ตอนที่11
[เออนี่เจ้าหนู…แล้วการแข่งขันเรียนจบที่เจ้าหญิงพูดถึงเมื่อกี้ มันคืออะไรกันแน่]
ในที่สุด การเรียนเสริมก็จบลงสักทีและผมก็กำลังกลับบ้าน ในตอนที่เขาเดินที่ถนนในย่านค้าขาย จอมมารก็ถามผม
”หืมม? {แมตช์ระลึกวันเรียนจบ} หรอ?”
[เออนั่นแหละ ดูจากชื่อนั้น มันคงจะจัดขึ้นตอนวันเรียนจบที่จะแข่งขันกันต่อหน้าพวกชนชั้นสูงและราชวงศ์…]
”เอ่อ เข้าใจแบบนั้นก็ไม่ผิดหรอก จริงๆมันก็คือการที่ให้พวกนักเรียนที่เรียนจบระดับท็อปได้มีโอกาสแสดงผลลัพธ์ที่ได้มาจากการเรียนตลอด3ปี ต่อหน้าองค์จักรพรรดิ นั่นเป็นเหตุผลที่งานนี้ถูกจัดขึ้น”
[โฮ่~…มันจะจัดเมื่อไรละ?]
“ประมาณอีก2เดือนนับจากนี้”
ใช่แล้วนั่นเป็นการโชว์ความสามารถของผู้สมัครรุ่นเยาว์ก่อนจะเรียนจบที่อยากจะเป็นนักรบ และพวกระดับท๊อปจะได้แสดงพลังต่อหน้าองค์จักรพรรดิและชนชั้นสูงทั้งหลาย รวมไปถึงพวกหัวหน้าขององค์กรนักรบทั้งหลาย แล้วก็พวกต่างประเทศด้วย มันอาจจะพูดได้เลยว่ามันเป็นโอกาสเดียวในชีวิต และก็ขึ้นอยู่กับผลลัพธ์ที่แสดงออกมา มันอาจจะส่งผลอย่างใหญ่หลวงต่อชีวิตของคนๆนึงเลย
แต่จริงๆผมก็ไม่ค่อยสนมันหรอก
[หืม…แล้วกิจกรรมพวกนี้?แล้วยังไง?]
”หืมม?”
[จากที่เจ้าโต้เถียงกับเจ้าหญิงเมื่อกี้ เจ้าก็คงเข้าร่วมเช่นกันใช่มั้ย? ตามที่เจ้าพูดมันจะจัดขึ้น2เดือนหลังจากนี้ ถึงงั้นเจ้าก็ดูไม่กระตือรือร้นเกี่ยวกับมันเลยนะ นี่มันไม่ได้กระตุ้นอะไรเจ้าเลยหรอ?]
จอมมารพูดถึงมันเหมือนกับว่าเขาอ่านใจผมได้
ใช่ ผมไม่ได้สนใจกับมันเลย
ในอีก2เดือนข้างหน้า เจ้าหญิงก็คงชนะ…มันน่าโมโห แต่ไม่ว่าผมจะฝึกหนักขนาดไหน…
”…ตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ผมก็เตรียมตัวอับอายขายขี้หน้าไว้แล้วหละ”
[ข้าเห็นแล้ว…]
นั่นเป็น1ในเหตุผล
อย่างไรก็ตาม เหตุผลที่ใหญ่ที่สุดที่ผมไม่สนใจก็เพราะ…
[ฟุ…ส่วนใหญ่แล้ว…มาจากเพราะว่าพวกเขามองเจ้าในฐานะลูกของฮีโร่ฮิโระ…และไม่เหมือนกับเจ้าที่ต้องอยู่กับความคาดหวังมากมาย นั่นเป็นสิ่งที่เจ้าสื่อจริงๆสินะ]
”เอ๋!?”
[มันค่อนข้างน่าด่า…สำหรับความย่ำแย่…ที่เจ้าเป็นอยู่ เจ้าเกลียดความรู้สึกเศร้าที่ว่าเจ้าด้อยกว่าพ่อใช่มั้ยหละ?]
