พอถึงช่วงหลังเลิกเรียน พวกเราก็ได้ไปยังคาเฟ่ที่พวกเราได้ตกลงกันเอาไว้ คาเฟ่นี้อยู่ตรงหน้าสถานีรถไฟ และเนื่องจากที่นี่มีคนพลุกพล่านเต็มไปหมด ทำให้ฉันคิดว่าการพูดคุยของพวกเราคงจะไม่บานปลายจนกลายเป็นทะเลาะกันละนะ แล้วนี่ฉันจะมาทำตัวเป็นกังวลอยู่ทำไมละเนี่ย ก่อนหน้านี้ยูเมะและชิซากิเองก็เป็นห่วงและขอตามมาด้วย และก็เป็นฉันที่เป็นคนปฏิเสธพวกเธอไปเองไม่ใช่รึยังไงกัน เพราะพวกเธอเองก็ติดงานพาร์ทไทม์ในวันนี้และคงจะไม่ดีถ้าต้องลากพวกเธอมายุ่งเกี่ยวด้วย นอกจากนี้ถ้าฉันให้พวกเธอลางานและมากับฉันจริงๆล่ะก็ มันก็จะเป็นการแสดงว่าฉันกลัวไม่ใช่รึไง ฉันก็เลยตอบกลับความหวังดีของพวกเธอไปด้วยน้ำเสียงร่าเริงว่า “ไม่เป็นไรหรอก!” ไงล่ะ
จริงๆแล้ว ฉันก็รู้สึกกลัวนั่นแหละ แต่ตอนนี้มันไม่ใช่เวลาที่ฉันจะมาทำตัวอ่อนแอได้นะ เพราะมันจะทำให้ฉันเหมือนกับเป็นฝ่ายที่แพ้ยังไงล่ะ ฉันจึงได้ทำการสั่งลาเต้ใส่นมเยอะๆและมองหาที่นั่ง
เมื่อฉันมองไปรอบๆ ก็พบกับฟุวะที่นั่งรอฉันอยู่แล้ว ดูเหมือนว่าเธอจะมาถึงที่นี่ตั้งแต่ก่อนหน้าแล้ว เธอกำลังนั่งรออยู่ที่โต๊ะบนชั้นสอง ทั้งฟุวะและเงาสะท้อนในกระจกของเธอช่างสง่างามทั้งคู่ ทำให้ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมผู้คนโดยรอบถึงจ้องมองเธอเป็นหนึ่งตาเดียว แม้แต่ผู้คนที่ผ่านไปมาตามท้องถนนก็ยังถูกดึงดูดโดยความงดงามของเธอและตัดสินใจเข้ามาในร้าน คงจะไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่คาเฟ่แห่งนี้จะต้องการให้เธอมาที่นี่ทุกวันเพื่อกระตุ้นยอดขายของร้าน
มีกาแฟดำธรรมดาแก้วหนึ่งอยู่ตรงหน้าเธอ ซึ่งเข้ากับภาพลักษณ์ของเธอเป็นอย่างมากจนถึงกับทำให้ฉันต้องครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้ว่าเธอจงใจสั่งกาแฟนี้มาเพื่อให้เข้ากับภาพลักษณ์ของเธอเอง และทำให้ฉันเผลอหัวเราะคิกคักให้กับความคิดนั้น
“… มีอะไรงั้นเหรอ”
“อ๊ะ ไม่มีอะไรหรอก จะว่าไปเธอมาที่แบบนี้บ่อยงั้นเหรอ”
“ก็มาเป็นปกติละนะ”
“หืมม ปกติงั้นเหรอ”
อืม อืม
และนี่ก็คือจุดสิ้นสุดของการสนทนาของพวกเรา…
