“เชิญท่านหมอ?” ใบหน้าเจินเมี่ยวพลันซีดเผือดไป ดูแล้วขาวซีดยิ่งกว่าหิมะนอกหน้าต่างเสียอีก สายลมอันเหน็บหนาวเสียดแทงหัวใจมุดเข้าไปถึงกระดูก ทำให้คนตัวแข็งไปทั้งร่าง
เมื่อนางมีท่าทีผิดแปลกไปอย่างชัดเจน ชิงเกอก็ตกใจยิ่ง
“คุณหนู ท่านเป็นอันใดหรือ?” แม้นชิงเกอมิได้ฉลาดเท่าใดนัก ในสายตาคนทั่วไปก็กล่าวได้ว่านางออกจะโง่งมอยู่บ้าง ทว่าใจที่มีต่อเจ้านายตนคือความจริง ทั้งสีหน้าที่แปรเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดของเจินเมี่ยว นางย่อมมองออกเป็นธรรมดา
เจินเมี่ยวมีสติคืนมา จึงพยายามยกมุมปากขึ้นยิ้ม แต่กลับรู้สึกขมปร่าในลำคอยิ่ง นางพูดได้เพียงสามคำก็พูดต่อไปมิได้แล้ว “มิเป็นไร…”
ความเสียใจนั้นเปลี่ยนเป็นหมอกควันที่ปกคลุมไปทั่วดวงตาคู่นั้น
กล่าวไปแล้ว ใจของนางก็ยังคงซ่อนความหวังเล็กๆ นั้นไว้อยู่
ความหวังที่ว่านี้มิใช่ให้หลัวเทียนเฉิงรักถนอมนางให้มากสักหน่อย แต่คนทั้งสองมิใช่อยู่ด้วยกันเพียงวันสองวัน ทั้งยังเคยร่วมเป็นร่วมตายกันมา กระทั่งช่วงเวลาอันหวานล้ำก็มิใช่ไม่เคยมี แต่เขากลับทำเรื่องเช่นนั้น นางโกรธเขา แค้นเขา เขาไม่มีความรู้สึกผิดต่อนางสักนิดเลยหรือไร?
ไม่ว่าผู้ใดก็ตามที่ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน หากถูกอีกฝ่ายทำร้ายแล้วกล่าวคำขอโทษ แม้นบางทีจะวางท่าหรือไม่ยอมให้อภัย แม้นจะมิให้อภัยแต่ในใจลึกๆ ก็ย่อมต้องรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง อย่างน้อยก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายยังคงไยดีตนเองอยู่บ้าง
แต่หากผู้อื่นมิเคยคิดจะเอ่ยขออภัยเลยเล่า?
เจินเมี่ยวคล้ายถูกคนทุบลงไปในหัวใจโดยแรง หมอกควันที่มีนั้นกลับค่อยๆ สลายไปในทันที
ชิงเกอรู้สึกได้ว่าตนพูดอันใดผิดไป คล้ายว่าหลังจากที่ตนเรียกขานว่าคุณหนู สีหน้าคุณหนูดูไม่ดีนักจึงเปลี่ยนคำเรียกไปในทันใด
“ต้าไหน่ไหน่ กินขนมเถิดเจ้าค่ะ”
ขนมไส้พุทราสีขาวนั้นถูกยัดไส้ด้วยเนื้อพุทรา นำไปขายคงดียิ่ง เจินเมี่ยวหยิบขึ้นมากัดกินไปหนึ่งคำกลับรู้สึกว่ามีรสขม
“ต้าไหน่ไหน่เจ้าคะ?” ชิงเกอเต็มไปด้วยความงุงนงง
เจินเมี่ยวกลืนความขมขื่นทุกอย่างลงไป แล้วยิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “ชิงเกอ ข้ารู้สึกไม่ค่อยสบาย อยากนอนพักสักครู่ ขนมนี้รสชาติดียิ่ง เจ้าช่างมีน้ำใจนัก ยกออกไปให้เชวี่ยเอ๋อและคนอื่น
กินด้วยเถิด”
“เจ้าค่ะ” ชิงเกอยกขนมออกไปข้างนอกอย่างว่าง่าย
รอกระทั่งพี่สาวหลายคนที่กำลังว่างอยู่มารับขนมไปแบ่งกินหมดแล้ว เพราะเชวี่ยเอ๋ออายุไล่เลี่ยกัน คนทั้งสองยังมีความสัมพันธ์อันไม่เลวต่อกัน ชิงเกอจึงจูงเชวี่ยเอ๋อไปยังที่ที่เงียบสงบไร้ผู้คนแล้วเล่าเรื่องนี้ให้นางฟัง
เชวี่ยเอ๋อมีสีหน้าตกใจยิ่ง “สวรรค์ ซื่อจื่อพูดเช่นนี้จริงๆ หรือ?”