ในตอนนั้น จอมมารกับรอยยิ้มยิงฟัน พุ่งตรงทะลวงไปในใจความสำคัญเลย
”โอ้ ไม่ใช่แบบนั้น…ตรงข้ามเลย ถ้าเป็นแบบนั้นจริง คนที่เสียหน้าคือพ่อต่างหาก นั่นเป็น…”
มันไม่จริงหรอก มันแค่การแสดง ผมไม่ได้คิดแบบนั้นเลย
แต่การบลัฟของผมก็ไร้ความหมาย
[โฮ่~นี่หัวดื้อใช่มั้ยเนี่ย? แต่ในใจเจ้า…เจ้าต้องการกลับไปเป็นเหมือนพ่อเจ้า เจ้าต้องการกลับไปในโลกนี้ นั่นไม่จริงหรอ? และข้าก็เข้าใจเรื่องที่เจ้าไม่มีพรสวรรค์ด้วย]
”เห๋!?”
ผมขึ้นเสียงและหันกลับไปจ้องเขาโดยไม่รู้ตัว
”ยะ-อย่ามาพูดพล่อยๆนะ นายรู้จักผมดีพอจะพูดแบบนั้นหรอ?”
[โอ้ว้าว อย่าปฏิเสธเรื่องที่ข้าไปซ้ำแผลเก่าเจ้าเลยน่า…รวมถึงอย่าปฏิเสธเรื่องที่เจ้าฝึกหนักด้วย]
”เอ๋!?”
[ทุกอย่างย่ำแย่ลงภายใต้ความคาดหวังเหล่านั้น เจ้าอยากจะหยุดความคาดหวังเหล่านี้แม้จะต้องดูโง่เง่าก็ตาม ข้าว่านี่แหละคือสาเหตุที่เจ้าไม่อาจก้าวข้ามพ่อ]
”นะ-นายพูดมั่วแล้ว…”
[เลิกเป็นตัวเอง เจ้าจะโกรธโมโหแล้วก็จะท้อแท้ พรสวรรค์จะพบได้ก็ตอนที่ยอมแพ้แล้วก้าวต่อ เขารู้ถึงความอ่อนแอของตัวเอง…มันแตกต่างกันมั้ยหละ]
ไม่สำคัญหรอกว่าผมจะพูดอะไร มันไม่มีประโยชน์หรอก จอมมารมองทะลุความคิดผมได้
มันเพียงพอที่จะทำให้ผมเข้าใจ และผมก็กำหนัดแน่นด้วยความโกรธและอับอาย
”หะ-หุบปาก! พวกผีที่พ่ายแพ้แล้วตายไปแล้วไม่มีสิทธิมาดูถูกคนอื่นหน้าตาเฉยหรอกนะ!”
[…อะไรวะนั่น?]
”ตามธรรมดาเลยนะ ถ้าผมยอมแพ้ โกรธ ท้อแท้ แล้วนายละ? นายมันก็เป็นพวกน่าสมเพชที่เอาแต่แก้ตัวเรื่องที่แพ้เหมือนกันแหละ!”
[หืม!?]
ในตอนนั้น ผมพูดสิ่งนั้นไปแล้วก็ดูถูกจอมมารอย่างสบายใจ ทำให้คิ้วเขากระตุกเลยทีเดียว
[เจ้าหนู ข้าแก้ตัวเรื่องที่แพ้ตอนไหนมอทราบ?]
”โอ้ ย้อนกลับไปไง นายพูดว่าพ่อกับคนอื่นๆขี้โกง”
[นั่นไม่ใช่การแก้ตัวแต่เป็นความจริง…ถ้าสู้หนึ่งต่อหนึ่ง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าข้าชนะใสๆ]
”ตลกตายละ…นายจะพูดแบบนั้นเท่าไรก็เชิญ”
[นี่!?]
”นายก็ไม่ได้เก่งสักเท่าไรละสิท่า ใช่มั้ยละ?”
