สถานที่ที่พี่ชายพาผมมาก็คือระเบียงซึ่งมองเห็นสวนที่ผมคุ้นเคยดี ด้านนอกฝนยังตกลงมาไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
“คิดอะไรอยู่เหรอ”
“อ๋อ เปล่าหรอก”
พี่จับจ้องผมด้วยสายตานิ่งงัน ตัวตนที่พร้อมจะเผชิญหน้าหายไปแล้ว ผมจึงหลบสายตา
ผมได้ยินเสียงถอนหายใจเล็กน้อย
“จริงสิ เราคุยกันถึงไหนแล้วนะ”
“ทำไมผมถึงมาอยู่ที่นี่”
“ใช่ ใช่แล้ว ซูฮยอน ทำไมนาย…”
“เดี๋ยวก่อน แล้วทำไมพี่ถึงมาอยู่ที่นี่”
เมื่อผมถามกลับ เขาก็ปิดปากเงียบ คงตระหนักได้แล้วว่าคำถามที่ตัวเองถามเมื่อครู่นี้เป็นคำถามที่ไร้ประโยชน์แค่ไหน
ถึงแม้ว่าผมจะไม่รู้จำนวนที่แน่นอนในตอนนี้ แต่ถ้าผมคิดถูก ประชากรผู้เล่นทั้งหมดในทวีปเหนือน่าจะมีประมาณสี่หมื่นถึงหกหมื่นคน แทบไม่มีโอกาสที่จะได้พบกับคนรู้จักหรือคนที่เกี่ยวพันทางสายเลือดเลย อันที่จริงผมเคยได้ยินว่ามีสมาชิกเกิร์ลกรุ๊ปหรือดาราที่มีชื่อเสียงมาที่นี่ด้วยเหมือนกัน
แน่นอนว่าสิ่งที่กล่าวมาเป็นเพียงเรื่องราวในรอบแรก แต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอนก็คือ โลกเงียบสงบไร้ซึ่งความวุ่นวาย นั่นหมายความว่า…
‘ก่อนที่ผมจะเข้าสู่ฮอลล์เพลน พี่ชายต้องอยู่ในยุคปัจจุบัน’
คิดดูแล้วมันไม่น่าเป็นไปได้ ตอนนี้พี่เป็นผู้เล่นปีที่สอง ดังนั้นการที่เขาถูกหลงลืมหรือหายไปจากหัวของผมจึงเป็นเรื่องปกติ แต่พี่ชายเป็นคนในครอบครัว ตอนที่ผมอยู่ในกองทัพ เขาส่งจดหมายมาบ่อยๆ และมาเยี่ยมผมหลายครั้ง ใช่แล้ว เขาคือพี่ชายของผมอย่างไม่ต้องสงสัยเลย
“แต่ฉันอยากฟัง”
ผมคิดนานเกินไปงั้นเหรอ เมื่อได้สติก็เห็นดวงตาของพี่ชายกำลังจับจ้องมาที่ผม อย่างไรเสียก็ไม่สามารถนิยามเกี่ยวกับสถานการณ์ที่ไม่ปกติในตอนนี้ได้ ถ้าได้คุยกับพี่ก็คงจะได้รู้เรื่องราว
หลังจากจัดการกับระบบความคิดแล้ว ผมก็พยายามพูดด้วยน้ำเสียงที่นิ่งเฉยที่สุด
“ก็ไม่มีอะไรมาก ผมปลดประจำการ ขึ้นรถไฟกลับบ้าน แต่ก็เผลอหลับไป พอตื่นมาก็อยู่ที่ห้องอัญเชิญแล้ว ก็นะ ผมเองก็อยากรู้ว่าทำไมพี่ถึงมาอยู่ที่นี่”
“อะไรนะ นายปลดประจำการและกลับบ้าน แต่ถูกเรียกมาเหรอ พวกทูตสวรรค์…”
“ช่างเถอะ ที่นี่มีผู้เล่นคนไหนที่ไม่รู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมบ้างล่ะ จะมาคิดได้ตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์แล้ว”
เมื่อผมส่ายหน้าพร้อมกับฉีกยิ้ม พี่ชายก็ค่อยๆ คลายมือที่กำไว้แน่นออก จากนั้นผมก็รู้สึกถึงสายตาของพี่ที่มองผมด้วยความสนใจ
เกิดความเงียบครู่หนึ่งและฝนก็ยังคงตกลงมา ผมมองออกไปด้านนอกเพื่อหลบเลี่ยงสายตาของพี่
เมื่อความเงียบดำเนินต่อไปจนน่าอึดอัดใจ เสียงอันอ่อนโยนก็ทำลายความเงียบนั้นลง
“ซูฮยอน นายเปลี่ยนไปมากนะ”
“…งั้นเหรอ”
“ฮ่าๆ พูดแบบนี้อาจจะแปลกๆ แต่นายดูไม่เหมือนน้องชายของฉันเลย โตแล้วสินะซูฮยอนของเรา”
“…”
พี่พยักหน้าพลางขยับเข้ามาใกล้และลูบศีรษะของผมพร้อมกับยิ้มบางๆ
แต่คำพูดของเขาเมื่อครู่ทิ่มแทงใจของผมแปลกๆ
ผมรู้สึกหดหู่ขึ้นมาเพราะผมรู้ดี คิมซูฮยอนที่พี่จำได้คือ คิมซูฮยอนในยุคปัจจุบัน ไม่ใช่คิมซูฮยอนที่ล้มลุกคลุกคลานอยู่ในฮอลล์เพลนมาสิบปี เจ้าตัวเองก็คงไม่รู้เหมือนกัน
“ซูฮยอน?”
