางปฏิเสธคุณได้หรอกครับ ไปนะครับ ผมจะให้อีวานเปิดทางสะดวกให้”

‘ถ้านี่คือหนทางเดียวที่จะทำให้หล่อนได้คอร์เนลกลับคืนมาข้างกาย หล่อนก็ยินดีจะทำมัน แม้จะต้องถูกคอร์เนลตราหน้าว่าหน้าด้านหน้าทนก็ตาม’

ยาหยีพยักหน้ารับน้อยๆ ขณะขยับตัวลุกขึ้นยืน

“ค่ะ ฉันจะไป ขอบคุณมากนะคะสำหรับความกรุณา”

“ผมต่างหากที่ต้องกล่าวขอบคุณ…ขอบคุณมากนะครับคุณยาหยีที่ให้อภัยในความโง่เขลาของผม และก็ขอบคุณสำหรับความกล้าของคุณ”

“ฉันทำเพื่อตัวเองค่ะ”

ยาหยียิ้มตอบ ขณะยืนมองเซอร์เกคว้าโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดรับด้วยท่าทางรีบร้อน และการโต้ตอบที่ได้ยินก็ทำให้รู้ว่าผู้ชายตรงหน้ากำลังคุยกับใคร

“ครับๆ นายน้อย ผมจะรีบไปเดี๋ยวนี้ครับ” เซอร์เกกดตัดสายก่อนจะรีบหันมาเอ่ยลาหล่อน

“ผมคงต้องรีบไปออฟฟิศก่อนครับ เพราะตอนนี้นายน้อยกำลังอาละวาดใส่พนักงานใหญ่เลย ไม่รู้ไปโกรธใครมานักหนา ไปก่อนนะครับ”

ยาหยีโบกมือให้กับเซอร์เกเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่ร่างสูงใหญ่ของเขาจะเดินออกไปจากล็อบบีอย่างรวดเร็ว หญิงสาวถอนใจออกมาแรงๆ ก่อนจะตัดสินใจเดินกลับขึ้นห้องพักเพื่อไปเตรียมตัวรับศึกใหญ่สำหรับค่ำคืนนี้ด้วยหัวใจที่ยังหวาดหวั่นเหลือเกิน

หลังจากที่ต้องตามง้องอนลินดาที่ไม่ยอมคุยกับตัวเองอยู่ถึงสามวันเต็มๆ ได้เป็นผลสำเร็จ แต่นั่นมันก็ต้องแลกกับการที่หล่อนต้องมายืนอยู่ในสนามบินแห่งนี้ สนามบินนานาชาติแห่งกรุงมอสโก ยาหยีกำลังมือแน่น ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ที่อยู่ใกล้ๆ ตัวด้วยหัวใจที่หวาดหวั่น

บอกตามตรงว่าหล่อนกลัวสายตาเหยียดหยามและคำพูดโหดร้ายของคอร์เนลเหลือเกิน เขาจะต้องทำทุกอย่างให้หล่อนเจ็บปวดที่สุดอย่างแน่นอน

“ตื่นเต้นเหรอ เห็นตัวสั่นเชียว”

ยาหยีพยักหน้ารับน้อยๆ อยากจะบอกลินดาเหลือเกินว่าไม่ใช่แค่ตัวหรอกที่สั่นเป็นเจ้าเข้าน่ะ เพราะไอ้ก้อนเนื้อที่เต้นตุบๆ อยู่ใต้อกข้างซ้ายมันก็สั่นระรัวเฉกเช่นเดียวกัน หวาดกลัวจนแขนขาพานไร้เรี่ยวแรง

“เอาน่า…ไม่ต้องกลัวหรอก เธอต้องสู้เพื่อความรักของตัวเองนะ ดูฉันสิขนาดไม่ได้แอ้มพ่อเทพบุตรตาเขียวด้วยยังอุตส่าห์เสียเงินค่าตั๋วบินมาเป็นเพื่อนเธอเลย ฉะนั้นห้ามถอดใจเด็ดขาด”

ได้ยินลินดาพูดแบบนี้ ยาหยีจึงพยายามรวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มีอยู่ตอนนี้ตอบรับออกไป

“ขอบใจมากลินดา ฉันจะพยายามให้ดีที่สุด”

“ดีมาก มันต้องอย่างนี้สิ งั้นเรารีบไปที่พักกันเถอะ นี่ฉันจองโรงแรมที่มันอยู่ใกล้กับคฤหาสน์ซีร์ยานอฟมากที่สุดเลยนะ เธอจะได้ไม่ต้องลำบากไงเวลาที่ต้องไปหาพ่อเทพบุตรตาเขียวถึงห้องนอน”

ลินดาพูดขณะพายาหยีเดินออกจากสนามบินไปขึ้นรถแท็กซี่ที่มีบริการอยู่ด้านหน้า

ยาหยีหน้าแดงก่ำด้วยความขัดเขินเมื่อสมองวกกลับไปคิดถึงเรื่องบนเตียงของตัวเองกับคอร์เนลซ้ำอีกครั้ง

“พูดจาน่าเกลียดจังเลย…ลินดาน่ะ”

“พูดความจริงไม่เห็นจะน่าเกลียดตรงไหนเลย แล้วนี่อายทำไมเนี่ย ฉันก็แค่พูดถึงเตียงนอนเฉยๆ เอง หรือว่าเธอคิดไปไกลถึงฉากรักเร่าร้อนที่เคยทำกับพ่อเทพบุตรตาเขียวอยู่บ่อยๆ ใช่ไหมล่ะ”

“ไม่ใช่นะ ฉัน…” รีบส่ายหน้าปฏิเสธ พยายามจะพูดแก้ต่างอีกแรงแต่ก็ตะกุกตะกักเต็มที จนลินดาหัวเราะออกมาอย่างรู้ทัน

“เอาละไม่พูดแล้วก็ได้ นั่นไงรถมาแล้ว ขึ้นรถเถอะ”

รถแท็กซี่แล่นมาจอดตรงหน้า ลินดาก้าวนำขึ้นไปก่อนเป็นคนแรก ก่อนที่ยาหยีจะก้าวตามขึ้นไปนั่งข้างๆ

“ไปโรงแรมซาวอยมอสโกค่ะ”

แท็กซี่มิเตอร์ค่อยๆ เคลื่อนออกจากสนามบิน มุ่งหน้าพาหล่อนกับลินดาไปยังโรงแรมซาวอยมอสโกซึ่งเป็นโรงแรมที่อยู่ใกล้กับคฤหาสน์ซีร์ยานอฟมากที่สุด แม้ราคาค่าห้องพักมันจะแพงระยับจนต้องอ้าปากค้างแค่ไหน แต่หล่อนก็ต้องยอมลงทุน ใช่…หล่อนจะต้องยอมเสี่ยงอีกครั้ง เพื่อให้ได้หัวใจของคอร์เนลกลับคืนมา แม้หนทางสำเร็จมันจะริบหรี่ซะเหลือเกินก็ตาม

มือใหญ่สีแทนที่กำลังยกแก้วกาแฟดำขึ้นดื่มชะงักค้างกลางอากาศทีเดียวเมื่อหูได้ยินข่าวล่าสุดจากปากของคนสนิท

“ว่าไงนะเซอร์เก ฉันฟังไม่ถนัด”

“คุณยาหยีเธอเดินทางมามอสโกครับ”

เลือดในกายเย็นเฉียบแทบจะกลายเป็นก้อนน้ำแข็ง หัวใจเต้นแรงระรัวจนกระแทกเข้ากับหน้าอกอย่างรุนแรง วูบหนึ่งความยินดีแล่นขึ้นมาจุกอก แต่แวบเดียวก็ถูกความเจ็บแค้นกลบทับจนมืดมิด เขาไม่มีวันให้อภัยผู้หญิงแพศยาอย่างยาหยีแน่นอน

“คราวหน้าอย่านำเรื่องของผู้หญิงคนนี้มาบอกฉันอีกนะเซอร์เก เพราะมันไร้สาระมาก”

แก้วกาแฟที่ค้างอยู่ในมืออยู่หลายอึดใจถูกวางลงบนโต๊ะเตี้ยตรงหน้าโดยที่เจ้าของไม่ได้แตะต้องมันแม้แต่หยดเดียว

“ครับนายน้อย ถ้าคราวหน้าผมเห็นคุณยาหยีมากับผู้ชายอีก ผมก็จะไม่นำมารายงานอีกแล้วครับ”

เซอร์เกแกล้งหย่อนระเบิดใส่หัวใจของคอร์เนล

“นี่นายว่าไงนะ แม่นั่นมากับผู้ชายอย่างนั้นหรือ”

แม้เจ้าตัวจะพยายามบังคับเสียงให้ราบเรียบ เสียงที่ถูกเค้นออกมาจากลำคอแกร่งนั้นก็ยังอัดแน่นไปด้วยโทสะแรงกล้าจนคนฟังอย่างเซอร์เกต้องลอบอมยิ้ม

“ครับนายน้อย ท่าทางจะเป็นแฟนมั้งครับ เห็นคุยกันกะหนุงกะหนิงเดินเข้าไปในโรงแรมซาวอยมอสโกเมื่อตอนเช้ามืดที่ผ่านมานี่เองครับ”

ความจริงเซอร์เกเห็นยาหยีเดินเข้าโรงแรมไปกับลินดา แต่อยากแกล้งเจ้านายของตัวเองเล่นเท่านั้นเอง อยากจะรู้นักว่าไอ้ท่าทางเย็นชาไม่แยแสนี่จะซ่อนอะไรเอาไว้ข้างใน

“ต่อให้แม่นั่นกำลังจะแต่งงานฉันก็ไม่สน!”

คอร์เนลกระแทกหนังสือพิมพ์ลงกับโต๊ะ ก่อนจะลุกขึ้นและเดินตรงไปที่รถสปอร์ตสีดำคันโปรดของตัวเอง เซอร์เกที่เดินตามมาร้องถามด้วยความแปลกใจ ขณะที่อีวานที่ยืนเปิดประตูรถลีมูซีนให้อยู่ถึงกับหน้าเหวอด้วยความงงงวย

“เมื่อวานนายน้อยสั่งให้ผมเตรียมลีมูซีนไม่ใช่หรือครับ บอกว่าขี้เกียจขับรถเอง”

“ฉันเปลี่ยนใจแล้ว อยากขับรถเองบ้าง มีอะไรไหมเซอร์เก แล้วก็หุบปากไม่ต้องถามอะไรทั้งสิ้นนะ รวมทั้งห้ามใครหน้าไหนตามฉันมาด้วย ไม่อย่างนั้นเห็นดีกันแน่”

คอร์เนลขู่ทิ้งท้ายก่อนจะกระโดดขึ้นรถสปอร์ตและขับออกไปราวกับรถมีปีกเหาะได้

เซอร์เกส่ายหน้ายิ้มๆ ขณะที่อีวานงงเต๊ก

“ทำไมนายน้อยเปลี่ยนใจง่ายจังน้าเซอร์เก ผมล่ะตามอารมณ์ไม่ทันเลย”

“คนกำลังคลั่งก็อย่างนี้แหละน่า รออีกสักพักเดี๋ยวอาการนี้ก็หายไปเองนั่นแหละ”

“อีกนานไหมล่ะน้าเซอร์เกที่นายน้อยจะหายจากโรคเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายเนี่ย”

ผู้เป็นน้าชายระบายยิ้มกว้าง ก่อนจะเฉลยออกมาแบบอมพะนำ

“ไม่กี่วันก็คงจะหายแล้วล่ะ เพราะยารักษาเดินทางมาถึงมอสโกแล้ว”

เซอร์เกพูดจบก็เดินหัวเราะจากไป ทิ้งให้อีวานยืนเกาหัวแกรกๆ ด้วยความมึนงงซ้ำซ้อนอยู่ตามลำพัง

“น้าเซอร์เกพูดอะไรน่ะ ฟังไม่เห็นรู้เรื่องเลย ยารักษาอะไร? โอ๊ย! งงว่ะ”

อีวานส่ายศีรษะแรงๆ เพื่อสลัดความงงงวยออกจากสมอง จากนั้นก็ก้าวขึ้นรถลีมูซีนที่คอร์เนลปฏิเสธที่จะนั่งกะทันหันเพื่อขับเข้าไปเก็บในโรงรถขนาดใหญ่ทันที

กรุงมอสโกยามค่ำคืนดูอ้างว้างเหลือเกินเมื่อเขาต้องมายืนมองดวงดาวบนท้องฟ้าเพียงลำพัง ไร้เงาของผู้หญิงที่ตัวเองรักหมดใจข้างกาย คอร์เนลถอนใจออกมาหนักหน่วง ทั้งๆ ที่พยายามตัดใจจากยาหยีแค่ไหน แต่สุดท้ายระยะเวลานานถึงหนึ่งเดือนเต็มๆ เขาก็ยังไม่สามารถทำได้สำเร็จอยู่ดี วันๆ หนึ่งเขาต้องพยายามห้ามตัวเองไม่ให้บินไปกรุงเทพฯ หลายต่อหลายครั้ง เพราะความคิดถึงกำลังถล่มยับอยู่ในอก พานให้เขาแทบเป็นบ้า

เซอร์เกยืนมองนายน้อยของตัวเองด้วยความกังวลใจ หนึ่งเดือนมาแล้วที่คอร์เนลดูเย็นชา และไม่มีใครเข้าถึงความรู้สึกที่แท้จริงของชายหนุ่มได้เลย

“นายน้อยครับ”

“หุบปากซะถ้าจะพูดเรื่องเดิม”

คอร์เนลเอ่ยขึ้นอย่างรู้ทัน เพราะตลอดสามสิบวันที่ผ่านมาเซอร์เกที่เคยบอกเขาว่ายาหยีไม่คู่ควรกับเขากลับพยายามอ้อนวอนให้เขาไปง้องอนเจ้าหล่อนซะนี่

“แต่เรื่องที่นายน้อยไม่อยากฟัง มันเป็นเรื่องเดียวที่ผมต้องพูดนะครับ”

“เซอร์เก ไปนอนซะ”

“ผมไม่อยากเห็นนายน้อยมีชีวิตแค่หายใจทิ้งไปวันๆ นายน้อยควรจะมีความสุข”

เซอร์เกยังดื้อแพ่ง คอร์เนลขบกรามแน่นขณะหันมาจ้องหน้าคนสนิทด้วยสายตาสีเขียวเรืองรอง ความไม่พอใจฉาบชัดบนใบหน้าหล่อเหลามหาศาล

“แค่ฉันไม่เห็นหน้าแม่นั่น ไม่ได้ยินชื่อแม่นั่น ฉันก็สุขจนแทบจะไหม้แล้วล่ะ ไปซะเถอะเซอร์เก นายกล่อมฉันมาสามสิบวันเต็มแล้วไม่ใช่หรือ ก็เห็นนี่ว่ามันไม่ได้ผล ฉันไม่ยอมใจอ่อนแน่”

“แต่การพยายามไม่รักมันเจ็บปวดนะครับนายน้อย ผมอยากให้นายน้อยกลับมาเป็นผู้ชายยิ้มง่ายเหมือนเมื่อตอนที่ยังมีคุณยาหยีอยู่ข้างกาย”

คอร์เนลแค่นหัวเราะออกมาทั้งๆ ที่บรรยากาศรอบตัวไม่มีอะไรน่าขันเลยแม้แต่นิดเดียว

“แต่การอยู่โดยไร้รักมันก็ทำให้เรามองเห็นความจริงมากขึ้นไม่ใช่หรือ หุบปากเถอะ แล้วไสหัวออกไปซะ”

ชายหนุ่มตวาดลั่น แต่ก็หยุดคนสนิทไม่ได้ เซอร์เกยอมถูกฆ่าหากคำพูดของตัวเองจะทำให้นายน้อยของเขาเลิกใจแข็ง ปากแข็งสักที

“แต่ผมอยากให้นายน้อยให้โอกาสคุณยาหยีอีกสักครั้ง”

“ให้โอกาสคนที่ทรยศฉันถึงสองครั้งสองครานี่นะ”

เซอร์เกสูดลมหายเข้าใจปอดเฮือกใหญ่ ก่อนจะตัดสินใจพูดออกมา

“ผมมีบางอย่างที่ปิดบังนายน้อยเอาไว้ครับ”

คอร์เนลเลิกคิ้วเข้มขึ้นสูง จ้องหน้าคนสนิทเขม็ง

“นายกำลังจะบอกอะไรกับฉันอย่างนั้นหรือ”

“ที่เมืองไทยผมเป็นคนวางแผนปล่อยนายยอดชายเองครับ”

“เซอร์เก นี่นาย…”

หนุ่มหล่อเบิกตากว้าง คำรามออกมาราวกับไม่เชื่อในสิ่งที่ตัวเองได้ยิน เซอร์เกแม้จะหวาดเกรงต่ออาญาอารมณ์ของคอร์เนลมากแค่ไหน แต่เขาก็จำต้องพูดต่อให้จบ

“ก็วันที่นายน้อยไปเจอผมกับคุณยาหยีที่สวนสาธารณะนั่นแหละครับ ความจริงคุณยาหยีไม่ได้อยากไปนั่งที่นั่นหรอก แต่เพราะผมตั้งใจจะมัดมือชกเธอ ผมบังคับให้เธอยอมรับปากว่า หากนายยอดชายเป็นอิสระแล้ว เธอต้องไปจากนายน้อยทันที ตอนนั้นเธอน้ำตาซึม ผมเห็น แต่ด้วยความที่ผมตั้งใจจะขจัดเธอให้ออกไปจากชีวิตของนายน้อย ผมก็เลยไม่สนใจ ผมวางแผนทุกอย่าง ตั้งแต่ทำให้กล้องวงจรปิดเสีย และล่อยามออกไปทางอื่น แต่สุดท้ายแล้วผมก็ไม่ทันได้ลงมือ เพราะมีคนบุกเข้ามาช่วยนายยอดชายไปซะก่อน ซึ่งมันก็คือพวกของคุณอังเดรนั่นเอง”

เซอร์เกเล่าความผิดของตัวเองจบก็เงยหน้าขึ้นสบตากับคอร์เนล แต่ก็ได้เห็นเพียงแผ่นหลังกว้างของชายหนุ่มเท่านั้น

“ผมขอโทษครับนายน้อย ผมยินดีรับผิดทุกอย่าง”

“มาบอกฉันทำไมล่ะเซอร์เก ในเมื่อทุกอย่างมันผ่านไปแล้ว มันแก้ไขอะไรไม่ได้อีกแล้ว”

“เพราะผมอยากให้นายน้อยทำตามหัวใจของตัวเองยังไงล่ะครับ ผมไม่อยากเห็นนายน้อยอยู่ไปวันๆ เหมือนร่างที่ไร้วิญญาณแบบนี้ นายน้อยควรจะมีความสุข ผมมันระแวงเกินไปเองที่คิดว่าเด็กสาวไร้เดียงสาอย่างคุณยาหยีจะล่อลวงให้นายน้อยเสียคนได้ ผมมันบ้าไปเอง เพราะผมเอง…”

“ไม่ใช่เพราะนายหรอกเซอร์เก เพราะถึงยังไงยาหยีก็ทรยศฉันจริงๆ”

น้ำเสียงของคอร์เนลบ่งบอกให้รู้ว่าทิฐินั้นยังคงอัดแน่นอยู่ในหัวใจของเขามากมายเพียงใด เซอร์เกถอนใจออกมาแรงๆ ด้วยความอ่อนล้า

“แต่เธอทำไปเพราะความกตัญญูนะครับนายน้อย หากนายน้อยเป็นเธอ ผมก็แน่ใจว่านายน้อยจะต้องทำแบบเดียวกัน”

“อย่าสู่รู้เลยเซอร์เก ทางแก้ปัญหาในโลกนี้มีมากมาย และคิดหรือว่าคนฉลาดอย่างฉันจะทำอะไรโง่ๆ แบบผู้หญิงคนนั้น ไม่มีทางหรอก”

เซอร์เกถอนใจออกมาอีกครั้ง

“นายน้อยใจแข็งเหลือเกิน ผมเสียใจเหลือเกินที่ทำให้นายน้อยลดทิฐิลงไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว”

“บางทีทิฐิก็ทำให้กำแพงหัวใจแข็งแรงขึ้นนะเซอร์เก ขอบใจที่หวังดี แต่ฉันไม่ต้องการ”

และทุกการสนทนาก็จบลงอย่างสิ้นเชิง เซอร์เกยืนมองแผ่นหลังของนายน้อยตนเองด้วยความอ่อนอกอ่อนใจอยู่พักใหญ่ ก่อนจะเดินจากไปอย่างเงียบเชียบ

เมื่ออยู่คนเดียวอีกครั้ง ดวงจันทร์ตรงหน้าก็กลายเป็นภาพใบหน้าของผู้หญิงคนนั้น ผู้หญิงที่ยังติดตราตรึงอยู่ในทุกลมหายใจเข้าออก

“ผมไม่มีวันให้อภัยในสิ่งที่คุณได้กระทำลงไปหรอกยาหยี แม้ว่าคุณจะแสดงฉากจบในโกดังได้อย่างเหมือนจริงแค่ไหนก็ตาม”

ภาพร่างของยาหยีโชกเลือดวกกลับเข้ามาในสมองอีกครั้ง แต่คอร์เนลก็ยักไหล่และใส่ความหล่อนอย่างเจ็บแสบทีเดียว

‘มันคงเป็นแค่การแสดงที่ผิดคิวเท่านั้นเอง หล่อนถึงได้เจ็บปางตายแบบนั้น’

คอร์เนลกัดฟันแน่น สลัดศีรษะแรงๆ ก่อนจะเดินจ้ำอ้าวกลับเข้าไปในตึกด้วยท่าทางเดือดดาลเต็มขั้น เชอรี่ที่กำลังตรวจตราความเรียบร้อยอยู่ภายในห้องโถงติดกับบันไดบ้านมองตามร่างใหญ่โตของเจ้านายหนุ่มที่พึ่งเดินผ่านสายตาไปด้วยความกังวลใจ

“เมื่อไรจะใจอ่อนสักทีนะนายน้อย”

“นั่นสิคะ นายน้อยดุกว่าเมื่อก่อนมากเหลือเกิน ทำอะไรๆ ก็ไม่เคยถูกใจสักอย่าง เมื่อวานหนูก็ถูกไล่ให้ไปชงกาแฟใหม่เกือบสิบรอบทั้งๆ ที่หนูก็ชงสูตรเดิมที่นายน้อยเคยกินทุกวันนั่นแหละ”

มารีนที่ยืนอยู่ข้างๆ เอ่ยขึ้นมาบ้าง รู้ดีว่าทุกอย่างในบ้านจะกลับมาเข้าสู่สภาพเดิมได้ก็ต่อเมื่อยาหยีกลับมาอยู่ที่นี่ อยู่ข้างกายคอร์เนล

“ไม่ต้องบ่นหรอก ตอนนี้โลกของนายน้อยกำลังเป็นสีดำ อะไรๆ มันก็ขัดใจไปหมดนั่นแหละ เดี๋ยวพออะไรเข้าที่เข้าทาง นายน้อยก็จะกลับมาเป็นเทพบุตรของเราเหมือนเดิมนั่นแหละ” เชอรี่พูดอย่างคนปลงตก ก่อนจะเดินเลี่ยงออกไป

“คุณเชอรี่พูดอะไรน่ะ ทำไมเข้าใจยากจัง” มารีนยกมือขึ้นเกาหัวแกรกๆ ด้วยความมึนงง พยายามคิดแต่ก็คิดไม่ออก จึงทำได้แค่เพียงวิ่งตามไปหาคำอธิบายจากแม่บ้านร่างท้วมที่เดินนำหน้าไปไกลแล้วด้วยความข้องใจสุดขีดเท่านั้นเอง

หนึ่งเดือนแล้วสินะกับการอยู่ตามลำพังบนพื้นแผ่นดินที่ห่างกันคนละฟากฟ้ากับคอร์เนล ยาหยีปล่อยน้ำตาให้ไหลพรากลงมาอาบแก้มนวลอีกครั้งเมื่ออยู่ตามลำพัง เนื่องจากลินดาออกไปกับโกวิทคู่รักของเธอ และจะกลับเข้ามาอีกทีตอนสามทุ่มเศษ

“ฉันลืมคุณไม่ได้หรอกนะคอร์เนล ลืมไม่ลงจริงๆ”

ความเสียใจกัดกินเนื้อหัวใจจนแทบไม่เหลือชิ้นดี หล่อนพยายามคิดว่าคอร์เนลตายแล้ว ตายไปจากชีวิตของหล่อนแล้ว แต่ก็ทำไม่สำเร็จ ทุกลมหายใจของหล่อนยังคงโหยหาเขาแต่เพียงผู้เดียว เวลาที่เคลื่อนผ่านไปในวันหนึ่งๆ มันยาวนานชั่วกัปชั่วกัลป์

มือบางสั่นระริกยกขึ้นป้ายน้ำตาแห่งความเสียใจครั้งแล้วครั้งเล่า สมองนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อหนึ่งเดือนก่อนซ้ำอีกครั้งจนได้

หล่อนตื่นขึ้นมาภายในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในกรุงมอสโกหลังจากหลับใหลไปถึงสามวันเต็มๆ และคนแรกที่ได้เห็นก็คือเชอรี่ที่คอยเฝ้าหล่อนไม่ห่างกาย

“คอร์เนลล่ะป้า คอร์เนลเป็นยังไงบ้าง”

จำได้ว่านี่คือคำถามแรกที่หล่อนถามเชอรี่

“โธ่! แม่คุณยังห่วงคนอื่นอีกเหรอ ตัวเองแทบจะไม่รอดอยู่แล้ว”

“ป้า บอกฉันก่อน คอร์เนลอยู่ไหน เขาเป็นยังไงบ้าง”

ภาพความเหี้ยมโหดของอังเดรยังติดตาและมันก็ทำให้หล่อนห่วงคอร์เนลเหลือเกิน หล่อนเห็นแม่บ้านร่างท้วมมีสีหน้าลำบากใจก่อนจะพูดออกมา

“นายน้อยไม่เป็นอะไรค่ะ และตอนนี้ก็เดินทางไปนิวยอร์ก เห็นว่าสาขาที่นั่นมีปัญหา”

แม่บ้านวัยกลางคนเก็บงำความลับที่ว่าคอร์เนลมาเฝ้ายาหยีทุกคืนสามวันเต็มๆ เอาไว้ตามคำสั่งของเจ้านายหนุ่ม จากนั้นก็เริ่มพูดในสิ่งที่คอร์เนลต้องการจะให้เด็กสาวตรงหน้าได้ฟัง

“เธอไปตั้งแต่ส่งคุณเข้าห้องผ่าตัดน่ะค่ะ”

รู้สึกเหมือนหัวใจกระตุกแรงๆ หลายต่อหลายครั้ง คอร์เนลเดินทางไปในระหว่างที่หล่อนกำลังอยู่ในความเป็นความตายอย่างนั้นหรือ เขาไม่ห่วงหล่อนเลยหรือไง แต่เขาจะมาห่วงทำไมล่ะในเมื่อหล่อนเป็นต้นเหตุทุกอย่างนี่ แถมยังทรยศเขาอย่างน่าละอายอีก เขาไม่ฆ่าหล่อนให้ตายตกไปก็ถือว่าใจดีแล้ว

“แล้ว…เขาจะกลับมาเมื่อไรหรือคะป้า”

หล่อนได้ยินเสียงคู่สนทนาถอนใจออกมาคล้ายกับอึดอัดอะไรสักอย่าง

“ไม่มีกำหนดค่ะคุณยาหยี นายน้อยบอกว่าจะอยู่ที่นิวยอร์กสักพัก เอ่อ…แล้วก็สั่งให้ดิฉันดูแลคุณยาหยีจนกว่าจะหายดี จากนั้นก็ให้ส่งคุณกลับเมืองไทยค่ะ”

ยาหยีจำได้ว่าตอนที่ได้ฟัง น้ำตาไหลทะลักออกมา คอร์เนลประกาศอย่างโจ่งแจ้งเลยทีเดียวว่าไม่อยากเห็นหน้าหล่อนอีกแล้ว และการที่เขาหนีหน้าไปแบบนี้ก็เพราะเกลียดขี้หน้าหล่อน

“ฝากขอบคุณนายน้อยของป้าด้วยนะคะ ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง ฉันจะรีบรักษาตัวให้หาย และสัญญาว่าจะไปจากมอสโกให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้”

แม้จะพยายามบังคับเสียงให้เรียบปกติแค่ไหนแต่มันก็ยังคงสั่นระริกโชว์ความอ่อนแอออกมาอยู่ดี หญิงสาวถอนสะอื้น ป้ายน้ำตาทิ้ง ขณะพลิกกายหันหลังให้กับเชอรี่เป็นการปิดบทสนทนาอย่างถาวร

และนับจากวันที่หล่อนฟื้นไปอีกหนึ่งอาทิตย์ หล่อนก็เหินฟ้ามุ่งหน้าสู่กรุงเทพมหานคร ด้วยความอนุเคราะห์จากคอร์เนลที่ส่งผ่านเซอร์เกมาให้ และตลอดระยะเวลาที่หล่อนอยู่ในโรงพยาบาล เขาก็ไม่เคยโผล่หน้ามาให้เห็นเลยแม้แต่ครั้งเดียว

หล่อนพบเขาก็แค่บนหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์เท่านั้นเอง ภาพที่เขาเดินออกมาจากเพนต์เฮาส์สุดหรูกับนางเอกชื่อดังของฮอลลีวูดคนนั้นในนิวยอร์ก และนี่มันก็ยิ่งตอกย้ำความว่าหล่อนถูกคอร์เนลเขี่ยลงถังขยะแล้วอย่างชัดเจน

“นายน้อยบอกให้ผมเรียนคุณยาหยีว่า เรื่องการหย่าจะให้ทนายความติดต่อไปเอง คุณยาหยีไม่ต้องกังวล”

เซอร์เกบอกหล่อนตอนที่มาส่งหล่อนที่สนามบินนานาชาติในกรุงมอสโก ตอนนั้นหล่อนทำได้แค่เพียงพยักหน้ารับช้าๆ และก็รีบหันหลังเดินจากไปทั้งน้ำตานองหน้า

‘ลาก่อนมอสโก ลาก่อนคอร์เนล’

“ร้องไห้อีกแล้วเหรอลูกหยี”

“ลินดา…เธอมาตั้งแต่เมื่อไร ฉันไม่เห็นได้ยินเสียงเลย”

ยาหยีรีบยกหลังมือป้ายน้ำตาทิ้ง พร้อมกับร้องถามด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นเพื่อนสนิทมาหยุดอยู่ข้างกายทั้งๆ ที่หล่อนไม่ได้ยินเสียงเปิดประตูเลยแม้แต่นิดเดียว

“ก็มาตั้งแต่ที่เธอเริ่มต้นร้องไห้นั่นแหละ ดีนะที่เป็นฉัน นี่หากเป็นโจร เธอถูกฆ่าหมกห้องไปแล้ว”

ลินดากระชากเสียงตอบด้วยความหงุดหงิด รู้สึกไม่สบายใจเลยที่เห็นเพื่อนรักร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำอีก และจากที่นับนิ้วมือดู วันนี้แม่ลูกหยีร้องไห้มาเกือบจะครบสิบครั้งอยู่แล้ว

“บอกให้บินไปหาเขาไง บางทีความรักของพวกเธออาจจะกลับคืนมาอีกครั้งหนึ่งก็ได้”

ยาหยีส่ายหน้าทั้งน้ำตา ความหวังหดหายไปตั้งแต่เขาควงกับผู้หญิงไม่ซ้ำหน้าแล้วล่ะ

“ไม่มีประโยชน์หรอกลินดา เธอก็เห็นเหมือนกับฉันไม่ใช่หรือว่า ตลอดเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมาคอร์เนลควงผู้หญิงมากมาย และแต่ละคนก็คู่ควรกับผู้ชายสมบูรณ์แบบอย่างคอร์เนลกันทั้งนั้น”

“แต่เขาเคยรักเธอนี่ อย่างน้อยๆ เขาก็เคยบอกกับเธอไม่ใช่เหรอลูกหยี”

“นั่นมันเป็นคำพูดก่อนที่ฉันจะทรยศเขา ลินดา…ฉันยังรักเขาอยู่ แต่เขาไม่ได้รักฉันแล้ว เข้าใจไหม และที่ฉันร้องไห้อยู่แบบนี้ก็เพราะยังตัดใจจากเขาไม่ได้ แต่อีกหน่อยฉันก็จะร้องไห้น้อยลง จนในที่สุดก็จะหยุดร้องไปเอง”

“ไม่มีทางหรอกยายลูกหยี เธอมากรุงเทพฯ แค่ตัวเท่านั้นแหละ แต่หัวใจของเธออยู่มอสโก และอย่าเถียงล่ะว่าไม่จริง” เมื่อเห็นยาหยีทำท่าจะค้าน ลินดาจึงโต้เสียงแข็ง

“ฉัน…”

“ลูกหยี…”

ลินดาทรุดตัวนั่งข้างกายเพื่อนรัก กุมมือบางบีบเบาๆ อย่างให้กำลังใจ

“อย่าทิฐิสิลูกหยี บางทีทุกอย่างอาจจะยังแก้ไขทันนะ พ่อเทพบุตรตาเขียวอาจจะทำไปเพราะต้องการประชดเธอก็ได้นี่ เพราะเท่าที่ฉันสังเกตเขาจงใจจะควงผู้หญิงมากๆ แต่ไม่เคยทนอยู่กับสาวคนไหนนานข้ามอาทิตย์เลยสักคน เขาเปลี่ยนหน้าผู้หญิงตลอดแบบนี้ แสดงว่ายังหาคนมาแทนที่นางในดวงใจอย่างเธอไม่ได้”

“มันคงไม่ใช่อย่างที่เธอคิดหรอกลินดา คอร์เนลคบผู้หญิงไม่นานอยู่แล้ว เขาเป็นคนเบื่อง่าย” ยาหยีแย้งเสียงเศร้าหมอง

“แต่เขาอยู่กับเธอเป็นเดือนเลยนะลูกหยี งั้นก็แสดงว่าไอ้คำว่ารักที่เขาบอกเธอน่ะมันคือความรู้สึกจากใจของเขาจริงๆ น่ะสิ”

นดาดีดนิ้วดีใจ แต่ยาหยีกลับก้มหน้าสะอื้นหนักกว่าเดิมจนเพื่อนต้องดึงเข้ามากอดแนบอก

“ฉันไม่รู้…ตั้งแต่ฉันทรยศเขาในวันนั้น สมองของฉันก็คิดอะไรไม่ออกอีกเลย”

“ใจเย็นๆ เชื่อฉันนะ ทุกอย่างแก้ไขได้ พ่อเทพบุตรตาเขียวยังมีเยื่อใยกับเธออยู่อย่างแน่นอน”

“ไม่มีทางหรอกลินดา คอร์เนลเกลียดคนทรยศที่สุด และเขาก็เกลียดฉันมาก ก่อนมากรุงเทพฯ เขาก็ฝากคนสนิทมาบอกว่าเขาไม่อยากเห็นหน้าฉันอีก แต่เขาไม่ผิดหรอกที่ทำแบบนี้ เพราะหากเป็นฉัน ฉันก็จะทำเหมือนๆ กับเขานั่นแหละ หรือบางทีอาจจะทำมากกว่าเสียอีก”

พยายามจะหัวเราะ แต่ก็ทำได้แค่หัวเราะทั้งน้ำตา ก้อนสะอื้นแล่นขึ้นมาจุกอก หญิงสาวจึงทำได้แค่ก้มหน้าซบกับอกของลินดาเพื่อนสนิทที่กำลังพยายามปลอบใจหล่อนอย่างมีน้ำใจเท่านั้น

“ไม่เอาน่าลูกหยี อย่าร้องไห้…และฟังฉันนะ”

ลินดาเขย่าเพื่อนรักที่กำลังร่ำไห้จนหัวสั่นหัวคลอน จับคางรั้งให้ยาหยีเงยหน้าขึ้นมาประสานสายตาด้วย

“ฟังฉันนะลูกหยี ฟังฉัน! เธอต้องไปมอสโก กลับไปหาพ่อเทพบุตรตาเขียว กลับไปถามเขาให้รู้เรื่องว่ายังรักเธออยู่ไหม หากเขาบอกว่าสิ้นเยื่อใยแล้ว เธอค่อยมาร้องห่มร้องไห้แบบนี้”

“อย่าบังคับฉันเลยลินดา ฉันไม่กล้าสู้หน้าเขาหรอก และที่สำคัญเขาไม่มีทางให้ฉันได้พบหน้าเขาอีกแล้ว เขาเกลียดฉันปานกิ้งกือ”

ยิ่งพยายามหยุดร้อง น้ำตามันก็ยิ่งทะลักไหลอยู่ภายในอก เจ็บช้ำอาดูรจนแทบจะขาดใจ

“ไม่ลองแล้วจะรู้เหรอลูกหยี และหากเธอไม่กล้าไปคนเดียว ฉันนี่แหละจะไปเป็นเพื่อนเธอเอง”

ยาหยีถอนใจออกมา มองเพื่อนรักผ่านม่านน้ำตาด้วยความขอบคุณ

“ฉันรู้ว่าเธอรักฉัน ห่วงใยฉัน แต่ครั้งนี้ฉันทำแบบที่เธอขอไม่ได้จริงๆ ลินดา ฉันทำไม่ได้”

ลินดาเม้มปากแน่น ผละออกห่าง พร้อมๆ กับพูดเสียงแข็งออกมา

“ถ้าเธอไม่ไปมอสโกกับฉัน เราก็เลิกคบกัน เพราะฉันไม่อยากมีเพื่อนขี้ขลาดตาขาวไม่ยอมต่อสู้เพื่อความรักอย่างเธออีก!”

“ลินดา! ลินดา!”

ยาหยีพยายามร้องเรียกเพื่อนรัก แต่ลินดาก็ผลุนผลันออกไปจากห้องพักเสียก่อน ปล่อยให้หล่อนจมปลักอยู่กับการตัดสินใจครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตตามลำพังตลอดทั้งคืน

“กราบตีนฉันสิไอ้คอร์น กราบสิ!”

เมื่อเห็นคอร์เนลยังยืนนิ่งงันอยู่ อังเดรจึงเร่งเร้าขึ้น ชายหนุ่มมองยาหยีด้วยสายตาห่วงใย และตัดสินใจคุกเข่าลงตรงหน้าของอังเดร

“คอร์เนล ไม่นะ…อย่าทำ…”

อังเดรหัวเราะร่วน

“ไม่เคยคิดเลยว่าคนอย่างคอร์เนล ซีร์ยานอฟที่มันไม่เคยก้มหัวให้ใครมาก่อน มันกำลังจะก้มลงกราบตีนฉัน เฮ้ย! เบรท ถ่ายรูปไว้หน่อย จะได้เอาไว้เป็นที่ระลึก”

“ครับนาย”

เบรทหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาตั้งท่าเตรียมถ่ายรูปตามคำสั่งอย่างรวดเร็ว

คอร์เนลกัดฟันแน่น ดวงตาสีเขียววาววับด้วยความคั่งแค้น อังเดรเห็นแล้วก็หัวเราะสะใจ

“เอาสิ กราบตีนกู กราบงามๆ เลยนะ กราบให้สมกับที่มึงคอยขัดแข้งขัดขากูตลอดเวลา เพราะมึงทำให้กูถูกเอฟบีไอเพ่งเล็ง และเพราะมึง ธุรกิจมืดทำรายได้มหาศาลของกูถึงได้หยุดชะงักลง กราบสิ กราบตีนกู ไอ้คอร์น!”

อังเดรบันดาลโทสะด้วยการยกเท้าถีบเข้าไปที่ยอดอกของคอร์เนล

“นี่อย่าทำเขานะ อย่าทำ…”

ยาหยีน้ำตาไหลพราก พยายามตัดเชือกสุดความสามารถแต่มันก็หนาเหลือเกิน ตัดเท่าไรก็ไม่ออกสักที

“ลุกขึ้นมา”

อังเดรตามเข้าไปกระชากคอร์เนลให้ลุกขึ้นนั่งคุกเข่าอีกครั้ง กำลังจะบังคับให้คอร์เนลกราบเท้าอีก แต่เสียงที่เอะอะอยู่ด้านหน้าโกดังก็ทำให้ทุกอย่างหยุดชะงักลง แต่หาใช่การตัดเชือกของยาหยีไม่ และตอนนี้หญิงสาวก็หลุดออกจากพันธนาการอำมหิตนั้นได้เป็นผลสำเร็จ

ยาหยีนั่งนิ่งอยู่ในท่าเดิมโดยปราศจากพิรุธ ขณะดวงตาจับจ้องไปที่ปืนในมือของอังเดรที่ตอนนี้กำลังหันเหความสนใจไปที่ลูกน้องเขม็ง

“ไปดูสิว่าเกิดอะไรขึ้น ไปให้หมดนั่นแหละ ทางนี้ฉันคนเดียวจัดการได้”

“ครับนาย”

อังเดรมองจนลูกน้องออกไปจนหมด ก็หันมาเริ่มบีบบังคับอีกครั้ง

“กราบสักทีสิไอ้คอร์น กราบตีนกูได้แล้ว”

คอร์เนลไม่มีทางเลือกอื่นใดอีก หากศักดิ์ศรีทั้งชีวิตของเขาแลกกับชีวิตของยาหยีได้ เขาก็ยอม เขายอมได้สำหรับผู้หญิงคนนี้ ผู้หญิงที่เป็นเจ้าของดวงใจอันแข็งกระด้างของเขา

“ไม่นะคอร์เนล”

“นายครับ ทั้งตำรวจแล้วก็คนของมันตามมาเป็นโขยงเลยครับ”

เบรทวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามารายงานเจ้านายของตัวเอง

“แล้วคนของเรามาหรือยัง”

“ยังเลยครับ ยังมาไม่ถึงเลย แล้วเราจะเอายังไงกันดีครับ”

เมื่อเหตุการณ์ไม่สู้ดีนัก อังเดรจึงตัดสินใจจะฆ่าคอร์เนลให้ตายก่อนที่จะหลบหนีออกไป แต่ทุกอย่างก็ผิดพลาดเมื่อยาหยีที่นั่งรอโอกาสอยู่พุ่งตัวเข้าใส่จนปืนในมือของอังเดรกระเด็นไปตกลงตรงหน้าของคอร์เนล แล้วคราวนี้หมูก็กลับมาเป็นเสืออีกครั้ง

คอร์เนลตะครุบปืนเอาไว้อย่างรวดเร็ว แล้วก็ลั่นไกใส่ร่างของเบรทที่กำลังจะคว้าปืนขึ้นมายิงเขาอย่างรวดเร็ว

“เบรท! แก! ไอ้คอร์น”

อังเดรตกใจจนหน้าซีด มองร่างของลูกน้องคนสนิทล้มลงสิ้นใจตายต่อหน้าต่อตาอย่างไม่มีทางช่วยได้

คอร์เนลลุกขึ้นยืนตระหง่านอีกครั้ง จ่อปืนไปที่ศีรษะของอังเดรด้วยท่าทางเลือดเย็นไม่แพ้กัน

“ลูกหยี มายืนอยู่ข้างหลังผม”

ยาหยีกำลังจะวิ่งมาแต่ก็พลาดถูกอังเดรกระโดดตะครุบร่างเอาไว้ได้เสียก่อน ทั้งสองล้มลงไปนอนกลิ้งอยู่บนพื้น อังเดรคว้าเศษขวดได้ก็ยกขึ้นมาจ่อคอยาหยีพร้อมๆ กับรอยยิ้มมีชัยระเบิดขึ้นท่วมท้นใบหน้าอีกครั้ง

“อยากให้มันตายก็ยิงฉันสิไอ้คอร์น”

“ลูกหยี…”

“คอร์เนลไม่ต้องห่วงฉัน ยิงมันเลยค่ะ”

และแน่นอนว่าคอร์เนลไม่กล้าที่จะเสี่ยง เขาทนเห็นยาหยีตายไม่ได้ หล่อนเป็นยิ่งกว่าลมหายใจของเขาเสียอีก

“ปล่อยเธอ แล้วผมจะปล่อยคุณอาไป”

“คิดว่าฉันจะเชื่อแกหรือไงไอ้คอร์น ไม่มีทาง! ส่งปืนมาให้ฉัน”

อังเดรหัวเราะลั่น ข่มขู่อย่างเหนือชั้นด้วยการกดเศษขวดแหลมคมลงบนผิวเนื้อบริเวณลำคอของยาหยีแรงขึ้นจนเกิดรอยบาดเลือดไหลออกมา

“อย่าทำเธอนะคุณอา ผมจะคิดว่าทุกอย่างในวันนี้ไม่ได้เกิดขึ้น เราจะกลับไปใช้ชีวิตกันตามปกติ ขอเพียงแค่คุณอาปล่อยยาหยี” คอร์เนลพยายามยื่นข้อเสนอ แต่อังเดรไม่ยอมรับ

“อย่าคิดจะมาหลอกฉันเลย ฉันไม่เชื่อแกหรอก บอกให้ส่งปืนมายังไงล่ะ หรืออยากให้นังเด็กยาหยีตาย ก็ได้…”

“โอเค ผมยอมแพ้แล้ว”

อังเดรหัวเราะสะใจ

“งั้นก็โยนปืนมาให้ฉันสิ ส่งมันมาให้ฉัน”

คอร์เนลไม่มีทางเลือกนอกจากส่งมัจจุราชให้กับฆาตกรที่จ้องจะทำร้ายตนเอง ยาหยีพยายามห้ามปรามแต่ก็หยุดความรักความห่วงใยที่คอร์เนลมีต่อหล่อนไม่ได้

“ปล่อยเธอไป แล้วคุณอาจะฆ่าผมยังไงก็ได้” ชายหนุ่มเค้นเสียงออกมาเมื่อปืนกลับไปตกอยู่ในมือของอังเดรอีกครั้ง

ชายชั่วจอมโลภหัวเราะลั่น ปล่อยยาหยีให้เป็นอิสระ ขณะเดินตรงเข้าหาคอร์เนลด้วยความเจ็บแค้น

“ก็ได้ ฉันรับปาก งั้นแกก็ยืนหลับตาซะ ฉันจะส่งแกไปยมโลกเดี๋ยวนี้แหละ”

คอร์เนลมองยาหยีเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะหลับตาลง แค่ยาหยีปลอดภัย เขาก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว ขอแค่ให้ผู้หญิงที่เขารักสุดหัวใจปลอดภัยก็พอ ชายหนุ่มยืนหลับตาฟังเสียงอังเดรขึ้นลำกล้องปืนด้วยท่าทางไม่กลัวเกรง

ยาหยีร้องไห้แทบจะขาดใจ หล่อนไม่มีทางยอมปล่อยให้คอร์เนลตายด้วยน้ำมือของไอ้คนหยาบช้าอย่างอังเดรแน่นอน และในจังหวะที่อังเดรลั่นไกปืน หญิงสาวก็กระโดดเข้าไปกอดร่างของคอร์เนลเอาไว้ กอดเขาให้แน่นที่สุดเท่าที่จะจำได้ ดื่มด่ำกับความอบอุ่นครั้งสุดท้ายก่อนที่ความเจ็บที่อัดแน่นบริเวณช่องท้องจะทำให้สำนึกสุดท้ายของหล่อนดับวูบลง

“ลูกหยี! ยาหยี…ไม่นะ!”

คอร์เนลกอดรัดร่างโชกเลือดของยาหยีเอาไว้แนบอก ความเสียใจถล่มยับอยู่ในอก หัวใจของเขากำลังจะขาด ยาหยีจะต้องไม่ตาย หล่อนจะต้องไม่ตาย!

“ไอ้ระยำ!”

ชายหนุ่มกระโจนเข้าใส่ร่างของอังเดรด้วยความแค้นจัด แรงกระแทกจากร่างใหญ่โตของคอร์เนลทำให้ปืนในมือของอังเดรกระเด็นออกไป คอร์เนลกระโดดขึ้นคร่อม และความเจ็บแค้นอย่างสาหัสสากรรจ์ก็ทำให้เขาระดมทั้งหมัดทั้งศอกใส่ร่างของอังเดรครั้งแล้วครั้งเล่า ทุกแรงกระแทกอัดแน่นด้วยความแค้น และในที่สุดอังเดรก็สลบเหมือดสิ้นฤทธิ์ไปในที่สุด

“นายน้อย…นายน้อยเป็นยังไงบ้างครับ”

ทั้งเซอร์เก อีวาน และเหล่าบอดี้การ์ดอีกหลายคนวิ่งกรูกันเข้ามาประคองคอร์เนลที่คร่อมอยู่บนร่างแน่นิ่งของอังเดรด้วยความเป็นห่วง

“ไม่…ฉันไม่เป็นไร แต่ยาหยี…ยาหยีถูกยิง”

นี่เป็นครั้งแรกที่คอร์เนลหลั่งน้ำตาต่อหน้าลูกน้องของตัวเอง

“เซอร์เก เรียกรถพยาบาลเร็วเข้า! เร็วเข้าเซอร์เก ฉันคงอยู่ไม่ได้หากยาหยีตาย”

“รถพยาบาลรออยู่ข้างนอกแล้วครับ นายน้อยใจเย็นๆ คุณยาหยีจะต้องไม่เป็นอะไร เชื่อผมนะครับ”

เซอร์เกเดินเข้าไปยืนอยู่ข้างๆ ร่างของเจ้านายตนเองที่ทรุดตัวลงกอดร่างของยาหยีแนบอก

“รีบพาคุณยาหยีไปขึ้นรถเถอะครับนายน้อย”

คอร์เนลอุ้มร่างอรชรที่หายใจแผ่วเบาขึ้นมาไว้แนบอก ก่อนจะรีบวิ่งออกไปยังรถพยาบาลที่จอดรออยู่หน้าโกดังอย่างรวดเร็ว

“จะให้ผมจัดการกับคุณอังเดรและพวกยังไงดีครับ”

เซอร์เกถามขึ้นเมื่อเห็นเจ้านายหนุ่มกำลังจะก้าวขึ้นไปบนรถพยาบาล คอร์เนลหันกลับมาด้วยใบหน้ากร้าวกระด้างสุดขีด

“ความจริงฉันอยากจะฆ่ามันให้ตายคามือ แต่ให้กฎหมายจัดการกับมันเถอะ รับรองเลยว่ามันจะไม่มีทางออกมาสูดลมหายใจนอกคุกได้อีกชั่วชีวิต”

“ครับนายน้อย”

คอร์เนลไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก นอกจากเดินขึ้นไปบนรถพยาบาล นั่งกุมมือยาหยีผู้หญิงที่ตัวเองรักสุดหัวใจไปตลอดทาง

‘ยาหยี…ได้โปรด…อย่าจากผมไปเลยนะ ได้โปรดอยู่เพื่อผมเถอะยาหยี’

“ผมรักคุณยาหยี…ผมรักคุณ”

“เกิดอะไรขึ้นครับนายน้อย”

เซอร์เกเอ่ยถามด้วยความเป็นกังวลเมื่อได้ยินคอร์เนลสั่งให้คนขับรถเปลี่ยนเส้นทางออกไปยังเขตนอกเมืองกะทันหัน แล้วยังโทรศัพท์เมื่อครู่นี้อีก

“อาอังเดรจับยาหยีเอาไว้ แล้วบังคับให้ฉันนำเพชรสีทองของจริงไปแลกกับชีวิตของเธอ”

น้ำเสียงของคอร์เนลราบเรียบ แต่เซอร์เกรู้ดีว่านายน้อยของตัวเองกำลังรุ่มร้อนแค่ไหน ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าอังเดรจะเลวได้ถึงเพียงนี้

“พวกมันรู้แล้วหรือครับว่าเพชรสีทองเม็ดนั้นเป็นของปลอม”

คอร์เนลกัดฟันแน่น นัยน์ตาสีเขียวเข้มจัดด้วยความเดือดดาล พยายามบอกตัวเองว่าเขาไม่ควรจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก ยาหยีจะตาย จะทรมานแค่ไหน มันก็ไม่เกี่ยวกับเขาอีกแล้ว ในเมื่อหล่อนเป็นฝ่ายทรยศต่อหัวใจของเขาเอง ทว่าแม้จะบอกกับตัวเช่นนั้น แต่ความเป็นจริงแล้วเขากลับทำไม่ได้…เขารักหล่อน ใช่…รักมากจนไม่สนใจว่าหล่อนจะทรยศยังไง จะเลวร้ายแค่ไหน

“อาอังเดรไม่ใช่คนโง่ แค่ครั้งเดียวก็เกินพอแล้วสำหรับการถูกหลอก ตอนนี้ยาหยีกำลังตกอยู่ในอันตราย”

“แล้วนายน้อยจะทำยังไงครับ”

“ฉันก็จะฆ่ามันน่ะสิ หากมันแตะต้องเมียของฉันแม้แต่ปลายก้อย!”

กรามแกร่งขบเข้าหากันแน่น สองมือกำเข้าหากันเป็นหมัด คอร์เนลต่อยมันลงกับเบาะข้างตัวแรงๆ ด้วยต้องการระบายอารมณ์ ไม่เคยรู้สึกว่ารถที่นั่งอยู่จะวิ่งช้าเป็นเต่าแบบนี้มาก่อนเลยในชีวิต

“เฮ้ย! อีวานขับให้มันเร็วกว่านี้หน่อยไม่ได้หรือไงวะ!”

“ผมเหยียบมิดไมล์แล้วครับนายน้อย”

อีวานตอบกลับมาเสียงสั่นเทา เซอร์เกเห็นท่าทางจะเป็นจะตายของคอร์เนลแล้วก็ถอนใจออกมาแรงๆ

“นายน้อยใจเย็นๆ ครับ ยังไงเราก็ถึงโกดังนั้นก่อนเที่ยงคืนแน่”

“แต่เมียฉันอยู่ในมือของพวกมันนะ มันอาจจะทำร้ายยาหยี ฉันทนไม่ได้ รอต่อไปแค่นาทีเดียวก็แทบจะขาดใจอยู่แล้ว”

คอร์เนลนั่งหงุดหงิดรุ่มร้อนอยู่ภายในห้องโดยสารทางตอนหลังของรถลีมูซีนคันงาม เวลาแต่ละนาทีมันช่างยาวนานชั่วกัปชั่วกัลป์เหลือเกิน ความหวาดกลัวต่อความสูญเสียทำให้ชายหนุ่มร้อนเป็นไฟราวกับอกแทบจะระเบิด

‘ลูกหยีรอผมก่อนนะ ผมกำลังไปช่วยคุณ ได้โปรดรอผมก่อน’

อังเดรก้าวลงจากรถแล้วก็ให้ลูกน้องสามสี่คนของตัวเองที่มาด้วยกันลากร่างที่อ่อนแรงของยาหยีเข้าไปในโกดังร้างเบื้องหน้า ความมืดมิดจากคืนเดือนดับยิ่งสร้างความพึงพอใจให้กับอังเดรมากขึ้นหลายเท่าตัวนัก

“โทรตามพวกเรามาอีกสักสิบยี่สิบคน”

“ครับนาย”

อังเดรแสยะยิ้มชั่วร้ายขณะเดินตามลูกน้องเข้าในโกดังร้างเบื้องหน้า

“วันนี้แกสิ้นชื่อแน่ไอ้คอร์เนล”

หัวเราะออกมาดังลั่น ขณะมองร่างของยาหยีที่ตอนนี้เริ่มดิ้นรนอีกแล้วด้วยความสะใจ

“เฮ้ย! แกะผ้าที่ปากมันออก”

เมื่อผ้าผืนใหญ่ที่พันธนาการริมฝีปากหลุดออกไป ยาหยีก็เริ่มอาละวาดอีกครั้ง

“ไอ้คนเลว ไอ้คนชั่วช้า ปล่อยฉันไปนะ ปล่อยสิ”

หญิงสาวพยายามดิ้นรนแต่ข้อมือที่ถูกมัดไพล่หลังเอาไว้มันทำให้ทางหนีรอดติดลบต่ำว่าศูนย์เสียอีก

“ปากดีไปเถอะ นี่ก็เกือบจะเที่ยงคืนอยู่แล้ว ถ้าผัวของแกมันมาไม่ทัน หรือไม่มาละก็ แกได้เพิ่มรายชื่อของไอ้พวกนี้ลงไปในบัญชีรายชื่อผัวแน่นังเด็กนรก”

ยาหยีปรายตามองลูกน้องสี่ห้าคนของอังเดรที่ยืนจ้องมองมาที่ร่างกายของหล่อนพร้อมกับเลียปากด้วยท่าทางหยาบคายอย่างหวาดกลัว ความขยะแขยงชิงชังพุ่งเข้าใส่ร่างกายจนแทบจะโก่งคออาเจียนออกมา ขณะร่นถอยหนีไปจนแผ่นหลังชนเข้ากับพาเลทไม้เก่าๆ

“พวกแกจะต้องไม่ได้ตายดีแน่ ไอ้คนชั่ว!”

“ถึงฉันจะตายไม่ดี แต่ก็ตายทีหลังแกกับผัวแน่ หุบปากซะแล้วจะไม่เจ็บตัวมากกว่าที่เป็นอยู่”

อังเดรเค้นเสียงดุกร้าวเตือน จนยาหยีต้องหุบปากสนิท แต่ไม่ใช่เพราะความกลัวตายหรอกนะ ทว่าหล่อนกำลังใช้สมองคิดหาทางรอดต่างหากล่ะ

หญิงสาวพยายามขยับมือที่ถูกมัดติดกันด้านหลังอย่างสุดความสามารถแต่มันก็แน่นเหลือเกิน ดิ้นเท่าไรก็ไม่หยุด มือบางควานสะเปะสะปะไปทั่วแล้วก็พบกันเจ้าวัตถุชิ้นเล็กๆ ชิ้นหนึ่ง นั่นก็คือเศษขวดที่แตกตกอยู่ด้านหลัง

“นายครับ มันมากันแล้ว”

เบรทรีบเข้ามารายงานทันทีเมื่อเห็นรถของคอร์เนลแล่นมาจอดที่หน้าโกดังร้าง อังเดรระบายยิ้มชั่วร้าย

“มันมากันกี่คน?”

“รถสองคันครับ น่าจะประมาณห้าหกคน”

คำพูดของลูกน้องเรียกเสียงหัวเราะลั่นจากลำคอของอังเดรได้เป็นอย่างดี คอร์เนลมีแค่ห้าหกคน ในขณะที่คนของเขากำลังจะมาสมทบอีกเป็นโขยง มันตายคามือของเขาแน่ อังเดรหัวเราะสะใจอยู่ในอก

“งั้นเราไปต้อนรับมันกันหน่อยดีกว่า”

ชายวัยกลางคนแสนชั่วร้ายพูดออกมา ก่อนจะหันมาสั่งลูกน้องร่างใหญ่โตสองคนให้ยืนเฝ้ายาหยีเอาไว้อย่าให้คลาดสายตา

“เฝ้ามันให้ดี เดี๋ยวฉันจะออกไปรับผัวของมัน”

เสียงหัวเราะของอังเดรช่างชั่วช้าเหลือเกินในความคิดของยาหยี หญิงสาวกำเศษขวดที่ทั้งคมทั้งแหลมแน่น พยายามอย่างที่สุดที่จะใช้มันตัดเชือกที่ข้อมือ แต่มันทำได้ลำบากนักเมื่อมือถูกพันธนาการไว้อย่างแน่นหนาจนขยับได้ยากยิ่ง เลือดออกเพราะถูกเศษขวดบาดเป็นแผล แต่ยาหยีก็ยังไม่หยุด หล่อนยังคงพยายามต่อไป หวังว่าตัวเองจะสามารถทำสำเร็จได้ในที่สุด

“คอร์เนล…”

“ลูกหยี…คุณเป็นอะไรหรือเปล่า”

คอร์เนลที่กำลังจะวิ่งเข้าไปหาร่างของภรรยาที่นั่งกองอยู่ข้างพาเลทไม้เก่าเก็บชะงักเมื่อถูกลูกน้องของอังเดรขวางทางเอาไว้ด้วยปืนเสียก่อน

“อย่าพึ่งสิ ส่งเพชรมาก่อน”

“แกทำร้ายเธอ ฉันจะฆ่าแกไอ้สารเลว!”

คอร์เนลตาลุกวาวเมื่อเห็นใบหน้าของยาหยีบอบช้ำอย่างรุนแรง ตั้งท่าจะเข้าไปทำร้ายอังเดรแต่ก็ถูกอาแท้ๆ ของตัวเองยกปืนขึ้นจ่อศีรษะเอาไว้เสียก่อน

“อย่าคิดสั้นๆ น่า แกสู้ฉันไม่ได้หรอก ในเมื่อแกมีแค่มือเปล่า ขณะที่ฉันมีปืน”

‘ก็ใช่สิ ในเมื่อไอ้อาสารเลวตรงหน้ามันปลดอาวุธที่เขากับลูกน้องนำติดกายมาจนหมดเกลี้ยง แถมยังจับลูกน้องของเขาทุกคนมัดไว้ที่หน้าโกดังอีก แต่ฝันไปเถอะว่าเขาจะยอมปล่อยให้มันรังแกเมียของตัวเองได้อีกแม้แต่ครั้งเดียว ฝันไปเถอะไอ้อังเดร!’

“ฉันจะฆ่าแก!”

“ส่งเพชรสีทองมา ก่อนที่ฉันจะให้แกได้ดูหนังสดระหว่างนังเด็กนี่กับลูกน้องของฉัน”

ไม่กล้าเสี่ยงเลยหากเรื่องนั้นมียาหยีเข้ามาเกี่ยวข้อง คอร์เนลขบกรามแน่นจนขึ้นสันนูน เนื้อข้างแก้มกระตุกเป็นริ้วด้วยโทสะแรงกล้า เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำตามความต้องการของไอ้อาระยำจอมโลภตรงหน้า

“ไม่นะคอร์เนล อย่าให้มัน…ฉันยอมตาย”

ร้องห้ามทั้งน้ำตา พยายามอ้อนวอนแต่คอร์เนลไม่ยอมฟังคำพูดของหล่อนเลยแม้แต่นิดเดียว หญิงสาวกัดปากจนเจ็บระบมขณะเร่งมือตัดเชือกที่พันธนาการอิสรภาพของตัวเองอย่างสุดความสามารถ ดวงตาพร่าพรางไปด้วยม่านน้ำตา แทบจะขาดใจตายเมื่อเห็นภาพที่คอร์เนลส่งกล่องเพชรสีทองให้กับไอ้คนชั่วช้าอังเดร

“คอร์เนล…ได้โปรด…อย่าให้มัน”

“คิดว่าผมจะทนเห็นคุณตายได้หรือไงลูกหยี ผมทนไม่ได้หรอกนะ”

คอร์เนลตวาดใส่หน้าหญิงสาวที่กำลังร่ำไห้จนตัวโยนด้วยความเกรี้ยวกราด

อังเดรยิ้มพึงพอใจขณะเปิดกล่องกำมะหยี่สีแดงแล้วพบกับเพชรสีทองที่เขามั่นใจว่ามันต้องเป็นของจริงตรงหน้า แสงของมันระยิบระยับฝ่าความมืดน่ามองเหลือเกิน

“แกได้เพชรไปแล้ว ปล่อยยาหยีไปซะ”

“คิดเหรอว่าฉันจะปล่อยให้พวกแกไปเสวยสุขกันอีก ฉันจะส่งพวกแกลงนรกทั้งคู่”

ในที่สุดอังเดรก็เปิดเผยความชั่วสุดขีดออกมา

“แกผิดคำพูดกับฉันอย่างนั้นเหรอ”

คอร์เนลกัดฟันแน่น จ้องมองอาแท้ๆ ของตัวเองด้วยความเกลียดชัง เขาพยายามสะบัดตัวออกจากพันธนาการของลูกน้องสองคนของอังเดรอย่างเต็มแรง และในที่สุดก็ทำสำเร็จ แต่เขายังไม่ทันได้เคลื่อนที่ไปไหน อังเดรก็เล็งมัจจุราชสีดำกลับมาที่ศีรษะของเขาอีกครั้งเสียก่อน

“ฉันจะส่งแกไปลงนรกพร้อมๆ กันทั้งสองคนนั้นแหละ”

“อย่านะ อย่าทำเขา…ไอ้คนชั่ว แน่จริงก็มาฆ่าฉันสิ มายิงฉันนี่”

ยาหยีร้องท้าทายความตายจากอังเดร เมื่อเห็นว่าคอร์เนลกำลังตกอยู่ในอันตราย อังเดรหัวเราะลั่น เลื่อนกระบอกปืนไปจ่อหัวของหญิงสาวแทน

“อย่าทำเธอนะ! ถ้าแกแตะต้องเธอ ฉันรับรองเลยว่าต่อให้เป็นผีก็จะไม่ยกโทษให้”

คอร์เนลตวาดลั่น ห่วงใยยาหยีสุดหัวใจ

“รักกันเหลือเกินนะ ฉันไม่เคยคิดเลยว่าผู้ชายที่ดูเผินๆ แล้วไม่มีหัวใจอย่างแกจะรักใครเป็นด้วย นี่คงต้องยินดีกับนังเด็กนี่แล้วสินะที่ได้รักแท้จากแก แต่เสียดายด้วยนะคงต้องไปรักกันต่อในนรกเสียแล้วล่ะ”

“อย่าทำเธอนะ อย่าทำ…คุณอาฆ่าผมเถอะ ได้โปรดอย่าทำยาหยีเลย”

อังเดรหัวเราะด้วยความสะใจ

“ในที่สุดฉันก็สามารถทำให้แกขอร้องฉันได้แล้วสินะ งั้นเข้ามากราบที่ตีนฉันหน่อยเป็นไงไอ้หลานชาย แล้วอ้อนวอนฉันให้ปล่อยเมียแกไป บางทีฉันอาจจะใจอ่อนยอมปล่อยนังเด็กนี่ไปก็ได้นะ”

“ไม่นะคอร์เนล อย่านะ อย่าทำแบบนี้ อย่าทำ…”

หญิงสาวดิ้นรนอย่างเอาเป็นเอาตาย ความห่วงใยต่อบิดาอัดแน่นอยู่เต็มอก น้ำตาอุ่นๆ ไหลซึมออกมา ขณะมองคนสารเลวใจดำด้วยความชิงชัง

“บอกมานะว่าแกทำอะไรพ่อของฉัน!”

อังเดรหัวเราะร่วน ใช้ปลายนิ้วคีบคางมนให้ยาหยีเงยหน้าขึ้นสบตา

“อยากเจอพ่อมากใช่ไหมแม่หนูน้อย”

ยาหยีพยายามสะบัดหน้าหนีแต่ก็ไม่หลุด

“เฮ้ย! เบรท ช่วยสงเคราะห์ให้พ่อลูกได้เจอกันหน่อย ไปลากมันมา!”

จอมมารผู้โหดเหี้ยมหันไปสั่งลูกน้องคนสนิท ก่อนจะหันมาแสยะยิ้มเลือดเย็นใส่หน้ายาหยีอีกครั้งหนึ่ง

“ขอบใจนะสำหรับการทรยศไอ้คอร์นเพื่อฉัน ป่านนี้มันคงคลั่งจนเลือดกระอักแล้วล่ะมั้ง”

หญิงสาวกัดปากแน่นน้ำตาไหลพราก เค้นเสียงเจ็บแค้นออกมา

“ฉันทำเพื่อพ่อ ไม่ได้ทำเพื่อคนหยาบช้าอย่างพวกแก!”

อังเดรแสยะยิ้มชั่วช้าใส่หน้ายาหยี คำด่าทอของเจ้าหล่อนไม่มีผลต่อตัวเองเลยแม้แต่นิดเดียว จากนั้นจึงหันไปสั่งลูกน้องเสียงทรงอำนาจ

“จับมันไว้ให้ดี อย่าให้มันหนีไปได้ล่ะ เดี๋ยวฉันไปทดสอบเพชรก่อน”

ประสบการณ์เพชรปลอมเมื่อวันก่อนทำให้เขาเลือกที่จะไม่สะเพร่าอีก

หญิงสาวมองตามร่างของอังเดรที่เดินหายเข้าไปในอีกห้องหนึ่งด้วยความชิงชัง ก่อนจะพยายามดิ้นรนให้หลุดจากพันธนาการของพวกคนชั่ว แต่ก็ไม่สำเร็จ น้ำตาแห่งความเจ็บปวดไหลพรากอาบหน้า แล้วก็ต้องอ้าปากค้างเมื่อสายตาปะทะเข้ากับร่างแน่นิ่งของบิดาที่ถูกผู้ชายสองคนหามเข้ามา

“พ่อ!”

อ้าปากค้าง จ้องมองหน้าที่ซีดเผือดของพ่อด้วยความตกใจสุดขีด หญิงสาวรวบรวมแรงกายทั้งหมดสะบัดตัวสุดแรงเกิด และในที่สุดก็หลุดออกจนได้ ยาหยีวิ่งเข้าไปกอดร่างที่นอนนิ่งกับพื้นห้องของบิดาด้วยความตื่นตระหนก ใบหน้างามซีดเผือดเมื่อรับรู้ถึงความเย็นเฉียบของผิวกายบิดา

“พ่อ…นี่พวกแกทำอะไรพ่อของฉัน พวกแกทำอะไร!”

“นายยอดชายผูกคอตายเอง พวกเราไม่ได้ทำ”

เสียงของคนที่อุ้มบิดาเข้ามาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่สะทกสะท้านเลยแม้แต่นิดเดียว

ยาหยีกอดพ่อแน่น ซบหน้าลงกับอกของพ่อ และก็ได้รู้ว่าหัวใจของบิดาไม่เต้นอีกต่อไปแล้ว

“พ่อจ๋า พ่อ…ทำไมถึงทิ้งลูกหยี ทำไมไม่พาลูกหยีไปด้วย พ่อ…ตื่นสิจ๊ะ ตื่นมาคุยกับลูกหยี”

สะอื้นไห้จนตัวโยน ความเสียใจที่คมยิ่งกว่ามีดพุ่งเข้าทิ่มแทงหัวอกจนเลือดสาด หล่อนอุตส่าห์ทำทุกอย่าง ทำทุกทาง แม้จะต้องทรยศต่อผู้ชายที่ตัวเองรักมากมายอย่างคอร์เนล แต่หล่อนก็ทำเพื่อพ่อ แต่สุดท้ายทุกอย่างก็ไม่มีค่า ทุกอย่างไร้ผล เมื่อพ่อเลือกที่จะจบชีวิตลงโดยทิ้งหล่อนให้จมอยู่กับความเสียใจตามลำพังแบบนี้

“พ่อ…ทำไมทำแบบนี้…พ่อไม่รักลูกหยีเหรอ”

น้ำตาแห่งความเสียใจก่อตัวเป็นม่านหนาทำให้การมองเห็นอ่อนด้อยประสิทธิภาพลงอย่างน่าตกใจ หญิงสาวซบหน้าอยู่กับอกของยอดชายเนิ่นนานไม่ยอมห่างกายไปไหน กายสาวสั่นสะท้าน ร่ำไห้ปานจะขาดใจ

“แล้วต่อไปลูกหยีจะอยู่กับใคร…พ่อจ๋า…”

“ก็ไปอยู่ด้วยกันเสียสินังเด็กระยำ!”

“โอ๊ย! ปล่อยนะ”

ยาหยีร้องด้วยความเจ็บปวดเมื่อถูกมือของอังเดรขยุ้มเส้นผมแรงๆ แล้วดึงให้หล่อนลุกขึ้นไปยืนเผชิญหน้า แต่ก่อนที่คนใจร้ายนั้นจะพูดอะไรออกมา มันก็ตบหน้าหล่อนจนหันอยู่หลายครั้ง

“แกเอาเพชรปลอมมาหลอกฉัน…นังเด็กเหลี่ยมจัด!”

อังเดรปาเพชรสีทองของปลอมลงกับพื้นด้วยความเดือดดาล หลังจากผลการทดสอบออกมาว่าเพชรสีทองเม็ดนี้เป็นของเก๊

“คนชั่วช้าอย่างแกมันก็ต้องผิดหวังแบบนี้แหละ จำเอาไว้ว่าแกไม่มีทางแย่งเพชรสีทองมาจากคอร์เนลได้หรอก คนอย่างแกมันต้องพินาศ!”

“พินาศเหรอ? นี่แน่ะปากดีนัก”

อังเดรจิกผมของยาหยีแน่นขึ้นจ้องมองด้วยสายตาเหี้ยมโหด ก่อนจะต่อยท้องเต็มแรงทำเอาหญิงสาวจุกจนตัวงอ จากนั้นมันก็ผลักร่างอรชรร่วงลงกองกับพื้นอย่างไม่ไยดี

“คิดหรือว่าฉันจะยอมแพ้ง่ายๆ ไอ้คอร์นมันไม่มีเอาชนะคนเจนโลกอย่างฉันไปได้หรอก มันรักแก ดังนั้นมันจะต้องมาช่วยแกแน่”

“ไม่นะ คอร์เนลไม่มีทางมาช่วยฉัน”

อังเดรแสยะยิ้มร้ายกาจ หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายภาพร่างกายที่สะบักสะบอมของยาหยีแล้วส่งเข้ามือถือของคอร์เนลทันที

“มันต้องมาสิ มันต้องมา…และมาพร้อมกับเพชรสีทองของจริงด้วย นี่ไง มันโทรเข้ามาแล้ว”

เสียงหัวเราะที่เต็มไปด้วยความสะใจของอังเดรทำให้ยาหยีสะอิดสะเอียนยิ่งนัก นึกเกลียดตัวเองเป็นที่สุดที่ทำอะไรวู่วาม หากหล่อนนำเรื่องนี้ไปปรึกษาคอร์เนล ความหายนะนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น หล่อนผิดเอง หล่อนเองที่สมควรตายไปซะให้สิ้นซาก

“เมียของแกอยู่ในกำมือของฉันไอ้คอร์น เลือกเอาแล้วกันระหว่างเพชรสีทองกับชีวิตของเมีย”

อังเดรกรอกเสียงไปตามโทรศัพท์อย่างอารมณ์ดี มั่นใจว่าเกมนี้ตัวเองชนะขาดลอยแน่ เพราะในมือถือไพ่คิงรออยู่แล้ว

“ไม่นะ คอร์เนล…อย่ามา ฉันยอมตาย อย่ามานะ”

“หุบปากอีเด็กบ้า!”

แม้จะถูกอังเดรตวาดใส่หน้าด้วยความเดือดดาลแค่ไหน แต่ยาหยีก็ไม่คิดจะหยุดพูด หากคอร์เนลมาจะต้องได้รับอันตรายอย่างแน่นอน หล่อนยอมไม่ได้ ไม่มีทางยอมแน่ๆ

“คอร์เนล…ฉันผิดต่อคุณ อย่าสนใจคนทรยศแบบฉันอีกเลย อย่าสนใจฉัน ได้โปรดอย่ามา”

“เฮ้ย! จัดการให้มันหุบปากทีสิเบรท”

อังเดรหันไปสั่งลูกน้อง และเพียงไม่นานหญิงสาวก็ถูกมัดปากด้วยผ้าผืนใหญ่อย่างแน่นหนา ได้แต่ร้องอู้อี้ไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมาได้เลยแม้แต่นิดเดียว

“ว่าไงคอร์เนล จะตัดสินใจยังไง ถ้าไม่มา เมียของแกจะต้องตาย แต่ก่อนตายอาจจะได้ผัวเพิ่มขึ้นอีกสักโขยงหนึ่ง ทนมองได้ไหมล่ะ เพราะฉันจะถ่ายทอดสดให้แกดูทุกซอกทุกมุมเลยล่ะ”

‘ไม่นะคอร์เนล อย่ามา…’

“ผมจะไป นัดมาเลยว่าที่ไหน”

คำตอบของคอร์เนลทำให้อังเดรหัวเราะออกมาด้วยความพึงพอใจ

“โกดังร้างย่านชานเมือง ฉันจะพานังเด็กยาหยีไปรอแกที่นั่น หากเลยเที่ยงคืนเมื่อไร ฉันจะให้ลูกน้องรุมโทรมมันให้ขาดใจตาย แล้วแกก็มาเก็บศพของมันก็แล้วกันนะ”

อังเดรตัดการสนทนาด้วยรอยยิ้มสะใจ ขณะที่ยาหยีนั่งร้องไห้ด้วยความเจ็บช้ำ พ่อก็ต้องมาตาย แถมคอร์เนลยังจะต้องมาเสี่ยงอันตรายช่วยคนไร้คุณค่าอย่างหล่อนอีก หล่อนทรยศเขาแบบนั้น ทำไมเขาถึงยังยอมมาช่วยหล่อนอีกนะ

“ผมไม่อาจจะอยู่คนเดียวได้โดยไม่มีคุณข้างกาย ผมรักคุณนะยาหยี”

ยิ่งคำสารภาพรักของคอร์เนลดังก้องเข้ามาหัวมากเท่าไร ความรู้สึกผิด ความละอายใจก็ยิ่งถล่มยับอยู่ในอก ทำไมเขาจะต้องมาดีกับหล่อนด้วย ทั้งๆ ที่หล่อนเลวต่อเขาเหลือเกิน

‘คอร์เนล…ได้โปรดอย่ามา…อย่ามาช่วยคนไร้ค่าแบบฉันเลย’

“เอานังเด็กนี่ไปขึ้นรถ เราจะไปที่โกดังร้างกัน”

คืนนี้แหละคือคืนสุดท้ายที่ไอ้คอร์นหลานระยำมันจะมีลมหายใจอยู่บนโลกใบนี้ หากมันตายไปสักคน ทุกอย่างของมันก็จะต้องตกมาเป็นของเขา และที่สำคัญที่สุดก็คือจะไม่มีใครขัดขวางการทำธุรกิจมืดของเขาเหมือนที่ไอ้คอร์เนลมันทำอีกต่อไป

“ครับนาย”

อังเดรมองยาหยีที่ดิ้นรนเอาเป็นเอาตายด้วยความสะใจ เขายืนมองลูกน้องเอาหญิงสาวขึ้นรถจนเรียบร้อย จากนั้นถึงจะก้าวขึ้นรถอีกคันหนึ่ง แล้วขับตามกันออกไปด้วยหัวใจลิงโลดสุดขีด

อังเดรที่กำลังหัวเสียอยู่กับสายโทรศัพท์ของเอริก้าต้องหงุดหงิดเพิ่มมากขึ้นอีกหลายเท่าตัวเมื่อลูกน้องเข้ามารายงานด้วยใบหน้าตื่นตระหนกว่ายอดชายได้ผูกคอตายไปเสียแล้ว

“แค่นี้นะยายเอม พ่อมีเรื่องด่วนต้องทำ”

อังเดรตัดสายลูกสาวที่กำลังแว้ดๆ ใส่หูอย่างรำคาญเต็มทน ก่อนจะหันมาเค้นเสียงถามลูกน้องอีกครั้งด้วยความตกใจไม่แพ้กัน

“ว่าไงนะ ไหนแกบอกฉันอีกครั้งสิเบรท”

“ไอ้ยอดชายมันผูกคอตายไปแล้วครับ”

เมื่อได้ยินชัดเต็มสองหู อังเดรถึงกับสบถออกมาด้วยความเจ็บแค้นใจ

“ไอ้ระยำ! มันคงคิดสินะว่าหากมันไม่อยู่แล้ว ฉันจะบังคับลูกสาวของมันไม่ได้ ฝันไปเถอะ ฉันไม่ยอมแพ้แค่เพียงมันสิ้นลมหายใจหรอก”

อังเดรหัวเราะลั่น ใบหน้าอัดแน่นไปด้วยความเหี้ยมโหดก่อนจะหันไปสั่งลูกน้องด้วยน้ำเสียงชั่วร้ายราวกับปีศาจในนรก

“ห้ามแพร่งพรายเรื่องที่ไอ้ยอดชายมันตายแล้วเด็ดขาด รอให้นังเด็กยาหยีมันเอาเพชรสีทองของจริงมาให้ฉันเสียก่อน เมื่อนั้นแกค่อยสงเคราะห์ให้พ่อลูกได้ไปอยู่ด้วยกัน”

“ครับนาย”

เบรทลูกน้องคนสนิทเดินออกไปแล้ว อังเดรจึงต่อสายหาวินซ์ เอเมอร์ตัน ผู้ชายที่ยึดขวัญชีวาลูกสาวบุญธรรมของตนเองเอาไว้เป็นหลักประกัน

“เพชรสีทองจะต้องถึงมือคุณวินซ์ในวันพรุ่งนี้ เตรียมเงินห้าสิบล้านเหรียญเอาไว้รอผมได้เลยครับคุณวินซ์”

วินซ์วางสายโทรศัพท์ก่อนจะหันมามองขวัญชีวาที่จ้องมองเขาอยู่ก่อนแล้วด้วยสายตามืดมิด ก่อนที่คำพูดไร้ความรู้สึกจะกระเด็นออกไป

“พ่อคุณโทรมา…”

“พ่อหรือคะ พ่อถามถึงฉันไหม พ่อบอกไหมว่าจะมารับฉันกลับบ้านเมื่อไร” ท่าทางของสาวน้อยที่นั่งอยู่คนละมุมห้องกับตนเองทำให้วินซ์อดเวทนาไม่ได้

“เขาไม่ได้เอ่ยถึงคุณเลยแม้แต่คำเดียว”

ขวัญชีวานิ่งอึ้ง ก้มหน้าซ่อนน้ำตาแห่งความน้อยอกน้อยใจเอาไว้ วินซ์หรี่ตาแคบมองด้วยความสงสาร โดยลืมไปสนิทเลยว่าผู้ชายสายเลือดทระนงอย่างตนเองไม่เคยมีความรู้สึกพวกนี้มาก่อนเลยในชีวิต โดยเฉพาะกับเพศตรงข้ามที่ซื้อสามารถซื้อได้ด้วยเงินตรา

คอร์เนลไม่เคยรู้สึกเจ็บปวดแบบนี้มาก่อนเลยในชีวิต ความเจ็บปวดที่เกิดจากการทรยศของคนที่ตัวเองรัก ชายหนุ่มจ้องมองตู้เซฟของตัวเองที่ว่างเปล่าด้วยสายตาผิดหวัง หัวใจถูกบีบคั้นอย่างรุนแรงจนแทบจะไม่สามารถหายใจได้อีกต่อไป

“คุณทรยศผมจริงๆ”

“นายน้อยครับ รถพร้อมแล้วครับ”

เสียงเรียกเบาๆ ของเซอร์เกดังอยู่ข้างหลัง คอร์เนลข่มความปวดร้าวเอาไว้ภายใต้หน้ากากเย็นชา ก่อนจะหันกลับไปเผชิญหน้ากับคนสนิท

เซอร์เกอึ้งไปนานทีเดียวเมื่อเห็นดวงตาสีเขียวมรกตของคอร์เนลแดงก่ำ ริ้วรอยแห่งความเจ็บปวดพาดผ่านใบหน้าหล่อเหลานั้นมากมายนัก นายน้อยของเขากำลังร้องไห้?

“ถ้าฉันเชื่อนาย ไม่ดื้อดึงพายาหยีมาที่มอสโกด้วย ป่านนี้ฉันก็คงตัดใจจากเธอได้แล้ว และก็คงไม่ต้องมาเสียใจกับการทรยศของเธอเหมือนในตอนนี้”

น้ำเสียงของคอร์เนลสื่อความหมายแห่งความผิดหวังได้อย่างดีเยี่ยม เซอร์เกเดินเข้ามาหยุดตรงหน้าของเจ้านายตัวเอง

“บางทีการได้รู้ได้เห็นกับตาตัวเอง มันก็ดีต่อหัวใจนะครับ”

“ฉันไม่คิดว่ายาหยีจะทำแบบนี้…ฉันผิดหวัง”

คอร์เนลขบกรามแน่น ความผิดหวังจากการถูกทรยศหล่อหลอมให้หัวใจของเขาแกร่งขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ใจ มือใหญ่กำเป็นหมัด จากความเจ็บปวดที่ครอบงำตอนนี้มันเปลี่ยนมาเป็นแค้นเคืองและต้องการเอาชนะ ดวงตาสีเขียวดุจมรกตวาววับขึ้นเมื่อโทสะเริ่มเข้ามาควบคุมสมอง

“ผมเชื่อว่าคุณยาหยีไม่ใช่คนเลวในสันดาน แต่ที่ต้องทำไปเช่นนี้ก็เพราะมีเหตุบังคับ ซึ่งทั้งผมและนายน้อยก็รู้ดีว่าเหตุอะไร”

“แต่เธอก็ได้ชื่อว่าคนทรยศ! ซึ่งฉันจะไม่มีวันให้อภัยผู้หญิงคนนี้อีกเด็ดขาด”

“แล้วนายน้อยจะทำยังไงต่อไปครับ”

แม้จะตามอารมณ์ของคอร์เนลไม่ทันนักแต่เซอร์เกก็ยังอดที่จะถามออกไปไม่ได้

“ไปที่บ้านของอาอังเดรสิ แล้วนายก็จะรู้ว่าคนอย่างฉันเวลาโกรธแล้วทำอะไรได้บ้าง”

หนุ่มหล่อว่าพลางแสยะยิ้มเหี้ยมเกรียม ก่อนจะก้าวยาวๆ ออกไปจากห้องทำงานของตัวเองอย่างรวดเร็ว เซอร์เกรีบปิดไฟแล้ววิ่งตามไปเช่นกัน ตอนนี้นายน้อยของเขากำลังคลั่งเพราะรักเป็นพิษ ดังนั้นอังเดรและคุณยาหยีจะต้องพินาศคามือของนายน้อยอย่างเลี่ยงไม่ได้แน่นอน

 

การเผชิญหน้ากับอังเดรในวันนี้เหมือนกับการก้าวลงไปสู่ขุมนรกก็ไม่ปาน ใบหน้าของผู้ชายตรงหน้าเหี้ยมเกรียม บอกถึงความเหี้ยมโหดและดุร้าย สายตาสีเดียวกับคอร์เนลแต่ดุดันกว่ากำลังจ้องมองมาที่กล่องกำมะหยี่ในมือของหล่อนเขม็ง รอยยิ้มอำมหิตแต้มที่มุมปาก เขาเดินเข้ามาหยุดตรงหน้าของหล่อน พร้อมๆ กับเอ่ยทักทายเลือดเย็นออกมา

“นึกแล้วว่าเธอจะต้องทำสำเร็จ”

ยาหยีกัดปากแน่น จ้องมองผู้ชายต่างวัยตรงหน้าด้วยสายตาขยะแขยงชิงชัง

“พ่อฉันอยู่ที่ไหน?”

อังเดรหัวเราะร่วน

“เธอได้เจอพ่อแน่แม่หนู แต่ต้องหลังจากที่เธอมอบเพชรสีทองให้กับฉันก่อน ส่งมาให้ฉันสิ”

หญิงสาวถอยหลังหนี มือกำกล่องกำมะหยี่เอาไว้แน่น

“เราจะต้องยื่นหมูยื่นแมว ฉันอยากพบพ่อก่อน”

“นังเด็กระยำ! อย่ามากเรื่องได้ไหม เอามานี่”

คำสบถหยาบช้าของอังเดรทำให้ยาหยีตั้งท่าจะวิ่งหนี แต่ถูกผู้ชายตัวใหญ่สองคนจับเอาไว้ได้ แม้จะพยายามดิ้นรนแต่ก็ไม่หลุด

“ปล่อยนะ ไอ้คนเลว! ปล่อยสิ”

“นึกว่าเข้ามาถึงที่นี่แล้วจะรอดอย่างนั้นเหรอ ไม่มีทางหรอก เอาเพชรสีทองมาให้ฉัน”

อังเดรยื่นมือมาข้างหน้า แต่ยาหยีไม่ยอมส่งให้ เขาจึงต้องกระชากมันไปจากมือบางเสียเอง หญิงสาวโกรธจัดถ่มน้ำลายใส่หน้าของอังเดร และนั่นก็ทำให้ใบหน้าของหล่อนถูกฝ่ามือของอังเดรฟาดเข้าใส่อย่างแรงจนเลือดกบปาก

“นังเด็กเลว กล้ามากนะ เดี๋ยวแกได้ไปอยู่ในนรกกับพ่อของแกแน่”

“ในนรก? หมายความว่ายังไง ไอ้คนเลว แกทำอะไรพ่อของฉัน บอกมานะ บอกมา”

วันนี้ก็เป็นอีกวันที่คอร์เนลเลือกที่จะมาทานมื้อค่ำกับหล่อนที่ห้องอาหารปีกซ้าย หล่อนเคยสงสัยว่าทำไมเขาถึงเลือกที่นี่ ทั้งๆ ที่มีห้องทางปีกขวาเป็นห้องโอ่อ่าและใหญ่โตกว่ามาก แต่เชอรี่ก็เฉลยให้ฟังว่าคอร์เนลชอบที่นี่ก็เพราะมันดูเป็นส่วนตัว และใกล้ชิดกับธรรมชาติมากกว่า แถมฉากหลังก็ยังเป็นสวนสวยที่มีน้ำตกจำลองขนาดใหญ่ตั้งอยู่ เสียงน้ำไหลให้ความรู้สึกผ่อนคลายเหลือเกิน

“ตอนบ่ายออกไปไหนมาหรือลูกหยี”

ช้อนในมือชะงักงันทันที

“เอ่อ…อ๋อ…ฉันออกไปเดินเล่นน่ะค่ะ เดินไปเรื่อยๆ พอดีมีความสุขที่รู้ว่าเราสองคนต่างใจตรงกัน”

ทั้งๆ ที่รู้ว่าคำแก้ตัวฟังไม่ขึ้นเลยแต่หญิงสาวก็ยังพูดมันออกไป ก็หล่อนคิดคำแก้ตัวอื่นไม่ได้นี่ หญิงสาวถอนใจออกมา ก่อนจะแสร้งตักอาหารใส่จานให้กับคอร์เนล พร้อมๆ กับยิ้มหวานฉ่ำ

“ทานเยอะๆ นะคะ คืนนี้คุณอาจจะเหนื่อย”

คอร์เนลระบายยิ้ม ตักอาหารที่ภรรยาบรรจงตักใส่จานให้เข้าปาก ดวงตาไม่คลาดไปจากดวงหน้านวลเลยแม้แต่นิดเดียว

“รู้ไหมว่าผมได้เพชรสีทองคืนมาแล้ว”

ยาหยีทำเป็นส่ายหน้าไขสือ

“ไม่ทราบสิคะ ฉันไม่…สนใจมันเท่าไรนัก ฉันสนใจแต่เจ้าของมันมากกว่า”

“ทำไมวันนี้ปากหวานจัง กำลังรู้สึกผิดอะไรอยู่ในใจหรือเปล่าลูกหยี”

เขาคาดคั้นราวกับกำลังรู้ว่าหล่อนคิดอะไรอยู่ ยาหยีปล่อยช้อนกระทบกับจานจนเกิดเสียงดัง ก่อนจะเอ่ยขอโทษขอโพยตะกุกตะกัก

“ขะ…ขอโทษค่ะ”

“ผมถามว่าคุณกำลังรู้สึกผิดอะไรอยู่ในใจหรือเปล่าลูกหยี”

“ไม่…ไม่นี่คะ ทำไมฉันต้องรู้ผิดด้วยล่ะคะ ในเมื่อฉันรักคุณจริงๆ รักมาก”

คราวนี้สิ่งที่พูดออกไปเต็มไปด้วยความจริงของหัวใจ ยาหยีอยากจะล้มเลิกแผนการทุกอย่าง แต่ก็ทำไม่ได้ พ่อกำลังรอความช่วยเหลือจากหล่อนอยู่

คอร์เนลยิ้มบางๆ ก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อไปอีกหลายคำ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาพูดอีกครั้ง

“เพชรสีทองเป็นสิ่งที่คุณแม่ท่านรักมาก และมันก็เป็นของประจำตระกูลซีร์ยานอฟด้วย จึงต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มันคืนมา”

“ค่ะ มันมีค่ามากฉันรู้…”

ยิ่งคอร์เนลพูดแบบนี้ หล่อนก็ยิ่งรู้สึกผิด ละอายใจจนน้ำตาเริ่มซึมออกมาคลอหน่วยตา

“ผมเก็บมันไว้อย่างดีในตู้เซฟในห้องทำงาน ผมใส่รหัสเอาไว้สี่ตัว คุณอยากรู้ไหมว่าผมใส่ตัวเลขอะไรไว้บ้าง”

“มะ…ไม่ค่ะ ฉันไม่อยากรู้…”

ยาหยีก้มหน้าก้มตาตักข้าวใส่ปากทั้งๆ ที่ลิ้นไม่รับรู้รสชาติใดๆ ของอาหารอีกแล้ว ภาวนาอยู่ในอกให้เขาเฉลยตัวเลขพวกนั้นออกมา หล่อนจะได้ไม่ต้องแบกเจ้าตู้เซฟมันไปให้กับอังเดรทั้งตู้

“หนึ่ง-เก้า-สาม-ศูนย์ มันเป็นเวลาตกฟากของผมเอง”

“อ๋อ…ค่ะ”

“และที่ผมบอกคุณก็เพราะคุณคือคนที่ผมไว้ใจ ลูกหยี…ผมรักคุณ และเชื่อใจคุณนะ”

ราวกับเขากำลังจะกล่อมให้หล่อนเปลี่ยนใจอย่างนั้นแหละ แต่หล่อนเปลี่ยนใจไม่ได้ หล่อนทำแบบนั้นไม่ได้ ภาพของพ่อนอนจมกองเลือดยังติดตา หล่อนจะเป็นลูกอกตัญญูไม่ได้ ฉะนั้นหล่อนจึงเลือกที่จะทรยศคอร์เนลเพื่อช่วยชีวิตของบิดา

“ขอบคุณค่ะ ฉันก็รักคุณเช่นกัน ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ขอให้รู้ว่าฉันรักคุณมาก…มากกว่าชีวิตของฉันเสียอีก”

สาวน้อยก้มหน้าลงมองจานข้าว ซ่อนน้ำตาแห่งความละอายใจเอาไว้จนมิด แม้จะรู้ดีว่าการกระทำของตัวเองในครั้งนี้จะทำให้คอร์เนลเสียใจที่สุดในชีวิต แต่หล่อนถอยหลังกลับไม่ได้เสียแล้ว

“ผมขอตัวก่อนนะลูกหยี พึ่งนึกได้ว่ามีโทรศัพท์สำคัญที่ต้องรอรับ ทานให้อิ่มแล้วตามผมขึ้นไปบนห้องนอนนะ”

เขาเอ่ยเสียงนุ่มทุ้มเช่นเคย ยิ้มบางๆ ให้หล่อนอย่างสุภาพ ก่อนจะก้าวยาวๆ หายออกไปจากห้องอาหารอย่างรวดเร็ว

น้ำตาของยาหยีที่ซ่อนเอาไว้ทะลักทลายออกมาราวกับเขื่อนทำนบแตก มันไหลทะลักออกมาท่วมท้นใบหน้างาม ก้อนสะอื้นร้ายกาจกำลังอัดแน่นอยู่ในอก หญิงสาวยกมือขึ้นปิดปากของตัวเองเอาไว้เพื่อไม่ให้เสียงสะอื้นไห้ด้วยความเจ็บปวดนี้ดังเล็ดลอดออกมาจากกลีบปากของตัวเอง แต่ก็ทำไม่สำเร็จ ในที่สุดก็ต้องปล่อยโฮออกมาลั่นห้อง

“พรุ่งนี้คุณจะต้องเกลียดฉัน คอร์เนล…คุณจะเกลียดฉันจนแทบบ้า”

สาวน้อยมองฝ่าความมืดมิดออกไปนอกหน้าต่างอย่างไร้จุดหมาย หัวใจเจ็บดุจถูกเข็มเป็นล้านเล่มทิ่มแทง พยายามบังคับตัวเองให้หยุดร้องไห้ แต่มันก็ไม่สำเร็จ ความชอกช้ำที่กัดกินอยู่ภายในมีฤทธิ์มากมายมหาศาลเหลือเกิน มันทำให้หล่อนเจ็บ เจ็บจนแทบอยากจะหยุดหายใจ น้ำตาอุ่นๆ ไหลทะลักออกมาไม่หยุดหย่อน ประสาทสัมผัสทั้งห้าอ่อนด้อยไร้ประสิทธิภาพลงอย่างน่าตกใจ และในที่สุดมันก็มืดบอดไม่ผิดจากคืนเดือนดับเลยแม้แต่นิดเดียว

หนึ่งชั่วโมงต่อมายาหยีก็มาปรากฏตัวในอยู่ภายในห้องนอนพร้อมด้วยแก้วยาวเนื้อดีที่ข้างในบรรจุนมมาเกือบเต็มแก้ว รอยยิ้มหวานๆ ที่โปรยปรายมาทำให้คอร์เนลที่กำลังคุยโทรศัพท์อยู่บนเตียงถึงกับตะลึงไปชั่วขณะ

‘ไม่ว่ายังไงในสายตาของเขา ยาหยีก็ยังเป็นนางฟ้าอยู่วันยังค่ำ’

ชายหนุ่มรีบตัดบทการสนทนา จากนั้นก็โยนโทรศัพท์มือถือไว้ที่หัวเตียง แต่ระบายยิ้มบางๆ ให้กับแม่สาวน้อยที่กำลังยืนตัวสั่นอยู่กลางห้อง

“มาที่เตียงสิครับ”

ยาหยีรวบรวมความกล้าเดินเข้าไปหยุดที่ข้างเตียง พลางส่งแก้วนมให้กับสามี

“ดื่มซะหน่อยนะคะ ฉันให้เชอรี่อุ่นมาให้ กำลังร้อนๆ เลยค่ะ”

“ผมชอบดื่มนมจากเต้ามากกว่า คุณก็รู้นี่ อย่างที่ทำทุกคืนยังไงล่ะ”

หญิงสาวอดแก้มแดงก่ำไม่ได้เมื่อได้ยินคำพูดจากปากสามีสุดที่รัก

“ดูพูดเข้าสิคะ ดื่มนะคะ สักนิดก็ยังดี ฉันอุตส่าห์ตั้งใจถือเอามาให้”

คอร์เนลยิ้มบางๆ อีกครั้ง รับแก้วนมอุ่นๆ มาถือเอาไว้ในมือ

“คุณอุตส่าห์มีน้ำใจ ผมไม่ปฏิเสธอยู่แล้วล่ะครับ”

คอร์เนลยกแก้วนมขึ้นจรดริมฝีปากแต่โทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นเสียก่อน ยาหยีถอนใจออกมาด้วยความเสียดาย

“ผมขอคุยโทรศัพท์เดี๋ยวนะ คุณไปอาบน้ำก่อนเถอะ รับรองว่าออกมานมหมดแก้วแน่ครับ”

ยาหยีมองคนตัวโตวางแก้วนมไว้ที่หัวเตียง ขณะคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหู แม้จะอยากเห็นเขาดื่มนมแก้วนี้กับตา แต่มันจะมีพิรุธจนเกินไป

“ค่ะ แต่คุณต้องดื่มนมนะคะ”

คอร์เนลพยักหน้ารับทั้งๆ ที่ยังมีโทรศัพท์มือถือแนบหูอยู่ สาวน้อยยิ้มบางๆ ก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ

“โทรมาทันเวลาพอดี ขอบใจมากอีวาน แล้ววันนี้ไม่ต้องให้รปภ.ไปเฝ้าที่รั้วล่ะ เอาน่าทำตามที่ฉันสั่งก็พอแล้ว”

ชายหนุ่มรีบตัดสายจากอีวานทันที จากนั้นก็ยกแก้วนมขึ้นมามองอย่างใช้ความคิด ตัดสินใจอยู่นานก็กระโดดลงจากเตียงโดยมีแก้วนมติดมือไปด้วย เขาเปิดหน้าต่างแล้วเทนมทิ้งจนหมดแก้ว จากนั้นก็รีบขึ้นมานอนบนเตียงตามเดิม

“รู้ไหมว่าผมเสียใจแค่ไหนกับการกระทำของคุณ”

คอร์เนลพึมพำออกมาแผ่วเบา ความผิดหวังอัดแน่นอยู่เต็มอก คำพูดของอีวานยังดังก้องอยู่ในหูไม่เสื่อมคลาย

“เภสัชกรที่ร้านบอกว่าคุณยาหยีไปซื้อยานอนหลับครับ ซื้ออย่างเดียว…”

ประตูห้องน้ำถูกเปิดออก คอร์เนลแกล้งทำเป็นนอนหลับตาทันที ยาหยีปรายตามองแก้วนมแล้วก็รู้ว่าสามีได้ดื่มนมจนหมดแก้วเสียแล้ว

“คอร์เนลคะ คอร์เนล…”

มือบางเย็นเฉียบแตะต้นแขนของสามีเบาๆ แต่เขาก็ไม่มีทีท่าว่าจะรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา ยาหยีน้ำตาซึม

“ฉันขอโทษนะคะคอร์เนล ฉันจำเป็นจริงๆ”

จ้องมองใบหน้าหล่อเหลาของผู้ชายที่กำลังนอนหลับใหลอยู่บนเตียงด้วยความอาลัยอาวรณ์ ต่อจากนี้ไปเขากับหล่อนคงจะไม่ได้พบเจอกันอีกแล้ว และหล่อนก็จะกลายเป็นคนที่เขาเกลียดสุดหัวใจ หล่อนเจ็บเหลือเกินแต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว

หญิงสาวก้มลงจูบริมฝีปากหยักสวยของสามีแผ่วเบา จ้องมองเพื่อที่จะจดจำใบหน้าของเขาไว้เป็นครั้งสุดท้าย

“ลาก่อนค่ะคอร์เนล ฉันจะรักคุณตลอดไป”

แม้จะต้องใช้แรงกายแรงใจมหาศาลมากแค่ไหนแต่หญิงสาวก็กัดฟันทำมันจนได้ หล่อนสามารถเดินออกมาจากห้องนอนและทิ้งให้คอร์เนลนอนอยู่เพียงลำพังได้อย่างน่าทึ่ง

หญิงสาวมุ่งหน้าตรงไปยังห้องทำงานของชายหนุ่ม จับลูกบิดประตูแล้วก็พบว่ามันไม่ได้ล็อกแม้จะแปลกใจกับความบังเอิญนี้ แต่ตอนนี้หล่อนไม่มีเวลาคิดเรื่องอะไรอีกแล้ว หล่อนต้องนำเพชรสีทองไปแลกกับชีวิตของบิดา

ความมืดที่เป็นอุปสรรคถูกขจัดออกไปด้วยแสงสว่างจากไฟฉายอันเล็กในมือ ยาหยีกวาดตามองไปทุกซอกทุกมุมแต่ก็หาตู้เซฟไม่เจอ หาอยู่เกือบครึ่งชั่วโมงก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงา

“พ่อ…แล้วลูกหยีช่วยพ่อได้ยังไงจ๊ะนี่”

ความห่วงใยในตัวของบิดาทำให้ยาหยีร่ำไห้ออกมาอีกครั้ง หญิงสาวเดินหาไปรอบๆ ห้อง แล้วก็มาสะดุดตากับตู้อะไรสักอย่างที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ กับแจกันใบใหญ่ มองเผินๆ แทบดูไม่ออกเลยด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายหล่อนก็รู้ได้โดยสัญชาตญาณว่ามันก็คือตู้เซฟนี่เอง

ยาหยีมือสั่นเทาขณะกดรหัสที่หล่อนท่องจำมันมาอย่างดี หนึ่ง-เก้า-สาม-ศูนย์ รหัสนี้ที่คอร์เนลบอกหล่อนด้วยความไว้ใจ น้ำตาไหลทะลักออกมาไม่หยุดจนหญิงสาวต้องรีบป้ายมันทิ้งไป ประตูตู้เซฟเปิดออกจากกันอย่างง่ายดายเกินคาด

“ฉันขอโทษนะคอร์เนล”

แม้จะรู้ดีว่าแค่คำขอโทษของตัวเองมันไม่สามารถเทียบกับมูลค่าของเพชรสีทองในกล่องกำมะหยี่สีแดงตรงหน้าได้ แต่นี่ก็เป็นวิธีเดียวที่หล่อนทำได้ในตอนนี้ หญิงสาวกลืนก้อนสะอื้นลงไปในอก ก่อนจะคว้าเพชรสีทองตรงหน้ามาใส่กระเป๋าและรีบเล็ดลอดออกไปจากคฤหาสน์ซีร์ยานอฟอย่างเงียบเชียบที่สุด

ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวันนี้ทุกสิ่งทุกอย่างจะเข้าข้างหล่อนแบบนี้ ห้องทำงานของคอร์เนลก็ไม่ได้ล็อก การ์ดที่เคยเดินเพ่นพ่านอยู่รอบๆ คฤหาสน์ก็หายไปจนหมด แถมยามหน้าประตูรั้วก็ไม่มีเหลืออยู่เลยแม้แต่คนเดียว ทุกอย่างเต็มใจให้หล่อนทรยศคอร์เนลเสียจริงๆ

ยิ้มหวานพร้อมๆ กับสะกิดหัวนมเล็กๆ ของคอร์เนลที่ซ่อนอยู่ในขนปุกปุยแผ่วเบา แต่แค่นั้นก็พอจะทำให้คนตัวโตสั่นสะเทือนไปทั้งร่าง

“ทูนหัว…ถ้ายังอยากฟังผมพูดอยู่ก็เอานิ้วไปลูบที่อื่น ตรงนี้ไม่ได้”

“ทำไมล่ะคะ” แกล้งทำเป็นหน้าตายถามออกไป คนตัวโตเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน

“ผมก็รู้สึกเหมือนกับเวลาที่คุณถูกนิ้วผมขยี้นั่นแหละ อยากฟังหรืออยากให้ผมรักล่ะทูนหัว”

คอร์เนลถามเสียงสั่นพร่า ความโหยหาอยากครอบครองภรรยาคนงามกำลังเล่นงานเขาอย่างสาหัสสากรรจ์เลยทีเดียว

“ตามใจคุณสิคะ”

“งั้นผมบอกตอนที่อยู่ในตัวคุณดีกว่านะทูนหัว”

เมื่อถูกท้าทายแบบนี้มีหรือที่คอร์เนลจะไม่เลือกในสิ่งที่ตัวเองกำลังต้องการใจจะขาด เขากระชากทีเดียวชุดสวยๆ ของยาหยีก็ขาดวิ่นติดมือใหญ่ไป ร่างงามเปลือยเปล่าท้าทายสายตาหิวกระหายของคนตัวโตอย่างอาจหาญ

“นี่เป็นชุดสุดท้ายแล้วนะคะ”

“ผมซื้อให้คุณเมื่อวันก่อนตั้งเกือบสิบชุดนะ มันตกรุ่นแล้วเหรอ”

คอร์เนลที่กำลังดูดดึงปลายถันสีกุหลาบแรงๆ เอ่ยถามด้วยความแปลกใจ

ยาหยีข่มความเสียวสยิวที่เกิดจากปาก มือ และลิ้นชาญชำนาญของคนตัวโต แล้วตอบออกมาด้วยเสียงสะอื้นแหบพร่า

“ก็คุณฉีกชุดฉันทุกครั้งที่นอนด้วยกันนี่คะ แล้ววันหนึ่งน่ะคุณนอนกับฉันไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แล้วจะเอาอะไรมาเหลือล่ะ”

พ้อเสียงขัดเขินขณะแอ่นร่างอวบอิ่มของตัวเองขึ้นหาคนตัวโต คอร์เนลหัวเราะร่วนไม่ยอมหยุดสำรวจกายสาวงดงามแม้แต่ขณะจิตด้วย

“เอาเป็นว่าผมจะให้คนไปซื้อชุดให้คุณอาทิตย์ละห้าสิบชุดก็แล้วกัน เริ่มจากวันนี้เลย”

“โห…ทำไมเยอะแยะจังล่ะคะ แค่สิบชุดก็พอแล้วค่ะ ฉันใส่ซ้ำได้”

ศีรษะดกดำเงยขึ้นจากอกสาว เคลื่อนขึ้นมาหากลีบปากอิ่ม

“ก็เพราะผมตั้งเป้าหมายไว้สูงกว่าเดิมมากน่ะสิ ห้าสิบครั้งต่อสัปดาห์ไหวไหมจ๊ะทูนหัว”

คนฟังแก้มแดงก่ำ ความขวยเขินอัดแน่นอยู่ในอกจนล้นปรี่แทบทะลักออกมาจากปาก

“คนบ้า อย่างนี้ฉันก็ช้ำตายกันพอดีสิคะ”

“ไม่หรอกลูกหยีจ๋า คุณจะสนุกจนขาดผมไม่ได้เลยต่างหาก”

คนตัวโตจ้องมองมาด้วยความหิวกระหาย มือใหญ่กอบกุมเต้างามเอาไว้แน่น ขณะเริ่มบีบเคล้นเคล้าคลึงตามอารมณ์ปรารถนาที่คอร์เนลกำลังเผชิญหน้ากับมันอยู่

“และผมก็ต้องการให้คุณขาดผมไม่ได้ไปตลอดชีวิต”

ยาหยียิ้มหวาน กระชากศีรษะของคอร์เนลลงมาหาและเผยอปากจูบด้วยความร้อนแรง ชายหนุ่มครางลั่น ความเสียวกระสันทิ่มแทงอยู่ที่ช่องท้องอย่างรุนแรงเมื่อภรรยาคนสวยเริ่มต้นเกมเสน่หาด้วยริมฝีปากนุ่มและหวานฉ่ำของเจ้าหล่อนเอง

“ลูกหยี…คุณหวานเหลือเกิน”

เพลงปรารถนาที่เกิดขึ้นท่ามกลางความร้อนแรงของอารมณ์คลั่งของสองหนุ่มสาวเดินหน้าต่อไปอย่างดุเดือดเลือดพล่าน ยาหยีตอบสนองความต้องการของสามีด้วยความเร่าร้อนอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน หล่อนพลิกกายกำยำให้นอนหงาย และสำรวจเรือนร่างทรงพลังแสนมหัศจรรย์นั้นด้วยปากและมือของตัวเอง ลิ้นเล็กตวัดไปตามผิวกายเรียบตึงด้วยความหลงใหล ทุกสัมผัสเต็มไปด้วยความรักและการขอโทษขอโพยต่อสิ่งที่ตัวเองกำลังจะกระทำมันลงไป คอร์เนลจะเกลียดหล่อนราวกับกิ้งกือไส้เดือน แต่หล่อนไม่มีทางเลือก ไม่มีทางเลือกอื่นเลยจริงๆ

“คอร์เนล…ฉันขอโทษ…”

พึมพำกับสามีที่หมดแรงหลับไปในยกสุดท้ายของเพลงสวาท น้ำตาไหลพรากออกมาขณะเดินไปหยิบเสื้อคลุมตัวหนาออกมาสวมใส่ หญิงสาวหันกลับมามองคอร์เนลที่ยังนอนนิ่งอยู่บนเตียงอีกครั้งด้วยความอาลัย ก่อนจะก้าวเดินออกไปจากห้องนอนอย่างเงียบเชียบที่สุด แต่กระนั้นก็ไม่สามารถรอดพ้นสายตาที่เต็มไปด้วยความเคลือบแคลงของคอร์เนลที่ลืมขึ้นทันทีที่สาวน้อยก้าวพ้นไปจากห้องเลยแม้แต่นิดเดียว

ชายหนุ่มก้าวลงจากเตียงและคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหู ก่อนจะเอ่ยสั่งออกไปเมื่อปลายทางรับสาย

“เซอร์เก ฉันต้องการเพชรสีทองปลอมอีกหนึ่งเม็ด เอามาให้ฉันด่วนที่สุด”

เมื่อคนสนิทรับคำสั่ง คอร์เนลจึงตัดสาย เดินไปเกาะที่ขอบหน้าต่างมองออกไปด้านนอกด้วยความรู้สึกสับสนอลหม่าน

ยาหยีสารภาพว่ารักเขา แต่ท่าทางของหล่อนเมื่อครู่นี้มันเหมือนกับว่าหล่อนกำลังซ่อนบางสิ่งบางอย่างเอาไว้ในใจ แล้วยังจะคำขอโทษที่หล่อนกระซิบบอกตอนที่เข้าใจว่าเขานอนหลับอยู่อีก มันหมายความว่ายังไงกันนะ

 

“นี่ครับนายน้อย สิ่งที่นายน้อยต้องการ”

คอร์เนลมองกล่องกำมะหยี่สีแดงกล่องใหญ่ตรงหน้าด้วยสายตาไร้ความรู้สึก มือหนาเอื้อมไปหยิบมันขึ้นมาเปิดฝาออก แสงสีทองที่ต้องกับแสงไฟระยิบระยับพริบพราวราวกับแสงของดวงดาวกลางนภากว้าง มันเหมือนกับของจริงไม่มีผิดเพี้ยน

“ขอบใจมากเซอร์เก จะไปทำอะไรก็ไปเถอะ ฉันอยากอยู่คนเดียวตามลำพังสักพัก”

สีหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวลใจของคอร์เนลทำให้ทาสผู้ซื่อสัตย์อย่างเซอร์เกอดเป็นห่วงไม่ได้ นายน้อยต้องมีเรื่องที่คิดไม่ตกอยู่ในสมองอย่างแน่นอน

“ผมอาจจะไม่ฉลาดเท่าบิลเกตต์ แต่ไอคิวของผมก็เกือบร้อยห้าสิบนะครับ หากนายน้อยมีเรื่องทุกข์ใจ ระบายให้ผมฟังบ้างก็ได้ครับ ผมยินดีฟัง”

หนุ่มหล่อระบายยิ้มบางๆ ให้คนสนิทของตัวเอง ก่อนจะพูดออกมา

“ยาหยีสารภาพรักกับฉันเมื่อกลางวันนี้”

“สารภาพรักหรือครับ?”

“ใช่ เธอบอกว่ารักฉันมาก แต่ฉันรู้สึกว่าเธอมีอะไรในใจนอกจากคำว่ารักที่เธอบอกฉันมา ฉันสับสนและรู้สึกงงกับความรักของยาหยีมาก รู้สึกเหมือนเธอกำลังปิดบังอะไรบางอย่างกับฉันอยู่ แต่ฉันก็คิดไม่ออกว่ามันคืออะไร”

นี่เป็นครั้งแรกที่เซอร์เกเห็นคอร์เนลสื่อสารได้ย่ำแย่ที่สุด ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผู้ชายที่รอบคอบในทุกเรื่อง ใส่ใจในทุกคำพูดอย่างคอร์เนล ซีร์ยานอฟ จะต้องมาตกม้าตายเพียงเพราะผู้หญิงที่ไม่คู่ควรอย่างเด็กยาหยี

“ผมไม่เคยไว้ใจลูกสาวของนายยอดชาย”

“แต่เธอบอกว่ารักฉันน่ะเซอร์เก”

คอร์เนลค้านเสียงต่ำลึก

“เรื่องนั้นผมไม่รู้หรอกครับ แต่ผมคิดว่าคุณอังเดรไม่หยุดแค่นี้แน่ และหมากที่เขาจะใช้ต่อกรกับนายน้อยก็มีอยู่คนเดียว นั่นก็คือคุณยาหยี”

แม้คำพูดของเซอร์เกจะตีแผ่ความจริงมากแค่ไหนแต่ความรักที่เขามีต่อยาหยีก็ทำให้เขาเลือกที่จะเผื่อใจเข้าข้างหญิงสาวเอาไว้ครึ่งหนึ่ง

“มันก็เป็นแค่การสันนิษฐานเท่านั้นแหละ จริงไหมเซอร์เก”

คอร์เนลลุกขึ้นจากเก้าอี้หลังโต๊ะทำงานของตัวเอง ใบหน้าหล่อเหลาเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด ขณะเดินออกมาเผชิญหน้ากับคนสนิท

“เรามาเดิมพันกันดีกว่าไหม ถ้ายาหยีรักฉันจริงๆ นายจะต้องเลิกตั้งแง่กับเธอ”

“แล้วหากคุณยาหยีหลอกลวงนายน้อยล่ะครับ นายน้อยจะทำยังไงกับเธอ” เซอร์เกถามกลับ

คอร์เนลระบายยิ้มบางๆ ความไม่สบายใจยังไม่จางไปจากนัยน์ตาสีเขียวดุจมรกตเนื้อดีแม้แต่นิดเดียว หากให้พูดตามตรงเขาเองก็ไม่ได้มั่นใจนักหรอก แต่แค่ต้องการให้โอกาสยาหยีเท่านั้นเอง โอกาสครั้งเดียวในชีวิตที่จะมีให้ได้

‘ถ้าหล่อนรักเขาด้วยหัวใจจริงๆ เขาก็คงจะดีใจมากและเป็นสุขที่สุด’

“ฉันก็จะไม่พบหน้าหล่อนอีกตลอดชีวิต”

“นายน้อยทำได้หรือครับ ในเมื่อนายน้อยรักคุณยาหยีมาก”

เมื่อถูกคำพูดที่เต็มไปด้วยความจริงแทงใจดำทำให้คอร์เนลต้องเดินหนีไปเกาะที่ขอบหน้าต่างห้อง เซอร์เกขยับตามไปหยุดอยู่ข้างหลัง

“ผมอยู่กับนายน้อยมานาน แค่มองตาก็รู้แล้วว่านายน้อยกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ผมก็พลาดเองที่ไม่ป้องกันตั้งแต่แรก ความจริงผมควรจะขัดขวางการพบกันระหว่างนายน้อยกับคุณยาหยีตั้งแต่วันนั้น และถ้าหากผมทำสำเร็จ วันนี้นายน้อยก็คงไม่ต้องมาทุกข์ใจเพราะความรักแบบนี้”

“หากฉันสามารถย้อนเวลากลับไปได้ ฉันก็จะเลือกไม่เดินทางไปประเทศไทย” น้ำเสียงของคอร์เนลเต็มไปด้วยความอ่อนล้า หัวใจกระด้างที่อยู่ภายในอกกว้างดวงนั้นคงจะกำลังเหน็ดเหนื่อยอย่างมากเลยทีเดียว

เซอร์เกยืนมองแผ่นหลังกว้างของเจ้านายหนุ่มด้วยความห่วงใย และก็เลือกถอยหลังออกจากห้องทำงานของคอร์เนลไปอย่างเงียบเชียบเมื่อรู้ว่าชายหนุ่มกำลังต้องการความเป็นส่วนตัว

เสียงปิดประตูที่ถึงแม้ว่าคนปิดจะพยายามทำให้มันเบาแค่ไหน แต่คอร์เนลก็ได้ยินมันอยู่ดี ชายหนุ่มหมุนตัวกลับมามองที่บานประตูนิ่ง รู้สึกขอบคุณเซอร์เกนักที่ยอมปล่อยให้เขาอยู่ตามลำพัง คิดทบทวนเรื่องราวทุกอย่าง

ชายหนุ่มเดินตรงยังตู้เซฟตัวใหม่ที่มีระบบการรักษาความปลอดภัยขั้นดีเยี่ยม มือใหญ่กดรหัสตัวเลขสี่ตัวสามครั้ง วางนิ้วชี้ขวาและซ้ายลงไป จากนั้นก็ก้มหน้าแนบดวงตากับช่องรับสัญญาณ เมื่อทุกอย่างถูกต้อง ประตูตู้เซฟก็ถูกเปิดออกในทันที คอร์เนลหยิบเพชรสีทองในกล่องกำมะหยี่สีแดงซึ่งเป็นเพชรของจริงออกมาใส่ในกระเป๋าเสื้อ จากนั้นก็นำเพชรสีทองของปลอมที่เซอร์เกพึ่งนำมาให้วางไว้แทนที่ ก่อนจะปิดประตูตู้เซฟแล้วลดระบบการรักษาความปลอดภัยเหลือแค่การใส่รหัสเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

“ผมหวังว่าความคิดของผมจะเป็นสิ่งที่ผิดพลาดนะยาหยี”

คอร์เนลถอนใจออกมาแรงๆ ก่อนจะลุกขึ้นและเดินออกจากห้องทำงานไปในทันที

คอร์เนลเดินกลับไปกลับมาบนห้องนอนด้วยความหงุดหงิดงุ่นง่าน แม้จะมั่นใจว่ายาหยีไม่สามารถออกไปจากอาณาจักรของตัวเองได้แน่เพราะเขาได้โทรไปสั่งยามที่หน้ารั้วเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่นี่มันครึ่งชั่วโมงกว่าแล้วนะ ครึ่งชั่วโมงที่หล่อนวิ่งหายไปต่อหน้าต่อตา

‘ยาหยีเสียใจจริงๆ หรือที่เขาไม่ได้จดทะเบียนด้วยความรัก แต่ทำไมหล่อนถึงต้องเสียใจล่ะในเมื่อหล่อนก็ไม่เคยบอกว่ารักเขาออกมาสักคำ จะมีก็แค่ยามที่เขาและหล่อนอยู่บนเตียงด้วยกันเท่านั้นแหละที่หล่อนแสดงความรักใคร่ออกมา แต่เขาก็พอจะรู้ว่าที่ยาหยีแสดงออกมาเช่นนั้นก็เพราะว่าถูกเขาปลุกเร้าจนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ มันแค่นั้นจริงๆ’

แม้จะพยายามบอกให้ตัวเองใจเย็นๆ แค่ไหน แต่คอร์เนลก็ไม่สามารถจะทนอยู่ในห้องนอนได้อีกต่อไป คนตัวโตก้าวยาวๆ ตรงไปที่ประตูห้อง กำลังจะเปิดมันออก แต่มันก็ถูกเปิดออกซะก่อนด้วยฝีมือของผู้หญิงที่เขากำลังคะนึงหาสุดใจ

“ลูกหยี…คุณหายไปไหนมา ผมตามหาซะทั่วบ้าน…”

ชายหนุ่มรวบร่างอรชรของภรรยาเข้ามากอดแน่น ใช้เท้าเตะประตูให้มันปิดลง จากนั้นก็รั้งสาวน้อยให้เดินตรงไปยังเตียงนอน เขาดึงยาหยีให้นั่งลงข้างๆ กาย พรมจูบซับน้ำตาให้อย่างอ่อนโยน ก่อนจะพูดออกมา

“ผม…ผมรู้ว่าคุณคงเสียใจมากกับคำพูดของผม”

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะคอร์เนล ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างมันคือความจริง”

ยาหยีพยายามจะยิ้มแต่ก็กลับร้องไห้จ้าออกมาซะนี่ และมันก็ทำให้ผู้ชายที่เคยใจแข็งที่สุดในโลกอย่างคอร์เนลใจอ่อนยวบลงในพริบตา กำแพงป้องกันหัวใจพังครืนลงมาจนไม่เหลือชิ้นดี

“อย่าร้องไห้…ลูกหยี ได้โปรดอย่าร้องไห้เพราะผม”

น้ำเสียงของคอร์เนลอัดแน่นไปด้วยความรู้สึกผิดจนยาหยีต้องช้อนตาขึ้นมองคู่สนทนาทั้งน้ำตา ใบหน้าหล่อเหลาที่เคยมีแต่ความอวดดีหยิ่งยโสแต้มแต่งอยู่ตลอดเวลากลับเต็มไปด้วยความอ่อนล้า

“คุณไม่ได้ทำให้ฉันร้องไห้หรอกค่ะคอร์เนล ไม่ใช่คุณ…” รสชาติในปากขมปร่า หัวใจปวดร้าวอย่างรุนแรง

“เห็นชัดๆ ว่าเป็นผม”

ยาหยีส่ายหน้ายืนยัน มองผู้ชายตรงหน้าด้วยความรักใคร่ไม่คิดจะปิดบังใดๆ อีกแล้ว หล่อนรักมากแม้เขาจะไม่เคยรักหล่อนเลยก็ตาม

“เป็นเพราะฉันต่างหาก ฉันเองที่ผิดทุกอย่าง หากฉันไม่รักคุณ ฉันก็จะไม่ร้องไห้แบบนี้”

“คุณรักผมอย่างนั้นหรือ?”

น้ำเสียงของคอร์เนลเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ

ยาหยีพยักหน้ารับทั้งน้ำตา รู้ดีว่าการพูดแบบนี้ออกไปจะทำให้เขาเกลียดขี้หน้าหล่อนมากขึ้น แต่หล่อนไม่มีทางเลือก หล่อนรักเขา รักจนไม่สามารถจะเก็บมันเอาไว้ในอกได้อีกแล้ว

“ฉันพยายามห้ามตัวเองแล้ว พยายามห้ามใจแล้ว แต่ฉัน…ฉันทำไม่สำเร็จ คุณทำให้ฉันหลงหัวปักหัวปำ และฉันไม่โกรธคุณหรอกนะคะ หากเราจะหย่ากันในวันนี้”

นัยน์ตาสีเขียวดุจมรกตเนื้อดีจ้องมองดวงหน้านวลของหญิงสาวที่พึ่งจะสารภาพรักต่อตัวเองนิ่งนาน มองสำรวจจนแน่ใจว่าตัวเองไม่ได้ฝัน จึงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มอ่อนโยนจนคนฟังอย่างยาหยีอดแปลกใจไม่ได้

“ใครว่าผมจะหย่ากับคุณล่ะลูกหยี”

“ทำไมล่ะ ในเมื่อคุณก็ได้เพชรสีทองคืนมาแล้ว”

คอร์เนลถอนใจออกมาเบาๆ ยกร่างอรชรขึ้นมานั่งซ้อนตักเอาไว้ ก่อนจะก้มลงจูบปากอิ่มด้วยความรักใคร่ไม่บิดบัง แน่นอน…เขาไม่จำเป็นต้องเก็บกักเจ้าความพึงพอใจที่ตอนนี้มันเปลี่ยนแปลงเป็นคำว่ารักสุดใจเอาไว้อีกแล้ว ในเมื่อยาหยีก็รักเขาเช่นกัน

“อาจจะใช่ที่ผมไม่มีทางเลือกเรื่องที่เราจดทะเบียนสมรสกัน แต่ไม่ช้าก็เร็วผมก็จะต้องจดทะเบียนสมรสกับคุณอยู่ดีลูกหยี ในเมื่อคุณ…”

“เพราะฉันอาจจะท้องใช่ไหมคะ”

คอร์เนลส่ายหน้าน้อยๆ รวบรวมแรงกายแรงใจกัดฟันสารภาพในสิ่งที่ตัวเองไม่คุ้นเคยออกไป มันน่าละอาย มันน่าขายหน้า แต่เขาไม่มีทางเลือก หากต้องการยาหยีในชีวิต เขาก็ต้องทำ

“ไม่ใช่หรอกทูนหัว เพราะผมไม่อาจจะอยู่คนเดียวได้โดยไม่มีคุณข้างกายต่างหากล่ะ ผมรักคุณนะยาหยี” ในที่สุดคอร์เนลก็สามารถพูดในสิ่งที่ยากที่สุดออกมาจนได้

“รักฉัน?”

เหมือนถูกดูดด้วยไฟฟ้าสักหมื่นโวลต์ เหลือเชื่อ ไม่เชื่อ ไม่มีทางเป็นไปได้หรอก คอร์เนลนี่นะจะรักหล่อน ในเมื่อตลอดเวลาที่ผ่านมาหล่อนมีค่าแค่นางบำเรอสำหรับเขาเท่านั้นเอง

“แต่คุณทำเหมือนว่าหลงใหลเซ็กส์จากฉันเท่านั้น”

แม้กระทั่งตอนนี้หล่อนก็ยังไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคอร์เนลจะรักหล่อนจริงๆ

“ผมเองก็ไม่รู้ตัวจนกระทั่ง…รู้ว่าจะเสียคุณไป”

“คอร์เนล…”

สาวน้อยยื่นหน้าขึ้นจูบปากของคนตัวโตที่โอบกระชับร่างของหล่อนอยู่ด้วยความรักสุดใจ น้ำตาไหลพรากลงมาอาบแก้ม ยิ่งรู้ว่าเขามีใจให้แบบนี้ ความรู้สึกผิดก็ยิ่งถล่มยับอยู่ในอก หล่อนจะต้องทรยศคนที่รักหล่อนอย่างนั้นหรือ

“ทูนหัว…อย่าร้องไห้นะ ผมรักคุณจริงๆ รักจนต้องตามล่าตัวให้คุณมาอยู่ข้างๆ แม้จะรู้ว่าคุณอาจจะทรยศผมในสักวันหนึ่ง แต่ผมขาดคุณไม่ได้ และที่ผมพาคุณมาที่มอสโกก็เพราะรัก ไม่ใช่เพราะกลัวคุณท้องอย่างที่พยายามพร่ำบอกหรอกนะ”

“คอร์เนล ฉันรักคุณ…รักคุณเหลือเกิน…”

หญิงสาวรัดร่างกำยำเอาไว้แน่น อยากจะอยู่ในอ้อมแขนอบอุ่นนี้ไปชั่วชีวิต แต่ก็รู้ดีว่าไม่มีทางเป็นไปได้ ในเมื่ออีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้านี้หล่อนจะต้องทำในเรื่องที่คอร์เนลไม่สามารถจะให้อภัยได้ และแน่นอนว่าคอร์เนลจะต้องเกลียดหล่อนไปตลอดชีวิต

“ผมอ้างเรื่องลูกก็เพราะต้องการให้คุณอยู่ข้างกายตลอดเวลา และถ้าหากคุณจำได้ ทุกครั้งที่เราร่วมรักกัน ผมจะไม่เคยป้องกันเลยแม้แต่ครั้งเดียว ทั้งๆ ที่ผมเคยให้ความสำคัญกับพวกเรื่องนี้เป็นอย่างมาก และไม่เคยหลงลืมเลยแม้แต่ครั้งเดียว”

“ค่ะ ฉันรู้ ปากคุณบอกว่ากลัวฉันท้อง แต่ทุกครั้งที่คุณนอนกับฉัน คุณก็ยังทำเหมือนเดิม นั่นก็คือไม่ป้องกันเลย”

“เพราะผมอยากมีลูกกับคุณยังไงล่ะลูกหยี”

ความรักฉายออกมาจากทางใบหน้าและแววตา หญิงสาวจูบเขาอีกครั้งทั้งๆ ที่ตัวเองยังสะอื้นไห้ไม่หยุด จูบราวกับกำลังจะขอโทษในบางสิ่งบางอย่างที่ตัวเองกำลังจะกระทำ

“ฉันรักคุณ…คอร์เนล…”

คอร์เนลยิ้มกว้าง มองภรรยาด้วยความรักใคร่ หัวใจหนุ่มเบิกบานและอิ่มเอมเมื่อต่อไปนี้ตนเองจะสามารถแสดงความรู้สึกที่มีต่อยาหยีได้อย่างเต็มที่ ไม่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ แสดงมันออกมาเฉพาะตอนที่อยู่บนเตียงอีกแล้ว

“รักผมตั้งแต่ตอนไหนหรือทูนหัว”

คนตัวโตดันร่างบอบบางของภรรยาให้นอนลงบนเตียงอย่างนุ่มนวล เขายิ้มกว้าง ดวงตาอัดแน่นไปด้วยแรงสิเน่หาขณะตามทาบทับลงไป ดวงตาของทั้งคู่ประสานกันนิ่ง

“ถ้าฉันบอกไปอย่าหัวเราะนะคะ”

ยาหยีว่าพลางแก้มแดงระเรื่อ

“ตกลงทูนหัว ไหนบอกมาสิว่ารักผมตั้งแต่เมื่อไร” คนพูดยิ้มร่าอย่างอารมณ์ดี

หญิงสาวเสหลบตา ขณะใช้มือปลดกระดุมเสื้อราคาแพงของสามีแก้เขิน

“ตั้งแต่แรกเห็นนั่นแหละค่ะ”

“ครั้งแรกที่เจอกันเลยหรือ?”

ยาหยีพยักหน้ารับอย่างอายๆ

“ฉันไม่เคยให้ความสนใจต่อเพศตรงข้ามมาก่อน จนกระทั่งเจอคุณ หัวใจของฉันเต้นแรงมาก และผู้คนรอบๆ ตัวคุณก็กลายเป็นต้นไม้ไปหมดเลย”

“นั่นผมพอจะรู้ ไม่อย่างนั้นผมคงไม่ใช่คนแรกของคุณหรอกลูกหยี”

ชายหนุ่มสนับสนุนความคิด ก่อนจะก้มลงดูดปากอิ่มหนักๆ อย่างอดใจไม่ไหว

“คุณทำให้ฉันแทบจะหยุดหายใจ และทำให้ฉันคิดถึงตลอดเวลา ขนาดเรียนหนังสือยังเห็นหน้าอาจารย์เป็นหน้าคุณเลย มันน่าอาย แต่มันเป็นเรื่องจริงค่ะ”

“นี่ผมเสน่ห์แรงขนาดนั้นเชียวหรือ ไม่น่าเชื่อ”

มือบางฟาดเบาๆ บนแผงอกกว้างที่เป็นหล่อนเองนั่นแหละที่ถอดเสื้อเขาออกไปจากตัว

“ทำเป็นไขสือ ฉันเห็นคุณไปที่ไหนก็มีแต่ผู้หญิงมองตาเป็นมัน หากทำได้แม่ผู้หญิงพวกนั้นคงเข้ามาลากฉันออกไปฆ่าทิ้งแล้วล่ะ”

คอร์เนลหัวเราะร่วนกับคำพูดของภรรยาสาวแสนสวย

“แล้วรู้ไหมว่าผมรักคุณตอนไหน”

ยาหยีส่ายหน้าน้อยๆ แก้มแดงระเรื่อ ไล้ฝ่ามือไปทั่วทั้งอกกว้างที่รกรุงรังไปด้วยเส้นขนหยิกหยอยอย่างซุกซน

“บอกมาสิคะ”

“ผมไม่คิดว่าคุณอาจะคิดถึงผมบ่อยขนาดนี้”

คอร์เนลเอ่ยทักทายด้วยน้ำเสียงเย็นชาทันทีที่ตัวเองก้าวเข้ามาภายในห้องรับแขก ร่างของอังเดรที่กำลังเดินกลับไปกลับมาราวกับเสือติดจั่นหันมาจ้องหน้าเขาเขม็ง

“อย่ามาทำเป็นไขสือ แกรู้ดีว่าฉันมาทำไม”

คอร์เนลหัวเราะเบาๆ ขณะเดินไปทรุดตัวนั่งไขว่ห้างบนโซฟาตัวใหญ่อย่างสบายอารมณ์ อังเดรกัดฟันข่มความเดือดดาลเอาไว้ในอก ตอนนี้ไม่มีอะไรต้องปิดบังอีกแล้ว

“เรื่องเพชรสีทองหรือครับ”

“ก็ใช่น่ะสิ แกมันเจ้าเล่ห์นักนะคอร์เนล!”

เจ้าของชื่อหัวเราะเสียงดัง กวาดสายตาเย็นชาใส่ผู้เป็นอาของตัวเองเขม็ง

“แต่ผมก็ไม่ใช่คนขี้ขโมยหรอกนะครับคุณอา”

“นี่แกกำลังว่าใคร ไอ้คอร์น!”

อังเดรผรุสวาทคำหยาบคายออกมา

คอร์เนลเหยียดยิ้มหยันขณะลุกขึ้นยืนจากโซฟาและเดินเข้าไปเผชิญหน้ากับอาของตัวเองในระยะกระชั้นชิด ความสูงที่แตกต่างกันทำให้อังเดรใจสั่นขึ้นมาโดยอัตโนมัติ

“พ่อยังไม่เคยเรียกผมแบบนี้เลย คุณอาก็แค่คนนอกของซีร์ยานอฟ อย่ามาทำให้ผมทนไม่ไหวดีกว่า เพราะคุณอาก็รู้นี่ครับว่าผมสามารถทำอะไรกับคุณอาได้บ้าง”

“นี่แกขู่ฉันอย่างนั้นหรือ!”

“ผมไม่ฆ่าคุณอาเรื่องที่บงการให้คนมาขโมยเพชรของผมไปก็ถือว่าปรานีแล้วล่ะครับ ไปซะ อย่าให้ผมต้องใช้มาตการรุนแรงกับคุณอาเลยดีกว่า เพราะถึงยังไงคุณอาก็เป็นน้องชายของพ่อ”

อังเดรจนมุมหน้าซีด แต่ก็ยังไม่คิดจะยอมแพ้ เพราะการที่เขามาหาคอร์เนลในวันนี้ไม่ได้มาฟังไอ้หลานชายอวดดีเทศนา แต่เป็นการทวงเพชรสีทองคืนต่างหากล่ะ

“อย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะว่าแกใช้วิธีอะไรเพื่อให้ได้เพชรสีทองนั่นคืนมา”

เมื่อเห็นยาหยียืนนิ่งอยู่ที่ปากประตูห้องรับแขก ชายวัยกลางคนจึงเริ่มแผนการร้าย ในขณะที่คอร์เนลยืนหันหลังให้ประตูจึงไม่รู้ถึงการมาเยือนของภรรยาเลยแม้แต่นิดเดียว

“มันเป็นเรื่องส่วนตัวของผม”

“แกคงใช้ทะเบียนสมรสระหว่างแกกับเด็กยาหยีต่อรองกับไอ้ยอดชายใช่ไหมล่ะ มันถึงได้ยอมทรยศฉันแล้วนำเพชรสีทองของจริงไปมอบให้แก”

“ผมบอกแล้วไงว่ามันคือเรื่องส่วนตัว”

เมื่อเห็นคอร์เนลไม่ยอมเล่นตามแผน อังเดรจึงจำเป็นต้องเป็นฝ่ายเดินเกมเสียเอง

“นี่แกกำลังจะทำให้ฉันคิดว่าที่แกจดทะเบียนสมรสกับเด็กยาหยีก็เพราะว่าแกรักหล่อนเข้าแล้วจริงๆ งั้นสิ”

ภายในห้องรับแขกเงียบกริบลงอย่างน่าตกใจ ยาหยีกำลังรอฟังคำตอบจากปากของคอร์เนลอย่างใจจดใจจ่อ ภาวนาให้เขาตอบว่าใช่จริงๆ เถอะ หัวใจสาวเต้นระรัวแรง ความหวังเบ่งบานอยู่ภายในอก อยากให้คนตัวโตทำทุกอย่างลงไปเพราะความรักเหลือเกิน แต่แล้วก็ต้องยืนน้ำตาท่วมหน้าเมื่อได้ยินคำตอบที่หลุดออกมาจากปากของคอร์เนล

“ที่ผมจดทะเบียนกับยาหยีก็เพราะผมไม่มีทางเลือก”

“จดทะเบียนสมรสเพื่อแลกกับเพชรสีทองใช่ไหม”

อังเดรพยายามต้อนหลานชายของตัวเอง ยิ่งเห็นชายหนุ่มกำลังหงุดหงิดงุ่นง่านแบบนี้ก็ยิ่งสะใจ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเด็กยาหยีจะมีอิทธิพลต่อคอร์เนลถึงเพียงนี้ แค่ได้ยินชื่อของหล่อน ไอ้หลานชายตัวดีก็มีท่าทางไปไม่เป็นซะแล้ว

“หากคำตอบของผมมันจะทำให้คุณอากลับไปได้ ใช่…ผมจดทะเบียนกับยาหยีก็เพื่อแลกกับการได้เพชรสีทองคืนมา พอใจแล้วใช่ไหมครับ งั้นก็ไสหัวไปซะ แล้วอย่ากลับมาให้ผมเห็นหน้าอีก เพราะไม่อย่างนั้นผมจะลากคอคุณอาเข้าคุกด้วยมือของผมเอง!”

คอร์เนลตวาดใส่อังเดรเสียงดังลั่น ใบหน้าหล่อเหลาแดงก่ำด้วยโทสะแรงกล้า เกลียดตัวเองนักที่ปล่อยให้ยาหยีเข้ามามีอิทธิพลเหนือสมองและร่างกายของตัวเอง แค่ได้ยินชื่อของหล่อน ผู้ชายที่เคยแข็งแกร่งยิ่งกว่าภูผาเช่นเขาก็อ่อนเปลี้ยจนแทบล้มทั้งยืนแล้ว ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผู้หญิงต่ำๆ อย่างยาหยีจะทำให้เขาอ่อนแอได้ถึงเพียงนี้

และแทนที่อังเดรซึ่งได้ยินประโยคขับไล่ออกจากของหลานชายจะรู้สึกเกรี้ยวกราด กลับหัวเราะร่วนด้วยความยินดี

“ฉันพอใจแน่ๆ อยู่แล้ว แต่เห็นทีเด็กยาหยีจะไม่พอใจหรอกมั้ง”

“ยาหยี…”

คอร์เนลหัวใจชาหนึบ รีบหมุนขวับไปมองที่หน้าประตูห้องแล้วก็ทันได้เห็นร่างของยาหยีวิ่งร้องไห้หายไปต่อหน้าต่อตา ชายหนุ่มกำลังจะวิ่งตามไปแต่คำพูดหยามหยันของอังเดรก็หยุดเท้าของเขาเอาไว้เสียก่อน

“ถ้าไม่รักไม่สนใจ ก็คงไม่จะคิดตามไปใช่ไหม”

ศักดิ์ศรีทำให้คอร์เนลเลือกที่จะเดินกลับมานั่งบนโซฟาเช่นเดิม ทั้งๆ ที่ภายในอกรุ่มร้อนดั่งถูกไฟโลกันตร์แผดเผา

“แกคงจะถูกบังคับให้จดทะเบียนจริงๆ นั่นแหละ”

อังเดรทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงสะอกสะใจ ก่อนจะเดินหายไปจากห้องรับแขกที่มีคอร์เนลนั่งหน้าแดงก่ำด้วยโทสะทันที อังเดรมุ่งหน้าเดินตามยาหยีมาและก็มาทันที่ลานจอดรถ

“จะรีบไปไหนล่ะยาหยี”

หญิงสาวไม่ตอบ สองเท้ากำลังจะเดินหนีแต่ก็ถูกอังเดรขวางหน้าเอาไว้ซะก่อน ยาหยียกมือขึ้นป้ายน้ำตาแห่งความเจ็บปวดทิ้ง ก่อนจะเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงเจือสะอื้น

“อย่ามาวุ่นวายกับฉันอีก”

อังเดรไหวไหล่ หัวเราะลั่น

“ได้ยินชัดเต็มสองหูแล้วสินะ ไอ้คอร์นมันไม่มีทางรักผู้หญิงแบบเธอได้หรอก ขนาดผู้หญิงชาติตระกูลดีๆ เป็นถึงเชื้อพระวงศ์ มันยังไม่แยแสเลย แล้วนับประสาอะไรกับคนต่ำๆ แบบเธอ”

ยาหยีกัดปากแน่น หัวใจแตกสลายไม่มีชิ้นดี เพราะอย่างนี้นี่เองคอร์เนลถึงไม่ยอมบอกว่าสาเหตุที่เขาจดทะเบียนกับหล่อน ทั้งๆ ที่ถูกหล่อนถามไม่รู้กี่ครั้ง

“ไอ้คอร์นมันทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เพชรสีทองของมันกลับคืนมา เธอมันก็แค่ขยะที่มันไม่สามารถขจัดออกไปจากตัวได้ก็แค่นั้นเอง…ร่วมมือกับฉันเถอะ แก้แค้นไอ้คอร์น”

“ไม่! ต่อให้เขาฆ่าฉันให้ตาย ฉันก็ไม่ยอมทรยศต่อเขาเด็ดขาด”

แม้จะเจ็บช้ำจากการกระทำของคอร์เนลมากมายแค่ไหน แต่หล่อนก็ไม่สามารถที่จะทรยศต่อผู้ชายที่เป็นเจ้าของดวงใจของตัวเองคนนี้ได้ หล่อนรักเขา ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เหลียวแลเลยก็ตาม

“มันร้ายกับเธอขนาดนี้ ยังจะรักมันอีกหรือยาหยี”

“ฉันรักเขาโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน และทนมองเขาเจ็บปวดไม่ได้”

“เธอช่างเป็นคนดีเหลือเกิน เสียดายนะที่ไอ้คอร์นมันมองไม่เห็นค่าของเธอเลย แต่เอาเถอะ…ฉันไม่บังคับให้เธอเกลียดมันหรอก”

อังเดรหัวเราะเสียงเหยียดหยาม ขณะเปิดประตูของตัวเองหยิบซองสีน้ำตาลขนาดครึ่งเอสี่ออกมาส่งให้กับหญิงสาว

“เอาไปดูสิ แล้วเธอจะต้องเปลี่ยนใจ”

ความอยากรู้อยากเห็นทำให้ยาหยีคว้าซองเอกสารขนาดเล็กมาเปิดออก รูปถ่ายจำนวนห้าใบอยู่ในนั้น หญิงสาวหน้าซีดเผือดเมื่อได้มองภาพถ่ายเต็มๆ ตา

“พ่อ!”

สภาพของบิดาโชกเลือด ใบหน้าบอบช้ำเพราะถูกซ้อมอย่างหนัก ยาหยีกัดฟันแน่น เงยหน้าขึ้นมองอังเดรด้วยความเจ็บแค้น

“คนเลว คุณทำพ่อฉันทำไม ทำท่านทำไม!”

อังเดรหัวเราะด้วยความสะใจ

“ก็เพราะมันทำให้ฉันเสียเพชรสีทองไปน่ะสิ มันสมควรโดนมากกว่านี้อีก และหากเธอไม่อยากให้มันหยุดหายใจละก็ ไปเอาเพชรสีทองมาคืนฉันให้ได้”

ยาหยีส่ายหน้าทั้งน้ำตา

“อย่าทำแบบนี้ อย่าบังคับฉัน…ให้ฉันทำอย่างอื่นเถอะ อย่าให้ฉันต้องทรยศต่อคอร์เนลเลย”

“เธอไม่มีทางเลือกหรอกยาหยี พ่อกับผัว เลือกเอาแล้วกันว่าเธอจะเลือกใคร หากเลือกไอ้คอร์น พ่อของเธอก็จะต้องตาย แต่หากเธอเลือกพ่อบังเกิดเกล้า ไอ้คอร์นก็ไม่ได้เจ็บปวดตรงไหนนี่ มันก็แค่ไม่มีเพชรสีทองเท่านั้นเอง”

“แต่ฉันทำไม่ได้…”

“ถ้าทำไม่ได้ก็รอรับหัวของไอ้ยอดชายก็แล้วกัน เออ…หัวมันตายง่ายเกินไป งั้นเอาเป็นแขนเป็นขาก่อนแล้วกัน มันจะได้ทรมานที่สุดในชีวิต”

อังเดรทิ้งระเบิดที่จุดชนวนแล้วใส่มือของยาหยี

“ไม่นะ อย่าทำร้ายท่าน ได้โปรดอย่าทำอะไรพ่อของฉันเลย”

“มันขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเธอต่างหากล่ะยาหยี ถ้าร่วมมือกับฉัน ไอ้ยอดชายก็จะอยู่บนโลกอันแสนศิวิไลซ์นี้ได้อีกนาน แต่หากเธอปฏิเสธ…”

เสียงหัวเราะที่ราวกับมาจากขุมนรกทำให้แก้วหูของหล่อนสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง

“มันได้ไปเยี่ยมยมบาลแน่!”

แม้จะไม่อยากทรยศต่อคอร์เนลมากแค่ไหน แต่การอยู่รอดของบิดามันสำคัญยิ่งกว่า หล่อนทนยืนมองท่านถูกทำร้ายตายไปต่อหน้าไม่ได้ ไม่มีทางยอมได้!

“ฉันรับปาก…ฉันจะร่วมมือกับคุณ”

อังเดรระบายยิ้มพึงพอใจ ก่อนจะนำแผนที่บ้านของตนเองที่พกติดตัวมาด้วยยัดใส่มือของเด็กสาวที่ยืนหน้าซีดตัวสั่นอยู่ตรงหน้า

“ฉันมองไม่ผิดจริงๆ เธอเป็นคนดีมาก รักพ่อมากกว่ารักผัว”

“แล้วฉันจะรู้ได้ยังไงว่าคุณจะไม่ฆ่าพ่อของฉัน”

“เธอไม่มีทางเลือกอื่นหรอกยาหยี ถ้าเธอนำเพชรสีทองของแท้มาให้ฉันเร็วเท่าไร ไอ้ยอดชายก็จะพ้นจากความทุกข์ทรมานเร็วเท่านั้น อ๊ะๆ อย่าคิดตุกติกล่ะเพราะฉันจะไม่ใจดีมายื่นข้อเสนอใดๆ กับเธออีกแล้ว”

และผู้ชายที่ร้ายกาจยิ่งกว่างูพิษก็ก้าวขึ้นไปนั่งบนรถ ก่อนจะขับมันออกไปอย่างรวดเร็ว ยาหยีมองตามไปด้วยความเจ็บปวด สมองมึนงงสับสนอย่างรุนแรง หัวใจถูกบีบคั้นจนเลือดทะลักเมื่อจำต้องทรยศต่อผู้ชายที่ตัวเองรักหมดใจแม้เขาจะไม่มอบความรักตอบกลับมาเลยก็ตาม

“ฉันไม่อยากทำร้ายคุณ คอร์เนล…แต่ฉันไม่มีทางเลือก” จากที่เคยคิดจะหนีไปให้ไกลสุดขอบฟ้า ก็จำต้องมุ่งหน้ากลับเข้าไปในคฤหาสน์ซีร์ยานอฟอีกครั้ง ทุกย่างก้าวที่ย่ำลงไปบนพื้นนั้นช่างไม่แตกต่างจากการเหยียบลงไปบนเข็มแหลมเลยแม้แต่นิดเดียว

อังเดรแทบจะกระโดดลงมาจากรถเมื่อมันมาจอดที่หน้าคฤหาสน์ของตัวเอง ชายวัยกลางคนแทบจะวิ่งเข้าไปภายในตึก สายตากวาดมองหาบุคคลเป้าหมายอย่างร้อนรน เขาจะต้องเค้นคอมันให้สำรอกความจริงออกมาให้ได้

“เบรท ไอ้ยอดชายระยำมันไปมุดหัวอยู่ที่ไหน!” ตะคอกถามคนขับรถที่เดินสวนออกมาเสียงดุกระด้างน่ากลัว

“เห็นกำลังเก็บข้าวเก็บของอยู่ในห้องพักน่ะครับ ไม่รู้เหมือนกันว่าจะไปไหน”

“แกตามฉันมา”

ใบหน้าของอังเดรเหี้ยมเกรียมขึ้นกว่าเดิมมากนัก เขารีบก้าวยาวๆ มุ่งหน้าไปยังห้องพักของยอดชายทันที และเมื่อมาถึง เขาก็เลือกที่จะพังประตูเข้าไป

“จะไปไหนหรือยอดชาย”

“นาย!”

เสื้อผ้าในมือร่วงหล่นสู่พื้นห้องด้วยความตกใจสุดขีด

อังเดรแสยะยิ้มร้ายกาจ เดินเข้าไปหายอดชายที่ตัวสั่นเทาด้วยท่าทางคุกคาม

“ฉันถามว่าแกจะไปไหนไง หูแตกหรือไง!”

“ผม…ผมจะไปหายาหยีครับ ผมคิดถึงลูก”

ความหวาดกลัวทำให้น้ำเสียงที่เล็ดลอดออกไปแต่ละคำมันช่างตะกุกตะกักเสียเหลือเกิน

“รู้หรือว่าตอนนี้ลูกสาวอยู่ที่ไหน”

อังเดรเค้นเสียงเลือดเย็นออกมา ขณะจ้องมองยอดชายด้วยสายตาเดือดดาลสุดขีด

“ผม…”

“ไม่ต้องพูดอีกแล้ว!”

