ฝีเท้าของหนานซ่งหยุดชะงัก
มีชั่ววินาทีหนึ่งที่เธอคิดว่าตัวเองยังเมาอยู่ แล้วตาฝาด
ยวี่จิ้นเหวิน ทำไมเขาถึงอยู่ที่นี่?
แต่พอเห็นใบหน้าที่เยือกเย็นของเขา สายตาที่จ้องเล็งมาที่เธอ ชัดเจนแล้วว่ามาเพราะเธอ เขาอาจจะใช้เส้นสายบางอย่างแล้วสืบถึงเรื่องตัวเอง
แต่ว่าหย่ากันแล้ว ตัวเองก็ไม่จำเป็นต้องเดินไปทักทาย หนานซ่งตั้งสติ แล้วเดินหน้าต่อไป เงยหน้าเชิดอก ท่าทางดูสง่า ภาพลักษณ์ดูดีมาก
“หยุดก่อน” เสียงที่เย็นชาดังมาจากบนเก้าอี้
หนานซ่งเหมือนไม่ได้ยิน ไม่ยอมหยุดฝีเท้าเลย
ทันใดนั้นก็มีลมมรสุมพัดมา แล้วจับข้อมือหนานซ่งไว้ บอดี้การ์ดข้างหลังของเธอจึงรีบเดินไปห้ามทันที “คุณจะทำอะไร?”
บอดี้การ์ดยื่นมือมา ยวี่จิ้นเหวินก็ใช้มือบัง ดูเหมือนจะลงมือกันแล้ว หนานซ่งจึงโบกมือให้บอดี้การ์ดถอยไป พร้อมเงยหน้ามองยวี่จิ้นเหวินอย่างไร้ความรู้สึก “คุณผู้ชายคะ คุณทำให้ฉันเจ็บค่ะ”
ข้อมือของเธอโดนเขาจับไว้แน่น รู้จักเขามาตั้งนาน นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เขาแตะต้องเธอ
หลังจากที่พวกเขาหย่ากันแล้ว
ช่างเสียดสีเหลือเกิน
ยวี่จิ้นเหวินมองแววตาที่เย็นชาของเธอ ใบหน้าที่ดูอ่อนโยนวินาทีนี้กลับเย็นชาแล้วดูห่างเหินมาก เหมือนไม่เคยรู้จักเขาอย่างนั้น นี่จึงทำให้เขาหงุดหงิดโมโห
“เธอกำลังเล่นอะไรอยู่กันแน่?”
ยวี่จิ้นเหวินปล่อยข้อมือเธอ น้ำเสียงเยือกเย็นมาก “เธอเป็นใครกันแน่?”
ผู้ช่วยตำหนิอย่างไม่พอใจ “พูดแบบนี้กับคุณหนูใหญ่ของเราได้ยังไง?”
หนานซ่งโบกมือให้ พร้อมเงยหน้ามองยวี่จิ้นเหวินอย่างไร้ความรู้สึก “คุณผู้ชายคะ เรารู้จักกันเหรอคะ?”
ยวี่จิ้นเหวินอึ้ง
เธอพูดว่าไม่รู้จักเขางั้นเหรอ? การแต่งงานสามปีที่ผ่านมาไร้ประโยชน์งั้นเหรอ?
เขาแอบกำหมัดแน่น วู่วามจนอยากจะทำร้ายคน นิสัยที่พยายามหักห้ามมานานหลายปีเกือบจะปะทุออกมาเพราะผู้หญิงคนนี้ เขากัดฟันแน่น “ไม่รู้จักฉัน แล้วเมื่อกี้เธอจะมองฉันทำไม?”
หนานซ่งพูดอย่างจริงจัง “เห็นว่าหน้าตาคุณหล่อไงคะ ทำไมคะ หล่อแล้วคนอื่นมองไม่ได้เหรอ? ใบหน้าของคุณเป็นจุดชมวิว จะมองต้องจ่ายเงินเหรอคะ?”
ยวี่จิ้นเหวิน : “……”
ผู้หญิงใสซื่อคนนั้น ปากเก่งขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?
“มีเงินสดไหม?”
