“จะว่าไปนายเองก็คุย LINE กับนิโคลด้วยสินะ”
ชิราคาวะซังพูดพร้อมกับกระพริบตาไปด้วย
นี่มันเหมือนกับครั้งก่อนเลย คิดว่านะ
มันคือใบหน้าที่รู้สึกกังวลอยู่หน่อยๆในตอนเธอแสดงออกเวลาที่ถามผมเรื่องที่อยู่กับยามานะซังที่ร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดนั่น
“ครับ……อืม ก็ตั้งแต่ตอนที่ผมได้รู้เรื่องวันเกิดของเธอที่ยามานะซังเล่าให้ผมฟัง ถ้าเกิดผมอยากถามอะไรเกี่ยวกับชิราคาวะซัง เธอบอกก็ให้ LINE ไปถามได้เลยแต่เอาเข้าจริงๆผมก็ไม่ได้รับข้อความอะไรจากเธอเลยนับตั้งแต่นั้นมาครับ”
มันเหมือนกับการสร้างเรื่องเพื่อแก้ตัวแต่เนื่องจากชิราคาวะซังเองก็ไม่ได้ออกอาการหึงหวงอะไรเลยผมจึงพูดออกไปด้วยน้ำเสียงแบบขอไปที
“เฮ้ออ เข้าใจแล้ว!”
ชิราคาวะซังกลับเข้าสู่อารมณ์ปกติทันทีแล้วหลังจากนั้นเธอก็ก้มมองต่ำแล้วก็พึมพัมอย่างกระซิบกระซาบว่า
“ชั้นว่า……..ชั้นอาจจะชอบริวโตะมากกว่าที่คิดก็ได้นะ….”
“อะไรนะครับ?”
“ปะ-เปล่า ไม่มีอะไร!”
ในที่สุดผมก็เริ่มกินมื้อเที่ยง
สิ่งสำคัญก็คือเรื่องของรสชาติและมันก็ไม่ได้อันตรายอย่างที่ผมเตรียมใจไว้เลยสักนิด
“อื้ม! อร่อย!”
แม้ว่าผมจะพูดออกไปอย่างนั้นแต่มันก็ไม่ใช่การโกหกแต่อย่างใดรสชาติของมันก็เหมือนกับไข่เจียวธรรมดาทั่วไปที่ทำได้ที่บ้าน
ถึงแม้จะเป็นมื้อเที่ยงที่ห่วยแตกในระดับที่เทน้ำตาลกับเกลือหกใส่ผสมปนกันมา
มันก็เป็นเหมือนกับอาหารจากร้านภัตตาคารระดับ 3 ดาวสำหรับผมอยู่ดีนั่นแหละ
มื้อเที่ยงทำมือโดยชิราคาวะซังที่ผมเฝ้าใฝ่ฝันมาโดยตลอด
“จริงเหรอ? เย้!!”
ชิราคาวะซังมีความสุขราวกับเป็นเด็กน้อยไร้เดียงสา
“นี่เป็นครั้งแรกที่ชั้นได้ลองทำดูเลยนะ ชั้นอาจจะเป็นอัจฉริยะก็ได้!! รึบางทีในอนาคตชั้นจะเป็นเชฟดีไหมน๊า~”
“พูดถึงเรื่องนั้นแล้วเธอไม่อยากลองเป็น Youtuber ดูบ้างเหรอครับ?”
“งื้อ~อยากเป็นหลายอย่างซะจนหนักใจแล้วเนี่ย!!”
วันนี้ชิราคาวะซังยิ้มแย้มสุดๆถึงแม้ว่าเธอจะเป็นเด็กร่าเริงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
แต่จำนวนครั้งที่เธอเผยรอยยิ้มออกมาตอนที่เราอยู่ด้วยกันมันมากกว่าช่วงแรกๆ
อยากรู้จังว่า………เธอชอบผมมากกว่าเดิมแล้วรึยังนะ?
ถ้าเป็นอย่างนั้นล่ะก็ แค่สกินชิพนิดๆหน่อยๆก็คงจะไม่เป็นอะไรสินะ….?
ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่ผมคิดว่าชิราคาวะซังน่ารักผมก็ยิ่งอยากที่จะสัมผัสเธอและมันก็น่าหนักใจจริงๆเพราะถึงแม้ว่าแรกเริ่มเดิมทีแค่ได้อยู่กับเธอผมก็มีความสุขแล้วแต่ดูเหมือนว่าตัวผมนั้นจะโลภมากขึ้นเรื่อยๆก่อนที่ตัวผมเองจะรู้ตัวเสียอีก
หลังจากทานมื้อเที่ยงเสร็จเราก็พากันเดินดูรอบๆดูสัตว์ต่างๆอีกราวๆชั่วโมงนึงได้และหลังจากที่เราวนจนครบเราก็ออกมา
มันได้เวลาแล้ว
จุดประสงค์หลักของวันนี้คือ “ตอนที่ผมไปนั่งเรือเล่นกับชิราคาวะซังในช่วงเวลาที่กำลังก้าวขึ้นและลงจากเรือผมจะยื่นมือออกมารับเธอตามสัญชาติญาณ” เพราะงั้นก็มาเริ่มภารกิจกันเลยก็แล้วกัน
แล้วการจะทำแบบนั้นได้ผมจะต้องเชิญชวนเธอให้ไปนั่งเรือให้สำเร็จเสียก่อน
ขณะที่กำลังเก็บซ่อนความรู้สึกตื่นเต้นเอาไว้ข้างในผมก็เดินเคียงข้างชิราคาวะซังอยู่บนถนนที่อยู่ด้านนอกสวนสัตว์็เดินเคียงข
ทานด้านทิศตะวันตกของสวนสัตว์อุเอโนะอยู่ติดกับสระน้ำชิโนบาสุของสวนอุเอโนะพอดีและเมื่อออกจากทางประตูตรงนั้นคุณก็จะต้องเดินตามเส้นทางที่เรียบสระน้ำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“มันเป็นสระน้ำที่ใหญ่มากจริงๆเลยเนอะ~!”