ฟุวะไม่ได้พูดอะไรต่อและเริ่มดื่มกาแฟของเธอ นี่มันไม่ใช่เพราะว่าฉันหาเรื่องพูดคุยไม่เก่งหรอกนะ ถ้าฉันมากับเพื่อนของฉันล่ะก็ ฉันสามารถหาเรื่องหลายเรื่องมาคุยได้อย่างเป็นธรรมชาติเลยนะ มันก็แค่ถ้าดันเปลี่ยนเป็นฟุวะ มันจะไม่ค่อยเป็นธรรมชาตินี่สิ
แต่ก็ไม่ใช่ว่าพวกเราจะทนอยู่แบบนี้ต่อไปเรื่อยๆได้นะ ฉันไม่ได้มาที่นี่เพื่อที่จะมาเป็นหุ่นกระบอกในร้านซักหน่อย ฉันจึงตัดสินใจที่จะถามถึงเหตุผลที่เธอถึงนัดฉันออกมาหลังเลิกเรียนกับเธอ
“แล้วมีเรื่องอะไรที่เธออยากจะคุยด้วยงั้นเหรอ”
“.…”
หาาา นี่เธอกำลังเมินฉันอยู่งั้นเหรอ ล้อเล่นกันรึเปล่าเนี่ย
“เป็นเรื่องที่ฟุวะได้ยอมขัดกับบุคลิคของเธอและถึงกับนัดฉันออกมาหลังเลิกเรียนแบบนี้… เธอคงจะไม่ขอให้ฉันทำเรื่องอะไรที่มันไม่ดีใช่ไหม จะว่าไปตั้งแต่แรกแล้วพวกเราก็ไม่เคยคุยกันเลยนี่นะ ในตอนที่เธอบอกว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่สามารถพูดที่โรงเรียนได้… มันก็ฟังดูแปลกๆยังไงชอบกล อืม แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ตกลงที่จะมากับเธอไปแล้วละนะ”
ฟุวะได้หยิบกระเป๋านักเรียนออกมาและทำท่ากำลังควานหาบางอย่างในนั้น จากนั้นเธอก็หยิบซองจดหมายหนึ่งขึ้นมาและวางลงบนโต๊ะพร้อมกับเลื่อนมันมาหาฉัน น่าสงสัยชะมัด…
“นี่คือ…”
นี่คืออะไรเหรอ… ฉันเลือกที่จะกลืนคำถามนั้นเข้าไปในลำคอ และเปิดซองจดหมายนั้นอย่างช้าๆ ตาของฉันเบิกกว้างให้กับสิ่งที่อยู่ข้างในซองจดหมายสุดน่าสงสัยนี้ มันมีเงินอยู่ชุดหนึ่งพร้อมกับป้ายที่เขียนว่า [1,000,000] อยู่ข้างใน
“หาา!? เอ๋ นะ นี่มันอะไรกันเนี่ย เป็นอะไรอย่างของขวัญงั้นเหรอ หรือของเล่น หรือว่าจะเป็นแบงค์ปลอม!?”
“นั่นนะเป็นของจริงแท้แน่นอน”
“นั่นมันเป็นคำตอบที่ฉันอยากจะได้ยินน้อยที่สุดเลยนะ!”
ฉันเอามือกุมหัวอย่างหมดรูปหลังจากที่วางมันกลับไปบนโต๊ะที่อยู่ตรงหน้าพวกเรา
“นี่มันเรื่องอะไรกัน!? เธอกำลังอวดความมั่งคั่งของเธอให้กับฉันที่ยากจนคนนี้น่ะเหรอ เธอเป็นอะไรอย่างตัวร้ายจากในการ์ตูนรึยังไงกัน!?”
