“พวกเจ้าสองคน ตนเองก็มีอาวุธเวทเหินหาวมิใช่หรือ เหตุใดอยู่ดีๆ ต้องมาเบียดอยู่ที่ข้านี่ให้ได้ด้วยล่ะ?” มั่วชิงเฉินมองดูมั่วหลีลั่วที่นอนหงายแยกแขนแยกขาอย่างไม่คำนึงถึงรูปลักษณ์โดยสิ้นเชิงในชามใหญ่ของนางและต้วนชิงเกอที่เอียงข้างพิงข้างชามยิ้มอ่อนๆ แล้วถามอย่างจนด้วยคำพูด
มั่วหลีลั่วเหล่นางปราดหนึ่ง “อาวุธเวทเหินหาวของเรา เป็นเพียงของธรรมดาเท่านั้น จะสบายเทียบกับอันนี้ของเจ้าได้อย่างไร ขลุกอยู่ในชาม ลมพัดไม่โดนแดดส่องไม่ถึง ถูกไหม ศิษย์น้องต้วน?”
ต้วนชิงเกอยิ้มว่า “ใช่น่ะสิ ศิษย์น้องชิงเฉิน ไม่ปิดบังเจ้าหรอกนะ ข้ายืนอยู่บนกระบี่บินนั่น มักรู้สึกเวียนศีรษะ กลัวจะตกลงไป”
มั่วชิงเฉินกระตุกมุมปาก “พวกเจ้าพูดจาเหลวไหล ข้าไม่เชื่อหรอกด้วยฐานะศิษย์คนโปรดของนักพรตรั่วซี จะไม่มีอาวุธเวทที่ออกหน้าออกตาได้”
มั่วหลีลั่วเศร้าใจว่า “มีสิ ทว่ากลับไม่ใช่อาวุธเวทเหินหาวน่ะสิ ของเจ้าอันนี้สิดี ทั้งบินได้ ยังสามารถป้องกันได้ด้วย คือของขวัญพบหน้าที่นักพรตเหอกวงมอบให้เจ้าใช่หรือไม่?”
มั่วชิงเฉินชะงักทีหนึ่ง ยังคง ‘อืม’ เสียงหนึ่ง แม้ของขวัญพบหน้าชิ้นนี้จะได้รับเร็วไปสักหน่อย
“เอ๊ะ ไม่ถูกสินะ ศิษย์น้องชิงเฉิน เหตุใดข้าจำได้ว่าปีนั้นยามไปแดนลี้ลับ ก็มีอาวุธเวทนี้ไว้สู้ศัตรูแล้วล่ะ?” ต้วนชิงเกอพูดแทรกขึ้น
มั่วชิงเฉินชะงัก ท่ามกลางการซักไซ้ไล่เลียงของทั้งสองคน จึงเล่าเรื่องที่รู้จักกับนักพรตเหอกวงตั้งแต่ก่อนนั้นให้ฟังอย่างคร่าวๆ ทีหนึ่ง
“มิน่าอยู่ดีๆ นักพรตเหอกวงถึงรับเจ้าเป็นศิษย์ ที่แท้ก็รู้จักกันมานานแล้ว ว่าไปแล้ว พวกเจ้ายังช่างมีวาสนาเสียจริงนะ!” มั่วหลีลั่วเอ่ยอย่างไม่อยากจะเชื่อ
มั่วหลีลั่วเดิมทีพูดโดยมิได้คิดอะไร แต่เมื่อมั่วชิงเฉินฟังแล้ว กลับสีหน้าแดงก่ำ
ทันใดนั้นต้วนชิงเกอที่อมยิ้มฟังอยู่ข้างๆ ตลอดก็ชะงักงัน นางและมั่วชิงเฉินรู้จักกันลึกซึ้ง ไม่เคยเห็นนางเผยท่าทีหญิงสาวเช่นนี้มาก่อน หรือว่า…
เมื่อนึกถึงฐานะศิษย์อาจารย์ของนางและนักพรตเหอกวง ก็รู้สึกตกใจ
ทั้งสามคนล้วนออกจากสำนักฝึกตน จึงไม่มีเป้าหมายที่กำหนดตายตัวอะไร ปล่อยให้ชามใหญ่บินส่ายไปส่ายมาบนฟ้า ไหนๆ ปากชามมีฝาปิดป้องกันโปร่งใส สามารถมองเห็นข้างนอกจากข้างใน จากข้างนอกกลับมองไม่เห็นเหตุการณ์ข้างใน
ฝึกตน สิ่งที่เน้นคือตามใจ ทั้งสามคนนั่งอยู่ในชามแลกเปลี่ยนเคล็ดลับการบำเพ็ญเพียร คุยเรื่องในใจของหญิงสาวบ้าง นอกจากมั่วชิงเฉินจำเป็นต้องบังคับอาวุธเวทเหินหาว สองคนนั้นไม่คิดเลยว่ายังสามารถนั่งสมาธิบำเพ็ญเพียรได้ พริบตาเดียวสิบกว่าวันผ่านไปแล้ว
“ศิษย์น้องชิงเฉิน ด้านนั้นมีเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่ง พวกเราไม่สู้ลงไปดูหน่อยเถอะ” ศีรษะต้วนชิงเกอโผล่พ้นขอบชามขึ้นมาว่า
“ได้” มั่วชิงเฉินพูดพลางบังคับชามกระเบื้องร่อนลงข้างล่าง
มั่วหลีลั่วรีบเอ่ย “ช้าก่อน พวกเจ้าไม่เปลี่ยนเสื้อผ้าหรือ?”
