ตรอกซิ่งฮวายาวแต่แคบ หิมะที่ทับถมอยู่บนหลังทรงต่ำนั้นยังมิได้ละลายหายไป หยดน้ำจากหิมะบนมุมหลังคาไหลหยดติ๋งๆ เจิ่งนองเป็นเวิ้งน้ำเต็มพื้น ใบไม้แห้งที่ร่วงหลบอยู่มุมกำแพงแข็งค้างกลายเป็นแผ่นน้ำแข็งไปแล้ว บางส่วนก็จมจ่อมอยู่ในเวิ้งน้ำนั้นจนมันเริ่มมีสีขุ่นขึ้นมา
นายท่านรองสกุลหลัวยกชายอาภรณ์ตนขึ้น แล้วเดินหลบเวิ้งน้ำนั้นไป เขามองไปยังเรือนอันคุ้นตาที่ประตูถูกปิดตายนั้น แล้วเกิดลังเลที่จะก้าวเท้าต่อไปข้างหน้า
อากาศเช่นนี้ เวลานี้ เขาไม่ควรมาที่นี่
เขายืนลังเลอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง สายตากลับเบนไปมองเรือนหลังข้างเคียง
ประตูสีดำนั้นก็ถูกปิดแน่นเช่นเดียวกัน นายท่านรองสกุลหลัวอยากจะให้ดวงตาสามารถมองสอดส่องเข้าไปให้เห็นว่าด้านในเป็นอย่างไรผ่านช่องเล็กๆ ของประตูนั้นเหลือเกิน
เมื่อรู้สึกว่าการยืนอยู่เช่นนี้นั้นมิได้มีประโยชน์อันใด นายท่านรองสกุลหลัวจึงยกชายอาภรณ์หมุนตัวกลับทันที
เวลานี้เองที่เสียงแก๊กๆ ของประตูก็ดังขึ้น นายท่านรองสกุลหลัวนั้นแทบจะหันหลังกลับไปในทันที เพราะหมุนตัวเร็วเกินไปจึงเผลอไปเหยียบเวิ้งน้ำใต้เท้าเข้าพอดี
รองเท้าหนังที่ตนใส่อยู่นั้นมิได้เป็นอันใด ทว่าอาภรณ์ยาวตัวใหม่นี้กลับเปื้อนเป็นวงขึ้นมาในพริบตา
นายท่านรองสกุลหลัวกระโดดหลบพัลวันไม่เป็นท่า แล้วหันไปมองสตรีที่สวมอาภรณ์สีเขียวผู้นั้นคราหนึ่ง
สตรีอาภรณ์เขียวที่ถือถังน้ำอยู่นั้น อึ้งงันไปชั่วขณะ เมื่อจำได้ว่าเขาคือนายท่านรองสกุล ความยินดีก็พาดผ่านใบหน้าไป
นายท่านรองสกุลหลัวใจเต้นไม่เป็นส่ำขึ้นมาทันใด
สตรีผู้นี้ช่างงดงามหยาดเยิ้มเสียจริง ทั้งที่มิได้ประทินโฉมอันใด ทว่าใบหน้าอันโดดเด่นนี้กลับสามารถประทับลงไปในหัวใจได้จากการเห็นเพียงครั้งเดียวเท่านั้น
ก่อนหน้านี้เขาเคยให้คนไปสืบมาแล้ว สตรีผู้นี้เป็นภรรยานอกเรือนของคหบดีผู้หนึ่งจริงๆ คหบดีผู้นั้นทำการค้าที่เมืองหลวงจึงได้ให้นางพำนักอยู่ที่นี่