หนานซ่งหันไปถามผู้ช่วย
ผู้ช่วยสองคนล้วงกระเป๋าตั้งนาน สุดท้ายกลับมีแค่เหรียญห้าสิบสตางค์ จึงเอ่ยเสียงเบาว่า “มีแค่ห้าสิบสตางค์ค่ะ”
“พอแล้ว” “ให้คุณห้าสิบสตางค์ ไม่ต้องทอนค่ะ”
จากนั้น เธอที่ใส่รองเท้าส้นสูง ก็เดินพาผู้ช่วยเดินจากไปอย่างสง่า เหมือนเป็นพระราชินีของทั้งโลก ไม่หันกลับมา ไม่มีความอาลัยอาวรณ์
ยวี่จิ้นเหวินถือเหรียญห้าสิบสตางค์ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม เหมือนคนสติฟุ้งซ่าน เหมือนเขาไม่เคยรู้จักผู้หญิงคนนี้มาก่อน แตกต่างกับเมื่อก่อนอย่างสิ้นเชิง
แต่หน้าตาของเธอไม่ผิดแน่นอน ไฝใต้ตายิ่งโกหกไม่ได้ด้วย
ข้างหูมีเสียงหัวเราะเยาะดังลอยมา ฟู่ยวี่ที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดยืนหัวเราะอยู่หน้าลิฟต์จนหายใจผิดจังหวะ
รู้จักยวี่จิ้นเหวินมาตั้งนาน นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เห็นเขาเป็นใบ้ขนาดนี้
ฟู่ยวี่หัวเราะไปด้วยแล้วเดินไปหายวี่จิ้นเหวิน แขนพาดลงที่ไหล่เขา “แกแน่ใจเหรอว่านี่เป็นภรรยาเก่าที่แสนจะอ่อนโยนที่แกพูดถึง? แกที่เป็นสามีเก่า มีค่าแค่ห้าสิบสตางค์?”
ยวี่จิ้นเหวินกำเหรียญไว้ กัดฟันแน่น จนเห็นเส้นเลือดที่หน้าผากชัดเจน
ฟู่ยวี่ก็พูดหยอกต่อ “ในเมื่อพวกแกหย่ากันแล้ว ก็แสดงว่าไม่เกี่ยวข้องกันอีก? งั้นฉันจีบเขาได้ไหม? แกอย่าพูดเลย แมวป่าน้อยคนนี้ตรงสเปกฉันเลย……”
เสียงยังไม่ทันพูดจบ หมัดของยวี่จิ้นเหวินก็ลอยมาหา “ไสหัวไป–!”
จีบบ้าอะไร สเปกบ้าอะไร
……
พอขึ้นรถ หนานซ่งที่ยังใจเย็นอยู่กลับใจเย็นต่อไม่ไหว
เธอรีบหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาไป๋ชี “พี่เล็ก ยวี่จิ้นเหวินโผล่มาที่บาร์ซุ่ยอวินได้ยังไง?”
“เธอว่าอะไรนะ?” ไป๋ชีกำลังนั่งทำเรื่อง”ชั่ว”อยู่หน้าโน้ตบุ๊ก พอได้ยินจึงอึ้ง “ยวี่จิ้นเหวินมาเมืองหนาน? แล้วยังมาที่บาร์ซุ่ยอวินของฉันด้วย?”
“เมื่อกี้ฉันเจอเขาที่ชั้นล่าง เจอเต็มๆเลย”
“ตามมาหลอกหลอนขนาดนี้เลย?”
ไป๋ชีใส่หูฟังบลูทูธ นิ้วมือก็เคาะไปมาบนแป้นพิมพ์ แล้วเอากล้องวงจรชั้นหนึ่งมาดู จากนั้นก็ดูแล้วก็ฟังเสียงเหตุการณ์ตอนที่พวกเขาเจอกัน จึงอดขำไม่ได้ “ให้คนอื่นแค่ห้าสิบสตางค์ เธอนี่กวนจริงๆ แต่ว่าเธอดูสีหน้าอมขี้ของยวี่จิ้นเหวินสิ ตลกชะมัด เขาก็มีวันนี้ ฮ่าฮ่าฮ่า……”
หนานซ่งรู้สึกหงุดหงิดกับเสียงหัวเราะของเขามาก “นายรีบไปสืบเดี๋ยวนี้เลย ว่าเขามาทำอะไรที่เมืองหนาน”
เวลานี้ เขาควรจะจู๋จี๋กับสุดที่รักของเขาอยู่ไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงมีเวลามาที่เมืองหนาน?
