อียูจองที่กำลังสะลึมสะลือสะดุ้งตื่นแล้วมองมาทางผม คงตกใจที่ผมพูดว่าจะไม่อยู่แคลนเฮ้าส์ ถึงแม้ว่าหล่อนจะมีท่าทีตอบสนองมากที่สุด แต่ก็ไม่ใช่แค่อียูจองเท่านั้นที่มีท่าทีแบบนั้น ผมจำเป็นต้องอธิบายให้ละเอียดกว่านี้จึงค่อยๆ เริ่มอธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้
เรื่องที่เผ่าแฮมิลมีผู้เล่นถูกคำสาปของแบนชีและขอความช่วยเหลือจากหลายช่องทาง เรื่องที่ยอมรับคำขอร้องของพวกเขาและมองหาความช่วยเหลือจากอีสตันเทลลอว์ และเรื่องที่สามารถรักษาคำสาปของแบนชีได้ด้วยฮวาจอง รวมถึงเรื่องที่ผมไปตรวจสอบข้อสงสัยผ่านทางทูตสวรรค์เมื่อเช้านี้
แน่นอนว่าไม่ได้อธิบายไปทั้งหมดหรอก
‘เอาอีลิกเซอร์ไปเก็บก่อนดีกว่า รอดูสถานการณ์ก่อน ถ้าจำเป็นต้อง…’
เพราะพี่ชายและฮันโซยองไม่ได้เป็นอันตราย ถึงจะดูใจแคบนิดหน่อย แต่หากใช้ฮวาจองแล้วอาการดีขึ้น ก็จะเป็นการสิ้นเปลืองอีลิกเซอร์ไปเสียเปล่าๆ พอตัดสินใจได้อย่างนั้นก็คิดที่จะนำอีลิกเซอร์ในอกเสื้อไปเก็บที่คลังอุปกรณ์
เมื่อผมอธิบายจนจบได้ สมาชิกเผ่าที่ได้ฟังคำอธิบายทั้งหมดแล้วก็เริ่มถามคำถามทีละคนสองคน คนแรกที่ถามขึ้นมาก็คือ จองฮายอน
“แคลนลอร์ด แต่ถ้าใช้พลังนั้น…”
“คุณก็รู้นี่ครับว่า ก่อนหน้านี้คะแนนความแข็งแกร่งของผมเพิ่มขึ้นแล้วมันมากพอที่จะใช้ในการรักษา”
จองฮายอนพูดด้วยความกังวลทันที แต่ผมก็ทำให้หล่อนเงียบไป โกยอนจูที่ฟังอยู่นิ่งๆ ยกมือขึ้นเงียบๆ เพื่อขออนุญาต ผมพยักหน้าเป็นการอนุญาต
“ฉันพอจะเข้าใจสิ่งที่คุณพูดนะคะ เผ่าแฮมิลกำลังหาวิธีช่วยสมาชิกเผ่าที่ถูกคำสาปของแบนชี ส่วนแคลนลอร์ดก็มีพลังที่สามารถรักษาอาการนั้นได้”
“ถูกต้องครับ”
“ฉันมีคำถามค่ะ แคลนลอร์ดต้องการอะไรจากการช่วยเหลือเผ่าแฮมิลในครั้งนี้คะ รางวัลหรือว่าพันธมิตร คุณคงรู้ดี แต่ราคาของชีวิตมีค่านะคะ”
“แน่นอนว่ามันมีเหตุผลที่ผมทำแบบนั้น อาจจะเป็นเหตุผลที่ดูผิวเผินไปหน่อย แต่ผมมีเหตุผลมากกว่าหนึ่งข้อครับ เรื่องนี้เป็นเหตุผลส่วนตัวจึงยังไม่สามารถบอกรายละเอียดได้ แต่ข้อหนึ่งที่มั่นใจได้ก็คือเหตุผลส่วนตัวนั้นจะไม่ส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจของส่วนรวม”
เมื่อผมตอบไปแบบนั้นโกยอนจูก็มีสีหน้าที่ดูพึงพอใจ ผมหยุดพูดและสูดลมหายใจ ความหมายของโกยอนจูก็คืออย่าช่วยเหลือฟรีๆ และกอบโกยมาให้ได้มากที่สุด
