วาสนาบันดาลรัก 242 โต้แย้งไปมา

ตอนที่ 242 โต้แย้งไปมา

“อาสะใภ้รองก็ชอบกินหม้อไฟหรือเจ้าคะ?” เจินเมี่ยวรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย

 

 

นางเถียนบิดเบ้มุมปากคราหนึ่ง

 

 

ในใจก็กล่าวว่านางเจินช่างหน้าหนาเหลือเกิน ประเด็นสำคัญในวาจานี้ของนางอยู่ที่การกินหม้อไฟหรือ? เห็นชัดว่าหมายถึงเรื่องที่ต้าหลังรีบกลับมา แต่กลับปิดประตูอยู่กับนางเป็นค่อนวันต่างหาก!

 

 

หากเป็นสตรีผู้มีกริยางดงามได้ฟังสิ่งที่นางพูดคงเขินอายจนแทบสิ้นชีพไปแล้ว

 

 

นางเถียนเม้มริมฝีปากเผยยิ้ม “มิใช่เช่นนั้น อากาศหนาวเช่นนี้ทั้งด้านนอกหิมะก็ตกไม่หยุด การกินหม้อไฟนั้นเหมาะอย่างยิ่ง ทุกคราที่ฤดูกาลนี้มาถึงในจวนก็มักจะทำเนื้อต้มผักดอง เนื้อแพะต้มหัวไชเท้า และต้มเนื้อสุนัข แต่หม้อไฟเมื่อวานกลับมีผักเครื่องเคียงมากมาย ฟังแล้วรู้สึกแปลกใหม่ยิ่ง อาสะใภ้ว่า ใบหน้าหลานสะใภ้ออกจะแดงระเรื่อกว่าทุกๆ วัน คิดว่าน่าจะเพราะกินหม้อไฟที่แสนอร่อยนั้นเป็นแน่”

 

 

เจินเมี่ยวหน้าแดงขึ้นมา ตามด้วยอาการวาบหวามในอก หลังจากนั้นจึงรู้สึกว่ามีบางอย่างที่ผิดปรกติไป

 

 

เหตุใดนางเถียนจึงเอาแต่พูดถึงเรื่องหม้อไฟ

 

 

พี่รองเคยบอกไว้ หากคนผู้หนึ่งเอาแต่เน้นย้ำถึงเรื่องใดเรื่องหนึ่ง นั้นย่อมหมายความว่าต้องการเชื่อมโยงไปสู่นัยอื่นใดบางอย่าง

 

 

เมื่อวาน…หม้อไฟเมื่อวานนั้นกินไปได้เพียงครึ่งก็…

 

 

เจินเมี่ยวคิดถึงตรงนี้หน้าก็ร้อนดุจไฟเผา ตามติดด้วยความไม่พอใจหลายส่วน

 

 

ตามธรรมเนียมของยุคสมัยนี้นั้น หากเรื่องเมื่อวานถูกเล่าลือออกไปย่อมต้องทำให้คนหัวเราะขบขันเป็นแน่ ทว่านางเป็นอาสะใภ้กลับเอาเรื่องนี้มาพูดต่อหน้าคนทั้งหลายเต็มห้องหมายความว่าเช่นใดกัน?

 

 

อีกอย่าง หากสาวใช้ที่เข้ามาในเรือนชิงเฟิงได้ก็มีแต่สาวใช้ที่ติดตามนางมาจากจวนปั๋ว แล้วนางเถียนทราบเรื่องนี้ได้อย่างไร?

 

 

เจินเมี่ยวคิดถึงตอนที่อยู่ในจวนเจี้ยนอานปั๋วขึ้นมา เพราะเสี่ยวฉานไปส่งกล่องเครื่องประดับให้เจินจิ้งที่เรือนเซี่ยเยียนจึงเกิดสงสัยทำให้มุดเข้าไปในช่องสุนัขลอดข้างกำแพงจึงทราบเรื่องบางอย่างมา

 

 

หรือเรือนชิงเฟิงจะมีที่ที่ดูแลไม่ทั่วถึงอยู่ทำให้คนสามารถมุดรอยรั่วนั้นเข้าไปได้?

