ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน วินาทีที่เธอรู้สึกว่าแทบจะหายใจไม่ออกแล้ว มือที่จับไหล่ของเธอไว้ก็คลายออก
หร่วนซือซือเหมือนปลาที่ถูกปล่อยกลับลงไปในน้ำ หายใจเข้าอย่างหอบ หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ควบคุมตัวเองไม่ได้
เงยหน้าขึ้นมา ก็เจอกับดวงตาที่เปล่งประกายคู่นั้นของเขา ในใจก็ยิ่งร้อนรนเข้าไปใหญ่
เขาหรี่ตาลง หัวเราะเบาๆ : "ยังเผ็ดรึเปล่า?"
หร่วนซือซือตอบกลับอย่างกระอักกระอ่วนใจ : "ไม่…ไม่เผ็ดแล้วค่ะ"
พูดจบก็รีบละสายตาจากเขา พร้อมกับยกถ้วยโจ๊กขึ้นมาดื่ม
ปากหายเผ็ดไปแล้ว แต่ใจกลับเผ็ดแทนนี่สิ
เธอดื่มโจ๊กไปครึ่งถ้วย หร่วนซือซือก็รีบพูดขึ้นว่า : "ท่านประธานอวี้ ฉันทานเสร็จ จะออกไปทำงานต่อแล้วนะคะ……"
"เดี๋ยวก่อน" อวี้อี่มั่วขมวดคิ้ว มองไปยังถ้วยโจ๊กที่ยังเหลือครึ่งถ้วย : "เธอกินน้อยขนาดนี้เลยเหรอ?"
เขารู้จักเธอมานานขนาดนี้ ทำไมจะไม่รู้ว่าเธอทานขนาดไหน ทานไปแค่นี้ เธอยังไม่อิ่มแน่นอน
หร่วนซือซือรู้สึกอึดอัดที่ต้องอยู่ลำพังกับเขาต่อ มีเรื่องทุกนาทีแบบนี้ รีบแยกกันให้เร็วขึ้นดีกว่า เธอยิ้มขึ้นเจื่อนๆ : "ช่วงนี้ ลดความอ้วนค่ะ……"
"ลดความอ้วน?" อวี้อี่มั่วขมวดคิ้วสีหน้าเย็นชา : "ลดความอ้วนอะไร?"
ตัวแค่นี้ยังจะลดความอ้วน ไม่กลัวขาดสารอาหารเหรอ?
เมื่อเห็นแววตาของเขาแล้ว รู้สึกขนลุกขึ้นมาเลยทีเดียว : "ฉันแค่…พูดไปเรื่อยเปื่อยค่ะ"
"ห้ามลด" อวี้อี่มั่วขมวดคิ้ว : "แบบนี้กำลังพอดี"
เมื่อกี้หมายความว่ายังไง?
หร่วนซือซือรู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัว : "อะไรกำลังพอดี?"
อวี้อี่มั่วยิ้มขึ้นที่มุมปาก สายตาจ้องไปที่หน้าอกของเธอ แล้วเงยหน้าขึ้น : "คิดว่าอะไรล่ะ?"
เธอก้มมองตามสายตาของเขา เห็นหน้าอกของตัวเอง ใบหน้าก็แดงก่ำขึ้นมาทันที
ที่แท้เขาก็หมายความว่าแบบนี้นี่เอง!
หร่วนซือทั้งอายทั้งฉุน กัดฟันแน่นพูดอะไรไม่ออก ทันใดนั้น ก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นด้านนอก ตามมาด้วยเสียงเปิดประตู ประตูถูกเปิดออก : "พี่มั่วคะ"
เย่หว่านเอ๋อปรากฏตัวหน้าประตู เมื่อเห็นสถานการณ์ก็อึ้งไปเล็กน้อย
อวี้อี่มั่วและหร่วนซือซือต่างก็พากันผงะ มองไปยังเย่หว่านเอ๋อ
อวี้อี่มั่วที่ได้สติก่อน รีบพูดขึ้นว่า : "หว่านเอ๋อ มาได้ยังไง?"
