ตอนที่ 50: รายชื่อต้องประหาร
ความสะพรึงกลัวถูกปลดปล่อยออกมาพร้อมกับคําตอบที่ได้รับ ใบหน้าของลีแชรินเรียบนิ่งและแข็งทื่อไปในทันใด
“รายชื่อต้องประหาร…”
ดั่งชื่อที่กล่าวเรียก รายชื่อต้องประหารคือรายชื่อของคนที่สมควรจบชีวิตและนั่นหมายความว่าพวกเขาจะต้องได้เห็นหยดเลือกจากตัวคน ๆ นั้น
“ตอนนี้ไม่ใช่เวลาออกไปสู้กับศัตรูภายนอกหากแต่จําเป็นต้องกําจัดศัตรูที่มีอยู่ภายในให้ได้เสียก่อน ทําไม? ลังเลอย่างนั้นหรือ?” คังชอลอินเอ่ยถามเสียงเรียบ
“ใช่ … ข้าไม่เคยต้องจบชีวิตใครมาก่อน ข้าเพียงกลัว…”
“อย่างน้อยเจ้าก็ยังซื่อสัตย์”
“รู้หรือไม่ว่าการแสดงของเจ้าจะมีประโยชน์มากเพียงใด? ข้าแน่ใจว่าเจ้าจะต้องรับรู้ถึงสิ่งนั้นได้ในไม่ช้านี้”
คังชอลอินไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับคําตอบที่จริงใจของนาง อย่างน้อยมันก็ยังดีกว่าการโกหก
“แต่ถึงอย่างไรนั่นไม่ใช่ปัญหาของข้า” เขาตัดสินใจปล่อยให้นางได้เผชิญหน้ากับความเป็นจริงด้วยตัวเอง
“เจ้าตัดสินใจที่จะมีชีวิตยู่ในฐานะราชันย์ไม่ใช่หรือถึงได้เรียกตามตัวข้ามา”
“เจ้าพูดถูก”
“เช่นนั้นก็จงฆ่า”
“มัน…มันเป็นหนทางเดียวที่มีอยู่อย่างนั้นหรือ?”
“อํานาจและพลังล้วนได้รับมาจากการหลั่งเลือด…ของศัตรู…”
มันคือความจริงที่ไม่อาจมีสิ่งใดโต้แย้งได้
“หากเจ้าไม่สูญเสียอํานาจควบคุมและสิทธิ์พึงมีในฐานะราชันย์ของดินแดนแห่งนี้ไปตั้งแต่ต้นเรื่องเช่นนี้ก็คงไม่เกิด”
“เจ้ากําลังหมายความว่ามันสายไปแล้วอย่างนั้นหรือ?”
“ใช่ มันสายเกินไปแล้ว”
มันคือหนทางเดียวที่ต้องทําในตอนนี้
“มนุษย์และคนแคระ, คนแคระและมนุษย์ เผ่าพันธุ์ทั้งสองเป็นดั่งน้ำกับน้ำมันที่ไม่มีทางอยู่ร่วมกันได้ หากมีมนุษย์ทรงอํานาจได้ขึ้นมาเป็นราชันย์และได้รับความเคารพจากคนแคระพร้อมทั้งยังสามารถทําหน้าที่เป็นสื่อกลางในหมู่พวกเขาได้เรื่องราวอาจจะต่างจากตอนนี้ไปโดยสิ้นเชิง แต่ ณ ตอนนี้… ไม่เพียงเท่านั้น แต่ประชากรทั้งหมดของเจ้าคือคนแคระ 60% เกือบทั่วทั้งดินแดนกําลังตกอยู่ภายใต้การควบคุมของไอ้พวกสารเลวที่ไร้ซึ่งความเคารพต่อราชันย์เช่นเจ้า
“เจ้าพูดถูก”
“ข้ามาถึงดินแดนนี้ตั้งแต่เที่ยงยามเพื่อดูสิ่งต่าง ๆ ของที่นี่ว่าเป็นเช่นไร เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้ามีความคิดเห็นเช่นไร?”
