เธอสูดลมหายใจเข้าปอด จัดการกับอารมณ์ตัวเอง หร่วนซือซือเปิดประตูเข้าไปเบาๆ มองไปยัง ศจ.หร่วนที่นอนอยู่บนเตียงกับคุณนายหลิวที่นั่งอยู่ข้างๆ เธอยิ้มแป้นแล้วเดินเข้าไป : "พ่อคะ แม่คะ!"
คุณนายหลิวเห็นหร่วนซือซือแล้ว หยุดนิ่งไปชั่วครู่ และไม่พูดเรื่องเมื่อกี้กันต่อ
ศจ.หร่วนหัวเราะชอบใจ ลุกขึ้นมานั่ง พูดขึ้นว่า : "ซือซือ มาแล้วเหรอ ช่วงนี้งานยุ่งรึเปล่า?"
หร่วนซือซือยิ้มตอบ : "ไม่ยุ่งค่ะ"
หร่วนซือซือพูดพลางเอาถุงผลไม้ในมือไปวางข้างโต๊ะหัวเตียง แล้วนั่งลงไปที่เตียง ถามขึ้นว่า : "เป็นไงบ้างคะ? พ่อล่ะคะ? จัดการกับอารมณ์เป็นยังไงบ้างคะ?"
อีกไม่กี่วันก็ต้องเจ้ารับการผ่าตัดแล้ว หมอเขียนใบสั่งให้โดยเฉพาะ ว่าต้องให้พ่อรักษาความมั่นคงของอารมณ์จิตใจให้สงบ
"สบายมาก วางใจเถอะ"
มองใบหน้าที่ผอมบางของ ศจ.หร่วนที่เริ่มมีเลือดฝาดขึ้นมา หร่วนซือซือก็วางใจขึ้น จับมือพ่อขึ้นมาตบเบาๆ พยักหน้าแล้วพูดขึ้นว่า : "แบบนี้ก็ดีสิคะ หนูจะได้หายห่วง!"
คุยเป็นเพื่อนกับ ศจ.หร่วนมาครึ่งค่อนวัน สักพัก ก็มีพยาบาลเข้ามาตรวจร่างกายประจำรอบ คุณนายหลิวได้โอกาสก็จูงมือของหร่วนซือซือออกมาจากห้องผู้ป่วย
เหมือนมีลับลมคมใน หร่วนซือซืออดไม่ได้ที่จะถามขึ้น : "แม่คะ มีอะไรเหรอ?"
คุณนายหลิวขมวดคิ้ว ถามเธอด้วยเสียงต่ำและเบา : "ฉันอยากถามเธอ ว่าเงินค่าผ่าตัดได้มาจากไหนเหรอ?"
สองวันก่อนหัวหน้าเฝิงมาแจ้งเรื่องผ่าตัด ถึงพึ่งรู้ว่าเงินค่าผ่าตัดจ่ายครบแล้ว
เงินเก็บและที่ยืมมาจากที่อื่นๆทั้งหมดถูกรวบรวมทั้งหมดเก็บไว้ในบัตรมอบให้หร่วนซือซือไปแล้ว ถึงแม้จะเป็นยอดที่ไม่ใช่น้อยๆ แต่ก็ยังขาดไปอีกมาก ในเวลาสั้นๆนี้ เธอจะไปหาเงินเยอะขนาดนี้มาจากไหน
เมื่อถูกคุณนายหลิวถาม หร่วนซือซือก็นึกไปถึงสัญญาฉบับนั้น เธอขมวดคิ้วแน่น รู้สึกละอายใจที่จะพูดมันออกมา
เรื่องแบบนี้ เธอเก็บไว้คนเดียวก็พอ ถ้าหากถูกคุณนายหลิวกับศจ.หร่วนรู้เข้า เธอเละแน่ๆ
เห็นสีหน้าท่าทีของหร่วนซือซือแล้ว ก็รีบถามต่อ : "ซือซือ เธอไม่ได้ไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม?"