เมื่อเงยหน้าขึ้นตามเสียงที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงก็เห็นว่าพี่ชายกำลังมองผมอย่างเป็นกังวล ดูท่าเขาคงอ่านสีหน้าของผมได้แล้วร้อนใจว่าตัวเองพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า ผมปรับสีหน้าอย่างรวดเร็วและส่ายหน้า
“ถ้านายมาถึงนี่วันที่ปลดประจำการ…ถ้างั้นเข้ามาฮอลล์เพลนตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ยังไม่ครบหนึ่งปีเลย ถ้าตามข้อมูลพูดเล่นก็ว่าเป็นปีที่ศูนย์ แล้วพี่ล่ะ”
“สองปีกว่าแล้ว นายปีที่ศูนย์ ถ้างั้นก็มาช้ากว่าฉันสองปีสินะ ตอนนั้นฉัน…”
“อยู่ที่นั่น ผมมั่นใจ ตอนนั้นผมยังอยู่ในกองทัพนี่นา พี่ส่งจดหมายมาแล้วก็มาเยี่ยมพร้อมกับพ่อแม่ด้วย ไม่ใช่แค่นั้น ก่อนวันปลดประจำการก็โทรหาผมด้วยว่ามีเรื่องด่วนจึงมารับผมไม่ได้แล้ว”
“งั้นเหรอ พ่อแม่สบายดีไหม”
ผมพยักหน้าเล็กน้อยและเหลือบมองสีหน้าของพี่ชาย เขามีสีหน้าขมขื่น แต่ดูท่าจะไม่ได้แปลกใจมากนัก เขาอยู่ที่นี่มาสองปีแล้วก็คงจะเคยได้ยินเรื่องราวทำนองนี้มาบ้าง
“เฮ้อ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้”
“ช่วยไม่ได้นี่นา ถึงจะถามพวกทูตสวรรค์ไปก็ได้รับคำตอบเหมือนเดิมเสมอ บอกไม่ได้บางล่ะ ไม่ต้องกังวลบ้างล่ะ”
เปาะแปะ! เปาะแปะ!