 

 

เจินเมี่ยวตัดสินใจว่าหากกลับไปจะสั่งให้คนไปตรวจสอบโดยละเอียด อย่างว่าแต่ช่องสุนัขลอดเลย ต่อให้เป็นรูหนูนางก็ต้องอุดไว้ให้มิด

 

 

เมื่อคิดถึงตรงนี้ก็นึกถึงสาวใช้น้อยที่ฉลาดคล่องแคล่วแต่ปากไวผู้นั้นขึ้นมา

 

 

เสี่ยวฉานมีอุปนิสัยสะเพร่าอยู่บ้างแต่เรื่องการสอบถามข่าวคราวนั้นเรียกได้ว่ามีพรสวรรค์ยิ่ง หากมิใช่เพราะกระทำผิดซ้ำซาก อบรมนางดีๆ ถึงยามนี้ก็คงมีประโยชน์ไม่น้อย

 

 

เมื่อคิดถึงเจี้ยงจูที่มาแทนเสี่ยวฉาน เจินเมี่ยวก็ต้องถอนหายใจแผ่วเบาโดยไม่รู้ตัว

 

 

เจี้ยงจูหน้าตาสะสวยทั้งมีความสามารถ อายุเท่านี้แต่กลับทำทุกอย่างได้ดีในทุกๆ ด้าน นางเองก็พอใจมาก

 

 

ทว่าก็เป็นเพียงความพอใจในความสามารถอันเก่งกาจของสาวใช้ผู้หนึ่งเท่านั้น หากบอกว่าชอบ กลับเทียบไม่ได้กับชิงเกอและคนอื่นๆ

 

 

เจินเมี่ยวเองก็รู้สึกว่าตนใช้ความรู้สึกในการตัดสินมากเกินไป เสี่ยวฉานนั้นเป็นสาวใช้กลุ่มแรกที่นางเลือกเองกับมือและเป็นสาวใช้กลุ่มแรกของนางหลังจากมาอยู่ที่นี่ด้วย มีเพียงเจี้ยงจูที่มาแทนเสี่ยวฉาน  แม้นเป็นเพราะว่าเสี่ยวฉานทำผิดแต่อย่างไรนางก็ยังรู้สึกไม่สนิทใจนัก

 

 

เจินเมี่ยวยิ้มออกมา คิดว่าหากพี่รองทราบจักต้องด่านางที่ให้ความสำคัญกับเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้

 

 

เจินเมี่ยวกดข่มความคิดเหล่านั้นไว้ แล้วมองนางเถียนผู้มีรอยยิ้มอันแสนเมตตาแล้วส่งยิ้มเช่นเดียวกันกลับไปให้ “อาสะใภ้รองพูดถูกเจ้าค่ะ อากาศหนาวเช่นนี้เหมาะกับการกินเนื้อแพะบำรุงร่างกายยิ่ง ใบหน้าข้าจึงดูแดงระเรื่ออย่างไรเล่าเจ้าคะ แต่สีหน้าท่านกลับดูไม่ค่อยดีนัก กลับไปข้าจะเขียนวิธีทำหม้อไฟส่งไปให้ที่เรือน ท่านจะได้ลองดูบ้างดีหรือไม่เจ้าคะ?”

 

 

รอยยิ้มบนหน้านางเถียนแข็งค้างไปทันที นางขยับปากเอ่ยว่า “วิธีการทำอาหารเป็นความลับของตระกูลที่สืบต่อกันมา อาสะใภ้จะรับไว้ได้อย่างไรกัน”

 

 

แต่ในใจกลับโกรธแทบตายแล้ว นางเจินต้องการตบหน้านางใช่หรือไม่ ตั้งแต่เกิดเรื่องสตรีชั่วช้าผู้นั้นเมื่อสองสามเดือนก่อน ทำให้ท่านพี่ต้องสูญเสียตำแหน่งที่ควรได้ นางเองก็ถูกกักบริเวณ คนทั่วทั้งจวนมีผู้ใดไม่ทราบบ้างว่าพวกเขาสามีภรรยามีปัญหากันอย่างหนัก

 

 

สีหน้าไม่ดี…นางก็เคยหน้าแดงเช่นกัน!

 

 

ถุยๆ นางคิดอันใดอยู่กันแน่ เหตุใดจึงทำตัวไร้ยางอายเช่นเดียวกับหลานสะใภ้ผู้นี้ได้!