มั่วชิงเฉินสองคนก้มหน้ามองชุดคลุมเต๋าที่ใส่อยู่
“พวกเราแต่งตัวเช่นนี้ ไม่ว่าใครมองปราดหนึ่งก็รู้ว่าเป็นคนพรรคเหยากวงแล้ว ในเมื่อออกจากสำนักฝึกตน ไม่สู้แต่งตัวเป็นผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักจะสะดวกสักหน่อย” มั่วหลีลั่วเอ่ย
นางพูดพลางรื้อชุดกระโปรงสีแดงชุดหนึ่งเปลี่ยนชุดคลุมเขียวออก จากนั้นสยายผมเกล้าทรงเต๋าออกแล้วเกล้าเป็นผมทรงสูง ติ่งหูแขวนหินโมราสีแดง ในพริบตาคนทั้งคนก็ดูสดใสขึ้นมา
เดิมทีมั่วหลีลั่วก็เป็นคนงามที่สวยสดดังดอกท้อเย็นดุจน้ำค้างแข็งอยู่แล้ว ปกติใส่ชุดคลุมเขียวยังไม่รู้สึกเช่นไร บัดนี้แต่งตัวเช่นนี้ปุ๊บ ต่อให้เป็นเพียงกระโปรงแดงเรียบง่าย ทั้งตัวบนล่างนอกจากต่างหูคู่นั้นแล้วไม่มีเครื่องประดับที่เกินมาแม้แต่น้อย กลับเฉพาะเจาะจงให้คนรู้สึกถึงกลิ่นอายไร้ใจแต่ก็เย้ายวนใจ
ต้วนชิงเห็นดังนั้นก็รื้อชุดกระโปรงสีฟ้าออกมาชุดหนึ่ง แล้วเปลี่ยนผมทรงเต๋าเป็นทรงผมของผู้บำเพ็ญเพียรหญิงทั่วไปเช่นกัน
เห็นมั่วชิงเฉินไม่ขยับเขยื้อนเสียที ทั้งสองคนมองมา
มั่วชิงเฉินเหงื่อตกว่า “ที่ข้านี่ไม่มีชุดกระโปรงอย่างอื่น”
มั่วหลีลั่วตกใจว่า “ไม่คิดว่าเจ้าจะมีเพียงชุดคลุมเต๋า! เจ้า…เป็นผู้หญิงจริงหรือ?”
