กําเนิดดาบปีศาจ(BDS) เล่ม1 : บทที่ 37 – โจรกรรม
ขบวนพ่อค้าเดินทางเข้าไปในป่า โนอาห์ตามขบวนไปโดยกระโดดจากต้นไม้ต้นหนึ่งไปอีกต้นหนึ่งและรักษาระยะห่างออกมาเล็กน้อย เขากําลังรอจังหวะที่กลุ่มเงาสีเทาจะปรากฏตัว
เขารู้สึกเบื่อหน่าย ทั้งหมดที่เขาทําได้ก็มีเพียงแค่การรอให้มีบางสิ่งเกิดขึ้นในระยะการมองเห็นของเขา ซึ่งแตกต่างอย่างชัดเจนไปจากวันปกติที่เขามักจะใช้เวลาไปกับการฝึกฝนจนกระทั่งหลับไปเพื่อให้ร่างกายได้ฟื้นฟู
ขณะเดียวกันกับขบวนพ่อค้า ควินท์คือพ่อค้าที่ทํางานให้ตระกูลมาตั้งแต่อายุได้สิบหกปี เขามีความสามารถด้านการค้าขายสั่งสมมาเรื่อยๆ จนเขาเป็นที่ต้องการของตระกูลเมอร์เจอร์ ตระกูลขุนนางขนาดกลางที่อยู่ภายใต้การปกครองของตระกูลโชสติ
ตอนนี้เขาอยู่ระหว่างการเดินทางกลับไปยังคฤหาสน์เมอร์เจอร์ที่ตั้งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของป่าไม่ไกลจากชายแดนมากนัก
เขาประสบความสําเร็จในการขายสินค้าของตระกูลขุนนางณ ตลาดแห่งหนึ่งในเมืองมอสโกรฟและทําให้เขาได้กําไรค่อนข้างมาก เนื่องจากธุรกิจเป็นไปได้ด้วยดี อารมณ์ของเขาจึงดีตามไปด้วย เช่นนั้นเขาจึงใช้เส้นทางลัดระหว่างเดินทางกลับไปยังคฤหาสน์โดยที่ไม่ได้ทันคิดถึงอันตรายต่างๆ ที่อยู่ในป่าเลย เพราะไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เขามีทหารที่ตระกูลขุน นางส่งมาเพื่อปกป้อง!
“ฮ่าๆ ถ้าท่านพ่อท่านแม่ได้มาเห็นความสําเร็จตอนนี้ล่ะก็ขายกฐานะของตระกูลขึ้นมาได้ถึงขั้นที่ตระกูลขุนนางต้องส่งคนมาคอยปกป้องระหว่างเดินทาง!? นี่คือความคิดของเขา
ซึ่งเป็นที่แน่นอน เขารู้ว่าภารกิจของทหารเหล่านี้คือปกป้องสินค้า ไม่ใช่เขา แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรเพราะการเดินทางครั้งนี้เกิดผลกําไรแก่ตัวเขาจริงๆ
“คงได้เงินจํานวนหนึ่งจากการค้าขายครั้งนี้ ซึ่งน่าจะพอให้เกษียณตัวเองและสร้างคฤหาสน์เล็กๆ สักหลังได้ ใครจะรู้ล่ะ ลูกหลาน เหลน ของตระกูล ในอนาคตอาจจะได้เป็นขุนนางก็เป็นได้!”
