หลังหวังทงมารับตำแหน่งเมืองหลวง โรงบ้านนอกเมืองก็มีคนเข้าอยู่หลายสิบคน โรงบ้านถูกคนมีเงินซื้อไป คนอยู่เดิมก็ย่อมแล้วแต่นายใหม่
คนหลายสิบคนเข้าพักในโรงบ้าน ก็มีมารยาทดี ตอนทำนาก็ลงแรงมาช่วย มีคนซ่อมเครื่องมือทำนาได้ มีคนเลี้ยงสัตว์ได้ ยังมีมักจะไปล่าสัตว์ได้ บางทีก็เข้าเมืองไปเดินสักรอบ กลับมายังมีของกินมาฝากเด็กๆ ในโรงบ้าน เรียกได้ว่ารู้งาน
คนพวกนี้แม้รู้งาน แต่ชาวโรงบ้านเดิมก็ไม่กล้าสมาคมกับพวกเขา หรือถึงขั้นไม่กล้าคุยด้วย เพราะคนพวกนี้ดูแล้วไม่เหมือนว่าเป็นคนดี รูปร่างสูงใหญ่ พูดจาเอะอะ ยังมีคนเห็นพวกเขาร่ายรำดาบในลานว่างโรงบ้านด้วย
แต่ก็มีคนรูปร่างเตี้ย แต่ก็ไม่ได้เตี้ยมากนัก เคยมีเด็กโยนถุงทรายขึ้นไปบนหลังคา ไม่รู้จะเอาลงมายังไง ร้องไห้จ้าอยู่ด้านล่าง เจ้าคนเตี้ยนั่นพริบตาก็ขึ้นหลังคาไปหยิบลง คนในบ้านยังไม่รู้ว่ามีคนขึ้นไปบนหลังคา
ชาวบ้านเมืองหลวงเห็นอะไรมาก็เรียกว่าไม่น้อย พอเห็นคนพวกนี้ ก็รู้แล้วว่าเป็นคนมีฝีมือที่ตระกูลใดเลี้ยงดูเอาไว้ ชนชั้นสูงเรื่องมากมาย ต้องการคนทำงานให้มาก เรื่องเช่นนี้ แค่เห็นก็พอ ไม่ได้ทำอันตรายใดตน รอบๆ ไม่ได้เกิดเหตุคดีอันใด ก็พูดให้น้อยหน่อยเป็นดี
หัวหน้าโรงบ้านเป็นชาวนาที่เห็นโลกมามาก เมื่อก่อนเคยดูแลที่อื่นมา รอบนอกเมืองหลวงล้วนเป็นโรงบ้านชนชั้นสูง ทุกคนทำงานให้ชนชั้นสูง ชนชั้นสูงจ้างพ่อบ้านที่รู้งานทำนามาดูแล พ่อบ้านผู้นี้ทำบ้านนี้เสร็จก็ไปบ้านนั้น สมาคมมากมาย
ในโรงบ้านหนึ่ง ผู้ที่มีสิทธิ์มีเสียงดังที่สุดก็คือหัวหน้าโรงบ้าน หัวหน้าโรงบ้านของชนชั้นสูงบางคน แม้แต่ขุนนางท้องที่ยังต้องคบค้าสมาคมด้วยความเกรงใจ
โรงบ้านเล็กนี้มีผู้ดูแลที่ทุกคนเรียกว่า ท่านเจ็ด เป็นชายวัยกลางคน หน้าตาธรรมดา ดูไม่ออกว่าแปลกอันใด หลายสิบคนนั้นพอพบท่านเจ็ดก็จะนอบน้อมเรียกว่าพี่เจ็ด หัวหน้าโรงบ้านต่อหน้าท่านเจ็ดยังต้องนอบน้อมเกรงใจ
หากต้องการตัดสินใจเรื่องใด หัวหน้าโรงบ้านก็จะไปถามท่านเจ็ด ยิ่งทำให้คนเห็นว่าสถานะไม่ธรรมดา
เห็นสถานการณ์นี้แล้ว ชาวโรงบ้านก็รู้สึกแปลก แต่ไม่รู้สึกว่า ท่านเจ็ด มีอันใดแปลก แต่พอเกิดเรื่องหนึ่ง ทำให้ชาวบ้านยิ่งเคารพและเกรงใจท่านเจ็ดมากขึ้น
