ชีวิตของหลี่มู่หยางก็เหมือนกับสีผิวของเขา มืดมนมองไม่เห็นแสงสว่างใดใด
ก็เพราะเป็นแบบนี้ ตอนที่ชุยเสี่ยวซินบอกว่าจะช่วยเขาติวหนังสือที่ร้านกาแฟ เขาถึงได้รู้สึกซาบซึ้งใจ ทำให้ตอนที่ชุยเสี่ยวซินถูกลอบฆ่าเขาถึงได้พุ่งตัวเข้าไปช้วยโดยไม่ต้องคิดอะไร และยอมที่จะเสียสละชีวิตตัวเองเพื่อเธอ
และก็เพราะเป็นแบบนี้ ตอนที่คะแนนของเขามีการพัฒนาขึ้น ชีวิตของเขาก็มีแสงสว่างเล็กน้อย เขาถึงสนใจมากกว่าใครๆ และให้ความสำคัญมากกว่าใครๆ
ราวกับมีดอกไม้ที่เบ่งบานท่ามกลางทะเลทราย คุณค่อยๆดูแลมันอย่างระมัดระวัง รอให้มันได้ผลิดอกออกผลที่อุดมสมบูรณ์ สรุปว่ามีคนคนหนึ่งเดินมาและเหยียบดอกไม้ตาย มาดับแสงสว่างและความหวังของคุณ และทำให้คุณกลับไปสู่โลกที่มืดมิดอีกครั้ง
เขารู้สึกหมดหวังและรู้สึกโศกเศร้าเสียใจ
เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางของหลี่มู่หยาง ทุกคนก็นิ่ง
พวกเขารับรู้ได้ถึงความเสียใจและความขื่นขมของหลี่มู่หยาง พวกเขาเห็นเส้นเลือดที่คอที่ปูดนูนออกมาและมือที่กำปากกาจนแน่นได้อย่างชัดเจน
แป็ก………….
ปากกาแท่งนั้นถูกเขากำแน่นจนหัก น้ำหมึกสีดำข้างในปากกาไหลออกมาเต็มฝ่ามือ
ก็เหมือนกับที่เขาพูด ถ้าคุณสงสัยว่าเขาทุจริตการสอบ งั้นก็ควรต้องหาวิธีมาพิสูจน์ความคิดของคุณ ไม่ใช่สวมหมวกทุจริตให้นักเรียนโดยไม่รู้ตัว
การใส่ร้ายแบบนี้มันก็เหมือนเอามีดมาแกะสลักตัวหนังสือบนโต๊ะ ต่อให้ขูดโต๊ะให้เรียบเสมอกัน แต่มันก็ย่องคงทิ้งร่องรอยไว้ในใจเสมอ
เมื่อได้ยินคำถามของหลี่มู่หยางแล้ว จ้าวหมิงจูก็มีสีหน้าอึมครึม
“หี่มู่หยาง ยังต้องพิสูจน์อีกหรอ? แต่ก่อนนายได้คะแนนเท่าไหร่นายยังไม่รู้อีกหรอ? ฉันไม่รู้หรอ? เพื่อนร่วมห้องไม่รู้หรอ? ไม่ได้มาเรียนไม่กี่วันสามารถทำข้อสอบได้ขนาดนี้ นายคิดว่าตัวเองเป็นอัจฉริยะหรือไง?” คำพูดของจ้าวหมิงจูยังคงทิ่มแทง แต่น้ำเสียงในการพูดอ่อนลงเยอะมาก ” ได้ นายต้องการพิสูจน์ใช่มั้ย? ได้ ฉันจะให้นายได้พิสูจน์”
เธอกวาดสายตาไปมองนักเรียนที่อยู่รอบๆหลี่มู่หยาง เพื่อนที่นั่งติดกันกับหลี่มู่หยางมีชื่อว่าหยางจวิน เขาเป็นเพื่อนซี้กับจางเฉิน และเขาก็เป็นนักบาสเก็ตบอลของโรงเรียนเช่นเดียวกัน ผลการเรียนของเขาถืออยู่ในระดับปานกลาง เขาเองก็ไม่มีทางส่งข้สอบที่สมบูรณ์ได้
ก็เลยทำให้จ้าวหมิงจูละสายตาไปมองผู้หญิงที่อยู่ด้านหลังของหลี่มู่หยางและพูดว่า “เฉินหยวนหยวน เอาข้อสอบของเธอมาให้ครูดูหน่อย”
เฉินหยวนหยวนเอามือดันแว่นที่จมูกของเธอ เงยหน้ามองจ้าวหมิงจูและพูดว่า ” คุณครูจ้าวคะ หนูยังทำไม่เสร็จเลย……ยังมีอีกหนึ่งส่วยสามของข้อสอบที่หนูยังไม่ได้ทำ”
จ้าวหมิงจูขมวดคิ้ว เฉินหยวนหยวนเป็นนักเรีนรดีในสายตาของเธอ และก็เป็นนักเรียนที่นั่งใกล้หลี่มู่หยางและมีคะแนนที่ดีที่สุด ขนาดเธอยังเหลือข้อสอบอีกหนึ่งในสามที่ยังไม่ได้ทำ งั้นแสดงว่าหลี่มู่หยางก็ไม่ได้ลอกข้อสอบเธอหน่ะสิ
“เจิ้งฟาง เธอทำข้อสอบเสร็จแล้วยัง?”