ฝนเริ่มตกหนักขึ้นเรื่อยๆ ให้ความรู้สึกเหมือนมีน้ำตกที่เชี่ยวกราดอยู่ตรงหน้า พี่ยังคงวางมือไว้บนศีรษะของผม รู้สึกได้ถึงมือที่ขยับอย่างระมัดระวังและทะนุถนอมราวกับผมเป็นไข่ในหิน
“ที่จริงฉันเองยังไม่อยากจะเชื่อเลย”
“…ผมก็เหมือนกัน”
ผมพยักหน้าเล็กน้อยและเหลือบมองใบหน้าของพี่ชาย
“ฉันคิดถึงนายมากหลังจากถูกพามาที่นี่ ฉันเอาแต่คิดว่า นายจะปลดประจำการหรือยัง กินข้าวแล้วหรือยัง ไปโรงเรียนหรือเปล่า มีเพื่อนดีๆ ไหม”
“ให้ตายสิ พี่เห็นผมเป็นเด็กเล็กๆ หรือไง”
ผมปัดมือที่วางอยู่บนศีรษะออกด้วยความเขิน แม้ว่าจะพูดอย่างสดใสแต่ความกังวลก็ยังไม่จางหายไปจากใบหน้าของพี่ชาย
“บางทีตอนที่ลำบากฉันก็อยากจะเจอนาย แต่พอเจอกันจริงๆ แบบนี้ฉันกลับรู้สึกผิด เพราะคิดแล้วฉัน…”
“ไร้สาระน่า มีเรื่องแบบนั้นที่ไหนกัน หยุดทำท่าหดหู่ได้แล้ว”
ผมและพี่ชายยิ้มออกมาพร้อมกัน เขาวางมือลงบนศีรษะของผมอีกครั้ง อ้า ต้องบอกว่าลูบหัวสินะ
“เฮ้อ…ยังไงก็ขอโทษจริงๆ นะ แล้วก็ขอบคุณ”
“ไม่เห็นต้องขอโทษเลย แล้วขอบคุณกันเรื่องอะไรล่ะ”
“ก็ทุกเรื่องนั่นแหละ เรื่องที่นายมาช่วยฉัน เรื่องที่เราได้พบกันแบบนี้ แล้วก็เรื่องที่นายยังมีชีวิตอยู่”
“โอ๊ย ทำไมเป็นแบบนี้ตลอดเลยเนี่ย อย่าทำน่า มันแปลกๆ”
ทุกครั้งที่ได้ยินคำพูดทำนองนี้ ผมก็จะรู้สึกมือไม้หงิกงอและเขินมาก เมื่อผมพยายามสะบัดหัวเพื่อให้พี่ชายเอามือที่วางแปะไว้บนหัวของผมตั้งแต่เมื่อกี้ออกไป เขาก็พูดต่อ
“กว่าจะมาถึงตอนนี้ลำบากมากไหม”
คำพูดนั้นทำให้ผมหยุดชะงักโดยไม่รู้ตัว
คำพูดของพี่ชายเมื่อครู่นี้คงจะหมายถึงการมีชีวิตรอดในโลกที่ชื่อฮอลล์เพลนและพิธีเปลี่ยนสภาวะ ก็ไม่ผิดไปจากที่พูดนัก แต่สิ่งที่ผมคิดว่าเป็นเรื่องยากกับสิ่งที่พี่ชายพูดมันแตกต่างกันมาก และผมพูดเรื่องนั้นออกไปไม่ได้…
‘ไม่สิ หรือจะพูดไปเลยดีไหมนะ’
จู่ๆ ก็รู้สึกกังวลขึ้นมา ความจริงเรื่องที่ผมเริ่มต้นรอบที่สองใหม่อีกครั้ง เป็นความลับที่ไม่มีใครรู้ แต่กับพี่ชายแล้วมันต่างกัน เขาจะรับฟังคำพูดของผมอย่างจริงจังและไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ ร่วมทุกข์ไปด้วยกันและเห็นอกเห็นใจ และอาจจะเพิ่มประสิทธิภาพให้กับแผนการที่วางไว้ มันจะต้องเป็นแบบนั้นแน่
“ซูฮยอน นายเล่าให้ฟังหน่อยได้ไหมว่าใช้ชีวิตในฮอลล์เพลนยังไง นายน่ะใจอ่อนมาตั้งแต่เด็กแล้ว แมลงแค่ตัวเดียวยังไม่ฆ่าเลยด้วยซ้ำ ฮ่าๆ จู่ๆ ฉันก็อยากรู้ขึ้นมาน่ะ”
ผมเงยหน้าและสบตากับพี่ชาย ดวงตาของเขาทอประกายแสงอันอบอุ่น ถึงตอนที่พูดคุยกับคนอื่นจะมีสายตาที่เย็นชา แต่ตอนที่เขามองมาทางผมมักจะอบอุ่นอยู่เสมอ
ผมเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็สบตากับเขาและเปิดปากพูด
“พี่ตั้งใจฟังนะ ผมจะเล่าทุกอย่างให้ฟังเอง”
“อืม ฉันจะตั้งใจฟัง”
“ที่จริงแล้ว…”
“ทั้งสองคนอยู่ที่นี่เองสินะ”
ตอนนั้นเอง เสียงเปิดประตูระเบียงก็ดังขึ้นพร้อมกับน้ำเสียงร่าเริง ผมหยุดพูดทันทีและหันไป พี่จินฮายิ้มพลางชะโงกหน้าผ่านช่องว่างของประตู
“ขอโทษที่ขัดจังหวะนะคะ แต่ว่าแคลนลอร์ดยังไม่ทานอาหารเลยนะ ช่วงนี้ทั้งแคลนลอร์ดและพวกเราเป็นห่วงพี่สาวจนกินอะไรไม่ลงสักเท่าไร ตอนนี้ทุกคนยกเว้นกาฮีรวมตัวกันแล้วนะคะ”
“กินข้าวเหรอ แพคจินฮา ฉันยังมีเรื่องต้องคุยกับน้องชาย”
ท่าทีอบอุ่นเมื่อครู่ของพี่ชายหายไปแล้ว เขาเปลี่ยนท่าทีในพริบตา
“คุณน้องชายก็มาด้วยกันได้นี่คะ ตอนนี้คนที่มากับคุณน้องชายก็อยู่ที่โต๊ะด้วย ทานข้าวไปคุยกันไปก็ได้นี่นา”
“ซูฮยอนด้วยเหรอ ก็จริงนะ ฉันไม่ได้คิดเลย”
‘ว่าไงนะ’
ทันทีที่พี่จินฮาชวนให้ผมไปทานข้าวด้วย ท่าทีเย็นชาของพี่ก็เปลี่ยนไปแบบร้อยแปดสิบองศา ไม่สิ สิ่งสำคัญในตอนนี้ไม่ใช่เรื่องนั้น ผมสับสนนิดหน่อยที่ถูกเรียกว่าคุณน้องชาย แต่ก็เห็นได้ชัดว่ามุมปากของพี่จินฮายกขึ้นอย่างสวยงาม
“ซูฮยอน โทษทีนะ พี่มีเรื่องอยากจะถามเยอะแยะจนไม่ทันนึกถึงนายเลย หิวแล้วใช่ไหม เรากินข้าวกันก่อนแล้วค่อยคุยเถอะ”
“มะ ไม่เป็นไร ผมกินมาจากแคลนเฮาส์…”
“แพคจินฮา บอกให้พ่อครัวย่างเนื้อมาหน่อย ซูฮยอนชอบกินเนื้อ อ้อ แล้วก็ทำก๋วยเตี๋ยวมาด้วยนะ”
“ค่ะ ค่ะ~ ถ้างั้นค่อยพาคุณน้องชายมานะคะ~”
พี่คว้าแขนของผมและเริ่มลากตัวผมไปด้วยอีกครั้ง พี่จินฮาวาดรอยยิ้มบนริมฝีปาก จากนั้นก็วิ่งไปตามทางเดิน พี่จินฮาเองก็เป็นหนึ่งในผู้เล่นหญิงที่ตกหลุมรักพี่ตั้งแต่ในรอบแรกแล้ว
ผู้เล่นมากกว่าสิบคนรวมตัวกันอยู่ที่โต๊ะอย่างที่จินฮาพูด ผมเห็นโกยอนจู คิมฮันบยอล อันซลและคนที่อยู่ในห้องเมื่อครู่ ดูจากสีหน้าที่เป็นปกติของพวกเขาแล้ว ดูเหมือนว่าจะยอมรับความจริงที่ว่าผมคือน้องชายของแคลนลอร์ดแฮมิลได้แล้ว
ไม่นานนักอาหารก็พร้อมเสิร์ฟและมื้ออาหารก็เริ่มต้นขึ้น สมาชิกเผ่าเมอร์เซนต์นารี่ทั้งสามคนก็ถอดเสื้อคลุมออก
ไม่รู้ว่าโกยอนจูเปิดเผยตัวเองหรือพวกเขารู้อยู่แล้ว แต่สมาชิกเผ่าแฮมิลไม่มีทีท่าตกใจ แม้ว่าราชินีแห่งเงามืดจะนั่งอยู่ตรงหน้าก็ตาม พวกเขาแค่พูดว่า “ว้าว ราชินีแห่งเงามืดนี่นา” เท่านั้นเอง เดิมทีคนที่อยู่ที่นี่ก็เป็นบุคคลที่ภาคภูมิใจในความสามารถของตัวเอง และตำแหน่งของเผ่าแฮมิลในตอนนี้ก็ถือว่าสูงกว่าเผ่าเมอร์เซนต์นารี่