ลี่แชรินนิ่งเงียบไม่ตอบสนอง
“ที่แห่งนี้มีราชันย์เป็นมนุษย์แต่ดูเหมือนว่าดินแดนนี้จะเห็นมนุษย์เป็นทาสโดยสมบูรณ์”
จากจํานวนประชากรทั้งหมด 1,000 คน คนแคระทั้ง 600 คนต่างพากันอาศัยอยู่ในบ้านหลังใหญ่ ที่มีอาหารให้ได้กินครบมื้อและมีไวน์ดี ๆ ให้ได้ดื่มเพื่อเพลิดเพลินไปกับตัวเอง
ในทางกลับกัน มนุษย์อีก 400 คนกลับตกต้องอยู่ในสภาพยากจนที่แทบไม่มีอะไรให้จะประทังชีวิต
“มันแย่มากเลยใช่หรือไม่?”
“เจ้าไม่เคยตรวจสอบดินแดนของเจ้าบ้างเลยหรือ?”
“ใช่ ข้าเหมือนถูกขังเอาไว้แต่ที่นี่ หากข้าต้องกลับโลกเมื่อไหร่ ข้าก็ต้องทิ้งแกนวิญญาณเอาไว้และไม่สามารถนํากลับ ไปด้วยได้”
“ไอ้คนแคระพวกนั้นช่างน่าเหลือเชื่อจริง ๆ” เขากล่าว
“มันยากที่จะปกครองคนพวกนั้นได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นคนที่มีชาติพันธุ์ต่างกัน เนื่องจากความขัดแย้งได้ดําเนินมาจนถึงจุดนี้แล้ว ในตอนนี้จึงไม่มีอะไรให้ต้องย้อนกลับอีกต่อไป ดังนั้น…” เขาเว้นว่างไว้ช่วงหนึ่งก่อนจะพูดปิดจบ
“จงตัดสินใจเอาเองว่าเหตุการณ์นองเลือดในครั้งนี้จะมีขึ้นหรือไม่ หากเจ้าตัดสินใจที่จะไม่ทําดั่งที่ข้าบอกข้อตกลงของเราก่อนหน้าเป็นอันยกเลิก ไม่มีวิธีอื่นใดนอกจากนี้อีกแล้วที่ข้าจะช่วยเจ้าได้โดยไม่ต่ำนั่นนําเลือดศัตรูออก หากมีนั่นคือวิธีของนักบุญและเชื่อข้าเถอะ ข้าไม่ใช่นักบุญคนนั้น หากปฏิเสธที่จะไม่ทําก็จงออกจากแพนเจียแห่งนี้ไปตลอดกาล อย่างน้อยบนโลกก็ยังไร้ซึ่งความน่ากลัวมากเท่าเช่นนี้”
หลังจากพูดแบบนั้นจบ คังชอลอินก็หลับตาลงนั่งนิ่ง มันหมายความว่าเขากําลังให้เวลาเพื่อให้นางได้ตัดสินใจ
“ฆ่า…”
ลีแชรินหวนนึกถึงคําพูดต่าง ๆ ที่นางได้รับ
สําหรับนางที่ใช้ชีวิตปกติสุขบนโลกอีกฝั่งมาโดยตลอดไม่เคยคิดถึงเรื่องการจะฆ่าใครมาก่อน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมันเป็นการทําเพื่อกําจัดพันธมิตรไม่ใช่ศัตรูที่แม้ว่าพันธมิตรนี้จะน่ากลัวยิ่งกว่าศัตรูก็ตาม
แน่นอนว่านางสามารถวิ่งหนีกลับโลกเพื่อไปใช้ชีวิตดั่งราชีนีผู้มั่งคั่งจากการนําสินค้าบนแพนเจียออกขายได้สบาย ๆ
แต่การใช้ชีวิตเช่นนั้นมันจะเรียกว่าการชีวิตได้อย่างไร?
มันสมเกียรติและดีจริง ๆ แล้วน่ะหรือหากเลือกที่จะวิ่งหนีจากชีวิตที่ถูกกําหนดไปใช้ชีวิตที่เรียบง่ายและธรรมดา?
เช่นนั้นแล้วมนุษย์อีก 400 คนที่เหลืออยู่จะเป็นเช่นไรเมื่อนางจากไป..คงไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกเขาจะต้องทนทุกข์ทรมานมากกว่าที่เคยเมื่อต้องอยู่ภายใต้การควบคุมจากคนแคระและต้องถูกเลือกปฏิบัติอีกมากมาย
“เราคือราชันย์ เรามีอํานาจและความรับผิดชอบที่จะดูแลดินแดนของเรา!”