ถ้าอีกฝั่งพูดกับผมมาแรงๆ ผมก็จะพูดกลับไปแบบนั้น ถ้าเราไม่สู้กลับ พวกเขาก็จะยั่วยุเราต่อได้เรื่อยๆตามที่ต้องการ
แล้วจอมมารก็เข้ามาใกล้ผมด้วยท่าทางที่ชั่วร้าย
[อย่ามาพูดกับข้าแบบชอบใจอย่างงั้นนะ ไอเด็กเวร! เจ้าบอกว่าข้าขี้โกหกรึ?]
…ไม่ดีแน่ ความกดดันนี้เหมือนกับกลัวอะไรสักอย่าง เหมือนกับว่ามันจะเปลี่ยนเป็นอะไรอย่างอื่นเลย
[ก็ได้! ในตอนนั้น เพียงแค่เศษเสี้ยวของพลังของข้า ข้าก็สามารถพิสูจน์ว่าข้าเหนือกว่าวีรชนแต่ละคนยิ่งนัก]
และในตอนที่เข้ามาใกล้ผมด้วยออร่าอันทรงพลังที่เต็มเปี่ยมในตัวเขา จอมมารก็ให้ข้อเสนอมา
เขาเคยพ่ายแพ้ไปแล้วในอดีต แต่เขาก็คงชนะถ้าพ่อของผมไม่ได้ใช้วิธีขี้ขลาดและอ่านสถานการณ์ได้(ถ้าพ่อพระเอกอ่านสถานการณ์ อาจจะสู้ตัวต่อตัวมั้งครับ)
…เพื่อที่จะพิสูจน์ว่าเขาเหนือกว่าพ่อผมอย่างแน่นอน
แต่ว่า…
”…นายทำไม่ได้นิ ใช่มั้ย? เพราะแบบว่า นายเป็นผีไง”
ใช่แล้ว มันเป็นไปไม่ได้ที่จอมมารที่เป็นผีจะได้เห็นหรือได้ยินอะไรนอกเหนือจากผ่านผม และไม่สามารถแทรกแซงอะไรได้
แต่จอมมาร
[…เจ้าก็พิสูจน์แทนข้าสิ เจ้าโง่!]
”ห๊ะ?”
[เจ้าก็เป็นตัวแทนข้า ใช่พลังของจอมมาร! แล้วหลังจากนั้นก็จงเป็นสักขีพยานถึงความยิ่งใหญ่ของข้า ตอนที่เจ้าแข็งแกร่งแล้ว]
…ตะกี้…เขาพูดอะไรนะ?จอมมาร…จะฝึกผม?
[เปิดตัวในอีกสองเดือนข้างหน้า! เพียงแค่2เดือน ข้าจะปั้นเจ้าให้แข็งแกร่งระดับที่เจ้าหญิงสู้ไม่ไหว!]
มันเป็นสถานการณ์ที่เริ่มต้นจากการด่ากันไปมา
ผมถูกกดดันด้วยคำพูดของจอมมารที่พูดมาแบบโกรธจัด
[งั้นได้ เตรียมตัวฝึกเลยอย่าให้ชักช้า! ดังนั้นไปซื้อของทุกอย่างที่ข้าบอกให้เจ้าซื้อด้วย!]
”ห๊ะ นะ-นี่นายจริงจังหรอ? อืม แล้วผมต้องซื้ออะไรบ้าง?”
[ตอนข้าพูดกับเจ้า จงขานรับว่า “โอ๊ช!” ซะ เอาละพูดมันนนนนน!]
”อะ-โอ๊ช…”
และสุดท้ายแล้วสถานการณ์นี้จะส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อความสัมพันธ์สุดพิลึกของเรา รวมทั้งเส้นทางที่ผมกำลังจะเดินด้วย
[และข้าจะสร้างภาพจอมมารอันยิ่งใหญ่ในหัวเจ้าให้ได้!]
”ไม่ ให้เวลาพักผมด้วยนะ!”
เออ…หนักแน่ๆ…
__________________________________________________