“ปั้นซย่าพูด”
ปั้นซย่าเป็นบ่าวรับใช้ของซื่อจื่อ เมื่อได้ฟังเช่นนันเชวี่ยเอ๋อก็มิสงสัยอันใดแล้ว นางจึงเริ่มต่อว่าด้วยความไม่พอใจ “ซื่อจื่อช่างไร้หัวใจจริงๆ ต้าไหน่ไหน่ของเรามีอุปนิสัยร่าเริงแจ่มใส อย่าว่าแต่คนนอกเลย แต่กับบ่าวไพร่ ก็ยิ้มแย้มด้วยเสมอ ดวงตาของซื่อจื่อถูกขี้ตาบดบังหมดแล้วหรือ เหตุใดจึงมิเห็นความดีของต้าไหน่ไหน่!”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้แววตากลับเป็นประกายขึ้นมา แล้วพึมพำต่อว่า “กลัวแต่พวกนั้นที่ซื่อจื่อร่วมทำงานด้วยจะพาซื่อจื่อไปเที่ยวเล่นในที่มิสมควรเสียมากกว่า”
ในสายตาของพวกนาง ต้าไหน่ไหน่นั้นไม่เพียงรูปโฉมงดงาม อุปนิสัยยังดียิ่ง หากพวกนางเป็นบุรุษย่อมต้องชมชอบอย่างแน่นอน ซื่อจื่ออยู่ด้วยทุกวันยังมิชมชอบ เช่นนี้ก็คงถูกสตรีอื่นล่อลวงใจไปดั่งในนวนิยายบอกไว้แล้วกระมังจึงมิอาจชมชอบสตรีที่ดีแสนดีเช่นนี้ได้
แน่นอนว่าสาวใช้น้อยย่อมมิกล้ากล่าวหาซื่อจื่อจึงได้เหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาเขา
แต่ชิงเกอนั้นเป็นคนซื่อตรง เมื่อได้ฟังวาจานี้ก็ก้มหน้าคิดอยู่นานแล้วลอบกำหมัดแน่ นางกลับไปจักต้องไปซัดปั้นซย่าสักคราแล้ว
หลังจากนั้นพวกนางก็มิได้พูดอันใดกันอีก
เจินเมี่ยวนอนเล่นอยู่บนเตียงไม่นานก็รู้สึกร่างกายหนักอึ้ง ขณะกำลังจะหลับก็ได้ยินเสียงจื่อซูและไป๋เสาปรึกษากัน
“เมื่อวานตอนต้าไหน่ไหน่ไปน้อมทักทายได้เคยพูดคุยกันว่างานเลี้ยงฉลองวันพรุ่งนี้จักกินหม้อไฟกัน แม้นต้าไหน่ไหน่มิต้องลงมือทำเอง แต่อย่างไรก็ต้องคอยควบคุมดูแล แต่อาการของต้าไหน่ไหน่ก็มิอาจเชิญท่านหมอมาได้ เมื่อเช้าก็ใช้เหตุผลที่มิใคร่จะเหมาะสมนักเช่นนั้นเพื่อของดการไปน้อมทักทาย” นั้นคือเสียงของจื่อซู
ไม่ว่าสะใภ้ตระกูลใดระดูมา ก็ไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะไม่ไปน้อมทักทาย แต่หากบอกว่าไม่สบายแล้วเชิญท่านหมอมาดูอาการ แค่ตรวจชีพจรดูแล้วบอกว่าไม่สบายเพราะการร่วมหอที่รุนแรงเกินไป เช่นนั้นต้าไหน่ไหน่จะเอาหน้าไปไว้ที่ใดกัน
แม้นจะลำบากใจแต่ไป๋เสาก็ยังกัดฟันเอ่ยว่า “หน้าตาเป็นของจอมปลอม สุขภาพต้าไหน่ไหน่ต่างหากที่สำคัญ ยอมเสียสุขภาพเพื่อหน้าตานั้นเป็นเรื่องที่ไม่คุ้มค่าจริงๆ ต้าไหน่ไหน่เป็นเช่นนี้ หากพรุ่งนี้ต้องทำงานหนักทั้งวัน จะทนได้อย่างไร ข้าว่าอย่างไรก็ต้องเชิญท่านหมอมาตรวจดูว่าจะรักษาอย่างไรได้บ้าง ถึงตอนนั้นค่อยให้เงินมากหน่อยเพื่อปิดปากหมอผู้นั้น”