และในที่สุดอังเดรก็ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้อีกต่อไป ยื่นมือเข้ามากระชากคอเสื้อของยอดชายให้เข้าไปเผชิญหน้า จากนั้นก็ฟาดกำปั้นเข้าใส่หน้าหลายทีติดกันจนเลือดทะลักออกมาทั้งทางปากและจมูก

“นาย…อย่าทำผมเลยครับ”

“แกทรยศฉัน!”

“ผมไม่ได้ทรยศนายนะครับ ผมจงรัก…โอ๊ย!” ถูกต่อยเข้าอีกที่กลางปากกลางจมูกจนแทบสิ้นสติ

“ถ้าแกภักดีกับฉันจริงๆ เพชรสีทองก็ไม่มีวันเป็นของปลอมไปได้ แกมันไอ้คนทรยศ ไอ้คนอกตัญญู แกไม่เคยจริงใจกับใครเลย แม้แต่ฉันคนที่เคยช่วยชีวิตแกเอาไว้ ไอ้คนระยำ!”

อังเดรผลักให้ยอดชายล้มลงไปนอนกับพื้น จากนั้นก็พยักหน้าให้ลูกน้องสองสามคนที่พึ่งเดินตามมาสมทบเข้ามาประเคนหมัดและเท้าให้กับคนทรยศจนอีกฝ่ายหมดสติไปนั่นแหละถึงจะบอกให้คนของตัวเองหยุด

“พอก่อน เดี๋ยวมันตาย…”

“ให้ผมลากมันไปไว้กลางถนนไหมครับ รถจะได้เหยียบมันให้เละ”

เบรทพูดขึ้นอย่างเอาใจเจ้านาย แต่อังเดรส่ายหน้าพร้อมกับแสยะยิ้มเลือดเย็น

“มันจะตายได้ก็ต่อเมื่อฉันรู้ความจริงเรื่องเพชรสีทองก่อน ไปเอาน้ำมาราดให้มันฟื้น เร็วเข้า!”

“ครับนาย”

ลูกน้องร่างใหญ่วิ่งออกไป ไม่นานก็กลับเข้ามาพร้อมกับกระป๋องใบย่อมที่ใส่น้ำมาเกือบเต็ม อังเดรแสยะยิ้มก่อนจะส่งสัญญาณให้สาดน้ำใส่ร่างของยอดชาย และมันก็ได้ผลคนที่นอนสลบไสลอยู่รู้สึกตัวขึ้นมาในทันที

“บอกมาว่าแกเอาเพชรสีทองของจริงไปไว้ที่ไหน”

“นายครับ ผมไม่รู้จริงๆ ครับ ไม่รู้จริงๆ”

“ไม่รู้เหรอ นี่ไงไม่รู้”

อังเดรเตะเสยปลายคางของยอดชายเต็มแรง จนร่างของยอดชายหงายหลังตึงลงกับพื้น ก่อนที่จะตามมาเหยียบที่ยอดอกเอาไว้อย่างเหี้ยมโหด

“ถ้าแกไม่บอก ฉันจะตัดหูของแกส่งไปให้นังเด็กยาหยีเดี๋ยวนี้แหละ และเมื่อมันมา ฉันก็จะให้คนของฉันรุมโทรมมันให้ขาดใจตาย เลือกเอานะยอดชาย ว่าจะตัดสินใจยังไง”

“ไม่นะครับ ผมไม่รู้เรื่อง อย่าทำผม อย่าทำลูกสาวผมเลย”

“แกนึกว่าฉันโง่หรือไง ฉันไปดูกล้องวงจรปิดที่ธนาคารมาแล้ว เมื่อวานแกไปที่นั่นมาแล้วหนึ่งครั้ง และแน่นอนว่าแกจะต้องเปลี่ยนเอาเพชรสีทองของจริงออกไป”

“ผม…”

คำพูดของอังเดรทำให้ยอดชายถึงกับพูดไม่ออกเลยทีเดียว ตอนแรกเขาไม่สนใจว่าอังเดรจะรู้หรือเปล่าเพราะเขากำลังจะหนีไปซ่อนตัวอยู่ในคฤหาสน์ซีร์ยานอฟของคอร์เนล แต่สุดท้ายก็ไปไม่ทัน ไม่คิดว่าอังเดรจะรู้ว่าเพชรเม็ดนั้นเป็นของปลอมเร็วขนาดนี้

“บอกมายอดชาย แล้วฉันจะไว้ชีวิตนายและลูกสาว”

“นายทำอะไรยาหยีไม่ได้หรอกครับ ตอนนี้ลูกสาวของผมเป็นคุณผู้หญิงของซีร์ยานอฟไปแล้ว และนายน้อยคอร์เนลไม่มีทางปล่อยให้ใครหน้าไหนมาทำร้ายเมียของตัวเองได้อย่างแน่นอน”

อังเดรยิ้มเย็น หรี่ตามองยอดชายด้วยสายตาเหี้ยมโหด

“นี่คือข้อแลกเปลี่ยนสำหรับการคืนเพชรสีทองให้กับไอ้คอร์เนลใช่ไหม”

“ผมไม่มีทางเลือก ผมรักยาหยี…ผมต้องทำ”

“คิดว่าฉันจะยอมแพ้ง่ายๆ หรือไงยอดชาย ฉันเชื่อว่าลูกสาวของแกก็ต้องรักแกมากเช่นกัน และฉันก็จะใช้ความรักนี่แหละล่อให้นังเด็กนั่นมาหาฉันพร้อมกับเพชรสีทองของจริง”

“ไม่นะ! อย่าทำอย่างนั้นนะครับนาย อย่าทำแบบนั้น”

ยอดชายร้องห้ามเสียงตื่นตกใจ เพราะมั่นใจว่าหากยาหยีรู้ว่าเขากำลังตกอยู่ในอันตราย หล่อนจะต้องมาช่วยแน่นอน แต่เขาไม่ต้องการ ไม่อยากให้มันเป็นอย่างนี้

“เฮ้ย! แกเป็นคนยืนถ่ายคลิปไว้นะ ส่วนพวกแกที่เหลือเข้าไปอัดมันให้เละ นังเด็กนั่นมันเห็นจะได้รีบวิ่งมาหาฉัน”

“อย่า…โอ๊ย!”

ยอดชายร้องอุทธรณ์ได้เพียงแค่นั้นก็ถูกทั้งมือทั้งเท้าที่นับจำนวนไม่ได้ระดมเข้าใส่ร่างของตัวเองด้วยความอำมหิต ใบหน้าโชกเลือด ขณะที่ตามลำตัวบอบช้ำอย่างหนัก เขาพยายามกัดฟันอดทนแต่สุดท้ายก็ไม่สามารถทนรับกับความป่าเถื่อนนั้นได้อีก จนในที่สุดก็สติสัมปชัญญะดับวูบไป แต่กระนั้นเสียงหัวเราะของอังเดรก็ยังดังก้องอยู่ในหูตลอดเวลา

 

เสียงเคาะประตูที่หน้าห้องเบาๆ ทำให้ร่างสองร่างที่กำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอยู่บนเตียงกว้างหยุดการเคลื่อนไหวลงชั่วขณะ คอร์เนลกัดฟันตะคอกถามออกไปด้วยความไม่พอใจ

“มีอะไร?”

“คุณอังเดรมาขอพบนายน้อยค่ะ”

เสียงของเชอรี่สั่นเทาจนยาหยีที่นอนนิ่งอยู่ในอ้อมแขนของคอร์เนลอดสงสารไม่ได้

“อย่าดุนักสิคะ เดี๋ยวเชอรี่หัวใจวายกันพอดี”

ยิ้มประจบประแจงกับผู้ชายที่กำลังหน้าบูดหน้าบึ้งกิริยาคล้ายคลึงกับเด็กชายที่ถูกขัดอกขัดใจ เขาปรายตาลงมองหน้าหล่อน

“ก็ใครใช้ให้หล่อนมาขัดจังหวะของเราล่ะ ไม่เอา ผมไม่ยอม…ยังไงก็จะต่อสิ่งที่ทำไว้ให้จบ”

พ่อคนตัวโตทำท่าจะก้มลงมาดูดดื่มปลายถันสีกุหลาบของหล่อนอีกครั้ง หญิงสาวจึงต้องใช้มือบางดันแผงอกเอาไว้เต็มแรง

“อาจจะมีเรื่องด่วนก็ได้นะคะ”

อยากจะบอกเรื่องวันนั้นให้กับคอร์เนลฟังเหลือเกิน แต่ก็กลัวว่าเขาจะไม่เชื่อ ดังนั้นหล่อนจึงทำได้แต่เก็บเงียบเอาไว้ในอก

“คนอย่างอาอังเดรไม่มีเรื่องด่วนอะไรหรอก นอกจากมาหาเรื่อง…”

“แต่เราก็ควรจะรู้ว่าเขามาเรื่องอะไร นะคะคอร์เนล เรามีเวลาทำกันทั้งคืนอยู่แล้ว”

ชายหนุ่มมองสาวน้อยใต้ร่างที่หน้าแดงระเรื่อด้วยความขัดใจ ก่อนจะผลุนผลันลุกขึ้นนั่งและตะโกนบอกเชอรี่ที่ยืนรอคำสั่งอยู่นอกห้องเสียงดัง

“ไปบอกอาอังเดรให้ไปรอฉันที่ห้องรับแขก อีกสิบนาทีจะลงไปพบ”

“ค่ะนายน้อย”

เสียงฝีเท้าของเชอรี่เงียบไปแล้ว ยาหยีจึงลุกขึ้นนั่งและโอบแขนรอบเรือนกายทรงพลังของสามีเอาไว้แน่น ฝังริมฝีปากลงตามต้นแขนกำยำอย่างสนิทเสน่หา

“อย่าทำหน้าแบบนี้สิคะ”

คอร์เนลถอนใจออกมา หรี่ตาแคบจ้องหน้าภรรยาด้วยสายตาอ่อนโยน

“ก็ผมอยากนอนกอดคุณนี่ ไม่อยากลุกไปแบบนี้เลย”

“อย่างอแงสิคะ”

“ไม่งอแงก็ได้ทูนหัว แต่ต้องสัญญานะว่าจะให้รางวัลผมทั้งคืน”

ยาหยีพยักหน้าน้อยๆ ด้วยความเอียงอาย คอร์เนลก้มลงจูบแก้มนวลแผ่วเบา ก่อนจะกัดฟันลุกขึ้นจากเตียงนอน เดินหายเข้าไปในห้องน้ำ และเพียงไม่นานร่างกายสมบูรณ์แบบดุจบุรุษชาตินักรบก็ก้าวออกมา เขาเดินตรงดิ่งไปที่ดูเสื้อผ้า ก้มๆ เงยๆ อยู่สองสามอึดใหญ่ก็เดินมาหยุดตรงหน้าของหล่อนในชุดหล่อบาดจิต

เสื้อเชิ้ตสีเขียวสีเดียวกับดวงตาของคอร์เนลเลย เขาอยู่ในชุดนี้แล้วดูหล่อเหลายิ่งกว่าเทพบุตรกรีกในเทพนิยายโรมันซะอีก

คอร์เนลฉวยโอกาสที่ยาหยีกำลังจ้องมองเขาด้วยความชื่นชมก้มลงมาหอมแก้มนวลแรงๆ แล้วดีดกายออกห่างอย่างรวดเร็ว

“เดี๋ยวผมขึ้นมานะทูนหัว”

เมื่อคนตัวโตหายออกไปจากห้องนอนแล้ว หญิงสาวก็ก้าวลงจากเตียงทันที หล่อนไม่คิดจะไว้ใจคนอย่างอังเดรแม้แต่นิดเดียว ผู้ชายคนนี้เป็นตัวอันตรายสำหรับคอร์เนล หล่อนยังจำคำพูดของอังเดรที่พูดใส่หน้าหล่อนเมื่อหลายวันก่อนได้เป็นอย่างดี

“ฉันไม่ทำอะไรพ่อของเธอหรอกน่า หากเธอร่วมมือกับฉันทำลายไอ้คอร์เนล…ทำลายมันให้สิ้นซาก!”

ความคิดนี้ทำให้หญิงสาวต้องรีบแต่งกายมือไม้เป็นระวิง จากนั้นก็รีบวิ่งตามคอร์เนลลงไปยังห้องรับแขกที่มีอังเดรนั่งรออยู่อย่างรวดเร็ว

ขวัญชีวาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องมาตามคำบิดา นั่นก็คือการแต่งชุดสวยๆ มาเป็นเพื่อนท่านในคืนนี้ หล่อนไม่รู้หรอกว่าพ่อจะพาไปที่ไหน จนได้เห็นบุคคลที่ท่านมาพบนั่นแหละ หญิงสาวถึงได้อ้าปากค้างแก้มแดงก่ำด้วยความตกใจ

‘วินซ์ เอเมอร์ตัน…’

“ยินดีที่ได้พบกันอีกครั้งครับคุณขวัญชีวา ซีร์ยานอฟ”

วินซ์ยื่นมือมาตรงหน้า แต่ขวัญชีวากลับเลือกยกมือไหว้ อังเดรเห็นแล้วก็กลัวชายหนุ่มจะโกรธจึงรีบแก้ตัวแทนบุตรสาวบุญธรรม

“พ่อแม่แท้ๆ ของขวัญชีวาเป็นคนไทยน่ะครับ เธอก็เลยยังติดวัฒนธรรมไทยอยู่”

วินซ์เลิกคิ้วเข้มของตัวเองขึ้นสูง กวาดตามองร่างอรชรที่วันนี้มาในชุดเรียบหรูปิดตั้งแต่ลำคอจนถึงหัวเข่าซึ่งแตกต่างจากชุดราตรียาวในคืนงานเลี้ยงวันนั้นนักอย่างชื่นชมไม่ปิดบัง

“แสดงว่าคุณอังเดรไม่ใช่พ่อแท้ๆ ของคุณขวัญชีวาสินะ”

อังเดรพยักหน้ารับ

“ใช่ครับ ผมรับขวัญมาเลี้ยงเมื่อสิบปีก่อน พ่อแม่ของเธอตายเพราะถูกลูกหลงจากการปะทะกันของซีร์ยานอฟกับเซอร์คอฟเมื่อสิบกว่าปีก่อน”

ขวัญชีวาสังเกตเห็นริ้วรอยความคั่งแค้นเต็มใบหน้าของวินซ์ชัดเจน แต่มันก็จางหายไปเมื่อรอยยิ้มเลือดเย็นผุดขึ้นมาที่มุมปากหยักสวยแสนเซ็กซี่คู่นั้น

“อย่างนั้นหรือ? แล้วเพชรล่ะ ได้หรือเปล่า”

“นี่ครับเพชรสีทอง เพชรประจำตระกูลของซีร์ยานอฟ”

หญิงสาวเห็นบิดาบุญธรรมของตัวเองหยิบกล่องกำมะหยี่สองทองอร่ามออกมาวางตรงหน้า ก่อนจะเปิดมันออก แสงเพชรระยิบระยับสะท้อนออกมาจนหล่อนแสบตาเลยทีเดียว เพชรสีทองขนาดใหญ่มาก และสวยมากด้วย

วินซ์รับเพชรสีทองน้ำงามขึ้นไปมอง แล้วก็ระบายยิ้มบางๆ ออกมา

“วิธีพิสูจน์เบื้องต้นว่าเพชรนั้นเป็นเพชรแท้หรือเปล่ามีอยู่หลายวิธี แต่วิธีที่ง่ายที่สุดโดยที่เราไม่ต้องตระเตรียมของใดๆ เลยก็คือการนำเพชรไปขูดกับกระจก ถ้าเป็นรอยก็แสดงว่าเป็นของจริง แต่ถ้าไม่มีรอยใดๆ เกิดขึ้นก็แสดงว่ามันเป็นเพชรปลอม”

วินซ์หรี่ตามองผู้ชายตรงหน้าเขม็ง

“คุณอังเดรยินดีให้ผมพิสูจน์หรือเปล่าล่ะครับ”

“ตามสบายครับ เพราะผมมั่นใจว่ามันคือเพชรสีทองแห่งซีร์ยานอฟร้อยเปอร์เซ็นต์”

วินซ์ระบายยิ้ม เดินนำอังเดรไปที่กระจกเงาบานใหญ่ที่ตั้งอยู่ภายในห้อง

“ผมให้คุณเป็นคนทดสอบก็แล้วกัน”

ชายหนุ่มส่งเพชรสีทองคืนให้อังเดร

“ครับ”

อังเดรรับเพชรสีทองเม็ดใหญ่มาถือเอาไว้ พร้อมกับกดมันลงกับกระจกตรงหน้า แล้วลากเป็นเส้นยาวประมาณสองเซ็นต์ แต่แล้วก็ต้องตกใจจนหน้าซีดเผือดเมื่อบนกระจกไม่มีร่องรอยขีดข่วนเลยแม้แต่นิดเดียว

เจ้าของเพนต์เฮาส์รูปหล่อแสยะยิ้ม ก่อนจะพูดขึ้น

“จะลองอีกครั้งก็ได้นะ ผมรอได้”

และแน่นอนว่าอังเดรจัดการกดเพชรสีทองลงกับกระจกอีกครั้งและอีกครั้ง จนนับครั้งไม่ถ้วน แต่ผลก็ออกมาเหมือนเดิม นั่นก็คือกระจกตรงหน้ายังใสกิ๊กดังเดิม

“เป็นไปไม่ได้…ไม่มีทางที่จะเป็นของปลอมไปได้”

อังเดรพึมพำออกมาด้วยความตกใจสุดขีด ไม่มีทางเป็นไปได้หรอกที่เพชรสีทองเม็ดนี้จะเป็นของปลอม ในเมื่อเขาเห็นยอดชายหยิบมันออกมาจากตู้เซฟกับตาตัวเอง

“แต่คุณก็เห็นไม่ใช่หรือคุณอังเดร ว่ามันเป็นของปลอม เลิกแหกตาผมดีกว่า” วินซ์จ้องหน้าคู่สนทนาด้วยสายตาเลือดเย็น ขวัญชีวาเป็นห่วงบิดาจึงโต้ตอบเขาออกไป

“คุณอย่ามาว่าพ่อฉันนะ”

วินซ์หันขวับมาจ้องหน้าแม่สาวปากเก่งที่นั่งเงียบมาตลอดระยะสิบกว่านาทีเขม็ง

“หุบปากซะคนสวย ถ้ายังอยากนั่งสบายๆ อยู่ในห้องนี้”

“แต่ว่าคุณ…”

“ขวัญเงียบเถอะ พ่อจัดการเอง”

อังเดรหันไปสั่งบุตรสาวเสียงเฉียบขาด ก่อนจะหันมาก้มหน้ารับผิดกับวินซ์ เอเมอร์ตัน

“ผมต้องขอโทษคุณวินซ์ด้วยครับที่เรื่องมันเป็นแบบนี้ แต่ผมรับรองว่าจะไปนำเพชรสีทองของจริงมามอบให้กับคุณวินซ์ให้ได้ครับ”

“กี่วันล่ะ หนึ่งเดือน หรือหนึ่งปี”

คนตัวโตตาสีน้ำเงินพูดเสียงเหยียดหยาม แต่ขวัญชีวาก็อดแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมพ่อบุญธรรมของหล่อนถึงต้องมีท่าทางเกรงอกเกรงใจผู้ชายคนนี้ด้วย ทั้งๆ ที่ท่านไม่เคยกลัวใครเลยแม้แต่คนเดียว นี่มันเรื่องอะไรกันนะ?

“สามวันครับ เพราะผมพอจะรู้แล้วว่าใครมันทรยศ”

“นานเกินไป ผมรอไม่ได้ และไม่คิดจะรออีกต่อไปด้วย ผมต้องการหลักประกันอื่นที่มันสมน้ำสมเนื้อกับเงินห้าสิบล้านเหรียญที่ผมจ่ายล่วงหน้าให้คุณไป”

‘นึกแล้วเชียวว่าอีตาเทพบุตรตาสวยตรงหน้าต้องหว่านพืชแล้วหวังผลแน่ๆ แต่ว่าเขาอยากได้อะไรแลกเปลี่ยนกันนะ’

“คุณวินซ์ต้องการอะไรเป็นหลักค้ำประกันครับ”

เจ้าของชื่อระบายยิ้มร้ายกาจ ขณะปรายตาไปมองที่ร่างของขวัญชีวา

“ลูกสาวบุญธรรมของคุณ ผมต้องการเธอเป็นหลักค้ำประกันระหว่างที่รอเพชรสีทองของจริง”

ขวัญชีวารู้สึกว่าร่างกายของตัวเองถูกแผดเผาด้วยไฟร้อนจนมอดไหม้เป็นผงธุลีเมื่อถูกสายตาสีน้ำเงินเข้มมองมาอย่างสำรวจตรวจตรา ลำคอสาวแห้งผาก หูอื้อไปในทันทีที่ได้ยินคำพูดอาจหาญของเขาจบประโยค

“ต้องการยายขวัญหรือครับ”

ฟังจากน้ำเสียงของบิดา ท่านก็คงรู้สึกตกใจไม่น้อยเช่นกัน

“ใช่ ผมต้องการขวัญชีวาเป็นหลักค้ำประกัน เงินมันเยอะนะคุณอังเดร ตั้งห้าสิบล้านเหรียญแน่ะ หรือว่าคุณมีมาใช้ผมกันล่ะ”

‘หล่อนเกลียดน้ำเสียงและก็แววตาของผู้ชายคนนี้นัก ทำไมเขาถึงทำราวกับว่าเงินซื้อได้ทุกอย่างแม้แต่ความเป็นคนของหล่อน ไม่มีทางหรอก หล่อนไม่มีวันยอม’

“คนสารเลว!”

ขวัญชีวาคว้าแก้วน้ำของตัวเองสาดใส่หน้าของผู้ชายเจ้าของเพนต์เฮาส์หรู

“ยายขวัญ นี่แกทำบ้าอะไรฮึ!”

อังเดรตวัดมือกำลังจะฟาดลงบนใบหน้าของลูกสาวด้วยความโมโห แต่ก็ถูกวินซ์ห้ามเอาไว้เสียก่อน หล่อนเห็นเขายกมือหนาสีแทนขึ้นปาดน้ำออกจากหน้า ก่อนจะจ้องมองหล่อนด้วยสายตาโอหังจนน่าหมั่นไส้

“ให้ผมเป็นคนตัดสินโทษของเธอเองดีกว่าครับ”

“คุณไม่มีสิทธิ์มาตัดสินโทษของฉันตามอำเภอใจแบบนี้ ในเมื่อคนที่ผิดมันคือคุณ!”

“ขวัญชีวา!”

อังเดรหันไปตวาดลูกสาวเสียงกร้าว

“นั่งเฉยๆ เรื่องนี้พ่อจะเป็นคนตัดสินใจเอง”

วินซ์ระบายยิ้มหยัน ไหล่กว้างทรงพลังไหวน้อยๆ

“แล้วคุณจะตัดสินใจยังไงล่ะครับ จะเอาเงินทั้งห้าสิบล้านเหรียญมาคืน หรือว่า…”

ชายหนุ่มปรายตามองขวัญชีวาด้วยแววตาของผู้ชนะ หญิงสาวได้แต่นั่งนิ่งทำอะไรไม่ได้นอกจากกัดปากแรงๆ เสียจนเจ็บระบม

“จะยอมให้ลูกสาวอยู่กับผม”

“ผม…”

อังเดรหันไปมองหน้าขวัญชีวาที่ตอนนี้กำลังส่ายหน้าน้อยๆ ด้วยความสับสน แต่เขาไม่มีทางเลือกนี่ และอีกอย่างขวัญชีวาก็สมควรตอบแทนบุญคุณข้าวแดงแกงร้อนของเขาได้แล้ว

“ตกลงครับ”

“พ่อคะ ขวัญไม่ยอม…”

หญิงสาวอ้อนวอนบิดาแต่ท่านกลับไม่แสดงท่าทางเห็นอกเห็นใจเลยสักนิด แถมยังพูดทวงบุญคุณอีกต่างหาก

“ถ้าคิดว่าพ่อมีบุญคุณ ขวัญก็ทำตามที่พ่อต้องการ…อยู่กับคุณวินซ์ แค่สามวัน แล้วพ่อจะรีบมารับลูกกลับไปที่บ้านของเรา”

“แต่ขวัญเกลียดผู้ชายคนนี้…ขวัญเกลียดเขา!”

วินซ์หัวเราะอย่างอารมณ์ดี

“เดี๋ยวคุณก็จะเลิกเกลียดผมเองนั่นแหละ แต่ขอเตือนเอาไว้ก่อนนะว่าผมไม่ใช่ผู้ชายที่ผู้หญิงจะจับต้องได้ง่ายๆ และอย่าฝันถึงความสัมพันธ์อันยืดยาวเพราะมันไม่เคยอยู่ในหัวของผมแม้แต่น้อย”

“คนเลว…”

“ขอบคุณที่ชื่นชมผมครับ แล้วหวังว่าจะได้ยินคำพวกนี้อีกตอนที่เราสนุกกันนะคนสวย”

ขวัญชีวาอยากจะฟาดปากของผู้ชายคนนี้ให้เลือดกบปากนัก แต่ก็ติดที่บิดามองมาตาเขียวปั้ด จึงจำต้องก้มหน้าข่มความขุ่นเคืองเอาไว้ในอก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าในโลกนี้จะมีผู้ชายเลวร้ายแสนทุเรศแบบนายวินซ์ เอเมอร์ตันคนนี้อยู่อีก นึกว่าสูญพันธุ์ตามไดโนเสาร์ไปแล้วซะอีก

‘คนบ้า!’

“หากเกินสามวันแล้วผมยังไม่ได้เพชรสีทองละก็ ผมจะยึดหลักค้ำประกันเป็นของตัวเองจนกว่าผมจะเบื่อ”

“ผมรับรองครับว่าจะทำอย่างสุดความสามารถ”

อังเดรรับคำ แต่ไม่ใช่เพราะห่วงขวัญชีวามากมายหรอกนะ แต่เขาต้องการเงินห้าสิบบาทเหรียญที่เหลือต่างหากล่ะ

“ทำให้ได้อย่างที่พูดก็แล้วกัน คุณไปเถอะ ผมอยากทำความรู้จักกับของเล่นชิ้นใหม่ตามลำพังสักหน่อย”

ขวัญชีวาหน้าร้อนแทบไหม้กับคำพูดตรงไปตรงมาของผู้ชายตาสวยตรงหน้า ทำไมเขาถึงได้ดูป่าเถื่อนราวกับหลุดออกมาจากยุคโบราณนักนะ

“ครับคุณวินซ์ ขวัญ…พ่อไปก่อนนะ แล้วอย่าขัดใจคุณวินซ์ล่ะ ถือว่าพ่อขอร้อง”

เอ่ยจบพ่อของหล่อนก็เดินหายออกไปจากประตูห้องรับแขกที่ใหญ่ราวกับพระราชวังของกษัตริย์ ทิ้งให้หล่อนต้องเผชิญหน้ากับพ่อเสือหิวตามลำพัง หญิงสาวกำมือแน่น จ้องคนที่กำลังกวาดตามองขึ้นๆ ลงๆ ร่างกายของตัวเองด้วยความไม่พอใจ

“มีใครเคยบอกไหมคะว่าคุณน่ะไร้มารยาทแค่ไหน”

วินซ์ละสายตาจากหน้าอกอวบใหญ่ที่เจ้าตัวพยายามจะปกปิดมันไว้ภายในเสื้อตัวใหญ่ แต่เขาก็ยังจดจำความอวบอิ่มที่มันล้นทะลักออกมาจากชุดราตรีในคืนงานเลี้ยงนั้นได้เป็นอย่างดี ทั้งจดจำและโหยหาอย่างรุนแรงทีเดียวแหละ

“อาจจะมีคนคิด แต่คงไม่กล้าพูดหรอก”

“คนหลงตัวเอง…คุณจะให้ฉันทำอะไรก็ว่ามาได้เลย”

ขวัญชีวาจ้องมองร่างกายกำยำของวินซ์นิ่ง เขาดูตัวใหญ่กว่าวันนั้นที่สระว่ายน้ำเสียอีก ห้องดูแคบไปเลยให้ตายสิ แล้วยิ่งเขาขยับเข้ามาใกล้แบบนี้ หล่อนก็ยิ่งดูตัวจ้อยลงไปอย่างน่าตกใจ

“ความจริงอยากจะให้คุณแก้ผ้าแล้วขึ้นไปอ้าขารอผมบนเตียง…”

“คนหยาบคาย! คนทุเรศ!”

คนถูกด่ายักไหล่อย่างไม่แยแสต่อคำชื่นชมนั้น

“ตอนที่ผมเห็นคุณครั้งแรกที่สระน้ำ ยังคิดว่าคุณด่าไม่เป็นด้วยซ้ำ แต่เอาเข้าจริงๆ ด่าได้น่าฟังชะมัด อย่างนี้ผมคงต้องทำให้คุณด่าบ่อยๆ ซะแล้ว”

“คนโรคจิต ไอ้คน…”

หมดปัญญาที่จะหาคำด่าที่เหมาะสมมาใช้กับผู้ชายตรงหน้า เพราะดูเขาจะหน้าด้านหน้าทนยิ่งกว่าถนนคอนกรีตเสียอีก ด่าไปก็รังแต่จะเหนื่อยเปล่า

“ฉันเกลียดขี้หน้าคุณนัก!”

“เพื่อนผมเคยบอกให้ฟังว่าผู้หญิงไทยเอาใจเก่ง แถมยังอ่อนหวานกว่าสาวๆ ทุกชาติในโลก แต่ผมคิดว่าเพื่อนผมมันคงลืมบอกคุณสมบัติอีกอย่างหนึ่งของสาวไทยให้ผมฟังแน่ๆ เลย” วินซ์ยิ้มกว้าง กว้างเสียจนคนมองอย่างขวัญชีวาอดหมั่นไส้ไม่ได้

“ด่าเก่ง…”

“คุณเป็นคนแรกที่ฉันด่าต่างหาก เพราะคุณมันเลวสุดทนจริงๆ ผู้ชายบ้าอะไรคิดแต่จะใช้เงินซื้อผู้หญิงมาบำเรอบนเตียง รู้ไว้ซะด้วยนะว่าเงินซื้อทุกอย่างบนโลกไม่ได้หรอกนะ”

“แต่ผมก็สามารถใช้มันซื้อคุณมานอนดิ้นบนเตียงได้ไม่ใช่หรือ”

“คุณมันปีศาจจากขุมนรก เลวที่สุด!”

ขวัญชีวาผุดลุกขึ้นเผชิญหน้ากับคนตัวโตอย่างไม่เกรงกลัว แม้ว่าศีรษะของหล่อนจะต่ำอยู่แค่หัวไหล่ของเขาเท่านั้นเอง

“ถ้าผมเป็นปีศาจในนรก งั้นตอนนี้คุณก็คงตกนรกสินะถึงได้มาเจอกับผม ไม่เอาน่าคนสวย ทำใจดีๆ ใจร่มๆ เอาไว้ ผมยังไม่คิดจะเชยชมคุณในคืนนี้หรอกน่า”

ยิ่งพูดก็ยิ่งถูกต้อนจนจนมุม ขวัญชีวาทำได้แค่ยืนมองหน้าวินซ์ เอเมอร์ตันเขม็ง แต่พอได้เห็นรอยยิ้มจากริมฝีปากสุดเซ็กซี่เท่านั้นแหละ หัวใจสาวก็เอียงกระเท่เร่กลับหัวคว่ำดิ่งลงดินซะอย่างนั้น ทำไมเขาถึงหล่อได้ขนาดนี้นะ แม้แต่ยิ้มหยันๆ เหยียดๆ ก็ทำให้ผู้ชายคนนี้หล่อบาดจิตเหลือเกิน แล้วนี่หล่อนจะรับมือกับผู้ชายอันตรายคนนี้ได้สักกี่น้ำกันล่ะ?

“นี่คุณจะพาฉันไปไหน”

ร้องถามขึ้นเมื่อถูกวินซ์กุมข้อมือเล็กของตัวเองเอาไว้แล้วลากให้เดินตาม แม้จะดิ้นรนแต่ก็สู้แรงช้างม้าวัวกระทิงของเขาไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว

“ไปพักผ่อนยังไงล่ะ ไปอยู่ให้ไกลหูไกลตาผม แล้วคืนนี้คุณจะรอดจากการครอบครองของผม”

ว่าแล้วเขาก็ดันร่างอรชรของหล่อนให้เข้าไปในห้องกว้างขวางห้องหนึ่งที่ตกแต่งด้วยโทนสีเข้มลึกลับ วินซ์ก้าวตามเข้ามาหยุดแค่ปากประตูห้อง

“พักที่นี่แหละ ผมจะต่อลมหายใจให้คุณสามคืน ถ้าพ่อของคุณผิดคำพูดกับผมเมื่อไร ผมจะมาขยี้คุณบนเตียงนั่นแหละ”

หญิงสาวมองตามนิ้วเรียวยาวสีแทนของวินซ์ไปก็พบกับเตียงนอนขนาดหกฟุตอยู่กลางห้อง แก้มสาวแดงระเรื่อโดยอัตโนมัติ

วินซ์ระบายยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ ชอบนักที่ขวัญชีวาแสดงทุกความรู้สึกออกมาทางสีหน้าและแววตาแบบนี้

“ฝันดีล่ะ แล้วอย่าลืมฝันถึงผมบ้างนะ”

“ถ้าฝันถึงคุณก็แสดงว่าฉันฝันร้ายน่ะสิ ฉันไม่มีวันฝันถึงคุณหรอก” หญิงสาวรีบเดินตามไปล็อกประตูทันทีเมื่อร่างสูงใหญ่ของวินซ์ เอเมอร์ตันก้าวพ้นออกไป หัวใจเต้นระรัวขณะหันหลังพิงกับบานประตูไม้เอาไว้

ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันเป็นเรื่องจริง ก็ไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้หล่อนยังเข้าครัวทำอาหารค่ำให้กับบิดาอยู่เลย แล้วทำไมตอนนี้หล่อนถึงได้มาถูกกักขังอยู่ในอาณาจักรของผู้ชายที่ทุกท่วงท่าอัดแน่นไปด้วยความอันตรายอย่าง วินซ์ เอเมอร์ตัน นะ นี่หล่อนฝันไปหรือเปล่า?

“ไหนว่าจะกลับค่ำๆ ไงคะ”

โผเข้าไปกอดร่างกำยำที่อ้าแขนรับด้วยความดีใจ คอร์เนลระบายยิ้มกว้าง ก้มลงจูบปากอิ่มเต็มของยาหยีด้วยความรู้สึกโหยหาเทียมกัน มันจะให้ความรู้สึกยังไงนะ หากในทุกๆ วันที่เขากลับจากที่ทำงานจะมียาหยีมาคอยเงยหน้ารับจูบแบบนี้

ชายหนุ่มถอนใจออกมาขณะรั้งร่างอรชรให้เดินตามตัวเองไปยังห้องส่วนตัวห้องหนึ่งที่อยู่ถัดไปทางทิศตะวันออก หล่อนกับคอร์เนลเดินผ่านคอร์ตสวยที่มีทั้งสวนและน้ำพุแสนสวย ก่อนจะเดินผ่านประตูกระจกเข้าไปในห้องโอ่อ่าห้องหนึ่ง และทันทีประตูถูกเปิดออก หล่อนก็ได้เห็นผู้ชายวัยกลางคนคนหนึ่งนั่งอยู่ภายในห้องนั้น โดยข้างๆ กายมีผู้ชายวัยใกล้เคียงกันที่หล่อนจำได้ว่าเคยเห็นมาที่นี่บ่อยๆ อยู่ด้วย ตรงหน้ามีเอกสารหลายแผ่นวางอยู่

คอร์เนลดุนหลังของหล่อนให้เดินเข้าไปด้านใน หล่อนเห็นเขาจับมือกับผู้ชายในชุดภูมิฐานคนนั้น จากนั้นก็ดึงหล่อนนั่งลงข้างๆ และเริ่มแนะนำ

“คนนั้นคือคุณอัลเบิร์ต สไตเบิร์ก เจ้าหน้าที่ระดับสูง และนั่นคุณเจสัน มอร์แกน ทนายความประจำตระกูลของผม” แม้เขาจะแนะนำเสร็จสรรพแล้ว แต่หล่อนก็ยังงงเต๊กอยู่ดี

“เอ่อ…แล้ว…”

“เราจะจดทะเบียนสมรสกัน”

ความรู้สึกแรกที่ได้ยินก็คือความดีใจ ก่อนจะตามมาด้วยความแปลกใจ และสุดท้ายก็คือความเหลือเชื่อ เหลือเชื่อแบบสุดขีดทีเดียว! คนอย่างคอร์เนลนี่นะจะมาจดทะเบียนสมรสกับผู้หญิงอย่างหล่อน มันเป็นไปไม่ได้

“เซ็นชื่อตรงนี้ซะ”

หล่อนเห็นเขาเซ็นชื่อและนามสกุลของตัวเองลงในกระดาษแผ่นนั้น แล้วก็เลื่อนมาให้หล่อนตรงหน้า

“คือว่าฉัน…”

หล่อนงง สับสัน แล้วก็กำลังจะเป็นลมด้วย ให้ตายเถอะ นี่มันเกิดอะไรขึ้นนะ ทำไมจู่ๆ คอร์เนลก็คิดอยากจะจดทะเบียนสมรสกับหล่อนขึ้นมา ทั้งๆ ที่ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันเขาแสดงท่าทางว่ารังเกียจการแต่งงานที่สุดไม่ใช่เหรอ แล้วนี่…

“เซ็นซะสิยาหยี คุณอัลเบิร์ต มีงานด่วนที่ต้องไปทำอีกหลายอย่าง”

การเร่งเร้าของเขาทำให้คนที่กำลังสับสนอยู่อย่างหล่อนไม่มีทางเลือก และในที่สุดหล่อนก็จรดปากกาเซ็นชื่อและนามสกุลของตัวเองลงไปในกระดาษแผ่นนั้น

“ดีมาก…” คอร์เนลเอ่ยชมหล่อน ก่อนจะหันไปเอ่ยอำลา และเดินออกไปส่งชายทั้งสองคนที่หน้าประตูห้อง

“มันเกิดอะไรขึ้นคะ ฉันงงไปหมดแล้ว”

หญิงสาวเอ่ยถามขึ้นเมื่อคอร์เนลเดินกลับเข้ามาในห้อง แต่เขาไม่ยอมตอบ กลับหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาคุยเสียนี่ และเพียงไม่นานอีวานก็เดินเข้ามาภายในห้อง

“เอานี่ไปให้เซอร์เก อย่าให้พลาดล่ะ”

คอร์เนลส่งซองใส่ทะเบียนสมรสระหว่างตนกับยาหยีให้กับลูกน้องตรงหน้า

“ครับนายน้อย”

อีวานก้มหน้ารับคำสั่ง ก่อนจะรีบเดินหายออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว และคราวนี้ก็ถึงทีที่หล่อนจะต้องเค้นเอาความจริงจากปากของพ่อสุดหล่อคนนี้เสียแล้วล่ะ

“คอร์เนลคะ บอกมานะว่าคุณทำแบบนี้ทำไม”

เจ้าของชื่อหมุนตัวกลับมาหา พร้อมกับระบายยิ้มบางๆ

“ไม่ดีใจหรือไง ได้เป็นเมียของผมอย่างถูกต้องตามกฎหมายน่ะ”

ได้ยินเช่นนั้นยาหยีก็ส่ายหน้าปฏิเสธทันที

“ไม่ดีใจหรอกค่ะ เพราะฉันคิดว่าคุณมีอะไรซ่อนอยู่”

คอร์เนลอมยิ้ม เดินเข้ามารั้งร่างอรชรเข้าไปกอดแน่น

“แปลกแฮะ ถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่นป่านนี้รีบแก้ผ้าขอบคุณผมไปแล้วล่ะ ไม่ใช่มายืนทำหน้าขุ่นข้องหมองใจแบบคุณ”

“ก็มันน่าแปลกใจนี่คะ”

ยาหยีพยายามดิ้นรนเมื่อพ่อคนตัวโตเริ่มต้นลูบไล้ร่างกายของตัวเองด้วยความหิวกระหายอีกครั้ง แถมยังดันร่างของหล่อนให้ล้มลงนอนบนโซฟาริมหน้าต่างอีกแน่ะ

“จะทำอะไรคะ อย่าค่ะ”

“ก็คุณไม่ยอมแก้ผ้าขอบคุณผม ผมก็เลยต้องเป็นฝ่ายจับคุณแก้ผ้าเสียเองยังไงล่ะ”

“คนบ้า ลามกจริงๆ เลย” พ้อเสียงอ่อนอกอ่อนใจ แต่ก็ยังอุตส่าห์เผยอปากจูบตอบเมื่อคนตัวโตฉกวูบลงมาหา

คอร์เนลครวญครางออกมาอย่างถูกอกถูกใจกับการตอบสนองแบบไร้ขีดจำกัดของภรรยา ขณะตั้งหน้าตั้งตาดำเนินกิจกรรมรักยามบ่ายต่อไปอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดพักง่ายๆ เขาจะต้องตักตวงความหวานฉ่ำของเจ้าหล่อนให้คุ้มกับค่าน้ำหมึกที่เขาอุตส่าห์เซ็นมันลงไปในกระดาษแผ่นนั้น

‘ยาหยีจะต้องตอบแทนเขาด้วยจิตวิญญาณ และทุกสิ่งทุกอย่างที่หล่อนมี’

หนุ่มหล่อระบายยิ้มพึงพอใจออกมาขณะขับเคลื่อนแรงรักแรงเสน่หาเข้าใส่ร่างสาวที่นอนดิ้นพราดอยู่บนโซฟาอย่างต่อเนื่อง ทุกจังหวะรักเต็มเปี่ยมไปด้วยความหนักหน่วงดุดันจนสาวน้อยต้องร้องครางออกมาปานจะขาดใจ

“ถึงเวลาแล้วนะยอดชาย ที่แกต้องพาฉันไปเอาเพชรสีทองที่แกซ่อนเอาไว้” อังเดรหันมาพูดกับยอดชายด้วยเสียงทรงอำนาจทันทีที่ตนวางสายจากวินซ์ เอเมอร์ตัน มหาเศรษฐีผู้ร่ำรวยอันดับต้นๆ ของโลก ก็สูสีกับคอร์เนลหลานชายของเขานั่นแหละ

“ครับนาย” ยอดชายเก็บซ่อนความประหม่าเอาไว้ภายใต้ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความภักดี

“งั้นก็ไปสิ”

อังเดรก้าวพายอดชายเดินตรงไปที่รถลีมูซีนที่มีเพียงแค่คันเดียวในคฤหาสน์หลังนี้ ตรงข้ามกับที่คฤหาสน์ของคอร์เนลที่มีเป็นสิบๆ คัน ทั้งๆ ที่เขาก็เป็นซีร์ยานอฟคนหนึ่ง แต่ทำไมชีวิตของเขาถึงได้ตกต่ำสวนทางกับหลานชายนักนะ

ส่งยากี่ครั้งก็ถูกตำรวจบุกเข้าจับ เปิดซ่องกี่ที่ก็ถูกสั่งปิด เรียกเก็บค่าคุ้มครองก็ถูกมาเฟียกลุ่มอื่นมาแย่งพื้นที่หากิน ทุกอย่างมันเลวร้ายลงไปหมดจนเขาแทบจะเหลือแต่ตัวอยู่แล้ว ดีที่ได้วินซ์ เอเมอร์ตันให้ความช่วยเหลือ วินซ์มอบเงินให้กับเขาถึงร้อยล้านเหรียญเพื่อแลกกับเพชรสีทองของคอร์เนล และนี่ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เขาต้องให้ยอดชายเข้าไปขโมยเพชรนั้นมา

“เก็บไว้ที่ไหน”

“ธนาคารในย่านกลางเมืองครับ เดี๋ยวนายให้รถจอดตรงขวามือนะครับ แล้วเราเข้าไปเอาเพชรสีทองด้วยกัน”

รถถูกเลี้ยวจอดที่หน้าธนาคารเล็กๆ แห่งหนึ่ง ยอดชายก้าวลงไป อังเดรรีบก้าวตาม

“ผมมาเปิดเซฟครับ นี่บัตร…”

“เชิญด้านในค่ะ” เจ้าหน้าที่ธนาคารเดินนำพวกเขาเข้าไปยังห้องแห่งหนึ่งที่ระบบการรักษาความปลอดภัยถือว่ายอดเยี่ยมทีเดียว

“นายครับ ทางนี้ครับ”

ยอดชายเดินนำเจ้านายของตัวเองไปที่ตู้เซฟ ใส่รหัสอยู่สามครั้ง เพียงไม่นานประตูเหล็กอย่างดีก็ดีดออกมา ยอดชายดึงประตูตู้เซฟให้เปิดกว้างขึ้น จากนั้นก็หยิบกล่องกำมะหยี่สีทองอร่ามขนาดใหญ่ส่งให้กับอังเดร

“เพชรสีทองอยู่ในนี้ครับ”

อังเดรเปิดฝากล่องกำมะหยี่ออกแล้วก็ระบายยิ้มออกมา เมื่อแสงเพชรวูบวาบระยิบระยับสะท้อนเข้ากับดวงตาของตัวเอง

“ความจริงฉันก็เสียดายมันนะ แต่ถ้าเทียบกับเงินร้อยล้านเหรียญ ฉันเลือกเงินดีกว่า” อังเดรพึมพำ ปิดฝากล่องกำมะหยี่ และหันมาพูดกับยอดชายอย่างอารมณ์ดี ตรงข้ามกับยอดชายนักที่รู้สึกหวั่นเกรงจนหน้าซีดแล้วซีดอีก

“กลับกันเถอะ คืนนี้ฉันจะต้องรีบนำเพชรไปให้คุณวินซ์”

ยอดชายเดินตามเจ้านายของตัวเองออกไปเงียบๆ สมองกำลังทำงานอย่างหนักทีเดียวเมื่อพยายามจะคิดหาหนทางหนีให้กับตัวเองในค่ำคืนนี้

ผมให้คนสะกดรอยตามมันอยู่หลายวัน แต่วันนี้ได้โอกาสเหมาะมันออกมาคนเดียวครับ ผมก็เลยลากคอมันมาให้นายน้อย”

เซอร์เกรีบรายงานเมื่อคอร์เนลก้าวลงมาจากรถ ทั้งคู่รีบเดินเข้าไปในอพาร์ตเมนต์ที่มีร่างของยอดชายถูกพันธนาการอยู่อย่างรวดเร็ว

“อาอังเดรทราบเรื่องนี้หรือเปล่า”

“ไม่ครับ ถือว่าโชคเข้าข้างเรา คุณอังเดรบินไปนิวยอร์กตามคำเชิญของวินซ์ เอเมอร์ตันครับ”

เซอร์เกรายงานตามข้อมูลที่ได้มา หากแต่ถ้อยคำที่ได้ยินนั้นพาให้สองเท้าแกร่งหยุดชะงัก ใบหน้าหล่อราวเทพบุตรหันกลับมามองเซอร์เกด้วยสายตาข้องใจ

“วินซ์ เอเมอร์ตัน…เจ้าของโรงแรมในเครือเอเมอร์ตันใช่ไหม”

“ครับ แล้วก็ยังเป็นพี่ชายของแซนด์ เอเมอร์ตัน เอฟบีไอฝีมือดีที่ถูกลูกหลงระหว่างเข้าปรามการปะทะกันของคุณวีแลนกับคู่อริเมื่อห้าปีก่อนด้วยครับ และข่าววงในจากนักสืบของเราก็บอกมาอีกว่านายวินซ์ เอเมอร์ตันคนนี้เป็นผู้ต้องสงสัยในเรื่องเพชรสีทองของนายน้อยที่หายไปด้วยครับ”

“นายกำลังจะบอกว่าที่อาอังเดรขโมยเพชรของฉันไป ก็เพราะว่าต้องการนำมันไปให้กับผู้ชายคนนี้อย่างนั้นหรือ”

คิ้วเข้มยาวดกหนาของคอร์เนลเลิกสูงขึ้น ก่อนที่ชายหนุ่มจะแค่นยิ้มออกมาและพูดต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบไม่มีร่องรอยความวิตกกังวลเลยแม้แต่นิดเดียว

“ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ทุกอย่างที่วินซ์ เอเมอร์ตันทำลงไปก็คงต้องการให้ฉันกับอาอังเดรฆ่ากันเองสินะ”

“ผมคิดว่าเขากำลังเดินเกมแก้แค้นให้กับน้องชายอยู่ครับ”

น้ำเสียงของเซอร์เกเต็มไปด้วยความกังวลใจ แต่คอร์เนลไม่มีความกังวลเลยแม้แต่นิดเดียว เขาจะต้องกังวลทำไมล่ะ ในเมื่อเขาเตรียมแผนการยอดเยี่ยมเอาไว้ต่อกรเรียบร้อยแล้วนี่

“อย่ากังวลไปเลยเซอร์เก ฉันไม่ยอมให้เพชรสีทองประจำตระกูลของตัวเองต้องตกไปอยู่ในมือของคนอื่นนานหรอก”

“นายน้อยจะทำยังไงครับ”

เซอร์เกเอ่ยถามเมื่อทั้งคู่เดินมาหยุดที่หน้าประตูห้องที่คุมขังยอดชายเอาไว้ การ์ดล่ำบึกสองคนก้มศีรษะทำความเคารพพร้อมกับรีบเปิดประตูให้ คอร์เนลก้าวนำเซอร์เกข้ามธรณีประตูเข้าไป

“เอาเพชรปลอมที่ฉันสั่งให้ทำมาด้วยหรือเปล่าล่ะ”

“เอามาครับนายน้อย”

“นั่นแหละคือสิ่งที่ฉันจะใช้โต้ตอบอาอังเดรกับวินซ์ เอเมอร์ตัน”

คำพูดที่เต็มไปด้วยความชาญฉลาดของเจ้านายหนุ่มสามารถเรียกรอยยิ้มจากคนสนิทต่างวัยออกมาได้อย่างน่าทึ่ง เซอร์เกถอนใจออกมาด้วยความโล่งอกขณะเดินตามร่างของคอร์เนลไปหยุดตรงหน้าของยอดชาย

“ยินดีที่ได้พบกันอีกครั้งนะยอดชาย”

“นายน้อย…ผม…”

ใบหน้าของยอดชายซีดเผือดไม่ต่างจากกระดาษ เนื้อตัวสั่นระริกด้วยความหวาดกลัว

“ผมไม่ได้ตั้งใจ ผม…”

“เลิกโกหกและพูดความจริงซะนายยอดชาย ทุกอย่างยังแก้ไขได้ แค่บอกมาเท่านั้นว่าตอนนี้เพชรสีทองของนายน้อยอยู่ที่ไหน”

เซอร์เกขู่เสียงเย็น แต่ก็ไม่ได้ผลเพราะยอดชายเอาแต่ส่ายหน้า

“ผมบอกไม่ได้ครับ ถ้าบอก คุณอังเดรเอาผมตายแน่”

“แล้วนายไม่กลัวว่าฉันจะฆ่าแกตายก่อนหรือไง”

หนุ่มหล่อเค้นเสียงถาม

“นายน้อยเป็นคนใจดี นายน้อยไม่เคยฆ่าคน ดังนั้นผมจึงคิดว่านายน้อยไม่มีทางฆ่าผมได้”

คอร์เนลหัวเราะเสียงดุกระด้าง

“แล้วไม่ห่วงลูกสาวของตัวเองบ้างหรือไง นี่จะบอกอะไรให้นะ ตอนนี้ฉันลากยาหยีมามอสโกด้วย และก็ทรมานเธอทุกคืนด้วยร่างกายของฉัน”

ยอดชายตาเบิกโพลง หน้าซีดลงกว่าเดิมอีกหลายเท่าตัว

“อย่านะครับ อย่าทำยาหยี…ยาหยีไม่รู้เรื่อง ยาหยีบริสุทธิ์”

“งั้นก็บอกนายน้อยมาสิว่าแกเอาเพชรไปซ่อนไว้ที่ไหน”

เซอร์เกคำรามอย่างหมดความอดทน ตั้งท่าจะเข้าไปตั๊นหน้าซีดๆ นั้นให้หงายเงิบ แต่ก็ถูกคอร์เนลห้ามเอาไว้เสียก่อน

“อย่าใช้ความรุนแรงเลยเซอร์เก เดี๋ยวฉันจัดการเอง” พูดกับคนสนิทจบก็หันไปจ้องมองยอดชายด้วยสายตาเหี้ยมเกรียม

“ถ้าหากไม่อยากให้ลูกสาวท้องไม่มีพ่อละก็ บอกมาว่าเพชรอยู่ที่ไหน”

“ยาหยีท้องแล้วหรือครับ?”

เสียงของยอดชายตกใจเหลือเกิน

คอร์เนลไหวไหล่อย่างไม่แยแส

“ก็ไม่รู้สิ แต่ถ้านับจำนวนครั้งที่เราสนุกกันโดยที่ฉันไม่ได้ป้องกันแล้วละก็…”

ชายหนุ่มแกล้งยกมือขึ้นมานับยั่วโทสะของผู้ชายตรงหน้า

“น่าจะไม่พลาดหรอกนะ”

“นายน้อยทำเกินไปแล้วนะ! ทำไมต้องทำร้ายยาหยีด้วย”

“แล้วแกล่ะไม่ทำเกินไปหรือไง ทรยศฉันโดยการขโมยเพชรไปให้อาอังเดร นี่อยากจะรู้เหลือเกินว่าอาอังเดรให้เงินแกเท่าไร มันมากพอที่แกจะใช้ได้ไปตลอดชีวิตหรือไง”

คอร์เนลปราดเข้าไปกระชากคอเสื้อของคู่สนทนาแรงๆ ยกมือเงื้อขึ้นจะต่อยหน้า แต่คำพูดของยอดชายที่ดังเล็ดลอดออกมาจากปากก็มีผลทำให้หมัดของเขาค้างเติ่งอยู่กลางอากาศ

“นายน้อยจะต่อยผมกี่ทีก็ได้ หรือจะต่อยให้ตายไปเลย ผมก็ไม่อุทธรณ์ แต่นายน้อยจะไม่มีวันได้เพชรสีทองคืนมาอีก”

ยอดชายทำใจกล้าสบตากับคนตาลุกเป็นไฟตรงหน้า

“หากนายน้อยไม่นำทะเบียนสมรสระหว่างนายน้อยกับยาหยีมาให้ผมดู…”

“ไอ้ระยำ!”

และร่างของยอดชายก็หงายเงิบลงไปกองกับพื้นเมื่อคอร์เนลตะบันกำปั้นเข้าใส่หน้าอย่างเต็มแรง เขาจะตามเข้าไปซ้ำแต่เซอร์เกก็เข้ามาดึงเอาไว้เสียก่อน

“นายน้อยครับ เดี๋ยวมันตายไป เราจะไม่มีโอกาสได้เพชรสีทองคืนนะครับ”

“ก็นายไม่เห็นหรือไงว่ามันบังคับให้ฉันทำอะไร มันบังคับให้ฉันแต่งงานกับลูกสาวของมันน่ะ มันบังอาจเกินไปแล้ว”

คอร์เนลหันไปตวาดใส่หน้าเซอร์เกลั่น ตอนนี้เขาเดือดดาลจนแทบจะคุมตัวเองเอาไว้ไม่ได้อยู่แล้ว

‘หน็อย! มาบังคับให้เขาแต่งงานกับลูกสาวของมันอย่างนั้นหรือ ฝันไปเถอะ เขาก็แค่หลงใหลลีลาร้อนๆ ของยาหยีบนเตียง แต่เขาไม่เคยคิดที่จะแต่งงานกับผู้หญิงคนไหนมาก่อน ให้ตายเถอะ เขาไม่มีทางยอมทำหรอก’

“นายน้อยไม่ต้องทำก็ได้ แต่เพชรสีทองก็จะหายสาบสูญไปจากซีร์ยานอฟ เพราะหลังจากคุณอังเดรกลับมาจากนิวยอร์กคราวนี้ก็จะส่งมอบมันให้กับมหาเศรษฐีคนหนึ่งแล้ว”

“นายน้อยครับ ผมว่าเรารับปากมันไปก่อน แต่งแล้วก็เลิกได้นี่ครับ ไม่น่าจะมีปัญหา”

เซอร์เกก้มลงกระซิบข้างหูของเจ้านายหนุ่มของตนเองเบาๆ

คอร์เนลเดินกลับไปกลับมาด้วยความเกรี้ยวกราดเดือดดาลเต็มกำลัง นี่เขาจะทำยังไงดีนะ จะยอมแต่งงานกับยาหยีจริงๆ หรือ เขาไม่ได้รังเกียจเจ้าหล่อนเลยแม้แต่นิดเดียว ตรงกันข้ามออกจะหลงใหลหัวปักหัวปำอีกต่างหาก แต่การแต่งงานมันเป็นเรื่องที่เขาไม่เคยคิดมาก่อน พูดง่ายๆ ก็คือมันไม่เคยอยู่ในสมองของเขาเลยด้วยซ้ำไป แต่นี่…

“ก็ได้…ฉันจะจดทะเบียนกับลูกสาวของนาย”

“ผมต้องเห็นทะเบียนสมรสก่อน ถึงจะยอมนำเพชรสีทองมาคืนให้”

“ก็ได้…ฉันจะรีบกลับไปจัดการทำในสิ่งระยำที่แกต้องการเดี๋ยวนี้แหละ รอไม่เกินครึ่งชั่วโมงทะเบียนสมรสระหว่างฉันกับยาหยีจะมาอยู่ตรงหน้าแก”

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาต้องเป็นฝ่ายทำตามความต้องการของคนอื่น ซึ่งคอร์เนลไม่เคยชินกับมันเลยแม้แต่นิดเดียว มันน่าอึดอัดจนหัวอกแทบจะแตกระเบิดอยู่แล้ว

“แล้วนี่…”

คอร์เนลหยิบเพชรสีทองที่ตัวเองสั่งให้ลูกน้องทำปลอมขึ้นมาส่งให้ยอดชาย

“เอาไปวางแทนที่ของจริงซะ แล้วนายจะสามารถหนีพ้นการตามล่าของอาอังเดรได้”

ยอดชายรับมาถือเอาไว้ในมือ ก่อนจะเงยหน้ามองคู่สนทนาที่หล่อปานเทพบุตรนิ่ง

“ผมจะทำตามที่นายน้อยต้องการ จะนำของจริงมาให้ แต่นั่นก็ต้องหลังจากที่นายน้อยจดทะเบียนสมรสกับลูกสาวของผมแล้วเท่านั้น”

“ฉันไม่เคยผิดคำพูด!”

คอร์เนลเค้นเสียงกร้าว ขณะหมุนตัวและเดินออกไปจากห้องคุมขังของยอดชายอย่างหัวเสียสุดขีด เซอร์เกรีบวิ่งตามไปทันที

“นายน้อยครับ”

“เรียกทำไมล่ะ ฉันจะรีบไปจดทะเบียนไง”

“ให้ผมไปด้วยนะครับ”

เซอร์เกพูดด้วยความเป็นห่วง กำลังจะก้าวขึ้นรถตามเจ้านาย แต่คอร์เนลก็ห้ามเอาไว้เสียก่อน

“อยู่ที่นี่แหละ เดี๋ยวฉันจะให้อีวานนำทะเบียนสมรสมาให้ แล้วนายก็รีบลากไอ้ยอดชายไปเอาเพชรมาให้ฉันให้ได้ล่ะ อย่าให้พลาด เพราะพรุ่งนี้อาอังเดรจะเดินทางกลับมาแล้ว”

แม้จะเป็นห่วงเจ้านายของตัวเอง แต่เซอร์เกก็ต้องก้มหน้ารับคำสั่งอย่างไม่มีทางเลือก

“ครับนายน้อย ผมจะทำให้ดีที่สุดครับ จะนำเพชรสีทองกลับมาสู่ซีร์ยานอฟให้จงได้”

“ฉันไว้ใจนายที่สุด”

คอร์เนลระบายยิ้มบางๆ ก่อนจะส่งสัญญาณบอกให้รถคันงามที่นั่งอยู่เคลื่อนออกจากที่เพื่อมุ่งหน้ากลับสู่คฤหาสน์ซีร์ยานอฟทันที

ยาหยีที่กำลังนั่งเหงาอยู่บนเตียงรีบผลุนผลันมาเกาะขอบหน้าต่างห้องนอนอย่างรวดเร็ว เมื่อหูแว่วได้ยินเสียงเครื่องยนต์แล่นเข้ามาจอดที่หน้าตึกใหญ่ รถคันยาวสีดำจอดอยู่ และร่างของคอร์เนลก็ก้าวลงมา ไม่รู้ว่าทำไมต้องดีใจมากขนาดนี้ แต่หล่อนห้ามความดีใจไม่ได้นี่นา

หญิงสาวยิ้มจนแก้มแทบปริ ขณะวิ่งไปหยุดที่หน้ากระจกเงาบานใหญ่ เอียงซ้ายเอียงขวาสำรวจตัวเองจนคิดว่าสวยที่สุดแล้วจึงรีบวิ่งออกจากห้องนอนไปอย่างรวดเร็ว มุ่งหน้าไปหาผู้ชายที่หล่อนนั่งคิดถึงทุกวินาที

“ไหนว่าจะกลับค่ำๆ ไงคะ”

เวลาเจ็ดสิบสองชั่วโมงที่เคลื่อนผ่านไปนั้นอัดแน่นไปด้วยความสุขท่วมท้นใจจนแทบจะทะลักออกมาจากปาก คอร์เนลลดความเย็นชาลงและยิ้มให้กับหล่อนมากขึ้น แม้เขาจะไม่ได้บอกว่ารู้สึกยังไงกับหล่อน แม้เขาจะปล่อยให้หล่อนคิดเอาเองว่าเซ็กส์ร้อนๆ จำนวนหลายต่อหลายครั้งในทุกค่ำคืนที่ผ่านมานั้นมันเกิดจากตัณหาราคะ แต่หล่อนก็รับรู้ได้ถึงความอ่อนโยนที่เขามีให้

ยาหยีนั่งทอดอารมณ์อยู่ในศาลากลางสวนสวยภายในอาณาจักรซีร์ยานอฟของคอร์เนลด้วยความเบิกบานใจ มองไปทางไหนก็ดูเป็นสีชมพูไปซะหมดทุกแห่ง ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าแค่ได้อยู่กับคนที่เรารักจะมีความสุขมากมายราวกับขึ้นสวรรค์ได้แบบนี้ มีความสุขจนลืมไปสนิทเลยว่าที่ตัวเองมามอสโกเพราะเหตุผลใด

คอร์เนลแค่ต้องการให้ตัวเองมั่นใจว่าหล่อนจะไม่ท้องลูกของเขาถึงได้พาหล่อนมาที่นี่ แต่…ถ้าเขาคิดแค่นั้นจริงๆ ทำไมในทุกๆ ครั้งที่เขานอนกับหล่อน เขาถึงไม่ยอมป้องกันเลยนะ ไม่เลยแม้แต่ครั้งเดียว เขาครอบครองหล่อนด้วยตัวตนที่แท้จริงของเขา และผลักดันความเสน่หาทุกหยาดหยดให้กับหล่อนด้วยความเต็มอกเต็มใจ และตลอดเวลาหลายวันที่ผ่านมาคอร์เนลก็ไม่เคยพูดไม่เคยถามว่าตั้งท้องหรือเปล่าเลย เขาทำเหมือนกับไม่ได้ใส่ใจในหัวข้อนี้เลยสักนิด

คอร์เนลทำราวกับว่าที่เขาพาหล่อนมายังมอสโกนี่ก็เพื่อเป็นคนรักของเขาจริงๆ และเรื่องการตั้งครรภ์นั้นก็เป็นแค่เรื่องโกหกที่เขาเลือกยกมันขึ้นมาอ้างเท่านั้นเอง

ถ้ามันเป็นอย่างที่คิดก็ดีสินะ แต่มันจะเป็นไปได้เหรอ ในเมื่อหล่อนเป็นลูกสาวของคนที่ขโมยเพชรล้ำค่าของเขาไป ยาหยีถอนใจออกมาด้วยความสับสน กำลังจะก้าวลงจากศาลาไม้ แต่เสียงของเชอรี่ก็ดังขึ้นใกล้ๆ ซะก่อน

“คุณยาหยีคะ นายน้อยให้มาเชิญไปทานมื้อเช้าค่ะ ที่ห้องอาหารปีกซ้าย”

ยาหยียิ้มให้กับแม่บ้านร่างท้วม ขณะก้าวลงจากศาลามายืนใกล้ๆ

“ขอบคุณมากค่ะป้า ที่อุตส่าห์มาตามฉันถึงนี่ เอ่อ…แล้ว…นายน้อยของป้าตื่นนานแล้วเหรอคะ”

แก้มแดงขึ้นมาในทันทีเมื่อต้องเอ่ยถึงผู้ชายที่ไม่เคยหลุดออกไปจากความนึกคิดของตัวเองเลยอย่างคอร์เนล

เชอรี่ระบายยิ้มกว้าง มองสาวน้อยตรงหน้าอย่างอิจฉา

“พึ่งตื่นค่ะ พอตื่นมาก็ถามหาคุณยาหยีเลย นี่ก็ให้ป้ารีบมาตาม”

ความขัดเขินทำให้ยาหยีก้าวยาวๆ เดินนำหน้าไป เชอรี่รีบเดินตาม

“เห็นบ่นใหญ่เลยค่ะที่คุณหนีลงมาไม่ยอมรอให้เธอตื่นก่อน”

“ก็นายน้อยของป้าตื่นสายเองนี่คะ”

หน้าร้อนแทบไหม้ เพราะรู้ดีอยู่เต็มอกว่าเพราะอะไรคอร์เนลถึงได้ตื่นนอนสายแบบนี้

“แต่ปกตินายน้อยไม่เคยตื่นสายเลยนะคะ เจ็ดโมงเช้ากินข้าว จากนั้นก็ไปทำงานทันที แต่พอมีคุณนั่นแหละ นายน้อยก็ตื่นสายโด่ง แถมยังเบี้ยวงานอยู่บ่อยๆ”

ยาหยีฟังแล้วก็หยุดกึก หันกลับมามองด้วยใบหน้าไม่สบายใจนัก

“แล้วอย่างนี้จะมีผลต่องานของคอร์เนลไหมคะป้า”

เชอรี่อมยิ้มเมื่อเห็นหญิงสาวตรงหน้าแสดงความห่วงใยนายน้อยของตัวเองออกมาล้นพ้น ก่อนจะส่ายหน้าน้อยๆ พูดอย่างคนมีอารมณ์ขัน

“ไม่มีทางมีปัญหาหรอกค่ะ ต่อให้นายน้อยไม่เข้าบริษัทสักปีหนึ่งก็ไม่มี”

“ทำไมล่ะคะป้า?”

“นายน้อยเป็นคนที่มองการณ์ไกลค่ะ เธอจ้างแต่พวกมืออาชีพเท่านั้นมาร่วมงาน เธอยอมจ่ายเงินแพงลิบเพื่อแลกกับผลงานที่ไร้ที่ติค่ะ”

ยาหยีพยักหน้าช้าๆ เมื่อได้ยินคำพูดจากปากของแม่บ้านร่างท้วม

“คนรวยก็อย่างนี้แหละ”

“ไม่ใช่แค่รวยอย่างเดียวหรอกค่ะ แต่นายน้อยทั้งฉลาดและรวยต่างหาก คุณยาหยีรู้ไหมคะว่าเงินของนายน้อยทั้งหมดนี่มาจากน้ำพักน้ำแรงของเธอเพียงคนเดียวนะคะ”

พอเล่าแล้วก็หยุดไม่ได้ เชอรี่จึงเดินไปเล่าไปอย่างออกรสออกชาติ ซึ่งยาหยีก็ยินดีจะรับฟังมันด้วยความเต็มใจ เพราะตอนนี้สมองของหล่อน คอร์เนลยิ่งกว่าคนแปลกหน้าซะอีก หล่อนรู้แค่เขาใส่เสื้อเบอร์อะไร กางเกงยี่ห้อไหน และชอบให้หล่อนทำอะไรกับร่างกายของเขาบ้างเท่านั้นเอง

“แล้วเงินของพ่อแม่ของคอร์เนลล่ะคะ ไปไหนหมด”

เชอรี่นิ่งไปพักใหญ่กว่าจะตัดสินใจพูดออกมา

“นายน้อยคิดว่าเงินพวกนั้นสกปรกค่ะ เธอก็เลยนำไปบริจาคทั้งหมด และก็ด้วยเหตุนี้แหละค่ะที่ทำให้นายน้อยไม่ถูกกับคุณอังเดรน้องชายของคุณวีแลนซึ่งเป็นพ่อแท้ๆ ของนายน้อยนั่นแหละค่ะ แทบจะฆ่ากันตายเลยตอนที่นายน้อยเอาเงินไปบริจาคให้บ้านเด็กกำพร้าน่ะ”

“เงินของพวกมาเฟียใช่ไหมคะ”

แม่บ้านร่างท้วมถอนใจออกมา

“ค่ะ เมื่อก่อนคุณวีแลนทำงานผิดกฎหมายหลายอย่างค่ะ ทั้งเรียกค่าคุ้มครอง บ่อนการพนัน ซ่อง หรือแม้แต่ยาเสพติด ลูกเมียพยายามขอให้เลิกก็ไม่ยอมเลิก จนกระทั่งนายหญิงถูกมาเฟียฝ่ายตรงข้ามฆ่าตาย นายน้อยก็เลือกเดินออกจากซีร์ยานอฟเพื่อประชดคุณวีแลน”

“แล้วคุณวีแลนไม่เสียใจหรือคะที่เมียถูกฆ่าตาย”

“เสียใจสิคะ ก็เลยยกพวกเข้าตะลุมบอนกันกลางเมืองเลย ตายกันเป็นเบือ ตำรวจเข้ามาปราบปรามจนแยกย้ายกันไป แต่ความแค้นก็ยังคงเป็นความแค้นอยู่น่ะค่ะ ลบยังไงก็ไม่ออกหรอก คุณวีแลนก็ยังหาทางแก้แค้นอริอยู่ตลอดเวลา และสุดท้ายก็ฆ่าล้างแค้นได้ แต่ตัวเองก็ต้องมาถูกลอบสังหารตายตามกันไป”

“ชีวิตของคอร์เนลช่างน่าเศร้าเหลือเกิน” ยาหยีพึมพำออกมาเบาๆ รู้สึกเห็นใจคอร์เนลเหลือเกิน เพราะอย่างนี้ใช่ไหมเขาถึงได้เย็นชานัก

“ตอนแรกฉันคิดว่านายน้อยของป้าเป็นมาเฟียจอมโหดเสียอีก”

เชอรี่รีบส่ายหน้าขณะพายาหยีเดินมาถึงหน้าตึกใหญ่

“นายน้อยไม่เคยฆ่าคนเลยค่ะ แม้แต่สั่งก็ไม่เคยเลยแม้แต่ครั้งเดียว ถึงแม้คนภายนอกจะมองว่านายน้อยเอาแต่ใจ เผด็จการ และเลือดเย็นแค่ไหน แต่ความจริงแล้วนายน้อยใจดีมากค่ะ นายน้อยส่งลูกหลานของพวกเราเรียนหนังสือกันทุกคน แถมยังตั้งมูลนิธิช่วยเหลือสังคมอีกตั้งหลายแห่งค่ะ พวกเรานี่รักนายน้อยกันทุกคน ยอมตายแทนได้เลยแหละค่ะ”

“เพราะอย่างนี้นี่เองเซอร์เกถึงได้รักและเป็นห่วงคอร์เนลนัก” นี่เป็นอีกแง่มุมหนึ่งของผู้ชายที่ชื่อคอร์เนล ซีร์ยานอฟที่หล่อนพึ่งมีโอกาสได้รับรู้ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผู้ชายจอมหื่นแสนโหด เอาแต่ใจก็สุดๆ คนนั้นจะใจดีและเป็นมนุษย์โลกที่ดีได้ถึงเพียงนี้

‘แล้วอย่างนี้หล่อนจะสั่งหัวใจให้เลิกรักเขาได้ยังไงกันนะ ไม่มีทางทำได้แน่ๆ’

“เซอร์เกกลัวว่าคุณยาหยีจะทำร้ายนายน้อยน่ะค่ะ ก็เลยออกจะต่อต้านไปหน่อย แต่เซอร์เกเป็นคนดีมากคนหนึ่งนะคะ เอ่อ…ว่าแต่คุณเถอะ รักนายน้อยของป้าบ้างหรือเปล่า”

พอถูกถามตรงประเด็นแบบนี้ คนถูกถามก็หน้าแดงก่ำ อ้าปากค้าง พูดไม่ออกซะอย่างนั้น

“เอ่อ…คือว่า…”

“แต่ไม่ต้องบอกป้าก็พอจะมองออก สายตาของคุณ คำพูดของคุณ และการกระทำของคุณ มันฟ้องว่าคุณหลงรักนายน้อยอย่างหัวปักหัวปำเลยล่ะค่ะ”

“ไม่ใช่นะ…ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก” แม้จะปฏิเสธแต่น้ำเสียงทำไมถึงได้อ่อยแบบนั้นนะ

เชอรี่อมยิ้ม จ้องมองอย่างรู้ทันความคิด

“อย่าโกหกเลยค่ะ สายตาของคุณไม่เคยมองคนอื่นเลยหากมีนายน้อยอยู่ใกล้ๆ คุณมองเธอด้วยความชื่นชม และคุณก็แอบระบายยิ้มคนเดียว”

“นี่ป้าเห็นทุกอย่างเลยหรือคะ”

ไม่มีอะไรจะเถียง เพราะเถียงไปก็ไม่ชนะ สู้ยอมรับความจริงออกไปดีกว่า ใช่…เวลาที่มีคอร์เนลอยู่ตรงหน้า หล่อนจะมองไม่เห็นอะไรเลย นอกจากผู้ชายคนนี้

“ป้าเป็นผู้หญิงเหมือนกับคุณ ทำไมจะมองเพศเดียวกันไม่ออกล่ะคะ จะมีก็แต่พวกผู้ชายปากแข็งใจแข็งเท่านั้นแหละที่ไม่ยอมรับความจริง .เอ๊ะ! แล้วนั่นนายน้อยกำลังจะไปไหนคะนั่น”

เชอรี่ยังพูดไม่ทันจบก็ร้องเอะอะขึ้นมาเมื่อเห็นคอร์เนลแทบจะวิ่งไปขึ้นรถ โดยมีอีวานตามไปติดๆ ยาหยีมองตามด้วยความแปลกใจเช่นกัน

“ไหนว่าจะทานข้าวกับคุณยาหยีไง”

“คงมีธุระด่วนมั้งคะ”

ยาหยีคิดอย่างใจกว้าง ทั้งๆ ที่ก็น้อยใจเหมือนกัน

“ธุระด่วน? คงจะด่วนมากเลยแหละไม่งั้นนายน้อยคงไม่กระโดดขึ้นรถไปแบบนั้น เอ่อ…มารีน นายน้อยไปไหนรู้หรือเปล่า” เชอรี่รีบกวักมือเรียกสาวใช้ที่พึ่งเดินออกมาจากตึกใหญ่

“นายน้อยมีเรื่องด่วนต้องรีบไปทำค่ะ เอ่อ…แล้วนายน้อยก็ฝากขอโทษคุณยาหยีด้วยค่ะที่ไม่ได้ทานมื้อเช้าด้วย เธอบอกว่าจะกลับค่ำๆ น่ะค่ะ”

“ไม่เป็นไรหรอก ฉันทานคนเดียวได้ ขอบใจนะ”

ยาหยีระบายยิ้มบางๆ ให้กับสาวใช้ ก่อนจะขอตัวเดินกลับเข้าไปในตึก เมื่ออยู่ตามลำพัง เชอรี่จึงรีบเค้นถามสาวใช้อีกครั้ง

“นายน้อยมีเรื่องด่วนอะไรรู้ไหม”

“ไม่ทราบค่ะคุณเชอรี่ รู้แต่ว่าคุณเซอร์เกโทรมาแล้วนายน้อยก็รีบออกไปทันที”

แม่บ้านร่างท้วมพยักหน้ารับทราบ ก่อนจะโบกไม้โบกมือให้สาวใช้ตรงหน้าไปทำงานทำการตามหน้าที่ ก่อนที่ตัวเองจะรีบเดินตามยาหยีเข้าไปในตึก

เอริก้าเดินมาคว้าแก้วเครื่องดื่มจากถาดที่บริกรกำลังถืออยู่ขึ้นมาจิบอย่างอารมณ์ดี พลางทอดสายตามองไปรอบๆ งานเลี้ยง แล้วอารมณ์ที่กำลังแจ่มใสอยู่ก็มีอันต้องกระตุกวูบ เมื่อสายตาปะทะเข้ากับร่างสลักเสลาสวยงามของผู้หญิงคนหนึ่งที่ตัวเองรู้จักดีทีเดียว

“นังขวัญ…”

หญิงสาวมองขวัญชีวาที่มีศักดิ์เป็นพี่สาวบุญธรรมด้วยสายตาริษยา ใบหน้าก็สวยหยาดเยิ้มหวานปานน้ำผึ้ง หุ่นก็เช้งกระเด๊ะทั้งๆ ที่กินแต่อาหารเหลือเดนจากหล่อน แถมชุดที่ใส่มาก็สวยงามราวกับถูกตัดเย็บด้วยช่างจากแบรนด์ดังก้องโลกอีกต่างหาก

“มันไปเอาชุดที่ไหนมานะ”

เอริก้าเดินเข้าไปหาขวัญชีวาทันทีเมื่อถูกเจ้าความสงสัยครอบงำเต็มหัวใจ

“น้องเอม…”

“แกเอาชุดที่ไหนมา เสี่ยที่ไหนลงทุนซื้อชุดแพงแบบนี้ให้แก”

เมื่อเดินเข้ามาถึง เอริก้าก็แผลงฤทธิ์แผลงเดชใส่ผู้หญิงที่ตัวเองเกลียดชังโดยไม่สนใจเลยว่าบิดาที่กำลังยืนคุยกับนักธุรกิจชั้นนำของรัสเซียทางด้านหลังจะได้ยิน

“คือพี่…”

“ไม่ต้องมาแทนตัวว่าพี่! แกไม่ใช่พี่ของฉัน! เป็นแค่ขี้ข้ารองตีนฉันเท่านั้นเอง”

เอริก้าหยิกหมับลงบนต้นแขนเปลือยของขวัญชีวาด้วยความหมั่นไส้ ไม่แคร์ต่อสายตาของใครหลายๆ คนที่จับจ้องมองมาแม้แต่น้อย

“บอกมาว่าไปเอาชุดสวยๆ แบบนี้มาจากที่ไหน”

“พี่…เอ่อ…ขวัญตัดเอง”

“ไม่เชื่อ! คนอย่างแกมีฝีมือที่ไหนกันล่ะ ทำอะไรไม่ดีสักอย่างนอกจากประจบจนพ่อรักน่ะ”

ขวัญชีวาส่ายหน้า พยายามเดินหนีแต่ก็ถูกเอริก้าคว้าข้อมือเอาไว้เสียก่อน

“ไปคุยกันที่อื่น ตรงนี้ฉันตบแกไม่ถนัด”

เอริก้าฉุดกระชากลากร่างของพี่สาวบุญธรรมให้เดินตามตัวเองไปยังระเบียงที่อยู่ไกลออกไปจากห้องจัดเลี้ยง และเมื่อลับสายตาคนอื่น ฝ่ามือเรียวเล็กแต่หนักหน่วงของเอริก้าก็ฟาดใส่ใบหน้าของขวัญชีวาเต็มแรง สองครั้งติดกันจนร่างอรชรของขวัญชีวาร่วงลงไปกองกับพื้น เอริก้าตามลงไปจิกหัวขึ้นมาอีกครั้ง แล้วตะคอกถาม

“ฉันอุตส่าห์ทำทุกทางเพื่อให้แกไม่ได้มางานเลี้ยงนี้ตีเสมอกับฉัน แต่แกก็ยังมา”

“ขวัญไม่ได้อยากมา แต่พ่อขอร้องให้มา น้องเอม…ปล่อยเถอะ ขวัญเจ็บ”

“เจ็บสิดี เจ็บให้ตายไปเลยยิ่งดี รู้ไหมว่าหากฉันขอพรประเสริฐในโลกนี้ได้ข้อหนึ่งละก็ ฉันจะขอให้แกหายไปจากชีวิตของฉัน หายไปจากสายตาของฉัน นั่นก็หมายถึงให้แกตายไปจากโลกนี้ยังไงล่ะ” เอริก้าผลักร่างของขวัญชีวาแรงๆ จนหญิงสาวล้มลงกับพื้นอีกครั้ง

“ทำไมน้องเอมเกลียดขวัญถึงเพียงนี้”

ขวัญชีวาเงยหน้าขึ้นถามน้ำตาไหลพราก หล่อนทนให้เด็กสาวที่อ่อนกว่าแค่สองเดือนกดขี่ข่มเหงมาตลอดสิบกว่าปีก็เพื่อทดแทนบุญคุณของอังเดรที่มีเมตตาไปขอหล่อนมาอุปการะ ทั้งๆ ที่รู้ว่าแท้จริงแล้วอังเดรต้องการให้หล่อนมารับใช้ลูกสาวของตัวเองเพียงเท่านั้น

“ก็แกทำให้พ่อเกลียดฉันยังไงล่ะ”

“พ่อรักน้องเอมมากนะ น้องเอมได้โปรดอย่าคิดแบบนั้นเลย”

“รักเหรอ รักแต่ให้แกคอยเฝ้าฉันทุกฝีก้าว ฉันไปทำแท้ง แกก็เสนอหน้าไปบอก คงได้หน้ามาหลายกระบุงสินะ”

เอริก้ายิ้มเหี้ยม ขณะทรุดกายลงนั่งบนส้นเท้า จ้องหน้าขวัญชีวาราวกับโกรธแค้นกันมานับร้อยๆ ชาติ ขวัญชีวาร่ำไห้ด้วยความเสียใจ

“จำเอาไว้นะนังขี้ข้า ฉันจะตบแกแบบนี้”

เอริก้าไม่ได้พูดเปล่า แต่สาธิตด้วยการฟาดฝ่ามือลงบนใบหน้างามของขวัญชีวาอีกครั้ง และหัวเราะร่วนออกมา

“ตบทุกวัน ตบจนแกจะไสหัวออกไปจากบ้านของฉันนั่นแหละ”

เอริก้าผุดลุกขึ้นยืน มองร่างของขวัญชีวาที่สั่นเทาด้วยแรงสะอื้นอย่างสะใจ ก่อนจะหมุนตัวและเดินจากไปอย่างอารมณ์ดีเหลือเกิน

ขวัญชีวามองตามร่างของน้องสาวบุญธรรมไปทั้งน้ำตานองหน้า ค่อยๆ พยุงตัวลุกขึ้นยืนและเดินออกไปอีกทางหนึ่งซึ่งตรงกันข้ามกับทางที่เอริก้าเดินไป ช่องทางแคบๆ ปูด้วยพรมหนาสีน้ำตาลเข้ม แสงไฟระยิบระยับบนศีรษะส่องทางจนสว่างไสว หญิงสาวพาร่างกายที่สะอื้นไม่หยุดของตัวเองมาหยุดตรงริมสระน้ำขนาดใหญ่ อดทึ่งกับความสามารถของมนุษย์ไม่ได้ ที่สามารถเนรมิตทุกสิ่งทุกอย่างได้ตามใจคิด แม้แต่สระน้ำขนาดใหญ่บนตึกสูงระฟ้าก็ตาม

หญิงสาวใช้สองมือดึงชายชุดราตรีขึ้นมาไว้ที่หน้าขา ขณะเดินไปทรุดตัวลงที่ขอบสระ เรียวขางามหย่อนลงไปในน้ำเย็นเยือก เตะเพียงเบาๆ สายน้ำก็กระเซ็นมาโดนแก้มนวล ขวัญชีวาถอนใจออกมากับเหตุการณ์ซ้ำซากที่เกิดขึ้นกับตัวเอง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เอริก้าทำร้ายหล่อน แต่มันน่าจะเกินสองร้อยครั้งแล้วมั้งที่น้องสาวบุญธรรมทำแบบนี้กับหล่อน

‘เจ็บ ทรมาน และแสนอึดอัดเสียงนุ่มทุ้มแต่แสนอันตรายของใครบางคนดังขึ้นจากทางด้านหลัง ขวัญชีวาตัวแข็งทื่อ กลีบปากสั่นระริก หยุดเท้าที่กำลังไกวอยู่ในน้ำเพลินลงทันที

“จะไม่หันหน้ามาแนะนำตัวให้ผมรู้จักหน่อยหรือครับ”

คราวนี้น้ำเสียงของคนแปลกหน้าด้านหลังไม่ได้เป็นประโยคบอกเล่าธรรมดาเสียแล้วสิ แต่มันเป็นการสั่งกลายๆ ขวัญชีวากัดปากที่สั่นระริกของตัวเองจนเจ็บขณะทำใจกล้าลุกขึ้นยืนและหันหลังกลับมาเผชิญหน้ากับเจ้าของเสียงนุ่ม

แล้วก็รู้สึกไม่ต่างจากถูกกระแสไฟฟ้าสักพันสักหมื่นโวลต์ดูดอย่างแรง เมื่อสายตาได้ปะทะเข้ากับดวงตาสีน้ำเงินอมดำของผู้ชายตรงหน้า เขาเหมือนหลุดออกมาจากนิตยสารของผู้ชายที่หล่อระดับโลกเสียมากกว่าจะมีตัวตนจริงๆ

ใบหน้าสี่เหลี่ยมประกอบด้วยเครื่องเคราที่เหมาะเจาะลงตัว หรือจะเรียกให้มันเพราะพริ้งนั่นก็คือผู้ชายคนนี้สมบูรณ์แบบไร้ที่ติตั้งแต่หัวจรดปลายเท้านั่นแหละ

ก็ดูสิ ดวงตาสีน้ำเงินอมดำที่หากอยู่บนใบหน้าของผู้ชายคนอื่นคงจะดูดุดันและน่าเกลียดมากกว่าน่ามอง แต่พอมันอยู่บนใบหน้าสี่เหลี่ยมบึกบึนของเขาคนนี้ มันช่างดูน่ามอง น่าหลงใหล และน่าหลงรักหัวปักหัวปำเสียเหลือเกิน

ไหนจะจมูกที่มองแล้วน่าจะโด่งเกินไป แล้วยังจะปากที่เหมือนจะกว้างไปนั่นอีก ทุกอย่างมันดูเลอะเทอะเปรอะเปื้อนยังไงก็ไม่รู้ แต่พอมันมาอยู่บนใบหน้าของผู้ชายคนนี้ มันดูหล่อเว่อร์อย่างร้ายกาจ นี่เขาคนนี้คงเป็นตัวแทนของเทพบุตรในคราบซาตานใช่ไหมเนี่ย

“คุณ…”

“ผมวินซ์ เอเมอร์ตัน เจ้าของเพนต์เฮาส์ที่พวกคุณกำลังสนุกกันอยู่นี่แหละ”

เขาแนะนำตัวด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย ขณะกวาดตาขึ้นๆ ลงๆ ไปตามเนื้อตัวของหล่อนอย่างไม่เกรงอกเกรงใจ ถึงเขาจะหล่อลากไส้แต่ก็ไม่มีสิทธิ์มามองหล่อนราวกับกำลังประเมินราคาสินค้าแบบนี้ มันไร้มารยาทนัก

“เจ้าของ? คุณก็คงเป็นเจ้าของโรงแรมเครือเอเมอร์ตันใช่ไหมคะ”

“ถ้าคุณฟังนามสกุลของผมดีๆ ก็น่าจะรู้”

เขายิ้มบางๆ แต่กระนั้นก็ทำให้ขวัญชีวาจ้องมองตาค้างเลยทีเดียว ผู้ชายคนนี้ช่างเป็นส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างความหล่อเลิศกับความป่าเถื่อน และคำจำกัดความที่เหมาะสำหรับนายวินซ์ เอเมอร์ตันคนนี้ก็คงจะหนีไม่พ้น ‘เทพบุตรซาตาน’ ใช่ เหมาะสมกับเขาชะมัดเลยล่ะ

“แต่ถ้าจะให้ผมนั่งบอกกิจการในครอบครองทั้งหมด ก็คงต้องนั่งฟังผมทั้งคืนแหละคนสวย…นี่ยังไม่บอกผมเลยนะว่าคุณเป็นใคร”

คนตัวโตที่ตอนนี้อยู่ในชุดลำลองสบายๆ และหากหล่อนตาไม่ฝาด หล่อนเห็นขากางเกงที่เขาพับขึ้นไปอยู่ใต้เข่าเปียกเล็กน้อย นี่แสดงว่าเขาก็เป็นอีกคนหนึ่งที่มานั่งเตะน้ำเล่นอย่างนั้นหรือ แต่จะเป็นใครก็ช่างเถอะ หล่อนไม่ควรจะเสวนาด้วยทั้งนั้น

“ฉันไม่ชอบการข้องแวะกับคนแปลกหน้า ขอตัวนะคะ”

ขวัญชีวาตัดบทดื้อๆ พยายามจะเดินหนีแต่เจ้าชุดราตรียาวที่มีบางส่วนเปียกน้ำก็ทำให้หล่อนเคลื่อนไหวลำบากเสียเหลือเกิน และมันก็ช้ากว่าที่หล่อนจะหนีอุ้งมือร้อนผ่าวของพ่อเทพบุตรซาตานได้ทัน

“นี่ปล่อยนะ”

“บอกผมสิว่าคุณชื่ออะไร?”

“ฉันไม่จำเป็นต้องบอกคุณสักหน่อย ปล่อยนะคะ ฉันจะกลับเข้าในงานเลี้ยงแล้ว”

แม้จะพยายามขัดขืนแค่ไหนแต่ข้อมือก็ไม่สามารถหลุดออกมาจากกรงนิ้วที่แข็งดุจคีมเหล็กของผู้ชายหล่อระเบิดตรงหน้าได้

“ถ้าไม่บอกผมดีๆ ผมจะเข้าไปประกาศตามล่าหาคุณในงาน ดูสิว่าตอนนั้นจะยังอมพะนำชื่อเสียงเรียงนามของตัวเองได้หรือเปล่า”

“นี่คุณ!”

จ้องมองเขาตาเขียว แต่วินซ์ไม่สนใจ ก้มหน้าเข้ามาใกล้อีกจนปลายจมูกแทบจะชนกัน

“ให้เวลาคิดสิบวินาที…หนึ่ง…สอง…”

“ก็ได้…ฉันบอกก็ได้ ขวัญชีวา ซีร์ยานอฟ แค่นี้พอใจหรือยัง”

“คุณเป็นอะไรกับคอร์เนล ซีร์ยานอฟ อย่าบอกนะว่าเป็นเมีย เพราะผมไม่เชื่อ”

น้ำเสียงของผู้ชายตรงหน้ากระด้างและดุดันขึ้นจนหญิงสาวอกสั่นขวัญแขวน ตอบไปด้วยน้ำเสียงสั่นระริกที่ตัวเองปิดเท่าไรก็ไม่ยอมมิด

“ญาติห่างๆ แล้วนี่จะปล่อยได้หรือยัง”

วินซ์ เอเมอร์ตันปล่อยข้อมือบางให้เป็นอิสระ ขณะก้าวถอยหลังออกห่างสองสามก้าว

“ไปสิ ผมอยากอยู่คนเดียวแล้วล่ะ”

“ไม่ต้องมาไล่หรอกค่ะ ฉันไปแน่อยู่แล้ว”

แม้จะแปลกใจที่จู่ๆ ก็ถูกคนที่จับมือของหล่อนไว้ไม่ให้ไปไหนเมื่อครู่ขับไล่ แต่ขวัญชีวาก็ไม่อยากเสี่ยงที่จะอยู่เผชิญหน้ากับผู้ชายหน้าดุ ตาดุคนนี้ตามลำพังต่อไปแม้แต่วินาทีเดียว แม้เขาจะหล่อปานเทพบุตรที่ตกลงมาจากชั้นฟ้าก็ตาม

ขวัญชีวารีบพาตัวเองมุ่งหน้ากลับเข้าไปในงานเลี้ยงอย่างรวดเร็ว วินซ์มองตามไปจนลับตาก่อนรอยยิ้มเลือดเย็นจะผุดขึ้นมาที่มุมปากหยักสวยของเขามหาศาลนัก

“จุดจบของซีร์ยานอฟใกล้มาถึงแล้วสินะ”

ยาหยีช้อนตาขึ้นมองแล้วก็อึ้งไปนานทีเดียวเมื่อเห็นผู้ชายที่หล่อระเบิดยืนระบายยิ้มให้ตรงหน้า ผู้ชายคนนี้ผมสีเดียวกับคอร์เนล แต่ดวงตาคนละสีกัน หรืออาจจะเป็นเพราะแสงไฟที่ส่องมาทำให้หล่อนเห็นว่าดวงตาของผู้ชายตรงหน้าเป็นสีน้ำเงินกันนะ

“ขอบคุณค่ะ…ฉัน…”

“รับเถอะครับ น้ำใจจากผม…เอ่อ…ผมคงลืมแนะนำตัวไป ผมจัสติน เคอร์ซาคอฟ เพื่อนของผู้ชายที่ทำให้คุณร้องไห้ครับ”

ในเมื่อไม่มีทางเลือกยาหยีจึงต้องรับผ้าเช็ดหน้าจากผู้ชายที่แนะนำตัวเองว่าชื่อจัสติน เคอร์ซาคอฟ และเป็นเพื่อนของคอร์เนลขึ้นมาซับน้ำตา แต่ความอับอายทำให้หล่อนพยายามที่จะปฏิเสธสิ่งที่ผู้ชายตรงหน้ากำลังเข้าใจออกมา

“ฉันไม่ได้ร้องไห้หรอกค่ะ แค่ผงเข้าตา”

“ถ้าการที่ผมแกล้งทำเป็นเชื่อว่าผงเข้าตาคุณจริงๆ แล้วคุณจะรู้สึกดีขึ้น ผมก็ยินดีจะทำครับ”

“ขอบคุณค่ะ” เช็ดแล้วส่งคืน แต่จัสตินไม่ยอมรับคืนไป

“ผมให้ครับ ไม่ต้องคืนหรอก ว่าแต่ทำไมคอร์เนลถึงปล่อยให้ผู้หญิงที่สวยราวนางฟ้าอย่างคุณต้องอยู่ตามลำพังล่ะครับ” จัสตินเดินตามไปทรุดกายนั่งข้างๆ ร่างของยาหยีบนศาลากลางสวนที่ถูกเนรมิตขึ้นจากสถาปนิกฝีมือดี

“ใครว่าฉันปล่อยให้เมียอยู่คนเดียวกันล่ะ”

“คอร์เนล…”

ยาหยีอุทานออกมาด้วยความตกใจ เมื่อเห็นชายหนุ่มที่ตัวเองกำลังน้อยใจปรากฏอยู่ตรงหน้าด้วยท่าทางถมึงทึง

“ไม่ยักจะรู้ว่านายมีเมียแล้วนะคอร์น”

จัสตินเอ่ยขึ้นอย่างอารมณ์ดี ขณะก้าวลงจากศาลาเดินตรงเข้าไปเผชิญหน้ากับคอร์เนล ร่างของผู้ชายทั้งคู่สูงเท่าเทียมกัน และความสง่างามก็กินกันไม่ขาดเลยทีเดียว

“นึกว่าแค่ผู้หญิงในสังกัดซะอีก”

“มันเรื่องส่วนตัวของฉัน เพื่อนทรยศอย่างนายไม่ต้องมาเสือก!”

คอร์เนลใช้คำพูดหยาบคายจนยาหยีที่นั่งนิ่งอยู่บนศาลถึงกับหน้าซีดเผือด ตกใจจนแทบช็อก กระแสความอำมหิตเหี้ยมโหดทอรัศมีออกมาจากกายของชายหนุ่มทั้งคู่จนหล่อนแสบตา

จัสตินระบายยิ้มหยันออกมา จ้องมองผู้ชายตรงหน้าเขม็งไม่ยอมหลบตา

“นี่แสดงว่ายังจำเรื่องเมื่อสามปีก่อนได้ดีใช่ไหม”

คราวนี้ยาหยีรู้สึกว่าน้ำเสียงของผู้ชายที่แนะนำตัวว่าชื่อจัสตินแข็งกร้าวและอัดแน่นไปด้วยแรงแค้นมากมายเหลือเกิน

“ฉันไม่มีทางลืมเรื่องระยำ! แบบนั้นได้หรอกน่า ไปให้พ้นหน้าฉันซะ ก่อนที่ฉันจะทนเก็บหมัดเอาไว้ไม่ไหว” คอร์เนลเค้นเสียงคำรามออกมา จัสตินระบายยิ้มกระด้าง

“ระวังหัวใจของตัวเองไว้ให้ดีล่ะ เพราะฉันจ้องจะเชือดมันตลอดเวลา”

จัสตินพูดจบก็เดินหายกลับเข้าไปในงานเลี้ยง ขณะที่คอร์เนลยังยืนนิ่งงันอยู่กับที่ เพราะรู้ดีอยู่เต็มอกว่าจัสตินหมายความถึงอะไร

“หวังไปเถอะว่าคนอย่างฉันจะพลาด”

คำรามออกมาด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม ก่อนจะตวัดตามองไปยังร่างของยาหยีที่นั่งนิ่งอยู่บนศาลาด้วยความสายตาเพชฌฆาต

“ลงมา ถ้าไม่อยากใช้ศาลาต่างเตียง”

ยาหยีไม่มีทางเลือกจึงต้องทำตามคำสั่งของคอร์เนล

“คุณไม่ควรจะมาวุ่นวายกับฉัน…ในเมื่อ…”

“หุบปากไปเลย ถ้าผมไม่มา คุณก็คงจะพลอดรักกับไอ้จัสตินในศาลานี้ตามลำพังใช่ไหม ร่านซะไม่มี แค่ผัวอยู่ห่างไม่กี่นาทีก็คันจนทนไม่ไหวแล้วหรือไง!”

เผียะ!

“คนหยาบคาย อย่าเที่ยวเหมาว่าคนอื่นเขาจะเป็นเหมือนคุณกันทุกคนสิ”

คอร์เนลกัดฟันแน่นเพื่อข่มโทสะเอาไว้ ขณะขยุ้มมือแข็งแกร่งลงบนหัวไหล่เปลือยแรงๆ จนแม่สาวน้อยตรงหน้าเบ้หน้าด้วยความเจ็บ แต่เขาก็ไม่ยอมปล่อย

‘ดีสิ เจ็บให้ตายไปเลยสิดี พอเขาไม่อยู่ก็ระริกระรี้ดีนัก’

คอร์เนลคิดด้วยความเจ็บแค้น หึงหวงจนแทบอยากจะหักคอยาหยีให้ตายคามือ โดยลืมไปว่าตั้งแต่เกิดมาตัวเองไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใครมาก่อนเลย

“แล้วไอ้ที่ยิ้มหวานจนแทบจะเชิญมันให้เข้าไปในตัวน่ะ มันเรียกว่าอะไรไม่ทราบ!”

“เขาเรียกว่ามารยาท ก็เหมือนที่คุณไปพลอดรักกับแม่เอริก้าคนงามนั่นแหละ”

ยาหยีโต้กลับอย่างไม่ยอมลดละเช่นกัน ตอนนี้ความเจ็บปวด ความน้อยใจ และความหึงหวงกำลังบงการให้หล่อนสู้ยิบตา

“เอริก้า?”

คนตัวโตที่กำลังโกรธจัดไม่แพ้หล่อนเลิกคิ้วขึ้นสูง

“เอริก้ามาเกี่ยวอะไรด้วย นี่คุณกำลังคิดบ้าอะไรอยู่กันแน่ยาหยี”

หากไม่ยอมตอบออกไปคงจะต้องถูกกดจนไหล่พังแน่ๆ

“ก็เธอเป็นคู่หมั้นคู่หมายที่ญาติโกโหติกาของคุณต้องการให้แต่งงานด้วยไม่ใช่หรือไง”

คอร์เนลจ้องหน้าหวานของผู้หญิงที่กำลังโกรธจัดเขม็ง

“โง่ไม่เข้าท่า…ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าในโลกนี้ยังจะมีคนโง่เขลาแบบคุณอีก ญาติสายเลือดใกล้กันขนาดผมกับเอริก้าแต่งงานกันไปลูกก็ออกมาพิการพอดีน่ะสิ สมองทำด้วยอะไรนะ ขี้เลื่อยหรือเปล่านี่”

มือใหญ่ที่ขยุ้มหัวไหล่มนอยู่เลื่อนมาคว้าข้อมือกลมกลึงแทน จากนั้นก็รั้งให้หล่อนก้าวตามเขาไปยังเส้นทางที่ไม่คุ้นตานัก แถมยังดูเงียบเชียบวังเวงอีกต่างหาก

“แต่พ่อแม่ของคุณเชื่อสุภาษิตที่ว่า เรือล่มในหนองทองจะไปไหน ไม่ใช่เหรอ พวกคนรวยๆ ก็ใช้สุภาษิตแบบนี้คลุมถุงชนลูกหลานทั้งนั้นแหละ” หางเสียงของยาหยียังสะบัดตามแรงอารมณ์ของเจ้าตัวเหมือนเดิม

“แล้วนี่จะพาฉันไปไหน”

เขาไม่ยอมตอบหล่อน แต่เพียงไม่นานคอร์เนลก็พาหล่อนทะลุออกมาสู่ลานจอดรถของบรรดาแขกวีไอพีได้อย่างน่าประหลาดใจ

“ขึ้นรถซะ แล้วเราจะไปพลอดรักกัน”

คำพูดตรงไปตรงมาของเขาทำเอายาหยีแก้มแดงก่ำด้วยความวาบหวาม

“ใครจะไปพลอดรักกับคุณไม่ทราบ ฉันไม่ไปหรอก”

“ถ้าไม่ไป เดี๋ยวจะเนรมิตลานจอดรถให้เป็นเตียงนอน ถ้าไม่อายคนอื่นเขาก็ไม่ต้องขึ้นมา”

ได้ผลแม่สาวน้อยแทบจะกระโดดขึ้นมานั่งข้างๆ เขาเลยทันที คอร์เนลระบายยิ้มบางๆ สมองปลอดโปร่งขึ้นมาในทันทีเมื่อพอจะรู้ว่ายาหยีหึงเขากับเอริก้า

“นึกว่าอยากจะเปลี่ยนสถานที่ซะอีก”

ชายหนุ่มเอ่ยแซวขณะเคลื่อนรถสปอร์ตราคาหลายล้านเหรียญของตัวเองไปข้างหน้า

“แค่คุณเนรมิตอ่างน้ำต่างเตียงได้ ฉันก็มหัศจรรย์ใจเหลือเกินแล้วล่ะค่ะ”

พูดเสียงขึ้นจมูก บังคับสายตาให้ละจากใบหน้าหล่อเหลาของเขาเพื่อให้มันไปจับจ้องวิวข้างทางแทน แต่มันทำได้ยากเย็นชะมัดเลยให้ตายสิ

‘ก็พ่อเจ้าประคุณเล่นหล่อทุกอิริยาบถ หล่อกระชากลมหายใจแบบไม่เลือกสถานที่ซะเลยนี่’

“อีกหน่อยคุณก็จะคุ้นเคยและชื่นชอบมันไปเองนั่นแหละน่า เอ…”

คนตัวโตครางในลำคอพร้อมกับหักพวงมาลัยรถเข้าไปจอดในสวนสาธารณะเงียบเชียบ และหันมาจ้องหน้าหล่อนด้วยสายตาที่หล่อนเห็นแล้ววูบวาบร้อนผ่าวไปทั้งกาย

“ในรถก็ดีเหมือนกันนะ สนุกไปอีกแบบ”

“คุณจะบ้าหรือไง ขับรถต่อเถอะ.”

คอร์เนลส่ายหน้า ขณะปลดเข็มขัดนิรภัยทั้งของตัวเองและของยาหยีออกจากตัว จากนั้นก็ยกร่างอรชรสลักเสลาขึ้นมานั่งคร่อมบนตัก มือใหญ่เลื่อนเบาะให้เอนลงเพื่อไม่ให้แผ่นหลังของยาหยีถูไถกับพวงมาลัยรถ

“ผมทนมาถึงตอนนี้ได้ก็ขั้นเทพแล้วล่ะทูนหัว”

“คงเคยทำแบบนี้อยู่บ่อยๆ ใช่ไหมคะ”

แม้สมองจะคัดค้าน แต่ร่างกายไม่รักดีดันทรยศซะนี่ ดูสิ มันส่ายระทดระทวยอยู่บนร่างแข็งแรงทรงพลังของคอร์เนลราวกับอีตัวมืออาชีพไม่ผิด

“ไม่เคย…กับคุณคนแรก”

อ้าปากจะเถียงออกไปว่าไม่เชื่อ แต่ก็ถูกพ่อคนตัวโตก้มลงมาประกบแนบแน่นเสียก่อน เขาจูบอย่างเร่าร้อนดุดันเร่งเร้าให้ตอบสนองด้วยอารมณ์รุนแรงเช่นเดียวกัน หญิงสาวร้องครวญคราง จากที่เคยคิดจะต่อต้าน ตอนนี้เปลี่ยนเป็นให้ความร่วมไม้ร่วมมือเป็นอย่างดี แถมในบางช่วงบางตอนยาหยียังเป็นฝ่ายริเริ่มอีกต่างหาก

“เก่งมากทูนหัว ไม่คิดว่าครั้งแรกในรถจะสนุกสุดเหวี่ยงแบบนี้”

นี่คือคำพูดสุดท้ายก่อนที่ทุกอย่างรอบตัวจะเงียบกริบ มีแค่เสียงการเคลื่อนไหวดังผสมกลมกลืนมากับเสียงครางจากยาหยีเป็นระยะเพียงเท่านั้น และกว่าที่ทั้งคู่จะจบกิจกรรมรักบนรถก็กินเวลานานเกือบชั่วโมงเลยทีเดียว

‘ภาพสาวงามในกระจกเหมือนกับไม่ใช่ตัวหล่อน’

ยาหยีจับจ้องผู้หญิงในชุดราตรีสีชมพูอ่อนในกระจกด้วยความตื่นตะลึง แทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองเลยว่าเสื้อผ้าสวยๆ แบรนด์ดังๆ จะสามารถเปลี่ยนอีกาอย่างหล่อนให้กลายร่างมาเป็นนางหงส์ผู้เลอโฉมได้

‘มันเหลือเชื่อจริงๆ’

เสียงเคาะประตูเบาๆ และก็เปิดออกทำให้หญิงสาวหมดความสนใจกับกระจกเงาตรงหน้า หล่อนหันกลับไปมองด้านหลัง และก็ได้เห็นคอร์เนลในชุดสูทสีน้ำเงินอมดำหรูหรายืนตระหง่านอยู่ตรงหน้า ผ้าสีเข้มยิ่งบ่งบอกให้รู้ว่าผู้ชายคนนี้ลึกลับและอันตรายต่ออิสตรีเพศมากแค่ไหน

“คอร์เนล…”

เขายิ้มหวาน มองหล่อนราวกับไม่เคยเห็นมาก่อน นานหลายอึดใจทีเดียวกว่าเขาจะสามารถกลั่นคำพูดออกมาจากปากได้

“คุณสวยมาก…สวยจนผมคิดว่าคำว่าสวยมันยังไม่คู่ควรเลยด้วยซ้ำ”

ยาหยียิ้มขัดเขิน ผิวกายร้อนผ่าวเมื่อเขาเดินเข้ามารั้งร่างอรชรเข้าไปสวมกอด ปากเซ็กซี่กดแนบลงมาด้วยความหิวกระหาย ลูบไล้มือใหญ่ไปทั่วทั้งไหล่เปลือยเปล่า

“ถ้าไม่คิดว่าอาจจะไปสาย ผมจะนอนกับคุณอีก”

เขาผละออกห่าง แต่ก็ยังจ้องใบหน้าของหล่อนไม่วางตา

“ผมคิดไว้อยู่แล้วว่าชุดนี้จะต้องเหมาะกับคุณ แต่ไม่คิดว่ามันจะเหมาะจนผมไม่สามารถละสายตาได้แบบนี้”

เหมือนคอร์เนลจะห้ามใจเอาไว้ไม่อยู่ เพราะในที่สุดเขาก็ก้มลงครอบครองกลีบปากอิ่มเต็มอีกครั้ง และคราวนี้เนิ่นนานทีเดียวเพราะคนตัวโตเลือกที่จะมอบจุมพิตเดือดพล่านให้กับยาหยี

“ฉันดีใจค่ะที่คุณชอบ”

ยาหยีเอ่ยขอบคุณด้วยน้ำเสียงสั่นระริก หัวใจพองโตคับอกเมื่อค้นพบว่าคอร์เนลชื่นชมความงามของหล่อนออกมาจากใจจริง มือบางตวัดรัดรอบกายกำยำเอาไว้เมื่อเขาทำท่าจะผละออกห่าง แต่สุดท้ายเขาก็ถอยห่างออกไปจนสำเร็จ

“ห้ามอยู่ห่างผมแม้แต่นิดเดียวนะลูกหยี”

“ทำไมคะ?”

“ผมหวง กลัวใครจะมามองคุณ”

หัวใจที่พองตัวคับอกอยู่แล้วแทบจะทะลักทลายออกมา ยาหยียิ้มจนแก้มแทบปริ เขย่งปลายเท้าขึ้นจูบแก้มสากของผู้ชายหล่อระเบิดข้างกายเบาๆ อย่างขอบคุณ

“อย่าทำแบบนี้บ่อยนะทูนหัว เดี๋ยวจะถูกปล้ำเอาเสียเปล่าๆ”

มือใหญ่โอบประคองรอบเอวคอด ขณะรั้งให้ร่างอรชรเดินเคียงข้างออกไปจากห้องนอน

“คนบ้า คิดแต่เรื่องลามกอยู่เรื่อยเลย”

“แค่เห็นคุณสวมชุดนี้ สมองของผมก็วนเวียนอยู่แต่เตียงนอนอย่างเดียวแล้วล่ะ รู้ไหมว่าผมไม่เคยมีสมาธิเลยเวลาที่อยู่ใกล้คุณ”

มือใหญ่เลื่อนจากเอวคอดลงไปวางที่เนินสะโพกกลมกลึงของสาวน้อยคนงามเมื่อดันหล่อนให้เดินผ่านบรรดาสาวใช้และบอดี้การ์ดของตัวเองเข้าไปในรถสปอร์ตสีดำเงาวับคนโปรดของตัวเอง

“คืนนี้ไม่ต้องตามไปหรอกนะ ฉันดูแลตัวเองได้”

คอร์เนลหันมาสั่งคนสนิท ซึ่งเซอร์เกก็ไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากก้มหน้ารับคำสั่ง

“ครับนายน้อย”

คอร์เนลระบายยิ้มออกมาอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะเดินผิวปากอ้อมไปขึ้นรถ และขับมันออกไปอย่างรวดเร็ว เชอรี่มองตามไปด้วยความยินดี

“นี่แหละน่าเขาถึงบอกว่าความรักทำให้โลกเป็นสีชมพู”

“แต่สีชมพูไม่สามารถทำให้นายน้อยความสุขที่แท้จริงได้หรอกคุณเชอรี่”

คำพูดของเซอร์เกทำให้เชอรี่หันมามองตาขุ่นคลั่ก ไม่พอใจที่ถูกขัดคอ

“แล้วใครว่าสีชมพูจะทำให้นายน้อยมีความสุขล่ะ ฉันหมายถึงความรักต่างหาก นี่ไม่เห็นหรือไงเซอร์เก นายน้อยน่ะผิวปากด้วย และตั้งแต่ฉันรับใช้ตระกูลซีร์ยานอฟมา เห็นนายน้อยมาตั้งแต่แบเบาะ วันนี้เป็นวันแรกที่นายน้อยผิวปากฮัมเพลง” เชอรี่พูดจบก็สะบัดหน้าพรืดและเดินหนีไปทันที เซอร์เกมองตามไปแล้วก็ถอนใจออกมาด้วยความกังวลใจ

“แต่อีกหน่อยนายน้อยก็จะต้องร้องไห้…ไม่รู้เลยหรือไงคุณเชอรี่”

ความไม่สบายใจอัดแน่นอยู่เต็มอก ทั้งเรื่องของเมลิน่าที่ยังติดต่อไม่ได้ แล้วยังเรื่องของคอร์เนลที่ดูท่าจะหลงใหลเด็กยาหยีลูกสาวของคนทรยศอย่างนายยอดชายจนโงหัวไม่ขึ้นอีก นี่เขาจะทำยังไงดีนะ จะแก้ปัญหาเรื่องไหนก่อนดี

‘งานเลี้ยงตรงหน้าหรูหราอลังการเหลือเกิน’

หญิงสาวคิดด้วยความหวาดหวั่นในอก ประหม่าอย่างรุนแรงเมื่อถูกนักข่าวที่ยืนรออยู่หน้างานกระหน่ำแสงแฟลชเข้าใส่หน้ามือเป็นระวิง เสียงนักข่าวจากหลายสำนักตะโกนไล่หลังมาด้วยคำถามแสนธรรมดา นั่นก็คือหล่อนใช่คู่ควงคนใหม่ของพ่อสุดหล่อคนนี้หรือเปล่า แต่คอร์เนลกลับไม่ยอมตอบ แถมยังดึงแกมลากหล่อนให้เข้ามาในงานที่ปลอดนักข่าว

“ผมไม่ชอบเป็นข่าว แต่วันนี้คงเลี่ยงไม่ได้”

“พรุ่งนี้คุณก็คงถูกขึ้นหน้าหนึ่งแน่ๆ”

แสร้งทำเป็นพูดเสียงขบขัน ทั้งๆ ที่ในใจรู้สึกประหม่าเหลือเกิน ทั้งจากนักข่าวที่ยืนอยู่นอกงาน แล้วก็จากสายตาของผู้คนในชุดหรูหราภายในงานเลี้ยง ทุกคนมองมาที่หล่อนราวกับว่าหล่อนเป็นมนุษย์ต่างดาวก็ไม่ปาน

“ฉันรู้สึกว่าตัวเองเหมือนหนูสกปรกเลย”

“ถ้าคุณคิดว่าตัวเองเป็นหนูสกปรก แล้วผมล่ะผมเป็นตัวอะไรในเมื่อผมยินดีที่จะควงแม่หนูสกปรกมางานเลี้ยงน่ะ”

น้ำเสียงของคอร์เนลเย็นชาก็จริง แต่หล่อนก็รับรู้ได้ถึงความอ่อนโยนจากสายตาสีเขียวดุจมรกตเนื้อดีที่จ้องมองมา

“ขอบคุณค่ะที่ให้กำลังใจ” หญิงสาวยิ้มหวาน

“ผมไม่ได้พูดแบบนั้นสักหน่อย”

คอร์เนลหัวเราะเบาๆ กระชับมือใหญ่ที่โอบรอบเอวคอดของหล่อนอยู่ตลอดเวลาให้แน่นขึ้น ร่างของหล่อนแนบชิดกับความกำยำของคนตัวโตจนแทบจะหลอมเป็นเนื้อเดียวกัน ผิวกายถูไถกันจนความปรารถนาของหล่อนลุกพึ่บขึ้นมาอย่างรุนแรง

‘อยากจะรู้จริงๆ เลยว่าคอร์เนลกำลังรู้สึกอยากกลับไปที่เตียงนอนอย่างรุนแรงแบบหล่อนหรือเปล่านะ?’

“คุณจะพาฉันไปที่ไหนคะ”

ถามขึ้นเมื่อเขารั้งร่างของหล่อนเคลื่อนผ่านฝูงชนในชุดหรูหราตรงไปยังเทอร์เรซที่สะท้อนวิวด้านล่างที่งดงามได้เป็นอย่างดี

“มองมอสโกในยามค่ำคืนยังไงล่ะ”

สาวน้อยยิ้มหวานฉ่ำ ปล่อยให้คอร์เนลยืนโอบประคองด้วยความเต็มอกเต็มใจ บริกรนำเครื่องดื่มมาเสิร์ฟ และเขาก็เลือกน้ำผลไม้ให้กับหล่อนแทนที่จะเป็นวอดก้าแบบที่เขาดื่ม

“น้ำส้มสำหรับผู้หญิงสวยๆ แบบคุณ”

“ขอบคุณค่ะ”

ยาหยียื่นมือสั่นเทาไปรับ ปลายนิ้วสัมผัสกันโดยบังเอิญ แต่แค่นั้นก็ทำให้สายฟ้าฟาดเปรี้ยงเข้าใส่ร่างอย่างรุนแรง หญิงสาวข่มความโหยหาเอาไว้ขณะยกแก้วสวยราคาแพงขึ้นดื่มดับความขัดเขิน

คอร์เนลหัวเราะเบาๆ กับอาการแก้มแดงหน้าแดงของสาวน้อยข้างกาย ไม่ใช่แค่หล่อนคนเดียวหรอกที่รู้สึกอยากกลับไปที่เตียงในตอนนี้ แต่เขาก็รู้สึกเช่นเดียวกัน อยากกลับไป อยากจะกลับไปฟัดเจ้าหล่อนให้หายอยาก

เขายกแก้ววอดก้าราคาแพงขึ้นจิบทีละน้อย สายตาของเขาจับจ้องที่แสงสีในยามค่ำคืนของเมืองมอสโกด้านล่าง แต่สมองดันวนกลับไปยังเตียงนอนเสียนี่

“คอร์น…นั่นพี่จริงๆ ด้วย”

เสียงเรียกแหลมปรี๊ดด้านหลังทำให้บรรยากาศโรแมนติกระหว่างเขากับยาหยีต้องยุติลงกะทันหัน คอร์เนลหันกลับไปมองเจ้าของเสียง แล้วเมื่อเห็นก็เบ้หน้าด้วยความเบื่อหน่าย

“เธอนั่นเอง มีอะไรกับฉันหรือเอริก้า”

เจ้าของชื่อรีบเดินเข้ามาเบียดจนร่างของยาหยีกระเด็นออกไป และเจ้าหล่อนก็แทรกเข้ามาแทนที่ข้างๆ กายของคอร์เนล

“ทำไมทำห่างเหินนักล่ะคะ เราเป็นญาติกันนะ”

เอริก้าปรายตามองยาหยีด้วยความเหยียดหยันดูถูกจนยาหยีหน้าร้อนผ่าวด้วยความอับอาย คอร์เนลถอนใจออกมาและผลักเอริก้าออกห่างจากตัวอย่างไม่รักษาน้ำใจ

“ไปให้พ้นๆ หน้าไป ฉันไม่ชอบให้ผู้หญิงดัดจริตมาวุ่นวายใกล้ๆ ตัว ไปซะก่อนที่ฉันจะให้คนมาลากเธอออกไปเอริก้า!”

คอร์เนลพูดจบก็ก้าวยาวๆ หายไปในฝูงชนอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้เอริก้ากับยาหยีเผชิญหน้ากันตามลำพัง

“ทำเป็นเล่นตัว…นึกว่าหล่อขั้นเทพคนเดียวหรือไง”

เอริก้าบ่นอย่างหัวเสีย ก่อนจะหันกลับมาเล่นงานยาหยีที่ยังยืนอึ้งกิมกี่ด้วยความหยาบคายตามนิสัยส่วนตัว

“อีตัวคนใหม่สิท่า ได้เงินเท่าไรล่ะต่อคืนน่ะ”

ยาหยีเม้มปากแน่น พยายามจะเดินหนี แต่ก็ถูกแม่สาวน้อยในชุดรัดรูปสั้นจู๋ดักหน้าเอาไว้ก่อน

“จะหนีไปไหนล่ะ ทำไมไม่ตอบ หรือว่าไม่ได้ค่าตัวเลยแม้แต่เก๊เดียว”

“ถ้าคุณจะหยาบคายก็ไปทำกับคนอื่น ฉันไม่ชอบ”

เมื่อความอดทนใกล้หมด ยาหยีจึงเค้นเสียงคำรามใส่หน้าเอริก้า แต่เจ้าหล่อนหาได้สะทกสะท้านไม่ ยังคงลอยหน้าลอยตาเหมือนเดิม

“ก็ตอบมาก่อนสิว่าเธอเป็นอะไรกับพี่คอร์น”

‘คอร์นเหรอ ทำไมแม่ผู้หญิงคนนี้เรียกคอร์เนลสนิทสนมแบบนี้นะ’

“เมีย…”

“เมีย?”

เอริก้าร้องลั่น แล้วก็หัวเราะออกมาเสียงลั่นทุ่งจนคนรอบๆ กายเริ่มหันมาจับจ้องด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น

“ใครเชื่อก็โง่แล้ว คนอย่างพี่คอร์นเนี่ยนะจะแต่งงาน ไม่มีวันเป็นไปได้หรอก แล้วหากพี่คอร์นจะแต่งงานจริงๆ ฉันต่างหากที่เป็นคนที่เหมาะสม นี่เธอยังไม่รู้สินะว่าฉันน่ะถูกพ่อของพี่คอร์นหมั้นหมายเอาไว้ตั้งแต่เด็กๆ”

ยอมรับว่าตกใจมากถึงมากที่สุด แต่ยาหยีก็พยายามข่มความรู้สึกเหล่านั้นเอาไว้ ขณะบังคับปากให้เอ่ยสิ่งที่ข้องใจออกไปอีก

“แต่พวกคุณเป็นญาติกันนี่ จะแต่งกันได้ยังไง”

เอริก้าหัวเราะร่วน สะใจเหลือเกินที่แม่สาวสวยตรงหน้าเริ่มคล้อยตามในสิ่งที่หล่อนปั้นมันขึ้นมา ในเมื่อเชื่อแล้ว หล่อนก็จะทำให้เชื่อจนสุดใจทีเดียวเชียวแหละ

“คนต่ำต้อยแบบเธอคงไม่รู้สินะว่าพวกมหาเศรษฐีน่ะเขาก็มีวิธีจับคู่ลูกหลานของตัวเองแบบนี้แหละ ก็ดังสุภาษิตที่ว่า เรือล่มในหนองทองจะไปไหน ยังไงล่ะ”

เอริก้าจับจ้องสีหน้าที่เก็บความรู้สึกของยาหยีไม่ได้ด้วยความพึงพอใจ ก่อนจะเติมเชื้อไฟลงไปอีก

“พี่คอร์นเขาแค่โกรธที่ฉันไปมีผู้ชายคนอื่นก็เลยทำห่างเหินกับฉัน และหากเดาไม่ผิดละก็ ที่พี่คอร์นพาผู้หญิงต่ำๆ อย่างเธอมางานเลี้ยงหรูหราแบบนี้ก็คงเพราะต้องการยั่วให้ฉันหึงหวงเท่านั้นเอง และพี่คอร์นก็ทำสำเร็จนะ ฉันหึงจนแทบคลั่งทีเดียวแหละ”

เอริก้ายิ้มกว้างขณะที่ยาหยีกำลังร้องไห้น้ำตาท่วมอก

“อืม…นี่คงต้องตามไปง้อปลอบใจสักหน่อย ถ้าเธอกลับเองได้ก็กลับไปเลยนะ เพราะไม่แน่คืนนี้พี่คอร์นอาจจะถูกฉันปลอบใจทั้งคืน…โต้รุ่งนะ” คนเติมเชื้อไฟเดินหัวเราะร่วนจากไปแล้ว แต่ยาหยีก็ยังยืนอึ้งอยู่ที่เดิม

เจ็บ เจ็บจนพูดอะไรไม่ออก น้ำตาที่จวนเจียนจะไหลออกมาทำให้หญิงสาวต้องพาตัวเองออกไปหาที่เงียบๆ อยู่ตามลำพังสักพักหนึ่ง แล้วร้องไห้ให้สมใจ

หล่อนเป็นได้แค่นี้เองเหรอ เครื่องมือที่คอร์เนลใช้เพื่อทำให้คู่หมั้นคนสวยหึงหวง ทำไมเขาใจร้ายแบบนี้นะ ทำไมถึงทำกับหล่อนแบบนี้ มือบางกำลังจะยกขึ้นป้ายน้ำตาทิ้ง แต่ก็มีผ้าเช็ดหน้าสีเข้มยื่นมาให้เสียก่อน

“ผมให้ยืมครับ”

อังเดรนั่งกระสับกระส่ายอยู่บนเก้าอี้ในห้องรับแขกภายในคฤหาสน์ของตัวเอง แม้ที่นี่จะเรียกว่าคฤหาสน์แต่มันก็ยังใหญ่ได้ไม่ถึงเศษหนึ่งส่วนร้อยของคฤหาสน์ซีร์ยานอฟที่คอร์เนลอยู่เลยแม้แต่นิดเดียว ถ้าไอ้หลานชายตัวดีมันยอมเดินหน้าทำงานผิดกฎหมายตามอุดมการณ์ของเขากับพี่วีแลนต่อไป อำนาจและเงินทองของเขาก็คงจะไม่ติดลบถึงขั้นรุนแรงแบบนี้หรอก

‘เพราะมันคนเดียวเลยไอ้หลานนอกคอก!’

“คุณพ่อคะ ขอเงินเอมหน่อยสิคะ เงินหมดแล้ว”

เสียงแหลมเล็กที่เต็มไปด้วยความหงุดหงิดของเอริก้าลูกสาวของตัวเองดังขึ้น อังเดรปรายตามองด้วยความเอือมระอาใจ

“เอาไปทำอะไรนักหนายายเอม เมื่อวานพ่อก็พึ่งให้ไปหมื่นเหรียญไม่ใช่เหรอ อย่าบอกนะว่าเอาไปเลี้ยงผู้ชายหมด”

“มันเรื่องของเอมน่า พ่อมีหน้าที่ให้เงินเอมก็พอแล้ว และอย่าบอกนะว่าไม่มี เพราะงานค้ายาของพ่อไปได้สวยจะตายไป”

เอริก้าไม่ใส่ใจท่าทางเคร่งเครียดของผู้เป็นบิดาแม้แต่น้อย พลางเดินมาหยุดตรงหน้าของอังเดรและแบมือออกไปข้างหน้า

อังเดรถอนใจแรงๆ ไม่รู้จะทำยังไงกับพฤติกรรมของลูกสาวคนนี้ดี อุตส่าห์ไปรับเด็กนิสัยดีๆ มาคอยเป็นพี่เลี้ยงเพื่อที่จะได้มีนิเสียแย่น้อยลงไปบ้าง แต่มันก็ไม่ได้ผลเลยสักนิด เอริก้ายังเที่ยวเตร่และก้าวร้าวขึ้นอย่างน่าตกใจ

“ทำไมไม่หัดมีนิสัยดีๆ แบบขวัญบ้างนะเอม”

ไฟออกหูทันทีเมื่อถูกพ่อนำตัวเองไปเปรียบเทียบกับพี่เลี้ยงวัยเดียวกันแต่ต่างฐานะกันราวฟ้ากับเหวอย่างขวัญชีวาเด็กกำพร้า

“พ่อกล้าดียังไงคะเอาเอมไปเปรียบเทียบกับนังขวัญน่ะ!”

แผดเสียงก้องขึ้นมาด้วยความเกรี้ยวกราด จ้องหน้าบิดาเขม็ง อังเดรถอนใจออกมา

“ก็ยายขวัญขยันเรียนทั้งๆ ที่แทบจะไม่มีโอกาส ทว่าแกน่ะมีโอกาสเรียนแต่ไม่ยอมไขว่คว้าเอาไว้ วันๆ เอาแต่หัวหกก้นขวิดไปทั่ว นี่อย่าคิดนะว่าพ่อไม่รู้เรื่องที่แกไปทำแท้งมาสามครั้งติดน่ะ ระวังเถอะมดลูกมันจะพังเอา”

“พ่อ! นี่นังขวัญมันเอามารายงานพ่อใช่ไหม”

“ขวัญไม่ได้บอก…”

อังเดรตอบขณะลุกขึ้นยืน เดินไปที่โต๊ะหยิบเช็คออกมาเซ็นและส่งให้กับบุตรสาวที่เดินหน้าแดงก่ำด้วยโทสะตามมาด้วยความรำคาญ

“แล้วพ่อรู้ได้ยังไงคะ อย่าบอกนะว่านั่งทางในแล้วเห็น”

เสียงของเอริก้าเหยียดเยาะจนอังเดรต้องถอนใจออกมาซ้ำแล้วซ้ำอีกด้วยความกลุ้มใจ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าลูกสาวเพียงคนเดียวของเขาจะเหลวแหลกได้แบบนี้ นี่คงไม่ใช่เพราะกรรมที่เขาไปจับผู้หญิงมาค้าประเวณีหรอกนะ

“ก็ไอ้คลินิกที่แกไปทำแท้งน่ะ มันก็เป็นคลินิกประจำที่พ่อพาเด็กในซ่องไปทำแท้งเหมือนกันน่ะสิ แล้วทำไมพ่อจะไม่รู้ล่ะ!”

เอริก้าเม้มปากแน่น ก่อนจะรีบกระชากเช็คจากมือของบิดาขึ้นมามอง

“แค่หมื่นเหรียญเองหรือคะ อย่างนี้คืนเดียวก็หมด”

“ถ้าแกใช้เงินคืนละหมื่นเหรียญทุกคืนละก็ ต่อให้พ่อขายยาได้เดือนละพันตันก็ไม่พอแกใช้ หยุดฟุ่มเฟือยและมาช่วยพ่อทำงานดีกว่า”

“งานผิดกฎหมาย เอมไม่ทำหรอกค่ะ เอมกลัวโดนตำรวจจับ” เอริก้าไหวไหล่ขณะเก็บเช็คเงินสดที่พึ่งได้มาสดๆ ร้อนๆ ใส่กระเป๋าถือ

“แต่ไอ้เงินที่แกใช้โครมๆ อยู่ทุกวันเนี่ยมันก็มาจากงานผิดกฎหมายทั้งนั้นแหละ อย่าทำเป็นเกลียดตัวกินไข่เกลียดปลาไหลกินน้ำแกงไปหน่อยเลย มันทุเรศ!”

“พ่อน่ะ มาว่าเอมได้ยังไง!”

เอริก้ากระทืบเท้าด้วยความขัดเคืองใจ มองบิดาตาเขียวปั้ด กำลังจะสะบัดหน้าเดินออกไป แต่ขวัญชีวาก็สวนเข้ามาซะก่อน และนั่นก็ทำให้ขวัญชีวาถูกตบจนหน้าสะบัดเลยทีเดียว

ขวัญชีวายกมือขึ้นกุมแก้มของตัวเองเอาไว้ ทำให้แก้วกาแฟในมือตกเกลื่อนพื้นห้อง อังเดรเห็นแล้วตวาดใส่ลูกสาวลั่นห้อง

“นี่แกไปตบขวัญเขาทำไมฮึยายเอม ทำบ้าอะไร!”

เอริก้าระบายยิ้ม ไหวไหล่ด้วยความสะใจ

“ก็เอมอารมณ์เสีย แต่พอได้ตบนังขวัญระบายอารมณ์แล้วก็รู้สึกสบายใจ อารมณ์ดีขึ้นมาทันตาเห็นเลยค่ะ อืม…งั้นคืนนี้เอมจะยอมไปงานเลี้ยงกับพ่อก็แล้วกันนะคะ ไปล่ะ เดี๋ยวเย็นๆ จะกลับมาค่ะ”

“ยายเอม!” อังเดรเรียกลูกสาวเอาไว้ไม่ทัน เพราะเจ้าหล่อนวิ่งหายออกไปจากห้องเสียแล้ว

“เป็นไงบ้างขวัญ พ่อขอโทษแทนยายเอมด้วย”

ขวัญชีวาส่ายน้ำน้อยๆ ฝืนยิ้มออกมา

“ขวัญไม่เป็นไรหรอกค่ะพ่อ แค่นี้เอง เอ่อ…เดี๋ยวขวัญไปชงกาแฟมาให้พ่อใหม่นะคะ”

อังเดรถอนใจออกมาเมื่อเห็นรอยแดงที่ใบหน้าของลูกบุญธรรมเต็มๆ ตา

“ไม่ต้องแล้วล่ะขวัญ ไปพักผ่อนเถอะ แล้วคืนนี้ไปงานเลี้ยงกับพ่อนะ”

“ขวัญไม่ไปไม่ได้เหรอคะพ่อ น้องเอมคงไม่อยากเห็นหน้าขวัญ” นี่แหละคือสิ่งที่ขวัญชีวาวิตกกังวลมากที่สุด

“เรื่องนั้นพ่อจะจัดการเอง ขวัญไปพักผ่อนเถอะนะ”

ในเมื่อไม่มีทางขัดคำสั่งของบิดาบุญธรรมได้ หญิงสาวจึงได้แต่ระบายยิ้มเศร้าๆ และเดินกลับยังไปยังห้องพักที่อยู่ในเรือนเดียวกับบรรดาสาวใช้ของตัวเองอย่างไม่มีทางเลือก

‘นี่หากพ่อรู้ว่าชุดที่ท่านอุตส่าห์ซื้อให้หล่อนถูกเอริก้าใช้คัตเตอร์กรีดจนขาดไปหมดแล้ว ท่านจะยังบังคับให้หล่อนไปงานเลี้ยงในคืนนี้กับท่านอีกหรือเปล่านะ’

เสียงเคาะประตูดังสนั่นลั่นทุ่งแบบนี้ ไม่ต้องร้องถามออกไปก็พอจะรู้ว่าเป็นฝีมือของใคร ยาหยีรีบปาดน้ำตาทิ้ง ขณะเดินไปหยุดที่หน้าประตูห้อง ไม่ได้คิดจะเปิดต้อนรับพ่อคนเถื่อนที่กำลังทุบประตูปังๆ หรอกนะ แต่กำลังจะไล่เขาต่างหาก

“ไปให้พ้นนะคนเลว! อย่ามายุ่งกับฉัน”

“ถ้าไม่เปิด ผมพังเข้าไปแน่”

คอร์เนลไม่ได้แค่ขู่หรอก หญิงสาวรู้ดี แต่ความเจ็บปวดทำให้หล่อนกล้าที่จะท้าทายอำนาจเหี้ยมโหดของผู้ชายคนนี้

“ฉันไม่เปิด ต่อให้ตายก็ไม่เปิด!”

เสียงเคาะประตูเงียบลงแล้ว แต่ชั่วอึดใจเดียวเจ้าบานประตูไม้ที่ว่าแข็งแรงก็ถูกกระแทกเข้ามาจนกลอนที่ใส่อยู่หักงอ และคนตัวโตก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า

คอร์เนลยืนหน้าตาแดงก่ำอยู่ที่ช่องประตู ยาหยีรีบถดถอยหนีเข้าไปในห้อง แต่ก็ไม่มีวันหนีอุ้งมือมัจจุราชที่หล่อเหลาที่สุดในสามโลกอย่างคอร์เนลได้หรอก

“อย่าเข้ามานะ”

“ในเมื่อพยศนัก ผมก็จะปราบคุณให้เชื่องเอง มานี่”

เมื่อก้าวเข้ามาประชิดตัวได้ ชายหนุ่มก็จับร่างอรชรที่ดิ้นรนราวกับกำลังจะถูกเชือดขึ้นมาพาดบ่า จากนั้นก็ก้าวยาวๆ เดินลัดเลาะมุ่งหน้ากลับไปยังห้องนอนของตัวเองอย่างรวดเร็ว ระหว่างทางแม่สาวน้อยก็ทั้งดิ้นรน ทั้งหยิก ทั้งข่วนจนแผ่นหลังของเขาเจ็บไปหมด แต่ช่างเถอะ เพราะเขาจะเอาคืนให้สาสมเลยทีเดียว

“ปล่อยฉันลงไปนะ ปล่อยสิ…”

“ผมปล่อยแน่ แต่ต้องเป็นบนเตียง หุบปากแล้วเลิกตะโกนซะ ก่อนที่ผมจะทนไม่ไหวแล้วปล้ำคุณโชว์ลูกน้องซะตรงนี้”

ทำไมนะแทนที่จะโกรธเกรี้ยวกับวาจาเผด็จการเอาแต่ใจนั้น แต่หล่อนกลับรู้สึกวาบหวามจนช่องท้องบีบเกร็งเหลือเกิน แค่ได้ยินคำว่า ‘เตียง’ แค่นี้เลือดสาวในกายก็เดือดพล่านร้อนฉ่าขึ้นมาได้อย่างน่าอับอายที่สุด

“อย่าคิดว่าฉันจะยอมให้คุณทำอะไรตามอำเภอใจนะ คนสารเลว”

พูดออกมาเมื่อพ่อคนตัวโตใช้เท้าดันประตูห้องให้ปิดลงแรงๆ ก่อนจะเหวี่ยงร่างของหล่อนให้ล้มหงายไปบนที่นอนอย่างป่าเถื่อน ใบหน้าหล่อเหลาบูดบึ้ง ท่าทางของคอร์เนลโกรธจัดราวกับกินตัวแตนมาทั้งรังอย่างนั้นแหละ

“อย่าเข้ามานะ”

ถดถอยหนีไปชนสุดขอบเตียงอีกฝั่ง

คอร์เนลยืนเท้าสะเอวจ้องมองเขม็ง ขณะหายใจฟืดฟาดแรงๆ

“เมื่อกี้ด่าผมปาวๆ ไม่ใช่หรือ แล้วทำไมตอนนี้ทำท่าราวกับหนูสกปรกล่ะ” น้ำเสียงไม่มีร่องรอยของอารมณ์ขันเลยแม้แต่นิดเดียว ยาหยีเม้มปากแน่น มองคนตัวโตที่กำลังกระโดดขึ้นมาบนเตียงด้วยสายตากริ่งเกรง

“คุณดื้อเองนะ”

“ปล่อยสิ!”

เมื่อข้อเท้าถูกพันธนาการด้วยอุ้งมือใหญ่ที่แข็งแกร่งดุจคีมเหล็ก หญิงสาวจึงพยายามดิ้นรน แต่ก็ทำไม่สำเร็จ สุดท้ายก็ต้องถูกเขาลากเข้ามาสวมกอดแน่น

“ถ้าคุณยอมให้สาวใช้ขัดตัวตั้งแต่แรก คุณก็คงไม่ต้องเหนื่อยเพราะผมอีกหรอกยาหยี คุณพลาดเองนะ โทษใครไม่ได้ด้วย”

เขาพูดเสียงเรียบลึกขณะปลดเปลื้องเสื้อผ้าของหล่อนออกจากกาย กระดุมทุกเม็ดถูกคอร์เนลปลดออกจนหมดด้วยความช่ำชองจนหล่อนต้องอ้าปากค้าง มือใหญ่ของเขาแยกสาบเสื้อออก จ้องมองเนินอกสาวที่ล้นทะลักออกมาจากบราเซียร์ลูกไม้ตัวน้อยด้วยสายตาชื่นชม หล่อนได้ยินเสียงเขาหายใจฟืดฟาด ก่อนที่คำพูดแหบพร่าจะเล็ดลอดออกมาจากปากสุดเร้าใจ

“บอกกี่ครั้งแล้วว่าให้เปลี่ยนไซซ์ซะ”

ยาหยีหน้าร้อนเป็นไฟ รีบยกมือขึ้นปิดเต้าอวบสล้างของตัวเอง แต่ก็ถูกคอร์เนลปัดทิ้งไปอย่างไม่ไยดี ก่อนที่เขาจะเอื้อมมือไปด้านหลังเพื่อปลดตะขอ และเพียงไม่นานเนื้อแท้อวบใหญ่ปลายยอดสีระเรื่อก็ดีดเด้งออกมาท้าทายสายตา

“คนบ้า…จะทำอะไรน่ะ”

“ก็จะขัดตัวให้คุณยังไงล่ะ เอ้า! ไหนขยับตัวหน่อยสิ ผมจะปลดตะขอกางเกงของคุณ”

มือของคนตัวโตยุ่มย่ามไปทั่วทั้งตัว หญิงสาวพยายามขัดขืน แต่สุดท้ายแล้วกายสาวก็เปลือยเปล่าเกลี้ยงเกลาเพราะฝีมือของคอร์เนลอย่างไม่มีทางเลี่ยงได้

ยาหยีสังเกตเห็นใบหน้าของเขาแดงก่ำ ดวงตาสีเขียวจัดลุกโชนด้วยไฟปรารถนา กายสาวสั่นสะท้านอย่างรุนแรงเมื่อถูกคนตัวโตจ้องมองไม่หยุด

“ฉัน…เปลี่ยนใจแล้ว ฉันจะให้เชอรี่ขัดให้”

คอร์เนลส่ายหน้าน้อยๆ พลางช้อนร่างอรชรอวบอิ่มขึ้นมาไว้ในอ้อมแขน เขาเคยเห็นร่างกายเปลือยเปล่าของผู้หญิงมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ไม่มีผู้หญิงคนไหนเลยที่จะสามารถจุดไฟปรารถนาของเขาให้ลุกโชนขึ้นมาอย่างรุนแรงได้แบบนี้

ยาหยีทำให้เขาอยากจะเลิกขัดตัว แล้วจัดการต่อยอดสำรวจกายสาวต่ออีกครั้งและอีกครั้งให้อิ่มหนำสำราญใจ ให้ตายเถอะ ทำไมสมองของเขาตอนนี้ถึงได้อัดแน่นไปด้วยตัณหาราคะน่าสะอิดสะเอียนแบบนี้นะ และมันก็เป็นครั้งแรกที่งานดูน่าเบื่อน่ารำคาญมากกว่าเซ็กส์

“ไม่ทันแล้วล่ะทูนหัว ผมจะขัดตัวให้คุณในอ่างน้ำ จากนั้นก็…”

สายตาของเขาบอกได้ดีกว่าคำพูดเสียอีก สาวน้อยวาบหวิวไปทั้งร่างเมื่อถูกเขาหย่อนร่างงามเปลือยเปล่าลงไปในอ่างน้ำสีขาวขนาดใหญ่อลังการ กลิ่นหอมอ่อนๆ จากน้ำอุ่นที่ถูกพรมด้วยหัวน้ำหอมราคาแพงกับกลีบดอกกุหลาบแดงจำนวนมากทำให้ความคิดที่จะต่อต้านเขาจางหายไปอีกแล้ว

“จะสนุกกัน…”

“ฉันคิดว่า…เอ่อ…มันอาจจะไม่เหมาะ”

คอร์เนลหัวเราะร่วนขณะค่อยๆ แยกสาบเสื้อที่ตัวเองแกะกระดุมจนหมดทั้งแถวแล้วออกจากตัว แผงอกกว้างรกเลื้อยด้วยขนสีเข้มปรากฏอยู่ตรงหน้า ยาหยีปากแห้งผาก จ้องมองความสมบูรณ์แบบของคอร์เนลด้วยความตื่นตะลึง

แม้ไม่ใช่ครั้งแรกที่หล่อนได้เห็นเนื้อตัวเปล่าๆ ของคอร์เนลก็จริง แต่ทุกครั้งที่เห็น หล่อนก็น้ำลายแห้งแบบนี้เป็นประจำ กล้ามเนื้อสวยงามไร้ที่ติ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะมีผู้ชายที่ดูดีทั้งตอนใส่เสื้อผ้าและตอนแก้ผ้าแบบนี้อยู่ในโลกอีก

คอร์เนลดูดีจนหล่อนแทบจะลืมหายใจ จนหล่อนแทบอยากให้เวลาหยุดหมุน และหล่อนก็จะกล่อมให้เขาอยู่ในอ้อมแขนของตัวเองตลอดไป

“เช็ดน้ำลายบ้างสิ หกแล้วน่ะ” ชายหนุ่มแซวเสียงขบขัน ขณะดึงบ็อกเซอร์ตัวจ้อยให้หลุดไปจากกายหนุ่ม และคราวนี้ยาหยีก็แทบจะหยุดหายใจซะจริงๆ หญิงสาวรีบหลับตาปี๋ทันทีเมื่อสายตาไม่รักดีเริ่มจะมองต่ำลงไปกว่าเอว

“ทำเป็นไม่เคยเห็นไปได้ ใช้งานมารู้ไม่กี่ครั้งแล้วนะ”

‘ไม่รู้ล่ะ หล่อนไม่กล้ามองตรงๆ นี่’ หญิงสาวคิดในใจก่อนจะสะดุ้งโหยงเมื่อรู้สึกถึงการมีตัวตนของคอร์เนล เขาลงมาในอ่างน้ำเมื่อไรกันนะ ทำไมหล่อนถึงไม่รู้ตัวล่ะ

“ปล่อยค่ะ ไหนว่าจะขัดตัวให้ไงคะ”

เมื่อถูกกอดรัดจากทางด้านหลังทำให้สาวน้อยอ่อนเปลี้ยไปหมดทั้งกายและใจ การแนบชิดกันโดยมีสายน้ำโอบล้อมไว้แบบนี้ มันช่างทำให้อารมณ์กระเจิดกระเจิงได้ง่ายดายเหลือเกิน ก็ดูสิ ตอนนี้ร่างกายของหล่อนเหลวแทบกลายเป็นขี้ผึ้งโดนไฟลนอยู่แล้วนะ ทั้งๆ ที่กำลังอยู่ในน้ำชัดๆ สาวน้อยถอนใจออกมา พยายามจะไม่ขยับตัวมากเกินความจำเป็น

“ได้กอดแบบนี้ ไม่อยากขัดตัวให้แล้วล่ะ อยากทำอย่างอื่นมากกว่า”

‘ดู๊…ดูสิ ดูพ่อสุดหล่อพูดเข้า ทำไมไม่อ้อมค้อมเลยนะ ดูสิทำร่างกายของหล่อนปั่นป่วนไปหมดแล้ว เลือดในกายก็เดือดพล่านร้อนฉ่า แถมช่องท้องยังปวดร้าวรุนแรงอีก’

“เอ่อ…แต่ว่า…เราควรจะ…”

แล้วเมื่อถึงที่สุด หล่อนก็ไม่สามารถประกอบคำพูดให้ออกมาเป็นคำได้เลยแม้แต่นิดเดียว สมองทำงานรวนจนพังพินาศยับเยิน ยิ่งตอนถูกพ่อเจ้าประคุณโอบประคองเต้างามเอาไว้แล้วใช้นิ้วขยี้ส่วนปลายแรงๆ ด้วยแล้ว หล่อนก็ยิ่งสติสตังหลุดกระเจิง

“อย่า…”

“ไม่มีทางหรอก ใกล้แบบนี้ แล้วยิ่งอยู่ในสภาพนี้ด้วย ผมไม่มีทางปล่อยคุณแน่” เขาพูดเสียงแหบพร่าเต็มไปด้วยอารมณ์หิวกระหาย ปลายจมูกร้อนผ่าวก้มลงซอนไซ้ซอกคอนุ่มของหล่อน ทั้งปากและลิ้นขบเม้มดูดดื่มผิวสาวจนเกิดร่องรอย

“ผมอุตส่าห์หนีออกไปทำงาน แต่คุณก็เรียกให้ผมกลับมาจนได้”

เขาพึมพำเมื่อหมุนร่างของหล่อนให้หันมาเผชิญหน้า มือใหญ่จับเรียวขางามให้ตวัดรอบเอวสอบของตัวเองเอาไว้ ก่อนที่ปากร้อนๆ จะก้มลงดูดรวบถันอวบสล้างเข้าไปในอุ้งปาก สาวน้อยครางฮือ เบียดกายเข้าหาด้วยความรัญจวน

“ดังนั้นผมไม่ปล่อยคุณแน่ ถึงแม้ว่าเราจะพึ่งแยกจากกันมาไม่ถึงสามชั่วโมงก็ตาม”

และทุกอย่างก็เริ่มต้นขึ้น เขาจูบดูดดื่มไปทั่วทั้งผิวสาว แสดงอภินิหารให้หล่อนรู้ว่าการร่วมรักในอ่างที่มีน้ำห้อมล้อมนั้นมันมีความสุขรุนแรงมากแค่ไหน หล่อนร้องแล้วร้องอีก ร้องจนเสียงแหบเสียงแห้ง แต่พ่อตัวดีก็ยังไม่ยอมหยุดรังแกเนื้อนวลของหล่อนแม้แต่นิดเดียว

จากที่เคยคิดว่าจะหยุดแค่ครั้งหรือสองครั้ง สุดท้ายแล้วมันก็ล่วงเลยมาเกือบเท่าตัว และกว่าที่หล่อนจะได้รับการขัดตัวจริงๆ จังๆ หล่อนก็ถูกพ่อสุดหล่อคอร์เนลตักตวงความสาวจนแทบจะหมดเรี่ยวหมดแรงคาอ่างน้ำเสียให้ได้

ห้องรับแขกดูคับแคบลงไปถนัดตาเมื่อบุรุษสายเลือดซีร์ยานอฟทั้งสองมาเผชิญหน้ากัน คอร์เนลแสดงความเคารพต่อผู้อาวุโสกว่าตามมารยาท ก่อนจะทรุดกายที่ใหญ่โตกว่าแขกเบื้องหน้ามากลงบนโซฟาหนังแท้เนื้อนุ่ม ใบหน้าหล่อเหลาระบายยิ้มแต้มริมฝีปากน้อย เมื่อเอ่ยทักทายอังเดร ซีร์ยานอฟ น้องชายของบิดาตัวเอง

“ต้องมีเรื่องสำคัญอย่างแน่นอนใช่ไหมครับ คุณอาถึงมาหาผมถึงที่แบบนี้”

“ได้ข่าวว่าได้เมียกลับมาด้วย อาก็เลยอยากเห็นหน้าเท่านั้นเอง”

อังเดรระบายยิ้มบางๆ ทุกความรู้สึกถูกซ่อนเร้นอยู่ในดวงตาสีเขียวจัดเฉกเช่นเดียวกับคอร์เนลจนมิดชิด

“ลูกสาวมหาเศรษฐีคนไหน ราชนิกุลประเทศอะไร หรือว่าเป็นแค่เด็กข้างถนน”

คอร์เนลรู้ดีว่าอังเดรกำลังเหยียดหยามตนเองอยู่ และเขาก็ไม่ใช่คนที่จะอดทนต่อคำพูดหยามหยันของใครต่อใครได้เช่นกัน

“มันไม่เกี่ยวกับคุณอา!”

เสียงคำรามที่ถูกเค้นออกมาจากลำคอของคู่สนทนาสายเลือดเดียวกันทำให้อังเดรลอบยิ้ม มองก็รู้ว่าเจ้าหลานชายคนนี้มันกำลังติดบ่วงอะไรอยู่

‘บ่วงรัก…และดูท่าทางจะติดแหง็กจนขึ้นยากซะด้วย’

“หลานสะใภ้ไม่เกี่ยวได้ยังไง ไหนล่ะเธออยู่ที่ไหน”

“ผมบอกแล้วไงว่าคุณอาไม่เกี่ยว อย่ามาวุ่นวายจนผมทนไม่ได้ดีกว่า”

ชายหนุ่มเค้นเสียงใส่หน้าอังเดรด้วยความหงุดหงิด รู้สึกไม่ต่างจากกำลังถูกส่งตัวเข้าเครื่องประหารยังไงยังงั้น

อังเดรแสยะยิ้ม จ้องมองหลานชายด้วยสายตาเป็นต่ออยู่หลายขุม ปกติเขาไม่เคยจะชนะหรือมีอิทธิพลใดๆ ต่อเจ้าหลานชายหัวแข็งคนนี้เลย แต่ครั้งนี้…แค่คำพูดไม่กี่คำของเขาที่เกี่ยวกับแม่เด็กคนนั้นสามารถทำให้คอร์เนลงุ่นง่านและทำอะไรไม่ถูก

“อย่าเสียมารยาทกับญาติผู้ใหญ่เพียงคนเดียวของแกแบบนี้สิคอร์เนล”

ยิ่งอังเดรหัวเราะดังเท่าไร คอร์เนลก็ยิ่งเดือดดาล เกรี้ยวกราดมากขึ้นเท่านั้น ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเขาจะทนฟังไม่ได้เพียงแค่ยาหยีถูกอังเดรสบประมาทเท่านั้นเอง

‘นี่เขาเป็นอะไรไปนะ ทำไมจะต้องหงุดหงิดไม่พอใจด้วย อังเดรจะว่า จะกล่าวยาหยี มันก็ไม่ใช่เรื่องของเขาสักหน่อย ในเมื่อเจ้าหล่อนก็แค่อีตัวที่เขายังไม่เบื่อเท่านั้นเอง…แล้วทำไมต้องโกรธด้วยนะ โกรธจนตัวสั่นเลยให้ตายสิ!’

