ไหงอยู่ดี ๆ มาเป็นไฮเอลฟ์ในเกม แถมยังมีคนบูชาฉันด้วยล่ะคะ !! 777

ตอนที่ 777

​ในที่สุด E-Book ของน้องโนเอลร่าของเราก็ออกแล้วจร้า ที่หายไปนานไม่ได้อัพนิยายไม่ต้องแปลกใจนะ ไปทำ E-Book นั่นเองจ้า

ซึ่งในเล่ม E-book จะเป็นฉบับสมบูรณ์ที่มีการเพิ่มเติมเนื้อหาให้ละเอียดและมีความสมเหตุสมผลมากขึ้น แน่นอนว่าคำผิดเองก็พยายามพิสูจน์อักษรให้เหลือน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้และจ้า เพราะฉะนั้นหากใครอยากอ่านแบบคลีน ๆ แนะนำซื้อ E-Book ได้เลยเน้อ ถือเป็นการให้ค่าขนมน้องโนเอลร่าด้วยนะ และพิเศษสุดคือมีภาพประกอบในเล่มด้วยนะเออ!! ภาพประกอบบอกเลยว่าสวยมากจนแม้แต่นักวาดด้วยกันเองยังชมเลยนะ อิอิ 

โดยค่าขนมน้องโนเอลร่า แบบ E-Book ราคาอยู่ที่ 229 บาท (Apple 249 บาท)  

และถ้าใครอยากได้ชีวิตประจำวันของน้องโนเอลร่าไปเก็บสะสมไว้ที่ชั้นหนังสือก็สั่งพรีออเดอร์ได้ ในค่าขนม 269 บาท (ยังไม่รวมค่าส่ง) น้าา บอกเลยว่าเล่มสวยมากเป็นลักษณะของไลท์โนเวลแบบ 100% มีปกแจ็กเก็ตเหมือนของสำนักพิมพ์เลยนะ 

และเล่มสองมาแน่นอนไม่ต้องห่วงตอนนี้จองคิวนักวาดไว้แล้วด้วยเน้อ ส่วนนิยายในเว็ปแน่นอนว่าอัพต่อแน่นอนจ้าไม่ได้ทิ้งไปไหน แต่ในเล่มสองจะมีการเปลี่ยนเนื้อเรื่องค่อนข้างเยอะ เพราะงั้นจะแตกต่างจากฉบับที่ลงในเว็บพอสมควรนะ อิอิ ใครอยากจะอ่านฉบับสมบูรณ์ก็ตามซื้อกันได้นะงับ 

****นิยายเว็บของน้องโนเอลร่าจะไม่ติดเหรียญแต่อย่างใด แต่นักเขียนจะไม่แก้คำผิดแล้วเน้อ จะให้อ่านฟรีต่อไปเรื่อย ๆ จ้าเพราะนักเขียนจะพยายามเปลี่ยนเนื้อหาในเล่มให้ไม่เหมือนกับที่ลงในเว็ปและเพิ่มความสมบูรณ์ของเนื้อหาทำให้คนที่ซื้อแบบนิยายไม่ว่าจะ E-Book หรือแบบเล่มไม่ผิดหวังแน่นอน****

[ประตูทิศตะวันตกป้อมปราการเดธวอลเลย์]

 

ฝุ่นควันที่เกิดจากดินและพื้นที่บริเวณถูกทำลายอย่างย่อยยับ สายลมที่พัดโชยอย่างรุนแรงราวกับพายุพัดเอาฝุ่นที่ตอนนี้ลอยเต็มอากาศของพื้นที่โดยรอบลอยขึ้นไปบริเวณทางเข้าป่าของประตูทิศตะวันตกของป้อมปราการเดธวอลเลย์

 

สภาพพื้นดินและต้นไม้ต่าง ๆ ใกล้ ๆ บริเวณนั้นถูกทำลายราวกับมีลูกระเบิดตกลงมาจากฟ้า หากแต่ว่าสิ่งที่อยู่ตรงนั้นเป็นลูกระเบิดที่มีรูปร่างเป็นหมาป่าสีเงินขนาดใหญ่ถึง 4 เมตร และลักษณะรูปร่างที่งดงามขนสีเงินที่ส่องประกายราวกับแสงจันทร์ยามค่ำ และลวดลายสัญลักษณ์บนใบหน้าและลำตัวที่ดูศักด์สิทธ์อย่างกับสัตว์รับใช้ของเทพธิดา 

 

ดันทาเลียนและเค็นโซแทบไม่ได้ขยับออกจากจุดเดิมเลยแม้แต่น้อย ทั้งคู่ต่างละสายตาจากกันและกัน แต่กลับจ้องมองไปที่ตัวตนใหม่ที่ดูอันตรายยิ่งกว่าเหมือนกันอย่างกับนัดหมายกันมาแต่ก่อนแล้ว แรงกดดันอันมหาศาลที่แผ่ออกมาจากร่างกายใหญ่โตของสัตว์สี่ขาอันงดงาม ทำให้สัญชาตญาณความหวาดกลัวและเอาชีวิตรอดของทั้งสองถูกกระตุ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

 

แต่แล้วดวงตาสีเงินที่ราวกับดวงจันทร์เต็มดวงที่เฉิดฉายอยู่บนท้องฟ้ายามราตรีก็ได้ละสายตาไปจากเค็นโซแล้วหันไปมองดันทาเลียนเพียงคนเดียว เค็นโซที่เห็นดังนั้นนึกประหลาดใจว่าสิ่งที่หมาป่าตนนี้ทำคือการเมินตนเองหรือว่าสมผัสได้ว่าเค็นโซไม่ได้มีจิตมุ่งร้าย

 

ดันทาเลียนที่เห็นแววตาสีเงินมุ่งความสนใจมาที่ตน ความหวาดระแวงและจิตต่อสู้จึงเตรียมพร้อมทันที แม้ดันทาเลียนจะรู้ตัวว่ามอนสเตอร์หมาป่าตรงหน้ามีแรงกดดันที่มหาศาล ไม่ใช่เพียงเท่านั้นยังสัมผัสได้ถึงพลังเวทย์ที่มากมายภายในตัวของหมาป่าของใหญ่ตรงหน้าอีกด้วย แม้จะคลื่นพลังเวทย์จะไม่เท่ากับกับวงเวทย์ขนาดใหญ่ที่อยู่บนท้องฟ้าเหนือเมืองป้อมปราการเดธวอลเลย์ก็ตาม

 

( ชิ ! ไอ้เจ้าหมาตัวนี้มันมาจากไหนกัน ! แค่ตาแก่นั่นก็ยุ่งยากพออยู่แล้วแท้ ๆ ! ) 

 

พริบตาต่อมาดันทาเลียนพุ่งเข้าไปพร้อมกับเหวี่ยงดาบใหญ่ที่เกินกว่าขนาดตัวคิดจะโจมตีใส่หมาป่าตัวใหญ่ตรงหน้าราวกับลืมเค็นโซนักผจญภัยระดับ S ไปแล้ว แน่นอนสำหรับนักรบอย่างดันทาเลียนแล้วการเริ่มโจมตีก่อนอาจจะดูได้เปรียบ แต่นั่นหมายถึงในกรณีที่ระดับความแข็งแกร่งของคู่ต่อสู้ใกล้เคียงกันเพียงเท่านั้น 

 

ในจังหวะที่ก้าวขาได้เพียงก้าวเดียวจู่ ๆ แรงกดดันมหาศาลที่กัดกินจิตใจและความกล้าหาญของดันทาเลียนในชั่วพริบตา แน่นอนว่าไม่ได้มาจากเค็นโซที่ตอนนี้ทำได้เพียงยืนอยู่นิ่ง ๆ เท่านั้น แต่มาจากตัวตนตรงหน้าที่ดันทาเลียนพุ่งเข้าไปหา 

 

แน่นอนว่านั่นคือสกิลของลูลิที่แม้แต่โนเอลร่าเองก็ไม่เคยเห็นเช่นกัน การวิวัฒนาการของเผ่าพันธุ์ของลูลินั่นได้ก้าวข้ามสิ่งที่เรียกว่า ‘เฟ็นรีร์’ ไปแล้วนั่นเอง ตอนนี้เผ่าพันธุ์ของลูลินั่นก็คือ ‘ ดีไวท์เฟ็นรีร์ ‘ (หมาป่าสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์) เผ่าพันธุ์ที่ไม่เคยถูกค้นพบหรือมีบันทึกอยู่ในประวัติศาสตร์มาก่อน ตัวตนที่เป็นดั่งสัตว์อสูรรับใช้ของเทพธิดา 

 

แรงกดดันและคลื่นพลังเวทย์ที่แผ่ออกมามากมายจากตัวของลูลิ นั่นคือสกิล ‘ จิตคุกคามเทวะ ‘ หากเปรียบกับสมัยที่โนเอลร่ายังอยู่ในเกมแล้วละก็ สกิลนี้จะทำให้ศัตรูอยู่ในสถานะหวาดกลัวหนำซ้ำยังลดความสามารถทั้งหมดของศัตรูกว่า 15 % แน่นอนว่าเค็นโซที่แม้จะยืนเฝ้ามองดูเฉย ๆ ก็ตกอยู่ภายใต้สกิลนี้อย่างไม่มีข้อยกเว้น 

 

” อึก !! นะ-นี่มันอะไรกัน ! ” 

 

ร่างกายที่ถูกแรงกดดันและความหวาดกลัวจนทำให้ขยับตัวไม่ได้ ความเร็วเมื่อครู่ถูกหยุดลงอย่างกะทันหัน เรี่ยวแรงของดันทาเลียนลดลงราวกับถูกกดเอาไว้ทั้งพละกำลังและความเร็วหรือแม้จะความสามารถใด ๆ ก็ตาม ระยะห่างเพียงไม่กี่สิบเมตรแต่ดันทาเลียนรู้สึกราวกับห่างไกลแสนไกล 

 

เม็ดเหงื่อที่เริ่มปรากฏออกมาอย่างเด่นชัดบนใบหน้าของดันทาเลียนหมายถึงสถานการณ์ที่กำลังตกที่นั่งลำบากเพราะไม่คาดคิดว่าตนเองกำลังหวาดกลัวจนถึงกับขยับตัวไม่ได้ แน่นอนว่าไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นกับสุดยอดนักรบเป็นแน่ เค็นโซที่อยู่ไม่ไกลจากดันทาเลียนมากนักได้แต่คิดหาคำตอบถึงสิ่งที่หมาป่าสีเงินตนนี้กำลังแสดงออกมา

 

เหตุใดถึงมุ่งไปที่ดันทาเลียนเพียงคนเดียว เหตุใดถึงไม่สนใจตนทั้งที่ตนน่าจะมีฝีมืออยู่ในระดับเดียวกับหญิงสาวผมสีแดงผู้นั้นแท้ ๆ สิ่งเดียวที่เค็นโซพอที่จะใช้มันสมองอันแก่ประสบการณ์ของตนคิดได้นั่นก็คือ เค็นโซไม่ได้มีเจตนาร้ายต่อเมืองหรือประชาชนคนธรรมดานั่นเอง 

 

หรือหากจะพูดอีกอย่างก็คือมอนสเตอร์หมาป่าตนนั้นสามารถสัมผัสได้ถึงจิตมุ่งร้ายของคนอื่นได้นั่นเอง และถือเป็นความโชคดีของเค็นโซที่คิดได้ถูกต้อง เพราะตอนนี้หมาป่าที่ดูราวกับเป็นสัตว์ของเทพธิดาได้ทำการปล่อยจิตสังหารรุนแรงใส่ดันทาเลียนที่คิดจะโจมตีใส่ตน แม้ว่าจิตสังหารจะรุนแรงจนส่งมาถึงเค็นโซก็ตาม

 

( แบบนี้ไม่ใช่มอนสเตอร์ทั่วไปแล้ว นี่มันอย่างกับสัตว์เทพในตำนานไม่ใช่หรือไง ) 

 

เค็นโซทำได้เพียงคิดพร้อมทั้งกู่ร้องภายในใจ แม้ตนที่เป็นนักผจญภัยมาอย่างยาวนานผ่านการกำจัดมอนสเตอร์มานับไม่ถ้วนก็ยังไม่เคยเจอตัวตนแบบนี้ที่ไหนมาก่อน แต่เรื่องนั้นหาใช่ประเด็นสำคัญไม่ สิ่งที่เค็นโซใส่ใจและคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ หากหมาป่าสีเงินตัวนี้เข้าไปในเมืองตนจะหยุดได้หรือไม่ต่างหาก 

 

ในจังหวะที่คิดอยู่นั่นดันทาเลียนที่ถูก ‘ จิตคุกคามเทวะ ‘ อยู่นั่นได้เค้นพลังทั้งหมดเพื่อที่จะได้หลุดจากสถานะหวาดกลัวทำให้กลับมาเคลื่อนไหวร่างกายได้อีกครั้ง 

 

” อย่ามาดูถูกข้านะเว้ย !! ” ดันทาเลียนถีบท้าวอย่างรุนแรงอีกครั้งพุ่งเข้าใส่หมาป่าสีเงินตรงหน้า ดาบใหญ่ที่เกินขนาดตัวถูกเหวี่ยงขึ้นพร้อมทั้งออร่าสีแดงที่ห่อหุ้มตัวดาบราวกับกำลังอาบเลือดอยู่หมายจะฟาดฟันสัตว์สี่ขาตรงหน้า 

 

ชั่วพริบตาที่ดาบใหญ่สีชาดกำลังจะโดนขนสีเงินอันเงางามดั่งจันทราทอแสง สายลมรุนแรงก็พัดผ่านตัวของดันทาเลียนขมเขี้ยวสีเงินและเท้าหน้าที่มีกรงเล็บอันน่าเกรงขามของราชันย์หมาป่าตรงหน้าขยับเพียงเล็กน้อย ทันใดนั้นดาบใหญ่ที่เต็มไปด้วยออร่าสีชาดก็แตกเป็นเศษเล็กเศษน้อยราวกับถูกฉีกกระชาก 

 

” ” หา ? ” “

 

เศษใบดาบขนาดใหญ่ที่แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย สะท้อนอยู่ในดวงตาของทั้งเค็นโซและดันทาเลียนพร้อมทั้งใบหน้าที่ตกตะลึงอย่างถึงขีดสุด แน่นอนว่าไม่อาจทำความเข้าใจกับปรากฏการณ์ตรงหน้าได้ โดยเฉพาะดันทาเลียนผู้เป็นเจ้าของดาบที่แตกสลายไม่สามารถตามเหตุการณ์ได้แม้แต่น้อย 

 

” อะ-อะไร ? ”  ประโยคคำถามที่เอ่ยออกมาโดยราวกับเป็นปฏิกิริยาตอบโต้อัตโนมัติของร่างกาย ในมุมมองของดันทาเลียนที่เห็นมีเพียงหมาป่าสีเงินขยับเขี้ยวและขาหน้าเพียงเล็กน้อยราวกับขยับเท้าเท่านั้น แต่ผลที่ตามมาคือดาบเล่มใหญ่ที่ห่อหุ้มด้วยออร่าปีศาจที่ทรงพลังถูกทำลายย่อยยับ 

 

” เอ๊ะ ? ” อาการตกใจครั้งแรกยังไม่ทันจะหาย ดันทาเลียนก็ต้องตกใจเป็นครั้งที่สองกับสิ่งที่เห็นตรงหน้า ร่างขนาดใหญ่ที่สูงกว่า 4 เมตรของหมาป่าสีเงินได้หายไปจากวิสัยทัศน์ของดันทาเลียน 

 

ชั่วพริบตาดันทาเลียนก็รู้สึกถึงตัวตนที่หายไปเมื่อครู่มาอยู่ข้างหลังตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ความรวดเร็วที่น่าจะเหนือกว่าเค็นโซที่ได้ประมือกันอย่างเทียบไม่ติด จู่ ๆ ก็สัมผัสได้ถึงลมหายใจและของเหลวที่ต้นคอราวกับคมดาบที่จ่อที่คอของตน ความเย็นของของเหลวที่น่าจะเป็นน้ำลายและลมหายใจที่อบอุ่นแผ่กระจายมาทั่วบริเวณหลังของดันทาเลียน 

 

เค็นโซที่มองดูอยู่ได้แต่ยืนนิ่งเพราะตามความเร็วของหมาป่าสีเงินตรงหน้าไม่ได้เลยแม้แต่น้อย แต่สิ่งที่เค็นโซเห็นตอนนี้มีเพียงหมาป่าสีเงินคาบคอเสื้อของดันทาเลียนขึ้นมาจากด้านหลังราวกับคาบของเล่น ในตอนนี้คงไม่ใช่เพียงแค่ดันทาเลียนแต่เค็นโซเองก็กำลังสงสัยว่าหมาป่าตรงหน้าคิดจะทำอะไรกันแน่ 

 

ในขณะที่คิดหาคำตอบอยู่นั้นเอง จู่ ๆ หมาป่าสีเงินก็สะบัดหน้าอย่างรวดเร็วและรุนแรงราวกับจะเหวี่ยงสิ่งที่คาบอยู่ในปากให้กระเด็นออกไป เพียงแต่ว่าสิ่งที่คาบอยู่ในปากคือผู้ที่ได้ชื่อว่าราชันย์ผู้บัญชาการกองทัพปีศาจที่ทุกคนต่างหวาดกลัว

 

” เฮ้ย ! ดะ-เดี๋ย- !! ” 

 

พูดยังไม่ทันจะจบประโยคดีร่างของหญิงสาวผมสีแดงของนักรบก็ถูกเหวี่ยงให้ปลิวอย่างรุนแรงขึ้นไปบนฟ้าทางป่าทิศตะวันตกราวกับลูกปืนใหญ่ที่ถูกยิงขึ้นฟ้า และแล้วร่างของดันทาเลียนก็ลอยไปไกลจนลับตาของเค็นโซ 

 

( … เมื่อกี้นี้มันอะไร ? ) 

 

เค็นโซที่ยังตามสถานการณ์ไม่ทันได้แต่มองร่างของหญิงสาวที่ตนได้ประมืออยู่เมื่อครู่ลอยปลิวไปอย่างกับกระสุนปืนใหญ่จนลับตา และแล้วก็ได้หันมาสบตากับตัวตนที่ทำให้เกิดเรื่องเมื่อครู่ขึ้นอย่างไม่ได้ตั้งใจ ดวงตาสีเงินที่งดงามดั่งพระจันทร์จ้องมองเค็นโซอย่างพินิจพิเคราะห์ และแล้วจู่ ๆ ก็มีสายลมรุนแรงพัดกระโชกเกิดขึ้นในจังหวะเดียวกันนั้นร่างอันสูงใหญ่ของหมาป่าสีเงินก็ได้อันตรธานหายไป 

 

” นี่ข้าไม่ถูกจับโยนด้วยงั้นสิน่อ … ” 

 

และแล้วก็เหลือเพียงนักผจญภัยเฒ่าชราเพียงคนเดียวท่ามกลางความเสียหาย ควันที่เกิดจากฝุ่นดิน ต้นไม้ที่ถูกโค่นหักอยู่กระจัดกระจาย หลุมที่เกิดจากการระเบิดมากมาย ทั้งหมดได้จบลงแบบที่เต่าชราไม่ได้คาดคิดเอาไว้ …

 

 

[ ??? ] 

 

” สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง ? ” เสียงทุ้มของชายวัยกลางคนที่ดูภูมิฐานดังขึ้นท่ามกลางเหล่าผู้มีอำนาจและคนสำคัญระดับประเทศ มีทั้งขุนนางและผู้บัญชาการทางทหารหรือแม้แต่เหล่านักเวทย์หลวงแห่งราชสำนักเองก็อยู่ด้วยเช่นกัน 

 

ภายในห้องที่มีโต๊ะยาวลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่ และเหล่าผู้คนที่นั่งรอบโต๊ะให้ภาพเป็นการประชุมที่สำคัญอย่างมาก และชายวัยกลางคนที่ถามถึงสถานการณ์ดังกล่าวนั่งอยู่หัวโต๊ะ เป็นชายวัยกลางคนที่รูปร่างดี หน้าตาที่แม้จะเลยวัยหนุ่มมานานแล้วแต่ก็ยังดูหล่อเหลา ผมสีทองอ่อนที่ดูงดงาม และหนวดเคราที่ดูสมชายก็ดูมีสง่าราศี

 

เครื่องแต่งกายที่ดูหรูหราดูแพงที่สุดในบรรดาคนอื่น ๆ แน่นอนว่าผู้ที่มีคุณสมบัติดังกล่าวคือพระราชาของอาณาจักรแอนวอลเลล์ นามนั้นคือ หลุยส์ ฮาโรลด์ แอนวอลเลล์ กษัตริย์องค์ปัจจุบันและเป็นกษัตริย์ลำดับที่ 26 ของอาณาจักรแอนวอลเลล์ 

 

” ตอนนี้ได้รับรายงานว่านักผจญภัยกำลังต้านพวกมอนสเตอร์ที่ประตูฝั่งตะวันออกอยู่พ่ะย่ะค่ะ ส่วนทหารหลวงกำลังคุ้มกันภายในเมืองพ่ะย่ะค่ะ ! ” เสียงดังที่รายงานอย่างชัดเจนมาจากหนุ่มทหารที่ดูไฟแรงยืนลุกขึ้นเพื่อรายงานต่อผู้ทรงอำนาจที่สุดในประเทศ

 

”  ท่านแม่ทัพ เราสามารถส่งกำลังพลไปช่วยที่ป้อมปราการเดธวอลเลย์ได้หรือไม่ ” 

 

” เกรงว่าต่อให้ส่งไปได้ก็ต้องใช้เวลาในการเดินทัพไม่ต่ำกว่า 3 วันพ่ะย่ะค่ะ ” แม่ทัพวัยกลางคนที่สวมชุดเกราะน่าเกรงขามสีดำ ที่ใบหน้ามีแผลจากการถูกฟันอยู่ตรงกลางพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่สุขุมและหนักแน่น 

 

” ฝ่าบาท ! ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปป้อมปารการเดธวอลเลย์จะถูกทำลายเป็นแน่ ! โปรดทรงพิจารณาส่งกำลังพลไปช่วยเถอะพ่ะย่ะค่ะ ! ” ชายหนุ่มที่สวมเครื่องแต่งกายดูดีและสะอาดสะอ้านดูมีสกุลลุกขึ้นออกความเห็นต่อหลุยส์อย่างตรงไปตรงมา แน่นอนว่าชายผู้นี้คือขุนนางที่เข้าร่วมประชุมด้วย

 

” ไม่ได้ยินที่ท่านแม่ทัพกาเฮริสพูดหรือไง ว่ามันต้องใช้เวลาในการเดินทัพน่ะ ” ขุนนางอีกคนที่ดูจะสูงวัยกว่าทักท้วงขุนนางหนุ่มที่เรียกร้องเมื่อครู่อย่างเปิดเผย เมื่อขุนนางหนุ่มได้ยินดังนั้นจึงเกิดอาการไม่พอใจขึ้น 

 

” แล้วแบบนี้จะปล่อยให้เมืองปราการเดธวอลเลย์ถูกทำลายไปอย่างงั้นหรือ  ท่านเนวิลล์ ! ” ขุนนางหนุ่มไม่พอใจกับท่าทางที่ดูจะไม่ทุกข์ร้อนของผู้เป็นขุนนางที่มีลำดับชั้นที่สูงกว่าอย่างมาร์ควิสเนวิลล์

 

” ท่านเอิร์ลฮาราล ข้าไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น แต่ถ้าลองคิดดูตามหลักแล้วการเดินทัพขนาดใหญ่ที่ต้องใช้เวลาถึง 3 วันเป็นอย่างน้อยอาจจะสายเกินไปก็ได้ ข้าว่าควรจะลองคิดหาวิธีที่ดีกว่านี้กันดีกว่านะ ” 

 

มาร์ควิสเนวิลล์ที่อธิบายด้วยเหตุผลอย่างผู้มากประสบการณ์ทำให้ทั้งเหล่าขุนนางและทหารที่เข้าร่วมประชุมก็ต่างเห็นด้วย ฮาราลนั้นเป็นขุนนางหนุ่มไฟแรงที่พึ่งจะสืบทอดตระกูลต่อจากบิดาได้เพียงไม่นานแต่ก็เป็นคนขยันและจริงจังทำให้สามารถไต่เต้ามาจนถึงยศเอิร์ลได้นั่นเอง 

 

” แต่ว่า- ”  แม้ฮาราลจะเห็นด้วยกับเนวิลล์แต่ถ้าหากไม่ทำอะไรเลยก็ไม่ต่างจากการที่ปล่อยให้ป้อมปราการเดธวอลเลย์ถูกทำลาย 

 

” ใจเย็น ๆ ก่อนท่านเอิร์ลฮาราล ข้าเข้าใจความรู้สึกของเจ้านะ แต่ตอนนี้พวกเราต้องคิดให้รอบคอบกันก่อน ” หลุยส์ที่เห็นฮาราลที่ดูร้อนรนจึงช่วยดึงสติกลับมาให้เย็นลง 

 

” พ่ะย่ะค่ะ.. ” เมื่อเห็นฮาราลใจเย็นลงหลุยส์จึงได้ตามความคิดเห็นต่าง ๆ จากคนในที่ประชุมต่อ 

 

แน่นอนว่าในตอนนี้ไม่มีใครที่พอจะคิดถึงวิธีที่ดีที่สุดได้เลย เพราะถ้าหากอยากจะส่งกำลังเสริมไปช่วยให้เร็วที่สุดก็ต้องเดินทัพขนาดเล็กแต่จากรายงานระบุว่าจำนวนมอนสเตอร์นั่นมีหลายร้อยจนเกือบ ๆ จะเป็นหลักพัน การที่ส่งกองทัพขนาดเล็กไปช่วยก็ไม่ต่างอะไรกับการส่งคนไปตายเพิ่ม แต่หากจะส่งกองทัพขนาดใหญ่ไปก็ต้องใช้เวลาในการเดินทัพที่นานทำให้สถานการณ์อาจจะอยู่ในจุดที่แก้ไม่ได้อีกต่อไป 

 

เหตุการณ์ในครั้งนี้ทุกคนในที่ประชุมก็ต่างไม่คาดคิดกันมาก่อน ไหนจะการเพิ่มจำนวนของมอนสเตอร์อย่างกะทันหัน ไหนจะทิศทางที่เหล่ามอนสเตอร์บุก หรือแม้กระทั่งการที่ดูราวกับมีคนบงการอยู่เบื้องหลังเองก็ตามทุกอย่างนั้นเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเพียงไม่กี่วันเท่านั้น ท่ามกลางความสิ้นหวังของที่ประชุมจู่ ๆ ที่มีผู้เสนอความคิดที่ราวกับเป็นความหวัง 

 

” ถ้าหากเป็นท่านเมอร์ริอาร์ล่ะพ่ะย่ะค่ะ ” 

 

” ” … ” ” 

 

เมื่อชื่อของจอมเวทย์หลวงถูกกล่าวถึงในที่ประชุมก็เกิดความเงียบไปทั่วบริเวณห้องประชุมที่กว้างขวาง เสียงสุดท้ายของผู้พูดสะท้อนไปมาในห้องจนเกิดเป็นเสียงก้องเบา ๆ จนกระทั่งหายไปจนเงียบสนิทอยู่สักครู่จนกระทั่ง.. 

 

” จะ- จริงด้วย ! ถ้าเป็นท่านจอมเวทย์หลวงเมอร์ริอาร์ละก็น่าจะสามารถไปที่ป้อมปราการเดธวอลเลย์ได้ด้วยเวลาสั้น ๆ ได้แน่ ! ” 

 

” จริงด้วยแถมยังสามารถแก้ไขเรื่องกำลังพลได้อีกด้วย เพราะถ้าเป็นท่านเมอร์ริอาร์จะต้องกวาดล้างพวกมอนสเตอร์ได้สบาย ๆ แน่นอน ! ” 

 

เสียงฮือฮาที่ดูมีความหวังขึ้นมาไม่ขาดสายในวงประชุม มีผู้ออกความเห็นกันไม่หยุดจนเกิดความวุ่นวาย แม้กระทั่งหลุยส์ที่นั่งอยู่บนหัวโต๊ะก็กำลังคิดตามเช่นกัน 

 

( ก็จริง ถ้าหากเป็นตาแก่นั่นละก็คงจะสามารถจัดการกับเรื่องนี้ได้แน่ ถึงจะไม่อยากเรียกใช้ตาแก่นี่ก็เถอะ ) 

 

ใช่แล้วที่จริง หลุยส์ กาเฮริส และเมอร์ริอาร์ เป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกัน โดยที่กาเฮริสกับหลุยส์เรียกว่าเป็นเพื่อนในชั้นเดียวกันตั้งแต่สมัยยังเด็ก ส่วนเมอร์ริอาร์เป็นรุ่นพี่ที่โตกว่าทั้งสองอยู่เป็นสิบยี่สิบปี จะพูดในถูกก็คงเป็นพี่ทั้งพี่ชายและอาจารย์ก็คงไม่ผิด 

 

เมอร์ริอาร์ที่รับใช้อาณาจักรแอนวอลเลล์มายาวนานตั้งแต่ก่อนที่หลุยส์จะขึ้นครองราชย์ หลุยส์เป็นพระโอรสเพียงองค์เดียวของกษัตริย์องค์ก่อนทำให้ช่วงที่สืบทอดราชสมบัติค่อนข้างราบรื่นไม่มีการแก่งแย่งจากญาติ ๆ หรือพี่น้องเหมือนราชวงศ์อื่น ๆ และในช่วงที่หลุยส์และกาเฮริสยังเรียนที่อยู่ก็ได้เมอร์ริอาร์คอยเป็นพี่เลี้ยงและอาจารย์ที่คอยสอนสิ่งต่าง ๆ เกี่ยวกับอาณาจักรแอนวอลเลล์ 

 

และตอนนี้ชื่อของเมอร์ริอาร์ก็ถูกกล่าวถึงอย่างมากเพราะเป็นจอมเวทย์ผู้ทั้งเก่งกาจและฉลาดหลักแหลมย่อมเป็นความหวังของหลาย ๆ คนในที่ประชุมแห่งนี้ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่หารู้ไม่ว่านิสัยที่แท้จริงของจอมเวทย์หลวงชราที่ทุกคนต่างยกย่องนั้นจริง ๆ แล้ว เป็นตาแก่สันหลังยาว ที่เอาแต่ขี้เกียจและชอบเอาแต่เที่ยวเล่น ไม่ทำการทำงาน แถมยังสติเพี้ยนชอบทำอะไรแปลก ๆ ไม่ก็ทดลองเวทมนตร์อันตราย ๆ อยู่เสมอ 

 

แน่นอนว่าในที่ประชุมแห่งนี้มีอยู่สามคนที่ล่วงรู้ถึงความเป็นจริงนี้นั่นก็คือ หลุยส์ ลุค และกาเฮริส แต่ที่จะหนักหน่อยคงหนีไม่พ้นลุคที่เป็นเลขาและที่ผู้ช่วยของเมอร์ริอาร์ที่จะต้องทนกับการเอาแต่ใจของตาแก่รากมะม่วงแถมยังต้องคอยตามล้างตามเช็ดอยู่ตลอดราวกับพ่อลูกอ่อนไม่มีผิด

 

” ข้าเห็นด้วยถ้าเป็นตาแก- เมอร์ริอาร์ละก็จะต้องจัดการกับสถานการณ์นี้ได้แน่นอน เจ้าว่ายังไงสเตฟาน ” หลุยส์ออกความเห็นไปในทิศทางเดียวกันกับกระแสในที่ประชุม แต่ก็ยังถามเห็นความเห็นจากเลขานุการส่วนพระองค์ที่เปรียบดั่งคลังความรู้ที่คอยรับใช้หลุยส์อยู่ข้างกายตลอดเวลา

 

” กระหม่อมคิดว่าเป็นความคิดที่ดีพะยะค่ะ ท่านเมอร์ริอาร์สามารถต่อกรกับมอนสเตอร์จำนวนมากได้ แม้จะไม่สามารถแก้ไขสถานการณ์ได้ทั้งหมดแต่ก็ถือว่าช่วยซื้อเวลาให้เราส่งกำลังพลเข้าไปช่วยได้พะยะค่ะ , ว่าแต่เมื่อกี้ฝ่าบาทจะตรัสว่าตาแก่ใช่ไหมพะยะค่ะ ? ” 

 

สเตฟานชายวัยกลางคนที่อายุเท่ากับหลุยส์ เป็นคนที่ดูสุขุมเยือกเย็นและเข้าถึงได้ยาก ลักษณะภายนอกที่ดูเย็นชาทำให้คนไม่ค่อยกล้าที่จะเข้าหา สเตฟานเดิมเป็นเพียงบุตรของขุนนางชั้นบารอนเท่านั้นในสมัยเรียน แต่ด้วยความสามารถที่โดดเด่น ไหนจะความฉลาดและไหวพริบทำให้หลุยส์สนใจจึงได้ชักชวนเข้ามาเป็นเลขานุการส่วนตัว จนกระทั่งหลุยส์ได้ขึ้นครองราชย์สเตฟานก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเลขานุการที่ปรึกษาส่วนพระองค์ไปด้วย

 

แม้ว่าในตอนที่หลุยส์แต่ตั้งสเตฟานจะได้รับความเห็นคัดค้านจากเหล่าบรรดาขุนนางส่วนใหญ่ เนื่องจากตอนที่หลุยส์ขึ้นครองราชย์สเตฟานพี่งจะดำรงตำแหน่งเป็นไวเคานต์ซึ่งถือว่าเป็นขุนนางระดับล่างแถมยังไม่ได้มาจากตระกูลเก่าแก่ที่มีประวัติอะไร แต่ด้วยความสามารถที่ช่วยหลุยส์บริหารประเทศทำให้เกิดความก้าวหน้าอย่างมาก เสียงที่คอยคัดค้านสุดท้ายก็หายไปจนหมด จนปัจจุบันสเตฟานดำรงตำแหน่งเป็นมาร์ควิสอาวุโสนั่นเอง

 

” งั้นเหรอเจ้าก็คิดว่าดีสินะ งั้นเอาตามนี้… ว่าแต่ตาแก- เมอร์ริอาร์ไปไหน ข้าไม่เห็นหัวไอ้แก- หมอนั่นตั้งแต่เริ่มประชุมแล้ว ” 

 

” ฝ่าบาทเมื่อกี้จะพูดตาแก่อีกแล้วใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ แถมเมื่อกี้มีคำที่ฟังดูแย่กว่าอย่างไอ้แก่ด้วยพ่ะย่ะค่ะ ” 

 

ในขณะที่สเตฟานกับหลุยส์ตอบโต้กันอยู่นั้น หลาย ๆ คนในที่ประชุมยังไม่ได้สังเกตเลยว่าจอมเวทย์หลวงเมอร์ริอาร์ไม่ได้เข้าประชุมด้วยที่งที่เป็นการประชุมที่สำคัญคือการล่มสลายของเมืองสำคัญอย่างป้อมปราการเดธวอลเลย์เป็นเดิมพัน แต่แล้วผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นความหวังของทุกคนในที่ประชุมกลับไม่อยู่ แน่นอนว่าในที่นี้มีเพียงคนเดียวที่สามารถบอกได้ว่า ตาแก่รากมะม่วงที่ทุกคนคาดหวังหายไปไหน 

 

” เอ่อ…คือว่าท่านเมอร์ริอาร์ออกไปข้างตั้งแต่ 3 วันก่อนยังไม่กลับมาเลยพ่ะย่ะค่ะ ” คงไม่จำเป็นต้องถามว่าใครเป็นคนพูด ลุคผู้ช่วยของตาแก่เมอร์ริอาร์ที่เป็นประเด็นอยู่นั่นเอง 

 

เกิดความเงียบโดยไม่ได้นัดหมายขึ้นทั่วทั้งการประชุม แน่นอนว่ายังมีผู้ที่ยังตามเรื่องที่หนุ่มนักเวทย์ผู้ช่วยของเมอร์ริอาร์พูดไม่ทัน แต่สำหรับผู้ที่ตามสิ่งที่ลุคพูดทันในเวลานี้ราวกับว่าความหวังที่เป็นดั่งฟางเส้นสุดท้ายได้ขาดลงต่อหน้าต่อตา และไม่รู้ทำไมจู่ ๆ ทั้งหลุยส์และกาเฮริสก็ตะโกนออกมาพร้อมกัน 

 

” ” ไอ้แก่ !!!!!! ” ” 

 

[???]

 

เด็กแน่นอนว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ารักน่าเอ็นดู ความไร้เดียงสาและความซื่อตรงที่เด็กส่วนใหญ่แสดงออกมามักจะสร้างรอยยิ้มให้กับคนรอบข้างได้เสมอ หากแต่นั่นก็อาจเป็นข้อเสียที่ทำให้หลงเชื่ออะไรผิด ๆ ก็เป็นได้ และหากเจอคนที่ตัวตนที่เด็กคนนั้นเคารพนับถือด้วยแล้วละก็นับว่าผ้าสีขาวได้ถูกย้อมจนไม่เหลือสีขาวอีกต่อไป

 

เด็กสาวที่แสนจะงดงามถูกเครื่องแต่งกายที่ดูหรูหราและน่ารักปกคลุมอยู่ ผมสีทองอ่อนสลวยยาวม้วนเป็นลอนสองข้าง ดวงตาสีม่วงอ่อนกลมโต ปากเล็กที่ดูบอบบางเต็มอิ่มสีชมพูของผิวที่สุขภาพดี กำลังวิ่งเล่นอยู่ตามทางเดินที่ถอดยาวโดยมีหญิงสาวที่แต่งกายด้วยชุดคนรับใช้ที่ดูสง่าและดูภูมิฐานวิ่งตามอย่างรีบร้อน 

 

” องค์หญิงเพคะ !! โปรดทรงอย่าวิ่งบนทางเดินแบบนี้สิเพคะ ! ” 

 

” ไม่เป็นไรหรอกมารี ! หนูแค่อยากจะไปหาเสด็จพ่อเท่านั้นเอง ” องค์หญิงตัวน้อยที่อายุได้ 6 ขวบเพียงไม่นานกำลังวิ่งอย่างร่าเริงภายในปราสาทโดยมีข้ารับใช้ส่วนตัวคอยวิ่งตามอย่างเป็นห่วง

 

” ตอนนี้ฝ่าบาททรงกำลังประชุมเรื่องสำคัญอยู่เพคะ ! องค์หญิงโปรดรอจนกว่าฝ่าบาทประชุมเสร็จก่อนนะเพคะ ” มารีข้ารับใช้พูดชี้แจงต่อองค์หญิงตัวน้อยอย่างเหน็ดเหนื่อยที่จะต้องวิ่งไปด้วยอธิบายไปด้วย 

 

” เอ๋ อย่างนั้นหรอ ? ” ว่าแล้วองค์ตัวน้อยก็หยุดวิ่งแล้วหันหน้าอันแสนจะน่ารักสดใสมามองมารีที่วิ่งตามตนมา 

 

” ใช่ ใช่แล้วเพคะ ” มารีที่หอบจนตอบแบบจะขาดใจ การที่ต้องสวมชุดกระโปรงยาวของข้ารับใช้แล้วจะต้องวิ่งเป็นอะไรที่ลำบากอย่างมาก เพราะจะต้องจับชายกระโปรงไม่ให้เปื้อนพื้น แล้ววิ่งมากก็ไม่ได้จะทำให้เกิดเท้าพลิกได้ง่าย 

 

” แต่หนูอยากจะมีคนเล่นด้วยนี่นา ” องค์หญิงด้วยน้อยพูดพลางก้มหน้าแก้มป่องอย่างน่ารัก แม้จะรู้สึกเอ็นดูและสงสารแต่มารีก็ไม่สามารถตามใจได้ เพราะตอนนี้ไม่มีรุ่นราวคราวเดียวกันกับองค์หญิงเลยที่อยู่ในปราสาท หนำซ้ำด้วยสถานะขององค์หญิงทำให้ไม่สามารถเข้าใกล้คนแปลกหน้าได้ ที่จะเล่นได้มีเพียงลูกของบรรดาขุนนางเท่านั้น แต่นาน ๆ ทีจะมีขุนนางที่มีลูกอายุยังน้อยมาที่ปราสาท

 

ด้วยเหงาที่จะต้องเอาแต่เรียน และอยู่แต่ในปราสาททำให้ องค์หญิงตัวน้อยได้แต่ปรารถนาที่อยากจะได้เพื่อนเล่นที่เข้าใจและมอบความรู้ใหม่ ๆ ข้างนอกปราสาทให้กับตนมาตลอด โดยไม่รู้เลยว่า มีเด็กรุ่นราวคราวเดียวกับเธอที่จะมอบดวงตาแห่งศรัทธาให้ในอนาคต 

.