หร่วนซือซือรีบดึงสติกลับ ขมวดคิ้ว รีบตอบ : "ไม่ใช่ค่ะ หนูไปขออวี้อี่มั่วช่วย"
เธอสูดลมหายใจเข้าปอด แล้วพูดต่อว่า : "เงินนี้เป็นเงินที่ยืมจากเขามา วันข้างหน้าหนูจะต้องหามาคืนเขาให้ได้ค่ะ"
ได้ยินหร่วนซือซือพูดแบบนี้ คุณนายหลิวก็ถอนหายใจเบาๆ : "แบบนี้ก็ได้ เสี่ยวอวี้พึ่งพายามคับขันได้ตลอด รอพ่อเธอผ่าตัดเสร็จ เราทั้งบ้านจะช่วยกันหาเงินคืนเขา"
เมื่อเห็นคุณนายหลิวคลายความสงสัย หร่วนซือซือก็แอบถอนหายใจเบาๆ
เธอกับอวี้อี่มั่วที่เซ็นสัญญาด้วยกัน ไม่ควรให้ใครรู้เรื่องนี้ดีกว่า ทางฝั่งพ่อแม่ ก็ปิดบังไปก่อนแล้วกัน
เมื่อออกจากโรงพยาบาล หร่วนซือซือก็นั่งรถไฟใต้ดินต่อ เมื่อหาที่นั่งได้ เธอก็นั่งลงพลางหยิบมือถือขึ้นมาดู เห็นข้อความที่ไม่ได้อ่านหลายข้อความ
กดเข้าไปดู เป็นข้อความจากซ่งเย้อัน
"ซือซือ ขอโทษที่กดดันเธอเกินไป เรื่องเมื่อวานเธออย่าเก็บมาใส่ใจนะ"
"ความรู้สึกเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา การชอบเธอมันเป็นเรื่องของฉันคนเดียว ฉันจะไม่กดดันเธอ และจะเคารพการตัดสินใจของเธอ"
ข้อความสุดท้าย "เรายังเป็นเพื่อนกัน ใช่ไหม?"
เมื่ออ่านจบ ข้างในใจของหร่วนซือซือก็เริ่มวุ่นวายสับสน ถึงแม้ว่าเมื่อวานเธอจะลังเลมาก แต่ซ่งเย้อันเป็นตัวเลือกที่ดีมากคนหนึ่ง
แต่สัญญาระยะเวลาหนึ่งปีฉบับนั้น ใจของเธอเริ่มหนักและจมดิ่งลงไปเรื่อยๆ
ต่อมา เธอก็ตอบกลับข้อความว่า : "อืม เพื่อนกัน"
สองวันมานี้ เธอผ่านพ้นมาอย่างมึนงง สัญญาฉบับนั้นเป็นเหมือนภูเขาลูกใหญ่ที่ไม่มีรูปร่าง ทับลงบนตัวเธอ ทำให้เธอแทบจะไม่มีความสุขเลย
ยังดีที่สองวันมานี้ไม่เจอหน้าอวี้อี่มั่ว เมื่อเวลาค่อยๆผ่านไป เวลาทั้งหมดถูกเอาไปใช้กับงาน ความรู้สึกแย่ๆก็เบาบางลงไป
"ซือซือ วันนี้พวกเราไปกินข้าวกันดีไหม? ใต้ตึกเรามีร้านอาหารสไตล์ฮ่องกงเปิดใหม่ ได้ยินมาว่าใช้ได้เลย ช่วงนี้มีโปรโมชั่นด้วย!"
พอถึงมื้อเที่ยง เสี่ยวหานก็วิ่งตรงมาที่เธอ ชวนกันออกไปกินข้าว
หร่วนซือซือเห็นเสี่ยวหานที่เวลาพูดถึงเรื่องกิน สีหน้าแววตาของเธอก็จะลุกวาว หร่วนซือซืออดไม่ได้ที่จะยิ้มขึ้นมา
เธออิจฉาเสี่ยวหานที่เวลากินข้าวก็จะลืมทุกเรื่องเครียดทุกเรื่องปวดหัวแล้วก็อารมณ์แย่ๆ
เธอพยักหน้า ตอบกลับไปว่า : "โอเค งั้นก็ไปกินกัน"
"ดีจังเลย! มีอีกเรื่อง แผนกการตลาดมีเด็กฝึกงานมาใหม่ ได้ยินมาว่า….."
เสี่ยวหานควงแขนของหร่วนซือซือ แล้วก็เริ่มเล่าเรื่องต่างๆของแผนกอื่นๆ หร่วนซือซือฟังแล้ว ก็รู้สึกสบายใจขึ้นมา
เมื่อถึงร้านอาหารฮ่องกงที่ใต้ตึก ทานอาหารเรียบร้อย ทั้งคู่ก็พากันกลับบริษัท พึ่งเดินถึงหน้าบันได เสี่ยวหานจู่จู่ก็ตบหัวตัวเองไปหนึ่งที : "แย่แล้ว!"
หร่วนซือซือรีบหันไปดู : "เป็นอะไร?"
"เหวิ่นเหวิ่นฝากซื้อข้าวหนึ่งชุด ลืมสนิทเลย!"
