[นิยายแปล] Keiken Zumi na Kimi to, Keiken Zerona Ore ga, Otsukiai Suru Hanashi. 20 ช่วยรับผิดชอบทีจะได้ไหม? [จบเล่ม 1]

ตอนที่ 20 ช่วยรับผิดชอบทีจะได้ไหม? [จบเล่ม 1]

“จะว่าไปนายเองก็คุย LINE กับนิโคลด้วยสินะ”

 

ชิราคาวะซังพูดพร้อมกับกระพริบตาไปด้วย

นี่มันเหมือนกับครั้งก่อนเลย คิดว่านะ

มันคือใบหน้าที่รู้สึกกังวลอยู่หน่อยๆในตอนเธอแสดงออกเวลาที่ถามผมเรื่องที่อยู่กับยามานะซังที่ร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดนั่น

 

“ครับ……อืม ก็ตั้งแต่ตอนที่ผมได้รู้เรื่องวันเกิดของเธอที่ยามานะซังเล่าให้ผมฟัง ถ้าเกิดผมอยากถามอะไรเกี่ยวกับชิราคาวะซัง เธอบอกก็ให้ LINE ไปถามได้เลยแต่เอาเข้าจริงๆผมก็ไม่ได้รับข้อความอะไรจากเธอเลยนับตั้งแต่นั้นมาครับ”

 

มันเหมือนกับการสร้างเรื่องเพื่อแก้ตัวแต่เนื่องจากชิราคาวะซังเองก็ไม่ได้ออกอาการหึงหวงอะไรเลยผมจึงพูดออกไปด้วยน้ำเสียงแบบขอไปที

 

“เฮ้ออ เข้าใจแล้ว!”

 

ชิราคาวะซังกลับเข้าสู่อารมณ์ปกติทันทีแล้วหลังจากนั้นเธอก็ก้มมองต่ำแล้วก็พึมพัมอย่างกระซิบกระซาบว่า

 

“ชั้นว่า……..ชั้นอาจจะชอบริวโตะมากกว่าที่คิดก็ได้นะ….”

“อะไรนะครับ?”

“ปะ-เปล่า ไม่มีอะไร!”

 

ในที่สุดผมก็เริ่มกินมื้อเที่ยง

สิ่งสำคัญก็คือเรื่องของรสชาติและมันก็ไม่ได้อันตรายอย่างที่ผมเตรียมใจไว้เลยสักนิด

 

“อื้ม! อร่อย!”

 

แม้ว่าผมจะพูดออกไปอย่างนั้นแต่มันก็ไม่ใช่การโกหกแต่อย่างใดรสชาติของมันก็เหมือนกับไข่เจียวธรรมดาทั่วไปที่ทำได้ที่บ้าน

ถึงแม้จะเป็นมื้อเที่ยงที่ห่วยแตกในระดับที่เทน้ำตาลกับเกลือหกใส่ผสมปนกันมา

มันก็เป็นเหมือนกับอาหารจากร้านภัตตาคารระดับ 3 ดาวสำหรับผมอยู่ดีนั่นแหละ

มื้อเที่ยงทำมือโดยชิราคาวะซังที่ผมเฝ้าใฝ่ฝันมาโดยตลอด

 

“จริงเหรอ? เย้!!”

 

ชิราคาวะซังมีความสุขราวกับเป็นเด็กน้อยไร้เดียงสา

 

“นี่เป็นครั้งแรกที่ชั้นได้ลองทำดูเลยนะ ชั้นอาจจะเป็นอัจฉริยะก็ได้!! รึบางทีในอนาคตชั้นจะเป็นเชฟดีไหมน๊า~”

“พูดถึงเรื่องนั้นแล้วเธอไม่อยากลองเป็น Youtuber ดูบ้างเหรอครับ?”

“งื้อ~อยากเป็นหลายอย่างซะจนหนักใจแล้วเนี่ย!!”

 

วันนี้ชิราคาวะซังยิ้มแย้มสุดๆถึงแม้ว่าเธอจะเป็นเด็กร่าเริงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

แต่จำนวนครั้งที่เธอเผยรอยยิ้มออกมาตอนที่เราอยู่ด้วยกันมันมากกว่าช่วงแรกๆ

อยากรู้จังว่า………เธอชอบผมมากกว่าเดิมแล้วรึยังนะ?

ถ้าเป็นอย่างนั้นล่ะก็ แค่สกินชิพนิดๆหน่อยๆก็คงจะไม่เป็นอะไรสินะ….?

ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่ผมคิดว่าชิราคาวะซังน่ารักผมก็ยิ่งอยากที่จะสัมผัสเธอและมันก็น่าหนักใจจริงๆเพราะถึงแม้ว่าแรกเริ่มเดิมทีแค่ได้อยู่กับเธอผมก็มีความสุขแล้วแต่ดูเหมือนว่าตัวผมนั้นจะโลภมากขึ้นเรื่อยๆก่อนที่ตัวผมเองจะรู้ตัวเสียอีก

 

หลังจากทานมื้อเที่ยงเสร็จเราก็พากันเดินดูรอบๆดูสัตว์ต่างๆอีกราวๆชั่วโมงนึงได้และหลังจากที่เราวนจนครบเราก็ออกมา

มันได้เวลาแล้ว

จุดประสงค์หลักของวันนี้คือ “ตอนที่ผมไปนั่งเรือเล่นกับชิราคาวะซังในช่วงเวลาที่กำลังก้าวขึ้นและลงจากเรือผมจะยื่นมือออกมารับเธอตามสัญชาติญาณ” เพราะงั้นก็มาเริ่มภารกิจกันเลยก็แล้วกัน

แล้วการจะทำแบบนั้นได้ผมจะต้องเชิญชวนเธอให้ไปนั่งเรือให้สำเร็จเสียก่อน

ขณะที่กำลังเก็บซ่อนความรู้สึกตื่นเต้นเอาไว้ข้างในผมก็เดินเคียงข้างชิราคาวะซังอยู่บนถนนที่อยู่ด้านนอกสวนสัตว์็เดินเคียงข

ทานด้านทิศตะวันตกของสวนสัตว์อุเอโนะอยู่ติดกับสระน้ำชิโนบาสุของสวนอุเอโนะพอดีและเมื่อออกจากทางประตูตรงนั้นคุณก็จะต้องเดินตามเส้นทางที่เรียบสระน้ำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

 

 

“มันเป็นสระน้ำที่ใหญ่มากจริงๆเลยเนอะ~!”