คอร์เนลร้องถามตัวเองลั่นอยู่ภายในอก แต่ถึงจะร้องถามดังมากแค่ไหน คำตอบก็ไม่มีสำหรับเขาอยู่ดี

“หากคุณอาเลิกค้ายา เลิกค้าของเถื่อน เลิกค้าประเวณี และเลิกทำทุกอย่างที่ผิดกฎหมายเมื่อไร เมื่อนั้นแหละครับผมถึงจะยอมรับว่ามีญาติผู้ใหญ่ที่ชื่ออังเดร ซีร์ยานอฟอยู่อีกคนหนึ่ง” คอร์เนลลุกขึ้นยืนเมื่อขว้างคำพูดเลือดเย็นใส่หน้าอังเดรสำเร็จ

“ถ้าธุระของคุณอามีเพียงแค่มาดูตัวเมียของผมเท่านั้นละก็ กลับไปได้แล้วล่ะครับ เพราะผมยังไม่คิดจะแต่งงานในตอนนี้แน่”

อังเดรกัดฟันกรอดขณะลุกขึ้นยืนประจันหน้ากับหลานชายรูปหล่อปานเทพบุตร

“แล้วแม่เด็กสาวที่แกนอนกกนอนกอดอยู่ล่ะ เป็นอะไร?”

“ผมไม่จำเป็นต้องบรรยายให้ใครฟังเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัว”

คอร์เนลตัดบท เดินไปเกาะที่ริมหน้าต่าง หงุดหงิดฟุ้งซ่านอย่างรุนแรง ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเขาจะรู้สึกแย่ได้ถึงขนาดนี้เพียงแค่ได้ยินคุณอาของตัวเองพูดถึงยาหยีในลักษณะไม่ดีเท่านั้น

‘นี่เขาเป็นอะไรไปนะ ทำไมถึงต้องรู้สึกเจ็บแค้นแทนแม่ยาหยีคนนั้นด้วย เขาควรจะไม่รู้สึกอะไรสิ แต่นี่กลับร้อนเป็นไฟ อยากจะต่อยหน้าอาของตัวเองซะอย่างงั้น’

“ผมขอตัวนะครับ มีอย่างอื่นที่สำคัญกว่าการที่จะต้องมานั่งตอบปัญหาโลกแตกแบบนี้”

ว่าแล้วคอร์เนลก็ก้าวยาวๆ ออกจากห้องรับแขกไปด้วยใบหน้าบูดบึ้ง อังเดรรีบก้าวตามหลังไปติดๆ

“เดี๋ยวก่อนสิ ทำไมต้องโกรธอาด้วยล่ะถ้าหากไม่ได้คิดอะไรกับผู้หญิงคนนั้นจริงๆ”

ทั้งสองคนเดินมาหยุดที่ทางเดินผ่านช่องบันไดพอดี ซึ่งจังหวะนั้นเองยาหยีกำลังเดินลงมา อังเดรมองเห็นและเดาได้ว่ายาหยีเป็นใคร ในขณะที่คอร์เนลยืนหันหลังให้อยู่จึงไม่รู้ว่ามีบุคคลที่สามร่วมฟังการโต้ตอบของตัวเองกับอังเดรด้วย

“ผมไม่ได้โกรธ แต่ผมรำคาญ…ไปซะเถอะครับ อย่าให้ผมต้องไล่ซ้ำ!”

แม้จะเจ็บแค้นเจ้าหลานชายนอกคอกมากแค่ไหน แต่อังเดรก็ยังยืนหยัดระบายยิ้มไม่เลิก เพราะเขามั่นใจว่ากำลังจะทำให้คอร์เนลพบกับหายนะลูกหย่อมๆ ทีเดียวแหละ

อังเดรปรายตามองยาหยีที่ยืนนิ่งอยู่ที่บันไดชั้นล่างสุดเล็กน้อย ก่อนจะพูดยั่วโทสะหลานชายของตัวเองออกไปอีก

“งั้นก็บอกมาก่อนสิว่าผู้หญิงคนนั้นมาอยู่ที่นี่ในฐานะอะไร”

“ผมบอกให้ออกไปไง!”

“ถ้าแกไม่บอก อาก็จะถามอยู่อย่างนี้แหละ หรือว่าต้องการให้อาไปถามเด็กคนนั้นเอาเอง”

คอร์เนลกัดฟันแน่น หายใจฟืดฟาดด้วยความหงุดหงิดเดือดดาลเต็มพิกัด ขณะที่อังเดรแสยะยิ้มอย่างผู้กำชัยชนะเอาไว้ในมือ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผู้ชายฉลาดเฉียบแหลมและเพอร์เฟ็กต์ไปซะทุกเรื่องอย่างคอร์เนล ซีร์ยานอฟ จะมีจุดอ่อนกับเขาได้เหมือนกัน

“ถ้าคำตอบของผมมันจะทำให้คุณอาหายไปจากสายตาของผมได้โดยเร็วละก็ โอเค…ผมจะตอบ”

มือใหญ่สีแทนทั้งสองข้างยื่นไปข้างหน้า ก่อนที่คำพูดร้ายกาจต่อหัวใจของยาหยีจะกระเด็นออกมา

“นางบำเรอ…”

“แน่ใจหรือที่พูดน่ะ”

อังเดรหรี่ตามองหลานชายอย่างจับผิด ใบหน้าอวบอูมแทบจะซ่อนรอยยิ้มสะใจเอาไว้ไม่มิด

คอร์เนลไหวไหล่กว้างทรงพละกำลังของตัวเองน้อยๆ ก่อนจะย้ำชัดๆ ออกมาอีกครั้ง และมันก็ทำให้ยาหยีที่ยืนนิ่งอยู่ข้างหลังถึงกับเซทรุดแทบหมดแรง

“เธอเป็นนางบำเรอของผม…พอใจหรือยังครับคุณอา!”

จบคำพูดที่เต็มไปด้วยความหงุดหงิดนั้น คอร์เนลก็ก้าวยาวๆ เดินออกนอกตึกไปในพริบตา โดยไม่มีโอกาสจะได้เห็นร่างอรชรที่สั่นเทิ้มเพราะแรงสะอื้นของยาหยีแม้แต่นิดเดียว

อังเดรแสยะยิ้มสะใจ มองเจ้าหลานชายตัวร้ายขับรถหายไปจนลับตาแล้ว จึงหันมามองยาหยีเขม็ง เขาขยับตัวเข้าไปใกล้หญิงสาวก่อนจะเอ่ยออกไป

“ได้ยินชัดเต็มสองหูแล้วสินะ”

“ขอตัวนะคะ”

ยาหยีรีบกล้ำกลืนก้อนสะอื้นลงไปในอก ก้มหน้าตั้งใจจะเดินเลี่ยงออกไป แต่ก็ถูกชายวัยกลางคนตรงหน้าก้าวเท้าเข้ามาขวางทางเอาไว้ซะก่อน จากนั้นคู่สนทนาก็พ่นคำพูดเลือดเย็นใส่หน้าหล่อนอย่างอำมหิต

“อย่าคิดนะว่าฉันไม่รู้ว่าเธอเป็นใคร”

อังเดรจ้องมองยาหยีนิ่ง เห็นประโยชน์จากเด็กสาวตรงหน้าอย่างมหาศาลทีเดียว

“ยาหยี โรจน์มหามงคล…”

“คุณรู้จักชื่อฉันได้ยังไงกันคะ? หรือว่า…” สาวน้อยเบิกตากว้าง มองผู้ชายตรงหน้าด้วยความเคลือบแคลงใจ

อังเดรส่ายหน้าน้อยๆ ก่อนจะเฉลยให้อีกฝ่ายได้รับรู้

“เจ้าหลานนอกคอกมันไม่ได้บอกฉันหรอก แต่ฉันรู้จักเธอผ่านพ่อของเธอต่างหากล่ะ”

คำว่าพ่อของเธอทำให้ยาหยีถึงกับหน้าซีดเผือด

“พ่อ? คุณรู้จักพ่อของฉันด้วยหรือคะ แล้วตอนนี้พ่ออยู่ที่ไหน?”

คำถามร้อนรนกระวนกระวายของคู่สนทนาต่างวัยทำให้อังเดรแค่นยิ้มออกมา

“ตอนนี้พ่อของเธอสบายดี อยู่อย่างราชาเชียวแหละ”

คำตอบของอังเดรทำให้ยาหยีเป่าปากออกมาด้วยความโล่งอกโล่งใจ กำลังจะเอ่ยขอบคุณในความเมตตาของบุรุษตรงหน้า แต่แล้วก็ต้องชะงักค้าง หน้าซีดแล้วซีดอีก

“แต่มันจะต้องกลายเป็นผีไร้ญาติทันที หากเธอปฏิเสธที่จะร่วมมือกับฉัน แม่สาวน้อย”

ความเลือดเย็นที่พุ่งออกมาจากดวงตาและคำพูดของอังเดรทำให้ยาหยีต้องถอยหลังหนีขึ้นบันไดไปอีกขั้น ความหวาดกลัวถล่มยับอยู่ในอก

“อย่าทำอะไรพ่อของฉันนะคะ”

“ฉันไม่ทำอะไรพ่อของเธอหรอกน่า หากเธอร่วมมือกับฉันทำลายไอ้คอร์เนล…ทำลายมันให้สิ้นซาก!”

ทุกความแค้นเคืองแทบจะทะลุออกมาจากดวงตาสีเขียวหม่นของผู้ชายตรงหน้า ยาหยีตัวสั่น ปากสั่นระริก คิดไม่ถึงเลยว่าญาติพี่น้องกันจะจ้องทำลายล้างกันแบบนี้

‘แล้วหล่อนสามารถทำร้ายคอร์เนลได้อย่างนั้นหรือ?’

คำตอบก็คือไม่ ไม่ได้ หล่อนทำไม่ได้ หล่อนรักเกินกว่าจะทนเห็นเขาทุกข์ทรมานได้ ไม่…หล่อนไม่ทำ ไม่มีทางทำเด็ดขาด

“ไม่ค่ะ ฉันไม่ทำ!”

“มันเห็นเธอเป็นแค่ของเล่นแบบนี้ยังจะจงรักภักดีกับมันอีกหรือ โง่มากไปหรือเปล่ายาหยี”

สาวน้อยปล่อยน้ำตาให้ไหลพรากลงมาอาบแก้ม ใช่…หล่อนเจ็บปวดกับความไร้หัวใจของคอร์เนล แต่หล่อนไม่ได้อยากต้องการให้เขาพินาศ หล่อนทำแบบนั้นไม่ได้

“ต่อให้เขามองฉันเป็นอีตัว ฉันก็ทำร้ายเขาไม่ได้”

อังเดรยิ้มร้ายกาจ ขณะก้าวขึ้นบันไดตามประกบยาหยี

“ฉันไม่ได้ให้เธอยิงมันด้วยปืน หรือแทงมันด้วยมีดสักหน่อย ก็แค่ร่วมมือทำในสิ่งที่ฉันต้องการเท่านั้นเอง เอาน่า…ไม่ยากหรอก”

“ไม่ค่ะ ฉันไม่ทำ ต่อให้คุณฆ่าฉันตรงนี้ฉันก็ไม่!”

“เกิดอะไรขึ้นหรือคะคุณยาหยี แล้วนั่น…”

เสียงร้องอุทานของเชอรี่ที่ดังขึ้นเหมือนระฆังช่วยชีวิตยาหยีเอาไว้ หญิงสาวรีบเบี่ยงตัววิ่งลงไปหาหญิงร่างท้วมที่พึ่งเดินเข้ามาอย่างขวัญเสีย แถมยังกอดแขนแน่นอีกต่างหาก

“ไม่มีอะไรหรอก ฉันก็แค่ทำความรู้จักกับผู้หญิงของหลานชายเท่านั้นเอง”

“จริงหรือคะคุณยาหยี” เชอรี่ไม่เชื่อคำพูดของอังเดร จึงก้มหน้าลงมาหายาหยีที่ยืนตัวสั่นอยู่ข้างกาย

“ค่ะ ไม่มีอะไร…”

อังเดรหัวเราะร่วน ขณะเดินมาหยุดตรงหน้าเชอรี่และยาหยี

“ฉันไปก่อนนะแม่หนู แล้วคืนนี้หวังว่าจะได้พบเธอในงานเลี้ยงนะ”

ผู้ชายร้ายกาจคนนั้นไปแล้ว แต่หญิงสาวก็ยังตัวสั่นไม่เลิก

“ผู้ชายคนนั้นเป็นญาติของคอร์เนลจริงๆ หรือคะ”

“ใช่ค่ะ แต่ว่าทำไมถึงถามแบบนี้ล่ะคะคุณยาหยี” เชอรี่ถามกลับด้วยความสงสัย

“ป้าชักสงสัยแล้วสิว่า คุณอังเดรพูดอะไรกับคุณ”

ยาหยีก้มหน้านิ่ง กัดปากแน่นจนฟันแทบจะขบเข้าไปในเนื้อ สมองใคร่ครวญถึงคำพูดของผู้ชายคนเมื่อครู่นี้ครั้งแล้วครั้งเล่า

“ฉันไม่ทำอะไรพ่อของเธอหรอกน่า หากเธอร่วมมือกับฉันทำลายไอ้คอร์เนล…ทำลายมันให้สิ้นซาก!”

‘หากหล่อนนำคำพูดแบบนี้ไปบอกคอร์เนล เขาจะเชื่อหล่อนไหมนะ’

ร้องถามตัวเองด้วยความสับสน และคำตอบที่ได้ก็ทำให้หล่อนต้องเก็บทุกอย่างเงียบเอาไว้ในอก

ในสายตาของเขา หล่อนมันก็แค่อีตัว ดังนั้นคำพูดของหล่อนคงไม่มีความหมายอะไรหรอก และอีกอย่างบางทีผู้ชายคนนั้นอาจจะล้อเล่นก็ได้…

ล้อเล่นเหรอ แต่ทำไมสายตาของเขาไม่ได้มีร่องรอยของคำว่าล้อเล่นอยู่เลยนะ

“ไม่มีอะไรจริงๆ ค่ะ ไม่มีอะไร”

เชอรี่พยักหน้าช้าๆ

“ไม่มีก็ดีแล้วล่ะค่ะ นี่ป้ากำลังจะขึ้นไปตามคุณบนห้องนอนของนายน้อยอยู่พอดี”

“ตามฉันหรือคะ ตามทำไม?”

เอ่ยถามขณะเดินออกมาสูดอากาศโปร่งสบายนอกตึกใหญ่ ทิวไม้เขียวขจีถูกตัดแต่งอย่างประณีตงดงาม แต่ถึงมันจะสวยสดแค่ไหน มันก็ไม่สามารถเยียวยาความเจ็บช้ำในหัวใจที่เกิดจากคำพูดเลือดเย็นของคอร์เนลให้จางหายได้เลยแม้แต่นิดเดียว

“เธอเป็นนางบำเรอของผม…”

ทั้งๆ ที่เตรียมใจไว้อยู่แล้วว่าตัวเองอยู่ในฐานะใด แต่พอได้ยินจากปากของคอร์เนลเต็มๆ หูแบบนั้น มันก็มีผลทำให้หัวใจของหล่อนแหลกสลายไม่เหลือชิ้นดี

“นายน้อยพึ่งโทรมาบอกว่าให้ป้าพาคุณไปขัดตัวค่ะ คืนนี้นายน้อยจะพาคุณไปงานเลี้ยงด้วย”

“ฉันไม่ไป!”

ยาหยีหยุดเดิน ความขมขื่นอัดแน่นเต็มน้ำเสียง

“อย่าทิ้งโอกาสทองแบบนี้เชียวนะคะคุณยาหยี รู้ไหมว่านายน้อยน่ะไม่เคยควงผู้หญิงออกงานมาก่อนเลยตั้งแต่รุ่นหนุ่มจนถึงบัดนี้ คุณเป็นคนแรกรู้ไหมคะ”

น้ำเสียงของหญิงร่างท้วมข้างกายแสดงความตื่นเต้นนักหนา ซึ่งมันตรงข้ามกับความรู้สึกของหล่อนในขณะนี้นัก เจ็บปวด ร้าวราน และน้อยใจผู้ชายคนนั้นเป็นที่สุด

“นางบำเรอแบบฉันนี่นะ?” แค่นยิ้มขมขื่น น้ำตาที่พยายามซ่อนเอาไว้ค่อยๆ ทะลักออกมา

“ใครบอกล่ะคะว่าคุณเป็นแค่นางบำเรอ ถ้าเป็นแค่นั้นจริงๆ นายน้อยคงไม่ไล่แม่นางแบบหุ่นเอ็กซ์คนนั้นไปแล้วหันกลับมา…เอ่อ…สวีตกับคุณแทนหรอกค่ะ”

ใบหน้าหมองเศร้าถูกแทนที่ด้วยสีแดงระเรื่อทันทีเมื่อได้ยินคำพูดตรงไปตรงมาของคู่สนทนา ความขัดเขินทำให้หญิงสาวต้องรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างรวดเร็ว

“ยังไงฉันก็ไม่ไปเด็ดขาด”

พูดจบยาหยีก็สะบัดแขนและวิ่งหนีกลับไปยังเรือนซ้ายซึ่งเป็นห้องพักของตัวเองอย่างรวดเร็ว เชอรี่พยายามร้องเรียกแต่ก็ไม่เป็นผลเพราะหญิงสาวไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง

“เฮ้ย! ทำไมถึงเป็นแบบนี้นะเนี่ย”

แม่บ้านร่างท้วมเป่าปากออกมาด้วยความอ่อนอกอ่อนใจ ก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าไปในบ้านและต่อสายหาคอร์เนลทันที

“นายน้อยคะ คุณยาหยีเธอไม่ยอมไปขัดตัวค่ะ ดิฉันไม่รู้จะทำยังไงแล้ว”

คอร์เนลที่กำลังชื่นชมชุดราตรีสวยสดที่ตัวเองอุตส่าห์ให้เลขาฯ หน้าห้องเลือกมาให้สำหรับยาหยีถึงกับคอแข็งขึ้นมาในทันที เขาจับชุดราตรีราคาแพงระยับลงถุงกระดาษ ก่อนจะเค้นเสียงกรอกไปตามสายโทรศัพท์

“ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้นแหละเชอรี่ ในเมื่อยาหยีไม่ต้องการให้สาวใช้ขัดตัวให้ ฉันนี่แหละจะกลับไปขัดตัวให้เอง ดูสิว่าจะพยศต่อยังไง” ชายหนุ่มกระแทกกระบอกโทรศัพท์ลงกับแป้นแรงๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนและเดินอ้อมโต๊ะทำงานออกมาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยโทสะร้าย

เขาล่ะอุตส่าห์หนีออกมาทำงาน แต่เจ้าหล่อนก็ทำให้เขาต้องรีบแจ้นกลับไปหาอีกแล้ว นี่มันเรื่องโลกแตกอะไรกันนะ ทำไมเขาถึงต้องใส่ใจแม่ผู้หญิงชั้นต่ำคนนี้ด้วย แถมยังคิดจะควงหล่อนออกงานในคืนนี้เสียอีก นี่นายกำลังคิดบ้าอะไรอยู่น่ะคอร์เนล?

สภาพเตียงนอนที่แสนยุ่งเหยิงกับสภาพเสื้อผ้าเกลื่อนพื้นห้องตรงหน้าทำให้คนที่พึ่งจะมีแรงขยับตัวลุกขึ้นนั่งได้อย่างยาหยีหน้าร้อนแทบไหม้ ภาพรักเร่าร้อนแสนบ้าคลั่งที่คอร์เนลระเบิดมันใส่ร่างกายของหล่อนมันเลิศเลอและน่าหลงใหลเหลือเกิน

ทั้งปากทั้งมือและลิ้นร้อนๆ ของเขาทำงานได้อย่างดีเยี่ยมยิ่งกว่าทุกครั้งที่เคยได้สัมผัสผิวกายของหล่อน เขาบีบ เขาเฟ้นไปทั่วทุกซอกมุม เนื้อนุ่มแทบจะบี้แบนคาปากและมือใหญ่ จำได้ว่าเป็นหล่อนอีกแล้วที่ร้องขอให้เขาครอบครองกายสาว และก็เป็นหล่อนอีกแล้วที่พร่ำเพ้อเรียกร้องให้คนตัวโตดำเนินเพลงรักต่อเนื่องยาวนานไม่มีหยุด

น่าละอาย น่าขายหน้า และน่าอดสูนัก แต่…ในทุกความรู้สึกย่ำแย่นั้น มันซ่อนความหวานล้ำเลอค่าที่หาสิ่งใดเปรียบมิได้

หล่อนมีความสุขเหลือเกินยามที่อยู่ในอ้อมแขนของผู้ชายคนนี้ ผู้ชายที่ถึงจะปากร้าย ผู้ชายที่ถึงจะเหี้ยมโหดและในสมองไม่รู้จักคำว่าอ่อนโยน แต่เขาก็เป็นผู้ชายเพียงคนเดียวที่ทำให้หล่อนได้รู้จักกับความสุขสมของหญิงชายอย่างแท้จริง

“มีแรงลุกด้วยเหรอ”

เสียงทุ้มหูดังขึ้นเบาๆ

ยาหยีแก้มแดงก่ำ เผลอประสานสายตากับคนตัวโตที่ตอนนี้ลุกขึ้นนั่งตามหล่อนมาอีกคนแล้วอย่างจัง แต่แค่สบตาก็คงไม่สามารถทำให้กายสาวร้อนระอุได้ถึงเพียงนี้หรอก หากเขาไม่เปลือยแผงอกกว้างโชว์หราต่อหน้าต่อตาแบบไม่อายอย่างนี้

น้ำลายเหนียวขึ้นมาในทันที เมื่อสายตามองต่ำลงไปยังหน้าท้องที่หล่อนสัมผัสมาแล้วว่ามันแข็งยิ่งกว่าไม้กระดาน และทำท่าว่าจะต่ำลงไปอีก

“ชอบมองก็ไม่บอก จะได้แก้ผ้าให้ดูทั้งวันทั้งคืน”

เสียงเข้มของคนตัวโตทำให้ยาหยีสามารถละสายตาจากจุดอันตรายสุดๆ ของเขาได้อย่างหวุดหวิด

“คนบ้า!”

คอร์เนลหัวเราะร่วน ดึงร่างอรชรขึ้นมานั่งบนตักแกร่งของตนเอง ก่อนจะก้มลงซอนไซ้ซอกคอระหงด้วยความหิวกระหายไม่เสื่อมคลาย

“ทั้งๆ ที่เรามาราธอนกันมาตั้งสามสี่ยกแล้ว แต่ทำไมนะ ผมถึงยังไม่รู้สึกอิ่มในตัวคุณเลย ทำเสน่ห์กับผมหรือเปล่าลูกหยี”

คอร์เนลพึมพำเสียงแหบพร่าและทำท่าจะเดินหน้าต่ออีกครั้ง แต่ยาหยีก็รีบยกมือดันแผงอกกว้างเอาไว้เสียก่อน พร้อมกับพูดออกไปด้วยน้ำเสียงแง่งอนเมื่อสมองหวนนึกไปถึงภาพที่คอร์เนลแลกลิ้นกับแม่นางแบบสาวหุ่นสะบึมคนนั้นขึ้นมา

“ไม่อิ่ม ก็ไปนอนกับแม่เรนนี่สุดเซ็กซี่นั่นสิคะ หุ่นกระชากใจชายออกขนาดนั้น”

หญิงสาวไม่รู้เลยว่าน้ำเสียงที่ตัวเองใช้พูดออกมานั้นเต็มไปด้วยความหึงหวงแค่ไหน คอร์เนลอมยิ้มบางๆ เปลี่ยนจากการรุกรานซอกคอนุ่มมาเป็นพรมจูบใบหน้างามแทน ขณะที่มือใหญ่ลูบไล้ฟอนเฟ้นบั้นท้ายแน่นหนั่นอย่างมันมือ

“อยากให้ไปจริงๆ หรือเปล่า”

“ก็ไปสิ ฉันไม่มีสิทธิ์ห้ามอยู่แล้วนี่ และหากคุณสมองไม่เสื่อม คุณก็น่าจะจำได้นะคะว่าฉันอยู่ที่นี่ในฐานะอะไร”

คอร์เนลไหวไหล่กว้างของตัวเองอย่างไม่แยแส

“นางทาสไง ผมจำได้สิในเมื่อผมยัดเยียดให้คุณเป็นเอง” ดวงตาสีเขียวดุจมรกตเนื้อดีเข้มจัดเมื่อจับจ้องใบหน้าของหล่อน

“กลางวันทำงานในครัว แต่กลางคืนรับใช้ผมบนเตียง” นึกว่าคอร์เนลจะพูดอะไรที่มันรักษาน้ำจิตน้ำใจของหล่อนบ้างแต่เปล่าเลย พ่อเจ้าประคุณทูนหัวยังถนัดที่จะทำให้คู่สนทนาตกนรกเพราะวาจาของตัวเองเช่นเคย

‘คนใจร้าย! คนใจดำ!’

“งั้นตอนนี้คุณก็ควรจะปล่อยฉันลงจากตักของคุณซะ เพราะมันยังกลางวันอยู่ นางทาสอย่างฉันต้องไปทำงานในครัว”

ยาหยีดิ้นรนสุดฤทธิ์สุดเดช แต่ยิ่งดิ้นรนกายหนุ่มทรงพละกำลังที่หล่อนกำลังสัมผัสอยู่ก็ยิ่งมีชีวิตชีวาขึ้นจนน่าตกใจ

“มือคุณเจ็บ ล้างจานหั่นผักไม่ได้หรอกน่า อยู่บนเตียงกับผมดีกว่า ใช้มือนุ่มๆ ลูบไล้ร่างกายของผมเหมือนกับที่คุณพึ่งทำไปเมื่อกี้นี้ยังไงล่ะ”

คอร์เนลระบายยิ้มกระชากใจออกมา และมันก็ทำให้กายสาวปั่นป่วนอย่างรุนแรงเลยทีเดียว

“ผมชอบมากรู้ไหมทูนหัว”

เขาจ้องเอาๆ จนหล่อนแทบละลาย ความขัดเคืองใจที่มันมาพร้อมกับความหึงหวงกำลังเหือดแห้งไปทีละน้อย และสุดท้ายก็สลายหายไปจนหมด เมื่อริมฝีปากร้อนผ่าวกำลังจะประทับลงมา ยาหยีหลับตาพริ้มเผยอปากรอคอยด้วยอารมณ์หิวกระหายมากมายเช่นกัน

“ลืมตาแล้วอ้าปากรอผมสิลูกหยี”

สาวน้อยลืมตาขึ้นอย่างว่านอนสอนง่าย คอร์เนลระบายยิ้มพึงพอใจ ขณะเอียงศีรษะประกบปากลงมาหา ลิ้นแกร่งแทรกลึกเข้าไปเกี่ยวกระหวัดรัดรึงลิ้นเล็กแสนหวานเอาไว้อย่างแนบแน่น หยอกล้อ ยั่วเย้าจนสาวน้อยครางไม่หยุด มือใหญ่บีบตะโบมเนินเนื้อเต้างาม แสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของไปทั่วทุกอณูเนื้อของผิวสาว

“จำเอาไว้นะ แม่ลูกหยีแสนหวาน…”

เขากระซิบชิดปากบวมเป่งของหล่อน

“คุณเป็นของผม…เพียงคนเดียว”

และเมื่อหล่อนพยักหน้ารับ เขาก็ระบายยิ้มพึงพอใจออกมาอีกครั้ง แก้มสาวแดงก่ำ หัวใจเต้นแรงระรัวผิดจังหวะไปได้อย่างน่าตกใจ

“คุณสวยมาก…หวานมาก และผมก็…ต้องการคุณมากเหลือเกิน”

เขาพึมพำและก้มลงครอบครองปลายถันสีกุหลาบเอาไว้ด้วยความหิวกระหายเนิ่นนาน สาวน้อยคร่ำครวญ เส้นผมสีดำขลับสะบัดไปมาอยู่กลางแผ่นหลัง หยัดกายเข้าหาฝ่ามือใหญ่ที่กำลังบีบเคล้นเต้างามอวบสล้างด้วยความเต็มอกเต็มใจเป็นที่สุด

“คอร์เนล…ได้โปรด…”

“หัดอดทนบ้างสิแม่ลูกหยี รออีกนิด…ให้ผมชิมรสชาติความหวานของคุณอีกครั้งก่อน”

คอร์เนลดันร่างอรชรที่นั่งส่ายระริกอยู่บนตักแกร่งของตัวเองให้นอนหงายลงไปบนเตียงอีกครั้ง กำลังจะทาบทับลงไปคลุกเคล้า แต่เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นขัดจังหวะซะก่อน

“คอร์เนล อย่าไป…”

รั้งเขาไว้เมื่อเห็นคนตัวโตทำท่าจะผละออกห่าง

“ผมจะกลับมาหาคุณน่าทูนหัว รอเดี๋ยวเดียว”

คอร์เนลกัดฟันข่มความปรารถนาของตัวเอง จากนั้นก็ก้าวลงไปจากเตียง มือใหญ่เอื้อมไปหยิบเสื้อคลุมมาสวมใส่ลวกๆ ก่อนจะเดินออกจากห้องนอน ตรงไปยังประตูหน้าห้อง และเปิดมันออก

“มีอะไร?”

เชอรี่เห็นสภาพของคอร์เนลแล้วก็อดหน้าแดงไม่ได้ เพราะไม่ต้องเดาเลยก็รู้ว่านายน้อยของหล่อนกำลังทำสงครามเกี่ยวกับอะไรอยู่ ก็ผมยุ่งเหยิง ทั้งเนื้อตัวมีเพียงเสื้อคลุมแค่ตัวเดียวแบบนี้ จะกำลังทำอย่างอื่นไปได้ยังไง นอกจาก…

“เอ่อ…คุณอังเดรมาหานายน้อยค่ะ”

ความวาบหวามผุดไปจากร่างกายในทันทีเมื่อได้ยินชื่อของญาติฝ่ายพ่อที่เหลืออยู่เพียงคนเดียว คอร์เนลขบกรามแน่น ดวงตาสีเขียวเข้มจัดน่ากลัว

“พาไปรอที่ห้องรับแขกทางปีกซ้าย อีกสิบนาทีฉันจะลงไป”

“ค่ะนายน้อย”

คอร์เนลปิดประตูและเดินกลับเข้ามายังเตียงนอนที่มีแม่ลูกหยีแสนหวานนอนระทดระทวยรอสังเวยอยู่ เขาทรุดตัวลงนั่ง ยื่นมือไปลูบปทุมถันอวบสล้างที่ชูชันท้าทายสายตาอย่างแผ่วเบา ก่อนจะถอนใจออกมาด้วยความเสียดาย

“ผมขอโทษนะที่ไม่สามารถทำมันต่อจนจบได้”

มือใหญ่ดึงร่างอรชรขึ้นมาสวมกอดแน่น พร้อมกับก้มลงจูบหน้าผากกว้างด้วยความอ่อนโยนจนคอร์เนลเองก็ยังตกใจ

“ผมไม่ชอบทำอะไรเร็วๆ โดยไร้คุณภาพ”

ยาหยีแก้มแดงก่ำ ก้มหน้านิ่ง หัวใจพองโตคับอกกับความอ่อนหวานของผู้ชายตัวโตตรงหน้า

“แต่ผมจะชดเชยให้คืนนี้ทั้งคืน”

หล่อนได้ยินเสียงเขาถอนใจแรงๆ ก่อนที่จะผละออกห่าง คอร์เนลเดินหายเข้าไปยังห้องแต่งตัวที่อยู่ติดกัน เพียงไม่กี่นาทีก็ออกมาพร้อมกับชุดลำลองสีขาวสะอาด ส่งผลให้คนสวมใส่ที่หล่อกระชากวิญญาณอยู่แล้วยิ่งหล่อขั้นเทพมากขึ้นอีกหลายเท่าตัว

ยาหยีเผลอตัวมองเขาด้วยความอาลัยอาวรณ์ รู้สึกไม่เคยเพียงพอเลยไม่ว่าจะอยู่ในอ้อมแขนของผู้ชายคนนี้นานแค่ไหนก็ตาม

“ถ้าคุณมองผมแบบนี้นานๆ อาอังเดรคงต้องรอต่อไปถึงเย็นแน่ๆ เลยแม่ยาหยีแสนหวาน”

คอร์เนลยิ้มและเดินเข้ามากดจูบปากหล่อนอีกครั้ง และทำท่าจะเลยเถิดเมื่อแม่ลูกหยีแสนหวานเล่นตอบสนองอย่างกระตือรือร้น

“ไว้คืนนี้นะ…ผมต้องลงไปคุยกับอาอังเดรจริงๆ”

หนุ่มหล่อกัดฟันผละออกห่างสาวน้อยที่เขารู้ว่าหวานฉ่ำไปทั้งเนื้อทั้งตัวอีกครั้ง พร้อมกับถอยห่างออกไปจากเตียงนอนหลายก้าว

“หากเบื่อที่จะนอนก็ลงไปเดินเล่นรอบๆ บ้านก็ได้นะ แต่ไม่ต้องเข้าไปทำงานในครัวล่ะ เพราะมือของคุณโดนน้ำไม่ได้ มันจะแสบ”

คล้ายกับเขาห่วงใย แต่ไม่ใช่หรอก คอร์เนลคงกลัวว่ามือของหล่อนจะเจ็บและให้บริการเขาได้ไม่ดีอย่างที่ตัวขาต้องการมากกว่า ความเศร้าหมองระคนน้อยใจทำให้กระบอกตาร้อนผ่าว

“ค่ะ”

“น่ารักจัง”

คอร์เนลเอ่ยชมพร้อมกับระบายยิ้มให้ก่อนจะก้าวหายออกไปจากห้องนอนใหญ่ และเมื่ออยู่ตามลำพังยาหยีก็ต้องถอดถอนใจออกมาไม่ได้เมื่อเห็นสภาพบอบช้ำยับเยินของตัวเอง แม้หล่อนจะมีความสุขราวกับได้ขึ้นสวรรค์เวลาอยู่ใต้ร่างของคอร์เนล แต่พอเขาผละจากไปแล้ว นรกอเวจีก็พลันเคลื่อนมาครอบงำเอาไว้จนมืดมิด

หญิงสาวขยับกายลงจากเตียงใหญ่นุ่มหนา ก้มลงควานหาเสื้อผ้าของตัวเองที่ถูกคอร์เนลเหวี่ยงมันไว้รอบๆ เตียงด้วยความอดสู หล่อนก็แค่ของเล่น ก็แค่ทาสบำเรอความใคร่ของเขาเท่านั้นแหละ พอเขามีอารมณ์ก็จะมาหา แต่พอหมดประโยชน์ เขาก็ถีบหัวหล่อนส่งอย่างไม่ไยดี

ยาหยีถอนใจออกมาอีกครั้ง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรตัวเองถึงได้รู้สึกน้อยอกน้อยใจในตัวคอร์เนลมากมายถึงเพียงนี้ ทั้งๆ ที่เขาก็บอกแล้วไงว่าจะมาต่อที่ค้างไว้ให้จบอีกครั้งตอนกลางคืน แล้วทำไมยังต้องเก็บเอามาน้อยอกน้อยใจด้วยนะ

หล่อนคงต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ ที่หลงละเมอคิดไปว่าคอร์เนลจะรู้สึกเช่นเดียวกับตัวเอง ไม่มีทางเป็นไปได้หรอก ผู้ชายถือตัวแถมหยิ่งสุดขั้วอย่างคอร์เนลไม่มีทางที่เขาจะมาชายตาแลผู้หญิงข้างถนนแบบหล่อนหรอก และที่เขาพาหล่อนมามอสโกด้วยก็เพียงเพราะว่าไม่มั่นใจว่าในท้องของหล่อนมีเลือดเนื้อเชื้อไขของเขาติดอยู่หรือเปล่าเท่านั้นเอง

‘ท้องหรือ? เมื่อกี้…คอร์เนลไม่ได้ใส่ถุงยางอีกแล้ว ทั้งครั้งแรกจนจบครั้งที่สี่…’

ยาหยียกมือขึ้นทาบอกของตัวเอง นี่เขาลืมหรือว่าจงใจกันแน่นะ ทำไมเขาถึงไม่ป้องกันทั้งๆ ที่เป็นเขาเองไม่ใช่เหรอที่หวาดกลัวว่าหล่อนจะตั้งท้องกว่าใครๆ ยิ่งคิดก็ยิ่งสับสน หญิงสาวก้มหน้าก้มตาสวมใส่เสื้อผ้าของตัวเองด้วยมือที่สั่นระริก และเมื่อสามารถซ่อนกายสาวชอกช้ำลงไปในเสื้อผ้าได้สำเร็จ หล่อนก็รีบเดินออกไปจากห้องนอนของคอร์เนลทันทีโดยไม่คิดจะหันกลับหลังมามองอีกเลยแม้แต่นิดเดียว

ภาพตรงหน้ามีผลทำให้กายสาวอ่อนเปลี้ยลงกะทันหัน ฝ่ามือที่ประคองถาดสเตนเลสที่บรรจุแก้วน้ำผลไม้เอาไว้สั่นระริกรุนแรง หญิงสาวพยายามสูดลมหายใจเข้าไปในปอดแรงๆ หลายต่อหลายครั้งติดกันแต่ก็ยังไม่สามารถบังคับตัวเองได้ และในที่สุดทุกสิ่งทุกอย่างในมือก็ร่วงกราวลงสู่พื้นห้องจนเกิดเสียงดังสนั่น และมันก็ทำให้หนุ่มสาวสองคนที่กำลังแลกลิ้นกันอยู่อย่างเมามันราวกับอดอยากปากแห้งมานานยุติบทรักเร่าร้อน แล้วหันมาจ้องหน้าหล่อนด้วยสายตาแตกต่างกัน

ผู้หญิงสวยเปรี้ยวเข็ดฟันที่กำลังนั่งอยู่บนตักแกร่งของคอร์เนลจ้องมองมาด้วยความไม่พอใจ ความเกรี้ยวกราดชิงชังฉายชัดอยู่ในดวงตาสีบรอนซ์เงินคู่นั้นอย่างมหาศาล แต่มันกลับไม่มีผลต่อร่างกายและหัวใจของหล่อนเท่ากับความห่างเหินเย็นชาจากสายตาสีเขียวดุจมรกตเนื้อดีที่เจ้าของขว้างมันเข้าใส่หน้าหล่อนอย่างไม่ปรานีเลยแม้แต่นิดเดียว

คอร์เนลกำลังจูบ หรือบางทีหากหล่อนไม่เข้ามาขัดจังหวะ เขาก็คงจะรูดซิปลงแล้วก็จัดการครอบครองแม่สาวสวยตาสีบรอนซ์บนโซฟาในห้องส่วนตัวเสียแล้วล่ะมั้ง ยาหยีกัดปากแน่น กัดฟันข่มความเจ็บปวด ก้มลงควานเก็บเศษแก้วที่แตกกระจายด้วยสติสตังที่เหลือน้อยนิด

“คนใช้ของคุณซุ่มซ่ามจังนะคะคอร์เนล”

แม่สาวคนนั้นจีบปากจีบคอกับผู้ชายที่เคยเป็นของหล่อน หญิงสาวน้ำตาซึม ความหึงหวงทำให้หัวใจเจ็บปวดจนเกินจะเยียวยาได้อีก

‘คอร์เนลทำเกินไปแล้ว ทำเกินไปแล้วจริงๆ’

ชายหนุ่มไม่ได้ตอบ แต่เลือกที่จะผลักร่างของแม่นางแบบสาวเมืองผู้ดีลงจากตัก และลุกขึ้นยืนตระหง่าน ทุกลมหายใจของเขาจับจ้องไปที่การเคลื่อนไหวของยาหยีตลอดเวลา ทั้งๆ ที่คิดว่าจะสามารถตัดใจ ตัดความโหยหาจากแม่สาวน้อยที่กำลังก้มหน้าก้มตาเก็บเศษแก้วอยู่ตรงหน้าได้ หากเขามีผู้หญิงสวยหยาดฟ้าคนอื่นอยู่ข้างกาย แต่…พยายามมาหลายต่อหลายชั่วโมง เขาก็ทำได้แค่จูบแม่นั่น ทำได้แค่จูบเท่านั้นจริงๆ ให้ตายเถอะ

ลมหายใจหนักหน่วงถูกพ่นออกมาจากปากของคอร์เนลเมื่อนึกถึงสาเหตุที่เขาลากแม่นางแบบหุ่นสะบึมค่าตัวแพงลิบลิ่วคนนี้มาที่บ้าน ทั้งๆ ที่ปกติไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนได้เข้ามาเหยียบที่นี่ด้วยความต้องการของเขามาก่อนเลยแม้แต่คนเดียว แต่เพื่อยั่วยวนยาหยี เขายอมทำทุกอย่างแม้มันจะผิดกฎเกณฑ์ที่ตัวเองตั้งไว้ และมันก็ได้ผลไม่ใช่หรือ ยาหยีตกใจจนหน้าซีดเมื่อเห็นเขาจูบกับผู้หญิงคนอื่น ดวงตากลมโตสีดำขลับหวานซึ้งเบิกกว้าง กลีบปากสาวที่เขาเคยลิ้มลองมานับครั้งไม่ถ้วนแต่ก็หาเบื่อไม่เผยอค้างราวกับกำลังเห็นปีศาจจากขุมนรกยังไงยังงั้น

“ไม่ยักจะรู้นะคะว่าคุณมีสาวใช้เป็นคนเอเชียด้วย”

ยาหยีกัดปากแน่นเมื่อแม่ผู้หญิงที่เคยนั่งอยู่บนตักของคอร์เนลเดินมาหยุดตรงหน้า ท่าทางของแม่นี่หาความเป็นมิตรได้ยากเหลือเกิน

“มันเรื่องส่วนตัวของผม”

พูดจบคอร์เนลก็ก้าวยาวๆ เดินผ่านประตูกระจกออกไปยืนรับลมที่ระเบียงไม้ ปล่อยให้สองสาวเผชิญหน้ากันตามลำพัง

“คงไม่ใช่นางบำเรอที่ถูกโละทิ้งใช่ไหมหล่อนน่ะ”

เมื่อถูกหาเรื่องซึ่งๆ หน้า ยาหยีจึงข่มความเจ็บช้ำเอาไว้ภายในอก ก่อนจะเงยหน้าขึ้นประสานสายตากับแม่สาวหุ่นสะบึมเขม็ง

“ฉันเป็นแค่คนใช้ค่ะ ดังนั้นเลิกหาเรื่องฉันดีกว่า”

“เอ๊ะ! แกนี่ ฉันพูดด้วยดีๆ ทำไมจะต้องมาขึ้นเสียงใส่ฉันด้วย เดี๋ยวจะตบให้คว่ำเลยคอยดู” แม่นางแบบสาวยกมือเงื้อจะฟาดใส่หน้าของยาหยีแต่ต้องค้างอยู่ในอากาศเพราะถูกมือใหญ่ของคอร์เนลที่เดินเข้ามาตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้กระชากเอาไว้ซะก่อน

“จะทำอะไรน่ะเรนนี่”

เจ้าของชื่อหันไปมองคนตัวโตด้านหลังที่พันธนาการมือของตัวเองเอาไว้

“ก็จะตบมันน่ะสิคะ ปากดีนัก”

“ห้ามยุ่งกับคนของผม”

คอร์เนลผลักร่างของเรนนี่จนกระเด็นไปชนกับผนังห้อง จากนั้นก็รีบก้มลงรวบมือบางของยาหยีเอาไว้ด้วยความห่วงใยเมื่อเห็นว่าหญิงสาวถูกเศษแก้วบาดมือจนเลือดออก

“ไม่เคยทำก็ควรจะบอกผมก่อน”

ยาหยีพยายามจะบิดมือออกแต่คอร์เนลไม่ยอมปล่อย

“อย่ามาสนใจสาวใช้อย่างฉันเลยค่ะ ผู้หญิงของคุณกำลังมองฉันตาเขียวปั้ดอยู่น่ะ” ตอนนี้ทั้งความน้อยใจ ทั้งความหึงหวงถล่มยับอยู่ในหัวอก อยากจะตะกุยใบหน้าหล่อเหลาของคอร์เนลให้หายแค้นนัก นี่เขาไม่รู้เลยหรือไงว่าหล่อนเจ็บแค่ไหนที่เห็นเขาจูบกับผู้หญิงคนอื่น

“หึงหรือไง”

“ฉันไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะหึงหวงนายน้อยได้หรอกค่ะ”

พยายามดึงมือของตัวเองออกแต่ก็ไม่สำเร็จเพราะคนตัวโตไม่ยอมปล่อย แถมยังก้มลงดูดเลือดจากปลายนิ้วของหล่อนด้วยอุ้งปากของตัวเองอีกต่างหาก ยาหยีเบิกตากว้างด้วยความตกใจ แต่มันก็ไม่เท่ากับเรนนี่ที่ยืนดูอยู่ใกล้ๆ แม้แต่น้อย

“คอร์เนลคะ นั่นคุณทำอะไรน่ะ ทำไมต้องทำแบบนั้นด้วย มันเป็นแค่คนใช้นะคะ”

เสียงแหลมปรี๊ดของนางแบบสาวทำให้คอร์เนลหันมามอง

“กลับไปได้แล้วเรนนี่”

“อะ…อะไรนะคะ นี่หมายความว่ายังไง”

นางแบบสาวถึงกับอ้าปากค้าง มองกิริยาอ่อนโยนของคอร์เนลที่แสดงต่อสาวใช้หน้าจืดด้วยความแปลกใจสุดขีด

“ผมบอกว่าให้คุณกลับไปยังไงล่ะ”

“ไหนว่าเราจะสนุกกันไงคะ แล้วทำไมคุณถึงไล่เรนนี่แบบนี้”

คอร์เนลลุกขึ้นยืนพร้อมๆ กับดึงร่างอรชรของยาหยีให้ลุกขึ้นตามมาด้วย

“กลับไปซะ”

“แต่ว่า…คอร์เนลคะ”

“อย่าให้ผมต้องให้เจ้ายักษ์หน้ารั้วมาลากคุณออกไปเลย ไปซะเรนนี่ เช็คของคุณอยู่ที่เซอร์เก”

เรนนี่ยืนกัดปากกำมือด้วยความเจ็บใจ ก่อนจะสะบัดหน้าและกระแทกเท้าออกไปจากห้องส่วนตัวของคอร์เนลทันทีเมื่อเจ้าของห้องไม่มีทีท่าว่าจะให้ความสนใจตัวเองอีก

“ตามเธอไปสิคะ ดูท่าทางโกรธน่าดูเลย” ยาหยีกัดฟันพูดประชดออกไป ขณะพยายามสะบัดตัวออกจากอ้อมแขนของคนตัวโตสุดฤทธิ์

“ผมไม่ชอบง้อใคร หรือจะง้อก็แค่คนสำคัญเท่านั้นแหละ”

หัวใจสาวเต้นระรัวอย่างรุนแรงทันทีเมื่อพ่อคนตัวโตเล่นกระซิบลงมาข้างหู ง้อเฉพาะคนสำคัญอย่างนั้นหรือ แล้วกับหล่อนนี่ คอร์เนลเรียกว่าง้อหรือเปล่านะ

“ปล่อยค่ะ”

“ไม่ปล่อยหรอก คุณต้องไปทำแผลก่อน มานี่ ห้องนอนผมมีกล่องปฐมพยาบาล”

เขารั้งร่างอรชรให้เดินตาม แต่เจ้าหล่อนก็ขืนตัวเอาไว้ซะอย่างนั้น คอร์เนลจึงหันกลับมามองด้วยสายตาเบื่อหน่าย

“ก็รู้ทั้งรู้นะว่าขัดคำสั่งผมไม่ได้ก็ยังจะทำอีก”

“ก็ไม่จำเป็นต้องไปห้องนอนคุณนี่คะ ฉันทำแผลเองได้”

พูดแล้วก็หน้าแดงก่ำเมื่อสมองจินตนาการภาพเร่าร้อนของหล่อนกับคอร์เนลขึ้นมาอย่างไม่สามารถห้ามปรามได้ และมันก็มีผลทำให้ร่างกายของหล่อนบีบเกร็งอย่างรุนแรง

‘โอ้…พระเจ้า ทำไมนะ ทำไมแค่สบตา แค่อยู่ใกล้ๆ ทำไมร่างกาย สมอง และหัวใจถึงได้อ่อนด้อยประสิทธิภาพลงอย่างน่าตกใจแบบนี้’

“ไม่ต้องเกรงใจหรอกน่า เพราะผมคิดค่าแรงคุ้มค่าแน่”

“ว้าย! ปล่อยฉันลงไปนะ คอร์เนล ปล่อยสิ…” ร้องลั่นเมื่อถูกคนตัวโตจับพาดบ่า ความสูงจากพื้นเกือบเจ็ดฟุตทำให้ยาหยีอดหวั่นกลัวไม่ได้

“อยากตกก็ดิ้นเข้าไป แต่ฝันไปเถอะว่าผมจะปล่อยคุณ” เขาก้าวอาดๆ ผ่านประตูกระจกเดินออกมายังระเบียงที่ทอดตัวยาวไปถึงส่วนซ้ายของคฤหาสน์แสนกว้างใหญ่ ระหว่างทางก็สวนกับเชอรี่และเซอร์เกที่คุยกันเดินผ่านมาทางนี้พอดี

“นายน้อย…”

เชอรี่อุทานออกมาเบาๆ ขณะชำเลืองมองมาที่หล่อนด้วยสายตายินดี ตรงข้ามกับเซอร์เกที่ตีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาในเฉียบพลัน

“มื้อเช้าไม่ต้องจัดนะเชอรี่ ยกไปให้ฉันกับคุณยาหยีที่ห้องนอนใหญ่”

จบคำสั่งเป็นชุดคอร์เนลก็ก้าวยาวๆ เดินไปตามพรมหนาทันที ทิ้งให้แม่บ้านวัยกลางคนยืนอมยิ้มแก้มแทบปริ

“นึกว่าจะทนได้สักกี่น้ำ ที่แท้ก็แค่คืนเดียวก็ต้องแจ้นมาลากตัวคุณยาหยีขึ้นห้องซะแล้ว ถ้าสถานการณ์ออกมาในรูปนี้ สงสัยนายหญิงของซีร์ยานอฟจะต้องมีชื่อว่ายาหยีแน่ๆ เลยว่าไหมเซอร์เก” หันไปถามชายวัยใกล้เคียงกันที่ยืนอยู่ข้างๆ แล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นใบหน้าของเซอร์เกอัดแน่นไปด้วยความวิตกกังวล

“ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะเซอร์เก ไม่ดีใจเหรอที่นายน้อยกำลังมีความรักน่ะ”

“ถ้ากับผู้หญิงคนอื่นผมคงจะดีใจ แต่กับคุณยาหยีผมกลัวเหลือเกิน” ในที่สุดเซอร์เกก็พูดความในใจออกมา และมันก็ทำให้เชอรี่ยิ่งงงเต๊กมากขึ้นไปใหญ่

“กลัว? กลัวอะไรกัน ในเมื่อคุณยาหยีเธอก็ออกจะแสนดีและไร้เดียงสาขนาดนั้น ดีกว่าแม่พวกบรรดานางเอกนางแบบทั้งหลายที่มาติดพันนายน้อยเสียอีก”

เชอรี่นึกย้อนไปถึงบรรดาคู่ควงคนเก่าๆ ของคอร์เนลแล้วก็ทำท่าขนลุกขนพอง ไม่มีใครเรียบร้อยและดูจริงใจเหมือนกับยาหยีเลยสักคนเดียว

“แต่คุณยาหยีเป็นลูกสาวของนายยอดชาย ซึ่งเป็นคนทรยศ แล้วอย่างนี้คุณเชอรี่จะคิดว่าเป็นสิ่งที่ดีหรือ หากข้างกายของนายน้อยมีหอกแหลมวางอยู่ใกล้ๆ”

“แต่ฉันก็ยังคิดว่าคุณยาหยีจะต่างไปจากพ่อของเธอนะ”

“ไม่มีทางต่างไปได้หรอกคุณเชอรี่ เพราะเลือดในตัวของคุณยาหยีครึ่งหนึ่งเป็นของนายยอดชาย”

เซอร์เกพูดออกมาด้วยความไม่สบายใจเต็มเปี่ยม ก่อนจะตัดสินใจเดินจากไปเงียบๆ เชอรี่มองตามไปและก็ถอนใจออกมากับท่าทางห่วงเจ้านายเกินเหตุของคู่สนทนา เซอร์เกหวงคอร์เนลทุกเรื่องไม่เว้นแม้แต่เรื่องบนเตียง

“บางเรื่องมันก็ต้องให้เจ้าตัวเลือกเองนะเซอร์เก” แม่บ้านวัยกลางคนพึมพำเบาๆ กับตัวเองขณะก้าวเท้ายาวๆ เดินตามเซอร์เกไปอีกคน

“นายน้อยเรียกผมมามีอะไรด่วนให้รับใช้หรือครับ”

เซอร์เกที่พึ่งจะก้าวข้ามธรณีประตูห้องเข้ามาเอ่ยถามหนุ่มหล่อที่กำลังยืนมองออกไปนอกหน้าต่างห้องด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

คอร์เนลหันกลับมาจ้องมองคนสนิทของตัวเองเขม็ง ใบหน้าสมบูรณ์แบบไร้ที่ติดุกระด้างน่ายำเกรงยิ่งนักจนคนมองอย่างเซอร์เกแทบจะหายใจไม่ทั่วท้อง

‘นายน้อยของเขากำลังโกรธ กำลังไม่พอใจ และแน่นอนว่ากำลังจะระเบิดมันออกมาในไม่ช้านี้’

“นายพูดอะไรกับยาหยี”

“ผมหรือครับ”

ยิ่งเซอร์เกอ้ำอึ้ง คอร์เนลก็ยิ่งเดือดดาล

“ก็นายนั่นแหละ! บอกมาว่าพูดอะไรกับเธอ”

ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องเกรี้ยวกราดขนาดนี้ด้วย ทำไมต้องรู้สึกเจ็บแค้นแทนแม่ผู้หญิงแพศยาอย่างยาหยีด้วยนะ

“ผม…”

“อย่าให้ฉันต้องพูดซ้ำ เซอร์เก!”

คอร์เนลเค้นเสียงคำรามดุดัน เซอร์เกหน้าซีดเผือด มองนายน้อยของตัวเองด้วยความตื่นตกใจ คอร์เนลไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน

“ผม…ผมเป็นห่วงนายน้อยครับ ผมก็เลยบอกให้คุณยาหยีไปจากนายน้อยทันที หากรู้ตัวว่าไม่ได้ตั้งท้องทายาทของซีร์ยานอฟ” ในที่สุดเซอร์เกก็สารภาพออกไป

“มันเรื่องส่วนตัวของฉัน นายเลิกวุ่นวายสักทีเถอะ”

“แต่ผม…ผมอยากให้นายน้อยอยู่ห่างจากผู้หญิงคนนี้” เซอร์เกมองหน้าคอร์เนลด้วยสายตาจงรักภักดี ซึ่งชายหนุ่มสามารถรับรู้มันได้อย่างชัดเจน แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่สามารถจะทำตามคำเตือนของคนสนิทได้ ทั้งๆ ที่อยากจะทำใจจะขาด

“เธออันตรายสำหรับนายน้อยมากนะครับ”

“ขอบใจที่เป็นห่วงนะเซอร์เก แต่ฉันดูแลตัวเองได้ ออกไปได้แล้ว”

แม้จะถูกไล่ซึ่งๆ หน้าแต่เซอร์เกก็ยังดึงดัน

“แต่นายน้อยครับ ผม…”

“ไปซะเซอร์เก ก่อนที่ฉันจะหมดความอดทน”

เมื่อคราวนี้คอร์เนลเค้นเสียงไล่ดุดันขึ้น เซอร์เกจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเดินคอตกออกไปจากห้องนอนของเจ้านายหนุ่มอย่างเงียบกริบ

คอร์เนลถอนใจออกมาแรงๆ ครั้งแล้วครั้งเล่าเมื่อนึกถึงคำพูดของคนสนิท เซอร์เกจงรักภักดีแค่ไหนเขารู้และเข้าใจดี แต่…เรื่องนี้เขาไม่สามารถจะทำตามคำแนะนำของเซอร์เกได้ เขาไม่อาจที่จะขจัดยาหยีออกไปจากเส้นทางชีวิตได้ อย่างน้อยๆ ก็ในช่วงเวลานี้

รออีกหน่อย อีกนิดเดียว รอให้เขาเบื่อหน่ายและสะอิดสะเอียนในตัวของเจ้าหล่อนก่อน และเมื่อนั้นเขาจะเตะโด่งยาหยีให้หลุดไปนอกโลกเลยทีเดียว คอยดูสิ ชายหนุ่มระบายยิ้มบางๆ ออกมาอย่างชื่นชมในความคิดของตัวเอง ขณะเดินกลับมาทรุดกายนั่งลงบนที่นอน

“พรุ่งนี้ผมจะทำให้คุณรู้ซึ้งถึงการถูกทรยศ…ยาหยี” เรือนกายกำยำเอนตัวลงไปนอนหงายบนเตียงแรงๆ ดวงตาสีเขียวจัดจ้องมองเพดานห้องนิ่ง พยายามจะข่มตาให้หลับแต่ภาพของแม่ยาหยีตัวแสบก็ปรากฏซ้อนทับขึ้นมาเสียนี่ เจ้าหล่อนกำลังเปลื้องผ้าออกทีละชิ้นจนล่อนจ้อน จากนั้นก็โยกย้ายส่ายสะโพกไปมา แถมยังกวักมือเรียกเขาอีกแน่ะ

“ระยำ!” คอร์เนลสบถหยาบคายออกมา ขณะผุดลุกขึ้นนั่ง ใบหน้าหล่อเหลาแดงก่ำด้วยความเดือดดาลเมื่อเห็นสภาพร่างกายของตัวเอง

ทำไมนะ ทำไมร่างกายของเขาถึงได้ไม่รักดีอย่างนี้ แค่สมองจินตนาการภาพบ้าๆ นั้นขึ้นมา เรือนกายก็ตื่นเร้าอย่างบ้าคลั่ง ชายหนุ่มกระแทกกำปั้นกับที่นอนหลายต่อหลายครั้งด้วยความเกรี้ยวกราด เกลียดตัวเองเหลือเกินที่ไม่เคยต้านทานแรงเสน่ห์ของยาหยีได้เลยแม้แต่นิดเดียว

ร่างกายโหยหาจนอยากจะวิ่งออกไปจากห้องและมุ่งหน้าไปหาหญิงสาวที่เรือนซ้ายครั้งแล้วครั้งเล่า อยากจะจับร่างอรชรเปลื้องผ้าเสียให้หมด จากนั้นก็ครอบครองให้หายคลั่ง

คอร์เนลกัดฟันเสียงดังกรอดๆ ข่มความอยากเอาไว้ในอก ขณะฝืนใจล้มตัวลงนอนบนเตียงอีกครั้ง แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่สามารถข่มตาให้หลับลงได้ จนในที่สุดชายหนุ่มก็ต้องลุกขึ้นจากเตียง และก้าวยาวๆ ออกจากห้องนอนไปจนได้

เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นติดต่อกันหลายครั้งทำให้ยาหยีที่พึ่งข่มตาให้นอนหลับลงไปได้แค่เพียงไม่ถึงสองชั่วโมงต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมา มือบางยกขึ้นขยี้ตาด้วยความงัวเงีย ก่อนจะยันกายลุกขึ้นแล้วเดินโซเซไปเปิดประตูห้อง

“ป้าเองเหรอ” เมื่อเห็นว่าเป็นเชอรี่ที่ยืนอยู่หลังประตู ยาหยีก็ฝืนยิ้มออกมา

“นายน้อยสั่งให้ป้ามารับคุณไปช่วยทำอาหารในห้องครัวค่ะ”

คำพูดเบาๆ ของหญิงร่างท้วมมีผลทำให้ใบหน้าของยาหยีถูกแต่งแต้มด้วยความเจ็บปวดมากขึ้นกว่าเดิมอีกหลายเท่าตัว ยาหยีพยายามปั้นยิ้มและกลืนน้ำตาลงไปในอก ก่อนจะบังคับเสียงให้ราบเรียบเป็นปกติที่สุดเมื่อเอ่ยออกไป

“ฉันขอเวลาล้างหน้าสักนิดหนึ่งได้ไหมป้า”

“ได้สิคะ เดี๋ยวป้ายืนรอหน้าห้องนี่แหละ เอ่อ…แล้วนี่…”

ยาหยีก้มลงมองสิ่งที่แม่บ้านต่างวัยยื่นมาให้

“อะไรหรือจ๊ะป้า”

“ชุดฟอร์มสาวใช้ของคฤหาสน์ซีร์ยานอฟค่ะ นายน้อยให้…เอ่อ…ให้คุณใส่ชุดนี้ด้วยค่ะ”

น้ำตาแทบจะไหลรินออกมา แต่ก็ฝืนเอาไว้ได้ทัน กัดปากแน่นจนไม่รู้สึกเจ็บอีก ขณะเอื้อมมือไปหยิบสิ่งที่เชอรี่ส่งให้มาถือเอาไว้

“ฝากไปขอบคุณนายน้อยของป้าด้วยนะคะ ที่อุตส่าห์วางแผนชีวิตให้กับฉันทุกอย่าง”

พูดออกไปด้วยความน้อยใจ

“คุณคงต้องไปขอบคุณเองแหละค่า ป้าไม่กล้าหรอก”

เชอรี่มองคู่สนทนาสาวด้วยความเวทนา ไม่เข้าใจการกระทำของคอร์เนลเลยแม้แต่น้อย ทั้งๆ ที่ดูเหมือนจะรักมาก แต่ทำไมถึงได้กลั่นแกล้งคนที่รักได้มากมายขนาดนี้นะ

“เดี๋ยวฉันแต่งตัวเสร็จ จะรีบไปกราบขอบคุณค่ะ” ยาหยีประชดประชันออกไป ขณะหมุนตัวหันหลังให้กับคู่สนทนา

“ตอนนี้คงไม่ได้หรอกค่ะ นายน้อยไม่อยู่ ออกไปตั้งแต่ตีสอง ป่านนี้ยังไม่กลับเลยค่ะ ไม่รู้เหมือนกันค่ะว่าหายไปไหน ถามเซอร์เกก็ไม่รู้เรื่องเหมือนกัน”

น้ำเสียงของเชอรี่เต็มไปด้วยความแคลบแคลง แต่ยาหยีหาได้สงสัยใดๆ เลยสักนิด เพราะหล่อนพอจะเดาได้ว่าคอร์เนลหายไปไหน

“ที่นี่ผมมีผู้หญิงรอให้บริการเพียบ คุณอาจจะต้องนอนเหงาไปตลอดทั้งเดือน หรืออาจจะตลอดไปเลยก็ได้ หากผมรู้ตัวว่าหมดความอยากต่อร่างกายของคุณ”

นี่ไง คำพูดของเขาที่มันเข่นฆ่าหล่อนมาตลอดทั้งคืน เจ็บจนหัวใจแหลกสลาย เจ็บจนต้องนอนร้องไห้ เจ็บปวดเหลือเกินกับความใจร้ายของผู้ชายคนนี้

“งั้นก็ช่างเถอะค่ะ ไว้เขากลับมาฉันค่อยไปขอบคุณก็ยังไม่สายหรอกค่ะ ฉันขอตัวเข้าไปอาบน้ำก่อนนะคะ อีกเดี๋ยวจะรีบออกมา”

ยาหยีเอ่ยปิดการสนทนาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ขณะก้าวหายเข้าไปในห้องน้ำเล็กๆ ที่อยู่ด้านในอย่างรวดเร็ว และเมื่ออยู่ตามลำพัง น้ำตาที่ซ่อนเอาไว้ก็ทะลักทลายออกมาอย่างรุนแรง ความเจ็บปวด ชอกช้ำ กระหน่ำซัดเข้าใส่หัวใจอย่างรุนแรง

“คนใจร้าย…คนใจดำ…”

มือเรียวเอื้อมไปเปิดน้ำเย็นๆ จากฝักบัวให้สายน้ำไหลรดผ่านศีรษะลงมาแรงๆ ราวกับต้องการให้สายน้ำช่วยล้างความเจ็บปวดออกไปจากหัวใจของตัวเอง แต่มันก็ไม่สำเร็จเพราะต่อให้ใช้น้ำหมดทั้งโลกมันก็คงไม่สามารถชะล้างความชอกช้ำระกำใจที่เกิดจากการกระทำของคอร์เนลให้หมดไปได้เลยแม้แต่นิดเดียว

“ทำไมฉันถึงเกลียดคุณไม่ลงสักทีนะคอร์เนล ทำไมฉันถึงต้องรักคุณ”

ร่ำไห้คร่ำครวญปานจะขาดใจเมื่อภาพของคอร์เนลที่กำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงกับผู้หญิงโชคดีคนหนึ่งที่ไม่ใช่หล่อนผุดขึ้นมาในสมอง ทั้งๆ ที่รู้ตัวว่าไม่มีสิทธิ์ แต่หล่อนก็ไม่อาจจะตัดความหึงหวงที่กำลังท่วมท้นหัวใจได้เลยแม้แต่นิดเดียว

สิบกว่าชั่วโมงที่นั่งหลับนั่งตื่นอยู่บนเครื่องบินส่วนตัวหรูหราของพ่อมาเฟียหน้าหยกแสนหล่ออย่างคอร์เนล หญิงสาวกัดปากแน่น ขยุ้มฝ่ามือลงบนที่เท้าแขนเก้าอี้ที่ตัวเองนั่งอยู่แน่น เมื่อคนที่นั่งใกล้ๆ ก้มหน้าลงมากระซิบบอกว่าเครื่องบินกำลังแล่นลงจอด

กรุงมอสโก…

เมืองหลวงของประเทศรัสเซีย ประเทศมหาอำนาจแห่งโลกตะวันตก เมืองที่เต็มไปด้วยวัฒนธรรมอันเก่าแก่น่าหลงใหล และสถาปัตยกรรมที่สวยงามแห่งหนึ่งของโลก

มือสั่น ใจสั่น เมื่อถูกคนตัวโตลากให้ก้าวลงมาจากบันไดเครื่องบินส่วนตัวลำใหญ่ สายลมเย็นยะเยือกพัดเข้าปะทะร่างกายอย่างรุนแรง แทบปลิวไปตามแรงลมหากไม่มีร่างกายกำยำของคอร์เนลให้เกาะเกี่ยว

แม้เขาจะร้ายกาจ เย็นชา และไร้หัวใจกับหล่อนอย่างที่สุด แต่ยามที่มีเขาอยู่ข้างกาย หล่อนกลับไม่รู้สึกอ้างว้างเลยแม้แต่นิดเดียว

ด้วยมัวแต่จ้องหน้าคนที่เดินข้างๆ ทำให้ยาหยีพลาดสะดุดกับพรมที่เผยอขึ้นเล็กน้อยจนแทบจะล้มลงไปนั่งจ้ำเบ้ากับพื้น แต่โชคดีที่คอร์เนลคว้าเอาไว้ได้ทัน

“มองทาง ไม่ใช่มองหน้าผม”

“ฉัน…”

“ไม่ต้องเถียง เร็วเข้า รถจอดรออยู่ข้างหน้า”

คอร์เนลปล่อยหล่อนให้เดินเอง ขณะที่เขาก้าวยาวๆ เดินนำหน้าหายเข้าไปในรถคันยาวเฟื้อยแบบเดียวกันที่หล่อนเคยเห็นเขาใช้เป็นประจำตอนที่อยู่เมืองไทย กำลังจะรีบก้าวตามขึ้นไปแต่เสียงเซอร์เกก็ดังขึ้นจากทางด้านหลังซะก่อน

“ผมรู้ว่าคุณถูกลากมาที่นี่ แต่ผมอยากขอร้องให้คุณรีบไปจากนายน้อยทันที หากรู้ว่าตัวเองไม่ได้ตั้งท้องเลือดเนื้อเชื้อไขของซีร์ยานอฟ”

เท้าที่กำลังจะก้าวเดินชะงัก กลีบปากอิ่มเต็มเม้มเข้าหากันแน่นจนเจ็บ และในที่สุดก็จำต้องหมุนตัวกลับไปเผชิญหน้ากับคนสนิทผู้จงรักภักดีเหลือหลายของคอร์เนลด้วยความขุ่นเคือง

“งั้นก็ช่วยไปบอกนายน้อยของคุณนะ ว่าอย่ามาวุ่นวายกับฉันอีก และถ้าหากทนไม่ได้จริงๆ ก็ให้ไปหาผู้หญิงคนอื่นมาแก้ขัด หรือไม่ก็หัดใช้ถุงยางอนามัยซะมั้ง!”

เซอร์เกยืนมองร่างอรชรที่แทบจะวิ่งหายเข้าไปบนรถคันเดียวกับคอร์เนลด้วยความตื่นตะลึง ไม่เคยคิดว่าผู้หญิงที่ดูเรียบร้อยอย่างยาหยีจะกล้าพูดเรื่องพวกนี้ใส่หน้าผู้ชายอย่างเขา

“เป็นไงครับน้าเซอร์เก ถูกคุณยาหยีตอกซะจนหน้าหงายแบบนี้รู้สึกยังไงบ้างครับ”

อีวานหัวเราะร่วนอยู่ทางด้านหลัง เซอร์เกหันไปมองตาขุ่นคลั่ก

“หุบปากไปเลย แล้วก็ไปขึ้นรถได้แล้ว เราจะต้องรีบตามนายน้อยกลับไปที่คฤหาสน์ซีร์ยานอฟ”

“แหม! พูดแค่นี้ก็ต้องทำเป็นโมโหด้วย”

อีวานยกมือขึ้นเกาหัวแกรกๆ ขณะเดินตามร่างของเซอร์เกไปขึ้นรถลีมูซีนที่จอดรออยู่อย่างรวดเร็ว ไม่ช้ารถคันหรูราคาแพงระยับจำนวนสี่คันก็แล่นตามกันไป มุ่งหน้าไปยังย่านเมืองของกรุงมอสโกซึ่งเป็นสถานที่ตั้งของอาณาจักรซีร์ยานอฟ

ความเงียบกลืนกินบรรยากาศรอบๆ ตัวอยู่นานพอสมควรทีเดียว กว่าพ่อคนตัวโตที่นั่งนิ่งมาตลอดทางจะทำลายความเงียบสงัดนั้นด้วยคำพูดเย็นชาไร้ความรู้สึก

“เมื่อกี้นี้คุยอะไรกับเซอร์เก”

ยาหยีเม้มปากแน่นด้วยความขุ่นเคือง เกลียดทั้งเจ้านาย โกรธทั้งลูกน้อง พวกเขาทำกับหล่อนเหมือนหล่อนไม่มีชีวิตจิตใจอย่างนั้นแหละ เจ้านายอยากได้นู่น ลูกน้องสั่งให้ทำนี่ ทุเรศสิ้นดี

“มันไม่ใช่เรื่องสำคัญหรอกค่ะ”

“แม้มันจะไม่สำคัญแต่ถ้าผมอยากรู้ คุณก็ต้องบอก!”

‘วางอำนาจ เผด็จการอย่างร้ายกาจเหลือเกิน ผู้ชายหล่อระเบิดคนนี้’

“ลูกน้องผู้ซื่อสัตย์ของคุณบอกให้ฉันไปจากคุณทันทีหากรู้ตัวว่าไม่ได้ตั้งท้อง”

เขาเงียบ หล่อนก็นั่งเงียบ ความเงียบกำลังกลับมาเข่นฆ่าหล่อนอีกครั้งหนึ่งแล้ว สาวน้อยลอบมองเสี้ยวหน้าคมสันผ่านความมืดมิด แสงโคมไฟจากท้องถนนที่สาดส่องเข้ามาในรถเป็นระยะไม่สามารถช่วยให้หล่อนเข้าใจความรู้สึกบนใบหน้าหล่อกระชากลมหายใจของคอร์เนลได้เลยแม้แต่นิดเดียว

‘เขากำลังคิดอะไรกันแน่ ทำไมถึงได้เงียบล่ะ หลังจากที่หล่อนตอบคำถามเขาออกไป’

หญิงสาวพยายามขบคิดจนหัวแทบจะระเบิดแต่ก็ไม่สามารถหาคำตอบให้กับตัวเองได้ จนแล้วจนรอดก็ทำได้แค่เพียงนั่งมองวิวข้างทางผ่านความมืดมิดไปเงียบๆ

“ลงได้แล้ว”

ยาหยีลืมตาขึ้นด้วยความแปลกใจ เมื่อเห็นรถมาจอดสนิทอยู่ที่หน้าสิ่งก่อสร้างแสนโอ่อ่าแห่งหนึ่งที่ประดับไฟไว้ตามจุดต่างๆ อย่างงดงาม ก่อนจะหันไปสบตากับคนตัวโตผ่านความมืด

“ถึงแล้วหรือคะ”

“ใช่ เธอคงเพลียมากสินะ ถึงได้หลับไปแบบนี้”

‘บริบทประโยคที่เขาพูดนั้นเหมือนจะมีความห่วงใย แต่ทำไมนะ ทำไมน้ำเสียงของเขาถึงยังเย็นชาไร้ความรู้สึกเช่นเดิม หรือว่าหล่อนคิดเข้าข้างตัวเองเกินไป คงจะใช่ เพราะคอร์เนลตอกย้ำใส่หน้าของหล่อนตลอดเวลาว่าหล่อนนั้นเป็นแค่นางทาส ไม่ใช่ผู้หญิงที่เขาจะให้เกียรติ ดังนั้นอย่าคิดเข้าข้างตัวเองเลยยาหยี’

ด้วยความน้อยใจทำให้หญิงสาวไม่ได้ตอบคำถามของเขา แต่เลือกที่จะก้าวลงจากรถคันหรูนั้นอย่างรวดเร็ว และทันทีที่เท้าสัมผัสกับพื้น สายตาของหล่อนก็ถูกตรึงไว้กับประติมากรรมชั้นเลิศเบื้องหน้า นี่ขนาดในความมืดมันยังงดงามจับตาขนาดนี้ แล้วหากเป็นกลางวันที่เห็นทุกซอกทุกมุมชัดเจนล่ะ มันจะสวยงามแค่ไหน

ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะมีบ้านที่ไหนสวยงามแบบนี้มาก่อน มันสวยกว่า กว้างกว่า และดูยิ่งใหญ่กว่าคฤหาสน์ของเขาที่กรุงเทพฯ เสียอีก

ยาหยีมัวแต่ยืนตกตะลึงกับที่อาศัยของเขา จึงไม่รู้ตัวว่าคอร์เนลมาหยุดยืนใกล้ๆ ตั้งแต่เมื่อไร กว่าจะรู้ก็ตอนที่ถูกเขาเหน็บแนมเอาเจ็บๆ นั่นแหละ

“โลกของเรามันแตกต่างกันมาก ดังนั้นอย่าคิดว่าการตั้งท้องของคุณจะผูกมัดผมได้”

ลมหายใจอุ่นร้อนเป่ารดพวงแก้มเมื่อคนตัวโตชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ หญิงสาวรีบถอยหลังหนีแต่ก็ถูกมือใหญ่รั้งเอวคอดเอาไว้ซะก่อน

“ถ้าคิดว่าฉันจะจับคุณด้วยการปล่อยให้ตัวเองท้องละก็ งั้นครั้งต่อไปของเราคุณก็ใช้ถุงยางสิ ไม่ใช่ปล่อยให้ฉันต้องมานั่งกลุ้มใจแบบนี้”

คนตัวโตแสยะยิ้มร้ายกาจ ขณะคลายอ้อมแขนออกจากกายสาว

“ครั้งต่อไปของเราหรือ…” ไหล่กว้างไหวน้อยๆ คล้ายกับว่าเรื่องที่หล่อนพูดมันเป็นเรื่องไร้สาระที่สุด

“คงอีกนานมั้งทูนหัว เพราะที่นี่ผมมีผู้หญิงรอบริการเพียบ คุณอาจจะต้องนอนเหงาไปตลอดทั้งเดือน หรืออาจจะตลอดไปเลยก็ได้ หากผมรู้ตัวว่าหมดความอยากต่อร่างกายของคุณ”

ไม่รู้ว่าทำไมถึงเจ็บแปลบไปทั่วทั้งหัวอก ทั้งๆ ที่เตรียมตัวเตรียมใจรับภาพบาดหูบาดตาของคอร์เนลกับผู้หญิงคนอื่นมาแล้ว  หล่อนก็เจ็บจนกระทั่งไม่อยากจะหายใจอยู่แล้ว

ยาหยีกัดปากแน่นกัดแน่นจนไม่รู้สึกเจ็บอีกแล้ว ขณะพูดในสิ่งที่ตรงข้ามกับหัวใจออกไป

“ถ้าคุณทำได้อย่างที่พูดจริงๆ ฉันก็จะขอบคุณอย่างสูงค่ะ”

หวังว่าคอร์เนลคงจะรู้สึกรู้สาอะไรบ้าง แต่เปล่าเลยพ่อสุดหล่อยังคงยืนระบายยิ้มเลือดเย็นไม่เปลี่ยนแปลง หญิงสาวที่โกรธจนควันแทบออกหูรีบสะบัดหน้าแล้วเดินนำเข้าไปในคฤหาสน์หลังใหญ่ปานราชวังตรงหน้าราวกับมันคือที่พักอาศัยของตัวเองอย่างนั้นแหละ คอร์เนลขบกรามแน่นขณะก้าวตามร่างอรชรของยาหยีไป

“หยุดก่อนยาหยี…”

เมื่อเห็นสาวน้อยทำท่าจะเดินขึ้นบันไดบ้าน ชายหนุ่มจึงรีบคว้าข้อมือกลมกลึงเอาไว้ และกระชากให้เจ้าหล่อนหันกลับมาเผชิญหน้า

“ปล่อยฉันนะ!”

“ผมปล่อยแน่ หากคุณหยุดและฟังผม”

คนตัวโตเค้นเสียงคำรามเล็ดลอดไรฟันออกมาด้วยความเดือดดาล ขณะกดเพิ่มแรงลงบนข้อมือของยาหยีมากขึ้นเมื่อเจ้าหล่อนดิ้นรนไม่หยุด

“มีอะไรให้นางทาสอย่างฉันรับใช้อีกล่ะคะ”

“ถ้ารู้ว่าตัวเองเป็นทาสก็กลับไปอยู่ในที่ที่นางทาสต่ำต้อยอย่างคุณควรจะอยู่สิ ไม่ใช่ตั้งหน้าตั้งตาจะขึ้นไปนอนเทียบชั้นกับเจ้านายอย่างผมแบบนี้”

คำพูดของคนตัวโตทำเอายาหยีอ้าปากค้าง ทั้งเจ็บและอายกับคำพูดไม่รักษาหน้าของคอร์เนลยิ่งนัก หญิงสาวยืนทำใจอยู่นานเลยทีเดียวกว่าจะสามารถเอ่ยคำใดออกมาได้

“ฉัน…ฉันลืมไป…”

พยายามซ่อนน้ำตาเอาไว้สุดฤทธิ์แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้ผลดีเท่าไรนัก ยาหยีจึงรีบก้มหน้าหลบดวงตาสีเขียวจัดลึกล้ำของคอร์เนลลงมองปลายเท้าของตัวเอง

“ให้คนพาฉันไปสิ”

“เชอรี่ มาพาคุณยาหยีไปพักที่เรือนซ้าย”

คำสั่งของคอร์เนลมีผลทำให้เชอรี่ที่ยืนรอรับคำสั่งอยู่หน้าตึกรีบวิ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว

“เอ่อ…แต่เรือนนั้นเต็มแล้วนะคะ”

“เต็มก็ให้ใครก็ได้ย้ายออกไปอยู่ที่เรือนขวาแทนสิ หรือว่าต้องให้ฉันไปสั่งการด้วยตัวเอง”

เชอรี่ฟังเสียงที่เต็มไปด้วยความขัดเคืองใจของนายน้อยตัวเองแล้วก็รีบรับคำในทันที

“ได้ค่ะ ได้ค่ะนายน้อย ดิฉันจะทำตามคำสั่งค่ะ”

“ดีมาก…เสื้อผ้าข้าวของก็หาของคนใช้คนอื่นให้ใส่ไปก่อน แล้วอย่าปล่อยให้ขึ้นมาวุ่นวายบนตึกล่ะเพราะฉันไม่ชอบ”

“ค่ะนายน้อย”

คอร์เนลปรายตามองร่างอรชรของยาหยีด้วยสายตาเหยียดหยามชิงชัง พูดทุกสิ่งที่จะทำให้หญิงสาวเจ็บเจียนบ้าได้ จากนั้นก็ก้าวยาวๆ เดินขึ้นบันไดหายวับไปทันที

เมื่อร่างสูงใหญ่ของคอร์เนลลับสายตาไปแล้ว เชอรี่จึงหันมามองหญิงสาวที่ตัวเองเอ็นดูด้วยความเวทนาสงสาร ถึงแม้หล่อนจะตามไปรับใช้ที่เมืองไทยมาด้วย แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นล้วนแต่เป็นความกังขาสำหรับหล่อนทั้งนั้น โดยเฉพาะเรื่องของแม่หนูยาหยีคนนี้

“นายน้อยคงกำลังโกรธ หายโกรธแล้วก็คงจะเอ็นดูคุณเหมือนเดิม” เชอรี่พูดขึ้นเมื่อเดินนำหน้าพายาหยีมายังเรือนพักฝั่งซ้าย

“เขาไม่ได้โกรธฉันหรอกจ้ะป้า แต่เขาเกลียดฉันต่างหาก เขาเกลียดฉันจนแทบไม่อยากจะมองหน้าเลยด้วยซ้ำ”

น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาสั่นระริกบ่งบอกว่าคนพูดกำลังน้อยอกน้อยใจอย่างมากมายมหาศาลแค่ไหน

เชอรี่ฟังคำพูดของคู่สนทนาแล้วก็ส่ายหน้าดิก เพราะไม่เห็นด้วย

“ไม่จริงหรอกค่ะ ถ้าเกลียด นายน้อยไม่พาคุณบินข้ามน้ำข้ามทะเลมาที่นี่หรอกค่ะ คุณรู้ไหมคะว่าในคฤหาสน์ซีร์ยานอฟหากไม่ใช่คนสำคัญของนายน้อยไม่มีทางเข้ามาได้หรอก”

ยาหยีแค่นยิ้ม เจ็บช้ำไปทั่วทั้งหัวอก หล่อนน่ะเหรอสำคัญ ต่ำยิ่งกว่าอีตัวน่ะสิไม่ว่า และที่เขาพาหล่อนบินข้ามน้ำข้ามทะเลมาด้วยนี้ก็เพราะกลัวว่าหล่อนจะอุ้มท้องลูกของเขาอยู่ก็แค่นั้นเอง ไม่ได้มีเยื่อใยใดๆ เลยในการกระทำนี้ของคอร์เนล เขาไม่เคยรักหล่อน และก็คงไม่รัก ในขณะที่หล่อนทั้งรักทั้งบูชาเขาจนท่วมท้นดวงใจ

“ทำไมนายน้อยของป้าถึงอยากให้ฉันมาพักที่เรือนซ้ายล่ะคะ ทำไมถึงขนาดต้องย้ายคนจากเรือนนี้ไปอยู่อีกเรือนหนึ่งด้วย” เอ่ยถามเมื่อเชอรี่พาหล่อนมาหยุดที่หน้าเรือนซ้าย

หล่อนได้ยินหญิงร่างท้วมถอนใจออกมาแรงๆ ครั้งหนึ่งก่อนจะพูดขึ้น

“ป้าก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะว่านายน้อยกำลังคิดอะไรอยู่ รู้เพียงแต่ว่าที่นี่เล็กและก็คับแคบไม่สะดวกสบายเหมือนกับเรือนขวาเท่าไรนัก และที่สำคัญมีแต่ผู้หญิง”

“งั้นนายน้อยก็ต้องการให้ฉันลำบาก”

“ป้าก็ไม่รู้เหมือนกัน รู้เพียงแต่ว่าหากนายน้อยอยู่บนห้องนอนก็จะสามารถมองเห็นเรือนซ้ายหลังนี้ชัดเจนเต็มสองตาเลยล่ะค่ะ”

แม่บ้านวัยร่างท้วมพูดไปเรื่อยขณะไขกุญแจห้องหนึ่งในจำนวนสี่ห้องให้กับยาหยี

“ป้าให้เจ้าของห้องเดิมย้ายออกไปแล้ว คุณก็พักที่นี่ได้เลย”

เชอรี่เอื้อมมือไปกดสวิตช์ไฟจนห้องทั้งห้องสว่างพึ่บขึ้นมาทันตา ยาหยีก้าวตามแม่บ้านร่างท้วมเข้าไปภายใน มองสำรวจไปรอบๆ แล้วก็พบแค่ตู้เสื้อผ้าและก็เตียงนอนเท่านั้นเอง

“ความจริงมันมีทีวีแล้วก็เครื่องเล่นด้วยนะ สงสัยแม่มารีนยกไปด้วยแน่ๆ เลย” แม่บ้านวัยกลางคนบ่นอุบ ก่อนจะหันมามองยาหยีด้วยความสงสาร

“เดี๋ยวพรุ่งนี้ป้าจะรายงานเรื่องนี้กับนายน้อยนะคะ รับรองว่าเธอจะต้องรีบหาเครื่องอำนวยความสะดวกที่พึงมีมาให้คุณอย่างแน่นอนค่ะ ส่วนคืนนี้ก็ทนๆ เอาหน่อยนะคะ อีกไม่กี่ชั่วโมงก็เช้าแล้ว”

ยาหยีพยักหน้าน้อยๆ ใบหน้างามไม่ได้แสดงอารมณ์ใดออกไปเลยนอกจากความขมขื่นที่ตัวเองปิดไม่มิด

“ฉันอยู่ได้ค่ะ ไม่ต้องการอะไรเพิ่ม และหากป้าสงสารฉันก็ไม่ต้องรายงานเรื่องใดๆ ทั้งนั้นให้กับนายน้อยของป้าฟัง นะคะฉันขอร้อง”

แม้จะไม่เข้าใจแต่เชอรี่ก็พยักหน้ารับคำ

“ก็ได้ค่ะ ป้ารับปาก งั้นคุณก็พักผ่อนเถอะนะคะ ป้าเองก็ขอตัวไปพักผ่อนเหมือนกัน”

“ตามสบายค่ะป้า ขอบคุณมากนะคะ”

เชอรี่ยิ้มให้อย่างเป็นมิตรขณะเดินหายออกไปจากห้อง ยาหยีเดินไปทรุดตัวลงนั่งบนที่นอนขนาดสามฟุตครึ่งที่ถึงแม้จะไม่แข็งเท่ากับเตียงในห้องเช่าที่พัทยา แต่มันก็ไม่ได้นิ่มนวลน่าหลับนอนเหมือนเตียงนอนของคอร์เนลแม้แต่นิดเดียว

ยาหยีถอนใจออกมาเมื่อนึกถึงชะตากรรมของตัวเอง จะเอาอะไรมากไปกว่านี้ล่ะ ทาสแบบหล่อนแค่มีที่ซุกหัวนอน มีที่กินก็สมควรดีใจแล้วไม่ใช่เหรอ ทำงานแลกข้าวแลกน้ำเพื่อรอเวลาเป็นอิสระจากอุ้งมือของมัจจุราชอย่างคอร์เนล

ยาหยีนั่งตัวสั่นอยู่บนเตียงนอนแคบๆ ของตัวเองด้วยความหวาดกลัวเมื่อได้ยินเสียงรถคุ้นหูแล่นมาจอดที่หน้าห้องเช่าของตัวเอง ดวงตากลมโตฉ่ำน้ำตาเงยขึ้นมองไปที่เจ้านาฬิกาติดผนังห้อง มันบอกว่าตอนนี้เวลาสี่ทุ่มห้าสิบนาที ไม่อยากจะเชื่อว่าคอร์เนลใช้เวลาในการเดินทางไม่ถึงชั่วโมงด้วยซ้ำ เขาคงเหาะมาด้วยความเร็วมิดไมล์อย่างแน่นอน

“เปิดประตูยาหยี!”

เสียงคำรามของคอร์เนลไม่ดังนัก แต่มันก็ทำให้หญิงสาวที่ตัวสั่นเทาอยู่แล้วสั่นงันงกมากขึ้นอีกหลายเท่าตัว เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดพรายเต็มหน้าผาก แต่อุ้งมือ กลีบปากสั่นระริกไม่แพ้กับหัวใจที่เต้นแรงระส่ำอย่างรุนแรงแม้แต่น้อย

‘เขาต้องฆ่าหล่อนตายคามือแน่ เขาต้องทำแน่ๆ’

ความหวาดกลัวอัดแน่นอยู่เต็มหัวอก คอร์เนลเหี้ยมโหด อำมหิตแค่ไหน หล่อนรู้ดี เขาลูกชายของอดีตมาเฟียผู้เหี้ยมโหด และแน่นอนว่าเขาจะต้องได้รับสายเลือดนั้นมาเต็มตัวเลยทีเดียว

“ถ้าไม่เปิด ฉันพังเข้าไปแน่”

‘ไม่มีทางถ่วงเวลาได้อีกแล้ว ไม่มีทางอื่นใดอีกนอกจากเผชิญหน้ากับผู้ชายที่เหี้ยมเกรียมยิ่งกว่ามัจจุราชในขุมนรก’

ยาหยีลุกขึ้นจากเตียงพากายสั่นๆ เคลื่อนไปหยุดที่หน้าประตูห้องเช่า กายว่าสั่นแล้วแต่มือบางที่กำลูกบิดอยู่นั้นสั่นระริกมากกว่าเสียอีก

‘หล่อนหวาดกลัวต่อแรงอารมณ์ของคอร์เนลเหลือเกิน ในยามปกติคอร์เนลก็แข็งกระด้างกับหล่อนอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ เวลานี้ เขารู้ว่าหล่อนทรยศ หลอกลวง เขาจะต้องไม่มีวันปรานีหล่อนอย่างแน่นอน’

“ผมจะพูดเป็นครั้งสุดท้ายนะยาหยี…เปิดประตู!”

เสียงเอาแต่ใจถูกเค้นออกมาจากลำคอของคนตัวโตอีกครั้ง และคราวนี้ยาหยีก็ตัดสินใจเปิดประตูออกไปเผชิญหน้ากับเขาอย่างไม่มีทางเลือก แม้จะหวาดกลัวหวาดหวั่นแค่ไหนแต่ก็ต้องทำ

“ฉัน…”

เพียงบานประตูถูกเปิดกว้างออก ร่างสูงใหญ่ของคอร์เนลก็ชัดเจนเต็มสองตา ท่ามกลางแสงจันทร์ในคืนวันเพ็ญเช่นนี้ เขายังดูไม่ต่างจากเทพบุตรชั้นฟ้าเลยแม้แต่นิดเดียว และหล่อนตัดใจจากผู้ชายที่หล่อระเบิดระเบ้อแบบนี้มาได้ยังไงกันนะ?

“คุณทำผมเจ็บแสบมากนะยาหยี”

ทันทีที่เห็นหน้า เขาก็ตอกความเหี้ยมโหดใส่หน้าของหล่อนอย่างไร้เมตตาธรรม เขาผลักหล่อนจนกระเด็นเข้ามาในห้อง จากนั้นก็จัดการปิดประตูลงกลอนอย่างรวดเร็ว

“แต่ต่อจากนี้ไป ผมจะไม่มีวันปรานีผู้หญิงแพศยาอย่างคุณอีก…จำเอาไว้”

“อย่าทำอะไรฉันเลยนะคะ”

พยายามอ้อนวอนเมื่อถูกคนตัวโตกระชากเข้ามากอดรัดแน่น กลิ่นกายของเขาช่างหอมหวานและทำให้หล่อนรู้สึกดีจนแทบจะละลายคาอ้อมแขนกำยำนั่นเสียให้ได้

“หลังจากที่คุณใช้เล่ห์เหลี่ยมทุกอย่างเพื่อให้พ่อของตัวเองหลบหนีจากผมไปได้…”

ความชิงชังอัดแน่นอยู่ในสองตาคมกริบสีเขียวดุจมรกตเนื้อดีของคอร์เนลมากมายเหลือเกิน มากมายจนคนมองอย่างหล่อนจุกอกด้วยความเจ็บปวด

“แล้วยังมีหน้าจะมาขอให้ผมปล่อยอีกหรือ”

“ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย ฉันแค่หนีไปจากคุณ”

คอร์เนลแค่นหัวเราะเหยียดหยัน มองสตรีในอ้อมแขนด้วยสายตาขยะแขยงชิงชัง

“อย่ามากลบเกลื่อนความผิดของตัวเองไปหน่อยเลยน่ายาหยี เพราะถึงยังไงผมก็จะไม่มีวันยกเว้นโทษให้นางกากีเช่นคุณอย่างแน่นอน คุณจะต้องเจ็บปวดเจียนตายด้วยน้ำมือของผมเลยทีเดียว”

เขาดันร่างของหล่อนให้เดินไปหยุดที่ขอบเตียงเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ริมข้างฝาห้อง จากนั้นก็ผลักร่างของหล่อนให้ล้มลงไปบนที่นอนแข็งๆ นั้นอย่างโหดเหี้ยมไร้เมตตา

“คุณจะต้องไปมอสโกกับผม”

“ไปมอสโกหรือคะ?” สาวน้อยเบิกตาค้าง กลีบปากสาวเผยอด้วยความตกใจ

“แต่เซอร์เกคงไม่ยอม…”

แม่คุณไม่รู้เลยหรือไงว่าท่าทางอ้าปากค้างแบบนี้มันมีผลต่อร่างกายและลมหายใจของเขาขนาดไหน ต่อให้หล่อนเป็นฆาตกรที่กำลังจ้องจะเล่นงานเขาให้ตาย แต่ถึงยังไงเขาก็ไม่สามารถลดความหิวกระหายที่มีต่อหล่อนได้เลยแม้แต่เสี้ยวเดียว

“คุณก็รู้นี่ว่าผมไม่เคยยอมให้ใครมาขัดคำสั่งของตัวเองได้อยู่แล้ว”

คำพูดที่เอื้อนเอ่ยออกมาจากปากของลูกอดีตมาเฟียเก่าฉายชัดถึงความอวดดีหยิ่งผยองที่มีอยู่อย่างเต็มเปี่ยมในตัวคนพูด

“ฉันรู้ค่ะ แต่เซอร์เกไม่ต้องการให้ฉันอยู่ข้างกายคุณ” ในที่สุดก็เผลอพูดสิ่งที่คิดออกไปจนได้ แต่คอร์เนลหาได้ใส่ใจมันไม่

“ผมไม่ได้เชิญคุณให้ไปอยู่ในฐานะผู้หญิงของผมเสียหน่อยยาหยี อย่าสำคัญตัวผิดไปนักเลย ที่มอสโกคุณจะเป็นแค่ทาสในเรือนเบี้ยให้ผมโขกสับเท่านั้น ผมจะทรมานคุณทั้งกลางวันและกลางคืนจนกว่าผมจะสามารถลากคอไอ้คนทรยศกลับมาขยี้ได้ หรือไม่ก็เมื่อผมรู้ว่าคุณไม่ได้ตั้งท้องลูกของผม”

เสมือนถูกสายฟ้าฟาดเปรี้ยงลงมาที่กลางดวงใจ สาวน้อยเบิกตากว้างด้วยความตกใจสุดขีด จุกในอกจนแทบจะพูดออกมาไม่เป็นคำ

“ท้องหรือคะ?”

“ใช่ ท้อง ผมไม่ได้ป้องกันแม้แต่ครั้งเดียวยามที่เข้าไปในตัวของคุณ” น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม สายตาที่ทอดมองมายังร่างของหล่อนนั้นเต็มไปด้วยการดูถูกเหยียดหยามแกมสมเพชเวทนา

“ไม่…ฉันคงไม่โชคร้าย…แบบนั้น”

ส่ายหน้าปฏิเสธออกไปคล้ายกับคนสติฟั่นเฟือน ลินดาเคยเตือนหล่อนแล้ว แต่หล่อนก็หลงลืมมันไปทุกครั้งยามที่ตกอยู่ในอ้อมแขนของผู้ชายมากเสน่ห์คนนี้

“โชคดีมากกว่ามั้งยาหยี ถ้าคุณท้องลูกของผม คุณก็จะได้ค่าเลี้ยงดูเดือนละเป็นแสนๆ เหรียญเชียวแหละ และนั่นมันก็จะทำให้คุณกับไอ้พ่อเฮงซวยร่ำรวยอื้อซ่าเลยทีเดียว” คอร์เนลแค่นยิ้มหยัน แสดงความดูถูกดูแคลนหล่อนออกมาทั้งทางคำพูดและสายตา หล่อนเห็นแล้วก็สั่นระริกไปทั้งเรือนกาย หนาวสะท้านจับขั้วหัวใจอย่างรุนแรง

“ฉันไม่ต้องการเงินของคุณ”

“แต่ถ้าหากคุณตั้งท้อง ลูกของผมในท้องของคุณก็ต้องการเงินค่าเลี้ยงดู” มือใหญ่เอื้อมลงมาขยุ้มไหล่บอบบางของยาหยีเต็มแรง สาวน้อยเจ็บจนน้ำตาซึม แต่กระนั้นก็ไม่สามารถทำให้คอร์เนลลดความป่าเถื่อนที่กำลังกระทำอยู่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว

“แต่อย่าฝันไปนะว่าผมจะให้คุณมีสิทธิ์ในตัวลูกของผมนาน เพราะผมจะทำทุกทางเพื่อให้คุณหลุดไปจากวงโคจรของผมและลูก”

“ฉันไม่ยอม หากฉันเกิดพลาดตั้งท้องขึ้นมาจริงๆ ฉันก็จะดูแลเขาเอง ไม่จำเป็นที่เขาจะต้องรู้ว่ามีพ่อใจยักษ์แบบคุณ!” ยาหยีโต้กลับน้ำตานองหน้า

คอร์เนลแสยะยิ้มขณะดึงร่างอรชรให้ลุกขึ้นมาเผชิญหน้าในระยะกระชั้นชิดอีกครั้ง

“ให้รู้แค่ว่ามีแม่ใจคดกับตาขี้ขโมยแค่นั้นก็พอใช่ไหม”

“ฉันไม่ได้ใจคดนะ!”

‘นี่เซอร์เกบอกอะไรกับคอร์เนลกันแน่นะ ทำไมเขาถึงคิดว่าหล่อนคิดคดทรยศแบบนี้ ทั้งๆ ที่หล่อนแค่หนีออกจากกรงสวาทของเขามาเท่านั้นเอง’

“แล้วใครล่ะที่มันทรยศผมด้วยการใช้เล่ห์เหลี่ยมทุกอย่างเพื่อให้พ่อของตัวเองหนีออกไปได้ ยอมแม้กระทั่งนอนอ้าขาให้ผมเอาไม่เลือกที่เลยนะ”

เผียะ!

ใบหน้าหล่อเหลาสะบัดไปตามแรงปะทะของฝ่ามือเล็กๆ ที่กระแทกลงมาเต็มแรง รอยนิ้วทั้งห้าของหล่อนปรากฏบนผิวแก้มของคอร์เนลครบทุกนิ้วเลยทีเดียว

“คนหยาบคาย!”

ชายหนุ่มบดร่างของสาวน้อยกับกายของตัวเองอย่างแน่นหนา กอดแน่นจนร่างอรชรแทบจะแหลกละเอียด โทสะร้ายฉายชัดในดวงตาสีเขียวจัดของเขามหาศาล

“คุณทำเกินไปแล้วนะ กล้าตบผมอย่างนั้นหรือ”

มันน้อยไปด้วยซ้ำต่างหากกับวาจาหยาบคายที่เขาพ่นใส่หน้าของหล่อน และความโกรธก็ทำให้หญิงสาวลืมความกลัวไปชั่วขณะ เชิดใบหน้านวลขึ้นสูงอย่างท้าทายอำนาจอำมหิตจากผู้ชายเจ้าของอ้อมกอดร้อนดุจไฟอย่างคอร์เนล

“จะบอกว่าฉันมีโทษประหารแน่ หากคนสนิทแสนภักดีมาเห็นเข้าอย่างนั้นใช่ไหม”

คอร์เนลกัดฟันแน่น กรามกระด้างบดกันแทบละเอียดขณะหรี่ตาแคบลงมองสาวน้อยปากเก่งในอ้อมแขน เขาเคยคิดว่าเจ้าหล่อนด่าไม่เป็นด้วยซ้ำ แต่วันนี้คงต้องเปลี่ยนความคิดใหม่เสียแล้ว

“ไม่ต้องให้เซอร์เกหรือใครมาเห็นหรอก แค่ผมคนเดียว คุณก็เยินแล้วทูนหัว”

“โอ๊ย! นี่คุณจะทำอะไรฉันน่ะ”

ร้องลั่นเมื่อถูกเหวี่ยงลงไปนอนบนเตียงอีกครั้งอย่างรุนแรง บั้นท้ายงามกระแทกเข้ากับที่นอนแข็งๆ ทำให้เจ็บระบมเป็นที่สุด

คอร์เนลหัวเราะด้วยน้ำเสียงน่าสะพรึงกลัว ก่อนจะกระโดดขึ้นมาทาบทับหล่อนเอาไว้ทั้งตัว ยาหยีดิ้นรนด้วยความหวาดกลัว ผลักไสพัลวัน แต่ก็หาสู้แรงคนเถื่อนได้ไม่ สุดท้ายก็ถูกเขาฉีกทึ้งเสื้อผ้าจนขาดวิ่นไปทั้งตัว

“จำเอาไว้ว่าอย่าล้อเล่นกับผู้ชายอย่างผม!”

“ปล่อยฉันนะ”

“ชู่ว์…อย่าส่งเสียงดังสิทูนหัว เดี๋ยวเพื่อนข้างห้องก็จะนอนไม่หลับกันพอดี” ริมฝีปากร้อนผ่าวพรมจูบไปทั่วใบหน้านวลด้วยความหิวกระหาย ทุกสัมผัสอัดแน่นไปด้วยโทสะและการลงทัณฑ์ที่แสนโหดเหี้ยม เขาบด เขาขยี้ เขาขยำจนผิวกายสาวชอกช้ำอย่างไม่ปรานี หล่อนขัดขืนจนสิ้นแรงแต่ก็ไม่สามารถช่วยตัวเองได้เลย

เขาเดินหน้าลงทัณฑ์หล่อนด้วยแรงสวาทเหี้ยมโหดครั้งแล้วครั้งเล่า ปลุกเร้าด้วยปากและฝ่ามืออย่างชำนิชำนาญ และจากที่เคยตั้งใจไว้ว่าจะนอนนิ่งให้ยิ่งกว่าขอนไม้เสียอีกยามที่เขาร่วมรักด้วย แต่สุดท้ายก็เป็นหล่อนเองนั่นแหละที่วิงวอนร้องขอ

“คอร์เนลได้โปรด…คอร์เนล…”

มันน่าอดสู น่าละอาย แต่หล่อนก็ทำมันลงไปแล้ว ยอมให้เขาได้เชยชมด้วยความเต็มอกเต็มใจ น้ำตาไหลพรากออกมาเมื่อการลงโทษจบสิ้นลง เขาพลิกตัวลงไปจากเตียงโดยไร้คำพูดจาใดๆ ความเย็นชาที่เขาขว้างใส่มันทำให้ก้อนสะอื้นพุ่งออกมาจากปากอย่างรุนแรง

คอร์เนลไม่แม้แต่จะหันกลับมองร่างสั่นระริกที่บอบช้ำเพราะน้ำมือเหี้ยมโหดของเขาเลยแม้แต่นิดเดียว หญิงสาวนั่งมองคนตัวโตรูดซิปและติดตะขอกางเกงผ่านม่านน้ำตาด้วยความชอกช้ำ ขณะก้มหน้ามองตัวเองอย่างอดสู

ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะต้านทานแรงรักจากผู้ชายคนนี้ได้ ต่อให้ทะเลาะกันอย่างดุเดือดเลือดพล่านแค่ไหน ต่อให้ตั้งใจจะแข็งขืนมากเท่าไร แต่สุดท้ายก็เป็นหล่อนเองอยู่ดีนั่นแหละที่อ้อนวอนร้องขอให้เขามอบความเป็นสามีให้

“เลิกบีบน้ำตาและแต่งเนื้อแต่งตัวซะ ผมจะไปรอที่รถ…” เขาก้าวยาวๆ เดินตรงไปที่ประตู แต่ก็เหมือนจะคิดอะไรได้จึงหยุดเดิน และหมุนตัวกลับมามองหล่อนอีกครั้งด้วยสายตาเหยียดหยามชิงชังเช่นเดิม

“และถ้าไม่อยากโดนแบบเมื่อกี้อีกละก็…”

กายสาวร้อนผ่าวเมื่อถูกนัยน์ตาสีเขียวคมกริบจ้องมองมาด้วยความความหิวกระหายอย่างเต็มเปี่ยม

“อย่าขัดคำสั่งของผม…แต่งตัวซะ”

เอ่ยจบคอร์เนลก็รีบก้าวยาวๆ ออกไปจากห้องเช่าอันแสนคับแคบนั้นอย่างรวดเร็ว โดยไม่คิดจะสนใจยาหยีอีกเลย

ทำไมเขาจะต้องสนใจหล่อนด้วยล่ะ หล่อนมันตัวหายนะจริงๆ ตัวหายนะ ตัวอันตรายที่มีแต่จะทำให้เขาขาดสติและหลงลืมตัวตนอย่างง่ายดาย

เมื่อกี้…ก็อีกครั้งแล้วที่เขาเผลอตัวไม่ได้ป้องกัน เขาปล่อยตัวปล่อยใจให้กับยาหยีจนหมดทุกหยาดหยด ให้ตายเถอะ นี่เขาเป็นบ้าอะไรไปนะ ทั้งที่คิดจะแก้แค้น คิดจะแก้เผ็ด แต่ดูเหมือนว่าคนที่จะถูกแก้แค้นมันจะเป็นเขาเสียมากกว่า

ชายหนุ่มพ่นลมออกจากปากหนักๆ ด้วยความหงุดหงิดไม่พอใจตัวเอง ขณะก้าวขึ้นไปนั่งรอแม่ยาหยีบนรถสปอร์ต สายลมเย็นฉ่ำยามดึกสงัดไม่ได้ช่วยให้เลือดในกายหนุ่มของเขาลดความร้อนรุ่มลงได้เลยให้ตายสิ ตรงกันข้าม มันกลับร้อนระอุขึ้นเรื่อยๆ ร้อนจนอยากจะกลับไปต่อบทรักกับแม่ยาหยีแสนหวานบนเตียงแข็งๆ นั่นอีกสักครั้งสองครั้ง หรือไม่ก็มาราธอนโต้รุ่งไปเลย

กำปั้นใหญ่ทุบลงบนพวงมาลัยรถแรงๆ เพื่อดับอารมณ์คลั่ง ทุบแล้วทุบอีกจนพวงมาลัยรถแทบจะพังคามือ แต่เขาก็ยังไม่สามารถดับความงุ่นง่านในกายลงได้เลยแม้แต่นิดเดียว ต้องทำยังไงนะ เขาถึงจะหยุดไอ้ความรู้สึกอยากร่วมรักกับยาหยีแบบทั้งวันทั้งคืนลงได้สักที แล้วก็เมื่อไรกัน?

ลินดางัวเงียลุกขึ้นมาเปิดประตูห้องเมื่อเสียงเคาะระรัวดังขึ้นต่อเนื่องอย่างไร้มารยาท มือบางกำลูกปิดประตูห้องแล้วกระชากมันออกทันที พร้อมๆ กับตะคอกออกไปด้วยความไม่พอใจทั้งๆ ที่ยังไม่ได้มองหน้าแขกยามวิกาลแม้แต่นิดเดียว

“จะบ้าหรือไง ครั้งเดียวก็ได้ยินแล้ว”

“ยาหยีกลับมาหรือเปล่า”

แต่พอหูได้ยินเสียงห้าวกระด้างเท่านั้นแหละ หญิงสาวก็ตื่นเต็มตาทันที ลินดาเบิกตากว้างมองคอร์เนลด้วยสายตาตื่นตระหนก

“มะ…มาหายาหยีหรือคะ”

“เธอกลับมาหรือเปล่า”

“เอ่อ…เข้ามาในห้องก่อนไหมคะ”

ลินดามองผู้ชายหล่อระเบิดตรงหน้าด้วยความชื่นชม ก่อนจะเอ่ยชักชวนให้เขาเข้ามาในห้องพักของตัวเอง แต่ก็ถูกปฏิเสธเสียจนหน้าหงาย

“ผมไม่ชอบเข้าห้องผู้หญิงสุ่มสี่สุ่มห้า ตอบมาว่ายาหยีกลับมาที่นี่หรือเปล่า”

ลินดาเม้มปากแน่นด้วยความขุ่นเคือง ทึ่งในความหล่อของคอร์เนล แต่ก็อดหมั่นไส้ในความหยิ่งถือตัวของเขาไม่ได้

“เธอไปกับคุณไม่ใช่หรือคะ นอนเตียงเดียวกัน แล้วจะมาถามหากับฉันได้ยังไง”

“แสดงว่าเธอไม่ได้กลับมาที่นี่”

คอร์เนลยังพูดด้วยน้ำเสียงโทนเดิมนั่นก็คือไร้ความรู้สึก แต่ลินดาพอจะมองออกว่าภายใต้ความเย็นชานั้นมีความห่วงหาอาทรต่อเพื่อนรักของหล่อนซ่อนเอาไว้อยู่ ไม่อย่างนั้นพ่อเจ้าประคุณคงไม่ตามเคาะเรียกหล่อนโครมๆ แบบไม่เกรงอกเกรงใจแบบนี้หรอก

“ใช่ไม่ได้กลับมาค่ะ ว่าแต่ทะเลาะอะไรกันอีกล่ะ ยายลูกหยีถึงได้หนีไปอีกแล้ว” ลินดาถามแต่คอร์เนลไม่ได้ตอบคำถามนั้น แต่เลือกที่จะเป็นฝ่ายถามกลับเสียเอง

“แล้วเธอโทรมาหาคุณบ้างหรือเปล่า”

หญิงสาวส่ายหน้าไปมา

“ไม่ได้โทรมาเลยค่ะ”

“งั้นคุณก็โทรหาเธอสิ ถามสิว่าตอนนี้กำลังมุดหัวอยู่ที่ไหน ผมจะได้ไปตามตัวได้ถูกที่”

พ่อคนๆ นี้คงเชยชินแต่การออกคำสั่งล่ะมั้ง ดูสิสั่งหล่อนเอาๆ ทำราวกับหล่อนเป็นคนใช้ภายในบ้านของเขาเสียอย่างนั้นแหละ ลินดามองพ่อเทพบุตรตาเขียวด้วยความหมั่นไส้

“แล้วทำไมฉันต้องทำล่ะคะ ฉันจะนอน…”

“ผมมีค่าตอบแทนให้”

คอร์เนลหยิบธนบัตรสีเทาปึกใหญ่ออกมาส่งให้กับลินดา ซึ่งเขาก็ใช้วิธีนี้กับยามวัยกลางคนที่เฝ้าอยู่หน้าหอด้วยเช่นกัน

“มันมากพอที่คุณจะใช้ช็อปปิ้งไปได้เกือบครึ่งปีเชียวแหละ รับไปซะแล้วทำทุกอย่างตามที่ผมสั่ง ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องยากเลยใช่ไหมล่ะ”

‘นั่นสิ มันไม่ใช่เรื่องยากเลยสักนิด แค่กดโทรศัพท์หายาหยีเท่านั้นเอง เปลืองค่าโทรแค่ไม่กี่บาทแต่ได้ค่าตอบแทบเป็นแสนๆ โอ้…มันน่าสนชะมัด’

“ก็ได้ค่ะ ฉันจะทำตามคำสั่งของคุณ” ลินดายิ้มกว้าง รีบคว้าเงินปึกใหญ่มาถือเอาไว้ ขณะมองชายหนุ่มรูปหล่อตรงหน้าอย่างรอคำสั่ง

“ว่ามาสิคะว่าต้องการให้ฉันทำอะไรบ้าง”

รอยยิ้มพึงพอใจผุดขึ้นที่มุมปากของคอร์เนลมหาศาลเลยทีเดียว ขณะพรั่งพรูความต้องการของตัวเองให้กับหญิงสาวตรงหน้าได้รับฟัง

หลังจากนอนจมกับความโศกเศร้าเสียใจจนหลับใหลไปได้ไม่กี่ชั่วโมง ร่างอรชรของยาหยีก็ต้องสะดุ้งตกใจตื่นเมื่อเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือดังระรัวขึ้น ริงโทนนี้เป็นสายของลินดา หล่อนจำได้เป็นอย่างดี

มือบางรีบลนลานคว้ามือถือมาแนบหู พร้อมๆ กับกรอกเสียงที่ปั้นจนราบเรียบไปตามสาย

“โทรหาดึกดื่นมีอะไรกับฉันหรือลินดา”

“ลินดาไม่มีธุระอะไรกับคุณหรอก แต่ผมมี…”

โทรศัพท์มือถือแทบหลุดจากมือ เมื่อเสียงที่ดังตอบกลับมาไม่ใช่เสียงของลินดาแต่เป็นเสียงของคอร์เนล ผู้ชายที่หล่อนพึ่งจะหนีจากเขามาเมื่อตอนกลางวัน

“คอร์เนล…”

“นึกว่าจะจำผัวของตัวเองไม่ได้ซะแล้ว” เสียงของคอร์เนลเหี้ยมเกรียมจนสันหลังของหล่อนเย็นยะเยือก หนาวสะท้านไปจับขั้วหัวใจ

“ฉันจะวางสาย…”

“ก็ลองวางดูสิ แล้วจะรู้ว่าฉันจะทำอะไรกับเพื่อนของเธอบ้าง”

ยาหยีถึงกับเบิกตากว้างด้วยความตื่นตกใจ ไม่อยากเชื่อว่าคอร์เนลจะทำร้ายลินดาได้ แต่เสียงของลินดาที่ร่ำไห้แทรกเข้ามาเป็นระยะนั้นทำให้หล่อนต้องเชื่อ

“อย่าทำลินดานะ อย่าทำเธอ เธอไม่เกี่ยว”

คอร์เนลหัวเราะเสียงเหยียดหยัน

“แล้วไอ้คนที่เกี่ยวมันไปมุดหัวอยู่ที่ไหนกันล่ะ”

“ฉัน…”

“ถ้าไม่บอกว่าอยู่ที่ไหน ฉันจะให้คนฆ่าเพื่อนของเธอหมกห้องพักเดี๋ยวนี้แหละ และเธอคงไม่คิดว่ามาเฟียอย่างฉันจะโกหกใช่ไหม”

ความเหี้ยมโหดของคอร์เนลดังเล็ดลอดมาตามสาย ยาหยีหน้าซีดเผือด มือบางกำโทรศัพท์แน่นจนข้อนิ้วขาวซีด

“คุณไม่กล้าหรอก…เพราะคุณจะถูกตำรวจจับ”

“ผมยิ่งใหญ่กว่าที่คุณคิดนักยาหยี บอกมาซะดีๆ ว่าตอนนี้คุณอยู่ที่ไหน ไม่อย่างนั้นลินดาอาจจะต้องไปหายใจต่อในนรกก็ได้ และคุณจะต้องรู้สึกผิดไปจนวันตาย เพราะต้นเหตุคือคุณ…” เสียงของคอร์เนลไม่ได้มีความล้อเล่นแฝงไว้เลย

หญิงสาวกัดปากแน่นจนแทบไม่รู้สึกเจ็บ น้ำตาทะลักทลายออกมาเมื่อนึกถึงความห่วงใยที่ลินดาเคยมีให้ หล่อนจะยอมให้เพื่อนรักที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่อย่างลินดาต้องมารับเคราะห์กรรมแทนตัวเองไม่ได้อย่างแน่นอน หล่อนทำไม่ได้…ยอมให้ลินดาถูกทำร้ายไม่ได้!

“ฉันอยู่ที่พัทยา ห้องเช่าข้างๆ โรงแรมนั้นนั่นแหละ”

ในที่สุดก็ต้องบอกออกไปจนได้ แม้จะรู้ดีว่าต่อจากนี้ไปหล่อนจะหนีจากอุ้งมือของมัจจุราชตัวร้ายอย่างคอร์เนลไม่พ้นอีกแล้ว แต่หล่อนก็ยินดีจะก้มหน้ารับกรรมเพื่อให้ลินดาเพื่อนรักปลอดภัย

“ฉันจะรอคุณอยู่ที่นี่ จะไม่หนีไปไหนอีกแล้ว”

หญิงสาวตอบโต้กลับไปด้วยเสียงเจือสะอื้น แต่คนฟังอย่างคอร์เนลไม่ได้มีความสงสารให้เลยแม้แต่นิดเดียว เขากำลังอยากจะขยี้เจ้าหล่อนให้ตายคามือต่างหากล่ะ โทษฐานที่ทำให้เขาคลั่งเพราะความคิดถึงแบบนี้

“ก็ลองหนีไปอีกสิ ฉันจะตัดแขนตัดขาเพื่อนของเธอส่งไปให้ดู”

“ได้โปรดอย่าทำลินดานะคะคอร์เนล อย่าทำเธอ ได้โปรด…”

คอร์เนลแสยะยิ้มหยัน

“มันก็ขึ้นอยู่กับเธอนั่นแหละ หากเธอยอมทำตามคำสั่งของฉัน ลินดาก็จะปลอดภัย”

“ฉันยอมทำ ยอมทำทุกอย่าง”

ชายหนุ่มไม่คิดจะพูดคำใดออกไปอีก เขาตัดสายการสนทนาทันที ก่อนจะส่งโทรศัพท์มือถือคืนให้กับลินดาที่ยืนทำหน้าฉงนอยู่ข้างๆ

“คุณรักยายลูกหยีใช่ไหมคะ”

คอร์เนลที่กำลังจะหมุนตัวเดินจากไปชะงักเท้าอัตโนมัติ หันขวับกลับมามองเจ้าของคำพูดแทงใจดำนั้นในฉับพลัน

“ตรงกันข้าม ผมเกลียดเพื่อนของคุณแน่นอกทีเดียวแหละ”

“เกลียดเหรอ?”

ลินดาแค่นหัวเราะอย่างรู้ทัน

“ไม่จริงหรอกมั้งคะ ถ้าคุณเกลียดยายลูกหยีอย่างปากว่าจริงๆ คุณคงไม่บังคับให้ฉันทำแบบนี้หรอกค่ะ คุณไล่ตามทั้งๆ ที่ยายลูกหยีพยายามวิ่งหนี”

คอร์เนลทอดสายตามองไปยังร่างของลินดาด้วยสายตากระด้างดุดัน

“หุบปากซะ! อย่ามาเดาหัวใจของใครสุ่มสี่สุ่มห้าแบบนี้อีก”

แม้จะตกใจกับเสียงคำรามเหี้ยมโหดนั้น แต่ลินดาก็ยังหุบปากตามที่เขาสั่งไม่ได้

“แม้สายตาของคุณจะไม่ยอมบอกว่าตัวคุณกำลังคิดและกำลังรู้สึกอะไรอยู่ แต่การกระทำของคุณมันบอกทุกอย่างค่ะ และฉันก็ฉลาดว่ายายลูกหยีมาก ฉันรู้ว่าคุณรักเพื่อนของฉัน…รักมาก”

“ผมไม่ได้รักแม่ผู้หญิงแพศยาคนนั้น!”

คอร์เนลโต้เสียงกร้าว เรือนกายกำยำสั่นเทิ้มด้วยความเดือดดาล ไม่มีทาง ไม่มีทางเป็นไปแน่ เขาไม่มีวันรักผู้หญิงเหลี่ยมจัดอย่างยาหยีลงอย่างแน่นอน ไม่มีทางเป็นไปได้ และที่ติดตามทุกที่แบบนี้ก็เพื่อแก้แค้นยังไงล่ะ เขาจะต้องลากตัวหล่อนไปแก้แค้นให้สาสม ทำให้หล่อนตายทั้งเป็น!

“ถ้าขืนคุณยังไม่หยุดพูดระยำแบบนี้ออกมาอีกละก็ เราเป็นได้เห็นดีกันแน่!”

จบคำพูดแสนดุเดือด คอร์เนลก็ก้าวเท้ายาวๆ เดินออกจากหน้าห้องของลินดาไปโดยไม่หันหลังกลับมามองอีกเลยแม้แต่นิดเดียว

“เล่นวิ่งไล่ตามกันทุกวันทุกเวลาแบบนี้น่ะ ไม่เรียกว่ารักก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรแล้วพ่อคุณเอ๋ย”

ลินดาส่ายหน้าน้อยๆ อย่างอ่อนอกอ่อนใจขณะก้าวกลับเข้าไปในห้องนอนอีกครั้ง

“แล้วนี่เธองอนอะไรพ่อเทพบุตรตาเขียวอีกนะยายลูกหยี” หญิงสาวพึมพำกับตัวเองด้วยความสับสนงงเต๊ก ขณะเดินกลับไปทุ่มตัวลงนอนบนเตียงอีกครั้ง นอนคิดถึงสาเหตุที่เพื่อนรักวิ่งหนีคอร์เนลจนปวดหัวแต่ก็คิดไม่ออกจนผล็อยหลับไปเองในที่สุด

‘บุหลันดวงกลมโตเบื้องหน้ามีภาพของยาหยีซ้อนทับอยู่อีกแล้ว’

คอร์เนลฟาดกำปั้นลงบนขอบหน้าต่างบานใหญ่ภายในห้องนอนด้วยความหงุดหงิดขัดเคือง ความเดือดดาลแล่นฉิวอยู่ในสายโลหิต เห็นได้ชัดว่ายาหยีเป็นผู้หญิงแพศยา และทำทุกอย่างเพื่อให้เป้าหมายของตัวเองสำเร็จโดยไม่สนใจว่าจะต้องใช้วิธีใดเพื่อให้ได้มันมา หล่อนเป็นนางกากี เลวยิ่งกว่านางวันทองสองใจ ในสมองเล็กๆ ที่อัดแน่นไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมกลโกงของหล่อนช่างไร้ศีลธรรมยิ่งนัก แต่…เขาก็ยังต้องการหล่อน

คอร์เนลคิดอย่างขมขื่น รู้สึกว่าขณะนี้ตัวเองเป็นยิ่งกว่าไอ้ผู้ชายหน้าโง่ที่มีเขาอยู่บนหัวเสียอีก รู้ทั้งรู้ว่ายาหยีแพศยา ต่ำช้ามากแค่ไหน แต่ทุกๆ ส่วนในกายหนุ่มก็ยังโหยหาเจ้าหล่อนอย่างรุนแรง กล้ามเนื้อภายในบีบเกร็งเพียงแค่นึกถึงรอยยิ้มจากกลีบปากอิ่มเต็ม ที่ถึงแม้ว่าเขาจะบดขยี้ด้วยปากมานับครั้งไม่ถ้วนแค่ไหน ก็ยังห่างไกลจากคำว่า ‘อิ่มเอม’ นัก เขาไม่เคยอิ่ม ไม่เคยพอเลยหากเจ้าสิ่งที่กำลังดื่มด่ำอยู่คือยาหยี

ระยำ! ชายหนุ่มสบถด้วยความเกรี้ยวกราด ชิงชังตัวเองนักที่ไม่อาจจะตัดใจจากแม่สาวร่านร้อนร้อยมายาอย่างยาหยีได้สำเร็จ หล่อนเป็นผู้หญิงไปทั้งเนื้อทั้งตัว กายสาวสมบูรณ์แบบไร้ที่ติยวนตายิ่งนัก และเขาก็ก้มหน้ายอมรับด้วยความขื่นขมว่า ตัวเองนั้นถูกเสน่ห์นางของยาหยีครอบงำร่างกายและสมองตั้งแต่แรกสบตา

แม้จะพยายามปฏิเสธ พยายามคิดว่าหล่อนเป็นเพียงเครื่องบำบัดทางเพศเท่านั้น แต่ตัณหาราคะที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรุนแรงเพียงแค่ได้เห็นเจ้าหล่อนเท่านั้นมันก็ตอกย้ำความ ‘พ่ายแพ้’ ลงสู่หัวใจหนุ่มที่เคยแข็งกระด้างของเขาอย่างชัดเจน

ไม่ควรเลย เขาไม่ควรที่จะพาตัวเองเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับหล่อนตั้งแต่แรกแล้ว ความไร้เดียงสาและความเซ็กซี่อย่างร้ายกาจที่มันถูกผสมคลุกเคล้ากันมาอย่างลงตัวนั้นมีผลทำให้สมองของเขาคิดอะไรไม่ออกขึ้นในฉับพลัน และความต้องการในตัวเจ้าหล่อนนั้นช่างรุนแรงและน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก

เขาไม่เคยรู้สึกหิวกระหายในกายของสาวคนไหนรุนแรงแบบนี้มาก่อน ปฏิกิริยาทางเพศอันดิบเถื่อนของเขาจะถูกกลบทับด้วยความเย็นชาจนมืดมิด เขาไม่เคยแสดงความต้องการในตัวผู้หญิงคนไหนออกมาเลยแม้แต่ครั้งเดียว และแม่สาวสวยทุกคนที่มีโอกาสได้ขึ้นมาอยู่บนเตียงของเขานั้นจะต้องผ่านการเลือกเฟ้นจากเซอร์เกมาอย่างดี พวกหล่อนจะถูกตรวจสอบทั้งเรื่องสุขภาพอนามัยและเรื่องรายละเอียดชีวิตเบื้องต้นทุกคน

และที่สำคัญที่สุดเขาจะป้องกันตัวเองทุกครั้งด้วยการสวมใส่ถุงยางอนามัย รวมทั้งให้พวกหล่อนกินยาคุมทั้งก่อนและหลังมีเพศสัมพันธ์ด้วย เพื่อป้องกันปัญหาการตั้งครรภ์ และมันก็ได้ผลดีมาตลอดหลายต่อหลายปี จนกระทั่งเขาพบกับยาหยี ทุกอย่างเปลี่ยนไป เขาไม่ได้ทำสักอย่าง ทั้งสวมถุงยางและการบังคับให้หล่อนกินยาคุม

ครั้งแรกเขายอมรับว่าถูกตัณหาราคะครอบงำจนลืมทำในสิ่งที่ตัวเองเคยคิดว่ามันจำเป็นที่สุดในการมีเซ็กส์ แต่ครั้งที่สองล่ะ ครั้งที่สามด้วย ครั้งที่สี่ ครั้งที่ห้า และอีกหลายต่อหลายครั้งที่เกิดขึ้นทั้งบนเตียงและที่อื่นๆ ทำไมเขาถึงไม่ใส่ถุงยางนะ ทำไมถึงได้สะเพร่าแบบนี้?

กรามแกร่งขบกันแน่นจนแทบระเบิด ใบหน้าหล่อเหลาแดงก่ำด้วยโทสะ เขากำลังเกลียดชังตัวเองนัก ที่เลินเล่อได้อย่างน่ารังเกียจ หากยาหยีตั้งท้องล่ะ ซึ่งก็มีความเป็นไปได้สูง เพราะทั้งเขาและหล่อนต่างก็อยู่ในวัยเจริญพันธุ์ด้วยกันทั้งคู่ หากหล่อนท้องจะทำยังไง ลูกของเขา เด็กที่มีสายเลือดของเขาอยู่เต็มตัว เขาจะปล่อยให้ลูกของตัวเองที่ป่านนี้น่าจะกำลังถือกำเนิดอยู่ในท้องของยาหยีไปตกระกำลำบากเพียงเพราะความแพศยาของผู้หญิงคนนั้นอย่างนั้นหรือ ไม่ได้หรอก? เขาจะต้องไปลากตัวหล่อนกลับมา กักขังหล่อนเอาไว้จนกว่าจะรู้ว่าในท้องของหล่อนไม่ได้มีเลือดเนื้อเชื้อไขของเขา

ยาหยีจะต้องไปมอสโกกับเขาในวันพรุ่งนี้! แต่อย่าหวังเลยว่าหล่อนจะได้ไปอยู่กับเขาอย่างราชินี แต่หล่อนจะต้องไปอยู่อย่างทาสต่างหาก นางทาสผู้ต้อยต่ำ กลางวันหล่อนจะต้องทำงานหนักแสนสาหัส ส่วนกลางคืนเขาก็ทรมานหล่อนด้วยเซ็กส์แสนเร่าร้อนไม่ให้หล่อนได้มีเวลาพักผ่อนเลยแม้แต่นาทีเดียว

คอร์เนลแสยะยิ้มเหี้ยมเกรียม ขณะก้าวยาวๆ ตรงไปที่ประตูห้อง ชายหนุ่มหยุดยืนที่ปากประตูคล้ายกับกำลังลังเลอยู่ว่าจะไปลากคอยาหยีดีหรือเปล่า แต่สุดท้ายแล้วเขาก็เลือกที่จะก้าวข้ามธรณีประตูออกไป

การปล่อยให้หล่อนลอยนวลโดยไม่ได้รับโทษทัณฑ์นั้นมันดูจะง่ายดายไปหน่อย ผู้หญิงแพศยาอย่างยาหยีจะต้องตกนรกทั้งเป็น นรกที่มีมัจจุราชชื่อคอร์เนล ซีร์ยานอฟ

เซอร์เกเดินกลับไปกลับมาอยู่ที่หน้าสนามหญ้าหน้าตึกใหญ่ เขากำลังเครียดจัดเมื่อไม่สามารถติดต่อกับลูกสาวได้อย่างที่ตั้งใจเอาไว้ เมลิน่าลืมโทรศัพท์มือถือไว้กับเพื่อนที่ปารีส ขณะที่ตัวหล่อนได้เดินทางกลับไปยังมอสโกตั้งแต่สองวันก่อนแล้ว

แต่เมลิน่าไม่ได้กลับไปที่คฤหาสน์ซีร์ยานอฟ แล้วลูกสาวของเขาไปอยู่ที่ไหนกันนะ? เขาโทรศัพท์ไปขอร้องให้พรรคพวกที่มอสโกช่วยตามหาเมลิน่าให้ แต่ตอนนี้ก็ยังไม่มีข่าวคราวใดๆ จากลูกสาวของเขาเลยแม้แต่นิดเดียว

“อย่าพึ่งไปที่เซอร์คอฟเลยนะลิน่า อย่าพึ่งไป”

ขณะที่ชายวัยกลางคนกำลังคร่ำครวญถึงบุตรสาวอยู่นั้น หางตาก็เห็นคอร์เนลนายน้อยของตัวเองกำลังเดินตรงไปที่รถสปอร์ตสีดำคู่ใจของตัวเอง

‘คอร์เนลจะไปไหนกันนะดึกดื่นแบบนี้?’

ด้วยความเคลือบแคลงและความหวาดกลัวว่าคอร์เนลจะไปตามหายาหยี เซอร์เกจึงรีบกระโดดขวางหน้ารถสปอร์ตที่กำลังแล่นตรงมาทันทีโดยไม่ห่วงชีวิตของตัวเอง ได้ผลรถสปอร์ตหยุดลงในพริบตา พร้อมๆ กับเสียงคำรามด้วยความไม่พอใจของคอร์เนลตามมา

“อยากตายหรือไงเซอร์เก!”

“นายน้อยครับ นายน้อยจะไปไหน มันดึกแล้วนะครับ” เซอร์เกรีบวิ่งเข้าไปเกาะประตูรถของคอร์เนลเอาไว้ พร้อมกับร้องถามออกไปด้วยความวิตกกังวล

“ฉันไม่ใช่เด็กที่นายจะต้องมาคอยถามนู่นถามนี่แล้วนะเซอร์เก หลีกไป ฉันรีบ”

ยิ่งนายน้อยของตัวเองไม่ยอมตอบคำถามแบบนี้ เขาก็ยิ่งมั่นใจว่าคอร์เนลจะต้องไปตามหายาหยีล้านเปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าคอร์เนลทำอย่างนั้น ทุกอย่างที่เขาวางแผนเอาไว้ก็ต้องพังทลาย ชีวิตของคอร์เนลก็จะต้องมีอันตรายเช่นกัน หากแม่เด็กยาหยีนั่นคิดไม่ซื่อตามนายยอดชาย

“นายน้อยจะไปหาคุณยาหยีใช่ไหมครับ”

“ใช่ มีอะไรหรือเปล่า หลีกไปเซอร์เก”

คอร์เนลยอมรับออกมาอย่างไม่สะทกสะท้าน เขามองเห็นสีหน้าของคนสนิทซีดเผือดลงถนัดตา เซอร์เกคงกลัวว่าเขาจะปล่อยให้แม่ยาหยีนั่นมามีอิทธิพลเหนือสมองอีกล่ะมั้ง แต่มันไม่มีทางเป็นไปได้แล้วล่ะ เขาไม่มีทางโง่ซ้ำซากแน่

“ไม่ต้องห่วงนะเซอร์เก ฉันไม่ใช่คนโง่หรอกนะ และที่ฉันทำลงไปก็มีเหตุผลของตัวเอง”

“แต่นายน้อยจะแพ้ภัยตัวเองนะครับ ผมเป็นห่วง…” ใช่เซอร์เกกำลังเป็นห่วงคอร์เนลมากมายจริงๆ ห่วงพอกับๆ ลูกของตัวเองนั่นแหละ

คอร์เนลแสยะยิ้มร้ายกาจ ดวงตาสีเขียวจัดอัดแน่นไปด้วยความเจ็บแค้น

“ไม่มีภัยไหนจะทำอะไรฉันได้หรอกน่า สมองของฉันสามารถแยกแยะได้ทุกอย่าง นายก็รู้นี่เซอร์เก”

“ครับ ผมรู้ดีว่านายน้อยฉลาดแค่ไหน แต่นายน้อยไม่มีทางเอาชนะหัวใจตัวเองได้หรอกนะครับ คุณยาหยีเป็นตัวอันตราย เธอไม่ได้ซื่อสัตย์กับนายน้อย หากพาเธอกลับไปมอสโกด้วยก็เหมือนเรานำหอกแหลมมาไว้ข้างกายน่ะครับ ผมเกรงว่า…” เซอร์เกยังพูดทุกคำที่คิดเอาไว้ไม่จบ คอร์เนลก็ขัดขึ้นเสียงเยือกเย็นซะก่อน

“ไม่ต้องเป็นห่วง ฉันดูแลตัวเองได้ และการกลับไปมอสโกครั้งนี้ ยาหยีจะไปในฐานะนางทาส ฉันจะทรมานเธอให้คุ้มกับที่เธอทำให้ฉันต้องเสียหน้า”

“แต่ผมก็ยังไม่เห็นด้วย นายน้อยได้โปรดเถอะครับ ล้มเลิกความคิดที่จะพาคุณยาหยีไปด้วยเสียเถอะ ปล่อยเธอไปตามทางของเธอ ส่วนเราก็กลับไปตามหาเพชรสีทองอีกครั้ง นะครับนายน้อย คิดว่าเป็นคำขอร้องของทาสผู้ซื่อสัตย์คนหนึ่งที่ยอมตายแทนนายน้อยได้เถอะครับ อย่าพาเธอไปด้วยเลย”

ทุกความหวังดีของเซอร์เกถูกถ่ายทอดออกมาทั้งทางคำพูดและสายตา คอร์เนลซาบซึ้งยิ่งนัก แต่เขาก็ไม่อาจจะทำตามคำพูดของคนสนิทผู้จงรักภักดีอย่างเซอร์เกได้ หัวใจของเขาร่ำร้องหาแต่ผู้หญิงคนนั้น แม้จะรู้ว่าหล่อนสารเลว แต่ร่างกายของเขาก็ยังโหยหาเจ้าหล่อน เขาคงคลั่งตายแน่หากต้องอยู่ห่างจากหล่อนไปตลอดชีวิต

“ยาหยีอาจจะมีลูกของฉันติดท้องอยู่…”

“ลูกของใครนะครับนายน้อย?” เซอร์เกเปลี่ยนจากท่าทางเศร้าสร้อยเป็นตื่นตกใจสุดขีดทันที

“มันหมายความว่ายังไงครับ อย่าบอกนะว่านายน้อย…”

“ฉันไม่ได้ป้องกัน…” คอร์เนลสบตากับคนสนิทนิ่ง “แม้แต่ครั้งเดียว”

“แม้แต่ครั้งเดียวหรือครับ งั้นก็แสดงว่า…” เซอร์เกยกมือใหญ่ของตัวเองขึ้นกุมหน้าด้วยความเครียดจัด เดินกลับไปกลับมาราวกับหนูติดจั่น เป็นนานกว่าจะหันมาจ้องหน้านายน้อยสุดหล่อของตัวเองที่นั่งนิ่งอยู่บนรถสปอร์ต

“ถุงยางกับยาคุมหมดหรือครับนายน้อย”

“ไม่มีอะไรหมดทั้งนั้นแหละ แต่ฉันลืมใช้ก็เท่านั้นเอง”

“ลืมใช้? ผมจำได้ว่านายน้อยรอบคอบเรื่องนี้เป็นที่สุด พวกผู้หญิงทุกคนจะต้องกินยาคุมทั้งก่อนและหลังจากเสร็จสิ้นการรับใช้นายน้อย แล้วทำไม? เรื่องแบบนี้ถึงเกิดขึ้นได้ครับ ทำไมนายน้อยถึงปล่อยให้…ปล่อยผู้หญิงคนหนึ่งที่แสนจะต่ำต้อยแล้วยังพ่วงตำแหน่งลูกสาวคนโจรห้าร้อยมีโอกาสได้เป็นคุณผู้หญิงแห่งซีร์ยานอฟล่ะครับ ทำไมนายน้อยถึงทำแบบนี้”

เซอร์เกคร่ำครวญด้วยความผิดหวัง ความทุกข์ใจฉายชัดในดวงตาคมกริบของเขามหาศาล

“ฉันไม่รู้…ฉันไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมตัวเองถึงเลินเล่อเช่นนั้น”

‘คอร์เนลไม่รู้ แต่เขารู้ รู้แจ้งแดงแจ๋เชียวแหละ นายน้อยกำลังตกหลุมรักเด็กยาหยีจนโงหัวไม่ขึ้น รักจนมองข้ามความเลวทุกอย่างที่หล่อนอาจจะทำ’

“นายน้อยกำลังทำให้ซีร์ยานอฟยุ่งเหยิงนะครับ คุณอังเดรจะต้องไม่พอใจเอามากๆ”

เซอร์เกเอ่ยถึงน้าชายญาติเพียงคนเดียวที่ยังมีชีวิตรอดจากการกวาดล้างของตำรวจเมื่อสิบปีที่แล้วของคอร์เนล

“ฉันไม่เคยใส่ใจกับคนๆ นั้นอยู่แล้ว เลิกพูดซะเซอร์เก แล้วก็รีบหลีกทางให้ฉันด้วย ฉันจะต้องไปตามหายาหยีให้พบ และการกลับไปมอสโกในครั้งนี้ของฉันจะต้องมียาหยีกลับไปด้วย”

เซอร์เกไม่มีทางเลือกอื่นใดอีกนอกจากหลีกทางให้กับคอร์เนล รถสปอร์ตสีดำเงาวับแล่นผ่านไปอย่างรวดเร็ว เซอร์เกมองไปจนลับตาด้วยความกังวลใจแน่นอก ตอนนี้เลือกไม่ถูกเลยว่าสมควรจะทำยังไงกับเรื่องนี้ดี

อุตส่าห์วางแผนอย่างดีเพื่อให้นายน้อยของตัวเองหลุดพ้นจากบ่วงเสน่ห์ของเด็กยาหยี แต่สุดท้ายแล้วก็เป็นคอร์เนลนั่นแหละที่ทำให้ทุกอย่างผิดพลาด นี่เขาอยากจะรู้จริงๆ เลยว่าคอร์เนลลืมสวมถุงยางหรือว่าตั้งใจจะไม่สวมใส่กันแน่

ชายผู้ภักดีต่อตระกูลซีร์ยานอฟเงยหน้ามองแผ่นฟ้าที่ตัวเองคิดว่าเป็นที่อยู่อาศัยของบิดามารดาของคอร์เนล และพึมพำออกไปด้วยทุกข์ใจ

“นายหญิง นายผู้ชายครับ ผมไม่รู้ว่าจะช่วยนายน้อยยังไงดีแล้วครับ” เซอร์เกถอนใจออกมาแรงๆ ติดต่อกันหลายต่อหลายครั้งด้วยความวิตกกังวล ห่วงทั้งเมลิน่า ห่วงทั้งคอร์เนลจนหัวอกแทบจะระเบิดออกมาอยู่แล้ว

ยาหยีมองสายที่ตัวเองไม่ได้รับด้วยด้วยสายตาเจ็บปวด หน้าจอโทรศัพท์มือถือโชว์เบอร์ของคอร์เนลที่โทรมาหาหล่อนเกือบยี่สิบครั้ง แต่หล่อนก็ไม่รับ และก็คงไม่กล้ารับด้วย น้ำตาไหลรินออกมาขณะทรุดกายลงบนเก้าอี้ภายในห้องเช่าแห่งหนึ่งในเมืองพัทยา

“คอร์เนล…ฉันรักคุณค่ะ รักจนไม่อาจจะฟังคำเหยียดหยาม คำประณามใดๆ จากคุณได้อีก ฉันจะจำสิ่งดีๆ ที่คุณมีกับฉัน” สาวน้อยร่ำไห้รุนแรงจนกายสาวสั่นสะท้าน

“และฉันจะไม่มีวันลืมคุณเลยตลอดชีวิต” มือบางยกขึ้นป้ายน้ำตาแห่งความเสียใจที่ไหลพรากออกมาเต็มหน้า เมื่อโทรศัพท์มือถือมีสายเรียกเข้ามา ใบหน้างามซีดเผือด หัวใจสาวสั่นระรัวเมื่อสมองร้องว่าเป็นคอร์เนล แต่เมื่อก้มลงมองก็พบว่าเป็นเบอร์แปลกเบอร์หนึ่ง ไม่ใช่เบอร์โทรศัพท์ของผู้ชายที่หล่อนกำลังร้องไห้ด้วยความคิดถึง

หญิงสาวตัดสินใจกดรับเพราะค่อนข้างจะมั่นใจว่าเป็นบิดา และก็ใช่ท่านจริงๆ เสียงของท่านดูผ่อนคลายจนหล่อนอดระบายยิ้มออกมาไม่ได้ หล่อนทำไม่ผิดจริงๆ ที่เลือกจะช่วยบิดา แทนที่จะทำตามเสียงเรียกร้องของหัวใจตัวเอง

“พ่อหรือคะ พ่ออยู่ไหน”

“พ่อสบายดีลูกหยี ตอนนี้พ่อกำลังจะบินกลับไปที่มอสโก แต่ลูกหยีไม่ต้องห่วงพ่อแล้วนะ มีคนช่วยพ่อเอาไว้แล้ว พอพ่อเคลียร์ปัญหาทางนี้จบ เราจะได้อยู่ด้วยกัน ลูกหยีดูแลตัวเองให้ดีนะ อย่าให้พวกของนายน้อยทำร้ายได้อีก” คำสั่งของบิดาดังมาตามสาย ยาหยีรีบร้องถามด้วยความผิดหวัง

“ลูกหยีนึกว่าพ่อจะมาอยู่กับลูกหยีเสียอีก พ่อจะไปอีกแล้วเหรอคะ”

“พ่อต้องไปลูก ต้องไปจัดการเรื่องบางเรื่องให้จบสิ้น”

“แต่ลูกหยีอยากอยู่กับพ่อนี่คะ ลูกหยี…” หญิงสาวคร่ำครวญไปตามสาย แต่ผู้เป็นบิดาหาได้หยุดฟังไม่

“รอพ่ออยู่ที่เมืองไทยนะลูกหยี พ่อไปไม่นานแล้วจะรีบกลับมา” ยอดชายรีบวางสายอย่างรวดเร็ว จนยาหยีร้องเรียกเอาไว้ไม่ทัน

“พ่อคะ พ่อ…” เมื่อเห็นว่าสัญญาณถูกตัดลงไปแล้ว หญิงสาวจึงรีบกดต่อสายหาบิดาอีกครั้ง แต่ท่านก็ไม่ยอมรับสายของหล่อนอีกเลย ยาหยีปล่อยโทรศัพท์ร่วงหล่นลงจากมือ ขณะร่ำไห้ออกมาปานจะขาดใจ

‘ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าตอนนี้หล่อนไม่เหลือใครข้างกายเลย ทั้งบิดา ทั้งคอร์เนล นี่หล่อนทำถูกหรือผิดกันแน่นะที่เลือกจะทรยศคอร์เนลเพื่อช่วยบิดาของตัวเอง บิดาที่เป็นคนขโมยเพชรล้ำค่าของเขามา’

ยาหยีกัดปากแน่นจนเลือดออก แต่แปลกที่สาวน้อยหาได้รู้สึกเจ็บอีกไม่ ความเจ็บปวดมันไปรวมตัวกันอยู่ที่หัวใจกันหมดแล้ว เจ็บจนแทบจะขาดใจตาย เจ็บจนไม่อยากจะมีลมหายใจอยู่ในโลกที่แสนโหดร้ายแบบนี้อีกแล้ว

ขณะที่บุตรสาวกำลังโศกากับความอ้างว้างอยู่นั้น ยอดชายก็กำลังเดินเข้าไปในสนามบินกับคนที่บุกมาช่วยเหลือตัวเอง

“ขอบคุณเจ้านายมากนะครับที่มาช่วยเหลือผม”

“เป็นสิ่งที่ฉันต้องทำอยู่แล้ว”

ยอดชายเหลียวกลับไปมองทางด้านหลังด้วยความหวาดระแวงที่ปิดไม่มิด

“ผมกลัวคนของนายน้อยจะตามมาทันจังครับ เพราะหากคราวนี้นายน้อยจับผมได้อีก ผมคงต้องไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมบอกที่ซ่อนเพชรสีทองกับนายน้อย”

คำพูดของยอดชายมีผลทำให้ชายร่างสูงใหญ่ที่เดินนำหน้าอยู่ชะงักเท้าทันที ก่อนจะหันกลับมามอง

“เพชรสีทองมันเป็นของฉัน ไม่มีวันที่ฉันจะคืนมันให้กับไอ้คอร์เนลอย่างแน่นอน”

ดวงตาคมกริบที่อัดแน่นไปด้วยความเหี้ยมโหดของบุรุษตรงหน้าทำเอายอดชายถึงกับหน้าซีดเผือดลงถนัดตา

“และกลับไปมอสโกคราวนี้ หากแกยังไม่ยอมพาฉันไปเอาเพชรสีทองที่แกนำไปซ่อนไปอีกละก็…”

น้ำเสียงเหี้ยมเกรียมที่เล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากของคู่สนทนาตรงหน้านั้นมีผลทำให้ยอดชายหนาวสันหลังวูบวาบ ความหวาดกลัวแล่นฉิวขึ้นสูงจุกคอหอย

“ฉันจะฆ่าแกแน่…”

“อย่าทำผมครับเจ้านาย ผมจะพาเจ้านายไปแน่นอนครับ แต่ผมยังกลัวอิทธิพลของนายน้อยอยู่เลยครับ นายน้อยอาจจะส่งคนมาดักเราที่สนามบินในมอสโกก็ได้นะครับ” ยอดชายพูดออกไปด้วยความหวาดกลัว แต่คู่สนทนากลับหัวเราะร่วนซะงั้น

“มันคิดไม่ถึงหรอกว่าคนบงการจะเป็นฉัน และเมื่อมันคิดไม่ถึง มันก็ไม่มีทางรู้หรอกว่าตอนนี้แกกำลังจะบินกลับไปยังมอสโก ถ้ำเสือของมันนั่นแหละ”

‘นั่นสินะ ใครจะคิดว่าคนบงการให้เขาขโมยเพชรสีทองนั่นจะเป็นผู้ชายคนนี้ไปได้’

“แต่ผมคิดว่าเราควรจะระวังตัวกันบ้างนะครับ นายน้อยฉลาดเป็นกรด”

“ต่อให้มันฉลาดยิ่งกว่าบิลเกตต์ มันก็ไม่มีทางชนะฉันได้หรอก เอาน่า อย่ากังวลไปเลย ฉันเตรียมพร้อมสำหรับทุกอย่างนั่นแหละ แกคงไม่คิดว่าคนที่ฉลาดกว่าพ่อของบิลเกตต์อย่างฉันจะยอมตกม้าตายง่ายๆ แค่นี้หรอกนะ”

“ผมเชื่อเจ้านายครับ…และจะภักดีตลอดไป”

“จำคำของแกเอาไว้ให้ดีๆ ก็แล้วกัน หากแกทรยศฉันเมื่อไร ไม่ใช่แค่แกคนเดียวหรอกนะยอดชาย ที่ฉันจะฆ่าน่ะ แต่ฉันจะให้คนไปลากลูกสาวของแกมารุมโทรมให้ตายคาเตียงเลยทีเดียว”

เจ้าของคำขู่แสนเลือดเย็นหมุนตัวเดินไปข้างหน้าแล้ว แต่ยอดชายก็ยังยืนอึ้งด้วยใบหน้าที่ซีดเผือดราวกับถูกปีศาจดูดวิญญาณไปจนหมด

“จะยืนเซ่ออยู่ทำไม รีบตามมาสิ เครื่องกำลังจะออกแล้ว”

“ครับๆ นาย”

ยอดชายรีบวิ่งตามร่างสูงใหญ่ของนายจ้างที่ตัวเองเลือกจะภักดีไปอย่างรวดเร็ว พยายามฝืนยิ้มออกมาทั้งๆ ที่ภายในใจกำลังทุกข์ทรมานด้วยความห่วงใยในตัวบุตรสาวเหลือเกิน

“นายน้อยครับ สายของเรารายงานมาว่านายยอดชายกำลังจะบินไปมอสโกคืนนี้ครับ” อีวานรีบนำข่าวที่พึ่งได้มาสดๆ ร้อนๆ เข้ามารายงาน

“เครื่องออกกี่ทุ่ม”

คอร์เนลเค้นเสียงถาม ความเดือดดาลที่เกิดขึ้นจากไอ้ยอดชายกำลังถล่มหัวจิตหัวใจในอกของเขาจนยับเยินไม่มีชิ้นดี

‘มันน่าฆ่าให้ตายนักทั้งพ่อทั้งลูก!’