ไม่มีท่านหมอมาตรวจดู เพียงบอกว่าไม่สบายแล้วไม่ไปน้อมทักทายฮูหยินผู้เฒ่า ย่อมต้องถูกผู้คนกล่าวว่า
จื่อซูครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า “ต้องเชิญท่านหมอ แต่มิอาจเชิญหมอในจวนเรา”
นางรับใช้ฮูหยินผู้เฒ่าจวนเจี้ยนอานปั๋วมาตั้งแต่เล็กกระทั่งกลายเป็นสาวใช้ขั้นหนึ่ง หากพูดถึงความเฉลียวนางมีไม่ต่างจากบรรดาฮูหยินสูงศักดิ์เหล่านั้นแน่
โดยเฉพาะผู้ที่เป็นบ่าวไพร่ หากได้มายืนมองปัญหาในตำแหน่งของพวกนาง บางครานั้นกลับมองออกทะลุปรุโปร่งกว่าเสียอีก
ฮูหยินรองนั้น…ไม่…ต่อให้เป็นซื่อจื่อ ฮูหยินรองก็มักทำดีต่อหน้าลับหลังอีกอย่างเช่นกัน
สาวใช้ทั้งสองต่างสบตากันอย่างจนใจ
ตระกูลสูงศักดิ์ หากมีแม่สามีคอยควบคุมก็ยาก แต่แม้นไม่มีแม่สามีก็ยังคงยากเช่นเดิม
“ข้าจะไปเรือนอี๋อานสักครา” จื่อซูลุกขึ้นยืน
ไป๋เสามีแผลเป็นบนหน้าแม้นเห็นไม่ชัดนักแต่ยามว่างนางก็มิใคร่ออกจากเรือน
คิดไม่ถึงว่าจื่อซูออกไปเพียงไม่นานก็พาหมอหญิงผู้หนึ่งกลับมา
หมอหญิงผู้นี้สวมใส่ชุดอย่างชาวบ้านทั่วไปแต่ก็สะอาดสะอ้าน ไป๋เสาก็เคยเห็นนาง นางคือจี้เหนียงจื่อภรรยาของท่านหมออู่แห่งสำนักเล่อเหริน นางชำนาญโรคเกี่ยวกับสตรีมากที่สุด
ไป๋เสาอดมองจื่อซูคราหนึ่งมิได้
จื่อซูพยักหน้าเล็กน้อยอย่างสุขุม นางจึงรีบเปิดยิ้มเข้าไปต้อนรับจี้เหนียงจื่อ
เจินเมี่ยวกลับตื่นขึ้นมาแล้วหันไปมองจื่อซูอย่างไม่เข้าใจในท่าที
จื่อซูส่ายหน้า
เจินเมี่ยวทราบจึงรู้ว่าจี้เหนียงจื่อมิใช่คนของนางเชิญ ทำให้รู้สึกประหม่าขึ้นมา
แต่ในเมื่อคนก็เข้ามาแล้วก็มิจำเป็นต้องไล่ไป มิเช่นนั้นก็ยิ่งจะทำให้คนสงสัย โชคดีที่ จี้เหนียงจื่อเป็นหมอหญิง ความประหม่าที่มีจึงลดลงไปมาก
จี้เหนียงจื่อทักทายเสร็จก็นั่งลงด้านข้างเพื่อตรวจชีพจรให้นาง
เมื่อนิ้วมือวาทาบลง นางก็ขมวดคิ้วทันที หลังจากนั้นจึงตรวจชีพจรทุกจุดอย่างละเอียด
ผ่านไปไม่นาน จี้เหนียงจื่อก็ชักมือกลับ ทำท่าทีคล้ายจะเอ่ยสิ่งใดแต่สุดท้ายก็มิเอ่ยออกมา
เจินเมี่ยวจึงเอ่ยว่า “จี้เหนียงจื่อมีวาจาใดก็เอ่ยมาเถิด”
“ต้าไหน่ไหน่ ท่านเป็นโรคส่วนภายในของสตรีเย็น…”
เจินเมี่ยวยังมิทันได้มีปฏิกิริยาใด ไป๋เสากลับตกใจจนเกือบจะเอ่ยอันใดบางอย่างออกมาแต่ถูกจื่อซูดึงเอาไว้
เจินเมี่ยวเพียงอึ้งงันไป หลังจากนั้นก็มิได้ตกใจอันใดมากมายนัก