เมื่อมองไปยังสระน้ำชิราคาวะซังก็ส่งเสียงออกมา
“นั่นสินะครับ”
วันนี้อากาศดีถึงแม้จะเป็นเวลาบ่าย 3 โมงแล้วก็ยังพอมีเรือแล่นอยู่
เรือหลายลำที่พวกเราเห็นส่วนมากเป็นเรือหงส์แต่ผมก็มายืนยันไว้ก่อนล่วงหน้าแล้วว่ามันก็มีเรือธรรมดาอยู่ด้วยเหมือนกัน
“อ๊ะ!”
ชิราคาวะซังชี้ไปที่สระน้ำ
“มีเรือด้วยล่ะ!! ดูนั่งสบายดีเนอะ!”
“…..อยากจะลองนั่งดูไหมล่ะครับ?”
โอกาสมันจะเหมาะเหม็งอะไรขนาดนี้เพราะงั้นผมก็เลยประหม่าจนเสียงของผมมันโทนแหลมเล็กน้อย
“อื้อ อยากลองนั่ง!”
ชิราคาวะซังตอบด้วยจิตใจอันแรงกล้าและแววตาก็เปล่งประกายอย่างมีความสุข
“ชั้นคิดว่าตัวเองไม่ได้นั่งเรือมาตั้งแต่ตอนอยู่ประถมแล้วนะ! แล้วนี่พวกเราต้องพายเรือด้วยไหม?”
“ไม่ครับ เดี๋ยวผมพายให้เอง”
“เอ๋ แต่ทุกคนที่นั่งบนเรือก็ต้องพายเรือช่วยกันใช่ไหมล่ะ?”
“อันนั้นมันการพายเรือแคนูแล้วครับ!”
“เอ๋~!?”
ขณะที่กำลังหัวเราะไปกับคำพูดอันไร้เดียงสาของชิราคาวะซังเราก็มุ่งหน้าไปยังท่าเรือที่มีเรือจอดเรียงกันเป็นแถวอยู่
ชัดเจนว่ามันมีระบบที่คุณจะต้องซื้อตั๋วจากเครื่องขายตั๋วเสียก่อนและค่อยมุ่งหน้าไปยังพื้นที่ขึ้นเรือที่อยู่บริเวณปลายท่าเรือ
“แต่นั่งเรือเนี่ยมันจะไม่ร้อนเอาหรอกเหรอ?”
เพราะชิราคาวะซังพูดกับผมอย่างนั้นผมจึงหยุดกับการพยายามที่จะนั่งเรือธรรมดาและเลือกซื้อตั๋วเรือถีบแบบมีหลังคามุงแทน
มันเป็นเรือประเภทหนึ่งที่จะเคลื่อนที่ได้ก็ต่อเมื่อคุณถีบตัวแป้นคันเร่งของมันด้วยเท้าเหมือนกับการปั่นจักรยานและมันก็เรียกได้อีกแบบว่าเรือหงส์
“เราขี่ได้ 30 นาทีใช่สินะ? ฟังดูน่าสนุกจัง!”
เสียงของชิราคาวะซังดีใจยกใหญ่เมื่อเธอมุ่งหน้าไปที่เรือที่ผู้ดูแลนำทางเธอไป
“ก้าวระวังด้วยนะครับ…….”
เธอพยายามจะขึ้นเรือด้วยรองเท้าที่มีส้นสูงราวๆ 10 เซนติเมตร
“หวา……!”
ตอนนั้นเองผมก็ได้พยายามยื่นมือเข้าไปช่วยเธอในตอนที่เท้าของเธอยืนได้ไม่มั่นคง
“ว้าว!! วิวสวยดีจริงๆเลย!”
ชิราคาวะซังก็กลับมาทรงตัวอยู่ในทันทีและเรื่องต่อไปที่ผมรู้นั่นก็คือเธอก้าวขึ้นเรืออย่างปลอดภัย
“…..ครับ นั่นสินะครับ…..”
บางทีสาเหตุของความพ่ายแพ้ในตอนนี้อาจเป็นเพราะผมดันให้ชิราคาวะซังเธอขึ้นเรือก่อนซึ่งเวลาที่คนเราทรงตัวไม่อยู่ยืนไม่มั่นคง ก็มักจะยื่นมืออกไปทางด้านหน้าเสมอ เพราะงั้นถ้าหากว่าผมขึ้นเรือก่อนผมก็อาจจะช่วยเหลือเธอได้อย่างเป็นธรรมชาติก็ได้
“…………”
เย็นเข้าไว้มันก็ยังพอมีโอกาสตอนขาลงจากเรืออยู่
ผมพร่ำเตือนตัวเองและเก็บอาการไว้
“เป็นอะไรไปริวโตะ?”
ทันทีที่ผมเริ่มถีบชิราคาวะซังก็พูดกับผม
“เอ๊ะ?”
และมองมาข้างๆผม
“มีเรื่องอะไรเหรอ?”
ภายในเรือขนาดเล็กพอผมได้เห็นใบหน้าอันสวยงามจนเกินไปของเธอจากระยะเผาขนในระดับที่ไหล่ของพวกเราสัมผัสกันตัวผมก็เริ่มประหม่ามากขึ้นและเหงื่อก็เริ่มออก
นี่ผมกำลังพยายามที่จะจับมือกับสาวที่น่ารักขนาดนี้จริงดิ
…….นี่ผมทำได้จริงๆเหรอ?
แต่ถ้าเธอปฏิเสธไม่ยอมแม้แต่กระทั่งให้จับมือล่ะก็
ในอนาคตความต้องการของผมมันก็คงจะพูดกับผมว่า “อยากจะมีอะไรกับเธอจัง”แน่
พอยิ่งคิดเรื่องนี้ก็ยิ่งประหม่ายิ่งขึ้นไปอีก
“เพราะนายดูสติสตังไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลย นายเหนื่อยเหรอ?”
“…ไม่ใช่ครับ”
เธอคงจะคิดว่าผมดูแปลกๆไปแต่เอาจริงๆเรื่องที่ผมวางแผนที่จะจับมือเธอทั้งหมดนี่มันคือความลับ
“…..คือพอผมมองไปที่ชิราคาวะซังแล้ว….ผมก็ลืมไปหมดเสียทุกอย่างเลยครับเพราะว่าเธอน่ารักเกินไป…….”
