ตอนที่ 279 เพื่อหญิงงาม
“ท่านอ๋อง ข้าน้อยได้ยินข่าวคราวเรื่องหนึ่งมาพ่ะย่ะค่ะ”
มั่วหลีชำเลืองขึ้นมองเว่ยหยวน ครั้นแล้วก็หลุบสายตาลงพลัน
“เรื่องเกี่ยวกับสมรภูมิรบ เหตุการณ์เกี่ยวกับพระชายาพ่ะย่ะค่ะ”
เว่ยหยวนใบหน้าแดงก่ำไปทั่ว ได้ยินคำพูดนี้ก็เกิดความรู้สึกพูดไม่ถูกไปชั่วขณะ เขายกนิ้วชี้ไปยังมั่วหลี แล้วส่ายหน้าอย่างลำบาก เขาพูด “ข้า…มิใช่ว่าข้าบอกเจ้าว่ามิให้ยุ่งเรื่องนี้หรือ!”
เว่ยหยวนพูดจบ ก็ยกมือขึ้นดึงจุกผ้าแดงบนไหสุราไหหนึ่งออก เขาออกแรงมากเกินไป จนเผลอชนไหสุราสองสามไหบนโต๊ะล้ม ไหสุราตกสู่พื้น เศษกระเบื้องแตกออกเป็นเสี่ยง
กลางศาลาภายใต้แสงจันทร์ส่องสว่าง เว่ยหยวนนั่งกอดไหร่ำสุราอยู่หน้าโต๊ะหินเพียงลำพัง ข้างโต๊ะมีเศษกระเบื้องแตกกระจายอยู่นับไม่ถ้วน จุกผ้าแดงปะปนอยู่ในนั้นหลายจุก
“พระชายา ตั้งครรภ์พ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าว่าอะไร”
เว่ยหยวนยั้งมือ ไหสุราที่ยกขึ้นหยุดอยู่ริมปาก มั่วหลีเห็นความประหลาดใจในแววตาเขา จึงพูดซ้ำอีกครั้ง “พระชายา มีครรภ์มาเดือนกว่าแล้ว หลังจากหยวนอีก่อกบฏไม่นาน นางเป็นลมล้มพับได้หมอตรวจจนแน่ชัด”
ไหสุราร่วงลงกับพื้นส่งเสียงดังกังวาน สุราสาดกระจายเลอะไปบนชายเสื้อของเว่ยหยวน ในความคิดเขาเกิดความสับสนว่างเปล่าขึ้นมา เขายื่นมือขึ้นมาดึงแขนมั่วหลีแล้วถามเสียงทุ้ม “ไยไม่บอกแต่แรก”
ยังมิทันขาดคำ เขาก็นึกขึ้นได้ว่าตนออกคำสั่งห้ามเรื่องนี้เอง เว่ยหยวนนั่งลงบนเก้าอี้หินอย่างหดหู่ มือทั้งคู่ยกขึ้นกุมหน้า
“ไปซะ”
มั่วหลีถอนใจแล้วเดินเข้าไปในพุ่มดอกไม้ข้างศาลาอย่างรวดเร็ว
นางจะเสียใจมากเพียงใด จะถูกข้าศึกโอบล้อมจะทนหนาวอดอยากก็ช่าง แต่นางสูญเสียครอบครัวจนสิ้น กลับยังต้องพาลูกในครรภ์เดินสู่สนามรบ เขียนทิ้งไว้เพียงจดหมายสั่งเสีย
“เว่ยหยวน เจ้าทำอะไรอยู่กันแน่!”
