ลูกที่ไม่กตัญญูมีอยู่ทั่วไป พ่อแม่ที่ไม่รักลูกของตัวเองก็มีเป็นเรื่องปกติ
หลี่เหยียนเข้าใจความรู้สึกของภรรยา เขายื่นมือไปตบไหล่ของเธอ เป็นการบอกไม่ให้เธอโกรธ และพูดว่า “คุณเห็นหลี่มู่หยางเป็นลูกชาย แล้วผมจะไม่เห็นหลี่มู่หยางเป็นลูกชายได้ไง? ถึงแม้ต่อมาพวกเราจะมีซือเหนียนแล้ว ความรู้สึกที่พวกเรามีต่อเขาก็ไม่ได้ห่างเหินนี่นา? ตอนนั้นพวกเรากลัวว่าหลี่มู่หยางจะรู้สึกว่าถูกทอดทิ้ง พวกเราก็เลยยิ่งปฏิบัติต่อเขาดีกว่าแต่ก่อน ระหว่างมู่หยางและซือเหนียน ในใจของพวกเราแล้วคำว่าลูกแท้ๆกับลูกที่เก็บมาเลี้ยงมันต่างกันตรงไหน?”
“แต่คุณเองก็รู้ดีว่า มู่หยางเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตระกูลลู่ ตอนนั้นพวกเขาเข้าใจว่าหลังจากที่มู่หยางโดนฟ้าผ่าแล้วน่าจะไม่มีชีวิตรอด และก็กลัวว่าเขาจะเป็นคนพิการ ก็เลยเกิดการเปลี่ยนตัวกันขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เรื่องนี้ถูกเปิดเผยออกไป บังคับให้พวกเราสองคนสามีภรรยาออกจากเมืองเทียนตูและหนีมาไกลถึงเมืองเจียงหนาน ตอนนั้นคุณเองก็ไม่ยอมสลับลูก ลูกคลอดออกมาดีดี ใครจะไปยอมเอาลูกสาวที่เพิ่งคลอดมามอบให้คนอื่นกันหล่ะ? แต่ สุดท้ายไม่ใช่ว่าพวกเราก็ต้องยอมตกลงหรอ?”
“ต่อมาเมื่อพวกเขารู้ว่าหลี่มู่หยางยังคงมีชีวิตอยู่ ก็เลยหันกลับมามองเขา ตอนที่มู่หยางอายุได้ห้าขวบ ก็มีนักบวชลัทธิเต๋านิรนามโผล่มา ไม่ใช่ตระกูลลู่เป็นคนเชิญมาหรอ? ไม่งั้นล่ะก็ เขาจะมาหาพวกเราเจอได้อย่างไร? และจะรู้ได้อย่างไรกันว่าบ้านของพวกเรามีเด็กที่ป่วยมานานแล้ว? ถ้าไม่ได้ยาของนักบวชลัทธิเต๋าที่ทำให้กินเป็นระยะเวลานานนั้น มู่หยางจะมีชีวิตอยู่จนทุกวันนี้มั้ยก็ยังไม่รู้……..คุณเองก็รู้สภาพร่างกายของเขาในตอนนั้น ตอนนั้นแต่ละวันแต่ละคืนพวกเราอยู่ไม่เป็นสุขเลย หลายๆครั้งที่ต้องตื่นขึ้นมาเพราะฝันร้าย เพราะกลัวว่าจู่ๆหัวใจของหลี่มู่หยางจะไม่เต้นอีกแล้ว เพราะมันอ่อนแอและอ่อนแรงเกินไป ราวกับว่ามันพร้อมจะหยุดเต้นได้เสมอ…………..”