ชิราคาวะซังร้อง “เอ๊ะ” ออกมาและจ้องมาที่ผมขณะที่ผมพูดออกไปพร้อมๆกับเก็บอาการเขินอายเอาไว้แล้วแก้มของเธอก็แดงแจ๋ขึ้นทันที
“ตาบ้า….”
การแสดงออกของเธอที่หรี่ตาลงอย่างเขินอายนั้นก็น่ารักเหมือนกัน
อยากจะถ่ายรูปเก็บเอาไว้จังเลยแฮะ
“อ๋า!”
ตอนนั้นเองชิราคาวะซังก็หยิบมือถือของเธอออกมาจากกระเป๋าเป้ของเธอ
“ชั้นจะถ่ายรูปนะ!”
“เอ๊ะ! คะ-ครับ!”
ผมรู้สึกประหลาดใจจนคิดว่านี่เธออ่านใจผมได้อย่างนั้นรึ?
พูดถึงสาวแกลแล้วผมก็มีอิมเมจภาพจำของพวกเธอตอนพวกเธอถ่ายเซลฟี่ไว้เยอะอยู่
แต่ชิราคาวะซังไม่ใช่พวกที่บ้าถ่ายเซลฟี่ขนาดนั้นตัวเธอนั้นแทบจะไม่ได้ถ่ายเซลฟี่เลย
เพราะฉะนั้นจนถึงตอนนี้เราก็ยังไม่เคยได้ถ่ายรูปคู่ด้วยกันในวันที่เราออกเดทด้วยกันมาก่อนเลย
“อื้มๆ ดูใช้ได้แล้ว”
ชิราคาวะซังเริ่มตั้งกล้องและเช็คมุม
“เอาล่ะ ขยับเข้ามาใกล้อีกนิดนะ”
ขณะที่เธอพูดอย่างนั้นชิราคาวะซังก็โน้มตัวเข้ามาใกล้ผม
ผมที่หยิกยาวของเธอก็มีกลิ่นหอมของดอกไม้หรือผลไม้ที่เริ่มลอยมาจั๊กจี้จมูกของผม
มันเป็นส่วนผสมของน้ำหอมผู้ใหญ่ที่เธอมักใช้ร่วมกับกลิ่นหอมของตัวผู้หญิงที่ผมเองก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน
“เอานะ มองกล้องนะ!”
ชิราคาวะซังหัวเราะแล้วก็บอกผมตอนที่ผมรู้สึกประหม่ามองไปคนละทิศ
“โอเช เอาล่ะ”
ในขณะนั้นชิราคาวะซังก็เอาหัวของเธอมาวางไว้บนไหล่ของผมเล็กน้อย
“…….!?”
แล้ววินาทีต่อมาก็กดปุ่มชัตเตอร์
“ออกมาดูดีเลยนะเนี่ย!”
บนหน้าจอที่ชิราคาวะซังเอาให้ผมดูก็คือรูปถ่ายใบหน้าของผมที่เกือบจะแข็งทื่อไปแล้วเพราะตกใจสุดขีด
“รูปนี้น่ะอยากเอามาตั้งเป็นรูปหน้าจอล็อคไหม?”
ชิราคาวะซังมองมาที่ผมด้วยหางตาที่ชี้ขึ้นและยิ้มอย่างซุกซนออกมา
“เอ่อคือ………แบบนั้นมัน…….ว่าแล้วเชียว…….มันน่าอายอยู่หน่อยๆน่ะครับ”
ผมตอบเธอกลับอย่างลังเลด้วยใบหน้าแดงก่ำและชิราคาวะซังก็พูดว่า
“จ้าๆ~”
แล้วก็ยิ้มออกมา
“ถ้าอย่างงั้นชั้นว่าชั้นจะใช้มันเป็นภาพพื้นหลังหน้าจอหลักก็แล้วกัน”
แล้วเธอก็กดไปที่ “การตั้งค่า” ขณะที่พูดออกมาแบบนั้นและก็กดไปอย่างรวดเร็ว
“มันจะดีเหรอครับ?”
และตัวผมก็ถูกความเขินอายโถมใส่อีกครั้งเมื่อเธอโชว์หน้าจอหลักที่มีพวกไอคอนของแอปต่างๆเรียงรายกันเป็นแถวอยู่เหนือรูปถ่ายของพวกเรา
“แล้วริวโตะล่ะ?”
เธอถามผมราวกับกำลังออดอ้อนและผมก็ตอบเธอกลับไปว่า
“เข้าใจแล้วครับ”
พร้อมกับใจที่เต้นตึกตัก
และชิราคาวะซังก็ยิ้มออกมาอย่างมีความสุขเมื่อผมเอาภาพที่เธอส่งให้มาผ่านทาง LINE มาตั้งเป็นวอลเปเปอร์ให้เธอดู
“ฟุๆ ดูเหมือนว่าพวกเราจะมีอะไรที่มันเข้าคู่กันอีกอย่างนึงแล้วสินะ”
รอยยิ้มนั้นช่างเจิดจ้าสุดๆและมันไม่ใช่เพราะแสงแดดยามบ่ายที่สะท้อนขึ้นมาจากผิวน้ำ
ภายในเรืออันคับแคบนี้
ตัวผมรู้สึกใกล้ชิดกับชิราคาวะซังมากกว่าอย่างที่เคย……….และผมก็ได้แต่หวังว่าพวกเราจะอยู่ด้วยกันอย่างนี้ตลอดไป
อย่างไรก็ตามแต่เวลามันก็ผ่านไปไวอย่างโหดร้ายและเวลา 30 นาทีนั้นก็ผ่านไปในพริบตา
ผมก็รู้สึกหงอยๆที่ได้กลับไปยังท่าเรือและก็เอาเรือกลับไปจอดคืนแล้วตัวผมก็ลงจากเรือก่อนและรอให้ชิราคาวะซังลุกขึ้นเพื่อที่จะลงจากเรือ
ใช่แล้ว
คราวนี้แหละจะจับมือเธอให้ได้
“อ๊ะ!”
ถึงกระนั้นชิราคาวะซังก็ลุกออกมาได้อย่างว่องไวและเทียบท่าขึ้นบกโดยที่เท้าของเธอไม่เสียการทรงตัวเลย
“………….”