.

.
 

[ประตูทิศตะวันออกป้อมปราการเดธวอลเลย์] 

 

ป้อมปราการเดธวอลเลย์ที่ได้ชื่อว่าเมืองหน้าด่านที่คอยปกป้องอาณาจักรแอนวอลเลล์จากฝั่งอาณาจักรปีศาจ นับว่าเป็นเมืองที่มีผู้คนอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ทั้งยังเป็นเมืองที่มีเหล่านักผจญภัยแวะเวียนกันมาที่เมืองนี่อยู่บ่อย ๆ แน่นอนว่าสาเหตุคือการที่เมืองป้อมปราการเดธวอลเลย์นั้นอยู่ตรงกลางระหว่างป่าทิศตะวันออกและป่าทิศตะวันตกที่เต็มไปด้วยมอนสเตอร์มากมาย 

 

แน่นอนว่าเมืองป้อมปราการเดธวอลเลย์หากจะพูดถึงในแง่ของความอันตรายคงจะปฏิเสธไม่ได้ว่าเสี่ยงต่อการถูกโจมตีทั้งจากมอนสเตอร์และเผ่าปีศาจที่เป็นอริกับมนุษย์ก็ว่าได้ แต่ด้วยการที่เป็นเมืองหน้าด่านทำให้เมืองหลวงคอยส่งทหารมาประจำการเป็นประจำ และยังได้รับความช่วยเหลือจากกิลด์นักผจญภัยอีกด้วย ทำให้มีความปลอดภัยและรับมือกับสถานการณ์ได้เป็นอย่างดี 

 

ปกแล้วหากเกิดปรากฏการณ์ที่คาดว่าควบคุมไม่ได้อย่างเช่นการบุกอาละวาดของมอนสเตอร์อย่างครั้งนี้ ทหารที่ประจำอยู่ที่เมืองป้อมปราการเดธวอลเลย์จะขอกำลังเสริมจากเมืองหลวงโดยทันที แต่เนื่องจากระยะเวลาที่ทหารจากเมืองหลวงจะเดินทางมาถึงคือประมาณ 5 วันทำให้ไม่สามารถรับมือได้ในทันที 

 

ยิ่งในเวลาเช่นนี้ที่ทุกคนไม่คาดคิดโดยเฉพาะเหล่านักผจญภัยที่คอยรับมือต่อสู้กับเหล่ามอนสเตอร์อย่างเอาเป็นเอาตาย จำนวนมอนสเตอร์ที่มากมายมหาศาลจนอาจจะถึงหนึ่งพันตัว หนำซ้ำยังมีมอนสเตอร์ระดับแรงค์ B หรือ A ปะปนอยู่ด้วยเป็นจำนวนมาก นักผจญภัยในเมืองป้อมปราการเดธวอลเลย์ในเวลานี้มีเพียงประมาณ 50-60 คนเท่านั้น และยังมีนักผจญภัยระดับแรงค์ A เพียงแค่สี่คนซึ่งก็คือกลุ่มเหยี่ยวสีน้ำเงินเท่านั้น 

 

ความสิ้นหวังที่กัดกินแรงกายและแรงใจของเหล่านักผจญภัยที่ต่อสู้อย่างยากลำบากค่อย ๆ แสดงผลอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะจัดการมอนสเตอร์ไปมากเพียงใดก็ดูจะไม่ลดลงไปแม้แต่น้อย หนำซ้ำยังไม่สามารถต่อกรกับมอนสเตอร์ระดับแรงค์สูง ๆ ได้อีกต่างหาก คนที่บาดเจ็บต่างพากันล้มลงทีละคนทีละคน 

 

แต่สิ่งที่นักผจญภัยทุกคนไม่คาดคิดและไม่เคยพบเห็นมาก่อนก็คือ การที่มีเด็กสาวตัวเล็กที่อายุน่าจะเพียง 7-8 ขวบกำลังยืนประจันหน้ากับเผ่าปีศาจที่เป็นต้นเหตุและผู้บงการเหล่ามอนสเตอร์มากมายอย่างกล้าหาญ 

 

” คุณปีศาจน่ะ ไม่มีทางสมหวังได้หรอกค่ะ !!! ” 

 

เสียงเล็ก ๆ ที่เปล่งออกมาจากเด็กสาวน่ารัก ใครที่เห็นภาพตรงหน้าคงได้แต่ควานหาคำตอบอย่างเอาเป็นเอาตาย ทำไมเด็กตัวเล็กแบบนี้ถึงได้กล้าหาญพูดตอบโต้กับปีศาจที่แข็งแกร่งขนาดทำลายเวทมนตร์ของนักผจญภัยแรงค์ A ได้อย่างง่ายดาย

 

( อะ-อะไรกัน ! เด็กคนนั้นทำไมถึงมาอยู่ตรงนี้ได้ล่ะ ! ) 

 

เบสร่าที่ตกใจจากการที่เวทมนตร์ของตนเองถูกทำลายอย่างง่ายดายไม่พอ ยังจะต้องมาตกใจกับสิ่งที่เห็นตรงหน้าอย่างเด็กสาวตัวเล็กมายื่นปกป้องนักผจญภัยด้วย ความสงสัยและความหวาดกลัวเข้าถาโถมใส่เบสร่า ในฐานะนักผจญภัยแล้วเบสร่าย่อมจะต้องปกป้องประชาชนคนทั่วไปก่อนเป็นอันดับแรก ยิ่งเป็นเด็กสาวแบบนี้ด้วยแล้วยิ่งต้องให้ความสำคัญ แต่แล้ว 

 

” หา!!!? ไม่มีทางสมหวังงั้นเหรอ! ยัยหนูกล้าดีนี่ งั้นข้าจะส่งเจ้าไปอยู่กับเทพธิดาก่อนคนแรกเลยแล้วกัน!! “

 

( ไม่ได้นะ ! แย่ละซิ ! ถ้าเด็กคนนั้นโดนเวทย์ไฟของปีศาจนั่นคงไม่รอดแน่ ! ขอร้องล่ะ ! ใครก็ได้ช่วยเด็กคนนี้ที ! ) 

 

เบสร่าที่ตะโกนก้องดังในใจด้วยความเป็นห่วงเด็กสาวน่ารักตรงหน้า ตนที่เป็นนักเวทย์ย่อมรู้ดีว่าพลังเวทย์สำหรับผู้ที่ใช้เวทย์นั้นสำคัญขนาดไหน หากแต่ถ้าพลังเวทย์หมดลงแล้วล่ะก็ นักเวทย์ก็ไม่ต่างจากคนทั่วไปที่ทำอะไรไม่ได้ ใช่แล้วในตอนนี้เบสร่าไม่เหลือพลังเวทย์ที่จะปกป้องเด็กสาวที่ยืนอยู่ข้างหน้าตนเองนั่นเอง ความสิ้นหวังและความหวาดกลัวที่จะต้องเห็นเด็กสาวที่ไม่รู้จักตายต่อหน้าต่อตาของเบสร่าเพิ่มขึ้นจนถึงขั้นที่หลั่งน้ำตาออกมา ด้วยความเจ็บใจที่ตนไม่อาจช่วยเด็กสาวเอาไว้ได้ แต่แล้ว…

 

” หา!!??? “

” “!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! ” “

 

( เอ๊ะ !? ) 

วงแหวนขนาดใหญ่มหึมาที่ครอบคลุมทั่วทั้งเมืองเปล่งแสงสีขาวสว่างเจิศจ้า ปรากฏอยู่บนหัวของเบสร่าอย่างกะทันหันความสงสัยที่เกิดขึ้นพัดเอาความสิ้นหวังเมื่อครู่ปลิวหายไปกับความงดงามที่ได้เห็นวงเวทย์ตรงหน้า แต่แล้วเสียงที่ดึงสติของเบสร่ากลับมาดังมาจากข้างหน้า 

 

” บอกแล้วนิคะ!! ว่าคุณปีศาจไม่มีทางสมหวังได้หรอก เพราะท่านโนเอลมาแล้วยังไงล่ะ!! “

 

( นะ-โนเอล ? เด็กคนนั้นกำลังพูดถึงใครอยู่น่ะ !? ) 

 

เบสร่าที่หันไปมองแผ่นหลังของเด็กสาวตรงหน้าอย่างอดสงสัยไม่ได้ แน่นอนว่าตนไม่เคยได้ยินชื่อของบุคคลที่ชื่อโนเอลมาก่อน แต่แล้วในขณะที่กำลังสงสัยอยู่นั่น แสงสีขาวอีกดวงที่สว่างยิ่งกว่าวงเวทย์ขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้น แต่จะไม่ได้ใหญ่อะไรมากมาย เมื่อพิจารณาดูดี ๆ แล้วขนาดเท่ากับคนหนึ่งคนเท่านั้นเองแต่แสงสีขาวที่ปรากฏออกมากลับสว่างเป็นอย่างมาก 

 

เบสร่าเอามือบังตาเอาไว้เล็กน้อย และแล้วเมื่อดวงแสงนั้นลอยมาปรากฏข้างบนหัวของตนเองจึงได้เห็นอย่างราง ๆ รูปร่างของเด็กสาวที่งดงาม ผมสีขาวยาวสลวยดุจแพรไหมบริสุทธิ์ ชุดที่ราวกับผู้สูงศักดิ์ที่แม้แต่เจ้าหญิงของประเทศไหน ๆ ก็เทียบไม่ติด ออร่าความศักดิ์สิทธิ์และสูงส่งแผ่ออกมาอย่างต่อเนื่อง แม้จะมองไม่เห็นหน้าตาของท่านผู้นั้นชัด ๆ เนื่องจากความสูงที่ตัวตนดังกล่าวลอยอยู่กับพื้นดินที่เบสร่าอยู่ห่างกันพอสมควร จนทำให้เบสร่าเคลิบเคลิ้มจนลืมเผ่าปีศาจตรงหน้า 

 

( นะ-นั่นคือใครกัน ! คนคนนั้น ! คือใคร !? )

 

แน่นอนว่าเบสร่าที่ตอนนี้เงยหน้ามองตัวตนที่เปล่งแสงสีขาวราวกับเทพธิดาจากสวรรค์ไม่ได้สังเกตรอบตัวเลยว่า นักผจญภัยที่บาดเจ็บทั้งหลายถูกรักษาหายดีเป็นปลิดทิ้ง และแล้วเหล่าเสียงที่ทำให้เบสร่าเริ่มเข้าใจถึงสถานการณ์ได้บ้างก็ดังมาจากเหล่านักผจญภัยที่เด็กสาวคนนั้นเคยเข้าไปช่วยเหลือ 

 

‘ นั่นน่ะเหรอ ท่านโนเอล !? ‘

‘ มะ-ไม่อยากจะเชื่อ ! เทพธิดาที่แม่หนูนั่นบอกมีอยู่จริง ๆ ด้วย !! ‘

‘ แผลของข้าหายแล้ว ! ได้ยังไงกันคิดว่าไม่รอดแล้วแท้ ๆ ‘ 

 

เหล่าเสียงที่มีทั้งความตกใจและตื้นตันถูกเปล่งออกมาจนสะท้อนก้องเข้าหูของเบสร่าที่ตอนนี้ นึกย้อนความจำขึ้นมาได้ ว่าเด็กสาวตรงหน้าเคยพูดถึงชื่อ ‘โนเอล’ ขึ้นมา เบสร่าที่มีสมองอันฉาญฉลาดสามารถประมวลผลและสรุปคำตอบได้ในทันทีว่าตัวตนที่กำลังบินอยู่บนฟ้าคือโนเอลนั่นเอง 

 

ทันทีที่คิดสรุปถึงคำตอบได้นั้น พลังเวทย์ของเบสร่าที่ใช้จนหมดเกลี้ยงก็ค่อย ๆ ถูกฟื้นฟูกลับมาอย่างน่าประหลาด เมื่อรู้สึกตัวดังนั้นจึงเบสร่าจึงได้รับรู้แล้วว่านักผจญภัยคนอื่น ๆ ก็ถูกฟื้นฟูด้วยเช่นกัน ไม่เพียงเท่านั้นยังรู้สึกถึงพลังที่ไม่เคยมีมาก่อนอีกด้วยไม่ว่าจะเป็นพละกำลัง ความเร็ว ของร่างกาย

 

” นะ-นี่มันอะไรกัน ” เบสร่าที่ตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเหล่านักผจญภัยรวมถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองด้วยเช่นกัน หากจะพูดตามปกติแล้วกว่าที่เบสร่าจะสามารถฟื้นฟูพลังเวทย์ได้นั้นจำเป็นต้องพักผ่อนเป็นระยะเวลานาน ยิ่งถ้าหากจะให้พลังเวทย์กลับมาเต็มเปี่ยมเหมือนตอนยังไม่เริ่มสู้คงไม่พ้นสองวันเต็ม ๆ แต่นี่กลับได้รับการฟื้นฟูด้วยความเร็วอย่างเหลือเชื่อ

 

ความประหลาดใจที่ยากจะเชื่อทำให้เบสร่าเงยหน้าขึ้นไปมองตัวตนที่ทำให้เกิดปาฏิหาริย์มากมายครั้งนี้ ความประทับใจและความศรัทธาเริ่มก่อตัวขึ้นในใจของเบสร่า แม้จะอยู่บนฟ้าที่ไกลจนมองไม่เห็นใบหน้าแต่เบสร่าก็สัมผัสได้ว่าตนตัวที่ตนเองกำลังเงยหน้ามองอยู่นั้นเป็นตัวตนที่น่านับถือและควรค่าแก่การเคารพอย่างแน่นอน 

 

ไม่ใช่เพียงแค่เบสร่าเท่านั้นเหล่านักผจญภัยที่ตอนนี้ได้รับการเยียวยาและฟื้นฟูจนร่างกายกลับมาสมบูรณ์ปกติต่างก็มีความประทับใจและความเคารพนับถือตนตัวที่ราวกับเทพธิดาที่ลงมาโปรดช่วยเหลือพวกตนอย่างสุดหัวใจ ความหวังที่ควรจะดับสนิทไปแล้วถูกจุดติดขึ้นมาอีกครั้งราวกับแสงสว่างที่อบอุ่นช่วยให้ไฟที่เรียกว่าความหวังเกิดขึ้นมาใหม่ 

 

” เบสร่า !! ” เบสร่าที่กำลังเคลิบเคลิ้มอยู่กับตัวตนเทพธิดาด้านบนถูกเสียงที่คุ้นเคยของพวกพ้องในกลุ่มเรียกดึงสติกลับมาสู่ความเป็นจริงตรงหน้า เกรย์ และ บาซ่าที่เป็นห่วงที่เห็นเบสร่าล้มลงไปนั่งกับพื้นเพราะคิดถูกมอนสเตอร์หรือเผ่าปีศาจตรงหน้าโจมตี แต่จริง ๆ แล้วเธอเพียงใช้พลังเวทย์หมดเท่านั้นเอง 

 

” เป็นอะไรหรือเปล่า ! ” บาซ่าที่ถามด้วยความเป็นห่วงพวกพ้องในฐานะหัวหน้ากลุ่มเหยี่ยวสีน้ำเงิน 

 

” ฉันไม่เป็นไร แค่พลังเวทย์หมดน่ะ  ” เบสร่าตอบกลับเพื่อคลายความกังวลของบาซ่าและเกรย์เมื่อเห็นใบหน้าที่เป็นห่วงพวกพ้อง 

 

” แต่เหมือนตอนนี้พลังเวทย์ฟื้นฟูกลับมาแล้ว ทั้งบาดแผลเองก็ถูกรักษาแล้วน่ะ ” 

 

” ใช่ พวกเราก็เหมือนกัน นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ” เกรย์ที่พูดอย่างพยายามถามเบสร่าเพื่อหาคำตอบกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า เนื่องจากเกรย์เป็นผู้ที่เรียกได้ว่าเป็นผู้ที่ได้รับบาดแผลมากที่สุดก็ว่าได้ เนื่องจากคอยเป็นแนวหน้าและปกป้องนักผจญภัยคนอื่นอยู่ตลอดทั้งยังถูกมอนสเตอร์รุมหลายสิบตัวอีกด้วย

 

” บางทีอาจจะเป็นวงเวทย์ขนาดใหญ่ข้างบนนั่นก็ได้ คงจะเป็นเวทมนตร์รักษาขอบเขตกว้างที่ช่วยรักษาบาดแผลและฟื้นฟูพลังเวทย์ทุกคนภายในรัศมีวงเวทย์ก็ได้ ” เบสร่าที่คิดวิเคราะห์พลางมองเงยหน้าขึ้นไปข้างบนจ้องมองวงเวทย์ขนาดใหญ่มหึมาที่เปล่งแสงสีขาวงดงามอยู่บนท้องฟ้า ลวดลายอักษรที่ปรากฏอยู่บนวงเวทย์ที่ไม่เคยเห็นราวกับเป็นภาษาของทวยเทพที่มนุษย์ไม่มีวันเข้าใจ 

 

” เวทมนตร์แบบนั้นเป็นไปได้ด้วยงั้นเหรอ ! ” บาซ่าที่ฟังคำสันนิษฐานของเบสร่าถึงกับตกใจ เวทมนตร์ที่เหนือจินตนาการแบบนั้นไม่คาดคิดว่าจะมีอยู่บนโลก แม้แต่เบสร่าเองที่เป็นนักเวทย์ชั้นยอดเองก็ไม่อยากจะยอมรับแต่เมื่อได้เห็นผลที่เกิดขึ้นตรงหน้าแล้วทำให้ต้องยอมรับความคิดของตนอย่างเสียไม่ได้

 

” ไม่รู้สิ ฉันเองก็ไม่เคยเห็นเวทมนตร์แบบนั้นมาก่อนเหมือนกัน แล้วก็ไม่คิดว่ามนุษย์จะใช้ของแบบนั้นได้ด้วย แม้แต่ท่านจอมเวทย์หลวงเมอร์ริอาร์ฉันก็ไม่คิดว่าจะทำได้หรอกนะ ” เบสร่าที่พูดอย่างเยือกเย็นพร้อมทั้งคิดทบทวนถึงความเป็นไปได้ทั้งหมด แต่ในระหว่างนั้นก็ฉุกคิดได้ว่าตนเองลืมเรื่องสำคัญไป

 

” จริงสิ ! เด็กคนนั้น ! ต้องรีบไปช่วยแล้ว !! ” เบสร่าที่นึกเกี่ยวกับเด็กสาวที่กำลังยืนเผชิญกับเผ่าปีศาจที่แข็งแกร่งอยู่ได้ราวกับหมัดต่อยเข้าหน้าเตือนสติ เกรย์กับบาซ่าเองก็เหมือนจะนึกได้ตามคำพูดของเบสร่าจึงได้หันกลับไป 

 

แน่นอนว่าสิ่งที่เห็นก็ยังคงเป็นเด็กสาวตัวเล็กน่ารักวัย 7-8 ขวบผมสีน้ำตาลกำลังยืนเผชิญหน้ากับเผ่าปีศาจผมสีม่วงอยู่ แต่ไม่รู้ทำไมในตอนนี้เผ่าปีศาจที่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มชั่วร้ายในตอนแรกกลับเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและขาสั่นราวกับกำลังเห็นสิ่งที่น่ากลัวตรงหน้า แน่นอนว่าทั้งเบสร่า บาซ่า และเกรย์ ไม่รอช้ารีบวิ่งเข้าไปหาเด็กสาวพร้อมกัน

 

” แม่หนู !! รีบกลับถอยออกมาเร็ว ! เจ้านั่นมันอันตราย ! ” บาซ่าที่วิ่งนำไปตะโกนเรียกเด็กสาวตัวน้อยตรงหน้าให้รีบถอยห่างจากเผ่าปีศาจผมสีม่วงตรงหน้าโดยด่วน แน่นอนว่าพวกบาซ่าเองก็สัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งของเผ่าปีศาจตรงหน้าได้เช่นเดียวกัน ความรุนแรงของเวทมนตร์ตอนที่ทำลายกำแพงดินของเบสร่าได้นั้นเรียกได้ว่าทรงพลังทีเดียว 

 

แต่แล้วเมื่อทั้งสามคนวิ่งไปใกล้จะถึงตัวเด็กสาวตรงหน้าแล้ว สิ่งที่ทั้งสามคนควรจะเห็นในอุดมคติคือการที่เด็กสาวรีบวิ่งกลับมาหาพวกตน แต่หาใช่เช่นนั้นไม่ เด็กสาวหันใบหน้าที่งดงามน่ารักราวกับเจ้าหญิงพร้อมด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจมองมาที่พวกบาซ่าอย่างเป็นมิตร 

 

ความสงสัยและประหลาดใจเกิดขึ้นในหัวของทั้งสามคนทันที ใครจะคิดว่าเด็กสาวตรงหน้าที่กำลังยืนเผชิญหน้ากับเผ่าปีศาจอันแข็งแกร่งนอกจากจะไม่กลัวและวิ่งหนีแล้วยังหันกลับมายิ้มให้กับพวกตนที่กำลังเข้ามาช่วยด้วย หากจะเรียกว่ามีจิตใจเข้มแข็งจนเกินก็คงแปลก หรือจะกลัวจนทำตัวไม่ถูกก็ไม่ปาน แต่กลับไม่ใช่ทั้งสองอย่าง รอยยิ้มที่เรียกได้ว่าไม่มีความวิตกกังวลหรือความกลัวเจือปนอยู่แม้เพียง 0.1 % ความมั่นใจอย่างถึงที่สุดที่ปรากฏออกมาทางใบหน้าของเด็กสาวทำให้ทั้งสามประหลาดใจอย่างมาก แต่แล้วเสียงเล็ก ๆ ของเด็กสาวก็เอ่ยถึงมา 

 

” ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ! พวกพี่สาวไม่ต้องเป็นห่วงแล้วนะคะ ! ท่านโนเอลไม่ปล่อยให้มีคนตายอย่างแน่นอนค่ะ !! ” เสียงเด็กเล็ก ๆ ที่สดใสราวกับกระดิ่งสะท้อนกังวานเข้าหูของทั้งสามอย่างมั่นใจ น้ำเสียงที่ไม่ได้มีความกลัวอยู่เลยแม้แต่นิดเดียว ทั้งยังบอกอีกว่าไม่ต้องเป็นห่วง เบสร่าที่ยังคงนึกสงสัยในตัวตนที่ลอยอยู่บนฟ้าจึงได้เอ่ยถามเด็กสาวตรงหน้า 

 

” ท่านโนเอลที่ว่าหมายถึงคนที่อยู่บนฟ้านั่นใช่ไหมนแม่หนู ” เบสร่าที่ควรจะถามถึงความปลอดภัยของเด็กสาวก่อนกลับถามเรื่องตัวตนที่กำลังลอยอยู่บนฟ้าขึ้นมาทำให้ทั้งบาซ่าและเกรย์หันมองหน้ากันอย่างสงสัย 

 

” ใช่แล้วค่ะ นั่นคือเทพธิดาท่านโนเอลยังไงละคะ !! ” สาวน้อยน่ารักพูดอย่างภาคภูมิใจพร้อมด้วยรอยยิ้มที่บานจนเต็มแก้มอย่างน่ารักน่าเอ็นดู 

 

” ยังไงก็เถอะ ! ตอนนี้รีบถอยออกจากตรงนี้กันก่อนดีกว่านะ ! แม่หนูมากับพวกข้าเร็ว ! ” เกรย์ที่เหมือนจะเข้าใจถึงสถานการณ์ตรงหน้าได้ แม้ว่าจะถูกรักษาบาดแผลแล้วก็ตามแต่ยังมีเผ่าปีศาจและมอนสเตอร์มากมายที่ยังไม่ได้ถูกกำจัดการที่ยังให้เด็กเล็กมาอยู่แนวหน้าแบบนี้เป็นเรื่องที่บ้าบอสิ้นดี แต่ความกังวลของเกรย์ก็ต้องดับลง

 

คลื่นพลังเวทย์มหาศาลเริ่มก่อตัวขึ้นข้างบนหัวของทั้งสาม แรงกดดันมหาศาลที่หนักอึ้งแต่หนาวเย็นชนิดที่เรียกได้ว่าหนาวยิ่งกว่าพื้นที่ใดบนโลกหรือขุมนรกขุมไหนก็ตาม แต่ในความรู้สึกเหล่านั้นกลับมาพร้อมกับแสงสีฟ้าอ่อนที่ดูงดงามราวกับประกายหิมะจากสวรรค์ กำลังค่อย ๆ ร่วงหล่นลงมายังพื้นโลก และแล้วเด็กสาวตรงหน้าก็หันมาพร้อมด้วยรอยยิ้มที่ดูเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจเช่นเดิม 

 

” ดูให้ดีนะคะ !! นี่คือพลังของท่านโนเอลยังไงละคะ !!!!!! ” 

 

ทันทีที่สิ้นสุดเสียงของเด็กสาว คลื่นพลังเวทย์มหาศาลที่ก่อตัวอยู่บนท้องฟ้าเมื่อครู่ก็หายไป แต่แล้วไอเย็นมหาศาลที่มีอุณหภูมิ -200 องศาเซลเซียสเกิดการระเบิดขึ้นท่ามกลางพวกมอนสเตอร์นับร้อย น้ำแข็งที่มีลักษณะเป็นกลีบดอกบัวแผ่ขยายจนกลืนกินเหล่ามอนสเตอร์ในชั่วพริบตา 

 

กลีบดอกไม้น้ำแข็งแผ่ขยายอย่างรวดเร็วเหนือจินตนาการเหล่ามอนสเตอร์ที่ไม่ว่าจะระดับแรงค์เท่าใดถูกกลีบดอกไม้น้ำแข็งอันงดงามแช่แข็งจนตายในทันทีไม่ได้แม้แต่จะขยับตัวหรือหายใจ ในเวลานั้นกลีบดอกไม้ก็เข้ากลืนกินเผ่าปีศาจตรงหน้าที่ห่างออกไปหลายสิบเมตร เผ่าปีศาจผมสีม่วงถูกแช่แข็งทั้งที่ยังทำหน้าตาหวาดกลัวและมีน้ำตาอยู่บนใบหน้า 

 

ไอเย็นสุดขั้วที่แผ่ออกมาจากกลีบดอกไม้น้ำแข็งค่อย ๆ เคลื่อนมาหาบริเวณพวกเด็กสาวและบาซ่าอยู่ แต่แล้วไอเย็นสุดขั้วที่กำลังแผ่ขยายมาหาเด็กสาวก็หยุดลงตรงหน้าราวกับมีชีวิต แต่กลับแผ่ขยายกลีบดอกไม้น้ำแข็งไปในทิศทางของมอนสเตอร์จนในที่สุดมอนสเตอร์ทั้งหมดถูกดอกไม้น้ำแข็งขนาดใหญ่ที่น่าจะมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางเป็นกิโลแช่แข็งจนหมด 

 

ประกายน้ำแข็งสีขาวและรูปร่างของดอกบัวที่งดงามสะท้อนอยู่ในดวงตาของเหล่านักผจญภัยรวมทั้งทหารหลวง ไอเย็นที่เย็นจัดถึงกับเปลี่ยนสภาพภูมิอากาศบริเวณนั้นจนทำให้เกิดการควบแน่นทำให้หิมะตก เมื่อรู้ตัวอีกทีป่าฝั่งทิศตะวันออกทั้งหมดถูกแช่แข็งในลักษณะดอกบัวขนาดใหญ่ 

 

” นะ-นะ- นี่มันอะไรกัน .. ” เบสร่าที่ตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าพูดออกมาไม่เป็นภาษา เวทมนตร์ที่เหนือจินตนาการถูกทำให้เกิดขึ้นตรงหน้าเบสร่าอย่างกับกำลังฝัน พลังเวทย์มหาศาลที่ถูกสร้างเป็นน้ำแข็งแผ่ขยายเข้าทำลายล้างพวกมอนสเตอร์ไม่ต่างจากมดที่ถูกหยิบ น้ำแข็งที่งดงามเป็นกลีบดอกบัวที่ตนไม่เคยเห็น ความงดงามและศักดิ์สิทธิ์ที่ชวนหลงใหล ทำให้ความคิดและสติของเบสร่าตกอยู่ในภวังค์

 

” บะ- บะ- บ้าน่า พลังนั่นอะไรกัน !! ” เกรย์ที่ตกใจกู่ร้องตะโกนออกมาอย่างอดไม่ได้ ความตกใจและหวาดกลัวกับสิ่งที่ไม่เข้าใจตรงหน้าค่อย ๆ ถาโถมเข้าใส่อย่างบ้าคลั่ง 

 

” มะ- ไม่อยากจะเชื่อ … พวกมอนสเตอร์ทั้งหมดตายแล้วงั้นเหรอ ? ” บาซ่าที่ดูจะไม่ต่างจากเกรย์มากนักกำลังตกใจกับภาพที่เหล่ามอนสเตอร์หลายร้อยถูกจัดการภายในครั้งเดียว พลังมหาศาลที่เหนือสามัญสำนึกที่แม้บาซ่าจะจินตนาการเพียงใดก็ไม่อาจเข้าใจได้ 

 

” สุดยอดเลยใช่ไหมละคะ !!! นี่แหละคือพลังของท่านโนเอลค่ะ !!!!! ” เด็กสาวตรงหน้าที่ยิ้มแย้มอย่างกับรู้ล่วงหน้าว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอยู่แล้วเอ่ยออกมาอย่างตื่นเต้นและดีใจ 

 

แต่แล้วเสียงเล็ก ๆ ของเด็กสาวตรงหน้าไม่ได้เข้าไปในหูของพวกบาซ่าเลยแม้แต่น้อย ความตกใจที่มากมายมหาศาลราวกับน้ำทั้งมหาสมุทรที่ก่อตัวเป็นคลื่นยักษ์เข้าซัดใส่จิตใจของทั้งสามจนย่อยยับ สิ่งที่เหลือไว้มีเพียงดอกบัวน้ำแข็งมหาใหญ่ที่แช่แข็งทั้งป่าและรอยยิ้มของเด็กสาวน่ารักตรงหน้าเท่านั้น ….

 

( นะ- นะ- นะ- นะ- นะ- นั่นมันอะไรกัน !!!!!! ไอ้พลังเวทย์มหาศาลนั่นมันมาจากไหนกัน !!!! ) 

 

อิลตัสที่กำลังจะฆ่าเด็กสาวมนุษย์ตรงหน้ากลับต้องหยุดลง ความตกใจที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันที่สัมผัสได้ถึงการปะทุขึ้นของพลังเวทย์มหาศาลที่เหนือจินตนาการเกิดขึ้นบนท้องฟ้าจนแม้แต่อิลตัสต้องเงยหน้าขึ้นไปมอง 

 

วงเวทย์ขนาดใหญ่ที่กำลังเปล่งแสงสีขาวอันงดงาม ลวดลายอักษรที่ดูศักดิ์สิทธิ์ราวกับภาษาของทวยเทพที่ปรากฏขึ้นเหนือเมืองรวมทั้งพวกนักผจญภัยตรงหน้า ทำให้อิลตัสถึงกับหวาดกลัวพลังเวทย์มากมายที่ตนไม่เคยได้สัมผัสและเวทมนตร์ที่ตนไม่รู้จักกำลังถูกใช้ขึ้นตรงหน้าอิลตัส 

 

ทันใดนั้น เหนือวงเวทย์ขนาดใหญ่ก็ปรากฏอีกดวงแสงสีขาวอีกดวง แสงสีขาวที่สว่างเจิศจ้ายิ่งกว่าวงเวทย์แต่มีขนาดเล็กกว่าอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเพ่งมองดี ๆ ก็จะเห็นตัวตนที่มีรูปร่างเหมือนเด็กสาวผมสีขาวที่มีประกายแสงสีขาวหอหุ่มร่างกายอยู่ แน่นอนว่าอิลตัสเป็นเผ่าปีศาจไม่ใช่มนุษย์ พลังประสาทสัมผัสที่เหนือกว่าของมนุษย์ทำให้อิลตัสได้เห็น 

 

ตัวตนที่มีลักษณะผมสีขาวยาว หูที่มีลักษณะแหล่มกว่าของมนุษย์ ดวงตาสีน้ำเงินงดงามราวกับอัญมณีที่กำลังจ้องมองอิลตัสอย่างโกรธเคืองราวกับอิลตัสเป็นเพียงเศษขยะ 

 

สัญชาตญาณของอิลตัสรับรู้ได้ทันทีว่าตัวตนที่ดูศักดิ์สิทธิ์และสูงส่งตรงหน้ากำลังพุ่งเป้ามาที่ตน แววตาที่ราวกับมองทะลุทุกสิ่งอย่างกำลังจ้องเข้าไปในจิตใจของอิลตัสราวกับกำลังฉีกกระฉากวิญญาณของอิลตัสอย่างบ้าคลั่ง 

 

( อะ-อะ- อะไรกัน ตัวตนแบบนี้มันมีอยู่บนโลกด้วยงั้นเหรอ !!! ตัวตนที่ราวกับเทพธิดาแบบนี้มาจากไหนกัน !! ) 

 

ทั้งความสงสัยและหวาดกลัวเริ่มกัดกินจิตใจของอิลตัสอย่างหยุดไม่อยู่ และแล้วในขณะนั้นเอง ตัวตนดังกล่าวที่ราวกับเทพธิดาก็กำลังชูมือมาทางอิลตัส พลังเวทย์มหาศาลที่เหนือจินตนาการกำลังถูกควบแน่นอย่างละเอียดอ่อนราวกับงานศิลปะของพระเจ้า แสงสีฟ้าอ่อนสว่างเจิศจ้าไปทั่ว 

 

( พลังนั่นมันคืออะไรกัน !! ทำไมตัวตนแบบนี้ถึงมาอยู่บนโลกกันได้ล่ะ !!! อย่าว่าแต่ราชันย์ผู้บัญชาการปีศาจเลย !! นี่มันเหนือกว่าจอมมารไปแล้วไม่ใช่หรือไงกัน !!!! ) 

 

เสียงกู่ร้องภายในจิตใจ เริ่มก่อเกิดเป็นน้ำตาที่ไหลอาบแก้มด้วยความหวาดกลัว ความหวาดกลัวที่ทั้งชีวิตไม่เคยประสบมาก่อน ความหวาดกลัวที่มากมายกว่าครั้งไหน ๆ 

 

( ยะ-ยัยเด็กมนุษย์นั่น หรือว่าเป็นคนอัญเชิญเทพธิดานั่นมาหรือไงกัน !!! ) 

 

อิลตัสที่พยายามหาที่มาของตัวตนข้างบนที่มองเงยหน้ามองดูด้วยความหวาดกลัวจนถึงกับขาสั่น นึกคิดย้อนไปถึงคำพูดของเด็กสาวมนุษย์ตรงหน้า คำพูดของเด็กสาวตัวเล็ก ๆ ที่บอกว่าตนไม่มีทางสมหวัง พร้อมกับรอยยิ้มที่มั่นใจอย่างไม่เกรงกลัว ในที่สุดอิลตัสก็ได้เข้าใจเสียที

 

( นะ-นี่ข้ามาเจอกับเด็กมนุษย์ที่สามารถเรียกเทพธิดาออกมาได้เนี่ยนะ !! ยัยหนูนั่นมันเป็นใครกันแน่ ! ) 

 

ทันทีที่ความคิดสุดท้ายคิดออกมา ชั่วพริบตาอิลตัสก็มองเห็นมอนสเตอร์ที่ตนควบคุมอยู่นั่นถูกแช่แข็งภายในพริบตา น้ำแข็งที่มีลักษณะเป็นดอกบัวแผ่ขยายกลืนกินทุกสิ่งอย่างที่เป็นพวกของอิลตัสจนหมดสิ้นจนสุดท้ายก็กลืนกินร่างกายของอิลตัสจนหมด สติที่ยังหลงเหลืออยู่ราวกับจิตสุดท้ายได้รำลึกสิ่งที่ตนรู้สึก 

 

( ยัยเด็กมนุษย์นั่นช่างน่ากลัวจริง ๆ ) 

 

และแล้วชีวิตและจิตสุดท้ายของอิลตัสที่ได้จากโลกนี้ไปอย่างไม่มีวันกลับ 

.

.

.