“หนึ่งทุ่มสิบนาทีครับ” อีวานรายงาน

“งั้นก็ออกไปแล้วน่ะสิ นี่มันจะทุ่มครึ่งแล้ว”

เซอร์เกพูดเสียงผิดหวัง ขณะชำเลืองมองใบหน้าหล่อเหลาที่ตอนนี้บูดบึ้งของคอร์เนลด้วยความเป็นห่วง

“นายน้อยไม่ต้องกังวลหรอกครับ ผมโทรสั่งให้คนของเราไปแฝงตัวอยู่ที่สนามบินที่กรุงมอสโกแล้วครับ นายยอดชายลงเครื่องเมื่อไร เราจะขยี้มันทันที”

“ไม่ต้องทำแบบนั้น” คอร์เนลยกมือห้าม และนั่นก็ทำให้คนสนิทต่างวัยเอ่ยถามออกมาด้วยความข้องใจสุดขีด

“ทำไมล่ะครับนายน้อย มันเป็นโอกาสของเราแล้วนะครับ”

“ปล่อยให้มันลอยนวลไปอย่างนั้นแหละ เราตามมันเงียบๆ แล้วค่อยตลบหลังมันพร้อมๆ กันให้สิ้นซาก และนี่ก็เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่เราจะได้เพชรสีทองกลับคืนมา”

ดวงตาสีเขียวดุจมรกตเนื้อดีของคอร์เนลกร้าวจัด ตอนนี้ทั้งเจ็บทั้งแค้นอัดแน่นอยู่ในอก จนแทบจะกระอักออกมาเป็นลิ่มเลือดอยู่แล้ว

“เอ่อ…แล้วอย่างนี้นายน้อยก็รู้แล้วว่าคนบงการนายยอดชายไม่ใช่พวกเซอร์คอฟ งั้นผมจะโทรไปบอกให้เมลิน่าล้มเลิกแผนการเข้าไปในคฤหาสน์เซอร์คอฟนะครับ”

คอร์เนลพยักหน้าน้อยๆ

“มันก็ควรจะเป็นอย่างนั้นแหละ รีบโทรไปยับยั้งล่ะ เพราะคฤหาสน์เซอร์คอฟน่ะเข้าไปง่าย แต่ออกยากยิ่งนัก”

“ครับนายน้อย”

เซอร์เกก้มหน้ารับคำ ขณะมองร่างสูงใหญ่เดินผ่านหน้าไปด้วยสายตาเป็นกังวล นายน้อยของเขากำลังทุกข์จัดทีเดียว

“เพราะผมไม่อยากเห็นนายน้อยตายทั้งเป็นเพราะลูกสาวของคนทรยศครับ ผมถึงได้ทำแบบนี้” พึมพำกับตัวเองแผ่วเบา ก่อนจะหมุนตัวกลับหลังไปพูดกับหลานชาย

“เตรียมเครื่องบินพร้อมหรือยังอีวาน นายน้อยจะเดินทางแต่เช้านะ”

“เรียบร้อยแล้วครับ นักบินสามคนกับผู้ชายอีกสองคนตอนนี้สแตนด์บายรอคำสั่งจากนายน้อยอยู่บนเครื่องแล้วครับ”

“อืม…” เซอร์เกพยักหน้ารับ กำลังจะก้าวเดินไปแต่อีวานก็เรียกเอาไว้เสียก่อน

“น้าเซอร์เกว่าคนบงการขโมยเพชรจะเป็นคนๆ นั้นจริงๆ หรือครับ”

“หุบปากไปเลย หยุดพูดได้แล้ว ทุกอย่างต้องมีคำสั่งจากนายน้อยเสียก่อนเข้าใจไหมถึงจะเอ่ยชื่อคนๆ นั้นได้” ผู้เป็นหลานชายหน้าจ๋อยสนิทเมื่อถูกน้าชายดุเสียงกร้าว

“ครับน้าเซอร์เก อ้าว…แล้วนั่นน้าจะรีบไปไหนหรือครับ” อีวานร้องถามขึ้นเมื่อเห็นเซอร์เกรีบสาวเท้าเดินห่างออกไป

“ไปโทรหาเมลิน่า”

เซอร์เกตอบคำถามสุดท้ายของหลานชายจบแล้วก็รีบก้าวเดินออกไปจากห้องโถงอย่างรวดเร็ว ในใจรุ่มร้อนดุจมีไฟมาแผดเผา ภาวนาให้เมลิน่าบุตรสาวที่ตัวเองรักดุจดวงใจยังไม่ทันได้เข้าไปในคฤหาสน์เซอร์คอฟทีเถอะ

“ระยำ!”

กำปั้นแข็งแกร่งทุบลงบนพวงมาลัยรถสปอร์ตที่ตอนนี้กำลังติดไฟแดงอยู่ในเขตตัวเมืองหลวงด้วยความเดือดดาล ทุกขณะเนื้อหนุ่มเดือดดาลอย่างบ้าคลั่ง ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคฤหาสน์อันแสนเป็นส่วนตัวของเขาจะมีคนนอกบุกรุกเข้ามาก่อความวุ่นวายได้ ทั้งๆ ที่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็แทบจะเดินชนกันเสียด้วยซ้ำ

ชายหนุ่มกระแทกคันเร่งแรงๆ ทันทีเมื่อสัญญาณไฟเขียวปรากฏขึ้น ขณะที่รถแล่นทะยานไปข้างนอกอย่างรวดเร็วนั้น สมองของเขาก็แบ่งออกไปสองพรรคสองพวก มันตีกันยุ่งเหยิงจนคนกลางอย่างเขาปวดหัวตึบ

พวกหนึ่งบอกว่าเขาควรจะกลับไปหายาหยีที่โรงแรมที่พัทยานั่น กลับไปพาเจ้าหล่อนมาด้วย แต่พวกหนึ่งก็ค้านอย่างดุเดือดว่า ยาหยีคือตัวหายนะ การปล่อยหล่อนให้อยู่ห่างจากกายจากใจสักพักหนึ่งจะเป็นการดีที่สุดสำหรับเขา และตอนนี้สิ่งที่ควรจะทำที่สุดก็คือการตามลากคอไอ้ยอดชายและคนที่บังอาจบุกเข้ามาช่วยมันมาขยี้ให้แหลกคามือมากกว่า

กรามแกร่งที่เขียวครึ้มด้วยไรหนวดบดกันแน่นจนเนื้อแก้มกระตุกเป็นริ้วๆ โทสะร้ายวาววับอัดแน่นอยู่ในดวงตาสีเขียวจัดของคอร์เนลมหาศาล

และในที่สุดชายหนุ่มก็เลือกที่จะมุ่งหน้ากลับไปจัดการกับปัญหายุ่งยากที่บ้านแทนการเลี้ยวรถกลับไปหายาหยีที่โรงแรม

“นายน้อยครับ” เซอร์เกรีบวิ่งออกมารับหน้าเมื่อรถสปอร์ตสีดำของคอร์เนลแล่นเข้ามาจอดที่หน้าตึก ชายวัยกลางคนลอบถอนใจออกมาด้วยความโล่งอกเมื่อพบว่าเจ้านายหนุ่มของตัวเองกลับมาเพียงลำพัง

“เกิดอะไรขึ้นเซอร์เก ใครมันบังอาจเข้ามาเหยียบจมูกฉันถึงที่นี่”

คอร์เนลก้าวลงจากรถได้ก็ตวาดถามคนสนิทที่ตัวเองไว้ใจเสียงดังลั่น ความผิดหวังอัดแน่นอยู่เต็มกระแสเสียง

“ฉันผิดหวังกับการทำงานของนายมากนะเซอร์เก”

“ผมขอโทษครับ ผมสะเพร่าเอง”

เซอร์เกก้มหน้ารับผิดโดยไม่เอ่ยอุทธรณ์ใดๆ ออกมา คอร์เนลขบกรามแน่น ขณะเดินผ่านร่างของคนสนิทไปหยุดที่อีวานแทน

“บอกมาสิว่ามันมากันกี่คน แล้วมันเข้ามาได้ยังไง”

“เอ่อ…ผม…” อีวานอ้ำอึ้ง เซอร์เกจึงต้องเป็นฝ่ายตอบแทน

“คนของเราเห็นว่ามันมากันสามคนครับ มันปีนเข้ามาทางรั้วที่อยู่ใกล้ๆ กับเรือนคุมตัวนายยอดชาย พวกเราไม่ทันเห็น…”

“ระยำ! ไม่ทันเห็นเหรอ!”

คอร์เนลตวาดลั่น ยกกำปั้นจะต่อยหน้าเซอร์เก แต่พอเห็นอีกฝ่ายหนึ่งไม่ยอมหลบ เขาจึงสะบัดมันลงข้างตัวแทน แล้วคำรามออกมาเสียงเลือดเย็น

“แล้วพวกนายทำอะไรกันอยู่ฮึ! แทบจะเดินชนกันตายอยู่แล้วไม่ใช่หรือ”

“ผมขอโทษครับนายน้อย ผมผิดเอง…”

ยังเป็นเซอร์เกคนเดียวที่สามารถพูดออกมาได้ในสภาวะที่คอร์เนลกำลังเกรี้ยวกราดเดือดดาลเช่นนี้

“ฉันไม่ได้ต้องการหาคนผิด แต่สิ่งที่ฉันต้องการรู้ก็คือ พวกมันเข้ามาได้ยังไง!”

มือใหญ่ของคอร์เนลรวบคอเสื้อของเซอร์เกและกระชากชายต่างวัยให้เข้ามาเผชิญหน้า ความเจ็บแค้นที่ถูกลูบคมทำให้ชายหนุ่มเกือบจะทำอะไรรุนแรงลงไป แต่พอคิดถึงความภักดีที่เซอร์เกเคยมีให้ เขาก็ข่มโทสะนั้นเอาไว้ และปล่อยร่างของเซอร์เกจากอุ้งมือ

“แล้วไอ้คนที่นั่งมองกล้องวงจรปิดล่ะ มันทำอะไรอยู่”

“กล้องสามตัวที่อยู่บริเวณนั้นเสียพร้อมกันครับ” เซอร์เกรายงานเสียงแผ่วเบา และก็เป็นเขาเองนั่นแหละที่จัดการทำให้กล้องวงจรปิดเหล่านั้นไม่สามารถบันทึกภาพได้ ตอนแรกเขาตั้งใจว่าจะเป็นคนปล่อยยอดชายไปเอง แต่สุดท้ายทุกอย่างก็ผิดแผนไปหมด มีใครบางคนสวมรอยเข้ามาชิงตัวนายยอดชายไปเสียก่อน

“เสีย?”

คอร์เนลอุทานเสียงสูง พลางเดินกลับไปกลับมาคล้ายกับหนูติดจั่น ใบหน้าหล่อเหลาแดงก่ำด้วยโทสะและความขัดเคืองใจ

‘เป็นไปไม่ได้ มันจะเป็นแบบนี้ไปได้ยังไง ในเมื่ออาณาจักรของเขานั้นถือว่ามีระบบการรักษาความปลอดภัยอย่างแน่นหนาที่สุดแห่งหนึ่งก็ว่าได้ แต่ทำไมมีคนบุกเข้ามาช่วยนักโทษโดยที่คนของเขาไม่เห็นกันนะ แถมเจ้ากล้องวงจรปิดก็ดันมาเสียพร้อมๆ กันเสียอีก มันต้องมีเบื้องหน้าเบื้องหลังอย่างแน่นอน’

“ต้องมีหนอนบ่อนไส้…” คอร์เนลเค้นเสียงคำรามเล็ดลอดไรฟันขาวสะอาดออกมา

“นายน้อย ผมไม่รู้เรื่องนะครับ!”

อีวานที่เป็นวัวสันหลังหวะอยู่ร้องออกมาด้วยความตื่นกลัว คอร์เนลหันมาจ้องเขม็งแต่เซอร์เกก็รีบแก้สถานการณ์เสียก่อน

“ไม่มีใครโทษแกหรอกน่าอีวาน เอ่อ…นายน้อยครับ ผมคิดว่าคนที่เข้ามาช่วยนายยอดชายไปมันต้องเฝ้าดูเรามาหลายวันแล้วแน่นอนครับ และก็น่าจะเป็นอย่างที่นายน้อยสงสัย นั่นก็คือมีหนอนบ่อนไส้ในคนของเราเอง”

คอร์เนลหรี่ตามองคนสนิทเขม็ง

“นายสงสัยใครเซอร์เก…”

เซอร์เกยืนก้มหน้านิ่งไม่ยอมตอบออกมา คอร์เนลมองอย่างเข้าใจความคิด

“ตามฉันไปที่ห้องทำงานเดี๋ยวนี้เซอร์เก”

“ครับนายน้อย”

คอร์เนลก้าวยาวๆ จากไปแล้ว อีวานจึงรีบเข้ามากระซิบกระซาบกับน้าชายด้วยความตื่นกลัว

“ผมกลัวครับน้าเซอร์เก ผมกลัวว่านายน้อยจะรู้…”

เซอร์เกแกะมือของหลานชายออกจากตัว ก่อนจะกระซิบเบาๆ ให้ได้ยินกันแค่สองคนเท่านั้น

“อย่าปอดแหกไปหน่อยเลยอีวาน ทุกอย่างมันเป็นไปตามแผนของเรานั่นแหละ แค่เพียงว่าเราไม่ได้เป็นคนปล่อยนักโทษไปด้วยมือตัวเองเท่านั้นเอง”

“แล้วน้าเซอร์เกจะรับมือกับนายน้อยยังไงล่ะครับ”

เซอร์เกถอนใจออกมา

“แกไม่ต้องรู้หรอก รู้เพียงแต่ว่าสิ่งที่เราทำกันลงไปทั้งหมดนี่ก็เพียงเพราะว่าเราจงรักภักดีต่อนายน้อย ท่องไว้ว่าทำเพื่อนายน้อย”

“ครับน้าเซอร์เก”

อีวานก้มหน้ารับคำทั้งๆ ที่เสียงยังสั่นอยู่

ผู้เป็นน้าชายยกมือขึ้นตบไหล่หลานชายเบาๆ อย่างให้กำลังใจ

“อยู่เงียบๆ ทำและพูดตามที่ฉันบอกก็พอแล้ว”

จบคำเซอร์เกก็ก้าวยาวๆ เดินตามคอร์เนลที่มุ่งหน้าเดินนำไปที่ห้องทำงานนานหลายอึดใจแล้วอย่างรวดเร็ว และเมื่อก้าวเข้ามาหยุดภายในห้องแสนโอ่อ่า คำถามของคอร์เนลก็ดังขึ้นทันที

“บอกมาสิว่านายสงสัยใคร”

“ผมสงสัยคุณยาหยีครับ”

“ฉันไม่เชื่อ ยาหยีไม่มีทางทำแบบนั้น”

‘นึกอยู่แล้วเชียวว่าคอร์เนลจะต้องไม่เชื่อ แต่เขามีแผนสองรองรับความผิดพลาดอยู่ในมือแล้ว’

คอร์เนลก้าวยาวๆ ไปเกาะขอบหน้าต่างห้อง บางสิ่งบางอย่างในคำพูดของเซอร์เกกำลังบีบคั้นเลือดในกายของเขาให้ทะลักออกมา

“คนในบ้านหลังนี้ล้วนจงรักภักดีต่อนายน้อยทุกคน ยกเว้นเพียงแต่…”

“นายจะบอกว่ายาหยีใช่ไหม” คอร์เนลกระชากเสียงถามด้วยความหงุดหงิด

‘ไม่เชื่อๆ ให้ตายยังไงเขาก็ไม่เชื่อว่ายาหยีจะเป็นคนวางแผนให้คนเข้ามาช่วยบิดาของตัวเองออกไป ยาหยีไร้เดียงสา และเขามั่นใจว่าหล่อนไม่เคยคิดหลอกลวงใคร หล่อนสวยงามแล้วยังมีท่าทางคล้ายกับจะหลงรักเขาด้วยซ้ำไป’

“ครับนายน้อย”

“ฉันไม่เชื่อ”

“แต่คนที่มีแรงจูงใจที่จะทำเรื่องนี้มากที่สุดก็คือคุณยาหยีนะครับ เธอรักพ่อของเธอมาก รักมากจนยอมมาเป็นของเล่นให้กับนายน้อย”

เซอร์เกกระแทกคำพูดเข้าใส่ใจดำของคอร์เนลแรงๆ ด้วยหวังจะให้ชายหนุ่มคล้อยตาม และมันก็ได้ผลจริงๆ เพราะสีหน้าของคอร์เนลสลดวูบลงทันตาทีเดียว

“แถมที่สวนสาธารณะวันนั้นเธอยังบอกผมอีกว่า หากพ่อของเธอเป็นอิสระ เธอจะไปจากนายน้อยทันที”

คอร์เนลอึ้ง เจ็บจี๊ดในอกอย่างรุนแรง สมองนึกย้อนไปถึงเรื่องราวของตัวเองกับยาหยีเมื่อเช้าที่ผ่านมา ยาหยีทำเหมือนอาลัยอาวรณ์เขานักหนา ซึ่งมันตรงกันข้ามกับสิ่งที่เซอร์เกพูดอย่างสิ้นเชิง

“นายกำลังต้องการให้ฉันเลิกยุ่งกับยาหยีใช่ไหมเซอร์เก”

“ครับนายน้อย”

เซอร์เกก้มหน้ายอมรับทันที

“ผู้หญิงคนนั้นเป็นตัวหายนะสำหรับนายน้อยนะครับ ตั้งแต่นายน้อยมีเธอ นายน้อยก็เปลี่ยนไป นายน้อยเลือกที่จะขลุกอยู่กับเธอทั้งวันโดยที่ไม่สนใจงานเหมือนแต่ก่อน แถมนับวันเธอก็ยิ่งมีอิทธิพลต่อนายน้อยมากขึ้น”

ความห่วงใยของเซอร์เกทะลักทลายออกมาทั้งจากคำพูดและแววตาที่ทอดมองเจ้านายหนุ่มของตัวเอง

“คุณยาหยีเธออันตรายสำหรับนายน้อยมากนะครับ”

แม้จะรู้ดีว่าคนสนิทพูดถูกต้องทุกอย่าง แต่มันก็ยากนะที่จะให้ผู้ชายหยิ่งผยองแสนยโสอย่างเขายอมรับมันออกไป

“ฉันไม่ได้รู้สึกอะไรกับยาหยีทั้งนั้น ฉันก็แค่…ยังไม่เบื่อ”

“นายน้อยไม่มีทางเบื่อเธอได้หรอกครับ เพราะนับวันนายน้อยก็ยิ่งต้องการเธอมากขึ้น ผู้หญิงคนนี้เป็นลูกสาวของคนทรยศนะครับ แค่ชั่วครั้งชั่วคราวน่ะไม่เป็นไร แต่หากยืดยาวเป็นเดือนหรือสองเดือน ผมไม่เห็นด้วยครับ”

“แต่นี่ก็ไม่ใช่เหตุผลที่เราจะนำไปปรักปรำยาหยีไม่ใช่หรือ” คอร์เนลเปลี่ยนเรื่องพูดกะทันหัน เมื่อคู่สนทนาดูเหมือนจะเข้ามานั่งในใจของเขาเสียทุกขณะ

“แต่เธอคือคนที่เราต้องสงสัยครับ และนี่…”

คอร์เนลมองคนสนิทหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดอะไรสองสามทีแล้วยื่นมาตรงหน้าเขา

“นายกำลังจะทำอะไรกันแน่?”

“ผมกำลังจะทำให้นายน้อยรู้ว่าผมไม่ได้ใส่ร้ายคุณยาหยี”

เซอร์เกจัดการเปิดคลิปเสียงที่ตัวเองแอบอัดไว้เมื่อตอนที่เขากับยาหยีคุยกันที่สวนสาธารณะ เขาอัดมาเฉพาะประโยคเด็ดนี้เพียงประโยคเดียว และเขาก็คิดว่ามันจะทำให้คอร์เนลเลิกเข้าข้างและตัดใจจากหญิงสาวได้สำเร็จ

“ฉันจะไปจากคอร์เนลทันทีที่พ่อของฉันได้รับอิสรภาพ”

คอร์เนลถึงกับอ้าปากค้าง จ้องมองเจ้าโทรศัพท์ในมือของเซอร์เกนิ่ง มองราวกับว่ามันคือของแปลกจากต่างดาวก็ไม่ปาน

“นายน้อยอาจจะยังฟังไม่ถนัด ผมจะเปิดให้ฟังอีกครั้ง”

เมื่อยังเห็นความลังเลบนใบหน้าของคอร์เนลอยู่ เซอร์เกจึงจัดการเล่นคลิปเสียงนั้นอีกครั้ง และก็ได้ผลคราวนี้สายตาคมกริบที่เมื่อครู่นี้เต็มไปด้วยความลังเลไม่เชื่อ แปรเปลี่ยนเป็นดุกร้าวและขยะแขยงขึ้นในพริบตา

“ขอบใจมากเซอร์เกที่ทำให้ฉันตาสว่าง” อยากจะคิดว่าเซอร์เกใส่ร้ายยาหยี อยากจะคิดว่าหล่อนบริสุทธิ์ไม่ใช่ผู้ต้องหา แต่สุดท้ายแล้วกามันก็ต้องเป็นกาอยู่วันยังค่ำ ยาหยีคิดเพียงแค่อยากช่วยพ่อเท่านั้นจริงๆ

“คุณยาหยีเธอทำทุกอย่างเพื่อพ่อของเธอเท่านั้นครับ เธอก็บอกผมด้วยว่า เธอเกลียดนายน้อยมาก และเธอก็จะหาทางช่วยพ่อของเธอให้ได้ ไม่ว่าจะต้องใช้เล่ห์เหลี่ยมแค่ไหนก็ตาม”

เซอร์เกลอบมองใบหน้าเดือดดาลของเจ้านายหนุ่มด้วยความพึงพอใจ ก่อนจะรีบราดน้ำมันลงบนกองไฟอีกระลอก

“แต่วันนั้นผมไม่คิดว่าเธอจะทำจริงๆ ผมนึกว่าเธอพูดเล่น”

“หยุดพูดถึงผู้หญิงแพศยาคนนั้นได้แล้วเซอร์เก ฉันไม่อยากฟัง!” คอร์เนลตวาดลั่น ขณะฟาดกำปั้นของตัวเองเข้ากับกำแพงห้องแรงๆ หลายทีติดกัน

“ครับนายน้อย ผู้หญิงคนนั้นต่ำเกินกว่าที่นายน้อยจะต้องทำร้ายตัวเองเพื่อเธอนะครับ”

ชายหนุ่มหยุดต่อยกำแพงห้อง หันขวับมาจ้องหน้าคนสนิทเขม็ง

“ก็แค่ครั้งเดียว ครั้งนี้เท่านั้นเอง”

เซอร์เกมองเห็นความเจ็บปวดในดวงตาของคอร์เนลชัดเจน เขารู้ดีว่านายน้อยของตัวเองกำลังทุกข์ทรมานแค่ไหน แต่การตัดไฟตั้งแต่ต้นลมเสียตอนนี้มันก็ยังดีกว่าปล่อยให้นายน้อยเจ็บเพราะพิษรักเมื่อจมปลักกับมันจนถอนตัวไม่ขึ้นไม่ใช่หรือ

“ต่อให้ต้องพลิกแผ่นดินตามล่าไอ้ยอดชาย นายก็ต้องลากคอมันมาให้ฉันให้จงได้ เซอร์เก…” เป็นนานเลยทีเดียวกว่าคอร์เนลจะรวบรวมสติสตังกลับคืนมาได้

“ครับนายน้อย รับรองว่าไม่เกินสามวันผมจะต้องได้ตัวนายยอดชายกลับมาแน่นอนครับ แต่ว่า…คุณยาหยีก็จะมาด้วย”

“ฉันจะไปรอที่มอสโก หากแม่นั่นมีปัญญาไล่ตามพ่อของตัวเองไปถึงที่นั่นได้ ฉันก็ยินดีต้อนรับ และรับรองว่าฉันจะต้อนรับแม่นั่นอย่างสมเกียรติเลยทีเดียว” คอร์เนลแสยะยิ้มชิงชัง ดวงตาสีเขียวจัดวาวโรจน์ไปด้วยแรงโทสะ

“ผมกลัวนายน้อยจะใจอ่อนอีก”

ถึงยังไงเซอร์เกก็ยังไม่สบายใจอยู่ดี คอร์เนลหัวเราะเหี้ยม ขณะเดินกลับไปนั่งบนเก้าอี้ทำงานหนังแท้ของตัวเอง

“คนไม่มีหัวใจจะใจอ่อนได้ยังไงกันล่ะ วางใจเถอะเซอร์เก ฉันไม่โง่ซ้ำซากแน่ๆ”

“แต่ว่าผม…”

“ออกไปได้แล้วเซอร์เก ไปจัดการส่งคนไปพลิกแผ่นดินตามล่าไอ้ยอดชายให้พบ แล้วพรุ่งนี้เตรียมตัวกลับมอสโกกับฉัน บอกเชอรี่และคนอื่นๆ ให้เตรียมตัวด้วย”

คอร์เนลตัดบททุกการสนทนาด้วยการเอนกายพิงกับพนักเก้าอี้ตัวใหญ่ พร้อมกับหลับตา เซอร์เกยืนจ้องมองท่าทางปวดร้าวที่ซ่อนไม่มิดของคอร์เนลอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนจะตัดสินใจเดินออกไปจากห้องทำงานอย่างเงียบเชียบ

เสียงปิดประตูห้องที่ถึงแม้จะแสนเบาแต่คอร์เนลที่กำลังตั้งใจฟังมันอยู่ก็ได้ยิน ชายหนุ่มลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ความเจ็บปวดสำแดงฤทธิ์ออกมาจากนัยน์ตาสีเขียวเข้มอย่างรุนแรง กรามแกร่งขบกันแน่นขณะเอื้อมมือไปคว้าโทรศัพท์มือถือมากดโทรออก

แม้ทุกคำพูด ทุกพยานหลักฐานที่เซอร์เกนำมาแสดงล้วนแต่บอกว่ายาหยีคือหญิงแพศยา ผู้หญิงที่ทำทุกอย่างเพื่อเป้าหมายของตัวเอง แต่เขาก็ยังอยากพิสูจน์ให้แน่ใจ อยากจะพิสูจน์ให้แน่ใจอีกครั้ง ภาวนาอยู่ภายในอกให้ทุกอย่างที่เซอร์เกพูดเป็นเรื่องโกหก ให้ตอนนี้ยาหยีกำลังนอนรอให้เขาไปรับอยู่ที่โรงแรมหรูริมหาดพัทยา

“หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้ค่ะ”

คอร์เนลกระหน่ำโทรเข้ามือถือของยาหยีเกือบยี่สิบครั้งแต่ประโยคที่ได้ยินตอบกลับมาก็ยังเป็นเสียงเดิม นั่นก็คือ หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้ค่ะ แต่เขายังไม่ยอมละความพยายามง่ายๆ หรอก คอร์เนลรีบกดโทรศัพท์ไปยังโรงแรมทันที

“ผมต้องการคุยกับผู้หญิงที่พักอยู่ห้อง 905 เดี๋ยวนี้!”

“ห้อง 905 เหรอคะ เธอออกไปแล้วนะคะ รู้สึกว่าจะออกตามหลังคุณไปแค่ครึ่งชั่วโมงเองค่ะ”

เสียงเจ้าหน้าที่โรงแรมตอบกลับมาหวานจ๋อย แต่คอร์เนลไม่ได้ฟังมันอีก เขากดตัดสายทันที จากนั้นก็ปาเจ้าโทรศัพท์มือถือราคาแพงยิ่งกว่าทองลงกับพื้นอย่างไม่ไยดี ความเดือดดาลแล่นขึ้นมาจุกอก เมื่อรู้แล้วว่าสิ่งที่เซอร์เกพูดเป็นเรื่องจริง

‘ยาหยีไปแล้ว…ไปจากเขาแล้วจริงๆ คงจะนัดกับพ่อของตัวเองเอาไว้สินะ’

“นังแพศยา! ฉันจะไม่มีวันให้อภัยอีตัวแบบเธออีกเด็ดขาด” ทุกความเดือดดาล ทุกแรงโทสะ ถูกถ่ายทอดออกมาจากคำพูดและแววตา กำปั้นใหญ่ทุบลงบนโต๊ะไม้มะฮอกกานีตรงหน้าครั้งแล้วครั้งเล่าจนมันแทบล้มครืน

เพราะอย่างนี้ใช่ไหม เจ้าหล่อนถึงได้พยายามถ่วงเวลาเขานัก พยายามใช้ร่างกายสวยสดผูกมัดให้เขากลับมาช้าที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้พ่อของหล่อนได้หนีไปให้ไกลที่สุด

ไม่เคยรู้สึกเจ็บใจเท่านั้นมาก่อนเลยในชีวิต ผู้หญิงที่เขาเคยคิดว่าไร้เดียงสาและแสดงละครไม่เป็น แต่เจ้าหล่อนกลับทำได้อย่างแนบเนียนทุกอย่าง ทำได้ดีจนเขาตามไม่ทัน แถมสุดท้ายยังตลบหลังเขาซะแสนเจ็บปวด

หากตอนนี้มีใครคนหนึ่งที่ควรจะรับโทษ มันก็ต้องเป็นเขานั่นแหละ เพราะความโง่ของเขาทำให้ทุกอย่างมันพังทลายลงจนไม่เหลือชิ้นดี โง่เขลาเบาปัญญาไม่ต่างจากควายไถนาเลยแม้แต่นิดเดียว

สาวน้อยพรมจูบไปทั่วทั้งเรือนกายแกร่ง ทุกสัมผัส ทุกการเคลื่อนไหวเต็มไปด้วยความอ่อนหวาน อ่อนโยน และหัวใจ คอร์เนลร้องคำรามด้วยความรัญจวนครั้งแล้วครั้งเล่า อ้อนวอนขอร้องให้แม่ลูกหยีแสนหวานมอบความสัมพันธ์ขั้นสุดท้ายให้แก่เขาเสียที

“ลูกหยี…ได้โปรด ผมทนไม่ไหวแล้วนะ”

ยาหยีเงยหน้าจากผิวหนุ่ม ยิ้มหวานฉ่ำมอบให้แก่หนุ่มหล่อที่นอนดิ้นพราดอยู่ใต้ร่างของหล่อน วางสองมือนุ่มกับแผงอกกว้างรกรุงรังของเขาเอาไว้ ก่อนจะก้มลงไปกระซิบชิดปากร้อนผ่าวของผู้ชายใต้ร่างแผ่วเบา

“ของดีต้องรออีกนิดค่ะ”

มันช่างเป็นคำพูดวาบหวามเหลือเกินในความคิดของคอร์เนล ชายหนุ่มหลุดเสียงครางออกมาเบาๆ ใช้สองมือตรึงท้ายทอยของยาหยีเอาไว้มั่น ขณะยกศีรษะของตัวเองขึ้นไปขยี้จูบเร่าร้อนจนกลีบปากสาวบวมเป่ง

“บอกแล้วไงว่าไม่รอ”

“ไม่มีความอดทนเลยนะคะ” สาวน้อยยิ้มหวานชิดปากของคนตัวโต มือนุ่มลูบไล้ไปตามเนื้อหนุ่มเรียบตึงของคอร์เนลด้วยความหลงใหล

“อะไรที่เกี่ยวกับคุณ ผมรอไม่ได้ทั้งนั้นแหละ”

“ว้าย! คอร์เนลน่ะ”

สาวน้อยร้องขัดใจเมื่อพ่อคนตัวโตใช้ช่วงเวลาที่หล่อนเผลอพลิกขึ้นมาทาบทับเสียเอง ปากร้อนผ่าวก้มลงรวบปานถันสีกุหลาบแล้วดึงแรงๆ จนเจ้าของร่างร้องครางลั่น

“ก็บอกแล้วไงว่าไม่รอแล้ว ขืนรอผมตายพอดี”

หนุ่มหล่อไม่สนใจอาการดิ้นพราดของยาหยีเลยแม้แต่น้อย เขายังคงรุกรานเต้างามสองข้างสลับกันไปมาด้วยความหิวกระหาย ขยี้ขยำจนมันแทบบี้แบนคามือ ขณะที่สะโพกเพรียวแกร่งส่ายไปมาอย่างหยอกเย้า

“ผมยอมตายเพื่อให้ได้คุณนะลูกหยี”

แม้จะพยายามกัดฟันเพื่อข่มแรงปรารถนาเอาไว้มากแค่ไหน แต่สุดท้ายแล้วคอร์เนลก็ไม่สามารถยืดเวลาแห่งการเล้าโลมต่อไปได้อีกแม้แต่เสี้ยววินาทีเดียว เขาครอบครองกายสาวอย่างรุนแรง ดื่มด่ำกับความรัดรึงแสนหวานที่สาวน้อยมอบให้ด้วยความเต็มอกเต็มใจปนหิวกระหาย

เขาไม่เคยพบกับความสุขแบบนี้มาก่อนเลยในชีวิต ไม่เคยมีใครทำให้เขารู้จักสวรรค์มาก่อน แต่ยาหยีทำได้ หล่อนไม่ใช่แค่ทำให้เขารู้จักกับสรวงสวรรค์เท่านั้น แต่หล่อนทำให้เขาสามารถขึ้นไปยืนตระหง่านอยู่บนฉิมพลีนั่นได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ

“ลูกหยี…ยาหยีของผม…”

ไม่มีคำพูดใดจะสามารถมาบรรยายความรู้สึกของเขาในตอนนี้ได้ ตอนที่เขากำลังสั่นระริก ร่างกายเกร็งกระตุกอย่างสุขสมอยู่บนร่างอรชร ความซ่านสยิวที่กำลังกัดกินไปทั่วทั้งกายหนุ่มทำให้เขาไม่รู้สึกเจ็บสักนิดเมื่อยามที่สาวน้อยจิกเล็บคมๆ ลงมาบนหัวไหล่ทรงพลังของตัวเอง

คอร์เนลก้มลงมองสาวน้อยที่มอบของขวัญล้ำค่าให้กับตัวเองด้วยสายตาอ่อนหวาน เจ้าหล่อนกำลังหลับตาพริ้ม ห่อปากเผยอ บอกให้รู้ว่าหล่อนเองก็กำลังดื่มด่ำอยู่กับสวรรค์ชั้นเจ็ดเหมือนๆ กับเขานั่นแหละ

“ลูกหยี…” คนตัวโตก้มลงจูบแผ่วเบาที่หน้าผากกว้าง

“คอร์เนล…”

หลังจากความสุขพร่างพราวลดความรุนแรงลง สาวน้อยก็ลืมตาขึ้นมองผู้ชายบนร่าง เขายังอยู่แนบชิด ไม่ถอยห่างไปไหน แล้วเขาก็ยังยิ้มให้กับหล่อนอีก

“ยั่วเก่งมาก จนผมลืมปัญหาที่บ้านไปเลยให้ตายสิ”

“แล้วชอบไหมคะ”

ยาหยียกมือทั้งสองข้างขึ้นลูบสันกรามกระด้างของผู้ชายที่ได้ชื่อว่าสามีแผ่วเบา

“เรียกว่าคลั่งไคล้จะตรงประเด็นกว่ามั้งทูนหัว”

คอร์เนลอมยิ้ม มองภรรยาด้วยสายตาร้อนแรง สมองนึกถึงการตอบสนองที่กระตือรือร้นของเจ้าหล่อนไม่ยอมหยุด และมันก็มีผลทำให้เขาเกิดความต้องการอีกครั้ง แต่ไม่ได้…ตอนนี้ไม่ได้…เขามีงานใหญ่ที่ต้องกลับไปทำ คิดได้เช่นนั้นชายหนุ่มก็พลิกตัวลงจากร่างอรชรอย่างรวดเร็ว เร็วจนสาวน้อยรั้งเอาไว้ไม่ทัน

หญิงสาวพยายามซ่อนน้ำตาแห่งความโศกเศร้าเอาไว้ในอก ขณะผุดลุกขึ้นนั่งตามคนตัวโต

“คุณจะไปแล้วหรือคะ”

คอร์เนลที่กำลังจะก้าวลงจากเตียงหันกลับมามองด้วยสายตากังขา

“ทำไมถามแบบนี้ล่ะลูกหยี เราก็ต้องไปด้วยกันนั่นแหละ”

ไม่มีคำตอบออกจากปากของยาหยีอีกนอกจากความเงียบงันเท่านั้น หญิงสาวนั่งมองคนตัวโตที่เดินหายเข้าไปในห้องน้ำด้วยสายตาเจ็บปวด อีกไม่กี่นาทีแล้วสินะที่จะต้องจากกัน มือบางรีบยกขึ้นป้ายน้ำตาที่ไหลรินออกมาทิ้งทันทีเมื่อคอร์เนลก้าวออกมาจากห้องน้ำ ร่างกายกำยำใหญ่โตไปทุกส่วนเดินโทงๆ มุ่งหน้าไปที่ตู้เสื้อผ้าแบบฝังติดผนัง เขาก้มๆ เงยๆ อยู่ไม่นานก็หล่อเหลาสมบูรณ์แบบอยู่ในชุดลำลองสีน้ำเงินอมดำ

“อาบน้ำเถอะลูกหยี ผมรีบจริงๆ”

เขาเดินมาหยุดตรงหน้าของหล่อน ยาหยีลุกขึ้นจากเตียงทั้งๆ ที่เนื้อตัวเปลือยเปล่า โผเข้ากอดร่างสูงใหญ่ของคอร์เนลเอาไว้แน่น เขย่งปลายเท้าขึ้นบดจูบกับปากเร้าใจของเขาด้วยความเร่าร้อน คอร์เนลครางออกมากับความหวานฉ่ำที่ยาหยีกำลังยัดเยียดให้ แต่เพียงไม่นานเขาก็ดันร่างเกลี้ยงเกลาของเจ้าหล่อนออกจากตัว

“ผมมีธุระจริงๆ อาบน้ำเถอะ”

เท้าใหญ่เคลื่อนพาคอร์เนลถอยหลังออกไปจากร่างเย้ายวนกวนตัณหาของยาหยีหลายก้าวเลยทีเดียว พร้อมๆ กับสูดลมหายใจเข้าปอดลึกล้ำ

“ผมไม่รู้หรอกว่าวันนี้คุณเป็นอะไรไป ถึงได้ยั่วผมตลอดเวลา แต่ขอให้รู้ว่าผมจะชดเชยให้คุณอย่างเต็มที่เมื่อเราอยู่บนเตียงในห้องนอนของผม”

‘แต่ฉันไม่มีโอกาสกลับไปที่นั่นแล้วนี่ ไม่มีโอกาสจะได้เห็นคุณอีกแล้ว’

ยาหยีคร่ำครวญโศกาอยู่ภายในอก แต่ก็รู้ดีว่าไม่มีทางที่ตัวเองจะร่ำไห้ออกไปได้ จึงเปลี่ยนเป็นปั้นยิ้มขมขื่นมอบให้กับเขาแทน

“กอดฉันอีกสักครั้งได้ไหมคะ กอดให้แน่นๆ”

คอร์เนลระบายยิ้มออกมา

“ทำไมวันนี้ทำซึ้งนักล่ะลูกหยี ทำเหมือนกับว่ารักผม…หรืออีกอย่างหนึ่งก็คือจะไปจากผม”

“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ แค่ฉันอยากเป็นของคุณอีกครั้ง”

เมื่อเห็นเขาไม่เข้ามาหา สาวน้อยจึงเป็นฝ่ายโผเข้าหาเขาเสียเอง กอดรัดเขาแน่นจนอกสาวที่ใหญ่เกินตัวแทบบี้แบนไปกับอกกำยำ และถึงแม้จะมีเสื้อเนื้อดีขวางกั้นอยู่ แต่มันก็ไม่สามารถช่วยลดความร้อนระอุลงได้เลย

“อีกครั้งนะคะ ที่ผนังห้องก็ได้”

มือบางสะเปะสะปะดึงกระชากเข็มขัดหนังของคอร์เนลออกด้วยความร้อนรน

“อย่า…ลูกหยี คุณเป็นอะไรไปเนี่ย”

แม้จะพยายามยับยั้งการจู่โจมของแม่สาวน้อยแสนหวาน แต่ก็ทำได้ไม่ดีนัก เพราะแค่ถูกมือนุ่มๆ จับนู่นจับนี่แถมยังจับต่ำอยู่แถวๆ ขอบกางเกงแบบนี้ กายหนุ่มก็ร้อนรุ่มแทบลุกเป็นไฟแล้ว

“ไม่ค่ะ ฉันไม่ได้เป็นอะไร ทำไมมันถอดยากจัง…เข็มขัดคุณน่ะ”

สาวน้อยบ่นแต่ก็ยังดึงกระชากไม่เลิก และสุดท้ายหล่อนก็สามารถถอดมันออกจนได้ จากนั้นมือบางก็จัดการปลดตะขอ รูดซิปกางเกงลงจนสุด

“อีกครั้งนะคะ”

คอร์เนลถอนใจออกมาอย่างยอมรับความพ่ายแพ้ แน่นอนเขาไม่เคยต่อสู้กับความปรารถนาในตัวของแม่ยาหยีแสนหวานคนนี้ชนะเลยแม้แต่สักครั้งเดียว และครั้งนี้มันก็ยิ่งตอกย้ำความปราชัยได้อย่างชัดเจน

“แล้วอย่าร้องว่าเจ็บหลังล่ะ”  และแสนอำมหิต สาวน้อยครางออกมาด้วยความพึงพอใจ หล่อนหิวกระหายสัมผัสของเขารุนแรงจนต้องเบียดกายเข้าหา สองมือบางตวัดรัดกายกำยำทรงพลังของเขาเอาไว้แนบแน่น

หากเป็นไปได้ หล่อนอยากขังเขาไว้ในอ้อมแขนนี้ตลอดไป แต่เมื่อรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ หล่อนจึงต้องยอมแสดงตัวเป็นสาวร่านร้อนออกมาแบบนี้

ครั้งสุดท้าย…ที่จะจดจำไปจนชั่วชีวิต

“คอร์เนล…”

“ทูนหัว…ผมรักร่างกายของคุณเหลือเกิน”

เสียงแหบพร่าของคอร์เนลคำรามออกมา ขณะที่เขาสั่นสะท้านอยู่ในอ้อมแขนของหล่อน เขาจูบซับเหงื่อที่หน้าผากให้กับหล่อนเหมือนดังเช่นทุกครั้งที่ทำ ก่อนจะเชยคางหล่อนให้เงยหน้าขึ้นสบตากับนัยน์ตาสีเขียวจัดลึกล้ำ

“คุณน่ารักมากนะลูกหยี ผมไม่น่ามีงานสำคัญเลย”

ปากร้อนๆ ก้มลงมาหา สาวน้อยเผยอปากรับทันที กำลังจะแทรกลิ้นเล็กเข้าไปในอุ้งปากใหญ่ของเขา แต่คอร์เนลดันผละออกห่างเสียก่อน ออกห่างไปทั้งตัว ห่างเสียจนหล่อนเหน็บหนาว

“ผมไม่อยากกลับบ้านช้าไปกว่านี้”

เขาพูดขณะจัดการติดตะขอ รูดซิปกางเกง จากนั้นก็ใส่เข็มขัดหนังให้กลับเข้าสู่สภาพเดิม สาวน้อยมองการกระทำนั้นน้ำตาคลอ เขากำลังจะไปแล้วจริงๆ

“แต่งตัวนะ ผมจะไปรอที่รถ”

เขาเดินไปหยุดที่ปากประตูห้อง ขณะที่ยาหยียังยืนนิ่งอยู่ที่ผนังห้องในสภาพเปลือยเปล่าเช่นเดิม คอร์เนลกัดฟันแน่นกับภาพงดงามที่เห็น

“เพราะหากผมนั่งรอคุณอยู่ในนี้ มีหวังเราต้องจบกันบนเตียงอีกรอบแน่ๆ เลย” มือใหญ่สีแทนคว้าลูกบิดประตู และกำลังจะเปิดออก แต่เสียงสั่นเครือของยาหยีก็ดังขึ้นเสียก่อน มันหยุดเท้าแกร่งได้อย่างชะงัดนัก คอร์เนลหยุดเดิน แต่ไม่คิดจะหันกลับไปมองเจ้าของเสียง เพราะรู้ดีว่าตัวเองมีภูมิต้านทานเสน่ห์นางของยาหยีน้อยจนติดลบแค่ไหน

“คุณกลับไปก่อนเถอะค่ะ ฉัน…เอ่อ…” จ้องมองแผ่นหลังทรงพลังของคอร์เนลด้วยความอาลัยอาวรณ์

“ฉันอยากอยู่ที่นี่ต่ออีกนิด แล้วจะกลับไปเองค่ะ”

“ไม่ได้!”

คอร์เนลหันกลับมาจ้องมองหญิงสาวด้วยสายตาแข็งกร้าว ร่องรอยไม่พอใจขึ้นเต็มใบหน้าหล่อกระชากลมหายใจของเขามหาศาลเลยทีเดียว

“คุณต้องกลับไปกับผมนะลูกหยี”

“ขอฉันอยู่ที่นี่ต่ออีกนิดไม่ได้หรือคะ นะคะ แล้วฉันจะตามคุณกลับไปเอง”

“ผมเป็นห่วงคุณ” ในที่สุดคนตัวโตก็ยอมรับออกมา

หากเป็นในยามปกติหล่อนคงหัวใจพองโตไม่น้อย แต่ตอนนี้แม้แต่เศษเสี้ยวหนึ่งของความยินดีหล่อนยังไม่มีติดก้นบึ้งหัวใจเลย ก็กำลังจะลาจากกันแล้วนี่

“ไม่ต้องเป็นห่วงฉันหรอกค่ะ ฉันไม่มีทาง…ไปจากคุณได้อยู่แล้ว” ยาหยีก้าวเท้าขยับเข้าไปหาคอร์เนลทีละน้อย

“อย่าเข้ามานะลูกหยี ผมใจไม่แข็งพอที่จะปฏิเสธคุณหรอกนะ หากคุณเข้ามากอดผมอีกครั้งหนึ่งน่ะ” คอร์เนลรีบร้องห้ามเสียงห้าวลึก ยาหยีหยุดเดิน ฝืนยิ้มหวานให้กับหนุ่มหล่อตรงหน้า

“ให้เซอร์เกมารับฉันก็ได้ค่ะ ถ้าคุณเป็นห่วงฉัน”

คอร์เนลถอนใจออกมาแรงๆ ก่อนจะพูดออกมาด้วยความหงุดหงิด

“แล้วทำไมไม่กลับพร้อมผมล่ะลูกหยี คุณจะทำอะไรอีกกันแน่”

ยาหยีรีบส่ายหน้า

“ไม่มีค่ะ ฉันไม่ได้คิดจะทำอะไร แค่…อยากนอนฟังเสียงคลื่นอีกสักนิดเท่านั้นเอง ก่อนที่ฉันจะ…ตามคุณไปมอสโกยังไงล่ะคะ”

“รัสเซียก็มีทะเล”

“แต่มันไม่ใช่ทะเลในเมืองไทยนี่คะ นะคะคอร์เนล ขอฉันอยู่ต่ออีกนิด”

แม้จะไม่สบายใจนักที่จะปล่อยให้ยาหยีพักอยู่ในโรงแรมหรูนี้ตามลำพัง แต่ทั้งปัญหาที่ต้องรีบเร่งไปแก้ไข กับคำอ้อนวอนหวานๆ ของแม่สาวน้อยตรงหน้า ทำให้เขาจำต้องพยักหน้ารับปากทั้งๆ ที่ไม่เต็มใจเลยแม้แต่นิดเดียว

“ก็ได้…แต่เย็นนี้ผมจะให้เซอร์เกมารับ แล้วคุณห้ามเบี้ยวด้วย”

แทนที่ยาหยีจะดีใจกลับร้องไห้ออกมา

“ขอบคุณค่ะ ขอบคุณที่ตามใจฉัน”

“ขอบคุณแล้วร้องไห้ทำไมล่ะ ผมว่าคุณพูดและทำอะไรแปลกๆ มากเลยนะเช้านี้น่ะ”

ชายหนุ่มตั้งข้อสังเกตขณะมองใบหน้างามอย่างจับพิรุธ

“ตั้งแต่ผมรับโทรศัพท์นั่นแหละ”

ก็ตอนที่เขายังไม่ได้รับโทรศัพท์ ยาหยียังนอนเอียงอายอยู่ใต้ร่างของเขาอยู่เลย แต่พอหลังจากที่เขาพูดคุยกับเซอร์เกจบ เจ้าหล่อนก็ทำเสมือนถูกวิญญาณสาวร้อนรักเข้าสิง ยั่วยวนจนเขาที่ตั้งใจจะยุติเกมรักลงชั่วคราวต้องตบะแตกไปถึงสองครั้งสองครา

“ไม่มีอะไรนี่คะ…ไม่มีอะไรจริงๆ ค่ะ”

คอร์เนลที่พยายามจะไม่มองต่ำไปกว่าใบหน้างามของยาหยีเอ่ยถามซ้ำอีกครั้ง

“แน่ใจนะว่าไม่ได้หลอกผม คุณก็รู้ใช่ไหมว่าผมเกลียดคนโกหก”

หญิงสาวพยักหน้าพลางฝืนยิ้มออกไป

“ไม่ได้โกหกหรอกค่ะ ไม่มีอะไรที่ฉันจะต้องโกหกนี่คะ”

“ก็ดี…งั้นตอนบ่ายสามโมงผมจะให้เซอร์เกมารับคุณที่นี่ก็แล้วกัน ดูแลตัวเองดีๆ ล่ะ แล้วอย่าลงไปเดินอวดหุ่นสวยๆ ของคุณให้ไอ้หนุ่มๆ ที่ไหนมองล่ะ เพราะถ้าผมรู้ คุณตายคามือของผมแน่ จำเอาไว้นะแม่ลูกหยีแสนหวาน” เขากำลังบอกว่าหวงแหนหล่อนทั้งคำพูดและดวงตาที่ทอดมองมา ยาหยีน้ำตาซึม ข่มความโศกเศร้าเอาไว้ในอก

“ผมเป็นผู้ชายคนแรกของคุณ และก็ต้องเป็นคนสุดท้ายในชีวิตของคุณด้วย ผมไม่เคยมีความคิดจะแบ่งผู้หญิงกับใคร จำเอาไว้”

“ค่ะ…คุณจะเป็นผู้ชายคนเดียวในชีวิตของฉัน”

คอร์เนลระบายยิ้มกว้าง อยากจะดึงร่างอรชรเข้ามากอดนัก แต่ก็ไม่อาจจะทำดั่งใจคิดได้ เพราะไม่มั่นใจเลยว่าหากกอดแล้วจะมีปัญญาปล่อยหล่อนออกไปจากอ้อมแขนได้สำเร็จหรือเปล่า กลัวจะไปจบกันบนเตียงอีกครั้งเสียมากกว่า

“งั้นผมไปแล้วนะ ดูแลตัวเองด้วยล่ะ” ชายหนุ่มกัดฟันกระชากประตูห้องให้เปิดออก

“แล้วอย่าออกไปไหนนะ ผมเป็นห่วง”

เขากำลังจะก้าวเดินออกไป แต่ยาหยีก็ไม่สามารถทนยืนเฉยๆ มองเขาจากไปได้อีกต่อไป หญิงสาววิ่งตามไปกอดแผ่นหลังกว้างเอาไว้แน่น กอดด้วยความรักสุดหัวใจ คอร์เนลตัวเกร็งทันทีเมื่อแผ่นหลังสัมผัสกับเต้าอวบใหญ่บดเคล้ากันแนบแน่น

“เดินทางดีๆ นะคะ”

“กอดผมแบบนี้ ผมก็ทำใจให้ไปจากคุณไม่ได้น่ะสิลูกหยี” มือใหญ่จับสองมือเรียวให้ออกจากกายใหญ่โตของตนเอง จากนั้นเขาก็หันหน้ามาสวมกอดร่างอรชรเอาไว้แนบแน่น ปากร้อนก้มลงจูบกลีบปากสาวหนักหน่วง

“ไว้เจอกันที่บ้านผมนะ”

ยาหยีพยักหน้าทั้งน้ำตา ไม่ขัดขืนเมื่อคนตัวโตปล่อยมือจากร่างกายของตัวเอง

“ค่ะ เราจะเจอกันอีก…”

คอร์เนลยิ้มบางๆ อีกครั้งก่อนจะก้าวยาวๆ ออกไปจากห้องโดยไม่ได้หันหลังกลับมามองอีกเลย ยาหยีปล่อยน้ำตาที่เก็บกักไว้ให้ทะลักทลายออกมาท่วมท้นใบหน้า ร่างอรชรเปลือยเปล่าทรุดฮวบลงกองกับพื้นพรมด้วยความชอกช้ำรุนแรง

“ไว้เจอกันที่บ้านผมนะ”

ไม่มีทางได้เจอกันอีกแล้ว ทุกอย่างมันจบลงแล้ว และพ่อของหล่อนก็ถูกปล่อยตัวออกมาแล้ว ดังนั้นหล่อนก็ต้องทำตามคำสัญญาที่ตัวเองให้ไว้กับเซอร์เกเช่นกัน

“ฉันจะไปจากคอร์เนลทันทีที่พ่อของฉันได้รับอิสรภาพ”

หล่อนกำลังจะไปแล้ว กำลังจะทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับเซอร์เก และกำลังจะจากคอร์เนลไปตลอดกาล…

เซอร์เกให้อีวานหลอกล่อบอดี้การ์ดที่คุมหน้าเรือนคุมขังของยอดชายออกไปที่อื่นชั่วคราว จากนั้นตัวเองก็เดินหายเข้าไปในห้องพักของตัวเองเพื่อจะอำพรางกายเข้าไปช่วยนักโทษ แต่เขายังไม่ทันจะได้สวมใส่ชุดดำปิดหน้าปิดตาที่เตรียมไว้ได้สำเร็จเลย อีวานหลานชายก็วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาเรียกเสียก่อน เซอร์เกรีบเปิดประตูรับและถามด้วยความข้องใจทันที

“เกิดอะไรขึ้นหรืออีวาน ทำไมมีเสียงปืนดังขึ้นล่ะ”

“น้าเซอร์เกจ้างคนอื่นเข้ามาช่วยนายยอดชายหรือเปล่าครับ” อีวานละล่ำละลักถามด้วยความเหนื่อยหอบเพราะวิ่งมาตลอดทาง

ผู้เป็นน้าชายส่ายหน้าพรืด

“ไม่มีนี่ ก็นี่ไงฉันกำลังจะไปช่วยนายยอดชาย แล้วใครยิงปืน”

“คนที่บุกเข้ามาช่วยนายยอดชายครับ มันยิงคนของเราเจ็บไปถึงสามคน”

คำบอกเล่าของหลานชายทำเอาเซอร์เกถึงกับอึ้งไปด้วยความตกใจ

“ใคร? ใครมันมาช่วยนักโทษ พวกมันรู้ได้ยังไงว่าวันนี้ทางจะสะดวก”

“ผมว่าต้องเป็นไอ้ตัวบงการขโมยเพชรสีทองแน่ๆ เลย แล้วนายยอดชายโกหกเราทุกอย่างด้วย เพชรต้องยังอยู่กับไอ้คนที่มาช่วยมันนั่นแหละ มันคงกลัวว่านายยอดชายจะปากโป้งเลยต้องมาเอาตัวไป”

เซอร์เกกัดฟันแน่น นึกละอายใจนักที่มีส่วนทำให้คอร์เนลชวดที่จะได้รู้ที่ซ่อนของเพชรสีทอง เพราะความคิดโง่ๆ ของเขาคนเดียวแท้ๆ

“ไอ้ยอดชายมันเล่นละครได้เนียนจริงๆ เล่นจนฉันเชื่อว่าเพชรน่าจะอยู่กับพวกเซอร์คอฟ แต่ถ้ามีคนมาช่วยถึงเมืองไทยแบบนี้ ไม่น่าจะใช่พวกเซอร์คอฟแล้วล่ะ มันต้องเป็นคนในซีร์ยานอฟนี่แหละ” เซอร์เกถอดชุดดำที่ใส่ได้ครึ่งๆ กลางๆ ออกจากตัวด้วยความเจ็บใจ

“เราไม่น่าหลงกลพวกมันเลย มันคงจับตามองดูเรามาหลายวันแล้ว” คนสนิทวัยกลางคนตั้งข้อสังเกต

“ถ้าอย่างงั้นก็มีเกลือเป็นหนอน”

อีวานแทรกขึ้น เซอร์เกหันไปมองหน้าหลานชายนิ่งนานอย่างใช้ความคิด จากนั้นก็ล้วงเอาโทรศัพท์มือถือออกมากดโทรหาคอร์เนลทันที

“นายน้อยครับ มีคนเข้ามาช่วยนักโทษครับ มันยิงคนของเราบาดเจ็บไปสามคน ผมกับอีวานไม่เป็นไรครับ นายน้อยรีบกลับมาเถอะครับ”

“นายน้อยว่ายังไงบ้างครับน้าเซอร์เก” อีวานถามเสียงหวาดหวั่น

“นายน้อยไม่ได้ว่าอะไร บอกเพียงแต่ว่าจะรีบกลับมา แต่น้ำเสียงค่อนข้างช็อกทีเดียว” เซอร์เกเก็บโทรศัพท์มือถือลงกระเป๋ากางเกงตามเดิม ก่อนจะก้าวยาวๆ ออกไปจากเรือนพักเพื่อมุ่งหน้าไปหาร่องรอยการปล้นตัวนักโทษที่เรือนคุมขัง อีวานรีบวิ่งตามไป

“แล้วเรื่องของคุณยาหยีล่ะครับ จะทำยังไงดี”

“ก็ไม่ต้องทำยังไง ในเมื่อพ่อของเธอหนีไปได้แล้ว เธอก็ต้องทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับฉัน” เซอร์เกพูดทั้งๆ ที่ยังไม่หยุดเดิน

“แต่เราไม่ได้เป็นคนช่วยพ่อของเธอตามที่ได้ตกลงกันไว้นะครับน้าเซอร์เก” อีวานค้าน รู้สึกสงสารยาหยีขึ้นมาตงิดๆ ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนตั้งป้อมไม่ชอบหน้าเป็นคนแรก

เซอร์เกหยุดเดิน และหมุนตัวกลับมาเผชิญหน้ากับหลานชายที่เดินตามมาด้วยใบหน้าถมึงทึง

“ใครช่วยก็ไม่สำคัญหรอก มันสำคัญที่ว่าเธอต้องไปจากชีวิตของนายน้อยตามสัญญาที่ได้ให้ไว้กับฉันอย่างไม่มีทางบิดพลิ้วได้”

“แล้วถ้าหากนายน้อยตามหาเธอล่ะ น้าจะทำยังไง น้าก็รู้ไม่ใช่หรือว่าคนระดับนายน้อยไม่มีทางหาผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งไม่เจอแน่นอน”

ผู้เป็นน้าชายถอนใจออกมา ดวงตาคมกริบมืดดำลึกลับ

“เราก็ทำให้นายน้อยไม่คิดจะตามหาเธออีกต่อไปสิ แค่นี้ทุกอย่างก็จบ นายน้อยของเราก็จะกลับมาเป็นหนุ่มหล่อในฝันที่ไม่มีสาวๆ คนไหนเอื้อมถึงอย่างที่เคยเป็นมาตลอดชีวิตอีกครั้ง”

เซอร์เกเดินจากไปแล้ว ทิ้งให้อีวานผู้เป็นหลานชายได้แต่ยืนทอดถอนใจอยู่เพียงลำพังด้วยความรู้สึกผิดในใจเหลือแสน

‘นี่เขาทำถูกหรือผิดนะ ที่สนับสนุนให้น้าเซอร์เกทำแบบนี้’

“มีอะไรหรือคะคอร์เนล”

แม้จะพอเดาออกว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น แต่หญิงสาวก็ยังแสร้งถามออกไปด้วยน้ำเสียงไร้เดียงสา หล่อนไม่อยากให้เวลานี้มาถึงเลย เวลาที่ต้องแยกจากกันชั่วนิรันดร์

“มีปัญหาเกิดขึ้นที่บ้าน เราคงต้องกลับกันแล้ว”

คนตัวโตที่กำลังดื่มด่ำกับเต้างามเปลือยเปล่าของหล่อนขยับกายจะลุกขึ้น แต่ก็ถูกมือบางรั้งเอาไว้เสียก่อน

“อย่าไปเลยนะคะ…อยู่กับฉันอีกนิด”

ดวงตาสีเข้มดุจมรกตเต็มไปด้วยความกังขาขณะจ้องมองใบหน้าของหล่อน ยาหยีปั้นยิ้มหวานฉ่ำกลบร่องรอยเศร้าหมองในดวงตาของตัวเองเอาไว้อย่างแนบเนียน กลีบปากสาวยิ้มกว้างเมื่อเอื้อนเอ่ยวาจาออกไป

“เรายังไม่จบกันเลยนะคะ…ที่ตั้งใจไว้น่ะ”

คอร์เนลยิ้มบางๆ ใช่…เขายังทำไม่จบยกเลย แต่…เขาต้องรีบกลับ การหลบหนีไปของนายยอดชายเป็นเรื่องใหญ่มากกว่าเซ็กส์ร้อนๆ จากยาหยีนัก และหากเจ้าหล่อนรู้ว่าพ่อของตัวเองสามารถหนีรอดอุ้งมือของเขาไปได้แล้วละก็ หล่อนยังจะยอมให้เขาตักตวงความสุขอยู่อย่างนี้อีกไหม ยาหยีจะยอมปล่อยให้เขาจูบและครอบครองด้วยความเร่าร้อนอยู่อีกหรือเปล่า

คำตอบก็คือ ‘ไม่’ แน่นอนว่ายาหยีไม่มีทางอยู่กับเขาต่อไปอีกแม้แต่วินาทีเดียว ดังนั้นวิธีที่จะทำให้เจ้าหล่อนไม่มีทางเดินไปจากเส้นทางชีวิตของเขาก็คือ การพลิกแผ่นดินตามล่าไอ้ยอดชายให้กลับมาอยู่ในอุ้งมือเช่นเดิม

“เราจะไปต่อกันที่บ้าน…ในห้องนอนของเรา” คอร์เนลพยายามแกะแขนของยาหยีออกจากตัว แต่เจ้าหล่อนไม่ยอมง่ายๆ

“ไม่ค่ะ ฉันทนไม่ไหว ฉันต้องการคุณอีก”

ว่าแล้วแม่เจ้าประคุณก็จัดการพลิกร่างของตัวเองขึ้นมาอยู่ด้านบน ก้มลงประกบปากลงจูบเขาอย่างโหยหา ชายหนุ่มอยากจะผลักไสแต่ก็ต้านทานแรงเสน่หาจากยาหยีไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว

ก็ดูแม่เจ้าประคุณสิ จูบเอาๆ แถมยังแหย่ลิ้นเล็กๆ เข้ามาในอุ้งปากของเขาเสียอีก แม้ว่ากิริยาของหล่อนจะยังดูเงอะงะไม่ช่ำชองเหมือนกับสาวๆ ที่เขาเคยผ่านมา แต่มันก็ทำให้เขาแทบคลุ้มคลั่งได้อย่างไม่น่าเชื่อ

“ลูกหยี…พอก่อน ผมไม่มีเวลา…จริงๆ”

คอร์เนลครางลึกในลำคอ พยายามกัดฟันขัดขืนแต่ก็แพ้ไม่เป็นท่าเมื่อแม่เจ้าประคุณเลื่อนใบหน้าลงมาตวัดปลายลิ้นของตัวเองกับหัวนมเล็กๆ ของเขาที่ซ่อนอยู่ในกลุ่มเส้นขนหยิกหยอยแรงๆ จนชายหนุ่มถึงกับสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั้งตัว

“ลูกหยี…คุณกำลังจะฆ่าผมนะ”

“คอร์เนล…อยู่เฉยๆ ค่ะ” เตือนเสียงหวานขณะก้มลงดูดลิ้มชิมเนื้อหนุ่มด้วยลีลาเลียนแบบกับที่คอร์เนลเคยทำกับร่างกายของหล่อนทุกอย่าง แถมยังทำได้ดีจนคนนอนร้องครางให้คะแนนเต็มสิบอีกต่างหาก

“ลูกหยี…”

ฝ่ามือนุ่มลูบไล้ไปทั่วทั้งกายหนุ่ม ดูดดื่มความหวานฉ่ำไปทั่วทั้งอณูเนื้อชาย หล่อนอยากจะเก็บความทรงจำเหล่านี้เอาไว้ อยากจะเก็บความรักครั้งสุดท้ายก่อนที่จะต้องจากกันชั่วนิรันดร์เอาไว้หล่อเลี้ยงหัวใจตัวเองยามที่ต้องยืนอยู่เพียงลำพัง

“หลับตานะคะ ฉันจะทำให้คุณมีความสุข”

สาวน้อยเลื่อนตัวขึ้นมาจูบปากเซ็กซี่อีกครั้ง เต้างามอวบใหญ่ถูไถบดเคล้ากับแผงอกกว้างกำยำจนแทบจะเป็นเนื้อเดียวกัน คอร์เนลคำรามออกมาอย่างสิ้นสุดความอดทน ชายหนุ่มกำลังจะจับร่างอรชรที่กำลังส่ายเลื้อยปานงูของยาหยีให้พลิกกลับลงไปนอนใต้ร่าง แต่หญิงสาวกลับร้องห้ามไว้ซะก่อน

“ฉันอยากให้คุณเป็นม้าค่ะ”

“ลูกหยี…ผมไม่ไหวแล้ว”

คนครางตัวเกร็งสะท้านเยือก กัดฟันนอนหลับตารับความรัญจวนแสนหวานที่เกิดจากปาก ลิ้น และฝ่ามือนุ่มๆ ของสาวน้อยที่คร่อมทับอยู่บนกาย และความเสียวกระสันเจียนคลั่งที่ได้รับก็ทำให้เขาไม่ได้เอะใจกับท่าทางของยาหยีเลยแม้แต่นิดเดียว

“ทนอีกนิดหนึ่งสิคะ อีกนิดเดียว…”

ทะเลตรงหน้าสีฟ้าครามสวยจัดจริงๆ สายลมเย็นฉ่ำที่พัดผ่านมาแต้มผิวกายนั้นยิ่งทำให้บรรยากาศรอบตัวดูงดงามปานสวรรค์บนดิน ยาหยีถอนใจออกมาเบาๆ เมื่อนึกถึงความสุขที่คอร์เนลมอบให้มาตลอดทั้งคืน

หล่อนสอบเสร็จตั้งแต่เมื่อวานนี้ตอนบ่ายสอง คอร์เนลขับรถไปรับหล่อนที่หน้าตึกสอบ จากนั้นก็พาหล่อนนั่งกินลมชมวิวมาจนถึงทะเลที่หาดพัทยา หล่อนกับเขานั่งดูท้องทะเลด้วยกัน นั่งนับดาวบนท้องฟ้าด้วยกันอยู่นานจนท้องเริ่มหิว จากนั้นเขาก็พาหล่อนไปนั่งดินเนอร์หรูในห้องอาหารส่วนตัวกลางโรงแรมชื่อดังที่สุดในเมืองพัทยา และจากนั้นก็…

สาวน้อยแก้มแดงก่ำขึ้นมาอีกครั้งเมื่อนึกถึงฉากรักเร่าร้อนยาวนานตลอดทั้งคืนของเขากับตัวเอง คอร์เนลพร่ำบอกกับผิวกายของหล่อนตลอดเวลาว่าต้องการหล่อน ขาดหล่อนไม่ได้ แต่หล่อนรู้ดีว่ามันไม่เป็นความจริงหรอก คอร์เนลคงพูดอย่างนี้กับผู้หญิงทุกคนที่อยู่ใต้ร่างของเขานั่นแหละ

ไม่รู้ว่าทำไมจะต้องรู้สึกเกลียดชังผู้หญิงพวกนั้นที่คอร์เนลเคยผ่านมาด้วย ทำไมหล่อนต้องรู้สึกหึงหวงเขามากมายขนาดนี้นะ ทั้งๆ ที่รู้อยู่เต็มอกว่าหล่อนไม่ใช่ตัวจริงสำหรับเขาสักหน่อย แต่ก็ยังอดน้อยใจ เสียใจไม่ได้

‘เธอต้องหยุดรักเขาได้แล้ว หยุดสักทีเถอะ เพราะต่อให้รักให้ตายยังไง เธอก็ไม่มีวันได้รับความรู้สึกเดียวกันกลับคืนมาหรอกยาหยี หยุดซะเถอะนะ หยุดรักคอร์เนลได้แล้ว’ หญิงสาวร้องสั่งตัวเองน้ำตาซึม

“หนีลงมาเดินอยู่นี่เอง ไม่คิดจะปลุกผมให้ลงมาเดินเป็นเพื่อนเลยหรือไง” เสียงคนตัวโตแสนคุ้นหูดังโต้คลื่นอยู่ด้านหลัง ยาหยีกะพริบตาเร็วๆ เพื่อไล่น้ำตาที่คลอเบ้าอยู่ให้ไหลกลับเข้าไปข้างใน จากนั้นก็ฝืนยิ้มและหันกลับไปเผชิญหน้ากับเขา ผู้ชายที่หล่อนคิดถึงทุกลมหายใจ และก็เป็นผู้ชายที่หล่อนจะต้องเดินหนีไปในวันนี้ด้วย

“คอร์เนล…”

“ก็ผมน่ะสิ รู้ไหมว่าตกใจแทบแย่ที่ตื่นมาแล้วไม่เจอคุณ” อ้อมแขนของเขายังให้ความรู้สึกดีเช่นเดิม ยาหยีกอดตอบคนตัวโตด้วยความรู้สึกรักหมดใจ

‘ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าอ้อมกอดของคนที่ไม่ได้รักกันจะอบอุ่นได้ถึงเพียงนี้’

“ฉันเห็นคุณพึ่งจะได้นอน” อู้อี้ตอบออกไปหน้าแดงก่ำ แล้วยิ่งเห็นสายตาที่คอร์เนลมองมาด้วยแล้วก็ยิ่งขัดเขิน เขาจ้องเอาๆ แบบไม่เกรงอกเกรงใจกันเลยสักนิด นี่ถ้าฉีกทึ้งเสื้อผ้าของหล่อนทางสายตาได้ เขาคงทำไปแล้วล่ะ

ยาหยีร้อนวูบวาบไปทั่วทั้งตัว เลือดในกายทุกหยาดหยดเดือดพล่านร้อนฉ่า คอร์เนลใช้สายตาแบบนี้มองหล่อนทุกครั้งยามที่ร่วมรักกัน มันเป็นสายตาที่เต็มไปด้วยความพึงพอใจและหวงแหน แบบที่บุรุษเพศมีต่อสตรีที่เขายังไม่เบื่อหน่าย

“ก็ใครกันล่ะทำให้ผมแทบไม่ได้นอน”

ริมฝีปากร้อนผ่าวกดลงมาบนหน้าผากมนของหล่อนหนักหน่วง คอร์เนลพรมจูบไปทั่วทั้งใบหน้าก่อนจะมาอ้อยอิ่งอยู่ที่กลีบปากอิ่มของหล่อนเนิ่นนาน

“คุณน่ารักมากรู้ไหมเมื่อคืน น่ารักจนผมคิดว่าตัวเองคงปล่อยคุณไปง่ายๆ ไม่ได้เสียแล้วล่ะ”

‘แต่ฉันต้องไป’

ยาหยีร้องบอกกับตัวเองในใจแต่ไม่ได้พูดออกไปให้ผู้ชายหล่อระเบิดตรงหน้าได้ยิน หล่อนยังคงปั้นยิ้มหวานๆ ให้กับเขาเช่นเดิม

“เราคงต้องอยู่ด้วยกันอีกนานทีเดียว จนกว่า…”

“จนกว่าคุณจะเบื่อใช่ไหมคะ”

“ไม่ใช่ผมจะเบื่อ จนกว่าเราจะหมดความปรารถนาในตัวของกันและกันต่างหาก เมื่อถึงวันนั้นเราก็จะจากกันด้วยดี”

คอร์เนลก็ยังใจร้ายเหมือนเดิม ยาหยีคิดด้วยความเจ็บปวด งั้นก็คงไม่ผิดหากหล่อนจะหนีไปในวันนี้ ไปพร้อมๆ กับบิดาของตัวเอง ไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไกลชนิดที่ว่าคอร์เนลไม่สามารถตามเจอได้เลย

แต่คอร์เนลจะตามหาหล่อนทำไมกันล่ะ ในเมื่อหล่อนมันก็แค่อีตัวคนหนึ่งที่บริการได้ถูกใจเขาเท่านั้นเอง ไม่มีอะไรลึกซึ้งมากมายกว่านี้เลยสักนิด

“ค่ะ…”

ชายหนุ่มเปลี่ยนจากกอดรัดมาเป็นโอบประคองร่างอรชรแทน เขารั้งยาหยีให้เดินไปตามชายหาดสีขาวที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตาช้าๆ อย่างสบายอารมณ์ เขากำลังอารมณ์ดีถึงขนาดฮัมเพลงเชียวแหละ ซึ่งตรงข้ามกับหล่อนโดยสิ้นเชิง

“ผมจะปล่อยพ่อของคุณให้เป็นอิสระในคืนพรุ่งนี้ และคุณก็ต้องไปจากนายน้อยในวันพรุ่งนี้ด้วยเช่นกัน อย่าผิดคำสัญญาที่ให้ไว้กับผมล่ะ ไม่อย่างนั้นผมจะเด็ดหัวพ่อของคุณด้วยมือของผมเองอย่างแน่นอน”

“ฉันจะทำตามที่รับปากไว้กับคุณแน่นอน…ฉันสัญญา”

คำพูดของหล่อนกับเซอร์เกที่สนทนากันในตอนเช้าของเมื่อวานนี้ยังดังก้องอยู่ในสมองชัดเจน และมันก็ทำให้หล่อนเจ็บจนแทบจะกระอักเลือดทีเดียวเมื่อรู้ว่าเวลาแห่งการพลัดพรากเดินทางเข้ามาใกล้ในทุกขณะ

“ผมไม่เคยเห็นพระอาทิตย์วันไหนสวยเท่าพระอาทิตย์วันนี้มาก่อนเลย ดูสิลูกหยี ที่ขอบฟ้านั่นน่ะ”

หญิงสาวมองตามนิ้วเรียวยาวสีแทนไป แล้วก็ได้เห็นดวงอาทิตย์ที่กำลังปีนป่ายขึ้นสู่ขอบฟ้า มันสวยงามจริงๆ นั่นแหละ สวยงามจนผู้ชายหัวใจกระด้างเอ่ยปากชมออกมา

“สวยไหม?”

“เอ่อ…สวยค่ะ สวยมาก…”

สาวน้อยตอบตะกุกตะกัก หัวใจถูกความโศกเศร้าบดบังจนมองไม่เห็นความสวยสดรอบๆ ตัวอย่างที่คอร์เนลเห็นเลยแม้แต่นิดเดียว

คอร์เนลหยุดเดินเอาดื้อ พร้อมๆ กับหันมาเผชิญหน้ากับหล่อน นัยน์ตาสีเขียวจัดจ้องมองลึกเข้ามาในดวงตาของหล่อนนิ่ง ก่อนที่ริมฝีปากแสนวิเศษของเขาจะเอื้อนเอ่ยคำพูดออกมา

“แต่ถึงพระอาทิตย์วันนี้จะสวยแค่ไหน แต่มันยังเทียบกับความงามแค่ครึ่งหนึ่งของคุณไม่ได้เลยนะลูกหยี ในสายตาของผม คุณสวยงามเหลือเกิน”

“คอร์เนล…” เมื่อเห็นสายตาเหลือเชื่อของยาหยี คอร์เนลจึงรีบย้ำความคิดของตัวเองออกไปอีก

“ผมไม่เคยโกหกหรอกนะ ไม่ชอบโกหกด้วย”

เขายกมือขึ้นปัดเส้นผมนุ่มออกจากใบหน้าให้หล่อนด้วยความอ่อนโยน อ่อนโยนซะจนหัวใจของหล่อนกระตุก

“แต่อาจจะมีบางเรื่องที่ผมจำเป็นต้องโกหก”

“เรื่องอะไรคะ บอกได้ไหม”

ศีรษะทุยได้รูปสวยของคอร์เนลส่ายน้อยๆ ก่อนที่เจ้าของจะฉีกยิ้มกว้างให้หล่อน

“ถึงเวลาแล้วจะบอก แต่ตอนนี้เราไปกินข้าวมื้อเช้ากันก่อนเถอะ เดี๋ยวบ่ายๆ ต้องกลับกรุงเทพฯ กันแล้ว”

คอร์เนลสังเกตเห็นใบหน้าของยาหยีสลดลงไปถนัดตา เขาคิดว่าหญิงสาวคงอยากอยู่เที่ยวต่อจึงพูดปลอบใจออกไป ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วยาหยีกำลังเสียใจที่จะต้องไปจากเขาตลอดกาลต่างหาก

“ผมสัญญานะว่าจะหาเวลาพาคุณมาเที่ยวแบบนี้อีกให้ได้ และเราจะต้องอยู่ดื่มด่ำกับความงามของธรรมชาติให้นานกว่านี้ เชื่อผมนะแม่ลูกหยีแสนหวาน”

ยาหยีฝืนยิ้มให้กับคอร์เนล ก่อนจะเดินเคียงคู่ไปกับคนตัวโตมุ่งหน้ากลับสู่โรงแรมสุดหรูที่เป็นที่พักของเขากับหล่อนมาตลอดทั้งคืนด้วยหัวใจที่ร้าวระทม

‘นั่นไง หล่อนคิดถูกจนได้ คอร์เนลแค่แกล้งปั่นหัวหล่อนเล่นเท่านั้น เขาไม่ได้อยากให้หล่อนรักเขาจริงๆ สักหน่อย เพราะในชีวิตของผู้ชายเลิศเลอเช่นเขาไม่จำเป็นต้องอาศัยความรักจากใครเลยสักคน โดยเฉพาะผู้หญิงต่ำต้อยที่เขามองไม่ต่างอีตัวเช่นหล่อน’

“ฉันรู้ตัวเองดีค่ะว่าอยู่ตรงไหน”

“ก็ดี…งั้นก็ไปกับผม คุณยังไม่หมดหน้าที่จำไม่ได้หรือไง”

ดวงตาสีเขียวดุจมรกตเนื้อดีจ้องเขม็งกวาดมองร่างกายของหล่อนไม่วางตา ซึ่งมันก็มีผลต่อร่างกายของหล่อนอย่างรุนแรงทีเดียว กายสาวเบ่งบานรอคอย ช่องท้องร้อนระอุราวกับถูกสุมด้วยกองไฟ ขณะที่หัวใจเต้นระรัวถี่ยิบ

“นอนกับผมแบบอันลิมิต…”

“คุณ…”

แก้มสาวแทบลุกเพราะไฟแห่งความอับอาย

“จะบอกว่าไม่ไปหรือไง”

“เอ่อ…ไม่ใช่ค่ะ ฉันแค่อยากขอตัวอาบน้ำก่อน”

คอร์เนลหัวเราะออกมาเบาๆ ขณะก้าวเข้ามาหาหล่อนอีกครั้ง และการที่เขาเข้ามาใกล้มากกว่าที่ควรจะเป็นมันก็ทำให้หัวใจของหล่อนเต้นระทึกมากขึ้นจนแทบหลุดออกจากขั้ว ยิ่งยามที่เขาก้มหน้าลงมาดมที่ซอกคอระหงด้วยแล้ว กายสาวยิ่งเดือดพล่านรุนแรง

“ตัวคุณหอมออก ไม่เห็นจำเป็นต้องอาบน้ำเลย”

“แต่ว่า…ฉันยังไม่ได้อาบน้ำเลยนะคะตั้งแต่ตอนเช้า” หญิงสาวตอบออกไปเสียงสั่นเทา เงยหน้าสบตากับดวงตาสีเขียวเข้มราวกับถูกสะกดด้วยมนต์ขลังของจอมมารตัวร้าย

คอร์เนลระบายยิ้มออกมา ขณะดึงร่างอรชรเข้ามากอดรัดอีกครั้ง ทั้งๆ ที่ตั้งใจว่าจะทำเย็นชาใส่เจ้าหล่อน แต่สุดท้ายแล้วก็ต่อสู้กับความน่ารักน่าใคร่ของเจ้าหล่อนไม่ไหว

‘ช่างหัวมันเถอะ หล่อนจะคิดยังไงกับเขาก็ช่าง จะใช้เขาเป็นสะพานเพื่อข้ามไปหาบิดาก็ตามสบายเลย เขายินดีจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ขอแค่เพียงเจ้าหล่อนตอบสนองความเสน่หาของเขาให้น่ารักน่าชังเหมือนเช่นทุกค่ำคืนที่ผ่านมาก็พอ เพราะการนอนคนเดียวมันทรมานจริงๆ เลยให้ตายสิ!’

“จะอาบก็ได้…แต่ต้องไปอาบกับผมที่บ้าน”

ปากร้อนระอุขยี้ลงมาด้วยความหิวกระหาย สาวน้อยรีบเผยอปากรับลิ้นใหญ่แสนร้อนของคอร์เนลด้วยความเต็มอกเต็มใจ ทั้งคู่โรมรันแลกลิ้นกันอยู่เนิ่นนานกว่าจะหยุดแล้วมาคุยกันต่อ

“เราจะอาบด้วยกัน…”

ยาหยีหน้าแดงก่ำไปจนถึงไรผม เมื่อสมองจินตนาการภาพระหว่างคอร์เนลกับตัวเองในห้องน้ำ ไม่มีทางที่พ่อเจ้าประคุณจะอาบน้ำเฉยๆ แน่ เขาจะต้องทำมากกว่านั้น ในอ่างน้ำหรืออาจจะที่ผนังห้องน้ำ โอ้…แค่คิดท้องไส้ก็บีบเกร็งรุนแรงซะแล้ว

“แต่ว่า…”

“หรือว่าจะอาบด้วยกันในห้องน้ำที่นี่ดีล่ะ แต่มันเล็กไปหน่อยนะ ผมอาจจะทำอะไรไม่ถนัด แล้วคุณก็จะร้องเสียงดังแบบทุกครั้งที่เราร่วมรักกันไม่ได้ด้วย เพราะเสียงมันอาจจะดังไปถึงห้องข้างๆ”

ว่าจินตนาการของหล่อนร้อนแรงมากพอแล้ว แต่พอมาเทียบกับคำพูดชัดๆ โต้งๆ ของคอร์เนล จินตนาการของหล่อนตกขอบเวทีไปเลย

“ดูพูดเข้าสิคะ”

“ผมพูดเรื่องจริงนี่ ไปเถอะ รถผมจอดอยู่ข้างล่าง”

“แต่ว่าฉันต้องอ่านหนังสือสอบนะคะ”

คอร์เนลหัวเราะร่วน

“คุณอ่านมันรู้เรื่องที่ไหนกันล่ะ ลินดาบอกว่าตาคุณมองหนังสือก็จริง แต่ใจของคุณอยู่ที่ผม”

“เอ่อ…” พูดไม่ออกเอาซะดื้อๆ

“จะบอกว่าไม่จริงใช่ไหมล่ะ”

ไม่มีทางออกใดจะดีไปกว่าการปฏิเสธอีกแล้วล่ะ

“ค่ะ ไม่จริง…”

คอร์เนลแค่นยิ้ม พร้อมกับไหวไหล่กว้างทรงพลังของตัวเองอย่างไม่แยแส

“งั้นก็เอาหนังสือไปด้วย” คนตัวโตคลายอ้อมแขน ก่อนจะเดินไปหยิบหนังสือสองสามเล่มที่วางอยู่บนโต๊ะที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ กับหน้าต่างห้องขึ้นมาถือ

“ถ้าคุณยังมีกะจิตกะใจอ่าน หลังจากที่เราสนุกกันเสร็จแล้ว ก็ตามสบาย ไปกันได้แล้ว เร็วเข้า มื้อค่ำรอเราอยู่” คนตัวโตพูดจบก็ถือหนังสือเรียนของหล่อนเดินออกไปจากห้องพักทันที ทิ้งให้ยาหยียืนหน้าแดงก่ำเป็นผลตำลึงสุกอยู่ตามลำพัง

“คนเอาแต่ใจ…”

อยากจะขัดใจผู้ชายร้ายกาจคนนี้นัก แต่ก็รู้ดีว่าไม่มีทางสำเร็จ เพราะพ่อเจ้าประคุณบ้าอำนาจ แถมยังเผด็จการสุดขีดอีก ขัดใจทีไรถูกเล่นงานเสียจนหมดเรี่ยวหมดแรงทุกทีไปสิน่า

ยาหยีถอนใจออกมาด้วยไม่มีทางเลือกอื่นใด ก่อนจะวิ่งตามคนตัวโตออกไปจากห้องพัก ระหว่างทางก็สวนกับลินดาที่กำลังเดินขึ้นห้องมาพอดี หล่อนเห็นลินดาแอบหลิ่วตาให้กับคอร์เนล จากนั้นจึงหันมาพูดกับหล่อนด้วยน้ำเสียงล้อเลียนจนแก้มที่แดงอยู่แล้วของหล่อนแทบไหม้

“ขอให้มีความสุขนะแม่ลูกหยีแสนหวาน”

“นี่อย่ามาเรียกฉันว่าแม่ลูกหยีแสนหวานนะ”

ปกติหล่อนไม่ใส่ใจหรอกว่าเพื่อนสนิทจะเรียกว่าอะไร แต่ตอนนี้มันกำลังโกรธจึงพาลไม่เลือก แถมแม่ลินดาตัวดีกลับไม่มีทีท่าจะสะทกสะท้านแม้แต่นิดเดียว ยังทำหน้าเป็นพูดตอกกลับมาให้หล่อนอายได้อีกต่างหาก

“ก็พ่อเทพบุตรตาเขียวบอกว่าเธอหวานจริงๆ นี่”

“ยายลินดาบ้า นี่แน่ะ!” ยาหยียกมือขึ้นฟาดต้นแขนอวบของเพื่อนรักแรงๆ หลายต่อหลายทีจนคนถูกตีร้องลั่น

“ตีทำไมเนี่ย เจ็บนะ ดูสิแดงเลย”

ลินดาลูบแขนที่มีรอยนิ้วมือของยาหยีป้อยๆ เพราะรู้สึกเจ็บจริงๆ แต่แทนที่เพื่อนจะสงสารกลับสมน้ำหน้าซ้ำซะงั้น โธ่! อุตส่าห์ช่วยเหลือให้สมรัก

“เจ็บให้ตายไปเลยยิ่งดี เจ้าแผนการนักนี่”

“หรือว่าจะไม่ไปล่ะ นู่น! พ่อเทพบุตรตาเขียวยืนที่รถนานแล้วนะ เดี๋ยวพ่อคุณโกรธขึ้นมาอีกจะถูกขยำทั้งคืนแบบอันลิมิตแล้วอย่าหาว่าเพื่อนรักคนนี้ไม่เตือนนะจะบอกให้”

ลินดาหัวเราะร่วนขณะรีบซอยเท้าวิ่งขึ้นบันไดไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้ยาหยีจมอยู่กับความขัดเขินเพียงลำพัง

“เสียแรงที่เป็นห่วง ยายลินดาบ้า”

บ่นต่อว่าเพื่อนสนิท แล้วก็อดพาลไปถึงพ่อรูปหล่อที่กำลังนั่งรออยู่ในรถสปอร์ตราคาเฉียดร้อยล้านตรงหน้าด้วยไม่ได้

เมื่อไรหล่อนถึงจะหลุดพ้นจากเสน่หาอันแสนร้ายกาจของผู้ชายคนนี้สักทีนะ เมื่อไรถึงจะแข็งข้อกับเขาได้สักที ยาหยีถอนใจออกมาขณะก้าวลงบันไดไปช้าๆ มุ่งหน้าตรงไปยังรถสีดำคันงามที่มีคอร์เนลนั่งรออยู่ด้วยหัวใจที่เต้นแรงเป็นจังหวะแทงโก้เลยทีเดียว

เสียงเคาะประตูห้องแรงๆ ทำให้ยาหยีที่กำลังนั่งเปิดหนังสือไปมาอย่างคนใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวสะดุ้งโหยง สาวน้อยหันไปมองรอบๆ ห้องเพื่อหาลินดาแต่ก็ไม่พบ จึงปิดหนังสือที่อ่านมาตั้งชั่วโมงหนึ่งแล้วก็ยังอยู่หน้าเดิมลงวางกับโต๊ะ จากนั้นก็ลุกขึ้นและเดินไปที่ประตูห้อง

“ใครกันนะไม่มีมารยาทเลย เคาะอยู่ได้”

อดบ่นกับพฤติกรรมของคนที่ยืนอยู่อีกฝั่งประตูไม่ได้ เคาะเอาๆ ไม่เกรงใจคนอื่นบ้างเลย มือบางกำลูกบิดแล้วก็กระชากมันออกแรงๆ กำลังจะเปิดปากต่อว่าแต่ปากก็มีอันต้องค้างเติ่ง คำพูดเจ็บๆ ที่คิดเอาไว้ไหลกลับลงคอไปจนหมด เมื่อคนไร้มารยาทตรงหน้าคือคอร์เนล!

“คอร์เนล!”

ความตกใจทำเอาหล่อนยืนอึ้งกิมกี่ อึ้งจนไม่รู้แม้กระทั่งว่าคนตัวโตเดินผ่านประตูเข้ามายืนอยู่กลางห้องตั้งแต่ตอนไหน มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่เห็นเขานั่งบนเตียงนอนแคบๆ ของหล่อนนั่นแหละ

“คุณมาทำไม?”

ปิดประตูเพราะไม่อยากเป็นเป้าสายตาของเพื่อนข้างห้อง ก่อนจะเดินเข้ามาหยุดตรงหน้าชายหนุ่ม คอร์เนลไหวไหล่ทรงพลังของตัวเองน้อยๆ

“เพื่อนของคุณโทรไปบอกผมว่าคุณโศกเศร้ามากที่ผมไม่มารับ”

“ไม่จริง! และก็กลับไปได้แล้วด้วย ไปสิ”

ยาหยีชี้นิ้วไล่ด้วยความขัดเคือง แต่คนถูกไล่กลับดันไม่สะทกสะท้านแม้แต่นิดเดียว แถมยังส่งรอยยิ้มเหยียดหยันใส่หน้าของหล่อนอีกต่างหากแน่ะ

“ออกไปนะ!”

“งั้นเพื่อนของคุณก็โกหกน่ะสิ อย่างนี้ผมคงต้องให้คนมาลากไปตัดแขนตัดขาสักหน่อย โทษฐานโกหกมาเฟียผู้ยิ่งใหญ่”

คำพูดทีเล่นทีจริงของคอร์เนลทำเอายาหยีเบิกตาค้างด้วยความตื่นตกใจ ซึ่งตรงข้ามกับชายหนุ่มที่แทบจะกลั้นยิ้มเอาไว้ไม่อยู่ ไม่อยากจะเชื่อว่าแม่สาวน้อยตรงหน้าจะหลอกง่ายหลอกดายแบบนี้

“แล้วนี่หายไปล่ะ ผมจะได้ให้คนมาลากตัวไป”

“อย่านะ อย่าทำอะไรลินดานะ” ยาหยีร้องห้ามเสียงเครือ ขณะยื่นมือเข้ามาจับต้นแขนของชายหนุ่มเอาไว้อย่างอ้อนวอน

“ได้โปรดอย่าทำลินดานะคอร์เนล ได้โปรดเห็นแก่ฉันเถอะ”

คนตัวโตซ่อนยิ้ม แกล้งแกะมือนุ่มออกจากแขนตัวเอง จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนเดินไปหยุดมองออกไปนอกหน้าต่างห้อง ยาหยีรีบเดินตามไปหยุดอยู่ข้างหลังทันที

“แต่เพื่อนของคุณโกหกผม ผมเป็นมาเฟียจะปล่อยให้ใครมาลูบคมไม่ได้หรอก”

“ก็ไหนเชอรี่บอกว่าคุณไม่ได้เป็นมาเฟียไงคะ”

“ในสายตาของคุณ ผมเป็นมาเฟียตลอดเวลาไม่ใช่หรือ ผมก็เป็นแล้วนี่ไง จะตัดแขนตัดขาแม่ลินดาแล้วใส่กล่องพัสดุมาให้คุณเป็นของขวัญวันปีใหม่ก็แล้วกัน”

คอร์เนลทำท่าจะเดินออกไปจากห้อง ยาหยีไม่มีทางเลือกอื่นใดจึงต้องโผเข้ากอดรัดร่างกำยำเอาไว้ เพราะรู้ว่านี่คือวิธีเดียวที่จะหยุดยั้งชายหนุ่มได้

“ได้โปรดอย่าทำอะไรลินดาเลย ลินดาอาจจะหวังดี…”

“หวังดี?”

นิ้วแกร่งเชยคางมนให้เงยขึ้นประสานสายตากับตัวเอง

“เพื่อนคุณหวังดียังไง ไหนลองบอกผมให้เข้าใจหน่อยสิ”

ยาหยีกัดปากแน่น จ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีเขียวเข้มดุจมรกตเนื้อดี และก็เหมือนถูกดูดให้หลุดหลงเข้าไปภายในนั้น

“ฉัน…”

“คุณทำไม?”

“ฉัน…เอ่อ…” รอแล้วรอเล่าแม่ยาหยีคนดีก็ยังไม่พูดออกมาสักที คอร์เนลจึงคำรามออกมาอย่างสิ้นสุดความอดทน

“ถ้าไม่พูดคราวนี้นะ ผมไม่ฟังแล้วด้วย และคุณก็คงรู้นะว่าจะได้อะไรเป็นของขวัญจากผม”

‘แขนขาลินดาใช่ไหม? ไม่ได้ หล่อนปล่อยให้ลินดาต้องมารับเคราะห์กรรมแบบนี้ไม่ได้ ลินดาแค่หวังดี เพื่อนของหล่อนแค่หวังดีเท่านั้นเอง’

“ฉันคิดถึงคุณจริงๆ แล้วก็ร้องไห้จนตาบวม ลินดาคงเห็นเลยสงสารก็เลยโทรไปหาคุณ”

ในที่สุดก็สามารถกัดฟันพูดออกไปได้จนจบประโยค อับอายจนใบหน้าร้อนผ่าวแทบลุกเป็นไฟจนต้องก้มหน้าหลบตาคมกริบ และความขัดเขินนี้ก็ทำให้หล่อนไม่ทันสังเกตเห็นว่ามือใหญ่ของคอร์เนลที่เคยทิ้งอยู่ข้างกายนั้นตอนนี้ยกขึ้นมาสวมกอดร่างของหล่อนเอาไว้อย่างแน่นหนา

“ขอร้องอย่าทำอะไรลินดาเลยนะคะ ลินดาไม่ได้โกหก”

“คุณคิดถึงผมจนร้องไห้จริงๆ หรือ”

คอร์เนลถามย้ำเสียงนุ่มนวล ขณะใช้ความสามารถส่วนตัวดันร่างอรชรให้ถอยหลังตรงไปยังเตียงนอนขนาดสามฟุตครึ่งที่อยู่ไม่ไกลนักอย่างง่ายดาย

“ฉัน…เอ่อ…ฉัน…แค่รู้สึกอ้างว้างเท่านั้นเอง”

“รักผมหรือเปล่า”

คำพูดนี้ทำให้ยาหยีถึงกับเงยหน้าขึ้นมองด้วยสายตาเบิกกว้าง กลีบปากเผยอแย้มเย้ายวนชวนให้ขยี้เหลือเกิน

“เอ่อ…”

“รักผมหรือเปล่า”

‘รักสิคะ รักมากด้วย’

สาวน้อยร้องตอบคนตัวโตภายในใจ แต่ข้างนอกใจหล่อนไม่อาจจะตอบเช่นนี้ออกไปได้ หล่อนไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะคิดรักเขาด้วยซ้ำไป

“อีตัวไม่มีสิทธิ์หลงรักนายจ้างหรอกค่ะ”

“แล้วถ้าผมให้สิทธิ์นั้นล่ะ คุณจะรับมันไว้หรือเปล่า”

‘นี่เขากำลังล้อเล่นอะไรกับหล่อนหรือเปล่า เขากำลังจะปั่นหัวอะไรหล่อนหรือเปล่า ก็ไหนเขาบอกว่าหากหล่อนหลงรักเขาเมื่อไร ก็มีแต่หล่อนเท่านั้นแหละที่จะเจ็บปวด แต่นี่…เขากำลังเชิญชวนให้หล่อนบอกรักเขาเสียอย่างนั้น มันเกิดอะไรขึ้นกันนะ?’

“มันเป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ เราอย่าพูดเรื่องนี้กันเลยดีกว่า”

หล่อนเห็นชายหนุ่มนิ่งเงียบไปนานเลยทีเดียว ก่อนที่เขาจะพูดอะไรออกมา

“ลืมมันซะเถอะนะ ช่วงนี้ผมรู้สึกว่าสมองตัวเองไม่ค่อยปกติเท่าไร” คอร์เนลปล่อยมือจากร่างกายของหล่อน และถอยออกห่างหลายก้าว

ยาหยีเป่าปากโล่งอกที่ตัวเองหลุดออกมาจากอ้อมแขนของคอร์เนลได้ทันเวลา เพราะหากนานกว่านี้หล่อนกับเขาคงต้องไปจบกันบนเตียงอย่างแน่นอน

“คุณพูดถูก อีตัวไม่มีสิทธิ์อาจเอื้อมรักนายจ้างอยู่แล้ว ดังนั้นคุณก็อย่ามาหลงรักผมเข้าก็แล้วกัน”

‘คอร์เนลยังไม่หายโกรธหล่อน’

นี่คือเรื่องจริงที่มันรบกวนจิตใจของหล่อนมาตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้บ่ายสองโมง หญิงสาวเดินทอดถอนใจออกมาจากห้องสอบ ใบหน้างามเคร่งเครียดและโศกเศร้าจนเพื่อนสนิทอย่างลินดาที่ออกมาจากห้องสอบก่อนต้องนิ่วหน้าด้วยความสงสัย

“ทะเลาะกับพ่อเทพบุตรตาเขียวมาหรือไงแม่ลูกหยี”

เสียงคุ้นหูของลินดาทำให้คนที่เดินใจลอยอย่างยาหยีสะดุ้งและหันไปมองต้นเสียง ก่อนจะรีบปั้นยิ้มเนือยๆ เมื่อเห็นสายตาจับผิดของเพื่อนสนิท

“เอ่อ…ไม่มีอะไรหรอกลินดา”

ลินดาส่ายหน้าไม่เชื่อ ขณะลุกขึ้นยืนและเดินเข้ามาหยุดตรงหน้าของหล่อน

“โกหก! หน้าตาเธอมันฟ้องน่ะว่ากำลังทุกข์”

ยาหยีก้มหน้าหลบสายตารู้ทันของเพื่อน

“ไม่มีอะไรนี่ ก็แค่ทำข้อสอบไม่ค่อยได้เท่านั้นเอง”

“นี่แม่ลูกหยีจ๋า ฉันเคยบอกเธอไปหลายครั้งแล้วไม่ใช่เหรอว่าหน้าของเธอมันฟ้องทุกอย่างที่เธอกำลังคิดอยู่ทั้งหมดนั่นแหละ แถมยังอ่านง่ายมากๆ อีกด้วย”

“จะบ้าหรือไง มันหน้าคนนะไม่ใช่หนังสือสักหน่อย” ยาหยีเถียงไม่เต็มเสียงนัก ขณะที่ลินดาหัวเราะร่วน

“อย่ามาเฉไฉเลย บอกมาซะดีๆ ว่าเธอทะเลาะอะไรกับพ่อเทพบุตรตาเขียว แต่มันคงจะรุนแรงพอดูทีเดียวใช่ไหม เพราะดูเธอโศกเศร้าเหลือเกินนี่”

ยาหยีเม้มปากแน่น ข่มความขมขื่นลงไปในอก ขณะกวาดตามองหารถคันงามที่เคยมาจอดรอรับหลังหล่อนเลิกสอบเมื่อวานอย่างรอคอย แต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงา

‘เขาคงไม่มา…ใช่ เขาไม่มาจริงๆ’

เจ็บแต่ก็ต้องเก็บเอาไว้ในอกอย่างมิดชิด…

“ฉันไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ ลินดา ไปกันเถอะ ฉันอยากกลับหอแล้ว อยากไปอ่านหนังสือสอบวันพรุ่งนี้” ยาหยีรีบก้าวเดินไปทันที ลินดาอ้าปากค้างก่อนจะรีบวิ่งตามไปเช่นกัน

“นี่แม่ลูกหยี แล้วเธอไม่กลับไปค้างกับพ่อเทพบุตรตาเขียวเหรอ”

“ไม่…” ยาหยีส่ายหน้าน้อย ตอบสั้นๆ

“เดี๋ยวพ่อเจ้าประคุณก็ขึ้นมาลากตัวเธอถึงเตียงอีกหรอก กลับไปที่นั่นเถอะน่า ฉันไม่อยากถูกฉีกอกด้วยข้อหาทำให้เธอห่างเหินจากเขา” ลินดาพูดทีเล่นทีจริง

ร่างอรชรของยาหยีหยุดเดินกะทันหัน ก่อนจะหันขวับมามองหน้าเพื่อนรักเขม็ง

“ถ้ายังอยากคบกับฉันต่อไป เลิกพูดถึงผู้ชายคนนี้ทีเถอะ ฉันไม่อยากได้ยินชื่อของเขา”

“เอ่อ…” คราวนี้เป็นลินดาที่ยืนอึ้งพูดไม่ออก “คือว่าลูกหยี ฉันอยากให้เธอ…”

“ลินดา…ต้องให้ไหว้หรือเปล่า เธอถึงจะหยุดพูดถึงผู้ชายคนนั้น ถ้าใช่ ฉันก็จะทำ”

เมื่อเห็นยาหยีทำท่าจะยกมือขึ้นไหว้จริงๆ ลินดาจึงต้องรีบรับปากทันที

“ก็ได้ ฉันจะพยายามไม่พูดถึงพ่อเทพบุตรตาเขียวนั่นอีก”

“ขอบใจมาก ขอบใจจริงๆ”

ยาหยีเอ่ยขอบคุณลินดาเสียงสั่นเครือ รีบหมุนตัวหันหลังให้กับเพื่อนรักทันทีเมื่อน้ำตาไม่รักดีทะลักไหลออกมาอาบแก้ม ลินดาถอนใจออกมาแรงๆ ด้วยความสงสารก่อนจะเดินตามเพื่อนรักไปห่างๆ ด้วยความห่วงใย

‘อย่างนี้ถ้าหล่อนไม่ช่วย ยายลูกหยีแสนหวานเพื่อนรักก็คงต้องนอนร้องไห้ตลอดทั้งคืนแน่ๆ’

“นั่นนายน้อยจะไปไหนหรือครับ ดูรีบร้อนจังเลย”

เซอร์เกร้องถามคอร์เนลด้วยความประหลาดใจเมื่อเห็นร่างสูงใหญ่ของเจ้านายหนุ่มวิ่งหน้าตั้งลงมาจากบันได

“เอากุญแจรถสปอร์ตมา”

คอร์เนลไม่ได้ตอบคำถามของคนสนิท แต่เลือกที่จะแบมือตรงหน้า พร้อมๆ กับเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงกระด้าง

“นายน้อยจะออกไปข้างนอกหรือครับ ผมจะขับรถให้…”

“ไม่ต้อง ฉันบอกว่าต้องการกุญแจรถไงเซอร์เก หูแตกหรือไง”

เมื่อเห็นว่าโทสะของคอร์เนลทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะ เซอร์เกจึงจำเป็นต้องให้ในสิ่งที่ชายหนุ่มตรงหน้าต้องการ

“นี่ครับ”

คอร์เนลคว้ากุญแจรถมาได้ก็เดินลิ่วๆ ไปที่รถสปอร์ตสีดำคันงามของตัวเอง เซอร์เกรีบวิ่งตามไปทันที

“เอ่อ…นายน้อยครับ ผมจะขับรถตามไปนะครับ เผื่อนายน้อยอาจจะจำเส้นทางไม่ได้”

คอร์เนลที่กำลังเปิดประตูรถหันขวับกลับมาจ้องหน้าคนสนิทเขม็ง

“หอพักของยาหยีไม่ใช่เส้นทางใหม่ที่ฉันไม่เคยไป” ชายหนุ่มกระโดดขึ้นไปนั่งบนรถ

“ฉันรู้ว่านายเป็นห่วง แต่พอได้แล้วล่ะเซอร์เก ฉันโตเป็นหนุ่มแล้ว และตอนนี้ก็กำลังจะไปหาเมียของตัวเองด้วย”

รถสปอร์ตความแรงสูงแล่นทะยานออกไปในพริบตา แต่เซอร์เกก็ยังคงอ้าปากค้างกับคำพูดของนายน้อยที่ตัวเองได้ยิน

‘กำลังจะไปหาเมีย’

เขาคงช้ากว่านี้ไม่ได้แล้ว เขาต้องทำทุกอย่างให้เร็วขึ้น ไม่อย่างนั้นคอร์เนลจะต้องถูกหายนะลูกใหญ่ซัดจนปางตายอย่างแน่นอน

เด็กยาหยีไม่มีทางรักนายน้อยของเขาด้วยหัวใจจริงๆ หรอก ยังไงลูกก็ต้องเหมือนกับพ่อ และเมื่อนายยอดชายไม่เคยจงรักภักดีต่อคอร์เนล แล้วลูกสาวของมันจะไว้ใจได้ยังไงกัน

“อีวาน…เราช้ากว่านี้ไม่ได้แล้ว” เซอร์เกหันไปพูดกับหลานชายที่พึ่งเดินเข้ามาหาด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด

“แล้วเราจะเริ่มเมื่อไรครับน้าเซอร์เก”

“วันพรุ่งนี้คุณยาหยีจะสอบเป็นวันสุดท้าย และนายน้อยก็จะพาเธอไปเที่ยวไม่กลับมาที่นี่” เซอร์เกพูดถึงสิ่งที่ตัวเองได้รับรู้มาจากคอร์เนลให้กับหลานชายฟัง

“น้าจะใช้โอกาสนี้ใช่ไหมครับ ในการปล่อยนายยอดชาย”

เซอร์เกพยักหน้าน้อยๆ

“ใช่ มันเป็นโอกาสเดียวที่เราจะทำได้”

“แล้วนายน้อยล่ะครับ หากนายน้อยรู้ว่านายยอดชายหายไปละก็ มีหวังบ้านแตกแน่” แม้จะร่วมมือกับน้าชายแต่อีวานก็อดหวาดกลัวต่อแรงอารมณ์ของคอร์เนลไม่ได้ เพราะเป็นที่รู้ๆ กันดีอยู่ว่าคอร์เนลนั้นเวลาโกรธร้ายกาจแค่ไหน

“ไม่ต้องห่วงหรอกเรื่องนั้นน่ะ ฉันเตรียมรับมือไว้แล้ว”

“ครับ ผมเชื่อว่าน้าทำได้แน่” เมื่อเห็นเซอร์เกรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะ อีวานก็คลายกังวลลงได้บ้างแม้มันจะไม่ทั้งหมดก็ตาม

“ไม่ไปเที่ยวโรมด้วยกันจริงๆ หรือลิน่า”

รูธเพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มที่วันนี้เดินทางมาส่งหล่อนที่สนามบินเพื่อมุ่งหน้ากลับมอสโกเอ่ยขึ้นด้วยความเสียดาย

‘ใช่…หล่อนเองก็เสียดายที่ไม่ได้ไปท่องเที่ยวเมืองแสนโรแมนติกอย่างกรุงโรม แต่ภารกิจที่บิดาขอร้องให้ทำนั้นมันยิ่งใหญ่กว่า และยิ่งรู้ว่ามันเป็นความต้องการของคอร์เนลด้วยแล้ว หล่อนก็ยิ่งต้องทำให้สำเร็จ เพื่อตอบแทนบุญคุณของนายน้อย’

“ไว้โอกาสหน้าก็แล้วกันนะ ฉันไม่ว่างจริงๆ”

“ขาดเธอก็ไม่สนุกน่ะสิ แล้วที่นี่ใครจะเป็นตัวดูดหนุ่มๆ ให้เข้ามาคุยกับพวกเราล่ะ หนุ่มอิตาเลียนยิ่งหล่อลากไส้อยู่ด้วย” เป็นรูธคนเดิมที่พูดออกมา

“ดูพูดเข้าสิรูธ นี่เธอเห็นยายลิน่าเป็นอะไรจ๊ะ” เพื่อนอีกคนในกลุ่มขัดขึ้น

“ก็ในกลุ่มเราลิน่าสวยที่สุดนี่ เวลาไปไหนก็จะมีผู้ชายเข้ามาทักทายเป็นฝูง” รูธยังยืนยันคำเดิม เมลิน่าได้ฟังก็หัวเราะออกมาด้วยความขบขัน

“ฉันไม่ได้ดูดีขนาดนั้นสักหน่อย พวกผู้ชายเข้ามาหาเพราะพวกเธอต่างหาก”

“อย่ามาถล่มตัวไปหน่อยเลยเมลิน่า ก็เพราะเธอไม่ใช่เหรอที่ทำให้หนุ่มนักบาสกับหนุ่มรักบี้ต่อยกันเละเมื่ออาทิตย์ก่อนน่ะ”

รูธพูดถึงเหตุการณ์ที่นักกีฬาหนุ่มสองประเภทต่อยตีกันเพราะแย่งกันเข้ามาจีบหล่อน มันไร้สาระมาก และหล่อนก็ไม่ชื่นชมการทำอะไรโดยใช้กำลังแบบนี้แม้แต่นิดเดียว

“มันเรื่องบังเอิญน่ะ เอ่อ…แล้วพวกเธออย่าลืมถ่ายรูปน้ำพุเทรวีมาฝากด้วย ฉันอยากเห็น”

“แน่นอนไม่ลืมหรอกจ้ะ เธอก็เดินทางปลอดภัยล่ะ ถึงมอสโกแล้วโทรมาหากันบ้าง” รูธเริ่มพูดเป็นการเป็นงานเมื่อเห็นว่าถึงเวลาที่เพื่อนสนิทต้องเดินทางแล้ว

“ขอบใจจ้ะ แล้วเจอกันตอนเปิดเทอมนะ บาย…” เมลิน่ายกมือขึ้นโบกให้กับเพื่อนทั้งสองคน

“จ้ะ ดูแลตัวเองดีๆ นะ” รูธโบกมือตอบ มองจนเมลิน่าหายเข้าไปในห้องรับรองผู้โดยสาร จากนั้นจึงพากันเดินออกมาจากสนามบิน

“เราไปไหนกันต่อดีล่ะรูธ” แพตตี้เอ่ยถามเพื่อนที่เดินอยู่ข้างๆ

“กลับหอเถอะ ฉันอยากพักผ่อน เดี๋ยวพรุ่งนี้พวกเราก็ต้องเดินทางไปโรมแล้ว จะได้เตรียมข้าวเตรียมของด้วย” รูธออกความคิดเห็น ซึ่งแพตตี้ก็เห็นด้วย

“ตามนั้นก็ได้ งั้นเรียกรถแท็กซี่เลย นั่นไงมาแล้ว”

สองสาวกำลังจะโบกมือเรียกรถแท็กซี่แต่เสียงโทรศัพท์ในกระเป๋าสะพายของรูธดันดังขึ้นเสียก่อน รูธขมวดคิ้วเพราะจำเสียงเรียกเข้าได้ว่ามันไม่ใช่ของตัวเอง

“ของเธอหรือเปล่าแพตตี้”

“ไม่ใช่ มันดังจากในกระเป๋าเธอไม่ใช่หรือรูธ”

รูธรีบหยิบกระเป๋าของตัวเองออกมาค้น แล้วก็พบเจ้าโทรศัพท์มือถือที่กำลังกรีดร้องอยู่

“นี่มันของยายลิน่านี่ แล้วทำไมมันมาอยู่ในกระเป๋าฉันได้ล่ะ” รูธร้องออกมาด้วยความตกใจ แพตตี้รีบชะโงกหน้าเข้ามาดู

“ใช่ ของลิน่าจริงๆ ด้วย สงสัยตอนที่เราลงมาจากหอพักแน่เลย จำได้ไหมรูธ ลิน่าลืมไว้บนเตียง เธอหยิบใส่กระเป๋ามาตั้งใจจะเอามาให้ แต่ดันลืมเสียนี่”

“จริงด้วย แล้วทีนี้จะทำยังไงดีล่ะ นั่นพ่อของลิน่าโทรเข้ามาด้วย”

รูธอุทานด้วยความเดือดเนื้อร้อนใจ มองหน้าจอโทรศัพท์มือถือของลิน่านิ่ง

“รับดีไหมแพตตี้”

“ก็รับไปสิ แล้วบอกว่าลิน่าลืมโทรศัพท์เอาไว้ในกระเป๋าเธอ แต่พวกเรากำลังจะเอาไปคืน” แพตตี้ออกความคิดและเร่งให้รูธรับสายจากเซอร์เก

รูธสูดลมหายใจเข้าปอดแรงๆ ก่อนจะตัดสินใจรับสาย

“เอ่อ…สวัสดีค่ะคุณพ่อ พอดีลิน่าลืมโทรศัพท์มือถือไว้กับหนูน่ะค่ะ ว่าแต่คุณพ่อมีเรื่องด่วนหรือเปล่าคะ อ๋อ! ค่ะ ได้ค่ะ เดี๋ยวหนูจะรีบเอาไปให้ลิน่าเดี๋ยวนี้เลยค่ะ”

“คุณพ่อของลิน่าว่ายังไงบ้าง” แพตตี้รีบถามเมื่อเห็นรูธกดตัดสาย

“ไม่ได้ว่าอะไร แค่บอกว่าต้องการคุยกับลิน่า” รูธยังเก็บโทรศัพท์ของเมลิน่าลงกระเป๋าของตัวเองไม่ทันเสร็จก็อุทานออกมาด้วยความตกใจ

“เฮ้ย! แพตตี้ เครื่องที่ยายลิน่านั่งออกกี่โมง”

“สิบโมงสิบห้า…”

แพตตี้ตอบออกมาเสียงดังฟังชัด รูธที่หน้าซีดเผือดรีบก้มหน้ามองนาฬิกาข้อมือของตัวเองแล้วก็อุทานออกมาด้วยความตื่นตระหนก

“เหลืออีกห้านาที…เร็วเข้าแพตตี้ รีบเอาโทรศัพท์ไปให้ยายลิน่าเร็วเข้า!”

สองสาวตั้งหน้าตั้งตาวิ่งกลับเข้าไปในสนามบิน แต่ระยะทางไกลเอาการเลยทีเดียว และคนก็ยั้วเยี้ยกีดขวางทางจนน่าอารมณ์เสีย

“จะทันไหมเนี่ย” แพตตี้พึมพำ ขณะวิ่งตามร่างของรูธที่กำลังมุ่งหน้าตรงไปยังประชาสัมพันธ์

“เอ่อ…เที่ยวบินปารีส-มอสโกออกไปหรือยังคะ” รูธละล่ำละลักถามเสียงหอบเหนื่อย

ประชาสัมพันธ์กดอะไรสักสามทีก็ยิ้มหวาน และตอบออกมา

“เที่ยวสิบโมงสิบห้าใช่ไหมคะ ออกไปแล้วค่ะเมื่อกี้นี้เอง”

“ออกไปแล้วหรือคะ!”

ทั้งรูธและแพตตี้อุทานออกมาพร้อมกัน

“ค่ะ ออกไปแล้ว ก็นี่มันสิบโมงสิบห้าแล้วนี่คะ”

รูธกับแพตตี้เดินคอตกออกมาจากโต๊ะของประชาสัมพันธ์สาวแสนสวย รู้สึกผิดหวังไม่น้อยที่ไม่สามารถคืนโทรศัพท์มือถือให้แก่เมลิน่าได้ อย่างนี้มีหวังพวกหล่อนคงติดต่อกันไม่ได้ไปตลอดสามเดือนเต็มแน่ๆ เลย

ยาหยีเดินกลับไปกลับมาด้วยความกระวนกระวายใจอยู่ที่หน้าตึกใหญ่ รอคอยเซอร์เกที่จะเป็นคนนำพาหล่อนให้ไปพบบิดา แต่หล่อนรอมาเกือบสิบนาทีแล้วก็ยังไม่เห็นวี่แวว หญิงสาวถอนใจออกมา กำลังจะเดินกลับเข้าไปในตึก แต่เสียงเรียกคุ้นหูก็ดังขึ้นเสียก่อน

“ขอโทษที่ทำให้รอครับ”

“เซอร์เก…”

หญิงสาวอุทานออกมาด้วยความดีใจจนปิดไม่มิด ความหวังที่จะได้พบหน้าบิดากำลังใกล้เข้ามาทุกขณะแล้ว

“เชิญครับ ผมจะพาคุณไปพบนายยอดชาย”

เซอร์เกผายมือเป็นสัญญาณเชื้อเชิญ ยาหยีรีบสาวเท้าเดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วแทบจะเป็นวิ่งเลยก็ว่าได้ โดยไม่สนใจสักนิดว่าคนที่เดินตามมาข้างหลังจะตามทันหรือไม่

‘หล่อนอยากพบพ่อ อยากเจอพ่อ’

“เลี้ยวซ้ายครับ” เซอร์เกร้องบอกเมื่อหล่อนเดินมาถึงทางแยก

“ขอบคุณค่ะ”

ยาหยีก้าวขอบคุณ ขณะเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น

“คุณยังจำคำสัญญาที่ให้ไว้กับผมที่สวนสาธารณะได้ใช่ไหมครับ”

คำพูดของชายที่เดินตามหลังมาทำให้เท้าของยาหยีก้าวช้าลงทันที ความโศกเศร้ากลับมากัดกินหัวใจอีกครั้งหนึ่งแล้ว

“ฉันไม่มีวันลืมสัญญาสำคัญแบบนั้นหรอกค่ะ คุณไม่ต้องห่วง”

เคยนึกว่าเซอร์เกจะเป็นมิตรที่ดี แต่ตอนนี้เขากลับกลายเป็นคนที่เห็นหล่อนเป็นศัตรูไปแล้ว แต่ช่างเถอะ สิ่งที่เขาทำมันคือสิ่งที่ถูกต้องแล้วนี่ ทาสผู้จงรักภักดีขับไล่นางมารร้ายโปรไฟล์ต่ำอย่างหล่อนให้ออกไปจากชีวิตอันเลิศหรูของเจ้านายตัวเอง

“ฉันจะไปทันทีเมื่อพ่อได้รับอิสรภาพ”

“งั้นก็เตรียมตัวไว้เถอะครับ เพราะผมวางแผนจะให้พ่อของคุณหนีในอีกไม่กี่วันนี้”

เท้าตายได้อย่างไม่น่าเชื่อ ยาหยีหันขวับกลับไปมองเซอร์เกที่ยืนอยู่ด้านหลังด้วยสายตาเบิกกว้าง ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเวลาแห่งความสุขระหว่างหล่อนกับคอร์เนลจะแสนสั้นเช่นนี้

“ในอีกไม่กี่วันหรือคะ?”

เซอร์เกพยักหน้ารับ

“ใช่ครับ ตอนนี้ผมกำลังรอเวลานั้นอยู่”

ยาหยีกัดปากแรงๆ แต่แปลกที่มันกลับไม่รู้สึกเจ็บเลยแม้แต่น้อย

“ฉัน…”

“คุณคงดีใจมากใช่ไหมครับ”

ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าหล่อนจะตีบทแตกขนาดนี้ ทั้งๆ ที่เจ็บปวดจนแทบขาดใจ แต่เซอร์เกกลับมองว่าหล่อนกำลังดีใจจนเนื้อเต้นซะงั้น ดีใจก็ดีใจ ใช่…หล่อนกำลังดีใจจนแทบจะร้องไห้ออกมาเป็นสายเลือดเชียวแหละ

“ค่ะ ฉันดีใจมาก…ขอบคุณมากนะคะสำหรับความช่วยเหลือ”

จังหวะที่หมุนตัวกลับมาเดินต่ออีกครั้งนั้นน้ำตาก็ร่วงรินลงมาอาบแก้ม ยาหยีรีบยกมือขึ้นป้ายมันทิ้ง แต่ยิ่งเช็ดมันก็ยิ่งไหลทะลักออกมาอย่างน่าประหลาดใจ

เซอร์เกเดินตามร่างของยาหยีไปเงียบๆ โดยไม่คิดจะชวนสนทนาอะไรอีก และเมื่อถึงจุดหมาย เขาก็พยักหน้าให้คนคุมหน้าห้องไขกุญแจ

“ไปยืนรออยู่ที่หน้าเรือน ครบครึ่งชั่วโมงแล้วค่อยมาเรียกให้คุณยาหยีออกมา”

“ครับคุณเซอร์เก”

หญิงสาวเห็นผู้คุมสองสามคนที่มีอาวุธครบมือเดินห่างออกไปยืนอยู่ที่หน้าเรือน ขณะที่เซอร์เกเดินมาเข้ามาผลักประตูห้องให้เปิดออก

“นายน้อยให้เวลาคุณครึ่งชั่วโมง อย่าเกินเวลาล่ะครับ ผมจะรออยู่แถวๆ นี้” เซอร์เกพูดจบประโยคก็เดินหายออกไปทันที

ยาหยีถอนใจออกมาอย่างโล่งอก ขณะกวาดตามองสำรวจห้องกว้างที่มีเครื่องใช้ไม่กี่ชิ้นตรงหน้าอย่างละเอียดลออ แล้วก็ต้องน้ำตาไหลพรากเมื่อเห็นร่างของบิดานอนนิ่งอยู่บนเตียงเล็กๆ ริมหน้าต่างที่มีเหล็กดัดติดเอาไว้อย่างแน่นหนา

“พ่อ!”

“ลูกหยี!”

สองพ่อลูกโผเข้ากอดกันแน่น ต่างพากันร่ำไห้ด้วยความดีใจ

“เขาทำอะไรพ่อหรือเปล่า พวกเขาทำร้ายพ่อไหมคะ”

หญิงสาวร้องถามด้วยความเป็นห่วง ดันตัวออกห่างจากบิดาเพื่อที่จะมองสำรวจร่างกายของท่าน และก็ได้เห็นรอยชอกช้ำที่ใบหน้า

“ใครต่อยพ่อคะ” มือบางยกขึ้นลูบใบหน้าของบิดาด้วยความเป็นห่วง

ยอดชายคว้ามือนุ่มของลูกสาวมากุมเอาไว้ ก่อนจะก้มลงจูบหน้าผากของยาหยีด้วยความรักใคร่สุดหัวใจ

“พ่อไม่เป็นไรหรอกลูก พ่อสมควรจะโดนแล้ว แต่ลูกล่ะลูกหยี นายน้อยทำอะไรลูกหรือเปล่า เขาทำร้ายลูกของพ่อไหม?”

คำคาดคั้นของบิดามีผลต่อสีของใบหน้าของยาหยียิ่งนัก แก้มนวลแดงระเรื่อขึ้นมาในพริบตาเมื่อนึกถึงสิ่งที่คอร์เนลทำกับตัวเอง แต่หล่อนจะบอกบิดาได้ยังไงกันว่าถูกคอร์เนลปรนเปรอด้วยบทรักเร่าร้อนทุกคืน มันน่าอาย น่าอดสู และหล่อนก็ไม่ต้องการให้ท่านรู้ด้วย

“ไม่ค่ะ เขาไม่ได้ทำอะไรลูกหยี” ตอบเสียงแผ่วเบา พร้อมๆ กับก้มหน้าหลบตาผู้บังเกิดเกล้า

“แล้วทำไมต้องหลบตาพ่อด้วยล่ะลูกหยี ลูกทำเหมือนกำลังปิดบังอะไรพ่ออยู่” ยอดชายคาดคั้นเพราะเขาเชื่อไม่ลงเลยจริงๆ ว่าคอร์เนลจะใจดีไม่ทำอะไรยาหยีลูกสาวของเขา

“ไม่ค่ะ ลูกหยีไม่ได้โกหกพ่อนะคะ”

“ไม่ได้โกหกแล้วลูกหยีเข้ามาหาพ่อที่นี่ได้ยังไง แถมยังมีเซอร์เกพามาด้วย”

หญิงสาวรู้ว่าความสงสัยของบิดากำลังพอกพูนขึ้นทุกขณะ แต่หล่อนจะไม่มีทางบอกความอัปยศทั้งหลายเหล่านั้นให้ท่านรู้เด็ดขาด ต่อให้ต้องผิดศีลข้อสามก็ตาม

“เซอร์เก…เขาต้องการจะช่วยเราค่ะพ่อ เขาบอกว่าจะปล่อยพ่อในเร็วๆ นี้ และก็ให้หนูพาพ่อหนีไปไกลๆ ส่วนเขาจะรับหน้าคอร์เนลเอง”

แม้จะยังเคลือบแคลงแต่ยอดชายก็จำต้องเก็บเงียบเอาไว้ก่อน เพราะสิ่งที่บุตรสาวพูดมันมีความสำคัญมากกว่า การหลบหนีจากที่คุมขัง…อิสรภาพที่เขากำลังแสวงหา

“เซอร์เกบอกพ่อแล้วล่ะ เราจะหนีไปด้วยกันในเร็วๆ นี้” ยอดชายประคองร่างของบุตรสาวให้ไปทรุดนั่งด้วยกันบนขอบเตียง

“แล้วเพชรสีทองที่พ่อขโมยมาจากคอร์เนลล่ะคะ มันอยู่ที่ไหน พ่อบอกลูกหยีได้ไหมคะ”

“พ่อ…พ่อ…”

ยาหยีจ้องหน้าบิดาที่เอาแต่อ้ำๆ อึ้งๆ อย่างคาดคั้น

“พ่อคะ คืนเขาไปเถอะค่ะ  ถอนใจออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า กว่าจะสามารถกลั่นกรองคำพูดออกมาได้

“มันไม่ได้อยู่กับพ่อแล้วล่ะลูกหยี”

“แล้วมันอยู่ที่ไหนคะพ่อ พ่อบอกลูกหยีนะคะ ลูกหยีอยากให้คอร์เนลได้เพชรของเขาคืน ความรู้สึกผิดในใจของเราจะได้หมดไปสักที”

“ลูกหยีไม่ต้องรู้สึกผิดแทนพ่อหรอก ลูกหยีไม่ได้เป็นคนทำ”

“แต่ลูกหยีเป็นลูกสาวของพ่อนะคะ จะให้ลูกหยีทนมองพ่อทำผิดหรือคะ ลูกหยีทำไม่ได้หรอก” มือบางเอื้อมมากุมมือของบิดาเอาไว้

“พ่อขา…พ่อคืนเขาเถอะนะคะ อย่าทำแบบนี้เลย ลูกหยีขอร้อง”

ยอดชายนั่งอึ้งไปนานอย่างคนกำลังตัดสินใจอะไรบางอย่าง ยาหยีเห็นบิดาเริ่มจะคล้อยตามก็รีบอ้อนวอนซ้ำขึ้นอีก

“ถ้าพ่อรักลูกหยี พ่อก็ต้องบอกลูกหยีนะคะว่าตอนนี้เพชรสีทองอยู่ที่ไหน”

“มีคนเอามันไปแล้ว”

“ใครคะพ่อ ใครเอามันไป”

ยอดชายกำลังจะสารภาพออกมาว่าใครเป็นคนเอาเพชรสีทองไป แต่ประตูห้องก็ถูกเปิดเข้ามาเสียก่อน และก็ด้วยน้ำมือของคอร์เนลเสียด้วย

“ยังไม่ถึงครึ่งชั่วโมง แต่ผมรอไม่ไหว”

เขาพูดเสียงกระด้าง พร้อมๆ กับเดินเข้ามาดึงร่างของหล่อนให้เข้าไปในอ้อมแขนอันอบอุ่นของตัวเอง ยาหยีหน้าแดงก่ำด้วยความอับอายเมื่อเห็นสายตาของบิดาที่จ้องเขม็งมองมา หล่อนรู้ดีว่าพ่อกำลังตกใจเรื่องอะไร

“อย่าทำแบบนี้ค่ะ”

ยาหยีพยายามขืนตัวออกจากอ้อมแขนของคอร์เนลแต่คนตัวโตไม่ยอมปล่อยซะงั้น แถมยังก้มลงจูบแก้มของหล่อนหนักๆ ทำราวกับว่าในห้องนี้ไม่มีพ่อของหล่อนนั่งอยู่ด้วยอย่างนั้นแหละ

“อย่าทำบ้าๆ นะ ปล่อยสิ!”

“ทำไมต้องเสียงดังด้วยล่ะ ผมไม่ชอบเห็นกิริยาแบบนี้เลยนะ” เมื่อถูกผลักแรงๆ คอร์เนลก็ถึงกับคำรามออกมาด้วยความไม่พึงพอใจ

“แต่คุณควรจะให้เกียรติฉันบ้าง พ่อฉันนั่งอยู่นู่น!”

คอร์เนลไหวไหล่ ปรายตามองยอดชายแบบเหยียดๆ ก่อนจะพูดขึ้นเสียงเหี้ยมเกรียม

“ผมไม่เคยเห็นพวกโจรอยู่ในสายตา ก็เลยมองไม่เห็นพ่อของคุณ ไปเถอะ ผมอยากนอนกอดคุณแล้ว” คอร์เนลตอกย้ำความเข้าใจของยอดชายด้วยคำพูดอีกครั้ง

“ลูกหยี นี่มันหมายความว่ายังไง ไหนลูกบอกว่านายน้อยไม่ได้ทำอะไรลูกไง” น้ำเสียงของยอดชายเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ซึ่งคนเป็นลูกก็กำลังรู้สึกไม่แตกต่างกัน จะมีก็แต่คอร์เนลคนเดียวเท่านั้นแหละที่สะใจ

“คือว่า…”

“อ้าว…นี่คุณไม่ได้บอกไอ้โจรห้าร้อยคนนี้ไปอีกหรือว่าเป็นอะไรกับผม” คอร์เนลตั้งใจจะทำให้ยอดชายเจ็บ แต่ก็ลืมคิดไปว่าผู้หญิงที่เขาแสนโหยหาอย่างยาหยีจะต้องเจ็บปวดไปกับคำพูดของตนเองด้วย

“ลูกหยีบอกพ่อมาสิ บอกมา…”

“พ่อขา…คือว่า…”

ยาหยีพูดน้ำตาริน พยายามผลักไสคนใจร้ายให้พ้นไปจากตัวแต่เขาก็รัดแน่นขึ้นจนร่างของหล่อนแทบจะบี้แบนไปกับกายทรงพลังของเขาเสียให้ได้

“ดูท่าทางจะยืดเยื้อ เอาอย่างนี้ผมบอกให้ก็ได้”

คอร์เนลระบายยิ้มเหี้ยมเกรียม เขาปล่อยมือจากร่างอรชรที่สั่นเทาเพราะแรงสะอื้นของยาหยี จากนั้นก็เดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าของยอดชาย

“อย่านะคอร์เนล ได้โปรด…อย่าทำแบบนี้…”

วิ่งเข้าไปกอดแขนอ้อนวอน แต่ดูเหมือนว่าคนตัวโตจะไม่ยอมเห็นใจแม้แต่น้อย เพราะในที่สุดเขาก็พูดในสิ่งที่หล่อนไม่อยากฟังออกมา

“ยาหยีเป็นเมียเก็บของฉันเอง”

“คอร์เนล!”

ยาหยีอุทานชื่อของคนใจดำออกมา ขณะก้มหน้าหลบตาของบิดาด้วยความอดสู

“ทำไมทำแบบนี้ลูกหยี ทำไมทำแบบนี้”

คอร์เนลคำรามเสียงเลือดเย็น

“ทุกอย่างมันจะไม่มีทางเกิดขึ้น ถ้าแกไม่ขโมยเพชรของฉันไป”

“พ่อ…ลูกหยีขอโทษ พ่อจ๋า…ให้อภัยลูกหยีด้วย”

ยาหยีคร่ำครวญน้ำตาไหลริน มองบิดาที่นั่งร้องไห้เงียบๆ ด้วยความละอายใจยิ่งนัก หล่อนมันลูกชั่ว ลูกเลว เป็นลูกที่ทำให้พ่อต้องมาหลั่งน้ำตา หล่อนมันใช้ไม่ได้ สมควรแล้วล่ะที่จะต้องมามีสภาพเป็นอีตัวแบบนี้

“พ่อผิดเอง”

“เลิกคร่ำครวญได้แล้ว ไปยาหยี กลับไปที่เตียง” คอร์เนลเปลี่ยนจากโอบกอดเป็นกระชากแขนกลมกลึงแรงๆ ทันที

“ไม่ไป! ฉันเกลียดคนใจร้ายแบบคุณที่สุด” พยายามขืนตัวแต่ในที่สุดก็ถูกพ่อเจ้าประคุณลากออกไปจากเรือนคุมขังจนได้

“ไปล็อกกุญแจ และเฝ้าให้แน่นหนา อย่าให้มันหนีออกไปได้เด็ดขาด” คนตัวโตออกคำสั่งกับชายสามคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า

“ครับนายน้อย” ผู้ชายร่างบึกบึนพวกนั้นรีบวิ่งไปทำตามคำสั่งของคอร์เนลอย่างว่านอนสอนง่าย

“ส่วนคุณเจอดีแน่!”

และคนตัวโตก็ฉุดกระชากร่างบอบบางให้เดินแกมวิ่งตามไปอย่างไร้ความปรานี ระหว่างทางก็พยายามขัดขืนแต่ผลก็คือไม่สำเร็จเหมือนเดิม จนในที่สุดหล่อนก็ถูกคอร์เนลพากลับมายังห้องนอนอีกครั้ง

“ปล่อยฉันนะ!”

คอร์เนลแสยะยิ้ม ใช้เท้าดันประตูห้องจนมันปิดสนิทลง จากนั้นก็ดันร่างของหล่อนแรงๆ จนแผ่นหลังบอบบางชนเข้ากับผนังห้องเต็มแรง หล่อนเจ็บแปลบขึ้นมาในพริบตา

“คนใจร้าย…ฉันเจ็บนะ”

เขายิ้ม ตามประกบเข้ามา สองลำแขนกำยำรัดร่างของหล่อนแนบแน่น ก่อนจะก้มลงบดขยี้บนกลีบปากของหล่อนอย่างป่าเถื่อน ทุกสัมผัสเต็มไปด้วยความรุนแรงจนปากสาวแตกเลือดซึม ประกาศศักดาว่าหล่อนเป็นแค่ทาสรับใช้ ห้ามเผยอหน้าต่อต้านผู้ยิ่งใหญ่เช่นเขาอีก และเนิ่นนานทีเดียวกว่าเขาจะหยุดการลงทัณฑ์แสนอำมหิตนั้น

“นี่คือการลงโทษที่คุณบังอาจตะโกนคำว่าเกลียดใส่หน้าผม”

คำเหี้ยมเกรียมไร้หัวใจถูกพ่นออกมาจากริมฝีปากร้อนผ่าวที่แนบชิดอยู่กับปากบวมเจ่อของหล่อนในตอนนี้

“และหากคุณยังพูดคำนี้ใส่หน้าผมอีกละก็…”

มือใหญ่ฉีกเสื้อตัวสวยจนขาดเป็นสองชิ้นในทันที สาวน้อยน้ำตาไหลทะลักด้วยความอดสู

“ผมจะฟาดคุณให้ลุกไม่ขึ้นเลยทีเดียว!”

และเขาก็ผลักร่างของหล่อนให้ล้มลงไปกองกับพื้นห้อง จากนั้นก็หมุนตัวเดินตรงไปที่ปากประตูห้องนอน

“คนใจร้าย คนใจดำ…”

คอร์เนลหยุดเดินและหันหน้ากลับมามองด้วยสายตาเลือดเย็น

“ผมจะเป็นยิ่งกว่านี้อีก หากคุณทำให้ผมรู้สึกถึงความพ่ายแพ้”

มือใหญ่กระชากประตูและก้าวออกไปในทันที เสียงบานประตูที่กระแทกแรงๆ กับวงกบทำให้ร่างอรชรที่สั่นระริกเพราะความเสียใจสะดุ้งโหยง

“ทำไมถึงใจร้ายกับฉันนักนะ”

‘เพราะเขาไม่ได้รักเธอยังไงล่ะ เธอมันก็แค่ผู้หญิงที่เขาต้องการแค่ตัวเท่านั้น อีกไม่นานเขาก็จะเบื่อและถีบหล่อนทิ้งอย่างไม่ไยดี’

ยาหยีกัดปากแน่น ยกมือขึ้นป้ายน้ำตาแห่งความเจ็บช้ำครั้งแล้วครั้งเล่าแต่มันก็ไม่ยอมเหือดแห้ง ในเมื่ออยู่ไปก็มีแต่ความเจ็บปวด สู้รีบๆ ไปเสียให้ไกลซะดีกว่า ไปให้ไกล และไม่ต้องเจอะเจอกันอีกตลอดกาล

คอร์เนลกระฟัดกระเฟียดออกมาจากห้องนอนด้วยความหงุดหงิดขัดเคือง ทั้งๆ ที่ก็รู้อยู่เต็มอกว่ายาหยีมาอยู่ด้วยเพราะอะไร ทั้งๆ ที่คิดว่าจะทนมันได้ แต่พอเอาเข้าจริงๆ เขาก็แพ้ราบคาบ แค่คิดว่าทุกอย่างที่ยาหยีแสดงออกมานั้นเป็นแค่การหลอกลวง เขาก็แทบคลุ้มคลั่งแล้ว

‘ให้ตายเถอะ ทำไมเขาถึงเป็นบ้าได้ถึงขนาดนี้นะ ทำไมถึงยอมให้ผู้หญิงคนนี้เข้ามาครอบงำความรู้สึกนึกคิดได้อย่างเบ็ดเสร็จอย่างนี้’

หนุ่มหล่อกระแทกตัวลงนั่งบนเก้าอี้หนังในห้องทำงานแรงๆ เพื่อระบายอารมณ์เครียดเคร่งของตัวเอง พลางหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดหาคนสนิท

“พายาหยีไปพบไอ้ยอดชาย แล้วก็ปล่อยให้อยู่กันตามลำพังครึ่งชั่วโมง”

หลังจากได้ยินเซอร์เกรับคำ ชายหนุ่มก็กดตัดสายทันที พลางเอนกายพิงกับพนักเก้าอี้ด้วยท่าทางอ่อนล้า สมองตายไม่ทำงานเอาซะดื้อๆ

‘แล้วคืนนี้เขาจะทำใจแข็งนอนคนเดียวได้ไหมนะ’

ชายหนุ่มยกมือขึ้นบีบขมับด้วยความเคร่งเครียด พลางถอนใจออกมาหนักๆ เมื่อคำตอบที่กลั่นออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจร้องบอกว่าไม่ได้ เขาไม่มีทางนอนคนเดียวโดยที่ในอ้อมแขนไม่มียาหยีได้อีกแล้ว

นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นนะ ทำไมเขาไม่สามารถบังคับร่างกาย บังคับสมอง และที่สำคัญบังคับหัวใจของตัวเองได้เหมือนเช่นในอดีตที่ผ่านมานะ ทำไมทุกความรู้สึกนึกคิดของเขาต้องมุ่งเจาะจงไปที่ผู้หญิงคนนั้นเพียงคนเดียวด้วย

ยาหยี โรจน์มหามงคล แม่ลูกสาวของมหาโจร

คอร์เนลถอนใจแรงๆ ออกมาอีกครั้ง ปิดแฟ้มเอกสารที่กางอยู่ตรงหน้าลง แล้วก็ผุดลุกขึ้นเดินออกไปจากห้องทำงานอย่างรวดเร็ว เขาต้องไปที่ไหนก็ได้สักแห่งหนึ่งที่มันจะทำให้สมองของเขาปลอดโปร่ง และที่สำคัญ…ให้เขาสามารถเลิกคิดถึงแม่ยาหยีแสนหวานสักที! เขาขอแค่นี้จริงๆ

“นายน้อยโทรมาหรือครับน้าเซอร์เก”

อีวานเอ่ยถามเมื่อเห็นสีหน้าของน้าชายเคร่งเครียดราวกับอมโลกไว้ทั้งใบ เซอร์เกได้ยินคำถามของอีวานก็ถึงกับถอนใจออกมาแรงๆ

“นายน้อยโทรมาให้ไปที่หน้าตึกน่ะ” เซอร์เกเลี่ยงที่จะบอกออกไปว่าคอร์เนลให้ตนเองไปที่หน้าตึกทำไม

“อ้าว…แล้วทางนี้ล่ะครับ เรายังตกลงกับยอดชายไม่จบเลย”

อีวานร้องค้าน จ้องหน้าน้าชายด้วยความสับสน ก่อนจะหันไปจ้องหน้ายอดชายที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ด้วยความหงุดหงิด

“หรือว่าน้าเซอร์เกจะล้มเลิกความคิดแล้ว”

“ไม่ใช่อย่างที่แกคิดหรอกน่า” เซอร์เกคำรามใส่หน้าอีวาน ก่อนจะหันไปกำชับกับยอดชายด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“เรื่องที่เราตกลงกันไว้ก็อย่าเบี้ยวล่ะ”

“ผมยินดีจะทำทุกอย่างที่คุณต้องการ ขอเพียงอย่าให้นายน้อยทำร้ายยาหยีก็พอ” ด้วยความห่วงใยในตัวบุตรสาวทำให้ยอดชายยอมตกลงทำตามแผนการของเซอร์เกอย่างง่ายดาย

เซอร์เกระบายยิ้มพึงพอใจเมื่อได้ยินคำยืนยันจากมหาโจรยอดชาย

“ฉันจะเปิดทางให้นายกับลูกสาวได้หนีไปพร้อมๆ กัน”

“ขอบคุณมากครับ ผมจะไม่มีวันลืมบุญคุณของคุณเลย เซอร์เก” ยอดชายยกมือไหว้

“ไม่ต้องขอบอกขอบใจอะไรฉันหรอกนายยอดชาย เพราะที่ฉันทำไปทุกอย่างก็เพื่อนายน้อยคนเดียวเท่านั้น ไม่ได้คิดจะช่วยเหลือใครเป็นพิเศษ” เซอร์เกพูดเสียงเรียบ ขณะเดินตรงไปยังปากประตู โดยมีอีวานหลานชายเดินตามไปติดๆ

“แต่ถึงยังไงผมก็ต้องขอบคุณอยู่ดี”

เซอร์เกหันกลับมาจ้องหน้ายอดชายอีกครั้งด้วยสายตาเหี้ยมเกรียมกว่าปกติ

“แล้วไปให้ไกลล่ะ อย่ากลับมาให้ฉันหรือนายน้อยเห็นหน้าอีก เพราะไม่อย่างนั้นฉันนี่แหละจะเป็นคนปลิดชีวิตทั้งนายและลูกสาวของนายด้วยมือของฉันเอง จำเอาไว้ให้ดี”

“ครับ”

แม้จะอดสงสัยในความช่วยเหลือของเซอร์เกไม่ได้ แต่ยอดชายก็จำต้องเก็บมันเงียบไว้ในอก ในตอนนี้ไม่มีสิ่งใดที่เขาอยากได้เท่ากับอิสรภาพและความปลอดภัยของลูกสาวอีกแล้ว ต่อให้เซอร์เกจะมีจุดประสงค์อื่นแอบแฝงในการช่วยเหลือเขาครั้งนี้ แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น ยังไงก็ต้องเสี่ยง

“แล้วฉันจะมาส่งข่าวอีกทีว่าจะให้นายหนีวันไหน”

เซอร์เกพูดจบก็ก้าวออกจากเรือนคุมขังของยอดชายไปในทันที อีวานสั่งให้คนขุมล็อกกุญแจเสร็จก็รีบวิ่งตามน้าชายที่กำลังมุ่งหน้าไปยังหน้าตึกใหญ่อย่างรวดเร็ว

“เราคิดผิดหรือเปล่าครับน้าเซอร์เกที่เลือกจะปล่อยตัวนายยอดชายไป ทั้งๆ ที่นายน้อยก็ยังไม่ได้เพชรสีทองคืนมา”

คำถามของหลานชายทำให้ชายร่างสูงที่มีศักดิ์เป็นน้าหยุดเดิน เสียงลมถูกเป่าออกมาจากปากหนักหน่วงก่อนที่คำพูดราบเรียบจะดังตามออกมา

“ตอนนี้เรื่องที่น่าห่วงที่สุดไม่ใช่การค้นหาเพชรสีทอง แต่เป็นการช่วยดึงนายน้อยขึ้นจากบ่วงรักต่างหาก และการที่จะช่วยนายน้อยขึ้นมาจากบ่วงรักได้ก็มีแค่วิธีเดียวเท่านั้น นั่นก็คือการทำให้เด็กยาหยีหายไปจากชีวิตของนายน้อย”

“น้าเซอร์เกก็เลยเลือกจะปล่อยนายยอดชายไปใช่ไหมครับ”

เซอร์เกพยักหน้ารับ “ใช่ เพราะเด็กยาหยีรับปากว่า หากพ่อของเธอเป็นอิสระ เธอก็จะไปจากนายน้อยทันที”

“แล้วเพชรสีทองล่ะครับ หากหาไม่เจอ นายน้อยก็ไม่มีทางเป็นสุขได้เหมือนกัน”

ดวงตาคมกริบของเซอร์เกวาววับขณะเอ่ยตอบความสงสัยของหลานชาย

“เพชรสีทองอยู่ไม่ไกลหรอกอีวาน และอีกไม่นานนายน้อยก็จะได้ครอบครองมันเหมือนเดิม เชื่อฉันสิ”

แม้จะมึนงงกับคำพูดที่มีลับลมคมในของน้าชายแต่พอเห็นความมั่นใจที่ฉายออกมาจากแววตาของเซอร์เกแล้ว อีวานก็จำต้องกลืนความสงสัยทั้งหลายทั้งปวงลงคอไปจนหมด ก่อนจะพยักหน้ารับหงึกๆ อย่างเห็นด้วยกับทุกการกระทำของน้าชาย

“ผมเชื่อน้าเซอร์เกครับ”

เซอร์เกเลือกที่จะนิ่งเงียบและก้าวเท้าเดินต่อไป มุ่งหน้าสู่หน้าตึกใหญ่ที่เด็กยาหยีกำลังรออยู่ในทันที ขณะที่อีวานขอตัวแยกกลับเข้าไปในเรือนพักของตนเอง

หลังจากสามารถทำให้ยาหยีรับปากว่าจะเดินออกไปจากชีวิตของคอร์เนลทันทีที่ยอดชายเป็นอิสระได้สำเร็จ เซอร์เกก็เริ่มแผนสองทันที

“น้าเซอร์เกจะไปหานายยอดชายหรือครับ” อีวานร้องถามเมื่อเห็นร่างของน้าชายกำลังจะเดินผ่านออกไปยังด้านนอกเรือนพัก

เซอร์เกชะงักเท้า ปรายตามองหลานชายเล็กน้อย ก่อนจะพูดออกมาเสียงเรียบ

“ถึงเวลาแล้วที่ฉันจะต้องปกป้องนายน้อยเสียที”

อีวานได้ยินคำพูดของน้าชายก็ดีดผึงลุกขึ้นยืนทันที

“นี่อย่าบอกนะว่าน้ามีแผนการอยู่ภายในใจเรียบร้อยแล้ว”

ผู้เป็นน้าพยักหน้ารับช้าๆ

“ฉันจะทำทุกอย่างเพื่อให้นายน้อยหลุดจากอุ้งมือของสองพ่อลูกนั่น และแก…” เซอร์เกมองหน้าอีวานเขม็ง

“ก็ต้องร่วมมือกับฉันด้วย เพื่อผู้มีพระคุณท่วมหัวของเรายังไงล่ะ”

อีวานพยักหน้าโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด

“ผมช่วยเต็มที่อยู่แล้วครับน้าเซอร์เก แต่ก็อดสงสารคุณยาหยีไม่ได้ บางทีเธออาจจะรักนายน้อยจริงๆ ก็ได้นะครับ”

แม้จะสะดุดหูกับคำพูดของหลานชายแต่เซอร์เกก็ไม่คิดจะเปลี่ยนใจ

“นายน้อยเคยอยู่ได้โดยไม่ต้องพึ่งความรักจากผู้หญิง แล้วทำไมต่อจากนี้ไปถึงจะอยู่ไม่ได้ล่ะ อีกหน่อยเด็กยาหยีก็จะกลายเป็นแค่อดีตที่นายน้อยไม่อยากจดจำเท่านั้นเอ

เห็นด้วยน่ะก็เห็นด้วยอยู่หรอก แต่อีวานยังจำสายตาของยาหยีที่แอบมองคอร์เนลเมื่อวันก่อนได้เป็นอย่างดี ก็สายตาแบบนั้นมันบอกให้เขารู้ว่ายาหยีหลงรักนายน้อยของเขาสุดดวงใจนี่นา แล้วทำไมเซอร์เกถึงคิดว่ายาหยีไม่ได้รักนายน้อยล่ะ

“น้าเซอร์เกจะทำยังไงก็ทำเถอะครับ ผมช่วยเต็มที่”

“งั้นก็ไปหานายยอดชายกับฉัน เราจะต้องทำให้มันคายความลับเกี่ยวกับเพชรสีทองออกมาให้ได้”

“อ้าว…ก็มันบอกว่าเพชรถูกปล้นไปไม่ใช่หรือครับ”

“เชื่อคำพูดของโจรทั้งหมดไม่ได้หรอก ไปอีวาน ตามฉันมา”

เซอร์เกเดินดุ่มๆ ลงจากเรือนพักไปอย่างรวดเร็วโดยมีอีวานหลายชายเดินตามไปติดๆ มุ่งหน้าสู่เรือนคุมขังยอดชายในทันที

ยาหยีนั่งอ่านหนังสือสอบอยู่บนเตียง โดยข้างๆ ตัวก็มีคอร์เนลนอนอยู่ใกล้ๆ

“อ่านจบหรือยังลูกหยี ผมอยากนอนกอดคุณแล้วนะ” มือใหญ่เริ่มซุกซนไปตามผิวสาว

“ยังอีกนานค่ะ คุณนอนไปก่อนเถอะ”

“ไม่เอาน่ะ ผมจะรอนอนพร้อมคุณ…” น้ำเสียงของคนตัวโตเริ่มหงุดหงิดเล็กน้อย

ยาหยียิ้มบางๆ ขณะปลายตามองใบหน้าหล่อเหลากระชากใจของคอร์เนลด้วยความขบขัน ก่อนจะปิดหนังสือเรียนลงและวางมันลงข้างๆ ตัว

“ทำไมวันสองวันนี้ดีกับฉันจังล่ะคะ” ถามเพราะอย่างรู้จริงๆ คนตัวโตหันขวับมาจ้องหน้าหล่อน เขาเงียบไปนานกว่าจะตอบออกมา

“ผมคงเบื่อที่จะวิ่งไล่ตามคุณแล้วมั้ง เพราะเถียงกันทีไรคุณหนีผมทุกที”

จากที่เคยกึ่งนั่งกึ่งนอนบนเตียงก็เปลี่ยนมาเป็นลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิ แถมยังดึงร่างของหล่อนให้ขึ้นมานั่งคร่อมตักไว้เสียอีกต่างหาก

“คุณทำให้ผมไม่อยากนอนคนเดียวอีกแล้ว รู้ไหมลูกหยี”

เขาก้มลงมาจูบปากหล่อนเบาๆ ยาหยีระบายยิ้มขมขื่นเมื่อนึกถึงคำสัญญาที่ตัวเองให้ไว้กับเซอร์เกในสวนสาธารณะ

“ฉันจะไปจากคอร์เนลทันทีที่พ่อของฉันได้รับอิสรภาพ”

‘ซึ่งก็คงอีกไม่นาน…’

“ผมจะพาคุณไปมอสโกด้วยหลังจากที่คุณสอบเสร็จ”

หล่อนอยากไปกับคอร์เนล อยากไปในทุกที่ที่มีเขา แต่หล่อนไปไม่ได้ หล่อนเดินไปข้างๆ เขาไม่ได้ ความเจ็บช้ำกระหน่ำตีอยู่ในอกอย่างรุนแรง น้ำตาก็พานจะไหลเสียให้ได้

“เต็มใจไปกับผมไหมลูกหยี” เขาก้มลงมาหาจนปลายจมูกชนกัน ขณะกระชับอ้อมกอดแน่น

“เอ่อ…คือ…”

“ทำไมต้องอ้ำๆ อึ้งๆ ด้วยล่ะ ตอบมาสิว่าเต็มใจหรือเปล่า” นัยน์ตาสีเขียวจัดหรี่แคบจ้องหน้าหล่อนอย่างคาดคั้น สาวน้อยก้มหน้าซ่อนพิรุธเอาไว้ในใจอย่างสุดความสามารถ ขณะอ้อมแอ้มตอบออกไปเสียงแผ่วเบา

“เต็ม… เต็มใจสิคะ…”

“รู้ไหมว่าผมดีใจแค่ไหนที่ได้ยินคำนี้จากปากของคุณ งั้นเราไปเที่ยวกันสักวันดีกว่าเนอะ แล้วค่อยบินไปมอสโกด้วยกัน” รอยยิ้มกว้างที่เต็มไปด้วยความพึงพอใจของคอร์เนลทำให้ยาหยีไม่กล้าที่จะเอ่ยปฏิเสธมันออกไป ทำได้แค่นิ่งเงียบและตอบสนองสัมผัสเรียกร้องของคนตัวโตไปอย่างว่านอนสอนง่าย

“คุณน่ารักแบบนี้ อยากได้รางวัลอะไรจากผมบ้างหรือเปล่าลูกหยี”

ชายหนุ่มพูดกระซิบชิดกลีบปากหวานของสาวน้อย มือใหญ่ปลดเปลื้องอาภรณ์ของเจ้าหล่อนออกไปจนกายสาวเกลี้ยงเกลา

“คุณให้ได้แน่นะคะ”

“ว่ามาสิ ถ้าไม่ถึงขนาดต้องขายบ้านขายรถละก็ ผมทำให้ได้น่า” คอร์เนลยิ้มกว้าง มองร่างอรชรที่นั่งคร่อมอยู่บนตักแข็งแรงของตนเองด้วยความลุ่มหลงเข้าขั้นรุนแรง

“งั้นฉัน…”

เมื่อเห็นยาหยียังไม่กล้าพูดออกมา ชายหนุ่มก็เร่งเร้าขึ้นอีก

“พูดมาเถอะน่า ผมรับรองว่าจะให้ทุกอย่างที่คุณขอ”

“ฉันอยากพบพ่อค่ะ”

บรรยากาศรอบๆ ตัวตึงเครียดเข้าขั้นรุนแรงทันทีเมื่อใบหน้าหล่อเหลาของคอร์เนลเคร่งขรึมลง ก่อนที่น้ำเสียงไร้ความรู้สึกของเขาจะเล็ดลอดออกมา

“ผมคิดเอาไว้ล่วงหน้าแล้วล่ะว่าคุณจะต้องขอสิ่งนี้”

“แล้วคุณโกรธฉันหรือเปล่าคะ”

ถามออกไปด้วยน้ำเสียงกริ่งเกรง เกลียดตัวเองเหลือเกินที่ยังแคร์ความรู้สึกนึกคิดของผู้ชายคนนี้ไม่ยอมเลิก ทั้งๆ ที่กำลังจะจากกันอยู่แล้ว

คนตัวโตยิ้มบางๆ ขณะยกร่างอรชรลงนั่งกับที่นอน

“ผมจะโกรธคุณทำไมล่ะ ในเมื่อมันเป็นข้อแลกเปลี่ยนระหว่างเรา ผมนอนกับคุณในทุกครั้งที่ต้องการ แล้วคุณก็ได้พบกับพ่อ มันก็สมน้ำสมเนื้อกันแล้วนี่”

“แต่ท่าทางของคุณ…”

เขาดูเย็นชาขึ้นในฉับพลันจนยาหยีรู้สึกหวั่นใจ ยิ่งเห็นเขาก้าวลงจากเตียง และถอยออกห่างไปเรื่อยๆ หล่อนก็ยิ่งมั่นใจว่าคอร์เนลกำลังไม่พอใจ

‘นี่เขาคงไม่ได้กำลังคิดว่าที่หล่อนยอมมีเซ็กส์ร้อนๆ กับเขาโดยไม่ขัดขืนนั้นก็เพียงเพราะว่าหล่อนต้องการพบพ่อหรอกนะ’

แต่นั่นแหละคือสิ่งที่คอร์เนลกำลังคิดอยู่…

“ผมพึ่งคิดได้ว่ามีงานที่ต้องไปเคลียร์ให้จบในคืนนี้”

คนตัวโตที่พึ่งพร่ำพลอดใส่ผิวสาวของหล่อนว่าคิดถึงสุดใจขว้างความห่างเหินใส่หน้าหล่อนอย่างมหาศาล หล่อนอึ้งพูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว

“คุณเดินลงไปที่หน้าตึก เซอร์เกจะรอรับคุณไปหาไอ้…เอ่อ…พ่อของคุณที่นั่น” และเขาก็เปิดประตูเดินลิ่วๆ หายไปในพริบตา ยาหยีน้ำตาคลอ กัดปากแน่นจนไม่รู้สึกเจ็บอีกต่อไป

“ต่อให้ฉันรักคุณมากแค่ไหน ฉันก็ต้องเลือกพ่อ”

ลุกขึ้นจากเตียง จัดการแต่งเนื้อแต่งตัวจนเรียบร้อย จากนั้นก็เดินออกจากห้องนอนไปอีกคน หญิงสาวมุ่งหน้าลงไปที่หน้าตึกเพื่อไปหาเซอร์เกตามคำบัญชาของคอร์เนล

“นายน้อยครับ มีโทรศัพท์ด่วนมาจากออฟฟิศที่มอสโกครับ”

คอร์เนลที่กำลังจะเดินไปขึ้นรถเพื่อไปรับยาหยีตามที่ได้รับปากกับหญิงสาวเอาไว้ชะงักและหันกลับไปมองคนสนิทต่างวัยทันที

“ลอร่านี่ใช้ไม่ได้เลย ฉันสั่งแล้วว่าอย่าโทรมารบกวน”

หนุ่มหล่อบ่นงึมงำด้วยความไม่พอใจเมื่อเลขาฯ ประจำตัวของตนเองขัดคำสั่งโดยการโทรมารบกวนเขาอีกครั้ง

“เรื่องด่วนครับ มิสเตอร์ลีทวงถามสัญญาครับ” เซอร์เกยื่นโทรศัพท์ให้กับคอร์เนล ชายหนุ่มรับขึ้นมาถือเอาไว้

“แต่ฉันต้องไปรับยาหยีที่มหาวิทยาลัย” น้ำเสียงของคอร์เนลเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด

“ผมจะไปรับเธอมาให้เองครับ นายน้อยไม่ต้องเป็นห่วง”

ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่จะรู้สึกว่างานตรงหน้าน่าเบื่อหน่ายเช่นนี้มาก่อน ทำไมสมองของเขาในทุกๆ เซลล์ถึงได้มีแต่ชื่อและภาพของยาหยีมากมายเช่นนี้นะ

“ก็ได้ พาเธอมาหาฉันทันทีที่เธอสอบเสร็จเลยล่ะ”

“ครับนายน้อย”

เซอร์เกก้มหน้าน้อมรับคำสั่ง ขณะมองร่างสูงใหญ่ของคอร์เนลที่เดินคุยโทรศัพท์หายเข้าไปในตึกใหญ่ด้วยสายตาเป็นกังวล

‘นายน้อยของเขาเป็นหนักขึ้นทุกวันเลย ดูสิ ถึงขนาดลังเลเลือกไม่ได้ว่าจะไปรับเด็กยาหยีดีหรือจะคุยโทรศัพท์เรื่องงานดี ถ้าเป็นเมื่อก่อนคอร์เนลจะเลือกงานโดยไม่ต้องเสียเวลาคิดเลยแม้แต่เสี้ยววินาทีเดียว ทุกอย่างมันเปลี่ยนไป และมันก็เปลี่ยนไปในทางลงสู่หายนะด้วย’

เซอร์เกพ่นลมออกจากปากหนักหน่วง ก่อนจะก้าวขึ้นรถและขับมันออกไปอย่างรวดเร็ว

ยาหยียกมือขึ้นโบกให้ลินดาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะก้าวขึ้นรถสีดำเงาวับที่จอดอยู่เบื้องหน้า รอยยิ้มหวานฉ่ำแต้มใบหน้างามเพราะคาดหวังว่าจะได้พบกับคอร์เนลในห้องผู้โดยสาร แต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อเห็นได้ความว่างเปล่า

สาวน้อยนั่งนิ่งไปเงียบๆ ตลอดทาง พยายามคิดว่าคอร์เนลอาจจะกำลังยุ่งเลยมารับหล่อนไม่ได้ตามสัญญา แต่หัวใจเจ้ากรรมมันก็ไม่ยอมรับฟังอยู่ดี เจ้าความโศกเศร้าความน้อยอกน้อยใจที่เพียรขังเอาไว้ในลิ้นชักจึงพุ่งโพลงขึ้นมาในอกทันที และน้ำตาก็ซึมไหลออกมา

‘ในที่สุดก็ต้องร้องไห้อีกครั้ง เพราะความรักที่มีต่อเขา’

หญิงสาวมัวแต่จมอยู่กับความเสียใจ จนไม่รู้เลยสักนิดว่ารถคันงามที่วิ่งอยู่นั้นได้เลี้ยวเข้ามาจอดสนิทในสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง มารู้ตัวก็ตอนที่เซอร์เกเปิดประตูรถฝั่งหล่อนนั่นแหละ

“ผมมีเรื่องจะพูดกับคุณครับ”

มือบางรีบยกขึ้นป้ายน้ำตาทิ้ง มองผู้ชายที่เปิดประตูให้ด้วยความตื่นตกใจ

“ที่นี่ที่ไหน แล้วพาฉันมาทำไม?”