“อย่างกับฉันจะทำอะไรอย่างงั้นแหละ”
ฟุวะเสียดแทงฉันด้วยสายตาที่เบื่อหน่ายของเธอ เดี๋ยวสิ ทำไมเธอถึงมองฉันแบบนั้นกันล่ะ มันควรจะเป็นฉันที่อยู่ดีๆก็ถูกเธอแสดงเงินจำนวนมากใส่ไม่ใช่รึไง! จากมุมมองของคนอื่นในคาเฟ่นี้แล้ว พวกเราเป็นนักเรียนมัธยมปลายหญิงสองคนพร้อมกับซองจดหมายที่แนบเงินมาด้วยนั้น ดูยังไงมันก็น่าสงสัยสุดๆไปเลยไม่ใช่เหรอ นี่เป็นฉากธุรกิจอะไรแบบนั้นรึไงกัน รีบเอาซองนั่นเก็บเข้าไปในกระเป๋าของเธอเลยนะ
“นั่นก็เพราะฉันมีหนึ่งร้อยล้านเยนจริงๆยังไงล่ะ”
“ของจริงเหรอเนี่ย… นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตเลยนะเนี่ยที่ได้เห็นเงินหนึ่งร้อยล้านเยนของจริงเนี่ย”
“เธอเคยพูดเกี่ยวกับเรื่องนั้นไว้ใช่ไหม ซากากิบาระซัง”
“…เรื่องอะไรงั้นเหรอ เอ๋ รึจะเป็นเรื่องที่ว่าฉันถังแตกอยู่งั้นเหรอ หาา หมายความว่าเธอจะให้ฉันหนึ่งร้อยล้านเยนงั้นเหรอ”
“เรื่องอะไรฉันจะให้เงินเธอง่ายๆแบบนั้นล่ะ”
ฉันรู้อยู่แล้วล่ะ
ฟุวะได้ค่อยๆสาวผมสีสดใสไปไว้ข้างหลังใบหูของเธอ เธอขยับริมฝีปากสีเชอรี่ไปยังหลอดดูด เธอแค่กำลังเพียงดื่มกาแฟ แต่ราวกับว่าในตอนนี้ฉันกำลังมองเห็นถึงรูปวาดที่แสนงดงามอยู่
บทสนทนานั้นก็เป็นสิ่งที่ก็มีจังหวะของตัวมัน ซึ่งตอนนี้เป็นจังหวะของเธอ แต่ทำไมเธอมาดื่มกาแฟอย่างเมินเฉยกันละเนี่ย เธอทำทุกอย่างตามจังหวะของเธอเอง และนี่คงเป็นธรรมชาติของเธอที่ต้องให้คนอื่นรอเธอ และนี่ก็เป็นสาเหตุที่ว่าทำไมฉันถึงเข้ากับเธอไม่ได้จริงๆ
หลังจากที่เธอดื่มกาแฟจนหมดแล้ว เธอก็เปิดปากของเธออย่างช้าๆอีกครั้ง
“ฉันได้ยินมาว่าเธอจะไปเป็นอะไรอย่างคู่เดทสนับสนุนโดย 10,000 เยนต่อวันสินะ”
“แอบดักฟังงั้นเหรอ หืม นั่นไม่ใช่งานอดิเรกที่ดีเลยนะรู้ไหม”
“ผู้หญิงคบกันงั้นเหรอ เป็นไปไม่ได้หรอกน่า”
“…ฉันพูดแบบนั้นก็จริงอยู่ แล้วเธอมีปัญหาอะไรกับเรื่องนั้นกัน และก็เธอเลียนน้ำเสียงฉันได้ห่วยสุดๆ”
“รู้ไหม ฉันน่ะเกลียดคนประเภทที่ชอบด่วนตัดสินอะไรบางอย่าง โดยเฉพาะที่พูดว่า ‘เป็นไปไม่ได้หรอกนะ’ ทั้งที่คนพวกนั้นยังไม่ได้ลองพยายามเลยแม้แต่น้อยน่ะ”
“หาาา”
อะไรกันละเนี่ย นี่เธอจะมาหาเรื่องกันรึยังไง
“อืม แต่ก็ไม่ใช่แค่ฉันคนเดียวซักหน่อย ยูเมะและชิซากิก็พูดเหมือนกันไม่ใช่รึไง”
“แต่คนที่มีปัญหาทางด้านเงินก็คือซากากิบาระซังใช่ไหมล่ะ นั่นแหละเหตุผล”