[ป้อมปราการเดธวอลเลย์] 

 

เหตุการณ์ไม่คาดฝันที่กำลังเกิดขึ้นความวุ่นวายและหวาดกลัวที่แผ่กระจายไปทั่วทั้งเมือง ผู้คนที่กำลังเฝ้ารอให้เหตุการณ์ครั้งนี้ผ่านพ้นไปอย่างมีความหวัง การอาละวาดของมอนสเตอร์จำนวนมากบุกมาที่เมืองป้อมปราการเดธวอลเลย์ทำให้เมืองตอนนี้อย่างกับเมืองร้างไม่มีผิด 

 

สายลมที่พัดอย่างรุนแรงจนต้นไม้ใบหญ้าโบกปลิวสะบัดไปตามลม ท้องฟ้าที่ยามนี้ถูกก้อนเมฆจำนวนมากบดบังจนแสงอาทิตย์ไม่อาจส่องมายังพื้นดินได้ราวกับบริเวณโดยรอบกำลังเผชิญกับความหวาดกลัว ในเมืองที่กำลังไร้ผู้คนอยู่บนท้องถนนตอนนี้มีหญิงสาวงดงามผมสีฟ้าเข้มกำลังขอพรและรอคอยอย่างมีความหวังอยู่ในโรงแรมกับหมาป่าสีเงินตัวเล็กน่ารัก นั่นคือแอนนาและลูลิ

 

( ท่านโนเอลร่าขอให้ช่วยจูน่าจังอย่างปลอดภัยด้วยนะคะ ) 

 

เสียงวิงวอนที่มาพร้อมกับความรู้สึกผิดกำลังเปล่งออกมาเบา ๆ ภายในจิตใจของหญิงสาว ความเจ็บใจและเสียใจที่ตนไม่อาจทำอะไรได้ ยิ่งไปกว่านั้นหญิงสาวคิดว่าต้นเหตุของเรื่องเดือดร้อนที่ตนได้สร้างให้กับเทพธิดาที่ตนเคารพนับถือก็คือตัวของเธอเอง 

 

( ถ้าเกิดฉันไม่พาจูน่าจังออกไปด้วยละก็ เรื่องแบบนี้ก็คงจะ… )

 

 แอนนาที่ตอนนี้ได้แต่โทษตัวเองที่เป็นต้นเหตุให้จูน่าหายตัวไปเพราะคลาดสายตาตอนที่มอนสเตอร์อาละวาดบุกเมือง เสียงระฆังที่ดังกังวานสะท้อนไปมา ทำให้เกิดความสับสนวุ่นวายจนทำให้จูน่าหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ แอนนาที่ตกใจจึงได้รีบกลับมาที่โรงแรมเพื่อแจ้งให้โนเอลร่าทราบทันที 

 

ในระหว่างที่รอการกลับมาของโนเอลร่าและจูน่าอย่างมีความหวังพร้อมกับลูลิอยู่นั่นจู่ ๆ อยู่นั้นเสียงสีขาวที่สว่างเจิศจ้าอยู่บนท้องฟ้าก็สะท้อนเข้าหน้าต่างของโรงแรมที่แอนนากำลังพักอาศัยอยู่ ความสงสัยและความประหลาดใจที่ทำให้ต้องโผล่หน้าออกมาจากหน้าต่างไม่สามารถเก็บไว้ได้ 

 

วงเวทย์ขนาดใหญ่ที่งดงามที่เต็มไปด้วยอักษรและลวดลายที่ไม่เคยเห็นช่างดูศักดิ์สิทธิ์ราวกับพิธีกรรมที่สูงส่งของเหล่าทวยเทพกำลังสร้างขึ้นเพื่ออัญเชิญอะไรบางอย่างสะท้อนอยู่ในดวงตาสีฟ้าของแอนนา เมื่อได้เห็นสิ่งดังกล่าวแอนนาสามารถรับรู้ได้ในทันทีว่าพลังที่ตนได้เห็นเป็นสิ่งที่เทพธิดาโนเอลร่าที่ตนเคารพนับถือเป็นคนสร้างขึ้นมา 

 

( !! ระ-หรือว่าท่านโนเอลร่าเป็นคนทำงั้นเหรอ ? เกิดอะไรขึ้นกับจูน่าจังหรือเปล่านะ ! ) 

 

แต่แล้วจู่ ๆ ความกังวลและวิตกก็ค่อย ๆ ถูกชะล้างไปอย่างน่าประหลาด แรงกายและจิตใจที่อ่อนล้าค่อย ๆ ถูกฟื้นฟูขึ้นจนกลับมาเป็นปกติ ความอบอุ่นที่เกิดจากพลังเวทย์ของโนเอลร่าค่อย ๆ บรรเทาน้ำแข็งที่กัดกินจิตใจของแอนนาจนหมดสิ้น แต่ในระหว่างที่แอนนากำลังประทับใจกับพลังที่ดูสูงส่งเหนือสามัญสำนึกอยู่นั้น ลูลิที่นอนเงียบ ๆ อยู่นานก็เกิดเงยหน้าและเด้งตัวขึ้นมาราวกับถูกกระตุ้นอย่างรุนแรง 

 

” ท่านลูลิ เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอคะ !? ”  แอนนาที่เห็นลูลิเด้งตัวขึ้นมาจากที่นอนราวกับติดสปริงได้เอ่ยถามขึ้นอย่างตกใจ ไม่ใช่เพียงแต่เด้งตัวขึ้นมาเท่านั้นแต่สีหน้าของลูลิในขณะนี้กลับเต็มไปด้วยความจริงจังที่ราวกับเพ่งสมาธิไปกับบางอย่างที่ดูราวกับจ้องเหยื่อ 

 

จู่ ๆ ลูลิที่ขึ้นไปบนหน้าต่างและให้หน้าเล็ก ๆ ในร่างของหมาป่าตัวน้อยผลักให้หน้าต่างเปิดออก สายลมรุนแรงที่สวนเข้ามาทำให้ผมสีฟ้าเข้มของแอนนาปลิวไปตามแรงลม แอนนาที่ยกเอาแขนขึ้นมาบังเพื่อไม่ให้ลมพัดใส่หน้า แต่แล้วจู่ ๆ ร่างของเล็ก ๆ ของลูลิที่อยู่ตรงหน้าต่างที่ถูกเปิดก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย 

 

” ท่านลูลิ ! ” แอนนาที่เห็นดังนั้นจึงได้รีบวิ่งเข้าไปที่หน้าต่างทันที แต่แล้วลูลิที่รับวิ่งออกไปทางหน้าต่างก็ได้หายไปกับสายลมรุนแรงที่พัดเข้ามา 

 

การกระทำที่ไม่อาจเข้าใจได้ของลูลิทำให้แอนนาได้แต่สงสัย เพราะแต่เดิมโนเอลร่าได้ฝากให้ลูลิคอยอยู่ปกป้องแอนนาที่โรงแรม เพราะหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันอย่างเช่นมอนสเตอร์หลุดเข้ามาที่เมืองลูลิจะสามารถปกป้องแอนนาได้อย่างไร้กังวลแต่จู่ ๆ ลูลิกลับมีท่าทีจริงจังราวกับกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูแถมยังรีบออกไปทางหน้าต่างอย่างไม่อาจเข้าใจได้ 

 

( ท่านลูลิ… นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ? ) 

 

คำถามที่ไม่คนตอบดังขึ้นอีกครั้งภายในจิตใจของแอนนาที่ตอนนี้ได้แต่เฝ้ามองไปตามท้องถนนที่ไร้ผู้คนในเมืองป้อมปราการเดธวอลเลย์ในเวลานี้ สายลมที่พัดอย่างรุนแรงที่มาพร้อมกับกลิ่นที่ไม่น่าไว้ใจลอยเต็มไปทั่วเมืองราวกับเมืองนี้กำลังถูกรุกรานจากความบ้าคลั่ง แต่ความบ้าคลั่งที่ว่ากำลังถูกปัดเป่าโดยตัวตนที่ศักดิ์สิทธิ์สองตน นั่นคือเทพธิดาผู้งดงาม และ ราชันย์หมาป่าสีเงินผู้เป็นดั่งผู้พิทักษ์

 

สิ่งมีชีวิตตัวเล็ก ๆ ที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วเหนือเสียงหลายเท่าพุ่งไปทางประตูทิศตะวันตกของป้อมปราการเดธวอลเลย์ ทหารยามที่ประตูที่คอยรักษาความปลอดภัยอยู่แน่นอนว่าไม่สามารถมองความเร็วระดับนั้นได้ทัน แต่สิ่งที่สามารถสัมผัสได้คือคลื่นกระแทกที่รุนแรงพร้อมกับสายลมที่กระโชกราวกับพายุพุ่งผ่านเป็นเส้นตรง 

 

” ” เหวอ !! ” ” 

 

ความตกใจที่เกิดปรากฏการณ์ตรงหน้าทำให้ทหารยามสองคนได้แต่เอามือปิดบังใบหน้าที่กันลมรุนแรงพัดเข้าใส่ ไหนจะต้องถือหอกเป็นดั่งกับไม้เท้าที่คอยค้ำร่างกายไม่ไหวล้มจากคลื่นกระแทกที่ผ่านตัวเองไป 

 

‘ เมื่อกี้มันอะไรวะเนี่ย !? ‘ 

‘ ให้ตายสิ ! เมืองที่มันจะเกิดอะไรขึ้นอีกแล้วหรือไงกันวะ ‘ 

 

เสียงสบทของทหารยามที่ตอนนี้ได้แต่กุมหัวกับเรื่องวุ่นวายที่ถาโถมเข้ามาไม่หยุดหย่อน แม้จะต้องปฏิบัติหน้าที่เช่นเดิมแต่ก็อดไม่ได้ที่จะหวั่นใจกับสิ่งต่าง ๆ ที่เลวร้ายเหล่านี้ ไหนจะมอนสเตอร์ที่บุกเมือง แม้พวกตนจะโชคดีที่มอนสเตอร์บุกมาฝั่งประตูทิศตะวันออก แต่แล้วสิ่งที่ทหารยามทั้งสองเห็นจากไกล ๆ ใกล้กับบริเวณป่าฝั่งตะวันตกนั่นก็คือ พายุ ที่ดูรุนแรงผิดปกติจนถึงกับโค่นต้นไม้ใหญ่ได้อย่างง่ายดาย 

 

แม้จะอยู่ไกลแต่ก็พอสังเกตเห็นได้แต่สิ่งที่น่าแปลกใจคือทำไมพายุลูกนั้นถึงได้อยู่กับที่ไม่เคลื่อนตัว ราวกับไม่ใช่พายุจากธรรมชาติ แต่มีคนสร้างมันขึ้นมา ทหารยามทั้งสองไม่อาจทราบได้เลยว่านั่นคือแรงลมที่เกิดจากการต่อสู้ของบุคคลระดับสุดยอดผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นจุดสูงสุดของทั้งนักรบและนักผจญภัย

 

 

[ ประตูทิศตะวันตกป้อมปราการเดธวอลเลย์ ] 

 

เสียงของโลหะที่กระทบกันไปมาอย่างรวดเร็วและรุนแรงดำเนินมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ที่วงเวทย์ขนาดมหึมา ดาบเล่มใหญ่ที่ไม่สมกับผู้ใช้และใบดาบขนาดเล็กกว่าอย่างมากที่มีรูปร่างไม้เท้าฟาดฟันใส่กันอย่างสูสีราวกับกำลังร่ายรำในงานบรรเลง

 

” น่ารำคาญจริง !! ตาแก่ ! อย่ามาขวางนะเฮ้ย ! ” ดันทาเลียนที่ตะโกนออกมาอย่างเหลืออดกับเฒ่าชราที่คอยขัดขวางไม่ให้ดันทาเลียนเข้าไปในเมือง 

 

เหตุการณ์การปะทะกับรอบที่สองเกิดขึ้นหลังจากที่ทั้งคู่ได้เห็นวงเวทย์สีขาวขนาดใหญ่บนท้องฟ้าของเมือง คลื่นพลังเวทย์ที่ทรงพลังและมหาศาลระดับที่สุดยอดทั้งสองไม่เคยได้พบเจอมาก่อน เวทมนตร์และวงเวทย์ที่เหนือสามัญสำนึกและยิ่งไปกว่านั้นคำถามที่ทั้งสองคิดตรงกันทั้งที่ไม่ได้นัดกันมาคือ ใครคือผู้ที่ใช้เวทมนตร์นั้น ? 

 

ดันทาเลียนที่ตระหนักได้ว่ามีบุคคลที่แข็งแกร่งระดับที่ใช้เวทมนตร์และวงเวทย์ขนาดใหญ่ถึงขนาดครอบคลุมทั่วทั้งเมืองแบบนั้นได้ ความตื่นเต้นและกระหายศัตรูที่แข็งแกร่งได้ถูกปลุกอย่างรุนแรงแม้ว่าจะมีบุคคลที่แข็งแกร่งอย่างนักผจญภัยระดับ S ตรงหน้าแล้วก็ตาม

 

ถึงอย่างนั้นความกระหายของดันทาเลียนก็ไม่อาจหยุดยั้งได้ ความต้องการที่จะพบกับผู้แข็งแกร่งที่สามารถทัดเทียมหรือเหนือกว่าตนของดันทาเลียนนั้นทำให้เค็นโซพยายามที่จะหยุดยั้งไม่ให้ดันทาเลียนเข้าไปในเมืองได้อย่างเอาเป็นเอาตาย 

 

” ข้าคงจะปล่อยสาวน้อยอันตรายแบบเจ้าเข้าไปในเมืองไม่ได้หรอกนะ ! ” เค็นโซที่ตอบโต้ดันทาเลียนอย่างรวดเร็วด้วยทักษะที่เน้นการเคลื่อนไหวชั่วพริบตา เพลงดาบที่แม่นยำที่ผ่านการฝึกมาอย่างยาวนานนับร้อยปีฟาดฟันใส่ดันทาเลียนอย่างไม่หยุดยั้งทำให้ดันทาเลียนต้องคอยรับมืออย่างเลี่ยงไม่ได้ 

 

ดันทาเลียนที่ตอนนี้ตกอยู่ในฝ่ายตั้งรับมาอย่างต่อเนื่องทำการป้องกันพร้อมทั้งหาโอกาสสวนกลับแต่แล้วเค็นโซกลับไม่ปล่อยให้ทำได้ คมดาบที่แม่นยำและรวดเร็วเข้าโจมตีดันทาเลียนแบบไม่ให้พักหายใจ ไหนจะความเร็วรวดของเค็นโซที่ตอนนี้ต่างจากตอนพึ่งจะเริ่มสู้กับดันทาเลียนอย่างเห็นได้ชัด เพราะในตอนนี้เค็นโซเอาจริงแล้วนั่นเอง 

 

” ก็ลองดูสิ ! ตาเฒ่า !! ” ดันทาเลียนตวัดดาบเล่มใหญ่กว่าขนาดตัวขึ้นพร้อมกับหมุนตัวราวกับพายุ แรงเหวี่ยงดาบที่รุนแรงจากขนาดที่ใหญ่โตของดาบและความเร็วในการหมุนของดันทาเลียนทำให้เกิดพายุคมดาบขนาดใหญ่รัศมีกว่า 10 เมตร ฟาดฟันรอบบริเวณโดยรอบจนยับเยิน

 

เหล่าต้นไม้บริเวณโดยรอบถูกตัดขาดเป็นสองท่อนอย่างง่ายดายราวกับตัดกระดาษ แรงลมกระโชกที่มาพร้อมกับคมดาบขนาดใหญ่ทำให้เค็นโซจะต้องทิ้งระยะห่างพร้อมทั้งหลบหลีกท่าดังกล่าว การที่เค็นโซเลือกที่จะหลบแทนที่จะเข้ารับคมดาบนั่นไว้นับว่าเป็นการกระทำที่ถูกต้อง 

 

เพราะหากวัดกันที่พละกำลังล้วน ๆ แล้วละก็เค็นโซไม่อาจเทียบกับดันทาเลียนได้แม้แต่น้อย แม้ว่าจะรับคมดาบนั้นได้แต่แรงปะทะที่ส่งมาถึงเค็นโซคงรุนแรงจนร่างกายรับไม่ไหวก็เป็นได้ ยิ่งร่างกายที่แก่ชราด้วยแล้วอาจจะทำให้ถึงขั้นแขนหักได้ง่าย ๆ แต่ก็เรียกได้ว่าตั้งรับการโจมตีระดับนี้แล้วจบแค่แขนหักก็นับว่ามีน้อยคนบนโลกแล้วที่สามารถทำได้ 

 

” โฮะ ๆ รุนแรงจริง ๆ เลยนา เด็กสมัยนี้ช่างแรงดีจริง ๆ ! ” เค็นโซที่หาจังหวะที่จะแทรกตัวเข้าไปในพายุคมดาบของดันทาเลียนเคลื่อนที่หลบหลีกคมดาบอย่างคล่องแคล่ว ถึงอย่างนั้นแม้จะหลบคมดาบขนาดใหญ่ได้แต่ก็โดนคมดาบขนาดเล็กเฉียดเฉือนจนผ้าคลุมสีน้ำตาลของเค็นโซขาดหวิ่น 

 

เค็นโซที่เห็นดังนั้นจึงรุดหน้าเข้าประชิดดันทาเลียนโดยเร็ว แต่ใช้จังหวะที่ดันทาเลียนแหว่งดาบจนสุดแขนเปิดช่องว่างของลำตัวฟันเข้าใส่อย่างจัง 

 

” มารุตสะบั้นเดือนแรม ! ” คมดาบความเร็วเสียงพุ่งเข้าฟาดฟันใส่ดันทาเลียนเป็นแนวทแยงจากล่างขวาไปบนซ้ายอย่างเฉียบคม ความแม่นยำและความเร็วในการฟันที่เหนือล้ำกว่าทักษะดาบของนักดาบคนไหนในโลกทำให้ดันทาเลียนรู้สึกทั้งประทับใจและประหลาดใจในเวลาเดียวกัน 

เคล้ง ! 

 

แต่แล้วคมดาบที่น่าจะฟันโดนตัวของดันทาเลียนก็ถูกแขนที่สวมเกราะของดันทาเลียนกันเอาไว้ได้ เกราะแขนสีดำที่ดูน่าเกรงขามและแข็งแกร่งรับเอาคมดาบของเค็นโซไว้ได้อย่างไร้รอยขีดข่วน 

 

” เกือบไป ๆ ! เร็วจริง ๆ เลยนะตาเฒ่า ! ” ดันทาเลียนที่พูดและยิ้มชื่นชมให้กับศัตรูที่สร้างความประทับใจให้ตน หากไม่ใช่ดันทาเลียนที่ได้เป็นราชันย์ผู้บัญชาการกองทัพปีศาจแล้วละก็คงโดนผ่าเป็นสองท่อนอย่างรวดเร็วจนไม่รู้สึกตัวอย่างแน่นอน ความเร็วและความแม่นยำในระดับที่แม้แต่ดันทาเลียนยังขนลุก 

 

( ความเร็วระดับนี้ยังรับไว้ได้อีกงั้นหรือ !? ยัยหนูนี่อันตรายจริง ๆ ! ) 

 

เค็นโซที่เห็นศัตรูตรงหน้ารับการโจมตีของตนได้นึกหวั่นใจว่าถ้าหากปล่อยให้ตัวตนระดับนี้เข้าไปในเมืองได้ คงไม่พ้นโศกนาฏกรรมที่น่าเศร้าเป็นแน่ แต่มีอีกสิ่งหนึ่งที่ยังคิดไม่ตกนั่นคือ วงเวทย์ขนาดใหญ่สีขาวที่สว่างเจิศจ้าพร้อมกับพลังเวทย์มหาศาลที่สัมผัสได้นั่นเป็นของใครกันแน่ ดูจากตำแหน่งแล้วคาดว่ามาจากในเมืองไม่มีแน่นอน 

 

แต่สังเกตดูวงเวทย์อยู่นานก็ไม่เห็นถึงผลร้ายใด ๆ อย่างเช่นระเบิดหรือแผ่นดินไหว เค็นโซจึงอนุมานว่าอาจจะไม่ใช่เวทมนตร์ที่เอาไว้ใช้โจมตีก็ได้ อาจจะเป็นเพียงเวทมนตร์พื้นที่ที่ใช้ป้องกันหรือรักษาเป็นต้น หากเป็นเช่นนั้นคงวางใจได้ในระดับหนึ่งแต่ก็ไม่สามารถวางใจได้ทั้งหมดเพราะไม่รู้ถึงเจตนาของผู้ใช้นั่นเอง 

 

เหนือสิ่งอื่นใดศัตรูที่อยู่ตรงหน้าเค็นโซที่แข็งแกร่งถึงขนาดปัดป้องการโจมตีของเค็นโซได้ก็นับว่าอันตรายไม่แพ้กัน การโจมตีและป้องกันผลัดกันรุกผลัดกับรับที่ไม่มีท่าทีว่าจะจบดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่อง แต่เหมือนฟางเส้นสุดท้ายของเค็นโซที่กำลังจะขาดก็เริ่มมาถึง

 

ความเหนื่อยล้าที่มาจากการต่อสู้เป็นระยะเวลานานเริ่มออกผลอย่างเห็นได้ชัด ไหนจะต้องรับการโจมตีที่รุนแรงของดันทาเลียนที่เรียกได้ว่าหนักหน่วงอย่างมหาศาลทำให้เรี่ยวแรงของเค็นโซยิ่งลดลงอย่างรวดเร็ว แต่แล้วสิ่งที่ทั้งคู่ไม่ได้คาดคิดอีกครั้งก็ปรากฏขึ้น 

 

” ” !!!!! ” ” 

 

ในจังหวะที่ทั้งดันทาเลียนและเค็นโซกำลังจะเข้าปะทะกันอีกครั้ง จู่ ๆ ก็มีบางสิ่งพุ่งผ่านระหว่างทั้งสองอย่างรวดเร็ว ความเร็วระดับที่สุดยอดของทั้งนักรบและนักผจญภัยยิ่งไม่อาจตามทัน แรงลมกระโชกและคลื่นกระแทกที่รุนแรงจนถึงขนาดดันทาเลียนและเค็นโซต้องถอยออกห่างอย่างไม่ทันตั้งตัว 

 

” หา !? อะไร ! ” 

 

ดันทาเลียนส่งเสียงร้องออกมาด้วยความสงสัย แม้เค็นโซจะไม่เอ่ยออกมาเหมือนดันทาเลียนแต่เรียกได้ว่าปฏิกิริยาไม่ได้ต่างไปจากดันทาเลียนเลยแม้แต่น้อย ควันที่เกิดจากฝุ่นและดินฟุ้งกระจายไปทั่วบดบังวิสัยทัศน์ของทั้งดันทาเลียนและเค็นโซแต่เมื่อควันจางหายไปตามสายลมทั้งคู่ก็ได้เห็น

 

รูปลักษณ์ที่แสดงถึงหมาป่าสีเงินขนาดใหญ่ที่สูงถึง 4 เมตร ขนยาวเงางามแม้ท้องฟ้าจะไม่มีแดดแต่กลับเปล่งประกายงดงามราวกับมีออร่าสีเงินที่ดูศักดิ์สิทธิ์ห่อหุ้มร่างกายเอาไว้ ลวดลายสัญลักษณ์ที่ดูน่าหลงใหลยิ่งทำให้ดูราวกับเป็นสัตว์ของเทพธิดา กรงเล็บและเขี้ยวสีเงินที่ดูน่าเกรงขามพร้อมจะฉีกกระชากทุกสิ่งที่ขวางหน้า 

 

” โฮะ ๆ มอนสเตอร์งั้นเหรอ ? ไม่เคยเห็นมาก่อนเลยนะ ” เค็นโซที่หัวเราะออกมาอย่างตื่นเต้น แต่ว่าภายในใจกลับไม่ได้รู้สึกยินดีอย่างที่แสดงออกมา หากเป็นนักผจญภัยที่มีประสบการณ์อย่างเค็นโซแล้วละก็จะรู้ได้ทันทีว่า มอนสเตอร์หมาป่าตรงหน้าคือสิ่งที่มนุษย์ไม่อาจเอาชนะมันได้ 

 

แม้แต่เค็นโซที่ขึ้นชื่อว่าเป็นนักผจญภัยระดับ S ที่เป็นจุดสูงสุดของนักผจญภัยก็สามารถสัมผัสได้ทันทีว่ามอนสเตอร์ตรงหน้าหลุดสามัญสำนึกไปไกลกว่าที่มนุษย์หรือปีศาจคิดมาก โดยทั่วไปแล้วระดับแรงค์ของนักผจญภัยแม้ว่าจะเท่ากับระดับแรงค์ของมอนสเตอร์ก็ไม่ใช่ว่าจะสามารถจัดการได้โดยง่าย เนื่องจากความสามารถทางกายภาพของมอนสเตอร์นั่นแข็งแกร่งกว่าของมนุษย์อยู่มาก 

 

เค็นโซและดันทาเลียนเวลานี้ต่างอยู่นิ่งไม่ขยับกันทั้งคู่ ความอันตรายที่มาพร้อมกับความงดงามและน่าหลงใหลเป็นสิ่งที่ทำให้ทั้งคู่ต่างระวังกันยิ่งกว่าตอนเผชิญหน้ากันครั้งแรก 

 

เม็ดเหงื่อที่ไหลมาจากบริเวณศีรษะของทั้งคู่ถูกสายลมที่กำลังพัดอย่างรุนแรงจนรู้สึกได้ถึงความเย็น แต่กลับไม่ได้รู้สึกสบายใจขึ้นแม้แต่น้อย หากขยับหรือเคลื่อนไหวละก็คงไม่วายถูกขย้ำเป็นแน่ 

 

( อะไรกันเจ้าหมาป่าตัวนี้ ! โผล่มาจากไหนกัน ! ) 

 

ดันทาเลียนที่มองการเคลื่อนไหวของหมาป่าตัวใหญ่สีเงินตรงหน้าไม่ทัน ตกใจกับสิ่งที่ตนได้ประสบอย่างคาดไม่ถึง เหล่าสุดยอดทั้งสองต่างทำได้เพียงยืนจ้องมองหมาป่าสีเงินอยู่อย่างสงบ สายลมที่พัดโชยเป็นสิ่งเดียวที่เคลื่อนไหวระหว่างทั้งสามคน …

 

เอ่อ…คือว่า ฉันควรจะฝ่ายดุจูน่าจังไม่ใช่เหรอคะ ? แล้วทำไมตอนนี้ฉันถึงได้ถูกจูน่าจังพูดโฆษณาชวนเชื่อพวกคนที่ดูเหมือนจะเป็นนักผจญภัยแบบนี้กันได้ละคะเนี่ย !? 

 

ไม่ใช่แค่นั้นนะคะ ! แถมทุกคนยังเล่นคุกเข่ากันหมดอีกต่างหาก ! เดะนะ ? ขอทบทวนความทรงจำปลาทองของฉันก่อนนะคะ หลังจากที่ฉันใช้ ‘ บุปผาสวรรค์เหมันต์ ‘ จนป่าทั้งผืนกลายเป็นน้ำแข็งไสรูปดอกบัวแล้ว ฉันก็ค่อย ๆ บินลงต่ำ ๆ เพื่อเข้าไปถามความปลอดภัยของจูน่าจังค่ะ 

 

แต่ก่อนที่ฉันจะได้พูดอะไรขึ้นมา ไม่รู้ทำไมพวกคุณนักผจญภัยถึงได้พร้อมใจกันคุกเข่าราวกับกำลังต้อนรับฉันเลยละคะเนี่ย !! หนำซ้ำทำไมเจ้าลัทธิตัวแสบที่เป็นต้นเหตุของความเหนื่อยยากของฉันทำไมกำลังยืนเป็นประธานงานต้อนรับได้ละคะ !? 

 

” ทุกคนคะ ! นี่คือให้ท่านเทพธิดาโนเอล เทพธิดาผู้งดงามที่เต็มไปด้วยความเมตตาและความแข็งแกร่งค่ะ !! ” 

 

” ” โอ้วว !!! ” ” 

 

วอท !? เสียงฮือฮาดังขึ้นสะท้อนไปมาประสานเสียงอย่างกับอยู่วงคอรัสเลยค่ะ !! เดี๋ยวก่อนสิ ! จูน่าจังนี่คิดกำลังจะเปิดสาขาลัทธิของฉันเพิ่มที่เมืองนี้หรือยังไงกันคะ ! ประเด็นเรื่องที่วิ่งมาทางประตูเมืองอันตรายแบบนี้ยังไม่ลืมหรอกนะ ยังไงก็ตามฉันต้องทำหน้าเข้ม ๆ ดุ ๆ เข้าไว้ค่ะ 

 

‘ สุดยอด ! สวยโคตร ๆ ไปเลย !! ‘ 

‘ นี่น่ะหรือเทพธิดาตัวจริง !! ใบหน้าที่ดูสงบนิ่งช่างดูสูงส่งจริง ๆ !! ‘

‘ นี่ฉันได้เทพธิดาผู้งดงามแบบนี้ช่วยชีวิตไว้งั้นเหรอเนี่ย ! ‘ 

 

ห๊ะ ? แล้วทำไมเหล่าบรรดาคุณลุงนักผจญภัยถึงได้ตาเป็นประกายแบบนั้นละคะ ? อีแบบนี้คงไม่พ้นสถานการณ์เดิม ๆ เหมือนตอนอยู่ในหมู่บ้านโคลินแน่ ๆ เอาเถอะค่ะ ฉันต้องทำใจให้ชินเค้าไว้ นี่ก็ถือว่าฉันแข็งแกร่งขึ้นบ้างแล้วนะคะเนี่ย หึหึ

 

” จูน่าจัง ไม่เป็นอะไรนะคะ ! ” รับรองว่าฉันที่ทำหน้าดุแถมยังขึ้นเสียงแบบนี้จูน่าจังจะต้องสำนึกผิดบ้างแหละค่ะ ! ต่อให้จะเป็นเด็กเจ้าลัทธิที่แข็งแกร่งขนาดไหนก็ตาม โดนดุแบบนี้ต้องสำนึกผิดอยู่แล้วละค่ะ สมัยตอนที่ฉันยังเด็กยังโดนคุณแม่ดุเพราะแอบเอาน้ำปลาไปใส่ในกาแฟของคุณแม่เลยค่ะ 

 

” สมกับที่เป็นท่านโนเอล ช่างมีเมตตาจริง ๆ เลยค่ะ หนูไม่เป็นไรไม่ต้องเป็นห่วงค่ะ ! ” จูน่าจังตอบกลับพร้อมรอยยิ้มบานเต็มใบหน้าเล็ก ๆ อย่างสดใสร่าเริง 

 

ท่าทีแบบนั้นมันอะไรกันคะ !? นี่กำลังเข้าใจอะไรผิดอยู่ใช่ไหมคะ !? ไม่ได้การแบบนี้จะต้องเพิ่มความดุเข้าไปอีกค่ะอีกให้ร้องไห้ขี้มูกโป่งกันไปเลย เอาละแบบนี้ต้อ-

 

” ท่านโนเอลสินะคะ ! ” เสียงดังที่คาดไม่ถึงดังขึ้นมาจากด้านหลังของฉันเล่นแบบเกือบเหวอไปเลยค่ะ ใครกันคะที่มาขัดตอนฉันกำลังจะดุจูน่าจังแบบนี้ !? 

 

เมื่อหันไปก็พบกับคุณพี่สาวสุดเซ็กซี่ที่สวมหมวกใบใหญ่เหมือนแม่มดผมสีแดงใบหน้าที่ดูเรียกว่าสวยมากกว่าน่ารัก เรียกว่าเป็นคนละสไตล์กับคุณแอนนาเลยละค่ะ แล้วทำไมพี่สาวคนนี้ถึงได้เรียกหาฉันอย่างกับกระดิกหางเหมือนหมาน้อยที่เห็นเจ้านายที่ไม่ได้เจอนานแบบนั้นล่ะ ? 

 

” กะ-ก็ใช่ค่ะ มีอะไรเหรอคะ ? ” ไม่ได้การ ลางสังหรณ์ที่สุดแสนจะแม่นยำของฉันกำลังบอกว่ากำลังจะเกิดสิ่งที่ไม่พึงประสงค์สำหรับฉันอย่างแน่นอนค่ะ ถ้าให้พูดแล้วละก็เหมือนตอนตาแก่- เอ้ยคุณเมอร์ริอาร์ไม่มีผิดค่ะ !! 

 

” สุดยอดเลยค่ะ !! ท่านโนเอลเวทมนตร์น้ำแข็งเมื่อกี้ ช่างงดงามและรุนแรงจริง ๆ ค่ะ !! แล้ว ๆๆ วงเวทย์ขนาดใหญ่ที่อยู่บนท้องฟ้าก็ของเวทมนตร์ของท่านโนเอลด้วยใช่ไหมคะ !? ” 

 

คำถามรัวเป็นชุดอย่างกับข้อสอบปลายภาคเลยค่ะ !! พี่สาวนักเวทย์คนนี้มันอะไรกันคะ ! นี่ฉันกำลังโดยสัมภาษณ์งานหรือไงกันคะเนี่ย ! ดูจะตื่นเต้นกับสกิลเวทย์ของฉันมากเลยละ แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าที่ผ่าน ๆ มาอยู่นะคะ 

 

” ค-ค่ะ นั่นฉันทำเองค่ะ ” จะบอกว่าไม่ใช่ฝีมือของฉันก็คงไม่ทันแล้วละค่ะ 

 

” วิเศษมาก !! เวทมนตร์ที่ลึกล้ำแบบนั้นไม่เคยเห็นมาก่อนเลยค่ะ ! มันเป็นเวทมนตร์แบบไหนช่วยบอกได้ไหมคะ ! ” 

 

ดูจะเป็นคุณพี่สาวนักเวทย์ที่ชื่นชอบเวทมนตร์มาก ๆ เลยนะคะเนี่ย ก็ไม่ได้รังเกียจหรอกนะคะ แต่ว่าอยากจะให้ตั้งสติก่อนเถอะค่ะ 

 

” ก็เป็นเวทมนตร์พื้นที่ที่ช่วยรักษากับฟื้นฟูพลังเวทย์และเสริมสร้างพละกำลังพื้นฐานให้กับทุกคนภายในวงเวทย์เท่านั้นเองค่ะ ไม่มีวิเศษอะไร “

 

” ” … ” ” 

 

ไหงเงียบสนิทเป็นป่าช้าแบบนั้นละคะ ? นี่ฉันพูดอะไรผิดไปหรือเปล่านะ หรือว่าจะผิดหวังกันหรือเปล่าคะ ก็แน่ละมันก็แค่เวทย์สายสนับสนุนปาตี้ที่ไม่ได้หายากอะไร ตอนสมัยอยู่ในเกมก็ใช้กันทั่วเลยค่ะ ต้องขอโทษด้วยนะคะ ฉันก็แค่นักเวทย์ธรรมดา ๆ เท่านั่นแหละ 

 

” ” หาาาาา !!!??? ” ” 

 

‘ นี่มันจะสุดยอดเกินไปแล้ว ท่านเทพธิดาใช้เวทมนตร์แบบนั้นได้ด้วย ! ‘ 

‘ ฉันบอกแกแล้ว !! ว่านี่เป็นพลังของท่านเทพธิดาน่ะ !! ‘ 

‘ นี่มันพลังระดับทวยเทพชัด ๆ แต่ก็เป็นท่านเทพธิดานี่นา ! แถมยังงดงามอะไรถึงเพียงนี้ ‘ 

‘ ท่านเทพธิดาช่วยโอบกอดเยียวยาผมด้วยเถอะคร้าบ !! ‘ 

 

อ๊ะเระ ? นี่เกิดอะไรขึ้นคะเนี่ย ไม่ได้ผิดหวังที่เป็นเวทมนตร์ธรรมดาหรอกเหรอ แต่เดี๋ยวนะ ? อีตาโรคจิตคนนั้นมันอะไรกันคะ ให้กอดงั้นเหรอขอผ่านค่ะ !!! น่าขนลุกที่สุดเลยค่ะ แต่ว่าทำไมคุณพี่สาวนักเวทย์ถึงได้ก้มหน้าตัวสั่นกันละ คงจะผิดหวังละสินะ คนอื่นไม่ใช่นักเวทย์นี่นะ ถ้าเป็นคนที่ใช้เวทย์ละก็แค่เวทย์ฟื้นฟูแบบพื้นที่ไม่ใช่อะไรแปลกใหม่เลยค่ะ 

 

” สะ- สุดยอดด !! นั่นมันเป็นเวทมนตร์ที่หายสาบสูญตั้งแต่ที่โลกนี้ถือกำเนิดขึ้นไม่ใช่เหรอคะ !!!??? ” 

 

หาา ?? เวทมนตร์ที่หายสาบสูญ ? มันคืออะไรกันคะ ? 

 

” หึหึ ! รับรู้ถึงความสุดยอดของท่านโนเอลกันแล้วใช่ไหมละคะ !! ” จู่ ๆ เสียงเล็ก ๆ ของเจ้าลัทธิตัวน้อยก็โผล่ขึ้นมากลางวง แถมยังยืดหน้าอกเล็ก ๆ อย่างภาคภูมิใจแบบสุดบรรยายอีกต่างหากค่ะ จูน่าจังเรื่องของเรายังไม่เคลียร์เลยนะคะ 

 

” ตัดสินใจแล้ว ! ท่านเทพธิดาโนเอลคะ ช่วยรับฉันเป็นลูกศิษย์ด้วยค่ะ !!! ” 

 

ห๊ะ !? เมื่อกี้ว่ายังไงนะคะ ฉันไม่ได้ฟังอะไรผิดไปใช่ไหม ? ใช่แล้ว ๆ ฉันคงจะกำลังหัวเสียกับเรื่องของจูน่าจังแน่ ๆ เลยค่ะทำให้หูแว่วแน่ ๆ มันจะไปมีพี่สาวสุดแซ่บมาขอเป็นลูกศิษย์ฉันได้ยังไงกันละคะ 

 

‘ ถึงขนาดแม่มดแห่งเพลิงกัลป์ขอเป็นศิษย์เลยงั้นเหรอ ! ท่านเทพธิดาจะสุดยอดเกินไปแล้วเว้ยเฮ้ย !! ‘ 

‘ แม้แต่นักผจญภัยระดับ A ยังต้องขอเรียนเวทมนตร์ด้วยเลยนะ ! ‘ 

‘ สมกับที่เป็นท่านเทพธิดาจริง ๆ ! ข้าจะขอเคารพศรัทธาท่านเทพธิดาตลอดไปเลย !! ‘

 

แล้วไหงมันกลายเป็นแบบนี้ได้ไปละคะเนี่ย !! นี่ฉันพูดคำนี้กี่ครั้งกันแล้วคะ !? ช่างเถอะถึงจะไม่ได้นับแต่มันต้องเยอะมาก ๆ แน่ ๆ แล้วจะให้ทำยังไงได้ละคะ อุตส่าห์คิดว่าหูแว่วแล้วแต่ทำไมมันถึงได้กลายเป็นความจริงไปได้ละเนี่ย !! ลูกศิษย์งั้นเหรออย่ามาล้อเล่นสิคะ ไฮเอลฟ์บ้าน ๆ แบบฉันจะไปสอนใครเป็นกันละคะ ! 

 

ฉันที่แม้แต่จะสอนการบ้านเพื่อนยังไม่ไหวเลยนะ ถึงปกติจะไม่ค่อยมีคนมาให้สอนก็เถอะ แต่ถึงจะมีฉันก็สอนใครไม่เป็นหรอกนะคะ !! 

 

” ยอดเยี่ยม ! ทุกคนคะ คงจะรับรู้ถึงพลังและความสุดยอดของท่านโนเอลแล้วสินะคะ นี่แหละคือพลังของท่านเทพธิดาโนเอลที่จะเมตตาและช่วยเหลือทุกคนค่ะ ขอแค่เคารพและศรัทธาชีวิตของทุกคนจะต้องมีความสุขอย่างแน่นอนค่ะ !! ” 

 

จูน่าจางงงงงงง !!!! หยุ้ดด หยุดดด นี่มันจะไปกันใหญ่แล้วนะคะเนี่ย ให้ฉันปวดหัวทีละเรื่องได้ไหมคะ ขอร้องละค่ะ !! 

 

” โอ้วว !! เข้าใจแล้วคุณหนู ไม่สิ ! คุณผู้ส่งสาส์นของเทพธิดา !! ” 

 

” ” โอ้ววววววว !!!!! ” ”  

 

สรุปแล้วฉันทำอะไรกับเจ้าลัทธิตัวน้อยคนนี้ได้บ้างคะ… ไม่ไหวค่ะ สู้ไม่ได้เลยสักนิด ฮืออออ …

.

.

.

แรงลมกระโชกพัดราวกับพายุ ท้องฟ้าที่ถูกก้อนเมฆบดบังจนไม่เห็นแสงตะวัน ตอนนี้ฉันกำลังวิ่งอยู่ในเมืองป้อมปราการเดธวอลเลย์ในตอนนี้ที่แทบจะเป็นเมืองร้างเลยค่ะ เพราะทุกคนถูกเสียงเตือนภัยให้อยู่แต่ในบ้าน เพราะตอนนี้มีการอาละวาดของมอนสเตอร์บุกมาที่เมืองยังไงละคะ !! 