ในฐานะแคลนลอร์ดของเผ่า ความรับผิดชอบนั้นเป็นงานหนักสำหรับผมเหมือนกัน แม้จะมีอำนาจอยู่ในมือ แต่ผมก็คิดว่าจะบอกให้สมาชิกเผ่ารู้ว่ามันอยู่ที่ไหนและใช้งานอย่างไรก่อนที่จะใช้มัน
“อย่างไรก็ตามเผ่าแฮมิลมีชื่อเสียงมากทางตะวันออก คุณน่าจะพอจำเรื่องที่ผมพูดถึงเมื่อวันก่อนได้ ผู้เล่นรวมตัวกันเพื่อสร้างเผ่าและเผ่ารวมตัวกันกลายเป็นเมือง นี่เป็นโอกาสที่เผ่าแฮมิลจะติดหนี้บุญคุณเมอร์เซนต์นารี่ ถ้าผมพยายาม ในอนาคตเราอาจจะสร้างรากฐานเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเผ่าแฮมิลได้”
“ขอแค่มันไม่มากเกินไปสำหรับร่างกายของแคลนลอร์ด ฉันก็จะยอมรับค่ะ”
“ตราบใดที่เราจะสร้างเผ่า ความสัมพันธ์กับรอบข้างก็สำคัญเช่นกัน ใช้เวลาไม่นานเพราะเป็นเผ่าในเมืองทางตะวันออก แต่ผมขอความช่วยเหลือจากจากอีสตันเทลลอว์แล้วก็คงไม่มีอะไรติดขัด”
“ก็ดีค่ะ”
เมื่อคำพูดของผมฟังดูมีเหตุผล โกยอนจูและจองฮายอนก็ยอมรับด้วยสีหน้าสดใส ตอนนี้ทั้งสองซึ่งมีอำนาจมากที่สุดในเผ่ารองจากผมยอมรับแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีใครคัดค้าน
หลังจากนั้นครู่หนึ่งสายตาของทุกคน ยกเว้นอันซลซึ่งพยายามอย่างมากที่จะไม่หลับก็จ้องมาทางผมอย่างพร้อมเพรียง ในตอนต้นผมบอกไว้ว่าจะพาบางคนไปด้วยและผมก็เลือกคนที่จะพาไปด้วยเอาไว้แล้ว
“ผู้เล่นโกยอนจู”
“ค่ะ”
“ผู้เล่นคิมฮันบยอล”
“เอ๊ะ”
โกยอนจูมีทีท่าผ่อนคลาย ส่วนคิมฮันบยอลตอบรับด้วยความตกใจ
“ในเมื่อตั้งใจจะทำแล้วก็คงต้องลงมือทำทันที เราจะออกเดินทางทันทีที่พร้อม ทั้งสองคนโปรดเตรียมตัวออกเดินทางหลังจากการประชุมครั้งนี้เสร็จสิ้น น่าจะใช้เวลาไม่เกินสามวัน ดังนั้นเตรียมตัวให้พร้อมก็พอครับ”
“ไปกลับที่เผ่าแฮมิลใช้เวลาแค่หนึ่งวันก็น่าจะพอไม่ใช่เหรอคะ”
“เผ่าแฮมิลอยู่ในเมืองพรินซิก้าทางตะวันออก หลังจากเสร็จธุระที่นั่นแล้ว เราจะยังไม่กลับ แต่จะแวะไปที่มิวล์ก่อนครับ”
“มิวล์หรอคะ”
โกยอนจูถามอย่างแปลกใจผมพยักหน้าช้าๆ และนั่งลงบนเก้าอี้ เมื่อหันไปมองคิมฮันบยอลเล็กน้อย ก็เห็นว่าหล่อนยังคงมีท่าทีงุนงงและ…
‘หืม หนึ่งพันโกลด์เอง เพิ่มอีกหน่อยสิ’
‘ถ้ารับจอมขมังเวทอัญมณีเข้ามาได้แล้วช่วยพามาด้วยสักครั้งได้ไหม’
ผมนึกถึงท่านผู้เฒ่าซึ่งอยู่ในร้านอัญมณีที่มิวล์ขึ้นมาพลางค่อยๆ พูด