เดิมเขาก็เคยคิดจะทำให้สตรีผู้นี้ตกมาอยู่ในมือของเขา ทว่าหลังจากเกิดเรื่องยุ่งยากวุ่นวายในจวนขึ้น เขาก็มิได้ใส่ใจเรื่องนี้อีก
ทว่าวันนี้เมื่อได้พบสตรีผู้นี้ยืนอยู่ตรงหน้า ท่าทีเฝ้าคอยทั้งความยินดีที่แฝงในใบหน้างามนั้นอีก ทำให้นายท่านรองสกุลหลัวรู้สึกอดกลั้นเอาไว้มิได้อีกต่อไป เขาจึงก้าวเดินไปข้างหน้าโดยมิไยดีต่ออาภรณ์ที่เปื้อนเป็นวงนั้น
ที่ทำให้คนแปลกใจยิ่งคือหลังจากที่สตรีผู้นี้นำน้ำสกปรกในถังสาดใส่มุมกำแพงเรียบร้อยแล้วก็วางถังน้ำลง แล้วเดินเข้ามาหาพร้อมทั้งทำความเคารพ “นายท่าน ข้ามีเรื่องอยากถามท่านสักหน่อยเจ้าค่ะ”
สตรีชุดเขียวหยุดไปครู่หนึ่งแล้วเงยหน้าขึ้น “ไม่ทราบว่าพี่ซูเหนียงไปที่ใดแล้ว ข้ากับพี่ซูเหนียงถูกชะตากัน ความสัมพันธ์ดุจดั่งพี่น้อง สองสามเดือนมานี้ข้ามิเห็นนางเลยจึงรู้สึกคิดถึงไม่น้อยเจ้าค่ะ”
“ซูเหนียง?” นายท่านรองสกุลหลัวหน้าเปลี่ยนสีไปทันที เมื่อคิดถึงสตรีเปราะบางดุจเกสรบุปผาก็ได้แต่ถอนหายใจอยู่ในอก แล้วปรับอารมณ์ให้กลับมาสงบดั่งเดิมก่อนจะอย่างเก็บความรู้สึกอันล้ำลึกนั้นไว้ “ข้ารับนางไปอยู่จวนแล้ว”
สตรีอาภรณ์เขียวจึงเผยความรู้สึกยินดีและอิจฉาออกมา ความอิจฉาที่ปรากฏขึ้นเพียงชั่วครู่นั้นกลับมิอาจลอดพ้นสายตาของนายท่านรองสกุลหลัวไปได้
นายท่านรองสกุลหลัวจึงยิ้มน้อยๆ ออกมา สายตาร่วงตกไปบนมือสตรีอาภรณ์เขียว
มือขาวเนียนที่ควรอ่อนนุ่มนั้นกลับหยาบกร้านไปเล็กน้อย
สตรีอาภรณ์เขียวปล่อยแขนลงแล้วทำความเคารพเขาอีกครา “ในเมื่อพี่ซูเหนียงสบายดี เช่นนั้นข้าก็วางใจ นายท่านเดินระวังด้วยเจ้าค่ะ” พูดพลางหมุนตัวเดินกลับเข้าเรือน
“เดี๋ยวก่อน…”
สตรีอาภรณ์เขียวหันหน้ากลับมามองนายท่านรองสกุลหลัวด้วยความสงสัย
นายท่านรองสกุลหลัวจึงเอ่ยถามขึ้นว่า “งานหยาบๆ พวกนี้ เจ้าต้องทำเองด้วยหรือ?”