 

แล้วหนำซ้ำตอนนี้จูน่าจัง เจ้าลัทธิตัวน้อยที่เปรียบเหมือนเพื่อนคนแรกของฉันก็หายตัวไปอีกด้วย ทำไมมันต้องมาเกิดเรื่องวุ่น ๆ ตอนที่ฉันมาเมืองครั้งแรกด้วยละคะ !! อุตส่าห์รบกวนคุณแอนนาให้มาเที่ยวชมเมืองทั้งทีกลับมาเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นซะได้ พวกมอนสเตอร์ทั้งหลายไม่ให้อภัยเด็ดขาดเลยค่ะ ถ้าเป็นไปได้ฉันก็อยากจะจัดการเองอยู่หรอก แต่ในเมืองมีนักผจญภัยและทหารหลวงของอาณาจักรอยู่แล้วคงจะไปแย่งงานของคนอื่นไม่ได้หรอกนะคะ 

 

ถึงฉันจะไม่รู้ความสามารถของนักผจญภัยในโลกนี้ก็เถอะค่ะ แต่คิดว่าน่าจะรับมือกับมอนสเตอร์บุกครั้งนี้ได้อยู่หรอก ถึงแม้หลาย ๆ อย่างในโลกนี้จะต่ำกว่ามาตรฐานในเกมสมัยตอนอยู่โลกจริงก็เถอะ แต่เราจะดูถูกโลกนี้ไม่ได้เป็นอันขาดค่ะ ยิ่งฉันที่มาโลกนี้ไม่นานด้วยแล้วต้องระมัดระวังตัวเอาไว้ก่อน 

 

ฉันที่วิ่งไปสอดส่องสายตาอย่างว่องไวซ้ายทีขวาที เพื่อหาสาวน้อยผมสีน้ำตาลตัวเล็กน่ารักที่ตอนนี้หายตัวไป คิดว่าน่าจะหลงทางแต่ก็น่าแปลก จูน่าจังน่าจะรู้จักเส้นทางมากกว่าฉันน่าจะสามารถกลับมาที่โรงแรมเองได้ถ้าเกิดว่าหลงจริง ๆ แต่ถ้าไม่กลับมาแสดงว่าจะต้องไปที่ไหนสักแห่ง อย่างเลวร้ายที่สุดคงถูกลักพาตัว ในโลกนี้เองก็มีการเรียกค่าไถ่สินะคะ 

 

ผ้าคลุมสีดำยาวที่คลุมตั้งแต่หัวจรดเท้าของฉันปลิวโบกสะบัดไปตามลมที่กระแทกสวนทางกับฉัน แน่นอนค่ะว่าไม่ลืมที่จะสวมมาด้วยเพราะมันช่วยปกปิดรูปลักษณ์ของฉันได้ยังไงละคะ อีกอย่างเป็นของคุณแอนนาที่ยืมมาด้วยคงต้องระวังไม่ให้เสียหายแล้วค่ะ 

 

” นี่ฉันวิ่งมานานขนาดไหนแล้วนะ… ” ฉันที่บ่นพึมพำในขณะที่วิ่งอย่างไม่มีเหน็ดเหนื่อย เพราะด้วยสกิลตัวติดของฉันที่ช่วยฟื้นฟูทั้ง HP และ MP โดยอัตโนมัตินั่นเองค่ะ ถึงจะไม่ได้เยอะมากมายจนสามารถใช้ต่อกรกับมอนสเตอร์เลเวลสูง ๆ หรือตอน PVP ได้ก็เถอะ แต่ถ้าหากแค่วิ่งธรรมดาจนถึงมอนสเตอร์ระดับต่ำแล้วไม่ใช่ปัญหาเลยค่ะ 

 

” นี่คุณต้นไม้เห็นเด็กผมสีน้ำตาลผ่านมาบ้างหรือเปล่า ” ฉันที่หยุดถามต้นไม้ในเมือง ถ้าหากมีคนมาเห็นเข้าคงจะหาว่าเป็นบ้าแน่ ๆ ค่ะ แต่โชคดีที่ตอนนี้ไม่มีคนอยู่บนท้องถนนเลยรอดตัวไป อย่างไรก็ตามตอนนี้สิ่งที่ฉันพอจะพึ่งพาได้มากที่สุดก็คงจะเป็นคุณต้นไม้นี่แหละค่ะ การที่มีสกิลประจำเผ่าไฮเอลฟ์แบบนี้เหมือนจะเป็นประโยชน์กับฉันอย่างมากเลยค่ะ 

 

‘ ไม่เห็น ไม่เห็น ‘ 

 

ให้ตายสิ พึ่งพาไม่ได้เอาซะเลยค่ะ ! แล้วแบบนี้จะตามหาจูน่าจังที่ไหนดีคะเนี่ย ! เมืองก็ไม่ใช่เล็ก ๆ ด้วย ถ้าจะวิ่งให้ทั่วคงใช้เวลานานเกินไป ยังไงตอนนี้ก็คงจะต้องวิ่งหาต่อไปเท่านั้นแหละค่ะ 

 

ในระหว่างที่วิ่งตามหาจูน่าจังอย่างสุดกำลังสิ่งที่พอจะทำได้ก็คงจะเป็นภาวนาให้จูน่าจังยังปลอดภัยดีเท่านั้นแหละค่ะ ถ้าเกิดว่าฉันพาลูลิมาด้วยแบบนี้คงจะง่ายกว่าอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้ให้ลูลิคุ้มกันคุณแอนนาที่ห้องน่าจะอุ่นใจมากกว่าเพราะไม่รู้ว่าจะมีมอนสเตอร์หลุดเข้ามาบ้างหรือเปล่า 

 

ถ้าหากเกิดสถานการณ์ที่เลวร้ายอย่างนักผจญภัยต้านมอนสเตอร์อาละวาดไม่อยู่ขึ้นมาละก็ คงเป็นโศกนาฏกรรมไม่ผิดแน่นอนค่ะ มอนสเตอร์จะเข้าโจมตีทั้งบ้านเรือนและผู้คน จะเกิดการล้มตายและสูญเสียอย่างมาก และแน่นอนว่าคุณแอนนาจะตกอยู่ในอันตรายหนำซ้ำฉันที่ออกมาตามหาจูน่าจังก็ไม่สามารถอยู่ปกป้องคุณแอนนาได้ด้วย เพราะงั้นจึงได้ทิ้งลูลิไว้กับคุณแอนนานั่นเองค่ะ 

 

หลังจากวิ่งหันซ้ายหันขวามาระยะหนึ่งก็เหมือนจะหลงทางซะแล้วล่ะค่ะ ก็แหม ! ฉันพึ่งเคยจะมาเมืองนี้เป็นครั้งแรกนะคะ !! ให้วิ่งตามหาคนในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยแบบนี้ก็ต้องมีหลงกันบ้างแหละค่ะ ! เอาเป็นว่าตอนนี้ฉันอยู่ตรงไหนของเมืองป้อมปราการเดธวอลเลย์ก็ไม่รู้ค่ะ แต่มองไปรอบ ๆ แล้วมีแต่แผงขายของที่ถูกเก็บข้าวของออกหมดแล้วเหมือนกับเวลาตลาดวายแล้วเลยค่ะ 

 

แต่เหมือนหางตาของฉันจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง เมื่อหันไปมองก็เจอแล้วค่ะ คุณป้าคนดูลักษณะเหมือนกับแม่ค้าขายของที่น่าจะเก็บของเป็นคนสุดท้ายกำลังเก็บข้าวของอย่างรีบร้อน แต่ดูเหมือนจะรนเกินไปจนทำให้ข้าวของหล่นแล้วหล่นอีก แล้วแบบนี้จะเก็บเสร็จตอนไหนกันคะเนี่ย เอาเถอะยังไงซะก็คงต้องเข้าไปช่วยก่อนแล้วกัน เผื่อจะได้ถามข้อมูลเกี่ยวกับจูน่าจังด้วยค่ะ 

 

” คุณป้า ! เป็นอะไรหรือเปล่าคะ ” ฉันที่วิ่งไปหาพร้อมกับทักถามอย่างเป็นห่วง แต่กลับได้รับปฏิกิริยาตอบกลับแบบเหนือความคาดหมายค่ะ เพราะคุณป้าแกสะดุ้งตกใจจนทำให้ข้าวของที่อยู่ในอ้อมแขนหล่นมาหมด เอิ่ม…ที่ทำมาทั้งหมดก็ต้องไปเริ่มใหม่อีกแล้วสินะ แล้วทำไมต้องตกใจขนาดนั้นด้วยล่ะ 

 

” ธ-เธอเป็นใครน่ะ ! ” เอ๋ ? เหมือนจะตกใจที่เห็นฉันมากเลยนะคะเนี่ย อ่อแบบนี้นี่เอง ! ตอนนี้ฉันสวมผ้าคลุมสีดำที่คลุมตั้งแต่หัวจรดเท้า แถมยังปิดหน้าปิดตาอีกด้วย คงไม่แปลกที่จะโดนคนน่าสงสัยแบบนี้ทักถามสินะ 

 

” ฉันไม่ใช่คนน่าสงสัยหรอกนะคะ พอดีเห็นกำลังลำบากก็เลยอยากจะช่วยน่ะค่ะ ” ไม่รู้ว่าการแก้ตัวแบบนี้จะพอช่วยให้คุณป้าแม่ค้าเบาใจได้หรือเปล่า แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคิดอ้อมค้อมกันแล้วค่ะ ฉันจะต้องรีบไปตามหาจูน่าจังเพราะอย่างนั้นเลยคิดว่ารีบ ๆ ช่วยคุณป้าให้เสร็จแล้วตามหาจูน่าจังต่อ 

 

” งะ-งั้นเหรอ ! ขอบใจนะจ๊ะ พอดีไม่มีคนช่วยเก็บข้าวของน่ะ ” เห็นแค่นี้ก็รู้แล้วล่ะค่ะ ดูเหมือนว่าคุณป้าจะไม่มีลูกหลานคนไหนมาช่วยเลย บางทีลูกหลานอาจจะไม่ได้อยู่ที่เมืองนี้ก็เป็นได้ ฉันที่คิดพลางหาคำตอบช่วยคุณป้าขนข้าวของที่มากมายก่ายกองขนใส่ตะกร้าขนาดใหญ่ 

 

ผ่านไปประมาณ 2-3 นาทีก็เสร็จ ที่จริงแล้วถ้าตั้งใจทำจริง ๆ โดยไม่ทำของหล่นเอาหล่นเอาแบบคุณป้าคงจะเสร็จไปนานแล้วล่ะค่ะ แต่เพราะคุณป้าเอาแต่รนก็เลยไม่ได้กลับสักที เมื่อช่วยเก็บข้าวของเสร็จแล้วคุณป้าก็ยกตะกร้าที่ทำจากเส้นใยไม้ขึ้นรถเข็นลักษณะเหมือนคนเข็นที่ใส่สำหรับขนน้ำจากลำธารของคนสมัยก่อนนั่นแหละค่ะ 

 

” ขอบคุณมากนะคุณหนูช่วยได้มากเลยล่ะ ถึงจะไม่มีของมีค่าตอบแทน แต่ถ้าเกิดว่าพวกมอนสเตอร์หยุดอาละวาดแล้วล่ะก็ แวะมาที่ร้านของฉันได้นะ ” คุณป้าส่งยิ้มพร้อมกับหยิบยื่นความหวังดีมาให้ ถึงที่จริงฉันจะไม่ได้ต้องการอะไรตอบแทนเลยก็เถอะค่ะ เพียงแค่อยากจะช่วยเฉย ๆ ก็เท่านั้นเอง ฉันได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ และก้มหัวให้อย่างสุภาพ 

 

เอาล่ะช่วยคุณป้าเสร็จแล้วคราวนี้ ได้เวลาตามหาจูน่าจังต่อแล้วค่ะ ในขณะที่จะบอกลาคุณป้าแล้วหันหลังวิ่งนั้น จู่ ๆ คุณป้าก็พูดสิ่งที่ทำให้ฉันต้องเบิกตากว้าง 

 

” หวังว่าแม่หนูน้อยคนนั้นจะกลับถึงบ้านแล้วนะ ” เอ๋ ? อะไรนะคะ แม่หนูน้อยงั้นเหรอ คำสรรพนามที่เอ่ยขึ้นมาจากปากของคุณป้าแม่ค้าทำฉันที่กำลังจะออกวิ่งถึงกับชะงักกันไปเลยทีเดียวค่ะ 

 

” คุณป้า ! แม่หนูน้อยที่ว่ารูปร่างยังไงคะ ! ” ด้วยความที่ถูกฉันพุ่งคำถามเข้าใส่อย่างกะทันหัน คุณป้าเลยเอนหลังไปข้างหลังราวกับตกใจ ต้องขอโทษด้วยนะคะ แต่ตอนนี้ข้อมูลนั้นน่าจะเป็นประโยชน์กับฉันอย่างมาก ต่อให้เสียมารยาทยังไงก็ต้องถามไว้ก่อนค่ะ ! 

 

” เอ๋ !? ก็ตอนที่พวกพ่อค้าแม่ค้าพากันเก็บข้าวของวุ่นวายกันเพราะเสียงเตือนภัย จู่ ๆ ก็เห็นเด็กผมสีน้ำตาล วิ่งไปทางประตูทิศตะวันออกแถมยังมีทหารจากเมืองหลวงวิ่งไล่ตามไปด้วยน่ะนะ ” 

 

… ชัวร์ป้าบ !!!! จูน่าจังไม่ผิดแน่นอนค่ะ ! แล้วไปทำอีท่าไหนถึงได้โดนทหารไล่ตามได้กันค่ะเนี่ย จูน่าจังไปทำอะไรไว้งั้นเหรอคะ หรือว่าจะขโมยขนมร้านค้ากิน หรือจะไปแกล้งลูกคนอื่นเขาหรือเปล่านะ จะยังไงก็เถอะตอนนี้ต้องรีบตามไปแล้วล่ะค่ะ เพราะถ้าไม่อย่างนั้น จูน่าจังอาจจะอยู่ในอันตรายก็ได้ 

 

” ถ้าหากปลอดภัยก็คงดีอยู่หรอก เพราะตอนแรกนึกว่าจะออกประตูเมืองซะอีก ได้ยินมาว่ามอนสเตอร์บุกมาทางประตูทิศตะวันออกด้วยสิ ” คำพูดที่ราวกับฟ้าผ่าใส่หัวของฉันจนสมองเหมือนจะย้อนระลึกถึงคำบอกเล่าของคุณแอนนาก่อนที่จะออกจากโรงแรมมาตามหาจูน่าจังได้ 

 

แย่แล้วค่ะ !! ถ้าหากจูน่าไปทางประตูเมืองทิศตะวันออกละก็ อาจจะถูกมอนสเตอร์ทำร้ายเอาก็ได้ หรือไม่ก็อาจจะถูกลูกหลงจากการต่อสู้ของนักผจญภัยกับมอนสเตอร์ก็เป็นได้ค่ะ ! ไม่มีเวลาแล้ว ต้องรีบแล้วค่ะ ! 

 

” คุณป้าคะ !! ประตูเมืองทิศตะวันออกไปทางไหนเหรอคะ !!? ” ฉันเค้นถามคำถามกับคุณป้าอย่างเอาเป็นเอาตายจนดูน่ากลัว แต่ดูเหมือนว่าเพราะคุณป้าพอจะเดาออกว่าเด็กผู้หญิงผมสีน้ำตาลคนดังกล่าวน่าจะเกี่ยวข้องกับฉันก็ได้ จึงได้บอกทางไปประตูทิศตะวันออกโดยไม่ถามอะไรต่อ 

 

” จะ-จากตรงนี้ก็เดินไปที่หัวมุมตรงนั้นแล้วก็เลี้ยวซ้ายตรงไปตลอดจ๊ะ ” คุณป้าบอกทางอย่างติด ๆ ขัด ๆ เหมือนจะยังตั้งตัวไม่ทันที่ฉันเข้ามาถามอย่างไม่ทันตั้งตัว แต่แค่นั้นก็ขอบคุณมากแล้วค่ะ 

 

” ขอบคุณมากค่ะ ! ไว้จะมาตอบแทนให้นะคะ ! ” ฉันที่พูดแล้วก็ออกวิ่งทันทีโดยไม่ได้หันไปมองคุณป้าแม่ค้าอีกเลย 

 

แต่แล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่าถ้าเอาแต่วิ่งไปละก็อาจจะไม่ทันก็ได้ ฉันจึงใช้เวทย์ ‘เหินฟ้า’ บินขึ้นไปบนท้องฟ้าเหนือเมืองที่ตอนนี้ไม่มีแม้แต่แสงแดด มีแต่ก้อนเมฆก้อนสีเทาที่บดบังแสงอาทิตย์สนิท แต่เหมือนแรงลมที่พัดอย่างรุนแรงในระหว่างที่บินขึ้นไปทำให้ผ้าคลุมสีทำที่คุณแอนนาให้ยืมมาปลิวหลุดออกไปจากตัวฉัน อ๊ะ ! แย่แล้ว แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาห่วงผ้าคลุมค่ะ ยังไงตอนนี้จูน่าจังก็ต้องมาก่อน 

 

ทันใดนั้นก็บินไปในทิศทางที่คุณป้าบอกให้อย่างรวดเร็ว และฉันยังใช้สกิลเวทย์ ‘ นัยน์ตาเหยี่ยว ‘ ที่ช่วยเพิ่มค่าสเตตัส DEX ใส่ตัวเองแต่ที่หวังผลจริง ๆ ไม่ใช่ในเรื่องของค่าสเตตัสค่ะแต่เป็นผลลัพธ์ใหม่ที่ได้รู้ตอนทดสอบสกิลเวทย์ที่บึงน้ำ นั่นก็คือเพิ่มระยะการมองเห็นนั่นเอง 

 

เมื่อบินด้วยความเร็วสูงไปได้ระยะหนึ่งก็เริ่มมองเห็นแล้วค่ะ ประตูเมืองทิศตะวันออกที่ตอนนี้เต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตมากมายไม่ว่าจะเป็นคนหรือมอนสเตอร์ก็ตาม แน่นอนว่าคนที่อยู่นอกประตูเลยไปประมาณ 100 เมตรน่าจะเป็นเหล่านักผจญภัย แต่ดูเหมือนจะจำนวนน้อยเกินไปหน่อยนะคะเนี่ย 

 

กลับกันแล้วจำนวนของมอนสเตอร์เยอะกว่าเป็นไหน ๆ อาจจะมากกว่าเกินสิบเท่าด้วยซ้ำไปค่ะ ! แล้วแบบนี้จะไหวแน่เหรอคะเนี่ย ! หนำซ้ำนักผจญภัยส่วนใหญ่ยังบาดเจ็บจนไม่สามารถต่อสู้ได้แล้ว บางคนถึงกับได้รับบาดแผลสาหัสจนเลือดอาบ ดูเหมือนสถานการณ์จะแย่นะคะแบบนี้ 

 

ในส่วนของประตูเมืองเข้ามาก็จะเป็นทหารหลวงที่ตั้งกองกำลังรออยู่ข้างใน ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงไม่ออกไปช่วยนักผจญภัยแต่อาจเพราะว่าคอยป้องกันตัวเมืองภายในก็เป็นได้ค่ะ ถ้าหากคิดตามนั้นก็สมเหตุสมผล แต่ถ้าตัดสินดูจากสถานการณ์ตอนนี้ละก็ ถ้านักผจญภัยหมดแรงกันหมดละก็ ทหารหลวงคงเป็นรายต่อไปที่จะต้องต่อกรกับมอนสเตอร์จำนวนหลายร้อยตัวเป็นแน่ค่ะ 

 

แต่เหมือนฟ้าประทานทั้งโชคดีและโชคร้ายมาให้กับฉัน ดวงตาของฉันที่ตอนนี้ถูกเสริมกำลังระยะการมองเห็นด้วยสกิลเวทย์ ‘ นัยน์ตาเหยี่ยว ‘ ได้เห็นสิ่งมีชีวิตตัวเล็ก ๆ ที่รูปร่างเป็นเด็กผู้หญิงอายุประมาณ 7-8 ขวบผมสีน้ำตาลหน้าตาน่ารักกำลังยืนปกป้องนักผจญภัยที่ตอนนี้บาดเจ็บนอนล้มอยู่กับพื้น แถมยังอยู่แนวหน้าอีกด้วย 

 

ไม่เพียงเท่านั้นยังมีคนที่มีลักษณะหูแปลก ๆ ไม่เหมือนมนุษย์ที่ดูเป็นศัตรูกำลังร่ายเวทย์ ‘ ลูกบอลเพลิง ‘ ราวกับกำลังจะโจมตีใส่จูน่าจังเลยค่ะ …

 

แย่แล้ว !!!!!! อะไรกันคะเนี่ยยย !!! จูน่าจางงง ไหงไปอยู่กลางวงสงครามแบบนั้นได้ละคะ ! ตอนแรกที่ได้ยินว่าวิ่งไปทางประตูเมืองทิศตะวันออกก็กังวลจะแย่อยู่แล้วแต่นี่เล่นไปอยู่ในกลางวงจุดปะทะเลยงั้นเหรอคะ !! แล้วนั่นมันอะไรกันคะ คิดอะไรอยู่ถึงได้ไปยืนปกป้องนักผจญภัยกันคะเนี่ย !? หรือว่าเลือดผู้กล้าในตัวจูน่าจังตื่นขึ้นแล้วงั้นเหรอคะ ? ไม่สิ ตอนนี้พึ่งจะ 7 ขวบเองนะ  !

 

แล้วทำไมอีตาผมม่วงหน้าหล่อถึงได้กำลังจ้องจะกินเลือดกินเนื้อจูน่าจังแบบนั้นละคะ ! หรือโดนจูน่าจังกวนส้น- เอ๊ย กวนประสาทเข้าให้งั้นเหรอคะ ! ก็จริงอยู่นะว่าจูน่าจังชอบทำให้ฉันปวดกบาลแต่ว่าจะรังแกเด็กอายุ 7 ขวบแบบนั้น อภัยให้ไม่ได้เป็นอันขาดค่ะ ไหน ๆ ก็คิดจะช่วยจูน่าจังแล้ว งั้นก็ช่วยมันให้หมดทุกคนไปเลยแล้วกันค่ะ !! 

 

” ‘ อนาลัยเจิดจรัส ‘ !! ” ออร่าสีขาวบริสุทธิ์ที่ส่องสว่างเป็นประกายห่อหุ้มรอบตัวของฉันที่กำลังบินอยู่ท้องฟ้า ประกายแสงของออร่าที่เจิดจรัสดั่งชื่อทำให้เกิดเงาในขณะที่เวลากลางวัน สกิลเวทย์นี้คือสกิลประเภทบัฟที่ฉันมักจะใช้เวลาต้องการใช้สกิลเวทย์ใหญ่ ๆ หรือที่เน้นการร่ายเวทย์เร็ว ๆ  ค่ะ 

 

 ‘ อนาลัยเจิดจรัส ‘  เป็นสกิลเวทย์ประเภทสนับสนุนที่ใช้ใส่ตัวเองที่จะช่วยเพิ่มระยะการแสดงผลลัพธ์ของสกิลเวทย์ ให้มีอาณาเขตใหญ่ขึ้นไม่ว่าจะสกิลสายสนับสนุนหรือสายโจมตีก็ตาม และยังช่วยลดระยะเวลาร่ายเวทย์ได้ถึง 1 ใน 3 ของระยะเวลาร่ายทั้งหมดอีกด้วยค่ะ 

 

ปกติแล้วฉันมักจะใช้ตอนที่ทำสงครามแย่งชิงพื้นที่ระหว่างกิลด์ แน่นอนว่าการที่ไม่ว่าจะสกิลเวทย์สายโจมตีหรือสนับสนุนมีระยะการแสดงผลที่มากขึ้นย่อมเป็นประโยชน์กับฝ่ายตัวเองอย่างมากค่ะ แถมยังร่ายสกิลเวทย์ได้เร็วขึ้นทันตาเห็นอีกต่างหาก แต่น่าเสียดายที่สกิล ‘ อนาลัยเจิดจรัส ‘ ไม่สามารถใช้กับ ‘ มหามนตราพิสุทธิ์ ‘ ที่เป็นสกิลเวทย์ระดับสูงสุดได้ 

 

ในตอนสมัยที่อยู่ในเกมเคยมีผู้เล่นไปโวยวายกับเหล่า GM ว่า ไหน ๆ แล้วก็ช่วยทำให้ผลของสกิล ‘ อนาลัยเจิดจรัส ‘ ใช้กับ ‘ มหามนตราพิสุทธิ์ ‘ ได้ด้วยสิ แต่เหมือนว่าพวก GM จะรู้เหตุผลนั่นก็คือพวกผู้เล่นไม่อยากจะร่ายคำเบียว ๆ ตอนใช้สกิลนั่นเองค่ะ ยิ่งพวกที่ไปโวยวายคือกลุ่มคนที่บ่นเรื่องคำร่ายเบียว ๆ นั่นด้วยทำให้ GM ปฏิเสธทันที แถมยังหัวเราะชอบใจใส่ผู้เล่นอีกต่างหาก ให้ตายสิคิดแล้วก็ชวนโมโหขึ้นมาเลยค่ะ !  พวก GM เกมนี้มันสมองเพี้ยนกันไปหมดแล้วหรือยังไงคะเนี่ย !! 

 

กลับเข้าเรื่องดีกว่าค่ะ สาเหตุที่ฉันใช้ ‘ อนาลัยเจิดจรัส ‘ นั่นก็เพราะผลของสกิลที่ได้บอกไปแล้ว เนื่องจากว่าสกิลเวทย์ต่อไปที่ฉันจะใช้ ฉันต้องการใช้มันมีอาณาเขตกว้างพอที่จะครอบคลุมพวกคุณนักผจญภัยทั้งหมดนั่นยังไงละคะ ! 

 

” ‘ สาส์นแห่งชัยชนะกำเนิด ‘ !! ”  สกิลเวทย์อาณาเขตที่จะช่วยฟื้นฟูทั้ง HP , MP ทั้งยังช่วยบัฟสนับสนุนให้กับพวกพ้องในปาตี้โดยมีผลทั้งหมด 4 อย่าง นั่นก็คือ เพิ่มพละกำลัง (STR) , เพิ่มความแม่นยำ (DEX) , เพิ่มความว่องไว (AGI) และสุดท้ายคือเพิ่มความต้านทานสถานะผิดปกติทุกประเภท 50 % 

 

แน่นอนว่าปกติแล้วสกิลเวทย์นี้ไม่ได้มีระยะแสดงผลของสกิลกว้างขนาดนั้นหรอกค่ะ อย่างมากก็แค่ประมาณรัศมี 5 เมตรเท่านั้น เพราะงั้นฉันถึงได้ใช้ ‘ อนาลัยเจิดจรัส ‘ เพื่อเพิ่มระยะการแสดงผลการสกิลเวทย์นั่นเอง เพราะว่าฉันต้องการให้ครอบคลุมนักผจญภัยรวมไปถึงทหารหลวงที่อยู่หน้าประตูด้วยนั่นเองค่ะ ! แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ใช่แบบที่ฉันคิดไว้นะคะ !? ..

 

วงเวทย์ขนาดใหญ่ ที่เรียกได้ว่าโคตรจะใหญ่ถึงขนาดครอบคลุมทั้งเมืองป้อมปราการเดธวอลเลย์ กำลังลอยอยู่เหนือเมืองใต้เท้าของฉัน ลวดลายอักษรเวทย์ที่เคยเห็นในเกมถูกขยายใหญ่ราวกับใช้กล้องซูม 20X ไม่มีผิดค่ะ วงเวทย์กำลังเปล่งแสงสีขาวสว่างเจิศจ้าไปทั่วบริเวณอย่างงดงาม ราวกับพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ที่อัญเชิญเทพธิดามาจากสวรรค์เลยค่ะ 

 

What the … !!! อะไรกันคะเนี่ย !!! ไหงมันถึงได้ใหญ่แบบนี้ละคะ ! เดี๋ยวนะ นี่มันแปลกเกินไปแล้วค่า ปกติแล้วมันไม่น่าจะมีรัศมีเกิน 10 เมตรไม่ใช่เหรอคะ !? แต่นี่เล่นครอบคลุมทั้งเมืองเลยงั้นเหรอ ! นี่มันรัศมีหลายกิโลเมตรแล้วไม่ใช่หรือไงกันคะ !! เอาอีกแล้วเหรอ ! ทำไมสกิลเวทย์ของฉันพอมาถึงโลกนี้ถึงได้หลุดสามัญสำนึกไปซะทุกครั้งเลยละคะ !! 

 

ในขณะที่ฉันกำลังตกตะลึงอยู่นั่น ฉันก็บินมาถึงบริเวณเหนือหัวของพวกนักผจญภัย พูดง่าย ๆ ก็คือบินอยู่ข้างหลังจูน่าจังเล็กน้อยนั่นเองค่ะ เอ่อแบบนี้คงจะปกปิดตัวตนไม่ได้แล้วสินะคะ แต่เรื่องนั่นช่างหัวมันก่อนแล้วค่ะ ! ยังไงตอนนี้ก็จำเป็นต้องช่วยจูน่าจังก่อนให้ได้ 

 

ฉันที่สังเกตบริเวณรอบ ๆ นักผจญภัยทุกคนได้รับการฟื้นฟูบาดแผลกันจนหายสนิท คนที่สาหัสจนเกือบตายก็หายสนิทราวกับบาดแผลที่ผ่านมาเป็นเพียงภาพมายา ความตกใจที่แสดงออกมาทางสีหน้าของเหล่านักผจญภัยราวกับได้เห็นปาฏิหาริย์เล่นทำเอาฉันเผลอยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว ไม่รู้ทำไมเหมือนกันแต่ฉันกำลังโดนสายตาอันคุ้นเคยที่เคยโดนตอนอยู่หมู่บ้านโคลิน

 

สายตาของเหล่านักผจญภัยที่เหมือนจะศรัทธา เทิดทูน ฉันแบบแปลก ๆ เอ๋ ? เดี๋ยวนะ ไม่ได้คิดไปเองใช่ไหมคะ เหมือนตอนนี้ฉันจะเป็นเป้าสายตาทั้งนักผจญภัย ทหารหลวง หรือแม้แต่เจ้าหน้าหล่อผมสีม่วงที่กำลังจะทำร้ายจูน่าจัง แล้วทำไมบางคนถึงกับคุกเข่าให้กับฉันกันละ ! 

 

ภาพจำต่าง ๆ กำลังลอยเข้ามาในสมองของฉันอีกแล้วค่ะ !! ไม่ได้ ๆ ต้องทำเป็นไม่เห็นค่ะ ยังไงตอนนี้ความปลอดภัยของจูน่าจังก็ต้องมาก่อน ฉันที่เผลอยิ้มให้กับเหล่านักผจญภัยเพราะตลกที่ได้เห็นปฏิกิริยาตอนที่ถูกรักษาแผล หันหน้ากลับไปที่เจ้าผมสีม่วงที่ตอนนี้กำลังสั่นจนเกือบจะฉี่ราด ขาที่สั่นราวกับกำลังเต้นรำอยู่ สีหน้าที่หวาดกลัวราวกับเห็นสัตว์ประหลาด น้ำหูน้ำตาที่ไหลจนกลายเป็นแอ่งน้ำ 

 

อะไรกันคะเนี่ย ? ไอ้เจ้าหล่อเสียของคนนี้ไม่เห็นเหมือนเมื่อกี้ที่จ้องจะทำร้ายจูน่าจังเลยไม่ใช่เหรอคะ ? แต่จะยังไงก็ช่างดูแล้วไม่น่าใช่มนุษย์และที่สำคัญไม่ใช่นักผจญภัยอย่างแน่นอนเพราะมอนสเตอร์ไม่โจมตีหมอนี่เลย คิดว่าเป็นศัตรูไม่ผิดแน่ค่ะ และที่สำคัญให้อภัยไม่ได้ค่ะ !! ที่บังอาจคิดจะทำร้ายจูน่าจังเพื่อนของฉัน 

 

จงสำนึกที่ได้บังอาจมาทำร้ายคนสำคัญของฉันซะเถอะค่ะ ! ถึงฉันกำลังโกรธแต่ก็ไม่ได้ขาดสติหรอกนะคะ แน่นอนค่ะว่าฉันไม่คิดที่จะใช้ ‘ มหามนตราพิสุทธิ์ ‘ ที่เป็นสกิลเวทมนตร์ระดับสูงสุดอย่างตอนที่ทดสอบพลังครั้งก่อนหรอกนะคะ ไม่งั้นอย่าว่าแต่นักผจญภัยหรือทหารหลวงเลยค่ะ เมืองทั้งเมืองได้ถูกลบหายไปจากแผนที่โลกแน่ ๆ ที่เลวร้ายที่สุดคือจะโดนจูน่าจังด้วย 

 

อีกอย่างฉันไม่อยากจะสร้างความเสียหายให้กับป่าไม้ธรรมชาติมากด้วยเพราะงั้นจะใช้สกิลเวทย์ธาตุไฟไม่ได้เป็นอันขาดค่ะ เพราะถึงจะกำจัดมอนสเตอร์ได้แต่ถ้าเกิดภัยพิบัติไฟป่าขึ้นมาก็ไม่คุ้มอยู่ดี เพราะงั้นก็ใช้สกิลเวทย์ระดับสูงก็เพียงพอแล้วล่ะค่ะ !! 

 

” ‘ บุปผาสวรรค์เหมันต์ ‘ !!! ” สกิลเวทย์ระดับสูงสายน้ำแข็งที่มีขอบเขตสกิลกว้างที่สุดเท่าที่ฉันมี MP ของฉันถูกดึงไปใช้อย่างรวดเร็ว น้ำแข็งสีขาวบริสุทธิ์ที่มีอุณหภูมิ -200 องศาเซลเซียส กำลังแผ่ขยายเป็นวงกว้างกลายเป็นรูปดอกบัวที่แบ่งบาน 

 

เหล่ามอนสเตอร์ทั้งหมดไม่ว่าจะตัวเล็กใหญ่ถูกน้ำแข็งของกลีบดอกบัวแช่แข็งตายในทันที รวมไปถึงเจ้าหัวม่วงหล่อเสียของก็ไม่เว้นค่ะ แน่นอนค่ะว่าฉันกะระยะอย่างแม่นยำเพื่อไม่ให้ผู้บริสุทธิ์โดนลูกหลงแล้ว… แต่เดี๋ยวนะ ? ไหงน้ำแข็งที่เป็นรูปของดอกบัวบานขนาดใหญ่มันถึงไม่หยุดแผ่ขยายกันละคะ ? 

 

ไอเย็นเยือกแข็งรูปกลีบดอกบัวขยายตัวไปสู่ป่าที่อยู่หลังพวกมอนสเตอร์อย่างไร้วี่แววว่าจะหยุด รัศมีของดอกบัวบานน้ำแข็งตอนนี้น่าจะเกิน 3 กิโลเมตรไปแล้ว สภาพภูมิอากาศที่ถูกความเย็นสุดขั้วจนทำให้เกิดหิมะตกเฉพาะบริเวณที่มีดอกบัวน้ำแข็งขนาดมหึมาอยู่ จนถึงที่สุดทั้งป่าฝั่งตะวันออกก็ถูกแช่แข็งโดยมีลักษณะเป็นดอกบัวบานขนาดใหญ่ 

 

อ๊ะเระ ? …  

.

.

.

.

[ประตูทิศตะวันตกป้อมปราการเดธวอลเลย์]

 

เสียงดังกังวานของโลหะสองชิ้นที่กระทบกันหลายครั้ง เสียงสะท้อนก้องไปทั่วบริเวณทุ่งหญ้าอย่างบ้าคลั่ง ความเร็วและความรุนแรงทวีคูณมากยิ่งขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป การต่อสู้ของระดับสุดยอดของบุคคลที่ได้ชื่อว่าเป็นจุดสูงสุดของนักรบและนักผจญภัยดำเนินไปตั้งแต่ที่เริ่มเผชิญหน้ากันก็ผ่านมาสิบนาทีแล้ว หากแต่ว่านั่นไม่ใช่สิบนาทีสำหรับคนทั่วไป แต่เป็นสิบนาทีที่ยาวนานมากสำหรับสุดยอดทั้งสอง 

 

สำหรับผู้แข็งแกร่งทั้งสองแล้วสิบนาทีของการต่อสู้ถือว่ายาวนานอย่างที่ไม่ค่อยได้พบเจอ เพราะส่วนใหญ่แล้วไม่ค่อยมีศัตรูที่สามารถต่อกรกับผู้แข็งแกร่งทั้งสองได้นั่นเอง เสียงปะทะของดาบทั้งสองยังคงดำเนินต่อไปอย่างไม่รู้จบและทวีความรุนแรงมากขึ้น 

 

” เร็วซะจริงเลยนะตาเฒ่า !! ” ดันทาเลียนที่ไล่บี้เหวี่ยงดาบเล่มใหญ่กว่าขนาดตัวเองอย่างชำนาญใส่เค็นโซอย่างรวดเร็วไม่สมกับขนาดของดาบ ทั้งความเร็วและแรงฟันมหาศาลถึงขนาดแค่เฉียดผิวก็อาจจะทำให้แขนขาขาดได้เลย

 

” โฮะ ๆ ข้าควรจะเป็นฝ่ายพูดมากกว่านะแม่สาวน้อย ดาบใหญ่ขนาดนั้นแต่กลับตามความเร็วของข้าได้ ช่างน่าประทับใจจริงๆ ” เค็นโซพูดชื่นชมคู่ต่อสู้ในขณะที่กำลังหลบการโจมตีและสวนการโจมตีกลับไป แต่อีกฝ่ายเองก็ปัดป้องการฟันของเค็นโซได้อย่างไม่ยากเย็นนัก แม้ว่าเค็นโซจะมีฟันด้วยความเร็วในระดับที่แม้แต่นักผจญภัยระดับ A ไม่มีทางจะมองเห็นได้เลยแม้จะสายตาดีขนาดไหนก็ตาม 

 

ความแข็งแกร่งของทั้งสองเป็นของจริง แต่สิ่งที่น่าจะประทับใจในตัวดันทาเลียนที่เค็นโซคิดไม่ใช่แค่แข็งแกร่งเพียงอย่างเดียว แม้ว่าถ้าวัดกันในเรื่องของความเร็วจริง ๆ แล้วเค็นโซดูจะเหนือกว่าอย่างแน่นอน แต่แล้วดันทาเลียนกลับสามารถปัดป้องกระบวนดาบของเค็นโซได้ทั้งหมด ดาบเล่มใหญ่ที่ไม่สมกับขนาดตัวเป็นได้ทั้งอาวุธและก็โล่ในเวลาเดียวกัน 

 

ในขณะเดียวกันดันทาเลียนก็นึกชื่นชมเค็นโซเช่นเดียวกัน ความแก่ชราที่แสดงออกมาทางรูปลักษณ์ไม่ได้สัมพันธ์กับความสามารถเลยสักนิด ความรวดที่ยิ่งยวดที่น่าจะเร็วที่สุดที่ในบรรดาศัตรูที่ดันทาเลียนเคยพบเจอคงเป็นเค็นโซอย่างแน่นอน หน้ำซ้ำความเฉียบคบและท่วงท่ากระบวนดาบเองก็แม่นยำเล็งจุดตายของดันทาเลียนมาตั้งแต่เริ่มสู้กันมา แต่ด้วยความได้เปรียบที่ขนาดของอาวุธทำให้สามารถใช้ป้องกันได้อย่างไม่ยากเย็นนัก 

 

การต่อสู้ผลัดกันรุกผลัดกันรับมาได้สักพัก แต่บริเวณโดยรอบได้รับความเสียดาย ทั้งต้นไม้ที่ถูกฟันจนขาดเป็นแถว พื้นที่แตกกระจายเต็มไปด้วยเศษดินและหินกระจัดกระจายอย่างกับถูกลูกระเบิดขนาดใหญ่ แรงลมกระโชกที่พัดอย่างรุนแรงจากแรงเหวี่ยงดาบของดันทาเลียนและการเคลื่อนไหวของเค็นโซพัดโชยใบหญ้าให้ไหวตาม

 

” ฮ่า ๆ สนุกจริง ๆ ตาเฒ่าสมแล้วล่ะที่เป็นถึงนัพผจญภัยระดับ S !! ” ดันทาเลียนรุกใส่เค็นโซไม่หยุด พุ่งเข้าใส่พร้อมทั้งฟันเป็นแนวทแยงพร้อมกัน 2 ครั้งเป็นรูป X อย่างรวดเร็ว ความรุนแรงนั่นทำให้เค็นโซที่รับการโจมตีไว้ด้วยดาบถึงกับถูกแรงกระแทกทำให้ปลิวออกไป แต่ก็สามารถหมุนตัวกลางอากาศลงพื้นได้อย่างสวยงาม 

 

” โฮ่ ความเร็วในการฟันเองก็ไม่ธรรมดาจริง ๆ นี่ถ้าหากว่าเป็นนักดาบคนอื่นโดนเข้าไปคงไม่รอดแน่ ๆ เลย โฮะ ๆ ” เค็นโซที่วิเคราะห์พลางเอ่ยชื่นชมในทักษะของศัตรูอย่างออกหน้า

 

” รับการโจมตีของข้าได้ยังจะมาพูดอีกนะตาเฒ่าเอ๊ย ! เมื่อกี้ก็กระโดดถอยหลังเพื่อลดแรงกระแทกจากการฟันของข้าด้วยไม่ใช่หรือไง ” ใช่แล้วเค็นโซอาศัยแรงจากการฟันที่มหาศาลของดันทาเลียนและกระโดดถอยหลังในจังหวะที่รับการโจมตีทำให้ช่วยลดภาระของแขนที่จะต้องรับแรงกระแทกมหาศาลเอาไว้ และยังสามารถทิ้งระยะห่างออกมาได้อีกด้วย 

 

ถึงแม้การต่อสู้จะดำเนินไปอย่างสูสีก็ตามแต่ว่าถ้าหากเทียบแล้ว ตอนนี้เค็นโซกำลังเสียเปรียบอยู่ซึ่งเจ้าตัวเองก็รู้ดี นั่นคือความกังวลเกี่ยวกับประตูทิศตะวันออกที่ตอนนี้พวกซูคอฟและบาซ่าและนักผจญภัยคนอื่น ๆ กำลังช่วยกันต้านมอนสเตอร์จำนวนหลายร้อยคนอยู่นั่นเอง และอีกเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กันคือเค็นโซจะหมดแรงก่อนอย่างแน่นอน 

 

ในเรื่องความสามารถและทักษะดูเหมือนเค็นโซจะเหนือกว่าอย่างไม่ต้องสงสัยแต่แน่นอนว่าย่อมมีสิ่งที่เค็นโซไม่อาจจะสู้คนหนุ่มสาวได้นั่นคือพละกำลังจะเรี่ยวแรง หากการต่อสู้ยังคงยืดเยื้อต่อไปแบบนี้ละก็เค็นโซต้องเป็นฝ่ายแพ้อย่างแน่นอน 

 

” อ้าว อ้าว ! เป็นอะไรไปล่ะตาเฒ่าการเคลื่อนไหวดูติด ๆ ขัด ๆ แล้วนะ !! ” ดันทาเลียนที่เล็งเห็นจังหวะ เข้ารุกโจมตีเค็นโซที่กำลังกังวลถึงเรื่องมอนสเตอร์ที่ประตูเมืองทิศตะวันออก 

 

ดันทาเลียนรุกเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง ดาบใหญ่ที่ฟันอย่างรวดเร็วนั้นยิ่งเพิ่มความเร็วมากขึ้นไปอีก ราวกับที่ผ่านมาราวกับยังไม่ได้เอาจริง คมดาบขนาดใหญ่ผ่านตัวของเค็นโซไปอย่างเฉียดฉิว แม้ว่าจะหลบเพื่อทิ้งระยะห่างแต่ดันทาเลียนก็กลับตามประชิดอย่างไม่ลดละอย่างกับหมาป่าที่คอยตามเหยื่ออย่างหิวกระหาย

 

(เป็นเด็กที่น่ากลัวอะไรอย่างนี้ ! เร็วยิ่งกว่าเมื่อกี้อีกงั้นหรือ ) 

 

เค็นโซที่ตอนนี้เน้นหลบหลีกเป็นหลักและรอคอยหาจังหวะเพื่อสวนกลับ ความกังวลและความเหนื่อยล้าเริ่มกัดกินร่างที่แก่ชราของเค็นโซทีละน้อย แต่แล้วคำพูดของดันทาเลียนยิ่งทำให้ความวิตกกังวลของเค็นโซยิ่งทวีหนักขึ้นไปอีก 

 

” โอ๊ะ ! ข้าลืมบอกเจ้าสินะ ว่าข้าช่วยเจ้าปีศาจลิ่วล้อนั่นหามอนสเตอร์มาเพิ่มด้วยนะ คราวนี้คงเกือบจะพันด้วยได้มั้ง ฮ่า ๆ ” ดันทาเลียนที่พูดจาราวกับคาดเดาความกังวลของเค็นโซออก ยิ่งมุ่งเน้นย้ำเข้าไปราวกับตอกตะปูเข้าจุดเดิม 

 

” โฮะ ๆ ถ้าอย่างนั้นข้าคงจะอยู่เล่นที่นี่กับเจ้าไม่ได้แล้วสินะ ” เค็นโซเค้นเสียงในลำคออย่างเหลืออด ในวินาทีนั้นบรรยากาศรอบตัวของเค็นโซก็เปลี่ยนไป แววตาของชายชราที่ตอนแรกดูขี้เล่นเปลี่ยนมาจริงจังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เค็นโซเก็บดาบเข้าไปในฝักที่มีรูปร่างเป็นไม้เท้า การเตรียมกระบวนท่าราวกับจะฟันเพลงดาบในชั่วพริบตา กระบวนท่าที่เน้นอาศัยความเร็วเป็นหลักและความเฉียบคมที่เป็นเลิศ 

 

” เห ? อิไองั้นเหรอ สมแล้วที่เป็นผจญภัยระดับ S ใช้วิชาระดับนั้นได้ด้วยสินะ ” ดันทาเลียนเห็นการตั้งท่าที่เคยเห็นมาก่อนแล้ว แน่นอนว่าวิชาอิไอเป็นวิชาที่เน้นความเร็วในการฟันครั้งเดียวอย่างมหาศาลทั้งยังเป็นวิชาที่ฝึกได้ยาก เพราะไม่ใช่แค่การเหวี่ยงแขนเท่านั้น แต่ต้องใช้แรงตั้งแต่ขา สะโพก ไปจนถึงหัวไหล่ เรียกได้ว่าแม้แต่นักรบชั้นยอดก็ยากที่จะฝึกสำเร็จ แต่ของเค็นโซกลับไม่ใช่แค่นั้น 

 

ออร่าสีแดงจาง ๆ กำลังห่อหุ้มรอบตัวของเค็นโซเอาไว้ราวกับเป็นเกราะคุ้มกัน แต่ว่านั้นไม่ใช่เกราะอย่างที่คิดแต่เป็นสกิลทักษะสายนักดาบหรือนักรบที่เรียกว่านิสัยใช้กันมาก แต่ระดับก็จะขึ้นอยู่กับการฝึกฝนและความแข็งแกร่งของผู้ใช้เช่นกัน นั่นคือ ‘ สมาธิ ‘ แต่สิ่งที่เค็นโซใช้เรียกได้ว่าเป็นขั้นที่สูงกว่า ‘ สมาธิ ‘ ของนักดาบทั่วไปหลายขุมเลยทีเดียว 

 

” โห !? ‘ เพ่งจิตอัตตา ‘ งั้นหรือ น่าสนใจดีนี่ ” 

 

ทักษะที่เค็นโซใช้นั้นคือ ‘ เพ่งจิตอัตตา ‘ ทักษะที่จะช่วยรวบรวมสมาธิขั้นสูงให้แก่ผู้ใช้ นับว่าเป็นทักษะที่ตอนนี้มีเพียงนักดาบระดับตำนานอย่างเค็นโซเท่านั้นที่ใช้ได้ แต่แล้วแสงสีแดงจาง ๆ ลักษณะเดียวกันก็กำลังห่อหุ้มร่างของดันทาเลียนด้วยเช่นกัน แน่นอนว่าดันทาเลียนที่ได้ชื่อว่าเป็นราชันย์ผู้บัญชาการกองทัพปีศาจก็ย่อมใช้ได้ด้วยเช่นกัน 

 

” โฮะ ๆ เจ้าก็คิดเหมือนข้างั้นหรือ ” เค็นโซที่เห็นดันทาเลียนใช้ทักษะเดียวกับตนถึงกับหัวเราะออกมา แน่นอนว่าทั้งคู่ตั้งใจจะจบการต่อสู้ที่ดำเนินมานานเสียที จงใจที่จะตัดสินใจกระบวนท่าเดียว เค็นโซที่ตั้งท่าเก็บดาบไว้อยู่ในฝัก และดันทาเลียนที่ใช้มือทั้งสองข้างจับดาบขนาดใหญ่เตรียมที่จะพุ่งเข้าไปอย่างสุดแรง 

 

ดวงตาทั้งสองของเด็กสาวนักรบและเฒ่าชรานักผจญภัยสบกันโดยมีเพียงสายลมพัดผ่านไป ผมสีแดงที่ปลิวไสวและผ้าคลุมสีน้ำตาลอ่อนที่ดูเก่าโบกสะบัด ในพริบตานั้นดันทาเลียนก็เหยียบพื้นอย่างรุนแรงจนพื้นแตกกระจายเป็นหลุมขนาดใหญ่ พุ่งเข้าใส่เค็นโซอย่างบ้าคลั่งราวกับพายุที่โหมกระหน่ำ ความเร็วเหนือเสียงจนทำให้เกิดคลื่นกระแทกบนพื้นดินกำลังพุ่งเข้าใส่ชายชราร่างเล็ก 

 

ในขณะเดียวกันปราชญ์นักดาบผู้ที่ยังสงบนิ่งมองเด็กสาวที่พุ่งเข้ามาตรงหน้าอย่างไม่กะพริบตา จับดาบพร้อมที่จะชักออกมาฟัน แต่แล้วในขณะที่ดันทาเลียนและเค็นโซกำลังจะกำลังโจมตีครั้งสุดท้ายเพื่อตัดสินกันอยู่นั้น 

 

” ” !!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! ” ” 

 

ทั้งสองก็ต้องหยุดลงและตกใจกับสิ่งที่สัมผัสได้ คลื่นพลังเวทย์มหาศาลขนาดที่ทั้งชีวิตไม่เคยสัมผัสมาก่อนกำลังปะทุเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ที่เมืองป้อมปราการเดธวอลเลย์ วงเวทย์ขนาดใหญ่มหึมาขนาดที่ครอบคลุมทั่วทั้งเมือง ลวดลายสัญลักษณ์และตัวอักษรเวทย์ที่ไม่เคยเห็นปรากฏอยู่บนดวงตาของทั้งคู่ที่หันกลับไปมองที่เมือง แสงสีขาวเจิศจ้าที่เปล่งประกายออกมาจากวงเวทย์ที่ดูราวกับแสงจากสวรรค์ ความงดงามและความศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่อาจบรรยายได้ อยู่เหนือสามัญสำนึกไม่ว่าจะมนุษย์หรือปีศาจ 

 

ดันทาเลียนหยุดฝีเท้าที่พุ่งไปด้วยความเร็วเหนือเสียงของตน แล้วแหงนหน้ามองท้องฟ้าที่มีวงเวทย์สีขาวสว่างเจิศจ้า แน่นอนว่า ณ เวลานี้ไม่มีความคิดที่จะโจมตีเค็นโซหรือแม้แต่จะป้องกันก็ยังไม่มี และเค็นโซเองก็เช่นเดียวกันการตั้งท่าที่เปี่ยมไปด้วยสมาธิจนถึงเมื่อครู่ก็หยุดลงอย่างเลี่ยงไม่ได้ ความตกใจที่ไม่อาจทำความเข้าใจได้กับปรากฏการณ์ตรงหน้าถูกแสดงออกมาอย่างเด่นชัดจนปิดบังไม่อยู่

 

ชีวิตที่อยู่มาหลายร้อยปีของเค็นโซไม่สามารถทำความเข้าใจกับวงเวทย์ตรงหน้าได้ แม้จะเคยสู้กับนักเวทย์มามากมายไม่ว่าจะ มนุษย์ เอลฟ์ หรือ ปีศาจก็ตาม ล้วนแต่ไม่ใช่สิ่งที่เหมือนกับวงเวทย์ตรงหน้าอย่างสิ้นเชิง 

 

(นั่นมันอะไรกัน !) 

 

เสียงบ่นพึมพำในใจของเค็นโซที่ยากจะเปล่งออกมาจากลำคอ ได้ถูกกลืนหายลงไปอย่างยากลำบาก ความวิตกและว้าวุ่นที่ตอนนี้มีมากกว่าตอนที่สู้กับดันทาเลียนเป็นไหน ๆ กำลังเกิดขึ้นกับเค็นโซ

 

(วงเวทย์นั่นมันอะไรกัน ! พลังเวทย์มหาศาลขนาดนั้น ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย ! หรือว่าจะมีคนที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าตาเฒ่าคนนี้อยู่ในเมืองอีกอย่างงั้นหรือ ! ) 

 

ดันทาเลียนที่แม้จะมีความหวาดกลัวเล็กน้อยกับคลื่นพลังเวทย์มหาศาลที่แผ่กระจายเป็นวงกว้าง พลังมหาศาลที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน แม้กระทั่งราชันย์ผู้บัญชาการกองทัพปีศาจที่เป็นสายนักเวทย์ก็ยังเทียบไม่ติด ความตื่นเต้นที่กระตุ้นความกระหายการต่อสู้ของดันทาเลียนยิ่งเพิ่มมากขึ้น 

.

.

.

 

[ประตูทิศตะวันออกป้อมปราการเดธวอลเลย์]

 

ความสงสัยและความตกใจที่ตอนนี้กำลังจู่โจมใส่พวกซูคอฟและบาซ่าอย่างไม่ทันตั้งตัว ใครจะคิดกันละว่าเด็กสาวน่ารักวัย 7-8 ขวบจะออกมาในสถานที่ที่อันตรายแบบนี้ 

 

สถานการณ์แบบนี้นับเป็นสถานการณ์เลวร้ายสำหรับเหล่านักผจญภัยอย่างถึงที่สุด เพราะเวลาต่อสู้กับมอนสเตอร์แล้วมีชาวเมืองหรือคนทั่วไปอยู่ด้วยละก็ ไม่ต่างกับการมีตัวประกันเลยก็ว่าได้ หนำซ้ำยังเป็นเด็กสาวตัวเล็กน่ารักแบบนี้ด้วย ทำให้สถานการณ์ยิ่งแย่ขึ้นกว่าเดิม แน่นอนว่านั่นเป็นเพียงในความคิดของพวกบาซ่าเท่านั้น 

 

เหล่าทหารหลวงที่วิ่งไล่ตามเด็กสาวมาก็ร้อนรนอย่างมาก เพราะการที่ปล่อยให้ประชาชนคนทั่วไปหลุดจากการควบคุมจนเกิดอันตรายถือว่าความล้มเหลวของหน้าที่ที่ไม่อาจอภัยได้ ยิ่งถ้าเป็นเด็กสาวแบบนี้ยิ่งแล้วใหญ่ 

 

” แม่หนูไม่ได้นะ ที่นี่มันอันตรายรีบกลับไปที่เมืองเร็ว ! ” ซูคอฟที่รับหน้าเข้าไปหาเด็กสาวตัวเล็กผมสีน้ำตาลอย่างเป็นห่วง แน่นอนว่าในฐานะกิลด์มาสเตอร์แล้วจะปล่อยให้มีประชาชนคนทั่วไปบาดเจ็บการมอนสเตอร์ไม่ได้เด็ดขาด 

 

” ไม่ได้เป็นไรค่ะ ! ให้หนูอยู่ที่นี่ด้วยค่ะ ! ” เด็กสาวพูดอย่างมั่นใจพลางยกมือสองข้างขึ้นมาราวกับเตรียมใจสู้มาแล้ว ซูคอฟและคนอื่น ๆ ที่เห็นไม่เข้าใจกับการกระทำของเด็กสาว 

 

” ไม่ได้นะ ! ที่นี่ตอนนี้มีมอนสเตอร์อาละวาดบุกมาที่เมือง มันเกะกะพวกนักผจญภัย ! ” ทหารหลวงที่วิ่งตามเด็กสาวพยายามพูดและพาตัวเด็กสาวกลับไปแต่แล้ว เด็กสาวผมสีน้ำตาลกลับวิ่งเข้าไปหลบหลังซูคอฟและเงยหน้าขึ้นพูด 

 

” ทุกคนค่ะ จงเชื่อมั่นและศรัทธาในท่านโนเอลร่าสิคะ ! ” จู่ ๆ เด็กสาวตัวเล็กน่ารักก็พูดอะไรที่ทำให้ทั้งซูคอฟและเหล่าทหารหลวงคนนั้นงงเป็นไก่ตาแตก ไม่อาจทำความเข้าใจได้แม้แต่นิดเดียว 

 

คำถามแรกที่พุ่งเข้ามาในหัวของทุกคนที่ได้ยินคือ ใครคือโนเอลร่า เด็กคนนี้กำลังพูดถึงใครกันแน่ ? แล้วทำไมสาวน้อยคนนี้ถึงให้บอกเชื่อมั่นและศรัทธาในคนที่ชื่อโนเอลร่ากันล่ะ คำถามมากมายถาโถมเข้ามาอย่างไม่หยุดในขณะที่สถานการณ์แบบนี้ ทำให้ทุกคนต่างคิดว่าเป็นเรื่องไร้สาระ 

 

” นี่แม่หนูพูดเรื่องอะไรกันน่ะ เอาเป็นว่ารีบไปจากตรงนี้ซะ ! ” ซูคอฟที่บอกปัดคำพูดของเด็กสาวอย่างไม่ไยดีพร้อมกับหันหลังมุ่งหน้าไปยังสนามรบพร้อมกับหอกคู่ใจเพื่อจัดการกับมอนสเตอร์ 

 

การต่อสู้กับพวกมอนสเตอร์ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง แม้จำนวนจะลดลงไปบ้างแต่ก็ยังติดปัญหาเกี่ยวกับมอนสเตอร์ระดับแรงค์สูงจำพวก B หรือ A ที่จัดการลงยังไม่ได้ แม้กลุ่มเหยี่ยวสีน้ำเงินจะช่วยจัดการไปบ้างแล้วแต่ก็ยังมีอยู่หลายสิบตัว เหล่านักผจญภัยที่เป็นนักเวทย์ช่วยใช้เวทย์ดินสร้างกำแพงขึ้นมาหยุดยั้งแต่ก็ยั้งไว้ได้ไม่นาน สถานการณ์ยังคงลำบากดังนั้นจึงไม่มีเวลามาดูแลเด็กสาวที่ไหนก็ไม่รู้นั่นเอง 

 

” แย่แล้ว ! พวกมอนสเตอร์อีกหลายร้อยตัวมาเพิ่มจากไหนก็ไม่รู้ !! ” เสียงของหนึ่งในนักผจญภัยตะโกนออกมาอย่างหวาดกลัว เรียกความสนใจของเหล่านักผจญภัยทั้งหมดหันตามไปกันที่นักผจญภัยคนนั้นพูดถึง 

 

ฝูงมอนสเตอร์จำนวนหลายร้อยที่มากยิ่งกว่าการอาวะลาดครั้งแรก ถ้าคาดคะเนคร่าว ๆ ก็คงไม่น้อยไปกว่า 700-800 ตัวอย่างแน่นอน ไม่ใช่เพียงเท่านั้นฝูงมอนสเตอร์ในครั้งนี้กลับมีแต่มอนสเตอร์ระดับแรงค์ C ขึ้นไปเพียงเท่านั้น หน้ำซ้ำมอนสเตอร์ระดับแรงค์ B และ A ยังมีจำนวนมากขึ้นกว่าเดิมอย่างเทียบไม่ติด 

 

ความหวาดกลัวและความสิ้นหวังถาโถมเข้ามาสู่เหล่านักผจญภัยและทหารหลวงจนทำให้แม้แต่บางคนถึงกับขาสั่นกลัวจนชะงัก เสียงคำรามของเหล่ามอนสเตอร์ที่ราวกับคำประกาศถึงการล่มสลายของเมืองป้อมปราการเดธวอลเลย์ 

 

‘ ชะ-ช่วยด้วย !! ‘ 

‘ อ้ากกกก !! ‘ 

‘ บ้าเอ๊ย !! พวกมอนสเตอร์มันมาจากไหนเยอะแยะวะเนี่ย ! ‘

 

เหล่าเสียงที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวังของนักผจญภัยที่ได้รับบาดเจ็บจากมอนสเตอร์สะท้อนไปทั่วบริเวณสนามรบ เหล่านักผจญภัยที่เห็นจังหวะ ได้ช่วยเหลือพวกร่วมอาชีพของตนให้รอดตายจากมอนสเตอร์ แต่ก็ยังได้รับบาดเจ็บสาหัส เลือดที่ไหลรินออกมาเป็นปริมาณมากทำให้นักผจญภัยคนนั้นแทบหมดสติ แต่ด้วยความที่แข็งแกร่งกว่าคนทั่วไปทำให้จึงยังคงครองสติเอาไว้ได้

 

” รีบพาคนเจ็บถอยออกมาตั้งหลักเร็ว !! ” ซูคอฟที่ออกคำสั่งเมื่อพิจารณาจากสถานการณ์อย่างรอบคอบ กลุ่มนักผจญภัยเหยี่ยวสีน้ำเงินที่เปรียบดั่งเสาหลักทำการป้องกันและสกัดมอนสเตอร์เอาไว้ให้อย่างเอาเป็นเอาตาย 

 

” พวกข้าจะกันเอาไว้ให้ รีบพาคนเจ็บถอยไปเร็ว !! เบสร่า เกรย์ ฝากคุ้มกันคนอื่น ๆ ด้วย !! ” บาซ่าที่ออกคำสั่งให้กับพวกพ้องคอยปกป้องคนเจ็บที่ต่อสู้ไม่ได้อีกแล้ว เบสร่าใช้เวทมนตร์สร้างกำแพงดินที่แข็งแกร่งขนาดใหญ่ขึ้นมากัน ส่วนเกรย์แบกคนเจ็บพร้อมกันถึงสามคนในครั้งเดียวกลับมา 

 

แต่ว่าแม้จะเป็นกำแพงดินที่แข็งแกร่งขนาดไหนก็ตามแต่ด้วยจำนวนมอนสเตอร์ที่เพิ่มขึ้นถึงขนาดนี้ แถมยังระดับแรงค์ A อีกหลายสิบตัวที่มีพละกำลังมหาศาลคงกันเอาไว้ได้ไม่ถึง 5 นาทีด้วยซ้ำ แต่แล้วในขณะที่เหล่านักผจญภัยกำลังถอยไปตั้งหลักอยู่นั้น ทหารหลวงที่ไล่ตามเด็กสาวก็เห็นท่าไม่ดีจึงได้วิ่งกลับไปยังกองพลของตนเองราวกับลืมเด็กสาวตรงหน้าไปแล้ว 

 

ทหารหลวงรีบรายงานกับสิ่งที่ได้เห็นตรงหน้าให้กับผู้บัญชาการอย่างรวดเร็วทำให้เสริมการป้องกันมากขึ้นกว่าเดิม ณ เวลานี้ทุกคนต่างลืมเด็กสาวตัวเล็กกันไปหมดแล้วราวกับเด็กสาวน่ารักตรงหน้าเป็นดั่งอากาศธาตุ เหล่าคนที่บาดเจ็บถูกแบกมาไว้ที่หน้าประตูที่มีเด็กสาวกำลังยืนดูอยู่นิ่ง ๆ 

 

” อั่ก !! ” เสียงร้องโหยหวนที่เกิดจากบาดแผลขนาดใหญ่ที่เป็นลักษณะถูกกรงเล็บอันแหลมขมเฉือนเข้ากล้ามเนื้อที่ลึกมากจนเสียเลือด แต่แล้วจู่ ๆ เด็กสาวผมสีน้ำตาลก็เข้าไปกุมมือนักผจญภัยที่นอนบาดเจ็บ จนลมหายใจเริ่มอ่อนลงเรื่อย ๆ 

 

” ไม่เป็นไรนะคะ ! คุณจะต้องไม่เป็นอะไรแน่ ! ” เสียงเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงของเด็กสาววัย 7-8 ขวบ ส่งมายังนักผจญภัยราวกับคำอวยพรที่ทรงคุณค่าของช่วงสุดท้ายของชีวิต 

 

” ขะ-ข้าคงไม่รอดแล้วล่ะ ขะ-ขอบใจนะคุณ นะ-หนู ” เสียงพูดขอบคุณอันแผ่วเบาที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยเลือดบอกกล่าวกับเด็กสาวตัวน้อยราวกับมันเป็นครั้งสุดท้าย 

 

” จงเชื่อมั่นสิคะ ถ้าหากคุณลุงศรัทธาในท่านโนเอลล่ะก็ ท่านจะทรงช่วยเหลืออย่างแน่นอนค่ะ !! ” 

 

” ทะ-ท่านโนเอลเหรอ ? เขาคือใครงั้นเหรอ ” นักผจญภัยที่แม้จะบาดเจ็บสาหัสแต่ด้วยความที่เห็นแววตาเด็กสาวตรงหน้าเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าจึงได้เอ่ยถามออกไป 

 

” ท่านโนเอลเป็นเทพธิดาผู้งดงามที่ทรงเมตตาต่อผู้คนค่ะ !! ถ้าหากเชื่อมั่นและศรัทธาท่านโนเอลละก็ ! คุณลุงจะต้องปลอดภัยอย่างแน่นอนค่ะ ” คำอธิบายที่หามูลเหตุไม่ได้ของเด็กสาวที่ตนไม่รู้จักกำลังเป็นดั่งความหวังให้กับนักผจญภัยผู้บาดเจ็บ ไม่ใช่เพียงแค่คนเดียวที่เด็กสาวคุยด้วย แต่เหล่านักผจญภัยผู้บาดเจ็บหลายคนที่ได้ยินก็ต่างคิดไปอย่างเดียวกัน 

 

ถ้าหากว่าตนยอมเชื่อมั่นและศรัทธาในเทพธิดาที่ชื่อโนเอลแล้วล่ะก็ ถ้าหากมันทำให้ชีวิตของตนและชาวเมืองปลอดภัยแต่จะเป็นชีวิตหรือวิญญาณก็พร้อมจะมอบให้ ใช่แล้วสำหรับนักผจญภัยแม้ชื่อเสียง เงินทองจะสำคัญก็ตามแต่สิ่งที่สำคัญมากกว่านั้นคือชีวิตของเหล่าประชาชนที่ไม่อาจต่อกรกับมอนสเตอร์ได้ต่างหาก ความหวาดกลัวแต่ความสิ้นหวังที่ไม่ได้สู้แบบนักผจญภัยได้ สิ่งเหล่านั้นคือสิ่งที่ทำให้ยืนหยัดต่อสู้เรื่อยมา และแล้วนักผจญภัยคนนั้นก็ได้เค้นเสียงที่เปรียบดั่งแรงใจสุดท้ายออกมา 

 

” ดะ-ได้สิ ! ข้าเชื่อมั่นในเทพธิดาโนเอล ได้โปรด ได้โปรดช่วยพวกเราด้วย !! ” สิ่งที่เปล่งออกมาจากปากที่เต็มไปด้วยเลือดของนักผจญภัยวัยกลางคนที่ราวกับคนบ้า ว่ากันว่าเมื่อถึงวาระสุดท้ายของชีวิตมนุษย์เรานั้นย่อมไขว่คว้าความหวังใด ๆ ก็ตามที่อาจจะช่วยเหลือพวกตนเอาไว้ แม้จะเป็นเพียงใยแมงมุมอันบอบบางแต่ถ้าหากช่วยให้หลุดพ้นจากขุมนรกก็จะจับไว้อย่างไม่ลังเล ณ เวลานี้นักผจญภัยที่บาดเจ็บทุกคนกำลังกู่ร้อง ออกมาอย่างไม่อาย

 

‘ ทะ-ท่านเทพธิดาโนเอลสินะ ! ได้โปรดช่วยพวกเราด้วยครับ ! ‘

‘ ข้าเองก็เอาด้วย ได้โปรดช่วยเหลือชาวเมืองด้วยเถิดครับ ! ‘ 

‘ ช่วยมอบความเมตตาให้กับพวกฉันด้วยเถอะค่ะ !! ‘ 

 

เสียงที่ราวกับคำวิงวอนศรัทธาที่มีต่อเทพธิดานามว่า โนเอล กำลังสะท้อนกังวานไปด้วยบริเวณหน้าประตูเมืองป้อมปราการเดธวอลเลย์ แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดที่ทำให้ความสิ้นหวังของเหล่านักผจญภัยต้องดับสลายลงอีกครั้งก็มา 

 

‘ ตูมมมมมมมมมมมมม !!!!! ‘ 

 

กำแพงดินที่แข็งแกร่งของเบสร่าถูกทำลายย่อยยับ แต่ครั้งนี้ไม่ใช่จากฝีมือของมอนสเตอร์แต่กลับเป็นเวทมนตร์ของใครบางคน เมื่อตกใจและหวาดวิตกกลับมาจู่โจมใส่เหล่านักผจญภัยอีกครั้งโดยเฉพาะ เบสร่าที่ต้องตกใจกับเวทมนตร์ของตนถูกทำลายด้วยเวทมนตร์ปริศนา เมื่อควันและฝุ่นละอองจางหายไปก็พบกับบุคคลที่เป็นต้นเหตุของความหวาดกลัวครั้งใหม่ 

 

ชายที่มีหูผิดแปลกไปจากมนุษย์ ไม่ใช่ทั้งเอลฟ์ และเผ่าอื่น ๆ ผมสีแทนที่ดูเข้มผมยาวสีม่วงที่ดูเลียบสวยจนถึงบ่า ชุดสีดำที่คลุมทั้งตัวราวกับนักเวทย์ และรอยยิ้มที่แสดงถึงความดีใจและชัยชนะตรงหน้า ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นรู้ได้ทันทีว่าคือเผ่าปีศาจอย่างแน่นอน 

 

” ฮ่า ๆ ๆ ๆ เจ้าพวกมนุษย์สกปรก ! ดิ้นรนต่อต้านไปก็เปล่าประโยชน์ !! ” เผ่าปีศาจรูปงามผมสีม่วงที่ตอนนี้หัวเราะอย่างบ้าคลั่งจนทำได้ใบหน้าที่ดูรูปงามย้อมไปด้วยความน่ากลัว 

 

” เผ่าปีศาจเหรอ ! เป็นฝีมือพวกแกจริง ๆ ด้วยสินะ !! ” บาซ่าที่อยู่ในแนวหน้าสุดเมื่อเห็นเผ่าปีศาจที่เป็นประเด็นในตอนที่ประชุมกับซูคอฟ จึงสรุปที่ว่าของเรื่องทั้งหมดได้ในทันที 

 

” ฮ่า ๆ รู้ตัวกันด้วยงั้นเหรอ ? แต่ก็สายไปแล้ว ข้าจะทำลายเมืองของพวกแกและเลื่อนขั้นเป็นราชันย์ผู้บัญชาการปีศาจซะ ฮ่า ๆ ๆ ขอบคุณพวกแกมาก ๆ ที่มาเป็นเหยื่อให้กับแผนการของข้า !!! ” 

 

เสียงหัวเราะและคำขู่ที่อีกไม่นานจะเป็นความจริงเข้ากัดกินความหวังของทุกคนที่อยู่ในบริเวณนั้นอย่างหมดสิ้น เพราะทุกคนทราบดีถึงพลังและความต่างชั้นของต่อตนตรงหน้า เวทมนตร์ที่สามารถทำลายกำแพงดินที่แข็งแกร่งราวเหล็กกล้าได้อย่างง่ายดายแน่นอนว่าย่อมแข็งแกร่งไม่ผิดแน่นอน อย่างน้อย ๆ จะต้องเหนือกว่าเบสร่าไม่มีผิด 

 

แต่แล้วในความสิ้นหวังที่แผ่ขยายเป็นวงกว้างกลับมาเด็กสาวตัวน้อยก้าวเดินมาอย่างไม่เกรงกลัว แววตาที่ไม่ยอมแพ้แต่กลับกันเปี่ยมไปด้วยความหวังที่ไม่มีวันถูกดับ ใบหน้าที่น่ารักแต่เต็มเปี่ยมไปด้วยความกล้าหาญเป็นสีหน้าของวีรสตรีในอนาคตก็ไม่ปาน 

 

” แม่หนู ไม่ได้นะ ! กลับมา ! ” เสียงของซูคอฟดังขึ้นไล่หลังเด็กสาวไป บาซ่าที่ดูแนวหน้าหันกลับมาดูด้วยความตกใจ เด็กสาวน่ารักที่ตอนแรกถูกทหารหลวงไล่มากลับมายืนเผชิญหน้าอย่างไม่เกรงใจต่อหน้าเผ่าปีศาจที่แข็งแกร่งขนาดนักผจญภัยแรงค์ A ก็ยากที่จะต่อกร 

 

” หา ? ยัยหนูอยากตายเป็นคนแรกหรือไง ? ” เผ่าปีศาจผมสีม่วงที่ดูจะงงกับสถานการณ์ไม่ต่างไปจากเหล่านักผจญภัยที่เป็นศัตรู เพราะไม่คิดว่าจะมีมนุษย์เด็กตัวเล็กที่กล้าหาญถึงขนาดเผชิญหน้ากับตนตรง ๆ 

 

” คุณปีศาจน่ะ ไม่มีทางสมหวังได้หรอกค่ะ !!! ” เด็กสาวน่ารักผมสีน้ำตาลตรงหน้าตะโกนออกไป 

 

” หา !!!? ไม่มีทางสมหวังงั้นเหรอ ! ยัยหนูกล้าดีนี่ งั้นข้าจะส่งเจ้าไปอยู่กับเทพธิดาก่อนคนแรกเลยแล้วกัน !! ” อิลตัสที่กำลังจะร่ายเวทย์เพื่อสังหารเด็กผู้หญิงตรงหน้า เปลวไฟที่ก่อตัวเป็นทรงกลมขนาดเท่าลูกบอลขึ้นที่มือของอิลตัส แต่ในขณะที่กำลังจะโจมตีใส่เด็กสาวมนุษย์นั้นเอง 

 

” หา !!??? ” 

” ” !!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! ” ” 

 

แสงสีขาวสว่างเจิศจ้าปรากฏขึ้นบนหัวของเหล่านักผจญภัย และในทันใดนั้นวงเวทย์ขนาดมหึมาที่ใหญ่ถึงขนาดครอบคลุมทั่วทั้งเมืองก็ปรากฏขึ้นตามหลังแสงสีขาวเพียงชั่วพริบตา ลวดลายสัญลักษณ์และอักษรโบราณที่ไม่อาจทำความเข้าใจได้ลอยอยู่บนท้องฟ้าเหนือเมืองป้อมปราการเดธวอลเลย์ ประกายแสงสีขาวที่ดูศักดิ์สิทธิ์และงดงามราวกับภาษาของเหล่าทวยเทพ วงเวทย์ที่เหนือสามัญสำนึกของมนุษย์และปีศาจ ความสูงส่งที่ไม่อาจแตะต้องได้ไม่ว่าจะมนุษย์ เอลฟ์ ปีศาจ หรือเผ่าใด ๆ ก็ตาม 

 

” บอกแล้วนิคะ !! ว่าคุณปีศาจไม่มีทางสมหวังได้หรอก เพราะท่านโนเอลมาแล้วยังไงล่ะ !! ” 

 

รอยยิ้มของเด็กสาวที่ตอนนี้ดูแข็งแกร่งยิ่งกว่าที่ผ่านมา ความมั่นใจในสีหน้าและแววตาของเด็กสาวที่สื่อถึงชัยชนะอย่างขาดลอย 

 

นั่นก็คือ คำวิงวอนและความศรัทธา ที่เหล่านักผจญภัยทั้งหลายได้ช่วยกันร้องขอนั้นส่งไปถึงเจ้าตัวแล้วนั่นเอง ไฮเอลฟ์ผมสีขาวยาวอันงดงามราวกับแพรไหมอันสว่างบริสุทธิ์ ดวงตาสีน้ำเงินอันลึกล้ำราวกับมองเห็นทุกสิ่งและความเป็นไปของโลก ประกายแสงออร่าสีขาวที่ดูศักดิ์สิทธิ์ที่กำลังห่อหุ้มตัวตนที่ดูงดงามราวกับเทพธิดา กำลังลอยอยู่เหนือเมืองบนท้องฟ้า 

.

.

.

.

ข้อมูลข่าวสารเป็นสิ่งที่เปรียบได้ดั่งอาวุธที่ทำให้สามารถรับมือกับศัตรูได้อย่างทันท่วงที ไม่ว่าจะเพื่อบุกหรือตั้งรับก็ตามและแน่นอนว่าผู้ที่คอยทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลนั่นก็เปรียบดั่งผู้ที่มอบอาวุธที่สำคัญให้กับกองทัพหรือเพื่อนพ้อง แต่ตอนนี้ความร้อนใจที่ได้เห็นสิ่งที่ไม่อาจทำความเข้าใจได้กำลังกัดกินออสเปร ผู้ที่ตอนนี้หนีมาจากป่าตะวันตกที่ตนได้ไปหาข้อมูลเกี่ยวกับมอนสเตอร์ที่หายไปอย่างปริศนา 

 

ฝีเท้าที่รวดเร็วที่ผ่านการฝึกมาเป็นอย่างดีทั้งผ่านภารกิจมาอย่างมากมาย แต่ในตอนนี้กำลังถูกใช้งานอย่างเต็มกำลังเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือนก็ว่าได้ นั่นเพราะออสเปรคิดว่าข้อมูลที่ตนได้มานั้นจะต้องรีบนำไปบอกให้บาซ่าหัวหน้าของกลุ่มเหยี่ยวสีน้ำเงินที่ตนสังกัดอยู่และกิลด์มาสเตอร์ที่เป็นผู้สั่งการในภารกิจนี้ 

 

ออสเปรที่ตอนนี้กลับมาถึงเมืองรีบมุ่งหน้าไปยังที่ทำการของกิลด์นักผจญภัยโดยด่วนที่สุด เส้นทางที่คุ้นเคยเป็นอย่างดีและสายตาที่เฉียบคมช่วยให้ออสเปรมาถึงได้เร็วกว่าที่ผ่านมา เมื่อเห็นอาคารขนาดสองชั้นเป็นลักษณะเหมือนอาคารประชุมก็รีบเข้าไปข้างใน พนักงานกิลด์สาวที่คอยทำหน้าที่บริการอยู่ที่เคาน์เตอร์ก็ส่งเสียงทักทายออสเปรอย่างสุภาพ แต่ออสเปร ณ เวลานี้กลับไม่ได้ยินใด ๆ ทั้งสิ้นและรีบมุ่งหน้าตรงไปยังชั้นสองที่เป็นห้องของกิลด์มาสเตอร์โดยไว 

 

” ลุงซูคอฟอยู่ไหม !!? ” เสียงที่ตะโกนถามอย่างร้อนรนถึงบุคคลเจ้าของห้องอย่างกิลด์มาสเตอร์ซูคอฟดังลั่นจนทำให้คนที่นั่งอยู่ภายในห้องสองคนสะดุ้งตาม ๆ กันกับเสียงตะโกนที่มาพร้อมเสียงเปิดประตูดัง ‘ปัง !’ 