“มีผู้เล่นในมิวล์คนหนึ่งที่ผมอยากเจอ ผมเคยสัญญากับเขาตอนที่เราอยู่ที่นั่น อ้า น่าจะเรียกว่าเป็นคำขอร้องมากกว่าสัญญา…แต่อย่างไรก็ตามเขาเป็นคนที่ดีกับผมไม่น้อยเลย”
แน่นอนว่าผมคิดเรื่องการยื่นข้อเสนอเอาไว้ด้วย ผมยิ้มเล็กน้อยพลางมองโกยอนจูซึ่งเอียงคอไปมาราวกับไม่เข้าใจนัก ท่านผู้เฒ่าหรือผู้เล่นที่มีคลาสหายาก ‘ผู้ประเมินราคาอัญมณี’ ถ้าหากท่านผู้เฒ่าเข้าร่วมกับเราคงจะเป็นประโยชน์ต่อคิมฮันบยอลมากทีเดียว
ถึงแม้ว่าในตอนนั้นจะไม่สำเร็จ แต่คราวนี้อาจจะแตกต่างไปจากเดิมก็ได้ ถ้าลองเทียบฐานในตอนนั้นกับฐานในตอนนี้แล้วจะเห็นข้อแตกต่างมากมาย
“เอาล่ะ…”
“เอ๊ะ มิวล์เหรอคะ”
ตอนนั้นเอง อันซลที่สัปหงกอยู่ก็เงยหน้าขึ้นทันทีราวกับถูกสาดด้วยน้ำเย็น
แววตาของอันซลแจ่มชัด เห็นได้ชัดว่าตอนนี้ตื่นเต็มตาแล้ว เมื่อมองเด็กสาวก็รู้สึกแปลกๆ สีหน้าว่างเปล่าและดวงตานิ่งสงบ แม้จะเพ่งดูการแสดงออกที่แปลกไปจากปกติแต่ก็ไม่พบอะไร เธอเพียงแค่มองและจับจ้องมาที่ผม
ริมฝีปากของอันซลขยับช้าๆ
“ท่านพี่ เมื่อกี้นี้ฉันเผลอหลับไปก็เลยไม่ได้ฟังที่ท่านพี่พูดค่ะ ขอโทษนะคะ”
“หือ อืม”
“แต่ช่วยบอกอีกทีได้ไหมคะว่าจะไปที่ไหน”
“…จุดหมายแรกคือเมืองทั่วไปพรินซิก้าทางตะวันออก จุดหมายที่สองคือทางเหนือ แน่นอนว่าเป็นเมืองเล็กมิวล์ฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือ เมื่อเสร็จธุระที่มิวล์แล้วก็จะกลับมาที่โมนิก้า”
อันซลรู้ตำแหน่งของเมืองอยู่แล้ว แต่เหตุผลที่ผมบอกตำแหน่งไปอย่างละเอียดก็เพราะน้ำเสียงและท่าทางที่ไม่ปกติของเด็กสาว เมื่อได้ยินอันซลพูด ทำให้ผมก็นึกถึงเรื่องราวต่างๆ ที่เคยเกิดขึ้นที่วาร์ปเกตของบาร์บาร่าและสถาบันผู้เล่นขึ้นมา
‘หรือว่ามันจะเกิดขึ้นอีกครั้ง’
โกยอนจูที่เข้าใจสถานการณ์มีสีหน้าสนอกสนใจ แต่สมาชิกเผ่าส่วนใหญ่ต่างจับจ้องอันซลด้วยใบหน้างุนงง เทียบกับสิ่งที่เธอแสดงให้เห็นตอนนี้กับท่าทีเมื่อก่อนนั้นแล้ว มันแตกต่างกันมาก เห็นอันซลขมวดคิ้วเล็กน้อย ผมจึงใช้งานดวงตาที่สาม
ข้อมูลผู้เล่น (Player Status)
1. ชื่อ (Name) : อันซล (ปีที่ 0)
2. คลาส (Class) : นักบวชทั่วไป (Normal, Priest, Runner)
3. ถิ่นกำเนิด(Nation) : ทหารรับจ้าง (Free)
4. ชนเผ่า(Clan) : เมอร์เซนต์นารี่ (Mercenary) (ระดับเผ่า: D Plus)
5. นามแท้ · สัญชาติ : ผู้น้อมนำแสงสว่าง · สาธารณรัฐเกาหลีใต้
6. เพศ (Sex) : หญิง (20)
7. ส่วนสูง · น้ำหนัก : 160.1 ซม. · 46.7 กก.