เย่หว่านเอ๋อผงะเล็กน้อย พร้อมกับเดินเข้ามา สายตาเต็มไปด้วยความสับสน : "พี่มั่ว พวกคุณ……"
หร่วนซือซือหันไปมองข้าวกล่องที่วางอยู่บนโต๊ะน้ำชา หน้าซีดลงทันที
หร่วนซือซือดึงสะติได้ ก็รีบเก็บข้าวกล่องพร้อมกับลุกขึ้น : "คุณเย่……คือแบบนี้ วันนี้เราต้องทำงานล่วงเวลา เลยหาอะไรกินก่อน เพราะยังมีงานอีกมากที่ต้องเคลียร์ค่ะ……"
หร่วนซือซือพูดจบ สีหน้าของเย่หว่านเอ๋อก็ดีขึ้น เธอหันไปหาอวี้อี่มั่ว เม้มปากเบาๆ : "พี่มั่ว ทำงานล่วงเวลา ฉันเป็นห่วง ก็เลยแวะมาดูพี่ค่ะ……"
พูดจบ ก็เดินมานั่งข้างๆอวี้อี่มั่ว วางถุงในมือลงบนโต๊ะ : "ฉันให้เชฟที่บ้านตุ๋นซุปปลามาให้ พี่ทำงานเหนื่อย จะสั่งอาหารแบบนี้มากินทุกวันไม่ได้นะคะ มันไม่มีสารอาหาร พี่ต้องบำรุงบ้างค่ะ……"
หร่วนซือซือเริ่มรู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนเกินขึ้นมา
เวลานั้นเอง เย่หว่านเอ๋อก็หันมาทางเธอ ยิ้มอย่างมีมารยาทแล้วพูดขึ้นว่า : "ซือซือ คุณจะทานอีกหน่อยไหม?"
หร่วนซือซือรีบปฏิเสธ : "ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณเย่ ฉันทานอิ่มแล้ว จะเตรียมตัวไปทำงานต่อ"
พูดพลางโค้งตัวลงเก็บกล่องข้าวใส่รวมกันลงในถุง
อวี้อี่มั่วที่ดูเธอแล้ว เม้มปาก หันไปทางเย่หว่านเอ๋อ แล้วพูดขึ้นว่า : "บอกไปแล้วไม่ใช่เหรอว่าไม่ต้อง? ทำไมยังจะลำบากมาถึงนี่ล่ะ?"
"ฉันก็แค่ห่วงพี่นี่คะ อีกอย่างสองสามวันมานี้ฉันก็มัวยุ่งกับการเตรียมงานหมั้น ไม่ได้เห็นหน้าพี่หลายวันแล้ว!"
เย่หว่านเอ๋อกอดแขนของเขาอย่างสนิทสนม
"ใช่แล้ว" เย่หว่านเอ๋อคลายมือออกจากแขนของอวี้อี่มั่ว ยิ้มแล้วหยิบกระเป๋าขึ้นมา เปิดกระเป๋าหยิบซองออกมาซองหนึ่ง หันไปทางหร่วนซือซือ : "ซือซือ นี่เป็นการ์ดงานหมั้นของฉันกับพี่มั่ว ต้องมาให้ได้นะคะ"
พูดจบก็ยื่นซองมาให้เธอ
หร่วนซือซือจุกไปทั้งอก เงยหน้าขึ้นมองซองในมือ ในใจแน่นไปหมด เธอยื่นมือมารับไว้ ฝืนยิ้มออกมาเบาๆ : "ค่ะ ยินดีด้วยนะคะ"
"ขอบคุณค่ะ!" เย่หว่านเอ๋อยิ้มหวาน กะพริบตาให้เธอ : "ถึงเวลาต้องมาให้ได้นะคะ!"