“เมื่อกี้ไม่มีเวลาจึงยังไม่มีโอกาสได้ทักทาย ขอบคุณที่ช่วยพี่ฮโยอึลไว้นะคะ คุณน้องชาย”
“ได้ยินมาว่าคุณไม่ได้อยู่ในคลาสนักบวชนี่คะ คุณล้างคำสาปได้ยังไงเหรอคะ คุณน้องชาย”
ในระหว่างที่กำลังรับประทานอาหารและพูดคุยกันอย่างถูกคอก็ได้ยินเสียงพี่จินฮาและพี่ฮเยรินพูดขึ้นมา ฟังจากน้ำเสียงอ่อนหวานแล้วดูเหมือนว่าการช่วยชีวิตอีฮโยอึลจะช่วยคลายความกังวลไปได้มากทีเดียว
แต่ผมก็แค่คิดไปเองคนเดียว เมื่อพี่ชายหันมาบังคับให้ผมกินนู่นกินนี่ สองสาวก็ต่อสู้กันทางสายตา
“มันทำให้ซูฮยอนลำบากใจน่า อย่าถามอะไรแปลกๆ สิ”
‘อืม พี่เองก็ความรู้สึกช้าเหมือนกันสินะ’
ผมถอนหายใจพลางมองพี่ชายที่ช่วยออกหน้าแทน ตอนนั้นเองก็ได้ยินเสียงถอนหายใจที่น่าจะเป็นของโกยอนจูดังมาจากที่ไหนสักที่ แต่ผมจะคิดว่าแค่หูแว่วไปเองก็แล้วกัน
“จะว่าไปนะซูฮยอน ฉันยังไม่ได้ฟังเรื่องราวที่เกี่ยวกับนายเลย”
“หือ”
“ที่เราพูดถึงกันเมื่อกี้ไง ว่านายผ่านพิธีเปลี่ยนสภาวะมาได้ยังไง อ๊ะ นายผ่านสถาบันผู้เล่นมาแล้วด้วยใช่ไหม แล้วเรื่องราวหลังจากนั้นล่ะ นายพบกับพรรคพวกได้ยังไง อะไรแบบนี้ พี่มีเรื่องอยากถามนายเยอะแยะไปหมด”
“เอ่อ อืม…ก็แค่…”
ผมเล่าไปเพียงคร่าวๆ เมื่อกลายเป็นแบบนี้ผมก็ไม่สามารถเปิดเผยความจริงทั้งหมดที่นี่ได้ แต่เมื่อเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยประกายความตั้งใจที่อยากจะฟังให้ได้ของพี่ชาย มันก็เหมือนว่าอย่างไรเสียผมก็ต้องเล่าอยู่ดี ดังนั้นผมจึงหันไปส่งสายตาให้สมาชิกเผ่าซึ่งนั่งเรียงกันอยู่ทางซ้ายมือ มันคือการเปลี่ยนเรื่อง(?)แบบที่ผมมักจะทำเป็นประจำ
“โกยอนจู คุณคงรู้อยู่แล้วว่าลอร์ดแฮมิลคือพี่ชายของผม จริงๆ แล้วผมจะพูดเองก็ได้ แต่ว่าคุณอยากแนะนำตัวเองไหมครับ”
“แน่นอนค่ะ ฉันอยากทำแบบนั้น”
ถึงจะรู้สึกกังวลเล็กน้อยเมื่อหล่อนตอบว่าอยากทำแบบนั้น แต่ผมก็พยักหน้ารับ โกยอนจูวางช้อนลงอย่างสุภาพและยิ้มบางๆ มันไม่ใช่รอยยิ้มยั่วยวนเหมือนทุกที แต่เป็นรอยยิ้มละไมเหมือนกุลสตรี
“สวัสดีค่ะ ฉันคือผู้เล่นที่ตอนนี้สังกัดอยู่ในเผ่าเมอร์เซนต์นารี่ โกยอนจูค่ะ ออกจะน่าอายนิดหน่อย แต่ก็ถูกเรียกว่าหนึ่งในสิบผู้แข็งแกร่งด้วยค่ะ”
“อืม อย่างงั้นเหรอครับ ถ้าพูดถึงสิบผู้แข็งแกร่ง…คุณคือราชินีแห่งเงามืดสินะ”
“ถูกต้องแล้วค่ะคุณพี่ชาย”
“อุ๊บ”
แกร๊ง แกร๊ง แกร๊ง แกร๊ง
เมื่อโกยอนจูพูดจบ ผมก็สำลักน้ำที่กำลังดื่มอย่างแรง ไม่ใช่แค่ผมที่ทำตัวไม่ถูก ในขณะเดียวกันนั้นเสียงช้อนหล่นก็ดังขึ้นในห้องอาหาร แล้วความเงียบก็ปกคลุมชั่วขณะ