“คุณครูคะ หนูยังทำไม่เสร็จเลยค่ะ” เสียงของผู้หญิงรูปร่างเล็กตอบเบาๆ เพราะกลัวว่าจ้าวหมิงจูจะว่าตัวเอง
“เฉินเหล่ย………….”
“คุณครูครับ ผมทำเสร็จแล้ว”
“เอามาให้ฉันดู”
เฉินเหล่ยเอาข้อสอบมาส่ง จ้าวหมิงจูเปิดดูด้วยใบหน้าที่ตื่นเต้น ราวกับว่าหาหลักฐานในการทุจริตของหลี่มู่หยางได้แล้ว
เธอเปิดดู ดูๆไปใบหน้าของเธอก็สลดลง และขว้างข้อสอบของเฉินเหล่ยทิ้งพร้อมด่าว่า “เฉินเหล่ย นายสมองหมูหรือไง? ข้อที่หนึ่งกับข้อที่สามฉันพูดไปไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบแล้ว ทั้งๆที่เป็นข้อที่จะทำให้เธอได้คะแนน จนถึงตอนนี้แล้วนายก็ยังตอบผิดอีก นายมีความจำบ้างมั้ยเนี่ยะ? นายยังอยากจะเรียนมหาวิทยาลัยอีกมั้ย? เอาข้อสอบกลับไปทำใหม่”
เฉินเหล่ยหยิบข้อสอบจากพื้น และวิ่งกลับไปที่โต๊ะด้วยสีหน้าแดง
จ้าวหมิงจูกวาดสายตาในห้องและถามว่า ” นักเรียนคนไหนทำข้อสอบเสร็จแล้ว? เหลือสองสามข้อก็ไม่เป็นไร…….”
ไม่มีใครตอบรับ
” ไม่มีเลยซักคนหรอ?” สีหน้าของจ้าวหมิงจูไม่ค่อยดีนัก
หลี่มู่หยางยืนขึ้น
เขาดันเก้าอี้ออก และเดินมาที่โพเดี้ยมทีละก้าวๆ
“หลี่มู่หยาง นายต้องการจะทำอะไร?” จ้าวหมิงจูพูดอย่างเสียงดัง
“ไม่ต้องลำบากขนาดนั้นหรอกครับ” หลี่มู่หยางพูดเบาๆ
เขาหยิบข้อสอบที่ยังเหลืออยู่บนโต๊ะโพเดี้ยมออกมาฉบับหนึ่ง หลังจากนั้นเขาก็ใช้ดินสอที่จ้าวหมิงจูไว้ตรวจการบ้านมาเริ่มทำข้อสอบ
ดวงตาของจ้าวหมิงจูกลมโต ใบหน้ากระตุกตลอดเวลา
เด็กที่ไม่รู้ที่ต่ำที่สูง เขาจะทำข้อสอบต่อหน้าต่อตา?
ก็เหมือนกับที่จ้าวหมิงจูคิด หลี่มู่หยางยืนอยู่ข้างๆเธอแบบนั้น โน้มตัวไปข้างหน้า และค่อยๆเขียนคำตอบลงไปในกระดาษข้อสอบที่ว่างเปล่า
ขืด ขืด ขืด…….