 

เมื่อมองไปยังสระน้ำชิราคาวะซังก็ส่งเสียงออกมา

 

“นั่นสินะครับ”

 

วันนี้อากาศดีถึงแม้จะเป็นเวลาบ่าย 3 โมงแล้วก็ยังพอมีเรือแล่นอยู่

เรือหลายลำที่พวกเราเห็นส่วนมากเป็นเรือหงส์แต่ผมก็มายืนยันไว้ก่อนล่วงหน้าแล้วว่ามันก็มีเรือธรรมดาอยู่ด้วยเหมือนกัน

 

“อ๊ะ!”

 

ชิราคาวะซังชี้ไปที่สระน้ำ

 

“มีเรือด้วยล่ะ!! ดูนั่งสบายดีเนอะ!”

“…..อยากจะลองนั่งดูไหมล่ะครับ?”

 

โอกาสมันจะเหมาะเหม็งอะไรขนาดนี้เพราะงั้นผมก็เลยประหม่าจนเสียงของผมมันโทนแหลมเล็กน้อย

 

“อื้อ อยากลองนั่ง!”

 

ชิราคาวะซังตอบด้วยจิตใจอันแรงกล้าและแววตาก็เปล่งประกายอย่างมีความสุข

 

“ชั้นคิดว่าตัวเองไม่ได้นั่งเรือมาตั้งแต่ตอนอยู่ประถมแล้วนะ! แล้วนี่พวกเราต้องพายเรือด้วยไหม?”

“ไม่ครับ เดี๋ยวผมพายให้เอง”

“เอ๋ แต่ทุกคนที่นั่งบนเรือก็ต้องพายเรือช่วยกันใช่ไหมล่ะ?”

“อันนั้นมันการพายเรือแคนูแล้วครับ!”

“เอ๋~!?”

 

ขณะที่กำลังหัวเราะไปกับคำพูดอันไร้เดียงสาของชิราคาวะซังเราก็มุ่งหน้าไปยังท่าเรือที่มีเรือจอดเรียงกันเป็นแถวอยู่

ชัดเจนว่ามันมีระบบที่คุณจะต้องซื้อตั๋วจากเครื่องขายตั๋วเสียก่อนและค่อยมุ่งหน้าไปยังพื้นที่ขึ้นเรือที่อยู่บริเวณปลายท่าเรือ

 

“แต่นั่งเรือเนี่ยมันจะไม่ร้อนเอาหรอกเหรอ?”

 

เพราะชิราคาวะซังพูดกับผมอย่างนั้นผมจึงหยุดกับการพยายามที่จะนั่งเรือธรรมดาและเลือกซื้อตั๋วเรือถีบแบบมีหลังคามุงแทน

มันเป็นเรือประเภทหนึ่งที่จะเคลื่อนที่ได้ก็ต่อเมื่อคุณถีบตัวแป้นคันเร่งของมันด้วยเท้าเหมือนกับการปั่นจักรยานและมันก็เรียกได้อีกแบบว่าเรือหงส์

 

“เราขี่ได้ 30 นาทีใช่สินะ? ฟังดูน่าสนุกจัง!”

 

เสียงของชิราคาวะซังดีใจยกใหญ่เมื่อเธอมุ่งหน้าไปที่เรือที่ผู้ดูแลนำทางเธอไป

 

“ก้าวระวังด้วยนะครับ…….”

 

เธอพยายามจะขึ้นเรือด้วยรองเท้าที่มีส้นสูงราวๆ 10 เซนติเมตร

 

“หวา……!”

 

ตอนนั้นเองผมก็ได้พยายามยื่นมือเข้าไปช่วยเธอในตอนที่เท้าของเธอยืนได้ไม่มั่นคง

 

“ว้าว!! วิวสวยดีจริงๆเลย!”

 

ชิราคาวะซังก็กลับมาทรงตัวอยู่ในทันทีและเรื่องต่อไปที่ผมรู้นั่นก็คือเธอก้าวขึ้นเรืออย่างปลอดภัย

 

“…..ครับ นั่นสินะครับ…..”

 

บางทีสาเหตุของความพ่ายแพ้ในตอนนี้อาจเป็นเพราะผมดันให้ชิราคาวะซังเธอขึ้นเรือก่อนซึ่งเวลาที่คนเราทรงตัวไม่อยู่ยืนไม่มั่นคง ก็มักจะยื่นมืออกไปทางด้านหน้าเสมอ เพราะงั้นถ้าหากว่าผมขึ้นเรือก่อนผมก็อาจจะช่วยเหลือเธอได้อย่างเป็นธรรมชาติก็ได้

 

“…………”

 

เย็นเข้าไว้มันก็ยังพอมีโอกาสตอนขาลงจากเรืออยู่

ผมพร่ำเตือนตัวเองและเก็บอาการไว้

 

“เป็นอะไรไปริวโตะ?”

 

ทันทีที่ผมเริ่มถีบชิราคาวะซังก็พูดกับผม

 

“เอ๊ะ?”

 

และมองมาข้างๆผม

 

“มีเรื่องอะไรเหรอ?”

 

ภายในเรือขนาดเล็กพอผมได้เห็นใบหน้าอันสวยงามจนเกินไปของเธอจากระยะเผาขนในระดับที่ไหล่ของพวกเราสัมผัสกันตัวผมก็เริ่มประหม่ามากขึ้นและเหงื่อก็เริ่มออก

นี่ผมกำลังพยายามที่จะจับมือกับสาวที่น่ารักขนาดนี้จริงดิ

…….นี่ผมทำได้จริงๆเหรอ?

แต่ถ้าเธอปฏิเสธไม่ยอมแม้แต่กระทั่งให้จับมือล่ะก็

ในอนาคตความต้องการของผมมันก็คงจะพูดกับผมว่า “อยากจะมีอะไรกับเธอจัง”แน่ 

พอยิ่งคิดเรื่องนี้ก็ยิ่งประหม่ายิ่งขึ้นไปอีก

 

“เพราะนายดูสติสตังไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลย นายเหนื่อยเหรอ?”

“…ไม่ใช่ครับ”

 

เธอคงจะคิดว่าผมดูแปลกๆไปแต่เอาจริงๆเรื่องที่ผมวางแผนที่จะจับมือเธอทั้งหมดนี่มันคือความลับ

 

“…..คือพอผมมองไปที่ชิราคาวะซังแล้ว….ผมก็ลืมไปหมดเสียทุกอย่างเลยครับเพราะว่าเธอน่ารักเกินไป…….”