มั่วชิงเฉินเหลือกตาว่า “ข้าไม่มีบุญเหมือนพวกเจ้าหรอกนะ ได้ยินมาว่าฝ่ายเสื้อผ้าจะส่งเสื้อผ้าใหม่ให้ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงระดับสูงกว่าระดับสร้างรากฐานแห่งเขารั่วสุ่ยทุกปี”
เห็นนางพูดอย่างอกผายไหล่ผึ่งเช่นนี้ มั่วหลีลั่วส่ายศีรษะอย่างจำใจ พิจารณานางหลายที จากนั้นรื้อชุดกระโปรงชุดหนึ่งจากถุงเก็บวัตถุของตนว่า “รีบเปลี่ยนเข้า”
นี่คือชุดกระโปรงสีขาวชุดหนึ่ง ชายกระโปรงกลับปักลายไผ่เขียวห่างๆ ทันใดนั้นเพิ่มความสง่างามขึ้นมาเล็กน้อย ลดความเรียบง่ายลงไปหลายส่วน
มั่วชิงเฉินอยู่กับต้นไผ่ทั้งวัน เห็นแล้วกลับชอบนัก จึงเปลี่ยนโดยตรงแล้ว
มั่วหลีลั่วยิ้มว่า “ข้าว่าแล้วเสื้อผ้าชุดนี้ให้ข้าใส่จะเซียนเกินไป หัวมังกุท้ายมังกร บัดนี้ดูแล้ว ศิษย์น้องชิงเฉินเจ้าใส่กลับกำลังเหมาะ”
พูดจบปัดๆ ผมหนาหนักข้างหน้าของมั่วชิงเฉิน กำลังจะเปิดปาก กลับถูกมั่วชิงเฉินแย่งพูดก่อนว่า “ศิษย์พี่มั่ว ก็เอาเช่นนี้แหละ รีบลงไปเถอะ”
นางรีบหวีผมให้เป็นผมเปีย แล้วกระโดดนำลงไปก่อน ในใจแอบว่า ผู้หญิงไม่ควรรวมอยู่ด้วยกันหลายคนเกินไปจริงๆ มิเช่นนั้นเฉพาะถกกันเรื่องเสื้อผ้าการแต่งตัว ก็เสียเวลาไม่น้อย
ที่จริงนางกลับปรักปรำมั่วหลีลั่วแล้ว เทียบกับผู้บำเพ็ญเพียรหญิงส่วนใหญ่ นางนับว่าไม่ให้ความสำคัญด้านนี้มากแล้ว เพียงแต่ไม่ได้เปลี่ยนชุดนานเกินไป อีกทั้งยังอยู่ต่อหน้าคนที่นิสัยเข้ากันได้ นี่จึงเกิดอารมณ์หญิงสาวเพิ่มขึ้นมาบ้างเช่นนี้
นอกเมืองเล็กๆ นี้มีผู้บำเพ็ญเพียรสองสามคน เห็นชามกระเบื้องใบใหญ่ค่อยๆ ร่อนลงจากฟ้า อดสีหน้าเปลี่ยนไม่ได้ จึงแหงนมองด้วยความอยากรู้อยากเห็นอีกทั้งเคารพยำเกรง
ต้องรู้ว่าสามารถขี่วัตถุเหินหาวได้อย่างน้อยต้องเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐาน และผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานที่รอนแรมอยู่ข้างนอกไม่ได้มีให้เห็นมากนัก
ต่อจากนั้นคนพวกนี้ก็พบหญิงสาวสามคนกระโดดออกจากชาม อายุน้อยยิ่งนัก หญิงสาวชุดขาวที่ดูแล้วอายุเพียงสิบเจ็บสิบแปดปีในนั้น ยกมือเก็บอาวุธเวทขึ้น
พวกมั่วชิงเฉินมองไปรอบๆ พลานุภาพอันไร้รูปของผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานแผ่ออกมา
ทุกคนสีหน้าเปลี่ยนทันที ต่างคารวะว่า “ขอคารวะท่านผู้อาวุโส”
มั่วชิงเฉินพยักหน้านิ่งเรียบ ต้วนชิงเกอยิ้มแผ่วเบา ส่วนมั่วหลีลั่วกลับไม่เปลี่ยนสีหน้าเดินตรงไปข้างหน้า เหมือนไม่ได้ยินคนพวกนั้น
มั่วชิงเฉินรู้ว่า ศิษย์พี่มั่วผู้นี้ปกติปฏิบัติกับศิษย์พี่น้องหญิงล้วนไม่เลว กลับเฉพาะเจาะจงไม่ไว้หน้าผู้ชาย
จนกระทั่งทั้งสามคนเข้าไปในเมืองเล็ก คนพวกนั้นก็ยังไม่แยกตัวไป ต่างวิจารณ์กันขึ้นมา
“หญิงสาวสามคนนั้นเป็นใครมาจากไหน ไม่คิดว่าจะมีตบะระดับสร้างรากฐานทุกคน?” คนหนึ่งในนั้นเอ่ย
อีกคนหนึ่งเอ่ยตามว่า “นั่นน่ะสิ ยังโฉมงามเยาว์วัยเช่นนี้อีก จิ๊ๆ”
ทันใดนั้นได้ยินเสียงดุว่า “ยังไม่หุบปากอีก หรือว่าเจ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว!”
“พี่หลี่ อยู่ดีๆ เจ้าอารมณ์เสียอะไร?” คนก่อนหน้าเอ่ยอย่างไม่เข้าใจ
คนที่ถูกเรียกว่าพี่หลีด่าว่า “เจ้าช่างไม่มีตาจริงๆ สามท่านนั้นใช่เพียงดูแล้วอายุน้อยที่ไหน พวกนางอายุยังน้อยมากชัดๆ โดยเฉพาะคนชุดขาวนั่น เกรงว่าอายุยังไม่ถึงสามสิบปี!”