สตรีอาภรณ์เขียวหน้าซีดไปทันที นางพยักหน้าแล้วหมุนกายเดินหนีไป
นายท่านรองสกุลหลัวเดินก้าวยาวเข้าไปขวางนางไว้
“นายท่าน ท่าน…” ในดวงตาของสตรีอาภรณ์เขียวนั้นมีความขุ่นเคืองเล็กน้อย
ช่างน่าเสียดายจริงๆ ที่สตรีผู้นี้เลือกติดตามคหบดีผู้หนึ่ง
นายท่านรองสกุลหลัวทอดถอนใจอย่างไม่รู้ตัว ทั้งเผยรอยยิ้มอันอบอุ่นอ่อนโยน มิได้แสดงท่าทีวางอำนาจอย่างที่กระทำต่อซูเหนียง “เจ้ากับซูเหนียงรักใคร่กันดุจพี่น้อง ทั้งเจ้ายังมีบุญคุณช่วยชีวิตซูเหนียงไว้ ซูเหนียงเคยบอกข้า ข้ารู้สึกซาบซึ้งใจอย่ายิ่ง หากเจ้ามีความลำบากใดก็พูดกับข้าได้ มิเช่นนั้นหากซูเหนียงทราบเข้าคงเป็นห่วงไม่น้อย”
“คือ…” สตรีอาภรณ์เขียวลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “ใกล้ถึงวันตรุษเข้าไปทุกที ตามหลักแล้วสามีข้าก็ควรกลับมาได้แล้ว ทว่าสองเดือนมานี้กลับไม่มีข่าวคราวเลย หากนายท่านมิลำบาก จะรบกวนช่วยข้าสืบสาวเรื่องราวสักหน่อยได้หรือไม่?”
“เรื่องนี้เล็กน้อยยิ่ง” นายท่านรองสกุลหลัวยิ้มรับ
สตรีอาภรณ์เขียวจึงเล่าเรื่องของสามีตนให้เขาฟังอย่างละเอียด
นายท่านรองสกุลหลัวหยิบถุงเงินออกมาส่งให้นาง “งานหยาบๆ เช่นนั้นเจ้าไม่ควรต้องทำมันอีก เจ้าเก็บไว้จ้างสาวใช้สักคนเถิด”
มิใช่ว่าคนทั่วไปจะสามารถซื้อตัวสาวใช้น้อยหรือและสาวใช้ร่างกำยำได้ เพราะหากซื้อมาแล้วก็ต้องดูแลเรื่องอาหารการกิน ข้าวของเครื่องใช้ ยังมีเสื้อผ้าตามฤดูกาล วันตรุษก็ต้องมีรางวัลให้ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนใช้จ่ายเงินไม่น้อย การจ้างมาทำงานชั่วคราวจึงเป็นที่นิยมมากกว่า
“ก่อนหน้านี้ก็มีสาวใช้ร่างบึกผู้หนึ่ง สาวใช้น้อยสองคน เพียงแต่สามีข้าไม่กลับมาเสียทีจึงมิกล้าจ้างพวกนางต่อ” สตรีอาภรณ์เขียวผลักถุงเงินนั้นกลับไปและส่ายหน้ายืนยัน “เรื่องพวกนี้ข้าทำมานานแล้ว ไม่มีอันใดทำไม่ได้แล้ว เงินนี้ข้ามิอาจรับไว้ได้จริงๆ หากนายท่านมีข่าวคราวของสามีข้าในเร็ววันนี้ ข้าก็ซาบซึ้งยิ่งแล้ว”
ครั้นเห็นนางยืนยันว่าไม่รับ นายท่านรองสกุลหลัวก็มิบังคับอันใดอีก เพียงรับรองกับนางว่าจะรีบสืบข่าวมาบอกนางให้เร็วที่สุด แล้วจากไปด้วยใจที่แสนอาวรณ์
กระทั่งกลับมาถึงจวน ในขณะที่กำลังจะเปลี่ยนเสื้อผ้า นางเถียนก็ให้คนมาเรียกเขา
นายท่านรองสกุลหลัวจึงกลับไปเรือนซินหยวนอย่างจำใจหลังจากที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว
“มีอันใดอีกเล่า?”