หรือว่ามาเพราะเธอโดยเฉพาะ……
ในขณะที่กำลังคิดอยู่ ในโทรศัพท์จึงมีเสียงพึมพำของไป๋ชีดังขึ้น “เขารู้จักกับฟู่ยวี่เหรอ”
“ใครนะ?” หนานซ่งขมวดคิ้ว
ไป๋ชีมองภาพในกล้องวงจรที่พวกเขาสองคนกอดไหล่กัน แล้วเอ่ยว่า “ก็ไอ้เมื่อคืนที่จะจับก้นเธอแล้วโดนเธอขย้ำ แถมเธอยังอ้วกใส่เขาอีกไง ดูท่าทาง เหมือนเขาจะสนิทกับยวี่จิ้นเหวิน”
แววตาหนานซ่งเยือกเย็น “เขาเป็นคนขายฉันงั้นเหรอ?”
“เป็นไปได้”
ขณะที่ไป๋ชีพูด เขาก็เคาะแป้นพิมพ์ไปมา จากนั้นจึงถอนหายใจ “ตามคาด เมื่อคืนมีคนแฮกกล้องวงจรโซนเวทีเต้น น่าจะเป็นไอ้ฟู่ยวี่นั่น”
ไม่คิดเลยว่าฝีมือทางคอมพิวเตอร์ของหมอนั่นก็ไม่เลวเหมือนกัน
สีหน้าหนานซ่งเข้มขรึม เขาไม่รู้ว่ายวี่จิ้นเหวินรู้จักกับตระกูลฟู่เมืองหรง พูดให้ชัดๆคือแต่งงานสามปี เขาคิดว่าเธอเป็นคนล่องหน ไม่เคยพาเธอไปเจอเพื่อน หรือเข้าสังคมของเขาเลย
“เมื่อคืนวุ่นวายจนดึก ถ้าฟู่ยวี่เป็นคนจำเธอได้จริงๆ แล้วเอาไปบอกยวี่จิ้นเหวิน งั้นยวี่จิ้นเหวินคงรีบมาจากเมืองเป่ยตั้งแต่เมื่อคืน”
ไป๋ชีช่วยเธอวิเคราะห์ แล้วหัวเราะหึ “ไม่ใช่ว่าเธอออกมาตัวเปล่า แล้วไอ้ชั่วนี่นึกถึงความดีของเธอ แล้วอยากจะคืนนี้กับเธอหรอกมั้ง?”
ขนตาหนานซ่งกระตุก แล้วพูดเสียดสี “นายว่าเป็นไปได้เหรอ?”
“เป็นไปไม่ได้”
ไป๋ชีทำลายฝันหวานของเธอ “จากที่ฉันได้ข่าวมาเมื่อคืนที่คฤหาสน์ตระกูลยวี่มีปัญหากัน แม่ยายเก่าของเธอปะทะกับโจ๋มือที่สามนั่น แต่สุดท้ายสามีเก่าเธอกลับทำให้แม่ตัวเองจากไปอย่างโมโหเพื่อคนที่ตัวเองรัก”
ได้ยินแบบนี้ ใจของหนานซ่งจึงตกลงเหวอีกครั้ง แล้วมุมปากก็เลิกขึ้นอย่างเสียดสี
ยวี่จิ้นเหวินเป็นคนที่กตัญญูขนาดนั้น แต่กลับขัดใจแม่ตัวเองเพื่อโจ๋เซวียน มองออกเลยว่าเขารักโจ๋เซวียนมากแค่ไหน แล้วเธอที่เป็นภรรยาเก่าจะสำคัญได้ยังไง?
“ถ้าเขามาเพราะเธอ เธอคิดจะทำยังไง?” ไป๋ชีเอ่ยถาม
หนานซ่งสลัดความคิดบ้าบอต่างๆในใจทิ้ง แล้วกลับมาตั้งสติ “ในเมื่อหย่าแล้ว งั้นก็ทางใครทางมัน ฉันเอาแต่ใจมาสามปีแล้ว จะไม่เอาแต่ใจตัวเองอีก”