ฟุวะได้แกว่งซองจดหมายต่อหน้าฉัน อย่างกับว่าเป็นนักขายมือฉมัง เธอยิ้มอย่างเย้ายวนในขณะที่ปลดปล่อยบรรยากาศอย่างผู้มีอำนาจเหนือกว่า น-นี่เธอต้องการอะไรกันแน่เนี่ย…
“10,000 เยนต่อวัน เธอจะต้องมาเป็นคู่เดทสนับสนุนของฉันเป็นเวลาทั้งหมด 100 วัน รวมเป็นทั้งหมดหนึ่งร้อยล้านเยน ฉันจะแสดงให้เธอเห็นเองว่าความคิดของเธอนั้นผิด โดยการให้เธอประสบกับสถานการณ์ของจริง”
เธอได้พูดอะไรบางอย่างที่ดูน่าเหลือเชื่อออกมา ถึงแม้ว่าฉันจะทนต่อความแปลกประหลาดได้ค่อนข้างดีก็เถอะ แต่ตอนนี้มันแปลกเกินไปจนฉันรู้สึกชักอยากที่จะกลับบ้านแล้วสิ
“หา นี่เธอปกติดีอยู่รึเปล่าเนี่ย”
ฉันตัดสินใจเผชิญหน้ากับเธอและถามสิ่งที่คิดอยู่ออกไปตรงๆ
“ก่อนอื่นเลย มันก็เป็นเรื่องแปลกที่ผู้หญิงจะคบกันเองอยู่แล้ว ก็แบบไม่ใช่เรื่องที่คนปกติเขาจะทำกันละนะ”
“แต่เท่าที่ฉันรู้ ขายร่างกายของเธอให้กับตาลุงวัยกลางคนก็ไม่ใช่เรื่องปกติที่คนเขาจะทำกันเหมือนกันนะ”
“ฉันไม่ได้จะขายมันซักหน่อย มันก็แค่อะไรอย่างหว่านเสน่ห์เบาๆก็แค่นั้นเอง ก็แค่ต้องยิ้มและปล่อยให้พวกเขาเลี้ยงฉันด้วยของอร่อยๆ มันเรียบง่ายและก็ง่ายสุดๆเลยนะ”
ฉันสัมผัสได้ถึงสายตาของเธอที่เริ่มเฉียบแหลมขึ้นเรื่อยๆ การที่เธอทำให้ฉันถูกกดดันด้วยบรรยากาศรอบตัวเธอ นั่นแหละคือสิ่งที่ฉันรับมือได้ไม่ถนัด
“เธอคิดว่ามันเป็นเรื่องง่ายๆจริงเหรอ จะเกิดอะไรขึ้นล่ะถ้าคู่ของเธอเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ เธอจะทำยังไงถ้าเธอถูกรายงานให้กับทางโรงเรียน ถ้าไม่ใช่ในกรณีนั้น แต่ถ้าคู่ของเธอดันเป็นอาชญากรล่ะ มันคงเป็นเรื่องที่ง่ายเลยล่ะที่จะถูกลากเข้าไปพัวพันกับบางอย่างที่แสนเลวร้าย เธอเคยได้คิดถึงเรื่องแบบนี้บ้างรึเปล่า ตั้งแต่แรกเลย เธอสามารถเชื่อใจคนที่บอกเรื่องนั้นกับเธอได้อย่างเต็มที่รึเปล่า”
คำถามที่มากมายของเธอเบียดฉันจนแน่นไปหมด ทุกอย่างที่เธอพูดเป็นเรื่องจริง ฉันไม่สามารถที่จะปฏิเสธมันได้เลย ฟุวะก็ยังคงจ้องมองมาที่ฉันด้วยสายตาที่เบื่อหน่ายเช่นเคย “ฉันเดาได้เลยว่าเธอต้องไม่เคยคิดเรื่องอะไรแบบนี้มาก่อนแน่ เท่าไหร่ล่ะ กระเป๋าใบที่เธอต้องการน่ะ”
ทำไมเธอถึงถามอะไรแบบนั้นล่ะ
“ก็ประมาณ 30,000 เยนน่ะ ทำไมเหรอ”
ฟุวะดึงธนบัตร 10,000 เยนจากซองจดหมายออกมา 3 ใบและแกว่งพวกมันตรงหน้าฉัน