 

” จะตะโกนทำซากอะไรเจ้าเด็กบ้า ! ” ซูคอฟที่ด่าสวนเด็กหนุ่มที่รีบร้อนเปิดประตูจนแทบจะพัง 

 

” ก็มอนสเตอร์ในป่าตะวันตกน่ะสิ ! ถูกฆ่าหมดเกลี้ยงเลย ! ” ออสเปรที่ตอบอย่างรวดเร็วจนเกือบจะฟังไม่เป็นภาษาบวกกับสีหน้าและท่าทีร้อนรนที่ทำเอาบาซ่าที่เป็นเพื่อนร่วมกลุ่มไม่อยากจะเชื่อกับตาด้วยเอง ที่ออสเปรที่พูดน้อยและเงียบขรึมอยู่ตลอดจะแสดงอาการแบบนี้ออกมา 

 

” ” อะไรนะ ! ” ” บาซ่าและซูคอฟที่อุทานออกมาเป็นเสียงเดียวกันเหมือนนัดกันมา ความตกใจกับสิ่งที่ออสเปรนำข้อมูลมาบอกตนเองอย่างไม่คาดคิดทำเอาทั้งคู่ตกอยู่ในภวังค์ไปครู่หนึ่งก่อนจะเป็นซูคอฟที่ตั้งสติได้ก่อนจึงเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง

 

” หมายความว่ายังไงที่ว่ามอนสเตอร์ในป่าตะวันตกตายหมดแล้วน่ะ ” เสียงที่เอ่ยถามขึ้นของซูคอฟทำให้บาซ่าได้สติกลับมาพอดี 

 

” ก็อย่างที่พูดนั่นแหละ ! ฉันลองเข้าไปในป่าแล้วก็เจอกับซากศพของมอนสเตอร์ตายเกลื่อนอย่างกับโดนเวทย์ไฟระดับสูงเผาตายในทีเดียวเลยล่ะ !! ” ออสเปรพูดอธิบายในสิ่งที่ตนได้เห็นอย่างชัดเจนราวกับภาพแห่งความทรงจำไม่เคยเลือนออกไปจากหัวของตน 

 

” กระทั่งไซคลอปส์หรือโทรลล์ก็โดนเผาตายในครั้งเดียวเหมือนกัน ! ” คำพูดที่ราวกับทิ้งระเบิดกลางวงสนทนาที่ทำเอาซูคอฟและบาซ่าเก็บอาการไม่อยู่ตอบสนองอย่างรุนแรง

 

” วะ-ว่าไงนะ ! ไซคลอปส์และโทรลล์โดนเผาตายในครั้งเดียวเนี่ยนะ ” บาซ่าที่ตกใจอุทานออกมาอย่างกับควบคุมตัวเองไม่ได้ เนื่องจากมอนสเตอร์ที่ได้ฟังเมื่อครู่เป็นมอนสเตอร์ระดับแรงค์ A ที่แม้แต่กลุ่มเหยี่ยวสีน้ำเงินของบาซ่าก็ยากที่จะปราบลงได้ แม้จะเป็นมอนสเตอร์ที่ไม่ได้มีสติปัญญาสูงอะไรแต่ก็มีทั้งพลังและอึดทนทานเป็นอย่างมาก

 

ถึงจะปราบได้แต่ก็ถือว่ายากพอสมควร ยิ่งถ้าพูดถึงโดนเวทย์ไฟเผาตายในทีเดียวคงเรียกได้ว่าแทบจะเป็นไปไม่ได้ในความทรงจำของบาซ่าเลยด้วยซ้ำ แม้แต่เบสร่าที่เป็นนักเวทย์ของกลุ่มก็ไม่สามารถปราบไซคลอปส์และโทรลล์ด้วยเวทย์ไฟในครั้งเดียวได้อย่างแน่นอน คนที่จะพอทำอย่างนั้นได้ก็คงจะมีเพียงจอมเวทย์หลวงเมอร์ริอาร์เท่านั้น 

 

ไม่สิแม้กระทั่งบาซ่าที่ได้ยินถึงชื่อเสียงของเมอร์ริอาร์ที่เป็นจอมเวทย์หลวงของอาณาจักรก็ไม่น่าจะสามารถปราบไซคลอปส์และโทรลล์ได้ในทีเดียว หากเป็นโทรลล์ที่แพ้เวทย์ไฟก็พอจะเป็นไปได้ แต่กับไซคลอปส์ที่มีความอึดอย่างมากก็ไม่น่าจะถึงกับตายในครั้งเดียวได้ 

 

” ฝีมือของใครกัน ? ” ซูคอฟพึมพำอยู่ในลำคอคนเดียวในขณะที่อยู่ในห้วงความคิดแต่แล้วก็ราวกับโดนลูกระเบิดลูกใหญ่อีกครั้งจากคำพูดบอกเล่าของออสเปร 

 

” ไม่ใช่แค่นั้น ฉันยังเจอกับมอนสเตอร์หมาป่าตัวใหญ่อีกด้วย ! ” 

 

” หา ? หมาป่าตัวใหญ่งั้นเหรอ ” ซูคอฟที่สนใจกับคำพูดของออสเปรพูดทวนลักษณะของมอนสเตอร์ที่ได้ยินออกมา

 

” หมายถึงแวร์วูล์ฟงั้นเหรอ ? ” บาซ่าที่ได้ยินเอ่ยถามออกมาเพื่อกลบความสงสัยของซูคอฟ แต่แล้วก็เหมือนจะไม่ใช่อย่างที่ทั้งคู่คาดคิด แวร์วูล์ฟเป็นมอนสเตอร์ประเภทหมาป่าที่มีระดับแรงค์ C เท่านั้นก็ออสเปรก็สามารถจัดการได้อย่างง่ายดายจึงไม่ใช่มอนสเตอร์ที่อันตรายอะไร แต่ทำไมออสเปรถึงได้พูดออกมาอย่างกับมีประเด็นสำคัญ 

 

” ไม่ใช่ ! หมาป่าสีเงินตัวใหญ่ที่น่าจะราว ๆ 4 เมตรได้ แถมยังมีลวดลายลักษณะตามตัวอีกด้วย ” 

 

” ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยนะ ว่ามีมอนสเตอร์หมาป่าแบบนั้นด้วย นี่กิลด์มาสเตอร์ท่านรู้อะไรหรือเปล่า ” บาซ่าที่คิดวิเคราะห์ลักษณะตามที่ออสเปรพูดบรรยายออกมา แต่ก็ไม่เคยเห็นว่าจะมีมอนสเตอร์หมาป่าที่ตัวใหญ่ขนาดนั้นด้วย แถมปกติแล้วแวร์วูล์ฟก็จะมีขนสีน้ำตาลไม่ใช่สีเงิน ทำให้บาซ่าคิดว่าอาจจะเป็นสายพันธุ์พิเศษหรือเปล่า จึงได้หันไปถามซูคอฟที่น่าจะมีความรู้เรื่องมอนสเตอร์มากที่สุดในกิลด์นักผจญภัยแห่งนี้ แต่แล้วสิ่งที่บาซ่าเห็นก็คือหน้าถอดสีและตัวของซูคอฟที่แข็งเป็นหินเหงื่อที่ผุดออกมาอย่างกับคนที่กำลังสั่นกลัว 

 

” ฮะ-เฮ้ย ! กิลด์มาสเตอร์เป็นอะไรไปน่ะ ” บาซ่าที่ทักถามเมื่อได้เห็นสภาพของเจ้านายของตนเองที่ราวกับกำลังฝันร้าย ลักษณะอาการและสีหน้าที่แม้แต่บาซ่าผู้เป็นทั้งลูกศิษย์และนักผจญภัยที่ร่วมงานกันมาอย่างยาวนานไม่เคยได้เห็นมาก่อน 

 

” ฟะ-เฟ็นรีร์.. ” 

 

เสียงอันแผ่วเบาของซูคอฟที่เอ่ยออกมาทำให้เสียงทั้งหมดภายในห้องเงียบกริบ แสงแดดยามบ่ายแก่ ๆ ที่สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างในห้องเป็นสิ่งเดียวที่เคลื่อนที่ก่อนจะจางหายไปและแล้วช่วงเย็นอันหนาวเหน็บที่กัดกินหัวใจของซูคอฟและเหล่านักผจญภัยแรงค์ A เหยี่ยวสีน้ำเงินก็ทำให้บรรยากาศในห้องเย็นลงอย่างที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน 

 

 

” ท่านโนเอลร่าไม่อยากจะเปิดเผยตัวตนงั้นเหรอคะ ? ” เสียงที่เอ่ยถามด้วยความสงสัยจากสาวงามผมสีฟ้าเข้มที่เข้ากับชุดของเจ้าตัวถามฉันอย่างน่ารักทีเดียวค่ะ 

 

” กะ-ก็แหม ถ้าเกิดมีคนที่รู้ว่าฉันเป็นไฮเอลฟ์ขึ้นมาละก็จะวุ่นวายนะคะ อยากจะอยู่เงียบ ๆ กับพวกคุณแอนนาและจูน่าจังน่ะค่ะ ” คงไม่ต้องสงสัยเลยค่ะว่าฉันขออะไรคุณแอนนาไป นั่นคือช่วยปกปิดเรื่องที่ฉันเป็นไฮเอลฟ์ยังไงละคะ ! สาเหตุนั่นก็คืออาจจะมีคนที่ได้รู้เกี่ยวกับตำนานของไฮเอลฟ์เหมือนกับคุณวิเวียนอยู่ก็เป็นได้ค่ะ 

 

และสิ่งที่ทำให้ฉันเรียนรู้คือ ข่าวลือเป็นสิ่งที่น่ากลัวมากเลยค่ะ มันไวอย่างกับปีศาจเลยทีเดียวเพราะงั้นฉันจะต้องหาทางป้องกันภาพจำที่ไม่อยากเจอให้ได้ค่ะแต่ทำไมไม่รู้ฉันเหมือนจะมีลางสังหรณ์ว่ามันจะไม่ได้ผล เอาก็ดีกว่าไม่ทำใช่ไหมละคะ ใช่แล้วถ้าคนเรามัวแต่กังวลมันก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอก การลงมือทำนี่แหละดีที่สุดเลยค่ะ ! 

 

แน่นอนว่าไม่ลืมที่จะบอกคุณแอนนาในตอนที่จูน่าจังหลับค่ะ สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคงหนีไม่พ้นเจ้าลัทธิตัวน้อยแน่ ๆ ค่ะถ้าหากว่าโดนการปราศรัยอันตราตรึงใจของจูน่าจังเข้าให้แล้วละก็ฉันคิดว่าอาการคงไม่ต่างจากคนในหมู่บ้านโคลินแน่ ๆ ค่ะ คิดถึงช่วงเวลานั้นแล้วทำไมฉันรู้สึกเหนื่อยขึ้นมาเฉย ๆ ละคะเนี่ย ! 

 

หลังจากที่เตรียมแผนการที่จะปกปิดตัวตนของฉันแล้วคุณแอนนาก็เอาผ้าคลุมสีดำที่สวมอยู่ยื่นให้ฉันเพื่อให้คลุมตั้งแต่หัวลงมาเลยค่ะ จริง ๆ แล้วคุณแอนนาแนะนำว่าให้ปกปิดเรื่องที่ตัวฉันเป็นไฮเอลฟ์ด้วยการบอกว่าเป็นเอลฟ์ธรรมดาจะง่ายกว่า เพราะถ้าเกิดเป็นแค่คนทั่วไปไม่มีเหตุอะไรที่ต้องปิดบังหน้าตาขนาดนี้ 

 

แต่เหมือนคุณแอนนาจะคิดเผื่อไว้แล้วว่าหน้าตาที่สวยงดงามปานเทพธิดาของฉันอาจจะทำให้เกิดปัญหาตามมาได้ เลยต้องปกปิดเอาผ้าคลุมคลุมหน้าเอาไว้ค่ะ คุณแอนนาช่างเป็นสาวสวยที่พึ่งพาได้จริง ๆ เลยค่ะ 

 

” คุณโนเอลร่าคะ ฉันคิดว่าเราควรจะพักที่เมืองนี้กันสักวันสองวันเป็นยังไงคะ ” คุณแอนนาเอ่ยถามฉันขึ้นมาหลังจากที่เตรียมเรื่องของฉันพร้อมแล้ว 

 

” เอ๋ ? งั้นเหรอคะ ฉันไม่มีปัญหาหรอกค่ะ ” ที่จริงแล้วแอบดีใจด้วยซ้ำค่ะ เพราะตั้งแต่มาที่โลกนี้ก็เอาแต่นอนในบ้านต้นไม้อย่างเดียว แถมได้แต่นอนโซฟาที่ทั้งเล็กและแคบมากด้วย ขยับตัวนิดเดียวก็เกือบจะตกแล้วค่ะ ได้เปลี่นยบรรยากาศมานอนนอกสถานที่ของตัวเองก็รู้สึกตื่นเต้นเหมือนกันนะคะเนี่ย 

 

” โอเคค่ะ งั้นเดี๋ยวเราไปที่โรงแรมของเมืองนี้กันก่อนดีไหมคะ หลังจากนั้นค่อยไปขายวัตถุดิบจากมอนสเตอร์ที่กิลด์นักผจญภัยกันค่ะ ” คุณแอนนาเสนอแนวทางการนำเที่ยวให้กับฉันอย่างชำนาญ ถ้าเปรียบเทียบในโลกปัจจุบันของฉันคงเป็นไกด์ที่ยอดเยี่ยมกระเทียมดองจริง ๆ ค่ะ 

 

หลังจากที่ตกลงแผนการเรียบร้อยแล้วก็แจ้งให้กับคุณลุงคนควบคุมม้าให้เดินทางไปโรงแรม เห็นว่าเป็นโรงแรมที่คุณแอนนามาพักบ่อย ๆ เวลามาที่เมืองป้อมปราการเดธวอลเลย์แห่งนี้ พอมาถึงฉันก็เห็นค่ะ ลักษณะเป็นโรงแรมที่สร้างจากไม้ทั้งหลังที่ให้อารมณ์เหมือนโรงเตี้ยมสมัยก่อนไม่มีผิดค่ะ ขนาดใหญ่ปานกลางและมีสองชั้นข้างหลังยังมีโรงเก็บม้าอีกด้วย

 

เมื่อเดินทางมาถึงคุณลุงคนควบคุมม้าก็ส่งพวกฉันที่หน้าโรงแรม ส่วนคุณลุงก็นำรถม้าไปข้างหลังโรงแรม จูน่าจังที่ตอนนี้งัวเงียขยี้ตาเพราะถูกบังคับให้ตื่นฉันที่เห็นสภาพนั้นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะอมยิ้มเลยค่ะ น่ารักจริง ๆ เลยนะจูน่าจังเนี่ยถ้าไม่นับเรื่องที่เผยแพร่ลัทธิอะนะ …

 

คุณแอนนาเป็นคนที่ประสานงานคุยกับเจ้าของโรงแรมเพื่อขอเข้าพักให้ค่ะ ซึ่งแน่นอนว่าเจ้าของโรมแรงเองก็จำคุณแอนนาได้เพราะมาพักบ่อยนั่นเอง โดยปกติแล้วคุณแอนนาจะมากับคุณลุงคนขับหรือไม่ก็จะมีฝ่ายยามรักษาความปลอดภัยของหมู่บ้านมาด้วยเพื่อซื้ออาวุธและชุดเกราะกลับไปที่หมู่บ้าน แต่ครั้งนี้เป็นฉันกับจูน่าจังทำให้คุณเจ้าของโรงแรมแปลกใจนั่นเองค่ะ 

 

” ตายจริงคราวนี้มากับเพื่อนงั้นเหรอจ๊ะ ” เสียงที่ดังมาจากคุณป้าร่างผอมที่ดูใจดีเอ่ยถามคุณแอนนาที่คุ้นเคยดั่งลูกสาวที่ไม่ได้เจอกันมานานเลยค่ะ คุณแอนนาเนี่ยเป็นที่นิยมในเมืองหรือเปล่านะ 

 

” ค่ะ ที่จริงแล้วท่านผู้นี้เป็นผู้มีพระคุณของฉันและหมู่บ้านของฉันน่ะค่ะ ” คุณแอนนาแนะนำฉันโดยการผายมือมาทางฉันที่ตอนนี้อย่างกับคนน่าสงสัยที่มีผ้าคลุมสีดำคลุมตั้งแต่หัวจรดเท้าเลยค่ะ หวังว่าจะไม่โดนทหารยามเข้ามาจับตัวหรอกนะ 

 

” ตายจริง งั้นเหรอจ๊ะ ขอโทษที่เสียมารยาทด้วยนะคะ ” คุณเจ้าของโรงแรมว่าแล้วที่กมหัวขอโทษอย่างสุภาพ ฉันที่เห็นดังนั้นก็รีบห้ามอย่างลนลานทันทีเลยค่ะ 

 

” มะ-ไม่เป็นไรค่ะ ! เงยหน้าขึ้นเถอะนะคะ ! ” ไม่ได้ค่ะ ๆ ทำไมต้องเป็นแบบนี้ไปซะทุกทีเลยนะ คนในโลกนี้สุภาพกันจริง ๆ เลยค่ะ แบบนี้จะมีใครที่ทำตัวเป็นกันเองกับฉันได้บ้างไหมคะเนี่ย ! 

 

” งั้นเหรอจ๊ะ ตามสบายเลยนะ คิดซะว่าเป็นบ้านตัวเองนะ ถ้ามีปัญหาขาดตกอะไรก็มาบอกฉันได้เลยนะ~ ” คุณเจ้าของโรงแรมยิ้มอย่างสดใสใจดีก่อนจะบอกกล่าวว่าทำตัวตามสบาย ก่อนที่คุณแอนนาจะได้รับกุญแจห้องมา 3 ดอก 

 

ใช่แล้วค่ะ 3 ห้องนั่นเอง โดยเป็นห้องคุณลุงคนควบคุมม้า 1 ห้อง ห้องของฉันและลูลิ 1 ห้องและ ห้องของคุณแอนนากับจูน่าจังอีก 1 ห้อง แน่นอนว่าได้ถามคุณเจ้าของโรงแรมเรียบร้อยแล้วค่ะว่าสามารถเอาสัตว์เลี้ยงเข้ามาพักด้วยได้ไหม และก็ได้รับคำตอบโดยการเข้าไปกอดลูลิอย่างกับความไวเสียงเลยทีเดียวค่ะ 

 

เหอ ๆ คนที่ได้เห็นลูลิในร่างหมาป่าตัวน้อยน่ารักสีเงินก็คงไม่วายเป็นแบบนี้กันหมดนั่นละค่ะ ก็นั่นสินะลูลิตอนนี้น่ารักจริง ๆ นั่นละ น่ารักน่ากอดจนกระทั่งคุณเจ้าของโรงแรมที่น่าจะอายุ 60 กว่า ๆ แล้วยังแสดงความเป็นเด็กออกมาแบบนี้คงคิดเป็นอื่นไม่ได้แล้วละค่ะ 

 

” หนูอยากจะนอนกับท่านโนเอลนี่คะ ! ” เสียงบ่นเล็ก ๆ จากเด็กสาวตัวน้อยเจ้าลัทธิที่เมื่อไม่ได้นอนกับฉัน ตอนนี้กำลังแก้มป่องงอนจนขึ้นสีแดงเล็ก ๆ อย่างน่ารักน่าชังเลยทีเดียวค่ะ 

 

” ไม่ได้นะจูน่าจัง มันจะเป็นการรบกวนท่านโนเอลร่านะ ” คุณแอนนาที่เหมือนจะคอยอธิบายให้เจ้าลัทธิตัวน้อยที่หวังจะได้นอนกับฉันเข้าใจค่ะ อย่างกับพี่เลี้ยงที่คอยปลอบเด็กที่ถูกคุณพ่อคุณแม่มาส่งเข้าโรงเรียนครั้งแรกเลยค่ะ 

 

” ตะ-แต่ว่าหนู… ” 

 

” จูน่าจังแบบนี้ท่านโนเอลร่าจะลำบากใจนะจ๊ะ ยังไงก็อยู่ใกล้ ๆ กันอยู่แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ได้เดินในเมืองกับท่านโนเอลร่ากันแล้วนะ ” คุณแอนนาที่พูดอย่างราวกับเสนอสิ่งใหม่ให้กับเด็กสาวตัวน้อยน่ารักที่ตอนนี้น้ำตาคลอที่หางตาเล็ก ๆ แล้ว ทำเอาฉันที่เห็นจูน่าจังในสภาพนั้นสงสารขึ้นมาจับใจเลยค่ะ แต่คุณแอนนาก็ส่งสายตามาห้ามไว้อย่างกับไม่ให้ฉันตามใจจูน่าจังยังไงยังงั้นเลยค่ะ 

 

” เข้าใจแล้วค่ะ ” จูน่าจังพยักหน้าอย่างเข้าใจ พร้อมทั้งเช็ดน้ำตาที่อยู่บริเวณหางตาเล็ก ๆ ช่างเป็นเด็กที่เข้มแข็งจริง ๆ เลยค่ะ แบบนี้จะต้องโตมาเป็นผู้หญิงที่แข็งแกร่งแน่ ๆ แต่ไม่เอาด้านที่เผยแพร่ลัทธิของฉันนะ 

 

หลังจากที่กล่อมเจ้าลัทธิตัวน้อยเสร็จแล้วเวลาที่ล่วงเลยผ่านไปจนตกเย็นซะแล้วค่ะ ดีที่โรงแรมมาอาหารให้สองมื้อคือ เช้าและเย็น ทำให้พวกฉันลงไปทานอาหารกันได้โดยไม่ต้องออกไปข้างนอก และปกติแล้วคุณแอนนาก็มักจะทานในโรงแรมเป็นปกติอยู่แล้ว แน่นอนว่าคุณแอนนาขอผลไม้ให้กับฉันโดยเฉพาะเนื่องจากฉันไม่สามารถรับสารอาหารจากอาหารปกติได้

 

แต่ฉันที่อดสงสารจูน่าจังไม่ได้ก็เลยพาลูลิไปเล่นกับจูน่าจังก่อนเข้านอนก่อนค่ะ แน่นอนว่าลูลิเองก็สนุกเช่นกันเหมือนทั้งลูลิและจูน่าจังจะเข้ากันได้ดีมาก ๆ เลยทีเดียว ทั้งคู่เล่นด้วยกันต่อไปส่วนฉันกับคุณแอนนาก็สนทนากับตามปกติ แน่นอนว่าฉันก็สอบถามข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับกิลด์นักผจญภัยที่จะไปวันพรุ่งนี้ 

 

เหมือนว่าระบบการจัดการของกิลด์นักผจญภัยของโลกนี้จะไม่ได้เหมือนกับในเกมซะทีเดียวค่ะ นักผจญภัยจะมีการจัดแรงค์ตามผลงานและความแข็งแกร่งเพื่อคอยรับภารกิจที่มีความอันตรายมากขึ้นตามระดับของภารกิจด้วยเช่นกัน โดยเรียกลำดับตั้งแต่ F จนถึง S  

 

แน่นอนว่าผู้ที่เริ่มมาเป็นนักผจญภัยใหม่ ๆ ก็ย่อมเริ่มต้นด้วยแรงค์ F กันทั้งนั้นซึ่งจะสามารถรับภารกิจที่เหมาะสมกับระดับได้ แต่ถ้าหากพิสูจน์ได้ว่าตนแข็งแกร่งกว่าแรงค์ของตนจริง ๆ ก็จะต้องได้รับการทดสอบเพื่อเลื่อนระดับโดยที่ผู้ทดสอบจะเป็นนักผจญภัยแรงค์ที่สูงกว่าตน 2 ระดับขึ้นไป ยกตัวอย่างเช่น หากต้องการเลื่อนแรงค์จาก F ด้วยการทดสอบละก็จะต้องได้รับการทดสอบจากนักผจญภัยแรงค์ D ขึ้นไปเท่านั้น 

 

แน่นอนว่าจะต้องมีกิลด์มาสเตอร์และพยานมากกว่า 20 คนขึ้นไปด้วยเช่นกัน ถือว่าเป็นระบบที่ค่อนข้างมีการจัดการที่รัดกุมและป้องกันการเลื่อนระดับอย่างไม่ยุติธรรมดีไม่น้อยเลยค่ะ แต่ข้อมูลที่น่าสนใจกว่านั้นคือระดับของมอนสเตอร์ที่ก็ถูกจัดอยู่ใน F จนถึง S เช่นเดียวกัน แต่จะมีอีกระดับที่เรียกว่า ‘ไม่ถูกจัดอันดับ’ มักจะเป็นมอนสเตอร์ที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน หรือไม่มีข้อมูลที่แน่ชัด 

 

ส่วนมอนสเตอร์ที่ถูก ‘อาณาเขตเทวะ’ ของฉันในป่านั้นมีตั้งแต่มอนสเตอร์แรงค์ E ไปจนถึง A อย่างเช่นไฮดร้าหรือแม้กระทั่ง ไซคลอปส์หรือโทรลล์ เองก็มีระดับแรงค์ A เหมือนกัน โดยถ้าหากเทียบกับสมัยอยู่ในเกมมอนสเตอร์ที่กล่าวถึงพวกนี้จะมีเลเวลประมาณ 200-300 เท่านั้นเองค่ะ 

 

อะไรนะ ? มอนสเตอร์เลเวลแค่นี้ก็จัดอยู่ในระดับ A แล้วงั้นเหรอคะเนี่ย พอสอบถามคุณแอนนาเพิ่มเติมก็ได้ข้อมูลว่า พวกมังกรที่จริงไม่ถูกจัดอยู่ในแรงค์ด้วยซ้ำเนื่องจากข้อมูลมีไม่มากแต่แน่นอนว่าระดับความอันตรายกิลด์นักผจญภัยให้เหนือกว่า S ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วค่ะ ถ้าหากลองคิดตามดูก็ถือว่าสมเหตุสมผลนะ เพราะในเกมมังกรจะมีเลเวลเริ่มตั้งแต่ 700 ขึ้นไป ซึ่งเหนือกว่าระดับ A ไปมากทีเดียวจะให้อยู่ S ก็น่าสงสัยน่าดูเลยค่ะ 

 

ส่วนมอนสเตอร์ระดับแรงค์ S ตอนนี้ที่ลงทะเบียนเอาไว้มีเพียง 16 ชนิดเท่านั้น แต่ที่คุณแอนนายกตัวอย่างมาก็คือ ‘ธันเดอร์เบิร์ด’ ซึ่งในเกมมีเลเวลอยู่ที่ 640 ทำให้ฉันคาดเดาได้ค่ะว่ามอนสเตอร์ที่ถูกกิลด์นักผจญภัยของโลกนี้จัดไว้มีระดับต่ำกว่าสมัยตอนอยู่ในเกมอย่างแน่นอน แต่สำหรับคนในโลกนี้แล้วแค่มอนสเตอร์ระดับ A หลุดเข้าเมืองก็ถือว่าภัยระดับชาติแล้วละค่ะ 

 

หลังจากที่ไถ่ถามข้อมูลจนล่วงเลยเวลาไปพอสมควรรู้ตัวอีกทีจูน่าจังก็หลับไปตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ค่ะ แน่นอนว่าลูลิก็เอาขนนุ่ม ๆ ให้จูน่าจังหนุน เมื่อเห็นว่าถึงเวลาเข้านอนแล้วคุณแอนนาก็ทำการอุ้มจูน่าจังไปนอนที่เตียงแล้วห่มผ้าให้อย่างเอ็นดู จะบอกว่าเหมือนกับแม่คนที่สองหรือพี่สาวเลยค่ะ เอาเป็นพี่สาวแทนแล้วกันนะ เพราะถ้าแม่คนที่สองคุณโยฮันน่าจะลำบากค่ะ 

 

หลังจากแยกจากพวกคุณแอนนาฉันกับลูลิก็กลับไปที่ห้องค่ะ วันนี้ได้รู้อะไรหลาย ๆ อย่างมากมายเลยค่ะ ไม่ว่าจะข้อมูลเรื่องกิลด์นักผจญภัยหรือแม้กระทั่งมอนสเตอร์หรือสถานที่ในเมืองต่าง ๆ พรุ่งนี้ดูจะเป็นวันที่น่าสนุกจริง ๆ เลยค่ะ ใช่แล้วช่างน่าสนุกจริง ๆ เลย ถ้าเป็นแบบนั้นไปตลอดก็คงดี… แต่แล้วสิ่งที่ฉันไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นค่ะ… 

.

.

.

 

เคร้ง ! เคร้ง ! เคร้ง ! เคร้ง ! 

 

เสียงระฆังที่ดังไปทั่วบริเวณของเมืองป้อมปราการเดธวอลเลย์ของเช้าวันต่อมา เป็นเสียงสัญญาณเตือนเวลามีเหตุการณ์ที่เป็นเรื่องร้ายแรงระดับเมืองที่ทุกคนในเมืองหรือแม้กระทั่งนักเดินทางต่างก็ทราบกันดี ใช่ค่ะฉันเองก็รู้ดีเช่นกันเพราะเมื่อคืนคุณแอนนาได้บอกฉันแล้วเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ไม่คิดเลยว่าจะได้ยินเร็วขนาดนี้ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันคะเนี่ย ! 

 

ฉันที่อยู่ในห้องชั้นสองของโรงแรมกับลูลิเกิดความสงสัยกับเหตุการณ์ที่ไม่รู้ถึงสถานการณ์ที่มีเสียงระฆังดังสะท้อนกังวานอย่างต่อเนื่อง ฉันกับลูลิได้แต่มองหน้ากันอย่างสงสัยราวกับต้องการคำอธิบายจากใครสักคนค่ะ แต่แล้วก็ได้ยินเสียงตะโกนของคนนอกโรงแรมที่แตกตื่นอย่างเห็นได้ชัด 

 

” ทุกคน ! รีบกลับเข้าไปในบ้าน ตอนนี้พวกมอนสเตอร์บุกมาทีเมือง !! ” 

 

เอ๋ !!? ไหงมันเกิดอะไรแบบนี้ตอนที่ฉันมาได้ละคะเนี่ย ! แต่เดี๋ยวก่อนนะ เหมือนว่าจะเคยได้ยินเรื่องทำนองนี้มาก่อนจากทหารยามตอนเข้ามาในเมืองรางๆ นะคะ อย่าบอกนะว่าเรื่องที่คุณทหารยามเตือนว่าจะมีการอาละวาดของมอนสเตอร์คือแบบนี้งั้นเหรอคะเนี่ย ! แย่แล้วสิ ๆ ฉันจะต้องทำยังไงบ้างละคะ ตะ-แต่ว่ามีคนบอกให้อยู่แต่ในบ้านหรือที่พักงั้นก็คงต้องทำตามอย่างเลี่ยงไม่ได้สินะคะ 

 

ได้ยินมาว่ากิลด์นักผจญภัยกับทหารหลวงของเมืองจะต้องออกไปรับมือที่หน้าเมืองเพื่อป้องกันไม่ให้มอนสเตอร์หลุดเข้ามาในเมือง แต่ก็เผื่อเอาไว้เลยออกมาตรการเวลาที่เสียงระฆังดังก็จะให้ชาวเมืองกลับเข้าอยู่แต่ในบ้านเผื่อความปลอดภัย แต่ก็ไม่วายเปิดหน้าต่างออกมาส่องข้างนอกกันค่ะ 

 

” ท่านโนเอลร่าคะ !!! จูน่าจังหายไปค่ะ ! ” คุณแอนนาที่พุ่งเข้ามาในห้องของฉันพูดออกมาอย่างตกอกตกใจแบบที่ฉันยังไม่ทันตั้งตัวกันเลยทีเดียวค่ะ แต่เดี๋ยวก่อนนะเมื่อกี้ฉันไม่ได้ฟังผิดไปใช่ไหมคะ ? 

 

” คุณแอนนาเมื่อกี้ว่ายังไงนะคะ ? ” ฉันที่ยังเหมือนไม่เชื่อหรือทำความเข้าใจกับคำพูดของคุณแอนนาไม่ได้เลยเอ่ยถามไปอีกครั้งอย่างกับคนโง่เลยค่ะ 

 

” จูน่าจังหายตัวไปแล้วค่ะ ! ” 

 

เอ๋ !!!!!!!!!????????? 

.

.

.

.

[ฝั่งป้อมปราการเดธวอลเลย์]

 

” ว่าไงนะ ! มอนสเตอร์ที่อยู่ในป่าฝั่งตะวันตกหายไปอย่างไร้ร่องรอยงั้นเหรอ ! ” เสียงดังที่เกิดจากความตกใจจากการที่ได้รับข้อมูลที่ไม่ได้คาดคิดว่าจะเกิดขึ้นสะท้อนกังวานภายในห้องของผู้ที่ตำแหน่งสูงที่สุดในที่ทำการกิลด์นักผจญภัยสาขาป้อมปราการเดธวอลเลย์ 

 

” คะ-ครับ ! นักสอดแนมในกลุ่มของข้าที่คอยประจำอยู่ใกล้ ๆ ป่าฝั่งตะวันตกบอกว่ามอนสเตอร์ที่อยู่ในฝั่งตะวันตกหายไปหมดเลยครับ ! ” หนุ่มนักผจญภัยผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มเหยี่ยวสีน้ำเงินที่คอยเป็นดั่งมือขวาของกิลด์มาสเตอร์รายงานข้อมูลที่แม้แต่ตนเองก็ยังทำใจเชื่อไม่ลง 

 

กลุ่มนักผจญภัยเหยี่ยวสีน้ำเงินได้ชื่อว่าเป็นกลุ่มนักผจญภัยที่อยู่ในระดับ A และมีชื่อเสียงจากการทำผลงานให้กับกิลด์อย่างมากมาย โดยที่ไม่มีใครรู้เลยว่าทั้งกลุ่มเหยี่ยวสีน้ำเงินเป็นเหล่าลูกศิษย์ที่กิลด์มาสเตอร์สอนมาเองกับมือ โดยสมาชิกของกลุ่มมีด้วยกัน 4 คน ได้แก่ บาซ่า ออสเปร เกรย์ และ

 

บาซ่า ผู้เป็นหัวหน้าของกลุ่มที่เปรียบดั่งผู้ช่วยและมือขวาของกิลด์มาสเตอร์ที่คอยรับภารกิจหรือคำจ้างวานโดยตรง เป็นหนุ่มนักผจญภัยที่มีอนาคตไกล มีทั้งความรอบคอบและใจเย็นทั้งยังสามารถอ่านสถานการณ์ได้อย่างดี แม้จะมีความสามารถด้านการต่อสู้ไม่โดดเด่นมากนักแต่ก็เป็นที่พึ่งพาของกลุ่มและทุกคนได้เป็นอย่างดี 

 

ออสเปร ผู้เปรียบเสมือนกับเงาของกลุ่มที่คอยทำหน้าที่สอดแนมหรือวางกับดัก หรือแม้แต่ลอบสังหารล้วงแนวหลังของศัตรู ออสเปรเป็นคนที่แม้จะมนุษย์สัมพันธ์ไม่ดีนักแต่ก็เป็นที่ไว้ใจได้ของคนในกลุ่มทั้งยังมีความฉลาดและวางแผนการให้กับกลุ่มอยู่เสมอและข้อมูลที่ได้มาในคราวนี้ หรือข้อมูลในตอนอื่นก็มักจะเป็นออสเปรที่เป็นคนสืบมาให้เสมอ 

 

เกรย์ บุคคลที่เรียกได้ว่าเป็นดั่งกำแพงเหล็กให้กับคนในกลุ่ม เป็นคนที่สื่อตรงและจริงใจแม้ในสมองจะมีแต่กล้ามแต่ทั้งนั้นก็มีความเป็นห่วงเพื่อนพ้องถึงกับที่เอาตัวเองเข้าแลกมาหลายต่อหลายครั้ง ลักษณะร่างกายที่ใหญ่โตที่มีกล้ามเนื้ออันสวยงามโดดเด่นก็เรียกความน่าเกรงขามและออร่าความแข็งแกร่งจากคนรอบข้างได้เป็นอย่างดี 

 

เบสร่า เรียกได้ว่าเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวในกลุ่มเหยี่ยวสีน้ำเงินผู้เป็นดั่งคลังข้อมูลและมันสมองอีกคนร่วมกับออสเปร แม้ว่าเบสร่าและออสเปรจะไม่ค่อยถูกกันก็ตาม แต่เมื่อถึงเวลางานทั้งคู่กับเข้าขากันได้เป็นอย่างดี เบสร่าแต่เดิมนั้นไม่ได้เป็นลูกศิษย์ของกิลด์มาสเตอร์มาก่อนแต่เคยได้เข้าเรียนในโรงเรียนเวทย์มนตรา และได้เป็นที่สองของชั้นเรียน ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้เบสร่าเจ็บใจมาจนถึงทุกวันนี้เพราะตนได้พ่ายแพ้ให้กับคนหนุ่มนักเวทย์วัยเดียวกับตนที่ตอนนี้ทำงานเป็นนักเวทย์ของราชสำนักในเมืองหลวง แถมยังเป็นผู้ช่วยให้กับจอมเวทย์หลวงเมอร์ริอาร์คนนั้นอีก 

 

เมื่อมองเข้ามาจากภายนอกกลุ่มเหยี่ยวสีน้ำเงินก็เรียกได้ว่ามีองค์ประกอบครบถ้วนของกลุ่มนักผจญภัยมากฝีมือ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่อาจก้าวไปถึงระดับ S ได้ จริงอยู่ที่กลุ่มเหยี่ยวสีน้ำเงินแข็งแกร่งและถูกจัดอยู่ในระดับ A แต่หากจะต้องรับมือกับการอาละวาดของมอนสเตอร์ในครั้งนี้ที่มีจำนวนมากกว่า 500 ก็ยังเป็นสิ่งที่เกินตัวไปมาก 

 

แต่ไม่นานข้อมูลที่เป็นดั่งความหวังก็ถูกรายงานมาจากออสเปรผู้เป็นดั่งเงาของกลุ่ม มอนสเตอร์จำนวนมากที่ประจำอยู่ในป่าฝั่งตะวันตกที่ออสเปรจับตาดูอยู่ห่าง ๆ ได้หายไปอย่างลึกลับ ทั้งยังไม่มีแม้แต่วี่แววการเคลื่อนไหวหรือการต่อสู้ใด ๆ จำนวนของมอนสเตอร์ที่ประมาณได้คร่าว ๆ อยู่ราว ๆ 200-300 ตัว ก็นับว่าเยอะมาก หากจะเคลื่อนไหวหรือเกิดการต่อสู้กับมนุษย์หรือนักผจญภัยอื่น ๆ ก็น่าจะรู้ตัวบ้าง แต่กลับหายไปเฉย ๆ 

 

เมื่อบาซ่าได้รับรายงานดังกล่าวจึงได้ขอให้ออสเปรเข้าไปตรวจสอบในป่าเพื่อจะได้รู้สาเหตุ แม้ว่านั่นจะเหมือนกับการขอให้เพื่อนเข้าไปตาย แต่ออสเปรเองก็รู้ดีกว่าข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องรายงานและยืนยันก่อนสิ่งอื่นใด ในขณะที่ออสเปรเข้าไปในป่าเพื่อตรวจสอบเพิ่มเติมบาซ่าก็จะรีบไปรายงานต่อกิลด์มาสเตอร์ 

 

” ตอนนี้ข้าให้ออสเปรเข้าไปตรวจสอบภายในป่าดูแล้วครับ คิดว่าไม่นานน่าจะทำให้รู้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นภายในป่า ” บาซ่าที่ตอนนี้นั่งอยู่ตรงข้ามกับกิลด์มาสเตอร์วัยกลางคนที่ดูกำยำแข็งแร็ง แม้จะอายุเกิน 50 แต่ก็ยังมีออร่าของความแข็งแกร่งอยู่ไม่น้อยเรียกได้ว่าถึงจะเกษียณตัวเองแล้ว แต่ก็ไม่เว้นการฝึกฝนตนเองอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน 

 

” งั้นเหรอ…หรือว่าจะถูกเผ่าปีศาจควบคุมให้ไปที่อื่นกันนะ ” กิลด์มาสเตอร์คิดพลางลูบคางไปด้วย สีหน้าที่แสดงออกมามีความสงสัยและประหลาดใจอยู่บนใบหน้าอย่างไม่คิดจะปิดบัง 

 

” ข้าเองก็คิดว่ามันแปลกครับ ไม่คิดว่ามอนสเตอร์จำนวนขนาดนั้นจะเคลื่อนไหวกันแน่อย่างแน่นอน ” บาซ่าที่เสนอความคิดสอดคล้องกับกิลด์มาสเตอร์ออกมา ทำให้แนวคิดที่ว่าเผ่าปีศาจควบคุมยิ่งมีน้ำหนัก 

 

” แต่ถ้าเป็นอย่างที่พวกเราคิดละก็ ไม่แน่ว่าบางทีออสเปรอาจจะเข้าปะทะเป่าปีศาจไปป่าก็เป็นได้นะครับ ถึงจะเป็นออสเปรที่ซ่อนตัวได้อย่างแนบเนียนก็ตาม แต่เผ่าปีศาจที่สามารถควบคุมมอนเตอร์ได้มากถึง 500 ตัวคงไม่ใช่ทำธรรมดาแน่ ๆ ” บาซ่าที่คิดแบบเป็นระบบพูดถึงความคิดของตนที่สื่อถึงความเป็นห่วงพวกพ้องออกมา

 

” ข้าเองก็คิดแบบนั้น ยังไงซะตอนนี้เราคงต้องเตรียมพร้อมไม่แน่ว่ามอนสเตอร์ที่หายไปพวกนั้นอาจจะไปรวมตัวกันในทิศทางอื่นที่พวกเราคาดไม่ถึงก็เป็นได้ ” 

 

” ถ้าหากออสเปรกลับมาเมื่อไหร่ข้าจะรีบมารายงานครับ ” บาซ่าเมื่อพูดจบแล้วก็เดินออกไปจากห้องไป ทิ้งไว้ให้กิลด์มาสเตอร์นั่งครุ่นคิดอยู่เพียงคนเดียวในห้องที่มีเพียงความเงียบ

 

” เฮ้อ…ถ้ามีเทพธิดามาโปรดให้พวกเรารอดพ้นจากเหตุการณ์นี้ก็คงดีสินะ ” 

 

เสียงบ่นเบา ๆ ที่ราวกับคำขอพรจากสวรรค์ดังขึ้นท่ามกลางห้องทำงานที่มีแสงแดดอ่อน ๆ แสดส่องผ่านมาทางหน้าต่างยามบ่าย สะก้อนกังวานไปมา ๆ จนในที่สุดก็หยุดลง

.

.

.