ราวกับว่ามีคมมีดเล่มหนึ่งถูกลับขึ้นในจิตใจนาง
“เราต้องไม่วิ่งหนี
นางกํามือตัวเองจนแน่นทั้งสองข้าง ทันใดนั้นจิตใจของนางก็พลันนึกถึงคําพูดของผู้ช่วยสเลจน์ขึ้นมาได้
“แล้วข้าจะเชื่อสิ่งที่ท่านหญิงพูดได้อย่างไร?
นางนึกถึงบทสนทนาที่ได้พูดคุยกับเขาเมื่อไม่นาน เจตคติของเขาทําให้นางรู้สึกโกรธเคืองเป็นอย่างมาก
“สเลจน์ เข้าใจได้ข้ามขั้นเส้นที่ไม่ควรมีไปเสียแล้ว” นางคิด
ดวงตาที่เต็มไปด้วยความใจดีและมีเมตตาในตอนแรกเริ่มแดงฉานเหมือนหยดเลือดที่ผสมออกมาเล็กน้อย
“ดูเหมือนว่าเจ้าจะสามารถตัดสินใจได้แล้ว”
คังชอลอินสามารถบอกได้ในทันทีจากการแสดงออกของนางที่เปลี่ยนไป
“ตกลง ข้าจะทํา”
“แม้ว่ามันอาจจะยากแต่เจ้าก็ต้องเผชิญหน้ากับมันให้ได้ ราชันย์ผู้เปี่ยมไปด้วยเมตตา? หึ ของแบบนั้นมันไม่มีอยู่จริงหรอก ที่นี่มีแต่เพียงคนที่ดูเหมือนจะใจดีและมีความเห็นอกเห็นใจเท่านั้น แต่ไม่มีใครที่เป็นเช่นนั้นได้อย่างแท้จริง”
“ข้าเจ้าใจสิ่งที่เจ้าต้องการหมายถึงแล้ว ข้าต้องกําจัดคนแคระและกลายเป็นผู้ปกครองของมนุษย์แทน มันสายเกินไปแล้วสําหรับพวกเขา”
“ถูกต้อง” คังชอลอินพยักหน้าพอใจ
แม้ว่าวิธีการที่ดีที่สุดคือการปล่อยให้มนุษย์และคนแคระได้ร่วมมือและประนีประนอมกันตามที่พวกเขาเคยพูดกันมาครั้งก่อน แต่ตอนนี้มันสายเกินไปแล้วที่จะทําเช่นนั้น
แม้จะเป็นการสิ้นเปลืองเพียงใดแต่พวกเขาจําเป็นต้องกําจัดของเน่าเสียที่มีอยู่ 60% เพื่อช่วยชีวิตอีก 40% ที่เหลืออยู่
และแม้ตอนนี้จะมีศึกเข้ามารอบด้านแต่มันก็เป็นสิ่งจําเป็นที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงความวุ่นวายทั้งหมดนี้ได้
“ข้าจะทํา” นางกล่าวพร้อมหยิบน้ำหมึกออกมาเพื่อเขียนชื่อในรายชื่อต้องประหาร”
“เช่นนั้นก็เริ่มเขียนซะ…ชีวิตและความตาย เจ้าจะเป็นผู้ได้กําหนด”
“ได้” นางพยักหน้าแล้วเปิดกระดาษ
“คนแรก…”
มือของนาง ๆ ค่อยเริ่มเขียนรายชื่อของบุคคลที่จะต้องพินาศเป็นคนแรก
“คือเจ้า สเลจน์”
มันไม่ใช่ใครอื่นนอกจากผู้ช่วยส่วนตัวของโดราโด้ “สเลจน์”
หลังจากได้เขียนรายชื่อลงรายชื่อต้องประหารแล้วคังชอลอินก็เริ่มเคลื่อนไหวในทันใด
สิ่งกีดขวางที่ใหญ่ที่สุดคือกลุ่มคนแคระพิเศษที่นําโดยผู้ช่วยส่วนตัวสเลจน์ที่ชื่อ “กลุ่มค้อนเหล็ก”
มันคือสิ่งที่พวกเขาจําเป็นต้องลบออก
นอกเหนือจากนั้นแล้วก็มีรายชื่อของนายพลสมิธ (คนแคระอีกคนหนึ่ง) พร้อมกับหน่วยสอดแนมเอนท์วานและนักปราชญ์ “มาเจสติก” ผู้มนัสการเทพเจ้าแห่งช่างตีเหล็ก
“โดยด่วนที่สุด เราต้องรีบเคลื่อนไหว”