 

 

ครั้นนางเถียนคิดถึงเรื่องที่ไม่ควรคิดก็หน้าแดงก่ำขึ้นมาทันใด ทำให้คนทั่วทั้งห้องหันไปมองนางจนนางรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมากกว่าเดิม

 

 

นางเจินจักต้องเป็นดาวพิฆาตของนางแน่ ทุกคราที่เปิดปากล้วนลากนางลงคลองได้ทุกทีไป!

 

 

เจินเมี่ยวหันหน้าไปอีกทางด้วยรอยยิ้มตาหยี แล้วเอ่ยแง่งอนว่า “ท่านย่า ท่านดูอาสะใภ้รองพูดเถิด ข้าแต่งเข้ามาแล้ว จวนกั๋วกงก็เป็นบ้านของข้ามิใช่หรือ ต่อให้วิธีทำอาหารจะล้ำค่าเพียงใด ก็คงไม่มากพอให้เก็บงำไว้แม้กระทั่งกับคนในตระกูลกระมัง?”

 

 

นางอายุยังน้อย ทั้งใบหน้าก็ยังมีเค้าของเด็กสาวอยู่ บวกกับเมื่อวานได้กลายเป็นภรรยาของหลัวเทียนเฉิงอย่างสมบูรณ์แล้ว ประกายในดวงตากลับเจิดจ้าจนยากจะปิดบังไว้ได้

 

 

ท่าทีน่ารักน่าเอ็นดูเช่นนี้ ฮูหยินผู้เฒ่ามีหรือจะไม่ชมชอบ

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าจึงยิ้มพลางเอ่ยว่า “หลานสะใภ้พูดถูก วันมะรืนก็เป็นวันที่สิบแล้ว เราทุกคนในตระกูลมาคงต้องลองกินหม้อไฟของเจ้าดูสักหน่อย”

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าตั้งใจเน้นคำว่า ‘ทุกคนในตระกูล’ กล่าวจบก็หันไปมองนางเถียนคราหนึ่งด้วยความรู้สึกไม่พอใจอยู่หลายส่วน

 

 

คนเราเมื่ออายุมากขึ้นย่อมหวังให้คนในตระกูลเกิดความสามัคคีกัน ยิ่งขนบธรรมเนียมของต้าโจวหากบิดามารดามิให้แยกจวนก็ยังคงเป็นตระกูลเดียวกันอยู่ คำว่าความลับของตระกูลที่นางเถียนเอ่ยขึ้นนั้นแม้นเพื่อแสดงความเกรงใจ แต่ฮูหยินผู้เฒ่าฟังแล้วก็รู้สึกขัดใจยิ่งอยู่ดี

 

 

นางยังไม่ตายเสียหน่อย คิดจะแยกจวนแล้วหรือ?

 

 

มิถูก…หากแยกจวนจริงๆ นอกจากต้าหลังแล้ว บุตรทั้งสามต่างก็ต้องแยกออกไปหมด เมื่อไม่มีบารมีของจวนกั๋วกงคอยคุ้มครอง ชีวิตก็คงมิได้มีเกียรติมีศักดิ์เท่ายามนี้แน่

 

 

มิต้องกล่าวถึงอื่นใด แค่เรื่องงานมงคลของหลานชายหลานสาวก็ทราบแล้ว การกำหนดก่อนแยกจวนกับหลังจวนนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

 

 

หากมิได้แยกจวนก็เป็นคุณชายคุณหนูของจวนเจิ้นกั๋วกง หากแยกจวนไปแล้วก็เป็นเพียงบุตรชายบุตรสาวของขุนนางขั้นห้าขั้นหก จะนับเป็นอันใดได้เล่า?

 

 

บรรดาบุตรชายลูกสะใภ้มีความปรารถนาบางอย่างอยู่ในใจ ฮูหยินผู้เฒ่าก็ได้แต่ลืมตาข้างปิดตาข้าง แต่หากหลงลืมฐานะตนเพียงเพราะความอยากบางอย่างของตน นั้นย่อมเป็นเรื่องที่ไม่สมควรยิ่ง

 

 

แต่ก่อนนางเถียนก็มิใช่คนเช่นนี้ อำนาจทำให้คนตาบอดงั้นหรือ?

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าเหลือบมองนางเถียนอีกคราหนึ่ง ครานี้แววตาดูดุดันยิ่งขึ้น

 

 

นางเถียนใบหูแดงเถือกขึ้นมา

 

 

นางบอกแล้วว่าตัวอัปรีย์นั้นทำนางย่ำแย่ลงทุกที!