นับตั้งแต่ครั้งแรกที่ตกน้ำไปกับหลัวเทียนเฉิงและตกน้ำในวังหลวง แค่หนึ่งปีกว่าแต่นางตกน้ำแล้วถึงสองครั้ง ทั้งยังออกไปเร่ร่อนอยู่ข้างนอกอีกระยะหนึ่ง การป่วยด้วยโรคเช่นนี้มินับว่าแปลกอันใด
แต่หลังจากกลับจวน แล้วเชิญท่านหมอในจวนมาตรวจชีพจร ก็มิได้ยินเขาบอกว่านางมีโรคเช่นนี้
เจินเมี่ยวครุ่นคิดคราหนึ่งก็เข้าใจทุกอย่างขึ้นมาทันที
จี้เหนียงจื่อเห็นเจินเมี่ยวนิ่งขรึมได้เช่นนั้นก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
โรคส่วนภายในของสตรีเย็นนั้นจะบอกว่าร้ายแรงก็ไม่ร้ายแรง จะบอกว่าไม่ร้ายแรงเลยก็มิใช่ หากเป็นไม่หนักก็กินยาสักสองสามเทียบ แต่หากร้ายแรงก็อาจมีบุตรไม่ได้ แต่สตรีส่วนมากหากได้ยินต่างก็ต้องหน้าซีดเผือด
“เช่นนี้อาการป่วยของข้า น่าจะไม่ร้ายแรงกระมัง?” เจินเมี่ยวเอ่ยถาม
จี้เหนียงจื่อมองนางด้วยสายตาประหลาดใจแล้วรีบส่ายหัวพลางตอบว่า “ไม่ร้ายแรง เป็นเพียงระยะเริ่มต้น ต้าไหน่ไห่อายุยังน้อย แค่เพียงดูแลเป็นพิเศษเพียงไม่กี่เดือนก็หายแล้ว”
“เช่นนั้นก็รบกวนจี้เหนียงจื่อแล้ว” เจินเมี่ยวลอบถอนหายใจ
เรื่องเมื่อวานน่าจะตรวจไม่พบแล้วกระมัง เช่นนี้ก็มิต้องอับอายผู้อื่นแล้ว ทั้งยังมีคำตอบไปบอกกล่าวต่อฮูหยินผู้เฒ่า
ทว่าจี้เหนียงจื่อกลับมิได้จากไป นางมองจื่อซูและไป๋เสาคราหนึ่ง แต่นิ่งเงียบมิเอ่ยวาจา
เจินเมี่ยวโบกมือให้ทั้งสองคนออกไปก่อน
จี้เหนียงจื่อจึงเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “นอกจากโรคส่วนภายในของสตรีเย็นแล้วไตยังได้รับความเสียหายเล็กน้อย หากมิสะดวกให้จัดยา ก็ใช้การกินอาหารรักษาเถิด ประเดี๋ยวข้าจะเขียนวิธีใช้อาหารรักษาให้ แต่มีจุดที่ต้องระวังคือ ก่อนที่โรคส่วนภายในของสตรีเย็นจะหาย ควรงดการร่วมหอ มิเช่นนั้นหากเกิดตั้งครรภ์ขึ้นมา อาจทำให้แท้งได้…”
เจินเมี่ยวเผยอปากขึ้น แต่ใบหน้ากลับเห่อร้อนจนพูดไม่ออก
จี้เหนียงจื่อหัวเราะ “ต้าไหน่ไหน่วางใจ ข้าเป็นแพทย์ย่อมมีจรรยาบรรณ สิ่งใดที่มิควรพูดย่อมมิพูดเด็ดขาด”
“ขอบคุณจี้เหนียงจื่อยิ่งแล้ว”
หลังจากนั้นก็เรียกให้จื่อซู ไป๋เสาเข้ามา จี้เหนียงจื่อจัดเทียบยาให้แล้ว จื่อซูก็เดินไปส่งนาง
ไม่นานจื่อซูก็กลับมา นางเอ่ยว่า “มอบถุงเงินสิบตำลึงให้จี้เหนียงจื่อไป นางก็รับไว้แล้วเจ้าค่ะ”
เจินเมี่ยวพยักหน้า แล้วจึงเอ่ยถามว่า “จี้เหนียงจื่อมาได้อย่างไร?”