“หา!” คนรอบข้างสูบลมหายใจเย็นเข้าอึดหนึ่ง
หนึ่งในนั้นว่า “เป็นไปไม่ได้กระมัง ยังไม่ถึงสามสิบปีก็สร้างรากฐาน นั่นมิใช่อัจฉริยะหรอกหรือ? ไม่ใช่บอกว่าผู้บำเพ็ญเพียรนิยมกินโอสถคงโฉมกันหรอกหรือ?
คนที่ถูกเรียกว่าพี่หลี่หัวเราะฟู่ว่า “มิเช่นนั้นจะว่าพวกเจ้าวิสัยทัศน์ตื้นเขิน สร้างรากฐานก่อนอายุสามสิบปีในหมู่ผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักเช่นพวกเราแม้หมื่นคนยังหาไม่ได้สักคน ทว่าในสำนักใหญ่พวกนั้น ก็มิได้หายากแต่อย่างใด นอกจากนั้น แม้จะบอกว่าผู้บำเพ็ญเพียรเช่นเราแก่ชราช้า ยังมีโอสถคงโฉมให้กินได้ ทว่าอายุที่แท้จริงก็ใช่ว่าจะปิดบังได้ด้วยลักษณะภายนอกเท่านั้น เอาเป็นว่าหญิงสาวสามคนนั้นไม่ใช่คนที่เราจะตอแยด้วยได้ พวกเจ้าพูดจาต่างระวังหน่อย”
สองสามคนนั้นยังไม่แยกไป ทันใดนั้นที่ขอบฟ้าก็มีลำแสงต่างๆ หลายสายวาดผ่าน ตามติดด้วยผู้บำเพ็ญเพียรหญิงสองสามคนกระโดดลงมา มองไป ล้วนมีตบะระดับสร้างรากฐานทุกคนอย่างคาดไม่ถึง
รอผู้บำเพ็ญเพียรหญิงสองสามคนนี้เข้าไปในเมืองเล็ก ทันใดนั้นหนึ่งในผู้บำเพ็ญเพียรสองสามคนนั้นตะโกนขึ้นมาว่า “ข้ารู้แล้ว พวกนางต้องเป็นผู้บำเพ็ญเพียรแห่งนิกายเหอฮวนเป็นแน่!”
คำพูดนี้พูดออกไปปุ๊บ สองสามคนมองหน้ากันปราดหนึ่ง แม้แต่เมืองเล็กก็ไม่เข้า เดินจากไปเงียบๆ แล้ว
ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงไม่กี่คนที่เข้ามาในเมืองเล็กทีหลังต่างเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดม่วงในนั้นคนหนึ่งว่า “ที่นี่มีจุดติดต่อที่มิดชิดของสำนักเรา พวกเรารีบไปขึ้นค่ายกลเคลื่อนย้ายที่นั่น ขอเพียงกลับถึงสำนักได้ก็หายห่วงแล้ว พวกเจ้าอดทนอีกหน่อย ถูกแล้ว อย่าให้นางหนูนี่หนีล่ะ!”
“ทราบแล้วเจ้าค่ะ ศิษย์พี่ใหญ่” ผู้บำเพ็ญเพียรอีกสามคนเอ่ย
หากสังเกตให้ละเอียดก็จะพบว่า หญิงสาวชุดสีรุ้งที่ไม่ออกเสียงคนนั้นสองมือถูกไขว้มัดไว้ด้านหลังอย่างคาดไม่ถึง
พวกมั่วชิงเฉินสามคนเดินอยู่ท่างกลางเมืองเล็ก นี่เป็นเมืองที่มีแต่ผู้บำเพ็ญเพียร สามารถเห็นผู้บำเพ็ญเพียรไปๆ มาๆ ได้ทั่วไป แต่งตัวต่างๆ กัน ตบะส่วนใหญ่อยู่ระดับหลอมลมปราณระยะกลาง ปลาย นานๆ ทีจะเห็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานคนหนึ่ง
ถนนสองข้างทางมีร้านรวงต่างๆ สิ่งที่ขายล้วนเป็นของที่จำเป็นต่อผู้บำเพ็ญเพียร พวกนางสามคนเดินดูตามอารมณ์ พบของบางสิ่งแม้ไม่ล้ำค่าทว่ากลับหายากทางฝั่งพรรคเหยากวงโน่น จึงซื้อติดมือไว้
เพียงแต่พวกนางสามคนล้วนเป็นผู้หญิง อีกทั้งอยู่ระดับสร้างรากฐานหมด จึงดึงดูดให้คนรอบข้างแอบพิจารณาเงียบๆ ไม่หยุด