 

ชิราคาวะซังร้อง “เอ๊ะ” ออกมาและจ้องมาที่ผมขณะที่ผมพูดออกไปพร้อมๆกับเก็บอาการเขินอายเอาไว้แล้วแก้มของเธอก็แดงแจ๋ขึ้นทันที

 

“ตาบ้า….”

 

การแสดงออกของเธอที่หรี่ตาลงอย่างเขินอายนั้นก็น่ารักเหมือนกัน

อยากจะถ่ายรูปเก็บเอาไว้จังเลยแฮะ

 

“อ๋า!”

 

ตอนนั้นเองชิราคาวะซังก็หยิบมือถือของเธอออกมาจากกระเป๋าเป้ของเธอ

 

“ชั้นจะถ่ายรูปนะ!”

“เอ๊ะ! คะ-ครับ!”

 

ผมรู้สึกประหลาดใจจนคิดว่านี่เธออ่านใจผมได้อย่างนั้นรึ?

พูดถึงสาวแกลแล้วผมก็มีอิมเมจภาพจำของพวกเธอตอนพวกเธอถ่ายเซลฟี่ไว้เยอะอยู่

แต่ชิราคาวะซังไม่ใช่พวกที่บ้าถ่ายเซลฟี่ขนาดนั้นตัวเธอนั้นแทบจะไม่ได้ถ่ายเซลฟี่เลย

เพราะฉะนั้นจนถึงตอนนี้เราก็ยังไม่เคยได้ถ่ายรูปคู่ด้วยกันในวันที่เราออกเดทด้วยกันมาก่อนเลย

 

“อื้มๆ ดูใช้ได้แล้ว”

 

ชิราคาวะซังเริ่มตั้งกล้องและเช็คมุม

 

“เอาล่ะ ขยับเข้ามาใกล้อีกนิดนะ”

 

ขณะที่เธอพูดอย่างนั้นชิราคาวะซังก็โน้มตัวเข้ามาใกล้ผม

ผมที่หยิกยาวของเธอก็มีกลิ่นหอมของดอกไม้หรือผลไม้ที่เริ่มลอยมาจั๊กจี้จมูกของผม

มันเป็นส่วนผสมของน้ำหอมผู้ใหญ่ที่เธอมักใช้ร่วมกับกลิ่นหอมของตัวผู้หญิงที่ผมเองก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน

 

“เอานะ มองกล้องนะ!”

 

ชิราคาวะซังหัวเราะแล้วก็บอกผมตอนที่ผมรู้สึกประหม่ามองไปคนละทิศ

 

“โอเช เอาล่ะ”

 

ในขณะนั้นชิราคาวะซังก็เอาหัวของเธอมาวางไว้บนไหล่ของผมเล็กน้อย

 

“…….!?”

 

แล้ววินาทีต่อมาก็กดปุ่มชัตเตอร์

 

“ออกมาดูดีเลยนะเนี่ย!”

 

 บนหน้าจอที่ชิราคาวะซังเอาให้ผมดูก็คือรูปถ่ายใบหน้าของผมที่เกือบจะแข็งทื่อไปแล้วเพราะตกใจสุดขีด

 

“รูปนี้น่ะอยากเอามาตั้งเป็นรูปหน้าจอล็อคไหม?”

 

ชิราคาวะซังมองมาที่ผมด้วยหางตาที่ชี้ขึ้นและยิ้มอย่างซุกซนออกมา

 

“เอ่อคือ………แบบนั้นมัน…….ว่าแล้วเชียว…….มันน่าอายอยู่หน่อยๆน่ะครับ”

 

ผมตอบเธอกลับอย่างลังเลด้วยใบหน้าแดงก่ำและชิราคาวะซังก็พูดว่า

 

“จ้าๆ~”

 

แล้วก็ยิ้มออกมา

 

“ถ้าอย่างงั้นชั้นว่าชั้นจะใช้มันเป็นภาพพื้นหลังหน้าจอหลักก็แล้วกัน”

 

แล้วเธอก็กดไปที่ “การตั้งค่า” ขณะที่พูดออกมาแบบนั้นและก็กดไปอย่างรวดเร็ว 

 

“มันจะดีเหรอครับ?”

 

และตัวผมก็ถูกความเขินอายโถมใส่อีกครั้งเมื่อเธอโชว์หน้าจอหลักที่มีพวกไอคอนของแอปต่างๆเรียงรายกันเป็นแถวอยู่เหนือรูปถ่ายของพวกเรา

 

“แล้วริวโตะล่ะ?”

 

เธอถามผมราวกับกำลังออดอ้อนและผมก็ตอบเธอกลับไปว่า

 

“เข้าใจแล้วครับ”

 

พร้อมกับใจที่เต้นตึกตัก

และชิราคาวะซังก็ยิ้มออกมาอย่างมีความสุขเมื่อผมเอาภาพที่เธอส่งให้มาผ่านทาง LINE มาตั้งเป็นวอลเปเปอร์ให้เธอดู

 

“ฟุๆ ดูเหมือนว่าพวกเราจะมีอะไรที่มันเข้าคู่กันอีกอย่างนึงแล้วสินะ”

 

รอยยิ้มนั้นช่างเจิดจ้าสุดๆและมันไม่ใช่เพราะแสงแดดยามบ่ายที่สะท้อนขึ้นมาจากผิวน้ำ

ภายในเรืออันคับแคบนี้

ตัวผมรู้สึกใกล้ชิดกับชิราคาวะซังมากกว่าอย่างที่เคย……….และผมก็ได้แต่หวังว่าพวกเราจะอยู่ด้วยกันอย่างนี้ตลอดไป

 

อย่างไรก็ตามแต่เวลามันก็ผ่านไปไวอย่างโหดร้ายและเวลา 30 นาทีนั้นก็ผ่านไปในพริบตา

ผมก็รู้สึกหงอยๆที่ได้กลับไปยังท่าเรือและก็เอาเรือกลับไปจอดคืนแล้วตัวผมก็ลงจากเรือก่อนและรอให้ชิราคาวะซังลุกขึ้นเพื่อที่จะลงจากเรือ

ใช่แล้ว

คราวนี้แหละจะจับมือเธอให้ได้

 

“อ๊ะ!”