สายตาของเขาเคลื่อนไปหาเด็กผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้างๆเธอเป็นสมาชิกเพียงคนเดียวในตระกูลที่เหลืออยู่ตอนนี้เนื่องจากภรรยาของเขาเสียชีวิตไปแล้ว บุตรสาวคนนี้ได้รับพรสวรรค์จากเขาในฐานะ ตัวแทนจําหน่ายวัยเยาว์
ควินท์มอบความรู้และประสบการณ์ทุกอย่างให้แก่เธอแต่ไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งจะได้มีโอกาสมีคฤหาสน์เป็นของตัวเอง
“ข้าอยากให้นางได้แต่งงานกับตระกูลขนาดเล็กสักตระกูลแต่ถ้าข้าอดใจรออีกสักหน่อยนางก็คงจะได้เป็นเมียหลวงในตระกูลขุนนางระดับกลาง! เพราะความสัมพันธ์ของนางกับนายน้อยของตระกูลเมอร์เจอร์ก็ไปด้วยกันได้ดีเลยทีเดียว”
ควิทน์ล่องลอยอยู่ในภวังค์ขณะที่ขบวนพ่อค้าเดินทางต่อไป เรื่อยๆ เขาวางแผนเรื่องต่างๆ และจัดเรียงสินค้าระหว่างเดินทาง
หลังจากเขาเดินทางเข้ามาในป่าได้หนึ่งสัปดาห์บางสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น มีลูกธนูดอกหนึ่งพุ่งออกมาจากหลังต้นไม้พุ่งเข้าใส่ม้าที่กําลังลากจูงรถอยู่ข้างหน้า ม้าตัวนั้นตายล้มลงกับพื้นทันที ขณะนั้นเองร่างของคนสามคนก็ปรากฏตัวออกมาจากจุดหลบซ่อน
เหล่าทหารเดือดดาลและกระโดดลงมาจากรถม้าพร้อมตะโกนใส่พวกเขา “พวกเจ้ากล้าดียังไงถึงโจมตีรถม้าของตระกูลเมอร์เจอร์! แล้วพวกเจ้าจะเสียใจกับสิ่งที่กระทําลงไป!”
ทั้งสามคนมีเสื้อคลุมสีเทาที่ปกปิดใบหน้าและมีแขนเสื้อใหญ่ที่คลุมมือทั้งสองข้างเอาไว้ หนึ่งในนั้นโพล่งหัวเราะออกมาเมื่อได้ยินคําขู่จากทหาร
“ฮ่าๆ พวกเจ้าได้ยินที่เขาพูดหรือไม่เงาสอง เงาสาม? เขาคิดว่าเราจะต้องกลัวเขาจนตัวสั่น!”
อีกคนหนึ่งตอบกลับ “อย่ากังวลไปเลยเงาหนึ่ง เดี๋ยวพวกเขาก็จะเข้าใจเอง”
คล้ายกับว่าคําพูดนั้นเป็นสัญญาณ ชายสวมเสื้อคลุมทั้งสามคนพุ่งเข้าโจมตีใส่เหล่าทหาร พวกเขาขว้างมีดและชักดาบสั้นออกมาจากแขนเสือ
ทหารป้องกันการโจมตีเอาไว้ได้และเริ่มล้อมพวกเขาไว้ ทหารมีอยู่กันห้านายต่อโจรสามคน ข้อได้เปรียบที่เห็นได้ชัดเจนตอนนี้ก็คือจํานวน
ในตอนนั้นเอง ลูกธนูอีกดอกก็พุ่งออกมาจากหลังต้นไม้และโดนเข้าที่ขาของทหารนายหนึ่งและชายสวมเสื้อคลุมอีกสองคนก็เผยตัวออกมาจากการหลบซ่อน
ตอนนี้เกิดความได้เปรียบแก่เหล่าโจรเนื่องด้วยทหารที่บาดเจ็บไปหนึ่งนาย แต่ดูเหมือนพวกเขาจะไม่ได้มุ่งหวังในการสั่งหารศัตรูเลย
ควินท์ซ่อนตัวอยู่กับบุตรสาวภายในรถม้าตั้งแต่เกิดการโจมตีขึ้น เขารู้ว่าสินค้าคือจุดประสงค์หลักของภารกิจของทหารเหล่านี้ ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะซ่อนตัวกับสินค้าเหล่านี้อย่างชาญฉลาด เขาค่อนข้างรู้สึกผ่อนคลายกับการโจมตีครั้งนี้เนื่องจากเขามั่นใจในอํานาจของตระกูลขุนนางขนาดกลาง
“เจ้าไม่ต้องกลัวไป พวกโจรกระจอกไม่กล้าฆ่าผู้ที่สวมตราสัญลักษณ์ของตระกูลขุนนางหรอก แม้พวกนั้นจะมีอยู่ชีวิตอยู่กับอาชญากรรมต่างๆ แต่พวกมันก็ยังกลัวอํานาจของขุนนางอยู่ดี”
เขากําลังปลอบบุตรสาว จู่ๆ ก็มีเสียงหนึ่งพูดแทรกขึ้นมา
“เขาพูดถูกแล้วสาวน้อย เรากลัวพวกผู้ฝึกตนผู้ทรงพลังที่ปกป้องพวกเขาจนตัวสั่นเลยล่ะ แต่เอาเถอะ มันไม่ได้หมายความว่าเราจะวิ่งหนีเมื่อเห็นตราสัญลักษณ์นั่นหรอกนะ”
ควินท์จ้องมองร่างของชายสวมเสื้อคลุมตรงท้ายรถม้าขณะกําลังมองมาที่สินค้า เขาผายมือออกมาและสินค้าทั้งหมดก็ถูกดูดเข้าไปในแขนเสื้อของพวกเขา
“ขอบน้ําใจ”
โจรโค้งคํานับให้เล็กน้อยจากนั้นก็รีบออกจากรถ หลังจากนั้นเขาก็หายเข้าไปในป่า
ควินท์อ่อนแรงทันทีเมื่อได้เห็นเช่นนั้น “ชีวิตข้าจบสิ้นแล้ว!”