นางเถียนเจ็บร้าวในใจขึ้นมาคราหนึ่ง
แม้นยามนี้สามีนางจะไม่มีสาวใช้ทงฝังแม้เพียงคน ทว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาสามีภรรยากลับค่อยๆ จืดจางลงไปอย่างไม่รู้ตัว ดูเหมือนมันจะเริ่มขึ้นตั้งแต่เกิดเรื่องซูเหนียง สตรีสารเลวผู้นั้นนั่นเอง
เมื่อคิดถึงตรงนี้ขึ้นมา ใจของนางเถียนก็อึดอัดคับข้องขึ้นมาจนแทบทนไม่ไหว นางรู้สึกเสียใจขึ้นมาเล็กน้อยที่วันนั้นวู่วามเกินไป
แค่อนุนอกเรือนผู้หนึ่ง ตั้งครรภ์แล้วอย่างไร ให้นางอยู่ที่นี่คลอดบุตรออกมาก็ไม่มีอันใดเปลี่ยนแปลงเสียหน่อย แล้วเหตุใดถึงได้แข็งกระด้างปานนั้นเล่า
“มีเรื่องอันใดกันแน่? ประเดี๋ยวข้าต้องออกไปข้างนอกอีก” นายท่านรองสกุลหลัวรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย
นางเถียนทำปากยื่นคราหนึ่ง “ต้าหลัง…พวกเขาเป็นสามีภรรยากันอย่างสมบูรณ์แล้ว”
แรกเริ่มนายท่านรองสกุลหลัวยังไม่มีท่าทีใด ต่อมาค่อยยกมุมปากขึ้นเอ่ยว่า “พวกเขาเป็นสามีภรรยากัน เรื่องนี้อย่างไรก็เป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นในไม่ช้านี้อยู่แล้ว”
“กลางวันแสกๆ ” นางเถียนเบ้ปากอย่างดูแคลน แล้วเอ่ยด้วยโทสะว่า “นางเจินช่างมีโชคนัก ชาคราก่อนนางก็มิได้ดื่ม”
นายท่านรองสกุลหลัวยิ้มเยาะ “เดิมนั้นก็มิใช่ชาที่ทำให้คนตั้งครรภ์มิได้เสียหน่อย ดื่มหรือไม่มีอันใดสำคัญ?”
ทั่วทั้งต้าโจว เขาทราบว่ามีเพียงยาที่ทำให้แท้งเท่านั้น ส่วนยาที่ทำให้เป็นหมันนั้นมิเคยได้ยินสักนิด ไม่รู้ว่านางเถียนจะทำเรื่องให้มันวุ่นวายไปไยกัน หากมิอยากให้นางคลอดนั้นมีวิธีอีกมากมาย
“ท่านทราบอันใด ในชานั้นใส่ยาฤทธิ์เย็นเอาไว้ หากสตรีกินไปนานเข้า ภายในก็จะเย็นทำให้ยากแก่การตั้งครรภ์ แต่เห็นผลช้า หากต้องกินทุกวันก็เสี่ยงจะถูกจับได้ เช่นนั้นก็แล้วไปเถิด”
เหล็กดีควรนำไปตีมีด หมากตัวสำคัญเช่นนี้ต้องล้มเลิกไปช่างน่าเสียดายยิ่ง
“รอสักหน่อยดีกว่า ยามนี้ยังมิใช่เวลาต้องร้อนใจ ข้ากลับรู้สึกว่าน้องสี่คอยจดจ้องข้าอยู่” นายท่านรองสกุลหลัวรู้สึกกลัดกลุ้มอยู่บ้าง
“น้องสี่?” นัยน์ตานางเถียนไหวระริก “ท่านพี่ ข้าคิดเรื่องหนึ่งออกแล้ว”
“เรื่องอันใด?”
นางเถียนหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาปิดปากหัวเราะ “บุตรกับอนุผู้นั้นของน้องสี่ยังอยู่ที่เป่ยเหอมิใช่หรือ ยามนี้ก็ใกล้วันตรุษแล้ว ควรต้องรับกลับมาจวนแล้วกระมัง?”