 

ถึงกระนั้นชิราคาวะซังก็ลุกออกมาได้อย่างว่องไวและเทียบท่าขึ้นบกโดยที่เท้าของเธอไม่เสียการทรงตัวเลย

 

“………….”

 

ตรงกันข้ามกันกับตอนขาขึ้นเพราะตอนขาลงนั้นมันคือการลงจากสถานที่ที่มันไม่มั่นคงไปยังจุดที่มั่นคงแต่ถ้าหากว่าคุณคงรักษาสมดุลได้ดีคุณก็คงจะไม่ต้องการความช่วยเหลือใดๆเลย

ภารกิจล้มเหลวไม่เป็นท่า……..

 

“นั่งเรือสนุกมากเลยล่ะ! รู้สึกดีจัง!~”

“นั่นสินะครับ”

 

ชิราคาวะซังอารมณ์ดีเชียวกลับกันผมกลับรู้สึกเศร้าหยั่งกะทหารที่แพ้สงครามมา

 

“แล้วตอนนี้พวกเราจะเอาไงต่อล่ะ?”

“นั่นสินะครับ………”

“กลับบ้านเหรอ?”

“อืม…….ก็”

 

เวลามันยังไม่ทัน 4 โมงเย็นเลยด้วยซ้ำยังยอมแพ้ไม่ได้

ผมส่ายหัวไปมา

ผมอยากนั่งเรือใหม่อีกสักรอบแต่ก็กังวลว่าจะถูกคิดว่ามันแปลกที่พูดอย่างนั้นออกไป

 

“งั้นไปเดินเล่นกันสักหน่อยไหมครับ?”

 

นั่นคือข้อเสนอที่ผมพอจะคิดได้หลังจากไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้ว

ผมอยากรู้ว่าตอนนี้หน้าของตัวเองดูเหมือนคนคิดมากเกินไปรึเปล่านะและในขณะนั้นเองสีหน้าของชิราคาวะซังก็เปลี่ยนไป

 

“……ได้สิ”

 

รอยยิ้มมันจางหายไปจากใบหน้าอันแสนโดดเด่นของเธอกลายเป็นดูประหม่าหน่อยๆแทน

หลังจากนั้นเราสองคนก็เดินเรียบไปตามริมสระน้ำอย่างเงียบงัน

ผมชอบเธอนะชิราคาวะซัง

ผมคิดว่า………เธอก็คงจะชอบผมเหมือนกันก็แบบเธอดีกับผมมากและก็ยังคบกับผมต่อ

แต่เธอก็ยังไม่ได้พูดออกมาว่า “เธออยากจะมีอะไรกัน” กับผมเลย

พอลองคิดถึงเรื่องนี้ดูแล้วมันก็ทำให้ผมใจเสาะรวมถึงเรื่องอื่นๆอย่างการให้พูดว่า

“มาจับมือกันเถอะ” ตรงๆก็คงจะพูดออกไปไม่ไหวหรอก

แต่ยังไงซะ ก็อยากจะสัมผัสเธอจัง

สำหรับผม “การชอบ” ผู้หญิงคนหนึ่งมันก็เท่ากับความอยากที่จะเข้าไปสัมผัสเธอ

แต่ดูเหมือนว่า “การชอบ” สำหรับชิราคาวะซังเองก็ไม่ได้จำเป็นที่จะต้องมีความหมายเหมือนกันและนั่นแหละคือสิ่งที่ผมไม่อาจที่จะเข้าใจและมันก็ช่างเจ็บปวด

ผมไม่อยากจะทำร้ายเธอเลยแต่ว่ามันก็ยากขึ้นและยากขึ้นไปเรื่อยๆเป็นเพราะความรักที่มีให้เธอมันพอกพูนมากขึ้นเรื่อยๆ

ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่อยากที่จะเป็นเหมือนกับแฟนเก่าของเธอและทำให้เธอคิดว่าการมีอะไรกันนั้นเป็น “ภาระข้อผูกมัด” ของแฟนหนุ่มของเธอเองและนั่นก็คือเหตุผลที่ผมระวังสุดตัวเกี่ยวกับเรื่องการสกินชิพแตะเนื้อต้องตัวเธอ

สุดท้ายแล้วชิราคาวะซังเธอก็เป็นผู้หญิงที่นิสัยดีสุดๆเพราะถ้าเกิดว่าเธอสังเกตุรู้ถึงความต้องการของผมล่ะก็เธอก็คงจะเอาความรู้สึกของตัวเองเป็นรองและยอมปล่อยให้ผมทำอะไรต่อมิอะไรทุกสิ่งทุกอย่างตามใจชอบ

 

“……..นี่ริวโตะ”

 

ตอนที่ผมกำลังคิดๆอยู่ชิราคาวะซังที่อยู่ข้างๆผมจู่ๆก็หยุดเดินต่อ

 

“หืม?”

 

พอผมดึงสติกลับมาที่ตัวเองชิราคาวะซังก็มองมาอย่างจริงจัง

 

“ถ้านายมีอะไรที่อยากจะพูดก็พูดออกมาเลยสิ”

“เอ๋…..”

 

นี่เธอสังเกตุเห็นอย่างนั้นเหรอไอ้เจ้าแรงจูงใจที่ซ่อนเร้นของผมน่ะ

ต้องบอกเธอไปว่า…….ขณะที่ผมว่ากำลังคิดอยู่นั้นชิราคาวะซังก็เริ่มพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

 

“ชั้นก็……พอเข้าใจอยู่นะ……..เพราะพวกเขาเองก็เริ่มพูดออกมาว่าพวกเขารู้สึกยังไงกับเดตธรรมดาๆอย่างนี้น่ะ”

“เอ๊ะ?”

 

ผมขมวดคิ้วด้วยความสงสัยว่าเธอกำลังพูดถึงเรื่องอะไรอยู่กัน?

จากนั้นความโศกเศร้าจากการแสดงออกของชิราคาวะซังก็เพิ่มมากยิ่งขึ้น

 

“อันที่จริงชั้นน่ะไม่อยากที่จะเลิกเลยนะ…..ชั้นน่ะอยากที่จะรู้จักริวโตะให้มากกว่านี้……….ชั้นชอบนายนะบางทีมันอาจจะสื่อไปไม่ถึงนายก็เพราะว่าชั้นมันโง่เองแต่ว่ามันก็………ก็ชอบนายมากขึ้นเรื่อยๆเลย……”

“เดี๋ยวนะครับ นี่กำลังพูดเรื่องอะไรอยู่ครับเนี่ย”

 

ชัดเจนเลยว่าสิ่งที่ผมคิดกับสิ่งที่ชิราคาวะซังคิดนั้นมันไปคนละทางกันเลย

พอรู้อย่างนั้นผมก็ห้ามเธอไม่ให้พูดต่อ

 

“อ๊ะ?”