 

 

นางเผยอปากคิดจะกล่าวประชดอีกสักสองประโยค แต่กลับถูกคุณหนูใหญ่หลัวจือหยาที่อยู่ด้านหลังดึงแขนเสื้อไว้

 

 

อาจเพราะเผชิญกับเรื่องสะเทือนใจติดต่อกัน ทำให้ความสะเพร่า ไม่สำรวมของหลัวจือหยาค่อยๆ หายไป เมื่อมองนางจะเห็นเพียงแววตาอันล้ำลึก ท่าทีสง่างาม ทำให้ดูเป็นคุณหนูผู้สูงศักดิ์มากขึ้นกว่าแต่ก่อนยิ่ง

 

 

แต่ท่าทีสงบนิ่งของนางทำให้คนรู้สึกผ่อนคลายโทสะลงไม่น้อย แต่ก็ทำให้คนรู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง

 

 

นางเถียนกลับรักใคร่บุตรสาวผู้นี้ที่สุด โดยเฉพาะครั้งนั้นที่นางถูกนายท่านรองตีเพราะตน ยามนี้ก็กำลังจะต้องแต่งออกไปยังแดนไกลอีก

 

 

หลัวจือหยาประคองนางไว้เช่นนี้ทำให้นางเถียนมีสติคืนมา จึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าคิดได้รอบคอบนัก ปากนี้ของสะใภ้สมควรถูกตบนัก เพราะมัวแต่คิดว่าเคล็ดลับการทำอาหารนั้นหลานสะใภ้นำติดตัวมาจากตระกูลมารดา ภายหน้าก็ต้องมอบต่อแก่บุตรสาว แต่ลืมไปว่ามันมิใช่ปิ่นทองกำไลหยกที่ให้คนผู้หนึ่งไปแล้วจะให้คนอีกผู้หนึ่งต่อมิได้ สะใภ้คิดว่าเคล็ดลับเหล่านี้มีค่ามากกว่าสินเดิมใดๆ เสียอีกเจ้าค่ะ”

 

 

สิ่งที่สืบทอดกันมาในตระกูลไม่ว่าจะเป็นตำรา เคล็ดลับอาหารเครื่องดื่ม การชงชา การปรุงน้ำอบล้วนนับเป็นสินเดิมได้ทั้งสิ้น เคยมีบุตรสาวหลายตระกูลที่มิได้มีที่ดิน เงินทองก็ไม่มาก แค่นำตำราที่คัดลอกด้วยลายมือบรรจุใส่**บสักสองสามใบแต่งเข้าตระกูลฝ่ายชาย แต่สุดท้ายกลับได้รับความรักใคร่เอ็นดูเป็นกรณีตัวอย่างมาแล้ว

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าฟังนางเถียนกล่าวเช่นนี้จึงรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย นางจึงพยักหน้ารับ

 

 

นางเถียนกลับยิ้มพลางเอ่ยขึ้นอีกว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า เมื่อพูดถึงการกินอาหารพร้อมหน้าทั้งตระกูล สะใภ้ก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้”

 

 

กล่าวถึงตรงนี้ก็ลอบมองนางชีที่นิ่งเงียบมาตลอดคราหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “วันตรุษใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว ต่อไปจวนเราก็คงยุ่งขึ้นเรื่อยๆ ถนนหนทางก็ยากแก่การเดินทางด้วยเช่นกัน เรารีบส่งคนไปที่                เหอเป่ยก่อนสักหน่อยดีหรือไม่เจ้าคะ?”

 

 

นางชีเหลือบตาขึ้นมองนางเถียนครู่หนึ่ง

 

 

สายตาทั้งสองประสานกันคราหนึ่ง แล้วนางเถียนก็เอ่ยต่อว่า “ตามหลักแล้วสะใภ้มิควรเอ่ยเรื่องนี้ แต่ยามนี้สะใภ้ดูแลเรื่องนี้อยู่ หากท่านเห็นสมควร สะใภ้ก็จะได้จัดเตรียมทุกอย่างไว้พร้อมแล้ว”

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่านิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “สมควรส่งคนไปรับได้แล้วล่ะ นางเถียน เจ้าจัดการเรื่องนี้ได้เลย”

 

 