“นักบวชลัทธิเต๋าคนนั้นมาอยู่ที่เจียงหนานนานถึงหกปี จนกระทั่งร่างกายของหลี่มู่หยางฟื้นฟูจนมั่นคงแล้วเขาถึงจากไป หลังจากที่นักบวชคนนั้นไปแล้ว คิดหรอว่าสายตาของตระกูลลู่ก็จากไปด้วย? ไม่มีทาง ฉันกลัวว่าตระกูลลู่ยังคงคอยจับตามองการเติบโตของหลี่มู่หยางอยู่ เพียงแค่สภาพร่างกายของมู่หยางในตอนนี้ยังคงน่าเป็นห่วงอยู่ และเขาก็ยังไม่ได้แสดงออกถึงความโดดเด่นอะไร พวกเขาก็เลยยังไม่มารับตัวเขากลับไป……………”
“แน่นอนว่า ตอนนี้พวกเขาก็ไม่มีทางที่จะมารับตัวกลับไปได้ ถ้าพวกเขามารับมู่หยางกลับไปที่ตระกูลลู่ แล้วจะจัดการเขาให้อยู่ในชื่ออะไรสถานะไหน? ญาติห่างๆ? ลูกนอกกฎหมาย? หรือว่า…..ลูกชายที่ถูกทอดทิ้งเป็นเวลานาน? แบบนั้นไม่เป็นการตบหน้าตัวเองหรือไง? คุณท่านตระกูลลู่เป็นคนที่รักหน้าตาจะตาย ไม่มีทางที่เขาจะทำเรื่องที่โง่แบบนี้”
หลัวฉีเข้าใจในสิ่งที่สามีอธิบายได้อย่างมีเหตุผลมาก เธอพูดเบาๆว่า “ในเมื่อตระกูลลู่ไม่มีทางมารับตัวเขาไปได้ มู่หยางก็ยังคงเป็นลูกชายของพวกเรา แล้วคุณจะต้องกังวลอะไรอีก?”
หลี่เหยียนยิ้มเจื่อน มีความวิตกกังวลอยู่บนใบหน้าที่เด็ดขาด เขาพูดว่า “ที่ผมพูดคือเป็นทางที่ดีที่สุด ก็คือตระกูลลู่ไม่มารับตัวเขากลับ มู่หยางก็จะเป็นลูกชายของเราตลอดไป ถึงแม้การที่เขาอยู่กับพวกเราชีวิตของเขาจะจืดชืดและธรรมดา แต่ก็สุขสบายดี ไม่มีการแก่งแย่ชิงดีชิงเด่นหรือทรยศกัน”
“และยังเลือดเย็นไม่มีความรู้สึก” หลัวฉีพูดขึ้นมา ” มีเรื่องอะไรบ้างที่พวกเขาทำไม่ได้?”
หลี่เหยียนยิ้มให้ภรรยาของตัวเอง เขารู้ดีว่าหัวใจของหลัวฉีสะสมความแค้นที่มีต่อตระกูลลู่มาอย่างยาวนาน
“แต่ ถ้าตระกูลลู่ต้องการมารับเขากลับไปหล่ะ? คุณท่านตระกูลลู่อายุก็เพิ่มมากขึ้นทุกปี หรือว่าก่อนที่เขาจะแก่ตายไปเขาไม่อยากเห็นหลานชายแท้ๆของตัวเองหรอ? ตอนนี้ลู่ชิงหมิงก็กลายเป็นผู้ว่าราชการมณฑลแล้ว ดูแลพื้นที่มากมาย อำนาจของเขาในตระกูลลู่ๆก็ยิ่งมีมากขึ้น หรือว่าเขาไม่อยากจะมารับลูกชายแท้ๆของเขากลับไปหรอ? ที่สำคัญก็คือยังมีคุณผู้หญิงกงซุนอีก……..ก่อนหน้านี้คุณผู้หญิงกงซุนไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แล้วคิดว่าต่อมาเธอก็ยังไม่รู้หรอ?”
“ที่ผ่านมา ถ้าตระกูลลู่ต้องการมารับตัวเขาไปจริงๆ พวกเขาก็สามารถทำได้ง่ายๆ ตอนนั้น พวกเราจะมีกำลังที่ไหนไปต่อต้าน? ไม่ต้องพูดถึงว่าตระกูลลู่เป็นตระกูลร่ำรวยยักษ์ใหญ่ของเมืองเทียนตู ความแข็งแกร่งของตระกูลยังอยู่อันดับต้นๆของประเทศ และยังมีคุณผู้หญิงกงซุน คุณผู้หญิงกงซุนมีความอาลัยอาวรณ์ลูกชาย ต้องใช้ระยะเวลาหลายปีกว่าจะรักษาโรตทางใจได้……ถ้าเธอมาขอเด็กคืนไป แล้วคุณจะให้มั้ย?”