อนุที่ใช้ชีวิตเช่นภรรยาเอกมาตลอดกับบุตรอนุที่อายุน้อยกว่าเจ้าหกแค่เพียงเล็กน้อย หึๆ หากมาถึงคงสร้างความคึกคักให้ที่นี่ไม่น้อยเลย
นายท่านรองสกุลหลัวจึงนึกขึ้นได้ เขาพยักหน้าเห็นด้วยทันที “พรุ่งนี้ตอนไปน้อมทักทาย เจ้าก็พูดกับฮูหยินผู้เฒ่าดูเถิด”
นางเถียนรู้สึกมิยินยอมอยู่บ้าง “ท่านพี่ หากให้ข้าออกหน้า มิใช่ต้องล่วงเกินผู้อื่นหรอกหรือ?”
นายท่านรองสกุลหลัวแค่นยิ้มเย็น “ข้าเป็นบุรุษ จะให้ยื่นมือไปสอดเรื่องเรือนหลังได้อย่างไร? ฮูหยินผู้เฒ่าคงได้ใช้ไม้เท้าตีข้าแน่! เจ้าสามกับภรรยาไม่เคยยุ่งเรื่องใดสักนิด ส่วนนางชีนั้นคงอยากจะให้สองแม่ลูกอยู่นอกจวนจนตายด้วยซ้ำ หากเจ้าไม่พูด เจ้าคิดว่าพวกเขาจะพูดหรือไม่?”
“แต่…” นางเถียนยังรู้สึกลังเลอยู่บ้าง
นางแสร้งเป็นคนดีมานานเกินไป จึงมิอาจกลับตัวทันในเวลากระชั้นชิดเช่นนี้
นายท่านรองสกุลหลัวจึงเอ่ยอย่างไม่เห็นเป็นสิ่งใดว่า “เวลาเปลี่ยน ทุกอย่างย่อมแปรผัน เกรงว่าต่อไปเราสองคนจะไม่มีแม้แต่ที่ยืน ข้าดูออกว่าต้าหลังระแวงเรามานานแล้ว มิเช่นนั้นเขาคงไม่มีทางสนิทสนมกับน้องสี่ที่หายตัวไปตั้งหลายปีมากกว่าข้าผู้เลี้ยงดูเขามาตั้งแต่เล็กแน่!”
ตอนนี้ปีกกล้าขาแข็งแล้ว เขามองผิดไปจริงๆ
“ความหมายของท่านพี่คือ…”
“ผู้หนึ่งหน้าแดงเขินอาย ผู้ต้องหน้าขาวดื้อด้าน ละครฉากนี้จึงจะแสดงต่อไปได้”
เขาเป็นบุรุษทั้งยังเป็นขุนนางในราชสำนัก ชื่อเสียงมิอาจเสียหาย แต่เพราะเรื่องของซูเหนียงจึงทำให้เขาผู้ที่เห็นชัดๆ ว่าจะได้เลื่อนขั้นกลับถูกลดตำแหน่งจากหน่วยงานทหารไปอยู่ที่ศาลหงหลูสถานที่อันทำให้คนรู้สึกเดือดดาลยิ่งนั้น
“ข้าเข้าใจแล้ว”
เมื่อฟ้าเริ่มมืด ประตูใหญ่เรือนชิงเฟิงกำลังจะลงกลอนปิดประตู กลับมีคนมาเคาะเสียก่อน
ไม่นานไป๋เสาก็เดินเข้ามาด้วยยใบหน้าแดงระเรื่อเล็กน้อย “ต้าไหน่ไหน่ เรือนหน้าส่งสาวใช้นำยามมามอบให้เจ้าค่ะ”
“ยา?”