 

ชิราคาวะซังรู้สึกสับสน

 

“ไม่ใช่ว่าพวกเราจะคุยกันเรื่องที่ว่านายจะเลิกกันกับชั้นเหรอ?”

“เอ๋!!!! คนละเรื่องเลยครับ!”

 

เธอพูดบางอย่างที่ผมคิดว่าไม่ได้ใกล้เคียงเลยแม้แต่มิลลิเมตรเดียว

ผมก็เลยออกอาการตกใจสุดขีดออกมาอย่างยอดเยี่ยมเลยทีเดียว

 

“ไหงเธอถึงได้คิดอย่างนั้นล่ะครับ?”

“ก็เพราะว่านายเอาแต่ทำสีหน้าลำบากใจอยู่นั่นแหละและพวกเราเองก็ยังเดินวนไปรอบๆอย่างไร้จุดหมายปลายทางด้วย”

“….ไม่ใช่นะครับ….นั่นมัน…..”

 

จากนั้นผมก็นึกคำพูดของเธอเมื่อตอนก่อนหน้านี้ได้

[ชั้นก็……พอเข้าใจอยู่นะ……..เพราะพวกเขาเองก็เริ่มพูดออกมาว่าพวกเขารู้สึกยังไงกับเดตธรรมดาๆอย่างนี้น่ะ]

 

อย่างนี้น่ะเองมันเป็นอย่างนั้นเองหรอกเหรอ

พอถึงช่วงเวลานี้แฟนเก่าของเธอก็เริ่มพูดบอกเลิกแบบนั้นเองสินะ

การที่ต้องเลิกรากับใครสักคนน่ะมันช่างเจ็บปวดและตัวผมเองก็เจ็บจนกลายเป็นแผลใจเพียงเพราะผมสารภาพรักกับคุโรเสะซังและก็ถูกปฏิเสธและเพียงเพราะว่าเธอไม่ตอบรับคำสารภาพรักของผม แต่มันก็รู้สึกว่าตัวตนของผมทั้งหมดถูกปฏิเสธ

แถมประสบการณืชีวิตที่เจ็บปวดยิ่งไปกว่านั้นก็คือ………..ประสบการณ์ที่จู่ๆก็ถูกผลักไสไล่ส่งโดยคนที่ครั้งหนึ่งเขาเคยยอมรับในตัวคุณและก็จากนั้นปล่อยทิ้งให้คุณเป็นไปตามเวรตามกรรม

ซึ่งชิราคาวะซังเธอเคยผ่านประสบการณ์นั้นมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง

เหตุผลที่เธอพยามที่จะกระตุ้นให้ผมพูดออกมาก่อนก็เพื่อที่จะได้ทำให้บาดแผลมันเล็กให้มากที่สุด………….นั่นมันอาจจะมันเป็นสัญชาติญาณการป้องกันตัวของเธอที่สั่งให้เธอทำแบบนั้น

เพราะไม่อยากที่จะรู้สึกเจ็บปวดอีกแล้ว………..

 

“คือผม…..ไม่ได้มีความตั้งใจที่จะเลิกกับชิราคาวะซังเลยนะครับ”

 

ผมน่ะไม่เหมือนกับแฟนเก่าของเธอ

ไม่อยากจะคิดเรื่องพรรค์นั้นตอนนี้เลย……..ไม่อยากจะคิดถึงเหตุการณ์ที่มันที่มันไม่น่าจะเกิดขึ้นในตอนนี้

หากรักครั้งนี้จะจบลงในสักวันหนึ่ง มันจะต้องไม่ได้จบลงโดยเพราะผมอย่างแน่นอน

 

“ที่ผมกำลังคิดอยู่ก็คือ……”

 

ไอ้ที่ผมกำลังคิดอยู่นี่ล่ะที่ดูเหมือนว่ามันจะเป็นปัญหาอยู่หน่อยๆและไม่ได้สำคัญอะไรเมื่อลองนึกถึงแผลใจของเธอ

 

“คือเรื่องที่อยากจะนั่งเรืออีกรอบ…….ก็แค่นั้นเองครับ”

 

คำพูดของผมทำให้ชิราคาวะซังทำหน้างงๆ

 

“….เอ๋ นั่งเรือ? แค่นั้นเหรอ?”

 

“ครับ ก่อนหน้านี้เราพึ่งขี่ไปลำเดียวเองเพราะงั้นผมก็เลยคิดว่ามันแปลกๆน่ะครับ”

 

เมื่อผมพยักหน้ารอยยิ้มก็กลับมาบนใบหน้าของชิราคาวะซัง

 

“นายนี่ชอบนั่งเรือขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย? ไม่ไหวเลยน๊า ~ ถ้างั้นก็ไปขี่อีกรอบกันเถอะ!

คราวนี้ต้องรู้สึกดีแน่ๆ!”

 

พอได้มองดูรอยยิ้มที่ไร้กังวลนั่นก็ทำให้ผมรักเธออีกครั้ง

……..ตัดสินใจแล้ว

 เปลี่ยนแผน

เลิกที่จะรอให้ชิราคาวะซังยื่นมือออกมาเพราะผมจะเป็นคนยื่นมือออกไปเอง

ผมอยากที่จะสัมผัสเธอแล้วถ้าเกิดว่าทำไปแล้วเธอชักสีหน้าลำบากใจออกมาผมก็จะขอโทษเธอแล้วค่อยรอคอยช่วงเวลาที่เหมาะสมเอง

ไม่เป็นไร

เพราะงั้นพวกเราก็เลยกลับไปที่บริเวณจุดขึ้นเรือเพื่อขึ้นเรือแล้วจากนั้นชิราคาวะซังก็พูดกับผมที่หน้าเครื่องขายตั๋ว

 

“ถ้าพวกเราจะขี่กันอีกรอบคราวนี้อยากจะลองนั่งเรือแบบธรรมดาดูบ้างไหม?”