เสี่ยวหานพูดขึ้นอย่างรีบร้อนพลางปล่อยมือที่เกาะแขนหร่วนซือซืออยู่ : "ซือซือ เธอกลับไปก่อน ฉันจะกลับไปสั่งข้าวที่ร้านอาหาร"
เห็นท่าทีรีบร้อนของเธอแล้ว หร่วนซือซือก็พยักหน้าตอบ : "งั้นฉันกลับไปจะช่วยบอกเหวิ่นเหวิ่นให้ก่อน เดี๋ยวจะรอเก้อเอา"
"โอเคได้ อย่าลืมช่วยบอกนะ"
พูดจบ เสี่ยวหานก็รีบหมุนตัวเดินไป
หร่วนซือซือเดินต่อ ก้าวขึ้นขั้นบันได พึ่งเดินถึงหน้าบริษัท ก็ได้ยินเสียงค่อนข้างแหลมของผู้หญิงดังขึ้น
"ถนนมันคงแคบมาก พึ่งมาถึงบริษัทก็เจอหน้าเธอ ซวยจริงๆ"
เสียงของเฉิงลู่?
หร่วนซือซือผงะ หันหน้ากลับมาดู ก็เจอกับเฉิงลู่ที่เดินมาด้วยรองเท้าส้นสูง
คนที่ยืนอยู่ข้างๆคือเมิ่งจื่นหัน
เมื่อสบตาเข้ากับหร่วนซือซือ เมิ่งจื่นหันก็หลบตา หันไปพูดกับเฉิงลู่ : "ลู่ลู่ เราไปกันเถอะ"
เฉิงลู่จ้องไปที่หร่วนซือซืออย่างไม่สะทกสะท้าน พร้อมกับกลอกตามองบน พูดกับเมิ่งจื่นหันด้วยน้ำเสียงเวอร์วัง : "จื่อหัน เธอว่าชาติที่แล้วฉันไปมีเวรกรรมอะไรกันนะ? นานๆจะมาบริษัททีก็ยังมาเจอได้ล่ะ? ขยะแขยง"
หร่วนซือซือหันหน้ากลับ เดินไปข้างหน้าต่อ ได้ยินเสียงที่ดังตามหลังมา เธอกัดริมฝีปากแน่น
เธอไม่เจอหน้าเฉิงลู่มาพักหนึ่งแล้ว ไม่นึกว่าครั้งนี้จะมาเจอได้ เกิดเรื่องรอบที่แล้วก็จบแบบไม่น่าจดจำเท่าไหร่ มันคงไม่พอที่เป็นบทเรียนให้เฉิงลู่ นึกไม่ถึงว่าวันนี้ยังคงเย่อหยิ่งไม่เปลี่ยน
เธอพยายามเดินเร็วขึ้น อยากออกไปจากบริเวณนั้นให้เร็วที่สุด แต่เดินยังไม่ทันได้กี่ก้าว ก็รู้สึกเย็นไปทั้งแผ่นหลัง ราวกับโดนน้ำสาดมาเต็มถัง
เธอหันกลับไปมอง เห็นเฉิงลู่ยืนอยู่ด้านหลังของเธอ ในมือถือแก้วน้ำผลไม้ที่ว่างเปล่า จ้องมองเธอด้วยสายตามุ่งร้าย
เธอเลิกคิ้วขึ้นสูง แกล้งหันไปมองพูดกับเมิ่งจื่นหันว่า : "อุ๊ย! หลุดมือ! ดีนะที่ไม่หกโดนตัวเอง"
เฉิงลู่พูดจบ ก็โยนแก้วทิ้งลงข้างๆ ดึงแขนเมิ่งจื่อหันเดินเข้าลิฟต์ไป : "รีบๆหน่อย เดี๋ยวจะไม่ทันลิฟต์!"
หร่วนซือซือพยายามหันไปดูเสื่อ พึ่งเห็นว่าเสื่อของเธอเต็มไปด้วยน้ำแตงโม แดงไปทั้งตัว เธอขมวดคิ้ว กำมือทั้งสองไว้แน่น ความโกรธปะทุขึ้นมาจากใจเธอ
เฉิงลู่ มันจะมากเกินไปแล้วนะ
นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าบทเรียนครั้งที่แล้วไม่เพียงพอต่อการตักเตือนเธอว่าควรทำตัวยังไงเลยเหรอ กลับมาบ้าคลั่งหนักกว่าเก่าเสียอีก!
หร่วนซือซือกัดฟันแน่น มองเฉิงลู่ที่อยู่ในลิฟต์ โกรธจนอกแทบระเบิด
เวลานี้ ถ้าเธอเองก็เข้าไปในลิฟต์ล่ะก็ คงได้เจอความบ้าของเฉิงลู่อีกรอบแน่ๆ ควรหลีกให้พ้นจะได้จบๆ
หร่วนซือๆสูดลมหายใจเข้า รีบเดินหน้าต่อ เธอยอมขึ้นบันไดแทน
บันไดแทบจะไม่มีใคร ปกติก็ไม่ค่อยมีคนใช้อยู่แล้ว หร่วนซือซือเช็ดเสื่อพลางเดินขึ้นบันได
วันนี้ซวยมากที่มาเจอเฉิงลู่เข้า คราวหน้าถ้ายังกล้ามารังแกกันอีก เธอจะไม่ยอมนิ่งเฉยอีก