ครั้งนี้ หลัวฉีเงียบไป
เขามองตระกูลลู่เป็นศัตรู เพราะรู้สึกว่าผู้ชายตระกูลลู่พวกนั้นเป็นคนโหดร้าย ทำได้ทุกอย่างเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ
แต่เธอไม่เกลียดกงซุนหยู หลัวฉีรู้ว่าถ้ากงซุนหยูรู้ความจริง เธอต้องเจ็บปวดมากกว่าตัวเองเป็นสิบๆเท่า
อีกอย่าง เดิมทีหลัวฉีก็เป็นหญิงรับใช้ของกงซุนหยู คดีพ่อแม่ของหลัวฉีที่ถูกใส่ความก็เป็นกงซุนหยูนี่แหละที่ช่วยลบล้างคดีให้ ไม่งั้นล่ะก็ เธอก็คงต้องตกไปอยู่ในมือของตระกูลศัตรู
และก็เพราะเป็นแบบนี้ เธอทั้งที่เป็นนักเรียนที่ยอดเยี่ยมที่สุดของคณะศิปละจึงยอมสาบานว่าจะรับใช้กงซุนหยู่ไปตลอดชีวิต คุณผู้หญิงกงซุนหยูเป็นผู้หญิงที่อ่อนโยนที่สุด เป็นผู้หญิงที่ดีที่สุดเท่าที่เธอเคยเจอมาเลย แต่……….
” คุณผู้หญิงเคราะห์ร้าย” หลัวฉีพูดเบาๆ
“ใช่ คุณผู้หญิงเคราะห์ร้าย พวกเราเองก็เคราะห์ร้าย แต่ บรรดาพวกเราไม่มีใครเคราะห์ร้ายไปกว่ามู่หยางอีกแล้ว…………คุณดูสิตั้งแต่เขาเกิดมาจนถึงตอนนี้เขาใช้ชีวิตมาอย่างไร? ตั้งแต่เล็กจนโต แทบจะโตมาในขวดยา ตั้งแต่เริ่มรู้จักกินนมเป็น เขาก็ต้องดื่มยาจีนไปด้วย สิบกว่าปีที่ผ่านมา เขาต้องดื่มยาจีนถ้วยใหญ่สามถ้อยต่อวัน……….รูปลักษณ์ภายนอกดูไม่ดี ไปที่ไหนก็โดนคนอื่นหัวเราะเยาะเย้ย และก็เพราะว่าป่วย สมองของเขาจึงฉลาดน้อยกว่าเด็กปกติถึงหนึ่งในสิบ ถึงแม้ช่วงสองสามปีที่ผ่านมาสภาพร่างกายของเขาจะคงที่ขึ้นบ้าง สมองของเขาก็ค่อยๆดีขึ้นเล็กน้อย แต่สิ่งที่ทำให้น่าเป็นห่วงก็คือ…………”
หลี่เหยียนหันไปมองหลี่มู่หยางที่กำลังพูดคุยและหัวเราะอยู่กับหลี่ซือเหนียนและชุยเสี่ยวซินข้างนอกด้วยใบหน้าเมตตาและอ่อนโยน พร้อมพูดว่า ” เด็กที่อายุอย่างเขา มันเป็นช่วงเวลาที่ละเอียดอ่อนที่สุดของความภาคภูมิใจ ตอนเด็กๆมีคนด่าเขาว่าดำด่าเขาว่าน่าเกลียด สมมติว่าเขาชอบผู้หญิงคนหนึ่ง แล้วผู้หญิงจะชอบมู่หยางที่เป็นแบบนี้หรอ?”
“งั้นแล้วจะทำอย่างไร?” หลัวฉีกำหมัดแน่น เธอรู้สึกปวดใจมากๆ “พวกเราต้องหาวิธีช่วยลูก หรือว่าพวกเราจะลองคุยกับเขาดู? ค่อยๆโน้มน้าวและแนะนำเขา?”