ก็เป็นเรื่องเล็ก ชาวโรงบ้านไปเลี้ยงแพะ ไม่รู้ว่าคนโรงบ้านข้างๆ มาอยากได้แพะอันใด โรงบ้านนั้นว่ากันว่าเป็นกิจการของขันทีผู้หนึ่ง โรงบ้านนั้นมีนักเลงที่ไม่ทำงานทำงานอันใด ปีนั้นตอนเมืองหลวงลงโทษโบยหนักหนีกันออกมา ไม่มีความผิดใหญ่อันใด แต่ก็ไม่กล้ากลับไป
แพะตัวหนึ่งฆ่าแลกหนังเป็นเงินได้ กระดูกเอาไปต้มเป็นอาหารดีๆ สักมื้อได้ พวกนักเลงนั่นคิดอยากได้ในทันที
แต่แพะโรงบ้านจะให้ชาวโรงบ้านมาชดใช้อย่างไรไหว และหากเป็นของชาวโรงบ้านเองก็ย่อมราวกับของมีค่า จะมามอบให้คนอื่นฟรีๆ ได้อย่างไร นักเลงพวกนั้นย่อมไม่ยอม จะเอาเปรียบให้ได้
ชาวโรงบ้านอย่างไรก็ไม่กล้ามีเรื่องกับพวกนักเลง และอาจเป็นเพราะอ่อนแอเช่นนี้จึงทำให้นักเลงรังแก ถึงกับรวมกลุ่มมายังโรงบ้าน บอกว่าแพะโรงบ้านเป็นแพะของพวกเขาที่หายไป ต้องคืนมาให้หมด
วาจาชั่วร้ายเช่นนี้ผู้ใดจะยอมได้ พวกนักเลงก็กล้าลงมือเหี้ยมโหด ชาวโรงบ้านซื่อๆ ก็พากันตกใจหวาดกลัวไปหมด แต่พวกหลายสิบคนที่พึ่งมาตอนนี้ไม่อยู่กัน มีแต่ท่านเจ็ดคนเดียว หัวหน้าโรงบ้านไปเชิญท่านเจ็ดมา ในมือถือกระบอง มาถึงไม่พูดอันใด ฟาดทีเดียวล้มไปสี่คน
หากว่าลงมือไม่ทันตั้งตัวก็แล้วไป แต่ทว่าพอฟาดล้มไปสี่คน ที่เหลือกรูกันเข้ามา ยังถูกฟาดล้มลงไปหมดด้วยกระบองท่านเจ็ด พากันหนีตายออกจากโรงบ้านไป วิ่งไปปากทางหมู่บ้านได้จึงกล้าตะโกนด่าหยาบคาย
ชาวโรงบ้านจึงได้รู้ว่าเหตุใดทุกคนจึงกลัวท่านเจ็ด และมีคนกังวลว่าเป็นโรงบ้านขันที ชาวโรงบ้านต้องโดนเอาเรื่องแน่ ขันทีนั่นต้องมาหาเรื่องยุ่งยากเป็นแน่ พื้นที่เมืองหลวง ขันทีพวกนี้ไม่อาจล่วงเกินที่สุด ชาวโรงบ้านด้านหนึ่งก็เคารพท่านเจ็ดอย่างสุด แต่อีกด้านหนึ่งก็หวาดผวาไปวันๆ กลัวว่าโรงบ้านจะพลอยเดือดร้อนไปด้วย
ทว่าต่อมากลับไม่ได้เป็นดังที่พวกเขาคิด เริ่มแรกเจ้าหน้าที่ศาลซุ่นเทียนเข้าไปในโรงบ้านนั้นจับตัวคนร้าย กวาดต้อนพวกนักเลงออกไปหมด จากนั้นโรงบ้านนั้นก็ขายให้โรงบ้านทางนี้ ยังมีหัวหน้าโรงบ้านมาดูแล พื้นที่โรงบ้านขยายเพิ่มขึ้น ย่อมดีใจกันยกใหญ่
ดีใจก็ส่วนดีใจ แต่ท่านเจ็ดมีความสามารถเพียงนั้น ก็ยิ่งทำให้คนเคารพ เด็กๆ ในโรงบ้านที่กล้าหน่อยและชื่นชมฝีมือท่านเจ็ด ก็แอบพ่อแม่ไปขอฝากตัวเป็นลูกศิษย์เรียนวิชา ท่านเจ็ดก็ไม่เก็บงำวิชา สอนไปให้มากที่สุด
แม้ว่าทุกคนเคารพ แต่ทุกคนก็ยังพบว่า ท่านเจ็ดผู้นี้เหมือนไม่พอใจอะไรสักอย่าง วันๆ เอาแต่หน้าบึ้งตึง ไม่รู้ว่าคิดอันใดอยู่