“ไม่ต้องกลัวหรอกครับ ผมไม่ได้คิดร้าย แค่อยากคุยกับคุณเท่านั้นเอง”

ยาหยีเม้มปากแน่นเป็นเส้นตรง สูดลมหายใจเข้าปอดแรงๆ ก่อนจะก้าวลงไปจากรถ เซอร์เกพาหล่อนเดินไปนั่งบนเก้าอี้ไม้ตัวยาว ขณะที่เขายืนตระหง่านอยู่เบื้องหน้า ความจริงถ้าเป็นผู้ชายคนอื่น หล่อนคงจะขวัญหนีดีฟ่อไปแล้ว แต่นี่เป็นเซอร์เกผู้ชายที่ถึงแม้แต่จะทำหน้าบูดบึ้งยังไงก็ยังดูใจดีในสายตาของหล่อนไม่เปลี่ยนแปลง

“คุณมีอะไรจะพูดกับฉันหรือคะ”

“ผมอยากพูดเรื่องนายน้อย”

เซอร์เกไม่พูดพร่ำทำเพลงให้เสียเวลา เขาเจาะตรงประเด็นทันที และนั่นก็ทำให้คนฟังถึงกับนั่งอ้าปากค้างด้วยความเคลือบแคลง

“เรื่องของคอร์เนล?”

“ใช่ครับ เรื่องของนายน้อย”

หล่อนเห็นคนสนิทของคอร์เนลถอนใจออกมาแรงๆ ครั้งหนึ่ง จากนั้นก็จ้องหน้าหล่อนเขม็งราวกับต้องการจะอ่านความคิดของหล่อน

“ผมอยากให้คุณไปจากนายน้อยซะ”

ยาหยีเบิกตากว้างด้วยความตกใจ

“หมายความว่ายังไงกันคะ? เขาให้คุณมาบอกฉันใช่ไหม”

ทุกความรู้สึกที่ไม่ดีในโลกนี้กำลังโจมตีหล่อนอย่างอำมหิต กัดปากของตัวเองจนไม่รู้สึกเจ็บอีกแล้ว

“ไม่ใช่หรอกครับ นายน้อยไม่รู้เรื่องนี้หรอก แต่เป็นผมที่ต้องการให้คุณไปเอง”

“คุณกำลังจะพูดอะไรกับฉันกันแน่”

“ตั้งแต่ที่ผมรับใช้นายน้อยมา นายน้อยของผมไม่เคยวิ่งตามผู้หญิงคนไหนมาก่อน ในสายตาของนายน้อยผู้หญิงก็แค่วัตถุทางเพศเคลื่อนที่ได้เท่านั้น แค่ค่ำคืนเดียวกับเงินจำนวนมาก ทุกอย่างก็จะยุติลง แต่กับคุณ…คุณอยู่กับนายน้อยนานเกินไป และนับวันก็จะยิ่งมีอิทธิพลกับนายน้อยมากจนผมอดเป็นห่วงไม่ได้”

‘นี่เซอร์เกอยากจะพูดอะไรกับหล่อนกันแน่นะ หล่อนงงไปหมดแล้ว’

“ฉันคิดว่า…”

คนสนิทวัยกลางคนเอ่ยขึ้นทันทีเมื่อเห็นยาหยีตั้งท่าจะแย้ง

“คุณทำให้นายน้อยเลือกไม่ได้ระหว่างงานแล้วก็คุณ ทั้งๆ ที่หากเป็นในอดีต นายน้อยจะเลือกงานโดยไม่ต้องเสียเวลาคิดเลยด้วยซ้ำไป คุณทำให้ตารางการดำเนินชีวิตของนายน้อยรวนจนพังยับเยิน และผมก็มั่นใจว่านายน้อยจะต้องพาคุณกลับไปที่มอสโกด้วย…” เซอร์เกหยุดพูดจ้องใบหน้าของยาหยีนิ่ง

“ซึ่งผมไม่อยากให้คุณไป”

“ฉัน…ฉันไม่ได้มีอิทธิพลอะไรกับเขาอย่างที่คุณคิดหรอก” ตอบออกไปปากคอสั่น เมื่อสมองนึกถึงวันที่จะไม่มีคอร์เนลห่างกาย

“คุณอาจจะมองไม่เห็นมัน แต่ผมอยู่กับนายน้อยมานาน ผมรู้ดีว่านายน้อยเปลี่ยนไป และคุณก็คือตัวการนั้น”

“มันไม่ใช่อย่างที่คุณเข้าใจหรอก นายน้อยของคุณไม่ได้รู้สึกอะไรกับฉันเลย เขาแค่ยังไม่เบื่อหน่ายในตัวของฉันเท่านั้นเอง” ยาหยีพยุงกายให้ลุกขึ้นยืนทั้งๆ ที่แขนขาอ่อนแรงเหลือเกิน

“ถ้าคิดอย่างนั้นก็ไปจากนายน้อยเสียสิครับ เดินจากไปซะ นายน้อยจะได้กลับมาเป็นผู้ชายคนเดิมสักที”

“ผู้ชายไร้หัวใจใช่ไหมที่คุณอยากให้คอร์เนลเป็น” หญิงสาวโพล่งออกไปทั้งน้ำตา กัดปากแน่นจนไม่รู้สึกเจ็บอีกแล้ว

“เอาละ…ฉันสัญญาว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับนายน้อยของคุณอีก หากคุณทำให้พ่อของฉันเป็นอิสระจากกรงขังนั้นได้”

เซอร์เกจ้องมองใบหน้าของสาวน้อยที่สามารถเขย่าหัวใจกระด้างของเจ้านายหนุ่มของตนเองได้นิ่ง พลางถอนใจแรงๆ และพูดออกมา

“อีกไม่นานนายน้อยจะปล่อยพ่อของคุณ ซึ่งผมรับปากว่าจะช่วยให้วันแห่งอิสรภาพนั้นมันมาถึงเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่คุณอย่าผิดคำพูดก็แล้วกัน”

ยาหยีพยักหน้าน้ำตาเอ่อซึมขอบตา

“ฉันจะไปจากคอร์เนลทันทีที่พ่อของฉันได้รับอิสรภาพ”

“ขอบคุณครับที่คุณเข้าใจในสิ่งที่ผมพูด งั้นเรากลับกันเถอะครับ นายน้อยกำลังรอคุณอยู่อย่างใจจดใจจ่อเลยทีเดียว”

เซอร์เกกำลังจะเดินนำหล่อนไปยังรถคันเดิมที่จอดอยู่ไม่ไกลนัก แต่ก็มีรถคันยาวสีเดียวกันแล่นเข้ามาจอดตรงหน้าเสียก่อน ร่างของคอร์เนลก้าวลงมาพร้อมๆ กับกระแสความเดือดดาล

“พายาหยีแวะที่นี่ทำไมเซอร์เก!”

“เอ่อ…นายน้อย…”

เมื่อเห็นเซอร์เกผู้จงรักภักดีเหลือแสนอับจนคำพูด หญิงสาวจึงรีบแก้ตัวให้

“ฉันค่ะ…เอ่อ…ฉันอยากนั่งที่นี่สักพักก่อนไปหาคุณ”

ได้ผล คราวนี้สายตาคมกริบของคอร์เนลยอมละจากใบหน้าซีดเผือดของเซอร์เกมาจ้องหน้าของหล่อนแทน

“คุณหรือยาหยี”

“ใช่ค่ะ ฉันเห็นมันปลอดโปร่งดีก็เลย…อยากมานั่งเล่น”

คิ้วเข้มของคอร์เนลเลิกขึ้นสูงคล้ายกับยังไม่เชื่อ

“ที่บ้านผมก็มีที่ปลอดโปร่งแบบนี้ ทำไมไม่ไปที่นั่นล่ะ มีอะไรปิดบังผมหรือเปล่า”

“ไม่มี ไม่มีอะไรนี่คะ ฉันแค่อยากนั่งเล่นจริงๆ”

เมื่อเห็นแม่สาวน้อยที่ตัวเองนั่งคิดถึงทุกลมหายใจเข้าออกยืนกรานแข็งขัน คอร์เนลก็จำใจต้องเชื่อแม้ว่าใบหน้างามจะมีพิรุธก็ตาม

“คราวหน้าคราวหลังโทรรายงานฉันก่อนนะเซอร์เก ไม่ใช่ให้ฉันรอแหง็กอยู่แบบนั้น” คนตัวโตหันไปคำรามใส่คนสนิท ก่อนจะโอบประคองร่างอรชรของหล่อนให้เดินตรงไปที่รถอีกคันหนึ่งซึ่งเป็นคันที่เขานั่งมาเมื่อครู่นี้

“ไม่เห็นต้องมาเลยนี่คะ อีกเดี๋ยวฉันก็กลับแล้ว” พูดกับชายที่เดินตามขึ้นมานั่งข้างๆ บนรถเสียงแผ่วเบา

“รอไม่ไหว…คิดถึงใจจะขาด” และเมื่อประตูรถถูกปิดลง ปากร้อนผ่าวของคอร์เนลก็ประกบลงมาบนกลีบปากของหล่อนด้วยความหิวกระหาย ดูดดื่ม เร่งเร้าให้ตอบสนองด้วยอารมณ์เดียวกัน จนหญิงสาวอดคล้อยตามไม่ได้

“ผมแทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่าแค่ไม่กี่ชั่วโมงมันจะนานราวกับเป็นสิบๆ ปี”

ยาหยีกล้ำกลืนความขมขื่นที่เกิดจากคำสัญญาที่ตัวเองมอบให้ไว้กับเซอร์เกลงไปในอก ก่อนจะปั้นยิ้มหวานให้กับผู้ชายที่นั่งข้างๆ

“ปากหวานจังนะคะ แบบนี้ต้องอยากได้รางวัลแน่เลย จะรับเป็นหูฉลามน้ำแดง หรือว่าเป๋าฮื้อราคาเหยียบหมื่นดีคะ”

คอร์เนลระบายยิ้มกว้าง ก้มลงซุกไซ้ซอกคอหอมกรุ่นของยาหยีอย่างอดใจไม่ได้

“อยากกินคุณน่ะ”

สาวน้อยถึงกับหน้าแดงก่ำเมื่อได้ยินชื่ออาหารจากปากของคอร์เนล

“ดูพูดเข้าสิคะ น่าเกลียดจังเลย”

“น่าเกลียดที่ไหนกันล่ะ มันน่าหลงใหลต่างหาก นี่ผมแทบรอให้ถึงบ้านไม่ไหวแล้วนะ” มือใหญ่เพียงมือเดียวก็สามารถยกร่างยาหยีขึ้นไปนั่งบนตักแกร่งของตัวเองได้อย่างง่ายดาย หญิงสาวหน้าร้อนเป็นไฟเมื่อรับรู้ถึงแรงปรารถนาของคอร์เนลถนัดถนี่

“รู้แล้วใช่ไหมว่าผมคิดถึงคุณมากแค่ไหน”

หล่อนไม่ได้ตอบ และไม่คิดจะตอบด้วย เพราะการนิ่งเงียบแล้วปล่อยให้พ่อสุดหล่อดื่มกินผิวสาวของตัวเองนั้นมันมีความสุขกว่ากันเยอะเลย

คอร์เนลทำตามที่สัญญาเอาไว้จริงๆ นั่นก็คือลุกขึ้นจากเตียงแต่เช้ามืดเพื่อขับรถมาส่งหล่อนที่มหาวิทยาลัย ทั้งๆ ที่เขาพึ่งจะได้นอนจริงๆ แค่สองสามชั่วโมงก่อนรุ่งสางนี่เอง สาวน้อยแก้มแดงก่ำเมื่อนึกถึงค่ำคืนร้อนระอุที่ผ่านมา เตียงนอนของคอร์เนลคงแทบหักเลยทีเดียวเพราะถูกเขากับหล่อนใช้งานยาวนานสี่ห้าชั่วโมงติดต่อกัน

“ทำข้อสอบให้ได้ล่ะ คุณแทบไม่ได้อ่านหนังสือเลย”

คอร์เนลที่นั่งอยู่ข้างๆ ก้มลงฝังปลายจมูกโด่งแบบผู้ดีของตัวเองลงบนแก้มนวลของสาวน้อยหน้าใสที่ทำให้เขาติดตาตรึงใจจนไม่สามารถแข็งใจแยกจากได้หนักหน่วง และก็ทำท่าจะเลยเถิดไปถึงกลีบปากถ้ายาหยีไม่ดันตัวออกห่างเสียก่อน

“อย่าค่ะ เดี๋ยวฉันเข้าสอบสายพอดี”

หนุ่มหล่ออมยิ้มบางๆ

“นั่นสินะ ผมก็ไม่ชอบเซ็กส์แบบรีบร้อนเหมือนกัน ไว้รอคุณสอบเสร็จ แล้วเราค่อยมาสานต่อในสิ่งที่เรายังทำไม่จบดีกว่านะ บนเตียงของผม…”

ยิ่งฟังคำตัวโตพูดยาหยีก็ยิ่งหน้าร้อนผ่าว อยากจะกระโดดหนีลงจากรถแต่ร่างกายเจ้ากรรมกลับไม่ยอมเคลื่อนไหว มันนั่งให้มือใหญ่อบอุ่นลูบไล้อย่างเต็มอกเต็มใจ จนเมื่อเขาลูบจากต้นแขนวกมาที่เต้างามที่พุ่งดันชุดนักศึกษาออกมานั่นแหละ หล่อนถึงรู้สึกตัวขยับร่างหนี

“ใครว่าฉันจะกลับไปหาคุณที่เตียงล่ะคะ ฉันจะกลับหอพักต่างหาก”

“ถ้าไม่มา ผมจะขึ้นไปลากคุณลงมาเองนั่นแหละน่า คุณรู้นี่ว่าผมทำได้ทุกอย่าง”

มือบางกำลังจะเปิดประตูและก้าวหนีไป แต่ก็ถูกมือใหญ่ของคอร์เนลเอื้อมมากุมเอาไว้เสียก่อน ใบหน้าหล่อเหลาของเขาอยู่ห่างแค่เส้นด้ายลอดผ่าน ลมหายใจของเขาช่างหอมหวานเหมือนเช่นทุกครั้ง และหล่อนก็มีปฏิกิริยาขานรับต่อเสน่ห์แห่งบุรุษของเขาอย่างรุนแรงจนน่าตกใจ

“ก็คุณมันคนบ้าอำนาจนี่คะ”

อ้อมแอ้มตอบออกไปด้วยน้ำเสียงแหบพร่า ร่างสาวกำลังร้อนระอุเมื่อพ่อตัวดีเอาแต่จ้องปากของหล่อนไม่ยอมเคลื่อนสายตาไปไหน

“ผมอยากจูบคุณจัง.”

“ไม่ได้นะคะ นี่มันในมหาวิทยาลัยนะคะ”

“แต่ผมทนไม่ไหว คุณสวยเหลือเกิน”

และเขาก็ทำอย่างที่พูดเอาไว้จริงๆ นั่นก็คือจูบปากหล่อนจนแทบชอกช้ำ และก็ต้องเป็นหล่อนอีกนั่นแหละที่เป็นฝ่ายยุติ

“พะ…พอก่อนเถอะค่ะ”

“ก็ได้ แต่สอบเสร็จแล้วต้องไปกับผม ห้ามกลับหอพักเด็ดขาด เข้าใจไหม”

‘ถ้าตอบว่าไม่เข้าใจมีหวังถูกปล้ำในรถแน่ๆ เลย’ ยาหยีคิดอย่างอ่อนอกอ่อนใจกับความเผด็จการของคนตัวโต ก่อนจะพยักหน้ารับน้อยๆ

“ทราบแล้วค่ะเจ้านาย คราวนี้ให้ฉันลงไปทำเพื่ออนาคตได้หรือยังคะ”

คอร์เนลปล่อยมือจากเนื้อตัวของยาหยี ก่อนจะยักไหล่น้อยๆ

“ไปสิ ตามสบาย แต่อย่าผิดคำพูดที่ให้กับผมไว้ก็แล้วกัน ไม่อย่างนั้นน่าดู”

ยาหยีนั่งฟังคนตัวโตคาดโทษจนจบประโยค จากนั้นก็ก้าวลงจากรถลีมูซีนสีดำคันยาวเฟื้อยไปด้วยหัวใจพองโต ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเมื่อวานกับวันนี้มันจะห่างกันแค่ยี่สิบสี่ชั่วโมงเท่านั้นเอง และเวลาแค่ยี่สิบสี่ชั่วโมงแค่นี้ทำไมถึงเปลี่ยนซาตานให้กลายเป็นเทพบุตรได้นะ

สาวน้อยยิ้มหวาน ยกมือโบกให้กับรถคันงามที่แล่นจากไป กำลังจะหมุนตัวเดินขึ้นตึกเพื่อไปยังห้องสอบ แต่ก็จ๊ะเอ๋กับลินดาที่ยืนยิ้มกริ่มรู้ทันเสียก่อน

“โอ้…ลินดาน่ะ ฉันตกใจหมดเลย!”

“ใจลอยไปหาคนในรถสีดำคันนั้นใช่ไหมล่ะ ไหนดูสิ หัวใจยังอยู่หรือเปล่า เอ่อ…ก็ยังอยู่นี่นา แล้วทำไมใจลอยนักนะ”

ลินดาแกล้งเย้าเสียงขบขัน ขณะยื่นมือไปแตะที่เนินอกข้างซ้ายของเพื่อนสนิท ยาหยีรีบเบี่ยงตัวหนีทันควัน ใบหน้างามของหล่อนแดงจัดจนคนมองอย่างลินดาอดยิ้มกว้างไม่ได้

“มีความสุขใช่ไหมล่ะ บอกแล้วว่าอย่าปากแข็ง”

“ไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อย ฉันก็แค่…” เมื่อเห็นยาหยีตั้งท่าจะค้าน ลินดาจึงแย่งพูดขึ้น

“อย่าโกหกเพื่อนรักของเธอคนนี้เลยน่า ดูใบหน้าของเธอสิ ใครมองก็รู้ว่ากำลังอินเลิฟแค่ไหน” ลินดาพล่ามต่อ ขณะสำรวจใบหน้าของเพื่อนรักอย่างละเอียดยิบ

“แล้วเมื่อกี้ก่อนลงจากรถก็คงถูกเขาจูบเอาใช่ไหมล่ะ ดูสิปากช้ำหมดเลย น่าอิจฉาจัง”

ยาหยีหน้าแทบไหม้กับความขัดเขิน รีบยกมือขึ้นปิดปากของตัวเอง ขณะก้าวเท้าหนีทันที ลินดาหัวเราะร่วน รีบเดินตาม

“เอ่อ…แล้วนี่เมื่อคืนพ่อเทพบุตรตาเขียวคนนั้นปล่อยให้เธอได้หลับได้นอนบ้างหรือเปล่านะ เอ๋…แต่จากที่เห็นคงไม่ยอมให้พักเลยแน่ๆ แม่ลูกหยีแสนหวานของฉันถึงได้ดูอิดโรยแบบนี้”

ยาหยีหยุดเดิน หันใบหน้าแดงๆ ของตัวเองออกมาวิงวอนเพื่อนสนิทที่เดินตามมาข้างหลังฃ

“ขอร้องเถอะลินดา อย่าล้อฉันเลยนะ แค่นี้ฉันก็อายจะแย่อยู่แล้ว”

ลินดาหัวเราะคิกคัก

“ไม่เห็นต้องอายเลย มันน่าอิจฉามากๆ ต่างหาก ที่มีผู้ชายหล่อยิ่งกว่าเทพบุตรมาคอยพะเน้าพะนอ เป็นฉันนะไม่ยอมมาสอบหรอก จะนอนให้เทพบุตรตาเขียวฟัดต่อข้ามวันข้ามคืนเชียวแหละ”

“บ้า…”

“ไม่ได้บ้าสักหน่อย พูดเรื่องจริงย่ะ”

ยิ่งพูดกับลินดาก็ยิ่งถูกล้อหนักขึ้น ยาหยีจึงตัดสินใจเดินหนีอีกครั้ง แต่เสียงของลินดาก็ยังตามเข้ามาหลอกหลอนในหูจนได้

“แล้วเย็นนี้จะไปนอนเตียงไหนเหรอจ๊ะแม่ลูกหยีแสนหวาน”

“ลินดาบ้า ฉันไม่พูดด้วยแล้ว”

ยาหยีแบกหน้าแดงก่ำของตัวเองวิ่งหายเข้าไปในห้องสอบ ลินดาส่ายหน้าน้อยๆ ก่อนจะเดินตามเพื่อนรักเข้าห้องสอบไปเช่นกัน

เซอร์เกที่กำลังยืนสูบบุหรี่อยู่ที่หน้าห้องพักอุทานออกมาด้วยความตกใจเมื่อเห็นใบหน้าบวมเป่งของหลานชายถนัดตา

“นั่นหน้าไปโดนอะไรมาหรืออีวาน ทำไมแตกยับแบบนั้นล่ะ”

อีวานยกมือขึ้นลูบแผลบนหน้าของตัวเอง ก่อนจะถอนใจออกมาแรงๆ

“ก็โดนลมเพชรหึงน่ะสิน้าเซอร์เก” กระแทกก้นนั่งลงบนโซฟาตัวริมหน้าต่างแรงๆ

“ลมเพชรหึง? ลมเพชรหึงของใคร ทำไมมันรุนแรงจนหน้าแกแตกยับแบบนี้”

ผู้เป็นน้าชายขยี้เศษบุหรี่ในถาด ก่อนจะเดินกลับมานั่งตรงหน้าหลานชาย จ้องมองนิ่งด้วยความข้องใจนักหนา

“หรือว่าไปยุ่งกับผู้หญิงที่เขามีเจ้าของแล้วล่ะ”

อีวานส่ายหน้าพรืด

“ผมจะไปยุ่งกับใครที่ไหนล่ะน้า วันๆ ผมก็อยู่กับน้านั่นแหละ”

“อ้าว…แล้วใครต่อยแกล่ะอีวาน” คิ้วสีเข้มของเซอร์เกเลิกขึ้นสูงด้วยความสงสัย อีวานเบ้หน้าด้วยความเจ็บก่อนจะพูดออกมา

“ก็นายน้อยน่ะสิน้าเซอร์เก ต่อยผมซะยับแบบนี้ หมัดเดียวทำผมเห็นดาวทั้งท้องฟ้าเลย”

“นายน้อยนี่นะ? ฉันไม่เชื่อแกหรอก ตั้งแต่ฉันรับใช้นายน้อยมา ฉันไม่เคยเห็นนายน้อยใช้กำลังเลยสักครั้งเดียว ขนาดมีลูกน้องทำงานผิดพลาด นายน้อยยังแค่ตักเตือนเล็กๆ น้อยๆ เลย”

‘นึกอยู่แล้วเชียวว่าต้องไม่เชื่อ’

“นั่นมันเรื่องเล็กนี่น้าเซอร์เก แต่เรื่องที่ต่อยผมเนี่ยมันเรื่องใหญ่”

“ทำงานพลาดยังไม่ใช่เรื่องใหญ่อีกหรือวะ แล้วเรื่องของแกนี่มันอะไรกัน ทำไมนายน้อยถึงต้องลงไม้ลงมือกับแกด้วย”

น้ำเสียงของเซอร์เกยังเต็มไปด้วยความไม่เชื่ออยู่ดี อีวานถอนใจออกมาอีกครั้ง ก่อนจะเปิดปากพูดออกมาด้วยน้ำเสียงวิตกกังวลยิ่งนัก

“ก็เรื่องคุณยาหยีน่ะสิ ผมถูกตัวคุณยาหยีนิดเดียว นายน้อยก็บันดาลโทสะต่อยผมซะคว่ำเลย นี่ถ้าน้าเซอร์เกเห็นสายตาของนายน้อยตอนที่มองผมนะ น้าจะรู้ว่านายน้อยน่ะหวงคุณยาหยีแค่ไหน แถมยังคำรามใส่หน้าผมอีกนะว่า มีแค่นายน้อยคนเดียวที่แตะต้องคุณยาหยีได้ คนอื่นแตะต้องตาย!”

เซอร์เกอึ้งไปเลยทีเดียว ทั้งๆ ที่พอจะรู้อยู่แก่ใจว่าคอร์เนลหลงใหลยาหยีมาก แต่ไม่คิดว่าจะถึงขั้นแตะต้องไม่ได้แบบนี้ อย่างนี้มันเข้าขั้นหึงหวงแล้วสินะ

“ผมว่างานใหญ่แล้วล่ะครับน้าเซอร์เก บางทีหากเรากลับมอสโกกันคราวนี้ อาจจะมีนายหญิงคนใหม่ตามติดไปด้วยก็ได้ นี่ถ้านายยอดชายรู้นะว่านายน้อยหลงลูกสาวของมันจนโงหัวไม่ขึ้นแบบนี้ สงสัยมันนั่งหัวเราะท้องคัดท้องแข็งเลยทีเดียว น้าเซอร์เกว่าไหม?”

อีวานหันไปขอความคิดเห็นของเซอร์เก แต่น้าชายของตัวเองกลับเอาแต่นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดราวกับกำลังแบกโลกไว้ทั้งใบ

“ผมเคยบอกแล้วว่าให้กำจัดคุณยาหยีซะ แต่น้าก็ไม่เชื่อผม แล้วเป็นไงล่ะ คราวนี้นายน้อยตกหลุมเสน่หาของคุณยาหยีลึกจนปีนขึ้นไม่ได้แล้วล่ะ” อีวานส่ายหน้าพร้อมกับถอนใจหนักๆ และพูดสิ่งที่ตัวเองคิดออกมาอีกครั้ง

“ถ้าคุณยาหยีจริงใจกับนายน้อยก็ไม่น่าห่วงหรอกครับ แต่ถ้าไม่นี่สิ นายน้อยมีหวังเสียผู้เสียคนเพราะผู้หญิงก็คราวนี้แหละ”

หลานชายเดินหายเข้าไปในห้องนอนแล้ว แต่เซอร์เกก็ยังนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม ความภักดีที่มีต่อคอร์เนลก่อความเครียดจำนวนมหาศาลให้เกิดขึ้นภายในอก เขาทนนั่งมองเห็นนายน้อยของตัวเองต้องมีชีวิตอยู่บนความเสี่ยงไม่ได้แน่ เขาจะต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อให้มั่นใจว่ายาหยีจะไม่ทรยศนายน้อย เหมือนกับที่พ่อของเธอเคยทำมาแล้วครั้งหนึ่งในอดีต

ยาหยีพยายามจะดันเท้าของตัวเองให้พ้นจากอุ้งมือใหญ่ของคอร์เนลเป็นครั้งที่ร้อยแล้วมั้ง แต่ทุกครั้งก็เหลวเป๋วอย่างน่าละเหี่ยใจ จำต้องนั่งมองคนตัวโตนั่งบีบนวดข้อเท้าที่ค่อนข้างบวมแดงของตัวเองอย่างเงียบๆ

ใบหน้าหล่อเหลาปานเทพบุตรที่หล่อนเห็นทีไรลมหายใจก็สะดุดเสียทุกทีให้ความสนใจที่ข้อเท้าของหล่อนอย่างขะมักเขม้น นิ้วเรียวยาวสีแทนที่มีความสามารถพิเศษจนน่าทึ่งกำลังกดคลึงเนื้อบริเวณข้อเท้าให้หล่อนด้วยความตั้งอกตั้งใจ

‘ไม่อยากเชื่อ…ไม่น่าเชื่อว่าผู้ชายเลือดเย็น ไม่มีหัวใจอย่างคอร์เนล จะมาใส่ใจกับเรื่องบาดเจ็บเล็กๆ น้อยๆ ของหล่อนแบบนี้ หล่อนรู้สึกได้ถึงความห่วงใยที่ถ่ายทอดออกมาจากสัมผัสของเขาอย่างชัดเจนแม้เขาจะไม่ยอมพูดมันออกมาก็ตาม แต่มันเป็นไปได้ด้วยหรือ ที่คนอย่างคอร์เนล ซีร์ยานอฟ มาเฟียผู้ยิ่งใหญ่ จะมาห่วงใยผู้หญิงข้างถนนแบบหล่อน’ พอคิดอย่างนี้แล้วหัวใจที่พองโตก็เหี่ยวแฟบลงทันที

‘ยิ่งเขาทำดีด้วย หล่อนก็ยิ่งถลำใจลึก ยิ่งรักมากก็ยิ่งเจ็บมาก’ สาวน้อยคิดอย่างขมขื่น รีบขืนข้อเท้าของตัวเองทันที

“พอแล้วล่ะค่ะ ฉันค่อยยังชั่วแล้ว”

คอร์เนลหันมามองแต่ยังไม่หยุดนวดเท้าให้กับหล่อน

“มันยังแดงอยู่เลย ผมจะนวดจนกว่ามันจะยุบ นอนเฉยๆ เถอะน่า”

เขากลับไปให้ความสนใจกับเท้าของหล่อนต่อ ยาหยีน้ำตาซึมเมื่อหัวใจตีแผ่ความจริงว่าคอร์เนลไม่มีทางรักหล่อนได้อย่างที่หล่อนรักเขาหรอก

“คุณทำดีกับฉันทำไมคะ”

“ผมไม่ได้ทำเพื่อคุณสักหน่อยลูกหยี”

น้ำเสียงของเขานุ่มทุ้มชวนฟัง และหากต้องแลกด้วยชีวิตเพื่อให้ตัวเองได้ยินเสียงนี้ทุกเช้าที่ตื่นนอน หล่อนก็ยินดีจะแลกกับมัน

“ผมทำเพื่อตัวเองต่างหากล่ะ เพราะถ้าคุณเท้าเจ็บ ผมก็อดเป็นม้าหนุ่มน่ะสิ”

“ม้าหนุ่ม?”

แม้จะถูกความโศกเศร้าครอบงำ แต่หญิงสาวก็อดถามออกไปด้วยความสงสัยไม่ได้ คนตัวโตระบายยิ้ม หันมาจ้องใบหน้าของหล่อนด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความหิวกระหาย หล่อนเห็นแล้วก็ร้อนวูบวาบไปทั้งเนื้อทั้งตัว

“ผมตั้งใจจะแนะนำให้คุณรู้จักกับมันคืนนี้ แต่คุณดันมาเท้าเจ็บซะก่อน”

“คุณหมายถึงอะไรกันคะ?” จนแล้วจนรอดยาหยีก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี

คอร์เนลหัวเราะเบาๆ ในลำคอ

“ไว้หายเท้าเจ็บเมื่อไร ผมจะบอกคุณก็แล้วกัน แต่ตอนนี้นอนนิ่งๆ นะ ผมจะนวดเท้าให้ต่อ”

ขนของหล่อนลุกซู่ซ่าทันทีเมื่อฝ่ามือใหญ่ที่จับข้อเท้าอยู่ค่อยๆ เคลื่อนขึ้นมายังต้นขาอ่อน

“แต่ฉันอยากกลับหอพักนี่คะ”

“ไม่จริงหรอกมั้ง ถ้าคุณอยากกลับคงไม่มาหาผมถึงที่หรอก อยู่จนถึงเช้าเถอะลูกหยี ผมรับรองว่าจะไปส่งคุณถึงหน้าห้องสอบเลย สัญญา…” คำพูดนุ่มนวลของคอร์เนลทำเอายาหยีเบิกตากว้างด้วยความข้องใจ

“คุณรู้ได้ยังไงคะว่าฉันมีสอบพรุ่งนี้”

คนถูกถามยิ้มกว้างอวดฟันสวยจนแทบจะครบทุกซี่

“ผมมีสายสืบส่วนตัวน่ะ และผมก็ยังรู้อีกนะว่าคุณจะสอบเสร็จในวันมะรืน”

ยาหยีย่นจมูกใส่เขา พร้อมกับระบายยิ้มบางๆ ออกมา

“ลินดาแน่ๆ เลย คุณคงต้องเสียเงินค่าจ้างแพงน่าดูใช่ไหมคะ เพราะลินดาไม่ค่อยงกเลย” สาวน้อยหัวเราะออกมา

คอร์เนลไหวไหล่ทรงพลังของตัวเองน้อยๆ

“อย่าห่วงเลยเรื่องนั้นน่ะ เพราะผมจะคิดทั้งต้นทั้งดอกกับคุณยังไงล่ะลูกหยี”

พ่อคนตัวโตเลิกสนใจข้อเท้าของหล่อนแล้วปีนขึ้นมาทาบทับร่างบางของหล่อนที่นอนหงายอยู่บนเตียงโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย หญิงสาวรีบยกมือดันแผงอกกว้างเอาไว้สุดกำลัง แต่พ่อตัวดีก็กระชากมือของหล่อนไปตรึงไว้เหนือศีรษะซะอย่างนั้น

“ไหนว่าจะนวดเท้าให้ไงคะ”

“ไม่เอาแล้ว ทนไม่ไหวแล้ว อยากนาบคุณก่อน”

ยาหยีหน้าแดงก่ำกับคำพูดจาลามกของคอร์เนล

“คนบ้า ดูพูดเข้าสิ นี่ลุกขึ้นไปนะ ฉันหนักจนจะหายใจไม่ออกแล้ว”

“งั้นผมช่วยผายปอดให้นะลูกหยี และรับรองว่าคุณจะต้องหายใจออกมาเป็นคอร์เนลคะ คอร์เนลขา อย่างเดียวแน่นอน”

“ไม่นะ…อุ๊บ!”

สุดท้ายก็ต้องยอมปล่อยให้คนเอาแต่ใจ บ้าอำนาจอย่างนายคอร์เนล ซีร์ยานอฟทำตามความต้องการ เขาประกบปากจูบลงมาอย่างดูดดื่ม เรียกร้องให้หล่อนตอบสนองจุมพิตเดือดนั้นด้วยอารมณ์เดียวกัน ลิ้นใหญ่แทรกลึกเข้าไปหาความหวานฉ่ำทันทีที่เจ้าของเปิดปากรับ สาวน้อยบิดกายเกร็งด้วยความซ่านสยิวรุนแรง

“จำเอาไว้นะทูนหัว…” เขาพูดชิดกลีบปากบวมเป่งของหล่อนหลังจากจบจุมพิตที่บ้าคลั่งปานพายุบุแคมลง

“ผมเป็นผู้ชายคนแรกของคุณ และต้องเป็นคนสุดท้ายในชีวิตของคุณด้วย” มือใหญ่ร้อนระอุสอดใต้เสื้อตัวงามเข้าไปโอบประคองเต้าสวยเอาไว้เต็มมือ นัยน์ตาสีเขียวดุจมรกตเนื้อดีไม่คลาดเคลื่อนไปจากดวงหน้างามของยาหยีเลยแม้แต่วินาทีเดียว

“อย่าให้ใครแตะต้องตัวคุณอีก”

แม้จะรู้ดีว่าทุกอย่างมันแค่สิ่งลวงตาลวงใจ แต่หล่อนก็ยินดีที่จะปิดหูปิดตาไม่รับไม่รู้เรื่องราวใดๆ อีก เก็บความน้อยอกน้อยใจ ความโศกเศร้าเข้าลิ้นชักติดกุญแจเสียให้หมด ปล่อยให้หัวใจไหลไปตามธารรักที่มีคอร์เนลเป็นคนนำทางเท่านั้นก็พอแล้วไม่ใช่หรือ

แค่คืนนี้…แค่คืนนี้เท่านั้น

“ค่ะคอร์เนล ฉันสัญญา…”

รอยยิ้มของผู้ชายบนร่างช่างน่าหลงใหลเสียเหลือเกิน คอร์เนลยิ้มให้หล่อน และจากนั้นเขาก็เริ่มร่ายบทเพลงแห่งรักกับผิวกายของหล่อนด้วยจังหวะที่นุ่มนวลอ่อนหวาน ทุกอย่างดำเนินไปตามครรลองแห่งชายหญิง

‘มันเหมาะเจาะเหลือเกินยามที่ได้อยู่ใต้ร่างของคอร์เนลแบบนี้’

ยาหยีคิดอย่างลุ่มหลงขณะตวัดแขนรัดรอบเรือนกายทรงพลังชื้นเหงื่อที่กำลังขับเคลื่อนเพลงรักเข้าใส่ร่างของตัวเองด้วยความเต็มอกเต็มใจ พรุ่งนี้จะเป็นยังไงก็ช่าง ขอแค่คืนนี้มีคอร์เนลอยู่ในอ้อมกอดก็พอแล้ว

ดวงจันทร์ที่ลอยเด่นอยู่เบื้องหน้าหาได้ทำให้ยาหยีมีความสุขเท่ากับการได้อยู่กับคอร์เนลสองต่อสองแบบหวานฉ่ำไม่ บนโต๊ะอาหารค่ำ ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะยิ้มให้กับหล่อน และพูดจาลื่นหูกับหล่อนแบบนั้น มันเหลือเชื่อราวกับความฝัน

“หากเป็นไปได้ ผมอยากกินข้าวกับคุณทุกมื้อ”

‘โอ้…แม่เจ้า นี่หล่อนหูฝาดไปเอง หรือว่าสมองของคอร์เนลเลอะเลือนกันแน่ เป็นไปไม่ได้หรอกที่ผู้ชายหยิ่งผยองอย่างคอร์เนลจะพูดจาแบบนี้กับอีตัวของตนเอง ไม่มีทางเป็นไปได้แน่นอน’

“ดวงจันทร์มันน่ามองกว่าผมอีกหรือ ลูกหยี…”

คำเรียกสนิทสนมจากผู้ชายหล่อระเบิดที่ตอนนี้ยืนเกือบเปลือยอยู่กลางห้องทำให้ยาหยีที่พึ่งหันกลับมามองแก้มแดงก่ำ ก็พ่อเจ้าประคุณมีเพียงผ้าขนหนูสั้นเต่อพันรอบสะโพกเอาไว้ผืนเดียวเท่านั้นเอง แถมดูท่าทางแล้วมันจะหลุดเอาง่ายๆ เสียอีกต่างหาก

“เอ่อ…”

“มานี่เถอะ”

เขากวักมือเรียก และหล่อนก็ง่ายแสนง่ายที่โผเข้าไปหาเขาราวกับถูกดึงดูดด้วยแม่เหล็กต่างขั้ว คอร์เนลกอดรัดหล่อนเอาไว้แน่น ประกบปากดูดดื่มตามลงมาอีกระลอก จูบจนหล่อนแทบหายใจหายคอไม่ทันเลยทีเดียว

“คืนนี้เราจะไม่ทะเลาะกัน”

มือใหญ่ลูบไล้หัวไหล่เปลือยของหล่อนแผ่วเบา ขณะรั้งร่างอรชรระทดระทวยให้เดินตามตัวเองไปทรุดนั่งลงบนที่นอนอย่างนุ่มนวล

“ผมอยากจะรักคุณทั้งคืน”

“ไม่อยากเชื่อว่าคุณจะอยากรักฉันด้วย ในเมื่อคุณลุกหนีฉันตลอดเวลา หลังจาก…” ไม่อาจพูดได้จบประโยคด้วยความขัดเขิน ดังนั้นคอร์เนลจึงเป็นฝ่ายต่อให้เสียเอง

“หลังจากที่เราสุขสมใช่ไหม”

สาวน้อยก้มหน้าหลบตา คนตัวโตหัวเราะเบาๆ ก้มหน้าลงมาหาจนริมฝีปากชิดกัน ก่อนจะพูดกับกลีบปากหวานฉ่ำช้าๆ

“ถ้าผมไม่รีบลุกมา คุณจะเหนื่อยกว่านี้หลายเท่านะลูกหยี เหนื่อยชนิดที่ว่าคุณจะไม่มีแรงลุกขึ้นไปเรียนตอนเช้าเลยนะจะบอกให้”

“ฉันคิดว่าคุณเกลียดฉัน”

“ไอ้เรื่องเกลียดน่ะเกลียดอยู่แล้วล่ะ แต่ความต้องการมันมีมากกว่า คุณสวย และก็สวยจนผมลืมไม่ลงเลยทีเดียว นี่คือความสัตย์จริงเชียวนะ ผมไม่เคยนอนกับผู้หญิงคนไหนมากครั้งเท่าคุณมาก่อนเลยยาหยี”

“ฉันควรภูมิใจใช่ไหมคะที่ได้รับเกียรตินี้” ความน้อยใจเริ่มก่อตัวอยู่ในอกอีกแล้ว

คอร์เนลไหวไหล่ทรงพลังของตัวเองอย่างไม่แยแส “แน่นอน มันเป็นเรื่องที่คุณควรจะภูมิใจ แต่ก็อย่าหลงคิดไปเองล่ะว่า ผมจะเก็บคุณไว้ข้างกายตลอดชีวิต” น้ำเสียงนุ่มนวลแปรเปลี่ยนเป็นเลือดเย็นในพริบตา “เพราะมันไม่มีทางเป็นไปได้ ผมไม่มีทางรักคุณ”

อ้อมแขนกำยำที่เคยอบอุ่นน่าหลงใหลแปรเปลี่ยนเป็นร้อนผ่าวน่าทุรนทุรายทันที หญิงสาวกัดปากแน่น ดิ้นรนจนหลุดจากอ้อมกอดของคอร์เนลได้สำเร็จ

“เมื่อกี้หลงคิดว่าคุณก็มีหัวใจเหมือนๆ กับมนุษย์คนอื่นๆ แต่ฉันคงคิดผิดไป เพราะคนเลือดเย็นอย่างคุณไม่มีทางมีหัวใจได้หรอก”

ยาหยีพูดออกมาด้วยความขมขื่น ขณะผุดลุกขึ้นจากเตียง

“นั่นคุณจะไปไหน?”

“ฉันจะกลับหอ”

ร่างอรชรที่กำลังจะหมุนตัวเดินตรงไปที่ประตูห้องชะงักเท้าเล็กน้อย ก่อนจะตอบออกมาด้วยเสียงแผ่วเบา คอร์เนลขบกรามแน่นด้วยความไม่พอใจ ขณะลุกขึ้นยืนและเดินตามไปดักหน้าแม่สาวน้อยที่ตัวเองคาดหวังว่าจะนอนกอดตลอดทั้งคืนเอาไว้ จ้องหน้าเจ้าหล่อนเขม็ง

“ไหนว่าจะนอนกับผมเพื่อแลกกับอิสรภาพของพ่อยังไงล่ะ ลืมแล้วหรือไง”

ยาหยีหันมาหัวเราะน้ำตาซึม

“ฉันไม่ลืมหรอกค่ะ แต่รอให้ฉันทำใจให้นอนกับผู้ชายเลือดเย็นได้เมื่อไร แล้วฉันจะกลับมานอนอ้าขาให้คุณ” จบคำพูดที่อัดแน่นไปด้วยความเจ็บช้ำ ร่างของยาหยีก็วิ่งหายออกไปจากสายตาทันที

คอร์เนลยืนอึ้งไปนานเลยทีเดียว เพราะไม่คิดว่าหญิงสาวจะกล้าวิ่งหนีเอาดื้อๆ แบบนี้ และเมื่อสมองกลับมาทำงานอีกครั้ง ชายหนุ่มจึงรีบไปคว้าเสื้อคลุมมาสวมใส่ จากนั้นก็รีบวิ่งตามแม่ยาหยีคนงามไปในทันที

“คิดว่าผมจะปล่อยคุณไปง่ายๆ หรือไง ฝันไปเถอะ”

คอร์เนลคำรามออกมาอย่างดุดัน ขณะก้าวเท้าไปตามพรมหนามุ่งหน้าไปยังหน้าตึกใหญ่ด้วยความรีบร้อน

ยาหยีวิ่งกระเซอะกระเซิงออกมาจากห้องทำงานของคอร์เนลโดยไม่รู้ทิศทาง หญิงสาววิ่งแล้วก็วิ่งไปข้างหน้า ขณะที่น้ำตาก็ไหลออกมาไม่หยุด หัวใจกรีดร้องคร่ำครวญด้วยความเจ็บช้ำ ผู้ชายคนนั้นไม่แม้แต่จะแบ่งเศษเสี้ยวความรู้สึกดีๆ ให้หล่อนเลยแม้แต่นิดเดียว

“อย่าหลงคิดไปเองล่ะว่า ผมจะเก็บคุณไว้ข้างกายตลอดชีวิต เพราะมันไม่มีทางเป็นไปได้ ผมไม่มีทางรักคุณ”

วาจาตรงไปตรงมาของเขาช่างทำร้ายหัวใจของหล่อนอย่างรุนแรง เลือดไหลทะลัก เนื้อหัวใจเหวอะหวะเป็นแผลกว้างลึก เจ็บจนแม้แต่จะหายใจก็ยังลำบาก

สาวน้อยยกมือขึ้นปาดม่านน้ำตาที่ไหลลงมาปิดกั้นการมองเห็นของตัวเอง ขณะที่ยังสาวเท้าไปข้างหน้าไม่หยุด ความโศกเศร้า ความร้าวรานถล่มยับอยู่ภายในอก รู้สึกเหมือนกับตัวเองต่ำยิ่งกว่าไส้เดือนในผืนดินเสียอีก

‘ทำไมเจ็บแบบนี้นะ…เจ็บเหลือเกิน เพียงแค่ได้ยินคอร์เนลพูดว่าไม่มีทางรักหล่อนได้ นี่หล่อนฝันสูงถึงขั้นอยากได้ความรักจากผู้ชายเกินเอื้อมคนนั้นเชียวหรือ ทำไมถึงใฝ่สูงนักนะยาหยี ทำไมถึงไม่ก้มหน้ามองผืนดินที่เป็นที่อยู่ของตัวเอง ไปเงยหน้ามองฟ้าอันสูงส่งทำไมกัน’

“คุณยาหยีจะวิ่งไปไหนครับ”

เสียงของใครคนหนึ่งดังขึ้นไม่ไกล หญิงสาวหันไปมองแล้วก็เสียหลักล้มลงกองกับพื้นกว้าง เจ็บที่ข้อเท้าจนไม่อาจจะพยุงกายลุกขึ้นได้

“ไปยังไงบ้างครับคุณยาหยี” อีวานนั่นเอง

“ไม่…ฉันไม่เป็นไรค่ะ”

ขยับข้อเท้าหนีมือใหญ่ของอีวานแต่ก็ไม่พ้น หนุ่มน้อยหน้าตาน่าเอ็นดูก้มลงมองข้อเท้าของหล่อนด้วยความห่วงใย

“แดงเชียวครับ น่าจะช้ำ…”

“ฉันไม่เป็นไรจริงๆ อีวาน” ยาหยีส่ายหน้าปฏิเสธ ทั้งๆ ที่มันเจ็บมากมายเลยทีเดียว

“ผมจะไปเรียนนายน้อยให้ทราบนะครับ”

อีวานทำท่าจะลุกขึ้น แต่หญิงสาวรีบร้องห้ามไว้ซะก่อน หล่อนไม่อยากเห็นหน้าคอร์เนล และก็มั่นใจว่าผู้ชายคนนั้นก็คงไม่อยากเห็นหน้าหล่อนเช่นกันนั่นแหละ

“ไม่นะอีวาน ฉัน…เอ่อ…ฉันกำลังจะกลับ” ก้มหน้าแล้วตอบออกไปเสียงแผ่วเบา

อีวานมองด้วยสายตาเคลือบแคลงแต่ก็ไม่อยากจะถามออกไปให้มากความ

“งั้นผมจะขับรถไปส่งคุณยาหยีที่หอพัก”

“ไม่ต้องหรอกค่ะ ฉันกลับเองได้ แค่ช่วยพยุงฉันให้ลุกขึ้นยืนก็พอแล้ว”

อีวานไม่มีทางเลือกอื่นใด เขาปล่อยมือจากข้อเท้าบอบบางของยาหยีแล้วเปลี่ยนมาเป็นโอบเอวบางและดึงให้ร่างอรชรลุกขึ้นแทน แต่จังหวะไม่สอดคล้องกันทำให้ทั้งคู่เสียหลัก ร่างของอีวานพลิกหงายล้มลงไปนอนกับพื้นโดยมีร่างของยาหยีทาบทับอยู่ด้านบน

“กำลังเล่นอะไรกันอยู่หรือ!”

คำถามแสนธรรมดาแต่น้ำเสียงของคนถามนี่สิฟังแล้วขนลุกเกรียวเลยทีเดียว ยาหยีรีบลนลานพลิกกายลงไปนั่งกับพื้น ขณะที่อีวานรีบลุกขึ้นและอธิบายกับนายน้อยของตัวเองด้วยน้ำเสียงหวาดหวั่น

“มันเป็นอุบัติเหตุครับ”

คอร์เนลกัดฟันแน่น เดินเข้าไปกระชากคอเสื้อของอีวานให้เงยหน้าขึ้นสบตาคมกริบที่กำลังเรืองรองไปด้วยโทสะร้ายของตัวเองอย่างเดือดดาล

“ฉันไม่ได้ถามว่ามันเป็นอุบัติเหตุหรือเปล่า แต่ฉันถามว่านายกำลังทำอะไรอยู่”

ทุกคำพูดที่เล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากของคอร์เนลนั้นช่างเหี้ยมเกรียมและน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก ยาหยีมองเหตุการณ์เบื้องหน้าด้วยความมึนงง ทำไมคอร์เนลถึงได้แสดงท่าทางแบบนี้ออกมานะ คล้ายกับว่าเขากำลังหึงหวงหล่อนอย่างนั้นแหละ แต่มันจะเป็นไปได้ยังไงล่ะ ในเมื่อเขาพึ่งประกาศใส่หน้าของหล่อนเองว่า เขาไม่มีวันรักผู้หญิงอย่างหล่อนได้แน่ๆ

“ฉันขาเจ็บ อีวานก็เลยช่วยฉัน มันก็เท่านั้นเอง”

เพราะเห็นว่าอีวานผู้ที่มีน้ำใจกับหล่อนหน้าซีดเผือดด้วยความยำเกรงผู้ชายเลือดเย็น บ้าอำนาจตรงหน้า หญิงสาวจึงเป็นฝ่ายตอบเสียเอง แต่คนตัวโตที่กำลังควันออกหูหาได้ฟังคำพูดของหล่อนไม่ เขายังคงเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันใส่อีวานเช่นเดิม

“ผม…ผมไม่ได้ทำอะไรครับ”

“ฉันเห็นนายกอดยาหยี”

“ผมแค่ช่วยเธอครับ เธอเท้าเจ็บ…”

อีวานยังพูดไม่ทันจะจบประโยคก็ถูกหมัดหนักๆ ของคอร์เนลฟาดเข้าใส่ใบหน้าซะก่อน มันแรงจนร่างสูงใหญ่ของอีวานล้มลงไปกองกับพื้น ยาหยีอุทานออกมาด้วยความตกใจ และรู้สึกผิดต่อชายที่นอนเลือดกบปากเหลือเกิน คอร์เนลทำเกินไปจริงๆ

“คนเลว คุณทำร้ายเขาทำไม เขาช่วยฉันนะ…”

หญิงสาวพยายามจะพยุงกายตัวเองเพื่อจะเข้าไปประคองอีวาน แต่ก็ถูกมือใหญ่ของคอร์เนลหิ้วปีกเอาไว้เสียก่อน เขากระชากร่างของหล่อนเข้ามาไว้ในอ้อมแขน ลดศีรษะแสนทระนงลงมากระซิบที่ข้างหูเล็กของหล่อนเสียงเลือดเย็น

“ถ้าไม่อยากให้ใครเจ็บตัว ก็อย่าให้ใครแตะต้องเนื้อตัวอีก จำเอาไว้”

“แต่คุณไม่มีสิทธิ์มาสั่งฉันนะ”

คอร์เนลแสยะยิ้ม หรี่ตาแคบมองหล่อนตลอดทั้งตัว

“อย่าพูดถึงเรื่องสิทธิ์เลยดีกว่า เพราะคุณก็รู้ดีอยู่เต็มอกว่าผมเป็นผู้ชายคนเดียวที่มีสิทธิ์ทำอะไรกับเนื้อตัวของคุณก็ได้”

“คนทุเรศ ฉัน…ว้าย!” หวีดร้องออกมาด้วยความตกใจเมื่อถูกคนตัวโตจับร่างของหล่อนขึ้นพาดบนบ่าทรงพลังเอาไว้ มือใหญ่ของเขาตบบั้นท้ายของหล่อนหนักๆ สองสามทีเมื่อเห็นหล่อนเริ่มดิ้นรน

“ถ้าไม่อยากข้ามขั้นจากขาแพลงเป็นขาหักละก็ อยู่เฉยๆ”

เขาสั่งหล่อนเสียงดุดัน ก่อนจะเดินเข้าไปหยุดตรงหน้าของอีวานที่กำลังยืนก้มหน้ามองพื้นอยู่ด้วยท่าทางคุกคามน่ากลัว

“จำเอาไว้นะอีวาน มีแค่ฉันเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถแตะต้องผู้หญิงคนนี้ได้”

“ครับนายน้อย ต่อไปผมจะระวัง”

อีวานก้มหน้ารับคำสั่งด้วยความยำเกรง คอร์เนลไม่ได้พูดอะไรออกมาอีกนอกจากเดินดุ่มๆ มุ่งหน้ากลับสู่ห้องนอนของตัวเองในทันที

หลังจากขจัดเจ้าเสื้อผ้าเปียกน้ำออกจากไปจากเรือนกายเรียบร้อยแล้ว คอร์เนลก็มุ่งหน้ากลับมาที่ห้องทำงานของตัวเองอีกครั้ง มือใหญ่กำลูกบิดทองเหลืองเอาไว้แน่น

‘ยาหยีคงกลับไปแล้วล่ะ ในเมื่อเวลามันผ่านมาตั้งสองสามชั่วโมงแล้วนี่’

หนุ่มหล่อขั้นเทพถอนใจออกมาแรงๆ อีกครั้งก่อนจะกระชากบานประตูจนมันเปิดออก จากนั้นจึงก้าวข้ามธรณีประตูเข้าไป เท้าใหญ่ดันเบาๆ ประตูไม้ก็ปิดสนิทลง แต่ระหว่างที่เขากำลังจะเดินตรงไปยังโต๊ะทำงานนั้น หางตาก็รับภาพของสตรีคนหนึ่งที่กำลังนอนหลับใหลอยู่บนโซฟาริมหน้าต่างห้อง

ลมหายใจกระตุกแรงๆ ทันทีเมื่อเขาหันไปจ้องมองผู้หญิงคนนั้นเต็มๆ ตา

จะเป็นใครไปได้ล่ะ ก็แม่ยาหยีแสนหวานของเขาไง ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเจ้าหล่อนจะหน้าด้านหน้าทนถึงเพียงนี้ คงห่วงพ่อมากสินะถึงได้ยอมลดศักดิ์ศรีนอนรออยู่อย่างนี้

ความปีติยินดีที่ได้เห็นว่าเจ้าหล่อนยังคงอยู่ที่นี่เปลี่ยนแปรเป็นความเดือดดาลและดูหมิ่นในพริบตา เมื่อสมองร้องบอกว่าที่ยาหยียังอยู่ที่นี่ก็เพราะว่าหล่อนห่วงบิดาเท่านั้นเอง แม่คุณทูนหัวไม่ได้รู้สึกรู้สาใดๆ กับเขาเลยแม้แต่นิดเดียว

คอร์เนลกัดฟันแน่นขณะเดินเข้าไปกระชากร่างอรชรที่กำลังนอนหลับอยู่ให้ลุกขึ้นมาเผชิญหน้าด้วยกิริยาเหี้ยมเกรียมไร้ความปรานี

“อยากให้ผมเอาทำเมียนักใช่ไหม ถึงได้ยังอยู่ที่นี่น่ะ!”

“ฉัน…ฉันแค่อยากให้คุณปล่อยพ่อไป แล้วฉันจะยอม…”

ยาหยีพยายามอ้อนวอน แต่พอเห็นรอยยิ้มเลือดเย็นที่ผู้ชายตรงหน้าระบายออกมา หญิงสาวก็รู้ซึ้งเลยว่าคำขอร้องของหล่อนไม่มีทางสัมฤทธิผลอย่างแน่นอน ต่อให้หล่อนต้องแก้ผ้าทั้งตัวก็ตาม

“ให้ผมเอาโดยไม่จำกัดจำนวนครั้งใช่ไหมล่ะ?”

ทั้งน้ำเสียง คำพูด และสายตาของเขาที่มองมานั้น ทำให้หน้าของหล่อนลุกเป็นไฟ อับอาย อดสู แต่ก็ต้องกัดฟันทน

“คุณก็รู้ว่าฉันไม่มีทางเลือก และนี่ก็เป็นวิธีเดียวที่จะช่วยพ่อได้”

ยิ่งแม่คุณแสดงออกมาว่าที่ทำแบบนี้เพราะกตัญญูมากเท่าไร คอร์เนลก็ยิ่งเจ็บใจ เจ็บแค้น และยิ่งต้องการจะเอาชนะ

“ก็ได้…เอาสิ ผมรับข้อเสนอของคุณ” นิ้วเรียวยาวกดลงบนต้นแขนกลมกลึงของหล่อนหนักกว่าทุกทีที่เขาแตะต้อง ใบหน้าคมสันก้มต่ำลงมาหา ลมหายใจร้อนระอุของคอร์เนลยังทำให้เลือดสาวของหล่อนร้อนผ่าวได้เช่นเดิม

“แล้วอย่าร้องล่ะ ถ้าผมไม่ให้คุณพักผ่อนน่ะ”

“อุ๊ย! จะทำอะไรคะ”

ร้องออกมาเมื่อร่างอรชรของตัวเองถูกคนตัวโตดันให้นอนหงายลงกับโซฟา ใบหน้าซีดสลับแดงเมื่อกายสาวของหล่อนถูกความแข็งแกร่งทรงพลังของคอร์เนลบดอัดลงมาหา

ชายหนุ่มหัวเราะร่วนเหนือศีรษะสวยของยาหยี

“ก็จะเริ่มยกแรกยังไงล่ะ”

ปากร้อนผ่าวงับลงมาเบาๆ ที่กลีบปากล่างหวานหยดย้อยของหล่อน รอยยิ้มเหี้ยมเกรียมของคอร์เนลเขย่าโสตประสาทของหล่อนให้บ้าคลั่ง

“ที่โซฟาก่อน จากนั้นก็ค่อยไปต่อกันที่พื้นพรม และหากผมยังไม่หมดแรงกับเซ็กส์ร้อนๆ ของคุณละก็ เราอาจจะได้ซ้ำอีกรอบบนโต๊ะทำงานตัวใหม่ของผม หรือว่าเป็นห้องน้ำ ในอ่าง หรือใต้ฝักบัว ผมจัดให้ได้ทุกที่นั่นแหละ”

ยาหยีไม่สามารถโต้ตอบอะไรเขาออกไปได้เลยแม้แต่คำเดียว เพราะสมองของหล่อนตายดับไปตั้งแต่ตอนที่ถูกมือแกร่งร้อนผ่าวปลดเปลื้องเสื้อเชิ้ตออกไปจากตัวแล้ว

“ผมพยายามแล้วนะที่จะไม่ทำแบบนี้กับคุณ แต่คุณดันหาเรื่องใส่ตัวเอง”

ลมหายใจของคอร์เนลติดแหง็กอยู่แค่ลำคอทันทีเมื่อสายตาปะทะเข้ากับเนินอกสาวอวบใหญ่ที่ล้นทะลักบราเซียร์สีขาวออกมา สายตาของเขาประสานเข้ากับดวงตาหวานฉ่ำของเจ้าหล่อนเข้าโดยบังเอิญ และนั่นก็ทำให้กายหนุ่มรุ่มร้อนบ้าคลั่ง การควบคุมตัวเองแทบจะสะบั้นลงในพริบตา

‘ให้ตายเถอะ เขาคงยื้อเวลาเล้าโลมเจ้าหล่อนไม่ได้นานนักหรอก’

และเมื่อสิ้นสุดความอดทน ใบหน้าหล่อเหลาก็ค่อยๆ ก้มลงไปหา ยาหยีครางออกมาด้วยความขัดใจเมื่อเขาก้มช้ากว่าปกติมากมายเหลือเกิน จนในที่สุดหล่อนเองต้องเป็นฝ่ายกระชากศีรษะทระนงนั้นลงมาจูบเสียเอง

“อืม…”

คอร์เนลคำรามออกมาด้วยความถูกอกถูกใจกับความร้อนแรงของแม่สาวน้อยใต้ร่าง ตอนนี้ความรู้สึกขัดแย้งทุกอย่างถูกความปรารถนากลบทับจนมิดชิดทีเดียว

ชายหนุ่มจูบตอบปากหวานๆ ที่ดูจะกระตือรือร้นตอบสนองอย่างล้นเหลือของยาหยีด้วยความเร่าร้อนหนักหน่วง และเขาก็ได้รับรางวัลเป็นลิ้นเล็กๆ ซุกซนที่แทรกเข้ามาในอุ้งปากของตัวเอง สติสตังของคอร์เนลบินหายไปในบัดดลเมื่อแม่สาวน้อยแอ่นกายขึ้นหา

“คุณร้อนกว่าทุกครั้งเลยนะยาหยี”

“คอร์เนล…ได้โปรด…”

มือบางกระชากเสื้อผ้าของชายหนุ่มแรงๆ จนกระดุมหลุดออกไปหลายเม็ด จากนั้นก็ไล้ผิวเรียบตึงของเขาด้วยปลายนิ้วนุ่มๆ ของตัวเอง คอร์เนลคำรามออกมาด้วยความรัญจวน รู้สึกว่าโซฟามันคับแคบไปถนัดตา

“ลงมานี่เถอะ”

คนตัวโตพลิกกายลงนอนบนพื้นพรมโดยไม่ลืมดึงร่างงามระทดระทวยของยาหยีให้ตามลงมาทาบทับ ปากของทั้งคู่ยังประกบกันแน่น รสชาติจากปากของหล่อนทำให้เขาลุ่มหลงบ้าคลั่ง มือแกร่งเอื้อมไปด้านหลังปลดตะขอบราเซียร์ออก เต้างามดีดผึงออกมาสู่สายตา คอร์เนลสูดลมหายใจเข้าปอดแรงๆ ครั้งสองครั้ง ก่อนจะงาบงับปลายถันสีกุหลาบนั้นเอาไว้เต็มปากเต็มคำ

ยาหยีดิ้นสะบัดอย่างรุนแรง เผยอปากร้องครางลั่น

“คอร์เนล…ได้โปรด…”

“ใจเย็นคนสวย…อีกนิดเดียว”

คอร์เนลพลิกกายสาวสลักเสลาของยาหยีให้เปลี่ยนมาอยู่ด้านล่าง เขาขึ้นไปทาบทับเอาไว้ทั้งตัว มือใหญ่ข้างหนึ่งฟอนเฟ้นบีบขยำ ขณะที่มืออีกข้างหนึ่งกำลังปลดเปลื้องกางเกงยีนขายาวอย่างขะมักเขม้น

และเพียงไม่นานร่างอวบอิ่มของยาหยีก็เหลือเพียงแค่กางเกงชั้นในตัวน้อยเท่านั้นที่ปกปิดร่างกาย คอร์เนลสูดหายใจแรงๆ อีกครั้งและอีกครั้งเมื่อสายตามองต่ำลงมาจากหน้าท้องแบนเรียบ เหมือนถูกสะกดด้วยเวทมนตร์ขลัง

“สวยมาก…”

คล้ายกับกำลังละเมอ ก่อนที่คอร์เนลจะก้มลงมอบความเสียวซ่านให้กับเต้าสาวอีกครั้ง คราวนี้ชายหนุ่มขบเม้มดูดดึงอย่างหิวกระหาย มือสากลูบไล้ฟอนเฟ้นไปทั่วเรือนกายสาว บีบขยำบั้นท้ายอวบก่อนจะวกมาที่ด้านหน้า

“คอร์เนล…”

สาวน้อยสะอื้นฮักเป็นชื่อของเขาในทันทีเมื่อเพลิงสวาทโหมเข้าใส่กายสาวอย่างบ้าคลั่ง สะโพกกลมกลึงส่ายสะบัดรุนแรง

“ได้โปรด คอร์เนล…” ร่างเปลือยสลักเสลาส่ายไปมากับพื้นพรม แล้วสองมือบางก็จิกเล็บลงบนไหล่กว้างทรงพลังเต็มแรงอย่างลืมตัวเมื่อคนตัวโตตอกย้ำความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของบนผิวกายของหล่อน

“ยาหยี…ทูนหัว…”

มันช่างเหมาะเจาะเหลือเกิน ทำไมเขาถึงได้รู้สึกดีขนาดนี้นะ ทำไมต้องเป็นยาหยีด้วยที่ทำให้เขารู้สึกราวกับเป็นเจ้าของโลกทั้งใบแบบนี้ คอร์เนลคิดอย่างมึนงงขณะพาตนเองและสาวน้อยใต้ร่างขยับเข้าใกล้ฝั่งฝันมากขึ้นทุกขณะ

“คอร์เนล…”

เสียงครางเบาๆ ของยาหยีผลักดันให้เขาไปไกลเกินกว่าที่จะควบคุมตัวเองเอาไว้ได้ และในที่สุดทุกอย่างก็แตกระเบิดเข้าใส่หน้า สะเก็ดดาวพร่างพรายเต็มสองตา ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผู้หญิงแสนธรรมดาอย่างยาหยีจะทำให้เขามีความสุขจนแทบสิ้นสติแบบนี้ ไม่น่าเชื่อ มันเหลือเชื่อ แต่เจ้าหล่อนก็ทำให้เขาสุขสมอย่างรุนแรงในทุกครั้งที่ได้เมกเลิฟกัน

คอร์เนลรอจนตัวเองสามารถหายใจได้ราบรื่นเป็นปกติจึงพลิกกายลงจากร่างอรชรที่ยังนอนนิ่งงันอยู่อย่างรวดเร็ว เขาลุกขึ้นจัดการกับเนื้อตัวของตนเองจนเรียบร้อยแล้วก็เดินออกไปจากห้องทำงาน ที่หล่อนมานอนให้เขาตักตวงสวาทโดยไม่คิดจะพูดจาอะไรกับหล่อนเลยแม้แต่คำเดียว

น้ำตาไหลซึมออกมาขณะพยุงกายให้ลุกขึ้นนั่ง ความหวานปะแล่มของรสรักที่คอร์เนลมอบให้เมื่อครู่นี้นั้นจากหายไปในพริบตา ท่าทางห่างเหินไม่แยแสของเขาช่างไม่ต่างจากคมมีดแหลมเลยแม้แต่นิดเดียว ทำไมนะ ทำไมเขาถึงใจร้ายกับหล่อนแบบนี้

หล่อนอยากให้เขากอดหล่อนต่ออีกสักนิด จูบซับน้ำตาให้หล่อนอีกสักหน่อย แล้วพูดจาหวานๆ สักคำก่อนจะลุกหนีไป แต่ก็คงเป็นเพียงแค่ความฝันที่ไม่มีวันเป็นจริงเท่านั้นแหละ

มือบางยกขึ้นป้ายน้ำตาทิ้ง ขณะกัดฟันลุกขึ้นเก็บเสื้อผ้าของตัวเองที่กระจัดกระจายอยู่เต็มพื้นขึ้นมาสวมใส่ด้วยมือที่สั่นระริก กระดุมเม็ดสุดท้ายกำลังจะเข้าไปอยู่ในรังดุมแต่เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้นมาซะก่อน จากนั้นมันก็ถูกเปิดออก ยาหยีหันไปมองด้วยสายตาหวั่นเกรง แล้วก็ต้องเป่าปากโล่งใจเมื่อเห็นว่าเป็นแม่บ้านร่างท้วมนามว่าเชอรี่

‘เขาคงสั่งให้ป้าเชอรี่มาไล่หล่อนล่ะมั้ง’

ความเจ็บช้ำถล่มใส่หัวใจของยาหยีอย่างอำมหิต น้ำตาที่พึ่งเช็ดมันแห้งไปหมาดๆ ไหลทะลักออกมาอีกแล้ว

“ฉันกำลังจะไปเดี๋ยวนี้แหละป้า”

“อ้าว…คุณรู้แล้วหรือคะ ไหนนายน้อยบอกว่าคุณยังไม่รู้ ป้าล่ะงงจัง”

ยาหยีพยักหน้ารับด้วยความขมขื่นที่ปิดไม่มิด

“ฉันรู้ฐานะตัวเองดีค่ะว่าควรจะทำตัวยังไง ไม่ต้องไปส่งหรอกค่ะ ฉันจำทางได้”

“จำทางได้?” คราวนี้เชอรี่อุทานออกมาเสียงสูงปรี๊ดเลยทีเดียว

“แต่คุณยังไม่เคยไปห้องอาหารนี่คะ ทำไมถึงบอกว่าจำทางได้ล่ะ”

คำพูดของคู่สนทนาทำเอาน้ำตาที่กำลังไหลอยู่หยุดไปชั่วขณะ ยาหยีจ้องหน้าแม่บ้านร่างท้วมนิ่ง ความข้องใจอัดแน่นเต็มกระแสเสียง

“ห้องอาหาร? นี่ป้ากำลังหมายถึงอะไรกันคะ”

“ก็นายน้อยให้ดิฉันมาเชิญคุณไปทานอาหารค่ำที่ห้องอาหารยังไงล่ะคะ เอ…ไหนคุณบอกว่ารู้แล้วยังไงล่ะคะ”

‘นี่เขาให้คนมาพาหล่อนไปทานอาหารด้วยอย่างนั้นหรือ เห็นชัดๆ ว่าใช่’ ยาหยีถอนใจออกมา กัดปากแน่นจนเจ็บ ความน้อยใจเริ่มแผลงฤทธิ์ขึ้นมาอีกครั้ง และมันก็รุนแรงจนน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก

“ฉันไม่ไป ฉันจะกลับไปที่หอ” หญิงสาวก้าวผ่านธรณีประตูไป เชอรี่รีบวิ่งตามหน้าตาตื่น

“ไม่ได้นะคะ คุณจะกลับไม่ได้ นายน้อยกำลังรอคุณอยู่”

เชอรี่พยายามท้วงแต่ยาหยีไม่ยอมฟังแม้แต่นิดเดียว ยังคงเดินลิ่วๆ ไปตามทางเดินที่ปูด้วยพรมหนาสีสวยไม่ยอมหยุด

“ก็ให้รอไปสิ รอให้ถึงสว่างเลยยิ่งดี”

“แต่นายน้อยไม่ชอบให้ใครขัดใจนะคะ ได้โปรดอย่าหาเรื่องใส่ตัวเองเลยค่ะ ที่นายน้อยเชิญคุณให้ร่วมโต๊ะอาหารด้วยถือว่าเป็นเกียรติสูงสุดแล้วนะคะ ผู้หญิงมากมายต่างรอโอกาสแบบคุณอยู่แต่ก็ไม่เคยได้รับสักคน”

ยาหยีหยุดเดิน พร้อมๆ กับหันกลับไปจ้องหน้าเชอรี่เขม็ง

“ฉันขอสละสิทธิ์ ให้เขาไปเรียกบรรดาอีหนูของตัวเองมากินด้วยเถอะ ฉันไม่ต้องการ”

ความน้อยใจ ความเจ็บปวดจากท่าทางเย็นชาของเขา ทำให้ยาหยีเลือกที่จะไม่อ่อนข้อให้อีก หล่อนไม่อยากเห็นหน้าเขาในตอนนี้ ผู้ชายใจดำยิ่งกว่าอีกาอย่างคอร์เนล

“แต่ว่า…”

เชอรี่ยังพูดไม่ทันจบประโยค เสียงห้าวของคอร์เนลก็ดังขึ้นซะก่อน ทั้งเชอรี่และยาหยีต่างหันไปมองยังต้นเสียงพร้อมๆ กัน

“ไปทำงานอย่างอื่นเถอะเชอรี่ ทางนี้ฉันจะจัดการเอง”

“ค่ะนายน้อย”

เชอรี่รับคำและรีบเผ่นแน่บจากไปในทันที ทิ้งให้หล่อนต้องเผชิญหน้ากับผู้ชายใจทมิฬเพียงลำพัง หญิงสาวถอยหลังหนีเมื่อคนตัวโตก้าวเข้ามาหา

“อย่าเข้ามานะ”

“นึกแล้วว่าต้องดื้อ ผมถึงต้องมาจัดการเอง”

แม้จะพยายามถดถอยหนีเช่นไร แต่ในที่สุดเขาก็คว้าข้อมือของหล่อนไว้จนได้ พยายามดิ้นรน พยายามขัดขืน แต่สุดท้ายก็ถูกกอดรัดแน่นอยู่ดี

“ปล่อยนะ ปล่อย…”

คนตัวโตก้มลงมาหา นัยน์ตาสีเขียวดุจมรกตเนื้อดีที่จ้องมองมานั้นอัดแน่นไปด้วยความหิวกระหายรุนแรง จนคนถูกมองอย่างหล่อนหัวใจสะท้านสะเทือน

“อย่าลืมสิว่าคุณอยู่ในฐานะอะไร ทำทุกอย่างเพื่อพ่อ แม้จะต้องนอนกับผมแบบอันลิมิตก็ตาม”

คำเตือนนุ่มๆ ของเขาทำให้ความวาบหวามที่กำลังก่อตัวขึ้นในหัวใจสลายหายไปในทันที สาวน้อยเม้มปากแน่น และรีบเบี่ยงหน้าหนีปลายจมูกโด่งงามด้วยความน้อยอกน้อยใจ ที่แท้ก็เพราะไม่อยากขาดทุนนี่เองถึงได้มาทำดีแบบนี้กับหล่อน

“ฉันไม่มีวันลืมหรอกค่ะ”

“ไม่ลืมก็ดีแล้วนี่ งั้นไปกินข้าวกัน แล้วเราจะได้ไปทำกิจกรรมสนุกๆ กันต่อในห้องนอนของผม”

จากกอดเปลี่ยนมาเป็นโอบประคองแบบบังคับแทน หญิงสาวพยายามขืนตัวเอาไว้ไม่ให้เดินตามเขาไป แต่ก็ทำไม่สำเร็จ สุดท้ายก็ต้องมาหยุดที่หน้าห้องอาหารแสนโอ่อ่าจนได้ เขาพาหล่อนเข้ามาหยุดหน้าโต๊ะอาหารขนาดใหญ่ที่มีอาหารมากมายเรียงรายอยู่ตรงหน้า

“เราทานกันแค่สองคนหรือคะ”

“ใช่…” คอร์เนลตอบเสียงราบเรียบ ขณะเลื่อนเก้าอี้ให้หล่อนนั่ง ก่อนที่ตัวเองจะนั่งลงบนเก้าอี้ตัวติดกับหล่อนนั่นแหละ

“ฉันกินเป็นปีเชียวนะเนี่ย” สาวน้อยพูดติดตลกลืมความน้อยใจไปชั่วขณะ

“แต่สำหรับผมแค่มื้อเดียว”

เขาตอบเสียงโทนเดิมเปี๊ยบ จากนั้นก็เชื้อเชิญให้หล่อนตักนู่นชิมนี่จนเกือบครบทุกจาน ความจริงหล่อนก็อยากจะอิดออดแข็งข้อหรอกนะ แต่ท้องเจ้ากรรมมันไม่ยอมเห็นด้วยน่ะสิ มันร้องคร่ำครวญอยากสวาปามอาหารน่ากินทั้งหลายนี้จนหน้ามืดตามัวแล้ว ดังนั้นหล่อนจึงก้มหน้าก้มตาจัดการกับอาหารตรงหน้าโดยไม่ปริปากพูดจาอะไรกับเจ้าของบ้านอีกเลยแม้แต่คำเดียว คอร์เนลเห็นก็อดอมยิ้มบางๆ ด้วยความเอ็นดูไม่ได้ เขากินไปพลางมองแม่สาวน้อยไปพลางอย่างสบายอารมณ์

และในที่สุดชายหนุ่มก็ค้นพบว่าการนั่งกินข้าวคนเดียวมาตลอดชีวิตนั้นมันเป็นสิ่งที่ผิดพลาดมหันต์เลยทีเดียว

เซอร์เกเดินตามคอร์เนลมาถึงห้องส่วนตัวริมระเบียงชั้นสองของตัวคฤหาสน์หลังใหญ่ จากนั้นก็เอ่ยถามขึ้นด้วยความแคลงใจ

“นายน้อยเชื่อคำพูดของนายยอดชายหรือครับ”

“แล้วนายคิดว่ายังไงล่ะ” คอร์เนลไม่ตอบ แต่เลือกที่จะถามคนสนิทกลับไป

เซอร์เกถอนใจก่อนจะตอบออกมาตามความคิดของตัวเอง

“ผมไม่เชื่อนายยอดชายเท่าไร บางทีหมอนั่นอาจจะโกหกเราเพื่อให้เราบาดหมางกับพวกเซอร์คอฟก็เป็นไปได้นะครับ”

คอร์เนลที่ยืนหันหลังอยู่หันกลับมาระบายยิ้มบางๆ ให้กับคนสนิท

“สมแล้วที่ฉันไว้ใจนายที่สุด แน่นอนว่าไอ้ระยำนั่นไม่มีทางบอกความจริงกับเราทั้งหมดหรอก แต่กระนั้นเราก็ไม่อาจจะมั่นใจได้ว่าสิ่งที่มันพูดจะไม่มีเค้าความจริง”

ร่างสูงใหญ่ในชุดลำลองชุ่มชื้นเพราะหยาดน้ำในสระเดินมาทรุดกายลงนั่งบนโซฟานุ่ม ท่อนขากำยำตวัดขึ้นไขว้กันเอาไว้

“บางทีอาจจะมีใครสักคนชักใยอยู่เบื้องหลังก็ได้ใครจะไปรู้ จริงไหมเซอร์เก”

“นายน้อยกำลังสงสัยใครหรือครับ” เซอร์เกเอ่ยถามเสียงเครียด สมองนึกถึงใครบางคนทันที

คอร์เนลระบายยิ้มหยัน ปรายตามองคนสนิทนิ่ง

“ฉันรู้ว่านายรู้ว่าเป็นใคร แต่อย่าพึ่งกระโตกกระตากไปล่ะ เรายังไม่มีหลักฐาน”

“ครับนายน้อย เอ่อ…แล้วเรื่องของพวกเซอร์คอฟล่ะครับ นายน้อยมั่นใจแล้วหรือครับว่าพวกนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเพชรสีทองที่หายไป”

ศีรษะแสนทระนงของคอร์เนลส่ายน้อยๆ

“แม้ว่าฉันจะไม่ค่อยเชื่อคำพูดของไอ้ระยำนั่นสักเท่าไร แต่ฉันก็ไม่มีวันปล่อยให้ตัวเองสงสัยอยู่อย่างนี้หรอก” ร่างกำยำผุดลุกขึ้นยืนตระหง่าน หันมาจ้องมองหน้าคนสนิทนิ่ง

“ส่งคนของเราแฝงเข้าไปในเซอร์คอฟ สืบให้ได้ว่าพวกนั้นเกี่ยวข้องกับการหายไปของเพชรสีทองหรือเปล่า”

“ครับนายน้อย ผมจะให้อีวานแฝงตัวเข้าไป”

คำพูดของคนสนิททำเอาคอร์เนลต้องรีบเบรกความคิดนั้นเอาไว้ในเฉียบพลัน

“งานนี้ไม่เหมาะกับผู้ชายหรอก ต้องเป็นผู้หญิง และก็ต้องเป็นผู้หญิงที่ทั้งสวยและฉลาดด้วย นายคงจะรู้นะว่าฉันหมายถึงใคร”

คอร์เนลทิ้งปริศนาเอาไว้ก่อนจะเดินหายออกไปจากห้องพักผ่อนส่วนตัวของตนเอง ทิ้งให้เซอร์เกยืนอึ้งอยู่กับที่เมื่อสมองผุดภาพของผู้หญิงคนที่นายน้อยเอ่ยถึงขึ้นมาอย่างชัดเจน

เมลิน่า ลูกสาวของเขานั่นเอง

ถนนกว้างเบื้องหน้าเป็นทางมุ่งตรงไปยังหอไอเฟลซึ่งเป็นสิ่งมหัศจรรย์แห่งหนึ่งของโลก แต่หญิงสาวรูปร่างอรชรอ้อนแอ้นกลับหันหลังให้มันเสียอย่างนั้น สาวน้อยเดินฝ่าคลื่นมหาชนจำนวนมหาศาลที่เดินกันขวักไขว่เต็มฟุตปาทมุ่งหน้าไปตามทางเดินที่มีต้นไม้ร่มรื่น

หล่อนมาศึกษาในชั้นปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยชื่อดังในกรุงปารีสด้วยความเอื้อเฟือของคอร์เนลเจ้านายที่มีหน้าตาถอดแบบมาจากเทพบุตรกรีกของบิดา และหล่อนไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าตัวเองไม่ได้ตกหลุมรักคอร์เนล

เมลิน่า อดามอฟ บุตรสาวเพียงคนเดียวของเซอร์เก อดามอฟ ระบายยิ้มอวดฟันขาวสะอาดของตัวเองออกมาเมื่อนึกถึงความเมตตาที่คอร์เนลมีให้ตนและบิดา นายน้อยของหล่อนใจดีและปรานีหล่อนในทุกๆ เรื่อง หากแต่ไม่ใช่แค่หล่อนกับพ่อเท่านั้นที่นายน้อยใจดีด้วย แต่เป็นกับลูกน้องทุกๆ คนที่อยู่ใต้บังคับบัญชา ทุกๆ คนล้วนแต่จงรักภักดีต่อคอร์เนลกันทั้งนั้น ไม่มีใครเลยสักคนที่จะคิดคดทรยศ ยกเว้นก็แต่เพียงนายยอดชาย โรจน์มหามงคล คนเดียวเท่านั้น

หญิงสาวนัยน์ตาสีฟ้าอร่ามตัดกับเส้นผมสีเข้มระบายยิ้มจางๆ ออกมาเมื่อนึกถึงคำพูดของบิดาที่ดังผ่านสายโทรศัพท์มาเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้

“นายน้อยต้องการให้ลูกแฝงตัวเข้าไปในเซอร์คอฟ ลูกทำได้ไหมลิน่า”

“หนูตกลงค่ะพ่อ หนูยินดีทำเพื่อนายน้อย”

และหล่อนก็ตอบตกลงไปในทันทีเมื่อได้ยินว่าเป็นความต้องการของคอร์เนล โดยไม่คิดถึงความปลอดภัยของตัวเองเลยแม้แต่นิดเดียว

แม้รู้ดีว่าผู้ชายที่ตัวเองเทิดทูนสุดหัวใจจะไม่เคยมองหล่อนในแง่ชู้สาวเลยแม้แต่นิด ทว่าเมลิน่าก็ยังอดหวังไม่ได้ หวังว่าสักวันหนึ่งนายน้อยผู้ใจดีจะชายตาแลทาสผู้ภักดีเยี่ยงหล่อนสักครั้งหนึ่ง

ปิ๊น!

โอ้…พระเจ้านี่หล่อนเดินใจลอยลงมาอยู่ในเลนรถวิ่งตั้งแต่เมื่อไรกันนะ หญิงสาวยกมือขึ้นทาบอกด้วยความตกใจ รีบถอยหลังกลับขึ้นไปยืนอยู่บนฟุตปาท ก่อนจะรีบโค้งคำนับเพื่อขอโทษเจ้าของรถสปอร์ตสีดำคันงามด้วยความเสียใจที่ตัวเองไปกีดขวางการจราจรของเขาเอาไว้อย่างไร้มารยาท

“ขอโทษค่ะ ฉันไม่ได้ตั้งใจ”

กระจกรถสีทึบถูกลดลงมาเล็กน้อย แต่กระนั้นก็ทำให้หล่อนพอจะมองเห็นว่าคนขับรถที่สวมแว่นตาสีดำอันใหญ่ปิดใบหน้าอยู่นั้นเป็นผู้ชาย เขามองมาที่หล่อนอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนจะขับรถจากไปโดยไม่พูดอะไรออกมาสักคำ

เมลิน่าถอนใจออกมาเบาๆ อย่างโล่งอกที่ตัวเองไม่ได้ถูกด่าแม้จะถูกจ้องมองนานไปสักหน่อยก็ตาม หญิงสาวกระชับกระเป๋าสะพายแน่น ขณะตั้งใจมองซ้ายมองขวาจนเห็นว่าไม่มีรถแล้วนั่นแหละจึงได้ตัดสินใจเดินข้ามถนนเพื่อมุ่งหน้าไปยังหอพักของตัวเอง

อีกแค่สองวันเท่านั้นหล่อนก็จะปิดเทอม และนั่นก็จะเป็นการเริ่มต้นของภารกิจที่แสนอันตราย การปลอมตัวเข้าไปในตระกูลมาเฟียเก่าอย่างเซอร์คอฟไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยสักนิด

ตูม!

เรือนกายกำยำที่พุ่งลงกระทบกับผิววารีในสระว่ายน้ำขนาดใหญ่แผดเสียงกึกก้องเป็นวงกว้าง กระแสน้ำสาดกระเซ็นเป็นละอองเล็กๆ ไปรอบขอบสระ ร่างกายสูงใหญ่ที่ยังอยู่ในชุดลำลองราคาแพงดำผุดดำว่ายอยู่ในสายธารนั้นอย่างเอาเป็นเอาตาย ช่วงแขนกำยำจ้วงลงสู่ผืนน้ำสุดแรงเกิด รอบแล้วรอบเล่าจนครบยี่สิบรอบแต่คอร์เนลก็ยังไม่หยุดว่ายน้ำ

ไม่เหนื่อย…เขายังไม่เหนื่อยเลยสักนิด ให้ตายเถอะ เขาอยากให้พลังงานที่มีเหลือเฟือในกายเหือดหายไปกับการว่ายน้ำนี้ให้หมด จะได้ไม่ต้องมีแรงไปยุ่งเกี่ยวกับแม่ผู้หญิงแพศยาที่คิดจะใช้ร่างกายของตัวเองแลกอิสรภาพของบิดาอย่างยาหยี

เขาเกลียดหล่อน ไม่อยากยุ่ง ไม่อยากเห็นหน้า…

ไม่จริงหรอก เขาไม่ได้เกลียดเจ้าหล่อนเลยสักนิด เพราะถ้าหากเขาเกลียดชังหล่อน เขาคงไม่กระหายอยากที่ครอบครองเจ้าหล่อนมากมายแบบนี้หรอก เมื่อกี้เขาก็แทบจะถาโถมเข้าใส่หล่อนกับพื้นพรมกลางห้องทำงานอยู่แล้ว ดีนะที่สามารถหักห้ามใจเอาไว้ได้ แต่ร่างกายก็เจ็บปวดรวดร้าวทรมานสุดแสน

เขาคิดถึงยาหยี อยากจะครอบครองหล่อนให้หายคลั่ง อยากจะจูบปากอิ่มๆ ที่เผยอรับเขาอย่างเต็มใจคู่นั้น อยากจะดูดดื่มเต้าสวยเต็มมือ และก็อยาก…

คอร์เนลสบถในใจอย่างเดือดดาล ที่ทุกความนึกคิดของตัวเองพุ่งตรงไปหาแต่แม่ยาหยีสาวสวยที่ลีลาทางเพศแสนจะเงอะงะคนนั้นแต่เพียงผู้เดียว

ระยำ! ทำไมเขาต้องรู้สึกย่ำแย่แบบนี้ด้วยนะ ทำไมสมองถึงนึกวนเวียนอยู่แต่กับภาพเร่าร้อนที่เขากับหล่อนร่วมกันสร้างขึ้นมาด้วยนะ ทำไมถึงลืมมันไม่ได้สักที

“โธ่เว้ย!”

เป็นครั้งแรกในชีวิตที่คอร์เนลไม่สามารถควบคุมร่างกายและสมองของตัวเองได้ ลำแขนทรงพลังจ้วงใส่ผิวน้ำแรงขึ้นและเร็วขึ้นเพื่อดับความกระหายอยากในกายหนุ่ม แต่มันช่วยไม่ได้เลยให้ตายสิ ร่างกายของเขายังร้อนผ่าวอย่างรุนแรง แม้น้ำในสระจะเย็นจัดแค่ไหนก็ตาม และในที่สุดชายหนุ่มก็ต้องยอมพ่ายแพ้ให้แก่ร่างกายของตัวเอง เขาหยุดว่ายน้ำ กระโดดขึ้นมาบนขอบสระทันที มือใหญ่หยิบผ้าขนหนูที่สาวใช้นำมาวางไว้ให้ขึ้นมาเช็ดศีรษะ ก่อนจะก้าวยาวๆ ตรงไปยังเรือนพักที่ตัวเองใช้จองจำยอดชายเอาไว้ทันที

‘เพราะมันนั่นแหละ เขาถึงต้องมาเข้าตาจนแบบนี้’

คอร์เนลกล่าวโทษยอดชายอย่างดุเดือดภายในอก โทสะแรงกล้ากำลังครอบงำเขาอย่างรุนแรง ถ้าไอ้ยอดชายมันไม่ขโมยเพชรสีทองของเขาไป เรื่องทุกอย่างก็คงไม่เกิดขึ้น และเขาก็คงไม่ต้องมาติดแหง็กอยู่ในบ่วงเสน่หาของแม่ยาหยีแสนหวานจนถอนตัวไม่ขึ้นแบบนี้หรอก คอยดูเถอะ เขาจะอัดมันให้เละเลย!

ประตูห้องพักที่ถูกดัดแปลงมาเป็นที่ควบคุมตัวของยอดชายถูกเปิดออกแรงๆ พร้อมๆ กับร่างสูงใหญ่เปียกชุ่มของคอร์เนลที่ก้าวเดินเข้ามา โดยมีเซอร์เก อีวาน และบอดี้การ์ดอีกสามสี่คนเดินตามมาข้างหลัง

ยอดชายกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอด้วยความหวั่นเกรง ขณะเงยหน้าสบตากับผู้ชายที่หน้าบูดหน้าบึ้งราวกับถูกใครขัดใจมาอย่างรุนแรงตรงหน้าด้วยสายตาสำนึกผิด

“ผมขอโทษครับ”

“นั่นไม่ใช่สิ่งที่ฉันต้องการจะฟัง บอกมาว่าเพชรของฉันอยู่ที่ไหน”

“ผมไม่รู้ครับ โอ๊ย!”

ยอดชายร้องครางออกมาเมื่อถูกหมัดหนักๆ ของคอร์เนลเสยเข้าใส่เต็มหน้า คอร์เนลกระชากร่างที่ผอมบางกว่าตัวเองของยอดชายด้วยมือใหญ่เพียงมือเดียว ก่อนจะเค้นเสียงคำรามลอดไรฟันขาวสะอาดออกไป

“จะบอกดีๆ หรือว่าอยากเห็นศพของลูกสาวก่อนล่ะ” คอร์เนลคำรามติดๆ กันออกมา ขณะโยนร่างของยอดชายลงไปกองกับพื้นห้องแรงๆ

“ยาหยี! อย่านะครับ อย่าทำเธอ เธอไม่รู้เรื่อง…” ยอดชายร้องขอชีวิตลูกสาวลั่น แต่คอร์เนลก็เหี้ยมโหดเหลือเกิน

“ฉันไม่สนใจหรอกว่าใครจะรู้เรื่องหรือไม่ แต่เพชรของฉันมันหายไปเพราะแกไม่ใช่หรือ?” นัยน์ตาสีเขียวเข้มจัดด้วยโทสะแรงกล้า กรามกระด้างของคอร์เนลขบกันแน่นจนปูดเป่ง ก่อนที่ริมฝีปากหยักสวยจะคลี่ยิ้มเหี้ยมเกรียมออกมา

“ฉันจะส่งแขนขาของแม่ยาหยีใส่กล่องมาเป็นของขวัญในวันพรุ่งนี้ก็แล้วกัน”

“อย่าครับ อย่าทำลูกสาวผม อย่าทำ” ยอดชายคลานเข้าไปกราบแทบเท้าของหนุ่มหล่ออดีตเจ้านายของตัวเองอย่างวิงวอน น้ำตาลูกผู้ชายไหลทะลักออกมาอย่างสิ้นความละอาย แต่คอร์เนลใจแข็งเกินกว่าจะยอมให้อภัย

“ไม่มีอะไรหยุดยั้งฉันได้” คอร์เนลเค้นเสียงกร้าวออกมา

“นอกจากแกจะบอกว่าเพชรของฉันอยู่ที่ไหน”

“ผม…ไม่รู้จริงๆ ครับนายน้อย ผมไม่รู้จริงๆ ว่าตอนนี้เพชรสีทองนั้นอยู่ที่ไหน”

ชายหนุ่มกัดฟันแน่นใกล้หมดความอดทนเต็มที่

“แกจะไม่รู้ได้ยังไงไอ้ระยำ! ในเมื่อแกเป็นคนขโมยมันไปจากฉัน”

“ผมขโมยไปจริงๆ ครับ แต่ผมก็ถูกปล้นไปซะก่อน”

“อะไรนะ ถูกปล้น!” อีวานอุทานออกมาด้วยความแปลกใจ ก่อนจะพูดต่อด้วยความไม่ไว้ใจในตัวยอดชาย

“โกหกกันหรือเปล่านายยอดชาย คำพูดของนายเคยเชื่อได้ที่ไหนกันล่ะ”

“หุบปากอีวาน ให้นายน้อยเป็นคนถามมันเถอะ” เซอร์เกปรามหลานชายเสียงดุ จนอีวานจำต้องสงบปากสงบคำและยืนฟังเงียบๆ ตามเดิม ยอดชายเห็นสายตาของคอร์เนลไม่มีวี่แววที่จะเชื่อคำพูดของตัวเอง เขาจึงรีบยืนยันขึ้นอีกครั้ง

“ผมพูดเรื่องจริงนะครับ ผมถูกปล้นจริงๆ หลังจากที่ออกมาจากคฤหาสน์ซีร์ยานอฟได้ไม่นาน”

“แล้วใครเป็นคนจ้างแก” คอร์เนลเค้นเสียงถาม เขาสังเกตเห็นไอ้คนทรยศนิ่งเงียบไปหลายอึดใจทีเดียวกว่าจะยอมเปิดปากออกมา

“พวกเซอร์คอฟครับ”

และทุกอย่างก็เงียบกริบลงอย่างสิ้นเชิง เซอร์เกมองร่างสูงใหญ่ของคอร์เนลที่ก้าวยาวๆ ออกไปจากห้องคุมขังนักโทษด้วยสายตาเป็นกังวล นายน้อยของเขาไม่ได้พูดอะไรออกมาเลยสักคำเมื่อได้ยินคำสารภาพของนายยอดชาย

‘เห็นทีจะเกิดศึกใหญ่ระหว่างตระกูลเสียแล้วล่ะมั้ง’

เซอร์เกถอนใจแรงๆ อีกครั้ง ขณะหันมาสั่งให้อีวานคุมตัวยอดชายไว้ให้แน่นหนา ก่อนที่ตัวเองจะเดินตามคอร์เนลออกไป

คอร์เนลยังยืนนิ่งราวกับไม่ได้ยินคำพูดของหล่อน ดังนั้นยาหยีจึงตัดสินใจเดินอ้อมไปหยุดตรงหน้าของเขา จ้องมองใบหน้าหล่อเหลานิ่ง ก่อนจะพูดข้อเสนอของตัวเองออกไปด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน

“ฉันจะนอนกับคุณ…”

ความอับอายที่เกิดจากสายตาคมกริบที่จ้องมองมานั้นทำให้หญิงสาวไม่อาจจะพูดได้จบประโยคในรวดเดียวได้ หล่อนต้องหยุดเรียกความกล้าอยู่หลายชั่วอึดใจกว่าจะสามารถพ่นคำพูดน่าละอายออกมาได้อีก

“จะนอนกับคุณ…ทุกที่ ทุกเวลา และทุกครั้งที่คุณต้องการ”

และในที่สุดหล่อนก็สามารถพูดมันจนจบประโยคได้ แต่ทำไมนะ ทำไมคอร์เนลถึงยังมีสีหน้าราบเรียบไร้ความรู้สึกเช่นเดิมนะ นี่เขาไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรเลยใช่ไหม อย่างนั้นไอ้ท่าทางถูกอกถูกใจที่เขาแสดงออกมายามที่ได้ครอบครองหล่อน มันก็เป็นการโกหกทั้งเพน่ะสิ

ยาหยีกัดปากแน่น พยายามซ่อนน้ำตาแห่งความอดสูเอาไว้สุดกำลัง ขณะเงยหน้าปั้นยิ้มให้กับคอร์เนลราวกับว่าสิ่งที่ตัวเองได้พูดออกไปนั้นเป็นแค่การตกลงซื้อขายผักปลากันธรรมดา

“เพื่อแลกกับอิสรภาพของพ่อฉัน…”

“แล้วถ้าผมไม่ตกลงล่ะ”

ในที่สุดเขาก็พูดออกมาจนได้ ยาหยีก้มหน้าซ่อนความเจ็บช้ำเอาไว้จนมิด ก่อนจะเงยหน้าขึ้นอีกครั้งและพูดออกไปเสียงแผ่วเบา

“ฉันจะให้คุณดูสินค้าก่อนก็ได้ แล้วค่อยตัดสินใจ”

มือบางที่สั่นระริกไม่แพ้กับกลีบปากสีกุหลาบของเจ้าหล่อนยกขึ้นปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตสีชมพูอ่อนทีละเม็ด เนินอกขาวอวบที่เขาเคยฟอนเฟ้นด้วยอุ้งมือและดูดดื่มด้วยริมฝีปากค่อยๆ เปิดเผยต่อสายตาทีละน้อย และเมื่อกระดุมทุกเม็ดถูกแกะจนหมด สาบเสื้อก็ถูกแยกออกจากกันอย่างสิ้นเชิง เต้าอวบอิ่มที่มีบราเซียร์สีขาวแบบโบราณก็เด่นชัดขึ้นตรงหน้า คอร์เนลปากแห้ง ลำคอแห้งผาก เลือดหนุ่มร้อนฉ่าเดือดพล่านอย่างรุนแรง ขีดความต้องการพุ่งสูงจนแทบจะควบคุมเอาไว้ไม่ได้

“มันไม่น่าสนใจนักหรอก ก็ผมเห็นคุณมาทั้งตัวแล้ว”

กัดฟันพูดออกไป ทั้งๆ ที่ร่างกายแทบจะลุกเป็นไฟเพราะความต้องการอยากครอบครองแม่สาวน้อยที่กำลังเอื้อมมือไปด้านหลังเพื่อปลดตะขอบราเซียร์อยู่แล้ว และก็เหมือนกับลมหายใจถูกปีศาจร้ายจากขุมนรกสูบไปจนแห้งเหือด เมื่อสายตาของเขาได้รับภาพความเต่งตึงของเต้างามที่ดีดผึงออกมาจากบราเซียร์ตัวน้อยที่ตอนนี้ร่วงหล่นลงไปกองกับพื้นชัดๆ เต็มๆ ตา ขาวอวบอิ่ม แถมปลายถันสีกุหลาบนั้นยังชูชันท้าทายปากและลิ้นเสียเหลือเกิน

ยาหยีสวยงาม และเขาก็ไม่เคยหยุดคลั่งไคล้ในตัวของหล่อนได้เลยแม้แต่นิดเดียว ให้ตายเถอะ เขากำลังจะทนไม่ได้อยู่แล้วนะ หากหล่อนถอดอีกชิ้น แค่อีกชิ้นเดียว…เขา…เขาจะต้องจัดการหล่อนบนพื้นพรมกลางห้องทำงานอย่างแน่นอน

ไม่ได้…เขาจะไม่มีวันยุ่งเกี่ยวกับยาหยีอีก หล่อนเป็นตัวหายนะสำหรับเขา ดังนั้นการเดินหนี การผลักไสหล่อนให้ออกไปจากเส้นทางชีวิต จึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เขาควรจะทำให้ตอนนี้

คอร์เนลกัดฟันเรียกความเข้มแข็งที่ยังพอจะมีเหลืออยู่ออกมาใช้จนหมด ขณะบังคับตัวเองให้แสยะยิ้มเหยียดหยันออกไป

“ผมไม่สนใจสินค้าของคุณอีกแล้ว”

คอร์เนลไม่มีทางรู้เลยว่าคำพูดของตัวเองได้สร้างรอยแผลในหัวใจของยาหยีไว้มากแค่ไหน ยิ่งเขากล้าถอยหลังหนีคล้ายกับรังเกียจ หล่อนก็ยิ่งเจ็บทรมาน แต่หล่อนจะยอมแพ้แบบนี้ไม่ได้หรอก ต่อให้ต้องตายเพราะความเจ็บปวด หล่อนก็ต้องช่วยพ่อให้ได้

“ฉันยังถอดไม่หมด…”

มือบางเลื่อนไปจับที่ตะขอกางเกงยีนขายาวของตัวเอง ปลดตะขอ และรูดซิปลงจนหมด ดวงตากลมโตจับจ้องใบหน้าหล่อเหลาดุจเทพบุตรของคอร์เนลไม่วางตา ขณะค่อยๆ เลื่อนผ้าให้ผ่านสะโพกกลมกลึงของตัวเองลงมาที่หน้าขา

“ระยำ! จะเป็นอีตัวไปถึงไหนไม่ทราบ”

คอร์เนลกัดฟันหันหน้าหนีจากภาพยั่วยวนตรงหน้าทันที ให้ตายเถอะ เขาจะทนไม่ได้อยู่แล้ว แทบทนไม่ได้เลยแค่ได้เห็นความอ้อนแอ้นอรชรของยาหยีอีกครั้ง เจ้าหล่อนดูเย้ายวนสวยงามมีความเป็นอิสตรีเพศไปทั้งเนื้อทั้งตัว

แค่สามครั้งมันไม่เพียงพอสำหรับเขาเลยให้ตายสิ

“ใส่เสื้อผ้าแล้วออกไปจากห้องทำงานของผมซะ!”

“ฉันไปไม่ได้…ฉัน…”

“ไม่ต้องกลัวว่าพ่อของคุณจะตายหรอกน่า ผมรับปากแล้วนี่ว่าจะไม่ฆ่าเขา รอแค่ให้เขาบอกความจริงเกี่ยวกับเพชรของผมเท่านั้นแหละ”

คอร์เนลพูดเสียงต่ำลึก ขณะสูดลมหายใจเข้าปอดแรงๆ เพื่อดับแรงปรารถนาที่มันอัดแน่นอยู่ที่ช่องท้องเอาไว้สุดกำลัง ยาหยีเป็นตัวหายนะสำหรับเขาจริงๆ เลย ก็ดูสิ เขาแทบจะฟาดหล่อนบนพื้นพรมอยู่รอมร่อแล้ว

“แต่พ่อจะต้องถูกคุณกักขัง…”

“นั่นเป็นโทษที่เขาต้องรับ เขาเป็นโจร และต่อให้คุณนอนอ้าขาให้ผมทั้งคืน มันก็เปลี่ยนแปลงความจริงข้อนี้ไม่ได้หรอกยาหยี กลับไปซะ กลับไปอยู่ในที่ของคุณ และอย่ามาให้ผมเห็นหน้าอีก” น้ำเสียงของเขาช่างห่างเหินจนยาหยีน้ำตาซึม ทั้งเจ็บทั้งอายขณะพยายามดึงกางเกงยีนที่กองอยู่บริเวณต้นขาให้ผ่านสะโพกกลมกลึงขึ้นมาอยู่ที่เดิม แต่มันทำได้ยากเย็นนัก

“แต่ฉัน…อยากขอร้องคุณ…”

วิงวอนออกไปในขณะพยายามติดตะขอกางเกงยีนสีซีดของตัวเองอย่างขะมักเขม้น และเมื่อทำสำเร็จหล่อนก็ก้มลงหยิบบราเซียร์สีขาวที่กองอยู่ตรงปลายเท้าขึ้นมาสวมใส่ทันที ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันที่คอร์เนลหันกลับมาเผชิญหน้าอีกครั้ง

“ลองขอมาสิ”

ท่าทางของคอร์เนลดูเลือดเย็นนักยามที่เอื้อนเอ่ยออกมา หล่อนคงน่ารังเกียจเหลือเกินในสายตาของผู้ชายคนนี้

“ฉันอยากพบพ่อ…อยากคุยกับท่าน”

“ผมไม่คิดว่ามันจะมีประโยชน์” คอร์เนลคำรามตัดบทอย่างโหดเหี้ยม พร้อมๆ กับหันหน้าหนีอีกครั้ง แต่ยาหยีก็เดินอ้อมมาดักหน้าเอาไว้เสียก่อน ภาพเรือนร่างอรชรขาวผ่องเนียนตาทำให้ชายหนุ่มแทบหมดการควบคุมตัวเอง

“แต่ถ้าหากคุณอยากรู้ว่าเพชรนั้นอยู่ที่ไหน คุณก็ต้องให้ฉันพบท่าน ท่านจะต้องบอกฉันแน่”

ชายหนุ่มแค่นยิ้ม กัดฟันละสายตาจากเต้างามๆ ขึ้นมามองกลีบปากอิ่มของเจ้าหล่อนแทน นึกว่ามันจะทำให้ตัวเองคลายความร้อนรุ่มลงได้บ้าง แต่เปล่าเลย ร่างกายของเขากลับยิ่งร้อนเป็นไฟเพียงแค่สมองนึกภาพยามที่เขาขยี้ปากหล่อนด้วยริมฝีปากของตัวเองเท่านั้น

‘ให้ตายเถอะ เขาทนไม่ไหวแล้วนะ!’

“ใส่เสื้อซะ!”

“แต่คุณต้อง…”

หญิงสาวกำลังจะบอกว่าให้คอร์เนลยอมรับปากจะให้ตัวเองพบกับบิดาซะก่อน แต่ก็ไม่สามารถพูดได้จบประโยค เพราะเสียงคำรามเหี้ยมโหดดังขึ้นซะก่อน

“บอกให้ใส่เสื้อ หูแตกหรือไง!”

และก็เป็นคอร์เนลนั่นแหละที่เป็นคนจับเสื้อเชิ้ตขึ้นมาใส่ให้กับยาหยีเสียเอง เขาจับมือของหล่อนใส่เข้าไปในแขนเสื้อ จากนั้นก็เริ่มติดกระดุม ลมหายใจของฟืดฟาดขาดช่วงจนน่าตื่นตกใจ แล้วในที่สุดเขาก็ติดกระดุมให้หล่อนจนครบทุกเม็ด

“ไปให้พ้นหน้าผมซะ!”

นี่เป็นคำพูดสุดท้ายที่หลุดออกมาจากปากของคอร์เนลก่อนที่เขาจะเดินหายออกไปจากห้องทำงานใหญ่ หญิงสาวทรุดกายลงกับพื้นพร้อมๆ กับบานประตูที่ปิดสนิทลง น้ำตาที่พยายามซ่อนเอาไว้ทะลักทลายออกมาราวกับเขื่อนที่ทำนบแตก

“คนใจร้าย…คนใจดำ…ฉันรักคุณนะถึงได้มาที่นี่” คร่ำครวญออกมาด้วยน้ำเสียงเจือสะอื้น ร่างอรชรสั่นเทาระริกไหวด้วยความเสียใจ

สายตาเย็นชา ท่าทางห่างเหิน แถมยังคำพูดโหดร้ายที่เขาพ่นมันใส่หน้าหล่อนเมื่อครู่นี้อีก มันแสดงให้หล่อนเห็นได้ชัดเจนเลยว่า เขาเกลียดและขยะแขยงผู้หญิงชั้นต่ำแบบหล่อนมากแค่ไหน

คอร์เนลเกลียดหล่อน แต่ทำไมนะ ทำไมหล่อนถึงได้เกลียดเขาไม่ลงสักที ยิ่งพยายามเลิกรักเท่าไร เจ้าความเจ็บปวดก็ยิ่งถาโถมเข้าใส่ราวกับพายุบ้าคลั่งเท่านั้น จนในที่สุดหล่อนก็ต้องเลิกพยายามไปเอง และก็ปล่อยให้ตัวเองจมปลักอยู่กับความรักข้างเดียวต่อไปเพียงลำพัง

มันเจ็บปวด แต่หล่อนไม่มีทางเลือกอื่นใดอีกแล้ว นอกจากรักคอร์เนล…

คอร์เนลโยนโทรศัพท์มือถือของตัวเองลงบนโต๊ะทำงาน ก่อนจะลุกขึ้นเดินอ้อมโต๊ะไม้ใหญ่เอี่ยมอ่องที่เขาพึ่งสั่งให้คนงานนำขึ้นมาเปลี่ยนให้แทนตัวเก่าที่ชำรุดออกมาหยุดที่หน้าต่างห้อง เมื่อกี้เซอร์เกโทรมาบอกว่ายาหยีไม่ได้อยู่ที่หอพัก และหล่อนก็ไม่ได้ไปที่มหาวิทยาลัยด้วย แล้วยาหยีไปไหนกัน?

ความหึงหวงเดือดดาลแล่นพล่านในสายโลหิตอย่างรุนแรง มือใหญ่กำเข้าหากันแน่นเมื่อสมองจินตนาการภาพที่ยาหยีกำลังพลอดรักกับผู้ชายคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวเอง

ระยำ! เขาไม่มีทางทนมองเฉยๆ ได้แน่ ทั้งไอ้ผู้ชายคนนั้นและแม่ยาหยีคนงามจะต้องแหลกคามือแน่หากเจ้าภาพพวกนั้นมันเกิดขึ้นจริงๆ

เขาหวงยาหยี แล้วก็หวงมากเสียด้วย

ในที่สุดคอร์เนลก็ยอมรับออกมาจนได้ว่าตัวเองนั้นหวงแหนยาหยีมากมายแค่ไหน แต่ก็แค่หวงเท่านั้นแหละ เพราะเขาใช้เจ้าหล่อนจนเบื่อเมื่อไร ไอ้ความรู้สึกงี่เง่าน่าอาเจียนนี้ก็คงจะหมดสิ้นไปตามๆ กันนั่นแหละ

แล้วเมื่อไรล่ะเขาถึงจะเบื่อยาหยี? เมื่อไรกันเขาถึงจะไม่รู้สึกหัวใจเต้นแรงยามที่อยู่ใกล้ๆ เจ้าหล่อน แล้วเมื่อไรกันหล่อนถึงจะกลายเป็นอากาศธาตุสำหรับเขานะ แม้จะร้องถามตัวเองมากมายเท่าไร แต่คำตอบที่ได้กลับมาก็คือความเงียบ เงียบจนน่าตื่นตกใจยิ่งนัก

คอร์เนลถอนใจออกมาแรงๆ พร้อมกับหมุนตัวกลับเข้ามาภายในห้องทำงาน ซึ่งมันก็เป็นจังหวะเดียวกันที่ประตูไม้สักแกะสลักบานใหญ่เปิดออก ร่างของสตรีที่ตัวเองกำลังคิดถึงอยู่ก้าวข้ามธรณีประตูเข้ามาช้าๆ ราวกับเป็นภาพในความฝัน

แต่ไม่จริงหรอก เขาจะฝันไปได้ยังไง ในเมื่อตอนนี้มันยังเป็นตอนกลางวันอยู่เลย แม้จะไม่เชื่อว่าเป็นความฝันแต่ชายหนุ่มก็ยังหลับตาแล้วลืมขึ้นมาใหม่ช้าๆ และคราวนี้เขาก็ได้รู้ว่าภาพของหญิงสาวตรงหน้านั้นเป็นของจริง

“เอ่อ…ฉัน…”

หญิงสาวแทบล้มลงไปกองกับพื้นเมื่อเห็นสายตาคมกริบของพ่อเทพบุตรสุดหล่อจ้องมองมายังร่างของตัวเอง หล่อนลนลานหันไปปิดประตูห้องด้วยมือไม้ที่สั่นเทา ก่อนจะหันกลับมาเผชิญหน้ากับมัจจุราชที่หล่อบาดใจอีกครั้ง

“ฉัน…มาหาคุณ”

คอร์เนลหรี่ตาแคบมองผู้หญิงที่ทำใจกล้าเดินเข้ามาหยุดตรงหน้าของตัวเองนิ่งนาน เขาพยายามสร้างกำแพงป้องกันหัวใจของตัวเองเอาไว้สุดกำลัง แต่ดูเหมือนว่ามันจะพังครืนลงมาไม่เป็นท่าเพียงแค่ได้กลิ่นหอมอ่อนๆ จากกายสาวเท่านั้น

‘ให้ตายเถอะ นี่เขาจะไม่สามารถต้านทานเสน่ห์ของแม่สาวน้อยแสนสวยคนนี้ได้เลยแม้แต่ครั้งเดียวหรือไง’ คนตัวโตสบถในใจด้วยความชิงชังตัวเอง

“แต่ผมไม่ได้เรียกหาไม่ใช่หรือ”

หน้าร้อนผ่าวขึ้นมาในเฉียบพลัน ทั้งมือทั้งปากสั่นระริก

“ฉัน…ฉันมาเอง และหวังว่าคุณ…คงไม่ไล่ฉันกลับไปหรอกนะ”

ทั้งๆ ที่คิดถึงสาวน้อยตรงหน้าใจจะขาด อยากจะดึงเข้ามาจูบ เข้ามากอด และฟัดให้หายคลุ้มคลั่ง แต่ด้วยศักดิ์ศรีทำให้คอร์เนลเลือกที่จะยืนนิ่งเฉยอยู่กับที่ และซ่อนความรู้สึกมากมายเอาไว้ภายใต้สายตาเลือดเย็นของตนเอง

“จุดประสงค์ล่ะ? คุณมาหาผมเพื่ออะไร เพราะหากสมองของคุณไม่ได้เลอะเลือนละก็ เมื่อคืนคุณพึ่งบอกว่าเกลียดผมมากไม่ใช่หรือ เกลียดผมยิ่งกว่ากิ้งกือไส้เดือน” เขาเน้นคำว่าเกลียดหนักๆ เพื่อย้ำเตือนคนฟังที่หน้าซีดเผือดตรงหน้า

“คุณโกรธมากหรือคะ”

คอร์เนลส่ายหน้าด้วยรอยยิ้มเหยียดหยัน

“ก็นิดหน่อย เพราะปกติไม่เคยมีใครบอกว่าเกลียดผมต่อหน้าเลยสักคน แต่คุณบอกมันใส่หน้าผมถึงสามครั้ง”

“หากคุณจะรู้สึกดีขึ้น ฉันขอโทษ…”

หญิงสาวเอ่ยขอโทษออกไป แต่คนฟังอย่างคอร์เนลกลับไม่ซาบซึ้งเลยแม้แต่นิดเดียว เขาหรี่ตาแคบ จ้องหน้าเขม็ง

“บอกมาดีกว่าว่าที่มาหาผมถึงห้องทำงานนี่เพราะอะไร? กำลังจะต่อรองอะไรกับผมอย่างนั้นหรือ”

“ฉัน…คือว่า…”

สิ่งที่ต้องการพูดถูกกลืนหายเข้าไปในลำคออย่างรวดเร็วเมื่อเห็นสายตาเหยียดหยามแกมรู้ทันของคอร์เนลจ้องมองมา เขาเชือดหล่อนด้วยสายตาจนหัวใจเลือดทะลักอีกแล้ว

“จะเอาเนื้อตัวมาล่อเพื่อแลกกับอิสรภาพของพ่อสินะ”

คอร์เนลลองเดาออกไป และมันก็แม่นดั่งกับตาเห็นเพราะแม่สาวน้อยตรงหน้าพยักหน้ารับหงึกๆ ทันที

‘ให้ตายเถอะ นี่คือเหตุผลสำคัญที่ทำให้เจ้าหล่อนมาหาเขาใช่ไหม?’

ชายหนุ่มคิดด้วยความเดือดดาล โทสะแล่นฉิ่วอยู่ในกระแสเลือด ไม่ชอบใจตัวเองเลยที่รู้สึกหงุดหงิดงุ่นง่านยามที่รู้ว่ายาหยีมาหาตัวเองเพียงเพราะต้องการช่วยบิดาเท่านั้น หล่อนควรจะมาหาเขาด้วยหัวใจสิ! มาด้วยหัวใจด้วยหรือ? นี่เขากำลังหวังอะไรจากแม่เด็กสาวข้างถนนคนนี้กันแน่?

ไม่ๆ ท่องจำเอาไว้สิว่าหล่อนไม่มีดีคู่ควรกับเขาเลยแม้แต่น้อย ชาติตระกูลก็ต่ำต้อย ฐานะก็ยากจน แถมหน้าตาก็ไม่ได้สะสวยเหมือนกับบรรดานางแบบดาราที่เขาเคยควงด้วยเลยแม้แต่นิดเดียว จะมีดีอยู่หน่อยก็แค่ความไร้เดียงสาและพรหมจรรย์ที่มอบให้กับเขาเท่านั้นเอง

พรหมจารีหรือ ใช่สินะ ก็เพราะมันนี่แหละที่ทำให้เขาคลุ้มคลั่งเป็นบ้าเป็นหลังอยู่แบบนี้ ติดอกติดใจและโหยหาทุกลมหายใจ แค่เห็นหน้างามๆ เรือนร่างอรชรของหล่อนเท่านั้น กายหนุ่มก็ร้อนราวกับถูกสุมด้วยไฟเสียแล้ว รุ่มร้อนเดือดพล่านไปทั้งตัวเจียนคลั่ง

คอร์เนลขบกรามแน่นจนเนื้อข้างแก้มกระตุกเป็นริ้ว โทสะแรงกล้าฉายชัดในดวงตาสีเขียวดุจมรกตเนื้อดีนั้นมหาศาล เขาต้องท่องเอาไว้ให้ขึ้นใจว่ายาหยีเป็นเพียงแค่ผู้หญิงแพศยาเท่านั้น และที่หล่อนกลับมาหาอีกครั้งหลังจากพ่นคำว่าเกลียดใส่หน้าเขาเมื่อคืนก็เพราะว่าหล่อนต้องการช่วยเหลือบิดาของตัวเองเท่านั้น

หล่อนไม่ได้รู้สึกพิเศษอะไรกับเขาเลยแม้แต่นิดเดียว ทุกอย่างมันคือเกม มันคือการแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน และเขาก็ต้องบังคับให้หัวใจตัวเองเข้มแข็งพอที่จะรับมือกับเกมนรกที่มีร่างสวยๆ ของเจ้าหล่อนเป็นเดิมพันนี้ให้จงได้

“ฉัน…”

“คงคิดว่าเนื้อตัวของคุณมีค่าดั่งทองสินะ” น้ำเสียงเหยียดหยันที่เล็ดลอดออกมาจากปากของผู้ชายที่ยืนประสานสายตากับหล่อนตรงหน้านั้นช่างไม่ต่างจากมีดแหลมที่กะซวกลงมากลางดวงใจ หล่อนเจ็บจนแทบจะขาดใจตาย

“แต่ว่าคุณเคย…รับปากว่าจะไม่ทำอะไรพ่อของฉัน”

คอร์เนลแค่นยิ้มหยัน

“ผมก็ไม่ได้ทำอะไรไอ้หมอนั่นนี่ ก็แค่ต้องการของของผมคืนเท่านั้น แต่เพราะว่ามันไม่ยอมเปิดปากน่ะสิผมถึงต้องขังมันเอาไว้” ดวงตาสีเขียวเข้มจัดเมื่อสบลงมาตรงๆ กับสายตาของหล่อน

“พ่ออาจจะไม่รู้เรื่องเพชรนั้นก็ได้ บางที…”

คราวนี้มือใหญ่ของคอร์เนลวางลงบนไหล่บอบบางของหล่อนหนักๆ รอยยิ้มเชือดเฉือนถูกส่งมอบมาให้หล่อนตลอดเวลาที่เผชิญหน้ากัน หัวใจสาวสั่นไหว ทั้งหวาดกลัวและหวั่นเกรง เพราะคอร์เนลวันนี้ดูเหี้ยมโหดกว่าทุกวันที่หล่อนเคยเห็นนัก

“กล้องวงจรปิดบันทึกภาพระยำของพ่อคุณเอาไว้ได้ และคุณคงไม่คิดหรอกนะว่าจะมีคนที่หน้าตาเหมือนพ่อของคุณราวกับฝาแฝดเข้าไปขโมยเพชรของผมไป” เขาปล่อยมือออกจากไหล่ของหล่อน และถอยหลังออกห่างด้วยท่าทางสุดแสนรังเกียจ ยาหยีทั้งเจ็บช้ำ ทั้งเจ็บปวด สมองสับสนคิดหาทางออกให้กับตัวเองไม่ได้เลยจริงๆ

นั่นก็พ่อบังเกิดเกล้า นี่ก็ชายที่ตัวเองตกหลุมรัก แล้วหล่อนจะทำยังไงดีนะ จะทำเพื่อใครดี? ถามตัวเองออกไป แล้วคำตอบที่ได้ก็คือ…

ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะต้องช้ำใจมากแค่ไหน และไม่ว่าจะต้องถูกคอร์เนลมองต่ำต้อยยังไง หล่อนก็ควรจะตอบแทนบุญคุณบิดาก่อน ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้ท่านหลุดพ้นจากการจองจำจากอุ้งมือของคอร์เนล

“ไปให้พ้นหน้าผมซะ ก่อนที่จะไม่มีโอกาสได้ไปอีกเลย”

คนตัวโตหันหลังหนีเอาดื้อๆ หญิงสาวมองแผ่นหลังกว้างใหญ่ที่ตัวเองเคยลูบไล้ด้วยความโหยหา ก่อนจะขยับตัวเข้าไปใกล้ และพูดในสิ่งที่ผู้หญิงดีๆ ไม่ควรจะพูดมันออกไป

“ฉัน…อยากให้คุณลองพิจารณาเงื่อนไขของฉัน”

ผ่านมาเกือบสามชั่วโมงก็แล้ว สี่ชั่วโมงก็แล้ว แต่ยาหยีก็ยังไม่มีกะจิตกะใจจะฟังคำพูดใดๆ ของเพื่อนร่วมโต๊ะที่กำลังแลกเปลี่ยนความรู้กันเลยแม้แต่นิดเดียว ให้ตายเถอะ สมองของหล่อนวนเวียนและก็วกวนอยู่แต่กับเรื่องของคอร์เนลเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ใบหน้าของเขาฉายชัดอยู่ในสมอง กลิ่นกายของเขายังอบอวลอยู่ในจมูกไม่จืดจาง และหล่อนก็โหยหาอ้อมแขนกำยำของเขาเหลือเกิน โหยหาหิวกระหายจนแทบจะทนไม่ได้อยู่แล้ว

“ลูกหยี…ยายลูกหยี…”

เสียงลินดาที่ดังขึ้นกลางโต๊ะ ทำให้ยาหยีหลุดออกมาจากวังวนเสน่หาที่ตัวเองตกลงไปทั้งกายและใจได้ชั่วขณะ

“อะไรนะ พวกเธอว่าอะไรนะ?”

ลินดาส่ายหน้า ถอนใจหนักๆ พร้อมกัน ขณะเอียงหน้าเข้ามากระซิบกระซาบข้างใบหูของเพื่อนสนิทเสียงเบาพอแค่ได้ยินกันสองคน

“เป็นมากแล้วนะลูกหยี ฉันว่าถ้าคิดถึงพ่อเทพบุตรนัยน์ตาสีเขียวคนนั้นมากก็ไปหาเขาเถอะ เพราะต่อให้นั่งตรงนี้จนพวกฉันเลิกติวกัน เธอก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมาหรอก ในเมื่อหัวใจของเธอไม่ได้อยู่ตรงนี้”

คำพูดของลินดาทะลุทะลวงเข้าสู่หัวใจของหล่อนและมันก็ตีแผ่ความจริงออกมาให้ได้เห็น ใช่สิ หล่อนนั่งตรงนี้มาตั้งหลายชั่วโมงแล้ว แต่หล่อนก็ยังฟังเพื่อนๆ ไม่รู้เรื่องเลย สมองคิดถึง ร่างกายโหยหาแต่คอร์เนลเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ทว่ามันก็ยากนักที่จะยอมรับออกไป

“มะ…ไม่…ไม่ใช่อย่างนั้น”

“แล้วมันแบบไหนล่ะ เธอเหม่อ เธอใจลอย ฉันเรียกตั้งนานเธอก็ไม่ได้ยิน แล้วจะให้คิดว่าเป็นอะไร หลับหรือไง” ลินดายังประชดเสียงแผ่วเบาที่ข้างหูของยาหยีเช่นเดิม ก่อนจะพูดต่อ

“เธอไม่ได้หลับ แต่เธอกำลังคิดถึงเขา คิดถึงผู้ชายคนแรกของเธอ”

หมดปัญญาที่จะเถียงออกไป ยาหยีได้แต่ก้มหน้านิ่ง ลินดาเห็นแล้วก็อดเวทนาไม่ได้ จึงลุกขึ้นและดึงแขนเพื่อนรักให้เดินตามตัวเองออกไปยังมุมลับตาคนแห่งหนึ่งภายในห้องสมุดของมหาวิทยาลัยที่พวกตัวเองศึกษากันอยู่

“ไปหาเขาสิ…ไปเถอะ อย่าคิดว่าเป็นการง้องอนเลยลูกหยี รักเขาก็พูดออกไป”

เมื่ออยู่กันตามลำพังแล้ว ลินดาจึงพูดเตือนสติ

“ถึงฉันจะรักเขา แต่เขาไม่มีทางรักฉันหรอกลินดา ฉันเป็นแค่ผู้หญิงที่เขาต้องนอนด้วยเพราะว่าไม่อยากขาดทุนเท่านั้นเอง มันแค่นั้นจริงๆ นะในสายตาของเขาน่ะ”

หญิงสาวพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ แต่ก็กลั้นเอาไว้ไม่อยู่ และในที่สุดมันก็ไหลออกมาอาบแก้มจนต้องรีบเช็ดมันทิ้งอย่างรวดเร็ว

“แต่เธออยากเห็นหน้าเขาไม่ใช่เหรอ แล้วเธอมีความสุขหรือไงหากต้องนั่งคิดถึงเขาตลอดเวลาแบบนี้ ไปเถอะน่า อาจจะแค่คืนเดียวหรือแค่ชั่วโมงเดียว แต่เธอก็จะมีความสุขกว่าที่กำลังเป็นอยู่ในขณะนี้นะลูกหยี อนาคตไว้ค่อยคิดถึงมันเถอะ แค่วันนี้เรามีความสุขที่สุดก็พอแล้วไม่ใช่เหรอ”

“แต่ว่าฉัน…ฉัน…”

“เรื่องของหัวใจมันไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลอะไรมารองรับเสมอไปหรอกนะ แค่ใช้หัวใจนำทางก็พอแล้ว” ลินดาดึงมือยาหยีขึ้นมากุมเอาไว้ บีบเบาๆ อย่างให้กำลังใจ

“เธอรักเขา อย่าปฏิเสธเลย”

ลินดาพูดขึ้นเมื่อเห็นเพื่อนสาวทำท่าจะปฏิเสธ

“ทำตามหัวใจตัวเองเถอะ บางทีสิ่งที่เธอคิดอาจจะไม่ใช่สิ่งที่ผู้ชายคนนั้นคิดก็ได้นะ เชื่อฉันนะ ไปหาเขาซะ แล้วทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการ อย่าฝืนหัวใจตัวเองนักเลย”

‘ทำในสิ่งที่หัวใจตัวเองต้องการอย่างนั้นเหรอ?

แล้วหากคอร์เนลขับไล่หล่อนล่ะ หากเขาบอกว่าไม่อยากเห็นหน้าหล่อนล่ะ จะทำยังไง’

“พรุ่งนี้เจอกันนะยาหยี และหวังว่าเธอจะไม่มาเคาะเรียกฉันตอนกลางดึกล่ะ เพราะฉันจะไม่มีวันเปิดรับแน่นอน”

ลินดายิ้มหวานให้กำลังใจคนหน้าแดงก่ำที่ยืนอยู่ตรงหน้า “ค้างกับเขาเถอะ ทำให้เขามีความสุข แล้วเธอก็จะมีความสุขไปด้วย ฉันไปนะ”

ลินดาเดินกลับไปที่โต๊ะติวหนังสือแล้ว แต่ยาหยีก็ยังยืนนิ่งงันอยู่ที่เดิม สมองดับ เท้าตายขึ้นมาในทันทีเมื่อคิดว่าตัวเองต้องไปเผชิญหน้ากับคอร์เนลในไม่ช้านี้ ไม่ใช่รังเกียจ แต่หวาดกลัวต่อสายตาเหยียดหยามของเขาที่จะมองมาต่างหาก

‘หล่อนคงต่ำยิ่งกว่าขยะแน่ๆ หากปล่อยให้ผู้ชายร้ายกาจคนนั้นรู้ความในใจ แต่ถ้าหากหล่อนไม่ไปหาคอร์เนล หัวใจของหล่อนก็คงจะต้องทุรนทุรายเพราะพิษแห่งความโหยหาอยู่แบบนี้ทั้งคืนทั้งวันแน่ๆ’

ยาหยีถอนใจออกมาเบาๆ พร้อมกับก้มหน้ายอมรับความพ่ายแพ้ของตัวเองอย่างไม่มีทางหลีกหนีได้พ้น และไม่ช้าเท้าบอบบางก็ก้าวเดินออกไปจากห้องสมุดประจำมหาวิทยาลัยอย่างเงียบเชียบ

คฤหาสน์ใหญ่โตเบื้องหน้ายังคงวิจิตรตระการตาเฉกเช่นทุกครั้งที่ได้พิศมอง ยาหยีจ่ายเงินค่ารถแท็กซี่เสร็จแล้วจึงก้าวลงมายืนที่หน้ารั้วขนาดใหญ่ มือบางยกขึ้นกระชับกระเป๋าที่สะพายอยู่ข้างลำตัวเอาไว้แน่น ขณะที่เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดพรายขึ้นตามฝ่ามือและไรผมอย่างมหาศาล

ตอนนี้ทั้งความโหยหา ทั้งความหวาดหวั่น ต่างระดมพุ่งเข้าใส่กลางหัวใจของหล่อนอย่างรุนแรงเลยทีเดียว โอ้…สวรรค์ นี่หล่อนคิดถูกหรือคิดผิดกันนะที่ตัดสินใจเดินเข้ามาหาพ่อมัจจุราชรูปหล่อบาดจิตอย่างคอร์เนล ซีร์ยานอฟคนนี้

หัวใจเต้นรัวแรงจนแทบจะหลุดออกมานอกอก หญิงสาวพยายามข่มความหวาดหวั่นเอาไว้ ขณะกัดฟันเดินเข้าไปหายามสองสามคนที่หน้ารั้ว

“ฉันมาหา…”

“เชิญครับคุณผู้หญิง”

ไม่อยากจะเชื่อเลยว่ายามพวกนี้จะจำหล่อนได้ ทั้งๆ ที่หล่อนเคยมาที่คฤหาสน์หลังนี้โดยไม่ได้นั่งรถคันหรูของคอร์เนลเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้นเอง

“เอ่อ…ขอบคุณค่ะ”

ง่ายดายจนไม่น่าเชื่อ แต่กระนั้นยาหยีก็เดินผ่านรั้วใหญ่เข้ามาจนได้ ระยะทางไม่ไกลเท่าไรนักจากรั้วใหญ่จนถึงตัวตึก แต่ทำไมนะ ทำไมหัวใจของหล่อนถึงได้เต้นแรงระรัวราวกับพึ่งไปวิ่งมาราธอนรอบโลกมาซะอย่างงั้น

“คุณยาหยี!”

กำลังจะก้าวเข้าไปภายในตึกใหญ่ แต่เสียงของเชอรี่แม่บ้านร่างท้วมก็ดังขึ้นเสียก่อน ยาหยีรีบหันไปมองแล้วก็ระบายยิ้มบางๆ ให้

“ป้านั่นเอง”

เชอรี่มองซ้ายมองขวาก่อนจะรีบลากยาหยีให้เดินตามตัวเองไปที่มุมตึกลับตาคน

“คุณมาที่นี่โดยไม่มีคำสั่งจากนายน้อยไม่ได้นะคะ”

“เขาจะฆ่าฉันอย่างนั้นหรือคะป้า”

น้ำเสียงเต็มไปด้วยความน้อยอกน้อยใจชัดเจน ใช่สินะ วันนี้เขาไม่ได้ให้คนไปรับหล่อนมา หรือแม้แต่จะโทรตามสักครั้งก็ไม่มี แต่เป็นหล่อนเองที่เสนอหน้ามาหาเพราะทนแรงคิดถึงไม่ไหว เป็นหล่อนเองที่โง่มากจนยอมบากหน้ามาหา หล่อนมันน่าสมเพชเวทนาจริงๆ

หญิงสาวกัดปากที่สั่นระริกเอาไว้แน่น ดึงมือของตัวเองออกจากมือของคู่สนทนา ก่อนจะเอ่ยลาด้วยน้ำเสียงขมขื่นจนคนฟังถึงกับอึ้งไปด้วยความสงสาร

“ฉันกลับก็ได้ ขอโทษที่มารบกวนค่ะ”

จากที่เคยคิดจะสู้เพื่อให้ได้อยู่ในอ้อมแขนของเขาอีกสักคืน แต่ตอนนี้ความคิดนั้นเปลี่ยนไปแล้ว หล่อนควรจะกลับ ควรจะไปอยู่ในที่ของตัวเอง ที่นี่มันเลิศเลอและอันตรายเกินไปสำหรับผู้หญิงอ่อนด้อยประสบการณ์ชีวิตอย่างหล่อน

และมันก็เป็นความคิดผิดมหันต์เลยจริงๆ ที่หล่อนมาหาเขาที่นี่ในวันนี้ ความจริงหล่อนก็น่าจะเข้าใจฐานะของตัวเองดีตั้งแต่ที่คอร์เนลเผ่นแน่บออกจากหอพักไปเมื่อคืนนี้แล้วนี่ ทำไมยังคิดใฝ่สูง คิดเข้าข้างตัวเองอีกล่ะ

‘พอเถอะ หยุดเถอะ เลิกคิดว่าจะได้รับเศษเสี้ยวของหัวใจจากผู้ชายคนนั้นสักที หยุดได้แล้วยาหยี!’

“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกค่ะ” เชอรี่รีบดึงแขนของยาหยีเอาไว้และพูดต่อ ขณะที่ยาหยีน้ำตาซึมยืนฟังนิ่ง

“นายน้อยไม่เคยฆ่าคนหรอกค่ะ แต่ที่ป้าถามคุณไปอย่างนั้นก็เพราะมันเคยปากน่ะค่ะ เพราะปกติแล้วนายน้อยไม่เคยอนุญาตให้ผู้หญิงเข้ามายุ่งวุ่นวายในอาณาจักรของตัวเอง”

“งั้นฉันก็ยิ่งควรจะกลับ…”

“อย่าไปเลยค่ะ บางทีนายน้อยอาจจะกำลังรอคุณอยู่ก็ได้ นายน้อยสนใจคุณมากกว่าผู้หญิงทุกคนที่ป้าเคยเห็น”

แม่บ้านวัยกลางคนพูดไปตามความจริงที่ตัวเองได้เห็นมา แต่กระนั้นยาหยีก็ยังยืนยันคำเดิม

“ฉันขอตัวค่ะ”

“หากคุณไปจากที่นี่ในวันนี้ พ่อของคุณก็อาจจะไม่เหลือแม้แต่ลมหายใจ”

และด้วยต้องการเหนี่ยวรั้งยาหยีเอาไว้ ทำให้เชอรี่หลุดปากเรื่องของยอดชายออกไปจนได้ แล้วมันก็ได้ผลชะงัดนักเพราะยาหยีที่กำลังเดินหนีไปเท้าตายทันที ใบหน้างามหันกลับมาร้องถามด้วยความตื่นตกใจ

“ป้าว่าอะไรนะคะ พ่อ! พ่อฉันอยู่ที่นี่อย่างนั้นเหรอ”

ยาหยีวิ่งกลับมาจับร่างท้วมของเชอรี่เขย่าแรงๆ ด้วยความลืมตัว ดวงหน้านวลซีดเผือดไร้สีเลือดลงในทุกวินาที

“เอ่อ…”

“บอกมานะป้า บอกฉันมา บอกมาสิว่าพ่อของฉันอยู่ที่นี่อย่างนั้นเหรอ” น้ำตาไหลพราก ความห่วงใยในสวัสดิภาพของบิดาท่วมท้นหัวใจอย่างรุนแรง แล้วยิ่งเห็นคู่สนทนาอ้ำอึ้งหน้าตาตื่นด้วยแล้ว หล่อนก็ยิ่งห่วงพ่อแทบคลั่ง

“ป้าได้โปรดเถอะ บอกฉันมา…บอกมา!”

เชอรี่ทนแรงสงสารไม่ไหวจึงยอมเอ่ยปากบอก

“ป้าบอกก็ได้ แต่คุณต้องเงียบเอาไว้นะคะ”

ยาหยีรีบพยักหน้ารับทั้งน้ำตา หล่อนเห็นคู่สนทนาชะโงกหน้ามองซ้ายแลขวาอยู่สองสามครั้งก่อนจะยอมเอ่ยความจริงออกมา

“ใช่ค่ะ พ่อของคุณถูกนายน้อยลากตัวมาเมื่อคืน”

“แล้วนายน้อยของป้าทำร้ายพ่อฉันหรือเปล่า เขาทำอะไรพ่อฉันไหม” ด้วยความเป็นลูกทำให้หญิงสาวอดห่วงใยบิดาไม่ได้ แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าท่านเป็นฝ่ายผิดก็ตาม

เชอรี่รีบส่ายหน้าและเริ่มต้นเล่า

“นายน้อยไม่ได้ทำอะไรรุนแรงหรอกค่ะ แค่เค้นถามว่าพ่อของคุณเอาเพชรสีทองไปไว้ที่ไหน แต่พ่อของคุณไม่ยอมปริปากบอก เลยทำให้นายน้อยโกรธมาก”

ยาหยีสะอื้นฮักด้วยความสงสารบิดา ขณะวิงวอนขอให้คู่สนทนาช่วย

“ฉันขอพบพ่อหน่อยได้ไหมคะ ป้าจ๋า ช่วยฉันหน่อย”

“แค่ป้าบอกเรื่องนี้กับคุณก็ผิดมหันต์แล้ว”

“แต่ป้าจ๊ะ ช่วยฉันหน่อยเถอะนะ ฉันรับรองว่าจะไม่บอกใคร แล้วจะถามเรื่องเพชรนั่นให้ด้วย นะป้า ช่วยฉันหน่อย”

แม้จะวิงวอนอ้อนวอนให้ตาย แต่เชอรี่ก็ไม่สามารถจะช่วยเหลืออะไรเด็กสาวตรงหน้าได้จริงๆ หล่อนไม่ได้มีอำนาจมากมายขนาดนั้น และหากคอร์เนลรู้เข้า หล่อนถูกไล่ออกจากงานแน่ๆ

“แม้ป้าจะอยากช่วยแค่ไหน แต่ป้าก็ช่วยไม่ได้จริงๆ มีแค่นายน้อยเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะทำให้ความหวังของคุณสำเร็จได้”

สมองของยาหยีเหมือนหยุดทำงานลงไปแล้วเมื่อได้ยินคำตอบของสตรีต่างวัยตรงหน้า ขอร้องคอร์เนลเหรอ อ้อนวอนผู้ชายคนนั้นเหรอ เขาจะตามใจหล่อนทำไม ในเมื่อหน้าของหล่อนเขายังไม่อยากมองเลยด้วยซ้ำ

น้ำตาไหลพราก แรงสะอื้นทำให้กายสาวสั่นเทา

“แต่นายน้อยของป้า…เขา…ไม่ได้อยากพบฉัน เขาเกลียดขี้หน้าฉันแล้ว”

“ไม่จริงหรอกค่ะ นายน้อยคลั่งคุณจะตายไป เมื่อคืนก็หน้าบูดหน้าบึ้งกลับมาบ้าน ทั้งๆ ที่ก่อนออกไปบอกว่าจะไปค้างที่หอพักกับคุณ”

‘ที่หน้าบูดหน้าบึ้งกลับมาก็เพราะเบื่อสาวอ่อนหัดไร้ประสบการณ์อย่างหล่อนมากกว่า’

หญิงสาวคิดด้วยความชอกช้ำ ขณะพยายามร้องสั่งหัวใจตัวเองให้คล้อยตามคำพูดของแม่บ้านร่างท้วมตรงหน้า แต่จนแล้วจนรอดหล่อนก็เชื่อไม่ลง

“เขาเบื่อฉัน”

เชอรี่ค้านคำพูดของยาหยีอีกครั้งด้วยการส่ายหน้าไปมาช้าๆ

“นายน้อยอยู่ในห้องทำงานทางทิศเหนือค่ะ ห้องเดิมนั่นแหละ คาดว่าคุณคงจำได้นะคะ”

จบคำพูดร่างท้วมของแม่บ้านวัยกลางคนก็เดินหายไปจากสายตา ยาหยีถอนใจออกมาด้วยความสับสน สมองมึนงง หัวใจจังงังกับสิ่งที่ได้รู้ยิ่งนัก พ่อของหล่อนกำลังตกอยู่ในอุ้งมือของผู้ชายที่หล่อนเผลอใจไปหลงรัก แล้วหล่อนจะทำยังไงดี จะทำยังไงเพื่อให้คอร์เนลยอมปล่อยบิดาของหล่อนไป แม้เขาจะเคยรับปากว่าจะไม่ฆ่าท่าน แต่หากเขาคิดจะขังพ่อของหล่อนไปตลอดชีวิตล่ะ หล่อนจะยอมได้หรือ จะยอมให้ผู้บังเกิดเกล้าต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ในสถานที่กักขังแบบนั้นได้ยังไง

สาวน้อยกัดฟันแน่น ข่มความหวาดหวั่นต่อสายตาดูถูกเหยียดหยามของคอร์เนล ขณะก้าวเดินมุ่งหน้าไปยังห้องทำงานของชายหนุ่มที่หล่อนจำมันได้ดีว่าอยู่ตรงไหน ความเร่าร้อนที่เกิดขึ้นภายในห้องนั้นยังติดตราและตรึงใจไม่จาง และถ้าหากเขาต้องการให้หล่อนยอมพลีกายให้อีกเพื่อแลกกับอิสรภาพของบิดา หล่อนก็ยินดีจะทำ

แล้วหล่อนทำแบบนี้เพื่อใครกันล่ะ? บิดา? หรือว่าตัวของหล่อนเอง?