เมื่อเอ่ยวาจานี้ออกไป ทุกคนก็หันไปมองที่นางชีเป็นตาเดียว

 

 

ที่ผ่านมานางชีใช้ชีวิตอย่างคนไร้ตัวตนในจวนกั๋วกงมาตลอด มิใช่ว่ามีคนรังแกนาง เพียงแต่นางเป็นสตรีตัวคนเดียวทั้งยังมีบุตรอีกคน นางจึงอยู่อย่างเจียมตัว ด้วยกลัวว่าหากปรากฏตัวขึ้นจะทำให้บรรยากาศอันคึกคักเต็มไปด้วยความอัปมงคลจึงได้ปลีกตัวออกมาเสมอ

 

 

ทว่าหลังจากนายท่านสี่กลับมา แม้นอุปนิสัยมิใคร่พูดจายังคงเหมือนเดิม ทุกครั้งที่มาน้อมทักทายฮูหยินผู้เฒ่านางก็ยังคงพูดน้อยเช่นเดิมแต่สีหน้ากลับดีขึ้นเรื่อยๆ ผู้มีตาล้วนมองเห็นความเปลี่ยนแปลงของนางทั้งสิ้น

 

 

นางเถียนอดคิดถึงคราก่อนที่สาวใช้มารายงานขึ้นมามิได้

 

 

ในช่วงที่นายท่านสี่กลับมาและยังมิได้ไปอยู่ที่ห้าค่าย เขาจะอยู่เป็นเพื่อนนางชีทุกวัน ได้ยินว่าทุกวันยามค่ำคืนล้วนต้องเรียกบ่าวไพร่ยกถังน้ำไปให้ บางคราก็เรียกถึงสองสามครั้ง…

 

 

ความเจ็บแปลบพุ่งขึ้นในใจนางเถียนทันที

 

 

เมื่อครานางยังเป็นสาวน้อย ท่านพี่ก็มิเคยเป็นเช่นนี้เลยด้วยซ้ำ!

 

 

หึ ไม่ทราบว่าหากอนุที่มีบุญคุณช่วยชีวิตนายท่านสี่พาบุตรชายกลับมาที่นี่ แล้วจะเป็นเช่นไร?

 

 

นางชีคล้ายมิรับรู้ถึงความคิดอันมากหลายของทุกคน นางยิ้มอย่างเป็นธรรมชาติออกมา “ขอบคุณพี่สะใภ้รองที่ใส่ใจ ข้าได้ยินท่านพี่บอกว่าจังเกอร่างกายอ่อนแอ ขอพี่สะใภ้รองช่วยกำชับกับผู้ไปรับสักหน่อยว่าให้ดูแลอย่างใกล้ชิดด้วย”

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าลอบพยักหน้าพอใจในท่าทีของนางชี

 

 

สมแล้วที่มาจากตระกูลผู้ดี มิได้ใจคอคับแคบเช่นคนทั่วไปสักนิด

 

 

เป็นนางเองที่คิดมากไป นางชีกับเจ้าสี่มีความรักให้กันอย่างมั่นคงมาตั้งแต่หนุ่มสาว หากไม่มีความเข้มแข็งสักนิด เมื่อได้ยินข่าวการตายของสามี เกรงว่าคงได้หาเชือกมาแขวนคออย่างสตรีอ่อนแอทั่วไปแล้ว

 

 

มิใช่สตรีทุกคนที่จะมีความกล้าคลอดบุตรที่ไร้บิดาออกมาได้

 

 

เมื่อมิเห็นท่าทีอย่างที่ตนคิดไว้ นางเถียนก็รู้สึกผิดหวังเล็กน้อยจึงอดมองนางชีอีกสักครามิได้

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าโบกมือให้ทุกคนออกไป เหลือเพียงเจินเมี่ยวที่ให้อยู่ก่อน

 

 

สำหรับเจินเมี่ยวแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่านั้นชมชอบนางไม่น้อย

 

 

คนที่อายุมากแล้วล้วนเชื่อเรื่องชะตาฟ้าลิขิต ตั้งแต่หลานสะใภ้ผู้นี้แต่งเข้ามา ต้าหลังก็ก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ พริบตานางก็จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของพระบรมวงศานุวงศ์เพราะได้ช่วยชีวิตองค์หญิงเอาไว้

 

 