“เพียงแค่นี้เธอก็จะสามารถที่จะซื้อกระเป๋าใบนั้นได้แล้วนะ และเงินที่เหลือก็จะเป็นของเธอเช่นเดียวกัน แค่มาเป็นคู่เดทสนับสนุนของฉันแค่นั้นเอง”
ยัยผู้หญิงที่เหมือนกับแม่มดพร้อมกับท่าทางที่ยั่วยวนคนนี้ ทำให้ฉันเหมือนกับเห็นถึงเขาและหางปีศาจอยู่บนตัวเธอเลย บ้าจริง จะเหมาะกับเธออะไรแบบนี้
“ไม่ แต่ว่ามัน…”
เหมือนกับแมวที่จ้องมองดูลูกบอลไหมพรม ลูกตาของฉันก็ได้แกว่งไปมาตามเงิน 30,000 เยนนั้น
“สำหรับฉันแล้วการที่จะขายร่างกายให้กับฟุวะละก็…เป็นไปไม่ได้หรอก”
“อย่างน้อย เธอก็จะไม่ตกอยู่ในอันตรายถ้าคู่ของเธอเป็นคนอย่างฉันละนะ”
อืมม เรื่องนั้นก็อาจจะจริง แต่ว่า…
“ถ้าคนอื่นเขารู้เรื่องนี้เข้าละก็ นั่นคงจะเป็นจุดจบของชีวิตฉันแน่”
“เธอก็แค่ต้องมาอยู่กับฉันหลังเลิกเรียนก็พอ สถานที่ก็คือบ้านของฉัน ดังนั้นไม่ต้องห่วง จะไม่มีใครเห็นอะไรแน่ เพราะฉันเองก็ไม่อยากเป็นที่รู้จักว่าเป็นคนที่สามารถชนะใจซากากิบาระซังได้ด้วยเงินเหมือนกันนะ”
ฟุวะได้ให้เหตุผลกับฉันว่าทำไมฉันถึงไม่ควรที่จะกลัวข้อเสนอนี้ เธอได้ใช้ความเฉลียวฉลาดในการทำให้ฉันรู้สึกสนใจและคงความสนใจของฉันไว้ มาริกะที่ละโมภมากในตัวของฉันซึ่งโหยหาเงินหนึ่งล้านเยนเหมือนจะตอบรับข้อเสนอของฟุวะไปเสียแล้วสิ
ไม่สิ นี่คือฟุวะ อายะ คนนั้นเชียวนะ นี่จะต้องเป็นอะไรอย่างกับดักแน่
…แต่ ก็เพราะว่าเป็นฟุวะ อายะ คนนั้นเหมือนกันที่ทำให้ฉันมั่นใจว่านี่ไม่ใช่อะไรอย่างเรื่องล้อเล่น
“เข้าใจแล้ว เธอยังคงตัดสินใจไม่ได้สินะ งั้นถ้าเธอต้องการ เรามาเปลี่ยนข้อตกลงเป็นการเดิมพันกันดีกว่า”
ฟุวะเก็บธนบัตรกลับเข้าไปในซองจดหมายและเก็บมันเข้าไปในกระเป๋าของเธอ
“ในอีก 100 วันข้างหน้า ถ้าเกิดว่าเธอได้เปลี่ยนความคิดที่ว่า ‘ผู้หญิงสองคนไม่มีทางคบกันได้’ ล่ะก็ จะถือว่าฉันเป็นฝ่ายชนะ และฉันจะเก็บเงินหนึ่งล้านเยนนั่นกลับไป แต่ถ้าฉันล้มเหลวในการทำให้เธอเปลี่ยนความคิดได้ หนึ่งร้อยล้านเยนนั้นจะกลายเป็นของเธอ จากเดิมที่ 10,000 เยนต่อวัน เป็นไงบ้างล่ะ”
…หา
นี่มันหมายความว่ายังไงกัน…
“มันจะไม่เป็นไรกับเงื่อนไขนี้งั้นเหรอ ก็แบบ ไม่ใช่ว่าฉันจะเปลี่ยนใจหรอกนะในเรื่องที่ว่าผู้หญิงไม่มีทางคบกันได้เนี่ย”
“ถ้านั่นคือสิ่งที่เธอคิดในตอนจบล่ะก็ ก็ไม่เป็นไรหรอก”
ฟุวะได้ดื่มกาแฟดำของเธออีกครั้ง ในขณะที่ฉันเองก็เติมน้ำตาลให้กับสมองของตัวเองด้วยการดื่มลาเต้ เอาล่ะใจเย็นลงก่อนและลองค่อยๆคิดดีกว่า