หลี่เหยียนส่ายหน้าและพูดว่า ” จู่ๆมู่หยางก็ต้องการลเรียน มันทำให้ผมรู้สึกสงสัยมาก ตอนที่ผมไปทำเรื่องลาเรียนให้เขาที่โรงเรียน ผมก็เลยตั้งใจลองสืบดู ผมก็เลยลองไปลากเด็กคนหนึ่งที่เรียนห้องเดียวกับเขามาถามดู……เพราะมีคุณครูคนหนึ่งสงสัยว่าเขาทุจริตการสอบ เขาก็เลยไม่อยากไปโรงเรียนอีก”
“อะไร?” หลัวฉีโกรธ เธอพูดด้วยความโกรธว่า “คุณครูคนไหนบอกว่าลูกชายของฉันทุจริต? นิสัยของลูกชายของฉันเป็นอย่างไรมีรึที่ฉันจะไม่รู้? “ไม่ใช่แบบนั้น ได้ยินมาว่าครั้งนี้มู่หยางสอบได้คะแนนดี………….”
“แบบนั้นก็สามารถหาว่าลูกชายฉันทุจริตได้แล้วหรอ? ช่วงนี้มู่หยางขยันขนาดไหน พวกเราพ่อแม่เห็นอยู่กับตา เขาบาดเจ็บขนาดนั้นแล้ว ยังอ่านหนังสือทั้งวัน วันๆหนึ่งเขาต้องทำข้อสอบกี่ฉบับ…….ไม่ได้ เรื่องนี้ปล่อยไว้แบบนี้ไม่ได้ ฉันจะไปหาคุณครูที่โรงเรียน ลูกชายของเราโง่ถูกคนอื่นรังแก พวกเราเป็นพ่อแม่ไม่มีทางโง่ให้ถูกรังแกได้ ไม่อย่างงั้นลูกของเราจะรู้สึกหดหู่……………”
หลี่เหยียนดึงหลัวฉีที่กำลังตื่นเต้นอยู่ และพูดว่า ” คุณอย่าเพิ่งบู่มบ่ามไป คุณจะไปอาละวาดที่โรงเรียนตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไร ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการสอบเอ็นทรานซ์ของลูก……..คุณเห็นแล้วยัง?”
“เห็นอะไร?” หลัวฉีถาม
“ความหวัง”
“อะไร?”
“ความหวัง ความหวังบนใบหน้าของมู่หยาง” หลี่เหยียนพูด “คุณดูสายตาของมู่หยาง แต่ก่อนเขามีความปราถนาที่จะเรียนขนาดนี้มั้ย?”
หลัวฉีมองดูด้วยความจริงจัง พบว่าบนใบหน้าของลูกชายเธอเองมีรอยยิ้มที่สดใส แววตาเปล่งประกาย เหมือนดวงดาวที่แขวนอยู่บนท้องฟ้ายามค่ำคืน
“มู่หยางอยากจะเรียนมหาวิทยาลัย” หลัวฉีพูด
“มู่หยางไม่เพียงแค่อยากจะเรียนมหาวิทยาลัย แต่เขาอยากเรียนมหาวิทยาลัยซีเฟิง” หลี่เหยียนพูด
“คุณรู้ได้อย่างไร?” หลัวฉีมีสีหน้าท่าทางที่ตกใจ “มหาวิทยาลัยซีเฟิงเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดของประเทศ ด้วยคะแนนของมู่หยางแล้ว……เกรงว่ายากเกินไปที่จะสอบติดนะ?”
“ผมเองก็ได้ยินซือเหนียนพูดอยู่ เธอพูดว่าให้พี่ชายไปดูสภาพความเป็นอยู่ดูเส้นทางต่างๆให้คุ้นชินก่อน แล้วเธอจะตามอีกหนึ่งปี……..” หลี่เหยียนใช้คางชี้ไปที่ชุยเสี่ยวซินและพูดว่า “ได้ยินมาว่าเด็กผู้หญิงคนนั้นก็จะไปเรียนที่มหาวิทยาลัยซีเฟิงด้วย”
“แล้วแบบนี้จะทำอย่างไรดี?” หลัวฉีพูดด้วยใบหน้าที่กังวล “ถ้าชุยเสี่ยวซินสอบติด แต่มู่หยางกลับสอบไม่ติด แล้วแบบนั้นมู่หยางจะเป็นอย่างไร? เขาอุตส่าทุ่มแรงกายแรงใจลุกขึ้นมาจะทำอะไรซักอย่าง ยังไงก็ล้มเหลวไม่ได้เด็ดขาด”
หลี่เหยียนถอนหายใจและพูดว่า ” มันอยู่ที่คน เรื่องนี้ก็ต้องพึ่งความขยันของมู่หยางเองแล้ว”
แววตาของหลัวฉีเปล่งประกาย เธอเงียบอยู่พักใหญ่ หลังจากนั้นก็พูดเบาๆว่า “ไม่ก็ พวกเราไปขอให้ตระกูลลู่ช่วย?”