ตรงกันข้ามกันกับตอนขาขึ้นเพราะตอนขาลงนั้นมันคือการลงจากสถานที่ที่มันไม่มั่นคงไปยังจุดที่มั่นคงแต่ถ้าหากว่าคุณคงรักษาสมดุลได้ดีคุณก็คงจะไม่ต้องการความช่วยเหลือใดๆเลย
ภารกิจล้มเหลวไม่เป็นท่า……..
“นั่งเรือสนุกมากเลยล่ะ! รู้สึกดีจัง!~”
“นั่นสินะครับ”
ชิราคาวะซังอารมณ์ดีเชียวกลับกันผมกลับรู้สึกเศร้าหยั่งกะทหารที่แพ้สงครามมา
“แล้วตอนนี้พวกเราจะเอาไงต่อล่ะ?”
“นั่นสินะครับ………”
“กลับบ้านเหรอ?”
“อืม…….ก็”
เวลามันยังไม่ทัน 4 โมงเย็นเลยด้วยซ้ำยังยอมแพ้ไม่ได้
ผมส่ายหัวไปมา
ผมอยากนั่งเรือใหม่อีกสักรอบแต่ก็กังวลว่าจะถูกคิดว่ามันแปลกที่พูดอย่างนั้นออกไป
“งั้นไปเดินเล่นกันสักหน่อยไหมครับ?”
นั่นคือข้อเสนอที่ผมพอจะคิดได้หลังจากไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้ว
ผมอยากรู้ว่าตอนนี้หน้าของตัวเองดูเหมือนคนคิดมากเกินไปรึเปล่านะและในขณะนั้นเองสีหน้าของชิราคาวะซังก็เปลี่ยนไป
“……ได้สิ”
รอยยิ้มมันจางหายไปจากใบหน้าอันแสนโดดเด่นของเธอกลายเป็นดูประหม่าหน่อยๆแทน
หลังจากนั้นเราสองคนก็เดินเรียบไปตามริมสระน้ำอย่างเงียบงัน
ผมชอบเธอนะชิราคาวะซัง
ผมคิดว่า………เธอก็คงจะชอบผมเหมือนกันก็แบบเธอดีกับผมมากและก็ยังคบกับผมต่อ
แต่เธอก็ยังไม่ได้พูดออกมาว่า “เธออยากจะมีอะไรกัน” กับผมเลย
พอลองคิดถึงเรื่องนี้ดูแล้วมันก็ทำให้ผมใจเสาะรวมถึงเรื่องอื่นๆอย่างการให้พูดว่า
“มาจับมือกันเถอะ” ตรงๆก็คงจะพูดออกไปไม่ไหวหรอก
แต่ยังไงซะ ก็อยากจะสัมผัสเธอจัง
สำหรับผม “การชอบ” ผู้หญิงคนหนึ่งมันก็เท่ากับความอยากที่จะเข้าไปสัมผัสเธอ
แต่ดูเหมือนว่า “การชอบ” สำหรับชิราคาวะซังเองก็ไม่ได้จำเป็นที่จะต้องมีความหมายเหมือนกันและนั่นแหละคือสิ่งที่ผมไม่อาจที่จะเข้าใจและมันก็ช่างเจ็บปวด
ผมไม่อยากจะทำร้ายเธอเลยแต่ว่ามันก็ยากขึ้นและยากขึ้นไปเรื่อยๆเป็นเพราะความรักที่มีให้เธอมันพอกพูนมากขึ้นเรื่อยๆ
ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่อยากที่จะเป็นเหมือนกับแฟนเก่าของเธอและทำให้เธอคิดว่าการมีอะไรกันนั้นเป็น “ภาระข้อผูกมัด” ของแฟนหนุ่มของเธอเองและนั่นก็คือเหตุผลที่ผมระวังสุดตัวเกี่ยวกับเรื่องการสกินชิพแตะเนื้อต้องตัวเธอ
สุดท้ายแล้วชิราคาวะซังเธอก็เป็นผู้หญิงที่นิสัยดีสุดๆเพราะถ้าเกิดว่าเธอสังเกตุรู้ถึงความต้องการของผมล่ะก็เธอก็คงจะเอาความรู้สึกของตัวเองเป็นรองและยอมปล่อยให้ผมทำอะไรต่อมิอะไรทุกสิ่งทุกอย่างตามใจชอบ
“……..นี่ริวโตะ”
ตอนที่ผมกำลังคิดๆอยู่ชิราคาวะซังที่อยู่ข้างๆผมจู่ๆก็หยุดเดินต่อ
“หืม?”
พอผมดึงสติกลับมาที่ตัวเองชิราคาวะซังก็มองมาอย่างจริงจัง
“ถ้านายมีอะไรที่อยากจะพูดก็พูดออกมาเลยสิ”
“เอ๋…..”
นี่เธอสังเกตุเห็นอย่างนั้นเหรอไอ้เจ้าแรงจูงใจที่ซ่อนเร้นของผมน่ะ
ต้องบอกเธอไปว่า…….ขณะที่ผมว่ากำลังคิดอยู่นั้นชิราคาวะซังก็เริ่มพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ชั้นก็……พอเข้าใจอยู่นะ……..เพราะพวกเขาเองก็เริ่มพูดออกมาว่าพวกเขารู้สึกยังไงกับเดตธรรมดาๆอย่างนี้น่ะ”
“เอ๊ะ?”
ผมขมวดคิ้วด้วยความสงสัยว่าเธอกำลังพูดถึงเรื่องอะไรอยู่กัน?
จากนั้นความโศกเศร้าจากการแสดงออกของชิราคาวะซังก็เพิ่มมากยิ่งขึ้น
“อันที่จริงชั้นน่ะไม่อยากที่จะเลิกเลยนะ…..ชั้นน่ะอยากที่จะรู้จักริวโตะให้มากกว่านี้……….ชั้นชอบนายนะบางทีมันอาจจะสื่อไปไม่ถึงนายก็เพราะว่าชั้นมันโง่เองแต่ว่ามันก็………ก็ชอบนายมากขึ้นเรื่อยๆเลย……”
“เดี๋ยวนะครับ นี่กำลังพูดเรื่องอะไรอยู่ครับเนี่ย”
ชัดเจนเลยว่าสิ่งที่ผมคิดกับสิ่งที่ชิราคาวะซังคิดนั้นมันไปคนละทางกันเลย
พอรู้อย่างนั้นผมก็ห้ามเธอไม่ให้พูดต่อ
“อ๊ะ?”