หร่วนซือซือพยักหน้าตอบ ไม่พูดอะไรต่อ เก็บเสร็จแล้วก็หิ้วถุงขึ้น หันไปทางอวี้อี่มั่วแล้วพูดขึ้นว่า : "งั้นฉันไปทำงานต่อนะคะ"
พูดจบก็หมุนตัวเดินออกจากห้องทำงานของเขาไป
วินาทีที่ประตูปิดลง เธอที่ยังได้ยินเสียงหัวเราะของเย่หว่านเอ๋อ
ทิ้งขยะลงถัง พร้อมกับเดินไปที่ห้องทำงานของตัวเอง มองการ์ดเชิญบนโต๊ะของเธอ ก็รู้สึกแสบนิดๆที่จมูก
เธอปลอบใจตัวมาหลายต่อหลายครั้ง แต่พอถึงเวลาเข้าจริงๆ ในใจก็ยังอดหวั่นไหวไม่ได้
ราวยี่สิบนาทีก่อน อวี้อี่มั่วยังจูบเธออยู่เลย พริบตาเดียวเธอก็ได้รับบัตรเชิญงานหมั้นของเขากับผู้หญิงคนอื่น รู้สึกเจ็บอย่างบอกไม่ถูก
หร่วนซือซือกัดฟันแน่น เก็บทุกอย่างไว้ในใจ แล้ววางการ์ดเชิญลงในลิ้นชัก
แค่ได้รับข่าวคราวเธอก็เสียอาการขนาดนี้ แล้วจะไปร่วมงานหมั้นของเขาได้ยังไงล่ะ
ชั่งเถอะ ค่อยไปหาข้ออ้างตอนนั้นเอาแล้วกัน
หร่วนซือซือเคลียร์งานได้ครึ่งทาง เวลาผ่านไปราวสองชั่วโมงได้ หร่วนซือซือหยิบมือถือขึ้นมาดู เห็นข้อความที่ส่งมาจากอวี้อี่มั่ว : "เลิกงานได้"
คำพูดง่ายๆแค่สามคำ ไม่มีคำอื่นๆ
เธอสูดลมหายใจเข้า เก็บข้าวของเตรียมตัวกลับ เมื่อผ่านห้องทำงานของท่านประธานก็เห็นว่าด้านในไม่มีใครอยู่แล้ว ทั้งชั้นก็คงเหลือเธอคนเดียวสินะ
ตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ สุดท้ายแล้วก็เหลือเธอเพียงแค่คนเดียวสินะ
เช้าวันต่อมา หร่วนซือซือออกจากคอนโดมาที่บริษัท กำลังจะตอกบัตร พึ่งถึงห้องทำงานของท่านประธานไม่นาน ผู้ช่วยหลิวก็เคาะประตูขึ้น : "เลขาหร่วน"
"ซื้อข้าวเช้ามาฝาก"
"ขอบคุณค่ะ" หร่วนซือซือยิ้มรับ : "เมื่อวานทำไมถึงลาคะ?"
ผู้ช่วยหลิวก็พูดขึ้นว่า : "ที่บ้านมีเรื่องนิดหน่อย แต่จัดการเรียบร้อยแล้ว พอฉันไม่อยู่ งานก็กองไว้ที่คุณหมดเลย"
หร่วนซือซือส่ายหัว : "ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เพื่อนร่วมงานกันนี่คะ มีอะไรก็ช่วยเหลือกัน"
"ใช่แล้ว ได้ยินมาว่าเลขาเทียนอันจะกลับมาทำงาน ยังใช้วันหยุดแต่งงานหนึ่งเดือนไม่ครบเลย ไม่รู้ทำไมจู่ๆถึงกลับมา"
"เหรอคะ?" หร่วนซือซือได้ยินแล้ว ในใจรู้สึกแปลกๆ : "ช่วงนี้งานค่อนข้างยุ่งมั้งคะ คนเลยไม่พอ"
ผู้ช่วยหลิวพยักหน้าเบาๆ : "เป็นไปได้ ไม่พูดต่อแล้ว ฉันไปทำงานก่อน"
หร่วนซือซือตอบรับ มองเธอเดินออกจากห้องไป
เมื่อประตูปิดลง เธอก็นึกถึงคำพูดที่ผู้ช่วยหลิวพูดขึ้น ในใจก็รู้สึกกังวลแปลกๆ นึกๆดูแล้ว เธอโดนย้ายแผนกมาที่ห้องทำงานท่านประธานก็ใกล้จะครบหนึ่งเดือนแล้ว อันหร่านก็น่าจะกลับมาแล้วสินะ
แต่ว่า หากอันหร่านกลับมาแล้ว เธอก็คงต้องย้ายกลับแผนกเดิมสินะ?
เซ้นที่หกของผู้หญิงแม่นที่สุด
เวลานั้นเอง ตู้เยี่ยก็มาเคาะห้องทำงานเธอ : "เลขาหร่วน ท่านประธานอวี้เรียกให้ไปพบครับ"
หร่วนซือซือฟังแล้ว ในใจเหมือนหล่นฮวบ เหมือนจะรู้และเดาออกว่าจะเกิดอะไรขึ้น