“ศิษย์พี่ทั้งสอง ไม่สู้เราไปจากนี่ดีกว่าเถอะ” มั่วชิงเฉินเอ่ยเสียงต่ำ
นางใช้เวลาส่วนใหญ่ในการบำเพ็ญเพียรอย่างสงบ เทียบกับมั่วหลีลั่วที่เป็นศิษย์ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณตั้งแต่แรกเริ่มไม่ได้ เดินเหินอยู่ในสำนักก็เป็นที่สนใจของผู้คน และก็เทียบกับต้วนชิงเกอไม่ได้เพราะรูปโฉมโดดเด่น ตั้งแต่กลับจากแดนลี้ลับหุบเขาโยวเล่อก็ถูกผู้บำเพ็ญเพียรชายนับไม่ถ้วนตามเอาใจ จึงชินกับการเป็นเป้าสายตาของผู้คนนานแล้ว
“อืม” สองคนตอบรับ ที่นี่เป็นเพียงแค่เมืองเล็กๆ ธรรมดาแห่งหนึ่ง นอกจากซื้อของท้องถิ่นบางอย่างแล้ว ดูเหมือนก็ไม่มีความจำเป็นต้องเสียเวลาอยู่ที่นี่แล้ว
มั่วหลีลั่วกวาดแผนที่ดูรอบหนึ่งว่า “เมืองเล็กนี้อยู่นอกทางใต้ของเทือกเขาฟางจูนับพันลี้ มุ่งหน้าต่อไป ก็คือเขตอิทธิพลของนิกายเหอฮวน แต่ไหนแต่ไรมาข้าไม่ชอบสำนักนั้น ไม่สู้เรามุ่งหน้าไปทางตะวันออกเฉียงใต้ ที่นั่นเข้าใกล้ดินแดนแห่งสิบทวีปทางตะวันตก ไม่แน่อาจจะมีของอะไรที่พวกเราต้องการ”
มั่วชิงเฉินตลอดมาไม่มีความรู้สึกด้านทิศทางอยู่แล้ว ย่อมไม่มีความเห็นเป็นธรรมดา
เมื่อสามคนตัดสินใจแล้วจึงตั้งใจจากไป มั่วชิงเฉินหรี่ตา มีผู้บำเพ็ญเพียรหญิงห้าคนเดินมาตรงหน้า แต่ละคนมีตบะอยู่ระดับสร้างรากฐาน นี่ก็ช่างเถอะ ทว่าหญิงสาวชุดสีรุ้งที่ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงสองสามคนพยุงไว้ในนั้น ไม่คิดเลยว่าจะเป็นหลิวหลิงจือ!
เมื่อสังเกตปุ๊บ มั่วชิงเฉินก็สังเกตถึงความผิดปกติ ในสีหน้าเย็นยะเยือกของหลิวหลิงจือแฝงไว้ด้วยความสิ้นหวังชินชา คาดไม่ถึงว่าจะถูกพวกนางมัดไว้!
ผู้หญิงไม่กี่คนที่เดินมาเมื่อเห็นพวกมั่วชิงเฉินสามคนก็ชะงักเช่นกัน อย่างไรเสียในเมืองเล็กๆ เช่นนี้ น้อยครั้งที่จะมีผู้บำเพ็ญเพียรหญิงระดับสร้างรากฐานมากมายเพียงนี้ปรากฏตัว
หลิวหลิงจือกลับดูเหมือนมองไม่เห็น ใบหน้ายังคงมีสีหน้าเช่นนั้น
ในยามนี้เองมีพลังวิญญาณหลายสายเคลื่อนไหว ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดม่วงในนั้นสีหน้าเปลี่ยนทันที ทันใดนั้นโยนของสิ่งหนึ่งใส่พวกมั่วชิงเฉินสามคนแล้วว่า “ศิษย์น้องทั้งสาม พวกเจ้ารีบนำของไป พวกเรามารับมือศัตรูเอง!”
พูดจบหญิงสาวไม่กี่คนนั้นก็วิ่งไปยังทิศทางหนึ่ง มั่วชิงเฉินจิตตระหนักเกินคน กลับสัมผัสได้ว่าพลังวิญญาณที่เคลื่อนไหวอยู่ทีแรกกำลังเข้าใกล้มาทางทิศทางของพวกนาง
มองดูถุงเก็บวัตถุในมือ สีหน้ามั่วชิงเฉินเย็นชาลง นางไม่ใช่คนโง่เสียหน่อย ย่อมรู้ว่าถูกป้ายสีแล้ว!