พอถึงเดือนเจ็ดอากาศร้อนขึ้นเรื่อยๆ แล้ว ก็มีชายแต่งกายเรียบร้อยขี่ม้ามาที่โรงบ้าน หาท่านเจ็ด คุยอะไรกันนั้นทุกคนไม่รู้ เห็นแต่พอพูดเสร็จ ท่านเจ็ดก็ดีใจอย่างมาก วันที่สาม ท่านเจ็ดกับพวกหลายสิบที่มาโรงบ้านทีหลังพวกนั้นก็จากไป ดูจากทิศทางแล้ว น่าจะไปไปยังเมืองหลวง
*************
“สื่อชีเป็นคนที่ข้าไว้ใจ หากเจ้ามีเรื่องสำคัญใด ก็สั่งการให้เขาไปทำได้”
ยามดึกสงัด ในห้องด้านข้างจวนหวังทง หานเสียนั่งอยู่ข้างหวังทง ด้านนอกสื่อชีกำลังคุกเข่านอบน้อม
หานเสียสีหน้าจริงจัง หวังทงยิ้ม หันไปกล่าวกับสื่อชีด้านนอกว่า
“สื่อชี เงยหน้าขึ้นมองนายหญิงเจ้า ไม่ตำหนิว่าเจ้าเสียมารยาท!”
สื่อชีโขกศีรษะ เงยหน้ามองหานเสีย ก่อนจะรีบก้มหน้าลง หวังทงถามขึ้น
“เจ้าจดจำใบหน้านายหญิงเจ้าได้แล้วใช่ไหม?”
“ข้าน้อยจดจำได้แล้ว เวลาสำคัญอย่าได้ถูกคนส่งมาหลอกได้ ให้รอบคอบไว้ก่อน”
หวังทงเอ่ยขึ้นและกวักมือเรียกน้องชายสองคนของหานเสีย หานสือกับหานเถี่ยให้เข้ามาใกล้ สองคนอายุ 11 และ 12 หลายวันนี้ติดตามฝึกฝนกับทหารติดตามหวังทง ตัวเริ่มดำ พวกเขาเองก็งง ไม่รู้ถูกเรียกตัวมาทำไม
“เงยหน้ามองอีกที วันหน้านายหญิงจะส่งเขาสองคนไปติดต่อเจ้า จำใบหน้าให้ดี!”
ได้ยินหวังทงสั่ง สื่อชีก็เงยหน้าขึ้นอีก กวาดสายตาคมมองเด็กชายสองคนรอบหนึ่ง ก่อนจะคุกเข่าต่อ หวังทงให้หานสือกับหานเถี่ยออกไป ให้สื่อชีคุกเข่าต่อ เอ่ยกับหานเสียว่า
“ฮูหยิน สื่อชีเป็นคนที่ข้าไว้ใจ ฝีมือดี สมองไว เขามีคนใช้งานได้มากมาย มอบไว้ให้เจ้าใช้งาน!”
หานเสียไม่รู้กล่าวอันใด ได้แต่พยักหน้าท่าทางจริงจัง หวังทงมองออกว่าหานเสียไม่เข้าใจ ทว่าเขาก็ไม่เร่งรีบอันใด ยิ้มกล่าวว่า
“ลงใต้ไปครานี้ ข้าจะพาสื่อชีไปด้วย เจ้าใช้งานคนของสื่อชีไปก่อน ไม่ต้องไว้ใจมากนัก สามารถให้พวกเขาช่วยเจ้าสืบข่าวได้ หรือดูแลการงานได้ ลองให้ดูแลก่อน เจ้าเป็นฮูหยินติ้งเป่ยโหว ยังเป็นฮูหยินผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร ด้วยสถานะนี้ หูตาไวหน่อย ใช้คนมากหน่อย ย่อมไม่ใช่เรื่องเลวร้าย”
“ข้าเข้าใจแล้ว ขอท่านพี่วางใจ”
หานเสียอายุยังน้อย หลายเรื่องยังไม่เข้าใจ แต่ทว่าก็มีท่าทีตั้งใจรับฟัง ทำให้หวังทงชื่นชมยิ่ง ไม่รู้ไม่เป็นไร ขอเพียงยอมเรียนรู้ก็พอ
“ดึกมากแล้ว ฮูหยินไปพักก่อนเถอะ!”