ชิราคาวะซังรู้สึกสับสน
“ไม่ใช่ว่าพวกเราจะคุยกันเรื่องที่ว่านายจะเลิกกันกับชั้นเหรอ?”
“เอ๋!!!! คนละเรื่องเลยครับ!”
เธอพูดบางอย่างที่ผมคิดว่าไม่ได้ใกล้เคียงเลยแม้แต่มิลลิเมตรเดียว
ผมก็เลยออกอาการตกใจสุดขีดออกมาอย่างยอดเยี่ยมเลยทีเดียว
“ไหงเธอถึงได้คิดอย่างนั้นล่ะครับ?”
“ก็เพราะว่านายเอาแต่ทำสีหน้าลำบากใจอยู่นั่นแหละและพวกเราเองก็ยังเดินวนไปรอบๆอย่างไร้จุดหมายปลายทางด้วย”
“….ไม่ใช่นะครับ….นั่นมัน…..”
จากนั้นผมก็นึกคำพูดของเธอเมื่อตอนก่อนหน้านี้ได้
[ชั้นก็……พอเข้าใจอยู่นะ……..เพราะพวกเขาเองก็เริ่มพูดออกมาว่าพวกเขารู้สึกยังไงกับเดตธรรมดาๆอย่างนี้น่ะ]
อย่างนี้น่ะเองมันเป็นอย่างนั้นเองหรอกเหรอ
พอถึงช่วงเวลานี้แฟนเก่าของเธอก็เริ่มพูดบอกเลิกแบบนั้นเองสินะ
การที่ต้องเลิกรากับใครสักคนน่ะมันช่างเจ็บปวดและตัวผมเองก็เจ็บจนกลายเป็นแผลใจเพียงเพราะผมสารภาพรักกับคุโรเสะซังและก็ถูกปฏิเสธและเพียงเพราะว่าเธอไม่ตอบรับคำสารภาพรักของผม แต่มันก็รู้สึกว่าตัวตนของผมทั้งหมดถูกปฏิเสธ
แถมประสบการณืชีวิตที่เจ็บปวดยิ่งไปกว่านั้นก็คือ………..ประสบการณ์ที่จู่ๆก็ถูกผลักไสไล่ส่งโดยคนที่ครั้งหนึ่งเขาเคยยอมรับในตัวคุณและก็จากนั้นปล่อยทิ้งให้คุณเป็นไปตามเวรตามกรรม
ซึ่งชิราคาวะซังเธอเคยผ่านประสบการณ์นั้นมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง
เหตุผลที่เธอพยามที่จะกระตุ้นให้ผมพูดออกมาก่อนก็เพื่อที่จะได้ทำให้บาดแผลมันเล็กให้มากที่สุด………….นั่นมันอาจจะมันเป็นสัญชาติญาณการป้องกันตัวของเธอที่สั่งให้เธอทำแบบนั้น
เพราะไม่อยากที่จะรู้สึกเจ็บปวดอีกแล้ว………..
“คือผม…..ไม่ได้มีความตั้งใจที่จะเลิกกับชิราคาวะซังเลยนะครับ”
ผมน่ะไม่เหมือนกับแฟนเก่าของเธอ
ไม่อยากจะคิดเรื่องพรรค์นั้นตอนนี้เลย……..ไม่อยากจะคิดถึงเหตุการณ์ที่มันที่มันไม่น่าจะเกิดขึ้นในตอนนี้
หากรักครั้งนี้จะจบลงในสักวันหนึ่ง มันจะต้องไม่ได้จบลงโดยเพราะผมอย่างแน่นอน
“ที่ผมกำลังคิดอยู่ก็คือ……”
ไอ้ที่ผมกำลังคิดอยู่นี่ล่ะที่ดูเหมือนว่ามันจะเป็นปัญหาอยู่หน่อยๆและไม่ได้สำคัญอะไรเมื่อลองนึกถึงแผลใจของเธอ
“คือเรื่องที่อยากจะนั่งเรืออีกรอบ…….ก็แค่นั้นเองครับ”
คำพูดของผมทำให้ชิราคาวะซังทำหน้างงๆ
“….เอ๋ นั่งเรือ? แค่นั้นเหรอ?”
“ครับ ก่อนหน้านี้เราพึ่งขี่ไปลำเดียวเองเพราะงั้นผมก็เลยคิดว่ามันแปลกๆน่ะครับ”
เมื่อผมพยักหน้ารอยยิ้มก็กลับมาบนใบหน้าของชิราคาวะซัง
“นายนี่ชอบนั่งเรือขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย? ไม่ไหวเลยน๊า ~ ถ้างั้นก็ไปขี่อีกรอบกันเถอะ!
คราวนี้ต้องรู้สึกดีแน่ๆ!”
พอได้มองดูรอยยิ้มที่ไร้กังวลนั่นก็ทำให้ผมรักเธออีกครั้ง
……..ตัดสินใจแล้ว
เปลี่ยนแผน
เลิกที่จะรอให้ชิราคาวะซังยื่นมือออกมาเพราะผมจะเป็นคนยื่นมือออกไปเอง
ผมอยากที่จะสัมผัสเธอแล้วถ้าเกิดว่าทำไปแล้วเธอชักสีหน้าลำบากใจออกมาผมก็จะขอโทษเธอแล้วค่อยรอคอยช่วงเวลาที่เหมาะสมเอง
ไม่เป็นไร
เพราะงั้นพวกเราก็เลยกลับไปที่บริเวณจุดขึ้นเรือเพื่อขึ้นเรือแล้วจากนั้นชิราคาวะซังก็พูดกับผมที่หน้าเครื่องขายตั๋ว
“ถ้าพวกเราจะขี่กันอีกรอบคราวนี้อยากจะลองนั่งเรือแบบธรรมดาดูบ้างไหม?”
“ได้สิครับ ว่าแต่เธอโอเคกับแสงแดดรึเปล่าครับ?”