“ได้สิครับ ว่าแต่เธอโอเคกับแสงแดดรึเปล่าครับ?”

“อื้ม พระอาทิตย์มันเริ่มตกลงต่ำกว่าตอนก่อนหน้านี้หน่อยๆแล้วล่ะ”

 

ผมก็เลยซื้อตั๋วเรือพายมาแล้วพวกเราก็ไปยังท่าเทียบเรือ

เรือพายนั้นมีโครงสร้างที่ไม่มั่นคงและส่ายไปส่ายมากยิ่งกว่าเรือถีบ

ก่อนหน้านั้น

ผมก็ขึ้นไปบนเรือก่อนแล้วก็ยื่นมือออกไปหาชิราคาวะซังที่กำลังยืนอยู่บนท่าเรือ

 

“ถ้าไม่ว่าอะไร จับมือผมเอาไว้ก็ได้นะครับ”

 

ผมสบตาเธอไม่ไหวจริงๆเพราะดันฝืนมากจนเกินไปที่จะรวบรวมความกล้าที่หลงเหลืออยู่ทั้งหมดออกมา

 

“………….”

 

เพราะเกิดการชะงักไปชั่วครู่ผมจึงเงยหน้ามองขึ้นมาอย่างกังวลใจ

ตรงนั้นชิราคาวะซังซึ่งมีใบหน้าที่กำลังตกใจพร้อมกับกำลังเขินอายอยู่

 

“อื้ม…….ขอบคุณนะ”

 

ชิราคาวะซังยื่นมืออันสวยงามของเธออกมาอย่างเขินอาย

มือของผมสัมผัสได้ถึงความนุ่มชุ่มชื้นของผิวที่อบอุ่น

หน้าอกของผมค่อยๆร้อนขึ้นเรื่อยๆเมื่อผมได้จับมือของเธอเบาๆ

แล้วชิราคาวะซังก็จับมือผมเพื่อก้าวขึ้นเรือ

 

“ริวโตะเนี่ยใจดีจังเลยนะ”

 

ขณะที่เธอพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา

นัยน์ตาของชิราคาวะซังก็ดูค่อนข้างที่จะชุ่มชื้น

แต่พวกเราก็จับมือกันเพียงชั่วขณะนั้น

พวกเราปล่อยมือกันในทันทีแล้วก็หันหน้าเข้าหากันตอนที่อยู่บนเรือ

ก่อนที่ผมจะได้ล่องลอยเคลิบเคลิ้มไปกับแสงตะวันของการสกินชิพครั้งแรกของพวกเรา

ผมก็ต้องคว้าไอ้เจ้าไม้พายหรรษานี่เสียก่อนมันก็ช่วยไม่ได้ล่ะนะเพราะถ้าผมไม่พายล่ะก็เราก็คงไม่ได้ออกจากฝั่งกันพอดี

หลังจากผมเริ่มพายเรือเราก็เงียบไปพักนึง

มันช่างเป็นความเงียบงันที่สะดวกสบายดีซะจริงๆ

ความเขียวขจีของตัวอุทยานทีกำลังงอกเงยตามริมสระน้ำและสามารถมองเห็นได้จากตึกสูงที่อยู่ไกลออกไปส่วนตัวน้ำที่เป็นโคลนจึงทำให้มองไม่เห็นปลาแต่ก็มีฝูงเป็ดที่กำลังแหวกว่ายอยู่ตรงที่ไกลๆอยู่

ขณะที่กำลังชมทิวทัศน์โดยรอบผมก็แจวเรือไปด้วยความรู้สึกอิ่มเอมใจ

 

“บางที……การที่เราเลือกเรือลำนี้มามันก็ดีเหมือนกันนะ”

 

หลังจากนั้นไม่นานชิราคาวะซังก็พึมพัมออกมา

 

“?”

 

ผมมองดูเธอด้วยความรู้สึกสงสัยว่าเธอหมายถึงอะไร? จากนั้นเธอก็ยิ้มให้ผม

 

“ก็เพราะว่าชั้นได้จับมือกับริวโตะด้วยยังไงล่ะ”

 

แก้มของเธอถูกย้อมเป็นสีแดงหน่อยๆ

 

“เอ๊ะ…..”

“พักหลังมานี้ชั้นอยากจะจับมือกับริวโตะมากๆเลยล่ะ ชั้นก็เลยทำตัวเหมือนพยายามเข้าใกล้นายมากกว่าที่เคย นี่นายไม่สังเกตุบ้างเลยเหรอ?”

 

ที่เธอพูดออกมามันก็ทำให้ผมนึกขึ้นได้เกี่ยวกับตอนที่เธอดึงแขนผมตอนที่เรากลับบ้านด้วยกันหรือที่เธอเอาหัวมาซบไหล่ผมตอนที่เราถ่ายเซลฟี่กันในเรือถีบ

นั่นมันคือสัญญาณจริงๆงั้นสินะ

 

“ชั้นคิดว่ามันคงจะไม่ดีแน่ๆเพราะงั้นชั้นก็เลยบอกกับนายตรงๆไม่ได้ อยากจะจับมือทั้งๆที่ยังไม่แน่ใจเลยว่าอยากจะมีอะไรกันกับนายมันฟังดูเห็นแก่ตัวไม่ใช่เหรอ ก็แบบพอได้จับได้สัมผัสแล้วพวกผู้ชายก็อยากจะทำให้มันสุดไปเลยใช่ไหมล่ะ”

“ไม่สิ ไอ้เรื่องแบบนั้นมัน……….”

 

ไม่ว่าผมมันจะเป็นไอ้หนุ่มซิงไก่อ่อนสักแค่ไหนก็ตามแต่ผมก็ไม่ใช่พวกที่มีความต้องการทางเพศมากล้นจนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้หลังจากเพียงแค่ได้จับมือกันหรอก

การผสมผสานความเข้าใจถูกและความเข้าใจผิดของชิราคาวะซังนั้นก็ดูน่ารักดีแต่ก็อันตรายเช่นกัน

 

“ผมก็เหมือนกัน………ผมเองก็อยากที่จะจับมือชิราคาวะซังมาตลอดเลยครับ”

 

เมื่อผมสารภาพกับเธออย่างตรงไปตรงมา

ชิราคาวะซังก็เงยหน้าจึ้นมาและมองมาตรงนี้

 

“จริงเหรอ?”