8. อุปนิสัย: เคารพกฎหมาย · ดี (Lawful · Good)
[พละกำลัง 25] [ความทนทาน 28] [ความคล่องแคล่ว 35] [พลังเวท 88(+1)] [โชค 101]
คะแนนความสามารถเหลืออยู่ 3 พอยต์, คะแนนพลังเวทเฉพาะตัว 2 พอยต์ รวมทั้งหมด 5 พอยต์
‘ผู้น้อมนำแสงสว่าง…’
ถึงเรื่องอื่นๆ จะเป็นแบบนั้น แต่นามแท้ของอันซลมีความหมายบางอย่างที่ลึกซึ้งแฝงอยู่ ผมส่ายหน้าไปมา ไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้มาก่อน เพียงแต่คาดเดาไว้คร่าวๆ ว่า อาจจะมีความเกี่ยวข้องกับคลาสลับ ‘นักบวชแห่งความรุ่งโรจน์’ ในภายหลัง
“ท่านพี่ การเดินทางคราวนี้พาฉันไปด้วยเถอะค่ะ”
“อืม เข้าใจแล้ว”
“ฉันเองก็อยากจะตามท่านพี่…เอ๊ะ”
“ฉันจะพาเธอไปด้วย ไปด้วยกันนะ”
ผมเน้นย้ำ อันซลเบิกตากว้างและอ้าปากค้าง ไม่คิดว่าผมจะอนุญาต
ถึงแม้ว่าโชคจะเป็นความสามารถที่ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร แต่คะแนนหนึ่งร้อยเอ็ดถูกบันทึกไว้ว่าให้ผลลัพธ์มากมาย ผมเคยสัมผัสด้วยตัวเองมาแล้วว่าคะแนนหนึ่งร้อยเอ็ดนั้นมีพลังยิ่งใหญ่แค่ไหน ทั้งที่รู้แบบนั้นและทำให้โชคของอันซลกลายเป็นคะแนนหนึ่งร้อยเอ็ดแล้ว แต่การเพิกเฉยต่อคำพูดของเธอก็ไม่ต่างอะไรกับการปฏิเสธตัวเอง
ผมเมินเฉยต่อสายตาของพวกเด็กๆ ที่ขอให้ผมพาตนไปด้วยและพูดเสียงดังกว่าเดิมเพื่อบอกว่าไม่มีสมาชิกคนไหนเพิ่มอีกแล้ว
“ถ้างั้นนอกจากโกยอนจูกับคิมฮันบยอลแล้ว ผมจะพาอันซลไปด้วยอีกคน เท่านี้ครับ”
“แคลนลอร์ด ฉันต้องเตรียมตัวทันทีเลยไหมคะ”
“ก็ควรจะเป็นแบบนั้นครับ จบการประชุมเท่านี้ ทุกคนคงลำบากกันแต่เช้าเลย โกยอนจู คิมฮันบยอล อันซล ทั้งสามคนเตรียมตัวออกเดินทางได้แล้วครับ”
“ค่ะ ฉันจะจัดการเดี๋ยวนี้ เธอ แล้วก็ซล พวกเธอสองคนตามฉันมา”
โกยอนจูชี้นิ้วไปที่ทั้งคู่พลางลุกขึ้น คิมฮันบยอลลุกขึ้นเงียบๆ ส่วนอันซลยิ้มร่าพลางลุกจากที่นั่ง จู่ๆ สีหน้าของเธอก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม
เป็นสีหน้าที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ผมหันไปพูดกับจองฮายอน
“ผู้เล่นจองฮายอน ผมจะกลับมาภายในสามวัน จนกว่าจะถึงตอนนั้นฝากดูแลเผ่าด้วยนะครับ”
“ไม่ต้องห่วงค่ะ เดินทางปลอดภัยนะคะแคลนลอร์ด”