ฟุวะนั้นเป็นคนที่ร่ำรวย ดังนั้นหนึ่งร้อยล้านเยนสำหรับเธอแล้วคงจะไม่ได้มีความหมายอะไรมาก คงเทียบเท่ากับคนธรรมดาอย่างฉันที่ใช้เงินไปกับการซื้อน้ำผลไม้จากตู้ขายน้ำอัตโนมัติ บางทีนี่คงเป็นเหตุผลว่าทำไมในตอนนี้เธอถึงดูสงบเสงี่ยมเหลือเกิน
“…”
ฉันสังเกตฟุวะอย่างละเอียด รูปพรรณของเธอนั้นงดงามหาผู้ใดเทียบเคียง แต่สิ่งที่อยู่ข้างในหัวของเธอนั้นยังคงเป็นปริศนาเหมือนเช่นเคย ฉันสามารถรู้สึกได้ถึงสายตาของผู้คนโดยรอบที่จ้องมาตั้งแต่ตอนที่ฉันได้นั่งลงแล้ว และดูเหมือนว่าความสนใจของพวกเขาจะแบ่งได้เป็น 30% กับฉัน และ 70% กับฟุวะ ทำให้ฉันรู้ตัวว่าถึงแม้ว่ารูปพรรณของฉันเองจะน่ารัก แต่ก็เป็นสิ่งที่สามารถหาพบได้อย่างง่ายดาย ไม่เหมือนกับความงดงามฟุวะที่สง่างามมากซะจนผู้คนยากที่จะพูดคุยกับเธอได้
ราวกับว่าเธอกำลังท้าทายฉันอยู่ เธอเอียงคอและใช้สายตาที่น่าหลงใหลนั้นมองมาที่ฉัน และกำลังพูดอยู่ว่า ‘เธอกลัวงั้นเหรอ’ อะไรแบบนั้นอยู่เลย
ฉันตัดสินใจที่จะสู้กับสายตาของฟุวะด้วยความตั้งมั่น ใช่แล้ว มาแข่งกันเถอะ ฉันจะชนะการเดิมพนันนี้และรับเงินหนึ่งร้อนล้านเยนนั่นไปเอง ผลของการต่อสู้นี้มันรู้ตั้งแต่แรกเริ่มแล้วล่ะ ฉันจะต้องเป็นผู้ชนะอยู่แล้ว และฉันเองก็ไม่มีอะไรจะเสียด้วยเหมือนกัน ดังนั้นเรามาแข่งกันเถอะ
“ตกลง ฉันจะรับข้อเสนอของเธอ มาแข่งกันเถอะ”
“หืมม ฉันนี่ล่ะชอบความมุ่งมั่นของเธอจริงๆ”
ฟุวะมองมาที่ฉันด้วยสีหน้าที่เหมือนกับเห็นอะไรบางอย่างที่น่าสนใจ ในตอนนี้ใบหน้าของเธอนั้นไม่ใช่ของฟุวะ อายะที่ฉันได้เห็นตลอดในชั้นเรียน แต่เป็นรอยยิ้มสดใสงดงามที่เต็มไปด้วยสเน่ห์และความน่าหลงใหล
ไม่ ไม่ใช่ว่านั่นเป็นความชอบอะไรส่วนตัวของฉันหรอกนะ มันก็แค่อะไรอย่างความคิดเห็นแบบเป็นปกติทั่วไปเท่านั้นเอง ใช่แล้ว เหมือนกับความคิดเห็นของบุคคลภายนอกที่เยือกเย็นและเป็นกลางยังไงล่ะ
“ในทางกลับกัน ขอฉันถามฟุวะอะไรบางอย่างหน่อยได้รึเปล่า”
“แน่นอน ว่ามาสิ”
“เธอเป็นเลสเบี้ยนงั้นเหรอ”
ฟุวะวางแก้วเปล่ากลับไปบนโต๊ะ เธอสาวผมยาวสลวยของเธอไปไว้ข้างหลังใบหู และราวกับว่าเป็นแม่มดที่กำลังทำการล่อลวงเหยื่ออยู่ เธอได้จ้องมองมาที่ฉันด้วยสายตาคมกริบ
“เดี๋ยวมาริกะก็จะเป็นเหมือนกันนั่นแหละ ฉันจะทำให้เธอตกหลุมรักฉันอย่างสมบูรณ์เลยล่ะ”
“หยุดเลยนะ!”