เว่ยหยวนตะโกนออกมาหนึ่งเสียง มือข้างหนึ่งกำหมัดทุบลงบนโต๊ะหิน ปรากฏเป็นรอยยุบ รอยร้าวค่อยๆ แตกออกรอบรอยยุบนั้น
ท่ามกลางความเงียบอันยาวนาน บนรอยยุบนั้นเต็มล้นไปด้วยเลือด เว่ยหยวนเก็บมือกลับสีหน้าเรียบเฉย ดวงตาทั้งคู่แดงก่ำแต่มิอาจซ่อนความตั้งมั่น
“มั่วหลี จัดกำลังทหารสามพันนาย อีกเรื่อง แจ้งไปที่หัวหน้าองครักษ์วังหลวงด้วย”
มั่วหลีได้ยินอย่างชัดเจน รู้สึกตื่นตระหนกจนห้ามมิได้ นี่มัน…จะก่อปฏิวัติหรือ เขารีบก้าวเข้าไปแล้วคุกเข่าลงข้างเท้าเว่ยหยวน
“ท่านอ๋อง มิได้เด็ดขาดเลยนะพ่ะย่ะค่ะ หากแพ้ขึ้นมา ท่านจะไม่สามารถกลับลำได้แล้วนะพ่ะย่ะค่ะ”
“เวลานี้โอกาสยังมิสุกงอม หากทำเช่นนั้น ต้อง…”
“มั่วหลี”
เว่ยหยวนตัดบทคำพูดเขา
“ข้า มิอาจได้บังลังก์โดยชอบธรรมเนียม”
“แต่ว่า! หากทำเช่นนั้น มันจะ…” มั่วหลีขบฟัน “หากเรื่องนี้ถูกตรวจพบ ท่านจะถูกตราหน้าข้อหาปิตุฆาต ถูกไพร่ฟ้าครหาได้”
ราวกับเว่ยหยวนไม่ได้ยิน เขาเพียงแต่สะบัดแขนแล้วลุกขึ้นยืนพลางจ้องออกไปไกลๆ ดวงจันทร์ส่องสว่างอยู่กลางเวหา ไม่รู้ว่าดวงจันทร์ ณ ที่หนิงอวี้อยู่นั้น จะเป็นเช่นนี้หรือเปล่า
“ท่านอ๋อง! โปรดใคร่ครวญด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
“มั่วหลี ข้าตัดสินใจแล้ว”
ชั่วชีวิตนี้ มีสตรีเพียงสองนางเท่านั้นที่สำคัญที่สุดสำหรับเขา ผู้หนึ่งกระโดดบ่อต่อหน้าเขา อีกผู้หนึ่งออกสู้รบกลางสมรภูมิ ทั่วตัวเต็มไปด้วยบาดแผล เป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ยังไม่รู้
เมื่อครั้งมารดาเขาตายจากไป เขายังเป็นเพียงเด็กไร้ประโยชน์คนหนึ่ง ได้แต่มองตาปริบๆ ดูนางค่อยๆ จมน้ำตาย ค่อยๆ ขาดใจ ค่อยๆ ซีดขาว
ในเวลาที่หญิงสาวที่เขารักที่สุดกำลังสิ้นหวัง เขากลับอยู่ห่างไกลนับพันลี้ ไม่อาจทำสิ่งใดได้ ได้เพียงแต่อาศัยถ้อยคำเพียงน้อยนิด แล้วคิดถึงภาพนางที่กำลังคลุ้มคลั่ง พยายามดิ้นรนอย่างหมดหวัง
เขาสูญเสียมารดาไปแล้ว ไม่อยากสูญเสียนางไปอีกคน เวลาสิบกว่าปีผ่านไป เขามิใช่เด็กชายอ่อนแอไร้ประโยชน์คน ที่ได้แต่ร้องไห้คร่ำครวญนั้นอีกแล้ว
เขาอยากได้นางกลับคืน อยากกอดนางเอาไว้แล้วจุมพิตนาง โอบนางไว้ในอ้อมอกประทับจุมพิตอันอ่อนโยนแต่เร่าร้อนลงไป
หากเขาคิดจะนั่งลงเดิมพันกับหมากกระดานนี้ ก็ต้องมีเบี้ยจำนวนมหาศาล เช่นนี้ ถึงจะได้นางกลับคืนมาได้ เว่ยหยวนก้มหน้าลงสีหน้านิ่งเฉย เมื่อเห็นสายตาร้อนรนของมั่วหลี จึงพูดขึ้นเสียงทุ้ม “ข้าจำต้องทำเช่นนี้ มิเช่นนั้นคงต้องเสียใจชั่วชีวิต”
“ส่งองครักษ์ลับออกไปสืบว่าหญิงสาวที่มู่หรงเหยียนจองจำไว้ผู้นั้นเป็นผู้ใด ปล่อยข่าวออกไปให้ทั่วและตามหาไปพร้อมๆ กัน”