จองฮายอนตอบด้วยน้ำเสียงสดใส เมื่อได้ยินคำตอบนั้นผมก็รู้สึกวางใจ
หลังจบการประชุม เหล่าสมาชิกเผ่าก็เตรียมตัว เพราะเป็นการเดินทางที่เกี่ยวข้องกับภารกิจ ไม่ใช่การออกสำรวจจึงไม่ต้องใช้เวลาในการเตรียมตัวมากนัก ถึงแม้จะเริ่มต้นอย่างกะทันหัน แต่ก็สามารถเตรียมการทั้งหมดได้เสร็จสิ้นก่อนเที่ยง
ผมคิดไว้ว่าจะออกเดินทางทันที แต่เพราะเสียงท้องร้องโครกครากของอันซลทำให้ตัดสินใจทานมื้อเช้าควบมื้อกลางวันแบบง่ายๆ ก่อนแล้วค่อยออกเดินทาง
และผมต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการทำใจให้สงบในระหว่างทานอาหารรสชาติแย่ที่พวกพนักงานจัดเตรียมให้
ในที่สุดผมก็จะได้ไปพบพี่ชายและพรรคพวกของพี่ชาย ผมคือคนบาปสำหรับพวกเขา การตัดสินใจที่ผิดพลาดเพียงครั้งเดียวพรากลมหายใจของทุกคนไป ช่างน่าขันเมื่อผมเป็นคนเดียวที่รอดชีวิต
จนถึงตอนนี้ การที่ผมไม่ไปพบพี่ชายก็เพราะไม่อยากบิดเบือนเหตุการณ์ในอนาคต แต่ลองคิดดูดีๆ แล้ว เรื่องนั้นก็แค่ข้อแก้ตัวง่ายๆ ที่ผมใช้หลีกเลี่ยงไม่ไปพบพวกเขา คงเป็นความรู้สึกผิดในใจเสียมากกว่า
พวกเขาต้องตายเพราะผม ผมคือตัวปัญหา
ถ้าไม่มีผม ถ้าผมไม่ทำแบบนั้น
ผมค่อยๆ หลับตาลงและนึกถึง ‘ตอนนั้น’ ขึ้นมา
“โอ้~ ซูฮยอนของเรา~ รอพี่สาวอยู่เหรอจ๊ะ โอ๋ๆ รออีกนิดนึงนะ จะช่วยออกมาเดี๋ยวนี้แหละ~”
“ทำอะไรเนี่ย! เจ้าบ้า! ทำไมถึงเป็นแบบนี้เนี่ย… รักตัวเองยังดีกว่า”
“ฮ่าๆ ไม่ต้องห่วง รออีกนิด ฉันจะจัดการไอ้หมอนั่นก่อน รีบหนีไปเร็วๆ หนีไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้”
ในรอบแรกผมรู้สึกเสียใจนับครั้งไม่ถ้วนและรู้สึกผิดอยู่ตลอด แม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ความรู้สึกผิดที่กัดกินใจก็ไม่เคยจางหายไป ต่อให้พยายามจะลืมมัน ผมก็ยังจดจำคำพูดสุดท้ายของสมาชิกเผ่าแฮมิลที่มาช่วยผมไว้ได้
อันที่จริงผมไม่ค่อยเข้าใจนัก ถึงพวกเขาจะมาตามคำสั่งของพี่ชาย แต่เมื่อถึงคราวต้องตาย พวกเขากลับไม่กล่าวโทษผมแม้แต่น้อย มนุษย์หรือผู้เล่นมักจะเป็นแบบนั้นกันเหรอ
ผมวางช้อนลงเมื่อนึกไปถึงจุดจบ ผมกลืนอะไรไม่ลงแล้วเมื่อคิดว่ากำลังจะได้พบกับพรรคพวกในรอบแรกอีกครั้ง