“บอกมาสิว่าเพชรสีทองของฉันอยู่ที่ไหน!”

เสียงคำรามโหดเหี้ยมดังเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากหยักสวยของคอร์เนลแผ่วเบา แต่ทุกพยางค์นั้นอัดแน่นไปด้วยโทสะร้ายจนคนที่กำลังคุกเข่าอยู่แทบเท้าตรงหน้าตัวสั่นเทาหนักมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่านัก

“ผม…ขอโทษครับ…”

“ฉันไม่ต้องการคำขอโทษ! แต่ฉันต้องการรู้ว่าตอนนี้แกเอาเพชรของฉันไปไว้ที่ไหน ไอ้สารเลว!”

กำปั้นที่หนักยิ่งกว่านักมวยอาชีพของคอร์เนลซัดเข้าที่ใบหน้าของยอดชายเต็มแรง จนร่างที่ผอมบางลงกว่าเดิมมากมายของยอดชายหงายหลังลงไปนอนอยู่กับพื้นหินอ่อนหน้าลานตึกใหญ่อย่างน่าเวทนานัก เซอร์เกรีบเข้าไปห้ามเมื่อเห็นนายน้อยของตัวเองกำลังจะเข้าไปซัดต่อ

“หากมันตายไปก่อนที่จะบอกที่ซ่อนของเพชรสีทอง เราก็จะไม่มีวันหาพบนะครับนายน้อย”

คอร์เนลหรี่ตาสีเขียวจัดมองคนสนิทนิ่ง ความเกรี้ยวกราดแล่นพล่านไปทั้งกายหนุ่ม

“ต่อให้ต้องขุดดินหา นายก็รู้ไม่ใช่หรือเซอร์เก ว่าฉันก็ต้องหาเพชรสีทองของแม่ให้พบ”

“ผมทราบครับว่านายน้อยจะหามันพบจนได้ แต่มันอาจจะต้องใช้เวลาทั้งชีวิตนะครับนายน้อย สู้เราค่อยๆ เค้นตามจากนายยอดชายไม่ดีกว่าหรือครับ” เซอร์เกเอียงหน้ามากระซิบที่ข้างหูของคอร์เนลด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

“และผมมีวิธีที่จะทำให้นายยอดชายคลายความลับนั้นออกมา”

คำกระซิบกระซาบของเซอร์เกมีผลทำให้คิ้วเข้มยาวเป็นปื้นของคอร์เนลเลิกขึ้นสูงด้วยความแปลกใจ และก่อนที่ชายหนุ่มจะทันได้เอ่ยถามสิ่งใดออกไป คนสนิทวัยกลางคนก็รีบเอ่ยปากไขข้อข้องใจให้กับเขาเสียก่อน

“ถ้าใช้หนูยาหยี รับรองว่านายยอดชายต้องยอมบอกที่ซ่อนเพชรสีทองแน่ๆ ครับ”

มันเป็นความคิดที่ดีเหลือเกิน แต่ทำไมนะ ทำไมเขาถึงไม่มีความรู้สึกอยากจะทำมันเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่ใช่ว่ากลัวหรือเกรงอะไรหรอก แต่ที่ไม่อยากทำก็เพราะเขาไม่ต้องการจะเจอหน้าผู้หญิงคนนั้นอีก ผู้หญิงที่สามารถทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงระรัวได้ในทุกครั้งเพียงแค่สบตากัน ยาหยีคือความหายนะอันยิ่งใหญ่สำหรับเขาเลยทีเดียว และการอยู่ห่างๆ เจ้าหล่อนก็เป็นทางออกที่ดีที่สุด แต่ตอนนี้เซอร์เกกำลังแนะนำให้เขากลับไปดึงแม่นั่นมาไว้ข้างกายอีกครั้ง ผู้หญิงที่เขาตั้งใจจะถอยออกห่างทั้งที่ยังโหยหาแทบคลั่ง

“ฉันไม่คิดจะยุ่งเกี่ยวกับแม่นั่นอีก”

“นายน้อยไม่ต้องทำเองก็ได้ครับ ให้ผมหรืออีวานทำให้ก็ได้” เซอร์เกพยายามแนะนำทางออกที่ดีที่สุดให้กับนายหนุ่ม แต่ดูเหมือนว่าคอร์เนลจะตัดความหวงแหนยาหยีออกจากใจไม่ขาด สังเกตได้จากน้ำเสียงห้วนๆ แข็งๆ ของนายน้อยที่คำรามออกมานั่นแหละ

“ห้ามใครแตะต้องยาหยีเด็ดขาด!”

สิ้นคำห้วนกระด้างที่ออกมาจากปากของผู้เป็นนาย เซอร์เกก็ลอบยิ้มออกมาอย่างรู้ทัน

“แล้วนายน้อยจะให้พวกผมทำยังไงครับ”

“ฉันจะจัดการเรื่องยาหยีเอง นายแค่นำเรื่องนี้ไปขู่ไอ้คนทรยศนั่นก็พอ และบอกมันด้วยว่าหากมันไม่ยอมบอกที่ซ่อนเพชรสีทองกับฉันละก็ ลูกสาวมันตายคามือฉันแน่”

จบคำพูดที่เต็มไปด้วยความเดือดดาล ร่างสูงใหญ่ของคอร์เนลก็ก้าวยาวๆ ขึ้นตึกใหญ่ไปในพริบตา เซอร์เกถอนใจออกมาอย่างโล่งอก ขณะเดินเข้าไปหยุดมองร่างของยอดชายที่ยังนอนหงายอยู่กับพื้นด้วยสายตาเวทนา

“ไม่น่าทำเรื่องแบบนี้เลยนะยอดชาย”

“ผมขอโทษครับ ผมจำเป็นจริงๆ” ยอดชายพึมพำเสียงแผ่วเบา ขณะพยุงกายลุกขึ้นนั่ง

“แล้วจะไม่บอกจริงๆ ใช่ไหมว่าเพชรสีทองของนายน้อยอยู่ที่ไหน”

เซอร์เกถาม แต่คนถูกถามกลับนั่งก้มหน้านิ่งเป็นเป่าสาก และนั่นก็ทำให้คนยืนรอฟังคำตอบถึงกับหมดความอดทนขึ้นมา

“ไม่ต้องบอกก็ได้ แต่ขอให้รู้ไว้นะว่าทุกวันต่อจากนี้ไปลูกสาวของนายจะต้องรับผิดชอบในการกระทำของนายทั้งหมด”

ท่าทางตาเหลือก อ้าปากค้างของยอดชาย ทำให้เซอร์เกลอบยิ้ม

“และแน่นอนว่านายน้อยไม่มีทางปรานีลูกสาวของนายแน่ ยอดชาย…”

“อย่า! อย่าทำอะไรลูกสาวผม อย่าทำ ได้โปรด…” ยอดชายคลานไปเกาะขาเซอร์เกที่กำลังจะเดินจากไป

“งั้นก็บอกมาสิว่าเพชรอยู่ที่ไหน?”

“ผมไม่รู้ ไม่รู้จริงๆ ครับว่าตอนนี้มันอยู่ที่ไหน ได้โปรดเชื่อผม”

เมื่อยอดชายยังยืนยันคำเดิม เซอร์เกจึงยุติการสนทนาทั้งหมดลงในทันที

“งั้นก็เตรียมผ้าเช็ดหน้าเอาไว้ซับน้ำตาให้ลูกสาวได้เลย แต่คงต้องหลายๆ ผืนหน่อยนะ เพราะเชื่อว่ากว่านายน้อยจะหายแค้น ลูกสาวของนายคงจะช้ำน่าดู”

เซอร์เกถอดแบบความเหี้ยมเกรียมและเด็ดขาดมาจากคอร์เนลเจ้านายหนุ่มของตัวเองได้อย่างไม่มีผิดเพี้ยน ขณะหันไปสั่งหลานชายที่ยืนอยู่ฝั่งตรงกันข้าม

“เอานักโทษไปขังเอาไว้ และจัดเวรยามเฝ้าตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง”

“ครับน้าเซอร์เก”

อีวานรับคำ จากนั้นก็พยักหน้าให้บอดี้การ์ดสองสามคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ให้หิ้วปีกยอดชายตรงไปยังเรือนเล็กเพื่อจองจำอิสรภาพ และแม้ตลอดทางยอดชายจะร่ำร้องอ้อนวอนให้ละเว้นยาหยีมากแค่ไหน แต่ดูเหมือนว่าทุกคนจะทำเป็นไม่ได้ยินมันเลย

คิ้วโก่งที่ถูกตัดแต่งมาอย่างดีของลินดาเลิกขึ้นสูงด้วยความแปลกใจ ก่อนจะพูดออกมาด้วยความข้องใจสุดขีด

“อย่าบอกนะว่าที่เธอนอนกับเขาก็เพราะแลกเปลี่ยน”

ยาหยีพยักหน้าทั้งน้ำตา ขณะที่ลินดาถึงกับยกมือขึ้นทาบอกด้วยความตกใจ

“ฉันไม่อยากเชื่อ…ทำไมเธอทำแบบนี้ล่ะลูกหยี เธอหวงความสาวจะตายไป แล้วทำไม? ทำไมถึงได้ยอมทำเรื่องแบบนี้ไปได้ หรือว่าเงินขาดมือน่ะลูกหยี?”

เจ้าของชื่อส่ายหน้าช้าๆ ความโศกเศร้าเจ็บปวดอัดแน่นอยู่ในทุกอณูเนื้อหัวใจ กลีบปากสาวสั่นระริกด้วยความชอกช้ำ

“ถ้าไม่ใช่เรื่องเงินแล้วเรื่องอะไรล่ะ เรื่องอะไรกันที่มันทำให้เธอต้องยอมขายศักดิ์ศรีแบบนี้” ลินดาเขย่าร่างของเพื่อนรักแรงๆ เมื่อแม่เพื่อนสาวคนงามพยายามจะก้มหน้าหลบตา

“บอกมาสิลูกหยี บอกฉันมาว่าทำไมเธอถึงทำเรื่องบ้าๆ แบบนี้”

“เขาจะฆ่าพ่อของฉัน!”

ยาหยีโพล่งออกมาเสียงเบาหวิว ลินดาถึงกับอ้าปากค้างด้วยความตกใจกับสิ่งที่ได้ยินจากปากของเพื่อนรัก ผู้ชายหล่อระเบิดคนนั้นเนี่ยนะจะฆ่าพ่อของยาหยี มันไม่น่าจะเป็นไปได้เลยให้ตายสิ

“ว่ายังไงนะ เขาจะฆ่าพ่อของเธอ นี่มันเรื่องอะไรกัน ทำไมพ่อรูปหล่อคนนั้นเขาจะต้องทำแบบนั้นด้วยล่ะ หรือว่าเขาจะเป็นพวกโจร แต่จากที่ฉันเห็น ท่าทางของเขาแตกต่างจากคำว่าโจรมากเลยนะ เหมือนพวกเจ้าชาย พวกเทพบุตรมากกว่า”

“เขาไม่ได้เป็นโจรหรอกลินดา แต่ว่าพ่อของฉันไปขโมยเพชรของเขามา เขาก็เลยมาทวงคืน” พอได้ยินคำอธิบายของยาหยี ลินดาก็ร้องอ๋อออกมาในทันทีอย่างเข้าใจความหมายทุกอย่าง

“พ่อสุดหล่อนั่นก็เลยมาลากเธอขึ้นเตียงเพื่อชดใช้ความเสียหายที่พ่อของเธอทำขึ้นอย่างนั้นใช่ไหม แหม! เหมือนกับนิยายที่ฉันพึ่งอ่านจบไปเมื่อวันก่อนเลยอะ พระเอกโกรธพ่อนางเอกก็เลยมาแบล็กเมล์นางเอกเอาตัวมาแลก ตอนแรกก็กะจะว่าได้แล้วก็จะเขี่ยทิ้ง แต่ดันติดใจซะงั้น ท้ายสุดก็ไปไหนไม่รอดต้องถูกนางเอกขังไว้ในกรงวิวาห์ชั่วชีวิต”

บรรยากาศที่โศกเศร้าแถมยังตึงเครียดเหลือแสนกลับกลายเป็นขำขันทันทีที่ลินดาหัวเราะออกมา ยาหยีก็อยากจะให้ชีวิตของตัวเองเป็นอย่างนางเอกในนิยายที่เพื่อนเล่าให้ฟังเหลือเกิน แต่มันจะเป็นไปได้ยังไงกันล่ะ ในเมื่อหล่อนไม่มีทางเป็นนางเอกสำหรับคอร์เนลไปได้ ต่อให้พยายามมากแค่ไหนก็ตาม

“ฉันไม่ใช่นางเอกสำหรับเขาหรอก”

“อย่าพึ่งด่วนสรุปสิลูกหยี บางทีเธออาจจะเข้าใจผิดไปเองก็ได้”

ลินดาเอียงหน้าเข้ามากระซิบกระซาบข้างหูของเพื่อนสนิท ระบายยิ้มออกมาด้วยความโล่งใจ เพราะในสายตาของหล่อนนั้นออกจะมั่นใจด้วยซ้ำว่าพ่อสุดหล่อตาสีเขียวคนนั้นหลงเพื่อนรักของตัวเอง แต่ไม่ยอมพูดออกมาเท่านั้น

“ฉันเข้าใจถูกทุกอย่าง ฉันก็แค่อีตัว ผู้หญิงชั่วคราวของเขาเท่านั้น”

“แต่ฉันคิดว่าเขาถูกใจเธอนะยายลูกหยี ก็คิดดูสิ เขาไม่จำเป็นเลยที่จะต้องมาตามหาเธอถึงที่มหาวิทยาลัย เพราะผู้ชายเพอร์เฟ็กต์ขั้นเทพแบบเขาจะหาผู้หญิงสวยๆ หุ่นสะบึมสักร้อยสักพันคนก็ได้แค่กระดิกนิ้วเรียกเท่านั้น แต่เขากลับมาหาเธอ บุกไปถึงห้องเรียน แถมยังตามมาหาถึงหอพักอีก ฉันคิดว่าเขาต้องรู้สึกพิเศษกับเธอแน่ๆ เชื่อฉันเถอะ”

หัวใจที่เหี่ยวแฟบลงไปตั้งแต่คอร์เนลออกไปจากห้องกลับมาฟูฟ่องอีกครั้ง แต่เพียงครู่เดียวก็เหี่ยวเฉาลงไปเช่นเดิม เมื่อสมองร้องเตือนว่าที่คนตัวโตทำแบบนั้นก็เพราะว่ายังไม่เบื่อร่างกายของหล่อนเท่านั้นเอง

“เลิกพูดถึงเขากันเถอะลินดา ฉันไม่อยากจดจำชื่อของผู้ชายนั้นอีก”

ทุกความรู้สึกยังคงอัดแน่นไปด้วยความเจ็บช้ำ หัวใจกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด หล่อนจะต้องลืมผู้ชายคนนั้นให้ได้ จะต้องลืมให้หมดว่าเคยมีความสุขแค่ไหนเมื่ออยู่ใต้ร่างทรงพลังของเขา แม้ว่ามันจะต้องใช้เวลานานแค่ไหนก็ตาม

“ฉันเกลียดเขา…เกลียดที่สุด…”

“โกหก! มองก็รู้ว่าเธอหลงรักพ่อเทพบุตรตาเขียวนั่นตั้งแต่แรกสบตา” ลินดาพูดเสียงจริงจัง และไม่มีปรนผ่อนแม้แต่นิดเดียว

“อ๊ะๆ อย่าบอกเชียวนะว่าไม่ใช่ เพราะฉันไม่มีวันเชื่อแน่ๆ”

ความรู้สึกของหล่อนมันไม่สำคัญอะไรหรอก ในเมื่อคอร์เนลไม่เคยมองเห็นมันเลยแม้แต่ครั้งเดียว หล่อนจะรัก จะเกลียด หรือว่าจะแค้นยังไง ผู้ชายคนนั้นไม่สนใจ ไม่ใส่ใจอยู่แล้ว

“ฉันไม่ได้ต้องการให้ใครเชื่อ และฉันจะย้ายออกไปจากที่นี่ทันที หากเธอยังไม่หยุดพูดถึงผู้ชายสารเลวคนนั้น” น้ำเสียงของยาหยีแม้ว่ามันจะแผ่วเบาแต่ก็เต็มไปด้วยเด็ดขาดจริงจังจนลินดาต้องตอบตกลงในทันที

“โอเคๆ ฉันจะไม่พูดถึงพ่อเทพบุตรตาเขียวให้เธอได้ยินอีก พอใจไหมแม่ลูกหยี”

ยาหยีพยักหน้าน้อยๆ ขณะพาร่างกายอิดโรยของตนเองก้าวลงไปยืนกับพื้นห้องด้วยท่าทางไม่มั่นคงนัก ลินดาเห็นแล้วก็ต้องรีบเข้าไปประคองด้วยความเป็นห่วง ขณะลอบถอนใจออกมาด้วยความเบื่อหน่ายกับความปากแข็งใจแข็งของเพื่อนรัก

“นั่งก่อนเถอะลูกหยี ไข้คงกลับมาอีกแล้ว”

“ไม่เป็นไรหรอกลินดา ฉันเดินไหว” ยาหยีฝืนพาตัวเองเดินไปหยุดที่ประตูห้องน้ำ โดยมีลินดาเดินตามประกบไปด้วยความห่วงใย

“วันนี้เรามีติวหนังสือสอบกันในห้องสมุดใช่ไหม”

“ใช่ แต่เธอไม่ต้องไปก็ได้นะ เธอทำข้อสอบวันพรุ่งนี้ได้อยู่แล้วล่ะ”

ลินดาพูดขึ้นเพราะเป็นห่วงเพื่อน แต่แม่เพื่อนสาวตัวดีกลับไม่ยอมรับความหวังดีซะงั้น จนหล่อนอดอ่อนอกอ่อนใจไม่ได้

“ฉันไปไหว ขอเวลาสิบห้านาทีเท่านั้น”

จบคำพูดเหนื่อยๆ ร่างของยาหยีก็หายเข้าไปในห้องน้ำ ลินดามองตามไปด้วยความเวทนาแกมหมั่นไส้

“ขอให้ใจแข็งแบบปากเถอะยายลูกหยี”

ขณะที่ลินดาบ่นกระปอดกระแปดด้วยความอ่อนอกอ่อนใจอยู่นั้น ยาหยีก็กำลังจ้องมองตัวเองในกระจกเงาและร่ำไห้ออกมาด้วยความเจ็บปวด

“ทำไมฉันต้องนึกถึงคุณด้วย ทำไมฉันตัดใจจากคุณไม่ได้” คร่ำครวญด้วยความชอกช้ำ กายสาวถูกบีบคั้นด้วยความร้าวรานอย่างรุนแรง เจ็บจนหัวใจแทบแหลกละเอียดกับการกระทำของชายคนนั้น ชายที่หล่อนโหยหาทั้งเวลาหลับและเวลาตื่น

เห็นได้ชัดๆ เลยว่าเขาไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรกับสิ่งที่เกิดขึ้นเลยแม้แต่นิดเดียว ตรงข้ามกับหล่อนที่ทั้งตื่นเต้นและโหยหากับสัมผัสอันแนบชิดสนิทสนมที่เกิดขึ้นเหลือเกิน ทุกอย่างที่เขาทำกับผิวสาวของหล่อนมันช่างงดงามสวยสดและน่าหลงใหลยิ่งนัก มันพิเศษสุดๆ สำหรับหล่อน มันติดตราตรึงใจจนไม่อาจจะลบเลือนได้เลย

แต่สำหรับเขา…คงมีแต่ความน่าเบื่อและน่ารำคาญ เขาคงนึกเกลียดตัวเองเลยล่ะมั้งที่เผลอมาข้องแวะกับสาวไร้ประสบการณ์แถมยังจืดชืดน่าเบื่อหน่ายแบบหล่อน และก็เพราะสาเหตุนี้ล่ะมั้งที่ทำให้คอร์เนลเฉยชาทุกครั้งที่สงครามสวาทจบสิ้น

เขาทำราวกับว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น ไม่พูดไม่จา ไม่เอ่ยถึงสิ่งล้ำค่าที่หล่อนมอบให้เลยแม้แต่คำเดียว น่าเจ็บปวด น่าน้อยใจ และน่าอดสูเป็นที่สุด หล่อนมันก็แค่อีตัว อีตัวชั้นต่ำที่เขาต้องครอบครองเพียงเพราะว่าต้องการถอนทุนคืนจากการกระทำของบิดาของหล่อนเท่านั้น มันแค่นี้จริงๆ

หญิงสาวกัดปากแน่นจนปลายลิ้นได้ลิ้มรสเลือด ขณะร้องสั่งตัวเองให้เงยหน้าเผชิญกับความจริง ที่แม้มันจะโหดร้ายน่าสะพรึงกลัวมากแค่ไหน แต่หล่อนก็ต้องยอมรับมัน และก้าวข้ามความร้าวรานแสนเจ็บปวดพวกนี้ไปให้จงได้

มือบางยกขึ้นเช็ดคราบความเสียใจจากใบหน้างามครั้งแล้วครั้งเล่า น้ำตาแห้งเหือดลงไปแล้ว แต่ความโศกเศร้าที่อัดแน่นอยู่ในหัวอกนั้นหาได้ลดน้อยลงไม่ มันยังคงท่วมท้นหัวใจอยู่อย่างมากมายมหาศาลเฉกเช่นเดิม

‘ไม่เคยหงุดหงิดแบบนี้มาก่อนเลยให้ตายสิ’

คอร์เนลสบถอยู่ในใจด้วยความเดือดดาล เดินกลับไปกลับมาในห้องครั้งแล้วครั้งเล่า สมองนึกถึงแต่ผู้หญิงคนนั้นไม่หยุด ผู้หญิงที่กวนโทสะเขาได้อย่างร้ายกาจ ผู้หญิงที่ทำให้เขาหัวเสียได้อย่างเหลือเกิน และผู้หญิงที่ทำให้เขาหยุดนึกถึงไม่ได้เลยแม้แต่เสี้ยววินาทีเดียว เขาไม่ควรจะคิดถึงหล่อนมากมายแบบนี้เลย ให้ตายเถอะ

ชายหนุ่มสบถครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยความเดือดดาล เกรี้ยวกราด สมองสรุปเจ้าอาการงุ่นง่านที่เกิดขึ้นจนล้นปรี่ในอกให้อย่างแม่นยำเลยทีเดียว ว่าเป็นการลุ่มหลงแม่นั่นอย่างบ้าคลั่ง!

ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผู้ชายเลิศเลออย่างเขาจะต้องมานั่งร้อนอกร้อนใจเพียงเพราะผู้หญิงต่ำต้อยแถมยังพ่วงตำแหน่งลูกสาวไอ้ขี้ขโมยได้ถึงเพียงนี้

รุ่มร้อนจนแทบจะนั่งไม่ติด กายหนุ่มยังคงตื่นเร้ารอคอย ความจริงเขาคงจะนอนกกกอดหล่อนอยู่ในหอพักนั้นทั้งคืน หากเจ้าหล่อนไม่ปากดีปากเก่งแบบนั้น

“ก็เพราะฉันเกลียดคุณยังไงล่ะ”

ก็เพราะคำๆ นี้นี่แหละที่ทำให้เขาต้องรีบแยกจาก และเผ่นแน่บออกมาจากห้องพักของยาหยีแทบไม่ทัน หล่อนเกลียดเขา…ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่สิ่งที่แปลกก็คือ ทำไมเขาจะต้องเจ็บแปลบในอกยามที่ได้ยินคำนี้ออกมาจากปากของเจ้าหล่อนด้วย

ทำไมเขาต้องรู้สึกแคร์ด้วยว่าแม่นั่นจะคิดยังไงกับตัวเอง เขาควรจะเฉยเมย ไม่รู้สึกรู้สากับความรู้สึกของผู้หญิงที่ตัวเองซื้อมาบำบัดความใคร่ไม่ใช่หรือ แล้วทำไมถึงได้รู้สึกเจ็บนักยามที่ยาหยีบอกว่าเกลียด หรือว่าเขาจะหลงรักหล่อนเข้าแล้วจริงๆ

‘ไม่! ไม่มีทางเป็นไปได้หรอก’

หนุ่มหล่อสะบัดศีรษะแรงๆ จนเส้นผมสีเข้มกระจายยุ่งเหยิง ใบหน้าหล่อเหลาแดงก่ำมากขึ้นหลายเท่า สองมือกำเข้าหากันแน่นเป็นหมัด ก่อนจะซัดเปรี้ยงเข้ากับกำแพงห้องใกล้ๆ เพื่อระบายอารมณ์คลั่งในอก แต่ให้ตายเถอะ ต่อยกำแพงห้องไปตั้งหลายทีจนนิ้วมือเลือดซิบ แม่เจ้าประคุณทูนหัวยาหยีก็ยังคงฝังแน่นอยู่ในสมองไม่หายไปไหน แถมยังติดแน่นราวกับตุ๊กแกเสียอีก

“ยายแม่มด!”

กรามแกร่งขบกันแน่นจนปูดเป่ง เกลียดโกรธตัวเองนักที่ไม่สามารถขจัดยาหยีออกไปจากสมองอันเฉียบคมของตัวเองได้ แถมไอ้ความต้องการยังครอบงำร่างกายอย่างรุนแรงอีกต่างหาก

เขาจะต้องทำยังไงนะ จะต้องทำยังไงถึงจะขจัดแม่ยาหยีคนงามออกไปจากชีวิตของตัวเองได้ นี่ขนาดแค่ครั้งสองครั้งบนเตียง บนโต๊ะทำงาน เขายังลุ่มหลงอย่างรุนแรงแบบนี้ แล้วถ้าคลุกอยู่ด้วยกันทั้งวันทั้งคืนล่ะ มีหวังเขาไม่ต้องทำอะไรเลย นอกจากโรมรันสวาทกับแม่นั่นอย่างเดียว

ไม่ได้ๆ หากปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ เขาจะเป็นคนเดียวที่ย่ำแย่ เขาจะต้องหาวิธีจัดการกับแม่นั่น และที่สำคัญจัดการกับสมอง หัวใจ และร่างกายของตัวเองให้เลิกโหยหาแม่ยาหยียาใจนั่นสักที วิธีน่ะเหรอ? ก็แค่ให้คนไปลากตัวไอ้คนทรยศมากองที่แทบเท้าแล้วเค้นหาที่ซ่อนเพชรสีทองน่ะสิ แค่นี้ยาหยีก็จะหมดประโยชน์ใดๆ กับเขาแล้ว

คอร์เนลระบายยิ้มให้กับความคิดของตัวเอง

“คราวนี้คุณก็ไม่สามารถที่จะครอบงำผมได้ตลอดเวลาแล้วล่ะยาหยี”

ดวงตาสีเขียวดุจมรกตเนื้อดีวาวโรจน์ ขณะเคลื่อนกายทรงพละกำลังของตัวเองตรงไปหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดต่อสายหาคนสนิท

“เซอร์เก ไปลากคอไอ้ยอดชายมาให้ฉันขยี้คืนนี้!”

ออกคำสั่งจบปุ๊บก็ตัดสายทันทีเมื่อคู่สนทนาน้อมรับคำสั่ง โทรศัพท์มือถือบางเฉียบราคาแพงหูฉี่ถูกโยนลงบนที่นอนอย่างไม่ไยดี ก่อนที่เจ้าของผู้หล่อลากดินจะก้าวยาวๆ เดินหายเข้าไปในห้องน้ำแสนหรูที่อยู่ด้านในสุดของห้องนอนโอ่อ่าทันที

แม้แสงแดดยามเช้าจะเล็ดลอดผ่านเข้ามาทางหน้าต่างมากมายแค่ไหน แต่เจ้าแสงสว่างเจิดจ้าชนิดที่หลอดนีออนยี่สิบวัตต์เทียบไม่ติดนี้ก็ไม่สามารถมาปลุกให้ร่างอรชรที่นอนขดตัวคุดคู้อยู่บนเตียงรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาได้เลยแม้แต่น้อย หญิงสาวยังคงนอนนิ่งราวกับไร้ลมหายใจ

“ยาหยี…ยายลูกหยี”

ลินดาเอ่ยเรียกเบาๆ หลังจากยืนมองสภาพของเพื่อนอยู่ข้างเตียงเป็นเวลานานหลายอึดใจ คงจะทะเลาะกันอีกแล้ว ไม่อย่างนั้นยายลูกหยีเพื่อนของหล่อนคงไม่นอนหลับไปทั้งที่น้ำตาท่วมหน้าแบบนี้หรอก ดูสิ…คราบน้ำตายังเต็มหน้าอยู่เลย

ลินดาถอนใจออกมา และเรียกเพื่อนอีกครั้ง

“ลูกหยี…ตื่นเถอะ สายแล้ว”

ร่างอรชรค่อยๆ ขยับตัวช้าๆ และในที่สุดดวงตาหวานฉ่ำที่หล่อนเคยอิจฉาเสมอยามได้มองก็ลืมโพลงขึ้น และนั่นก็ทำให้หล่อนได้เห็นความโศกเศร้าในสายตาของยาหยีชัดเจน

“ทะเลาะกันอีกแล้วใช่ไหม?”

ลินดาทรุดตัวนั่งข้างๆ ขณะที่ยาหยีค่อยๆ ยันกายลุกขึ้นนั่งพิงกับหัวเตียงโดยมีหมอนใบใหญ่รองอยู่ใต้แผ่นหลัง

น้ำตาซึมออกมาอีกครั้งเมื่อต้องพูดถึงผู้ชายใจดำที่ทอดทิ้งหล่อนให้นอนฝันร้ายอยู่เพียงลำพังตลอดทั้งคืน

เขาใจดำ ใจร้าย และไม่มีวันรักหล่อนได้อย่างแน่นอน แต่หล่อนสิ ไม่รักดี ห้ามหัวใจตัวเองไม่เคยได้ อยู่ใกล้เขาทีไรหัวใจกระตุกเสียทุกทีไป ยิ่งได้อยู่ในอ้อมแขนทรงพลังนั้น หล่อนก็ยิ่งระทดระทวย ยอมสยบสิ้นคาแทบเท้าของเขา

มันน่าสมเพช น่าเวทนา แต่หัวใจของหล่อนก็ตกอยู่ในอุ้งมือของคอร์เนลไปเสียแล้ว ตกไปอยู่ในอุ้งมือมารโดยที่เจ้าของอย่างหล่อนไม่ได้เต็มใจสักนิด แถมเขายังมองไม่เห็นค่าของมันอีกต่างหาก มันช้ำเสียยิ่งกว่าช้ำ

น้ำตาพานไหลซึมออกมาอีกระลอกหลังจากที่นอนจมกับธารแห่งความอาดูรมาตลอดทั้งคืน ก้อนสะอื้นแสนทรมานอัดแน่นอยู่ในอกจำนวนมหาศาล หล่อนเกลียดความรู้สึกนี้เหลือเกิน เกลียดความรู้สึกที่มีแต่ผู้ชายคนนั้น ผู้ชายที่ไม่เคยเห็นหล่อนมีค่าเกินกว่าคำว่า ‘อีตัว’ เลยแม้แต่ครั้งเดียว

“คนรักกันก็เป็นแบบนี้แหละ ต้องมีทะเลาะกันบ้าง ฉันกับโกวิทก็ตีกันบ่อยๆ แต่ก็ยังรักกันเหมือนเดิม”

เมื่อเห็นว่าเพื่อนสาวนั่งนิ่งไม่ยอมตอบคำถาม ลินดาจึงเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นเสียเอง พยายามจะปลอบใจยาหยีแต่แม่คุณคนงามกลับส่ายหน้าปฏิเสธซะอย่างนั้น

“ฉันกับเขาไม่ใช่คนรักกันหรอกลินดา”

“ไม่ใช่คนรักอะไรล่ะ ดูพ่อรูปหล่อตาเขียวนั่นจะแคร์เธอมากๆ เลย เชื่อเถอะว่าฉันมองไม่ผิดหรอก”

“แต่ครั้งนี้เธอมองผิดแล้วล่ะลินดา เราไม่ใช่คนรักกัน…ไม่มีวันเป็นไปได้ด้วย” ยิ่งพูดก็ยิ่งช้ำ น้ำตาหลั่งรินออกมาไม่ขาดสาย

“ไม่ใช่คนรักอะไรล่ะ ถ้าไม่ใช่คนรักแล้วทำไมเธอถึงยอมนอนกับเขาล่ะลูกหยี และอย่าบอกนะว่าแค่สนุกๆ เพราะฉันไม่มีวันเชื่อเด็ดขาด แล้วผู้หญิงหวงเนื้อหวงตัวแบบเธอก็ไม่มีทางปล่อยกายปล่อยใจเพียงเพราะความสนุกได้หรอก ลูกหยี…อย่ามาโกหกฉันเลย”

ลินดาค้านเสียงแข็งโป๊ก ขณะจับจ้องใบหน้าสวยงามปานน้ำตาลอ้อยของยาหยีเขม็งอย่างรอคอยคำตอบ และในที่สุดยาหยีก็ตอบออกมาเสียงเจือสะอื้น

“ความสัมพันธ์ของเราไม่ได้มีความรู้สึกมาเกี่ยวข้องเลยจริงๆ ลินดา ฉัน…” แรงสะอื้นทำให้ยาหยีต้องหยุดพูดชั่วขณะ

“ฉันกับเขาก็แค่…แลกเปลี่ยนกันเท่านั้น”

และในที่สุดยาหยีก็สามารถพูดความอัปยศของตัวเองออกมาให้ลินดาได้รับรู้จนจบประโยคจนได้ ตอนนี้หล่อนไม่ควรจะปิดบังอะไรต่อเพื่อนรักคนนี้ของหล่อนอีกแล้ว

“แลกเปลี่ยน?”

พายุสวาทสุดป่าเถื่อนแต่ก็แสนหวานจบลงไปแล้ว จบลงพร้อมๆ กับการเคลื่อนไหวและเสียงสั่นคลอนของเตียง แต่ทำไมนะ ทำไมความเสียวซ่านถึงยังคงกัดกินร่างกายของหล่อนอยู่มากมายขนาดนี้ ทำไมผิวสาวถึงยังร้อนผ่าว ช่องท้องถึงได้ตื่นเร้ารุนแรง เหมือนกับยังไม่พอ เหมือนกับยังไม่อิ่ม

ใช่สินะ หล่อนยังต้องการคอร์เนลอีก ต้องการอีกจนน่าละอาย

ยาหยีก้มหน้ายอมรับกับตัวเองอยู่ภายในใจด้วยความขมขื่น เมื่อสมองร้องเตือนว่าหล่อนก็แค่อีตัวบนเตียงที่ยังใช้งานไม่คุ้มก็แค่นั้นเอง

ความน้อยใจทำให้หญิงสาวเริ่มขยับตัวดิ้นรนอีกครั้ง หลังจากปล่อยให้เขาดื่มด่ำอยู่ภายในกายมาเนิ่นนาน

คอร์เนลผงกศีรษะทุยได้รูปสวยของตัวเองขึ้นจากเต้างามอย่างไม่เต็มใจนัก ดวงตาคมกริบสีเขียวจัดของเขาดูหนักอึ้งเหลือเกิน

“ดิ้นทำไมลูกหยี”

“อย่ามาเรียกฉันแบบนี้นะ คุณไม่ใช่คนสนิทของฉัน”

“คุณน่าจะรู้นะว่าผมน่ะเป็นยิ่งกว่าคนสนิทของคุณเสียอีก”

คนตัวโตขยับสะโพกเป็นจังหวะหยอกเย้ามากกว่าจะเอาจริง แต่กระนั้นก็ทำให้สาวน้อยหน้าร้อนผ่าวจนแทบไหม้ได้อย่างง่ายดาย

“คนลามก!”

หญิงสาวหน้าแดงก่ำ มือที่เคยใช้โอบกอดเรือนกายชื้นเหงื่อของคอร์เนลเอาไว้ยกขึ้นผลักไสแผงอกกว้างสมบูรณ์แบบเสียเต็มแรงทันที

คิ้วเข้มของคอร์เนลเลิกขึ้นสูงราวกับต้องการถามว่าเจ้าหล่อนเป็นอะไรไปอีก

“เมื่อกี้ตอนที่เราสนุกกัน คุณไม่เห็นแสดงท่าทางรังเกียจผมแบบนี้เลย แล้วตอนนี้ทำทำไม?”

“ก็เพราะฉันเกลียดคุณยังไงล่ะ”

ไม่คิดว่าคำพูดแง่งอนของตัวเองจะส่งผลร้ายแรงได้ถึงเพียงนี้เลยให้ตายสิ เพราะมันทำให้คอร์เนลพลิกกายกำยำลงจากร่างเปลือยของหล่อนในทันที เขาขยับลุกขึ้นไปนั่งหันหลังให้หล่อนที่ขอบเตียง ความเงียบเข่นฆ่ายาหยีอยู่นานหลายอึดใจกว่าที่ชายหนุ่มจะพูดออกมาเสียงเย็นชา

“ท่องไว้ให้ขึ้นใจนะไอ้คำว่าเกลียดผมน่ะ เพราะเมื่อไรก็ตามที่คุณรักผม คุณจะต้องเสียใจจนไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อเลยทีเดียวแหละ”

คนตัวโตลุกขึ้นยืน พร้อมๆ กับจัดการซ่อนเนื้อตัวกำยำที่งามไร้ที่ติของตัวเองกลับเข้าไปในเสื้อผ้าราคาแพงอีกครั้ง ก่อนจะจ้องหน้าหล่อนเขม็งราวกับโกรธเกลียดกันมาสักสิบชาติ

“เพราะผมไม่มีวันที่จะรักผู้หญิงปากคอเราะรายแบบคุณได้ จำเอาไว้!”

เขาทิ้งคำพูดเหี้ยมโหดใส่หน้าหล่อนอย่างไม่ปรานี ก่อนจะก้าวยาวๆ เดินออกไปจากห้องพักของหล่อนในพริบตา เสียงปิดประตูแรงๆ ทำให้ร่างอรชรสะดุ้งโหยง น้ำตาไหลทะลักออกมาเมื่อเงยหน้าพบกับความเป็นจริง

คอร์เนลไปแล้ว เขาเดินจากหล่อนไปอีกครั้งแล้ว หลังจากที่ร่วมรักกันจบ หล่อนมันไม่มีค่าอะไรเลย ไม่มีค่า ไม่มีราคาพอที่จะทำให้เขาพูดจาดีๆ ด้วยเลยสักครั้ง

“ทำไมใจร้ายนักนะคอร์เนล คุณน่าจะรู้ว่าที่ฉันพูดไปแบบนั้นก็เพราะ…น้อยใจคุณ”

หญิงสาวสะอื้นไห้จนตัวโยน น้ำตาหลั่งรินออกมาอาบแก้ม หัวใจหนาวเหน็บจนสั่นสะท้าน ความสุขสันต์เลือนหายไปในพริบตาเมื่อผู้ชายคนนั้นเดินจากไป หัวใจไม่รักดีสั่งให้หล่อนร้องเรียกและวิ่งตาม แต่สองเท้ากลับไม่มีแรงพอที่จะทำแบบนั้น

เสียงเครื่องยนต์รถแว่วมาไกลๆ หญิงสาวฝืนพาร่างกายบอบช้ำของตัวเองก้าวลงจากเตียงเดินไปเกาะที่ขอบหน้าต่าง แม้จะอยู่สูงกว่าถึงสามชั้นแต่หล่อนก็สามารถจดจำรถสปอร์ตสีขาวที่กำลังแล่นออกจากหน้าหอพักของตัวเองไปได้เป็นอย่างดี

‘เขาไปแล้วจริงๆ จากไปพร้อมๆ กับหัวใจไม่รักดีของหล่อนนั่นแหละ’

“ฉันห้ามหัวใจตัวเองไม่ได้อีกแล้ว ฉันห้ามใจไม่ได้จริงๆ”

ยาหยียกมือขึ้นป้ายน้ำตาที่ดูจะไหลออกมามากเสียเหลือเกินทิ้งครั้งแล้วครั้งเล่า มองรถของคอร์เนลไปจนลับตา ก่อนจะทิ้งกายเปลือยเปล่าของตัวเองลงกองกับพื้นห้องข้างหน้าต่างด้วยหัวใจที่ชอกช้ำร้าวราน

 

หลังจากร่างสูงใหญ่ของคอร์เนลเดินหายเข้าไปในตึก อีวานก็รีบหันไปพูดกับน้าชายด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความแปลกใจทันที

“ไหนนายน้อยบอกว่าจะค้างคืนกับเด็กคนนั้นยังไงล่ะ แล้วนี่…” อีวานก้มลงมองนาฬิกาข้อมือของตัวเองแล้วก็เงยหน้าขึ้นพูดต่อ

“ยังไม่ทันถึงสามทุ่มเลย หน้าบูดกลับมาแล้ว สงสัยทะเลาะกันมาอีกแน่ๆ เลย น้าเซอร์เกคิดแบบผมไหมครับ”

เซอร์เกพ่นลมหายใจหนักหน่วงออกจากปาก ดวงตาที่ผ่านโลกมามากของเขากำลังอัดแน่นไปด้วยความหวาดวิตก และเขาก็ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรออกมาเลยแม้แต่คำเดียวเพราะเจ้าหลานชายตัวดีพ่นให้หมดราวกับเข้าไปนั่งอยู่ในใจของเขาเสียอย่างนั้น

“ไม่อยากจะเชื่อเลยว่านายน้อยจะยอมปล่อยให้ผู้หญิงมาทำให้ตัวเองอารมณ์เสียแบบนี้ ผมคิดว่ามันชักจะทะแม่งๆ แล้วนะเนี่ย นายน้อยเป็นหนักขึ้นทุกวัน”

อีวานพูดไม่ผิดเลยแม้แต่นิดเดียว ปกติคอร์เนลไม่เคยปล่อยให้เรื่องของผู้หญิงคนไหนมาวุ่นวายในสมองของตัวเองเลยแม้แต่ครั้งเดียว นายน้อยของเขาไม่เคยสนใจ ไม่เคยไล่ตาม และไม่เคยต้องมาอารมณ์เสียกับเรื่องของสตรีมาก่อน แต่ยาหยีทำให้คอร์เนลเปลี่ยนแปลงไปทุกอย่าง ตารางชีวิตของนายน้อยรวนเรพังพินาศ ตอนนี้ไม่ว่าจะเพชรสีทองหรือว่าอาณาจักรซีร์ยานอฟ ทุกอย่างดูด้อยค่าลงไปหมดหากต้องมาเทียบเคียงกับผู้หญิงไร้เดียงสาอย่างยาหยี โรจน์มหามงคล

เซอร์เกถอนใจออกมาแรงๆ อีกครั้ง ก่อนจะยอมเอ่ยปากพูดกับหลานชายตัวเอง

“เราเป็นขี้ข้า อย่ายุ่งเรื่องของเจ้านายดีกว่าอีวาน” เซอร์เกกำลังจะเดินจากไปแต่ก็ต้องชะงักด้วยคำพูดที่เต็มไปด้วยความวิตกกังวลของอีวานที่ดังขึ้นมา

“แต่ผมเป็นห่วงนายน้อยนะครับน้าเซอร์เก ผู้หญิงคนนี้ชักไม่ธรรมดาแล้วล่ะ นายน้อยอาจจะกำลังตกหลุมหายนะก็ได้นะครับ หรือบางทีนะนายยอดชายกับลูกสาวอาจจะร่วมกันวางแผนนี้เอาไว้ก็เป็นได้ หลอกล่อให้นายน้อยตกลงไปในหลุมรักจนดิ้นไม่หลุด แล้วพอนายน้อยเผลอ พวกนั้นก็แทงนายน้อยด้วยมีดแหลมๆ จนทะลุอก”

“พูดเกินจริงไปมั้งอีวาน นายน้อยของเราไม่ใช่คนโง่”

“แต่ผู้หญิงมักมีความสามารถพิเศษเสมอยามที่ตัวเองมีเป้าหมาย…” อีวานพูดอย่างอคติกับสตรี ขณะจ้องหน้าชายเขม็ง “และอีกอย่างที่ผมว่ามันแปลกๆ ก็คือ ผู้หญิงคนนั้นพยายามเรียกร้องความสนใจจากนายน้อยด้วยการทำเป็นดื้อรั้นหัวชนฝา เธอคงจะอ่านทางออกว่านายน้อยของเราน่ะยิ่งหนีก็จะยิ่งไล่ตาม แม่คุณก็เลยยิ่งทำเป็นรังเกียจรังงอนนายน้อยซะอย่างงั้น”

ใช่สินะ ยาหยีแตกต่างจากผู้หญิงคนอื่นที่คอร์เนลเคยได้สัมผัส เด็กสาวดื้อรั้นและแสนพยศไม่ยอมสยบง่ายๆ ตรงข้ามกับผู้หญิงทุกคนที่คอร์เนลเคยผ่านมา คอร์เนลคงจะเห็นว่ามันเป็นความท้าทายที่น่าพิชิตล่ะมั้งถึงได้ไม่ยอมปลดปล่อยแม่เด็กสาวคนนี้ไปสักที ทั้งๆ ที่ตัวเองก็สามารถจะกระชากนายยอดชายจากที่หลบซ่อนได้ตั้งนานแล้ว

“ทั้งๆ ที่ผู้หญิงร้อยทั้งร้อยไม่มีใครสักคนที่จะใจแข็งกับผู้ชายหล่อขั้นเทพแบบนายน้อยได้สักคน ต่อให้แม่ชีที่บวชมาตลอดชีวิตก็ยังต้องอ่อนเป็นขี้ผึ้งลนไฟเลยยามที่สบตากับนายน้อยน่ะ”

อีวานไม่ได้พูดเกินจริงเลย เซอร์เกรู้ดีอยู่เต็มอก แต่ด้วยความอาวุโสกว่าเขาจึงรู้ว่าอะไรควรพูดและอะไรไม่ควรพูดออกไป

“เราไม่ควรพูดถึงเจ้านายลับหลัง”

“ผมไม่ได้นินทานี่ครับน้าเซอร์เก แต่ที่ผมพูดก็เพราะเป็นห่วงนายน้อยต่างหาก และตอนนี้สิ่งที่ผมคิดว่าน้าเซอร์เกควรจะทำที่สุดก็คือ…”

“อะไร?”

“กำจัดลูกสาวของนายยอดชายซะ ทำให้เธอหายไปจากชีวิตของนายน้อย” แม้น้ำเสียงของอีวานจะฟังดูเลือดเย็นเกินกว่าทุกครั้งที่เคยได้ยิน แต่เซอร์เกก็เลือกที่จะไม่ใส่ใจมัน เพราะความหมายของคำพูดต่างหากที่ฟังดูน่าตกใจ

“กำจัดอย่างนั้นหรือ?”

“ใช่ครับน้าเซอร์เก น้าจะต้องกำจัดแม่นั่นออกไป หากน้ารักนายน้อย” เมื่ออีวานยังยืนยันคำเดิม เซอร์เกจึงส่ายหน้าปฏิเสธช้าๆ

“อีกไม่นานนายน้อยจะกำจัดเธอออกไปจากชีวิตเอง ไม่ต้องถึงมือเราหรอกอีวาน”

“นี่น้ายังเชื่ออีกหรือครับว่านายน้อยไม่ได้หลงแม่เด็กคนนั้น” อีวานถามเสียงสูง ใบหน้าเคร่งเครียด

“อาจจะหลง แต่ไม่มีทางรักแน่นอน พอพวกเรากลับมอสโกกัน เด็กยาหยีก็จะกลายแค่อดีตที่ไม่น่าจดจำของนายน้อยเท่านั้นเอง เชื่อน้าเถอะอีวาน” เซอร์เกยกมือขึ้นตบไหล่หลานชายเบาๆ พร้อมกับพูดออกมาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

“แต่ว่าผม…”

“เอาน่าอีวาน น้ารู้ว่าแกเป็นห่วงนายน้อยมาก น้าเองก็ห่วงไม่แพ้แกหรอก แต่เราเป็นแค่ขี้ข้า เป็นแค่คนนอก ไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้าไปก้าวก่ายชีวิตของท่านหรอกนะ เราแค่เฝ้ามองอยู่ห่างๆ ก็พอ หากนายน้อยต้องการความช่วยเหลือหรือคำแนะนำเมื่อไร เราจึงจะมีสิทธิ์พูดน่ะ…เข้าใจไหมอีวาน”

แม้จะไม่พอใจกับคำเตือนสติของน้าชายนัก แต่อีวานก็ไม่สามารถทำอะไรลงไปได้นอกจากพยักหน้ารับหงึกๆ

“ครับน้าเซอร์เก แต่ว่าผมจะไม่ยอมยืนมองแม่เด็กคนนั้นเงื้อมีดเตรียมแทงนายน้อยเฉยๆ หรอก ผมจะต้องทำให้นายน้อยตาสว่างให้ได้”

จบคำพูดหงุดหงิดนั้นหนุ่มน้อยอีวานก็เดินลิ่วๆ จากน้าชายของตัวเองหายไปทางเรือนพักหลังกะทัดรัดของตัวเองในทันที เซอร์เกถอนใจออกมาหนักหน่วงอีกครั้ง ก่อนจะหมุนตัวเดินกลับที่พักของตัวเองไปเช่นกัน

หลังจากนอนร้องห่มร้องไห้อยู่นานพอสมควร ยาหยีก็ผุดลุกขึ้นนั่ง คว้าโทรศัพท์มือถือของตัวเองออกมาต่อสายหาบิดา เบอร์เก่าไม่ติด แต่หล่อนมีเบอร์ใหม่ของพ่อไม่ใช่หรือ สาวน้อยรีบควานหาเศษกระดาษในกระเป๋าของตัวเอง และก็ระบายยิ้มออกมาเมื่อหาเจอ

“พ่อจ๋า”

นิ้วเรียวยาวขาวสะอาดกดต่อสายตามเบอร์ในกระดาษแผ่นเล็ก เสียงสัญญาณดังอยู่หลายครั้งกว่าปลายสายจะมีคนรับ เสียงที่ตอบกลับมาทำให้ยาหยีคลี่ยิ้มออกมาด้วยความดีใจ

“พ่อ! พ่ออยู่ไหนคะ ทำอะไรอยู่ พ่อสบายดีไหม มีใครทำร้ายพ่อหรือเปล่า”

หญิงสาวยิงคำถามที่เต็มไปด้วยความห่วงใยใส่เป็นชุด แต่พอได้ยินคำว่าพ่อสบายดีเท่านั้น หล่อนก็ดีใจอย่างสุดซึ้ง

“แต่เขามาแล้วนะคะ ผู้ชายคนนั้นมาตามหาพ่อ และเขาก็รู้ที่อยู่ของพ่อแล้วด้วย พ่อต้องรีบหนีไปนะ ลูกหยีกลัวว่าพ่อจะถูกทำร้าย เขาบอกว่าพ่อขโมยเพชรของเขาไป” ยิ่งบิดานิ่งเงียบไปนานเท่าไร คำว่า ‘โจร’ ที่ทุกคนในคฤหาสน์หลังนั้นหยิบยื่นให้บิดาของหล่อนก็ยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ หล่อนไม่อยากเชื่อ ไม่อยากเชื่อเลยจริงๆ ว่าพ่อของหล่อนจะทำอะไรที่น่าละอายแบบนี้

“พ่อขโมยเพชรของเขามาใช่ไหมคะ บอกลูกหยีมาเถอะค่ะ”

พยายามหาคำตอบแต่สิ่งที่ได้ยินจากปากของบิดาก็คือให้หล่อนดูแลตัวเองดีๆ แล้วท่านจะรีบกลับมาหา จากนั้นสายก็ตัดไป

“พ่อ! พ่อคะ พ่อ…”

แต่ไม่ทันแล้ว สายถูกตัดไปแล้วจริงๆ หญิงสาวพยายามต่อสายหาใหม่อีกครั้งก็ไม่มีสัญญาณตอบรับ และแม้แต่กดหาอีกเป็นสิบครั้งก็ยังได้ยินคำพูดเดิมๆ นั่นคือ…

“หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้ค่ะ”

“ทำไมพ่อต้องปิดโทรศัพท์ด้วย นี่พ่อขโมยของของเขามาจริงๆ หรือคะ”

หญิงสาวล้มตัวลงนอนบนเตียงอีกครั้ง สะอื้นไห้ออกมาด้วยความเจ็บปวด เสียงประตูหน้าห้องถูกเคาะเพียงแค่ครั้งเดียวมันก็ถูกเปิดผลัวะเข้ามาทันที ยาหยีผุดลุกขึ้นนั่ง แล้วก็ต้องอ้าปากค้างเมื่อเห็นร่างสูงใหญ่เกือบเท่าบานประตูปรากฏอยู่ตรงหน้า

คอร์เนลยังคงหล่อเหลาและดูดีจนหล่อนต้องเบิกตาค้างด้วยความตื่นตะลึงเช่นเคย เขาหล่อเหลาได้อย่างร้ายกาจ และหล่อนก็มึนเมาทุกครั้งที่ได้มอง กว่าจะปรับสมอง ปรับสายตา และหัวใจที่เต้นแรงระรัวให้เข้าสู่โหมดปกติได้ ก็กินเวลานานหลายอึดใจ

“คะ…คุณเข้ามา…ได้ยังไง”

ถามไปด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักน่าเวทนา คนตัวโตแสยะยิ้มหยันที่มุมปาก ขณะชูกุญแจห้องที่หญิงสาวจำได้ดีว่ามันเป็นของลินดาขึ้นในอากาศ

“ความจริงผมได้มันมาจากยามแล้วล่ะ แต่เพื่อนคุณเกิดใจดีให้ผมมาอีกพวง”

ร่างทรงพลังที่มีเสน่ห์ไปซะทุกสัดส่วนเดินเข้ามาหยุดใกล้ๆ หญิงสาวที่ปากคอแห้งผากเพราะความหล่อกระชากใจของแขกหนุ่มรีบตั้งสติและกระถดถอยหนีไปจนสุดขอบเตียงอีกฝั่งด้วยท่าทางระแวดระวัง ดวงตากลมโตหวานฉ่ำจับจ้องใบหน้าหล่อคมสันเขม็ง

“อย่าเข้ามานะ”

“สั่งผมหรือ?”

เขาหัวเราะขบขัน ขณะที่คนฟังอย่างหล่อนแอบน้ำตาเล็ดด้วยความหวั่นเกรง ท่าทางของคอร์เนลในตอนนี้ช่างดูดุดันอำมหิตยิ่งนัก

“ใช่! คุณไม่ควรจะมาวุ่นวายที่นี่อีก ในเมื่อ…”

แก้มสาวแดงก่ำกับสิ่งที่ยังไม่สามารถพูดออกไปได้ แค่คิดกายสาวก็ร้อนผ่าว วูบวาบหวามไหวจนช่องท้องบีบเกร็งอย่างบ้าคลั่งเสียแล้ว

“ในเมื่อ?”

คิ้วเข้มที่ยาวขนานไปกับดวงตาสีเขียวคมกริบเลิกขึ้นน้อยๆ พร้อมกับรอยยิ้มหยันที่มุมปากหยักสวยมากความสามารถของเขา

“ในเมื่อคุณก็ได้ฉันไปอีกครั้งแล้วนี่ ในห้องทำงานของคุณน่ะ” ในที่สุดก็กัดฟันพูดออกมาจนจบประโยคได้สำเร็จ หญิงสาวก้มหน้ามองมือตัวเองที่กำลังบีบกันแน่นบนตักบอบบางของตัวเองเขม็งราวกับกำลังหาลายแทงสมบัติก็ไม่ปาน

คอร์เนลได้ฟังคำพูดของสาวน้อยที่นั่งตัวสั่นอยู่เบื้องหน้าก็อดขบขันไม่ได้ ทั้งสงสาร ทั้งเอ็นดู แถมยังหลงใหลจนแทบคลั่ง แต่เขาจะไม่มีวันแสดงความรู้สึกใดๆ ออกไปเด็ดขาด จะไม่มีวันยอมให้ใครได้ล่วงรู้ความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเองเป็นอันขาด แม้ว่าผู้หญิงคนนั้นจะทำให้เขาร้อนทุกครั้งที่ได้พบ ได้เห็น และได้อยู่ใกล้ก็ตาม

“ผมแทบไม่เชื่อว่าเป็นเซ็กส์ครั้งที่สองของคุณ…ลีลาพลิ้วสุดๆ”

“คนเลว!”

จากที่นั่งก้มหน้ามองมือของตัวเองเปลี่ยนมาเป็นเงยหน้าขึ้นสบตากับผู้ชายที่ตอนนี้กระโดดขึ้นมานั่งบนเตียงแล้วเขม็ง ความโกรธทำให้หญิงสาวลืมที่จะถดถอยหนี มือบางยกขึ้นสูงแล้วตวัดใส่ใบหน้าหล่อเหลาที่ยื่นเข้ามาใกล้เต็มแรง รอยนิ้วมือปรากฏครบทั้งห้านิ้วบนแก้มสากของเขา

“ฉันเกลียดคุณ!”

“ผมชอบคำว่าเกลียดของคุณจัง เพราะผมมั่นใจว่าตัวเองจะสามารถเปลี่ยนมันเป็นคำว่ารัก เป็นคำว่าปรารถนา ได้เพียงแค่จูบเดียวเท่านั้น”

คำพูดคำรามออกมาด้วยความเดือดดาลสุดขีด ขณะรวบมือบางของยาหยีเอาไว้ได้ทันก่อนที่เจ้าหล่อนจะทันได้ฟาดมันลงมาบนแก้มของเขาอีกครั้ง กรามแกร่งขบกันแน่นด้วยโทสะร้าย หากหล่อนไม่แลดูเปราะบางและน่าทะนุถนอมแบบนี้ละก็ เขาคงจะขยี้ให้แหลกคามือไปแล้ว

“ชอบซาดิสต์หรือไง”

เขาจับมือเรียวทั้งสองข้างไพล่ไปด้านหลัง พร้อมกับกระชากร่างอรชรที่พยายามดิ้นรนอย่างเอาเป็นเอาตายเข้ามาสวมกอด ปากร้อนๆ จมูกโด่งงามซุกไซ้ซอกซอนไปทั่วใบหน้าและลำคอระหงด้วยความหิวกระหายจัด หญิงสาวดิ้นรนแต่ก็สู้พละกำลังของคอร์เนลไม่ได้ สุดท้ายก็ต้องโอนอ่อนปล่อยให้พ่อคนตัวโตกอดจูบลูบขยำไปตามอำเภอใจ แถมยังร้องครางด้วยความพึงพอใจอย่างน่าละอายออกมาเสียอีก

“บอกสิว่าอยากให้ผมหยุดทำร่างกายของคุณ”

คนตัวโตพูดพร้อมๆ กับสอดมือใหญ่อบอุ่นเข้าไปใต้เสื้อตัวสวยของยาหยี เขาโอบประคองเต้างามเต็มมือเอาไว้อย่างทะนุถนอมอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนจะเปลี่ยนโหมดมาเป็นดุดันหนักหน่วงขยำจนเนื้อนวลแทบแหลกเหลวคามือ

“บอกสิว่าอยากให้ผมหยุดทุกอย่าง”

“ไม่…อย่าหยุดนะคะคอร์เนล”

ในที่สุดก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับแรงปรารถนาที่หล่อนไม่เคยเอาชนะได้เลยสักทีอีกครั้ง มือบางที่เป็นอิสระนานแล้วยกขึ้นตวัดรอบลำคอแข็งแกร่งเอาไว้แน่น กลีบปากอิ่มเผยอขึ้นหาริมฝีปากร้อนระอุของผู้ชายแสนหล่อที่กำลังบีบขยำเต้างามของตัวเองด้วยความโหยหาจับใจ

“ได้โปรด…อย่าหยุด…ฉันต้องการคุณ”

เหมือนได้ยินเสียงหัวเราะแว่วมาจากลำคอของคอร์เนล แต่ตอนนี้ยาหยีไม่สนใจอะไรอีกแล้ว หล่อนกำลังคลั่ง และคนที่เป็นตัวการทำให้หล่อนคลั่งแบบนี้ก็คือคอร์เนล ผู้ชายหล่อระเบิดระเบ้อคนนี้

ยาหยีห่อปากปล่อยให้ลิ้นแกร่งบุกรุกเข้ามาหา หล่อนเกี่ยวลิ้นใหญ่เอาไว้ด้วยลิ้นเล็กๆ ของตัวเอง ก่อนจะลองแหย่ลิ้นหวานเข้าไปในอุ้งปากร้อนผ่าวของคนตัวโตบ้างด้วยท่าทางกล้าๆ กลัวๆ แต่พอได้ยินเสียงร้องครวญครางที่บอกให้รู้ว่าเจ้าของเสียงพึงพอใจมากแค่ไหน หญิงสาวก็ระบายยิ้มออกมาด้วยความภาคภูมิใจ พลางแอ่นเต้างามใส่มือใหญ่ร้อนผ่าวด้วยท่าทางเชิญชวน

“คุณร้อนแบบนี้กับผมได้คนเดียวเท่านั้นแหละ”

คอร์เนลร้องครางออกมาด้วยเสียงห้าวที่แหบแห้ง ไฟปรารถนาปะทุใส่ใจกลางกายอย่างรุนแรง ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผู้ชายที่หยิ่งผยองในสายเลือดและศักดิ์ศรีของตัวเองมากมายเช่นเขาจะต้องมาศิโรราบให้กับเสน่ห์นางของลูกสาวคนทรยศอย่างยาหยีได้แบบนี้

เขาหลง เขาคลั่งไคล้ และเขาก็ไม่อาจจะต้านทานเจ้าหล่อนได้เลยแม้แต่ครั้งเดียว ทั้งๆ ที่เคยพยายามจะทำใจแข็ง พยายามที่จะแข็งใจไม่แตะต้อง แต่แค่ได้กลิ่นกายหอมๆ ได้เห็นทรวดทรงองค์เอวที่งามดุจช่างปั้นเท่านั้น เขาก็ตบะแตกเสียแล้ว

ก็ดูสิ พึ่งจะฟาดเจ้าหล่อนบนโต๊ะทำงานมาเมื่อไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงที่ผ่านมา ตอนนี้ดันรู้สึกต้องการเจ้าหล่อนจนแทบบ้าอีกแล้ว อยากได้ อยากชิม อยากฝังเร้นกายเข้าไปในความนุ่มลื่นดุจกำมะหยี่นั้นอีกครั้ง อยากมากจนไม่อาจจะรอได้อีกต่อไป

“ยาหยี…ลูกหยี…คุณน่ารักเหลือเกิน”

สองมือใหญ่ลูบไล้ฟอนเฟ้นเคล้าคลึงร่างงามหนักหน่วง ตั้งแต่เต้าอิ่มไปยังบั้นท้ายอวบ ปากของเขาวิเศษยิ่งกว่าสิ่งใดในโลกนี้เสียอีก มันสามารถทำให้หล่อนร้อนวูบวาบแล้วก็เสียวซ่านในท้องน้อยอย่างรุนแรง

“คอร์เนล…ได้โปรด…”

สาวน้อยร้องครางด้วยความเสียวกระสันขณะตอบสนองสัมผัสสวาทแสนชำนาญของคนตัวโตผู้หิวจัดด้วยลีลาสาวร่านรักเจนโลก เส้นผมสีดำขลับสยายยุ่งเหยิงเต็มที่นอน ขณะที่สะโพกอวบงามส่ายพลิ้วราวกับใบไม้ต้องลมหนาว

“คุณทำให้ผมคลั่ง…ทูนหัว…”

ทั้งสองกอดรัดกันแน่น บดเบียดอัดเคล้าคลึงกันจนแทบจะหลอมกลายเป็นเนื้อเดียวกัน เสียงเตียงสั่นสะเทือนเมื่อคอร์เนลประกาศความเป็นเจ้าของร่างงามอย่างดุดัน ทุกจังหวะรักที่ถูกคนตัวโตขับเคลื่อนเดินไปข้างหน้าด้วยลีลาเร่าร้อน บทสวาทของคอร์เนลยังดุเดือดและป่าเถื่อนไม่เปลี่ยนแปลง แต่หล่อนก็ชอบมัน รักมัน และติดใจมันจนโงหัวไม่ขึ้น

ช่างมันเถอะ อะไรจะเกิดก็ช่างมัน ตอนนี้ขอแค่ได้อยู่กับคอร์เนล ได้กอดเขาไว้แบบนี้ ได้นอนฟังเสียงครางด้วยความเสียวกระสันของเขาบนกายของตัวเอง แค่นี้ก็พอใจแล้วล่ะ

“ยาหยีไปไหน!”

คอร์เนลคำรามก้องบ้านเมื่อเดินไปหาหญิงสาวที่ห้องนอนฝั่งตะวันออกแล้วไม่พบเจ้าหล่อนอย่างที่ตั้งใจเอาไว้

“ฉันถามว่าผู้หญิงคนนั้นไปไหน หูแตกกันหรือไง!”

บรรดาสาวใช้และเหล่าบอดี้การ์ดสะดุ้งโหยงกับอารมณ์เกรี้ยวกราดบ้าคลั่งของเจ้านายหนุ่ม โดยเฉพาะเซอร์เกที่ตกใจแทบช็อกกับโทสะของนายน้อยตัวเอง เพราะตั้งแต่รับใช้กันมาหลายปี ไม่ว่าจะมีเรื่องผิดพลาดรุนแรงแค่ไหน ก็ไม่เคยเลยสักครั้งที่คอร์เนลจะฟิวส์ขาดขนาดควบคุมอารมณ์ของตัวเองไม่ได้แบบนี้

แม่เด็กสาวคนนี้มีอิทธิพลอย่างรุนแรงต่อนายน้อยของเขาอย่างไม่น่าเชื่อ อันตราย หายนะลูกใหญ่กำลังจะเคลื่อนเข้ามาทาบทับจิตวิญญาณของคอร์เนล เซอร์เกทำนาย และก็ไม่คิดว่าตัวเองจะทายพลาดด้วย เพราะท่าทางของเจ้านายหนุ่มหลงใหลยาหยีจนโงหัวไม่ขึ้นเชียวแหละ

นี่แหละน่าคนที่ไม่เคยคิดจะรักใคร พอมีความรักขึ้นมาจริงๆ ก็รักแรงแบบนี้นั่นแหละ แม้เจ้าตัวจะยังไม่ยอมรับความรู้สึกของตัวเองก็ตามที

“เธอกลับไปแล้วครับ”

เซอร์เกเป็นคนตอบคำถาม และก็ได้เสียงคำรามที่เต็มไปด้วยความขัดเคืองใจจากคอร์เนลมาเป็นรางวัล

“ปล่อยกลับไปหรือ นี่พวกนายเป็นบ้าอะไรกัน ฉันอุตส่าห์ไปลากเธอมาจากมหาวิทยาลัย แต่พวกนายกลับปล่อยเธอไปง่ายๆ แบบนี้เนี่ยนะ”

คอร์เนลประชดเสียงเดือดดาล ขณะเดินกลับไปกลับมาด้วยความงุ่นง่านอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เชอรี่ อีวาน และเหล่าสาวใช้ รวมทั้งบอดี้การ์ดต่างอึ้งไปตามๆ กัน มีเพียงเซอร์เกเท่านั้นที่มองออกว่าเจ้านายของตัวเองกำลังเป็นอะไร

“เธอบอกว่านายน้อยไล่ให้กลับ ผมก็เลยให้คนขับรถไปส่ง”

“ดี…ทำได้ดีมาก ระวังเถอะฉันจะไล่พวกนายออก”

หนุ่มหล่อที่ตอนนี้ร้อนเป็นไฟเพราะสตรีที่คะนึงหาขัดคำสั่งหนีหายไปกัดฟันแน่น กรามแกร่งปูดเป่งแทบแตกละเอียด

“ให้ผมไปรับเธอกลับมาไหมครับ” อีวานเสนอตัว แต่ก็ถูกคอร์เนลตัดบทด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียมจนต้องสงบปากนิ่งเช่นเดิม

“หุบปากไปซะ ฉันจะกลับมาจัดการกับพวกนายแน่” หนุ่มหล่อคำรามเสียงดุดัน ขณะหันไปหาเซอร์เกที่ยืนก้มหน้าอยู่ไม่ห่าง

“กุญแจรถ”

“กุญแจรถหรือครับ” เซอร์เกทวนคำสั่งของคอร์เนลด้วยน้ำเสียงกังวล นี่นายน้อยของเขาจะขับรถเองอีกแล้วเหรอ เขาไม่ไว้ใจให้เจ้านายขับรถเองเลยให้ตายสิ เพราะคอร์เนลขับรถเร็วมาก กลัวจะเกิดอันตรายขึ้น

“ก็ใช่น่ะสิ เอากุญแกรถสปอร์ตมาให้ฉัน เร็วเข้า”

“ให้ผมขับให้เถอะครับ”

“อย่าทำให้ฉันเดือดมากไปกว่านี้นะ ฉันต้องการกุญแจรถ หรือต้องให้ฉันไปหาเอง เซอร์เก!”

ท่าทางของคอร์เนลไม่มีผ่อนปรนเลย ทำให้เซอร์เกหมดปัญญาที่จะเหนี่ยวรั้งไว้ได้อีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าพิษรักของยาหยีจะออกฤทธิ์รุนแรงถึงเพียงนี้ แค่วันสองวันทำเอานายน้อยของเขาติดงอมแงมราวกับติดยาเสพติดอย่างนั้นแหละ

“นี่ครับกุญแจ นายน้อย”

คอร์เนลกระชากกุญแจรถจากมือของคนสนิท กำลังจะหมุนตัวเดินไป แต่ก็ต้องหยุดชะงักเมื่อได้ยินน้ำเสียงห่วงใยของเซอร์เกดังขึ้น

“ให้ผมขับรถตามนายน้อยไปนะครับ”

หนุ่มหล่อหันกลับไปมองคนสนิท ก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธ

“อย่าเลยเซอร์เก นอนหลับอยู่บนเตียงให้สบายเถอะ เพราะบางทีฉันอาจจะค้างคืนที่หอพักของยาหยี” จบคำพูดห้วนกระด้างนั้นแล้ว คอร์เนลก็เดินหายออกไปจากตึกใหญ่ในพริบตา

เชอรี่ยกมือขึ้นทาบอกด้วยความตกใจ ขณะหันไปพูดเบาๆ กับเซอร์เก

“ไม่อยากจะเชื่อเลยว่านายน้อยของเราจะคลั่งแบบนี้เพียงเพราะว่าแม่หนูยาหยีหนีกลับหอพักไป เมื่อสามเดือนก่อนตอนสำนักงานถูกไฟไหม้นายน้อยยังไม่เดือดดาลขนาดนี้เลย”

“เดี๋ยวคุณเชอรี่ก็ชินเองนั่นแหละ เพราะต่อจากนี้ไปนายน้อยคงจะแสดงอภินิหารแปลกๆ ให้พวกเราดูอีกหลายอย่างทีเดียว หากเด็กยาหยียังไม่ยอมศิโรราบให้กับนายน้อยนะ”

แม้จะไม่เข้าใจความหมายของคู่สนทนาอย่างเซอร์เกนัก แต่เชอรี่ก็อดถอนใจออกมาไม่ได้

“ก็นายน้อยไม่เคยถูกใครขัดใจนี่นา พอถูกงัดข้อก็เต้นแบบนี้แหละ น่าสงสารนายน้อยจัง เพราะถ้าขืนโมโหควันออกหูแบบนี้บ่อยๆ เดี๋ยวโรคหัวใจก็ถามหากันพอดี”

เซอร์เกส่ายหน้าน้อยๆ ยิ้มบางๆ

“นายน้อยของเราไม่น่าสงสารหรอกคุณเชอรี่ แต่คนที่น่าสงสารที่สุดในตอนนี้ก็คือแม่หนูยาหยีของคุณเชอรี่ต่างหาก ยิ่งไปแบบคลั่งๆ แบบนี้ด้วย คงโดนเละแน่”

แม่บ้านวัยกลางคนยกมือขึ้นทาบอกด้วยความตื่นตกใจ เบิกตากว้างขณะร้องอุทานออกมา

“นายน้อยจะฆ่าแม่หนูยาหยีของฉันไหมเนี่ย”

“ฆ่าน่ะคงไม่ฆ่าหรอกคุณเชอรี่ แต่คงจะบอบช้ำยิ่งกว่าเมื่อคืนที่ผ่านมาเท่านั้นเอง” เจ้าของคำพูดเดินหนีจากไปแล้ว ทิ้งให้เชอรี่ยืนตาเหลือกตกใจอยู่เพียงลำพัง

“ช้ำยิ่งกว่าคืนนั้นเหรอ แล้วจะรอดไหมเนี่ยแม่หนูยาหยี”

ภาพปากเจ่อๆ ผิวกายแดงเป็นจ้ำๆ ของยาหยียังติดตรึงตาไม่จางหาย เชอรี่ถอนใจออกมาด้วยความเวทนา แต่ก็จนใจที่จะช่วยเหลือ เพราะคนอย่างคอร์เนลใครขัดใจได้ที่ไหนกันล่ะ ขัดใจเป็นเละ

“คุณ? มาอีกแล้วเหรอ”

ลินดาที่พึ่งลงมาจากหอพักอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ เมื่อเห็นคอร์เนลหยุดอยู่ตรงหน้า เผลอมองอย่างคลั่งไคล้อยู่หลายอึดใจกว่าจะสามารถรวบรวมสติสตังที่กระเจิดกระเจิงกลับมาค้นหาคำพูดได้

“มีอะไรกับเพื่อนของฉันอีกคะ พึ่งลากไปเมื่อตอนสาย เย็นมาตามอีกแล้ว”

“เขาหนีผมมา และผมก็มีสิทธิ์ที่จะมาลากตัวเพื่อนของคุณกลับไปทำโทษ” คอร์เนลพูดเสียงเย็นชา กำลังจะก้าวขึ้นบันไดหอ แต่ก็ถูกลินดาเรียกเอาไว้เสียก่อน

“นี่มันหอหญิงนะคะ คุณเป็นผู้ชายขึ้นไปไม่ได้หรอก”

“ครั้งแรกผมยังขึ้นไปได้ แล้วทำไมครั้งนี้ผมจะขึ้นไปไม่ได้ หุบปาก และคุณก็จงไสหัวไปให้พ้นๆ ซะ”

หนุ่มหล่อแต่นิสัยร้ายโคตรควักธนบัตรปึกใหญ่ในกระเป๋าสตางค์ราคาแพงส่งให้กับสตรีตรงหน้า ลินดารีบรับเอาไว้ทันทีโดยที่คอร์เนลไม่ต้องเสียเวลาคะยั้นคะยอใดๆ เลย

“คืนนี้ไม่ต้องกลับมาที่นี่”

“อย่าบอกนะว่าคุณจะค้างที่นี่กับยายลูกหยี…” ลินดาอุทานออกมา อดอิจฉาเพื่อนรักไม่ได้เลยให้ตายสิ มีผู้ชายหล่อปานเทพบุตรตามมาหาถึงที่ แล้วอย่างนี้ทำไมเพื่อนของหล่อนถึงยังเอาแต่ร้องห่มร้องไห้นะ ดูท่าทางของเขาก็ไยดีแม่ยาหยีดีนี่นา

“ลูกหยี?” คิ้วเข้มที่ขนานกับดวงตาคมกริบไม่ผิดจากใบมีดโกนเลิกขึ้นน้อยๆ

“นี่แสดงว่าคุณยังไม่รู้สิท่าว่ายาหยีมีชื่อเล่นว่าลูกหยี” ลินดาหัวเราะเบาๆ ขณะเก็บเงินใส่กระเป๋าสตางค์สีหวานจ๋อยของตัวเอง จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นพูดกับผู้ชายที่หล่อสุดในสามโลกอย่างคอร์เนลเสียงจริงจัง

“ถ้าคุณจริงจังกับลูกหยี อะนี่กุญแจห้อง”

หญิงสาวยื่นกุญแจห้องตัวเองให้กับคอร์เนล เพราะตอนที่ตัวเองออกมานั้นจำได้ว่ากดล็อกลูกบิดเอาไว้

“แต่ถ้าไม่จริงจัง ก็โยนมันทิ้งซะ แล้วกลับไป”

คอร์เนลยักไหล่กว้างอย่างไม่แยแสในคำพูดของลินดา ก่อนจะชูกุญแจในมือของตัวเองให้กับหญิงสาวได้เห็น

“ผมไม่จำเป็นต้องพึ่งพาใคร แล้วผมก็ไม่จำเป็นต้องเชื่อฟังคำพูดของใครด้วย ไปเที่ยวให้สบายใจซะเถอะ รับรองว่าผมจะไม่ทำอะไรรุนแรงกับเพื่อนของคุณ” คนตัวโตหยุดพูดเล็กน้อย ขณะระบายยิ้มเลือดเย็นออกมา

“หากแม่ตัวดีไม่พยศมากจนเกินงามอะนะ”

“ไม่รุนแรงอะไรล่ะ เดี๋ยวก็ช้ำทั้งตัวเหมือนเมื่อคืนนี้อีกหรอก” ลินดาบ่นอุบอิบ ก่อนจะยัดกุญแจของตัวเองใส่มือใหญ่ของคอร์เนล และเดินจากไปทันที หนุ่มหล่อก้มลงมองมือตัวเองแล้วก็ระบายยิ้มเหี้ยมเกรียมออกมา

“เจอดีแน่แม่ตัวแสบ บอกให้ไปรอในห้องนอนดันหนีกลับมาซะนี่” กรามแกร่งขบกันแน่นจนแทบระเบิด ขณะเคลื่อนเท้าแกร่งขึ้นไปตามขั้นบันไดที่ค่อนข้างเก่าแก่นั้นด้วยความเดือดดาลที่ยังกรุ่นอยู่ในกระแสเลือด

“ไปไหนมาน่ะยายลูกหยี แล้วนี่หายป่วยแล้วหรือไง”

เมื่อยาหยีพาตัวเองกลับมาถึงห้องพัก ลินดาที่เดินกลับไปกลับมาในห้องก็ร้องออกมาด้วยความดีใจ วิ่งเข้ามาโอบกอดแน่น

“นึกว่าถูกผู้พ่อเทพบุตรเถื่อนตาสีเขียวฉุดไปข่มขืนรอบสองเสียแล้ว”

แก้มสาวแดงก่ำแทบไหม้ทันทีเมื่อคำพูดของลินดาทำให้สมองของหล่อนหวนคิดไปถึงฉากรักอันแสนเร่าร้อนบนโต๊ะไม้ใหญ่ในห้องทำงานของคอร์เนล เขาครอบครองหล่อนอย่างดุดันบนโต๊ะไม้นั่น และหล่อนก็หน้าด้านเหลือเกินที่ร่ำร้องครวญครางออกมาด้วยความพึงพอใจสุดขีด เสียงร้องด้วยความสุขสมยามที่มีเขาอยู่ภายในกายยังติดตรึงอยู่ในสมอง ทั้งที่อยากจะลืมแต่มันก็กลับจดจำ

“ฉันไม่อยากพูดถึงผู้ชายคนนั้นอีก” ยาหยีตัดบทด้วยใบหน้าที่ยังแดงเถือกไม่เลิก ขณะพากายสาวที่อิดโรยมาทรุดนั่งลงบนเตียง ลินดาอยากจะเชื่อคำพูดของเพื่อนอยู่เหมือนกัน แต่พอมองสภาพของแม่เพื่อนสาวแล้วก็เชื่อไม่ลง

‘ใครจะเชื่อเข้าไปลงล่ะ ในเมื่อปากยังเจ่อบวมช้ำอยู่เลย แถมสภาพก็เหมือนพึ่งถูกเสพสุขมาอย่างหนักหน่วงแบบนี้’

ลินดาถอนใจออกมา ก่อนจะมานั่งเคียงข้างยาหยี

“บางทีเขาอาจจะเป็นคนที่เธอรอคอยก็ได้นะยายลูกหยี ผู้ชายหล่อร้ายที่ผู้หญิงทุกคนฝันหา”

“เขาไม่ใช่คนๆ นั้นหรอก” ยาหยีเถียงเสียงเรียบ น้ำตาซึมออกมาด้วยความน้อยใจ คอร์เนลแสดงท่าทางเย็นชาใส่หล่อนทุกครั้งหลังจากจบเกมรักเร่าร้อน เขาทำกับหล่อนยิ่งกว่าคนแปลกหน้าเสียอีก ขับไล่ไสส่งอย่างไม่รักษาน้ำใจกัน

“ฉันก็ไม่รู้หรอกว่าใช่หรือไม่ใช่ มีแต่เธอเท่านั้นแหละที่จะเป็นคนตอบคำถามให้กับหัวใจตัวเองได้ว่าเขาใช่คนที่เธอรอคอยหรือเปล่า และหัวใจของเธอรักเขาไหม

‘รักหรือ? หล่อนรักผู้ชายคนนั้นหรือเปล่านะ ไม่ ไม่มีทางรักหรอก หล่อนก็แค่หลงใหลได้ปลื้มกับความหล่อเกินมนุษย์มนาของเขาเท่านั้นเอง’

“ฉันไม่ได้รู้สึกอะไรกับเขาเลยแม้แต่นิดเดียว”

“อย่าลืมสิ เขาเป็นคนแรกของเธอนะลูกหยี ผู้หญิงหัวโบราณแบบเธอคงไม่ดีใจนักหรอกที่จะมีผัวสองใช่ไหม” คำพูดของลินดาตีแผ่ความจริงจนแตกกระจุย

‘จริงสินะ หล่อนคิดภาพผู้ชายคนอื่นบนร่างกายของตัวเองไม่ออกจริงๆ แค่คิดว่ามือของใครบางคนที่ไม่ใช่ของคอร์เนลมาสัมผัสผิวกาย แค่นั้นก็แทบจะอาเจียนออกมาอยู่รอมร่อ หล่อนคงหลงใหลเซ็กส์ของคอร์เนลจนโงหัวไม่ขึ้นเสียแล้วล่ะ’

“มันก็แค่ความผิดพลาดที่สุดในชีวิต และฉันก็มั่นใจว่าตัวเองสามารถอยู่คนเดียวได้โดยไม่ต้องอาศัยใบบุญของผู้ชายคนไหนไปตลอดชีวิต”

ลินดาฟังน้ำเสียงของยาหยีแล้วก็พอจะรู้ว่าเพื่อนสาวกำลังน้อยอกน้อยใจพ่อเทพบุตรตาเขียวดุจมรกตเนื้อดีคนนั้นมากแค่ไหน

“แล้วหากเธอท้องล่ะ”

เหมือนสายฟ้าฟาดเปรี้ยงลงมากลางหัวใจ ยาหยีหันขวับ จ้องมองใบหน้าของลินดาเขม็ง

“ท้องอย่างนั้นเหรอ?”

ลินดาพยักหน้ารับ

“ก็ใช่น่ะสิ สาวบริสุทธิ์แบบเธอคงไม่ได้ป้องกันหรอกจริงไหม”

“ใช่ ฉันไม่ได้คุมกำเนิด”

น้ำเสียงเบาหวิวดังออกมาจากกลีบปากชอกช้ำพร้อมๆ กับใบหน้างามที่ซีดเผือดลงทีละน้อย ลินดามองเพื่อนด้วยความสงสาร ก่อนจะพูดให้กำลังใจออกไป

“อย่าคิดมากเลยน่า ผู้ชายคนนั้นอาจจะป้องกันก็ได้ เธอเห็นเข้าใส่ถุงยางไหม”

ยาหยีพยายามนึกแต่ความเร่าร้อนเจียนคลั่งในเวลาเข้าด้ายเข้าเข็มแบบนั้นก็ทำให้หล่อนจำอะไรไม่ได้เลย

“ฉันไม่รู้…”

“แล้วเขา…เอ่อ…ปล่อยในตัวของเธอหรือเปล่า”

แม้มันจะกระดากปากมากแค่ไหนแต่ก็ต้องฝืนพูดออกไปเพื่อที่จะได้รู้ว่าเพื่อนสนิทของตัวเองมีสิทธิ์ที่จะอุ้มท้องทั้งๆ ที่ยังศึกษาอยู่หรือเปล่า

“ปล่อย?” คิ้วงามของยาหยีเลิกขึ้นสูง แล้วก็ต้องแก้มแดงก่ำเมื่อเข้าใจความหมายคำพูดของคู่สนทนา

ลินดาพยักหน้า มองใบหน้านวลของยาหยีที่แดงสลับขาวด้วยความเวทนา

“ใช่…ปล่อยหรือเปล่า”

“ฉะ…ฉันไม่รู้”

ตอบออกมาปากสั่นระริก สมองนึกภาพตามสิ่งที่ลินดาพยายามสื่อความหมาย แต่หล่อนไม่รู้ไม่เห็นอะไรเลยจริงๆ ช่วงจังหวะที่เขากับหล่อนแนบชิดกันนั้นมันเหมือนกับการหลุดหลงเข้าไปในดินแดนมหัศจรรย์แห่งหนึ่ง ดินแดนที่มีแต่ความเสียวซ่านและรัญจวนจิตเพียงเท่านั้น

“ฉันไม่รู้จริงๆ นะลินดา ไม่รู้จริงๆ” หญิงสาวยกมือขึ้นปิดหน้าร่ำไห้ ลินดารีบดึงเข้ามากอดอีกครั้งด้วยความเวทนาสงสาร

“เอาละๆ เลิกร้องไห้เถอะลูกหยี ทุกอย่างมันผ่านไปหมดแล้ว ลืมมันซะนะ”

“แต่ฉันกลัวท้อง ลินดา ฉันกลัวจริงๆ นะ” ยาหยีลดมือที่ปิดหน้าลงและมองคู่สนทนาอย่างขอความช่วยเหลือ

ลินดาถอนใจออกมาแรงๆ ด้วยความกลัดกลุ้มเช่นกัน ยาหยีไม่ได้ให้ข้อมูลอะไรกับหล่อนเลยให้ตายสิ นี่แหละน่า ข้อเสียของสาวบริสุทธิ์ที่ไม่แม้แต่จะอ่านนิยายโรมานซ์

“เธอต้องถามผู้ชายคนนั้นแล้วล่ะลูกหยี”

“ถามเขา?”

ร้องออกมาด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง ความตื่นตระหนกอัดแน่นอยู่เต็มกระแสเสียง ก่อนจะรีบส่ายหน้าพรืดโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด

“ไม่…ฉันไม่มีทางยุ่งเกี่ยวกับผู้ชายคนนั้นอีกแล้ว”

“ถ้าเธอไม่ถาม แล้วจะรู้ได้ยังไงล่ะ ไม่งั้นก็นั่งเครียดกันตายเลย แถมยังจะสอบในอีกวันสองวันนี่แล้วด้วย คงไม่มีกะจิตกะใจจะอ่านหนังสือแน่ แล้วไอ้เกรดเอที่เธอกวาดเรียบทุกวิชามาทุกเทอมน่ะคงต้องหลุดมือไปแน่ๆ”

ลินดาพยายามหว่านล้อม แต่เจ้าตัวก็เอาแต่นิ่งเงียบ ร้องไห้สะอึกสะอื้นไม่หยุด จนปัญญาที่จะช่วยเหลือแล้วจริงๆ

“ทำใจดีๆ ไว้นะลูกหยี นอนหลับพักผ่อนซะให้สบายใจ พรุ่งนี้ค่อยหาทางแก้ปัญหากันใหม่ แล้วนี่เธอมั่นใจได้ยังไงว่าพ่อรูปหล่อน่าฟัดนั่นจะไม่มาลากเธอไปกกอีกน่ะ เมื่อตอนเช้าก็บุกไปหาเธอที่ห้องเรียนมาครั้งหนึ่งแล้ว” คำพูดของลินดาทำให้คนที่กำลังร่ำไห้อยู่ถึงกับหยุดร้องไห้กึก พร้อมๆ กับถามออกมาเสียงสั่นเครือ

“เขาไปหาฉันที่ห้องเรียนเหรอ”

“ก็ใช่น่ะสิ สาวๆ ในห้องน่ะกรี๊ดกร๊าดกันใหญ่ แต่พอรู้ว่าเป็นผู้ชายของเธอ พวกนั้นก็อิจฉากันตาร้อนผ่าว รวมทั้งฉันด้วย นี่รู้ไหมว่าเธอน่ะโชคดีแค่ไหนที่ได้เทพบุตรสุดหล่อแถมท่าทางจะรวยระเบิดมานอนกก ฉันหามาทั้งชีวิตยังได้แค่โกวิทลูกชายเจ้าของร้านทองเอง”

อยากจะดีใจอยู่หรอก แต่หล่อนจะดีใจลงไปได้ยังไงกันล่ะในเมื่อรู้ฐานะตัวเองในสายตาของคอร์เนลดีว่าเขามองหล่อนยังไง

เหยื่อแค้น อีตัว หรือไม่ก็นางบำเรอ

“หากการได้เจอกับผู้ชายคนนี้เป็นเรื่องโชคดีละก็ ฉันขออยู่แบบโชคร้ายดีกว่า อยู่โดยไม่ต้องพบเจอผู้ชายใจร้ายคนนี้…ผู้ชายใจดำ”

“โอ๋…หยุดร้องไห้ได้แล้วลูกหยีจ๋า เธอคงโกรธเขามากที่เขารุนแรงด้วยใช่ไหมล่ะ มันก็ธรรมดาของผู้ชายนั่นแหละ ยิ่งเป็นผู้ชายยุโรป ผู้ชายอเมริกันด้วยแล้ว พวกนี้เซ็กส์ค่อนข้างรุนแรง ป่าเถื่อน แต่อีกหน่อยเธอก็จะชอบมัน…เหมือนกับฉันนี่แหละ”

“ฉันไม่มีทางชอบคนเถื่อนแบบนั้นหรอก”

แม้จะกำลังคร่ำครวญอยู่แต่หญิงสาวก็ยังอดคัดค้านออกไปไม่ได้ แม้ความเป็นจริงแล้วหล่อนจะหลงใหลสัมผัสของคอร์เนลจนโงหัวไม่ขึ้นก็ตาม แต่หล่อนไม่มีทางยอมให้ใครรับรู้ได้หรอก ปล่อยให้มันตายไปพร้อมๆ กับลมหายใจของหล่อนเนี่ยแหละ หล่อนจะต้องบอกว่าเกลียดเขาทุกครั้งที่เจอหน้า

ลินดานั่งปลอบเพื่อนสนิทอยู่พักใหญ่ก็ขอตัวออกไปทำธุระข้างนอก

“ฉันมีนัดกับโกวิทน่ะลูกหยี อาจจะกลับดึกสักหน่อยนะ แต่รับรองไม่เกินเวลาที่หอปิดแน่ เพราะฉันไม่มีวันยอมนอนตากน้ำค้างหน้าหอแบบเธอหรอก” ร่างอรชรในชุดสวยลุกขึ้นยืน ยิ้มให้กับยาหยีอย่างให้กำลังใจ

“นอนซะนะ พักผ่อนซะ อย่าคิดมาก เดี๋ยวฉันกลับมา”

“ไม่ต้องห่วงฉันหรอกลินดา เธอไปเที่ยวกับโกวิทให้สบายใจเถอะ” ยาหยีฝืนยิ้มให้กับคู่สนทนาทั้งน้ำตา ความขมขื่นที่เกิดจากความไม่แยแสของคอร์เนลยังคงมีอานุภาพรุนแรงต่อหัวใจของหล่อนมากมายเช่นเดิม

“งั้นฉันไปนะลูกหยี”

“จ้ะ ขอให้สนุกนะ”

ยาหยีโบกมือให้กับเพื่อนรัก มองจนลินดาหายวับไปกับบานประตูแล้วจึงล้มตัวลงนอนหงายบนเตียงนอน ร้องไห้ออกมาอย่างหนักจนตัวโยน เจ็บปวดรวดร้าวเหลือเกินกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเอง

เสียตัว มันยังไม่เจ็บปวดรวดร้าวเท่ากับการที่ต้องเสียหัวใจให้กับผู้ชายที่มองไม่เห็นค่าของมันเลยแม้แต่นิดเดียว

คราวนี้ใบหน้างามร้อนแทบไหม้ หญิงสาวรีบลนลานลงมาจากโต๊ะไม้ที่พึ่งจะเป็นสนามรักให้สดๆ ร้อนๆ เมื่อครู่นี้อย่างรวดเร็ว ร่างอรชรทรุดกายลงนั่งยองๆ กับพื้นห้องเพื่อปกปิดร่างกายของตัวเองจากสายตาคมกริบของหนุ่มหล่อตรงหน้า

เขาช่างควบคุมตัวเองได้อย่างดีเยี่ยมจนน่าปรบมือให้เสียจริงๆ ดูสิ ท่าทางของเขาทำเหมือนกับว่าเมื่อครู่นี้ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น ความมั่นอกมั่นใจแกมหยิ่งผยองสะท้อนออกมาจากกายกำยำของเขาจนคนมองอย่างหล่อนอดแสบตาไม่ได้

เขาหล่อเหลาสุดเนี้ยบอยู่ในชุดลำลองราคาแพง ขณะที่หล่อนเปลือยเปล่าล่อนจ้อนน่าอับอาย สาวน้อยตัวสะท้านไหว รู้สึกอดสูอย่างรุนแรง น้ำตาซึมออกมาคลอที่ขอบตาเมื่อคนตัวโตช่วยสงเคราะห์โยนเสื้อผ้ามาให้

เสื้อ กระโปรง บราเซียร์ และก็กางเกงในตัวน้อย ทุกอย่างมันมากองอยู่ตรงหน้าหมดแล้ว แต่ทำไมนะ ทำไมหล่อนถึงไม่จัดการกับตัวเองเสียทีล่ะ ทำไมยังคงนั่งนิ่งร่ำไห้อยู่แบบนี้

“แต่งตัวเสียสิ แล้วออกไปให้พ้นหน้าผมซะ”

หากแม่สาวน้อยที่นั่งตัวสั่นงันงกตรงหน้าโต้เถียง แย้งค้านใดๆ ออกมาบ้าง ไอ้ความรู้สึกผิดงี่เง่าพวกนี้ก็คงไม่มีโอกาสกระแทกกระทั้นเข้าสู่หัวใจของเขาได้หรอก แต่นี่เจ้าหล่อนเอาแต่นั่งนิ่ง น้ำตาไหลเงียบๆ แถมเนื้อตัวก็ยังสั่นเทาจนอดเวทนาไม่ได้อีก

เขาไม่เคยใจอ่อนกับใครเลยนี่นา โดยเฉพาะกับผู้หญิง แต่ทำไมเขาถึงรู้สึกสงสาร ห่วงใย และไม่อยากเห็นน้ำตาของยาหยีถึงเพียงนี้นะ

คอร์เนลถอนใจออกมาแรงๆ ขณะเคลื่อนกายมาทรุดตัวลงนั่งตรงหน้าของหญิงสาว

“จะร้องไห้ทำไมนักหนา ความจริงคุณน่าจะดีใจสิไม่ว่าที่ทำให้ผมเสียการควบคุมตัวเองจนฟาดคุณบนโต๊ะทำงานของตัวเองแบบนี้”

คอร์เนลต่อว่าเสียงกระด้าง เห็นได้ชัดว่าไม่พอใจตัวเองเช่นกัน ขณะฝ่ามือสากเริ่มต้นจัดการแต่งเนื้อแต่งตัวให้กับหญิงสาว

“อย่าค่ะ อย่ามายุ่ง” สาวน้อยปัดป้องแต่ก็ไม่เป็นผล

“ผมเป็นคนถอด ก็จะรับผิดชอบใส่คืนให้ก็แล้วกัน”

เขาปล้ำใส่กางเกงชั้นในให้หล่อนเสร็จเป็นอย่างแรก จากนั้นก็ตามด้วยบราเซียร์ตัวสวย คนตัวโตติดตะขอให้เสร็จก็จ้องมองเนินอกสาวที่ทะลักทลายออกมาด้วยสายตาลึกล้ำมีความหมาย จนคนถูกมองหน้าแดงก่ำ

“ผมว่าคุณควรจะเปลี่ยนไซซ์ได้แล้วล่ะ”

“ฉัน…”

“เอ้า! ใส่เสื้อ…”

หญิงสาวจ้องมองคนตัวโตที่บรรจงสวมเสื้อผ้าให้กับตัวเองด้วยสายตาไม่ไว้ใจ เพราะไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าผู้ชายเหี้ยมโหด ดุดัน แถมยังป่าเถื่อนเป็นนิสัยอย่างคอร์เนล จะมีมุมที่อ่อนโยนเช่นนี้ด้วย หรือว่าหล่อนฝันไปนะ

“รู้ไหมว่าผมไม่เคยแต่งตัวให้กับผู้หญิงคนไหนมาก่อนเลยนะ คุณเป็นคนแรก”

กายสาวเบ่งบานมีปฏิกิริยาตอบรับต่อคำพูดของผู้ชายตรงหน้าอย่างรุนแรง หัวใจสาวเต้นกระหน่ำปะทะกับทรวงอกอย่างบ้าคลั่ง มือบางกำเข้าหากันแน่นขณะปล่อยให้คอร์เนลติดกระดุมเสื้อเม็ดสุดท้ายจนเสร็จ

“เสร็จแล้ว”

เขาผละออกห่าง พร้อมกับลุกขึ้นยืนเต็มความสูง หญิงสาวพยายามจะลุกขึ้นยืนบ้างแต่ก็อ่อนเปลี้ยเกินกว่าจะลุกขึ้นยืนไหว และคอร์เนลก็คงจะเวทนาหล่อนล่ะมั้ง เขาถึงได้ก้มลงโอบประคองหล่อนขึ้นมาแนบอก

“ขอบ…คุณ…”

“ไม่จำเป็นหรอก ก็ผมเป็นคนทำให้คุณหมดแรงนี่”

พ่อเทพบุตรสุดหล่อยิ้มบางๆ ก้มลงจูบปากอิ่มหนักหน่วง ขยี้เคล้าคลึงจนแม่สาวน้อยในอ้อมแขนอ่อนเปลี้ยมากกว่าเดิม คอร์เนลครางกระหึ่มในลำคอด้วยความพึงพอใจ ความเกรี้ยดกราด เดือดดาลที่ครอบงำจิตใจเมื่อรู้ว่าตัวเองร่วมรักกับยาหยีบนโต๊ะทำงานจางหายไปสิ้น เพียงแค่ได้จูบปากอิ่มๆ หวานฉ่ำของแม่คุณเท่านั้น

“พอก่อนเถอะ ถ้าจูบนานกว่านี้ ผมคงต้องเปลี่ยนโต๊ะทำงานใหม่แน่” คอร์เนลกัดฟันข่มความปรารถนาที่มันเต้นเร่าอยู่ภายในช่องท้อง ดันร่างแบบบางที่ระทดระทวยของยาหยีออกห่าง พร้อมกับก้าวถอยหลังออกไป

“คืนนี้ผมจะทำมันทั้งคืน”

คำสัญญาของเขาทำให้คนฟังหน้าลุกเป็นไฟ แขนขาดูรกรุงรังไปหมดยามที่ถูกเขามองมาแบบสำรวจตรวจตรา

“ไปได้แล้วล่ะ ผมมีงานต้องทำอีกเยอะ”

ปากอิ่มเม้มเข้าหากันแน่น รู้สึกถึงความอัปยศอดสูที่ฉาบไปทั่วทั้งเรือนกาย ทำไมหล่อนถึงได้น่าสังเวชแบบนี้นะ ทำไมหล่อนถึงยอมก้มหัวให้เขาย่ำยีได้อย่างย่ามใจ ทำไมหล่อนต้องยอมเป็นเบี้ยล่างให้กับผู้ชายใจดำคนนี้ด้วย ผู้ชายที่หล่อนไม่เคยมองออกเลยว่าเขารู้สึกและกำลังนึกคิดอะไรอยู่ ผู้ชายที่อันตรายเหลือเกินกับหัวใจบริสุทธิ์ของตัวเอง

คอร์เนลมองร่างอรชรที่เดินออกไปนอกห้องทำงานของตัวเองเงียบๆ ด้วยสายตาลึกซึ้ง ขณะเดินไปเก็บแฟ้มเอกสารและข้าวของที่ตัวเองเป็นคนกวาดมันลงไปนอนแอ้งแม้งที่พื้นกับมือขึ้นมาจัดเรียงบนโต๊ะทำงาน สมองที่เคยคมกริบทื่อไม่ต่างจากมีดเก่าเก็บขึ้นสนิม

ไม่ว่าจะอัดอั้นตันใจกับการปลดปล่อยทางเพศมานานแค่ไหน แต่เขาก็ไม่เคยมีเซ็กส์แบบไม่เลือกสถานที่แบบนี้มาก่อนเลย ในห้องทำงาน บนโต๊ะทำงาน ให้ตายเถอะ เขาทำเรื่องแบบนั้นลงไปจริงๆ และก็สุขสมเอามากๆ เสียด้วย

หนุ่มหล่อกัดฟันแน่น นึกเกลียดตัวเองนักที่กายหนุ่มดันร้อนผะผ่าวขึ้นมาอีกแล้ว แถมไอ้ความอยากตอกย้ำความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของกับร่างกายสาวสดของยาหยีซ้ำอีกรอบก็ยังทรงพลังนักหนาจนเขาแทบจะยับยั้งใจเอาไว้ไม่อยู่ ทั้งๆ ที่พึ่งจะจบบทสวาทอันแสนเร่าร้อนบนโต๊ะทำงานไปเพียงแค่ไม่ถึงห้านาทีเท่านั้น

‘เขานี่คงจะบ้าไปแล้ว ไม่อย่างนั้นก็คงเผลอไปกินยาปลุกเซ็กส์มาแน่ๆ ถึงได้คึกคักและอยากมีเซ็กส์จนหน้ามืดตามัวแบบนี้ อยากจะรู้นักว่า หากเขาอิ่มแปล้กับความสดสวยไร้เดียงสาของเจ้าหล่อนแล้ว ไอ้ความรู้สึกอยากมีเซ็กส์ทั้งวันทั้งคืนที่มันเกิดขึ้นมาในเรือนกายอย่างเฉียบพลันเช่นนี้จะจางหายไปพร้อมๆ กันด้วยหรือเปล่า’

คอร์เนลบ่นอุบกับตัวเองด้วยความเดือดดาล หงุดหงิดงุ่นง่านนักกับความต้องการที่พุ่งขึ้นมาอีกระลอก ตอนแรกคิดว่าจะฝืนใจทำงานด่วนที่เลขาฯ พึ่งฝืนคำสั่งโทรมาหาให้จบๆ แต่สุดท้ายก็ทำไม่สำเร็จ สมองไม่ยอมคิดเรื่องใดเลยนอกจากเรื่องบนเตียง และก็เฉพาะเจาะจงกับแม่ยาหยีกลอยใจเพียงคนเดียวเท่านั้นด้วย

ชายหนุ่มตัดสินใจทำตามหัวใจของตัวเองในทันที นั่นก็คือการเลิกทำงานทุกอย่างตรงหน้า กายกำยำผุดลุกขึ้นยืนตระหง่าน ก่อนจะก้าวยาวๆ เดินออกไปจากห้องทำงานในพริบตา มุ่งหน้าตรงไปลากแม่สาวแสนเร่าร้อนขึ้นไปบำเรอสวาทในห้องนอนเสียให้หายคลั่ง

เขายกมือขึ้นโอบประคองเต้างามเอาไว้ หญิงสาวถอนหายใจแรงๆ หงายศีรษะไปด้านหลังเมื่อถูกนิ้วแกร่งขยี้ยอดทรวงแรงๆ

“ผมพยายามที่จะอยู่ห่างจากคุณ เพราะเห็นว่าคุณยังไม่หายไข้ดี”

คนตัวโตพึมพำขณะซุกไซ้ซอกคอนุ่มด้วยความหิวกระหาย มือใหญ่เคล้าคลึงเต้างามประกาศความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของอย่างย่ามใจ หญิงสาวร้องครางเบาๆ ในลำคอ เมื่อบั้นท้ายของตัวเองชนเข้ากับขอบโต๊ะทำงานตัวใหญ่ของคอร์เนล

“แต่ในเมื่อคุณมาหาผมถึงที่แบบนี้…”

ร่างบอบบางลอยละล่องขึ้นมานั่งบนโต๊ะไม้แข็งแรง มือใหญ่จับต้นขานวลให้แยกออกจากกัน รูดกางเกงชั้นในตัวจ้อยให้มันร่วงลงไปกองรวมกับบราเซียร์ จากนั้นก็แทรกตัวเข้าอยู่ในระหว่างต้นขาของหญิงสาว

“ผมก็จะไม่มีทางปล่อยคุณไปเด็ดขาด ผมจะมีเซ็กส์กับคุณเดี๋ยวนี้”

ขาดคำเขาก็จูบลงมาอีกครั้งอย่างหนักหน่วงหิวกระหาย หญิงสาวเผยอปากรับการรุกรานของคนตัวโตด้วยความเต็มอกเต็มใจ เบียดกระแซะกายสาวเข้าหาด้วยอารมณ์ร้อนระอุเช่นกัน ชายหนุ่มก้มลงมาคลุกเคล้าใบหน้าสากระคายของตัวเองที่ร่องอกสาว ดูดกลืนปลายถันเข้าไปในในอุ้งปาก ลิ้นมากความสามารถโลมเลียหยอกเย้ายอดทรวงด้วยความช่ำชอง

“คอร์เนล…”

สาวน้อยร้องครางด้วยความรัญจวน เนื้อตัวเบ่งบานแทบจะแตกปริ มหัศจรรย์เหลือเกินกับปาก ลิ้น และฝ่ามือของเขาที่ร่ายมนต์ขลังกับผิวสาวของตัวเอง

“อยากให้หยุดหรือเปล่า”

“ไม่ค่ะ อย่าหยุด”

มือบางตวัดรอบกายกำยำเอาไว้แน่น เบียดความอวบอัดเข้าหา บอกความต้องการเป็นภาษากายให้กับผู้ชายที่กำลังดื่มกินทรวงงามของตัวเองอย่างบ้าคลั่งได้รับรู้

คอร์เนลระบายยิ้มออกมาด้วยความพึงพอใจ ตอนนี้สมองที่เคยหมกมุ่นแต่เรื่องงานจมปลักอยู่กับเถ้าถ่านเสน่หาอย่างถอนตัวถอนใจไม่ขึ้น เขาต้องการยาหยี ต้องการจนทนต่อไปไม่ได้อีก เขาไม่สามารถยืดการเล้าโลมหญิงสาวให้นานมากกว่านี้ได้อีกแล้ว เขาต้องการหล่อนเดี๋ยวนี้!

คนตัวโตผลักร่างอรชรให้กึ่งนั่งกึ่งนอนบนโต๊ะทำงานที่ตอนนี้เอกสารทุกอย่างถูกกวาดลงไปกองกับพื้นห้องเป็นที่เรียบร้อยแล้วอย่างเร่งร้อน หญิงสาวใช้สองแขนเท้ากับพื้นโต๊ะเอาไว้ ขณะผงกศีรษะขึ้นมองคอร์เนลด้วยสายตาแห่งความปรารถนารุนแรง

เขากำลังกระชากเข็มขัดและปลดตะขอกางเกงออก จากนั้นก็รูดซิปกางเกงลงจนสุด แก้มสาวแดงระเรื่อไม่กล้ามองต่อไปอีก จำต้องหลับตาปี๋ คอร์เนลหัวเราะออกมาเมื่อจัดการปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระ

“เตรียมร้องว่าเอาอีกได้เลย…ยาหยี”

และทุกอย่างก็สวยงาม เร่าร้อน รุนแรง แกมบ้าคลั่ง แรงรักจากคอร์เนลยังคงดิบเถื่อนเช่นเดิม ทุกการเคลื่อนไหวทำให้หญิงสาวไม่สามารถสะกดกลั้นเสียงร้องครางด้วยความสุขสมเอาไว้ได้เลยแม้แต่นิดเดียว

กระแสความเสียวซ่านทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ความรู้สึกที่มีคอร์เนลอยู่ภายในกายทำให้หล่อนอิ่มเอิบเหลือเกิน เนื้อตัวของหล่อนร้อนผ่าวราวกับมีลาวาร้อนๆ ไหลเข้ามาสิงสู่ ความวาบหวามจากแรงขับเคลื่อนของนักรักผู้ช่ำชองกำลังทำให้ร่างกายของหล่อนลอยสูงขึ้นเรื่อยๆ

“คอร์เนล…โอ้…”

ผิวกายทุกตารางนิ้วกำลังถูกแผดเผาด้วยไฟพิศวาสร้อนแรง ยิ่งเขาดำเนินบทรักอย่างหนักหน่วงมากขึ้นเท่าไร เรือนกายของหล่อนก็ยิ่งเดือดพล่าน ร้อนฉ่า สะโพกงามส่ายพลิ้วระริกไหวรับลำนำสวาทจากคอร์เนลด้วยความโหยหาแทบขาดใจ

“คอร์เนล…ไม่ไหวแล้ว…”

“เช่นกันทูนหัว”

เขาพึมพำเสียงแหบพร่าเร่าร้อน ก้มลงงับปลายถันอีกครั้งขณะไม่หยุดเคลื่อนไหว และการกระทำแสนรัญจวนนี้ก็ทำให้สาวน้อยซาบซ่านอย่างรุนแรง แล้วสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ก็ถล่มลงมาใส่ร่าง ยาหยีเกร็งกระตุกอย่างรุนแรง ความอิ่มเอมอาบไล้ไปทั่วทั้งเรือนร่าง

คอร์เนลกัดฟัน พยายามยื้อฟางเส้นสุดท้ายเอาไว้สุดกำลัง แต่มันก็ต้องขาดกระจุยลงอย่างน่าเจ็บใจเมื่อเรือนกายหนุ่มร้อนผ่าวถูกรัดรึงอย่างรุนแรง และเพียงไม่ถึงอึดใจเขาก็ต้องร้องคำรามลั่นห้องทำงาน เสียงกึกกักของขาโต๊ะกับพื้นห้องดังถี่ยิบ

ร่างใหญ่หอบหายใจระรัวเมื่อทุกอย่างสิ้นสุดลง ความสุขสมยังอาบไล้ไปทั่วทั้งกายหนุ่ม ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าตัวเองจะขาดความยับยั้งชั่งใจขนาดร่วมรักกับผู้หญิงภายในห้องทำงานของตัวเองเลยทีเดียว แถมมันยังไม่ใช่ที่พื้น ที่โซฟา หรือแม้แต่กำแพงห้อง แต่มันเป็นบนโต๊ะทำงานอันแสนศักดิ์สิทธิ์ของเขาอีกต่างหาก

นี่แม่ยาหยีทำเสน่ห์ยาแฝดใส่เขาหรือเปล่านะ สมองของเขา ร่างกายของเขา ถึงได้โหยหาแต่ความหวานฉ่ำจากหล่อนเพียงคนเดียวเท่านั้น

“คุณเป็นผู้หญิงคนเดียวที่ผมนอนด้วยโดยไม่เลือกสถานที่”

เสียงห้วนกระด้างของคนตัวโตที่ดังทำลายความเงียบงันช่วยดึงให้ยาหยีกลับมาสู่โลกแห่งความจริงอีกครั้ง หลังจากปล่อยตัวปล่อยใจให้หลงระเริงไปกับความรัญจวนบาดจิตของคอร์เนลอยู่นานหลายนาที

“เอ่อ…”

กลายเป็นคนติดอ่างไปซะงั้น ขณะที่แก้มสาวแดงก่ำด้วยความขัดเขิน ร่างกายของเขากับหล่อนยังหลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกัน อยากจะบอกเขาเหลือเกินว่าหล่อนรู้สึกมหัศจรรย์แค่ไหนกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ยังไม่ทันจะได้ปริปาก คำพูดเลือดเย็นของคอร์เนลก็แหวกม่านแห่งความสุขเข้าไปสู่เนื้อหัวใจของหล่อนอย่างไม่ปรานี

“และผมก็ไม่ชอบใจเลย ให้ตายสิ!”

เขาสบถออกมาเสียงเครียด ก่อนจะผละออกห่างในเฉียบพลัน บ็อกเซอร์สีเข้มถูกดึงขึ้นมาอยู่ที่เดิม มือใหญ่ติดตะขอกางเกงและรูดซิปขึ้น จัดการกับเข็มขัดหนังราคาแพงระยับเป็นสิ่งสุดท้าย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองร่างอรชรที่ยังนอนแผ่หลาอยู่บนโต๊ะไม้เช่นเดิมด้วยสายตาเฉยเมย

“ลงมาได้แล้ว หรือว่าจะเอาอีกรอบ”

การสนทนากับลูกค้ารายสำคัญจบลงพอดีเมื่อประตูห้องทำงานของตัวเองถูกเปิดผลัวะเข้ามาโดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า ร่างอรชรของยาหยียืนนิ่งอยู่ที่ปากประตู ดวงตาสีเขียวจัดหรี่แคบมองร่างอรชรที่ตอนนี้ก้าวข้ามธรณีประตูเข้ามาแล้วด้วยความไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง

“ใครใช้ให้คุณเสนอหน้าเข้ามาวุ่นวายถึงที่นี่”

แม้จะสะอึกกับคำพูดเหี้ยมเกรียมของบุรุษที่มองกี่ครั้งก็หล่อกระชากวิญญาณมากแค่ไหน แต่หล่อนก็ไม่คิดจะถดถอยหนีเด็ดขาด

“ไม่มีใครใช้หรอกค่ะ ฉันเสนอหน้ามาหาคุณเอง”

ร่างอรชรเดินเข้ามาหยุดตรงหน้า กลิ่นหอมอ่อนๆ จากกายสาวมีผลโดยตรงต่อเลือดหนุ่ม มันร้อนฉ่าเดือดพล่านขึ้นมาอย่างน่าตกใจ เขาไม่เคยรู้สึกอยากมีเซ็กส์กับสตรีนางไหนมากและรุนแรงเท่ากับแม่ผู้หญิงที่กำลังจ้องหน้าเขาเขม็งแบบนี้มาก่อนเลย ให้ตายสิ!

“ไสหัวไปให้พ้น!”

“ฉันไม่ไปไหนทั้งนั้น คุณมันคนเจ้าเล่ห์”

คนตัวโตที่ถอยหลังออกห่างไปหลายก้าวหรี่ตาแคบมองหล่อนอีกครั้งหนึ่งด้วยสายตาประหลาดใจแกมไม่พอใจ

“พูดใหม่อีกครั้งสิ”

“คุณมันคนเจ้าเล่ห์ คนหลอกลวง” ยาหยีคำรามใส่หน้าคอร์เนลอย่างไม่เกรงกลัวอีกครั้ง มองเขาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ โกรธเหลือเกินที่ผู้ชายตรงหน้าใช้วิธีสกปรกบีบบังคับฝืนใจหล่อนให้ยินยอมเป็นอีตัวบนเตียงนอนของเขา

“พูดเรื่องบ้าอะไรไม่ทราบ”

คอร์เนลเปลี่ยนจากการถอยหลังหนีเป็นเดินหน้าเข้าชนเมื่อความสงสัยเคลือบแคลงระเบิดใส่กลางอก ยาหยีเม้มปากแน่นไม่ขยับหนีแม้ว่าตอนนี้คนตัวโตจะก้าวเข้ามาใกล้ชิดแค่ไหนก็ตาม แล้วในที่สุดมือใหญ่ก็คว้าหมับที่ต้นแขนกลมกลึงของหล่อน บีบแรงๆ อย่างลืมตัว หญิงสาวเจ็บจนน้ำตาซึม รีบดิ้นรนแต่ก็ไร้ทางรอด

“ปล่อยนะ!”

“บอกมาว่าพูดเรื่องบ้าอะไร!” เขาตวาดใส่หน้าด้วยความเกรี้ยวกราด ใบหน้าหล่อเหลาตอนนี้แดงก่ำด้วยโทสะ

หญิงสาวเม้มปากแน่นแม้จะหวาดกลัวแค่ไหน แต่หล่อนก็ยังต้องการที่จะพูดมันออกไป

“ตอนที่คุณบังคับให้ฉันมอบตัวเองให้กับคุณ คุณรู้แล้วใช่ไหมว่าพ่อของฉันอยู่ที่ไหน”

คนตัวโตแสยะยิ้มเหยียดหยาม สายตาคมกริบไร้ความรู้สึกจนคนมองสะท้อนในอก

“นึกว่าเรื่องอะไร เดาเก่งหรือว่ามีคนบอกมาล่ะ”

ด้วยไม่ต้องการให้ใครเดือดร้อน ยาหยีจึงยอมรับผิดเอาไว้คนเดียว

“ฉันเดาเอาเอง และมันก็เป็นจริงใช่ไหมล่ะ คุณมันคนเจ้าเล่ห์ ไม่มีปัญญาหาผู้หญิงมาบำเรอให้หรือไงถึงต้องมาหลอกลวงฉันด้วย คุณมันคนหน้าไม่อาย โอ๊ย!”

นิ้วมือที่กดลงบนต้นแขนนั้นแรงอยู่แล้ว แต่ตอนนี้เจ้าของกลับเพิ่มน้ำหนักนั้นลงไปอีกจนกระดูกแทบจะแตกละเอียด

“อย่ามาปากดีกับผม!”

“ทำไมฉันจะปากดีไม่ได้ ในเมื่อฉันพูดเรื่องจริง คุณมันคนใจดำ ในเมื่อรู้แล้วว่าพ่ออยู่ที่ไหน ทำไมถึงยังบังคับให้ฉันทำเรื่องบ้าๆ แบบนั้นอีก ในเมื่อพ่อก็อยู่ในกำมือของคุณแล้ว คุณก็ไม่ควรที่จะแตะต้องร่างกายของฉัน” เชิดหน้ามองคนตัวโตทั้งน้ำตา คอร์เนลแค่นยิ้มเลือดเย็น

“เข้าใจผิดไปเองล่ะไม่ว่า ผมต้องการร่างกายของคุณเพื่อแลกกับลมหายใจของไอ้คนทรยศต่างหาก ไม่ได้บอกว่าจะเอามาเป็นเครื่องต่อรองกับพ่อคุณสักหน่อย และก็อยากจะอธิบายให้คุณเห็นความเป็นจริงชัดๆ นะว่า เมื่อคืนนี้ผมไม่ได้ข่มขืนหรือใช้กำลังใดๆ เลยกับคุณ” เขายิ้มร้ายกาจ มองไปทั่วกายสาวด้วยสายตาดูแคลน

“เป็นคุณเองไม่ใช่หรือที่ขอร้องให้ผมเอาคุณทำเมีย”

“คนเลว!” นึกคำด่าอื่นไม่ออกเลยจริงๆ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าหล่อนจะพ่ายแพ้ราบคาบแบบนี้

“ถึงผมจะเลวแต่ก็ยังเลวไม่ได้เสี้ยวหนึ่งของพ่อคุณเลย ยาหยี และการที่คุณต้องมาบำเรอความใคร่ให้ผมบนเตียงด้วยฐานะไม่ต่างจากอีตัวแบบนี้ก็เพราะการกระทำอันไร้สมองของพ่อคุณนั่นแหละ เลิกคิดว่าคนอื่นเขาผิดและพ่อตัวเองถูกเสียทีเถอะ มันน่าสมเพช!”

คอร์เนลผลักหล่อนเต็มแรงจนร่างอรชรเซล้มลงไปกองกับพื้น ก่อนจะเดินผ่านหญิงสาวที่นั่งกองกับพื้นไปอย่างไม่ไยดี หญิงสาวน้ำตาไหลออกมา

“งั้นก็ปล่อยฉันกลับไปสิ ในเมื่อคุณรู้ที่ซ่อนของพ่อแล้วนี่”

คนตัวโตที่กำลังจะเดินไปถึงประตูห้องหันขวับกลับมาฉับพลัน

“ยังหรอก ผมยังไม่อิ่มกับความสาวสดของคุณเลย ยังอยากจะลองเข้าไปในตัวของคุณอีกครั้ง แล้วทำให้คุณร้องคร่ำครวญเรียกหาแต่ผมเหมือนที่ร้องลั่นห้องเมื่อคืน”

หญิงสาวแก้มแดงซ่านกับวาจาร้ายกาจของคอร์เนล สาวน้อยค่อยๆ พยุงกายลุกขึ้นยืน จ้องหน้าคนตัวโตที่ยืนตระหง่านอยู่ปากประตูตาเขียวปั้ด

“ผู้ชายที่ไหนก็ทำให้ฉันร้องแบบนั้นได้เหมือนกันนั่นแหละ” กัดฟันพูดออกไป และก็ยิ้มเยาะในใจเมื่อพ่อหนุ่มสุดหล่อหน้าแดงก่ำด้วยโทสะ

“ขอบคุณนะคะที่ช่วยสอนให้ฉันสนุกมัน และดูเหมือนว่าฉันจะหลงรักมันเสียแล้วล่ะ คงต้องนำไปใช้กับเพื่อนชายสักสองสามคนเสียหน่อย”

ต้องการประชดประชันเท่านั้น แต่หารู้ไม่ว่ามันปลุกความเดือดดาลเกรี้ยวกราดในกายหนุ่มได้มากมายมหาศาลเพียงใด แค่ได้ยินว่าเจ้าหล่อนจะไปนอนกับผู้ชายคนอื่น จะไปยอมให้มันทำแบบที่เขาทำกับร่างกายของหล่อน แค่นั้นเขาก็เดือดจนแทบจะคลุ้มคลั่งอยู่แล้ว

‘ไม่มีทาง! เขาไม่มีวันให้ใครหน้าไหนมาแตะต้องในสิ่งที่เป็นของตัวเองได้หรอก เขาเป็นเจ้าของยาหยี และก็จะเป็นไปชั่วชีวิตด้วย’ ชายหนุ่มคิดด้วยความห่วงแหนโดยลืมไปว่าคนอย่างคอร์เนล ซีร์ยานอฟนั้นไม่เคยหึงหวงผู้หญิงคนไหนมาก่อน

“งั้นเหรอ…”

เท้าแกร่งเตะบานประตูให้ปิดสนิทลง เสียงดังโครมครามทำให้หญิงสาวอดสะดุ้งตกใจไม่ได้ และที่น่าหวาดกลัวมากกว่านั้นก็คือเขากำลังเดินเข้ามาหาด้วยท่าทางคุกคาม ยาหยีหน้าซีดเผือด ถดถอยหนีลนลาน

“จะทำอะไร…”

“จะซ้อมให้อีกรอบไงล่ะ จะได้เอาไปใช้ได้ไม่ผิดท่า รับรองว่าไอ้หนุ่มคนนั้นร่ำร้องไม่หยุดแน่…ยาหยี”

เขาเน้นชื่อของหล่อนเสียงกระด้าง และก็ก้าวเข้ามาอีกเพียงไม่กี่ก้าวก็สามารถรวบร่างของหล่อนเอาไว้ได้ เขาดึงเบาๆ ร่างของหล่อนก็ลอยละลิ่วเข้าไปซบอกกว้างแน่นหนั่นนั้นอย่างง่ายดาย พยายามดิ้นรน พยายามขัดขืน แต่ความแนบชิดชนิดที่เต้างามแทบจะบี้แบนไปกับแผงอกกว้าง หน้าท้องและต้นขาเบียดอัดเคล้าคลึงกันจนแทบจะกลายเป็นเนื้อเดียว

“ยิ่งดิ้น ผมก็ยิ่งมีอารมณ์ เอาสิ ดิ้นเข้าไป บางทีถ้าผมอยากมากๆ และทนไม่ไหวจริงๆ คุณก็คงจะได้ผัวรอบสองที่กำแพงห้องนี่แหละ!”

ได้ผลสาวน้อยหยุดดิ้นทันที เงยหน้ามองคนตัวโตตาเบิกกว้าง

“ฉัน…”

คอร์เนลยิ้มบางๆ จ้องมองดวงตาสีดำหวานฉ่ำด้วยความทึ่งจัด ก็เพราะหล่อนสวยงามแบบนี้นี่แหละ เขาถึงต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้หล่อนมาครอบครอง ยอมแม้กระทั่งผิดคำสัญญาของตัวเอง

“ผมเจอพ่อคุณเมื่อไร คุณจะเป็นอิสระทันที”

เขาให้คำมั่นกับหล่อนเอาไว้ก่อนที่หล่อนจะต้องเป็นของเขาเสียอีก แต่เขาห้ามตัวเองไม่ได้ ห้ามใจก็ไม่ได้ ร่างกายโหยหาแต่ผู้หญิงที่ชื่อยาหยีเท่านั้น และแน่นอนว่าเขาจะไม่มีทางปล่อยหล่อนไป หากตัวเองยังไม่ซึมซับกับคำว่า ‘เบื่อหน่าย’ แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าความเบื่อหน่ายคงจะมาช้ากว่าปกติมากมายทีเดียว

“ตามใจผม แล้วคุณจะมีความสุข” นิ้วเรียวยาวสีแทนยกขึ้นไล้แก้มสาวแผ่วเบาราวกับต้องการหยอกเย้า ขณะที่สายตาคมกริบกวาดมองไปทั่วทั้งใบหน้างาม จนในที่สุดก็มาอ้อยอิ่งอยู่ที่กลีบปากสาวอิ่มเต็มสีกุหลาบของเจ้าหล่อน

“ผมชอบปากของคุณ” มือใหญ่ข้างที่วางอยู่ที่เนินสะโพกกดให้ร่างบางของหล่อนแนบแน่นลงมามากขึ้น เนื้อตัวสาวถูกบดเคล้าด้วยความแข็งแกร่งทรงพลัง ทุกเซลล์ประสาทตื่นเร้าอย่างรุนแรง ความต้านทานที่คิดว่าเคยมีอยู่ลดลงอย่างน่าตกใจ แค่ได้กลิ่นโคโลญอ่อนๆ จากกายกำยำของเขาเพียงเท่านั้น

ลมหายใจร้อนระอุของเขาเป่ารดลงมา ริมฝีปากสุดแสนเซ็กซี่เคลื่อนเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็ประกบลงมา เหมือนโลกแตกระเบิดใส่หน้า ความวาบหวามรุนแรงเคลื่อนเข้าใส่ ช่องท้องบีบเกร็งจนอึดอัดปวดร้าว ความร้อนรุ่มกัดกินไปทั่วทั้งเรือนร่าง ยิ่งยามที่เขานำพาลิ้นแกร่งบุกเข้าไปหาความหวานฉ่ำภายในอุ้งปากของหล่อนด้วยแล้ว หล่อนก็ยิ่งคลุ้มคลั่ง ตอบสนองจุมพิตดุเดือดเร่งเร้าของคอร์เนลด้วยความร้อนแรงเกินคาด

“เพราะคุณร้อนแบบนี้นี่แหละ…”

เขางึมงำชิดปากของหล่อน ขณะกำลังปลดเปลื้องอาภรณ์ของหล่อนด้วยความเร่งร้อนแสดงถึงความไร้น้ำอดน้ำทน และในที่สุดร่างงามของหล่อนก็เหลือแค่บราเซียร์และกางเกงในตัวจ้อย

“ผมถึงต้องไปลากกลับมา”

มือหนาเอื้อมไปปลดตะขอบราเซียร์ที่แผ่นหลังโค้งละมุนออก ปล่อยให้บราเซียร์นั้นร่วงลงไปกองกับพื้น ขณะสายตาคมกริบสีเขียวจัดจ้องมองเต้างามที่ดีดเด้งออกมาด้วยความพึงพอใจ

“สวยมาก…”

กว่าจะหาเจอก็ปาเข้าไปเกือบครึ่งชั่วโมง และหล่อนก็เหนื่อยจนหอบแฮกๆ หญิงสาวจ้องมองประตูไม้แกะสลักบานใหญ่ตรงหน้านิ่ง หัวใจเต้นระรัวแรงขึ้นกว่าเดิมอีกแล้ว เมื่อสมองคิดว่าจะได้เห็นหน้าผู้ชายหล่อยิ่งกว่าเทพบุตรอย่างคอร์เนลในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า

ทำไมนะ ทำไมผู้ชายหล่อๆ แบบนี้ถึงได้ต้องมาในคราบของซาตานด้วย ใจร้าย เผด็จการ และเอาแต่ใจอย่างที่สุด ข้อเสียเหล่านี้หากไปอยู่กับผู้ชายธรรมดาๆ คนหนึ่งคงจะน่าสะอิดสะเอียนน่าดู แต่พอมันมารวมกันฝังแน่นอยู่ในผู้ชายคนนี้ ผู้ชายหล่อระเบิดอย่างคอร์เนล ทุกอย่างที่น่าสะอิดสะเอียนกลับน่าหลงใหลคลั่งไคล้ยิ่งนัก

เขาดูดีไปทุกระเบียดนิ้ว สมบูรณ์แบบหล่อเหลาโดยไม่ต้องอาศัยเสื้อผ้าเลยด้วยซ้ำไป ใช่สินะ คอร์เนลดูดีเป็นอย่างมากยามที่เปลือยเปล่าทั้งตัว สาวน้อยแก้มแดงก่ำลามไปถึงใบหูเมื่อความคิดอันน่าอับอายระเบิดขึ้นในสมอง

ไม่ๆ หล่อนจะต้องไม่ตกบ่วงเสน่ห์ของผู้ชายคนนี้เด็ดขาด เพราะสุดท้ายแล้วเมื่อทุกอย่างสิ้นสุด จะมีหล่อนแค่เพียงคนเดียวเท่านั้นที่ต้องเจ็บปวด คอร์เนลไม่มีทางมาชายตาแลผู้หญิงข้างถนนแบบหล่อนให้เสียเวลาหรอก โลกของเขาหรูหราและสมบูรณ์แบบ ซึ่งมันตรงข้ามกับโลกที่ต่ำต้อยเรี่ยดินของหล่อนเสียเหลือเกิน ทุกอย่างแค่พรหมลิขิตเท่านั้น และที่เขายื้อหล่อนไว้ก็เพียงเพราะหล่อนยังมีประโยชน์ต่อการตามหาเพชรสีทองเท่านั้น ท่องเอาไว้ให้ขึ้นใจนะยาหยีจะได้ไม่คิดเข้าข้างตัวเอง หากเขามาทำดีด้วย

ร้องสั่งตัวเองอยู่ภายในอก มือบางยื่นไปกำลูกบิดทองเหลืองแวววาวเอาไว้แน่น กำลังจะกระชากประตูให้เปิดออกแต่เสียงเรียกเบาๆ จากทางด้านหลังก็ทำให้การเคลื่อนไหวทุกอย่างของหล่อนชะงักค้าง

“คุณมาทำอะไรที่นี่คะ”

ยาหยีหันควับกลับหลังไปมอง แล้วก็ต้องถอนใจออกมาด้วยความโล่งอกเมื่อตัวเองจำเจ้าของเสียงพูดได้ สาวใช้คนนี้คือคนที่ขัดตัวให้หล่อนยังไงล่ะ

“เธอนั่นเอง”

“หนูเองค่ะ เอ่อ…แต่ว่าคุณมาทำอะไรที่นี่คะ ได้ยินว่านายน้อยให้คุณไปพักที่ห้องพักแขกฝั่งตะวันออกไม่ใช่เหรอ หรือว่านายน้อยเปลี่ยนแปลงคำสั่ง” ก่อนที่แม่สาวใช้ตรงหน้าจะเข้าใจผิดมากไปกว่านี้ หญิงสาวจึงรีบแก้ไขมันซะก่อน

“นายน้อยของเธอไม่ได้เปลี่ยนแปลงคำสั่งหรอกจ้ะ แต่ฉันมีเรื่องสำคัญที่ต้องพบกับเขาเดี๋ยวนี้”

สาวใช้พยักหน้าหงึกๆ เมื่อได้ยินคำชี้แจงของแขกสาว

“อย่างนี้นี่เอง แต่นายน้อยไม่ได้อยู่ในห้องนอนหรอกค่ะ” ร้องบอกเมื่อเห็นว่ายาหยีกำลังจะเปิดประตูห้องนอนของคอร์เนลเข้าไป

“แล้วเขาอยู่ไหนล่ะ”

“ห้องทำงานค่ะ เห็นว่ามีงานด่วนเข้ามา”

“งั้นเธอพาฉันไปหาเขาหน่อยได้ไหมจ๊ะ ฉันมีเรื่องสำคัญจริงๆ”

สาวใช้ส่ายหน้าพรืดทันที

“ไม่ได้หรอกค่ะ นายน้อยหวงห้องทำงานมากค่ะ พวกสาวใช้จะเข้าไปทำความสะอาดได้ก็ยังต้องทำตอนที่เธออยู่เลย แล้วยิ่งมาเกิดเรื่องที่พ่อของคุณเข้าไปขโมยเพชรสีทองในห้องทำงานเธอด้วยแล้ว นายน้อยก็ยิ่งระวังตัวเพิ่มขึ้นหลายเท่า”

‘จนมาถึงตอนนี้หล่อนยังไม่อยากจะเชื่อเลยว่าพ่อของตัวเองเป็นขโมย แต่จากคำบอกเล่าของคนที่นี่ก็ทำให้หล่อนเริ่มเชื่อมากขึ้นแล้วล่ะ’

“แต่ฉันต้องไปจริงๆ นะ ต้องพบกันเขา ถ้าเธอไม่พาฉันไป ฉันก็คงต้องหาเอง”

“แม้คฤหาสน์หลังนี้จะเล็กกว่าอาณาจักรซีร์ยานอฟที่กรุงมอสโกมาก แต่ยังไงคุณก็หานายน้อยไม่พบหรอกค่ะ ห้องหับที่นี่มีมากมาย”

สีหน้าผิดหวังของยาหยีทำให้สาวใช้วัยรุ่นอดสงสารไม่ได้ แต่ก็ยังไม่คิดจะช่วยอยู่ดี

“กลับไปรอที่ห้องนอนเถอะค่ะ รับรองว่าคืนนี้นายน้อยต้องไปหาคุณแน่ๆ เพราะท่าทางนายน้อยดูจะหลงใหลคุณมากกว่าผู้หญิงทุกคนที่พวกเราเคยเห็นมาเลย”

รู้ว่าควรจะเชื่อคำพูดของสาวใช้ แต่หล่อนทนรอให้ถึงเย็นนี้ไม่ได้หรอก แค่ทนต่อไปอีกสักชั่วโมงเดียวก็อึดอัดจะแย่อยู่แล้ว

“ก็ได้…เธอไม่ต้องพาฉันไปก็ได้ แต่บอกหน่อยได้ไหมว่าห้องทำงานของคุณคอร์เนลอยู่ส่วนไหนของคฤหาสน์หลังนี้ นะบอกหน่อยเถอะ”

ยาหยีได้ยินเสียงถอนใจเบาๆ จากปากของคู่สนทนา ก่อนที่สิ่งที่ตัวเองอยากรู้จะหลุดรอดตามติดออกมา

“ทิศเหนือค่ะ อยู่ใกล้ๆ กับระเบียงไม้ที่มองเห็นสระว่ายน้ำ คุณต้องเจอประตูกระจกก่อน เปิดมันออกแล้วเลี้ยวซ้าย หนูบอกได้แค่นี้แหละค่ะ”

“แค่นี้ก็ขอบใจมากแล้วล่ะจ้ะ”

คนพูดระบายยิ้มพึงพอใจออกมา ก่อนจะรีบย่ำเท้าเดินไปตามเส้นทางที่คู่สนทนาบอกมาคร่าวๆ ในทันที ทิ้งให้คนมองต้องส่ายศีรษะไปมาด้วยความอ่อนอกอ่อนใจ มองเห็นหายนะของนายน้อยตัวเองขึ้นมารำไร

“นายน้อยดิ้นไม่หลุดแน่คราวนี้”

สาวใช้วัยรุ่นถอนใจออกมาแรงๆ ขณะเร้นกายหายเข้าไปในห้องนอนของคอร์เนลเพื่อทำความสะอาดตามหน้าที่ประจำของตัวเองทันที

“นายน้อย” เซอร์เกก้มศีรษะให้กับเจ้านายของตัวเองด้วยความเคารพ เมื่อเห็นหนุ่มหล่อเดินลงมาจากหอพัก

“เมื่อคืนพวกนายทำบ้าอะไรกัน!”

คอร์เนลตวาดใส่คนสนิทและเหล่าบอดี้การ์ดเสียงดังลั่นด้วยความเดือดดาล มือใหญ่กำเข้าหากันแน่น อยากจะชกหน้าใครสักคนให้หายเจ็บใจนัก

“เมื่อคืนหรือครับ?”

“ใช่ พวกนายมาส่งยาหยีที่นี่ แล้วทำไมไม่ดูเวลาว่ามันกี่ทุ่มกันแล้ว หอพักปิดหรือยัง ทำไมให้เธอนอนตากน้ำค้างอยู่ที่นี่”

ความเกรี้ยวกราดของเจ้านายเข้าขั้นร้ายแรงจนผิดสังเกต ปกติคอร์เนลไม่เคยดูดำดูดีผู้หญิงคนไหนมาก่อนเลยในชีวิต หลังจากใช้บริการจบ ทุกอย่างก็จบลงด้วยเช่นกัน นายน้อยของเขาไม่เคยจดจำหน้าของสตรีเหล่านั้นได้เลย

“ผมไม่ทราบว่าหอปิดแล้วครับ และคุณยาหยีก็ไม่ได้บอก…” เซอร์เกพยายามจะอธิบายแต่คอร์เนลก็โกรธเกรี้ยวเกินกว่าจะรับฟัง

“ฉันจะตัดเงินเดือนของพวกนายทุกคนโทษฐานที่ทำให้ยาหยีไม่สบาย” คอร์เนลคำรามเล็ดลอดไรฟันขาวสะอาดของตัวเองออกไป ก่อนจะก้าวหายเข้าไปในรถลีมูซีนสีดำ โดยไม่สนใจรถสปอร์ตที่ตัวเองเป็นคนขับมาอีกเลย

เซอร์เกถอนใจออกมากับความผิดปกติของเจ้านาย ก่อนจะพยักหน้าให้อีวานไปขับรถสปอร์ต จากนั้นตัวเองก็ยืนรอยาหยีอยู่ข้างรถ และเพียงไม่นานหญิงสาวก็เดินโซเซลงมา มือบางมีเป้ใบย่อมติดมือมาด้วยหนึ่งใบ

“เชิญครับ”

ยาหยีเม้มปากแน่น ไม่มองเซอร์เกแม้แต่หางตาขณะก้าวขึ้นรถคันยาวที่เปิดประตูรออยู่ รถคันงามที่ตกแต่งสไตล์ยุโรปอย่างหรูหราแล่นทะยานออกไปด้วยความเร็วสูง ความเงียบเชียบกัดกินไปทั่วทุกเซลล์ประสาทเมื่อพ่อมัจจุราชจอมโหดที่นั่งขนาบข้างอยู่ไม่คิดจะปริปากทำลายความเงียบสงัดออกมาเลยแม้แต่คำเดียว

หญิงสาวลอบมองเสี้ยวหน้าคมสันในความสลัวนั้นอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็มองไม่เห็นอะไรเลยนอกจากความหล่อเหลาที่สะท้อนออกมาจนคนมองอย่างหล่อนต้องแสบตา

‘ผู้ชายอะไรแม้แต่อยู่ในความมืดก็ยังมีเสน่ห์ถึงเพียงนี้’

หญิงสาวเผลอชื่นชมคอร์เนลอยู่ภายในใจด้วยความลุ่มหลง ขณะลอบมองพ่อเทพบุตรสุดหล่อไม่วางตาไปตลอดทาง

คฤหาสน์หลังนี้ยังงามจับตาเช่นเดิม ยาหยีชื่นชมอยู่ภายในอก ขณะก้าวลงจากรถคันงามที่พึ่งจะจอดสนิทลง ร่างสูงใหญ่ของคอร์เนลเดินมาหยุดใกล้ๆ กลิ่นกายแข็งแกร่งดุจชายชาตินักรบของเขามีผลทำให้สมองของหล่อนมึนเมาได้อย่างง่ายดาย

‘ผิวกายของเขาเรียบตึง สีแทนเนียนไม่ผิดจากสีของน้ำผึ้ง แถมรสชาติก็ยัง…’

แก้มสาวแดงระเรื่อขึ้นมาเมื่อหวนนึกไปถึงยามที่ลิ้นเล็กของตัวเองตวัดเลียผิวหนุ่มในค่ำคืนเร่าร้อนที่ผ่านมา สาวน้อยรีบสลัดศีรษะของตัวเองแรงๆ เพื่อขับไล่ความคิดที่น่าอับอายให้กระเด็นออกไปจากสมอง แต่ยิ่งพยายามเท่าไร มันก็ยิ่งจมลึกและฝังแน่นลงไปเสียทุกที

“เดี๋ยวเชอรี่จะพาคุณขึ้นไปพักผ่อน”

เสียงห้าวของผู้ชายที่ตัวเองไม่เคยลืมได้เลยแม้แต่เสี้ยววินาทีเดียวดังขึ้นใกล้ๆ และมันก็ช่วยดึงหล่อนให้ขึ้นมาจากหลุมเสน่หาได้สำเร็จ หญิงสาวเบิกตากว้าง เงยหน้าขึ้นมองเขา สายตาประสานกันนิ่ง เหมือนหลงเข้าไปอยู่ในสนามแม่เหล็กไฟฟ้ากำลังแรงสูง ปฏิกิริยาทางเพศที่หล่อนกับเขามีต่อกันนั้นมันรุนแรงจนน่าตกใจ

สาวน้อยยกมือขึ้นทาบอก ขณะก้าวถอยหลังหนี

“ฉะ…ฉัน…”

“ไม่ต้องค้านอะไรทั้งนั้น ผมจะไม่ฟังคุณพล่ามอีกแล้วล่ะ”

เขาพูดเสียงกระด้างใส่หน้าหล่อน ก่อนที่ใบหน้าหล่อเข้มจะหันไปมองสาวใช้วัยกลางคนร่างท้วมที่พึ่งปรากฏตัวขึ้น

“พาคุณยาหยีไปพักที่ห้องนอนฝั่งตะวันออก”

จบคำสั่งเอาแต่ใจ คนตัวโตก็ก้าวยาวๆ หายเข้าไปในตัวตึกใหญ่เบื้องหน้าในพริบตา ยาหยีกัดปากแน่นกับท่าทางไม่แยแสที่เขาแสดงต่อตัวเอง

“ไม่อยากคุยด้วย ไม่อยากเห็นหน้า แล้วไปลากฉันมาด้วยทำไม”

บ่นออกมาด้วยความน้อยใจ ขณะยังยืนนิ่งอยู่กับที่ จนมีมือของใครบางคนมาแตะที่แขนนั่นแหละ หญิงสาวถึงรู้สึกตัว

“เชิญค่ะคุณยาหยี”

รอยยิ้มอย่างมีไมตรีของแม่บ้านวัยกลางคนทำให้ยาหยีใจชื้นขึ้นมาบ้าง หญิงสาวระบายยิ้มออกมาแม้มันจะเป็นรอยยิ้มที่ไม่สดใสนักก็ตาม

“ฉันจำป้าได้”

เชอรี่ยิ้มกว้างขณะเดินพาสาวน้อยที่ตัวเองถูกชะตาด้วยมุ่งหน้าไปยังห้องพักแขกห้องหนึ่งที่ฝั่งตะวันออก ซึ่งมันอยู่คนละทิศกันเลยกับห้องนอนของคอร์เนล ความจริงหล่อนก็รู้สึกแปลกใจอยู่เหมือนกันที่นายน้อยของตัวเองไม่ยอมให้ยาหยีไปพักอยู่ห้องเดียวกันด้วย แต่บ่าวอย่างหล่อนไม่มีสิทธิ์ที่จะรู้หากนายไม่ต้องการจะบอก

“ป้าอยู่ที่นี่มานานแล้วหรือคะ”

“ปกติป้าอยู่ที่คฤหาสน์ซีร์ยานอฟในกรุงมอสโกน่ะจ้ะ แต่พอดีนายน้อยมีธุระต้องมาทำที่เมืองไทย พอเธอซื้อคฤหาสน์หลังนี้เมื่อไม่กี่วันก่อน ป้าก็ได้รับคำสั่งให้บินมาดูแลเธอที่นี่”

คำอธิบายของเชอรี่ที่เอื้อนเอ่ยขณะก้าวเท้าพายาหยีผ่านระเบียงไม้ร่มรื่น เรียกคิ้วเรียวสวยให้เลิกขึ้นสูง

“นี่แสดงว่านายน้อยของป้านิสัยเอาแต่ใจที่สุด อยากได้อะไรก็ต้องได้”

“นายน้อยเกิดมาบนกองเงินกองทอง ไม่เคยถูกขัดใจมาก่อน เธออยากได้อะไร ทุกอย่างก็ต้องมากองอยู่ตรงหน้า อย่างคฤหาสน์หลังนี้นายน้อยถูกใจก็ทุ่มเงินไม่อั้นเลยทีเดียวเพื่อให้เจ้าของเก่ายอมขายมันให้กับเธอ”

“พวกมาเฟียก็เป็นอย่างนี้แหละค่ะ”

คนเดินนำหน้าหยุดการก้าวเท้ากะทันหัน พร้อมๆ กับหันมาจ้องหน้าหล่อนเขม็ง

“นายน้อยไม่ได้เป็นมาเฟียนะคะ เธอไม่ได้ทำสิ่งผิดกฎหมายเลยแม้แต่อย่างเดียว” น้ำเสียงของคู่สนทนาที่เคยเป็นมิตรตอนนี้แข็งกร้าวขึ้นบอกให้หล่อนรู้ว่าเชอรี่กำลังไม่พอใจเป็นอย่างมากที่หล่อนบังอาจไปสบประมาทนายน้อยผู้แสนดีของตัวเอง

‘เชอะ แสนดี…แสนร้ายล่ะมากกว่า’ หญิงสาวคิดด้วยความหมั่นไส้ แต่การพูดออกไปตรงๆ คงจะทำให้ทาสผู้ซื่อสัตย์ที่ถูกล้างสมองด้วยเม็ดเงินของคอร์เนลอย่างเชอรี่ไม่พอใจแน่ๆ หล่อนคงต้องค่อยๆ หว่านล้อม

“ฉันอาจจะเข้าใจผิดไป”

“ใช่ค่ะ คุณเข้าใจผิดอย่างมาก นายน้อยเป็นคนดี แม้จะเอาแต่ใจและเผด็จการไปบ้าง แต่นายน้อยก็ไม่เคยเข่นฆ่าใคร เธอไม่เคยแม้แต่จะใช้กำลังทำร้ายใครด้วยซ้ำ”

“แต่นายน้อยของป้ากำลังจะฆ่าพ่อของฉัน และที่สำคัญเขาก็ใช้เล่ห์เหลี่ยมกับฉัน”

‘เล่ห์เหลี่ยมเหรอ เมื่อคืนนี้คอร์เนลแทบไม่ได้ใช้เล่ห์เหลี่ยมอะไรกับหล่อนเลยสักนิด แค่ความเชี่ยวชาญในเชิงรักของเขาอย่างเดียวก็ทำให้หล่อนคล้อยตามได้อย่างง่ายดายแล้ว เสียงร้องอ้อนวอนที่หล่อนพร่ำเพ้อออกไปยังติดตรึงอยู่ในสมอง หล่อนวิงวอนให้เขาครอบครองอย่างหน้าไม่อาย และหากมีใครสักคนหนึ่งที่สมควรตายในตอนนี้ ก็ควรจะเป็นหล่อน หล่อนคนเดียวเท่านั้น’ สาวน้อยคิดอย่างอดสู กลีบปากสาวที่ยังบวมช้ำเม้มเข้าหากันแน่น

“พ่อของคุณทำผิด แต่เรื่องของคุณ ป้าเองก็ยังไม่เข้าใจเหมือนกัน” คนพูดเริ่มก้าวเดินอีกครั้ง ยาหยีก้าวตามหลังไป

“ป้ากำลังจะบอกหรือคะว่าปกตินายน้อยคนดีของป้าไม่เคยฉุดคร่าผู้หญิงมาบำเรอบนเตียงมาก่อน” นึกว่าคู่สนทนาต่างวัยจะปฏิเสธออกมา แต่ตรงกันข้ามกลับพยักหน้าหงึกๆ ซะงั้น

“นายน้อยจะทำไปทำไมล่ะคะ ในเมื่อมีผู้หญิงมายืนต่อแถวยาวเป็นพันๆ หมื่นๆ กิโลเมตรเพื่อรอให้นายน้อยเรียกใช้ แม่สาวๆ พวกนั้นทุกคนล้วนแต่อยากมาอยู่บนเตียงนอนของนายน้อยทั้งนั้น แม้จะรู้ว่าแค่คืนเดียวก็ตาม”

“คืนเดียวหรือคะ” ยาหยีร้องถามด้วยความประหลาดใจ

“ใช่ค่ะ แค่คืนเดียวทุกคน”

เป็นอีกครั้งที่เชอรี่หยุดเดินและหันกลับมาจ้องหน้าหล่อนเขม็ง จ้องมองอย่างพินิจพิเคราะห์จนหล่อนอดรู้สึกขัดเขินไม่ได้

“คุณเป็นผู้หญิงคนแรกที่นายน้อยเรียกให้กลับมารับใช้ซ้ำ แถมยังไปรับด้วยตัวเองอีกต่างหาก นี่คุณรู้ไหมคะว่าปกตินายน้อยแทบจะไม่เคยพูดคุยกับผู้หญิงเลยเวลาที่ไม่ได้อยู่บนเตียง”

สายตาแปลกประหลาดใจของเชอรี่ทำให้หัวใจของยาหยีพองโตได้อย่างประหลาด หล่อนจะไม่หลอกตัวเองหรอกว่าไม่ได้รู้สึกอะไรกับสิ่งที่ได้ยิน แต่ความน้อยใจกับท่าทางห่างเหินของอีกฝ่ายก็ทำให้หญิงสาวเลือกที่จะเก็บซ่อนความพึงพอใจนั้นเอาไว้ในอก และพูดแดกดันพ่อเทพบุตรสุดหล่อคอร์เนลออกมา

“นายน้อยของป้าเห็นฉันเป็นตัวประกันยังไงล่ะคะ เขายังไม่มีทางปล่อยฉันหรอก หากยังหาตัวพ่อไม่พบ”

“ใครว่าหายังไม่พบล่ะคะ นายน้อยรู้ที่ซ่อนตัวของพ่อคุณตั้งนานแล้วล่ะ แต่ที่ยังไม่ให้คนเข้าไปจับตัวมาก็เพราะจะใช้มันต่อรองเพื่อให้ได้ตัวของคุณยังไงล่ะ”

เชอรี่เผลอพูดออกมาแล้วก็ต้องยกมือขึ้นปิดปากด้วยท่าทางตื่นตกใจ กำลังจะรีบเดินหนี แต่ยาหยีก็คว้าแขนเอาไว้เสียก่อน

“ป้าหมายความว่ายังไงคะ”

สาวน้อยคาดคั้นเสียงจริงจัง เชอรี่หน้าซีดเผือด รู้ดีว่าหากคอร์เนลรู้ว่าเรื่องนี้หลุดออกมาจากปากของหล่อน มีหวังถูกไล่ออกจากงานอย่างแน่นอน

“คุณคะ ได้โปรดอย่าบอกนายน้อยเลยนะคะ ได้โปรด…” เชอรี่อ้อนวอนสาวน้อยตรงหน้า

“งั้นก็บอกความจริงมาก่อนสิคะว่าสิ่งที่ป้าพูดเมื่อกี้มันหมายความว่ายังไง”

ยาหยียังคาดคั้นด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว มองสตรีวัยกลางคนตรงหน้าเขม็ง เชอรี่ไม่มีทางเลือกอื่นใดจึงต้องเอ่ยปากเล่าออกมา และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าแม่สาวน้อยตรงหน้าจะยอมปิดเป็นความลับ

“ป้าได้ยินมาโดยบังเอิญน่ะค่ะ”

หญิงสาวเม้มปากแน่น สูดลมหายใจเข้าปอดแรงๆ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคอร์เนลจะร้ายกาจและไร้หัวใจเช่นนี้

“งั้นสิ่งที่ป้าพูดก็คือเรื่องจริงใช่ไหมคะ”

เชอรี่ไม่มีทางเลือกอื่นจึงต้องพยักหน้ารับออกไป

“ค่ะ เรื่องจริง นายน้อยต้องการตัวคุณมากกว่าต้องการเพชรสีทองคืนเสียอีก”

“คนเจ้าเล่ห์!” ยาหยีกำมือแน่น

“นั่นคุณจะไปไหนคะ”

เชอรี่ร้องถามเมื่อเห็นสาวน้อยกำลังจะเดินไปในทิศทางตรงกันข้าม เอื้อมมือไปคว้าเอาไว้แต่ยาหยีสะบัดแรงๆ จนหลุด

“ฉันสัญญาว่าจะไม่ทำให้ป้าเดือดร้อน แต่ตอนนี้ช่วยพาฉันไปหานายน้อยของป้าทีเถอะ ฉันอยากจะตบหน้าเขาสักฉาด” น้ำเสียงของยาหยีอัดแน่นไปด้วยโทสะ

“ไม่ได้นะคะ อย่าได้ริอ่านคิดทำร้ายนายน้อยเด็ดขาด”

เชอรี่ร้องห้ามด้วยท่าทางตื่นตกใจสุดขีด จนคนมองอย่างหล่อนต้องเลิกคิ้วถามกับท่าทางตื่นกลัวเกินเหตุของคู่สนทนา

“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ ในเมื่อเขาสมควรจะโดน แค่ตบหน้ายังถือว่าน้อยไปด้วยซ้ำ หากเทียบกับความเจ้าเล่ห์เลวร้ายของเขา”

“ถ้าคุณตบนายน้อย คุณอาจจะไม่เหลือลมหายใจ ถ้าเซอร์เกหรือว่าบอดี้การ์ดเห็นละก็ พวกเขาจะฆ่าคุณทันที”

น้ำเสียงของเชอรี่เต็มไปด้วยความหวั่นเกรง แต่ยาหยีกลับไม่รู้สึกหวาดกลัวเลยสักนิด ทำไมหล่อนต้องกลัวด้วยล่ะ ก็ในเมื่อตอนนี้ผู้ชายใจทมิฬคนนั้นทำให้หล่อนตายทั้งเป็นอยู่แล้ว เขาขังหล่อนไว้ในนรกพร้อมๆ กับมอบตำแหน่งอีตัวให้

“ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่านายน้อยของป้าจะมีคนรักเคารพถึงขนาดนี้ ทั้งๆ ที่นิสัยก็แสนจะร้ายกาจ หาความดีไม่ได้เลยด้วยซ้ำ”

“นายน้อยมีดีกว่าที่คุณคิดเอาไว้เยอะ นายน้อยเป็นเทพบุตรสำหรับพวกเรา และสักวันคุณจะตกหลุมรักนายน้อยจนโงหัวไม่ขึ้น จำคำของป้าเอาไว้ให้ดีๆ ก็แล้วกัน”

แล้วเชอรี่ก็เดินสะบัดก้นหนีไปด้วยท่าทางขุ่นเคือง ยาหยีอ้าปากค้างกับท่าทางเดือดเนื้อร้อนใจแทนคอร์เนลของคู่สนทนานัก แทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะมีคนรักและเทิดทูนผู้ชายเลือดเย็นคนนั้นได้มากถึงเพียงนี้

“ต่อให้ใครๆ ยอมก้มหัวให้คุณ แต่ไม่ใช่ฉันแน่!”