 

[บริเวณทางเข้าป่าตะวันตกฝั่งหน้าป้อมปราการเดธวอลเลย์]

 

(‘นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ? ทำไมพวกมอนสเตอร์ถึงได้หายไปหมด ทั้งที่เมื่อ 2 วันที่แล้วเรายังเห็นอยู่เต็มไปหมดแท้ ๆ’) 

 

หนุ่มนักผจญภัยผมสีเขียวเข้มจนเกือบดำ มีผ้าผันคอสีเขียวแก่เข้ากันกับสีผมและชุดสีดำที่ดูจะเคลื่อนไหวได้ง่ายและดูกลมกลืนราวกับท้องฟ้ายามค่ำคืน ใบที่ดูจะเรียกได้ว่า หน้าตาย ยามปกติ แต่เวลานี้กลับแสดงความวิตกอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนอย่างเห็นได้ชัด ผู้ที่มาสอดส่องหาข้อมูลเกี่ยวกับมอนสเตอร์ในป่าตะวันตกนั่นคือ ออสเปร 

 

ก่อนหน้านี้สองวัน ออสเปรได้มาสำรวจและสอดส่องดูความเคลื่อนไหวของมอนสเตอร์ในป่าฝั่งตะวันตกอยู่เป็นประจำ ตามข้อมูลที่ได้สรุปกันกับกิลด์มาสเตอร์มอนสเตอร์มีประมาณ 500 หรือมากกว่านั้น โดยแบ่งเป็นฝั่งตะวันตกและตะวันออก อย่างละเท่า ๆ กันโดยที่ฝั่งตะวันออกจะมีคนของกิลด์มาสเตอร์คอยตรวจสอบให้อยู่แล้ว 

 

โดยปกติแล้วออสเปรจะคอยสอดแนมอยู่เพียงบริเวณใกล้ ๆ กับทางเข้าป่าเท่านั้น เนื่องจากจำนวนมอนสเตอร์ที่มากมายขนาดนี้ถ้าหากเคลื่อนไหวที่ใกล้จนเกินอาจจะทำให้การสอดแนมถูกพบได้ ไม่ใช่แค่นั้นระดับมอนสเตอร์เองก็ใช่ว่าจะต่ำ ถึงส่วนใหญ่จะเป็นระดับ C แต่ก็มี B หรือ A ปะปนอยู่ด้วย โดยปกติแล้วถึงออสเปรจะเป็นนักผจญภัยแรงค์ A แต่ก็ไม่สามารถสู้กับมอนสเตอร์แรงค์ A ได้ด้วยตัวคนเดียว เพราะเนื่องจากความสามารถทางกายภาพและพลังชีวิตรวมไปถึงความอึดนั้นมอนสเตอร์เหนือกว่ามนุษย์เกือบทุกด้าน 

 

สิ่งที่มนุษย์มีเหนือกว่าก็คงเป็นเพียงสติปัญญาเพียงเท่านั้น แต่ก็ไม่วายที่จะมีมอนสเตอร์ที่มีสติปัญญาสูงซึ่งจะพบได้ในระดับจ่าฝูงหรือไม่ก็ราชาของเหล่ามอนสเตอร์ในแต่ละชนิด แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่ว่าจะต่อกรไม่ได้เลยซะทีเดียว เพราะถ้าหากว่าออสเปรได้ทำการวางกับดักล่วงหน้าก็อาจจะสามารถล้มมอนสเตอร์แรงค์ A ได้ในตัวคนเดียว ถึงจะลากเลือดไปสักหน่อยแต่เจ้าตัวก็ค่อนข้างมั่นใจว่าถ้าหากเตรียมตัวมาละก็ สามารถทำได้ 

 

แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาทำอย่างนั้น เพราะด้วยจำนวนขนาดนี้ถ้าหากโดนมอนสเตอร์เข้าจู่โจมพร้อมกันละก็ถึงจะเป็นออสเปรที่ถนัดด้านการหลบหลีกหรือเอาตัวรอดก็เสี่ยงตายได้เลยทีเดียว และยังมีเรื่องที่น่าสงสัยอีกอย่างคือถ้าหากว่าการรวมตัวกันของมอนสเตอร์เป็นฝีมือของเผ่าปีศาจจริงละก็ การที่ถูกพบตัวเข้าอาจจะทำให้อีกฝ่ายรู้ตัวแล้วเปลี่ยนแผนก็เป็นได้ 

 

(นะ-นี่มันอะไรกัน !! ) 

 

เมื่อเข้ามาส่วนลึกของป่าก็ได้เจอกับต้นเหตุที่ทำให้ออสเปรต้องเข้ามาตรวจสอบข้างในส่วนลึกของป่า นั่นคือซากศพของเหล่ามอนสเตอร์จำนวนมากที่ตายอย่างปริศนา ซากศพทั้งหมดมีลักษณะเหมือนถูกไฟเผาจนดำเป็นเถ้าถ่าน แต่ยังพอที่จะมองออกว่าเป็นมอนสเตอร์ แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น ประเด็นหลักคือใครเป็นคนที่ทำเรื่องทั้งหมดนี่ต่างหาก

 

เห็นได้ชัดว่าไม่น่าจะใช่ฝีมือของเผ่าปีศาจอย่างแน่นอน เพราะไม่น่าจะมีเหตุผลอันใดที่ทำให้เผ่าปีศาจจะลงมือจัดการกับเหล่ามอนสเตอร์ที่ตนเป็นผู้ควบคุม จะบอกว่าหมดประโยชน์ก็ดูจะง่ายเกินไปหน่อย ในระหว่างที่คิดอยู่นั้นก็สังเกตุเห็นว่าซากศพของเหล่ามอนสเตอร์ส่วนมากจะตายบริเวณกลางป่าที่เป็นลานที่นักเดินทางชอบมาตั้งแคมป์

 

(นะ-นี่หรือว่าจะเป็นฝีมือที่คนที่เดินทางผ่านป่าอย่างนั้นเหรอ ) 

 

ออสเปรที่จมอยู่กับความคิดของตนขณะที่อยู่บนกิ่งไม้ใหญ่ที่สามารถมองลงมาเห็นข้างล่างได้อย่างชัดเจน ความสงสัยและความหวาดวิตเข้าถาโถมอย่างกะทันหันจนออสเปรที่ปกติจะทำหน้าตายและไร้อารมณ์ยังเก็บสีหน้าไม่อยู่ 

 

สิ่งที่ออสเปรพอจะคิดว่าก็คือ ถ้าหากว่าเป็นฝีมือของผู้ที่เดินทางผ่านป่ามาละก็เขาคนนั้นก็คงเป็นสัตว์ประหลาดไม่มีผิดอาจจะถึงระดับนักผจญภัยระดับ S หรือเหนือกว่าเลยก็ว่าได้ เพราะสภาพของเหล่ามอนสเตอร์ที่ถูกเผาอย่างโหดเหี้ยมนั่นเรียกได้ว่าตายในการโจมตีเพียงครั้งเดียว 

 

แน่นอนว่าเป็นเวทมนตร์ประเภทไฟอย่างแน่นอน แต่ออสเปรที่มีประสบการณ์การต่อสู้ไม่ว่าจะกับคนหรือมอนสเตอร์มาในระดับที่เรียกได้ว่าเจนสนามก็ยังคิดไม่ออกว่าใครกันที่สามารถใช้เวทย์ไฟระดับนี้ได้ สาเหตุของความสงสัยนั้นคงไม่ต้องบอกว่ามาจากซากศพของมอนสเตอร์แรงค์ A อย่างพวกไซคลอปส์หรือโทรลล์ ที่แม้แต่ทีมเหยี่ยวสีน้ำเงินของตนก็ยากที่จะปราบ ถึงจะปราบได้แต่ก็ต้องใช้เวลา 

 

แต่แล้วมอนสเตอร์ที่กระทั่งพวกออสเปรสู้อย่างยากลำบากกลับถูกเวทมนตร์ไฟโจมตีตายคาทีในครั้งเดียว คนที่จะทำแบบนี้ได้ไม่ต้องสงสัยเลยว่าอยู่ในระดับเดียวกับจอมเวทย์หลวงเมอร์ริอาร์หรือบางทีอาจจะเหนือกว่านั้นก็เป็นไป การที่มีผู้ที่สามารถใช้เวทมนตร์ระดับนี้ได้นั่นไม่ใช่เรื่องปกติที่จะอยู่เฉยได้

 

เพราะไม่รู้ว่าคนผู้นั้นจะเป็นมิตรหรือศัตรู หรือไม่บางทีอาจจะเป็นเผ่าปีศาจที่คิดว่ามอนสเตอร์พวกนี้หมดประโยชน์จริง ๆ ก็เป็นได้ ออสเปรที่เป็นคนฉลาดและมักจะวางแผนอยู่เสมอคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผลในห้วงแห่งความคิดบนต้นไม้ที่ถูกสายลมพัดผ่านแบบเบาบาง แต่ในระหว่างนั้นเองตัวตนที่แสนเด่นสะดุดตาก็สะท้อนเข้ามายังดวงตาของออสเปร 

 

(จะ-เจ้านั่นมันอะไรกันน่ะ !! ) 

 

ร่างของหมาป่าสีเงินที่ใหญ่ถึง 4 เมตรที่ดูราวกับเป็นสัตว์ของเทพธิดา ขนสีเงินเงางามสะท้อนแสงแดดตอนเที่ยงเปล่งประกายจนน่าหลงใหล ลวดลายตามตัวที่เหมือนกับสัญลักษณ์โบราณที่ดูราวกับมนต์ขลัง ร่างกายที่ดูกำยำแข็งแกร่งปราดเปรียวและน่าเกรงขามอย่างกับราชันย์ของหมาป่าทั้งปวง รูปลักษณ์ทั้งหมดนั้นช่างดูศักดิ์สิทธิ์และสูงส่งจนละสายตาไม่ได้ 

 

ทันใดที่คิดชื่นชมความงดงามของมอนสเตอร์ตรงหน้านั้น สัญชาตญาณนักผจญภัยของออสเปรก็รู้ได้ทันทีว่าหมาป่าที่ตนเห็นนั้นไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์จะสามารถต่อกรได้เลย หากเข้าไปใกล้ก็ไม่วายถูกขย้ำและฉีกกระชากภายในพริบตา ไม่ต้องพูดถึงการต่อสู้เลยด้วยซ้ำ มนุษย์เป็นเพียงของเล่นสำหรับหมาป่าตัวนั้นก็ไม่ปาน 

 

ขณะที่คิดและจมอยู่กับความหวาดกลัวสุดขั้วหัวใจอยู่นั้น ก็เผลอสบตาเข้ากับดวงตาสีเงินที่เปล่งประกายราวกับพระจันทร์เต็มดวงที่ทอแสงประกายในราตรีอันมืดมิด ความตกใจและหลงใหลเข้าจู่โจมออสเปรอย่างไม่ทันตั้งตัว แต่ในขณะเดียวกันความหวาดกลัวก็กัดกินหัวใจของออสเปรอย่างที่เจ้าตัวไม่เคยรู้สึกมาก่อน 

 

(แย่แล้ว ! ต้องรีบหนีแล้ว ! ไม่ว่ายังไง ! ไม่ว่ายังไงก็ต้องรีบให้รอดให้ได้ !) 

 

ออสเปรที่กระโดดหนีข้ามไปยังกิ่งไม้ ต้นแล้วต้นเล่า อย่างกับสายลมทักษะการวิ่งและการหนีเอาตัวรอดที่ฝึกมาทั้งชีวิตได้ถูกใช้งานทั้งหมดในตอนนี้เพื่อเอาตัวให้รอดจากสิ่งที่มนุษย์ไม่อาจเอาชนะได้ 

 

ออสเปรที่วิ่งหนีไปอย่างไม่คิดชีวิตนั้นไม่ได้รู้เลยว่าดวงตาสีเงินที่จ้องมองตามหลังของตนนั้นได้เกิดคำถามในใจที่ถ้าหากพูดเป็นภาษาของมนุษย์ก็คงประมาณว่า ‘ อะไรของมันฟะ  !’ 

.

.

.

 

หลังจากที่เคลียร์ปัญหาเรื่องมอนสเตอร์ที่กลายเป็นไก่ย่างเต็มบริเวณที่ตั้งแคมป์แล้ว คุณแอนนาก็มาขออนุญาตฉันที่จะชำและเอาวัตถุดิบต่าง ๆ ของมอนสเตอร์ที่นำไปเป็นวัตถุดิบที่จะนำไปปรุงยารักษารวมทั้งนำไปขายที่เมืองป้อมปราการเดธวอลเลย์ด้วยค่ะ ที่จริงฉันเองก็งงเหมือนกันค่ะว่าจะมาขออนุญาตฉันทำไม 

 

แต่คุณแอนนาก็ชี้แจงว่าเพราะฉันเป็นคนจัดการกับเหล่ามอนสเตอร์ทั้งหมดนี้เพราะงั้น ซากศพทั้งหมดก็จะเป็นของฉันไปโดยปริยายค่ะ เอ่อคือ…ฉันควรจะดีใจใช่ไหมคะเนี่ย ที่ได้รับรางวัลในการเดินทางเป็นซากศพของมอนสเตอร์หลายร้อยตัวแบบนี้เนี่ย แบบนี้น่ากลัวจะตายไปค่ะ ! ไม่เอาด้วยนะคะ ! 

 

” ตะ-แต่ว่าส่วนใหญ่มันโดนเผาจนไหม้ไปแล้วนะคะ แบบนี้ยังเอาไปขายได้อีกเหรอคะ ? ” ฉันที่สงสัยถามคุณแอนนาออกไปอย่างเป็นห่วง ก็แน่สิคะ ! มอนสเตอร์พวกนี้โดน ‘อาณาเขตเทวะ’ ของฉันเข้าไปจนไหม้เป็นถ่านที่ใช้ในเตาหมูกระทะเลยนะคะ แบบนึ้จะขายได้ยังไงกันละ 

 

” ไม่ต้องห่วงค่ะท่านโนเอลร่า ถึงจะมีตำหนิที่โดนเผาไฟแต่ก็เป็นวัตถุดิบจากมอนสเตอร์แรงค์สูง แม้ราคาจะลดลงบ้างแต่ก็ถือว่ายังขายได้เงินอยู่มากทีเดียวค่ะ ! ” คุณแอนนาที่ตอบออกมาอย่างร่าเริงพร้อมทั้งลงมือชำแหละมอนสเตอร์อย่างชำนาญ 

 

ในระหว่างที่รอคุณแอนนาชำแหละอยู่นั้นฉันเองก็รอลูลิกลับมาเหมือนกันค่ะ กำลังสงสัยอยู่ใช่ไหมคะว่าฉันทำไมถึงกำลังรอลูลิอยู่ เพราะว่าฉันใช้ให้ลูลิไปตรวจสอบบริเวณรอบ ๆ ป่าอย่างไงละคะ เพราะว่ามอนสเตอร์หลายร้อยตัวถูกฉันย่างสดจนตายเกลื่อนแบบนี้ เลยสงสัยว่าฉันคงไม่ได้ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของมอนสเตอร์ที่อยู่ในป่าทั้งหมดหรอกนะคะ 

 

ที่จริงยังมีอีกหนึ่งเหตุผลก็คือให้ลูลิคอยหาผลไม้มาให้ฉันด้วยค่ะ เพราะตอนนี้ฉันอยู่ในป่าอื่นที่ไม่ใช่ป่าของตัวเองเลยไม่รู้ว่าจะพอมีผลไม้บ้างหรือเปล่า เลยให้ลูลิที่มีจมูกและประสาทสัมผัสดีกว่าฉันหาให้นั่นเองค่ะ หะ ? ขี้เกียจ ? เสียมารยาทค่ะ ! เรียกว่าใช้คน(ตัว)ให้ถูกกับงานต่างหากละคะ ! 

 

แต่ไม่รู้ว่าป่านนี้ลูลิจะหาเจอหรือเปล่านะคะ เพราะก็ไปตั้งนานแล้วยังไม่กลับมาเลยหวังว่าคงจะไม่มีใครมาเห็นลูลิในสภาพปกติหรอกนะคะ เพราะเหมือนว่าถ้าลูลิอยู่ในร่างของหมาป่าน้อยจะไม่สามารถเคลื่อนด้วยความเร็วปกติได้นั่นเองค่ะ ถ้าจะยังใช้สกิลบางอย่างได้แต่ก็ถูกลดทอนลงไปกว่า 70 % ทำให้เวลาจะออกไปไหนมาไหนคนเดียวก็ต้องคืนร่างเดิมก่อนทุกครั้ง 

 

แต่เหมือนพูดไม่ทันขาดคำลูลิที่กลับมาพอดีพร้อมกับคาบกิ่งของต้นไม้ที่มีผลไม้อยู่ประมาณ 3-4 ลูกมาให้ด้วยสมแล้วจริง ๆ ค่ะเป็นสัตว์อัญเชิญที่ยอดเยี่ยมจริง ๆ และแน่นอนค่ะว่าเจ้าของที่อัญเชิญมาอย่างฉันก็ยอดเยี่ยมไม่แพ้กันค่ะ ! ไม่ต้องถามนะคะว่าตรงไหน ยังไม่ได้คิดค่ะ ! 

 

หลังจากที่ฉันกินผลไม้ที่ลูลิเอามาให้แล้วก็เป็นเวลาเดียวกับที่คุณแอนนาชำแหละมอนสเตอร์เสร็จพอดี แน่นอนว่าไม่ได้ชำแหละทุกตัวค่ะ แบบนี้เป็นอาทิตย์ก็คงไม่เสร็จแน่นอนเลยเลือกชำแหละเฉพาะที่ต้องใช้และก็มอนสเตอร์แรงค์สูง ๆ เท่านั้นค่ะส่วนเจ้าลัทธิตัวน้อยกำลังเพลินอยู่กับอาหารที่คุณแอนนาทำให้อยู่กับคุณลุงคนขับข้าง ๆ รถม้านั่นเองค่ะ 

 

การเดินทางก็ยังคงมุ่งหน้าไปที่ป้อมปราการเดธวอลเลย์ค่ะ แต่ฉันเองก็พึ่งรู้ว่าทิศของประตูที่เราจะเข้าไปคือฝั่งตะวันตกเพราะที่เมืองป้อมปราการนี้มีทางเข้าหลัก ๆ คือ ทิศ ใต้ เหนือ ตะวันออก และตะวันตก เพียงแต่ว่าฝั่งตะวันออกกับตะวันตกนั่นจะมีป่าก่อนถึงเมืองในขณะที่ทางใต้จะมีที่ราบสูงและเนินเขาเล็ก ๆ แต่ภาคเหนือจะมีแม่น้ำกั้นอยู่ค่ะ 

 

 ฉันลืมบอกทุกท่านไปค่ะ ว่าฉันแอบใช้สกิลเวทย์เสริมความว่องไวให้กับคุณม้าทั้งสองตัวไปแล้วไงละคะ เพราะงั้นตอนนี้คุณม้าเลยวิ่งเร็วขึ้นกว่าเดิมเป็นเท่าตัวจนคุณลุงคนขับถึงกับงงเลยทีเดียว นึกว่าม้าตัวเองดีดมาจากไหน ขอโทษด้วยนะคะแต่ฉันอยากจะรีบไปให้ถึงเพราะปวดก้นสุด ๆ ไปเลยค่ะ

 

หลังจากนั้นเพียงแค่ประมาณ 3 ชั่วโมงที่มาถึงประตูเมืองแล้วค่ะ ถ้ารู้ว่าจะเร็วขึ้นขนาดนี้น่าจะใช้ตั้งแต่ออกจากหมู่บ้านโคลินแล้วค่ะ ก่อนจะเข้าเมืองก็มียามตรวจคนเข้าเมืองอยู่ 2 คนซ้ายขวา ประตูเมืองที่มีลักษณะเหมือนป้อมปราการที่มีกลไลเลื่อนประตูลงมาเมื่อมีเหตุฉุกเฉิน เป็นประตูไม้ที่ดูแข็งแรงขนาดใหญ่ความสูงกว่า 6 เมตรและกว้าง 3 เมตร เรียกว่าขนาดให้ลูลิเข้าไปได้อย่างสบาย ๆ เลยค่ะ 

 

แต่ตอนนี้ลูลิกลับไปเป็นคุณหมาป่าสีเงินตัวน้อยน่ารักแถมยังอยู่ในอ้อมกอดของจูน่าจังอีกต่างหากค่ะ หวังว่าคงไม่ถูกสงสัยหรอกนะว่าเอามอนสเตอร์เข้ามาในเมืองอะไรแบบนั้นน่ะ 

 

ยามตรวจคนเข้าเมืองเข้ามาสอบถามกับคุณลุงคนขับรถม้าและคุณแอนนาเองก็เข้าไปร่วมด้วยเหมือนต้องการยืนยันอะไรบางอย่าง ฉันที่รออยู่ในรถกับจูน่าจังและลูลิเลยนั่งอยู่เงียบ ๆ ค่ะ แต่เหมือนหูของฉันจะดีกว่าคนทั่วไปนะ ฉันได้ยินเสียงการสนทนาที่บริเวณหน้ารถม้าคร่าว ๆ 

 

‘ นี่เดินทางมาทางป่าตะวันตกเหรอ ! ‘ 

‘ เป็นอะไรหรือเปล่า ถูกพวกมอนสเตอร์โจมตีไหม ‘ 

 

เหมือนจะได้ยินเสียงที่ฟังดูตกใจปนความเป็นห่วงเข้ามาอยู่เรื่อย ๆ เลยค่ะไม่รู้ว่าทำไมถึงได้ตกอกตกใจขนาดนั้นกันด้วยนะ คุณแอนนาเหมือนจะถามออกไปแทนฉันเป็นที่เรียบร้อยค่ะ แต่แล้วคำตอบก็ได้ความว่า

 

‘ อีกไม่กี่วันจะมีการอาละวาดของพวกมอนสเตอร์จากในป่าน่ะสิ ! พวกกิลด์นักผจญภัยกับทหารจากเมืองหลวงประชุมกันให้วุ่นเลย ‘ 

 

เอ๊ะ ? อย่าบอกนะว่ามอนสเตอร์ที่เข้ามาโดน ‘อาณาเขตเทวะ’ ของฉันคือพวกมอนสเตอร์ที่กำลังจะอาวะลาดงั้นเหรอคะ ? คงไม่หรอกมั้ง อะไรมันจะบังเอิญขนาดนั้นกันคะ ใช่แล้ว ๆ ไม่ใช่หรอก 

 

‘ เอาเป็นว่าตอนนี้พักอยู่ในเมืองก่อนดีกว่านะ รอบ ๆ เมืองตอนนี้มีพวกมอนสเตอร์รวมตัวกันเยอะไปหมด ถ้าเกิดมันอาละวาดตอนขากลับละก็จะแย่เอานะ ‘ 

 

คุณทหารยามเมื่อเตือนด้วยความเป็นห่วงเสร็จก็ปล่อยผ่านให้พวกเราเข้าไปในเมืองค่ะ แน่นอนว่าเหล่าทหารยามไม่ได้เห็นฉันกับลูลิรวมถึงจูน่าจังที่อยู่บนรถม้าค่ะ ถือว่าโชคดีจริง ๆ เหมือนตอนนี้จะระแวงอยู่กับมอนสเตอร์ที่กำลังจะอาละวาดกันอยู่ ดูเหมือนว่าฉันจะดวงไม่ดีเอาซะเลยค่ะ ดันมาเมืองในช่วงที่อันตรายแบบนี้ซะได้ แต่ยังไงซะก็คงคิดว่าไม่น่าจะเป็นอะไรหรอกค่ะ 

 

เพราะถ้าหากเกิดอะไรขึ้นจริง ๆ ฉันจะปกป้องทั้งจูน่าจังและพวกคุณแอนนาเองค่ะ ไม่ยอมให้มอนสเตอร์มาทำอันตรายคนที่เรียกได้ว่าเป็นเพื่อนของฉันในโลกนี้ได้หรอกนะคะ

.

.

.

.

คงต้องบอกว่าเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่และน่าตื่นเต้นมาก ๆ เลยค่ะไม่เคยคิดว่าจะได้มานั่งรถม้าเหมือนสมัยก่อนแบบนี้ จากที่ตอนสมัยอยู่โลกก่อนหน้าก็นั่งแต่รถมาโดยตลอดไม่ว่าจะรถยนต์หรือจักรยานยนต์ คงไม่มีใครนั่งรถมาในยุคปัจจุบันแน่ ๆ ค่ะถ้าหากบอกว่าขี่ม้าก็อีกเรื่อง 

 

แต่ถึงจะบอกว่าเป็นสิ่งที่ฉันตื่นเต้นแต่เหมือนความรู้สึกนั่นจะมีแค่ตอนขึ้นมานั่งช่วงแรกเท่านั้นค่ะ เพราะว่ารถม้ามันสั่นอย่างกับคนเป็นลมบ้าหมูเลยค่ะ ด้วยความที่ล้อของรถม้าไม่ได้ทำจากยางแต่ทำจากไม้ทำให้เวลาเคลื่อนที่จะมีแรงสั่นมาก แต่เวลาเจอก้อนหินยังกระแทกโยกเยกจนก้นระบมไปหมดเลยค่ะ 

 

โอ๊ย ๆ ฉันที่ร้องโอดครวญอยู่ในใจพยายามเก็บอาการเพื่อไม่ให้ถูกสังเกตเห็นค่ะ แต่ถ้าทำไมกันนะทุกคนไม่มีใครบ่นหรือร้องโอดครวญเหมือนกับฉันเลยค่ะ ไม่ว่าจะจูน่าจังหรือคุณแอนนาหรือแม้กระทั่งคุณลุงคนคุมม้า ไม่มีเสียงออกมาจากปากของพวกเขาที่เป็นการบ่นเลยค่ะ จะมีก็แต่เสียงชื่นชมความน่ารักของหมาป่าสีเงินตัวเล็กค่ะ 

 

ถึงตอนนี้ลูลิจะน่ารักแค่ไหนก็ตามแต่ฉันก็ไม่อาจทำเป็นไม่สนเรื่องรถม้านี่ได้ค่ะ ยิ่งกว่าเมาเรือสะอีกถึงแต่เรื่องอาการปวดเมื่อยสกิลติดตัวจะช่วยรักษาให้ตลอดก็ตามแต่ก็ไม่ใช่การแก้ปัญหาเลยค่ะ แต่ไม่ได้ ๆ ฉันเป็นคนอยากจะเดินทางพร้อมทุกคนแล้วยังไงก็ต้องรอดให้ถึงฝั่งค่ะ 

 

ค่ะฉันรู้สึกว่าตัวเองคิดตื้นไปจริง ๆ ด้วยเพราะสิ่งที่ฉันลืมคิดไปอีกอย่างคือความเร็วของรถม้าค่ะถ้าให้พูดแล้วละก็ฉันวิ่งยังเร็วกว่าเลยค่ะ !!! คุณม้าทั้งสองตัวเดินเร็วอย่างกับคนแก่วิ่งออกกำลังกายที่สวนสาธารณะเลยค่ะ ! แล้วแบบนี้ตอนไหนมันจะถึงกันละเนี่ย เส้นทางที่ขรุขระแบบนี้ถ้าต้องทนอยู่ในสภาพแบบนี้ละก็ก้นของฉันคงมีสภาพไม่ต่างจากคุณยายอายุ 80 แน่ค่ะ 

 

 ” อะ-เอ่อ คือว่าป้อมปราการเดธวอลเลย์เนี่ย อยู่ไกลแค่ไหนเหรอคะ ” ฉันที่ถามถึงระยะทางแบบอ้อม ๆ ดูเพราะอย่างน้อยก็พอจะคำนวณเวลาที่ใช้ในการเดินทางได้ค่ะ

 

” ปกติแล้วใช้เวลาประมาณ 2 วันนะคะ แต่ถ้าหากวิ่งด้วยความเร็วเต็มที่ละก็คิดว่าราว ๆ 1 วันก็น่าจะถึงค่ะ ” คุณแอนที่เหมือนจะคำนวณให้กับความสงสัยของฉันเสร็จสรรพเล่นทำเอาฉันไปต่อไม่ถูกเลยค่ะ อะไรนะ ! 2 วันเลยเหรอคะ !? ต่อไปให้วิ่งแบบเต็มกำลังก็1 วันเต็ม ๆ เลยเหรอคะเนี่ย นี่ยังไม่นับเวลาที่นอนพักทางอีกนะคะ แบบนี้เขาเรียกว่ารนหาที่หรือเปล่าคะ บางทีฉันอาจจะเหมาะกับการอยู่แต่ในป่าก็ได้ค่ะ 

 

” นะ-นี่เราจะต้องพักค้างคืนระหว่างทางด้วยใช่ไหมคะ ? ” ยังไงก็ต้องถามเพื่อความแน่ใจไว้ก่อนค่ะ ถ้าฉันคิดว่าคงเดาไม่ยากเพราะไม่มีม้าที่ไหนวิ่งทั้งวันทั้งคืนหรอกค่ะ 

 

” ใช่แล้วค่ะ ปกติแล้วจะพักกันที่บริเวณลานกว้างกลางป่าเพราะเป็นจุดที่ปลอดภัยที่สุด มอนสเตอร์ตอนกลางคืนจะน้อยด้วยค่ะ ” เหมือนจะมีการคำนึงถึงความปลอดภัยด้วยนะคะเนี่ย แต่ก็ถือว่าเป็นปกตินะคะ แต่เดี๋ยวนะตอนนี้บนรถมีแค่ ไฮเอลฟ์ หนูน้อยเจ้าลัทธิ และคุณหมอแสนสวย กับคุณลุงคนขับนิ แล้วไหนละคะคนคุ้มกัน ? 

 

” ปกติแล้วคุณแอนนามากับใครบ้างเหรอคะ ? ” ฉันต้องถามดูเพื่อความแน่ใจคะ เพราะตอนนี้ไม่ว่าจะคิดยังไงฉันก็เหมือนจะเป็นคนที่รับหน้าที่ปกป้องทุกคนบนรถม้าไปโดยปริยาย

 

” ปกติแล้วจะมีคนของฝ่ายยามรักษาความปลอดภัยเดินทางมาด้วยค่ะ แต่ว่าตอนนี้เดินทางมากับท่านโนเอลร่าแถมยังมีท่านลูลิด้วยคิดว่าปลอดภัยแน่นอนค่ะ ” … ค่ะ ตามนั้น บางทีฉันเองก็อยากให้ตัวเองคิดผิดบ้าง แต่ก็ไม่เป็นไรค่ะไหน ๆ ก็ขอเดินทางมาด้วยแล้วเราก็ต้องทดแทนบุญคุณถูกต้องไหมคะ 

 

” ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ !! ระดับท่านโนเอลแล้วแม้แต่มอนสเตอร์ก็ไม่กล้าเข้าใกล้แล้วล่ะค่ะ เพราะสัมผัสได้ถึงความสุดยอดที่แผ่ออกมาจากตัวท่านโนเอลยังไงละคะ ! ” 

 

จู่ ๆ เจ้าลัทธิตัวน้อยก็พูดขึ้นต่อจากคุณแอนนาแทบจะทันที เอ่อคือจูน่าจังคะ ? ไอ้ที่ว่าความสุดยอดที่แผ่ออกมาเนี่ยมันฟังดูแปลก ๆ นะคะ อารมณ์เหมือนไม่กล้าเข้าใกล้เพราะฉันตัวเหม็นอะไรแบบนั้นเลยค่ะ แบบนั้นมันทำร้ายจิตใจกันนิดหน่อยนะคะเนี่ย ! 

 

” แหม ๆ อย่างก็คิดอย่างจูน่าจังเหมือนกันนะคะ ท่านโนเอลร่ามักจะเปล่งออร่าที่ดูศักดิ์สิทธิ์ออกมาอยู่ตลอดเวลาคิดว่ามอนสเตอร์ไม่กล้าเข้าใกล้เป็นแน่ค่ะ ” คุณแอนนาที่พูดสมทบคำพูดของจูน่าจังเหมือนกับมันถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์เลยค่ะ แล้วไอ้ออร่าที่ว่านั่นมันคืออะไรกันละคะ ! เดี๋ยวนะหรือว่าฉันจะมีกลิ่นตัวจริง ๆ ไม่ได้การแล้วค่ะ แบบนี้ต้องร่าย ‘ชะล้าง’ วันละ 2 รอบซะแล้วค่ะ ! 

 

แต่สุดท้ายฉันก็ไม่ได้พูดอะไรตอบกลับไปได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ ให้ทั้งสองคน เพราะเหมือนถ้ายิ่งแก้ตัวจะยิ่งเข้าใจผิดกันไปใหญ่แน่ ๆ ค่ะ เพราะเหมือนภาพจำบางอย่างตอนงานเลี้ยงขอบคุณมันลอยเข้ามาซะอย่างงั้น เหมือนว่าฉันจะเริ่มมีภูมิคุ้มกันมากขึ้นจากการเจอเหตุการณ์แบบนั้นซ้ำ ๆ ซะแล้วละค่ะ แต่ว่าอยู่กับเจ้าลัทธิตัวน้อยจะประมาทไม่ได้ค่ะ เพราะอะไรก็อาจจะเกิดขึ้นได้ 

 

ในระหว่างที่รถม้ากำลังเคลื่อนที่เรื่อย ๆ อยู่นั้นก็ผ่านทางที่มีต้นไม้มากมาย จริง ๆ แล้วถ้ามีต้นไม้หนาแน่นกว่านี้ก็อาจจะเรียกได้ว่าเป็นป่าเลยก็เป็นได้ค่ะ แต่ในระหว่างทางที่ผ่านกับต้นไม้นั้นเสียงที่ก้องดังก็เข้ามาในหัวอย่างกับประหลาดใจ

 

‘ ว้าว คุณเอลฟ์ละ ‘ 

‘ สวยจังเลย ‘ 

‘ จะไปไหนเหรอ ‘ 

 

เสียงของพวกคุณไม้ต้นข้างทางนั่นเองค่ะ จะว่าไปแล้วเหมือนว่าพอออกจากป่าที่ตัวเองอยู่มาเจอต้นไม้นอกสถานที่ก็เหมือนจะเจอคนแปลกหน้านั่นเองค่ะ แต่ไม่รู้ทำไมโทนเสียงที่ได้เหมือนกันราวกับเป็นคนเดียวกันซะอย่างนั้น 

.

.

.

เดินทางไปอีกสักพักก็มาถึงจุดที่ตั้งแคมป์พักค้างคืนกันแล้วค่ะ ต้องบอกว่ากว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ ก้นของฉันเหมือนกำลังโดนทรมานเลยค่ะ ไม่ใช่ในความหมายอย่างที่พวกคุณกำลังคิดหรอกนะคะ !!! หมายถึงมันระบมเพราะแรงสั่นสะเทือนจากรถม้าต่างหากค่ะ คราวหลังฉันควรจะต้องขี่ลูลิมาดีกว่าค่ะอย่างน้อยก็ไม่เจ็บก้นละนะ 

 

จุดที่ตั้งแคมป์เดินทางเข้ามาในป่าที่มีทางเดินรถม้าตรงกลางประมาณ 3 เมตร ตรงยาวเข้ามาประมาณ 4-5 กิโลเมตรได้จนมาพบกับบริเวณที่เป็นลานกว้างที่เป็นรูปวงกลมเล็ก ๆ รัศมีประมาณ 5 เมตรได้ เรียกว่าเป็นบริเวณที่แปลกดีเหมือนกันนะคะเนี่ย แต่เหมือนว่าป่านี้จะใหญ่พอสมควรเลยค่ะ เรียกได้ว่าน่าจะใหญ่กว่าป่าที่ฉันอาศัยอยู่ก็ได้ เพราะนอกจากลานกว้างแล้วไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็มีแต่ต้นไม้เต็มไปหมด 

 

ตอนนี้ก็พระอาทิตย์ตกดินแล้ว พวกคุณแอนนาและคุณลุงคนขับก็ทำการก่อไฟและเริ่มของเอาวัตถุดิบออกมาจากสัมภาระเพื่อประกอบอาหารค่ะ เรียกได้ว่ามีความเป็นแม่บ้านแม่ศรีเรือนสูงมากทีเดียวค่ะ ดูเหมือนเมนูจะเป็นซุปอะไรสักอย่างที่คล้ายกับสตูว์แต่คงจะไม่ใช่สูตว์หรอกค่ะ เพราะถ้าเป็นงั้นจริงคงต้องใช้เวลาเคี่ยวนานพอดู วัตถุดิบหลักเหมือนจะเป็นผักต่าง ๆ และมีเนื้อตากแห้งที่พอจะเป็นแหล่งโปรตีนรวมอยู่ด้วยเรียกว่าเป็นอาหารที่ใช้แก้ขัดแต่ก็ครบสารอาหารเหมือนเดิมค่ะ 

 

” ท่านโนเอลร่าไม่ทานเหรอคะ ? ” คุณแอนนาที่เหมือนจะเป็นห่วงที่เห็นฉันไม่แตะอาหารมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้วเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง 

 

” พอดีว่าไฮเอลฟ์แบบฉันกินแค่แอปเปิ้ลผลเดียวก็อิ่มตลอดทั้งวันแล้วน่ะค่ะ ” ฉันที่ตอบออกไปตรง ๆ อย่างไม่ปิดบังเพราะถ้าเกิดอ้ำอึ้งอยู่ละก็จะถูกคิดว่าอาหารไม่อร่อยแน่ ๆ ค่ะ 

 

” แบบนี้เองเหรอคะ ! ยอดไปเลย ! ” เอ๋ ? ไหงคุณแอนนาถึงดูชื่นชมแบบนั้นกันละคะ ? จะบอกว่ากินแต่แอปเปิ้ลแต่ลูกเดียวแล้วอิ่มทั้งวันมันดีงั้นเหรอคะ ? คิดยังไงก็ไม่เข้าใจเลยค่ะ แบบนั้นจะกินเนื้อไม่ได้นะคะ 

 

” มะ-มันสุดยอดขนาดนั้นเลยเหรอคะ ? ” อดไม่ได้ที่จะถามออกไปจริง ๆ ค่ะ กินแค่แอปเปิ้ลผลเดียวอิ่มเนี่ยมันสุดยอดตรงไหนกันนะ 

 

” ก็ถ้าหากว่าท่านโนเอลทานแค่แอปเปิ้ลผลเดียวอิ่มละก็ คงจะไม่เจ็บไข้ได้ป่วยเลยใช่ไหมละคะ ? ” อ๊ะ ! จะว่าไปก็จริงค่ะ ดูเหมือนสกิลติดตัวของไฮเอลฟ์ของฉันคือการที่จะได้รับการคุ้มครองจาก ‘พรคุ้มครองแห่งป่า’ ทำให้ไม่เจ็บไข้ได้ป่วยเลย แบบนี้เองสินะ 

 

” กะ-ก็คงประมาณนั้นแหละค่ะ ” ก็นะ สำหรับมนุษย์คนทั่วไปแล้วการที่ไม่มีวันเจ็บไข้ได้ป่วยนั้นเหมือนจะเป็นพรที่พระเจ้าประทานให้เลยก็ว่าได้ค่ะ แถมฉันที่เป็นไฮเอลฟ์ยังอายุยืนยาวมากอีกด้วย นี่ยังไม่รู้เลยค่ะว่าตัวเองจะอยู่ได้นานแค่ไหน เพราะในเกมก็ไม่ได้มีบอกไว้อย่างชัดเจนด้วย 

 

ในระหว่างรับประทานอาหารค่ำก่อนเข้านอนก็คุยเรื่องราวต่าง ๆ กันมากมาย ทั้งยังได้รู้คุณลุงคนขับเป็นคนพ่อค้าในหมู่บ้านโคลินที่ไปป้อมปราการเดธวอลเลย์อยู่บ่อย ๆ จะคอยนำสินค้าของหมู่บ้านไปขายหรือแลกเปลี่ยนและนำของอย่างอื่นกลับเข้ามาขายในหมู่บ้าน แต่เหมือนว่าคุณลุงคนขับจะเกร็งมากเวลาอยู่กับฉันจนไม่กล้าคุยด้วย ถึงว่าซิคะทำไมเงียบจัง 

 

ส่วนจูน่าจังที่ทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อยจนซุปเลอะปากเล็กน้อยดูน่ารักน่าชังจริง ๆ เลยค่ะฉันที่ไม่ได้กินซุปจึงยกให้จูน่าจังเหมือนเจ้าตัวจะดีใจมากจนรับไปกินราวกับว่าได้รับซุปจากพระผู้เป็นเจ้าเลยค่ะ ไม่รู้ฉันคิดไปเองหรือเปล่าเหมือนจะได้ยินแวว ๆ ว่า ‘ จะให้หกแม้แต่หยดเดียวไม่ได้ อาหารที่อ่านโนเอลมอบให้ต้องให้เข้าปากทั้งหมด ! ‘ 

 

คงจะคิดไปเองนั่นแหละค่ะ จูน่าจังคงไม่พูดอะไรไปเป็นตาแก่น่าขนลุกแบบนั้นหรอกค่ะ เอาเถอะการสนทนาระหว่างทานอาหารก็ดำเนินไปอีกสักพักจนจูน่าจังเริ่มง่วงหาวหวอดออกมาน่าเอ็นดู แต่ดูเหมือนว่าคุณแอนนากับจูน่าจังจะนอนในรถม้า ส่วนคุณลุงจะนอนในที่นั่งคนขับโดยมีถุงนอนด้วย ส่วนฉันน่ะเหรอคะ ตอนแรกทั้งสามคนจะยกด้านในรถม้าทั้งหมดให้แล้วจะไปนอนพื้นกันจนฉันได้ห้ามเอาไว้ยกใหญ่กว่าจะยอมฟัง 

 

เพราะยังไงซะฉันก็เหมือนจะต้องคอยเฝ้ายามให้ เพราะคนที่จะทำอะไรได้ในเหตุการณ์ฉุกเฉินก็เหมือนจะมีแค่ฉันค่ะ แต่ถึงจะบอกว่าเฝ้าแต่จริง ๆ แล้วคนที่เฝ้าคือลูลิซะมากกว่าฉันให้ลูลิกลับมาเป็นราชันย์หมาป่าตัวยักษ์เหมือนเดิม แล้วให้ทำหน้าที่เฝ้ายามแทนฉันค่ะ อะไรนะ ? โยนงาน เปล่าสักหน่อยค่ะ ! เรียกว่ามอบหมายงานตามลำดับต่างหาก 

 

เมื่อจัดการเรื่องเฝ้ายามเสร็จแล้วทุกคนก็เข้านอนตามปกติ คุณแอนนากับจูน่าจังนอนด้วยกันบนรถม้าส่วนคุณลุงคนขับก็นอนตรงที่นั่งคนขับตามที่คาดไว้ ส่วนฉันนอนข้างนอกกับลูลิโดยมีหมอนที่ทำจากราชันย์หมาป่าตัวใหญ่ขนนุ่ม ๆ นั่นเองค่ะ จะบอกให้ว่าสบายยิ่งกว่าหมอนที่โลกก่อนซะอีก ความนุ่มและความอบอุ่นเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบเลยค่ะ 

.