คังชอลอินต้องกําจัดพวกคนเหล่านี้ให้ได้โดยเร็วที่สุด
มันจะยิ่งดีหากเป็นในคืนวันพรุ่งทั้งหมดในคราวเดียว
หากสิ่งนี้เป็นไปด้วยความล่าช้าอาจส่งผลให้คนแคระอีก 600 คนที่เหลือเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องด้วยได้
เขาต้องกําจัด “กลุ่มค้อนเหล็ก” ให้สิ้น
กลุ่มชนชั้นสูงกลุ่มนี้ผู้ซึ่งควรเฝ้าระวังราชันย์ที่ได้รับการ “มอบให้” แก่ดินแดนกลับหันหน้ามาต่อต้านราชันย์ผู้เป็นดังชีวิตของพวกเขา
แต่ภายหลังจากการกําจัดกลุ่มนี้จนจบสิ้นแล้วมันต้องมีการสร้างกลุ่มอื่นเพื่อขึ้นมาแทนและเพื่อปกป้องลีแชริน
“สิ่งนั้นคือความรับผิดชอบนาง ไม่ใช่เรื่องที่ข้าจะเข้าไปช่วยได้” เขาคิด
คืนต่อมา
คนแคระระดับสูงที่อาศัยอยู่ในโดราโด้ทุกคนได้รับข้อความจากลแชรินว่าต้องการขอประชุมด่วน
แม้พวกเขาจะไม่สนใจในตอนแรกแต่เนื้อหาของข้อความทําให้พวกเขาต้องลุกออกมาอย่างช่วยไม่ได้ เนื้อหาด้านในนั้นกล่าวไว้ว่า
[ข้าคิดแผนการที่จะนํานีด้าเวลเลียร์กลับคืนมาได้แล้ว เช่นนั้นจงตรวจสอบจนแน่ใจว่าพวกเจ้าทุกคนจะต้องอยู่ในวาระการประชุม หากมีใครหายไปแม้แต่คนเดียวเรื่องพวกนี้จะไม่มีทางถูกนํามาพูดถึงอีกเป็นครั้งที่สอง]
นีด้าเวลเลียร์เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สําหรับคนแคระเช่นเดียวกับที่ทํางานของพวกเขา
เมื่อเปรียบเทียบกับมาตรฐานบนโลกแล้วมันก็คล้ายกับเมกกะหรือเยรูซาเล็มที่มีความสําคัญทางวัฒนธรรมคูณสิบ
ดังนั้นแล้วเมื่อคนแคระได้รับข้อความนี้ พวกเขาจึงต้องออกมาอย่างช่วยไม่ได้
“ยินดีต้อนรับ”
ลีแชรินกล่าวทักทายขุนนางแต่ละคนด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มเย็น
“ข้ากําลังรอพวกเจ้าอยู่พอดี”
ในตอนนั้นเองที่พวกเขารู้สึกได้ว่านางเปลี่ยนไป เปลี่ยนไปจนเรียกได้ว่าต่างไปจากอดีตมาก
ไร้ซึ่งใบหน้าที่หดหู มีเพียงดวงตาที่สงบนิ่งขณะมองสํารวจทุกคนรอบตัวนางด้วยท่าทีสุขุม เพียงชั่วข้ามคืนเท่านั้นแต่นางกลับเปลี่ยนไปราวกับไม่ใช่คนเดิม
“เหตุผลเดียวที่ข้าต้องการให้พวกเจ้ามาที่นี่กันทุกคนนั้น”
“ผู้ที่ปรารถนาต้องการมีชีวิตอยู่ต่อในฐานะเพื่อรับใช้ข้าจงคุกเข่าแสดงความภักดีต่อข้ามาบัดนี้ ถ้าทําเช่นนั้นข้าจะยอมมอบอภัยให้แก่เจ้า… อย่างไรก็ตาม!”
ดวงตาที่สงบนิ่งของนางได้แปลเปลี่ยนไปเป็นดวงตาที่แสดงให้เห็นถึงเจตนาในการสังหาร
“คนที่ไม่ยอมทําเช่นนั้น ข้าจะมอบบทลงโทษฐานไม่เชื่อฟังราชันย์ของพวกเจ้าซะ จงตัดสินใจเสีย ชีวิตของเจ้าได้ขึ้นอยู่ที่เจ้าแล้ว”