ไป๋เสายิ่งหน้าแดงขึ้นไปอีก “ซื่อจื่อให้คนส่งมาที่จวน บอกว่าหากทาให้ท่านแล้ว อาการปวดต่างๆ ก็จะดีขึ้นเจ้าค่ะ”
เจินเมี่ยวหน้าแดงเถือกดุจถูกไฟไหม้ขึ้นมาทันที ความรู้สึกแปลกแปร่งทั้งหวานล้ำเกิดขึ้นในใจ นางนิ่งเงียบอยู่นาน ในที่สุดก็เอ่ยออกมาประโยคหนึ่ง “เอามาให้ข้าเถิด”
ไป๋เสาเดินเข้าไปนั่งคุกเข่าลง “บ่าวทาให้ท่านเองเจ้าค่ะ”
“ไม่ ไม่ต้อง ข้าทำเอง” เจินเมี่ยวรีบไล่คนออกไป นางกำขวดกระเบื้องขาวเล็กๆ ในมือแน่น
เจินเมี่ยวใช้เล็บป้ายยาออกมาทาแผ่วเบา บริเวณที่บวมแดง แสบร้อนเหล่านั้นกลับเย็นสบายยขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ
เมื่อเจินเมี่ยวคิดถึงเรื่องที่คนผู้นั้นกระทำเหลวไหลไปเมื่อตอนกลางวัน ใจก็เต้นตึกตักขึ้นมา นางเองก็มิทราบเช่นกันว่าเขินอายหรือรู้สึกหวานล้ำมากกว่ากันแน่
ที่ผ่านมาเพราะอาหารเลิศรสจึงคิดถึงคู่หูที่สามารถกินได้เช่นเดียวกันตน แต่ยามนี้เมื่อคิดถึงเขากลับมิได้คิดว่าคนทั้งสองจะกินอันใดด้วยกันดี ในหัวมีแต่ภาพบ่ากว้าง เอวสอบ ท่อนขายาวของเขาปรากฏขึ้นมา ทั้งเม็ดเหงื่อแวววาวนั้นอีก
จบกัน จบกัน นางจักต้องลามกกว่าสตรีทั่วไปสักหน่อยอยู่เป็นแน่
เมื่อคิดว่าเป็นเช่นนี้เจินเมี่ยวก็รู้สึกรับไม่ได้อยู่บ้าง จึงรีบหยิบหมอนขึ้นมาปิดหน้าตนไว้ เพียงครู่ความง่วงงุนก็จู่โจมเข้ามา นางจึงหลับไปอีกครา
ทว่าการหลับครานี้ ในฝันอันขมุกขมัวนั้นช่างเหลวไหลยิ่ง นางถึงกับฝันถึงเรื่องเมื่อกลางวันนี้
เมื่อตื่นขึ้นในวันที่สอง เจินเมี่ยวก็รู้สึกว่าตนดั่งคนต้องคำสาป
นางจักต้องมีอันใดผิดปกติไปแน่!
คิดไปคิดมา เจินเมี่ยวก็ตัดสินใจว่าจะหาโอกาสไปพบเจินเหยียนเพื่อสอบถามดูสักหน่อย
เมื่อเปลี่ยนอาภรณ์เรียบร้อยแล้วก็นำสาวใช้สองคนไปน้อมทักทายฮูหยินผู้เฒ่าที่เรือนอี๋อาน
ปกติผู้ที่มาเช้าที่สุดจะเป็นนางเถียน แต่วันนี้นางกลับมาช้าไปเล็กน้อย เมื่อเดินเข้ามาในห้องก็สอบถามสารทุกข์สุกดิบไม่กี่คำก็เอ่ยเย้าขึ้นว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า เมื่อวานสะใภ้ส่งคนไปเอาน้ำแกงที่ห้องครัวใหญ่ จึงได้ยินมาว่าหลานสะใภ้ซื้อเนื้อแพะมาไม่น้อย บอกว่าจะทำหม้อไฟ หม้อไฟหลานสะใภ้มีรสชาติเช่นไร? ตอนนั้นข้ารู้สึกสนใจยิ่งจึงส่งคนไปถามที่เรือนชิงเฟิง ต่อมาจึงทราบว่าต้าหลังก็อยู่ที่นั่นด้วยจึงมิได้เข้าไปรบกวน”