“ท่านอ๋อง นี่มัน…”
เว่ยหยวนสีหน้าสงบเยือกเย็น ตรงข้ามกับมั่วหลีที่สั่นเทิ้มด้วยความตื่นตกใจ
“เจ้าคิดว่า ความหมายของการมีชีวิตอยู่ของข้าคืออะไร”
ตอนที่ 280 ปิตุฆาต
กลางท้องพระโรงอันกว้างขวางว่างเปล่าไร้ผู้คนมีเพียงแสงเทียนเท่านั้นที่ส่องสว่าง ฮ่องเต้ทรงตื่นบรรทม แล้วรับสั่งด้วยพระสุรเสียงอันทุ้ม “ใครก็ได้ รินน้ำมาให้เราสักจอก”
พระองค์ตรัสไปพลางยกพระหัตถ์ขึ้นคลึงพระขนง คืนนี้ พระทัยเคร่งเครียด รู้สึกผิดปกติไม่น้อย
“เข้ามา? ไปไหนกันหมด! รีบโผล่หัวออกมาเดี๋ยวนี้”
ไม่มีผู้ใดตอบ พระองค์ทรงลุกขึ้น เลิกผ้าแพรต่วนสีเหลืองทองอร่าม เมื่อทรงทอดพระเนตรขึ้นก็นิ่งอึ้งกับที่ ด้านหน้าพระแท่นบรรทมมีคนผู้หนึ่งยืนอยู่ สวมชุดสีขาว ราวกับวิญญาณกลางคืนตนหนึ่ง
ไฟเทียนถูกเป่าดับ ครั้นแล้วก็ปรากฏเงาตะคุ่มที่กำลังหยุดนิ่ง ใต้แสงเทียนสีแดงเร่าร้อนค่อยๆ ดับลง ฮ่องเต้ทรงยื่นพระดัชนีอันสั่นเทาออกไป
“เจ้าคนชั้นต่ำ เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ใครก็ได้! เข้ามา โผล่หัวออกมาเดี๋ยวนี้”
เว่ยหยวนสีหน้านิ่งสงบ เดินเข้าไปสองสามก้าว ฮ่องเต้บัดนี้ทรงไม่ใส่ใจธรรมเนียมมารยาท วิ่งออกนอกพระราชฐานด้วยพระบาทเปล่า แต่เขากลับถูกราชองครักษ์ที่เฝ้าอยู่หน้าประตูอารักขาแบกกลับเข้ามาห้องบรรทม
“เจ้าซื้อตัวหัวหน้าทหารวังหลวงแล้วสินะ” ฮ่องเต้ทรงย่นพระขนง พระพักตร์เคร่งขรึม “เจ้าคิดทำอะไรกัน ที่แท้เราประมาทเจ้าไป”
เว่ยหยวนจ้องไปยังฮ่องเต้สีหน้าไร้ซึ่งอารมณ์อยู่นสน เขาจ้องเขม็งจนฮ่องเต้ทรงเย็นพระขนองวาบ แล้วพูดขึ้นเสียงทุ้มว่า “แค่เพียงทูลขอฝ่าบาททรงช่วยยืนยัน ว่าจะลงโทษเว่ยหลิงในโทษทรยศขายชาติพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ได้ เจ้าเลิกคิด…เรื่องใดๆ ล้วนแต่หารือตกลงกันได้ เจ้าไปก่อน เรื่องนี้ พรุ่งนี้ค่อยหารือเป็นอย่างไร”
ฮ่องเต้ทรงขบพระทนต์ ทรงยอมอ่อนข้อให้อย่างเลี่ยงไม่ได้ เมื่อทอดพระเนตรเห็นเว่ยหยวนสีหน้าไม่เปลี่ยน ทรงได้แต่ใช้อำนาจและผลประโยชน์มาล่อ “มีอะไรพรุ่งนี้ค่อยพูด เราอย่างไรเสียก็เป็น…พ่อเจ้า เรารู้ พระชายาจิ่นอ๋องหายตัวไปทำให้เจ้าวุ่นวายสับสน เราจะช่วยเจ้าสืบ พลิกแผ่นดินค้นหาให้”
เว่ยหยวนส่ายหน้า นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินจากพระโอษฐ์ฮ่องเต้ว่าเขาเป็น ‘ลูกชาย’ ของพระองค์ มิใช่คนชั้นต่ำที่มีสายเลือดต่ำต้อย
ฮ่องเต้พระพักตร์ถอดสีครั้งแล้วครั้งเล่า กลับได้แต่ขบพระหัตถ์อดทน เมื่อทรงชำเลืองเห็นเงาร่างอวบอ้วนร่างหนึ่งปรากฏ จึงตะโกนขึ้นมาอย่างร้อนรนว่า “ช่วยด้วย!”