“อื้ม พระอาทิตย์มันเริ่มตกลงต่ำกว่าตอนก่อนหน้านี้หน่อยๆแล้วล่ะ”
ผมก็เลยซื้อตั๋วเรือพายมาแล้วพวกเราก็ไปยังท่าเทียบเรือ
เรือพายนั้นมีโครงสร้างที่ไม่มั่นคงและส่ายไปส่ายมากยิ่งกว่าเรือถีบ
ก่อนหน้านั้น
ผมก็ขึ้นไปบนเรือก่อนแล้วก็ยื่นมือออกไปหาชิราคาวะซังที่กำลังยืนอยู่บนท่าเรือ
“ถ้าไม่ว่าอะไร จับมือผมเอาไว้ก็ได้นะครับ”
ผมสบตาเธอไม่ไหวจริงๆเพราะดันฝืนมากจนเกินไปที่จะรวบรวมความกล้าที่หลงเหลืออยู่ทั้งหมดออกมา
“………….”
เพราะเกิดการชะงักไปชั่วครู่ผมจึงเงยหน้ามองขึ้นมาอย่างกังวลใจ
ตรงนั้นชิราคาวะซังซึ่งมีใบหน้าที่กำลังตกใจพร้อมกับกำลังเขินอายอยู่
“อื้ม…….ขอบคุณนะ”
ชิราคาวะซังยื่นมืออันสวยงามของเธออกมาอย่างเขินอาย
มือของผมสัมผัสได้ถึงความนุ่มชุ่มชื้นของผิวที่อบอุ่น
หน้าอกของผมค่อยๆร้อนขึ้นเรื่อยๆเมื่อผมได้จับมือของเธอเบาๆ
แล้วชิราคาวะซังก็จับมือผมเพื่อก้าวขึ้นเรือ
“ริวโตะเนี่ยใจดีจังเลยนะ”
ขณะที่เธอพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา
นัยน์ตาของชิราคาวะซังก็ดูค่อนข้างที่จะชุ่มชื้น
แต่พวกเราก็จับมือกันเพียงชั่วขณะนั้น
พวกเราปล่อยมือกันในทันทีแล้วก็หันหน้าเข้าหากันตอนที่อยู่บนเรือ
ก่อนที่ผมจะได้ล่องลอยเคลิบเคลิ้มไปกับแสงตะวันของการสกินชิพครั้งแรกของพวกเรา
ผมก็ต้องคว้าไอ้เจ้าไม้พายหรรษานี่เสียก่อนมันก็ช่วยไม่ได้ล่ะนะเพราะถ้าผมไม่พายล่ะก็เราก็คงไม่ได้ออกจากฝั่งกันพอดี
หลังจากผมเริ่มพายเรือเราก็เงียบไปพักนึง
มันช่างเป็นความเงียบงันที่สะดวกสบายดีซะจริงๆ
ความเขียวขจีของตัวอุทยานทีกำลังงอกเงยตามริมสระน้ำและสามารถมองเห็นได้จากตึกสูงที่อยู่ไกลออกไปส่วนตัวน้ำที่เป็นโคลนจึงทำให้มองไม่เห็นปลาแต่ก็มีฝูงเป็ดที่กำลังแหวกว่ายอยู่ตรงที่ไกลๆอยู่
ขณะที่กำลังชมทิวทัศน์โดยรอบผมก็แจวเรือไปด้วยความรู้สึกอิ่มเอมใจ
“บางที……การที่เราเลือกเรือลำนี้มามันก็ดีเหมือนกันนะ”
หลังจากนั้นไม่นานชิราคาวะซังก็พึมพัมออกมา
“?”
ผมมองดูเธอด้วยความรู้สึกสงสัยว่าเธอหมายถึงอะไร? จากนั้นเธอก็ยิ้มให้ผม
“ก็เพราะว่าชั้นได้จับมือกับริวโตะด้วยยังไงล่ะ”
แก้มของเธอถูกย้อมเป็นสีแดงหน่อยๆ
“เอ๊ะ…..”
“พักหลังมานี้ชั้นอยากจะจับมือกับริวโตะมากๆเลยล่ะ ชั้นก็เลยทำตัวเหมือนพยายามเข้าใกล้นายมากกว่าที่เคย นี่นายไม่สังเกตุบ้างเลยเหรอ?”
ที่เธอพูดออกมามันก็ทำให้ผมนึกขึ้นได้เกี่ยวกับตอนที่เธอดึงแขนผมตอนที่เรากลับบ้านด้วยกันหรือที่เธอเอาหัวมาซบไหล่ผมตอนที่เราถ่ายเซลฟี่กันในเรือถีบ
นั่นมันคือสัญญาณจริงๆงั้นสินะ
“ชั้นคิดว่ามันคงจะไม่ดีแน่ๆเพราะงั้นชั้นก็เลยบอกกับนายตรงๆไม่ได้ อยากจะจับมือทั้งๆที่ยังไม่แน่ใจเลยว่าอยากจะมีอะไรกันกับนายมันฟังดูเห็นแก่ตัวไม่ใช่เหรอ ก็แบบพอได้จับได้สัมผัสแล้วพวกผู้ชายก็อยากจะทำให้มันสุดไปเลยใช่ไหมล่ะ”
“ไม่สิ ไอ้เรื่องแบบนั้นมัน……….”
ไม่ว่าผมมันจะเป็นไอ้หนุ่มซิงไก่อ่อนสักแค่ไหนก็ตามแต่ผมก็ไม่ใช่พวกที่มีความต้องการทางเพศมากล้นจนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้หลังจากเพียงแค่ได้จับมือกันหรอก
การผสมผสานความเข้าใจถูกและความเข้าใจผิดของชิราคาวะซังนั้นก็ดูน่ารักดีแต่ก็อันตรายเช่นกัน
“ผมก็เหมือนกัน………ผมเองก็อยากที่จะจับมือชิราคาวะซังมาตลอดเลยครับ”
เมื่อผมสารภาพกับเธออย่างตรงไปตรงมา
ชิราคาวะซังก็เงยหน้าจึ้นมาและมองมาตรงนี้
“จริงเหรอ?”