“ครับ”

 

ผมพยักหน้าและใบหน้าของเธอเต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม

 

“ฟุๆ อย่างนี้นี่เอง….”

 

นั่นคือรอยยิ้มแบบในที่เธอกำลังวางแผนอะไรบางอย่างอยู่จากนั้นเธอก็ลุกขึ้นในทันที

 

“ชิราคาวะซัง อันตรา…..”

 

ขณะที่ผมกำลังสงสัยว่าเธอกำลังทำอะไรของเธอ

เธอก็เอามือวางบนตัวเรือและก็เขย่าตัวเรือไปมาอย่างแรงจากอีกด้านไปอีกด้าน

 

“เอ๋!?”

 

เรือสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงและน้ำก็กระเซ็นขึ้นมาจากผิวน้ำเข้ามาในตัวเรือ

 

“เป็นอะไรไปครับ!? มันอันตรายนะครับยังไงก็หยุด……”

 

และนั่นคือตอนที่มันเกิดขึ้น

จู่ๆชิราคาวะซังก็โน้มตัวเข้ามาใกล้ผมเอาใบหน้าอันแสนน่ารักของเธอเข้ามาอย่างใกล้ชิด

ไม่ทันได้มีเวลาเตรียมตัวก็มีบางสิ่งที่นุ่มนวลและอบอุ่นเข้ามาสัมผัสที่ริมฝีปากของผม

พวกเราจูบกัน

พอผมได้รับรู้ถึงความจริงนั้นริมฝีปากของพวกเราก็แยกจากกันเสียแล้ว

 

 

 

“เปิดช่องว่างแล้ว!”

 

หลังจากนั่งลงอีกครั้งชิราคาวะซังก็พูดออกมาพร้อมกับหัวเราะ

 

“………….”

 

พายลงพายเรืออะไรลืมไปหมดทุกอย่างแล้ว

ผมมึนตึ้บราวกับวิญญาณกำลังจะหลุดออกจากร่าง

ได้จูบกับชิราคาวะซังแล้ว…………ได้จูบกับชิราคาวะซังแล้ว

คำพูดเหล่านั้นเป็นเพียงสิ่งเดียวที่วนเวียนอยู่ในหัวของผม

แม้ว่าแค่จับมือกันก็ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่แล้ว

แต่ผมก็ไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยว่าพวกเราจะได้จูบกัน

ไม่อยากจะเชื่อเลย

หน้าอกของผมมันเริ่มร้อนรุ่มและในหัวของผมก็เต็มไปด้วยชิราคาวะซังเต็มไปหมด

อ่า ใช่แล้วล่ะผมรักชิราคาวะซังจริงๆด้วย

 

“…..ก็ไม่ใช่พวกเรา……..คิดเหมือนกันหรอกเหรอ”

 

ชิราคาวะซังยิ้มให้ผมอย่างเขินอาย

 

“ชั้นน่ะ……..อยากใกล้ชิดกับริวโตะให้มากกว่านี้ อยากที่จะชอบริวโตะ อยากจะ……”

 

หลังจากพูดกับผมด้วยแววตาที่มองต่ำและเธอก็เงยขึ้นมามองผมอีกครั้ง

 

“มีความ ‘ชอบที่แท้จริง’ ร่วมกับริวโตะ”

 

พอพูดอย่างนั้นผมก็หวนจำได้ถึงบทสนทนาที่เราคบกันวันแรกได้

ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเธอจะรู้สึกอย่างนั้นกับผมจริงๆ

ขณะที่ผมติดอยู่ในกระแสอารมณ์อันลึกล้ำ

ชิราคาวะซังก็ใช้มือทั้งสองข้างของเธอมาปิดแก้มที่แดงก่ำทั้งสองข้างของเธอแล้วมองมาที่ผม

 

“อ๊า โธ่………นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่ชั้นโผเข้าไปจูบใครสักคนด้วยตัวเองน่ะ น่าอายจัง!”

 

ทำปากบึ้งๆเหมือนกับกำลังโกรธอยู่แบบนั้นช่างน่ารักจริงๆ

หลังจากนั้นพวกเราก็จ้องมองตากันและก็มีรอยยิ้มอ่อนๆปรากฏบนใบหน้าของพวกเรา

 เมื่อเราไปถึงท่าเรือและลงจากเรือผมก็ยื่นมือออกไปหาชิราคาวะซังอีกครั้ง

 

“ถ้าไม่รังเกียจ”

“ขอบคุณนะ”

 

ชิราคาวะซังจับมือผมอย่างเขินอาย

ขณะที่ผมพยายามที่จะแยกมือออกจากกันเพราะตอนนี้เธอขึ้นมาอยู่บนท่าเรือเรียบร้อยแล้วเธอก็กำมือที่เชื่อมโยงกันของพวกเราไว้อย่างแนบแน่น

 

“ชิ-ชิราคาวะซัง…..?”

 

ผมสะดุ้งและหันไปมองเธอและก็เห็นว่าชิราคาวะซังยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์อยู่

 

“ทำไมพวกเราถึงไม่อยู่กันอย่างนี้ไปอีกสักหน่อยล่ะ?”

“อะ-เอ่อ…..คะ-ครับ!”

 

พวกเราก็เริ่มเดินจับมือกันในสวนสาธารณะ

 

“แล้วก็นะนายเอาแต่เรียกชั้นว่า ‘ชิราคาวะซัง’ อยู่ตลอดเลย ช่วยหยุดทีจะได้ไหม?”

“เอ๋!?”

 

จากคำพูดกระทันหันของเธอทำให้ผมหันไปมองชิราคาวะซัง

 

“ถ้างั้นจะให้ผมเรียกเธอว่ายังไงดีล่ะครับ…..?”

 

แล้วเธอก็ทำหน้าบึ้งออกมาเล็กน้อย

 

“ก็ชื่อของชั้นคือลูน่าใช่ไหมล่ะ?”

“อ๋า…..”

 

หมายถึงอย่างนั้นเองสินะ

 

“อืม เอ่อ….ถ้างั้นก็…….”

 

ผมไม่เคยเรียกผู้หญิงด้วยชื่อจริงๆของพวกเธอนอกจาก ‘…….ซัง’ มาก่อนเลย

เพราะงั้นมันก็ต้องมีการเตรียมใจกันสักหน่อย

ผมไม่คิดเลยว่าวันนั้น

วันที่ผมเรียกชื่อชิราคาวะซังด้วยชื่อจริงๆของเธอโดยไม่ให้ความเคารพใดๆจะมาถึง

 

“ลู-ลูลูลู…….”