การเป็นส่วนหนึ่งของพระบรมวงศานุวงศ์นั้นมีข้อดีกว่าเชื้อพระวงศ์จริงๆ เสียอีก

 

 

ผู้สืบเชื้อสายในพระบรมวงศานุวงศ์นั้น เมื่อพบเจอจักต้องมีระยะห่างที่พอเหมาะ ทำให้เหนื่อยใจไม่น้อย

 

 

แต่อย่างหลานสะใภ้ของนางนั้น มิจำเป็นต้องปฏิบัติตัวซับซ้อนอันใดต่อนางเพียงเพราะฐานะเปลี่ยนไป ทั้งยังมีความสัมพันธ์อันยากจะตัดขาดได้กับจวนหย่งอ๋อง

 

 

หย่งอ๋องเป็นผู้ใดหรือ? เขาเป็นน้องชายแท้ๆ ของจักรพรรดิ เป็นบุตรแท้ๆ ของไท่โฮ่ว ทั้งเป็นบิดาแท้ๆ ขององค์หญิงที่เจินเมี่ยวช่วยไว้ และเป็นบุรุษเจ้าสำราญที่ไม่คิดแย่งชิงอำนาจใดๆ สักนิด

 

 

จักรพรรดิมีเพียงความรักให้เขาเท่านั้น ต่อไปไม่ว่าองค์ชายพระองค์ใดจะเป็นผู้สืบทอดราชบัลลังก์ ก็มิกล้าจะลงดาบกับเสด็จอาผู้นี้แน่

 

 

ผลประโยชน์จากเรื่องพวกนี้มิจำเป็นต้องเอ่ย แต่ที่ฮูหยินผู้เฒ่าพอใจที่สุดคือการหายตัวไปของเจินเมี่ยวกลับนำพาบุตรชายคนเล็กของตนกลับมาด้วย

 

 

แค่จุดนี้ต่อให้เจินเมี่ยวทำสิ่งใดไม่เหมาะสม ฮูหยินผู้เฒ่าก็มิคิดจะไปต่อว่าอันใดแล้ว นี้เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้กับคนทั่วไป

 

 

“ท่านย่า หลานสะใภ้จะนวดขาให้ท่านเองเจ้าค่ะ” ไม่ทราบว่าฮูหยินผู้เฒ่าให้นางอยู่เพราะเหตุใด เจินเมี่ยวเพียงแต่หยิบไม้นวดขึ้นมาทุบให้ฮูหยินผู้เฒ่า

วาสนาบันดาลรัก

วาสนาบันดาลรัก

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 199.2 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


ด้วยเพราะอุบัติเหตุในงานเลี้ยงสวนดอกหลี เป็นเหตุให้เจินเมี่ยว คุณหนูสี่จวนเจี้ยนอานปั๋วถูกบังคับให้แต่งงานกับหลัวเทียนเฉิง ซื่อจื่อแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงเพื่อลบคำครหา ทว่าใครเล่าจะรู้ว่าสวรรค์กลับเล่นตลก นำพาให้คนสองคนจากแต่ละห้วงเวลามาพบกันในเหตุการณ์นั้นเอง  คนหนึ่งคือหญิงสาวจากยุคปัจจุบันที่ย้อนเวลามาสวมร่างผู้อื่น จำต้องแบกรับชื่อเสียฉาวโฉ่และกรรมที่เจ้าของร่างเดิมทิ้งไว้ให้  ส่วนอีกคนคือชายหนุ่มผู้กลับชาติมาเกิดใหม่ในร่างเดิมเพื่อล้างความอัปยศที่เคยได้รับในอดีตชาติ   กาลก่อนโชคชะตาเคยผูกด้ายแดงให้ทั้งสองได้ครองคู่ แต่เพราะ ‘นาง’ ทำตัวประดุจดอกซิ่งยื่นออกนอกกำแพง เป็นเหตุให้เขาต้องมอดม้วยไปพร้อมกับความอดสู   กาลนี้วาสนาบันดาลให้นางและเขามาบรรจบกันอีกครา เขาจึงคิดจะอาศัยบทเรียนในอดีตตัดไฟเสียแต่ต้นลม ทว่าเขาจะทำเช่นไร เมื่อพบว่าเหตุการณ์ที่เคยเกิดกลับเปลี่ยนแปลงไป รวมถึง ‘นาง’ ผู้นั้นด้วย!

Options

not work with dark mode
Reset