“ครับ”
ผมพยักหน้าและใบหน้าของเธอเต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม
“ฟุๆ อย่างนี้นี่เอง….”
นั่นคือรอยยิ้มแบบในที่เธอกำลังวางแผนอะไรบางอย่างอยู่จากนั้นเธอก็ลุกขึ้นในทันที
“ชิราคาวะซัง อันตรา…..”
ขณะที่ผมกำลังสงสัยว่าเธอกำลังทำอะไรของเธอ
เธอก็เอามือวางบนตัวเรือและก็เขย่าตัวเรือไปมาอย่างแรงจากอีกด้านไปอีกด้าน
“เอ๋!?”
เรือสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงและน้ำก็กระเซ็นขึ้นมาจากผิวน้ำเข้ามาในตัวเรือ
“เป็นอะไรไปครับ!? มันอันตรายนะครับยังไงก็หยุด……”
และนั่นคือตอนที่มันเกิดขึ้น
จู่ๆชิราคาวะซังก็โน้มตัวเข้ามาใกล้ผมเอาใบหน้าอันแสนน่ารักของเธอเข้ามาอย่างใกล้ชิด
ไม่ทันได้มีเวลาเตรียมตัวก็มีบางสิ่งที่นุ่มนวลและอบอุ่นเข้ามาสัมผัสที่ริมฝีปากของผม
พวกเราจูบกัน
พอผมได้รับรู้ถึงความจริงนั้นริมฝีปากของพวกเราก็แยกจากกันเสียแล้ว
“เปิดช่องว่างแล้ว!”
หลังจากนั่งลงอีกครั้งชิราคาวะซังก็พูดออกมาพร้อมกับหัวเราะ
“………….”
พายลงพายเรืออะไรลืมไปหมดทุกอย่างแล้ว
ผมมึนตึ้บราวกับวิญญาณกำลังจะหลุดออกจากร่าง
ได้จูบกับชิราคาวะซังแล้ว…………ได้จูบกับชิราคาวะซังแล้ว
คำพูดเหล่านั้นเป็นเพียงสิ่งเดียวที่วนเวียนอยู่ในหัวของผม
แม้ว่าแค่จับมือกันก็ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่แล้ว
แต่ผมก็ไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยว่าพวกเราจะได้จูบกัน
ไม่อยากจะเชื่อเลย
หน้าอกของผมมันเริ่มร้อนรุ่มและในหัวของผมก็เต็มไปด้วยชิราคาวะซังเต็มไปหมด
อ่า ใช่แล้วล่ะผมรักชิราคาวะซังจริงๆด้วย
“…..ก็ไม่ใช่พวกเรา……..คิดเหมือนกันหรอกเหรอ”
ชิราคาวะซังยิ้มให้ผมอย่างเขินอาย
“ชั้นน่ะ……..อยากใกล้ชิดกับริวโตะให้มากกว่านี้ อยากที่จะชอบริวโตะ อยากจะ……”
หลังจากพูดกับผมด้วยแววตาที่มองต่ำและเธอก็เงยขึ้นมามองผมอีกครั้ง
“มีความ ‘ชอบที่แท้จริง’ ร่วมกับริวโตะ”
พอพูดอย่างนั้นผมก็หวนจำได้ถึงบทสนทนาที่เราคบกันวันแรกได้
ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเธอจะรู้สึกอย่างนั้นกับผมจริงๆ
ขณะที่ผมติดอยู่ในกระแสอารมณ์อันลึกล้ำ
ชิราคาวะซังก็ใช้มือทั้งสองข้างของเธอมาปิดแก้มที่แดงก่ำทั้งสองข้างของเธอแล้วมองมาที่ผม
“อ๊า โธ่………นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่ชั้นโผเข้าไปจูบใครสักคนด้วยตัวเองน่ะ น่าอายจัง!”
ทำปากบึ้งๆเหมือนกับกำลังโกรธอยู่แบบนั้นช่างน่ารักจริงๆ
หลังจากนั้นพวกเราก็จ้องมองตากันและก็มีรอยยิ้มอ่อนๆปรากฏบนใบหน้าของพวกเรา
เมื่อเราไปถึงท่าเรือและลงจากเรือผมก็ยื่นมือออกไปหาชิราคาวะซังอีกครั้ง
“ถ้าไม่รังเกียจ”
“ขอบคุณนะ”
ชิราคาวะซังจับมือผมอย่างเขินอาย
ขณะที่ผมพยายามที่จะแยกมือออกจากกันเพราะตอนนี้เธอขึ้นมาอยู่บนท่าเรือเรียบร้อยแล้วเธอก็กำมือที่เชื่อมโยงกันของพวกเราไว้อย่างแนบแน่น
“ชิ-ชิราคาวะซัง…..?”
ผมสะดุ้งและหันไปมองเธอและก็เห็นว่าชิราคาวะซังยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์อยู่
“ทำไมพวกเราถึงไม่อยู่กันอย่างนี้ไปอีกสักหน่อยล่ะ?”
“อะ-เอ่อ…..คะ-ครับ!”
พวกเราก็เริ่มเดินจับมือกันในสวนสาธารณะ
“แล้วก็นะนายเอาแต่เรียกชั้นว่า ‘ชิราคาวะซัง’ อยู่ตลอดเลย ช่วยหยุดทีจะได้ไหม?”
“เอ๋!?”
จากคำพูดกระทันหันของเธอทำให้ผมหันไปมองชิราคาวะซัง
“ถ้างั้นจะให้ผมเรียกเธอว่ายังไงดีล่ะครับ…..?”
แล้วเธอก็ทำหน้าบึ้งออกมาเล็กน้อย
“ก็ชื่อของชั้นคือลูน่าใช่ไหมล่ะ?”
“อ๋า…..”
หมายถึงอย่างนั้นเองสินะ
“อืม เอ่อ….ถ้างั้นก็…….”
ผมไม่เคยเรียกผู้หญิงด้วยชื่อจริงๆของพวกเธอนอกจาก ‘…….ซัง’ มาก่อนเลย
เพราะงั้นมันก็ต้องมีการเตรียมใจกันสักหน่อย
ผมไม่คิดเลยว่าวันนั้น
วันที่ผมเรียกชื่อชิราคาวะซังด้วยชื่อจริงๆของเธอโดยไม่ให้ความเคารพใดๆจะมาถึง
“ลู-ลูลูลู…….”