เมื่อย้อนกลับไปก่อนหน้าเหตุการณ์นี้เล็กน้อยโนอาห์ยังคงตามติดขบวนพ่อค้ากลุ่มนี้อยู่ ผ่านมาร่วมเจ็ดวันแล้ว แต่ก็ยังไม่มีสัญญาณใดๆ ของกลุ่มเงาสีเทาเลย
“น่าเบื่อสุดๆ! อย่าบอกนะว่าฉันตัดสินใจพลาดนะ ไม่ใช่ว่าพวกมันตามขบวนเล็กไปแล้วหรอกหรือ
โนอาห์ซ่อนตัวอยู่เหนือยอดไม้เป็นขณะเดียวกันกับที่ข้อสงสัยต่างๆ เริ่มก่อตัวและสะสมภายในจิตใจของเขา เขาฝึกทะเลแห่งสติเพื่อฆ่าเวลาในบางครั้ง และจู่ๆ เขาก็สัมผัสได้ว่ามีบางสิ่งกําลังเข้าใกล้ตําแหน่งของขบวน เขาตั้งสมาธิทันทีและจดจ้องไปยังภาคพื้นดิน เขาพบชายสวมเสื้อคลุมคนหนึ่งใช้ธนูฆ่าม้าที่ลากรถจากนั้นชายอีกสามคนก็ปรากฏตัวเพื่อต่อสู้กับ ทหารเหล่าทหารเริ่มจนมุมและมีชายสวมเสื้อคลุมอีกสอง คนปรากฏตัวออกมาแต่เขายังรออยู่ เขาต้องรู้ว่าคนพวกนี้ จะขโมยอย่างไรและจะเอาของที่ขโมยไปไว้ที่ใด
แต่ด้วยชะตากรรมที่ขบวนพ่อค้ากําลังเผชิญอยู่นั้น เขากลับไม่ได้ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย
ชายคนหนึ่งรุดรีบตรงไปยังหลังรถและกลับออกมาหลังจากนั้นเพียงไม่กี่นาที ต่อมา พ่อค้าก็ออกมาจากรถล้มลงครวญครางอยู่บนพื้นและชี้ไปยังทิศทางที่ชายคนนั้นจากไป
สีผิวของพ่อค้าซีดเซียวดูไร้ซึ่งชีวิตชีวา
สภาพของควินท์ทําให้โนอาห์เข้าใจสถานการณ์
“ของถูกขโมยไปแล้ว!”
เมื่อความเข้าใจกระจ่างชัดในความคิด เขาก็ไม่รอช้า กระโดดตรงไปตามต้นไม้เพื่อไล่ตามผู้ที่เพิ่งวิ่งหายเข้าไปในป่า หากมีใครบางคนกําลังมองลงมาที่ป่าจากมุมสูง เขาก็จะเห็นจุดสี ดําเล็กๆจุดหนึ่งกําลังเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วอยู่เหนือยอดไม้