ให้หานเสียไปพักผ่อน พอนางออกไป หวังทงกล่าวว่า
“สื่อชี ยืนขึ้นตอบได้!”
สื่อชีรีบยืนขึ้น คำนับให้หวังทง หวังทงยิ้มกล่าวว่า
“ตั้งแต่ขโมยเงินมาสวามิภักดิ์ถึงตอนนี้ ก็ไม่มีเรื่องเป็นการเป็นการงานให้ทำ คงอึดอัดไม่น้อย ได้ยินว่าตอนอยู่โรงบ้านเจ้าไร้รอยยิ้มงั้นหรือ!”
“ใต้เท้า ใต้เท้าจัดการมานั้น ข้าน้อยทำตามก็พอ ไม่มีอันใดอึดอัดใจ ส่วนไร้รอยยิ้ม ก็เพราะเรื่องครอบครัว”
เห็นสื่อชีอธิบาย หวังทงยิ้มโบกมือกล่าวว่า
“ไม่มีงานทำย่อมอึดอัดเบื่อหน่าย ไร้รอยยิ้มก็ถูกต้อง ไม่ต้องอธิบาย เจ้าอยู่โรงบ้านได้เรียบร้อยดี มีความอดทน จึงเป็นสิ่งดี เจ้าควบคุมคนของเจ้าได้ไม่เลว ก็เป็นความสามารถเจ้า”
สื่อชีเป็นคนในวงการร่อนเร่หากินไปทั่วได้มาขอสวามิภักดิ์หวังทง วันเวลาก็น่าเบื่อ พวกที่มีฝีมือหลายพวกไปขอร่วมกองทัพ ไปอยู่ร่วมทัพม้าไม่น้อย พวกสื่อชีก็มีฝีมือ แต่กลับไม่อยากสู่สนามรบ
หลายคนทนเหงาไม่ไหวก็จากไปเอง สื่อชียังอดทนมาได้ หวังทงไม่ได้ใช้งานเขาเลย อยู่ติดตามในจวนได้ไม่นานก็ถูกส่งไปอยู่โรงบ้านด้านนอก ไม่มีงานอันใดให้ทำ เหมือนว่าให้เขาจัดการดูแลอบรมพวกนักเลงที่ถูกส่งมาจากเทียนจิน
พูดไปแล้ว ตอนแรกพวกพี่น้องสื่อชี ก็มีคนได้เลื่อนเป็นนายกองธงใหญ่แล้ว มีแต่เขาคนเดียวที่ไม่รู้จะยังไง ช่างน่าเบื่อสิ้นดี
ทว่าคืนนี้ได้พบหวังทง สื่อชีกลับรู้สึกคุ้มค่าที่รอคอย ใต้เท้าหวังตอนนี้สถานะสูงส่ง กลับบอกว่า สื่อชีเป็นคนที่ไว้ใจ ให้เขาจัดการเรื่องส่วนตัว ก็เท่ากับว่าไว้ใจเขาจนเขาเองยังตกใจ
หวังทงเปิดกล่องหนึ่งบนโต๊ะออก หยิบห่อผ้าเล็กๆ ห่อหนึ่งกับกระดาษหลายแผ่นส่งให้ สื่อชีรับไปยังไม่ทันดู ก็ได้ยินหวังทงกล่าวว่า
“นี่เป็นป้ายนายกองร้อยองครักษ์เสื้อแพรซานตงกับหนังสือแต่งตั้ง ยังมีตั๋วเงินอีก 3,000 ตำลึง นายกองร้อยสื่อ ท่านรับไว้ก่อน!”
หวังทงกล่าวนิ่งๆ แต่สื่อชีกลับคำนับอย่างแรง โขกศีรษะดังหลายที อยู่ๆ ตำแหน่งขุนนางกับเงินทองก็มาพร้อมกัน เป็นรางวัลที่หนักเอาการ ให้รางวัลมากเช่นนี้ย่อมต้องใช้ประโยชน์มาก รอนานหน่อย แต่อยู่ ๆ ก็ได้มาครบ
“เมื่อก่อนเจ้าเคยอยู่เขตปกครองใต้มาก่อนหรือ?”