บ้าเอ้ย อีกแล้วเหรอ!!
อีหรอบเดิมกับตอนที่สารภาพรักกับเธอเลยและผมก็กระวนกระวายยกใหญ่
“ลู-ลู……”
ผมรู้สึกโล่งใจจริงๆที่ชิราคาวะซังเธอกำลังรอคอยผมอยู่โดยไม่หัวเราะออกมา
“…….ลูน่า…..”
ในที่สุดก็สามารถพูดมันออกมาได้อย่างถูกต้องเสียที
เป็นครั้งแรกที่ผมเรียกชิราคาวะซังด้วยชื่อจริงของเธอเองก็เลยรู้สึกแปลกๆเหมือนกับว่ามันเป็นเสียงของผมเองแต่กลับไม่ใช่คำพูดของผมยังไงอย่างงั้น
“อะไรนะ?”
ชิราคาวะซังโต้ตอบผมอย่างตั้งใจเว่อร์ๆ
เธอโน้มตัวมาด้านหน้าและมองมายังใบหน้าของผมด้วยหางตาที่ชี้ขึ้น
“เอ๊ะ….ก็”
ไม่ใช่ว่าผมเรียกเธอเพราะว่ามีเรื่องอะไรในใจเพราะงั้นผมถึงได้งงเป็นไก่ตาแตก
“แล้วนี่ชิราคาวะซังไม่เหนื่อยบ้างเหรอครับ? อยากไปหาที่นั่งพักที่ไหนสักที่ไหมครับ?”
“ชั้นโอเคและก็ได้นั่งตอนอยู่บนเรือไปแล้วด้วย”
“อา…….”
นั่นสินะครับ
“กลับไปเรียก ‘ชิราคาวะซัง’ อีกแล้วนะ”
“อึก…..คนอย่างผมนี่มัน….”
เธอคงจะหมดหวังในตัวผมแล้วสินะ……..
ในตอนที่ผมกำลังคิดแบบนั้นและเริ่มหดหู่
“ฟุฟุ”
ชิราคาวะซังก็หัวเราะคิกคัก
“ไม่เป็นไรหรอกนะ ชั้นจะรอจนกว่านายจะเรียกชื่อชั้นได้เองก็แล้วกันนะ”
แล้วเธอก็บีบมือผมแน่นราวกับกำลังจะปลอบใจผม
“ชิราคาวะซัง…………:
เธอเป็นเด็กผู้หญิงที่น่ารักจริงๆเลย
ผมอยากจะเป็นผู้ชายที่เข้ากันกับแฟนสาวที่มีเสน่ห์คนนี้ได้เร็วๆจัง…….
“ริวโตะมือเย็นจัง……..”
ชิราคาวะซังพูดกับผมขณะที่ผมกำลังดื่มด่ำไปกับอารมณ์
“จริงเหรอครับ? ขอโทษด้วยนะครับเพราะผมประหม่าก็เลย…..”
ผมติดนิสัยขอโทษเธอไว้ก่อนและชิราคาวะซังก็หัวเราะคิกคักใส่
“ไม่เป็นไรหรอก มันก็เข้าช่วงฤดูร้อนแล้วนี่นะ มาๆเดี๋ยวชั้นจะให้ความอบอุ่นกับนายเองนะ”
หลังจากพูดอย่างนั้นแก้มของเธอก็แดงหน่อยๆและก็ยิ้มอย่างเขินๆ
“แต่ว่ามันก็ค่อนข้างน่าอายอยู่ล่ะนะ”
ผมเองก็หน้าแดงเช่นเดียวกันแต่ชิราคาวะซังดูท่าจะอายหนักมากจริงๆและแหงนหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าเพื่อกลบเกลื่อน
“……ถ้าพวกเรามีอะไรกันตั้งแต่ทีแรก ชั้นก็คงจะไม่อายหนักขนาดนี้หรอก…….”
ชิราคาวะซังพึมพัมออกมาขณะที่เงยหน้ามองขึ้นไป
“ไม่ว่าจะเป็นเอามือมาประสานกันหรือจูบกัน ไม่ว่าจะกับใครมันก็น่าอายทั้งนั้นแหละ แล้วทุกครั้งที่ริวโตะอยู่ใกล้ๆชั้นก็รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองชอบนายมากขึ้นเรื่อยๆเลย”
จากนั้นเธอก็มองมาที่ผม
“ความรู้สึกแบบนี้เป็นครั้งแรกเลยนะ…….”
เธอบอกผมด้วยใบหน้าบูดบึ้งและแก้มที่แดงก่ำ
“ช่วยรับผิดชอบทีจะได้ไหม……”
ผมตกใจกับสิ่งที่ดูเหมือนว่าจะเป็นข้อเสนอ
แล้วผมก็มองตาชิราคาวะซังและพยักหน้าอย่างแรง
“ก็ถ้าเธอไม่รังเกียจผมล่ะก็…………ผมก็ยินดีครับ”
จากนั้นชิราคาวะซังก็ยิ้มอ่อนออกมา
“ให้ตายสิ มันน่าอายจริงๆนั่นแหละ!”
เธอยิ่งบีบมือแรงขึ้นไปอีก
สายลมที่พัดมาจากสระน้ำทำการชำระล้างบรรยากาศยามพลบค่ำได้อย่างสดชื่น
ซึ่งแสดงให้เห็นถึงสัญญาณของการที่ค่อยๆเข้าใกล้ช่วงกลางฤดูร้อนแล้ว
และข้างๆผมก็มีชิราคาวะซังอยู่
ผมจะไม่ยอมเป็น “แฟนเก่า” ของเธอ
อยากที่จะทะนุถนอมรักษาผู้หญิงคนนี้เอาไว้
อยากจะปกป้องรอยยิ้มของเธอตลอดไป
ไม่อยากให้เธอรู้สึกเศร้าอีกต่อไป
ด้วยความรู้สึกแบบนั้นผมจึงตอบกลับด้วยการกำมืออันแสนอบอุ่นและละเอียดอ่อนของเธอกลับไป
[จบเล่ม 1]