ถึงแม้ว่าพวกเราจะอยู่ข้างในคาเฟ่ แต่ฉันก็เผลออดไม่ได้ที่จะเผลอตะโกนออกมา ในตอนนี้ฉันรู้สึกเหมือนกับว่าขนลุกไปทั่วทั้งตัว
**
เด็กสาวมัธยมปลายคือสิ่งมีชีวิตที่ธรรมชาติแล้วเต็มไปด้วยความรู้สึกละโมภ พวกเรามีของหลายอย่างที่เราอยากได้ สัญชาตญาณนี้มีความรุนแรงมากกว่าความรู้สึกไม่สบายใจของฉันที่มีต่อฟุวะเสียอีก และนี่คือเหตุผลหลักที่ฉันถูกเกลี้ยกล่อมให้ตกลงในสิ่งที่ไม่คาดฝันเช่นนี้
แต่ก็ไม่ใช่ว่าฉันจะเปลี่ยนใจของฉันหรอกนะ เพราะว่าไม่ว่ายังไงผู้หญิงก็ไม่มีทางคบกันได้ยังไงล่ะ
ฟุวะเองก็เหมือนกัน บางทีอาจจะมีหญิงสาวมากมายที่ได้ตกหลุมรักในดวงตาอันยั่วยวนและใบหน้าที่งดงามของเธอมาก่อน แต่เธอคงจะคิดผิดอย่างมหันต์ ถ้าเธอคิดว่าฉันจะเป็นเหมือนกับผู้หญิงพวกนั้น ซากากิบาระ มาริกะ ผู้นี้จะไม่ตกหลุมรักผู้หญิงที่รู้จักแต่วิธีการใช้รูปพรรณของตัวเองโดยเด็ดขาด
วันต่อมา ยูเมะและชิซากิก็ได้ถามฉันถึงเรื่องที่ฉันได้ออกไปคุยหลังเลิกเรียนกับฟุวะ พวกเธอดูเหมือนจะรู้สึกกังวล ดังนั้นฉันเลยตอบกลับไปอย่างปกติว่าทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี ฉันเหลือบมองอย่างสุขุมไปที่ฟุวะ ผู้ที่กำลังนั่งอยู่บนโต๊ะของเธอและกำลังมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างสงบ เหมือนอย่างเคย ฉันไม่รู้เลยว่าในตอนนี้เธอกำลังคิดอะไรอยู่ ทำให้ฉันนึกได้ถึงสาเหตุที่ทำให้ฉันไม่สามารถรับมือกับเธอได้
ความรู้สึกนี้จะไม่มีทางเปลี่ยนไปแน่ถึงแม้ว่าจะเป็นหลังจากที่การต่อสู้ของพวกเราจบลงแล้ว ฉันสามารถรับประกันอย่างมั่นใจได้เลยว่าจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปแน่นอน ที่ฉันทำแบบนี้ก็เพื่อผลประโยชน์เงินหนึ่งร้อยล้านเยนเพียงเท่านั้น ตอนนี้ฉันก็น่าจะควรวางแผนคิดล่วงหน้าไว้เลยสินะว่าจะเอาเงินรางวัลไปทำอะไรดี
สรุปก็คือฉันจะเป็นผู้ชนะในศึกตัดสิน 100 วันนี้ และด้วยเหตุประการฉะนี้เรื่องราวแห่งชัยชนะอันรุ่งโรจน์ของฉันก็ได้เปิดม่านขึ้น