หญิงสาวกัดฟันจนเจ็บ ก้าวยาวๆ มุ่งหน้าไปยังห้องนอนใหญ่ของคอร์เนลที่หล่อนคลับคล้ายคลับคลาจะจำได้ว่ามันอยู่ตรงส่วนไหนของคฤหาสน์อันกว้างขวางหลังนี้

ประตูห้องถูกเคาะแรงๆ หนึ่งครั้ง หญิงสาวที่นอนสะลึมสะลืออยู่บนเตียงยังไม่ทันได้เอ่ยอนุญาตออกไปเลย เจ้าบานประตูไม้ก็ถูกเปิดกว้างออกเสียก่อน พร้อมๆ กับร่างสูงใหญ่ของผู้ชายสุดหล่อที่หล่อนนอนคิดถึงมาตลอดทั้งคืนก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า

ลำคอสาวแห้งผาก ตากลมโตเบิกกว้างด้วยความตื่นตะลึง หญิงสาวคิดว่าตัวเองฝันไปจึงหลับตาลงก่อนจะลืมตาขึ้นมาใหม่ แต่ร่างของคอร์เนลก็ยังยืนตระหง่านอยู่กลางห้องนอน คราวนี้ยาหยีรู้แน่ชัดแล้วว่าตัวเองไม่ได้ฝันไป ร่างอรชรรีบผุดลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว มือบางกระชับผ้าห่มคลุมกายเอาไว้แน่น เพราะตอนนี้ทั้งเนื้อทั้งตัวของหล่อนมีเพียงชุดนอนลายการ์ตูนสั้นแค่เข่าอยู่เพียงตัวเดียว

“ออกไปนะ!”

“เห็นหน้าปุ๊บก็ไล่ปั๊บเลยนะ”

เขาระบายยิ้มเหยียดหยันขณะเดินเข้ามาหยุดที่ขอบเตียง มือใหญ่ยื่นหนังสือเรียนที่หล่อนลืมเอาไว้ที่คฤหาสน์หลังใหญ่ของเขาให้ตรงหน้า และมันก็ทำให้ภาพเร่าร้อนเมื่อคืนระเบิดเข้าใส่หน้าตูมใหญ่จนหล่อนแทบหงายหลัง

“ผมเอานี่มาคืนต่างหาก”

หญิงสาวรีบคว้าหนังสือเรียนของตัวเองมากอดไว้ทันที แต่สายตาหวานฉ่ำเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองเมื่อเห็นคอร์เนลกวาดมองขึ้นๆ ลงๆ กับร่างกายของหล่อนด้วยท่าทางแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ เขาไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะมองหล่อนด้วยซ้ำ ยาหยีคิดด้วยความแค้นเคือง

“คืนแล้วก็รีบไปซะสิ ฉันไม่อยากเห็นหน้าคุณอีก”

“แต่ผมกลับอยากเห็นหน้าคุณชะมัด คิดถึงร่างกายสวยๆ ของคุณทั้งคืน”

คอร์เนลถือโอกาสตอนที่เจ้าหล่อนอ้าปากค้างตกใจทรุดตัวลงนั่งข้างๆ บนที่นอน มือใหญ่กระชากผ้าห่มที่ห่อกายสาวโยนทิ้งลงไปข้างเตียงอย่างรำคาญ ก่อนจะคว้าร่างอรชรขึ้นมานั่งบนตักแกร่งของตัวเองด้วยความยโสยิ่งนัก

“อย่ามายุ่งกับฉันนะ ปล่อยฉันนะ”

เมื่อได้สติก็รีบดิ้นรนสุดฤทธิ์ แต่ด้วยพิษไข้ที่ยังไม่ทุเลาดีและเรี่ยวแรงที่น้อยกว่าทำให้ในที่สุดยาหยีก็ต้องยอมให้คอร์เนลปล้ำจูบตามอำเภอใจ แถมตัวเองยังคล้อยตามไปอย่างง่ายดายอีกต่างหาก มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ถูกพ่อตัวโตขยำเต้าอวบของตัวเองแรงๆ นั่นแหละ

“อย่าทำแบบนี้…”

“คุณก็ชอบมันเหมือนกับผมนั่นแหละ”

เขาอวดดีได้อย่างน่าตบ แต่หล่อนก็ไม่อาจจะปฏิเสธได้เต็มปากว่าสิ่งที่ผู้ชายหล่อระเบิดระเบ้อคนนี้พูดไม่ใช่เรื่องจริง

“ฉันไม่ชอบ! จำเอาไว้ด้วย”

คนตัวโตหัวเราะร่วน ความจริงหากเขาจะจัดการกับหล่อนเสียเดี๋ยวนี้ หญิงสาวก็ไม่สามารถขัดขืนหรือขัดใจเขาได้เลยแม้แต่นิดเดียว แต่เขาไม่ทำ…ผิวกายของหล่อนร้อนกว่าปกติ ไม่ใช่ร้อนเพราะแรงเสน่หาที่เขาปลุกขึ้น แต่มันร้อนเพราะหล่อนกำลังไม่สบายต่างหาก

“หากผมคาดไม่ผิด คุณกำลังป่วย”

ยาหยีแค่นยิ้มเยาะน้ำตาซึม ทำไมต้องรู้สึกน้อยอกน้อยใจนักหนานะที่ได้ยินคำพูดแกมห่วงใยออกมาจากปากของผู้ชายตรงหน้า ทีเมื่อคืนเขาขับไล่ไสส่งหล่อนราวกับหมูกับหมา แล้วตอนนี้ทำไมต้องมาพูดให้หล่อนเจ็บใจด้วย

“มันเรื่องของฉัน! คุณไปได้แล้ว”

ยิ่งดิ้นรนร่างกายของหล่อนและเขาก็ยิ่งเบ่งบาน หญิงสาวจึงจำต้องหยุดนิ่งอยู่กับที่ ปล่อยให้คนตัวโตลูบไล้ตามอำเภอใจ

“เมื่อคืนคุณมาถึงหอพักกี่ทุ่มยาหยี หอพักปิดแล้วใช่ไหม”

เมื่อคืนเขาไม่ได้แม้แต่จะเหลือบแลมองนาฬิกาเลยด้วยซ้ำ มัวแต่มึนเมากับรสเสน่หาที่แม่สาวสวยตรงหน้ามอบให้อย่างถอนตัวไม่ขึ้น

คำถามจากปากคนอวดดีพาให้ยาหยีหัวเราะทั้งน้ำตา ความน้อยใจถล่มยับอยู่ในอก

“จะรู้ไปทำไมล่ะคะ คุณไม่จำเป็นต้องสนใจอีตัวราคาถูกอย่างฉันสักหน่อย แค่ให้คนขับรถมาส่งก็ถือว่ามีน้ำใจมากมายแล้ว อ้อ…แถมยังมีเงินค่าตัวแถมมาให้อีกตั้งห้าหมื่นบาท ขอบคุณมากนะคะ”

คอร์เนลแน่ใจว่าที่ตัวเองคิดเอาไว้ไม่มีผิดพลาดอย่างแน่นอน แต่เขาก็เลือกที่จะเก็บทุกความรู้สึกเอาไว้ภายในอก ดังนั้นคำพูดที่เล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากสุดเร้าใจของเขาจึงไร้ความรู้สึกใดๆ โดยสิ้นเชิง

“แต่คุณไม่รับเงินนี่ เอาละ เลิกทำท่าทางน้ำตาเล็ดน้ำตารั่วสักทีเถอะ ตอบผมมาว่าเมื่อคืนคุณกลับมาทันหอปิดหรือเปล่า”

ยาหยีเงยหน้าที่ฉ่ำไปด้วยน้ำตามองคอร์เนลตาขุ่น

“บอกแล้วไงคะว่าไม่ต้องสนใจอีตัวแบบฉันหรอก คนอย่างฉันมันหนังเหนียว ต่อให้ต้องนอนตากน้ำค้างเป็นเดือนๆ ก็ยังไหวค่ะ”

มือใหญ่รวบเอวคอดที่เขารู้ดีว่ามันเล็กและรับกับสะโพกผายกลมกลึงอย่างเหมาะเจาะแค่ไหนของยาหยีเอาไว้แน่น ก่อนจะยกร่างอรชรวางลงกับที่นอนใกล้ๆ ขณะที่ตัวเองก้าวลงจากเตียงไปยืนตระหง่านอยู่กลางห้อง

“ผมไม่ชอบฟังคำประชดประชันของใคร”

“ไม่ชอบก็รีบกลับไปซะทีสิคะ” เชิดหน้าขึ้นสูงอย่างอวดดี ความน้อยใจยังคงเดือดพล่านอยู่ภายในเรือนกายมหาศาล

“ผมยังไม่ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการเลย แล้วจะกลับไปได้ยังไงล่ะ” คอร์เนลแสยะยิ้มร้ายกาจ สายตาสีเขียวจัดที่มองมายังหล่อนนั้นช่างน่าสยดสยองเหลือเกิน

“คุณ…หมายความว่ายังไง”

“ผมต้องการคุณ และก็จะต้องลากไปให้ได้ด้วย ไม่ว่าคุณจะพยศสักแค่ไหนก็ตาม” น้ำเสียงของคอร์เนลน่ากลัวเหลือเกิน แต่หล่อนไม่จำเป็นต้องกลัวเขาไม่ใช่เหรอ ที่มีมันหอพักของหล่อน มีคนอยู่มากมาย ถึงแม้ว่าคอร์เนลจะแสดงอภินิหารขึ้นมาหาหล่อนถึงบนห้องพักนี้ก็ตามเถอะ

“ฉันไม่มีวันไปไหนทั้งนั้น โดยเฉพาะไปกับผู้ชายร้ายกาจอย่างคุณ”

“งั้นก็รอรับศพพ่อสุดที่รักของคุณได้เลย” เขาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเหี้ยมโหดจนคนฟังขนลุกซู่ หญิงสาวร้องค้านออกไปด้วยสุ้มเสียงขลาดกลัว

“อย่านะ อย่าทำอะไรพ่อของฉันนะ”

คอร์เนลยักไหล่ ก่อนจะเอ่ยออกไป

“ถ้าไม่อยากให้ทำ ก็อย่าขัดใจผมสิ ทำตัวดีๆ บางทีผมอาจจะยกโทษทุกอย่างให้กับพ่อของคุณก็ได้นะ”

เขายิ้มหยัน ดวงตาสีเขียวจัดอัดแน่นไปด้วยความหิวกระหายเมื่อมองมายังร่างอรชรของหล่อน ยาหยีแก้มแดง หน้าแดง หูแดงไปหมด ขยับตัวด้วยความอึดอัด แต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่นใด

“คนเผด็จการ! คนใจดำ!”

“ขอบคุณที่ชมครับ แต่อย่าลืมสิว่าผมยังเป็นนักรักผู้เก่งฉกาจอีกด้วย”

“คนบ้า คนผีทะเล”

คอร์เนลหัวเราะร่วน ละสายตาจากร่างงามเปลี่ยนไปมองที่หน้าต่างห้องแทน

“ผมให้เวลาห้านาทีในการเก็บข้าวเก็บของที่จำเป็น เพราะที่บ้านของผมไม่มีเครื่องใช้ของผู้หญิงเลยแม้แต่ชิ้นเดียว และถ้าเกินเวลาที่ผมกำหนด คุณถูกปล้ำแน่”

คนฟังเม้มปากแน่นด้วยความขุ่นเคือง

“ฉันต้องกลัวคุณด้วยหรือไง ยามก็มี เพื่อนข้างห้องก็มี…”

“อย่าท้าทายอำนาจของผมเด็ดขาด เพราะคุณนั่นแหละที่จะต้องเจ็บปวด เก็บของซะ ผมจะลงไปรอที่รถ และอย่าให้ต้องขึ้นมาตามล่ะ เพราะคุณจะต้องถูกลงโทษอย่างหนักเลยทีเดียว”

นัยน์ตาสีเขียวจัดกวาดมองร่างอรชรของหล่อนด้วยสายตามีความหมาย จนคนถูกมองหน้าร้อนวูบแทบไหม้

“คงรู้นะว่าผมจะลงโทษคุณยังไง”

คนตัวโตเดินออกไปจากห้องแล้ว แต่หญิงสาวก็ยังคงนั่งนิ่งแข็งทื่อเป็นท่อนไม้เช่นเดิม สมองตายดับ ร่างกายอ่อนเปลี้ย อวัยวะทุกอย่างในร่างกายล้วนแต่หยุดทำงานทั้งสิ้น ยกเว้นเพียงหัวใจอย่างเดียวเท่านั้นที่ยังคงเต้นอยู่ แถมยังเต้นถี่ระรัวจนน่าตกใจเสียด้วย

เขามาจริงๆ แล้วกำลังรอคอยให้หล่อนลงไปหา เขาต้องการจะกระทำแบบนั้นกับร่างกายของหล่อนอีกครั้งบนเตียงนอนของเขาในค่ำคืนนี้ แค่คิดถึงภาพเร่าร้อนที่เกิดขึ้นเมื่อคืนก็ทำให้กายสาวลุกเป็นไฟเสียแล้ว ทำไมนะ ทำไมหล่อนถึงไม่มีความรู้สึกรังเกียจหรือขยะแขยงผู้ชายหล่อระเบิดคนนี้เลยแม้แต่นิดเดียว ตรงกันข้ามมันกลับโหยหาและต้องการไม่รู้จักจบ

นี่หล่อนเป็นบ้าอะไรไปนะ กลายเป็นสาวร่านร้อนรักไปตั้งแต่เมื่อไรกัน แค่ถูกผู้ชายดื่มกินร่างกายเพียงครั้งเดียว ทำไมถึงได้ติดอกติดใจราวกับเสพติดแบบนี้ ยาหยีร้องถามตัวเองลั่นอยู่ในอก แต่ก็ไม่สามารถตอบปัญหาค้างคาใจให้กับตัวเองได้ ดังนั้นในตอนนี้สิ่งที่ทำได้อย่างเดียวก็คือการลุกขึ้นจากเตียงแล้วก็ทำทุกอย่างตามคำสั่งของคอร์เนลซะ แล้วหล่อนทำเพื่ออะไรกันล่ะ เพื่อความปลอดภัยของพ่ออย่างนั้นหรือ ใช่…นั่นคือส่วนหนึ่งของการกระทำ แต่สิ่งสำคัญก็คือหล่อนโหยหาอ้อมกอดของผู้ชายคนนั้น ผู้ชายรูปหล่อที่พร่าผลาญพรหมจารีของตัวเองไปอย่างไร้ความปรานี

“นายน้อยครับ นี่หอหญิงนะครับ” เซอร์เกเตือนสติเจ้านายของตัวเองเมื่อเห็นชายหนุ่มทำท่าจะเดินขึ้นไปบนตึก

“แล้วไง?”

คอร์เนลกระชากเสียงถาม และก็ไม่คิดจะหยุดเดิน ทำไมเขาต้องหยุดเดินด้วยล่ะ ในเมื่อตอนนี้ยาหยีผู้หญิงที่เขาปรารถนาสุดหัวใจอยู่ใกล้แค่เอื้อม อีกนิดเดียว แค่อึดใจเดียวเขาก็จะได้เห็นหน้าหล่อน ได้กอด ได้จูบ และได้ทำทุกอย่างตามที่ตัวเองต้องการแล้ว เขาจะไม่มีวันหยุด และไม่มีวันยอมให้ใครมาหยุดยั้งความต้องการของตัวเองได้เช่นกัน

“ยามกำลังเดินมาครับ” เซอร์เกร้องบอก แต่คอร์เนลหาได้ใส่ใจไม่

“เงินในกระเป๋าน่ะมีไว้ทำไม ให้เขาไปสิ แล้วก็บอกว่าฉันจะมาเป็นแขกประจำของที่นี่”

คนตัวโตแสนเอาแต่ใจเดินหายขึ้นไปบนหอพักแล้ว ยามกำลังจะวิ่งตามขึ้นไป แต่ก็ถูกเซอร์เกเรียกเอาไว้เสียก่อน

“นายน้อยของผมมีธุระกับเด็กสาวบนหอพัก” เซอร์เกพูดกับชายตรงหน้าเป็นภาษาไทยที่สำเนียงยังคงแปร่งเหมือนเดิม

“ไม่ได้หรอกครับ ที่นี่เป็นหอหญิง ผมให้ขึ้นไม่ได้ มันผิดกฎ แล้วอีกอย่างหนึ่ง…” ยามวัยกลางคนที่กำลังจะพูดต่อต้องอ้าปากค้างเมื่อเห็นธนบัตรสีเทาปึกใหญ่เบื้องหน้า ทุกคำพูดหยุดกึก สายตาจ้องมองเงินในมือของเซอร์เกตาไม่กะพริบ

“ถ้าคุณทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น…” เซอร์เกแสร้งทำเป็นสะบัดเงินในมือ ก่อนจะไหวไหล่น้อยๆ

“คุณก็จะได้มันทั้งหมด”

“ครับ ผมไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น”

ยามรีบตอบโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด เซอร์เกระบายยิ้มกว้างออกมาด้วยความพึงพอใจ เงินนี่มันซื้อได้ทุกอย่างจริงๆ

“ดีมาก และจงทำเป็นคุ้นเคยกับนายน้อยของผมเอาไว้ซะ เพราะบางทีท่านอาจจะแวะเวียนมาที่หอพักแห่งนี้อีกหลายครั้ง”

“ครับผม…ขอเงินด้วยครับ” ยามบอกความต้องการของตัวเองออกไป พร้อมกับยื่นมือออกมาตรงหน้า

เซอร์เกยิ้มบางๆ ก่อนจะหย่อนเงินใส่มือของคู่สนทนา

“หลายหมื่นเชียวนะเนี่ย”

ยามวัยกลางคนยิ้มกว้างด้วยความปลาบปลื้มใจ

“ขอบคุณมากครับ ผมรับรองว่าจะอำนวยความสะดวกให้กับนายน้อยของคุณอย่างเต็มที่”

เซอร์เกไม่ได้ตอบอะไรออกมาอีก นอกจากยืนนิ่งอยู่ที่หน้าหอพักเช่นนั้น สมองก็อดสงสัยไม่ได้ว่าคอร์เนลมาหายาหยีทำไม คืนหนังสือหรือ? ไม่มีทางเป็นไปได้หรอก เพราะถ้าเพื่อคืนหนังสือเรียนพวกนั้น คอร์เนลไม่มีทางเดินทางมาด้วยตัวเองอย่างนี้หรอก คอร์เนลต้องมีจุดประสงค์อื่น…จุดประสงค์ที่ผู้ชายด้วยกันมองออกง่ายๆ

นายน้อยของเขาติดใจยาหยี เด็กสาวอ่อนต่อโลกคนนั้น

ท่าทางงุ่นง่านตั้งแต่เมื่อคืน แล้วยังความหงุดหงิดเมื่อเช้านี้อีก มันยิ่งตอกย้ำว่าคอร์เนลกำลังหลงใหลผู้หญิงคนนี้อย่างมาก

ไม่น่าเชื่อ…มันเหลือเชื่อเหลือเกิน แค่เด็กสาวไร้เดียงสาท่าทางเงอะเงิ่นจะสามารถทำให้นายน้อยของเขาหลงใหลคลั่งไคล้จนต้องรีบกระวีกระวาดมาหาถึงที่แบบนี้ได้ ทั้งๆ ที่พวกนางเอกทั่วยุโรป นางงามจักรวาล หรือแม้แต่นางแบบชื่อก้องโลก ยังไม่เคยทำให้คอร์เนลจำชื่อได้เลยสักคน

‘ยาหยีโชคดี? หรือว่าโชคร้ายกันแน่นะ?’

เสียงทอดถอนใจของเซอร์เกทำให้อีวานหลานชายที่ยืนอยู่ข้างๆ อดถามออกมาด้วยความประหลาดใจไม่ได้

“น้าเป็นอะไรไปหรือเปล่าครับ ถอนใจเสียงดังเชียว”

เซอร์เกหันมองหลานชายนิดหนึ่ง ก่อนจะส่ายหน้าน้อยๆ

“ไม่มีอะไรหรอก แค่เป็นห่วงนายน้อยเท่านั้นเอง”

อีวานรู้ทันทีว่าน้าชายกำลังห่วงคอร์เนลเรื่องอะไร

“ผมเองก็เป็นห่วงนะครับน้าเซอร์เก นายน้อยไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อนเลย ตั้งแต่บุกเข้าไปอาละวาดถึงห้องเรียนของนักศึกษา แถมยังติดสินบนเพื่อให้ตัวเองขึ้นไปบนหอหญิงได้อีก ผมว่านายน้อยของเรากำลังมีความรักเสียแล้วล่ะ”

คำพูดของอีวานมีผลทำให้สีหน้าของเซอร์เกเครียดเคร่งขึ้นในพริบตา

“มันอันตรายมากเหลือเกิน หากนายน้อยเกิดติดอกติดใจลูกสาวของนายยอดชายเข้าจริงๆ หายนะลูกใหญ่คงจะตามมาในไม่ช้านี้แหละ”

“ผมว่านายยอดชายไม่ใช่ปัญหาใหญ่หรอกครับ แต่พวกเซอร์คอฟกับเคอร์ซาคอฟมากกว่าที่น่ากลัว พวกนั้นจ้องจะเล่นงานนายน้อยของเราตลอดเวลา พวกมาเฟียสิ้นคิด…” อีวานสบถออกมาด้วยความไม่ชอบใจ

“ก็มีแต่พวกรุ่นปู่รุ่นพ่อของพวกเซอร์คอฟกับเคอร์ซาคอฟเท่านั้นแหละที่ยังเห็นว่าการเป็นมาเฟียแบบผิดกฎหมายนั้นเป็นเรื่องที่น่ายกย่อง พวกรุ่นลูกอย่างคุณดินิย่าร์และคุณจัสตินไม่น่าจะเห็นดีเห็นงามไปด้วยเลย ติดแต่ที่ยังไม่ได้เข้าไปบริหารงานเต็มตัวเท่านั้น” เซอร์เกนำคำพูดของคอร์เนลที่เคยพูดกับตนเองไว้มาใช้อธิบายให้กับหลานชายฟัง

“แต่ก็ยังไว้ใจไม่ได้อยู่ดีนั่นแหละ…” อีวานยังบ่นพึมพำไม่เลิก

เซอร์เกได้ยินก็ทอดถอนใจออกมายาวเฟื้อย ภาวนาให้นายน้อยของตัวเองแค่หลงใหลยาหยีชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้นพอ

“กุญแจรถ?” เสียงเข้มทุ้มหูของคอร์เนลทำให้เซอร์เกถึงกับเบิกตากว้างด้วยความแปลกประหลาดใจ เพราะร้อยวันพันปีนายน้อยของเขาไม่เคยที่จะขับรถเองเลยสักครั้ง แล้วโดยเฉพาะในเมืองไทยที่ไม่คุ้นเคยแบบนี้ด้วย

“นายน้อยจะไปไหนหรือครับ”

“ฉันต้องตอบด้วยหรือว่าจะไปไหน บอกให้เอากุญแจรถมา”

น้ำเสียงของคอร์เนลเริ่มห้วนจัดขึ้นในทุกขณะ แต่ความห่วงใยที่เซอร์เกมีต่อเจ้านายของตัวเองนั้นมีมากกว่า ทำให้เขาสะกดกลั้นความกลัวเอาไว้ได้

“ให้อีวานขับรถให้เถอะครับ ไม่อย่างนั้นผมขับให้เองก็ได้”

ประกายตาสีเขียวจัดวาวโรจน์ด้วยโทสะ

“ฉันมีใบขับขี่ตั้งแต่อายุสิบแปด และตอนนี้ก็อายุสามสิบสามปีแล้ว นายยังคิดอีกหรือว่าฉันจะขับรถได้ไม่ดีเท่าพวกนาย” กรามกระด้างของคนพูดขบกันแน่นด้วยความไม่พอใจชัดเจน

“แต่นายน้อยครับ ผมเป็นห่วง…”

“เก็บความห่วงใยเอาไว้เถอะเซอร์เก ฉันไม่ยอมตายในรถหรอกน่า กุญแจ…”

ในที่สุดเซอร์เกก็ไม่มีทางเลือกใดอีก แม้จะเป็นห่วงมากแค่ไหนก็ตาม

“นายน้อยอยากขับคันไหนครับ”

“สปอร์ตสีดำ”

คอร์เนลรับกุญแจรถจากคนสนิทมาถือไว้ในมือ หมุนตัวเดินจากไป แต่เท้าใหญ่ก็ต้องชะงักที่ปากประตูห้องโถง หันหน้ากลับมา

“ถ้าเป็นห่วงฉันนัก ก็ขับรถตามมาก็ได้”

เซอร์เกระบายยิ้มกว้างออกมาทันทีที่ได้ยินประโยคบอกเล่ากึ่งคำอนุญาต

“ครับนายน้อย”

มุมปากของคอร์เนลผุดรอยยิ้มบางๆ ก่อนที่ร่างสูงใหญ่ของเขาจะเดินหายลับสายตาไป เซอร์เกรีบโทรตามคนขับรถทันที

เซอร์เกเลิกคิ้วขึ้นสูงด้วยความประหลาดใจเมื่อเห็นรถสปอร์ตที่มีคอร์เนลเป็นคนขับเลี้ยวเข้าไปในมหาวิทยาลัยที่เขาจำได้ขึ้นใจเลยว่าเป็นของยาหยี

รถสปอร์ตคันสีดำจอดสนิทที่หน้าตึกเรียน พร้อมกับร่างสูงใหญ่สุดเนี้ยบของคอร์เนลก้าวลงมายืนตระหง่าน เซอร์เกรีบก้าวลงจากรถ แล้วเดินเข้ามาหาเช่นกัน ชายคนสนิทเหลือบตามองหนังสือสองสามเล่มที่เจ้านายของตัวเองถือเอาไว้ด้วยสายตาแปลกใจ

“หนังสือนั่น…”

คอร์เนลไหวไหล่น้อยๆ

“ฉันเอามาคืนเจ้าของเขาน่ะ”

ร่างสูงสง่าในชุดลำลองสีน้ำตาลไหม้ก้าวเดินเข้าไปภายในตึกเรียนด้วยท่าทางองอาจ ใบหน้าสมบูรณ์แบบไร้รอยยิ้มแต้มไม่อาทรต่อสายตาชื่นชมของนักศึกษาสาวๆ ที่เดินสวนมาแม้แต่นิดเดียว และเมื่อแน่ใจว่ามาหยุดอยู่หน้าห้องเรียนที่เขาดูจากตารางสอนที่ยาหยีแนบไว้ในหนังสือแล้ว คอร์เนลก็ก้าวเข้าไปทันที เซอร์เกรีบเดินตามเข้าไปเช่นกัน

ทุกคนในห้องเรียนนิ่งอึ้งกันไปตามๆ กัน เมื่อเทพบุตรจากชั้นฟ้าที่ชื่อคอร์เนลเดินเข้ามาหยุดที่หน้าห้อง และอึดใจเดียวเสียงนักศึกษาสาวๆ ก็กรี๊ดกร๊าดกันดังลั่น จนอาจารย์สาววัยชราต้องยกมือขึ้นปราม ก่อนจะหันมาจ้องหน้าแขกหนุ่มเขม็ง

“ไม่ทราบว่ามาหาใครคะ”

“ผมเอาหนังสือมาคืนยาหยี โรจน์มหามงคล” ตอบเสียงนุ่ม ขณะกวาดตามองไปรอบๆ ห้อง แต่ก็ไม่พบวี่แววของผู้หญิงที่สมองร่ำร้องหาเลยแม้แต่น้อย

‘หล่อนไปไหนกันนะ หายไปไหนกัน? หรือว่าเขาเข้าห้องผิด…ไม่มีทางผิดไปได้ ในเมื่อเขาดูตารางเรียนของหล่อนมาอย่างชัดเจนแล้วนี่’

ทุกคนในห้องอ้าปากค้างด้วยความอิจฉายาหยี มีแต่เพียงลินดาเท่านั้นแหละที่หน้าแดงก่ำด้วยโทสะ หล่อนลุกขึ้นยืนและเดินออกไปหน้าชั้นเรียน เผชิญหน้ากับผู้ชายหล่อระเบิดในระยะกระชั้นชิด คอร์เนลหรี่ตามองเขม็ง ขณะยกมือห้ามเซอร์เกและบอดี้การ์ดสองสามคนที่ทำท่าจะเข้ามาลากสตรีตรงหน้าออกไป

“ยาหยีอยู่กับคุณเมื่อคืนใช่ไหม”

“แล้วคุณคิดว่ายังไงล่ะ”

“เราออกไปพูดกันข้างนอกเถอะค่ะ ฉันไม่อยากให้คนอื่นรู้เรื่องน่าอัปยศของยาหยี”

ลินดาเค้นเสียงถามแผ่วเบา ก่อนจะเอ่ยชวนให้คอร์เนลออกไปคุยกับหล่อนที่นอกห้องเรียน ชายหนุ่มไหวไหล่น้อยๆ เดินตามออกไป เพราะเขาจำผู้หญิงคนนี้ได้ หล่อนเป็นเพื่อนกับยาหยี สตรีที่เขากำลังคิดถึงแทบขาดใจ

และเมื่อมาถึงมุมลับตาคน ลินดาก็เปิดฉากโจมตีคอร์เนลด้วยความโกรธเคืองแทนเพื่อนรักทันที แม้ผู้ชายคนนี้จะหล่อปานเทพ แต่เขาก็ช่างโหดเหี้ยมกับยาหยีเหลือเกิน

“เมื่อคืนคุณข่มขืนเพื่อนของฉัน”

“ผมเนี่ยนะข่มขืนเพื่อนของคุณ ทำไมถึงแน่ใจแบบนั้นล่ะ” คอร์เนลระบายยิ้มหยัน แต่ถึงมันจะเป็นยิ้มหยันแต่มันก็ทำให้ลินดาอึ้งไปกับความหล่อเหลาของเขาอยู่นานหลายอึดใจเลยทีเดียว กว่าจะเค้นคำพูดออกมาได้

“ก็คุณมีหนังสือเรียนของเพื่อนฉัน และเนื้อตัวของเธอก็บอบช้ำไปหมด” ลินดาจ้องมองผู้ชายสุดหล่อที่ใบหน้านิ่งเฉย ก่อนจะปรายตามองไปยังคนของเขาอีกสามสี่คนที่ยืนอยู่ข้างหลัง ก่อนจะพูดในสิ่งที่ตัวเองจินตนาการออกมา

“พวกคุณข่มขืนยาหยี ฉันจะไปแจ้งความกับตำรวจ” ดวงตาของลินดาแดงก่ำด้วยความเจ็บแค้นแทนเพื่อนรัก

“พวกคุณรู้ไหมว่ายาหยีเพื่อนของฉันเนี่ยบริสุทธิ์แค่ไหน เธอไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับผู้ชายมาก่อนเลย พูดง่ายๆ ก็คือนอกจากพ่อของเธอแล้ว เธอไม่รู้จักผู้ชายคนอื่นเลย เธอสะอาดมาก แต่พวกคุณก็ทำให้เธอมีราคี พวกคุณใจร้ายที่สุด!”

“ผมทราบดีว่าเพื่อนของคุณสะอาดแค่ไหน แต่สิ่งที่คุณกำลังเข้าใจผิดก็คือ…” คอร์เนลเสียงเข้ม หรี่ตาแคบมองลินดานิ่ง ก่อนที่ริมฝีปากสุดเซ็กซี่จะเอ่ยออกมา

“ผมคนเดียวที่แตะต้องเพื่อนของคุณ”

เป็นอีกครั้งที่ลินดาต้องอ้าปากค้าง ตอนแรกที่ยาหยีบอก หล่อนนึกว่าเพื่อนของตัวเองโกหกเพราะอับอาย แต่ตอนนี้ผู้ชายคนที่หล่อนมั่นใจว่าเป็นตัวการทำลายยาหยีเมื่อคนนี้ก็พูดแบบเดียวกันออกมาอีกคน

‘คนเดียวจริงๆ หรือ แล้วทำไมสภาพของยาหยีถึงได้บอบช้ำแบบนั้น ไม่อยากจะเชื่อเลย สงสัยผู้ชายคนนี้จะป่าเถื่อนน่าดู’

“ฉันไม่เชื่อ…”

“เชื่อเถอะว่าผมคนเดียว แล้วนี่เพื่อนของคุณไปไหนซะล่ะ” คอร์เนลได้โอกาสจึงเอ่ยถึงสตรีที่ตัวเองโหยหา ลินดาเชิดหน้า มองบุรุษสุดหล่ออย่างไม่ไว้เนื้อเชื่อใจ

“จะรู้ไปทำไมคะ หรือว่ายังทำร้ายกันไม่พอ นี่ฉันอยากรู้จริงๆ เลยว่าทำไมคุณถึงต้องมาย่ำยีเพื่อนรักของฉันด้วย หล่อๆ รวยๆ แบบคุณน่าจะไม่มีปัญหาเรื่องผู้หญิงไม่ใช่เหรอ”

คอร์เนลเลือกที่จะไม่ตอบ เพราะตอนนี้ความอดทนเริ่มใกล้สิ้นสุดลงแล้ว

“ผมอยากรู้ว่าตอนนี้ยาหยีอยู่ที่ไหน”

“ฉันไม่บอก!” ลินดากัดฟันพูดออกไป กำลังจะเดินหนีแต่ก็ถูกบอดี้การ์ดของคอร์เนลเดินมาดักหน้าเอาไว้เสียก่อน หญิงสาวหน้าซีดเผือด

“อย่าให้ผมต้องหาเองเลย เพราะมันจะปั่นป่วนไปทั้งมหาวิทยาลัยซะเปล่าๆ บอกมาว่ายาหยีอยู่ที่ไหน”

ในเมื่อไม่มีทางเลือกอีก ลินดาจึงเลือกที่จะอ้อนวอนออกไป

“ฉันบอกก็ได้ แต่คุณต้องสัญญากับฉันก่อนนะว่าจะไม่ทำลายเพื่อนของฉันอีก อย่าทำให้เธอต้องแปดเปื้อนคาวราคีไปมากกว่านี้เลย”

ไม่มีคำสัญญาใดๆ ออกจากปากของคอร์เนลนอกจากเสียงคำรามกร้าวกระด้างเท่านั้น

“ตอนนี้ยาหยีอยู่ที่ไหน?”

“อยู่…บนหอพัก…”

มุมปากของคอร์เนลผุดรอยยิ้มพึงพอใจออกมา ก่อนที่เขาจะพยักหน้าให้เซอร์เกมอบเงินจำนวนหนึ่งให้กับลินดา

“ให้ฉันทำไมคะ”

“นายน้อยให้ก็รับไปเถอะครับ” เซอร์เกรีบยัดธนบัตรสีเทาสิบกว่าใบใส่มือของผู้หญิงที่เขาพึ่งรู้ว่าเป็นเพื่อนของเด็กสาวยาหยีคนนั้น ก่อนจะรีบหมุนตัวเดินตามคอร์เนลที่เดินห่างไปไกลแล้วทันที ลินดามองตามไปด้วยความอ่อนอกอ่อนใจ

“ฉันพยายามช่วยแล้วนะยาหยี แต่เขาน่ากลัวเกินกว่าที่ฉันจะต้านทานได้”

หญิงสาวพึมพำออกมาอย่างรู้สึกผิด ก่อนจะสอดธนบัตรที่ถูกยัดเยียดให้ลงกระเป๋ากระโปรง จากนั้นก็หมุนตัวเดินกลับห้องเรียนทันที ความไม่สบายอกสบายใจกัดกินหัวใจไปตลอดทาง

“ผู้ชายรูปหล่อคนนั้นเป็นใครกันเหรอลินดา แล้วเขามาหาลูกหยีทำไม” เพื่อนคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้นด้วยความอยากรู้อยากเห็นทันที เมื่อหล่อนกลับเข้ามาในห้องเรียน

“เอ่อ…”

“หรือว่าเป็นกิ๊กกันล่ะ แต่ไม่อยากจะเชื่อเลยนะว่าผู้ชายหล่อลากไส้แบบนั้นจะมากินสาวจืดชืดแบบยายลูกหยี”

เพื่อนร่วมห้องอีกคนหนึ่งรีบสอดแทรกแดกดันตามมาทันที ลินดาเม้มปากแน่น ก่อนจะหันไปตวาดเจ้าของคำพูดด้วยความโมโห

“แล้วมันเรื่องอะไรของพวกเธอกันยะ ทำไมต้องมาวุ่นวายเรื่องของชาวบ้านชาวช่องเข้าด้วย เรื่องของตัวเองเอาให้รอดเสียก่อนเถอะ และไอ้ความอิจฉาริษยาเนี่ยเก็บให้มันมิดๆ หน่อย อย่าปล่อยให้มันมาเพ่นพ่านน่าขายหน้าแบบนี้” ลินดาซัดออกไปเป็นชุด และมันก็สามารถทำให้พวกเพื่อนร่วมห้องที่มีนิสัยสอดรู้สอดเห็นเรื่องของชาวบ้านต้องนั่งก้มหน้าสงบปากสงบคำในพริบตา

ลินดาอุทานออกมาด้วยความตกใจเมื่อลงมาจากหอแล้วพบร่างไร้สติของยาหยีนั่งพิงกับกำแพงหอพัก หญิงสาวหน้าตาตื่น รีบวิ่งเข้าไปประคองเพื่อนด้วยความเป็นห่วง แต่พอมือของหล่อนถูกตัวของยาหยีเท่านั้นแหละ ลินดาก็ต้องอุทานออกมารอบสอง

“ตัวร้อนจี๋เลยยายลูกหยีเอ๊ย”

หญิงสาวรีบแบกร่างของเพื่อนรักขึ้นหอพักไปอย่างทุลักทุเลท่ามกลางสายตาแปลกใจของเพื่อนร่วมหอที่ตื่นแต่เช้าหลายต่อหลายคน

ลินดาใช้เท้าเตะให้บานประตูห้องเปิดออก จากนั้นก็ลากร่างไร้สติของยาหยีไปวางลงบนเตียง มือเรียวยกขึ้นปาดเหงื่อเม็ดเล็กบนใบหน้าของตัวเอง ก่อนจะก้มหน้าลงไปมองใบหน้าซีดเผือดของเพื่อนสนิทอย่างพินิจพิเคราะห์ แล้วหญิงสาวก็ต้องอุทานซ้ำออกมาอีกครั้งเมื่อเห็นสภาพของยาหยีเต็มๆ ตา

กลีบปากอิ่มบวมช้ำราวกับถูกคนเถื่อนสักสิบคนบดขยี้ เนื้อนุ่มที่ลำคอก็แดงช้ำ ลินดาเริ่มหายใจไม่ทั่วท้องกับภาพที่เห็น หญิงสาวทรุดตัวลงนั่งบนขอบเตียง ค่อยๆ ลงมือปลดกระดุมชุดนักศึกษาของยาหยีออกด้วยความร้อนใจ

และภาพที่ได้เห็นก็ทำให้ลินดาถึงกับอึ้งกิมกี่ เนื้อตัวของยาหยีมีแต่ร่องรอยฟอนเฟ้น แดงเถือกไปหมดทั้งเนื้อทั้งตัว ลินดาสอดมือไปด้านหลังแล้วปลดตะขอบราเซียร์ของเพื่อนรักออก เต้าอวบใหญ่ที่มีแต่ร่องรอยของนิ้วมือขนาดใหญ่ดีดเด้งออกมา หญิงสาวตาค้าง อ้าปากเหวอ สมองสรุปออกมาได้อย่างแม่นยำว่าเมื่อคืนยาหยีเพื่อนรักของหล่อนไปพบเจอกับเรื่องเลวร้ายอะไรมา

ข่มขืน?

สภาพของยาหยีเหมือนถูกผู้ชายนับสิบข่มขืนมา ลินดาหน้าซีดเผือด รีบตวัดผ้าห่มคลุมร่างของเพื่อนรักเอาไว้ ก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปในห้องน้ำ และหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กและก็สีฟ้าใบพอเหมาะติดมือออกมา

“โธ่! ยายลูกหยีของฉัน ทำไมถึงโชคร้ายแบบนี้ ไม่น่าเลย…”

เช็ดตัวให้เพื่อนไปก็ร้องไห้ไปด้วยความสมเพชเวทนา ผู้ชายพวกนั้นคงจะถ่อยเถื่อนกับเพื่อนของหล่อนมากมายเลยทีเดียว ยาหยีถึงได้มีสภาพไม่ต่างจากซากศพแบบนี้ แถมยังตัวร้อนจัดไข้ขึ้นสูงอีกต่างหาก ไอ้คนพวกนั้นมันใจร้ายใจดำนัก อย่าให้หล่อนได้เจอเชียว หล่อนจะพาตำรวจไปลากคอมันเข้าคุกให้หมด

“อย่า…อย่า…”

ยาหยีละเมอออกมาเสียงแหบแห้ง ดวงตาที่เคยหวานฉ่ำยังปิดสนิท ลินดาแตะแก้มเพื่อนรักเบาๆ ด้วยความสงสาร

“ไม่มีอะไรแล้วนะลูกหยี ฉันอยู่นี่แล้ว”

ลินดาเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้กับยาหยีจนอุณหภูมิลดลงแล้วก็รีบไปนำยาแก้ปวดลดไข้ที่ยังพอมีเหลืออยู่มาให้กับเพื่อนรักกิน

“ลูกหยี…กินยาหน่อยนะ”

ลินดาก้มลงไปกระซิบเรียกเบาๆ อยู่สองสามครั้ง ในที่สุดยาหยีก็ค่อยๆ ปรือตาที่หนักอึ้งราวกับมีหินสักพันก้อนถ่วงเอาไว้ขึ้นมา ทำเอาลินดาระบายยิ้มกว้างด้วยความดีใจ

“ลูกหยี…”

ยาหยีเห็นหน้าเพื่อนก็โผเข้ากอดแน่น ร้องไห้ออกมาอย่างบ้าคลั่ง ความเสียใจและความชอกช้ำกัดกินหัวใจของหล่อนแม้กระทั่งในฝัน

“ไม่เป็นไรแล้วนะ ไม่เป็นไรแล้ว”

ลินดาลูบหลังลูบไหล่เพื่อนเบาๆ อย่างปลอบประโลม ก่อนจะค่อยๆ ดันตัวของยาหยีออกห่าง และส่งยากับแก้วน้ำดื่มให้

“กินยาซะก่อนนะจะได้หายป่วย”

ยาหยีรับยามากินอย่างว่านอนสอนง่าย ขณะที่น้ำตายังไหลพรากไม่หยุด เหตุการณ์เมื่อคืนยังถล่มยับอยู่ในสมอง โดยเฉพาะความใจร้ายของคอร์เนล

ลินดามองเพื่อนร้องไห้อยู่พักใหญ่จึงเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงลำบากใจ

“เอ่อ…พวกมันเป็นใครกันหรือลูกหยี พวกที่มันรุมข่มขืนเธอน่ะ”

คนถูกถามหน้าแดงก่ำ ช้อนตามองเพื่อนสนิทด้วยสายตาแห่งความเจ็บปวด กลีบปากอิ่มเต็มเม้มสนิท ขณะที่กายสาวสั่นสะท้านอย่างรุนแรง

‘ข่มขืนเหรอ? ไม่ใช่หรอก คอร์เนลไม่ได้ข่มขืนหล่อน เขาแค่ใช้ความช่ำชอง ความชำนาญในเชิงรักปลุกปั่นให้หล่อนคล้อยตามเกมสวาทของเขาเท่านั้นเอง และหล่อนก็โง่งมพอที่จะเดินตามเกมนรกนั่นอย่างว่านอนสอนง่าย’

“เธอรู้?”

ลินดาเอื้อมมือมาบีบมือของยาหยีเอาไว้อย่างต้องการให้กำลังใจ

“ฉันเห็นตอนที่เช็ดตัวให้เธอนั่นแหละ แดงเป็นจ้ำไปทั้งตัว…”

“ฉัน…” พูดไม่ออก น้ำตาไหลพรากออกมาไม่หยุด

“อย่าเสียใจไปเลยยาหยี คิดว่ามันเป็นแค่ฝันร้าย อีกหน่อยเราก็จะลืมมันเอง ลืมมันนะ” คราวนี้เป็นลินดาเองที่ระงับความสงสารเพื่อนรักเอาไว้ไม่ไหวหลั่งน้ำตาออกมา

“ฉันจะจับพวกมันเข้าคุกให้หมด บอกสิลูกหยีว่ามันมีกันกี่คน หน้าตามันเป็นยังไง ฉันจะไปแจ้งความกับตำรวจ…”

ยาหยีส่ายหน้าช้าๆ กัดฟันแน่นเพื่อกลั้นเสียงสะอื้น

“คนเดียว…”

ลินดาเบิกตากว้าง อ้าปากค้าง ก่อนจะอุทานออกไปด้วยความเหลือเชื่อขณะกวาดมองร่างกายของเพื่อนสาวอีกครั้ง

“คนเดียวจริงๆ เหรอ”

แม้ความอดสูจะกระแทกใส่หน้ารุนแรงแค่ไหนแต่ยาหยีก็ยังฝืนพยักหน้ารับออกไป

“ฉันไม่อยากจะเชื่อ ทำไมผู้ชายคนเดียวถึงทำให้เธอมีสภาพราวกับถูกรุมโทรมมาอย่างนี้ล่ะ” เป็นลินดาอีกแล้วที่ร้องออกมาด้วยความตื่นตระหนกขณะสายตาจับจ้องไปที่กลีบปากบวมช้ำของเพื่อนรักที่ตอนนี้หน้าแดงสลับขาว

“ฉันไม่รู้…ฉัน…”

“เอาละ ไม่ต้องคิดถึงมันแล้ว นอนพักซะนะ เอาไว้ให้เธอสบายใจมากกว่านี้แล้วเราค่อยไปแจ้งความกัน เราจะต้องลากไอ้บ้ากามมาเข้าคุกให้ได้”

‘ไอ้บ้ากามหรือ? คอร์เนลไม่ใช่ไอ้บ้ากาม แต่เขาเป็นนักรักผู้ช่ำชองต่างหาก เขาไม่ได้ใช้กำลังกับหล่อนเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะแค่ปาก ลิ้น และมือของเขาก็ปลุกเร้าจนหล่อนเตลิดได้อย่างง่ายดายแล้ว เขาไม่ได้ข่มขืนสักนิด แต่หล่อนสมยอมเองต่างหาก’

“ฉันไม่อยากยุ่งกับผู้ชายคนนี้อีก”

ยาหยีล้มตัวลงนอนอีกครั้ง น้ำตาแห่งความเสียใจยังไม่เหือดแห้งไปจากดวงตาเลยแม้แต่นิดเดียว ลินดาถอนใจออกมาขณะเลื่อนผ้าห่มขึ้นมาคลุมร่างให้กับเพื่อนรัก

“เอาละ ตอนนี้ไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้น นอนซะนะ พักผ่อนให้หายดี เดี๋ยวฉันจะลาป่วยกับอาจารย์ให้ แล้วตอนเที่ยงฉันจะแวะมาหานะ” ลินดาลุกขึ้นยืน มองเพื่อนรักที่นอนน้ำตานองหน้าเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินหายออกไปจากหอพัก

และเมื่อต้องอยู่ตามลำพังอีกครั้ง ความทรงจำอันน่าสะอิดสะเอียนก็ผุดพรายขึ้นมาราวกับตาน้ำ ภาพที่คอร์เนลจูบ ภาพที่คอร์เนลลูบไล้โลมเลีย และภาพที่เขาแนบชิดสนิทสนมครอบครองหล่อนในความสัมพันธ์ขั้นสุดท้าย ภาพทุกอย่างมันชัดเจนเสียเหลือเกิน ทำไมนะ ทำไมหล่อนถึงได้ลืมภาพน่าอาเจียนพวกนี้ไม่ลงสักที ทำไมต้องจดจำมันเอาไว้แน่นหนาแบบนี้ด้วย

แปดโมงเช้าบนเตียงนอน คอร์เนลนั่งหน้าบูดบึ้งตวาดใส่โทรศัพท์ที่บังอาจโทรข้ามทวีปมารบกวนเวลานอนที่แทบจะไม่ถึงสองชั่วโมงของตัวเองด้วยความหงุดหงิด ความไม่พอใจที่ส่งผ่านสายโทรศัพท์ไปทำให้เลขาฯ สาวที่ประจำอยู่ ณ กรุงมอสโกถึงกับหน้าซีดเผือด

“ห้ามโทรมาวุ่นวายกับผมอีก อีกสามสี่วันผมจะบินกลับไปที่มอสโกเอง”

“แต่ท่านประธานคะ เรื่องสัญญา…”

“ผมบอกแล้วไงว่าจะบินกลับไปจัดการในอีกสามสี่วันข้างหน้า หูแตกหรือไง”

คอร์เนลตวาดใส่เลขาฯ สาวที่ประจำอยู่ในสำนักงานของตัวเองที่กรุงมอสโกด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด ตอนนี้ต่อให้เป็นเรื่องด่วนคอขาดบาดตายแค่ไหน เขาก็ไม่มีกะจิตกะใจจะคิดอะไรทั้งนั้น เรื่องงานที่เคยเป็นเรื่องใหญ่ที่สุดในชีวิตตอนนี้ดูจะไร้ค่าไร้ราคาลงอย่างสิ้นเชิง หากเทียบกับเรื่องของยาหยีแม่สาวดีกรีต่ำที่พึ่งจะมอบความสาวสดให้กับเขาเมื่อคืนนี้

ร่างกายของเขาเรียกหา ร้องหาความหวานฉ่ำจากกายสาวรัดรึงของเจ้าหล่อนตลอดทั้งคืน เป็นร้อยเป็นพันครั้งมั้งที่เขากระโดดลงจากเตียงและมุ่งมั่นจะไปลากตัวเจ้าหล่อนกลับมาฟัดให้หายคลั่ง แต่โชคดีที่ศักดิ์ศรีแรงกล้ายับยั้งเขาเอาไว้

“ค่ะท่านประธาน”

หนุ่มหล่อที่ตอนนี้กำลังเดือดดาลสุดขีดปาโทรศัพท์มือถือราคาแพงระยับของตัวเองลงกับที่นอนแรงๆ อย่างไม่ไยดี สองมือใหญ่ยกขึ้นลูบใบหน้าแดงก่ำด้วยโทสะของตัวเองแรงๆ ราวกับต้องการข่มอารมณ์ร้ายเอาไว้

ไม่เคยเลยสักครั้งที่เขาจะมีความต้องการผู้หญิงคนไหนรุนแรงขนาดนี้มาก่อน แทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่าตัวเองจะหลงใหลร่างกายของสตรีนางไหนได้ถึงขั้นบ้าบอแบบนี้ ยาหยีไม่ได้ดีเด่น หน้าตาสะสวยก็จริงแต่ก็ไม่ได้งามไปกว่าสาวๆ ที่เขาเคยผ่านมาแม้แต่น้อย แล้วทำไมเขาถึงติดใจจนถึงขั้นหลงใหลเจ้าหล่อนล่ะ? ร้องถามตัวเองแต่ก็หาคำตอบที่น่าเชื่อถือไม่ได้เลยแม้แต่คำเดียว หัวใจของเขาร่ำร้อง ร่างกายของเขาเพรียกหา อยากจะดำดิ่งลงสู่ห้วงความหวานฉ่ำของเจ้าหล่อนอีกสักครั้ง

คอร์เนลสบถออกมาเสียงเดือดดาล เกลียดชังร่างกายของตัวเองนักที่ตื่นเร้าขานรับเสน่ห์ของยาหยีเพียงแค่สมองจินตนาการภาพเท่านั้น

ทั้งๆ ที่เขาก็รู้ชัดเจนว่าเจ้าหล่อนคือเลือดเนื้อเชื้อไขของคนที่ตัวเองกำลังตามไล่ล่าอยู่ แต่ทำไมนะ ทำไมเขาถึงยังไม่สามารถตัดเจ้าหล่อนออกจากสมองได้เลยแม้แต่วินาทีเดียว ตัณหาราคะที่ครอบงำร่างกายยังเต้นเร่ารุนแรงอยู่ภายในช่องท้อง

ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนเดินดุ่มๆ เข้าไปในห้องน้ำ ร่างสูงใหญ่เดินไปหยุดใต้ฝักบัวก่อนจะเปิดก๊อกให้สายน้ำเย็นเยียบไหลราดรดลงมาบนศีรษะ หวังไว้ลึกๆ ว่าน้ำเย็นฉ่ำจะช่วยลดแรงปรารถนาที่กำลังเข่นฆ่าเขาอย่างโหดเหี้ยมให้ลดลงได้บ้าง แต่ก็ต้องผิดหวังเพราะแม้แต่น้ำเย็นๆ ก็ไม่สามารถลดความเร่าร้อนของแรงสิเน่หาที่เขามีต่อยาหยีได้เลยแม้แต่นิดเดียว ตรงกันข้ามมันกลับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนร่างกายปวดร้าวอีกต่างหาก

“โธ่เว้ย!” มือใหญ่กำเป็นหมัดแล้วซัดเปรี้ยงเข้ากับกำแพงห้องน้ำอย่างรุนแรง

‘ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วยนะ! ทำไมเขาจะต้องมาเกิดหลงใหลคลั่งไคล้ลูกสาวของไอ้ยอดชายคนทรยศด้วย ทั้งๆ ที่ผู้หญิงในโลกยังมีอีกตั้งมากมาย’

กรามแกร่งที่มีหนวดขึ้นเขียวครึ้มขบกันแน่นจนปูดเป่ง ดวงตาสีเขียวจัดวาวโรจน์ด้วยโทสะ ก่อนจะหัวเราะเสียงเครียดในลำคอเมื่อเห็นสภาพความต้องการของตัวเองเต็มตา

เขาคงไม่มีทางหลีกหนีแม่สาวที่ชื่อยาหยีคนนี้พ้นเสียแล้ว ถ้าหนีไม่พ้น งั้นเขาก็จะต้องใช้หล่อนให้คุ้มค่า ใช้งานบนเตียงให้หนักหน่วง และรับรองเลยว่าแค่ไม่ถึงอาทิตย์เขาก็จะสามารถลบไอ้ความรู้สึกน่าสังเวชพวกนี้ลงถังขยะได้อย่างง่ายดาย

ยาหยีโชคดีที่สามารถทำให้เขาพบเจอกับเซ็กส์ที่แสนมหัศจรรย์ได้เท่านั้นเอง ก็แค่นั้น…มันไม่มีอะไรมากกว่าการติดใจและถูกใจ

คอร์เนลยิ้มเครียดอีกครั้ง ยกมือขึ้นลูบใบหน้าของตัวเอง ปิดก๊อกน้ำ เอื้อมมือไปหยิบผ้าขนหนูสีขาวมาเช็ดผมและผิวกาย จากนั้นก็ก้าวยาวๆ ออกจากห้องน้ำไปในทันที

จริงดั่งคาดคอร์เนลดีดกายขึ้นยืนในทันที พร้อมๆ กับคำรามออกมาด้วยความขัดใจเป็นที่สุด ใบหน้าหล่อเหลาบูดบึ้งจนคนมองอดขำขันในใจไม่ได้

“แล้วนายก็เชื่ออย่างนั้นหรือ ทำไมไม่อยู่ดูเธอขึ้นหอพักไปก่อน หากเกิดอันตรายขึ้นกับเธอจะทำยังไง”

หนุ่มหล่อเดินกลับไปกลับมาด้วยความงุ่นง่าน ก่อนจะตวัดตามองเซอร์เกที่เอาแต่ก้มหน้าด้วยนัยน์ตาขุ่นเคือง พร้อมกับคาดโทษออกมาเสียงดุดัน

“หากยาหยีเป็นอะไรไป ฉันจะตัดเงินเดือนของนาย”

“ครับนายน้อย”

ความรู้สึกที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนทำให้คอร์เนลหงุดหงิดงุ่นง่านนัก

“จะไปไหนก็ไปให้พ้นหน้าเลยไป ก่อนที่ฉันจะทำร้ายนาย”

“เอ่อ…นายน้อยครับ”

เมื่อเห็นเซอร์เกคนสนิทยังยืนนิ่ง คอร์เนลก็เค้นเสียงคำรามลั่น

“บอกให้ไปไง หูแตกหรือไงเซอร์เก!”

“ผมจะบอกว่าเธอไม่รับเช็คของนายน้อยครับ”

คราวนี้ความเดือดดาลที่เกิดจากความห่วงใยเปลี่ยนแปลงเป็นความข้องใจ และก็ตามมาด้วยความเจ็บใจในที่สุด

“อวดดีนัก!” นัยน์ตาสีเขียวเข้มจัด โทสะวูบวาบอยู่ในนั้น

“แล้วเช็คนั่นอยู่ไหน”

“เธอฉีกมันทิ้งแล้วครับ”

เซอร์เกบอกแค่หญิงสาวฉีกมันทิ้ง ไม่ได้บอกว่าเจ้าหล่อนใช้เท้าขยี้มันด้วย เพราะหากบอกความจริงไปทั้งหมด มีหวังคืนนี้ยาหยีไม่มีทางได้หลับนอนหรอก นายน้อยของเขาจะต้องตามไปลากตัวถึงหอพักเพื่อนำตัวมาลงอาญาอย่างแน่นอน

“ฉีกทิ้ง?”

ทวนคำของคนสนิทด้วยใบหน้าโกรธ กรามแข็งแรงขบกันแน่นจนเนื้อข้างแก้มกระตุกเป็นริ้วรอย มือใหญ่ข้างหนึ่งกำเป็นหมัดก่อนจะซัดเข้ากับฝ่ามืออีกข้างของตัวเองอย่างรุนแรง รัศมีความเดือดดาลเปล่งประกายออกมาจากร่างกำยำอย่างมหาศาล จนคนมองอย่างเซอร์เกยังแสบตา

“เธอกล้ามากยาหยี กล้าหักหน้าฉัน”

“เธอคงโกรธที่นายน้อย…เอ่อ…ย่ำยีเธอ” เซอร์เกอดไม่ได้ที่จะแก้ตัวแทนยาหยี เพราะสภาพของหล่อนน่าสงสารยิ่งนัก

“แค่ระบายความใคร่ครั้งเดียว”

คอร์เนลเอ่ยพลางมองคนสนิทตาขวาง

“แต่สภาพของเธอดูไม่ต่างจากถูกผู้ชายเป็นสิบคนรุมโทรมเลยนะครับ ผมว่านายน้อยหนักมือเกินไป ถึงเธอจะผิดที่เกิดมาเป็นลูกของนายยอดชาย แต่เธอก็ไม่ใช่ฆาตกร”

‘ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้เขาพูดจาตำหนินายน้อยของตัวเองออกไปแบบนี้ ทั้งๆ ที่ไม่เคยทำมาก่อน หรืออาจจะเป็นเพราะความเวทนาแม่เด็กสาวคนนั้น ใช่สิ ยาหยีก็อายุรุ่นราวคราวเดียวกับบุตรสาวของเขานั่นแหละ’

“เซอร์เก!”

คอร์เนลเค้นเสียงคำรามด้วยความไม่พอใจ ขัดใจนักที่เซอร์เกคนที่เข้าข้างเขาทุกอย่างไม่ว่าเขาจะทำอะไรกลับมาต่อว่าเขาเรื่องของแม่ผู้หญิงคนนี้ หล่อนมีดีอะไรที่ไหนกันล่ะ ก็แค่…พรหมจารี!

หัวใจแข็งกร้าวอ่อนยวบลงมาในพริบตาเมื่อสมองตอกย้ำว่าเขาคือชายคนแรกที่ได้ลิ้มลองรสสาวจากกายของยาหยี เขาเป็นชายคนเดียวที่ได้แนบชิดกับเจ้าหล่อน แต่เขาก็เป็นผู้ชายแสนระยำที่ขับไล่เจ้าหล่อนลงจากเตียงอย่างไร้เมตตาปรานี

ไม่! เขาจะไม่ใช่ผู้ชายที่จะตกหลุมพรางของสตรีคนไหนง่ายๆ ยาหยีก็แค่ทำให้เขารู้สึกมีชีวิตชีวาและสุขสมมากกว่าผู้หญิงทุกคนที่เคยผ่านเข้ามาในชีวิตก็เท่านั้นเอง อีกหน่อยก็จะเบื่อ อีกหน่อยก็จะสามารถเขี่ยหล่อนทิ้งลงถังขยะได้เหมือนกับผู้หญิงคนอื่นๆ นั่นแหละ แม้ว่าหล่อนจะทำเป็นใจแข็งไม่รับเงินรับทองจากเขาก็ตาม แต่สันดานของผู้หญิงไม่มีคนไหนหรอกที่จะใจแข็งกับถุงเงินถุงทองที่เขาเต็มใจที่จะประเคนให้

และรับรองด้วยเกียรติของผู้ชายตระกูลซีร์ยานอฟเลยว่า เขาจะต้องเขี่ยหล่อนทิ้งได้ก่อนที่เขาจะได้ตัวพ่อของหล่อนมาไว้ในกำมือเสียอีก

“ผมขอโทษครับนายน้อย ผมแค่สงสารเธอ…”

คอร์เนลถอนใจออกมาแรงๆ โบกมือไล่คนสนิททันที

“ไปให้พ้นๆ หน้าไป”

“ครับนายน้อย”

และเซอร์เกก็ถอยหลัง เดินหายไปในความมืดเงียบๆ ทิ้งให้คอร์เนลนายน้อยของตัวเองถอนอกถอนใจออกมาด้วยความเคร่งเครียดอยู่ตามลำพัง

หนุ่มหล่อนัยน์ตาสีเขียวดุจมรกตเนื้อดีสบถออกมาด้วยความเกลียดชังตัวเอง เมื่อแหงนหน้ามองดวงจันทราบนท้องฟ้าแล้วเห็นใบหน้าของยาหยีซ้อนทับอยู่บนนั้น

‘ให้ตายเถอะ นี่หล่อนจะตามหลอกหลอนเขาไม่เว้นแม้แต่บนฟ้าเลยอย่างนั้นหรือ’ ชายหนุ่มกำมือแน่นข่มความเกรี้ยวกราด ขณะก้าวเท้ามุ่งหน้ากลับสู่ห้องพักของตัวเอง ในสมองคิดถึงแต่ร่างกายสวยสดของยาหยีไม่ยอมหยุด แม้กระทั่งในความฝันของเขาก็ตาม

“เซอร์เก…แม่หนูคนนั้นเป็นยังไงบ้าง แล้วทำไมถึงต้องไปส่งกันดึกดื่นขนาดนี้ล่ะ หรือว่าเธอทำไม่ถูกใจนายน้อย”

เชอรี่ที่ยังไม่ได้นอนแอบมาดักเจอเซอร์เกที่หน้าห้องพักของเขา ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงห่วงใย ทำให้คนสนิทวัยเดียวกันถึงกับถอนใจออกมาหนักๆ

“ว่าไงล่ะเซอร์เก”

“ดูจากสภาพของเด็กสาวคนนั้นแล้ว ผมก็สรุปได้ว่านายน้อยต้องพอใจเธออย่างมากนั่นแหละครับ เพราะไม่อย่างนั้นคงไม่หักโหมจนเธอแทบเดินไม่ไหวแบบนั้นหรอก”

“แทบเดินไม่ไหวเชียวเหรอเซอร์เก” เชอรี่ทำสุ้มเสียงตื่นตกใจ หล่อนถูกชะตากับยาหยีเป็นพิเศษ มองแล้วก็เอ็นดูในความอ่อนเยาว์ของเจ้าหล่อน ไม่คิดเลยว่าจะต้องมาถูกนายน้อยของตัวเองย่ำยีอย่างป่าเถื่อนแบบนี้

เซอร์เกพยักหน้ารับน้อยๆ สมองผุดภาพใบหน้าฉ่ำน้ำตาของยาหยีไม่หยุด

“ปกตินายน้อยไม่เคยทำแบบนี้กับผู้หญิงคนไหนมาก่อน ผมยังแปลกใจอยู่เลยว่าทำไมนายน้อยถึงทำแบบนี้กับยาหยี”

“นั่นสิ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่านายน้อยจะใจร้ายแบบนี้ เสียแรงที่บูชานึกว่าเป็นสุภาพบุรุษ”

เซอร์เกมองสตรีวัยกลางคนตรงหน้าด้วยสายตาไม่สบายใจนัก เขาไม่ชอบฟังคนอื่นด่าว่านายน้อยของตัวเองเลย

“นายน้อยคงมีเหตุผล หรือไม่ก็เปลี่ยนรสนิยมใหม่ แต่เราอย่ายุ่งเรื่องของเจ้านายเลยนะคุณเชอรี่ ปล่อยให้ท่านจัดการปัญหาชีวิตของท่านเองเถอะ เราคอยสนองคำสั่งก็พอแล้ว”

เชอรี่เบ้หน้า อดสงสารยาหยีไม่ได้ ดวงตาสุกใสดุจดวงดาวคู่นั้นป่านนี้คงจะฉ่ำนองไปด้วยคราบของน้ำตา ช่างน่าเวทนาเหลือเกิน นายน้อยของหล่อนทำเกินไปจริงๆ และด้วยสถานะที่ต่ำต้อยกว่าทำให้เชอรี่ได้แต่เก็บความขุ่นเคืองเอาไว้แต่เพียงในอก

“งั้นฉันขอตัวกลับไปพักผ่อนก่อนก็แล้วกัน เซอร์เกก็นอนซะเถอะ นี่ก็เกือบเที่ยงคืนแล้ว” เชอรี่เอ่ยลาแล้วก็เดินหายกลับไปยังเรือนพักของสาวใช้หญิงอย่างรวดเร็ว

เซอร์เกถอนใจออกมาอีกครั้ง ศีรษะที่มีผมสีขาวแซมส่ายไปมา ขณะเปิดประตูห้องพักและก้าวเข้าไปข้างใน สมองนึกไปดึงเมลิน่าบุตรสาวของตัวเองที่ตอนนี้กำลังศึกษาอยู่ที่กรุงปารีสขึ้นมาในฉับพลัน ความห่วงใยแล่นขึ้นมาจับจิต จนต้องรีบควักมือถือขึ้นมากดต่อสายข้ามทวีปหาเมลิน่าอย่างรวดเร็ว และเมื่อได้ยินเสียงหวานใสร่าเริงของบุตรสาวตอบกลับมา เซอร์เกก็รู้สึกโล่งอกขึ้นมาในฉับพลัน

เซอร์เกรีบเปิดประตูรถให้กับร่างอิดโรยของยาหยีทันทีที่สาวน้อยก้าวมาหยุดอยู่ตรงหน้า ท่าทางอ่อนล้า ดวงตาแดงก่ำ ริมฝีปากบวมเจ่อราวกับถูกขืนใจมาอย่างป่าเถื่อน ทำให้เขารู้สึกสงสารจับใจ เซอร์เกรีบปิดประตูรถให้ ก่อนจะรีบวิ่งขึ้นมานั่งประกบคนขับรถ และจากนั้นไม่นานรถลีมูซีนสีดำคันหรูก็แล่นออกจากคฤหาสน์หลังงามของซีร์ยานอฟทันที

ยาหยีนั่งสะอึกสะอื้นมาตลอดทางด้วยความชอกช้ำปานจะขาดใจ น้ำตาหลั่งรินอาบแก้มเมื่อความใจร้ายของคอร์เนลยังตราตรึงอยู่ในอก เห็นได้ชัดว่าเขารังเกียจหล่อนแค่ไหน เขารีบถีบหล่อนลงจากเตียงและก็รีบให้คนของเขามาพาหล่อนออกจากคฤหาสน์อย่างรวดเร็ว

ดวงใจร้าวราน เจ็บปวดจนแทบไม่อยากจะหายใจ สาวน้อยยกมือขึ้นป้ายน้ำตาทิ้ง กัดปากจนเจ็บเมื่อรถคันงามเลี้ยวเข้ามาจอดที่หน้าหอพักของหล่อน ยาหยีก้มลงมองนาฬิกาเรือนเล็กที่ข้อมือ แล้วก็ต้องหน้าซีดเผือดเมื่อมันบอกเวลาห้าทุ่มกว่าแล้ว หอปิดแล้ว และแน่นอนว่าหล่อนไม่สามารถที่จะขึ้นไปยังห้องพักได้อีกในตลอดค่ำคืนนี้ แต่หล่อนไม่มีทางอ้อนวอนคนไร้หัวใจพวกนี้หรอก

รถจอดสนิทที่หน้าหอพัก และเพียงไม่ถึงอึดใจประตูรถฝั่งหล่อนก็ถูกเปิดออก ยาหยีปั้นหน้านิ่งเฉยไม่แสดงความรู้สึกขณะก้าวลงไปจากรถ แต่ด้วยสภาพร่างกายที่อิดโรยทำให้หญิงสาวเซแทบล้ม โชคดีที่คว้าประตูรถเอาไว้ได้ทัน

“คุณเป็นยังไงบ้าง”

“ฉันไม่ตายหรอกค่ะ ขอบคุณนะคะที่มาส่ง”

น้ำเสียงไร้ความรู้สึกยิ่งกว่าใบหน้างามที่น้ำตายังไม่แห้งเหือดดีเสียอีก เซอร์เกลอบถอนใจออกมา มองสตรีสาวรุ่นลูกตรงหน้าด้วยความเห็นใจ

นายน้อยของเขาคงจะตักตวงความสาวของหล่อนอย่างป่าเถื่อน ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผู้ดีอย่างคอร์เนลจะดิบเถื่อนกับผู้หญิงเปราะบางอย่างยาหยีถึงเพียงนี้ หรือนายน้อยของเขาอาจจะคั่งแค้นนายยอดชายมากก็เลยนำอารมณ์ทั้งหมดไปลงกับลูกสาว แต่ไม่น่าจะใช่ เพราะนายน้อยของเขาไม่เคยมีนิสัยรังแกผู้หญิงมาก่อน แล้วทำไมถึงทำกับแม่เด็กสาวตรงหน้าคนนี้ล่ะ ทำไมถึงได้ข่มเหงอย่างป่าเถื่อนถึงเพียงนี้

เซอร์เกลอบถอนใจออกมาอีกครั้ง ก่อนจะล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อตัวใน หยิบกระดาษเล็กๆ ใบหนึ่งออกมายื่นให้กับยาหยี

“ของคุณครับ”

ครั้งแรกที่ยังมองกระดาษใบนั้นไม่ชัด หญิงสาวก็ได้แต่เลิกคิ้วด้วยความแปลกประหลาดใจ แต่พอได้เห็นมันชัดๆ ใบหน้าที่ซีดขาวก็แดงก่ำเปี่ยมโทสะขึ้นมาในพริบตา

“ฉันไม่ต้องการ”

“แต่นายน้อยสั่งให้ผมมอบมันให้กับคุณ มันคือ…เอ่อ…ค่าตัวของคุณ”

เซอร์เกไม่อยากจะพูดออกมานัก แต่ก็จำต้องอธิบายให้สาวน้อยตรงหน้าฟัง และผลที่ได้ก็คือความเดือดดาลในแววตาดำขลับที่มีน้ำตาคลออยู่ตลอดเวลา

หญิงสาวกัดปากแน่นจนเจ็บไปทั้งเรียวปาก ขณะจ้องมองเช็คใบเล็กในมือของคู่สนทนาด้วยสายตาขยะแขยง ความเกลียด ความโกรธ กำลังทำให้หล่อนคลั่ง เขาไม่รัก ไม่ปรารถนา ไม่เห็นค่า แล้วทำไมต้องมากระทืบกันให้จมดินด้วย หรือว่าต้องการเห็นหล่อนแดดิ้นตายไปตรงหน้า สาวน้อยคิดด้วยความชอกช้ำระกำใจ น้ำตาทะลักไม่หยุด แต่กลับไม่มีเสียงสะอื้นเล็ดลอดออกมาจากกลีบปากที่สั่นระริกเลยแม้แต่แอะเดียว นอกจากคำสาปแช่งที่หญิงสาวฝากไปถึงนายน้อยผู้ยิ่งใหญ่ของเซอร์เก

“ฉันขอสาปแช่งให้เจ้านายของคุณอายุสั้น ขอให้เขาตายคาเตียง ขอให้เขาไม่ได้ตายดี”

เซอร์เกเบิกตาค้างพูดไม่ออกซะดื้อๆ แล้วก็พานนึกภาพของคอร์เนล หากเจ้าตัวมาได้ยินคำสาปแช่งจากปากบวมๆ ของผู้หญิงที่ตัวเองทำลายจนยับเยินตอนนี้ คงจะเกรี้ยวกราดอย่างรุนแรง ไม่อย่างนั้นก็คงช็อกตาตั้ง

“ห้าหมื่นบาท…นายน้อยอยากให้คุณรับไว้”

“ก็ได้”

หญิงสาวกระชากเจ้ากระดาษแผ่นเล็กจากมือของเซอร์เกมาถือเอาไว้ ก่อนจะชูขึ้นเหนือศีรษะ และโดยที่เซอร์เกคาดไม่ถึง เพราะเจ้าหล่อนฉีกมันจนละเอียดเลยทีเดียว จากนั้นก็ปามันลงพื้นแล้วขยี้ด้วยฝ่าเท้าเล็กๆ ด้วยความเจ็บแค้น

“ให้เจ้านายของคุณไปลงนรกซะ!”

เซอร์เกลอบถอนใจออกมาเป็นครั้งที่สาม เขาอึ้งไปหลายอึดใจ มองสตรีตรงหน้าด้วยความเห็นใจ แต่ก็สุดปัญญาจะช่วยเหลือ และในที่สุดเขาก็เลือกที่จะเอ่ยลา

“ผมคงต้องกลับก่อน คุณก็ขึ้นหอพักได้แล้วนะครับ เดี๋ยวจะไม่สบาย”

เซอร์เกไม่ได้ดูเวลาทำให้เขาไม่ทราบว่าเวลานี้หอพักหญิงแห่งนี้ปิดมาร่วมหนึ่งชั่วโมงแล้ว และที่นี่ก็ไม่มียามเฝ้าในเวลากลางคืนด้วย เพราะล็อกด้วยกุญแจอย่างแน่นหนา กว่ายามตอนเช้าจะมาเปิดก็ตีสี่ตีห้านั่นแหละ

“ถ้าคุณห่วงฉันจริงๆ ละก็ อย่าให้เจ้านายของคุณมายุ่งวุ่นวายกับฉันอีก ขอให้ทุกอย่างจบลงแค่คืนนี้ และฉันรับรองว่าจะเกลี้ยกล่อมให้พ่อนำของมาคืนพวกคุณให้เร็วที่สุดเท่าที่ตัวเองจะสามารถทำได้” หญิงสาวต้องหยุดพูดชั่วขณะเพื่อกลืนก้อนสะอื้นก้อนใหญ่ที่แล่นขึ้นมาจุกที่ลำคอให้ลงไปในอก

“ฉันสัญญา…”

เซอร์เกไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก นอกจากถอนหายใจออกมาอีกครั้ง โดยคราวนี้ไม่ต้องลักลอบเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา เขามองร่างเล็กที่ยังคงยืนตากน้ำค้างนิ่งเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะตัดสินใจก้าวขึ้นรถคันงามไปในทันที

ยาหยีกัดปากแน่นอีกครั้ง ขณะมองตามท้ายรถคันยาวไปทั้งน้ำตา จบกันแล้ว จบกันสักทีกับความอัปยศอดสู ความโหดเหี้ยมของผู้ชายหล่อร้ายกาจคนนั้น

“ฉันขอให้คุณตาย ตายไปโดยเร็ว…”

สาปแช่งคอร์เนลด้วยความชอกช้ำ หล่อนทั้งเจ็บใจทั้งน้อยใจที่เขาทำเป็นไม่แยแสเลยแม้แต่นิดเดียวหลังจากจบฉากรักอันเร่าร้อน เขาควรจะพูดอะไรออกมาบ้างหลังจากที่ได้ลิ้มรสความสาวของหล่อน แต่เขากลับไม่พูด ไม่แสดงท่าทางใดๆ ออกมาเลย นอกจากความเลือดเย็น

ร่างอรชรทิ้งตัวลงพิงกับเสามุมกำแพงหอพักด้วยความอ่อนล้า น้ำตาไหลพรากออกมาไม่หยุด เสียงฟันขบกันดังกึกเมื่อสายลมเย็นยามดึกพัดมาแต้มผิวกายจนร่างบางสั่นสะท้าน หญิงสาวปล่อยให้ความเจ็บปวดชักนำจิตวิญญาณของตัวเองให้จมดิ่งลงสู่ก้นบึ้งแห่งความชอกช้ำไปอย่างไร้ทางขัดขืน รอบๆ กายช่างดูมืดมิดไร้แสงสว่างเสียเหลือเกินเมื่อนิทรารมณ์เข้าครอบงำ

หลังจากจบการว่ายน้ำอันหนักหน่วง คอร์เนลก็ขึ้นมานอนเหยียดยาวอยู่บนเก้าอี้ผ้าใบริมสระน้ำ รอคอยการกลับมาของคนสนิท

เขาสั่งให้เซอร์เกไปส่งยาหยีที่หอพัก พร้อมกับให้มอบเช็คเงินสดจำนวนห้าหมื่นบาทกับเจ้าหล่อนด้วย รอยยิ้มเหยียดหยันแต้มมุมปากหยักได้รูปเมื่อสมองวาดภาพใบหน้าของยาหยียามที่ได้เห็นเงินจำนวนมากมายที่เขามอบให้

ผู้หญิงถึงแม้จะสวยและดูไร้เดียงสาแค่ไหน แต่พวกหล่อนก็ไม่มีดีสักคน ทุกคนมีราคาติดที่หน้าผากกันทั้งนั้น ไม่เว้นแม้แต่ยาหยี

ลำขายาวที่รกไปด้วยเส้นขนสีเข้มยกไขว้กันที่ข้อเท้า ลมหายใจที่ถี่กระชั้นเมื่อครู่นี้ค่อยๆ ลดจังหวะลงจนในที่สุดก็เข้าสู่สภาวะปกติ การว่ายน้ำสามารถทำให้เขาลดแรงกำหนัดลงได้จริงๆ เรี่ยวแรงของเขาหมดไปกับการโจนจ้วงลงในสายน้ำที่เย็นเฉียบ

แต่มันก็ยังไม่สามารถทำให้เขาหายหิวกายสาวอวบอิ่มของยาหยีได้เลยแม้แต่นิดเดียว เขายังต้องการหล่อน ยังอยากจะดำดิ่งลงสู่บ่วงสวาทรัดรึงที่นุ่มลื่นดุจกำมะหยี่นั้นอีกครั้ง แค่สมองคิด ร่างกายก็มีปฏิกิริยาตอบรับด้วยกายตื่นเร้าอย่างรุนแรงเสียจนเจ้าของร่างอย่างคอร์เนลต้องสบถออกมาด้วยความเดือดดาล

“ระยำ!”

“นายน้อยครับ”

เสียงของคนสนิทที่ดังขึ้นเบาๆ ทำให้คอร์เนลหลุดออกจากโทสะได้ชั่วคราว หนุ่มหล่อตวัดสายตามองเจ้าของเสียงเขม็ง ขณะยันกายลุกขึ้นนั่งวางเท้ากับพื้นหินอ่อน

“เรียบร้อยหรือเปล่า”

“เรียบร้อยครับ ผมส่งเธอกลับถึงหอพักแล้วครับ” เซอร์เกตอบตามความจริง

“แล้วอยู่มองจนเธอขึ้นหอพักไปหรือเปล่า”

เซอร์เกแทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้ยินคำพูดที่อัดแน่นไปด้วยความห่วงใยแบบนี้หลุดออกมาจากปากของผู้ชายตรงหน้า เขามองคนพูดนิ่งราวกับไม่เคยเห็นกันมาก่อน และก็แน่ใจอย่างชัดเจนเลยว่าคอร์เนลก็ยังไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าตนเองนั้นได้แสดงความรู้สึกใดออกมา

เซอร์เกลอบอมยิ้มเมื่อเห็นความเปลี่ยนแปลงไปของคอร์เนล ยาหยีทำให้นิสัยของนายน้อยผิดแผกไปจากเดิมได้อย่างน่าอัศจรรย์

คอร์เนลไม่เคยรอคอยสิ่งใด แต่เขากลับรอคอยการได้มาซึ่งยาหยีได้อย่างไม่น่าเชื่อ

คอร์เนลไม่เคยต้องใช้เล่ห์เหลี่ยมเพื่อให้ได้ผู้หญิงสักคนหนึ่งมาขึ้นเตียง แต่เขาก็ทำแบบนั้นกับยาหยี

คอร์เนลไม่เคยแสดงความห่วงใยต่อผู้หญิงคนไหนมาก่อน แต่เขาก็แสดงออกมาชัดเจนว่าห่วงใยเด็กสาวคนนั้น

หรือว่าเจ้านายของเขาจะตกหลุมรักยาหยีเสียแล้วนะ เด็กสาวที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของคนทรยศ มันคงแปลกดีพิลึกหากคอร์เนลต้องเรียกนายยอดชายว่าพ่อตา

“ผมกลับมาก่อนครับ เธอไล่ผม…”

น้ำตาเป็นสิ่งเดียวที่ช่วยหล่อเลี้ยงหัวใจได้ในขณะนี้ ยาหยีพยายามจะกลั้นสะอื้นอย่างสุดกำลังขณะพยายามจะก้าวลงจากเตียงนอน ความเจ็บแปลบในส่วนหนึ่งของร่างกายที่ถูกคนป่าเถื่อนทำลายอย่างโหดเหี้ยมเตือนให้สมองนึกถึงบทรักเร่าร้อนที่พึ่งผ่านมา

เขากอด เขาจูบ เขาลูบไล้ ฟอนเฟ้น บีบขยำกายสาวของหล่อนอย่างเอาแต่ใจ และหล่อนก็หน้าด้านเหลือเกินที่ตอบสนองสัมผัสสวาทนั้นด้วยความเต็มอกเต็มใจ แถมยังร้องขอ วิงวอนขอในสิ่งที่ผู้หญิงดีๆ เขาไม่ทำกัน น่าอดสูเหลือเกิน…

น้ำตาที่กำลังจะหยุดไหลทะลักทลายออกมาอีกครั้ง คราวนี้มันรุนแรงและบ้าคลั่งยิ่งกว่าเดิม เมื่อสมองหวนนึกถึงคำพูดโหดร้ายของคอร์เนล

“ร้อนๆ แบบคุณน่าจะสักสอง ไม่งั้นก็สามครั้ง หรืออาจจะมากกว่านั้น หากผมยังหาอีตัวมาระบายความอึดอัดแทนคุณไม่ได้”

“อ๊ะๆ อย่าคิดเชียวนะว่าผมจะใช้บริการคุณเป็นเดือนๆ เพราะแค่อาทิตย์เดียวก็คงจะเบื่อเต็มทนแล้วล่ะ”

เขาใจร้ายแถมยังร้ายกาจได้อย่างน่าชิงชัง ชิงชังเหรอ? ทำไมความรู้สึกของหล่อนในตอนนี้ถึงห่างไกลจากคำว่าชิงชังนักล่ะ หล่อนโกรธคอร์เนลก็จริง แต่ไม่ได้ขยะแขยงหรือชิงชังเขาเลยแม้แต่นิดเดียว ตรงกันข้ามหล่อนกลับโหยหาและต้องการให้ชายคนแรกของวัยสาวแสดงท่าทางพึงพอใจหรือสนอกสนใจหล่อนบ้างอีกต่างหาก

นี่หล่อนเป็นอะไรไปนะ ทำไมถึงไม่เกลียดผู้ชายป่าเถื่อนคนนี้ เขาล่วงเกิน ล่วงล้ำ ขยี้ความสาวของหล่อนอย่างต่ำช้า แต่หล่อนกลับเกลียดผู้ชายคนนี้ไม่หลง แถมยังอยากให้เขามาแนบชิดและทำให้กายสาวของหล่อนลุกเป็นไฟอีกครั้ง

‘หล่อนมันหน้าไม่อาย!’

ยาหยีร้องด่าตัวเองลั่นอยู่ในอก ขณะกัดฟันก้าวเท้าลงมายืนอยู่กับพื้นพรมได้สำเร็จ มือบางยกขึ้นปาดน้ำตาทิ้งด้วยความเจ็บช้ำ ก่อนจะค่อยๆ พาตัวเองเร้นหายเข้าไปในห้องน้ำสุดหรูที่อยู่ด้านในสุดของห้องนอนกว้าง

ภาพในกระจกเงาตรงหน้าที่อยู่เหนืออ่างล้างหน้ายี่ห้อดังทำให้หญิงสาวถึงกับเบิกตาค้างด้วยความตื่นตกใจ ผู้หญิงในกระจกช่างดูไม่แตกต่างจากถูกผู้ชายนับสิบคนรุมโทรมมาอย่างป่าเถื่อน

มือบางยกขึ้นปิดปากอิ่มที่บวมเจ่อเอาไว้ ขณะเลื่อนสายตามองไปที่ซอกคอของตัวเอง เนื้อนุ่มขาวเนียนแดงเป็นจ้ำ แต่ก็ไม่หนักหนาเท่ากับที่เต้าอวบทั้งสองข้าง รอยนิ้วมือครบทั้งห้านิ้วของคอร์เนลปรากฏอยู่บนก้อนเนื้ออวบอิ่มของหล่อนชัดเจน นี่แสดงว่าเขาต้องทั้งบีบทั้งขยำลงมาสุดแรง แล้วทำไมตอนนั้นหล่อนถึงไม่รู้สึกเจ็บเลยล่ะ? ทำไมถึงรู้สึกแต่เสียวซ่าน ร้อนผ่าว และต้องการให้เขาเติมเต็มเท่านั้น

หญิงสาวสลัดศีรษะทุยแรงๆ จนเส้นผมที่ยุ่งเหยิงอยู่แล้วยิ่งยุ่งมากขึ้นไปอีก ขณะเลื่อนสายตามองต่ำลงไปเรื่อยๆ ผิวกายของหล่อนมีร่องรอยแดงช้ำที่เกิดจากฟันคมๆ ขบ รอยดูดเม้มที่เกิดจากริมฝีปากสุดเร้าใจของเขา

แก้มสาวลุกเป็นไฟ เมื่อนึกถึงยามที่ริมฝีปากแสนเซ็กซี่ร้อนระอุของคอร์เนลแสดงความสนิทสนมกับร่างกายสาวของตัวเอง เขาดูดเม้ม โลมเลีย ประกาศความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของไปทั่วทุกอณูผิวสาว และเมื่อความสัมพันธ์ถึงที่สุด เขาก็ครอบครองหล่อนด้วยความดุดัน ไม่สิ…เขานิ่มนวลก่อน จากนั้นก็ดุดันขึ้นตามแรงอารมณ์ที่เข้มข้นขึ้น

ความอึดอัดจากการถูกครอบครองทำให้หล่อนเจ็บปวดคล้ายกับกายถูกทึ้งด้วยนกแร้ง เจ็บจนต้องหลั่งน้ำตา แต่มันก็ใช้เวลาไม่นาน ความเสียวซ่านซาบซ่าก็แล่นกลับคืนมาสู่ร่างกายอีกครั้ง และมันก็ทวีความรุนแรงขึ้นมากกว่าเดิม จนในที่สุดหล่อนก็โบยบินข้ามฟ้าไปสู่อีกมิติหนึ่งที่มีแต่ความสวยงามน่าอัศจรรย์ใจเป็นครั้งแรกในวัยสาว

มันมหัศจรรย์เหลือเกิน มันน่าคลั่งไคล้ และหล่อนก็ต้องก้มหน้ายอมรับกับตัวเองอย่างอดสูว่ายังต้องการสัมผัสเร่าร้อนดุดันของคอร์เนลอีก ต้องการอีกจนแทบจะบ้าคลั่ง แต่เขาไม่ได้ต้องการหล่อนนี่ เห็นได้จากการขับไล่ไสส่งของเขา

เขาไล่ให้หล่อนรีบไปให้พ้นๆ หน้า และหากเขาอยากมีเซ็กส์อีกเมื่อไร เขาจะเป็นฝ่ายเรียกหล่อนมาใช้งานอีก เหมือนอีตัว เหมือนโสเภณี ยาหยีแค่นยิ้มเยาะให้กับตัวเองในกระจก ก็คำพวกนี้แหละที่เขาตอกสลักมันไว้บนหน้าผากของหล่อน

หญิงสาวหลับตาแน่นไม่อยากรับรู้เรื่องราวใดๆ อีก ก่อนจะปล่อยร่างบางเปลือยเปล่าของตัวเองให้ทรุดลงกองกับพื้นหินอ่อนแสนสะอาด ก้อนสะอื้นผลักดันให้ร่างกายของหล่อนสั่นระริก สองมือบางโอบกระชับรอบตัวเองเอาไว้แน่น หัวใจร่ำไห้ด้วยความชอกช้ำ จำต้องปล่อยตัวเองให้จมอยู่กับหลุมบ่อแห่งความโศกเศร้าต่อไปโดยไม่มีหนทางปีนหนีขึ้นมาได้เลยแม้แต่ทางเดียว

ชายหนุ่มทำท่าครุ่นคิด ก่อนจะถอนใจออกมายาวเฟื้อยเมื่อร่างกายและหัวใจร่วมกันค้านว่าสองครั้งไม่เพียงพอหรอก ไม่มีทางพอด้วยซ้ำ ต่อให้สิบครั้งก็ตาม

คอร์เนลกระโดดลงจากเตียงราวกับเตียงนอนนั้นเป็นกองไฟ เขาลงไปยืนเปลือยเปล่าอยู่ที่พื้นพรม สายตาพยายามค้นหาสิ่งอื่นที่มันจะน่าสนใจกว่ากายสาวอวบอิ่มของยาหยี แต่มันก็ไม่มีอะไรเลยที่น่าสนใจกว่าเตียงนอน

ให้ตายเถอะ นี่เขาเป็นบ้าอะไรไปนะ ทำไมถึงรู้สึกเสียดายนักที่ต้องแยกจากร่างแน่งน้อยที่นอนสั่นสะท้านเพราะแรงสะอื้นของยาหยี เขาไม่เคยรู้สึกโหยหาสตรีใดมากเทียมเท่าแม่สาวน้อยที่พึ่งจะทำให้เขาหลุดโลกมาก่อนเลย

คนตัวโตทั้งกัดฟัน ทั้งขบกราม ทั้งกำมือแน่น ขณะเปล่งคำพูดเลือดเย็นออกไป

“ผมให้เวลาสิบห้านาที จัดการตัวเองซะให้เรียบร้อย รถจะรอพร้อมไปส่งคุณที่หอพักอยู่หน้าตึก”

ได้ผล คำพูดราบเรียบไร้หัวใจของเขาทำให้สาวน้อยหันหน้ากลับมาหา เจ้าหล่อนค่อยๆ ยันกายลุกขึ้น หน้าอกหน้าใจของหล่อนเต่งตึงท้าทายสายตาของเขาเหลือเกิน จนคอร์เนลร่ำๆ อยากจะกระโดดกลับขึ้นเตียงไปจัดการตักตวงความหวานฉ่ำจากร่างกายของยาหยีอีกครั้งและอีกครั้งให้หายคลั่ง

แต่เขาจะไม่ทำแบบนั้นหรอก ยาหยีจะต้องไม่เอะใจเลยว่าเขาต้องการหล่อนแค่ไหน หล่อนจะต้องขมขื่นกับความเย็นชาของเขา ให้สาสมกับความผิดที่หล่อนทำให้เขางุ่นง่านและควบคุมตัวเองไม่ได้เป็นครั้งแรกในชีวิตแบบนี้

“แต่ถ้าเกินเวลาที่ผมกำหนด ผมจะลงโทษคุณแบบเมื่อครู่นี้อีกครั้ง”

กายสาวร้อนผ่าวอย่างรุนแรง โดยเฉพาะที่ช่องท้องเมื่อถูกสายตาสีเขียวจัดนั้นมองมาด้วยความหิวกระหาย มือบางสั่นระริกรีบคว้าผ้าห่มขึ้นมาคลุมกายเอาไว้อย่างรวดเร็วเมื่อสมองร้องสั่ง

“ไม่ต้องปิดหรอก ร่างกายของคุณไม่ได้กระตุ้นราคะของผมเลยสักนิด” เขาแสยะยิ้มร้ายกาจ “ต่อให้กระโดดลงมาเต้นรูดเสา ผมก็ไม่เอา!”

คำพูดที่ตรงข้ามกับความรู้สึกแท้จริงเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากเซ็กซี่ที่มีความสามารถทำให้กายสาวลุกเป็นไฟได้อย่างน่าทึ่ง และนั่นก็ทำให้ความอับอายโถมเข้าใส่อย่างรุนแรง ความน้อยใจ ความขุ่นเคืองเจือชัดในดวงตาสีดำขลับ

“คนเลว…”

เค้นเสียงสาปแช่งคนตัวโตที่ตอนนี้กำลังซ่อนตัวเองในชุดเสื้อคลุมตัวใหญ่ด้วยความเจ็บแค้น กลีบปากสาวสั่นระริกด้วยโทสะ ความเสียใจกระแทกกระทั้นอยู่ภายในอกอย่างรุนแรง

ไม่ใช่แค่คอร์เนลไม่เห็นค่าพรหมจารีของหล่อนเท่านั้น แต่ยังเหยียบย่ำมันอย่างไม่ไยดีด้วยฝ่าเท้าของเขาอย่างโหดเหี้ยม หล่อนจะไม่มีวันให้อภัยผู้ชายที่ปล้นความสาวของหล่อนคนนี้เด็ดขาด จะไม่มีวันให้อภัย!

ร่ำร้องบอกตัวเองอยู่ภายในอกราวกับคนเป็นบ้า พยายามเกลียดผู้ชายที่ยืนยิ้มเหยียดหยันให้ตรงหน้าอย่างสุดความสามารถ แต่…หล่อนทำไม่ได้ หล่อนเกลียดคอร์เนลไม่ลง เขาหล่อ หล่ออย่างร้ายกาจ และที่สำคัญเขาคือผู้ชายคนแรกของหล่อน

“ฉันเกลียดคุณ…”

แทนที่เขาจะสะทกสะท้าน แต่คนตัวโตกลับหัวเราะร่วนออกมาด้วยความขบขันซะงั้น ทั้งๆ ที่รอบกายของหล่อนกับเขาแสนจะตึงเครียด

“ขอบคุณที่พูดคำนี้ออกมา” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความโอหัง “เพราะผมก็ไม่ต้องการให้คุณมารักผมสักนิด!”

ใบหน้างามร้อนผ่าวราวกับถูกลนด้วยเปลวไฟ เจ็บลึกเข้าไปถึงขั้วหัวใจ เลือดไหลซึมท่วมท้นอยู่ในอก ผู้ชายคนนี้เหี้ยมโหดและแสนอำมหิตยิ่งนัก หล่อนคงไม่มีทางเอาชนะได้ หากเขาไม่เป็นฝ่ายยอมรับความพ่ายแพ้นั้นเสียเอง

“หวังว่าคงไม่แต่งตัวนานเกินกว่าเวลาที่ผมกำหนดนะครับคุณผู้หญิง เพราะไม่อย่างนั้นผมจะทำให้คุณนั่งไม่ได้ไปหลายวันทีเดียว”

มือใหญ่กระชับสาบเสื้อคลุมเนื้อดีสีน้ำตาลเข้มให้แน่นขึ้น ขณะหมุนตัวหันหลังให้กับหล่อน หญิงสาวเป่าปากด้วยความโล่งอกเมื่อสำนึกได้ว่าตัวเองกำลังจะได้อยู่เพียงลำพัง แต่แล้วก็ต้องผิดหวังเมื่อคอร์เนลหมุนตัวกลับมาอีก

“แล้วอย่าคิดล่ะว่าตัวเองหมดภาระแล้ว”

“คุณหมายความว่ายังไง?” ร้องถามออกไปด้วยกระแสเสียงสั่นระริก ดวงตากลมโตเบิกกว้างจ้องมองคนตัวโตที่ตอนนี้ขยับเข้ามาใกล้กว่าเคยนิ่ง ความหวาดหวั่นอัดแน่นอยู่ในสายตาหวานฉ่ำคู่นั้นอย่างมหาศาล

“ค่าตัวของคุณยังไม่คุ้มกับสิ่งที่ผมต้องสูญเสียไป”

“คุณกำลังจะบอกว่า…” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกจนน่าสมเพช

“ใช่ ครั้งเดียวไม่พอหรอก”

คอร์เนลพยักหน้ารับน้อยๆ ขณะจ้องมองสตรีสาวที่นั่งผมยุ่งเหยิงบนเตียงด้วยสายตาเร่าร้อนหิวกระหาย หนุ่มหล่ออ้อยอิ่งสายตาอยู่ที่กลีบปากอิ่มบวมช้ำที่จะจูบสักกี่ครั้งก็คงไม่อิ่มเอมด้วยความโหยหา เขาอยากจะถอดไอ้ศักดิ์ศรีที่ค้ำอยู่บนคอทิ้งแล้วกระโดดขึ้นไปทำสงครามสวาทกับยาหยีต่อนัก

แต่เขาจะไม่มีวันทำแบบนั้น ตัวของเขา สมองของเขา และหัวใจของเขา ไม่เคยให้ใครมาควบคุม โดยเฉพาะผู้หญิง ดังนั้นเขาจะไม่มีวันยอมให้ผู้หญิงข้างถนนแถมยังพ่วงตำแหน่งลูกสาวของไอ้คนทรยศอย่างยาหยีมามีอิทธิพลเหนือร่างกาย จิตใจ และสมองเป็นอันขาด

หล่อนต่างหากที่จะต้องโหยหา จะต้องคร่ำครวญถึงบทรักอันแสนมหัศจรรย์ที่เขาตั้งใจร่ายใส่ผิวสาวของหล่อน และวิ่งเข้ามาชวนเขาขึ้นเตียงแทน คอร์เนลระบายยิ้มบางๆ กับความคิดของตัวเอง

“ร้อนๆ แบบคุณน่าจะสักสอง ไม่งั้นก็สามครั้ง หรืออาจจะมากกว่านั้นหากผมยังหาอีตัวมาระบายความอึดอัดแทนคุณไม่ได้”

คนตัวโตหัวเราะออกมาด้วยความสะใจ กวาดตามองร่างอรชรที่กำลังสั่นระริกด้วยโทสะแรงกล้าด้วยท่าทางของผู้ชนะ

“อ๊ะๆ อย่าคิดเชียวนะว่าผมจะใช้บริการคุณเป็นเดือนๆ เพราะแค่อาทิตย์เดียวก็คงจะเบื่อเต็มทนแล้วล่ะ”

“คนสารเลว!”

คอร์เนลยักไหล่อย่างไม่แยแส พลางหมุนตัวเดินลิ่วๆ ตรงไปที่ประตูห้องนอน มือใหญ่กระชากมันออกแรงๆ ก่อนจะก้าวออกไปด้วยท่าทางสง่างาม ไม่คิดจะสนใจกับคำสาปแช่งที่ยาหยีตะโกนไล่หลังตามมาเลยแม้แต่นิด

ให้หล่อนด่าเขาต่อไปเถอะ แล้วเขานี่แหละจะทำให้หล่อนเปลี่ยนคำด่าพวกนั้นเป็นคำอ้อนวอนขอให้เขาครอบครองหล่อนแทนในเซ็กส์ร้อนๆ ที่จะมีกันในครั้งหน้า

แล้วครั้งหน้ามันเมื่อไรกันนะ? สองวัน หรือสามวัน หรือว่าจะปล่อยให้นานเป็นอาทิตย์ดี ไม่ล่ะ เขารอนานเป็นอาทิตย์ไม่ได้หรอก แค่รอให้ถึงคืนพรุ่งนี้เขาก็ทำท่าจะย่ำแย่อยู่แล้ว ยาหยีฝังแน่นอยู่ในสายเลือดของเขาเสียแล้วล่ะตอนนี้

กรามแกร่งขบกันแน่นจนเนื้อข้างแก้มกระตุกด้วยความเดือดดาล ขณะเรือนกายใหญ่ที่มีเพียงเสื้อคลุมราคาแพงตัวเดียวสวมทับอยู่ตรงไปยังระเบียงที่เป็นทางเชื่อมลงไปสู่สระว่ายน้ำขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านข้างของตัวคฤหาสน์

ตูม!

ละอองน้ำกระเซ็นอย่างรุนแรงเมื่อมันกลืนร่างของคอร์เนลลงไปในนั้น ชายหนุ่มดำผุดดำว่ายอยู่ในวารีอย่างบ้าคลั่ง ช่วงแขนทรงพลังจ้วงใส่ผิวน้ำอย่างเอาเป็นเอาตาย เขาต้องการให้พลังงานที่มันดูจะมีเหลือเฟือเสียเหลือเกินในขณะนี้เหือดหายไปให้หมด จะได้ไม่มีเรี่ยวแรง ไม่มีกะจิตกะใจที่จะคิดเมกเลิฟซ้ำแล้วซ้ำเล่ากับยาหยีอีก

แต่…แม้แต่น้ำเย็นเฉียบในสระว่ายน้ำใหญ่ตอนนี้ก็ไม่สามารถที่จะดับไฟร้อนๆ ที่โจมตีหน้าขากำยำของตัวเองลงได้เลยแม้แต่นิดเดียว

ระยำ!

คอร์เนลสบถแล้วสบถอีกด้วยความเดือดดาล ทำไมนะ ทำไมเขาถึงไม่สามารถสลัดแม่สาวน้อยคนสวยที่พึ่งถูกเขาพร่าผลาญพรหมจรรย์ไปสดๆ ร้อนๆ จากสมองได้เลยแม้แต่เสี้ยววินาทีเดียว เจ้าหล่อนฝังแน่น จมลึกอยู่ในก้นบึ้งของความนึกคิดราวกับเป็นตุ๊กแกยังไงยังงั้น

“ก็แค่ของใหม่ ของสด…แค่นั้น”

หนุ่มหล่อร้องบอกตัวเองอยู่ภายในใจอย่างดุเดือด ขณะจ้วงลำแขนแหวกว่ายสายน้ำเย็นยะเยือกนั้นต่อไปรอบแล้วรอบเล่าอย่างไม่ยอมแม้แต่จะหยุดพักหายใจ

ริมฝีปากของหล่อนถูกครอบครองอีกครั้ง ขณะที่เต้างามถูกขยำอย่างรุนแรง หญิงสาวร้องครางออกมา ความเจ็บปวดเริ่มสลายหายไป และในที่สุดก็ไม่มีหลงเหลืออยู่เลย เมื่อความหวานหวามซ่านทรวงแล่นกลับมาสู่ช่องท้อง

“คอร์เนล…”

“นิ่งๆ คนสวย เดี๋ยวจะเจ็บอีกนะ”

เขาเตือนเสียงแหบพร่าที่อัดแน่นไปด้วยความปรารถนา ขณะปลุกเร้าร่างสาวให้กลับมาบานฉ่ำอีกครั้งด้วยการใช้ลิ้นชุ่มฉ่ำของตัวเองตวัดเลียปลายถันสีกุหลาบด้วยจังหวะหนักหน่วง ประกาศความเป็นเจ้าของไปทุกอณูเนื้อสาว

“ไม่ค่ะ ไม่เจ็บแล้ว คอร์เนล…เถอะนะคะ”

เพลิงสวาทที่พุ่งกลับมาใส่ช่องท้องอีกครั้งทำให้สาวน้อยไม่คิดจะรอคอยสิ่งใดอีกต่อไป มือบางที่ยันแผงอกกว้างเอาไว้ตวัดขึ้นโอบรอบลำคอแข็งแรงของคอร์เนล ขณะหยัดกายขึ้นหาราวกับต้องการแสดงให้คนตัวโตรู้ว่าตนเองนั้นกำลังต้องการอะไร

คอร์เนลหัวเราะเบาๆ ในลำคอ กายหนุ่มเกร็งเครียด ความหิวกระหายเบ่งบานอยู่ในดวงตาสีเขียวดุจมรกตคู่นั้น

“ถ้าเจ็บต้องบอกผมนะ”

เขายังลังเลได้อย่างน่าขัดใจ และก็เป็นยาหยีเองนั่นแหละที่เริ่มต้นก่อนทุกอย่าง คอร์เนลหายใจกระชั้นรุนแรงเพราะหมดการควบคุมตัวเอง เขาเดินหน้าขับเคลื่อนเพลงรักเข้าใส่ร่างงามที่แอ่นขึ้นหายิ่งกว่าเต็มอกเต็มใจเสียอีกด้วยลีลาเนิบนาบนุ่มนวล

“คนสวย…คุณน่ารักเหลือเกิน”

หนุ่มหล่อที่ตอนนี้ใบหน้าแดงก่ำด้วยแรงฤทธิ์พิศวาสร้องคำรามออกมาเสียงกึกก้อง เมื่อสาวน้อยคนสวยตอบสนองแรงรักของตัวเองอย่างบ้าคลั่ง ความคับแน่นโอบกระชับรอบกายเขาไว้ในทุกๆ ทิศทางจนเขาหมดทางดิ้นหนี

“ผมกำลังจะคลั่ง ทูนหัว”

ทุกจังหวะการเคลื่อนไหวที่บ่งบอกถึงการเป็นหนึ่งเดียวกันเปลี่ยนแปลงจากนุ่มนวลเชื่องช้ามาเป็นดุดัน บ้าคลั่ง ป่าเถื่อนในพริบตา เมื่อคนตัวโตไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีกต่อไป

“ยอดเยี่ยมเหลือเกิน”

ความเสียวกระสันทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งแม่คุณยกสะโพกขึ้นรับจังหวะรักของเขาด้วยแล้ว ชายหนุ่มก็ยิ่งเข้าสู่ตาจน

“ผมไม่ไหวแล้ว”

หญิงสาวได้ยินเสียงสบถบางคำที่ฟังไม่เข้าใจนักหลุดออกมาจากปากของคอร์เนล ก่อนที่ร่างกำยำทรงพละกำลังจะกระตุกเกร็งสะท้านอย่างรุนแรง เสียงครางลึกดุดันดังก้องห้องนอนกว้างใหญ่ เส้นเอ็นที่หัวไหล่ ต้นแขน และลำคอปูดเป่งราวกับมันกำลังจะปริแตกออกมา

ยาหยีหลับตาพริ้มซึมซับความเสียวกระสันที่คอร์เนลจุดมันขึ้นมาด้วยความอิ่มเอม ความสุขสมอาบไล้ไปทั่วเรือนร่าง ไม่เว้นแม้แต่หัวใจของหล่อน

ครั้งแรกของหล่อนกับผู้ชายที่หล่อเหลายิ่งกว่าเทพบุตร…

หญิงสาวยกมือขึ้นลูบไล้แผ่นหลังชุ่มเหงื่อของพ่อหนุ่มสุดหล่อที่พึ่งทำให้หล่อนรู้จักกับความสุขล้ำของวัยสาวด้วยความอ่อนโยน หัวใจกำลังอิ่มเอิบพองโต จนได้ยินคำพูดของคอร์เนลที่ดังเล็ดลอดออกมานั่นแหละ สมองของหล่อนที่ตายดับไปนานถึงได้ทำงานขึ้นมา

“มันเป็นเซ็กส์ที่ยอดเยี่ยมของผมเลยให้ตายสิ”

‘เซ็กส์ที่ยอดเยี่ยมอย่างนั้นหรือ? นี่เขามองการร่วมรักแสนหวานเมื่อครู่นี้เป็นแค่เซ็กส์ราคาถูกอย่างนั้นหรือ นี่หัวใจของเขาทำด้วยอะไรกัน’

หญิงสาวขุ่นเคืองขึ้นมาในทันที และความจริงทุกอย่างที่ถูกความซาบซ่านทรวงปกปิดเอาไว้ก็ระเบิดขึ้นใส่หน้าอย่างรุนแรง จนหล่อนแทบหงายหลังตึงด้วยความอัปยศอดสู

นี่หล่อนปล่อยให้เขาทำแบบนั้นกับร่างกายของตัวเองโดยที่ไม่ขัดขืนเลยอย่างนั้นเหรอ แถมยังเต็มใจอีกต่างหาก หญิงสาวกัดปากแน่นแต่กลับไม่รู้สึกเจ็บ น้ำตาซึมออกมาเมื่อนึกถึงความเป็นจริงของสิ่งที่เกิดขึ้น

หล่อนหลงใหลสิ่งที่ผู้ชายบนร่างเรียกว่า ‘เซ็กส์’

เมื่อสมองตีแผ่ความจริงอันน่าอดสูสู่หัวใจ น้ำตาแห่งความเจ็บปวดก็ไหลรินออกมาจากตัว เสียงสะอื้นแผ่วเบาทำให้คนตัวโตที่ซบอยู่กับอกอวบงามต้องเงยหน้าขึ้นมองด้วยความแคลงใจ เขามองหล่อนอยู่นาน ก่อนที่เขาจะพลิกกายลงไปนั่งบนเตียง หญิงสาวรีบตะแคงตัวหันหลังหนีทันที และเมื่อรอดพ้นจากสายตาสีเขียวจัดนั้น น้ำตาจำนวนมากก็ทะลักทลายออกมามากขึ้นกว่าเดิม

“ร้องไห้เพราะดีใจหรือว่าเสียใจกันล่ะ”

หล่อนไม่ตอบ เอาแต่นอนนิ่ง ชายหนุ่มขบกรามแน่นขณะกวาดตามองร่างอรชรที่ตัวเองพึ่งครอบครองเป็นเจ้าของเมื่อครู่นี้และก็ติดใจเหลือเกินด้วยสายตาตื่นตะลึง บั้นท้ายอวบงามของเจ้าหล่อนอยู่เบื้องหน้า มันช่างรับกับเอวเล็กคอดของเจ้าหล่อนได้เป็นอย่างดี ผิวสาวก็ทั้งนุ่มทั้งหอม แถมยังเนียนมือยิ่งกว่ากำมะหยี่ราคาแพงเสียอีก

เขาไม่มีทางปล่อยหล่อนไปเพียงแค่เซ็กส์ครั้งเดียวหรอก เขาจะต้องมีหล่อนอยู่บนเตียงต่อไปอีกสักสองสามคืน หรืออาจจะมากกว่านั้น

คิ้วเข้มยาวขนานกับดวงตาคมกริบสีเขียวจัดขมวดมุ่นในทันที เมื่อสมองเข้าใจในสิ่งที่หัวใจกำลังต้องการ เขายังต้องการแม่นี่อีกหรือ ทำไมยังต้องการหล่อนอีกล่ะ เขาไม่เคยใช้บริการผู้หญิงซ้ำสองนี่นา แต่ทำไมกับแม่สาวที่ตอนนี้กำลังนอนโชว์บั้นท้ายอวบคนนี้ เขาถึงยังรู้สึกว่า สองครั้ง หรือแม้แต่สามครั้ง ก็ยังไม่เพียงพอ เขายังต้องการหล่อนจนนับไม่ถ้วน

ระยำ!

คอร์เนลสบถออกมาด้วยความเดือดดาลตัวเอง ขณะก้มมองเจ้าความปรารถนาแรงกล้าที่ยังลุกโชนไม่หยุด เขาต้องการหล่อนทั้งๆ ที่พึ่งจะสุขสมอย่างรุนแรงไปเมื่อหนึ่งนาทีก่อนหน้านี้เนี่ยนะ มันเป็นไปได้ยังไง หรือว่าเขาขาดผู้หญิงมานานเกินไป ก็อาจจะใช่ เพราะเขาไม่ได้นอนกับสตรีมาร่วมอาทิตย์แล้วนี่ เขาก็คงแค่อยากให้สงครามสวาทบนเตียงนั้นยาวนานขึ้นอีกนิดเท่านั้นเอง และยาหยีก็แค่โชคดีจริงๆ ที่มาขึ้นเตียงกับเขาในช่วงนี้ที่กำลังง่านพอดี ทำให้หล่อนต้องถูกเขาเรียกใช้ซ้ำอีกครั้ง

แต่มันไม่มีทางเกินสองครั้งไปได้…

ความกระสันอันแรงกล้าระเบิดใส่หน้าอย่างรุนแรง เมื่อคนตัวโตถอนปากและพรมจูบไล่ต่ำลงมาตั้งแต่ซอกคอจนถึงเนินอก เขาคลุกเคล้าอย่างสนิทสนม ก่อนจะอ้าปากกว้างงับเต้างามของหล่อนเอาไว้เต็มปากเต็มคำ ลิ้นแกร่งตวัดไล้เลียปลายถันที่ชูชันรอคอยด้วยความช่ำชอง มือใหญ่บีบเคล้นเต้างามอีกข้างด้วยความหนักหน่วง ขณะที่ฟันขาวสะอาดจะขบเม้มกับเต้างามด้วยแรงอารมณ์เถื่อน

“ได้โปรด คอร์เนล…”

หญิงสาวคร่ำครวญอ้อนวอนออกมาอีกครั้งอย่างน่าเวทนาเมื่อถูกคนตัวโตงับปลายถันเอาไว้ในอุ้งปาก จากนั้นก็ดึงและปล่อยมันแรงๆ กายสาววูบวาบหวามไหวอย่างบ้าคลั่ง ความต้องการบางอย่างอัดแน่นอยู่ในช่องท้อง

‘หล่อนกำลังต้องการอะไรนะ ต้องการอะไรจากผู้ชายที่กำลังดื่มด่ำกับปทุมถันคู่งามของตัวเอง’ หญิงสาวพยายามขบคิด แต่ภายใต้สถานการณ์อันร้อนระอุเช่นนี้ สมองก็ไม่สามารถหาคำตอบใดๆ ให้ได้เลย กายสาวร้อนฉ่า รอคอยบางสิ่งบางอย่างจากผู้ชายคนนี้

“ได้โปรด…”

‘นั่นไง หล่อนร้องขอออกไปอีกแล้ว แต่ทำไมเขาไม่ทำอะไรสักที ทำไมยังคงให้ความสนใจกับเต้างามของหล่อนมากกว่าร่างกายส่วนอื่นๆ ของหล่อนนะ’ สาวน้อยคิดอย่างวิงเวียน

“รู้ไหมว่าผมไม่เคยเห็นหน้าอกของผู้หญิงคนไหนสวยเท่าคุณมาก่อนเลย”

เขาพูดเสียงแหบพร่าอยู่กลางร่องอกสาวของหล่อน ใบหน้าหล่อเหลาของเขาแดงก่ำเมื่อแหงนเงยขึ้นมาสบประสานสายตากัน นัยน์ตาสีเขียวจัดตอนนี้อัดแน่นไปด้วยไฟปรารถนา เขาหิวกระหายไม่แพ้หล่อนเลยแม้แต่นิดเดียว

แรงปรารถนาอันแรงกล้าส่งผลให้ร่างกายของคอร์เนลปวดหนึบอย่างรุนแรง สิ่งที่ผู้หญิงคนนี้ทำกับร่างกายของเขานั้นช่างมหัศจรรย์และน่าทึ่งยิ่งนัก ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนทำให้เขาร้อนเป็นไฟจนอยากลัดขั้นตอนการเล้าโลมไปสู่ความสัมพันธ์ขั้นสุดท้ายได้เลยแม้แต่คนเดียว แต่ผู้หญิงคนนี้ทำได้ คอร์เนลก้มลงมองแม่สาวคนงามที่ตอนนี้ทั้งร้องทั้งดิ้นพราดอยู่ใต้ร่างด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ

ยาหยีไม่ได้สวยกว่าหรืองามกว่าผู้หญิงคนอื่นที่เขาเคยสนุกด้วยบนเตียงแม้แต่นิดเดียว แต่เขากลับตัดใจให้ผละออกจากร่างสลักเสลาที่กำลังระทดระทวยอยู่ใต้ร่างของตัวเองไม่ได้เลย หนุ่มหล่อถอนใจออกมาแรงๆ เมื่อฝ่ามือใหญ่ลูบต่ำลงไปถึงหน้าขา

“ได้โปรด…ฉันกำลังจะตาย…”

ร่างงามแอ่นหยัดขึ้นหา ถูไถยั่วอารมณ์ด้วยความไร้เดียงสา แต่นั่นก็สามารถทำให้ความยับยั้งชั่งใจของเขาที่มันหลงเหลืออยู่สลายหายไปจนแทบหมด ชายหนุ่มร้องคำรามออกมา และตัดสินใจผละออกห่างอย่างรวดเร็ว

ความอ้างว้างจากฝีมือของผู้ชายที่ทำให้ร่างกายของหล่อนร้อนเป็นไฟมีผลทำให้ร่างอรชรของยาหยีดิ้นพราดไม่หยุด ดวงตาสีดำขลับมองมาที่ร่างของคอร์เนลด้วยสายตาตัดพ้อ

“คุณใจร้าย…”

คอร์เนลกระโดดลงไปยืนอยู่ข้างเตียง ความไร้เดียงสาของเจ้าหล่อนทำให้เขาอยากจะให้เวลาหล่อนอีกสักนิด แต่ดูเหมือนว่าแม่คุณจะไม่ได้ต้องการมันเลยแม้แต่น้อย ก็ดูสิ ร่างงามแอ่นสูงจนเขาเห็นในสิ่งที่ตัวเองไม่อยากจะมอง ลมหายใจของเขาค้างเติ่งทันที จากที่คิดจะเดินหนีออกไปจากห้องนอน ตอนนี้ชายหนุ่มกลับกระชากเสื้อผ้าของตัวเองออกไปจากกายกำยำแทน

เนื้อตัวหนุ่มเปลือยเปล่า ผิวสีน้ำผึ้งเรียบตึงไปทั่วทั้งเรือนกาย ยาหยีอ้างปากค้างกับความสมบูรณ์แบบไร้ที่ติของผู้ชายตรงหน้า ทุกส่วนสัดล้วนงดงามดุจชายชาตรี หัวไหล่กว้างบึกบึน ลำแขนกำยำดูทรงพลัง แผงอกที่ดกดำไปด้วยไรขนหยิกหยอยเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อมัดงาม หน้าท้องที่แข็งยิ่งกว่าไม้กระดาน และต่ำไปกว่านั้น…

สาวน้อยหน้าแดงก่ำ หลับตาปี๋ คนตัวโตที่ยืนอยู่หัวเราะเบาๆ ในลำคอขณะก้าวขึ้นมาบนเตียงนอน กลิ่นไอแห่งความต้องการพุ่งโชยอย่างรุนแรง และเขาก็ทาบทับลงมาหา กายเปลือยเปล่าของคนทั้งคู่บดอัดเคล้ากันอย่างแนบแน่นจนยาหยีรับรู้ถึงความปรารถนาอันแรงกล้าของชายหนุ่ม

“ผมกำลังจะให้ในสิ่งที่คุณต้องการ…”

เสียงเขาดังขึ้นที่ข้างใบหู ชายหนุ่มก้มลงมาจูบปากอิ่มของหล่อนอีกครั้ง จากนั้นก็พรมจูบต่ำลงไปตามซอกคอ เนินอก หยุดหยอกเย้ากับปลายถันงามทั้งสองข้างจนพออกพอใจ จึงเลื่อนใบหน้าต่ำลงไปจูบเลียที่หน้าท้องแบนเรียบที่เจ้าของหดเกร็งรับอย่างเต็มอกเต็มใจ ยาหยีกรีดร้องออกมาด้วยความรัญจวนที่สุดในชีวิต

“คอร์เนล…ได้โปรด…คอร์เนล…”

เมื่อหลังคาโลกถล่มลงมาใส่ศีรษะ ร่างงามบิดเกร็ง ช่องท้องร้อนผ่าวราวกับถูกสุมด้วยกองไฟ ความรู้สึกบางอย่างที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนค่อยๆ ขยับเข้ามาหาอย่างช้าๆ

“เย็นเข้าไว้ยาหยี”

‘เย็นเข้าไว้เหรอ? มันจะเย็นลงได้ยังไงล่ะ ในเมื่อเขายังไม่ยอมหยุดทรมานหล่อนด้วยความช่ำชองของบุรุษเพศเลยแม้แต่นิดเดียว’ หญิงสาวร้องคราง ดิ้นสะบัดอย่างรุนแรง

“คอร์เนล…”

ความสุขกระจายอาบไล้ร่างงามราวกับพายุคลั่ง สาวน้อยสะอื้นเรียกชื่อคนตัวโตครั้งแล้วครั้งเล่า ดวงตาของหล่อนพร่างพราวไปด้วยดวงดาวนับร้อยนับพันดวง ร่างสาวลอยสูงขึ้น ก่อนที่ความสุขล้ำจะระเบิดตูมเข้าใส่หน้าอย่างรุนแรง มันรุนแรงเสียจนหล่อนแทบหมดสติ

“โอ้…”

อุทานออกมาอย่างเหลือเชื่อกับสิ่งที่ตัวเองพึ่งได้สัมผัส หญิงสาวปรือตาขึ้นมองคนตัวโตที่ตอนนี้เลื่อนตัวขึ้นมาชะโงกอยู่ตรงหน้าด้วยสายตาหวานฉ่ำ ชายหนุ่มระบายยิ้มกว้างออกมา ภูมิใจนักที่เขาสามารถทำให้แม่สาวน้อยไร้เดียงสาอย่างยาหยีหลงใหลกับสัมผัสสวาทของตัวเองจนโงหัวไม่ขึ้น

“อีกเดี๋ยวมันจะดีกว่านี้อีก”

“จริงหรือคะ”

ถามออกไปด้วยความขัดเขิน แม้จะรู้ดีว่าตัวเองกำลังล้อเล่นอยู่กับไฟ แต่เพลิงปรารถนาที่มันสุมรุมอยู่ในกายสาวนั้นมันสามารถขจัดสำนึกดีๆ ออกไปจนหมดสิ้น สมองนึกถึงแต่คอร์เนล ผู้ชายที่พึ่งจะผลักดันให้หล่อนก้าวเข้าไปในอีกมิติหนึ่งที่แสนมหัศจรรย์ เขาไม่ตอบ แต่กลับก้มลงมาดูดปากจิ้มลิ้มของหล่อนเบาๆ

“คราวนี้ของจริงนะยาหยี”

เขาตอบเสียงแหบพร่า แต่หญิงสาวไม่กลัวอะไรแล้วล่ะ ตอนนี้สิ่งที่หล่อนต้องการก็คือการได้เป็นเจ้าของเรือนกายกำยำของคอร์เนลในทุกตารางนิ้ว ยาหยีคิดอย่างหลงใหล ขณะยกกายสาวขึ้นถูไถกับกายหนุ่มร้อนระอุด้วยความเชิญชวน

“ไม่ต้องทำแบบนี้ ผมก็คลั่งแล้วล่ะยาหยี”

คอร์เนลก้มลงมอบจุมพิตเร่าร้อนให้อีกครั้ง ลิ้นใหญ่บุกรุกเข้าไปหาความหวานอย่างเอาแต่ใจ เกี่ยวรัดรึงลิ้นเล็กราวกับตัวเองเป็นเจ้าของด้วยความหิวกระหาย ขณะที่มือใหญ่ตะโบมโลมลูบบีบขยำไปทั่วกายสาวอย่างเมามัน

“คอร์เนล ได้โปรด…”

หญิงสาวร้องด้วยความเสียวกระสัน ร่างสาวสั่นระริกอีกครั้งเมื่อเจ้าพ่อผู้ช่ำชองในเกมกามาเริ่มต้นขบเม้มเนื้อสาวอีกครั้ง และมันก็ทำให้เลือดสาวเดือดพล่านอย่างรุนแรง สะโพกกลมกลึงขยับถูไถบิดส่ายกับที่นอนอย่างร้อนรน พลางอ้อนวอนเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า

“ได้โปรด…”

ในที่สุดเพลิงปรารถนาที่โหมใส่อย่างบ้าคลั่งก็กลืนกินฟางเส้นสุดท้ายแห่งการควบคุมตัวเองของคอร์เนลจนหมดสิ้น มันขาดสะบั้นลงทันทีเมื่อฝ่ามือนุ่มๆ เลื่อนขึ้นมาลูบไล้แผงอกและสะกิดหัวนมเล็กๆ ของเขาอย่างซุกซน

‘ให้ตายเถอะ เขาทนไม่ไหวแล้ว’

มือใหญ่ตรึงบั้นท้ายงามงอนที่ส่ายไปมากับที่นอนเอาไว้ด้วยมือใหญ่เพียงข้างเดียว จากนั้นก็ก้มลงหาร่างอวบงามด้วยท่าทางของพรานนักล่า หญิงสาวระบายยิ้มออกมาด้วยความพึงพอใจ รอคอยกับสิ่งที่ผู้ชายที่คุกเข่าอยู่ระหว่างขาจะมอบให้

‘มันจะต้องสวยงาม จะต้องสดสวยยิ่งกว่าสิ่งที่หล่อนพึ่งได้พบเจออย่างแน่นอน’ ยาหยีคิดอย่างคาดหวัง หลับตาพริ้มเมื่อคอร์เนลเริ่มแสดงความเป็นเจ้าของ

“โอ๊ย! เจ็บ!” โลกหมุนคว้างหกคะเมนตีลังกาอย่างบ้าคลั่ง เสียงหวานกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ขณะที่ร่างกายเกร็งเขม็ง

“เจ็บค่ะ คอร์เนล…”

สาวน้อยสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจกับความเจ็บปวดที่เรียกได้ว่าเนื้อตัวแทบจะฉีกขาด มือบางที่ลูบไล้แผงอกกว้างอย่างหลงใหลเปลี่ยนมาเป็นผลักไสพัลวัน คนตัวโตกัดฟันแน่นกับความรัดรึงของหญิงสาวใต้ร่าง เขาชะงักหยุดนิ่งในทันทีที่ยาหยีร่ำร้องออกมา

ทั้งๆ ที่ระวังแล้วนะ แถมยังเดินหน้าอย่างเชื่องช้ากว่าทุกครั้งที่เคยมีเพศสัมพันธ์ แต่ทำไมยาหยียังเจ็บปวดอีกล่ะ เขาไม่ได้ป่าเถื่อนหรือรุนแรงเหมือนๆ กับที่ทำกับแม่สาวๆ คนอื่นยามสนุกกันบนเตียงเลยด้วยซ้ำ

ก็เพราะหล่อนบริสุทธิ์ยังไงล่ะ

เสียงหนึ่งในสมองร้องตอบมา และมันก็ทำให้เนื้อตัวหนุ่มพองโต ความหวงแหนที่ไม่เคยคิดมาก่อนว่ามันจะมีอยู่ในกายอาบไล้เรือนร่างจำนวนมหาศาล ชายหนุ่มก้มลงมองแม่สาวน้อยที่กำลังร้องไห้อย่างรู้สึกเจ็บปวดด้วยสายตาแปลกใจ

หล่อนทำให้เขารู้สึกหวงแหนได้ยังไงกันนะ ความรู้สึกนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เขาไม่เคยรู้สึกหวงแหนอยากเป็นเจ้าของผู้หญิงคนไหนมาก่อนเลยในชีวิต แต่ทำไมกับยาหยี เขาถึงมีความรู้สึกว่าอยากจะเก็บเจ้าหล่อนเอาไว้คนเดียวนะ

คอร์เนลสูดลมหายใจเข้าปอดแรงๆ และร้องบอกตัวเองว่าตอนนี้ไม่ควรจะสนใจหรือคิดอะไรอีกแล้ว นอกจากตักตวงความหวานฉ่ำของผู้หญิงใต้ร่างให้อิ่มเอม และจากนั้นก็รีบเฉดหัวของหล่อนไปให้พ้นหูพ้นตา

“ผมระวังแล้ว…” เขาก้มลงจูบซับน้ำตาให้กับยาหยีด้วยความอ่อนโยนอย่างไม่รู้ตัว “แต่คุณตัวเล็กกว่าผมมากเหลือเกิน แถมยังเป็นครั้งแรกอีก”

คำพูดเปิดเผยของชายที่ทาบทับอยู่บนร่างทำให้ยาหยีถึงกับหน้าแดงก่ำ พยายามอดทนกับความเจ็บแปลบแกมอึดอัดชวนหายใจไม่ออกที่คนตัวโตบันดาลให้มันเกิดขึ้นกับร่างกายของหล่อน

“แต่ผมหยุดไม่ได้…”

ทั้งๆ ที่เตรียมใจเอาไว้แล้วตั้งแต่ตอนที่นอนให้แม่สาวใช้พวกนั้นขัดตัว แต่พอต้องมายืนอยู่หน้าประตูห้องนอนของคอร์เนลจริงๆ ยาหยีก็อดตัวสั่นไม่ได้ มือบางเย็นเฉียบพอๆ กับใบหน้าที่ขาวซีดไร้สีเลือดนั่นแหละ

“นายน้อยคะ”

แม่บ้านคนเดิมเคาะเรียกผู้ชายคนนั้นเพียงแค่ครั้งเดียว เสียงห้วนกระด้างจัดจากเจ้าของห้องก็ดังผ่านบานประตูไม้แกะสลักเบื้องหน้าออกมา

“เข้ามา”

เชอรี่เปิดประตูห้องด้วยความนุ่มนวล และเมื่อมันกว้างพอที่หล่อนจะสามารถเดินเข้าไปได้ ร่างของหล่อนก็ถูกผลักดันให้ก้าวเข้าไปข้างใน ประตูถูกปิดสนิทลงพร้อมๆ กับความหวาดหวั่นของหล่อนที่พุ่งขึ้นสูงจนน่าตกใจ

หล่อนยืนเคว้งคว้างอยู่บนพรมหนากลางห้องนอนใหญ่ที่ตกแต่งด้วยโทนสีเข้มจัด มันดูลึกลับและน่าค้นหาในคราวเดียวกัน เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นดูหรูหราและแสนแพงจนหล่อนอดทอดถอนใจออกมาไม่ได้ หากหล่อนทำมันเสียหายคงต้องใช้ทั้งชีวิตในการหาเงินมาซ่อมแซมมัน

หญิงสาวเลื่อนสายตามองสำรวจไปจนทั่วทุกซอกทุกมุมของห้องนอนกว้าง และสิ่งสุดท้ายที่หล่อนกำลังสำรวจตรวจตราก็คือเตียงนอนที่คลุมด้วยผ้าปูเตียงสีน้ำตาลไหม้ขนาดคิงไซซ์เบื้องหน้า ลำคอสาวแห้งผากทันทีเมื่อจินตนาการวาบหวามที่สุดในชีวิตระเบิดขึ้นในสมอง

ภาพที่หล่อนเปลือยกายล่อนจ้อนแล้วปล่อยให้คนตัวโตฟอนเฟ้นไปทั่วทั้งเรือนร่างด้วยความเต็มอกเต็มใจ

โอ้…ไม่…หล่อนคิดอย่างนี้ไปได้ยังไง

ยาหยีหน้าแดงก่ำกับความคิดอันน่าสะอิดสะเอียนของตัวเอง หญิงสาวรีบละสายตาจากเตียงนอนกว้างนั้นในทันที ก่อนจะเลื่อนสายตามาให้ความสนใจกับเจ้าของห้องสุดหล่อที่ตอนนี้ยืนหันหลังมองออกไปนอกหน้าต่างแทน

ศีรษะของเขาตั้งตรงอยู่บนลำคอสีแทนด้วยท่าทางโอหังตลอดเวลา บ่ากว้างและหัวไหล่ทั้งสองข้างของเขานั้นดูทรงพละกำลังได้อย่างน่าทึ่ง ช่วงเอวสอบและสะโพกเพรียวแกร่งส่งผลให้ผู้ชายตรงหน้าแสนองอาจเยี่ยงบุรุษชาตินักรบ ทุกสัดส่วนของผู้ชายตรงหน้าดูดีและน่าคลั่งไคล้เสียเหลือเกิน

หญิงสาวหน้าตาแดงก่ำ หัวใจไหวระทึก รู้สึกว่ามีบางแห่งของร่างกายปวดร้าวและรอคอยอะไรบางอย่างจากผู้ชายคนนี้

และก็แทบจะถอนสายตาจากเขาไม่ทัน เมื่อเจ้าของร่างหมุนตัวกลับมาโดยไม่ส่งสัญญาณเตือนล่วงหน้า

“เอ่อ…”

ยาหยีพูดไม่ออกเอาซะดื้อๆ เมื่อสบประสานสายตากับนัยน์ตาสีเขียวเข้าโดยบังเอิญ ร่างกายอ่อนเปลี้ยขึ้นมาอย่างน่าโมโห หัวใจเต้นแรงระรัวจนน่าตกใจ

“นั่งทำใจซะก่อนสิ” เขาพูดเสียงราบเรียบ ก่อนจะหมุนตัวกลับไปมองนอกหน้าต่างเช่นเดิม

หญิงสาวกัดปากแน่น อดร้องถามตัวเองไม่ได้ว่าทำไมต้องรู้สึกน้อยอกน้อยใจนักกับท่าทางไม่แยแสของผู้ชายใจดำตรงหน้า

“ฉันคิดว่าเราควรจะทำๆ มันซะให้เสร็จโดยเร็ว” ไม่ได้นั่งลงตามที่เขาแนะนำ แถมยังทำปากกล้าพูดเร่งเร้าออกไปอีก

และมันก็ได้ผล คอร์เนลหันกลับมาจริงๆ สายตาคมกริบสีเขียวจัดนั้นกวาดมองสำรวจร่างอรชรที่มีเสื้อคลุมเนื้อดีห่อหุ้มอยู่ด้วยสายตาของบุรุษเพศแท้ๆ

“อยากให้มันเกิดขึ้นจริงๆ หรือ”

“ฉันไม่มีทางเลือกนี่” กัดฟันตอบออกไป ทั้งๆ ที่แทบจะลมจับด้วยความหวาดหวั่นอยู่แล้ว

เขาเดินเข้ามาหยุดตรงหน้า เว้นระยะห่างเพียงแค่คืบเดียวเท่านั้น กลิ่นกายชายชาตรีของเขาพุ่งเข้าใส่จมูกของหล่อนอย่างรุนแรง สาวน้อยเงยหน้าขึ้นสบตากับเขาอย่างลืมตัว และนั่นก็ทำให้หล่อนดำดิ่งลงสู่ห้วงพิศวาสจนถอนตัวถอนใจไม่ขึ้น

ยิ่งใกล้ๆ แบบนี้ เขาก็ยิ่งหล่อราวกับเทพบุตร ยาหยีคิดด้วยความลุ่มหลง สมองช็อตหยุดทำงานไปตั้งแต่สบตากับพ่อคนตัวโตเมื่อครู่นี้แล้วล่ะ

“คุณไม่เลือกเองต่างหาก”

และก็เหมือนโลกหมุนเมื่อร่างของหล่อนถูกรวบเข้าไปกอดรัดแน่น เขาบดเบียดกายแกร่งเข้ามาหาอย่างจงใจ

“แถมยังเร่งเร้าให้มันเกิดขึ้นเร็วๆ เสียอีก”

“ฉันไม่…”

กำลังจะปฏิเสธว่าตัวเองไม่ได้ทำ ไม่ได้เร่งเร้าอะไรทั้งนั้น แต่ก็พูดไม่ออก เมื่อใบหน้าหล่อเหลาก้มต่ำลงมาหา ปลายจมูกโด่งแบบผู้ดีฝังลงมาบนแก้มนวลหนักหน่วง ความหิวกระหายในดวงตาสีเขียวนั้นแทบจะแผดเผาร่างสาวของหล่อนให้มอดไหม้เป็นผงธุลี

“หอมจัง”

“อย่าค่ะ…”

จริยธรรมสุดท้ายที่ยังหลงเหลืออยู่ช่วยผลักดันให้สาวน้อยสามารถพูดมันออกมาได้ แต่คนตัวโตไม่ได้ให้ความสนใจมันเลยสักนิด เขาหมุนทีเดียวร่างของเขาและหล่อนก็พากันล้มลงมาบนเตียงนุ่ม

“มันจะได้จบเร็วๆ อย่างที่คุณต้องการยังไงล่ะ”

คราวนี้เขาก้มต่ำลงมาหาอีกครั้ง แต่ไม่ใช่แก้มแล้วที่เขาก้มลงไปซอนไซ้ หากแต่เป็นซอกคอหอมกรุ่นของหล่อนต่างหาก เขาดูดเม้มเนื้อนุ่มหนักๆ คล้ายกับกำลังควบคุมตัวเองไม่ได้ และเขาก็ครางออกมาเบาๆ เมื่อเห็นเนื้อนุ่มตรงนั้นเกิดรอยแดง

“ฉัน…อย่า…”

ความยับยั้งชั่งใจที่เพียรพยายามสร้างมันขึ้นมาถูกทำลายลงในพริบตาเพียงแค่ได้สัมผัสกับความงดงามของสตรีใต้ร่างเพียงเท่านั้น ยาหยีหอมหวานและดูไร้เดียงสาจนเขาไม่สามารถจะฝืนใจให้ปล่อยหล่อนไปได้

ตอนนี้สมองที่เคยคมยิ่งกว่ามีดโกนหยุดทำงานลงในฉับพลัน ทุกสิ่งรอบกายดูน่าเบื่อหน่ายและหมดความหมายไปอย่างสิ้นเชิง เมื่อตอนนี้สำเหนียกได้ว่ามียาหยีอยู่ใต้ร่าง ความต้องการอันแรงกล้าที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับหญิงใดมาก่อนระเบิดตูมใส่หน้า และเขาก็ไม่โง่พอที่จะทนรอมันอีกต่อไป!

หนุ่มหล่อก้มศีรษะลงไปหา สายตาสีเขียวเข้มจัดไม่แม้แต่จะคลาดเคลื่อนไปจากกลีบปากอิ่มสวยของยาหยีเลยแม้แต่วินาทีเดียว

“ผมพอจะดูออกว่าคุณไม่ค่อยจะคุ้นเคยกับมันนัก หรือบางทีอาจจะไม่เคยเลยด้วยซ้ำไป แต่ขอให้มั่นใจว่าผมจะไม่ทำป่าเถื่อนกับคุณ”

เขาให้สัญญาเสียงแหบกระเส่า ก่อนที่โลกทั้งใบของหล่อนจะหยุดหมุน ความผิดชอบชั่วดีทั้งหลายทั้งมวลที่เคยยึดถือมาตลอดชีวิตหายวับไปในทันที เมื่อริมฝีปากร้อนรุ่มแนบสนิทลงมา ความเต้นเร่ารุนแรงบงการหล่อนให้เผยอปากออกเพื่อเปิดทางให้ลิ้นแกร่งแทรกลึกเข้าไปหาความหวานฉ่ำ

คอร์เนลครางกระหึ่มออกมาเมื่อแม่สาวน้อยใต้ร่างพยายามที่จะจูบตอบ ทั้งๆ ที่เจ้าหล่อนยังจูบไม่เป็นด้วยซ้ำไป และกิริยาน่ารักน่าใคร่แบบนี้ของหล่อนทำให้เขาเข้าสู่ตาจนอย่างน่าตกใจ ไม่มีทางรอดอีกแล้วสำหรับเกมสวาทเกมนี้

“สาวน้อย…คุณทำให้ผมร้อนยิ่งกว่าถ่านในเตาไฟซะอีก”

น้ำเสียงพึงพอใจของผู้ชายบนร่างทำให้อารมณ์สาวเตลิดไปไกล มือบางที่เคยผลักไสตอนนี้แปรเปลี่ยนเป็นกอดรัดและเสนอสนองด้วยความเต็มอกเต็มใจ ไม่แสดงท่าทางขัดขืนใดๆ ออกมาเลยสักนิด แม้ว่าตอนนี้ตัวเองกำลังถูกเปลื้องผ้าออกจากกายก็ตาม

“สวยกว่าที่ผมวาดภาพเอาไว้อีกนะยาหยี”

คอร์เนลพึมพำเสียงแหบแห้ง ตกตะลึงอึ้งไปนานเลยทีเดียวกับความสลักเสลาของสาวน้อยใต้ร่าง อกอวบเต็มตึงขาวผ่องยิ่งกว่าสีของน้ำนมโคแท้ ปลายถันประดับด้วยพลอยเม็ดเล็กสีชมพูใส น่าดูดกลืนด้วยปากยิ่งนัก แล้วยิ่งยามที่มันสะท้อนขึ้นลงตามจังหวะการหายใจของยาหยีด้วยแล้ว มันก็ยิ่งน่าลุ่มหลงจนเขาอดใจไปช้าๆ ไม่ได้อีกต่อไป

เมื่อแรงปรารถนาแล่นขึ้นมาจุกอก คอร์เนลก็ไม่อาจจะบังคับตัวเองให้ไปช้าๆ เหมือนดั่งที่ตั้งใจเอาไว้ตอนแรกได้อีก เขาก้มลงประกบจูบปากอิ่มอีกครั้งด้วยความเร่าร้อน เรียกร้องให้สาวน้อยตอบสนองความหิวกระหายของตัวเอง มือใหญ่เลื่อนลงไปกอบกุมเต้าสาวที่นุ่มราวกับมีสปริงอยู่ข้างใน ฟอนเฟ้นบีบเคล้นจนเจ้าของร้องครวญครางไม่หยุด ร่างงามดิ้นพราดเมื่อมือสีแทนลูบผ่านหน้าท้องลงไป

“คอร์เนล…”

สาวน้อยสะท้อนเฮือกเมื่อลิ้นแกร่งบุกทะลวงเข้าไปกวาดหาความหวานฉ่ำของอุ้งปากสาวด้วยความป่าเถื่อน เกี่ยวกระหวัดรัดรึงกันจนแทบจะกลายเป็นเนื้อเดียวกัน หญิงสาวสูดลมหายใจแรงๆ ติดต่อกัน พยายามต่อสู้กับจุมพิตหนักหน่วงของเขา แต่มันก็ทำได้ยากลำบากยิ่งนัก เพราะเกมนี้คอร์เนลเป็นฝ่ายควบคุมเอาไว้ทั้งนั้น

กายสาวสั่นระริกแอ่นหยัดขึ้นหาฝ่ามือใหญ่ที่บีบตะโบมเต้างามเพื่อเปิดทางให้เขาได้เคล้าคลึงหนักหน่วงขึ้น

“ได้โปรด คอร์เนล…”

“คุณคะ นายน้อยให้ดิฉันมาพาคุณไปขัดตัวค่ะ”

เสียงของใครคนหนึ่งที่ดังขึ้นเบาๆ ข้างหลังทำให้ยาหยีต้องรีบปาดน้ำตาแห่งความอัปยศอดสูของตัวเองทิ้งไปในทันที หญิงสาวที่นั่งกองอยู่กับพื้นพรมหนานุ่มมานานร่วมสิบนาทีค่อยๆ ขยับตัวลุกขึ้นยืน แต่ก็ต้องเซเกือบล้มเมื่อเท้าของหล่อนถูกเหน็บเล่นงานจนแทบจะขยับเขยื้อนไม่ได้ หญิงเจ้าของน้ำเสียงเป็นมิตรรีบประคองหล่อนเอาไว้ และพยุงให้ไปนั่งลงบนโซฟานุ่มราคาแสนแพงภายในห้องรับแขก

“คุณคงนั่งท่านั้นนานเกินไป แต่อีกสักครู่ก็คงจะดีขึ้นค่ะ”

ยาหยีเหลือบตาขึ้นมองสตรีตรงหน้าแล้วก็จำได้ว่าเป็นแม่บ้านคนเดิมที่หล่อนเจอเมื่อวาน

“ขอบคุณมากค่ะ แต่เมื่อกี้นี้คุณบอกว่า…”

“นายน้อยสั่งให้ดิฉันพาคุณไปขัดเนื้อขัดตัวค่ะ เพื่อ…”

คำพูดของแม่บ้านวัยกลางคนตรงหน้าที่ถูกอิมพอร์ตมาจากคฤหาสน์ซีร์ยานอฟหยุดลงกะทันหันเมื่อเห็นน้ำตาใสๆ ของเด็กสาวตรงหน้าเอ่อล้นออกมาจากขอบตา หล่อนไม่อยากจะเชื่อเลยว่านายน้อยผู้มีคุณธรรมของหล่อนจะใช้วิธีสกปรกแบบนี้เล่นงานศัตรู

“เพื่อบำเรอเขาใช่ไหมคะ”

ยาหยีระบายยิ้มหยันออกมา ความอดสูแล่นเข้าสู่ใจกลางหัวใจอย่างรุนแรง มันฟาดฟันจนศักดิ์ศรีความเป็นคนของหล่อนจมดิน

“ปกตินายน้อยไม่เคยทำแบบนี้ เธอคงแค้นพ่อของคุณมาก” เสียงของแม่บ้านตรงหน้าคล้ายกับยังไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตัวเองเห็น

ยาหยีหัวเราะน้ำตาซึม ความเจ็บปวดทำให้หล่อนแทบไม่อยากจะมีชีวิตอยู่อีกต่อไป หากไม่ใช่เพราะห่วงในความปลอดภัยของพ่อ หล่อนคงฆ่าตัวตายไปแล้ว

“แต่มันก็น่าแค้นหรอกค่ะ เพชรนั่นเป็นของรักของหวงของคุณแม่ของนายน้อย เธอไม่สั่งฆ่าพ่อของคุณก็บุญเท่าไรแล้ว ดิฉันคิดว่าพ่อของคุณยังโชคดีนะคะที่นายน้อยสั่งให้จับเป็น”

“ฉันควรจะต้องขอบใจเจ้านายของป้าใช่ไหมคะ ที่เขายืดลมหายใจให้กับพ่อของฉัน” หญิงสาวประชดประชันออกมาด้วยความชอกช้ำ

“และควรจะขอบใจเขาใช่ไหมที่เลือกฉันขึ้นเตียงด้วย”

ในที่สุดน้ำตาก็หลั่งรินออกมาอีกครั้งอย่างท่วมท้น เสียงสะอื้นเบาๆ มีผลทำให้คนมองอย่างเชอรี่แม่บ้านวัยกลางคนตรงหน้าอดเวทนาไม่ได้ แต่ก็จนปัญญาจะช่วยเหลือจริงๆ

“นั่นแหละค่ะคือเรื่องเดียวที่ดิฉันยังหาคำตอบให้กับตัวเองไม่ได้”

คำพูดของคู่สนทนามีผลทำให้ยาหยีนิ่วหน้าด้วยความแปลกใจ

“นายน้อยมีผู้หญิงต่อแถวรอขึ้นเตียงด้วยมากมาย แค่กระดิกนิ้วนิดเดียว แม่ผู้หญิงพวกนั้นก็ยินดีจะบินข้ามน้ำข้ามทะเลมาปรนเปรอถึงที่ แต่ทำไมนายน้อยถึงเลือกคุณ…” สายตาของแม่บ้านวัยกลางคนที่มองมานั้นเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ “ทั้งๆ ที่คุณไม่ใช่ผู้หญิงแบบที่นายน้อยเคยนอนด้วยเลย”

“เพราะฉันจืดชืด งี่เง่า และก็เกรดต่ำใช่ไหมคะ”

เชอรี่ส่ายหน้าช้าๆ สายตาไม่ได้ละไปจากใบหน้าของคู่สนทนาต่างวัยเลยแม้แต่นิดเดียว

“เพราะคุณดูเด็กและอ่อนเดียงสาเกินไปต่างหากล่ะคะ นายน้อยไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับเด็กสาว และเธอก็ไม่เคยบังคับจิตใจของใครด้วย แต่แปลกที่เธอทำกับคุณ”

“นายน้อยของป้าอาจจะเปลี่ยนรสนิยมแล้วก็ได้” เปลี่ยนรสนิยมจากผู้หญิงแสนสวยเลิศหรูมาเป็นผู้หญิงข้างถนนมอมแมมอย่างหล่อนยังไงล่ะ

แม่บ้านวัยกลางคนไม่ได้แสดงความคิดเห็นอะไรออกมาอีก แต่อมยิ้มน้อยๆ จ้องมองหล่อนด้วยสายตาเอ็นดูไม่ปิดบัง ยาหยีถอนใจออกมาแรงๆ ก้มหน้ายอมจำนนกับโชคชะตาของตัวเองอย่างไม่มีทางเลือก

“ขาของคุณน่าจะค่อยยังชั่วแล้วมั้งคะ”

ยาหยีก้มมองขาตัวเอง ก่อนจะลองขยับขา แล้วก็พบว่ามันไม่มีอาการเหน็บชาหลงเหลืออยู่อีกจริงๆ นั่นแหละ

“ค่ะ ขาฉันขยับได้แล้ว”

“งั้นเราก็ไปกันเถอะค่ะ สาวใช้ที่จะทำหน้าที่ขัดตัวให้คุณรอนานแล้ว”

หญิงสาวไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก นอกจากขยับกายลุกขึ้นยืนและเดินตามคู่สนทนาต่างวัยไปเงียบๆ ดวงหน้านวลซีดเซียวไร้สีเลือด

“ถึงแล้วค่ะ”

เสียงของแม่บ้านช่วยดึงหล่อนให้หลุดออกมาจากโลกแห่งความเจ็บปวดชั่วขณะ ยาหยีเงยหน้าขึ้นมองสิ่งรอบๆ ตัวด้วยความตะลึง

ห้องอาบน้ำห้องนี้มีขนาดใหญ่กว่าห้องพักของหล่อนสิบห้องรวมกันเสียอีก สุขภัณฑ์ทุกชนิดล้วนแล้วแต่มีราคาแพงระยับ ตั้งแต่อ่างล้างหน้าหินอ่อน ราวจับที่ทำจากทองเหลืองเงาวับ อ่างอาบน้ำสีขาวขนาดใหญ่ ทุกสิ่งรอบตัวสวยงามจนหญิงสาวต้องจ้องมองตาค้าง

เชอรี่เห็นท่าทางของสาวน้อยก็อมยิ้มออกมา พร้อมกับเรียกเบาๆ

“คุณคะ…”

ได้ยินคำเรียกขานนั้น ยาหยีก็รีบตั้งสติ

“เอ่อ…ว่ายังไงนะคะ”

“นู่นค่ะ แม่สองคนนี้จะเป็นคนทำหน้าที่ขัดเนื้อขัดตัวให้กับคุณค่ะ”

สาวน้อยมองตามนิ้วของคู่สนทนาไปแล้วก็เห็นหญิงสาวในชุดฟอร์มเดียวกันกับแม่บ้านวัยกลางคนยืนมอบรอยยิ้มมีไมตรีให้อยู่ ข้างกายมีตะกร้าใส่อุปกรณ์พร้อมสรรพ ยาหยีรีบยิ้มตอบด้วยความเก้อเขิน

“เอ่อ…”

เชอรี่มองท่าทางของเด็กสาวข้างกายด้วยความเอ็นดู

“งั้นดิฉันไปก่อนนะคะ เดี๋ยวแม่พวกนี้ขัดตัวให้กับคุณเสร็จแล้ว ดิฉันจะมารับค่ะ”

แม่บ้านวัยกลางหมุนตัวเดินออกไปในทันที ประตูถูกปิดลง และหล่อนก็อยู่กับสาวใช้วัยรุ่นสองคนตามลำพังในห้องน้ำแสนหรู

“ถอดผ้าเถอะค่ะ เราจะขัดตัวให้คุณ”

“ว่าไงนะคะ ให้ถอดเสื้อเหรอ?”