ปลายปากกาขยับ ข้อมือของเขายกขึ้นมาน้อยมากๆ
ในห้องเรียนเงียบมากไม่มีเสียงใดใด
ไม่มีใครพูดอะไร ไม่มีใครทำข้อสอบ ไม่มีแม้กระทั่งสีหน้าดูถูกของทุกๆคน
ทุกคนต่างเงยหน้ามองหลี่มู่หยางที่ยืนทำข้อสอบอยู่บนโพเดี้ยม พวกเขาต้องการจะเป็นพยานในการพิสูจน์นี้ และต้องการเป็นพยานว่าหลี่มู่หยางบริสุทธิ์
เสียงออดเลิกเรียนดังขึ้น ไม่มีใครออกจากห้อง ยังคงเข้าเรียนกันต่อไป
ตอนที่หลี่มู่หยางทำข้อสอบข้อสุดท้าย เขาใช้เวลาไปเพียงแค่สามสิบนาที เพราะเป็นข้อสอบที่เขาทำไปแล้วครั้งหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องครุ่นคิดอีกแล้ว
เขายื่นกระดาษข้อสอบให้จ้าวหมิงจูอีกครั้งและพูดว่า ” คุณครูลองดูครับ”
จ้าวหมิงจูรับข้อสอบมา แต่สายตากลับมองหลี่มู่หยาง
นักเรียนที่เป็นคนไร้ประโยชน์ในสายตาของทุกๆคน มีการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงขึ้น
ไม่ว่าข้อสอบที่เขาส่งมาฉบับนี้จะถูกหรือจะผิด เขาก็กล้าที่จะลุกขึ้นยืนและสู้กลับ เขาเดินมาที่โพเดี้ยมและทำข้อสอบต่อหน้านักเรียนทั้งห้อง …………..เขาไม่ใช่คนที่ขี้ขลาด อ่อนแอ เลอะเลือน เป็นนักเรียนที่ไม่เคยสนใจอะไรราวกับว่าไม่มีตัวตนอยู่อีกแล้ว
“แน่นอนว่า คุณครูอาจจะพูดว่าเพราะก่อนหน้านี้ผมลอกมาแล้วครั้งหนึ่ง ก้เลยทำให้ผมจำคำตอบได้ขึ้นใจ…….” หลี่มู่หยางจ้องจ้าวหมิงจูด้วยสายตาแหลมคม น้ำเสียงของเขาแฝงด้วยความเลียดชัง เขาพูดว่า “เพื่อไม่ให้เกิดข้อประนณามที่ว่า มีหลายๆข้อที่ผมตอบคำถามในอีกรูปแบบหนึ่ง คุณครูจ้าวลองดูครับ ลองดูว่าข้อสอบทั้งสองฉบับของผมมีตรงไหนบ้างที่ไม่เหมือนกัน”
หา………………
ห้องเรียนกลับมายุ่งเหยิงอีกครั้ง
“อะไร? เขาพูดว่า มีหลายๆข้อที่เขาตอบคำถามในอีกรูปแบบหนึ่ง?”
“ไม่ใช่มั้ง? หลี่มู่หยางกินยาเทพเข้าไปหรอ…….ไม่งั้นเขาไม่เปลี่ยนเป็นเก่งได้ขนาดนี้หรอก?”
“เขาคงไม่ได้เป็นคนฉลาดที่แกล้งโง่มาโดยตลอดหรอกนะ? แต่ก่อนตั้งใจสอบไม่ดี ก็เพื่อต้องการหลอกพวกเรา แต่พอก่อนสอบเข้ามหาวิทยาลัยเขาเลยตัดสินใจทำให้พวกเราตกใจ………….”
………………..