เงาร่างอวบอ้วนนั้นเดินเข้ามา เดินเข้ามากลางความมืดจึงเห็นว่าเขาถือสุราพิษไว้ในมือจอกหนึ่ง เว่ยหยวนยกมือขึ้นยกสุราพิษจอกนั้นแล้วยื่นไปด้านหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้
ฮ่องเต้ทรงเห็นข้าทาสคู่ใจถูกซื้อตัวเสียแล้วก็พิโรธจนแทบประชวรพระวาโย ครั้นแล้วก็เห็นเจ้าคนชั้นต่ำนั้นยื่นสุราพิษจอกหนึ่งเข้ามา ฮ่องเต้ทรงกริ้วจัดยกพระหัตถ์ขึ้นปัดสุราพิษจอกนั้นคว่ำ
จอกร่วงลงกลิ้งหลุนๆ ไปบนพื้น สุราข้นในจอกหกเลอะบนพื้น กัดกร่อนก้อนอิฐกดกรอนเป็นควันขาวนับไม่ถ้วน
มาถึงจุดนี้แล้ว ฮ่องเต้ทรงคร้านที่จะเสแสร้งอีกต่อไปจึงรับสั่งขึ้นไม่ขาดคำว่า “เจ้าลูกทรพี เจ้าลูกทรพี! ทรพีไร้ซึ่งคุณธรรม ช่างกล้าสังหารบิดา! ในสายตาเจ้า มีศีลธรรมอยู่บ้างหรือไม่”
เว่ยหยวนโบกมือ บอกเป็นนัยให้ขันทีออกไปรินสุรา บนหน้าหัวหน้าขันทีประดับด้วยรอยยิ้มอันอ่อนน้อมแต่สอพลอ เขาพูดตอบเสียงเบา “ท่านลงมือเร็วหน่อยเถิด ฟ้าใกล้สางแล้ว”
เว่ยหยวนพยักหน้า เสียงฝีเท้าดังไกลออกไป เขาค่อยๆ ขยับเข้าประชิดฮ่องเต้ที่ทรงกำลังสั่นเทิ้มแล้วถามขึ้นเสียงเบา “บอกกระหม่อมที ว่าท่านแม่มีนามว่าอะไร”
เขาเพียงอยากรู้ว่าคนรักที่ท่านแม่เฝ้าคิดถึง คนผู้ซึ่งทำลายชีวิตของนางจะจำชื่อของนางได้ไหม แม้จะเพียงแค่ตัวอักษรเดียวก็ตาม
“เรา…เราจะไปรู้ได้อย่างไรเล่า…หลีเย่ว์…ไม่สิ…หนิงซวง…”
เว่ยหยวนสูดหายใจเข้าลึก ท่านแม่ ท่านดูสิ ต่อให้ใช้ความตายมาบังคับ เขาก็จำชื่อท่านไม่ได้
หัวหน้าขันทียกจอกสุราเดินเข้ามา เว่ยหยวนมือหนึ่งยกจอกสุรา มือหนึ่งง้างพระหนุฮ่องเต้ ฮ่องเต้หมายจะดิ้นรน แต่ด้วยพระชันษามากกว่าครึ่งร้อยแล้ว ทั้งยังเอาแต่หมกมุ่นนารี มีหรือจะสู้กำลังของเว่ยหยวนได้
จนกระทั้งสุราไปจรดพระโอษฐ์ พระองค์จึงทรงลนลานขึ้นมา
“ปล่อยเรา เราจะแต่งตั้งเจ้าเป็นรัชทายาท! เจ้าจะว่าสิ่งใดเราล้วนแต่รับปากทั้งนั้น ฮือๆๆ เจ้าลูกทรพี”
“สายไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ ตำแหน่งรัชทายาทนั้นต่ำเกินไป กระหม่อมไม่ต้องการ”