หลี่เหยียนตกใจมาก เขาพูดว่า ” ไม่ใช่คุณไม่อยากจะมีความเกี่ยวข้องใดใดกับตระกูลลู่หรอ? เมื่อกี้ยังกังวลว่าพวกเขาจะมาแย่งตัวลูกชายของคุณไปอยู่เลย มาตอนนี้คุณจะเอาลูกชายส่งให้พวกเขาแทน?”
“ถ้าลูกไม่ต้องลำบาก……….” หลัวฉีขอบตาแดง เธอพูดว่า ” ฉันลำบากนิดหน่อยไม่เป็นไรหรอกมั้ง?”
“………………..”
ชุยเสี่ยวซินปิดหนังสือ และพูดกับหลี่มู่หยางว่า “วิชาประวัติศาสตร์สามารถหยุดไว้ก่อนชั่วคราว เพราะถือเป็นวิชาที่นายถนัดที่สุด ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป พวกเราจะมาติววิชาภาษาอังกฤษกัน ซึ่งเป็นวิชาที่นายค่อนข้างอ่อน จึงจำเป็นต้องใช้เวลาเยอะหน่อย………”
“ไม่มีปัญหา” หลี่มู่หยางหัวเราะเห่อเห่อและพูดว่า “เชื่อฟังคุณครูเสี่ยวซินครับ”
ชุยเสี่ยวซินยืนขึ้นและพูดว่า ” ค่อนข้างเย็นแล้ว พรุ่งนี้ฉันค่อยมาใหม่”
หลี่ซือเหนียนรีบวิ่งมาดึงชุยเสี่ยวซินไว้และพูดว่า “พี่เสี่ยวซิน กินข้าวเย็นที่บ้านพวกเราก่อนค่อยกลับสิ?”
“ไม่ต้องแล้ว ” ชุยเสี่ยวซินปฏิเสธ เธอยิ้มและพูดว่า ” ที่บ้านมีผู้ใหญ่กำลังรอพี่อยู่ จะควรปล่อยให้พวกเขาเป็นห่วง”
“พี่เสี่ยวซิน………..”
ชุยเสี่ยวซินยิ้มเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ตอบตกลงกับคำเชิญของหลี่ซือเหนียน เธอมาช่วยหลี่มู่หยางติวหนังสือที่บ้านทุกวัน แต่เธอไม่เคยอยู่กินข้าวที่บ้านของเขาเลยซักมื้อ
หลัวฉีและหลี่เหยียนเองก็ช่วยกันออกมายื้อเธอไว้ ชุยเสี่ยวซินพยายามพูดปฏิเสธน้ำใจของพวกเขาอ้อมๆ หลังจากนั้นเธอก็สะพายเป้เดินออกไป
“มู่หยาง………….” หลัวฉีดึงหูลูกชายตัวเอง และพูดด้วยความไม่พอใจว่า ” เด็กโง่ มามัวเก็บของอะไรกันตอนนี้? รีบออกไปส่งชุยเสี่ยวซินสิ”
“อ้อ อ้อ…………..” หลี่มู่หยางเพิ่งได้รู้ตัว เขาวางหนังสือลงและรีบวิ่งตามชุยเสี่ยวซินไป
เขาวิ่งไปถึงหน้าบ้าน ก็เห็นรถหรูสัญลักษณ์รูปตรีศูลจอดอยู่ข้างๆชุยเสี่ยวซิน
ผู้ชายสวมชุดคลุมสีเขียวรีบลงมาจากที่นั่งคนขับ และไปเปิดประตูรถด้านหลัง และช่วยป้องกันหัวของชุยเสี่ยวซินตอนที่เธอเข้าไปนั่งในรถ
เขาปิดประตูรถ หลังจากนั้นผู้ชายคนนั้นก็หันมามองตรงที่หลี่มู่หยางยืนอยู่ รถหรูสีดำค่อยๆขับเข้าไปในความมืด
หลี่มู่หยางยืนอยู่ภายใต้ความมืดของร่มเงาต้นไม้ เขารู้สึกหดหู่