จ้าวหมิงจูไม่ได้สนใจเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่เกิดขึ้นในห้องเรียน เธอละสายตามามองข้อสอบที่อยู่ในมือ
ดูไปเรื่อยๆทีละข้อ คำตอบของแต่ละข้อๆปรากฏในสายตา หลังจากนั้นก็เอาคำตอบนั้นมาเปรียบเทียบกับคำตอบในใจ
หลี่มู่หยางไม่ได้โกหก มีหลายๆข้อที่เขาเปลี่ยนวิธีในการตอบ แยกไม่ออกว่าวิธีไหนดีกว่ากัน แต่คำตอบเป็นคำตอบที่ถูกต้องทั้งสองวิธี
และยังคงเหมือนกระดาษข้อสอบฉบับแรก มีสองข้อที่เว้นว่างไว้ นั่นก็คือข้อที่เขาหาคำตอบไม่ได้
คะแนนแบบนี้ ความสามารถแบบนี้ แม้แต่ชุยเสี่ยวซินที่เป็นอันดับหนึ่งของห้องก็อาจจะยังทำไม่ได้
สามารถแน่ใจได้ว่า หลี่มู่หยางไม่ได้ทุจริตการสอบ ข้อสอบฉบับนี้และฉบับก่อนหน้านี้ล้วนเป็นข้อสอบที่หลี่มู่หยางทำเอง
จ้าวหมิงจูจับกระดาษข้อสอบฉบับนั้นราวกับว่ากำลังจับถ่านที่ติดไฟแล้ว
สีหน้าของเธอเปลี่ยนไป สุดท้ายเธอก็พยายามบีบรอยยิ้มที่ยากจะยิ้มออกมา ตบไหล่หลี่มู่หยางและพูดว่า ” ไม่เลว หลี่มู่หยางไม่ได้ทุจริต การสอบในครั้งนี้เขาเป็นคนทำเอง…………เห็นได้ชัดว่ามีการพัฒนามาก ต้องรักษาระดับต่อไป”
จ้าวหมิงจูยกข้อมือขึ้นมาดูนาฬิกาและพูดว่า ” หลี่มู่หยาง นายไปก่อนได้ นักเรียนคนอื่นๆทำข้อสอบต่อ”
“คุณครูจ้าวครับ……..” หลี่มู่หยางยังคงยืนตรงหน้าจ้าวหมิงจูไม่ไปไหน
“อะไร?” จ้าวหมิงจูเงยหน้าขึ้นมา สายตาแฝงด้วยความดุร้าย เธอพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของเขาแล้ว หรือว่เขายังไม่พอใจอีกหรอ?
“คุณครูสอนมาตั้งหลายปี น่าจะยังไม่เคยพูดขอโทษนักเรียนเลยใช่มั้ย?” หลี่มู่หยางถามขึ้น
บรรยากาศอึมครึม นักเรียนทุกคนต่างก็รู้สึกเย็นสะท้านที่หลังคอ
พวกเขารู้สึกว่าหลี่มู่หยางต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ กล้าให้แม่มดเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงของโรงเรียนขอโทษ
“นายต้องการจะพูดอะไร?” จ้าวหมิงจูกำหมัด ข้อสอบที่หลี่มู่หยางเพิ่งทำเสร็จถูกเธอบีบจนยับ
“ถ้าไม่เคยล่ะก็…………” หลี่มู่หยางมองตาจ้าวหมิงจู และค่อยๆพูดออกมาว่า ” งั้นก็เริ่มจากผมก่อนเลย”
“หลี่มู่หยาง…………..”
“หรือว่าคุณครูรู้สึกว่า เรื่องที่คุณครูทำลงไป คำพูดที่คุณครูพูด ความเจ็บปวดของนักเรียนไม่สามารถแลกกับคำขอโทษได้? ถ้าเป็นแบบนั้นหล่ะก็ ผมก็จะไปคุยเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้กับโรงเรียน และไปฟ้องร้องกับกระทรวงศึกษาธิการต่อการดูถูกและการใส่ร้ายที่คุณครูทำกับผม………..”
จ้าวหมิงจูจ้องหลี่มู่หยางด้วยสายตาอาฆาต และพูดว่า ” หลี่มู่หยาง นายแน่ใจว่าจะเอาอย่างนี้?”
“ครับ ผมแน่ใจครับครู”
“ได้ ฉันจะขอโทษนาย กับคำพูดที่ฉันพูดผิดไปเมื่อกี้ ฉันไม่ควรกล่าวหานายว่าทุตริตโดยไม่ได้ตรวจสอบก่อน…….หลี่มู่หยาง ครูขอโทษ” จ้าวหมิงจูพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
นี่เป็นเรื่องที่เธอไม่เคยทำมาก่อน
และก็เป็นเรื่องที่เธอไม่เคยคิดมาก่อนว่าเธอจะต้องทำ
“ฉันไม่ได้ทุจริต” หลี่มู่หยางพูดกับเพื่อนทั้งห้อง
“………………..”
หลี่มู่หยางหันไปมองจ้าวหมิงจูและพูดว่า ” ผมไม่ยอมรับ”
“อะไร?”
“ผมพูดว่า……..ผมไม่ยอมรับคำของโทษของคุณครูจ้าว” หลี่มู่หยางพูดอีกครั้ง
เขาเดินลงมาจากโพเดี้ยม และเดินตรงไปที่โต๊ะของตัวเอง
เขาหยิบหนังสือ ปากกาและกระบอกน้ำใส่เข้าไปเป้นักเรียน หลังจากนั้นก็ถือกระเป๋าเดินออกจากห้องไป
ในครั้งนี้ หลังของเขาตั้งตรง เหมือนต้นสนที่อยู่ในหุบเขา