ยาหยีร้องด้วยความตกใจ พยายามขัดขืน แต่ในที่สุดก็ถูกแม่สาวใช้วัยรุ่นสองคนปล้ำถอดเสื้อผ้าออกไปจากตัวจนได้ สาวน้อยหน้าแดงก่ำด้วยความอับอาย ไม่เคยคิดเลยว่าในชีวิตนี้จะต้องมานอนนิ่งๆ ให้คนไม่รู้จักมาแตะต้องแบบนี้ แม้จะเป็นผู้หญิงด้วยกันก็เถอะ

“คุณหุ่นดีจังนะคะ เอวเล็กรับกับสะโพกผายดีเหลือเกิน นายน้อยนี่ตาแหลมจริงๆ”

สาวใช้ที่กำลังพอกขมิ้นลงบนแผ่นหลังของหล่อนชื่นชมออกมา แต่หล่อนหาได้รู้สึกยินดีไม่ เพราะตอนนี้หล่อนกำลังอายจนแทบอยากจะมุดหัวลงดินแล้ว

“แถมผิวก็ยังนุ่มราวกับผิวเด็ก คุณสวยมากเลยรู้ไหมคะ สวยกว่าผู้หญิงทุกคนที่นายน้อยเคยนอนด้วยเสียอีก”

แม้จะขัดเขิน อับอายมากแค่ไหน แต่ความอยากรู้ทำให้ยาหยีไม่สามารถจะทนนอนคว่ำหน้านิ่งๆ โดยไม่พูดอะไรออกไปได้

“เธอพูดเหมือนกับว่าเคยเห็นผู้หญิงทุกคนของเขาอย่างนั้นแหละ”

“ก็หนูเห็นทุกคนจริงๆ นี่คะ หนูเห็นจนชินตาเลยแหละตอนที่อยู่ในคฤหาสน์ซีร์ยานอฟที่กรุงมอสโกน่ะ”

“นายน้อยของเธอคงพาผู้หญิงเข้าบ้านเป็นว่าเล่นสินะ”

ไม่รู้ว่าเพราะอะไรยาหยีถึงได้รู้สึกเจ็บแปลบในอกนักหนา ก็แค่ได้รู้ว่าคอร์เนลมีผู้หญิงมากมายเท่านั้นเอง

‘หล่อนหวงเขาหรือ หึงเขาอย่างนั้นใช่ไหม?’

หญิงสาวร้องถามตัวเองด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบแก้ตัวให้กับตนเองเป็นพัลวัน ว่าที่หล่อนรู้สึกไม่พอใจไม่ชอบใจก็เพราะว่าหล่อนเกลียดผู้ชายคนนี้ต่างหาก ไม่ว่าเขาจะทำอะไรดีหรือไม่ดี หล่อนก็ไม่ชอบใจทั้งนั้นแหละ

“นายน้อยไม่เคยพาเข้ามาหรอกค่ะ แต่พวกเธอมารับเงินค่าตัวจากคุณเซอร์เกต่างหาก” สาวใช้คนเดิมยังพล่ามต่อไป

“ถ้าจะมีก็คุณคนเดียวแหละค่ะที่ได้เข้ามาในอาณาจักรซีร์ยานอฟด้วยความต้องการของนายน้อยเองจริงๆ”

‘ทำไมต้องรู้สึกดีนักหนานะกับอีแค่ได้ยินว่าหล่อนเป็นผู้หญิงคนแรกที่คอร์เนลพาเข้ามาในบ้าน’ ยาหยีร้องถามหาเหตุผลจากตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าแต่ก็ไม่ได้คำตอบอยู่ดี ในที่สุดก็จนปัญญา ได้แต่นอนเงียบๆ ปล่อยให้แม่สาวใช้ทั้งสองคนขัดถูเนื้อตัวของตนเองต่อไป

การประชุมกับหุ้นส่วนสำคัญผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ในวันนี้ค่อนข้างหนักหนาเอาการเลยทีเดียว เริ่มประชุมตั้งแต่สิบโมงเช้าจนตอนนี้เกือบจะห้าโมงเย็นอยู่แล้ว หุ้นส่วนคนสุดท้ายก็ยังไม่เลิกออกความคิดเห็นเสียที

หากเป็นในเวลาปกติเขาคงนั่งฟังด้วยความตั้งอกตั้งใจ แต่ตอนนี้…เวลานี้…สมองของเขาไม่ได้อยู่กับตัวเองเลยแม้แต่นิดเดียว มันบินข้ามฟ้าไปไกลอยู่ที่หน้ามหาวิทยาลัยของแม่ลูกสาวคนสวยของศัตรูเสียแล้ว

วันนี้สินะที่หล่อนต้องให้คำตอบกับเขา ว่าจะเลือกห่วงตัวเองหรือว่าห่วงบิดา

เขาไม่ใช่คนดีเลยที่ใช้วิธีนี้มาบีบคั้นเพื่อให้แม่สาวน้อยคนนั้นยอมทอดร่างให้เชยชม แต่เขาไม่มีทางเลือก สมองและร่างกายร้องบอกว่าต้องการแม่นั่นแทบคลั่ง และเขาก็ไม่โง่พอที่จะปฏิเสธความต้องการของตัวเองเพราะความสงสารคนทรยศหรอก

แต่มันต้องไม่ใช่วันนี้ ไม่ใช่คืนนี้ เขาจะต่อเวลาให้กับยาหยีอีกสักสองสามวัน ปล่อยให้หล่อนทุรนทุรายอยู่กับความหวาดกลัว ปล่อยให้หล่อนติดต่อกับพ่อของตัวเอง ซึ่งเขามั่นใจว่าหล่อนต้องติดต่อกับไอ้ยอดชายแน่หากเข้าตาจนจริง และเขาจะทำให้หล่อนต้องวิ่งแจ้นกลับมาขอขึ้นเตียงกับเขาเอง

คอร์เนลระบายยิ้มด้วยความพึงพอใจ ลุกขึ้นและเดินอ้อมโต๊ะทำงานไม้มะฮอกกานีราคาแพงระยับออกไปยืนนิ่งอยู่ริมหน้าต่าง ทอดสายตามองสวนสวยเบื้องล่างนิ่ง พลางหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดหาคนสนิททันที

“ให้คนไปบอกยาหยีว่าวันนี้ไม่ต้องมา ผมให้เวลาคิดอีกสองสามวัน” กรอกเสียงเรียบลงไปตามสาย แล้วก็ต้องเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ

“ว่ายังไงนะ เธอมาแล้วเหรอ”

“ครับ นั่งรออยู่ในห้องรับแขก ผมเห็นว่านายน้อยยังประชุมกับผู้ถือหุ้นไม่เสร็จก็เลยยังไม่ได้ขึ้นไปรายงาน เอ่อ…งั้นผมให้เธอกลับไปเลยนะครับนายน้อย”

คอร์เนลกัดฟันแน่น ดวงตาสีเขียวเข้มจัดด้วยความรู้สึกมากมาย โดยเฉพาะความหิวกระหายอันแรงกล้า

“ไม่ต้อง ฉันจะลงไปพบเธอเอง” หนุ่มหล่อตัดสายด้วยความหงุดหงิดงุ่นง่าน

“เธอโชคไม่ดีเองนะยาหยี”

คนตัวโตก้าวยาวๆ ออกไปจากห้องทำงานของตัวเองในทันที โดยไม่มีทีท่าจะกลับมาฟังผู้ถือหุ้นคนสุดท้ายที่ยังพล่ามไม่จบต่อแม้แต่นิดเดียว

แม้จะเป็นครั้งที่สองแล้วกับการนั่งอยู่ในห้องรับแขกหรูภายในคฤหาสน์หลังงามของคอร์เนล แต่ยาหยีก็มีความรู้สึกว่าตัวเองคือสิ่งแปลกปลอมที่น่ารังเกียจอยู่ดี สมบัติติดกายทุกอย่างรวมกันแล้วยังได้ราคาไม่ถึงหนึ่งในร้อยส่วนของพรมเช็ดเท้าที่วางไว้หน้าประตูห้องเลย

ความเคร่งเครียดบีบคั้นจนไม่สามารถจะนั่งนิ่งๆ ต่อไปได้ หญิงสาววางหนังสือเรียนสองสามเล่มที่ถืออยู่ลงบนโต๊ะตรงหน้า และผุดลุกขึ้นยืน

“จะไปไหน”

เสียงห้วนกระด้างดังขึ้นทางด้านหลัง ทำให้ยาหยีหันกลับไปมอง แล้วเจ้าความตื่นเร้าแสนอันตรายก็พุ่งเข้าใส่อย่างรุนแรง

เขาดูหล่อเหลาและมีเสน่ห์มากกว่าเมื่อวานนี้เสียอีก สาวน้อยลืมความอดสูไปในทันทีเมื่อได้สบตากับผู้ชายตรงหน้า ร่างกายเบ่งบานและร้อนรุ่มแปลกประหลาด รู้สึกราวกับว่าช่องท้องบีบเกร็งอย่างรุนแรงจนปวดร้าว ยิ่งได้เห็นสายตาหิวกระหายของเขาที่มองมาด้วยแล้ว หล่อนก็ยิ่งร้อนระอุไปทั้งตัว หัวใจสาวกระโดดโลดเต้นจนแทบจะหลุดออกมาจากขั้ว

คอร์เนล ซีร์ยานอฟสมบูรณ์แบบอย่างไร้ที่ติ เรือนกายสูงใหญ่ของเขาที่อยู่ในชุดลำลองสีเขียวมะกอกนั้นดูน่าเกรงขามและน่าหลงใหลได้ในเวลาเดียวกัน

เขาเคลื่อนกายเข้ามาด้วยท่าทางสง่างาม สาวน้อยลดตาลงมองบ่าทรงพลังของเขาด้วยความตื่นกลัว แก้มสาวแดงระเรื่อขึ้นมาโดยอัตโนมัติ

“ตกลงหรือว่าปฏิเสธล่ะ”

“เอ่อ…คือ…”

“ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนกล้าปฏิเสธผมอยู่แล้ว” ทั้งน้ำเสียงและแววตาเต็มไปด้วยความเหยียดหยัน

“ยิ่งผู้หญิงข้างถนนอย่างคุณก็ยิ่งไม่มีทาง”

ความโอหังของผู้ชายยโสตรงหน้าทำให้ยาหยีหน้าร้อนผ่าว สมองเริ่มกลับมาทำงานอีกครั้งหลังจากถูกความหล่อเหลาของคอร์เนลปิดสวิตช์ไปนาน โทสะแรงกล้ากระพือขึ้นอย่างรุนแรง จนไม่สามารถจะสงบปากสงบคำ ก้มหน้าให้เขาย่ำยีด้วยวาจาโหดร้ายได้อีกต่อไป

“ถ้ามองฉันเป็นผู้หญิงข้างถนน แล้วทำไมคุณถึงยังต้องการให้ฉันขึ้นไปอยู่บนเตียงด้วยล่ะ ทำไมไม่รับเงินของฉันซะ แล้วทุกอย่างก็จบ!” เชิดหน้ามองคนตัวโตด้วยความขุ่นเคือง ผู้ชายอะไรหล่อซะเปล่า แต่ปากร้ายชะมัด

คอร์เนลหัวเราะร่วน ทั้งๆ ที่สถานการณ์ตรงหน้ามันไม่มีอะไรให้น่าขบขันเลยสักนิด

“เงินขี้ปะติ๋วแค่นั้นนะเหรอที่จะเอามาชดเชยกับสิ่งที่พ่อของคุณทำไว้กับผม”

เขาก้าวเท้าเข้ามาใกล้มากขึ้น แม้หล่อนจะถอยหลังหนีแต่สุดท้ายก็จนมุมที่ผนังห้องเย็นเฉียบ คนตัวโตใช้สองมือยันกับผนังเอาไว้ กักขังหล่อนไว้ในกรงแขนนั้นอย่างแน่นหนา

ยาหยีหน้าซีดเผือดด้วยความตื่นกลัว

“นี่จะทำอะไรน่ะ ถอยออกไปนะ” ไม่ใช่แค่ไม่ถอยออกไปเท่านั้น แต่พ่อสุดหล่อยังก้มหน้าลงมาใกล้กว่าที่ควรจะเป็นเสียอีก

คอร์เนลผุดยิ้มร้ายกาจ หากแต่วาจาที่เอื้อนเอ่ยออกไปกลับร้ายกาจยิ่งกว่า

“สิ่งที่พ่อของคุณขโมยไปนั้นมันเป็นของที่แม่ผมรักเชียวนะ แม้คุณจะแลกมันด้วยลมหายใจก็ยังไม่พอเลย”

“ในเมื่อชีวิตของฉันก็ยังไม่มีราคาเท่ากับไอ้เพชรเม็ดนั้น แล้วเนื้อตัวของฉันจะไปทดแทนอะไรให้กับคุณได้ล่ะ”

เมื่อมองเห็นทางออกรำไร หญิงสาวจึงรีบคว้าเอาไว้ แต่คู่ต่อสู้ตรงหน้านั้นช่างฉลาดเฉียบคมเหลือเกิน เพราะเขาไม่หลงกลหล่อนสักนิด

“ผมเสียเงินซื้อผู้หญิงมาบำบัดความใคร่ให้ตัวเองครั้งละหลายหมื่นเหรียญ หากได้คุณมาแก้ขัดสักสองสามวัน ผมก็คงประหยัดเงินจำนวนนั้นไปได้ไม่น้อยเลยทีเดียว”

ความร้อนผ่าวแล่นจากลำคอขึ้นมาสู่พวงแก้มอย่างรุนแรง ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเขาจะดูถูกหล่อนได้ถึงเพียงนี้

“คุณมองฉันเป็นโสเภณีอย่างนั้นเหรอ?”

ยาหยีกัดฟันแน่น ดวงตาสีดำขลับวาววับด้วยความขุ่นเคือง เชิดหน้าขึ้นสูงด้วยความเจ็บใจโดยไม่ทันคิดว่ากิริยาแบบนั้นของตัวเองจะทำให้ริมฝีปากของทั้งคู่ใกล้กันมากขึ้น และเขาก็เกือบจะห้ามตัวเองไม่ให้จูบหล่อนไม่ได้

ระยำ! มันเป็นความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงเลยทีเดียวที่เขาพาตัวเองเข้าไปใกล้กับแม่สาวน้อยตรงหน้ามากขนาดนี้ ทั้งๆ ที่หล่อนก็ไม่ได้สวยกว่านางงามจักรวาลที่เขาเคยนอนด้วย ไม่ได้อึ๋มกว่าแม่นางเอกฮอลลีวูดหลายต่อหลายคนที่เคยขึ้นมาทำให้เตียงของเขาเร่าร้อน

แต่ทำไม…ทำไมเขาถึงต้องรู้สึกรุนแรงจนแทบจะเรียกได้ว่าคลุ้มคลั่งกับแม่ผู้หญิงข้างถนนโปรไฟล์ต่ำคนนี้ด้วย ทำไมถึงอยากจูบ อยากสำรวจร่างกายสาวสดในชุดนักศึกษาเรียบร้อยนั่น แล้วทำไมเขาถึงอยากลากหล่อนขึ้นเตียงนักหนา

คอร์เนลพยายามข่มเจ้าความปรารถนาอันแรงกล้าที่ลุกโชนขึ้นเอาไว้อย่างสุดกำลัง ถอยหลังออกห่างในทันทีที่สามารถทำได้

“อีตัวฆ่าเวลา”

“อีตัวฆ่าเวลา?”

หลังจากดื่มด่ำกับความตกใจอยู่ครู่ใหญ่ เจ้าความขุ่นเคืองจำนวนมหาศาลก็พุ่งเข้ามาแทนที่ สาวน้อยกัดฟันแน่น เดินหน้าเข้าหาผู้ชายที่พึ่งถอยห่างไปจากตัวของหล่อนด้วยโทสะอันแรงกล้า สองมือเล็กๆ ยกขึ้นทุบแผงอกกำยำของคนตัวโตเต็มแรงหลายครั้งติดต่อกัน

“คนบ้า คนทุเรศ ผู้ชายสารเลว…”

“หยุดซะ!”

คอร์เนลพยายามปัดป้องแต่แม่สาวน้อยก็ไม่ยอมฟัง ก็แน่ล่ะ หล่อนโกรธจนหน้ามืดตามัวแล้วนี่ ควันแห่งโทสะจำนวนมากพุ่งออกจากหูไม่หยุด

“ไอ้คนเลว…”

“บอกให้หยุดไง!”

และขีดความอดทนของคอร์เนลก็สะบั้นขาดลง เมื่อเขาตวาดใส่หน้าของยาหยีเสียงดังลั่น พลางรวบข้อมือเล็กทั้งสองข้างไพล่ไปไว้ด้านหลัง อกอวบที่ซ่อนอยู่ในชุดนักศึกษาแอ่นหยัดขึ้นจนคนตัวโตอดจ้องมองไม่ได้

หญิงสาวแก้มแดงก่ำเมื่อเห็นว่าคอร์เนลกำลังจ้องอกอวบอิ่มของตัวเองอยู่

“นี่มองอะไร ปล่อยฉันนะคนบ้า ปล่อยสิ”

“คิดว่าอยากแตะนักหรือไง ที่ต้องมายุ่งด้วยก็เพราะพ่อของคุณต่างหาก และจำใส่กะโหลกไว้ด้วยนะแม่เด็กกะโปโล ว่าที่ผมยุ่งเกี่ยวด้วยก็เพราะไม่อยากขาดทุนเท่านั้นเอง”

จบคำพูดโหดร้ายร่างของหล่อนก็ถูกพ่อเทพบุตรใจทมิฬผลักออกจากตัวด้วยท่าทางขยะแขยง แต่เขาคงจะใช้แรงมากเกินไปเพราะหล่อนถึงกับล้มลงกองกับพื้นเลยทีเดียว

“ผมเจอพ่อคุณเมื่อไร คุณจะเป็นอิสระทันที”

หลังจากฟาดฟันคู่ต่อสู้ที่ดูจะมีอิทธิพลต่อร่างกายของตัวเองมหาศาลด้วยคำพูดและท่าทางเหี้ยมโหดแล้ว คอร์เนลก็ก้าวยาวๆ หายออกไปจากห้องรับแขกทันที ทิ้งให้ยาหยีนั่งจมอยู่กับกองน้ำตาตามลำพัง

ลงมายังชั้นล่างและก็หลงเข้าไปในห้องรับแขกแสนโอ่อ่าห้องเดิม กำลังยืนเคว้งมองหาทางออกไปจากคฤหาสน์ที่มีมัจจุราชหล่อระเบิดอย่างคอร์เนลครอบครองอยู่ แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งตกใจเมื่อมีเสียงเรียบๆ ดังขึ้นจากทางด้านหลัง

“รถที่จะไปส่งคุณที่หอพักพร้อมแล้วครับ”

สาวน้อยรีบหันหลังกลับไปมอง และก็ได้เห็นชายชุดดำคนสนิทของคอร์เนลยืนระบายยิ้มบางๆ ให้อยู่ด้านหลัง ท่าทางของผู้ชายคนนี้เป็นมิตรกว่าคนทุกคนในคฤหาสน์หลังงามแห่งนี้

“ไปส่งฉันหรือคะ”

“นายน้อยสั่งให้เตรียมรถไปส่งคุณ เร็วเถอะครับ เดี๋ยวหอพักจะปิดซะก่อน”

ยาหยีไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากยอมก้าวตามออกไป และเมื่อหล่อนออกมานอกตึกใหญ่ก็เห็นรถลีมูซีนคันงามสีดำเงาวับจอดรออยู่จริงๆ

“เชิญครับ”

ชายคนเดิมเปิดประตูรถในส่วนของห้องผู้โดยสารให้ ยาหยีก้าวขึ้นไปนั่งบนรถ และเมื่อประตูรถถูกปิดลงอีกครั้ง รถคันงามก็ค่อยๆ เคลื่อนห่างจากคฤหาสน์แสนอลังการของคอร์เนลไปทีละน้อย จนในที่สุดก็ลับตาจนมองไม่เห็น

ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้จะเป็นเรื่องจริง หญิงสาวคิดอย่างเลื่อนลอย ขณะยกมือขึ้นลูบกลีบปากที่ช้ำน้อยๆ ของตัวเองอย่างลืมตัว สมองหวนนึกไปถึงความรู้สึกแสนวิเศษที่คอร์เนลทำมันกับริมฝีปากของตัวเอง

สวยงามและน่าหลงใหล ไม่เคยคิดเลยว่าแค่จูบปากกันจะทำให้ร่างกายล่องลอยสูงได้ถึงเพียงนี้ และเพราะมันวิเศษอย่างนี้ใช่ไหม ลินดาถึงได้ชอบจูบกับโกวิทบ่อยนัก

สาวน้อยหน้าร้อนผ่าวเมื่อนึกไปถึงฉากรักที่ตัวเองเคยเห็นในหนังรักโรแมนติกเรื่องหนึ่ง การสัมผัสเนื้อตัวแนบชิดแบบนั้นมันจะตามมาหลังจากการจูบปาก และพระเอกในเรื่องก็พร่ำเพ้อว่าไม่อาจจะหยุดได้เพราะมันอึดอัดทรมาน

แล้วทำไมคอร์เนลถึงได้หยุดมันล่ะ?

สาวน้อยครุ่นคิด แล้วก็รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาในอกไม่ได้ เมื่อคำตอบที่ได้รับมานั้นมันบอกว่าหล่อนจืดชืดและไร้เดียงสาเกินไป

หล่อนน่าจะดีใจไม่ใช่เหรอ หากผู้ชายคนนั้นคิดแบบนี้จริงๆ แต่มันช่างแปลกเหลือเกินที่ความรู้สึกในตอนนี้ของหล่อนมันช่างห่างไกลจากคำว่า ‘ดีใจ’ เสียเหลือเกิน

หล่อนกำลังผิดหวังต่างหาก!

โอ้…ไม่หรอก ไม่มีทางใช่แน่ ทำไมหล่อนจะต้องผิดหวัง หล่อนต้องเกลียดเขาสิ เขากำลังจะทำร้ายพ่อของหล่อนไม่ใช่หรือ

ความคิดมากมายถล่มยับใส่เข้ามาในสมอง ยาหยีเอนกายพิงกับเบาะนุ่มภายในรถยุโรปคันหรู ดวงตากลมโตหรี่ปรือลงช้าๆ ตอนนี้หล่อนไม่ควรจะคิดเรื่องใดๆ ทั้งนั้น สิ่งที่หล่อนควรคิดใคร่ครวญให้มากที่สุดก็คือพรุ่งนี้หล่อนจะตัดสินใจยังไงดี

จะเดินหน้าเข้าไปเป็นผู้หญิงของคอร์เนล ซีร์ยานอฟ เพื่อแลกกับลมหายใจของบิดา หรือว่าจะยอมปล่อยให้บิดาถูกทำร้ายจนตายอย่างเลือดเย็นอย่างลูกอกตัญญู

 

“ลูกหยี อาจารย์ขานชื่อเธอแล้วนะ”

เสียงเตือนเบาๆ ของลินดาที่นั่งอยู่ข้างๆ กันทำให้ยาหยีที่กำลังคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานสะดุ้งโหยง หญิงสาวหันมองเพื่อนด้วยความตกใจ

“เธอว่าไงนะลินดา”

“อาจารย์ขานชื่อเธอแน่ะ รีบขานสิ เดี๋ยวอาจารย์ก็ไม่เช็กชื่อให้หรอก”

ลินดาเตือนเพื่อนอีกครั้ง ก่อนจะส่ายหน้าไปมากับท่าทางเหม่อลอยของเพื่อนสนิท ยาหยีนั่งใจลอยแบบนี้มาตั้งแต่คาบเรียนตอนเช้าแล้ว ตอนแรกนึกว่าแม่คุณง่วงนอน แต่คงไม่ใช่แล้วล่ะ เพราะนี่มันปาเข้าไปจะสี่โมงเย็นอยู่แล้ว แม่เจ้าประคุณก็ยังนั่งตาลอยใจลอยอยู่เช่นเดิม มันเกิดอะไรขึ้นกันนะ ยาหยีไม่เคยมีท่าทางแบบนี้มาก่อน ลินดาพยายามครุ่นคิดแต่ก็คิดไม่ออกจึงต้องเอ่ยถามออกไปเมื่อเพื่อนสนิทขานชื่อกับอาจารย์เสร็จแล้ว

“นี่ถามจริงๆ เถอะลูกหยี เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า ทำไมเช้านี้เธอถึงดูใจลอยชอบกล”

ยาหยีหลบสายตาคาดคั้นของเพื่อนรักลงมองหนังสือเรียนตรงหน้า ก่อนจะตอบออกไปเสียงตะกุกตะกักแสนมีพิรุธ

“ไม่มีนี่ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย…ฉันแค่นอนน้อย…”

“ฉันไม่เชื่อหรอก เมื่อคืนเธอก็กลับดึกด้วย กลับก่อนหอปิดแค่ไม่กี่นาทีเอง” ลินดายังคาดคั้นไม่เลิก หล่อนใช้สองมือประคองหน้าของยาหยีให้เงยขึ้นมาสบตา

“บอกมานะว่าเกิดอะไรขึ้น”

หล่อนจะบอกไปได้ยังไงว่าหล่อนกำลังจะต้องสละเนื้อหนังมังสาเพื่อแลกกับลมหายใจของผู้มีพระคุณท่วมหัว ยาหยีน้ำซึมด้วยความขมขื่น กัดปากแน่นจนเลือดออก ข่มความอดสูเอาไว้ภายใต้รอยยิ้มบางๆ

“ฉันแค่…”

“ทะเลาะกับกิ๊กหนุ่มใช่ไหมล่ะ อย่าปิดเลยน่า เวลาฉันทะเลาะกับโกวิท ฉันก็ใจลอยแบบนี้แหละ”

ลินดาสรุปเนื้อหาใจความเสียเองเสร็จสรรพ ยาหยีลอบถอนใจออกมาด้วยความโล่งอกที่สามารถทำให้ลินดาเข้าใจไปอีกทางหนึ่งได้

“ใช่ไหม เงียบๆ แบบนี้ใช่แน่เลย”

ยาหยีพยักหน้าน้อยๆ ก่อนจะก้มหน้าลงมองหนังสือเรียนนิ่ง ทำราวกับกำลังตั้งใจเรียนเสียเต็มประดา ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วในสมองของหล่อนตอนนี้ไม่ได้คิดถึงเรื่องเรียนเลยแม้แต่นิดเดียว แต่มันกำลังนึกถึงคำพูดของผู้ชายนัยน์ตาดุคนนั้นต่างหาก

“ผมให้เวลาคุณตัดสินใจหนึ่งคืน”

“ฉันต้องการหนึ่งอาทิตย์”

“นานไป”

‘ก็คืนนี้แล้วสินะที่เขาจะมารอฟังคำตอบของหล่อน แล้วหล่อนล่ะจะทำยังไงดี ยินยอมพร้อมใจให้ผู้ชายหล่อระเบิดคนนั้นทำลายความสาวของตัวเองโดยที่เขาไม่เห็นค่าเห็นราคาของมันสักนิดได้อย่างนั้นหรือ หล่อนทำได้จริงๆ หรือเปล่า’

สาวน้อยส่ายศีรษะไปมาด้วยความเคร่งเครียด เซลล์ประสาทบีบเกร็งอย่างรุนแรงจนสมองแทบแตก แค่คิดว่าต้องไปแก้ผ้าให้ผู้ชายมอง หล่อนก็แทบจะสิ้นลมอยู่แล้ว แต่นี่…หล่อนต้องยอมให้เขาทำทุกอย่างตามอำเภอใจ

‘ไม่! หล่อนทำไม่ได้ หล่อนยอมเป็นของเล่นของผู้ชายคนไหนไม่ได้ทั้งนั้น หล่อนหวง หวงความสาวของตัวเอง ไม่มีทาง…แล้วพ่อของหล่อนล่ะ?’

หญิงสาวร้องถามตัวเองอยู่ในอกลั่น แล้วก็แทบน้ำตาซึมเมื่อคำพูดที่เต็มไปด้วยความรักความห่วงใยของผู้เป็นบิดาดังก้องขึ้นในสมอง

“ลูกหยีคือแก้วตาดวงใจของพ่อนะ พ่อรักลูกหยีมากยิ่งกว่าชีวิตของตัวเองเสียอีก พ่อยอมสละแม้แต่ลมหายใจเพื่อให้ลูกหยีมีความสุข”

‘ไม่ได้…หล่อนยอมให้ใครทำร้ายพ่อไม่ได้ หล่อนรักท่าน รักพ่อ’

น้ำตาไหลพรากออกมาจนเจ้าตัวต้องรีบป้ายมันทิ้งอย่างรวดเร็ว และยาหยีก็ไม่สามารถจะทนนั่งเรียนวิชาสุดท้ายของวันนี้ได้อีกต่อไป หญิงสาวรีบคว้าหนังสือและรีบวิ่งออกจากห้องเรียนไปทันที ท่ามกลางความแปลกประหลาดใจของอาจารย์และเพื่อนร่วมชั้นทุกคน โดยเฉพาะลินดาที่ถึงกับยกมือขึ้นเกาศีรษะด้วยความงงงวย

“ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคนที่วิ่งออกไปจากห้องเรียนอย่างไร้มารยาทเมื่อกี้นี้จะเป็นคนๆ เดียวกันกับยายลูกหยีผู้ที่คว้าเอมาทุกวิชาและทุกเทอม”

ยาหยีวิ่งกระเซอะกระเซิงมาที่หน้ามหาวิทยาลัย ใบหน้างามซีดไม่ต่างจากกระดาษ ดวงตากลมโตมองหารถคันที่เคยมารับหล่อนเมื่อวานนี้ด้วยความกระวนกระวาย แต่ก็หาไม่เจอ ไม่มีรถคันนั้นหรือลักษณะนั้นจอดอยู่ในบริเวณนี้เลย

‘เขาต้องการให้หล่อนเรียกรถแท็กซี่ไปเองสินะ’

หญิงสาวคิดอย่างเจ็บใจ แล้วก็ต้องกัดปากแน่นเมื่อนึกถึงฐานะของตัวเองในสายตาของผู้ชายหล่อระเบิดคนนั้น

โสเภณี…

นั่นแหละคือสิ่งที่เขามองเห็นว่าหล่อนเป็น น้ำตาไหลพรากออกมาโดยไม่ทันรู้ตัว ยาหยีรีบป้ายมันทิ้ง ก่อนจะยื่นมือออกไปโบกรถแท็กซี่คันที่วิ่งผ่านมาพอดี หญิงสาวก้าวขึ้นในนั้น บอกจุดหมายด้วยน้ำเสียงเจือสะอื้น

ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าความสาวสดที่เฝ้าหวงแหนมาตลอดยี่สิบกว่าปีจะต้องมาสูญสิ้นอย่างไร้ราคาแบบนี้

“พูดความต้องการของคุณมาเถอะค่ะ”

หญิงสาวขยับตัวอย่างอึดอัดเมื่อถูกหนุ่มตาสีเขียวจัดจ้องมองร่างกายของตัวเองราวกับกำลังสำรวจสินค้า

“คุณไง ผมต้องการคุณบนเตียง”

นี่ไงสิ่งที่หล่อนกำลังรอฟัง นี่ไงสิ่งที่หล่อนอยากรู้ เขาก็ตอบออกมาแล้วนี่ ทำไมหล่อนถึงไม่ตอบโต้อะไรออกไปล่ะ ทำไมถึงนิ่งงัน อ้าปากค้างอยู่แบบนี้

“คุณว่ายังไงนะคะ?”

คอร์เนลจ้องมองดวงตาสีดำขลับที่เบิกกว้างด้วยความตกใจอย่างทึ่งจัด มีคนเคยบอกหล่อนหรือเปล่าว่าดวงตาของหล่อนสวยเหลือเกิน สวยเหมือนสายตาของนางกวาง

“คุณได้ยินไม่ผิดหรอกสาวน้อย ผมต้องการให้คุณมาเป็นผู้หญิงของผม”

“ผู้หญิงของคุณ?”

คราวนี้ชัดเจนเต็มสองหู สิ่งที่ข้องใจ สิ่งที่สงสัยถูกคำพูดของเขาไขจนกระจ่างแจ้ง หัวใจสาวเต้นแรงแทบหลุดออกมาจากขั้ว เมื่อสมองไม่รักดีดันจินตนาการภาพของตัวเองกับผู้ชายหล่อระเบิดคนนี้บนเตียงในสภาพเปลือยเปล่า

หนุ่มหล่ออมยิ้มออกมาเมื่อเห็นแก้มของสาวตรงหน้าแดงก่ำ เห็นได้ชัดเจนว่าเจ้าหล่อนกำลังคิดไปไกลแค่ไหน

“ใช่แล้ว หรือคุณว่ามีอะไรที่มีราคามากกว่าค่าตัวของคุณอีกล่ะ”

เขากวาดมองร่างกายของหล่อนอย่างไม่คิดจะเกรงใจ ยาหยีโกรธจนหน้าดำหน้าแดง คันไม้คันมืออยากจะฟาดเขาสักตุ้บสองตุ้บ

“ถ้ามีก็บอกมาได้เลยนะ ผมอาจจะลองพิจารณาดู”

หญิงสาวกัดฟันมองความโอหังของบุรุษรูปหล่อตรงหน้า

“เงิน…”

“เงิน?”

คิ้วสีเข้มที่ยาวขนานกับดวงตาคมกริบสีเขียวจัดนั้นเลิกขึ้นน้อยๆ ก่อนจะระบายยิ้มออกมาเมื่อสมองเข้าใจความหมายของคู่สนทนาสาวได้อย่างถ่องแท้

“อย่าบอกนะว่าจะใช้เงินต่อรองกับผม”

“มันก็น่าจะได้ผลกับมาเฟียแบบคุณไม่ใช่หรือคะ” แม้จะเกรงกลัวแต่ก็อดจะเหน็บแนมเขาออกไปไม่ได้

คอร์เนลหัวเราะออกมา หรี่ตามองสตรีตรงหน้าด้วยสายตาเข้มจัด

“ถ้าผมเป็นมาเฟียจริงๆ พ่อของคุณตายคงตั้งแต่อยู่ในสนามบินกรุงมอสโกแล้วล่ะ”

คนตัวโตลุกขึ้นยืน ก่อนจะเดินไปหยุดที่กลางห้อง นัยน์ตาสีเขียวจับจ้องมองมาด้วยสายตาที่คนถูกมองเห็นแล้วแก้มร้อนผ่าวอย่างรุนแรง

“ผมว่าเงินไม่น่าสนใจเท่ากับเนื้อสาวของคุณหรอกนะ”

สาวน้อยลุกขึ้นเดินเข้าไปเผชิญหน้ากับผู้ชายที่ตัวเองคิดว่าเป็นมาเฟียอยู่ตลอดเวลา พลางยื่นข้อเสนอที่คิดว่าดีที่สุดของตนเองให้กับเขา

“เจ็ดล้านบาท”

“น้อยไป”

“สิบล้านบาท”

หญิงสาวตัดใจนำเงินในบัญชีทั้งหมดออกมาต่อรอง แต่พ่อเทพบุตรสุดหล่อก็ยังส่ายหน้าแสดงอาการไม่พึงพอใจออกมาอีก

“ถ้าสิบล้านยังน้อยไป แล้วคุณต้องการเท่าไรคะ”

คอร์เนลยิ้มร้ายกาจ เดินเข้าหาร่างอรชรที่ทำเป็นใจกล้ามาหยุดตรงหน้าของตัวเองด้วยท่าทางคุกคาม

“แค่เงินในบัญชีของผมในมอสโกที่เดียวก็สามารถถมมหาสมุทรแปซิฟิกได้แล้ว และคุณคิดว่าผมยังจะต้องการเงินจำนวนขี้ปะติ๋วของคุณอีกอย่างนั้นหรือ”

ยาหยีหน้าซีดเผือด พยายามจะถอยหลังหนีแต่ก็ไม่พ้น ถูกมือใหญ่อบอุ่นของคนตัวโตตวัดรวบเอวคอดเล็กเอาไว้ได้ เขาดึงร่างของหล่อนเข้าไปกอดรัดแน่น และก็บดเบียดท่อนขากำยำเข้าหาอย่างจงใจ สาวน้อยพยายามขัดขืนสุดฤทธิ์

“ถ้าดิ้นแบบนี้ วันนี้ผมคงไม่ปล่อยคุณไป”

คำเตือนนุ่มๆ จากคอร์เนลทำให้สาวน้อยที่กำลังดิ้นรนอย่างเอาเป็นเอาตายหยุดการเคลื่อนไหวทั้งหมดลงในทันที พร้อมๆ กับเงยหน้าขึ้นสบตากับเขาด้วยความขลาดกลัว

“ฉันจะหาเงินให้ได้มากที่สุด และจะพยายามเกลี้ยกล่อมให้พ่อคืนของให้คุณ ฉันต้องทำได้แน่เพราะพ่อรักฉันมาก”

สาวน้อยพูดขึ้นอย่างมีความหวัง แต่แล้วความหวังอันน้อยนิดนั้นก็มีอันต้องอันตรธานหายไปในพริบตาเมื่อได้ยินคำพูดของคอร์เนล

“ผมยังยืนยันคำเดิม…ผมต้องการคุณบนเตียง”

คลื่นความร้อนแผ่ซ่านเข้าใส่ช่องท้องอย่างบ้าคลั่งเมื่อได้ฟังคำพูดหิวกระหายที่เล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากของผู้ชายตรงหน้า

“ผมให้เวลาคุณตัดสินใจหนึ่งคืน”

เขาก้มต่ำลงมาจนปลายจมูกห่างกันแค่เพียงเส้นด้ายลอดผ่าน กลิ่นกายหอมจางๆ ซึ่งเป็นกลิ่นเฉพาะของผู้ชายคนนี้ฟุ้งเข้ามาในจมูกอย่างรุนแรง หล่อนร้อนผ่าว ความหิวโหยบางอย่างพลุ่งพล่านขึ้นอย่างบ้าคลั่ง

“ฉันต้องการหนึ่งอาทิตย์” กัดฟันต่อรองออกไป

“นานไป”

อ้อมแขนแข็งแกร่งกระชับร่างของหล่อนแน่นขึ้น จนกายสาวแทบจะหลอมละลายรวมกับร่างกายทรงพลังที่อัดแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อแน่นหนั่นของเขาเสียให้ได้ สาวน้อยแก้มร้อนผ่าวเมื่อหน้าท้องสัมผัสกับความปรารถนาอันแรงกล้าของเจ้าของอ้อมกอด

“รู้ใช่ไหมว่าผมรอนานไม่ได้”

“อย่า…”

ยาหยีอุทานออกมาด้วยความตื่นตระหนก เมื่อริมฝีปากเร้าใจบดขยี้ลงมาอย่างรุนแรง ประกาศศักดาความเป็นผู้ชนะในเกมนรกนี้ในทุกการเคลื่อนไหว ลิ้นร้อนผ่าวบุกรุกเข้ามาในอุ้งปากสาวของหล่อนอย่างถือสิทธิ์ ความหิวกระหายของเขาผลักดันให้หล่อนหมดทางต่อสู้ลงอย่างสิ้นเชิง

ในที่สุดหญิงสาวก็ขยับปากเคลื่อนไหวตามอาจารย์ผู้รอบรู้อย่างคอร์เนลด้วยความกระตือรือร้น และนั่นก็ทำให้คนตัวโตถึงกับครางกระหึ่มออกมาด้วยความพึงพอใจ ความไร้เดียงสาที่เจ้าหล่อนแสดงออกมานั้นช่างกระตุ้นแรงปรารถนาในกายให้กระพือขึ้นอย่างบ้าคลั่ง ทำเอาเขาแทบอดใจรอให้ถึงคืนพรุ่งนี้ไม่ได้เลย

หนุ่มหล่อกัดฟันแน่น ข่มกายข่มใจผละออกห่างจากร่างอรชรที่ระทดระทวยอยู่ในอ้อมแขนด้วยความยากลำบาก ไอ้เจ้าความต้องการที่อยากผลักแม่คุณให้นอนหงายลงบนพื้นพรมกลางห้อง หรือไม่ก็บนโซฟานุ่ม แล้วจัดการดื่มกินความสาวซะ ช่างมีอำนาจแรงกล้าเสียจริงๆ

ให้ตายเถอะ เขาไม่เคยต้องตกอยู่ในสถานการณ์ทางเพศที่ตึงเครียดแบบนี้มาก่อนเลยในชีวิต สถานการณ์ที่น่าอึดอัดและแสนปวดร้าว แต่ผู้หญิงที่กำลังยืนตัวสั่นงันงกตรงหน้าสามารถทำให้มันเกิดขึ้นได้ เพียงแค่จูบเดียวเท่านั้น

คอร์เนลถอยหลังออกห่างโดยอัตโนมัติ เมื่อสมองร้องเตือนออกมาว่าแม่สาวน้อยตรงหน้าคือหายนะตัวเอ้ของตนเอง

ไม่มีทางหรอก…ผู้หญิงเกรดต่ำ ผู้หญิงข้างถนนอย่างยาหยีน่ะเหรอจะเป็นหายนะสำหรับเขาได้ ไม่มีทางเป็นไปได้อย่างแน่นอน

“จูบแรกอย่างนั้นหรือ”

สติที่เคยถูกครอบงำด้วยแรงปรารถนาลูกใหญ่เริ่มกลับมาทำงานอีกครั้ง และนั่นมันก็ทำให้คนที่ถูกถามถึงกับหน้าแดงก่ำ

“ฉัน…” ติดอ่างขึ้นมาในพริบตา

คอร์เนลหัวเราะเบาๆ ในลำคอด้วยความพึงพอใจ พลางหมุนตัวเดินไปหยุดที่ริมหน้าต่างบานเดิมที่หล่อนเห็นเขายืนตอนที่ก้าวเข้ามาในห้องครั้งแรก เขายืนนิ่งคล้ายกับกำลังใช้ความคิด และหล่อนเองก็ไม่โง่พอที่จะทำลายความเงียบสงบนั้นออกไป

สาวน้อยเป่าปากด้วยความโล่งอกที่สามารถประคองตัวเองให้มาถึงโซฟาได้โดยที่ไม่ล้มลงไปกองกับพื้นให้เสียหน้ามากไปกว่านี้ แต่แล้วจู่ๆ คนตัวโตที่ยืนนิ่งอยู่นานสองนานก็ทำลายความเงียบขึ้นด้วยน้ำเสียงสุดแสนกระด้าง

“กลับไปซะ”

เขาหันกลับมามองหล่อนอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ในดวงตาคมกริบสีเขียวจัดคู่นั้นดุดันน่ากลัว มันไม่หลงเหลือความหิวกระหายอยู่เลยแม้แต่นิดเดียว สาวน้อยนั่งนิ่งงันด้วยความสับสน ตามอารมณ์ของคอร์เนลไม่ทัน และยังไม่ทันได้โต้ตอบอะไร พ่อคนตัวโตก็ตวาดลั่นไล่ซ้ำออกมาอีกซะก่อน

“หูแตกหรือไง บอกให้ไสหัวไปให้พ้น ไปสิ!”

และไม่ต้องรอให้คนเจ้าอารมณ์ไล่ซ้ำ หญิงสาวก็รีบเผ่นออกจากห้องทำงานนั้นในทันที เสียงปิดประตูเบาๆ ช่วยเตือนให้คอร์เนลรู้ว่าตอนนี้แม่ตัวหายนะออกไปพ้นจากรัศมีสายตาของตัวเองแล้ว หนุ่มหล่อถอนใจออกมาเฮือกใหญ่ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผู้หญิงธรรมดาๆ อย่างยาหยีจะทำให้อารมณ์ของเขาเตลิดไปไกลได้ถึงเพียงนี้

แค่จูบเดียว แค่จูบเดียวเท่านั้น เจ้าหล่อนก็สามารถปลุกความปรารถนาอันแรงกล้าจากกายของเขาให้ลุกโชนขึ้นได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ ทั้งๆ ที่ผู้หญิงหลายต่อหลายคนที่เขาเลือกขึ้นเตียงต้องใช้วิธีต่างๆ นานากว่าจะปลุกเขาให้ร้อนผ่าวได้แบบนี้ ไม่อยากจะเชื่อ มันเหลือเชื่อเหลือเกิน

หญิงสาวหมดทางเลือก จำต้องก้าวเข้าไปภายในห้องทำงานใหญ่โตของมัจจุราชผู้หล่อเหลาคนนั้น ประตูถูกปิดลงอีกครั้ง และคราวนี้หล่อนก็ได้เผชิญหน้ากับผู้ชายตาดุตามลำพังอีกครา

“นั่งก่อนสิ”

คนตัวโตที่ยืนมองออกไปนอกหน้าต่างเอ่ยขึ้นเสียงเรียบๆ แต่กระนั้นมันก็สามารถทำให้กายสาวไร้เรี่ยวแรงได้อย่างน่าใจหาย จนหล่อนต้องรีบเดินไปทิ้งตัวลงบนโซฟานุ่มราคาแพงระยับตามคำเชื้อเชิญของพ่อคนตาดุอย่างไม่มีทางเลือก

“ฉันอยากรู้ว่าคุณทำอะไรพ่อของฉัน”

เมื่อสามารถหายใจได้ปกติแล้ว ยาหยีก็เริ่มต้นเจรจาทันทีโดยไม่คิดจะรอเวลาใดๆ อีก และก็รู้ว่าตัวเองพลาดไปถนัดตาเมื่อเขาหันกลับมาหาประสานสายตาด้วยตรงๆ

พลันนั้นโลกทั้งใบของหล่อนก็หยุดหมุน ลมหายใจติดแหง็กอยู่แค่ลำคอ กายสาวร้อนผ่าวราวกับถูกสายฟ้าฟาดเข้าใส่ หัวใจเต้นแรงราวกับเพิ่งเลิกจากการวิ่งมาราธอนมา รู้สึกได้ถึงแรงดึงดูดทางเพศที่มีต่อกันชัดเจนเต็มหัวใจ เขาหล่อ หล่อจนคนมองอย่างหล่อนแทบลืมหายใจ

“ใจเย็นสิสาวน้อย”

เขาเคลื่อนกายเข้ามาหยุดยืนค้ำศีรษะอยู่เบื้องหน้า แสงไฟจากโคมไฟระย้าบนเพดานห้องที่ส่องกระทบลงมานั้นยิ่งเพิ่มเสน่ห์ให้กับเขาได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ

‘เขานี่แหละคือเทพบุตรในฝันของสาวๆ ตัวจริง’

สาวน้อยคิดอย่างวิงเวียน ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าตัวเองจะมีความรู้สึกโหยหาต่อผู้ชายตรงหน้ารุนแรงถึงเพียงนี้ ยาหยีพยายามข่มความคิดน่าละอายใจเอาไว้ในอก ก่อนจะแข็งใจเงยหน้าขึ้นสบตากับเขาอีกครั้ง

“เชิญพูดธุระของคุณมา ฉันต้องรีบกลับหอ”

คอร์เนลหัวเราะหึๆ ในลำคอคล้ายกับกำลังถูกใจอะไรสักอย่าง ขณะทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาตัวตรงหน้าของหญิงสาว สายตาคมกริบมองสำรวจร่างอรชรในชุดนักศึกษาสีขาวสะอาดด้วยความพึงพอใจแบบบุรุษเพศแท้ๆ

“จะรีบกลับไปทำไมล่ะ ไม่ห่วงพ่อของตัวเองแล้วหรือ”

แน่นอนคำพูดนี้ของเขาช่วยหยุดทุกความระแวดระวังในใจของยาหยีได้ทั้งหมด ดูสิ ยามเจ้าหล่อนทำหน้าตาตื่นตกใจแบบนี้ก็ยิ่งดูสวยงามไปอีกแบบ

‘น่ารักน่ามอง แล้วก็น่า…’

คอร์เนลหยุดความคิดนั้นเอาไว้เพียงแค่ในใจ กัดฟันข่มเจ้าความปรารถนาจะกระชากร่างอรชรนั้นเข้ามาฟัดให้หายคลั่งเอาไว้สุดความสามารถ แปลกใจเหลือเกินที่ตัวเองเกิดความรู้สึกหิวกระหายขึ้นมารุนแรงถึงเพียงนี้ ตั้งแต่แรกเห็นเจ้าหล่อนที่หน้าหอพักนักศึกษาเมื่อเช้านี้แล้ว

ชายหนุ่มกัดฟันข่มเจ้าความรู้สึกระยำนั้นเอาไว้เต็มที่ เขาไม่มีทางจะตกบ่วงสวาทของผู้หญิงคนไหนหรอก และยิ่งเป็นลูกสาวของไอ้คนทรยศอย่างแม่สาวตรงหน้าด้วยแล้ว ยิ่งไม่มีทางเป็นไปได้ เขาคงแค่อยากจะเปลี่ยนรสชาติบนเตียงจากสาวยุโรปมาเป็นสาวเอเชียกระมัง

“พ่อของฉันล่ะ คุณคงไม่ได้ทำอะไรท่านใช่ไหม”

“ถ้าคุณขัดใจ ก็ไม่แน่”

ทั้งๆ ที่ตอนแรกตั้งใจจะใช้ผู้หญิงคนนี้ล่อให้ไอ้คนทรยศมันมาติดกับเท่านั้น แต่ทำไมเขาถึงอยากได้เจ้าหล่อนบนเตียงนอนด้วยล่ะ

“คุณหมายความว่ายังไงคะ”

‘หล่อนไม่ชอบเสียงหัวเราะที่แฝงไปด้วยความเหี้ยมโหดแบบนี้ของผู้ชายตรงหน้าเลย’ ยาหยีคิดด้วยความหวาดหวั่น มองหนุ่มหล่อตรงหน้าด้วยความหวาดระแวง

คอร์เนลขยับตัวพิงกับพนักโซฟา ยกขากำยำขึ้นตวัดไขว้ทับกับขาอีกข้างด้วยท่าสบายๆ หญิงสาวเม้มปากแน่นขณะที่สายตามองตามลำขาเพรียวที่ซ่อนอยู่ภายใต้กางเกงขายาวสีดำเนื้อดีด้วยท่าทางชื่นชมจนปิดไม่มิด

เขาดูดีไปทั้งเนื้อทั้งตัว และทุกอิริยาบถ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเสื้อผ้าจะทำให้คนๆ หนึ่งดูสมบูรณ์แบบได้มากถึงเพียงนี้ แต่ผู้ชายคนนี้จำเป็นต้องพึ่งเสื้อผ้าเหรอ ความหล่อเหลาของเขาสะท้อนออกมาอย่างแรงกล้าทั้งๆ ที่ไม่ต้องอาศัยเสื้อผ้าราคาแพงพวกนี้ด้วยซ้ำ

ผู้ชายตรงหน้าทั้งหล่อเหลาและก็ดูอันตรายในเวลาเดียวกัน

“พ่อของคุณขโมยเพชรของผมไป ซึ่งมันมีความสำคัญกับผมมาก”

“ไม่จริง! ฉันไม่มีวันเชื่อคำพูดของคุณหรอก คุณใส่ร้ายพ่อของฉัน พ่อของฉันไม่ใช่ขโมยและไม่มีวันเป็นด้วย พ่อทำงานสุจริต”

สาวน้อยเถียงออกมาโดยแทบไม่ต้องคิด แน่นอน หล่อนเชื่อว่าพ่อของหล่อนไม่มีทางเป็นขโมยไปได้ ถึงแม้ว่าท่าทางของบิดาเมื่อหลายวันก่อนจะมีพิรุธมากมายก็ตามที

“จะโกหกผมหรือว่าบัญชีของคุณไม่มีเงินเข้ามาเป็นจำนวนมาก”

ยาหยีหน้าซีดเผือดกับสิ่งที่ได้ยิน ใช่…บัญชีของหล่อนมีเงินเข้ามามากมายถึงสิบล้านบาท แต่ถึงยังไงหล่อนก็ยังไม่มีทางเชื่อว่าบิดาของตัวเองเป็นขโมย พ่ออาจจะได้โบนัสจริงๆ อย่างที่พูดก็ได้

“พ่อบอกว่าเป็นโบนัส เจ้านายใจดีเลยให้หลายเดือน”

คอร์เนลเค้นเสียงหัวเราะออกมา จ้องหน้าสาวน้อยตรงหน้าเขม็ง

“ผมคงลืมแนะนำตัวเองไปสินะ ผมคอร์เนส ซีร์ยานอฟ เจ้านายของพ่อคุณไง”

คราวนี้คนฟังถึงกับอ้าปากค้าง พูดไม่ออกเอาซะดื้อๆ หล่อนจำได้ จำได้ดีเสมอว่าคนที่พ่อของหล่อนไปทำงานด้วยนั้นชื่ออะไร คอร์เนล ซีร์ยานอฟ ลูกชายของอดีตมาเฟียในกรุงมอสโก และถึงแม้ว่าเขาจะประกาศตัวว่าชัดเจนว่าไม่ใช่ ‘มาเฟีย’ อีกแล้ว แต่หล่อนมั่นใจพันเปอร์เซ็นต์เลยว่านายคอร์เนล ซีร์ยานอฟคนนี้จะต้องเหี้ยมโหดไม่แพ้ผู้เป็นพ่อของตัวเองอย่างแน่นอน หรือบางทีอาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ เอ๊ะ! ถ้าอย่างนั้น พ่อของหล่อนก็กำลังตกอยู่ในอันตรายสินะ!

“คอร์เนล ซีร์ยานอฟ…” สาวน้อยเอ่ยชื่อของผู้ชายตรงหน้าอย่างเลื่อนลอย

“ใช่ ผมคือคอร์เนล ซีร์ยานอฟ คนที่พ่อของคุณขโมยเพชรของผมไปยังไงล่ะ คราวนี้เชื่อหรือยังว่าผมไม่ได้โกหก”

แม้น้ำเสียงของผู้ชายตรงหน้าจะราบเรียบ แต่หญิงสาวรู้ดีว่าภายใต้ความนิ่งเฉยมันต้องกำลังอัดแน่นไปด้วยไฟโทสะอันแรงกล้าอย่างแน่นอน ก็นัยน์ตาสีเขียวจัดของเขาบอกอย่างนั้น

“ฉัน…ไม่เชื่อ…”

“อย่าปฏิเสธความรับผิดชอบไปหน่อยเลยสาวน้อย อยากให้พ่อตายอย่างนั้นหรือ”

ไม่เคยเลยสักครั้งที่เขาจะใช้วิธีสกปรกแบบนี้เพื่อให้ได้ผู้หญิงสักคนมาขึ้นเตียง พวกหล่อนยินดีจะกระโดดขึ้นเตียงของเขา ขอเพียงแค่เขากระดิกนิ้วเรียกเท่านั้น แต่ทำไมกับผู้หญิงคนนี้ เขาถึงต้องใช้เล่ห์เหลี่ยมถึงเพียงนี้นะ ความจริงเขาควรจะจับหล่อนไปขังเอาไว้ และรอให้พ่อของหล่อนเดินเข้ามาติดกับเท่านั้นไม่ใช่หรือ แล้วทำไมเขาถึงไม่ทำล่ะ?

คอร์เนลร้องถามตัวเองด้วยความข้องใจ แต่ก็ไม่สามารถหาคำตอบให้กับตัวเองได้ เพราะสมองที่เคยเฉียบคม ตอนนี้กลับทื่อราวกับมีดเก่าเก็บที่ถูกโยนทิ้ง

ให้ตายเถอะ ทำไมพออยู่ต่อหน้าผู้หญิงคนนี้ เขาถึงคิดอะไรไม่ออกเลยนะ สมองวนเวียนอยู่กับเรื่องบนเตียงเพียงอย่างเดียวจนน่าตกใจ

“อย่าทำพ่อนะ”

“แล้วทำไมถึงคิดว่าผมจะยอมทำตามสิ่งที่คุณต้องการล่ะ ผมเสียหายมากนะสาวน้อย”

คนตัวโตพูดเสียงนุ่มนวล ขณะโบกมือไล่สาวใช้ที่นำเครื่องดื่มเข้ามาให้ด้วยท่าทางราวกับพระราชา ยาหยีเม้มปากแน่น มือบางกำเข้าหากันแน่นด้วยความเครียดเขม็ง เสียงหัวเราะของเขาช่างไม่ต่างจากมีดโกนดีๆ นี่เอง

นี่พ่อของหล่อนทำเรื่องน่าละอายแบบนั้นจริงๆ หรือ สาวน้อยร้องถามตัวเอง แล้วก็ต้องก้มหน้ายอมรับความจริงเมื่อสมองนึกถึงเงินจำนวนสิบล้านในบัญชีของตัวเอง และยังท่าทางลุกลี้ลุกลนของบิดาในวันนั้น

‘พ่อทำจริงๆ นั่นแหละ พ่อของหล่อนเป็นหัวขโมยที่ผู้ชายตรงหน้ากำลังต้องการตัว’

ความหวาดกลัวแล่นพล่านเข้ามาจับขั้วหัวใจ กิตติศัพท์ของพวกมาเฟียเหี้ยมโหดแค่ไหนทำไมหล่อนจะไม่รู้ คนพวกนี้มักจะตัดสินกันด้วยกระสุนปืน เห็นชีวิตคนเป็นผักเป็นปลา และที่สำคัญตอนนี้พ่อของหล่อนก็กำลังถูกพวกมาเฟียไล่ล่า

หล่อนยอมไม่ได้ ยอมให้พ่อของตัวเองตกอยู่ในอันตรายไม่ได้ ไม่ว่าจะต้องทำอะไร แลกด้วยอะไร หล่อนก็จะยอมทำทั้งสิ้น ขอเพียงให้ผู้บังเกิดเกล้าปลอดภัยเท่านั้น

“คุณต้องการอะไรแลกเปลี่ยนคะ” ในที่สุดยาหยีก็ถามออกไปอย่างไม่มีทางเลือก คนฟังระบายยิ้มพึงพอใจออกมา

“ถามได้ตรงประเด็นดีนี่สาวน้อย”

ถ้าไม่อยากให้พ่อของคุณหยุดหายใจ ก็เดินออกมาจากหอเงียบๆ รถสีดำทะเบียน ตร 9999 จอดรออยู่หน้ามหาวิทยาลัย

ยาหยีขยุ้มกระดาษแผ่นเล็กๆ แน่น ใบหน้างามซีดเผือดจนลินดาที่กำลังยืนดื่มน้ำอยู่ข้างๆ ต้องเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง

“ทำไมหน้าซีดจังเลยลูกหยี ไหนดูสิจดหมายเขียนว่าอะไร”

ยาหยีเบี่ยงตัวหลบลินดาที่พยายามจะแย่งจดหมายในมือไปอ่านอย่างสุดความสามารถ เพราะมั่นใจดีว่าหากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป บิดาของตัวเองอาจจะไม่ปลอดภัย

‘นี่ใช่ไหมคือสิ่งที่พ่อของหล่อนหวาดกลัว นี่ใช่ไหมคือสิ่งที่ท่านสั่งให้หล่อนหนี แต่สุดท้ายก็หนีไม่พ้น’

“ไม่มีอะไรหรอกลินดา แค่จดหมายขอความรักเท่านั้น”

ลินดาหรี่ตามองด้วยความไม่เชื่อ เพราะเพื่อนของหล่อนคนนี้โกหกเก่งที่ไหนกันล่ะ

“ถ้างั้นขอดูหน่อยสิ อย่าหวงไปหน่อยเลยน่า”

“ฉันอายน่ะลินดา เอ่อ…เดี๋ยวเธอขึ้นไปบนหอพักก่อนนะ ฉันมีธุระนิดหน่อย”

ยาหยีตัดบท ในใจกระวนกระวายยิ่งนักด้วยนึกเป็นห่วงสวัสดิภาพของบิดา แม้จะไม่รู้ว่าเจ้าของจดหมายเป็นใคร แต่หล่อนก็ต้องเสี่ยง หล่อนยอมปล่อยให้บิดามีอันตรายไม่ได้

“ธุระ? คนอย่างเธอเนี่ยนะมีธุระ ไม่อยากจะเชื่อ ร้อยวันพันปีไม่เคยไปไหนกับเขาสักที มันแปลกๆ นะพฤติกรรมของเธอน่ะ หรือว่าแอบมีกิ๊กกันยะยายลูกหยี”

ด้วยความทุกข์ใจทำให้ยาหยีไม่มีกะจิตกะใจจะปฏิเสธหรืออธิบายใดๆ กับลินดาอีก หญิงสาวพยักพเยิดหน้าส่งเดช และนั่นก็ทำให้ลินดาถึงกับห่อปาก ตาโตเท่าไข่ห่าน

“นี่เธอแอบซุกกิ๊กไว้จริงๆ เหรอ โอ้…ไม่น่าเชื่อว่าจะรอดพ้นสายตาของฉันไปได้ เธอนี่เก็บได้เงียบเชียบจริงๆ เลยนะยายลูกหยี” ลินดาทำสุ้มเสียงเหลือเชื่อ ก่อนจะโบกไม้โบกมือให้เพื่อนรักรีบไปตามนัด

“ไปเถอะ แล้วอย่าลืมพามาแนะนำให้ฉันรู้จักบ้างล่ะ”

ยาหยีถอนใจออกมาด้วยความเครียด พยักหน้ารับส่งๆ ออกไป

“อืม…ฉันอาจจะกลับค่ำสักหน่อย แต่รับรองไม่เกินสี่ทุ่มเวลาที่หอปิดแน่นอน”

“ไม่ต้องรีบกลับก็ได้แม่คุณ บางทีกิ๊กของเธออาจจะอยากให้เธออยู่ถึงเช้าก็ได้ ว่าแต่มาเรียนให้ไหวก็แล้วกันนะ”

ลินดายิ้มกว้าง จ้องหน้ายาหยีด้วยสายตาล้อเลียน ก่อนที่แม่คุณจะเดินฮัมเพลงขึ้นบันไดหอพักไป ยาหยีเป่าลมออกจากปากหนักๆ ขณะคลี่กระดาษที่ตัวเองขยำจนยับยู่ยี่ออกมาอ่านอีกครั้ง สมองหวาดหวั่นต่อความปลอดภัยของบิดาเหลือเกิน

“พ่ออย่าพึ่งเป็นอะไรไปนะคะ ลูกหยีกำลังจะไปช่วยพ่อ”

สาวน้อยรีบจ้ำอ้าวออกไปยังหน้าหอพัก กวาดตามองหารถสีดำที่ตัวเองท่องจำทะเบียนรถมาในสมองจนขึ้นใจ และเพียงเดินพ้นออกมาจากหน้ามหาวิทยาลัย สายตาของหล่อนก็ปะทะเข้ากับรถสีดำคันยาวเฟื้อยคันหนึ่งที่จอดนิ่งอยู่ด้านซ้ายมือ สาวน้อยรีบขยับเดินเข้าไปหยุดใกล้ๆ แล้วก็ต้องยกมือขึ้นปิดปากเมื่อเห็นทะเบียนของเจ้ารถคันยาวตรงหน้าถนัดถนี่

‘ตร 9999 ทะเบียนรถสวยๆ แบบนี้คงไม่มีทางซ้ำกันแน่’

ยาหยียืนนิ่งงัน ตัวแข็ง เท้าตาย จ้องมองประตูรถที่ถูกเปิดออกด้วยสายตาตื่นตระหนก ผู้ชายที่นั่งหน้าคู่กับคนขับก้าวลงมาจากรถและเดินตรงเข้ามาหาหล่อน

“เชิญครับ คุณยาหยี โรจน์มหามงคล”

“จะพาฉันไปไหนคะ”

คำพูดของหล่อนคงตลกมาก ผู้ชายในชุดสูทสีดำทะมึนตรงหน้าถึงได้ระบายยิ้มออกมา

“ขึ้นรถเถอะครับ นายน้อยรอคุณอยู่”

“นายน้อย?” สาวน้อยทวนคำพูดของคู่สนทนาด้วยความประหลาดใจ

“คุณจะได้คำตอบทุกอย่าง ถ้าคุณได้พบกับนายน้อย เชิญครับ”

ผู้ชายตรงหน้าของหล่อนผายมือเชื้อเชิญอีกครั้ง ก่อนจะเดินนำไปที่รถคันงาม ผู้ชายคนนั้นก้มศีรษะคล้ายกับแสดงความเคารพเล็กน้อย ก่อนจะเปิดประตูในส่วนของห้องผู้โดยสารออก และหันมาหาหล่อน

“ขึ้นรถเถอะครับ”

ยาหยีไม่มีทางเลือกใดๆ อีก หล่อนจำเป็นต้องเสี่ยง ทั้งๆ ที่ยังไม่รู้เรื่องราวใดๆ แน่ชัดนัก แต่ชื่อของบิดาทำให้หล่อนหมดทางเลือก

เมื่อก้าวขึ้นมานั่งบนรถคันงามหรูหรา หญิงสาวจึงได้รู้ว่าไม่ได้มีแค่หล่อนคนเดียวในห้องโดยสารนี้ ผู้ชายคนหนึ่งนั่งเอนกายพิงกับเบาะรถด้วยท่าทางผ่อนคลาย ความมืดสลัวที่เกิดจากดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าและฟิล์มสีดำสนิททำให้หล่อนมองหน้าผู้ชายที่นั่งอยู่ข้างกายไม่ถนัดนัก

แต่…กลิ่นหอมจางๆ จากร่างกายของคนนั่งใกล้ๆ กลับทำให้สมองของหล่อนนึกย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์เมื่อตอนเช้าที่ผ่านมา หล่อนก็ได้กลิ่นหอมอ่อนๆ แบบนี้จากตัวของผู้ชายนัยน์ตาสีเขียวจัดคนนั้นเช่นกัน หล่อนจำกลิ่นนี้ได้ดีทีเดียว เพราะมันไม่ใช่กลิ่นหอมธรรมดา แต่มันเป็นกลิ่นกายของนักล่าผู้เก่งฉกาจ นักล่าที่เตรียมพร้อมจะขย้ำเหยื่อผู้น่าสงสาร นักล่าที่แสนอันตรายยิ่งสำหรับหัวใจของสตรี

“คุณคือผู้ชายเมื่อเช้าใช่ไหมคะ” แม้จะพยายามบังคับเสียงให้ราบเรียบยังไง แต่มันก็ยังสั่นไหวจนอดสมเพชตัวเองไม่ได้

“เก่งนี่ ที่จำผมได้” อยู่ๆ ไฟก็สว่างไสวขึ้นมาในพริบตา และสิ่งที่เห็นตรงหน้าก็ตอกย้ำความคิดของหล่อนได้เป็นอย่างดี

‘ใช่…ผู้ชายตาดุคนนั้นจริงๆ ด้วย’

“คุณ…”

ริมฝีปากสุดเซ็กซี่ของผู้ชายที่นั่งอยู่ข้างๆ คลี่ออกน้อยๆ ดวงตาสีเขียวจัดจับจ้องมาที่ใบหน้าของหล่อนเขม็ง

“ยินดีที่ได้พบกันอีกครั้ง ยาหยี โรจน์มหามงคล”

เขาเรียกหล่อนเต็มยศเลยทีเดียว จำได้ว่าเมื่อเช้าที่พบกันเขาก็เรียกหล่อนแบบนี้ นี่เขารู้จักหล่อนได้ยังไงกันนะ หรือว่าผู้ชายคนนี้คือเจ้าของจดหมายข่มขู่ฉบับนั้น ความคิดนี้ทำให้หญิงสาวขยับถอยห่างจนแทบจะหลุดเข้าไปอยู่ในร่องประตู

“คุณเป็นเจ้าของจดหมายนั้นใช่ไหมคะ”

คอร์เนลเหยียดยิ้มหยัน

“ถูกต้อง ผมเป็นคนสั่งให้ลูกน้องเขียนมันขึ้นมาเอง และคุณก็ใจกล้าพอที่จะก้าวขึ้นมาบนรถกับผม”

ลำคอสาวแห้งผากเมื่อได้สบกับดวงตาเหี้ยมเกรียมของบุรุษสุดหล่อข้างกาย ความหวาดหวั่นเต้นเร่าอยู่ในกระแสเลือด แม้เขาจะหล่อ แม้เขาจะมีอำนาจอย่างรุนแรงต่อร่างกายและหัวใจของหล่อน แต่เขาก็ได้ชื่อว่าเป็นคนไม่ดี…คนที่กำลังจะทำร้ายพ่อของหล่อน

“พ่อฉัน…พ่อของฉันอยู่ไหน”

ยาหยีกัดปากแน่น ไม่ชอบเสียงหัวเราะของเขาเลยให้ตายสิ มันน่ากลัวจนหล่อนแทบเป็นลม มือบางที่กุมกันไว้เย็นเฉียบ เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดขึ้นตามไรผม

“เราจะคุยกันเมื่อถึงบ้านของผม…ซึ่งก็อีกไม่ไกล”

และทุกอย่างก็เงียบกริบลง ยาหยีกัดปากแน่นเพื่อข่มความหวาดกลัวในอกเอาไว้สุดกำลัง ผู้ชายหน้าตาดีคนนี้น่ะเหรอที่พ่อของหล่อนหวาดกลัว สาวน้อยถอนใจออกมา ความเครียดบีบเกร็งอยู่ภายในจนสมองแทบจะระเบิดออกมา

ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าตอนนี้หล่อนกำลังตกอยู่ในเงื้อมมือของมัจจุราชที่หล่อที่สุดในสามโลก หญิงสาวคร่ำครวญอยู่ในอกด้วยความทุกข์ใจ สมองไม่สั่งการอีกเลยจนกระทั่งรถคันงามที่นั่งอยู่จอดสนิทลงนั่นแหละ หล่อนถึงรู้สึกตัว

ประตูฝั่งของหล่อนถูกเปิดออกจากด้านนอก ผู้ชายคนเดิมที่ลงไปคุยกับหล่อนที่หน้ามหาวิทยาลัยกล่าวเชื้อเชิญด้วยท่าทางสุภาพ

“เชิญครับ”

แม้จะหวาดกลัวผู้ชายสุดหล่อที่นั่งข้างๆ ยิ่งนัก แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุอันใดหล่อนถึงห้ามสายตาของตัวเองไม่ให้หันไปมองพ่อคนร่างยักษ์ไม่ได้เลย แล้วแก้มก็ต้องแดงก่ำเมื่อพบว่าเขากำลังจ้องมองมาที่หล่อนเช่นกัน และด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความหิวกระหายที่เจ้าตัวปกปิดเอาไว้ไม่ทันอีกต่างหาก

ยาหยีตัวสั่นเทามากกว่าเดิมหลายร้อยเท่า รีบลนลานก้าวลงจากรถอย่างรวดเร็ว แล้วก็ต้องอ้าปากค้างเป็นรอบที่สองเมื่อได้เห็นสิ่งก่อสร้างเบื้องหน้า

‘คฤหาสน์…ไม่…มันน่าจะเป็นวังของพวกเจ้าชายมากกว่า สวยงาม หรูหรา และใหญ่โต บ่งบอกฐานะของเจ้าของได้เป็นอย่างดี…ตำแหน่งอภิมหาเศรษฐี’

“เข้าไปข้างในสิ”

น้ำเสียงราบเรียบของผู้ชายที่หล่อนไม่อยากจะสบตาเลยดังขึ้นใกล้ๆ หญิงสาวรีบรวบรวมสติก้าวตามคนตัวโตเข้าไปข้างในทันที และก็แทบอยากจะวิ่งหนีออกมาซะให้รู้แล้วรู้รอดเมื่อพบว่าตัวเองต่ำต้อยยิ่งกว่าเจ้าหนูสกปรกเสียอีกเมื่อเทียบกับความหรูหราของคฤหาสน์หลังนี้

ห้องรับแขกที่ถูกตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ราคาแพงระยับเบื้องหน้าทำให้หล่อนแทบไม่กล้าแม้แต่จะเข้าไปยืนอยู่ภายในนั้น ก็ดูสิ แม้กระทั่งพรมปูพื้นสีสวยที่ตัวเองเหยียบย่ำอยู่ก็ยังดูมีราคาค่างวดมากกว่าเนื้อตัวของหล่อนด้วยซ้ำไป

ทุกสิ่งทุกอย่างในคฤหาสน์หลังงามนี้ดูมีราคาสูงไปซะหมดทุกอย่าง มันดูแพงระยับจนหล่อนไม่กล้าแม้แต่จะทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาตัวใกล้ๆ เพราะกลัวว่ามันจะเลอะคราบคนจนของตัวเอง สาวน้อยถอนใจออกมาแรงๆ ตั้งใจจะหันไปพูดกับพ่อคนร่างยักษ์ แต่ก็ต้องผิดหวังเพราะผู้ชายคนนั้นอันตรธานหายไปตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้

“จะไปก็ไม่บอกสักคำ คนบ้า”

หญิงสาวบ่นอุบด้วยความไม่พอใจ กำลังจะเดินเลี่ยงออกไปยังประตูกระจกที่เชื่อมกับระเบียงไม้ แต่ก็ต้องชะงักเมื่อหูได้ยินเสียงของผู้หญิงคนหนึ่ง ยาหยีหันไปมองตามเสียงเรียก แล้วก็พบกับแม่บ้านวัยกลางคนคนหนึ่งเดินมาหยุดที่กลางห้อง

“นายน้อยให้มาเชิญคุณขึ้นไปพบค่ะ”

“ที่ไหนคะ?” ความหวาดหวั่นระลอกใหม่พุ่งขึ้นมาอีกแล้ว

“ห้องทำงานค่ะ ตามดิฉันมา”

แม่บ้านในชุดฟอร์มเรียบร้อยเดินนำหล่อนขึ้นมาบนบันไดโค้งที่ตกแต่งด้วยกระเบื้องสีสันสวยสดเล่นลายลวดอย่างประณีต สาวน้อยห่อปากอีกครั้งด้วยความทึ่งจัดเมื่อแสงวาบวับของราวบันไดที่ทำด้วยทองเหลืองสะท้อนเข้ามาในดวงตา ดูสวยงามราวกับกำลังอยู่บนสวรรค์ยังไงยังงั้น

และเพียงไม่นานหล่อนก็มาหยุดอยู่หน้าประตูไม้แกะสลักบานใหญ่ แม่บ้านวัยกลางคนยกมือขึ้นเคาะประตูเบาๆ

“นายน้อยคะ เธอมาแล้วค่ะ”

“ให้เข้ามาได้”

เสียงห้วนจัดแต่กระนั้นก็ทุ้มหูได้อย่างไม่น่าเชื่อดังขึ้นหลังบานประตูใหญ่ ยาหยีกัดปากแน่นเพื่อข่มความหวาดกลัวเอาไว้

‘หล่อนจะต้องใช้ทุกวิถีทางเพื่อหว่านล้อมให้เขาล้มเลิกความคิดที่จะทำร้ายบิดาให้จงได้ ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีใดก็ตาม’

ประตูถูกเปิดออก และแม่บ้านคนนั้นก็ผายมือเชิญหล่อนเข้าไปข้างใน

“เชิญค่ะ”

“ตื่นได้แล้วลินดา วันนี้เรามีเรียนตอนเช้านะ”

ยาหยีที่แต่งเครื่องแบบนักศึกษาเรียบร้อยแล้วพยายามปลุกเพื่อนรักของตัวเองอีกครั้งหนึ่งหลังจากพยายามมาหลายรอบ แต่ผลก็เหมือนเดิมคือลินดาไม่ยอมลุกขึ้น แถมยังมีหน้ามาฝากให้หล่อนลาป่วยกับอาจารย์อีกด้วย

“ฉันลุกไม่ไหว ลาป่วยให้ด้วยแล้วกัน”

“ไม่ได้นะลินดา ลุกขึ้นแล้วไปอาบน้ำแต่งตัวซะ”

คราวนี้ยาหยีเลือกที่จะไม่ยอมปล่อยให้ลินดาโอ้เอ้อีกต่อไปแล้ว หญิงสาวดึงร่างของลินดาให้ลุกขึ้นได้สำเร็จ

“ยังเหลือเวลาอีกสิบห้านาที…เร็วเข้า”

ลินดาที่ยังอยู่ในอาการงัวเงียเดินโซเซตรงไปยังห้องน้ำที่อยู่ถัดออกไปเล็กน้อย แต่ระหว่างทางก็ยังอดบ่นงึมงำด้วยความขัดใจไม่ได้ที่ถูกยาหยีลากตัวขึ้นมาจากที่นอน

“ถ้าฉันรู้ล่วงหน้าว่าเธอจะเป็นมารขวางการนอนหลับของฉันละก็ ฉันจะไม่มีวันอนุญาตให้เธอมาอยู่ด้วยหรอกยายลูกหยี”

ยาหยีส่ายหน้าน้อยๆ มองร่างของเพื่อนที่หายเข้าไปภายในห้องน้ำด้วยรอยยิ้มกริ่ม

“แต่เธอเปลี่ยนใจไม่ได้แล้วล่ะจ้ะลินดา ฉันยึดห้องเธอไว้แล้วครึ่งหนึ่ง”

“ย่ะ!” ลินดาตะโกนออกมาจากห้องน้ำด้วยน้ำเสียงขัดใจ

ยาหยีหัวเราะออกมาเบาๆ ขณะพาตัวเองไปทรุดนั่งลงบนเก้าอี้นวมริมหน้าต่าง เหม่อมองออกไปยังพื้นเบื้องล่าง และด้วยความสูงจากพื้นดินเกือบยี่สิบเมตรแบบนี้ ทำให้ทุกสิ่งในสายตาดูเล็กกระจ้อยร่อยเหลือเกิน ไม่เว้นแม้แต่รถยนต์คันยาวเฟื้อยสีดำที่จอดเรียงรายอยู่หน้าหอพักของหล่อน

“รถใครกัน ทำไมมากันเยอะแยะแบบนี้” ยาหยีพึมพำออกมาด้วยความแปลกใจ และก็ต้องเลิกให้ความสนใจกับมันทันทีเมื่อลินดาเปิดประตูออกมาจากห้องน้ำ

“ฉันใช้เวลาไปเท่าไรแล้วล่ะแม่ลูกหยีคนงาม”

คนพูดประชดเดินตรงไปจัดการแต่งองค์ทรงเครื่องที่ตู้เสื้อผ้า ลินดาสลัดผ้าขนหนูออกจากตัวโดยไม่คิดจะอับอายต่อสายตาของเพื่อนร่วมห้องเลยแม้แต่นิดเดียว ยาหยีเสียอีกที่ต้องหันหน้าหนีด้วยความอับอาย

“เธอไม่ได้อยู่คนเดียวแล้วนะลินดา” ต่อว่าออกไปอย่างขัดเคือง แต่คนถูกว่ากลับหัวเราะร่วนออกมาอย่างขบขันซะงั้น

“รู้แล้วย่ะว่าตอนนี้ไม่ได้อยู่คนเดียว แต่ฉันไม่อายนี่ เราก็มีเหมือนๆ กัน ถึงแม้บางจุดจะขนาดไม่เท่ากันก็ตาม”

“ดูพูดเข้า ฉันไปรอข้างนอกดีกว่า” คำพูดทะเล้นๆ ของลินดายิ่งทำให้ยาหยีแก้มแดงมากขึ้นอีกหลายเท่าตัว และด้วยความขัดเขินจึงทำให้หญิงสาวเลือกที่จะออกไปรอนอกห้องแทน

“แล้ววันหนึ่งหากเธอต้องแก้ผ้าต่อหน้าผู้ชาย เธอจะไม่เป็นลมเป็นแล้งไปเลยเหรอแม่ยาหยี” ลินดาส่ายหน้าออกมากับความไร้เดียงสาของเพื่อนสนิท ก่อนจะรีบลงมือแต่งตัวและรีบตามไปสมทบกับยาหยีหน้าห้องพักอย่างรวดเร็ว

‘เป็นครั้งแรกที่ยาหยีรู้สึกว่าผู้ชายมีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้’

ร่างกายสั่นสะท้านอย่างรุนแรง เมื่อได้สบตากับผู้ชายที่ยืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มบุรุษชุดดำหกเจ็ดคนตรงหน้า เขาตรึงหล่อนไว้อย่างแน่นหนาด้วยนัยน์ตาสีเขียวดุจมรกตเนื้อดี หล่อนขยับตัวไม่ได้ หายใจก็ไม่ออก รู้สึกว่าร่างกายขานรับต่อเสน่ห์ทางเพศของเขาอย่างบ้าคลั่ง

เป็นไปไม่ได้ ไม่มีทางเป็นไปได้ หล่อนไม่เคยชายตาแลผู้ชายคนไหนมาก่อนเลยในชีวิต ไม่ว่าจะหล่อเลิศแสนดีแค่ไหนก็ตาม แต่ทำไมกับผู้ชายคนนี้ ผู้ชายที่หล่อนไม่รู้จักแม้แต่ชื่อซึ่งยืนอยู่ตรงหน้ากลับทำให้หัวใจของหล่อนเต้นระส่ำอย่างรุนแรง เขาทำให้หล่อนรู้สึกถึงอารมณ์บางอย่างที่ซ่อนอยู่ภายใน

หญิงสาวพยายามรวบรวมสติสตังทั้งหลายที่บินหนีไปตั้งแต่สบตากับผู้ชายหล่อระเบิดตรงหน้า แต่มันก็ทำได้ยากยิ่ง เพราะผู้ชายตรงหน้ามีเสน่ห์เหลือเกิน หล่อนไม่สามารถละสายตาจากความสมบูรณ์แบบไร้ที่ติของเขาได้เลยแม้แต่วินาทีเดียว

ไม่ว่าจะเป็นผมสีน้ำตาลเข้มเกือบดำที่ตัดอย่างประณีต คิ้วดกดำยาวขนานกับดวงตายาวรีสีเขียวดุจมรกตน้ำงาม จมูกโด่งเป็นสันแบบผู้ดี กรามแกร่งดุดัน คางหยักบึกบึน และที่น่ามองที่สุดก็คือริมฝีปากสีสดได้รูปคู่นั้น

ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าในโลกใบนี้จะยังมีผู้ชายที่หล่อเหลามีเสน่ห์ราวกับไม่ใช่คนจริงๆ แบบนี้หลงเหลืออยู่อีก ก็ดูสิ แม้เขาจะอยู่ท่ามกลางชายฉกรรจ์ถึงหกเจ็ดคนที่แต่งกายไม่ต่างกันแม้แต่นิดเดียว แต่ความโดดเด่นและแรงดึงดูดของเขาก็ยังพุ่งเข้าใส่หน้าของหล่อนอย่างรุนแรงจนแทบหงายหลัง

“ลูกหยีดูนั่น ผู้ชายคนนั้นหล่อระเบิดเลยอะ หล่อราวกับเทพบุตร”

เสียงอุทานของลินดาที่เดินตามมาข้างหลังทำให้ยาหยีได้สติ หญิงสาวรีบละสายตาจากคนตรงหน้าอย่างรวดเร็ว พร้อมๆ กับก้มลงมองปลายเท้าของตัวเองแทน

“หล่อมากเลย แต่เอ…ทำไมเขาจ้องเธอเขม็งแบบนั้นนะ”

คำพูดของลินดาทำให้ยาหยีช้อนตาขึ้นมองผู้ชายตรงหน้าอีกครั้ง และมันก็เป็นความจริง ผู้ชายรูปหล่อคนนั้นยังคงมองมาที่หล่อนเช่นเดิม

“เธอรู้จักเขาเหรอลูกหยี นี่อย่าบอกนะว่าเธอมีแฟนเป็นฝรั่งน่ะ” ลินดาพูดออกมาอย่างเหลือเชื่อ แต่ยาหยีก็รีบปฏิเสธความเข้าใจผิดนั้นซะก่อน

“ไม่ใช่นะ ฉันไม่รู้จักเขาสักหน่อย พึ่งเจอครั้งแรกพร้อมๆ กับเธอนั่นแหละ ไปเรียนกันเถอะ สายแล้ว”

ยาหยีรีบดึงมือลินดาที่เอาแต่โปรยยิ้มหวานให้กับผู้ชายคนนั้นให้เดินตามตัวเองมา แต่ยังก้าวไม่ทันครบสามก้าวด้วยซ้ำ เสียงห้วนกระด้างของผู้ชายคนนั้นก็ดังขึ้นซะก่อน หล่อนหยุดชะงักทันทีด้วยความตกใจ

“ไหนว่าไม่รู้จักไง ทำไมเขาเรียกชื่อเธอถูกล่ะลูกหยี แหม! เก็บเงียบเชียวนะแฟนหล่อๆ เนี่ย” ลินดาแซวเพื่อนด้วยความอิจฉาเมื่อได้ยินหนุ่มหล่อระเบิดนัยน์ตาสีเขียวเรียกชื่อเพื่อนสนิทเป็นภาษาที่แสนคุ้นหู นั่นก็คือภาษารัสเซีย ซึ่งเป็นภาษาที่หล่อนกับยาหยีเลือกเป็นวิชาเอก

“ไม่ใช่นะ ฉันไม่รู้จักเขาจริงๆ”

ยาหยียืนกรานกับเพื่อนสนิทเสียงแข็ง ก่อนจะหันไปเผชิญหน้ากับผู้ชายสุดหล่อที่ตอนนี้เดินผ่านวงล้อมของชายชุดดำออกมาแล้วด้วยความแคลงใจ

“ฉันจำได้ว่าไม่รู้จักคุณนะคะ”

“แต่ผมรู้จักคุณ และรู้จักดีซะด้วย”

คอร์เนลหรี่ตามองสตรีตรงหน้าด้วยความทึ่งจัด หล่อนน่าจะเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมาตลอดสามสิบกว่าปีก็ว่าได้ เจ้าหล่อนสวยหวานจนเขาถึงกับต้องกะพริบตาติดๆ กันหลายครั้งเลยทีเดียวเมื่อตอนที่เห็นหล่อนเดินลงบันไดหอพักมา

หนุ่มหล่อกัดฟันแน่นข่มความปรารถนาแน่นอกที่มันพลุ่งพล่านขึ้นมาโดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้าเอาไว้สุดกำลัง  ผู้คนรอบกายกลายเป็นท่อนไม้ไปในทันทีเพียงแค่ได้สบตากับหล่อนเท่านั้น

แม้จะพยายามบอกตัวเองว่าไม่ควรจะให้ความสนใจกับผู้หญิงคนนี้เกินความจำเป็น แต่สายตาเจ้ากรรมมันก็ไม่สามารถละจากใบหน้างดงามของเจ้าหล่อนได้แม้แต่วินาทีเดียว ใบหน้าของหล่อนงดงามและดึงดูดสายตาของเขาได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ ไม่ว่าจะเป็นดวงตากลมโตสีดำขลับหวานซึ้ง คิ้วโก่งดุจคันศร จมูกโด่งเชิดแบบสาวหัวรั้น แต่ที่ที่เขาจ้องมองนานที่สุดกลับเป็นริมฝีปากอิ่มเอิบและน่าจูบเป็นที่สุดคู่นั้น

ให้ตายเถอะ ทำไมเขาต้องรู้สึกว่าตัวเองหัวใจเต้นแรงแบบนี้ด้วยนะ ทำไมเจ้าความรู้สึกอยากลิ้มลองรสสาวของแม่สตรีตรงหน้าถึงลุกโชนขึ้นมาอย่างแรงกล้าเช่นนี้ มันรุนแรงจนเลือดหนุ่มเดือดพล่าน สมองจินตนาการถึงฉากรักของเขากับแม่สาวตรงหน้าบนเตียง

หรือว่าเขากำลังจะตกหลุมรัก โอ้…ไม่มีทางเป็นไปได้หรอก เขาก็แค่ไม่ได้ปลดปล่อยมาหลายวันเท่านั้นเอง ความต้องการทางเพศถึงได้กำเริบขึ้นมาแบบนี้ คอร์เนลร้องบอกตัวเองในอกอย่างดุเดือด แต่กระนั้นก็ยังไม่สามารถห้ามสายตาของตัวเองให้ละจากร่างสลักเสลาของสตรีตรงหน้าได้

แม้จะทึ่งในความหล่อเหลาของบุรุษตรงหน้า แต่ยาหยีก็อดแก้มแดงก่ำด้วยความโมโหไม่ได้ที่เห็นคนตรงหน้าใช้สายตากวาดมองร่างกายของตัวเองราวกับกำลังเลือกสินค้าเพื่อนำไปใช้งาน

“แต่ฉันจำคุณไม่ได้ค่ะ ขอตัวก่อนนะคะ ต้องรีบไปเรียน” สาวน้อยตัดบทเสียงเรียบ ดึงมือลินดาให้เดินตามมาอีกครั้ง

“ไปกันเถอะลินดา”

“ฉันยังไม่อยากไปเลย อยากมองคนหล่อ” ลินดาบ่นด้วยความเสียดายขณะเดินตามเพื่อนรักออกมาจากหน้าหอพัก

“นายน้อยครับ เธอไปแล้ว”

เซอร์เกรีบร้องเตือนเจ้านายหนุ่มหล่อของตัวเองเมื่อเห็นยาหยีเดินไกลออกไป คอร์เนลระบายยิ้มเลือดเย็นออกมา ขณะหมุนตัวเดินกลับไปที่รถลีมูซีนคันงาม

“ฉันไม่ปล่อยแม่นี่ไปหรอกน่า แค่อยากทำให้เงียบที่สุดก็เท่านั้น”

“นายน้อยหมายความว่ายังไงครับ”

เซอร์เกเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ เพราะปกตินายน้อยของตัวเองไม่เคยสนใจอะไรทั้งนั้น หากอยากได้อะไรก็ต้องเอาให้ได้เดี๋ยวนั้น ไม่เคยมีคำว่า ‘รอ’ สำหรับคนอย่างคอร์เนล แต่ทำไมกับผู้หญิงคนนี้ คอร์เนลถึงเลือกที่จะรอล่ะ

เซอร์เกรู้สึกไม่สบายใจเลย เมื่อนึกถึงสายตาพึงพอใจของคอร์เนลที่ทอดมองไปยังยาหยีลูกสาวของยอดชาย ผู้ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นศัตรูของซีร์ยานอฟ เขาไม่เคยเห็นคอร์เนลมองผู้หญิงคนไหนด้วยสายตาแบบนี้มาก่อนเลย

“ทิ้งจดหมายเอาไว้ และแม่นั่นจะออกมาหาเราเอง”

“แต่ผมว่าเราควรจะลากเธอไปเลย งานจะได้จบ และเราจะได้กลับมอสโกโดยเร็ว” เซอร์เกพยายามจะออกความเห็น แต่ก็ถูกคอร์เนลเก็บมันใส่ลิ้นชักอย่างไม่ไยดี

“ทำตามที่ฉันบอก อย่าริอ่านจะขัดคำสั่งเด็ดขาด” คนออกคำสั่งก้าวขึ้นไปนั่งบนรถด้วยท่าทางหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด

“ครับนายน้อย”

เซอร์เกก้มหน้ารับคำสั่ง เขาเขียนจดหมายตามที่นายน้อยของตัวเองบอก จากนั้นก็เอาไปฝากไว้ที่คนเฝ้าหอ ก่อนจะเดินกลับมาที่รถ คอร์เนลลดกระจกลงและเอ่ยถาม

“เรียบร้อยแล้วใช่ไหม”

“เรียบร้อยแล้วครับนายน้อย”

คอร์เนลระบายยิ้มพึงพอใจออกมา หัวใจเต้นแรงขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ

“ดีมาก ขึ้นรถได้แล้ว ฉันต้องการกลับบ้าน”

ทุกคนก้าวขึ้นรถ และไม่นานขบวนรถลีมูซีนหลายคันก็แล่นออกจากหน้าหอพักของทางมหาวิทยาลัย และระหว่างทางก็ขับผ่านยาหยีกับลินดาที่กำลังจ้ำอ้าวไปเรียนหนังสือพอดี

“นั่นไงยาหยี รถพวกนี้ไงที่จอดหน้าหอของเรา”

ลินดาชี้ให้เพื่อนดู ยาหยีไม่ได้ตอบอะไรออกมา แต่ก็อดชำเลืองมองไม่ได้ และหัวใจก็เต้นแรงจนแทบทะลุออกจากอกเมื่อคนตัวโตที่นั่งอยู่ในรถเลื่อนกระจกลงเหลือครึ่งบาน เห็นใบหน้าหล่อเหลาของเขาชัดเจนเต็มสองตา

“นั่นผู้ชายคนนั้นนี่ ดูสิเขามองเธออีกแล้ว”

ลินดาร้องออกมาด้วยความอิจฉา ตีแขนยาหยีที่กำลังมองตามขบวนรถพวกนั้นไปจนลับสายตาเบาๆ อย่างรู้ทัน

“ชอบเขาสิท่า”

“ว่าไงนะ?”

“ฉันบอกว่าเธอชอบผู้ชายตาสีเขียวคนนั้นใช่ไหม เห็นมองกันนานสองนาน”

คราวนี้คำถามของลินดาชัดเจนเต็มสองหู ยาหยีรีบปฏิเสธทันที แม้ว่าคำพูดของเพื่อนสนิทจะแทงถูกใจดำก็ตาม

‘ใช่สิ ปฏิกิริยาเคมีของเขาและหล่อนพุ่งเข้าใส่กันอย่างรุนแรงจนน่าตกใจ ความรู้สึกบางอย่างที่ไม่เคยคิดว่ามีเกิดขึ้นมาได้เพียงแค่สบตากับผู้ชายนัยน์ตาหวานคนนั้น’

“บ้าเหรอ ไม่ใช่สักหน่อย ฉันก็แค่…”

“ก็แค่ไม่เคยเห็นผู้ชายคนไหนหล่อเท่าเขามาก่อนใช่ไหมล่ะ”

คำพูดรู้ทันของลินดาทำให้ยาหยีขัดเขินขึ้นมาอย่างรุนแรง หญิงสาวหน้าแดงก่ำ พร้อมๆ กับรีบจ้ำอ้าวเดินหนี แต่แม่เพื่อนตัวแสบก็ยังเดินตามมาล้อไม่ยอมเลิก

“ฉันว่าเธอกำลังตกหลุมรักนะลูกหยี”

“ไม่มีทาง ฉันไม่เคยคิดจะรักใคร” ยาหยีปฏิเสธเสียงแข็งอีกครั้ง แต่ลินดาก็ยังคาดคั้นไม่เลิก

“หัวใจเธอเต้นแรงใช่ไหมตอนได้สบตากับผู้ชายคนนั้นน่ะ แล้วเธอก็รู้สึกโหวงเหวงในช่องท้องด้วยใช่หรือเปล่า”

ยาหยีหยุดเดินทันที ขณะหันกลับมามองหน้าของเพื่อนสนิท ตกใจยิ่งนักที่ลินดาสามารถล่วงรู้อาการของหล่อนได้อย่างแม่นยำขนาดนี้

‘ใช่…หัวใจของหล่อนเต้นอย่างรุนแรงตอนที่สบตากับผู้ชายตาดุคนนั้น แถมท้องไส้ก็อึดอัด รุ่มร้อนอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน’

“ไม่ใช่…ฉันไม่ได้รู้สึกอะไรแบบนั้น” ตอบเสียงเรียบ ก่อนจะรีบก้าวหนีอีกครั้ง

“ไม่จริงหรอก ฉันมองออกว่าเธอตกหลุมรักผู้ชายคนนั้นเข้าจังเบ้อเร่อ อย่าปิดฉันเลยน่า ฉันเป็นกูรูทางด้านนี้เธอก็รู้นี่”

ลินดาพูดออกมาอย่างมั่นอกมั่นใจ ขณะรีบสาวเท้าตามยาหยีที่เดินแกมวิ่งหนีนำหน้าไปไกลแล้วด้วยความขบขัน

“พอพูดแทงใจดำเข้าหน่อย ทำเป็นฟังไม่ได้นะยายลูกหยี”

รถลีมูซีนสีดำเงาวับหลายคันแล่นมาจอดที่หน้าห้องแถวเดิมที่ยาหยีเคยพักอาศัย ชายในชุดสูทสีดำรีบกระโดดลงมาจากรถคันแรก มาโค้งคำนับให้กับคนที่อยู่ในรถคันที่สอง จากนั้นจึงค่อยๆ เปิดประตูรถออกอย่างนิ่มนวล

บุรุษร่างกายสูงใหญ่ในสูทสีเดียวกันกับคนอื่นๆ ก้าวลงมาด้วยท่าทางสง่างาม เส้นผมสีน้ำตาลเข้มปลิวสะบัดไปตามแรงลมที่พัดผ่าน และเมื่อแว่นตาสีดำถูกมือใหญ่กระชากออกไป ใบหน้าหล่อเหลาสุดสมบูรณ์แบบชัดเจนก็เด่นชัดขึ้น

“ว้าย! ผู้ชายอะไรหล่อจังเลย”

“นั่นสิ หล่อจนแทบละลาย”

“เท่ระเบิดเลย น่ากินชะมัด”

เสียงกรี๊ดกร๊าดจากบรรดาสาวๆ ที่โผล่หน้าออกมาจากห้องพักดังสนั่นขึ้น แต่คอร์เนลหาได้ใส่ใจกับกิริยาคลั่งไคล้ที่ผู้หญิงพวกนั้นแสดงออกมาไม่ เพราะชายหนุ่มเลือกที่จะพยักหน้าให้เซอร์เกเข้าไปหาข้อมูลของคนที่ตัวเองกำลังต้องการสืบหา โดยตัวเองเลือกที่จะยืนนิ่งอยู่ท่ามกลางวงล้อมของเหล่าบอดี้การ์ด

“ผมต้องการพบคุณยาหยี โรจน์มหามงคล เธอพักอยู่ที่ห้องไหนครับ”

เซอร์เกเลือกที่จะเอ่ยนุ่มๆ กับแม่สาวนางหนึ่งในกลุ่มสามคนที่กำลังยืนจ้องมองนายน้อยของเขาตาเป็นมันด้วยภาษาไทยที่สำเนียงค่อนข้างแปร่งเล็กน้อย ความจริงไม่ใช่แค่เขาคนเดียวหรอกที่พอจะสื่อสารภาษาไทยได้บ้าง แต่นายน้อยของเขา คอร์เนล ซีร์ยานอฟก็สามารถใช้ภาษาไทยได้เช่นเดียวกัน เนื่องจากนายน้อยถูกเลี้ยงดูมาจากแม่นมคนไทยที่อพยพตามสามีไปทำงานที่รัสเซีย

“ย้ายออกไปแล้วค่ะ” แม้จะแปลกใจที่ชายวัยกลางคนตรงหน้าสามารถสื่อสารภาษาไทยได้ แต่ก็เลือกจะตอบออกไป

“พอจะทราบไหมครับว่าย้ายไปอยู่ที่ไหน”

“พวกเราไม่รู้หรอก ไม่ได้สนิทกัน แค่เคยเห็นหน้าเท่านั้น เอ่อ…แต่ว่าผู้ชายหล่อๆ คนนั้นชื่ออะไรเหรอคะ ฉันอยากรู้จัก” หญิงตรงหน้าถามตรงๆ ขณะที่สายตาไม่ยอมเคลื่อนไปจากใบหน้าของคอร์เนลเลยแม้แต่วินาที

เซอร์เกอยากจะหัวเราะออกมากับท่าทางทอดสะพานเสริมใยเหล็กของพวกหล่อน เพราะต่อให้แม่คุณทั้งหลายแก้ผ้าแก้ผ่อน นายน้อยของเขาก็ไม่มีทางชายตาแลหรอก เพราะคนอย่างคอร์เนล ซีร์ยานอฟได้ชื่อว่าเป็นนักล่าตัวฉกาจ ดังนั้นนายน้อยของเขาไม่มีทางยอมถูกล่าอย่างแน่นอน

“ขอบคุณครับที่ตอบคำถามของผม”

เซอร์เกกล่าวขอบคุณ หมุนตัวจะเดินตรงไปที่รถ แต่แม่สาวๆ ก็วิ่งมาขวางหน้าจนเขาต้องหยุดเดินกะทันหัน

“บอกมาก่อนสิคะว่าผู้ชายรูปหล่อคนนั้นเป็นใคร ชื่ออะไร แล้วบ้านอยู่ที่ไหน”

เซอร์เกเป่าปากออกมาด้วยความรำคาญ แม้นี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่เจ้านายของเขาถูกแม่สาวๆ ตามตื๊อก็ตามที

“พวกคุณใช่นางงามจักรวาลหรือเปล่าครับ”

สาวน้อยนางหนึ่งรีบส่ายหน้า

“ไม่ใช่ค่ะ”

“แล้วพวกคุณใช่นางเอกดังจากฮอลลีวูดหรือเปล่าครับ”

คราวนี้อีกคนหนึ่งส่ายหน้าบ้าง

“ไม่ใช่ค่ะ เอ่อ…แต่ว่าทำไมคุณต้องตั้งคำถามแบบนี้ด้วยคะ”

เซอร์เกผุดรอยยิ้มเหยียดหยันขึ้นมาที่มุมปาก ขณะกวาดตามองตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าของแม่สามสาวตรงหน้า

“ถ้าไม่ใช่ ก็เลิกฝันไปเถอะครับ เพราะผู้หญิงที่มีสิทธิ์เข้าใกล้นายน้อยของผมได้ต้องไม่ใช่ผู้หญิงติดดินแบบพวกคุณ”

“นี่คุณ…”

เซอร์เกไม่คิดจะใส่ใจกับวาจาของแม่สามสาวนั่นอีก เขารีบก้าวยาวๆ เข้ามารายงานสิ่งที่พึ่งรับรู้มาให้กับคอร์เนลฟังทันที

“เธอย้ายไปแล้วครับ นายยอดชายน่าจะส่งข่าวเรื่องที่เราจะตามมาให้เธอทราบ”

คอร์เนลไม่ได้พูดอะไรออกมากับความล้มเหลวนั้น ชายหนุ่มเลือกที่จะก้าวขึ้นไปนั่งบนรถลีมูซีนคันงาม ก่อนจะสั่งให้ลูกน้องขับรถออกไปทันที

วอดก้าในแก้วใบสวยถูกสาดใส่คอของคอร์เนลจนหมดเกลี้ยง ก่อนที่ร่างสูงใหญ่ในชุดลำลองสีไข่ไก่จะลุกขึ้นจากโซฟาราคาแพงระยับในห้องนั่งเล่นส่วนตัว เดินออกไปยืนรับลมที่ระเบียงไม้ร่มรื่น นัยน์ตาคมกริบประดุจใบมีดโกนจับจ้องไปยังสวนสวยของคฤหาสน์หลังงามทรงวิกตอเรียนด้วยความชื่นชม ในสมองไม่มีความคิดเสียดายเงินสดเกือบสามร้อยล้านบาทที่ตัวเองพึ่งจ่ายให้กับเจ้าคฤหาสน์คนเดิมเมื่อสิบแปดชั่วโมงที่ผ่านมาเลยแม้แต่นิดเดียว

แม้คฤหาสน์หลังนี้จะโอ่อ่ากว้างขวางไม่ถึงหนึ่งในสิบของคฤหาสน์ซีร์ยานอฟในกรุงมอสโกเลยก็ตาม แต่มันก็คงจะช่วยให้เขามีที่พักสบายๆ ในช่วงเวลาสิบกว่าวันต่อจากนี้ ที่เขาจะใช้ลากคอไอ้คนทรยศอย่างนายยอดชายมาลงโทษ

“นายน้อยครับ” เสียงเซอร์เกเอ่ยขึ้นเบาๆ ที่หน้าประตูห้อง

“เวลานี้นายน่าจะนอนอยู่บนเตียงแล้วไม่ใช่หรือ” คอร์เนลหัวเราะออกมาเบาๆ ทั้งๆ ที่ยังยืนจ้องสวนสวยอยู่เช่นเดิม

เซอร์เกขยับเข้ามาใกล้ๆ ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล

“ผมเป็นห่วงนายน้อยครับ”

“ห่วงฉัน?” คราวนี้คอร์เนลหันกลับมาจ้องหน้าคู่สนทนานิ่ง ยิ้มจางๆ ที่มุมปาก

“คนอย่างฉันมีอะไรให้นายต้องมาคอยห่วงอีกหรือเซอร์เก ฉันไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะ โตเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวมาตั้งหลายปีแล้ว”

“นายน้อยไม่เคยไม่ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ แต่วันนี้เรื่องของผู้หญิงคนนั้นทำให้นายน้อยผิดหวัง หล่อนหนีไปอยู่ที่อื่น”

ยิ่งพูดน้ำเสียงของเซอร์เกก็ยิ่งเต็มไปด้วยความวิตกกังวล จนคนฟังอย่างคอร์เนลต้องรีบหยุดความเข้าใจผิดนั้นซะ

“อยู่กันมาตั้งนานยังไม่รู้อีกหรือว่า ฉันไม่ได้รู้สึกอะไรเลยกับเหตุการณ์ในวันนี้ หรือถ้ามีก็แค่รำคาญแม่ผู้หญิงพวกนั้นนิดหน่อยเท่านั้น” หนุ่มหล่อเดินกลับมาทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟานุ่มตัวเดิม เซอร์เกเดินตามมาหยุดก้มศีรษะอยู่ใกล้ๆ

“แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เราทำงานผิดพลาด”

คอร์เนลหรี่ตามองคนสนิทต่างวัย ก่อนจะระบายยิ้มร้ายกาจออกมา

“ไม่มีอะไรผิดพลาดหรอกเซอร์เก ผู้หญิงคนนั้นไม่มีปัญญาหนีฉันพ้นหรอก”

“อย่าบอกนะครับว่านายน้อยรู้แล้วว่าจะไปตามเธอได้จากที่ไหน” น้ำเสียงของเซอร์เกอัดแน่นไปด้วยความประหลาดใจ

คอร์เนลระบายยิ้มเย็นๆ ออกมาขณะหยิบแก้วใบสวยที่เซอร์เกพึ่งรินวอดก้าใส่ให้ขึ้นมาดื่มจนหมดแก้ว มือใหญ่วางแก้วลงกับโต๊ะไม้มะฮอกกานีตรงหน้า ก่อนจะเงยหน้าพูดกับคนสนิท

“พรุ่งนี้เราจะได้ในสิ่งที่ต้องการ”

“ครับนายน้อย”

เซอร์เกรับคำเสร็จก็จะถอยหลังก้าวออกไปจากห้องนั่งเล่นเพื่อปล่อยให้คอร์เนลอยู่ตามลำพัง แต่ก็ถูกเจ้าของห้องเรียกเอาไว้เสียก่อน

“จะไปไหนล่ะเซอร์เก มาแล้วก็อยู่ดื่มด้วยกันก่อนสิ วันนี้ฉันรู้สึกเหงา”

คนสนิทหันกลับมา กำลังจะนั่งกับพื้นพรมแต่ก็ถูกคอร์เนลสั่งห้ามเสียงเฉียบ พร้อมๆ กับผายมือไปที่โซฟานุ่มตรงหน้า

“บอกกี่ครั้งแล้วว่าฉันไม่ชอบปกครองคนอย่างทาส ขึ้นมานั่งด้วยกันนี่ เร็วเข้า”

“ขอบคุณครับนายน้อย”

เซอร์เกรีบกล่าวขอบคุณ พร้อมๆ กับทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาตัวตรงข้ามกับเจ้านายหนุ่ม เขาเลือกจะทำหน้าที่รินวอดก้าราคาแพงให้กับคอร์เนลโดยที่ตัวเองไม่คิดจะดื่มแม้แต่หยดเดียว

“จะไม่ดื่มหรือเซอร์เก”

เซอร์เกส่ายหน้าช้าๆ

“นายน้อยก็รู้ว่าผมเลิกดื่มมันนานแล้ว”

ชายวัยเฉียดเกษียณหวนคิดถึงความทรงจำของตัวเองในอดีต เพราะเหล้าทำให้เขาต้องสูญเสียภรรยาอันเป็นที่รักไปอย่างไม่มีวันกลับ

คอร์เนลพยักหน้ารับอย่างเข้าใจในความรู้สึกของคนสนิท

เซอร์เกเห็นนายน้อยของตัวเองนั่งดื่มเงียบๆ ก็เริ่มชวนคุย

“ถ้านายน้อยเหงา ทำไมไม่แต่งงานสักทีล่ะครับ ผมว่านายน้อยน่าจะมีความสุขมากกว่านี้”

หนุ่มหล่อส่ายหน้าช้าๆ

“นายก็รู้นี่เซอร์เก ว่าพวกผู้หญิงน่ารังเกียจมากแค่ไหน พวกหล่อนติดป้ายราคาค่าตัวของตนเองไว้ที่หน้าผากยามที่เยื้องย่างเข้ามาหาผู้ชาย ยอมขายศักดิ์ศรีเพื่อแลกกับเงินทอง ฉันยอมทนเหงาอยู่คนเดียวเสียดีกว่าต้องลดตัวลงไปเกลือกกลั้วกับผู้หญิงพวกนั้น”

“แต่ไม่ใช่ทุกคนหรอกครับนายน้อย ผู้หญิงดีๆ ก็ยังมีอยู่ในโลกใบนี้ อย่างเช่นคุณแม่ของนายน้อยและภรรยาของผม” เซอร์เกพยายามโน้มน้าว แต่คอร์เนลมีอคติกับผู้หญิงเกินกว่าจะทำได้สำเร็จ

“หนึ่งในล้าน หรือหนึ่งในสิบล้านคนกันล่ะ ไม่เอาแล้วเซอร์เก เลิกพูดเรื่องนี้เถอะ เดี๋ยวจะเสียบรรยากาศซะเปล่า”

คอร์เนลตัดบทเสียงเรียบ ยกแก้ววอดก้าขึ้นดื่มอึกใหญ่ แล้วก็เหมือนจะนึกอะไรได้จึงหันมาพูดกับคนสนิทที่นั่งอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง

“ไปนอนเถอะเซอร์เก ฉันชักอยากอยู่คนเดียวแล้วล่ะ”

“ครับนายน้อย…” เซอร์เกลุกขึ้น ก้มศีรษะให้ ก่อนจะเดินจากไปอย่างเงียบๆ

หนุ่มรัสเซียถอนใจออกมาแรงๆ เมื่ออยู่ตามลำพัง สมองกำลังครุ่นคิดเกี่ยวกับคำพูดของคนสนิทอย่างเอาเป็นเอาตายทีเดียว

แต่งงาน?

คำๆ นี้ไม่เคยอยู่ในหัวของเขามาก่อน พอๆ กับที่เขาไม่เคยเจอผู้หญิงที่ถูกใจนั่นแหละ ทุกคนที่ผ่านมาก็แค่เป็นที่ระบายความอึดอัดบนเตียงเท่านั้น ไม่มีใครทำให้เขาติดใจจนต้องเรียกกลับมาใช้ซ้ำสองเลยแม้แต่คนเดียว

แต่เขาก็มีความสุขแล้วไม่ใช่หรือ ที่เวลาทุกหยาดหยดหมดไปกับงานกองพะเนินของธุรกิจในเครือซีร์ยานอฟที่ตัวเองดูแลอยู่ทั้งหมด คอร์เนลถามตัวเองและก็ยิ้มออกมาเมื่อได้คำตอบที่พึงพอใจ ถูกต้องที่สุด ผู้หญิงเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยปรารถนาในชีวิต

หนุ่มหล่อปานเทพบุตรยกแก้ววอดก้าขึ้นดื่มอีกครั้ง ก่อนจะวางแก้วใบสวยลงบนโต๊ะไม้มะฮอกกานีตรงหน้าอีกครั้ง จากนั้นร่างสูงใหญ่เกือบร้อยเก้าสิบเซนติเมตรของคอร์เนลก็ผุดลุกขึ้นยืนตระหง่าน ช่วงขาเพรียวกำยำก้าวพาเจ้าของร่างมุ่งสู่ห้องนอนที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของคฤหาสน์ทันที

“ว่ายังไงนะ เธอจะย้ายมาอยู่ห้องเดียวกับฉันเหรอลูกหยี”

ยาหยีรีบยกมือขึ้นปิดปากของลินดาเพื่อนสาวคนสนิทที่เรียนอยู่คณะศิลปศาสตร์ เอกภาษารัสเซียด้วยกัน เมื่อเจ้าหล่อนเล่นตะเบ็งเสียงข้องใจนั้นออกมาดังสนั่น จนบรรณารักษ์วัยกลางคนที่นั่งอยู่ด้านหน้าของห้องสมุดขยับแว่นตาจ้องมองมาด้วยสายตาตำหนิติเตียน

“ชู่ว์…เบาๆ หน่อยสิลินดา เดี๋ยวก็ถูกโยนออกจากห้องสมุดกันพอดี”

ลินดายกมือขึ้นปิดปาก ปรายตามองบรรณารักษ์จอมเฮี้ยบนิดหนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบากว่าเดิมมากมายออกมา

“ก็ฉันตกใจนี่ ว่าแต่ทำไมถึงอยากมาอยู่กับฉันล่ะ ในเมื่อชวนมาตั้งแต่ปีแรกก็ไม่เห็นจะยอมมาเลย แล้วตอนนี้อะไรดลใจยะ”

ยาหยีถอนใจออกมาแรงๆ อยากจะบอกเพื่อนสนิทออกไปเกี่ยวกับความลับของตัวเอง แต่ก็ไม่กล้าเพราะบิดาได้สั่งห้ามเอาไว้ จึงต้องตอบเลี่ยงๆ ออกไป

“ก็…ฉันอยากอยู่ใกล้ๆ เธอยังไงล่ะ คบกันมาตั้งนานแล้ว ก็เลยอยากอยู่ใกล้ๆ”

“เฮ้ย! คงไม่ได้เกิดพิศวาสฉันขึ้นมาใช่ไหมลูกหยี” แม่ลินดารีบเขยิบตัวหนีทันที ยาหยีรีบส่ายหน้าปฏิเสธความคิดบ้าบอของเพื่อนสนิท

“จะบ้าหรือไง ฉันไม่ใช่พวกเลสเบี้ยนสักหน่อย ที่อยากมาอยู่ด้วยก็เพราะว่า…อยากมีเวลามาทำรายงานในห้องสมุดให้มากกว่าเดิมเท่านั้นเอง…เอาน่าลินดา ฉันสัญญาว่าจะไม่อยู่ห้องตอนที่เธอกับคู่รักของเธอพลอดรักกัน โอเคไหม”

ลินดาได้ฟังคำยืนยันจากเพื่อนสาวแล้วก็ถอนใจออกมาด้วยความโล่งอก ขยับตัวกลับมานั่งใกล้ๆ กับยาหยีเหมือนเดิม ก่อนจะยิ้มกว้างออกมา

“ถึงเธอจะอยู่ด้วย ฉันกับโกวิทก็สามารถโจ๊ะพรึมๆ กันได้น่า ว่าแต่เธอเถอะจะทนฟังเสียงร้องของฉันกับโกวิทได้หรือเปล่าก็เท่านั้นเอง”

คนพูดหัวเราะออกมา เมื่อเห็นแม่เพื่อนสาวแสนไร้เดียงสาอย่างยาหยีแก้มแดงก่ำ หล่อนรู้ดีว่าตอนนี้สมองของยาหยีจินตนาการไปถึงเรื่องอะไร

“นี่ถามจริงๆ เถอะ ไม่คิดอยากลองมีเซ็กส์บ้างหรือลูกหยี สนุกนะ สนุกสุดๆ ไปเลยล่ะ”

คนถูกถามที่หน้าแดงก่ำยิ่งกว่าลูกตำลึงสุกรีบส่ายหน้าพรืด ก้มมองหนังสือในมือ ลินดาเห็นท่าทางขัดเขินเอียงอายของยาหยีแล้วก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ ยาหยีจะแสดงอาการไม่อยากรับรู้ ไม่อยากพูดถึงทุกครั้งเลย ยามที่หล่อนชวนคุยเรื่องเซ็กส์

น่าแปลกนักที่ผู้หญิงสวยหวานอย่างยาหยีจะไม่เคยแม้แต่จะถูกผู้ชายจูบปากมาก่อนเลยสักครั้งในชีวิต ใช่ว่ายาหยีจะไม่มีผู้ชายเข้ามาจีบ ตรงกันข้ามกลับมีหนุ่มๆ มาต่อแถวยาวราวกับหางว่าวเลยต่างหาก แต่ทุกคนก็ต้องล่าถอยเพราะแม่เพื่อนสาวคนสวยคนนี้ไม่สนองตอบ แถมยังเย็นชาใส่ผู้ชายทุกคนที่ก้าวเข้ามา ตั้งแต่ปีหนึ่งจนตอนนี้อยู่ปีสามเข้าไปแล้ว แม่ยาหยีเพื่อนรักก็ยังไม่เคยมีแฟนเลยแม้แต่คนเดียว

“ทำไมต้องหน้าแดงด้วยล่ะลูกหยี ฉันติดต่อให้ไหม หล่อรวยโปรไฟล์เลิศ เอาหรือเปล่า”

“ไม่เอาหรอก เธอเอาไปเองเถอะ ฉันอยากเรียนให้จบ ไม่อยากมีแฟน”

คำตอบของยาหยีทำเอาลินดาหัวเราะร่วน

“นี่ฉันมีเพื่อนเป็นคนตายด้านหรือเปล่านะ”

ตายด้านหรือ? ยาหยีครุ่นคิด ใช่…บางทีหล่อนอาจจะเป็นคนตายด้านก็ได้ เพราะหล่อนไม่เคยมีความรู้สึกลึกซึ้งกับผู้ชายคนไหนเลยแม้แต่คนเดียว ไม่ว่าจะหล่อ ดี เลิศเลอแค่ไหนก็ตาม ทุกคนเหมือนท่อนไม้สำหรับหล่อนทั้งนั้น

“บางทีฉันอาจจะตายด้านจริงๆ ก็ได้นะลินดา” ยอมรับออกไป ขณะก้มหน้าลงอ่านหนังสือหน้าที่เปิดค้างเอาไว้

“ถ้าเธอตายด้านนะ ผู้ชายทั้งโลกคงต้องร้องไห้เพราะความเสียดายอย่างแน่นอน” ลินดาทำสุ้มเสียงเสียดาย ก่อนจะตั้งข้อสังเกตที่ยาหยีคิดว่าบ้าบอขึ้นมาอีก

“แต่ฉันว่าเธอไม่ได้ตายด้านหรอกนะยาหยี บางทีเธอจะยังไม่เจอผู้ชายที่ใช่ก็เป็นได้”

ยาหยีเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนรักด้วยท่าทางครุ่นคิด

“คนที่ใช่เหรอ?”

“ใช่ คนที่ใช่สำหรับเธอไง ผู้ชายที่จะทำให้เธอละสายตาจากเขาไม่ได้เลยแม้แต่วินาทีเดียว ผู้ชายที่จะทำให้เธอเร่าร้อน วิงวอน ร้องขอในสิ่งที่เธอคิดว่าตัวเองไม่มี และเขาคนนั้นก็จะพาเธอล่องลอยเที่ยวชมสวนสวรรค์โดยที่เธอไม่มีทางปฏิเสธได้ และ…” ลินดายังพูดไม่ทันจบ ก็ถูกยาหยีแทรกขึ้น น้ำเสียงเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ

“และผู้ชายคนนั้นไม่มีอยู่จริง”

“มีอยู่จริงสิลูกหยี แต่เธออาจจะเจอช้ากว่าฉันเท่านั้นเอง”

ยาหยีตั้งท่าจะแย้งขึ้นมาอีก แต่ก็เปลี่ยนใจก้มหน้าลงมองหนังสือหน้าเดิมที่ตัวเองอ่านเท่าไรก็ไม่ยอมจบสักทีแทน สมองทำงานหนักกว่าที่เคย เมื่อคำพูดของลินดาฝังแน่นลงไปในเนื้อสมอง

“มีอยู่จริงสิลูกหยี แต่เธออาจจะเจอช้ากว่าฉันเท่านั้นเอง”

มีจริงๆ หรือผู้ชายที่จะทำให้หล่อนรู้สึกประหลาดอย่างที่ลินดาว่า ผู้ชายที่จะทำให้หล่อนโหยหาได้แต่เพียงสบตา จะมีอยู่บนโลกใบนี้จริงๆ หรือ

ร่างอรชรที่ยังอยู่ในชุดนักศึกษาของยาหยีกระโดดเข้ากอดบิดาของตัวเองที่ไม่ได้เห็นหน้าเห็นตากันนานเกือบสองปีด้วยความคิดถึงจับใจ

“พ่อจริงๆ ด้วย ลูกหยีคิดถึงคุณพ่อเหลือเกิน”

สาวน้อยหอมแก้มซ้ายหอมแก้มขวาของบิดาด้วยความคิดถึงจับใจ กอดร่างของชายที่เรียกว่าพ่อแน่น น้ำหูน้ำตาแห่งความดีใจไหลพรากออกมา

“พ่อ…ลูกหยีคิดถึงพ่อเหลือเกิน”

ยอดชายปล่อยให้ลูกสาวกอดหอมตัวเองจนหนำใจแล้ว จึงดันร่างอรชรของบุตรสาวออกห่าง จ้องมองใบหน้าสวยหวานที่ไม่ผิดเพี้ยนไปจากภรรยาที่เสียไปแล้วเลยแม้แต่นิดเดียวด้วยความรักใคร่

“พ่อคิดถึงลูกหยีนะ คิดถึงมาก”

ยาหยียิ้มกว้าง ดึงร่างของบิดาให้ตามตัวเองมานั่งบนโซฟาตัวกะทัดรัดริมห้องเช่าขนาดเล็กของตัวเอง จากนั้นก็รีบวิ่งไปรินน้ำเย็นใส่แก้วมาให้บิดา

“น้ำค่ะพ่อ”

“ขอบใจจ้ะลูกหยี”

ยอดชายรับน้ำขึ้นมาดื่ม ใบหน้าของเขาไม่ได้แสดงท่าทางมีความสุขออกมาเลยแม้แต่นิดเดียว จนลูกสาวต้องเอ่ยถามด้วยความแปลกใจกับท่าทางลุกลี้ลุกลนของบิดา

“พ่อทำท่าเหมือนกำลังหนีใครอยู่”

“ปละ…เปล่านี่ ลูกหยีคิดมากไปหรือเปล่า”

ผู้เป็นบิดาปฏิเสธเสียงมีพิรุธ และนั่นก็ยิ่งทำให้ยาหยีสงสัยมากขึ้นไปอีก สาวน้อยทรุดตัวลงนั่งข้างๆ ร่างของยอดชาย

“แต่พ่อมองออกไปทางประตูตลอดเวลาเลยนะคะ แล้วพ่อก็ทำหน้าเครียด มีอะไรให้ลูกหยีช่วยหรือเปล่าคะพ่อ บอกลูกหยีได้นะคะ”

ยาหยีวางมือของตัวเองลงบนมือของบิดา แล้วก็ต้องตกใจเมื่อมือของบิดานั้นเย็นเฉียบราวกับพึ่งไปจับน้ำแข็งมา

“ทำไมมือพ่อเย็นนักล่ะคะ”

ยอดชายรีบดึงมือของตัวเองออกจากมือนุ่มของบุตรสาว แล้วรีบเปลี่ยนเรื่องคุยทันที

“เงินที่พ่อส่งมาให้พอกับค่าใช้จ่ายของลูกหยีหรือเปล่า เอ่อ…แล้วเมื่อวันก่อนพ่อก็โอนเงินเข้าบัญชีให้ลูกหยีอีกก้อนหนึ่ง ไปอัพสมุดดูหรือยัง”

ยาหยีจ้องหน้าบิดาเขม็ง

“ลูกหยีว่าจะโทรไปถามพ่ออยู่พอดี เงินตั้งสิบล้านบาทที่พ่อโอนมาให้ลูกหยีเมื่อวันก่อน พ่อไปเอามันมาจากที่ไหนคะ”

สาวน้อยคาดคั้นด้วยต้องการรู้ความจริง หล่อนไม่เชื่อหรอกว่าการทำงานเป็นลูกน้องของนักธุรกิจชาวรัสเซียคนหนึ่งจะได้เงินมากมายขนาดนี้ พ่อของหล่อนต้องมีอะไรปิดบังอยู่อย่างแน่นอน

“เงินเดือนของพ่อไง”

“ลูกหยีไม่เชื่อหรอกค่ะ เงินเดือนของพ่อโอนมาให้ลูกหยีตั้งแต่ต้นเดือนแล้วนี่คะ แล้วอีกอย่างเงินเดือนของพ่อก็แค่หกแสนบาท ไม่ใช่สิบล้านบาทอย่างที่พ่อโอนมาให้ลูกหยีเมื่อวันก่อนสักหน่อย บอกมานะคะว่าพ่อไปเอาเงินพวกนี้มาจากไหน”

ยอดชายอึ้งไปนานกับคำถามคาดคั้นของบุตรสาว

“โบนัสของพ่อยังไงล่ะลูกหยี กิจการของนายน้อยไปได้สวย ท่านก็เลยแจกโบนัสให้ลูกน้องทุกคน นี่ยังมีคนได้เยอะกว่าพ่ออีกตั้งหลายคนนะจะบอกให้”

คิ้วเรียวดุจคันศรของยาหยีเลิกขึ้นสูงด้วยความเหลือเชื่อ

“โบนัสเป็นสิบๆ ล้านเนี่ยนะคะ ลูกหยีไม่อยากจะเชื่อเลย”

เมื่อเห็นลูกสาวไม่มีทีท่าว่าจะยอมเชื่อง่ายๆ ยอดชายจึงต้องใช้ไม้สุดท้าย

“อย่าบอกนะว่าลูกหยีคิดว่าพ่อเป็นหัวขโมย ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าพ่อจะเลวในสายตาของลูกหยีขนาดนี้”

เมื่อเห็นท่าทางเสียอกเสียใจของบิดา ยาหยีก็ตกใจ แล้วรีบปฏิเสธเป็นพัลวัน

“ไม่ใช่นะคะ ลูกหยีไม่ได้คิดแบบนั้น ลูกหยีแค่แปลกใจ”

ยอดชายระบายยิ้มออกมา เอื้อมมือมากุมมือนุ่มของบุตรสาวเอาไว้แน่น

“พ่อทนให้คนอื่นมองไม่ดีได้ แต่พ่อทนให้ลูกหยีสุดที่รักของพ่อมองพ่อแบบคนร้ายไม่ได้ ลูกหยีต้องสัญญากับพ่อนะ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ลูกหยีจะต้องเชื่อพ่อ จะต้องไว้ใจพ่อ อย่าเชื่อคำพูดของคนอื่น นอกจากพ่อคนเดียว”

“พ่อพูดแปลกจังค่ะ พูดเหมือนจะมีอะไรเกิดขึ้นอย่างนั้นแหละ”

ยาหยีถามออกมาด้วยความเคลือบแคลงใจ บิดาของหล่อนทำท่าทำทางแปลกๆ ตั้งแต่โผล่เข้ามาเมื่อครู่นี้ แล้วตอนนี้ยังมาพูดจาแปลกๆ อีก นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันนะ หรือว่าพ่อของหล่อนกำลังถูกใครตามล่า

“พ่อคะ พ่อคงไม่ได้ถูกใครตามฆ่าใช่ไหมคะ”

ใบหน้านวลซีดเผือดเมื่อถามคำถามนี้ออกไป ซึ่งมันก็ซีดขาวพอๆ กับใบหน้าของยอดชายในขณะนี้นั่นแหละ

“ทำไมลูกหยีถึงคิดแบบนั้นล่ะ ทำไมถึงคิดว่าพ่อจะต้องถูกตามฆ่า”

“ก็พ่อเคยบอกให้ลูกหยีฟังว่าเจ้านายของพ่อเป็นลูกชายของมาเฟียเก่า บางทีพ่ออาจจะทำอะไรผิดมา แล้วเขาก็ส่งคนมาตามฆ่า”

“ไม่มี…ไม่มีหรอก พ่อไม่ได้ทำอะไรผิด”

ยาหยีมองบิดาที่ตอนนี้ผุดลุกขึ้นยืนด้วยความประหลาดใจ หญิงสาวลุกขึ้นตาม ก่อนจะเอ่ยถามทันที

“พ่อจะไปไหนคะนั่น ไม่อยู่กับลูกหยีหรือคะ”

“พ่อต้องไปทำงานที่อื่นสักระยะหนึ่ง แต่อีกไม่นานหรอกลูกหยี เราจะได้อยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตาพ่อลูก”

ยอดชายดึงร่างอรชรของบุตรสาวแสนสวยของตัวเองเข้าไปกอดแนบอก ยกมือขึ้นลูบศีรษะทุยได้รูปสวยของยาหยีด้วยความรักสุดซึ้ง ในใจก็ภาวนาให้คอร์เนลยังยึดติดกับกติกาเดิม นั่นก็คือไม่ใช้กำลังข่มเหงคนในครอบครัวของศัตรูเหมือนดั่งเช่นที่คอร์เนลเคยปฏิบัติมาตลอดชีวิต

“แล้วเมื่อไรพ่อจะมาหาลูกหยีอีกล่ะคะ”

ยาหยีน้ำตาไหลพรากกับอกของบิดา หล่อนรักท่านเหลือเกิน ทั้งรักทั้งบูชากับความเสียสละของท่าน พ่อทำงานทุกอย่างเพื่อส่งให้หล่อนได้เรียนหนังสือสูงๆ และหากว่าหล่อนเรียนจบเมื่อไร พ่อของหล่อนจะไม่มีวันต้องเหนื่อยอีก หล่อนจะเลี้ยงท่านเอง จะดูแลท่านให้ดีที่สุด เหมือนกับที่ท่านทำเพื่อหล่อนมาตลอดชีวิต

“อีกไม่นานลูกหยี…อีกไม่นาน…” ยอดชายแกะมือลูกสาวออกจากตัว และถอยออกห่าง มองหน้ายอดดวงใจอีกครั้งด้วยความรัก

“พ่อต้องรีบไปแล้ว ลูกหยีต้องดูแลตัวเองดีๆ นะลูก และหากลูกหยีรักพ่อ ลูกหยีจะต้องรีบย้ายที่พักให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ วันนี้พรุ่งนี้เลยยิ่งดี”

“ทำไมล่ะคะพ่อ ทำไมลูกหยีถึงต้องย้ายห้องด้วยล่ะคะ”

“พ่อไม่มีคำตอบให้หรอก แต่ถ้าหากลูกหยีรักพ่อ ลูกหยีต้องรับปากว่าจะย้ายห้องให้เร็วที่สุด รับปากสิลูกหยี รับปากกับพ่อ”

ยาหยียกมือขึ้นป้ายน้ำตาทิ้ง พยายามไล่ความสงสัยของตัวเองให้กลับเข้าไปในอกตามเดิม ก่อนจะพยักหน้ารับคำสั่งจากบิดา

“ค่ะ พรุ่งนี้ลูกหยีจะย้ายไปอยู่หอพักในมหาวิทยาลัยกับเพื่อน พ่อสบายใจได้เลยค่ะว่าลูกหยีของพ่อคนนี้จะปลอดภัยจากอะไรก็ตามที่พ่อกำลังกลัว”

ยอดชายระบายยิ้มบางๆ ให้กับบุตรสาว พร้อมๆ กับเหลือบตามองนาฬิกาข้อมือของตัวเองด้วยท่าทางกระวนกระวาย

“ขอบใจมากลูกหยี พ่อคงต้องไปแล้ว”

“พ่อคะ ลูกหยีรักพ่อนะคะ”

ยาหยีโผเข้ากอดบิดาอีกครั้ง คราวนี้น้ำตาหลั่งรินออกมาถล่มทลาย ยอดชายปลอบบุตรสาวทั้งน้ำตา อยากจะอยู่กินข้าวด้วยสักมื้อ แต่ก็ทำดั่งใจปรารถนาไม่ได้ เพราะรู้ดีว่าคอร์เนลยิ่งใหญ่และกว้างขวางแค่ไหน คงไม่นานหรอกคอร์เนลก็จะต้องรู้ว่าเขาหนีมากบดานที่เมืองไทย และบัดนั้นการไล่ล่าก็จะต้องเกิดขึ้น

“พ่อต้องไปแล้วจริงๆ ลูกหยี”

ยอดชายดันร่างอรชรออกห่าง หมุนตัวเดินลิ่วไปที่ประตูห้องพักของบุตรสาว ยาหยีรีบวิ่งตามไปคว้าแขนของบิดาเอาไว้

“พ่อต้องสัญญานะคะว่าจะกลับมาหาลูกหยีเร็วๆ”

ผู้เป็นพ่อค่อยๆ หันกลับมา พร้อมๆ กับยื่นกระดาษแผ่นเล็กๆ ใบหนึ่งให้กับบุตรสาว

“พ่อสัญญาจ้ะลูกหยี”

ยาหยีหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมามองแล้วก็ต้องถามออกไปด้วยความแปลกใจ

“เบอร์โทรศัพท์นี่คะ อย่าบอกนะว่าพ่อจะเปลี่ยนเบอร์”

ยอดชายพยักหน้ารับ

“หากไม่จำเป็นก็อย่าติดต่อพ่อนะลูกหยี พ่อไปก่อนนะ แล้วเจอกัน”

บิดาเปิดประตูห้องและเดินออกไปแล้ว แต่ยาหยีก็ยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม สมองสับสนงงงวยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเหลือเกิน พ่อของหล่อนทั้งพูดทั้งแสดงท่าทางมีพิรุธหลายอย่าง ทำตัวหวาดระแวงเหมือนกับกำลังถูกตามไล่ล่าอย่างนั้นแหละ แถมยังสั่งให้หล่อนย้ายที่พักอีกต่างหาก นี่มันเกิดอะไรขึ้นนะ พ่อของหล่อนไปทำอะไรไม่ดีเอาไว้หรือเปล่า

ยาหยีคิดจนหัวแทบแตกก็คิดไม่ออก ทำได้แค่เพียงเดินกลับมาทิ้งตัวที่โซฟาริมห้องพักของตัวเองเท่านั้น

คฤหาสน์หรูสไตล์นีโอคลาสสิกบนเนื้อที่กว่า 180 เอเคอร์แทรกอยู่กลางแมกไม้อันเขียวขจีย่านชานเมืองของกรุงมอสโก ประเทศรัสเชีย เจ้าของคือคอร์เนล ซีร์ยานอฟ เจ้าพ่อยักษ์ใหญ่แห่งวงการโทรคมนาคม คอร์เนลเป็นบุตรชายของวีแลน ซีร์ยานอฟ อดีตมาเฟียผู้ยิ่งใหญ่ในกรุงมอสโก หลังจากบิดาถูกคู่อริลอบสังหารจนเสียชีวิต คอร์เนลก็จำต้องเข้ามามีบทบาทในธุรกิจของตระกูลซีร์ยานอฟอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง

แม้จะไม่ชอบ แม้จะรังเกียจ แต่ก็ต้องทำเพื่อความอยู่รอด และการเข้ามาบริหารงานของเขาในครั้งนี้นั้นไม่ได้ยึดถือกฎเกณฑ์อันธพาลของพวกมาเฟียรุ่นเก่าๆ เอาไว้อีกเลย

คอร์เนลละเลิกทุกอย่างที่ผิดกฎหมายที่บิดาเคยทำไว้ ไม่ว่าจะเป็นบ่อนการพนัน สินค้าหนีภาษี การเรียกเก็บค่าคุ้มครอง หรือแม้แต่สถานบันเทิงที่มีการค้าประเวณี ธุรกิจสกปรกพวกนี้ถูกยกเลิกไปตั้งแต่เขาก้าวเท้ามาบริหารงานแทนบิดาที่เสียไป

และเพียงไม่กี่ปีคอร์เนลก็สามารถผงาดขึ้นมาเป็นผู้นำของวงการโทรคมนาคมของโลกตะวันตกทั้งหมดได้อย่างน่าทึ่ง การบริหารคนด้วยสมอง การตอบโจทย์ธุรกิจยากๆ และการชิงไหวชิงพริบในสนามแข่งขัน เป็นสิ่งที่เขาคลั่งไคล้ คอร์เนลสนุกกับการบดขยี้คู่แข่งด้วยกลยุทธ์ที่แยบยล ทำให้คู่แข่งไม่มีโอกาสแม้แต่จะร้องอุทธรณ์

ชายหนุ่มโหดเหี้ยม เลือดเย็น และไร้หัวใจอย่างที่สุดเมื่อก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำของตระกูลซีร์ยานอฟ ไม่มีใครขวางทางของเขาได้ ไม่ว่าเขาต้องการอะไร ทุกอย่างเหล่านั้นก็ต้องมากองอยู่แทบเท้า แต่ตอนนี้สิ่งที่เขากำลังต้องการที่สุดก็คือ…

คนทรยศ!

“ตามมันเจอไหม?”

“ไม่เจอเลยครับนาย ผมหาจนทั่วแล้วครับ”

เซอร์เกคนสนิทของคอร์เนลก้มหน้ารายงานด้วยน้ำเสียงยำเกรง อารมณ์ของหนุ่มหล่อตรงหน้านั้นร้อนและแรงแค่ไหน เขารู้ดีกว่าใครทั้งนั้น เพราะทำงานด้วยกันมาหลายปี ตั้งแต่คอร์เนลยื่นมือเข้าไปช่วยชีวิตบุตรสาวของเขาจากไอ้มาเฟียกระจอกเมื่อห้าปีก่อน เขาก็ได้ให้สัญญากับตัวเองว่าจะจงรักภักดีต่อคอร์เนลไปตลอดชีวิต

“ระยำ! พวกนายทำงานประสาอะไรฮ้า! แค่คนต่างชาติคนเดียวก็หาไม่เจอ ทำงานกันแบบนี้มันน่าเอายิงทิ้งนัก”

เซอร์เกรู้ดีว่านายน้อยรูปหล่อปานเทพบุตรของตนเองไม่มีทางทำอย่างที่พูดแน่ เพราะคอร์เนลไม่ชอบตัดสินปัญหาด้วยวิธีที่รุนแรง มือของคอร์เนลไม่เคยเปื้อนเลือด พอๆ กับที่คอร์เนลไม่เคยสั่งให้ลูกน้องอย่างพวกเขาไปทำร้ายศัตรูนั่นแหละ นายน้อยของเขาใช้สมองทุกครั้งในการต่อสู้ ไม่ว่าจะในสนามชีวิต หรือจะในสนามของธุรกิจ และคอร์เนลก็สามารถกำชัยชนะเอาไว้ได้ทุกครั้งอย่างน่าทึ่ง

“สนามบิน ไปตามที่นั่นหรือยัง มันอาจจะกลับเมืองไทย…”

นายน้อยของเขาเดินงุ่นง่านด้วยโทสะแรงกล้า ก็น่าจะโมโหอยู่หรอก เพราะตั้งแต่เกิดมาคอร์เนลยังไม่เคยถูกลูบคมแบบนี้มาก่อนเลยนี่นา และสิ่งที่เจ้าหมอนั่นขโมยไปนั้นเป็นเพชรสีทองน้ำงามที่แทบจะเรียกว่าหายากที่สุดในโลกก็ว่าได้ คอร์เนลรักมันมากพอๆ กับความรักที่มีต่อน้องสาวคนสวยของตัวเองนั่นแหละ

“ผมไปตามแล้วครับ แต่หามันไม่เจอ คาดว่าพวกเซอร์คอฟอาจจะให้ความช่วยเหลือก็เป็นไปได้ครับ เพราะเพชรสีทองนั้นเป็นสิ่งที่ตระกูลใหญ่ๆ ทั้งหลายต้องการครอบครองเช่นกัน โดยเฉพาะพวกเซอร์คอฟ”

คิ้วดกดำที่ยาวขนานไปกับดวงตาคมกริบสีเขียวมรกตเลิกขึ้นน้อยๆ

“นายกำลังสงสัยดินิย่าร์อย่างนั้นหรือ?”

“ถึงแม้นายน้อยกับคุณดีนจะไม่เคยผิดใจกัน แต่ใครๆ ก็รู้ว่าเพชรสีทองนั้นหายากมาก และพวกเซอร์คอฟก็คิดเสมอว่าเพชรสีทองนั้นเป็นของต้นตระกูลตัวเอง และนายหญิงแห่งซีร์ยานอฟใช้วิธีสกปรกแย่งมันมา”

คอร์เนลไม่พูดอะไรออกมาอีก ขณะเพ่งมองออกไปนอกหน้าต่างบานใหญ่ที่อยู่ทางทิศตะวันออกของห้องทำงานส่วนตัวในคฤหาสน์ซีร์ยานอฟ

เซอร์เกมองร่างสูงใหญ่แข็งแกร่งของเจ้านายด้วยความชื่นชม คอร์เนลเป็นสุดยอดของผู้ชายที่ผู้หญิงทั้งโลกฝันหา จึงไม่แปลกที่ผู้หญิงเป็นร้อยเป็นพันคนจะมาต่อแถวกันเพื่อให้นายน้อยของเขาเลือกขึ้นเตียง แม้ความสัมพันธ์จะชั่วข้ามคืน แต่แม่ผู้หญิงพวกนั้นก็ยังยอมทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ขึ้นไปอยู่บนเตียงของคอร์เนล

แน่นอน นายน้อยของเขาจ่ายหนักกับการซื้อสัมพันธ์ทางกายแบบนี้ แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมาก็ไม่มีผู้หญิงคนใดสร้างความประทับใจให้กับคอร์เนลจนถูกเรียกใช้ซ้ำได้เลยแม้แต่คนเดียว ทุกคนถูกปลดระวางเพียงแค่ข้ามคืนเท่านั้น แต่มันก็ไม่น่าแปลกใจนักหรอก เพราะนายน้อยของเขานั้นไม่เคยเห็นผู้หญิงอยู่ในสายตามาก่อน สมองที่ฉลาดจนน่านับถือของคอร์เนลนั้นมีแต่เรื่องงานเพียงอย่างเดียว ผู้หญิงไม่มีประโยชน์ต่อนายน้อยเลยหากไม่ได้อยู่บนเตียง

“ฉันต้องการข้อมูลของไอ้ยอดชายทั้งหมด”

เสียงกระด้างของผู้ชายที่ยืนนิ่งอยู่ที่ริมหน้าต่างหยุดความคิดทุกอย่างของเซอร์เกลงในทันที คนสนิทวัยเฉียดห้าสิบก้มหน้ารับคำสั่ง

“ครับนายน้อย”

เซอร์เกรับคำสั่ง ก่อนจะรีบกดโทรศัพท์มือถือหาหลานชายของตัวเองที่คอร์เนลใจดีรับเข้ามาทำงานด้วยอย่างรีบร้อน

“อีวานเหรอ รีบเอาประวัติของนายยอดชายที่กรอกไว้ตอนที่มาสมัครงานขึ้นมาให้นายน้อยที่ห้องทำงานด่วนที่สุด”

และเพียงไม่ถึงอึดใจเสียงประตูหน้าห้องก็ถูกเคาะเบาๆ ก่อนที่อีวานจะเปิดเข้ามาเมื่อเจ้าของห้องเอ่ยปากอนุญาต

“ประวัติของนายยอดชายครับ”

อีวานส่งแฟ้มเอกสารสีเขียวให้กับน้าชายตัวเองก่อนจะก้มศีรษะให้กับคอร์เนลและก้าวถอยหลังออกไปจากห้องอย่างรู้หน้าที่

เซอร์เกรีบส่งแฟ้มเอกสารให้กับนายน้อยของตัวเองทันที

“สิ่งที่นายน้อยต้องการมาแล้วครับ”

คอร์เนลหันกลับมา แสงแดดยามสายที่ส่องเข้ามากระทบด้านหลังนั้นทำให้หนุ่มหล่อยิ่งดูลึกลับและน่ากลัวมากขึ้นเป็นสองเท่า มือใหญ่สีแทนยื่นมารับแฟ้มเอกสารจากคนสนิทไปเปิดอ่านทันที นัยน์ตาสีเขียวดุจมรกตเลื่อนไปตามตัวอักษรทีละตัว อ่านอย่างละเอียดทุกคำ

ยอดชาย โรจน์มหามงคล อายุ 52 ปี สถานภาพหม้ายเมียตาย มีลูกสาว 1 คน อายุ 20 ปี ชื่อยาหยี โรจน์มหามงคล การศึกษาอยู่ปี 3 มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในเมืองไทย เคยทำงานอยู่กับตระกูลเซอร์คอฟแต่ถูกไล่ออกมาเพราะเกิดเหตุทะเลาะวิวาท

‘และเขาก็โง่พอที่จะรับไอ้สารเลวคนนี้เข้ามาทำงาน’

คอร์เนลก่นด่าตัวเองภายในใจด้วยความเจ็บแค้น ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคนฉลาดอย่างเขาจะถูกลูบคมโดยไอ้โจรกระจอกไร้การศึกษาคนนี้ ให้ตายเถอะ เขาอยากจะหักคอไอ้ยอดชายนัก!

แฟ้มเอกสารถูกปิดลงก่อนจะถูกโยนลงไปกองกับพื้นพรมอย่างรุนแรง กรามแกร่งสีเขียวครึ้มของคอร์เนลบดกันแทบละเอียด ดวงตาสีเขียวดุจมรกตเรืองวาวด้วยแรงโทสะ

“ฉันต้องการไปเมืองไทย เร็วที่สุด!”

“ไปเมืองไทยหรือครับนายน้อย” เซอร์เกร้องถามด้วยความตกใจ ไม่อยากให้สิ่งที่ตัวเองคิดเป็นจริงขึ้นมาเลย

“นายน้อยคงไม่ได้คิดจะ…”

“ไม่ต้องถามว่าฉันจะไปทำไม นายไปจัดการเตรียมเครื่องบินส่วนตัวให้ฉันก็แล้วกัน ฉันต้องการไปกรุงเทพฯ เดี๋ยวนี้”

คอร์เนลคำรามออกมาเสียงดุดัน ใบหน้าหล่อเหลาดุจเทพบุตรแดงก่ำด้วยแรงโทสะ ต่อให้ต้องพลิกแผ่นดินหา เขาก็จะต้องหาไอ้ระยำนั่นให้พบ และจัดการฝังมันทั้งเป็นด้วยมือของเขาเอง

“ครับนายน้อย”

เซอร์เกไม่มีทางเลือกที่จะไม่ทำตามคำสั่งของคอร์เนล เขาถอยออกไปจากห้องทำงานของนายน้อยอย่างรวดเร็วโดยไม่คิดจะรอให้เจ้าของห้องไล่ซ้ำอีกครั้ง แม้ทุกย่างก้าวจะอัดแน่นไปด้วยความวิตกกังวลกับวิธีที่นายน้อยของตัวเองกำลังจะงัดขึ้นมาใช้เพื่อบีบบังคับนายยอดชายให้ยอมจำนนมากแค่ไหนก็ตาม แต่ข้ารับใช้แบบเขาก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะเอ่ยทักท้วงใดๆ นอกจากก้มหน้าทำตามคำสั่งของผู้มีบุญคุณท่วมหัวเพียงอย่างเดียว

ประตูไม้แกะสลักถูกปิดลงเบาๆ พร้อมๆ กับร่างสูงใหญ่ของคอร์เนลที่เดินไปทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้สีดำหนังแท้ราคาแพงระยับหลังโต๊ะทำงานของตัวเอง

“ในเมื่อแกใช้วิธีสกปรกกับฉัน…”

คำพูดที่เล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากหยักสวยได้รูปน่าจูบของคอร์เนลนั้นอัดแน่นไปด้วยความเดือดดาล

“ฉันก็จะไม่ใช้วิธีสะอาดกับแกเหมือนกัน”

นัยน์ตาสีเขียวดุจมรกตของนักธุรกิจที่ได้ขึ้นชื่อว่าทรงอิทธิพลที่สุดในมอสโกอัดแน่นไปด้วยความเหี้ยมโหด และแน่นอนว่าเขาจะไม่มีทางปล่อยให้ศัตรูของตัวเองลอยนวลอย่างมีความสุขได้นานเกินเจ็ดวันอย่างแน่นอน

เมียเก็บมาเฟีย ชุด เทพบุตรมาเฟีย

เมียเก็บมาเฟีย ชุด เทพบุตรมาเฟีย

Score 10

Options

not work with dark mode
Reset