 

บ้าเอ้ย อีกแล้วเหรอ!!

อีหรอบเดิมกับตอนที่สารภาพรักกับเธอเลยและผมก็กระวนกระวายยกใหญ่

 

“ลู-ลู……”

 

ผมรู้สึกโล่งใจจริงๆที่ชิราคาวะซังเธอกำลังรอคอยผมอยู่โดยไม่หัวเราะออกมา

 

“…….ลูน่า…..”

 

ในที่สุดก็สามารถพูดมันออกมาได้อย่างถูกต้องเสียที

เป็นครั้งแรกที่ผมเรียกชิราคาวะซังด้วยชื่อจริงของเธอเองก็เลยรู้สึกแปลกๆเหมือนกับว่ามันเป็นเสียงของผมเองแต่กลับไม่ใช่คำพูดของผมยังไงอย่างงั้น

 

“อะไรนะ?”

 

ชิราคาวะซังโต้ตอบผมอย่างตั้งใจเว่อร์ๆ

เธอโน้มตัวมาด้านหน้าและมองมายังใบหน้าของผมด้วยหางตาที่ชี้ขึ้น

 

“เอ๊ะ….ก็”

 

ไม่ใช่ว่าผมเรียกเธอเพราะว่ามีเรื่องอะไรในใจเพราะงั้นผมถึงได้งงเป็นไก่ตาแตก

 

“แล้วนี่ชิราคาวะซังไม่เหนื่อยบ้างเหรอครับ? อยากไปหาที่นั่งพักที่ไหนสักที่ไหมครับ?”

“ชั้นโอเคและก็ได้นั่งตอนอยู่บนเรือไปแล้วด้วย”

“อา…….”

 

นั่นสินะครับ

 

“กลับไปเรียก ‘ชิราคาวะซัง’ อีกแล้วนะ”

“อึก…..คนอย่างผมนี่มัน….”

 

เธอคงจะหมดหวังในตัวผมแล้วสินะ……..

ในตอนที่ผมกำลังคิดแบบนั้นและเริ่มหดหู่

 

“ฟุฟุ”

 

ชิราคาวะซังก็หัวเราะคิกคัก

 

“ไม่เป็นไรหรอกนะ ชั้นจะรอจนกว่านายจะเรียกชื่อชั้นได้เองก็แล้วกันนะ”

แล้วเธอก็บีบมือผมแน่นราวกับกำลังจะปลอบใจผม

 

“ชิราคาวะซัง…………:

 

เธอเป็นเด็กผู้หญิงที่น่ารักจริงๆเลย

ผมอยากจะเป็นผู้ชายที่เข้ากันกับแฟนสาวที่มีเสน่ห์คนนี้ได้เร็วๆจัง…….

 

“ริวโตะมือเย็นจัง……..”

 

ชิราคาวะซังพูดกับผมขณะที่ผมกำลังดื่มด่ำไปกับอารมณ์

 

“จริงเหรอครับ? ขอโทษด้วยนะครับเพราะผมประหม่าก็เลย…..”        

 

ผมติดนิสัยขอโทษเธอไว้ก่อนและชิราคาวะซังก็หัวเราะคิกคักใส่

 

“ไม่เป็นไรหรอก มันก็เข้าช่วงฤดูร้อนแล้วนี่นะ มาๆเดี๋ยวชั้นจะให้ความอบอุ่นกับนายเองนะ”

 

หลังจากพูดอย่างนั้นแก้มของเธอก็แดงหน่อยๆและก็ยิ้มอย่างเขินๆ

 

“แต่ว่ามันก็ค่อนข้างน่าอายอยู่ล่ะนะ”

 

ผมเองก็หน้าแดงเช่นเดียวกันแต่ชิราคาวะซังดูท่าจะอายหนักมากจริงๆและแหงนหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าเพื่อกลบเกลื่อน

 

“……ถ้าพวกเรามีอะไรกันตั้งแต่ทีแรก ชั้นก็คงจะไม่อายหนักขนาดนี้หรอก…….”

 

ชิราคาวะซังพึมพัมออกมาขณะที่เงยหน้ามองขึ้นไป

 

“ไม่ว่าจะเป็นเอามือมาประสานกันหรือจูบกัน ไม่ว่าจะกับใครมันก็น่าอายทั้งนั้นแหละ แล้วทุกครั้งที่ริวโตะอยู่ใกล้ๆชั้นก็รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองชอบนายมากขึ้นเรื่อยๆเลย”

 

จากนั้นเธอก็มองมาที่ผม

 

“ความรู้สึกแบบนี้เป็นครั้งแรกเลยนะ…….”

 

เธอบอกผมด้วยใบหน้าบูดบึ้งและแก้มที่แดงก่ำ

 

“ช่วยรับผิดชอบทีจะได้ไหม……”

 

ผมตกใจกับสิ่งที่ดูเหมือนว่าจะเป็นข้อเสนอ

แล้วผมก็มองตาชิราคาวะซังและพยักหน้าอย่างแรง

 

“ก็ถ้าเธอไม่รังเกียจผมล่ะก็…………ผมก็ยินดีครับ”

 

จากนั้นชิราคาวะซังก็ยิ้มอ่อนออกมา

 

“ให้ตายสิ มันน่าอายจริงๆนั่นแหละ!”

 

เธอยิ่งบีบมือแรงขึ้นไปอีก

สายลมที่พัดมาจากสระน้ำทำการชำระล้างบรรยากาศยามพลบค่ำได้อย่างสดชื่น

ซึ่งแสดงให้เห็นถึงสัญญาณของการที่ค่อยๆเข้าใกล้ช่วงกลางฤดูร้อนแล้ว

และข้างๆผมก็มีชิราคาวะซังอยู่

ผมจะไม่ยอมเป็น “แฟนเก่า” ของเธอ

อยากที่จะทะนุถนอมรักษาผู้หญิงคนนี้เอาไว้

อยากจะปกป้องรอยยิ้มของเธอตลอดไป

ไม่อยากให้เธอรู้สึกเศร้าอีกต่อไป

ด้วยความรู้สึกแบบนั้นผมจึงตอบกลับด้วยการกำมืออันแสนอบอุ่นและละเอียดอ่อนของเธอกลับไป

 

 

[จบเล่ม 1]

Options

not work with dark mode
Reset