จื่อซูตอบว่า “ข้าเดินออกไปยังมิถึงเรือนอี๋อานด้วยซ้ำ ก็พบเข้ากับจี้เหนียงจื่อ นางบอกว่าฮูหยินผู้เฒ่าให้คนไปเชิญนางมาดูท่านโดยเฉพาะ”
เจินเมี่ยวรู้สึกอบอุ่นใจขึ้นมาเล็กน้อย
ไป๋เสายกอาเจียวที่เคี่ยวไว้นานแล้วเข้ามา “ต้าไหน่ไหน่ กินก่อนเถิด ตอนนี้กำลังเคี่ยวยาเจ้าค่ะ ท่านเองก็เหลือเกิน ได้ยินจี้เหนียงจื่อเอ่ยเช่นนั้นแล้วยังนิ่งเฉยอยู่ได้”
เรื่องทายาทสืบสกุลนั้นเป็นเรื่องใหญ่ยิ่งสำหรับสตรี
เจินเมี่ยวจึงยิ้มอ่อน “ก็มิได้นิ่งเฉย แต่ตามปกติแล้วหากร้ายแรง นางก็คงไม่บอกแก่ข้า ในเมื่อบอกก็หมายความว่ามิได้ร้ายแรงถึงเพียงนั้น”
จื่อซูและไป๋เสาสบตากัน พลันรู้สึกเข้าใจบางอย่างขึ้นมา
ต้าไหน่ไหน่ปกติทำอันใดเชื่องช้าตามแต่ใจ ทว่าเมื่อพบเรื่องใหญ่อันน่าตกใจสำหรับอิสตรี กลับสุขุมเยือกเย็นได้อย่างประหลาด
วันนี้คราหนึ่ง ตอนใช้ปิ่นแทงม้าก็คราหนึ่ง ทั้งช่วยชีวิตองค์หญิงตอนที่เป่ยเหอก็คราหนึ่ง
ในเวลาอันรวดเร็วนี้ สาวใช้ทั้งสองต่างบอกไม่ถูกว่ารู้สึกเช่นไรกันแน่
เจินเมี่ยวกลับโบกสะบัดมืออย่างอ่อนเพลีย “พวกเจ้าออกไปเถิด ข้าจะนอนพักสักหน่อย”
เมื่ออยู่เพียงลำพัง ท่าทีร่าเริงที่เคยมีกลับหายไป ไม่นานก็ค่อยๆ ผล็อยหลับไป
จี้เหนียงจื่อมิได้พักโรงเตี๊ยม แต่ระหว่างทางกลับเรือนนางก็เลี้ยวไปยังโรงน้ำชาแห่งหนึ่ง
หลัวเทียนเฉิงที่รออยู่ที่นั่นรีบถามขึ้นทันทีอย่างทนไม่ไหว
สีหน้าของจี้เหนียงจื่อราบเรียบยิ่งแต่ในใจกลับหัวเราะออกมาแล้ว
มิน่าเล่าต้าไหน่ไหน่สกุลเจินถึงได้มีอาการป่วยเช่นนั้น ดูท่าทีใจร้อนของหลัวซื่อจื่อแล้ว ดูท่าความสัมพันธ์ของสองสามีภรรยาคงดีไม่น้อย
สามีหนุ่มภรรยาสาว เรื่องเช่นนั้นยากจะหลีกเลี่ยง แต่ความใส่ใจเช่นนี้นั้นยากนักจะพบเห็น ทั้งยังเชิญนางไปตรวจอาการโดยเฉพาะอีก
จี้เหนียงจื่อจึงบอกเล่าอาการทุกอย่างอย่างละเอียด
หลัวเทียนเฉิงฟังแล้วกลับนิ่งอึ้งไป แต่เมื่อคล้ายนึกอันใดได้ ก็ก้าวเท้าเดินออกไปด้านนอก เมื่อถึงหน้าประตูก็ย้อนกลับมาเอ่ยวาจาขอบคุณ ทั้งมอบเงินค่าตรวจรักษาให้ แล้วจึงรีบเดินออกไป
เมื่อถึงหน้าประตูใหญ่จวนกั๋วกงกลับก้าวขาไม่ออก เขาลังเลอยู่ครู่ใหญ่ แล้วถอนหายใจออกมา สุดท้ายก็หันหลังเดินจากไป
เขาคิดว่า หากเขายังมิอาจก้าวข้ามหลุมดำในใจไปได้ พวกเขาก็มิควรพบหน้ากันจะดีกว่า
มิเช่นนั้นจะเป็นการทำร้ายผู้อื่นทำร้ายตัวเองเสียเปล่า
เมื่อคนจากไปก็ไม่เหลือแม้แต่รอยเท้า เขาทิ้งเพียงเสียงถอนหายใจแผ่วเบาไว้บนหิมะยามเหมันต์นี้เท่านั้น