.

ไม่รู้ว่าฉันหลับไปนานแค่ไหนแต่รู้สึกตัวอีกทีคือตอนที่ลูลิสะกิดฉันให้ตื่นค่ะ  ฉันที่ตื่นขึ้นมาในสภาพงัวเงียกลางดึกที่ตอนนี้น่าจะเลยเที่ยงคืนไปเรียบร้อยแล้วได้แต่สงสัยว่าทำไมลูลิถึงได้ปลุกฉัน สีหน้าและแววตาของลูลิดูจริงจังราวกับมันเป็นเรื่องที่ประมาทไม่ได้ ฉันที่เห็นแบบนั้นจึงตบแก้มเบา ๆ เรียกสติพร้อมทั้งจัดระเบียบตัวเองให้เข้าที 

 

” มีอะไรเหรอลูลิ ” พอฉันถามลูลิก็พยักหน้าให้ครั้งหนึ่งก่อนจะส่ายหน้าไปบริเวณรอบ ๆ ป่าทั่วทุกทิศทางราวกับกำลังจะบอกว่ามีบางอย่างแฝงตัวอยู่ในป่าแบบนั้นละค่ะ 

 

ฉันที่มองไปบริเวณรอบ ๆ ก็ไม่เห็นอะไรผิดปกติแต่แล้วเสียงที่ก้องดังในหัวเมื่อตอนกลางวันก็โผล่เข้ามาอีกครั้งอย่างไม่ทันตั้งตัว

 

‘ ระวัง ‘

‘ มันมาเยอะเลย ‘ 

‘ อันตราย ๆ ‘ 

 

เสียงของพวกคุณต้นไม้ที่เหมือนกำลังเตือนบางอย่างดังก้องในหัว น้ำเสียงที่ฟังดูเป็นห่วงแฝงไปด้วยความหวาดกลัวยิ่งทำให้ฉันเริ่มเป็นกังวลขึ้นมาค่ะ ปกติแล้วเวลาแบบนี้ตอนสมัยอยู่ในเกมจะมีแผนที่ที่คอยบอกตำแหน่งของตัวเองและถ้าหากมีมอนสเตอร์ก็จะสามารถทราบตำแหน่งเหล่านั้นได้ไม่ยากแต่ ณ เวลานี้ไม่ใช่โลกในเกมอีกต่อไปแล้วนี่คือชีวิตจริง ทำให้ไม่รู้เลยว่ามีอะไรอยู่รอบ ๆ พวกฉันตอนนี้ค่ะ 

 

” ลูลิคอยระวังหลังให้ฉันหน่อยนะ ” ฉันที่กล่าวบอกกับลูลิเรียบ ๆ ก่อนจะได้รับการตอบรับเป็นการพยักหน้าหนึ่งครั้งเป็นสัญญาณบอกว่า ‘เข้าใจแล้ว’ จากนั้นฉันก็เปิดใช้งานสกิลทันทีค่ะ 

 

” ‘อาณาเขตเทวะ’ ” เป็นสกิลประเภทพื้นที่ที่จะครอบคลุมบริเวณรอบ ๆ ผู้ใช้งานเป็นรูปทรงกลมเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 10 เมตรค่ะ ผลของสกิลก็คือจะป้องกันมอนสเตอร์หรือผู้เล่นที่คิดจะเข้ามาโจมตี ปกติแล้วถ้าเป็นในเกมผู้เล่นที่จะโดนผลของสกิลนี้จะมีสัญลักษณ์ PK ขึ้นบนหัวนั่นแปลว่าพร้อมจะบวก แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะกันผู้เล่นได้แบบห้ามเข้ามาหรอกนะคะเพียงแต่จะถ้าหากผู้เล่นก้าวเข้ามาในสกิลนี้จะถูกลดค่าสเตตัสลง 10% ความเร็วจะลดลง 15 % ทำให้แต่ไม่รู้ว่าในโลกนี้จะวัดจากอะไร แต่สำหรับมอนสเตอร์แล้วถูกโจมตีจากสกิลเวทย์อัตโนมัติ

 

อาณาเขตนี้สามารถป้องกันมอนสเตอร์ได้จนถึงเลเวล 400 เลยทีเดียว ถ้าหากมอนสเตอร์ตัวไหนเข้ามาแตะอาณาเขตโดยไม่ระวังละก็จะถูกเวทย์ไฟระดับสูงเผาจนกลายเป็นไก่ย่าง ๆ แน่ค่ะ ที่จริงก็กางเอาไว้อุ่นใจนั่นแหละค่ะเพราะตอนนี้ไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ในป่ากันแน่แต่คิดว่าเป็นมอนสเตอร์ไม่ผิดแน่ ส่วนจำนวนก็ไม่ทราบเพราะงั้นฉันจึงให้ลูลิคอยเฝ้ายามเหมือนเดิม ลูลิที่ตอนนี้เลเวลน่าจะเกือบ 800 แล้วคิดว่าไม่มีมอนสเตอร์ที่เก่งกว่าลูลิโผล่ออกมาในป่านี้หรอกค่ะ แถมยังมีอาณาเขตของฉันอีกด้วย หายห่วงค่ะ !! 

.

.

.

 

ฮือออ.. ไม่รู้ว่าตอนนี้กี่โมงแล้วแต่เหมือนจะได้ยินเสียงโหวกเหวกดังเข้ามาเรื่อย ๆ เลยค่ะ ฉันที่พึ่งจะตื่นก็งัวเงียขยี้ตาแล้วหันไปมองตามที่มาของเสียงและก็เห็นจูน่าจัง คุณแอนนาและคุณลุงคนขับกำลังตกใจกับสิ่งที่ได้เห็นตรงหน้าค่ะ เกิดอะไรขึ้นกันนะ ว่าแล้วฉันก็เดินเข้าไปดูด้วยในสภาพคนที่พึ่งตื่นนอนค่ะ 

 

” มีอะไรกันเหรอคะ ? ” ฉันถามออกไปพลางขยี้ตาและใช้สกิล ‘ชะล้าง’ แบบเงียบ ๆ

 

พอเริ่มตาสว่างก็มองเห็นที่มาของความตกใจของทั้งสามคนค่ะ เพราะในรอบ ๆ บริเวณที่ตั้งแคมป์ที่พวกฉันนอนอยู่นั้นมีซากศพมอนสเตอร์จำนวนมากตายเกลื่อนอยู่ราวกับมหกรรมลดแลกแจกแถมไม่มีผิดค่ะ เอ๋ ? ทำไมมันถึงมีศพมอนสเตอร์เยอะแยะแบบนี้ได้ละคะ 

 

” นี่มันอะไรกันคะ ? ” ที่เหมือนจะพึมพำออกมาคนเดียวเบา ๆ แสดงความตกใจอย่างชัดเจนค่ะ เพราะแม้แต่ฉันก็ไม่สามารถทำความเข้าใจกับสถานการณ์ตรงหน้านี้ได้ 

 

” ทะ-ท่านโนเอลร่าคะ !! นี่หรือว่าท่านโนเอลเป็นคนจัดการพวกมอนสเตอร์พวกนี้ทั้งหมดเลยเหรอคะ !? ” เอ๊ะ ? ฉันเหรอคะ ทำไมคุณแอนนาถึงคิดว่าฉันเป็นคนทำกันละ นี่เห็นฉันเป็นคนป่าเถื่อนแบบนั้นเชียวเหรอคะ ? 

 

” ปะ-เปล่านะคะ เมื่อคืนฉันก็แค่กางอา- ” เอ๊ะ เหมือนจะมีความทรงจำรางๆ เข้ามาค่ะเมื่อวานฉันได้ใช้สกิล ‘อาณาเขตเทวะ’ ที่ช่วยกันมอนเตอร์ออกไป เดี๋ยวนะจะว่าไปมองศพของพวกมอนสเตอร์ก็มีแต่เหมือนโดนย่างจนดำอย่างกับถ่านค่ะ นี่อย่าบอกนะว่า …

 

” มันแน่นอนอยู่แล้วค่ะ !! เมื่อวานท่านโนเอลช่วยปกป้องพวกเราจากเหล่ามอนสเตอร์ชั่วร้ายพวกนี้ยังไงละคะ ” ฉันที่เหมือนสติหลุดลอยไปไกลเพราะนึกคิดถึงเรื่องเมื่อคืนไม่ได้ฟังในสิ่งที่เจ้าลัทธิตัวน้อยพูดขึ้นมาเลยค่ะ แต่เหมือนนั่นจะทำให้เรื่องยิ่งวุ่นกว่าเดิม 

 

” อย่างนี้นี่เอง ! สุดยอดไปเลยค่ะท่านโนเอลร่า ! ” 

 

” อะ-เอ๊ะ !? ก็คงอะไรประมาณนั้นแหละค่ะ ” ฉันที่โดนคำชื่นชมถาโถมขึ้นมาเผลอตอบตามน้ำไปอย่างดื้อ ๆ สะอย่างนั้น ง่า ! ช่วยให้เวลาฉันประมวลผลสักหน่อยสิคะ ! 

 

” คะ-คือว่าเมื่อวานฉันใช้เวทย์กางอาณาเขตเอาไว้เพื่อป้องกันมอนสเตอร์น่ะค่ะ อะ-อาจจะเป็นจากสาเหตุนั้นก็ได้ ”  ฉันอธิบายถึงที่มาของซากศพมากมายของมอนสเตอร์อย่างรน ๆ แบบคนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวค่ะ 

 

” สุดยอดไปเลยค่ะท่านโนเอลร่า ! ดูสิคะ ! มอนสเตอร์พวกนี้แม้แต่นักผจญภัยระดับ B หรือ A ก็ยังยากที่จะปราบเลยนะคะ อย่างพวก ไซคลอปส์ หรือ โทรลล์ เนี่ยเป็นมอนสเตอร์ที่ต้องใช้นักผจญภัยระดับ A ถึง 3 คนเชียวนะคะ ! ” 

 

เอ่อ…นั่นก็แค่มอนสเตอร์เลเวลประมาณ 200-300 เองนะคะ หรือว่าในโลกนี้มันจะกลายเป็นมอนสเตอร์ระดับมหาโหดไปแล้วงั้นเหรอ เอ๋ ? แล้วนี่ถ้าเจอมอนสเตอร์เลเวลระดับ 800-900 ที่ฉันเจอในเกมโลกนี่ไม่ระเบิดไปแล้วงั้นเหรอคะเนี่ย อะไรกันคะ แล้วนี่ฉันเผลอไปกำจัดมอนสเตอร์โดยไม่รู้ตัวอีกแล้วเหรอคะ ? ก็แค่ป้องกันตัวเองเท่านั้นนะ ถือว่าทำโดยไม่เจตนาแล้วกันค่ะ ขอให้ไปสู่สุคติก็แล้วกันนะคะเหล่ามอนสเตอร์คุง

.

.

.

 

(ป่าฝั่งตะวันออกนอกเมืองป้อมปราการเดธวอลเลย์) 

 

” แม่งเอ๊ย !! เกิดอะไรขึ้นกันแน่วะ ! มอนสเตอร์ที่ข้าอุตส่าห์รวบรวมมาถูกกำจัดไปกว่าครึ่งเนี่ยนะ ป่าฝั่งตะวันตกมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ หรือว่าพวกนักผจญภัยจะมุ่งไปจัดการกัน ! ” 

 

เสียงบ่นที่แฝงไปด้วยอารมณ์โมโหสุดขีดสบทออกมากลางป่าที่มีแสงอาทิตย์ส่องออกมาบาง ๆ อย่างอบอุ่นและเงียบสงบดังกังวานอยู่เสียงเดียวสะท้อนไปมาตามต้นไม้อย่างกับกำแพงที่มองไม่เห็น เผ่าปีศาจตนหนึ่งที่ตอนนี้กำลังควบคุมเหล่ามอนสเตอร์จำนวนมากกำลังนั่งอยู่บนก้อนหินขนาดใหญ่ที่อยู่ใจกลางของป่าฝั่งตะวันออกนอกเมืองป้อมปราการเดธวอลเลย์ 

 

” ชิ ! ถ้าเกิดว่าแผนการครั้งนี้สำเร็จละก็ ข้า ‘อิลตัส’ ผู้นี้ก็จะได้เลื่อนขั้นก้าวเข้าไปเป็น ‘ราชันย์ผู้บัญชาการกองทัพปีศาจ’ อยู่แล้วเชียว ! ” อิลตัสเผ่าปีศาจที่ตอนนี้กำลังหัวเสียอยู่กลางป่าโดยที่หาสาเหตุของมอนสเตอร์กว่าครึ่งที่ตนรวบรวมมาได้ตายไปกว่าครึ่ง 

 

อิลตัสที่แม้ในกองทัพเผ่าปีศาจก็เป็นเพียงแค่ระดับขุนพลเท่านั้น แม้จะมีฝีมือแต่ก็ยังด้อยไปกว่านักผจญภัยระดับ S อยู่มากจนเทียบไม่ติด ไหนจะจอมเวทย์เมอร์ริอาร์ของฝั่งมนุษย์ที่ว่ากันว่าเป็นจอมเวทย์ที่แข็งแกร่งที่สุดอีกด้วย ความพยายามที่จะเลื่อนตำแหน่งของตัวเองแม้จะไม่ได้แข็งแกร่งมีเพียงการสร้างผลงานให้เป็นที่ประจักษ์เท่านั้น 

 

ถ้าหากว่าสามารถทำลายเมืองป้อมปราการเดธวอลเลย์ที่เปรียบเสมือนเมืองหน้าด่านของอาณาจักรแอนวอลเลล์ได้ละก็คงเป็นผลงานครั้งใหญ่ที่ทำให้อิลตัสได้เลื่อนขั้นเข้ามาเป็น ‘ราชันย์ผู้บัญชาการกองทัพปีศาจ’ อย่างไม่ต้องสงสัย แต่แล้วความหวังและความพยายามนั้นก็เหมือนจะกำลังพังลงต่อหน้าเมื่อมอนสเตอร์ที่ตนรวบรวมมาถูกกำจัดอย่างปริศนาไปกว่าครึ่งที่ป่าฝั่งตะวันตก 

 

แต่เดิมอิลตัสที่วางแผนจะให้มอนสเตอร์บุกป้อมปราการเดธวอลเลย์จากทั้งทางฝั่งตะวันตกและตะวันออกพร้อมกันเลยได้กระจายกำลังของมอนสเตอร์ให้ประจำการที่ป่าแต่ละฝั่งเพื่อให้การป้องกันของป้อมปราการเดธวอลเลล์กระจายกำลังออกให้มากที่สุด เพราะจากที่ตรวจสอบมากำลังพลที่สามารถต่อกรมอนสเตอร์ได้มีเพียง 200 กว่าคนเท่านั้นเอง ยิ่งจำนวนที่นิดกว่าแล้วถูกแยกออกจากกันละก็ ป้อมปราการเดธวอลเลย์คงถูกทำลายอย่างแน่นอน 

 

ใช่ เรื่องทุกอย่างมันควรจะเป็นอย่างนั้น เพียงแต่กลับเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันอย่างการที่มอนสเตอร์กลับถูกกำจัดอย่างไม่ทราบสาเหตุความร้อนรนและเจ็บใจเข้าถาโถมอิลตัสอย่างตั้งตัวไม่ทัน แต่แล้วสิ่งที่ราวกับความหวังครั้งใหม่ก็ได้มาเยือน

 

” แกเองน่ะเหรอ คนที่ควบคุมมอนสเตอร์ที่จะบุกไปป้อมปราการของพวกมนุษย์น่ะ ” 

 

เสียงผู้หญิงที่ดูห้าว ๆ ที่ทั้งเย็นและคมราวกับใบมีดสะท้อนกังวานเข้ามาในหูของอิลตัสที่ตอนนี้กำลังหัวเสีย ทันทีที่ได้ยินก็อิลตัสก็หันหลังกลับไปก็พบกับสาวงามที่ผมสีแดงตัดสั้นรูปร่างสมส่วนแต่มีกล้ามเนื้อผิวสีแทนและอาวุธประจำตัวเป็นดาบใหญ่ที่ใหญ่เกินขนาดตัวของผู้ใช้ที่ดูไม่สมดุลเอาเสียเลย 

 

ไม่ว่าเผ่าปีศาจตนใดที่เมื่อเห็นรูปลักษณ์ดังกล่าวก็จะต้องหวาดกลัวและทำความเคารพอย่างเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากผู้ที่อยู่ตรงหน้าคือตนตัวที่อิลตัสใฝ่ฝันที่จะเป็นให้ได้นั่นคือ ‘ราชันย์ผู้บัญชาการกองทัพปีศาจ’ และไม่เพียงเท่านั้นผู้ที่เดินเข้ามาตรงหน้าคือผู้ที่ได้ชื่อว่าชื่นชอบการต่อสู้เป็นที่สุด ‘การล่มสลายสีชาด’ ‘ดันทาเลียน’ นั่นเอง

 

” ทะ-ทะ-ท่านดันทาเลียน !! ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ ! ” อิลตัสที่ตอนนี้สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เพราะไม่คิดว่าตนตัวที่ราวกับแม่ทัพของฝั่งปีศาจจะมาเดินคนเดียวกลางป่าแบบนี้ 

 

” ข้าได้ยินมาว่ามีเผ่าปีศาจที่คอยควบคุมมอนสเตอร์จะบุกเมืองมนุษย์ ก็คือแกเองใช่ไหม ” น้ำเสียงเย็นเฉียบและแหลมคมและสีหน้าที่เรียบเฉยแต่เย็นชาจ้องมองมาที่อิลตัสราวกับจะเค้นเอาความจริงที่สุดจะหยั่งออกมาให้ได้ 

 

” ชะ-ชะ-ใช่แล้วครับ ! ” 

 

” งั้นเหรอ ดูท่าจะมีปัญหาอยู่สินะ ” ดันทาเลียนที่ตอนนี้ถามออกมาอย่างสงสัยราวกับกำลังสนุก อิลตัสที่เห็นท่าทีผ่อนคลายลงจึงตอบกลับไปอย่างมีสติมากขึ้น

 

” คะ-ครับ มอนสเตอร์ที่ข้าให้ไปประจำที่ป่าฝั่งตะวันตกถูกกำจัดหมดสิ้นเลยครับ ” อิลตัสบอกไปอย่างไม่ปิดบังเพราะไม่แน่ว่าถ้าหากโกหกขึ้นมาหัวของตนคงหลุดออกจากบ่าเป็นแน่ 

 

” หืมม… งั้นเหรอ ” เสียงห้าว ๆ เย็น ๆ ตอบกลับมาสั้น ๆ อย่างคาดเดาไม่ได้ทำเอาอิลตัสเริ่มเป็นกังวลขึ้นมา 

 

” งั้นให้ข้าช่วยเอาไหมล่ะ ” คำพูดที่ไม่คิดว่าจะได้ยินสะท้อนเข้ามาในหูของอิลตัสอย่างไม่น่าเชื่อ 

(เอ๋ ? อะไรนะ ช่วยงั้นเหรอ ? หมายความว่าไง)

 

ความสงสัยมากมายเข้าถาโถมอย่างไม่กะทันหันต่ออิลตัส แต่แล้วความกังวลใจก็ลอยหายไปอย่างกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน 

.

.

.

.

 เหนื่อยสุดจะบรรยายเลยค่ะ หลังจากที่โดนจับมาเป็นแบบให้วาดรูปอยู่นานสองนานในที่สุดก็ได้เป็นอิสระค่ะ แต่พอนึกย้อนกลับไปแล้วบอกเลยว่าหัวจะปวดจริง ๆ  ค่ะ โดยเฉพาะคุณอีวานที่บอกให้เหล่าจิตรกรในหมู่บ้านบอกว่าวาดให้ได้รายละเอียดมากที่สุดเอาแบบทุกรูขุมขน เดี๋ยวนะคะ ? แบบนั้นมันจะละเอียดเกินไปแล้ว แล้วทุกรูขุมขนเนี่ยตรงไหนกันคะ !! น่ารังเกียจสุด ๆ ไปเลยค่ะ ! 

 

เอ๋ ? ฉันคิดมากไปเองงั้นเหรอคะ เอาเถอะยังไงตอนนี้ก็รอดออกมาจากสถานการณ์แล้ว แต่ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะมีจิตรกรอยู่ในหมู่บ้านนี้เป็นสิบคนแถมแต่ละคนเรียกได้ว่าระดับยอดฝีมือทั้งนั้นเลยค่ะ ถ้าหากว่าไปเรียนคณะศิลปกรรมศาสตร์คงได้ A กันถ้วนหน้าแน่ ๆ ค่ะ อยากจะให้ไปย้อนกลับไปช่วยฉันตอนเรียนมัธยมจริง ๆ เลยค่ะ 

 

แถมเรื่องที่จะสร้างรูปปั้นของฉันยังไม่ได้มีแค่นั้นค่ะ ทั้งคุณอีวานและคุณเฮเลนที่เหมือนจะโดนกาวอะไรบางอย่างเข้าไปในกระแสเลือดได้เอาเรื่องนี้ไปคุยกับพวกคุณคาเวลหัวหน้าหมู่บ้านกับสภาของหมู่บ้านกันอย่างจริงจังเป็นเรื่องเป็นราวเลยค่ะแล้วก็คงเดาไม่ยากว่าทั้งหมดเห็นด้วยเหมือนแทบไม่ต้องใช้เวลาคิดเลยค่ะ 

 

หมู่บ้านนี่เหมือนจะโดนอะไรบางอย่างควบคุมบังตากันหมดเลย โดยเฉพาะเวลาที่มีเจ้าลัทธิตัวน้อยอยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วยฉันรู้สึกอีกไม่นานต่อไปหมู้บ้านนี้จะต้องโดนเจ้าลัทธิตัวน้อยคนนี้ยึดแน่นอนค่ะ หรือตอนนี้อาจจะโดนยึดไปแล้วเรียบร้อย เอาเป็นว่าตอนนี้คงทำอะไรไม่ได้แล้วล่ะค่ะ เฮ้อยังไงฉันก็ควรจะทำตัวให้ชินสินะคะ 

 

ไหนจะเรื่องที่จูน่าจังบอกให้ลองโพสท่าต่าง ๆ เพื่อให้ดูยิ่งใหญ่หรืองดงามมากขึ้นอีก บอกตามตรงค่ะว่าโคตรจะอายเลย แค่ตอนที่ฉันใช้ ‘มหามนตราพิสุทธิ์’ ที่ต้องร่ายคำเบียว ๆ แบบนั้นออกมาก็ไม่รู้จะเอาหน้าไปมุดที่ไหนแล้วค่ะ ! แล้วยิ่งต้องมาโพสท่าอย่างกับนางแบบนี่มันไม่โอเคสุด ๆ เลยค่ะ สุดท้ายก็อายจนได้แต่ยืนเขิน ๆ หน้าแดงอย่างเดียวแต่เหล่าจิตรกรต่าง ๆ กระทั่งคุณอีวานยังบอกว่าแบบนี้แหละยอดเยี่ยมที่สุด !! ซะอย่างนั้น 

 

หลังจากที่ยืนเป็นแบบให้วาดรูปก็ล่อไป 2 ชั่วโมงเลยค่ะ แต่แน่นอนว่าฉันไม่ได้รู้สึกเมื่อยขาหรือเหนื่อยอะไร เพราะเหมือนว่าสกิลติดตัวของฉันจะทำงานตลอดเวลา ความเหนื่อยล้าเลยโดนสกิลทำให้หายไปอย่างไร้ที่ติ เรียกได้ว่ายืนข้ามคืนก็สบาย ๆ ค่ะแต่คงจะน่าเบื่อมากแน่ ๆ ตอนนี้ก็กลับมาที่บ้านต้นไม้แล้วค่ะ ลูลิที่ในระหว่างฉันโดนวาดรูปอยู่นั้นก็เหมือนจะเล่นกับพวกเล่น ๆ แล้วก็คนในหมู่บ้านเหมือนจะได้รับความนิยมมาก ๆ เลยค่ะ แล้วทำไมฉันถึงไม่ได้ไปเล่นแบบนั้นบ้างละคะเนี่ย !! 

 

วันนี้ก็เหนื่อยอีกแล้วค่ะ ไม่รู้ทำไมกันนะรู้สึกเหมือนกับว่าถ้าเจอกับจูน่าจังหรือพวกคุณวิเวียนละก็ชีวิตของฉันคงจะมีเรื่องปวดหัวอีกบานแน่ ๆ เลยค่ะ แต่ฉันกลับไม่ได้รู้สึกเกลียดเลยแม้แต่น้อยไม่รู้ว่าเพราะในตอนที่ฉันอยู่โลกเดิมฉันแทบไม่ค่อยได้ยุ่งเกี่ยวกับคนอื่นเลยหรือเปล่านะ 

 

ในตอนที่อยู่ในโลกจริงก่อนหน้าฉันที่เอาแต่ใช้ชีวิตแบบที่ไม่ค่อยได้มีเพื่อน วัน ๆ ก็เอาแต่เล่นเกมไม่ก็ทำในสิ่งที่ตัวเองสนใจเท่านั้น แม้จะไม่ถึงกับโดดเดี่ยวแต่ก็เรียกไม่ได้ว่าเหมือนคนปกติค่ะ ความเหงาที่เกิดขึ้นในจิตใจโดยที่ฉันเองก็ไม่รู้ตัวว่าเป็นแบบนี้ตั้งแต่ตอนไหน คนที่ฉันคุยด้วยก็แค่เพียง พ่อและแม่ เท่านั้นแม้กระทั่งญาติพี่น้องฉันก็ไม่ค่อยได้คุยด้วย และยิ่งเป็นลูกคนเดียวทำให้ความรู้สึกเหล่านี้มันทำให้ฉันกลายเป็นแบบนี้ได้แล้วค่ะ 

 

ก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองอยู่ไม่ได้หรอกนะ เพียงแต่ว่าฉันเองก็มีอยากสิ่งที่คนอื่นมีเช่นกัน อยากจะมีเพื่อนเยอะ ๆ อยากจะมีคนชวนไปเล่นไปดูหนัง อยากจะมีเพื่อนเวลาอ่านหนังสือบ้าง การพูดคุยพบปะของฉันกับเพื่อนเกิดขึ้นเฉพาะเวลามีงานกลุ่มไม่ก็เวลาจัดกิจกรรมที่ต้องมีการออกควาเห็นเท่านั้น สุดท้ายแล้วพอเลิกเรียนก็ต้องกลับหอใช้ชีวิตราวกับตัดขาดกับโลกภายนอกเช่นเดิม เป็นแบบนี้มาโดยตลอด 

 

ถึงแม้ตอนมัธยมจะได้อยู่กับคุณพ่อคุณแม่ แต่พอเข้ามหาวิทยาลัยฉันก็ต้องออกมาใช้ชีวิตคนเดียวตอนแรกก็รู้สึกกังวลอยู่หรอกค่ะ แต่แล้วฉันก็ได้มาเจอกับเกม Fantasy Garden ที่ช่วยปัดเป่าโลกแห่งความเหงาของฉัน เพื่อนในเกมที่คอยช่วยเหลือและชวนคุยอยู่ตลอด แม้จะไม่เคยเห็นหน้าหรือรู้ชื่อจริงเลยก็ตาม แต่กลับเหมือนได้รับการเติมเต็มในสิ่งที่ฉันโหยหามาโดยตลอด ราวกับเป็นเครื่องเยียวยาเลยค่ะ เพราะงั้นเมื่อมีเวลาว่างฉันถึงได้จมอยู่กับเกมเพราะเป็นเหมือนสถานที่ที่ฉันสามารถมีความสุขได้นั่นเอง 

 

แต่เมื่อมายังโลกนี้ ได้มาเจอจูน่าจังและพวกคุณโยฮันและเหล่าชาวบ้านคนอื่น ๆ  ราวกับโชคชะตาที่พัดพาฉันมาพบกับสิ่งที่ฉันไม่เคยเจอมาก่อน แม้ว่าจะโดนสรรเสริญจนอายหน้าแดง หรือแม้จะโดนเข้าใจผิดต่างๆ นานา หรือจะการที่ได้พูดคุยสนุกสนานกับคนอื่น ๆ มันทำให้ฉันรู้สึกมีความสุขมาก ๆ เลยค่ะ ชีวิตที่ฉันไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนพอมายังโลกนี้ก็ได้รับรู้แล้ว และฉันรู้สึกขอบคุณเหล่าชาวบ้านทุกคนจริง ๆ และแน่นอนว่าฉันจะไม่ยอมเสียสิ่งเหล่านี้ไปอย่างแน่นอนค่ะ …

 

พอคิดอะไรในหัวจนเพลินก็เดินมาถึงบ้านต้นไม้ซะแล้ว หลังจากที่ใช้สกิลเวทย์ ‘ชะล้าง’ ใส่ตัวเองเป็นกิจวัตรประจำวันก็เข้านอนทันที ความคิดของฉันพร้อมร้อยยิ้มเล็ก ๆ ช่วยทำให้สติของฉันกำลังจมดิ่งลงไปยังความมืดมิดที่ทำให้ผ่อนคลาย …

.

.

ไม่รู้เพราะว่าฉันเป็นประเภทตื่นเต้นเวลาจะได้ไปทัศนศึกษาหรือเปล่านะคะ เพราะตอนนี้เล่นเอาตื่นเช้ากว่าเดิมเพราะคิดว่าจะได้ลองเข้าเมืองดูตั้งแต่มาที่โลกนี้ก็รู้สึกตื่นเต้นอยู่ไม่น้อยเลยละค่ะ เอาล่ะ ๆ ยังไงตอนนี้ก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อมก่อนสินะ คิดได้แล้วก็ลงมือทำเลยแล้วกันค่ะ ! 

 

แน่นอนว่าต้องใช้ ‘ชะล้าง’ แล้วก็ออกไปหาอาหารกินค่ะ แต่ไม่ลืมที่จะเติมพลังเวทย์ (MP) ให้กับลูลิด้วยค่ะ ดูเหมือนว่าถ้าหากฉันใช้ MP ประมาณ 15 % จะทำให้ลูลิอยู่ได้อย่างสบาย ๆ โดยไม่รู้สึกหิวทั้งวันเหมือนกับเวลาที่ฉันกินแอปเปิ้ลเลยค่ะ ถึงปกติแล้วลูลิจะไม่แสดงอาการออกมาให้เห็นเลยก็ตามเหมือนจะเป็นศักดิ์ศรีของความเป็นราชันย์หมาป่าเลยนะ 

 

หลังจากที่เติมพลังเวทย์ให้ลูลิและเดินไปกินแอปเปิ้ลที่สวนเสร็จก็เดินทางไปที่ทางเข้าหมู่บ้านทันทีค่ะ คิดว่าน่าจะถึงเวลาที่นัดกันไว้กับคุณแอนนาพอดี 

 

ฉันกับลูลิพอเดินไปถึงหน้าหมู่บ้านก็เห็นรถม้าลากหนึ่งคันที่ใช้ม้า 2 ตัวลากค่ะ บนที่นั่งคนขับมีคุณลุงที่ดูใจดีนั่งอยู่ราวควบคุมรถม้าอยู่ค่ะ และข้าง ๆ รถม้าก็มีคุณแอนนา จูน่าจังและสองสามีภรรยาคุณโยฮันและคุณวิเวียนนั่นเองค่ะ คงจะมาส่งพวกฉันแน่ ๆ เลยไม่ก็อาจจะเป็นห่วงลูกสาวตัวน้อยก็เป็นได้ค่ะ แต่คุณวิเวียนเหมือนจะไม่ใช่ทั้งสองกรณีนั้น แต่เหมือนกำลังทำหน้าจะร้องไห้เพราะอิจฉาที่ลูกสาวได้ออกเดินทางไปกับฉัน

 

เอ่อ…คือคุณวิเวียนค่ะ แบบนั้นมันจะไม่ต่างจากเด็ก 7 ขวบที่ร้องไห้เพราะพ่อแม่ไม่พาไปสวนสนุกเลยนะคะ ? กลับกันไหงเจ้าลัทธิตัวลูกสาวกับทำตัวไม่เข้ากับวัยเสียอย่างนั้นแถมยังมีคนเรียกลูกพี่ หัวหน้า เต็มไปหมดนี่โลกใบนี้มันเกิดอะไรขึ้นกันคะเนี่ย ! 

 

” สวัสดีค่ะ ท่านโนเอลร่า ” คุณแอนนาที่เห็นฉันกับลูลิก็สวัสดีทักทายอย่างเป็นมิตรแน่นอนว่ามีพร้อมกับเส้นผมสีฟ้าเข้มและชุดที่ดูกลมกลืนไปกับสีผมได้เป็นอย่างดีค่ะ 

 

” สวัสดีครับท่านโนเอล ” คุณโยฮันก็ทักทายฉันในเวลาเดียวกันค่ะ ช่างเป็นคุณพ่อที่สุภาพและพึ่งพาได้จริง ๆ แต่ไม่รู้ทำไมคุณภรรยาแสนสวยที่อยู่ข้าง ๆ ถึงทำหน้าเหมือนจะร้องไห้พลางเอาผ้าเช็ดหน้าขึ้นมา

 

” ท่านโนเอล ! ฉันว่างอยู่นะคะ ! ให้ฉันไปด้วยได้ไหมคะ ! ” นั่นไงละ ไม่ทันขาดคำคุณวิเวียนก็ขอร้องพลางทำหน้าเหมือนเด็กที่กำลังจะร้องไห้เลยค่ะ 

 

” นี่วิเวียนไม่ได้หรอก คุณมีงานที่ต้องทำนะ อีกอย่างมันจะรบกวนท่านโนเอลด้วย ” ถึงจะไม่ได้รบกวนอะไรฉันก็เถอะค่ะ แต่ว่าถ้าหากให้คุณวิเวียนไปด้วยละก็มันจะมีสิ่งที่เรียกว่าบัฟเจ้าลัทธิแม่ลูกแพร่กระจายไปยังเมืองต่าง ๆ ก็เป็นได้ค่ะ เพราะฉะนั้นต้องไม่ให้สองแม่ลูกนี่ไปด้วยกัน 

 

ที่พูดไปไม่ใช่ว่าจะทำให้ครอบครัวคนอื่นแตกแยก แม่ลูกห่างเหินกันอะไรแบบนั้นนะคะ !! ฉันไม่ใช่คนแบบนั้นนะ แค่รู้สึกกับถ้าหากสองแม่ลูกเจ้าลัทธิอยู่ด้วยกันร่วมกับฉันละก็ มักจะเกิดเรื่องหัวจะปวดแน่นอนค่ะ ! เพราะงั้นจะต้องหาทางยับยั้งสิ่งนี้ให้จงได้ค่ะไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ! และแน่นอนว่าครั้งนี้ต้องขอบคุณ คุณโยฮันเช่นเคยค่ะ Good job ! คุณโยฮัน 

 

” นะ-นั่นสิคะคุณวิเวียนถ้าหากมีงานต้องทำก็ช่วยไม่ได้นะคะ ไม่ต้องห่วงเรื่องจูน่าจังหรอกนะคะ ฉันจะดูแลเองค่ะ ” 

 

” เรื่องจูน่าฉันไม่ห่วงเลยค่ะ ฮืออ… ” เดี๋ยว ๆ ๆ คุณแม่คะ ? ช่วยห่วงลูกสาวตัวน้อยน่ารักของตัวเองด้วยเถอะค่ะ แบบนี้เดี๋ยวจะโดนหาว่าเป็นคุณแม่ใจร้ายนะคะ 

 

” ฮ่า ๆ ผมก็ไม่ห่วงเช่นกันครับ เพราะไม่มีอะไรจะปลอดภัยไปกว่าที่ท่านโนเอลช่วยปกป้องแล้วละครับ ” คุณโยฮันเองก็ช่วยห่วงลูกสาวตัวเองหน่อยเถอะค่ะ !! แบบนี้ระวังจะมีพวกโลลิคอนจับจูน่าจังไปนะคะ แบบนี้น่าเป็นห่วงมาก ๆ เลยค่ะ ต้องจับมาปรับทัศนคติโดยด่วนค่ะ ! 

 

” คุณวิเวียนไม่เป็นไรนะคะ ยังมีครั้งหน้าอยู่อีกนะตอนนั้นเราไปด้วยกันอีกนะคะ ” คุณแอนนาที่ตอนนี้เหมือนพี่เลี้ยงเด็กกำลังปลอบคนที่อายุมากกว่าตัวเองอยู่ค่ะ ฉันว่าโลกนี้คงจะแปลกจริง ๆ นั่นแหละ

 

” ฮือออ… เข้าใจแล้วค่ะ ” คุณวิเวียนคอตกก้มหน้า เห็นแบบนี้ก็น่ารักดีนะคะเนี่ย แบบนี้มีหวังหนุ่ม ๆ ที่ชอบผู้หญิงประเภทคุณวิเวียนได้ตกหลุมกันรัว ๆ แน่

 

” ว่าแต่ท่านโนเอลร่า จะเดินทางไปกับพวกเราไหมคะ ? ” เอ๋ ? ทำไมคุณแอนนาถึงได้ถามฉันแบบนั้นกันคะ 

 

” หมายถึงอะไรงั้นเหรอคะ ? ” คงไม่ใช่ว่าจะไล่ให้ต้องเดินคนเดียวแบบแยกกันเดินทางอะไรแบบนั้นหรอกนะคะ ! ทำไมกันละ หรือฉันโดนรังเกียจแล้วเหรอคะ !

 

” ก็แบบว่าท่านโนเอลจะขี่ท่านลูลิไปไม่ใช่เหรอคะ ? ” 

 

อ๊ะ ! จริงด้วยค่ะ ฉันลืมคิดไปเลยว่าลูลิก็เดินทางไปกับฉันด้วยเหมือนกันแน่นอนว่าขนาดตัวของลูลิใหญ่มาก ด้วยความสูง 4 เมตรแน่นอนว่าใหญ่กว่ารถม้าเป็นไหน ๆ แถมยังเดินทางได้เร็วกว่าเร็วม้าอีกด้วย คุณแอนนาเลยคิดว่าฉันจะขี่ลูลิไปสินะคะ แน่นอนว่าฉันอยากจะนั่งไปกับคุณแอนนาและจูน่าจังค่ะ อีกอย่างถ้าหากขี่ลูลิไปละก็ไม่เกินข้ามวันก็คงถึงป้อมปราการเดธวอลเลย์แล้วแน่ ๆ  

 

แต่จะให้ลูลิวิ่งตามรถม้าคนเดียวก็น่าสงสารออกนะคะ ทำยังไงดีนะ แบบนี้คิดหนักเลยค่ะ เพราะปกติฉันเดินทางด้วยการเดินด้วยตัวเองไม่ก็ขี่ลูลิอยู่ตลอดทำให้สามัญสำนึกเกี่ยวกับการเดินทางของโลกนี้ไม่ได้เข้ามาในสมองน้อย ๆ ของฉันเลยค่ะ 

 

” นะ-นั่นสินะคะ จริง ๆ แล้วอยากจะนั่งรถม้าไปกับทุกคนน่ะค่ะ ” ท่านที่ตอบความต้องการใจจริงออกไป ก็ทำให้ทุกคนมองหน้ากันเหมือนกำลังคิดว่า แล้วหมาป่าตัวโตนั่นล่ะอยู่ คงจะต้องให้วิ่งตามไปละนะถึงจะรู้สึกผิดกับลูลิไปหน่อยแต่ก็คงทำอะไรไม่ได้ ฉันหันหน้าไปมองลูลิที่ตอนนี้กำลังส่ายหางไปมาอย่างน่าเอ็นดู 

 

” โทษทีนะลูลิ คงต้องให้เธอวิ่งตามรถม้าซะแล้วล่ะนะ ก็อยากจะให้ขึ้นรถเดินทางไปด้วยกันอยู่หรอกนะ แต่ตัวใหญ่แบบนี้คงไม่ไหวน่ะ ” ฉันที่พูดขอโทษกับลูลิทำหน้าตาเศร้า ๆ เล็กน้อยแต่ในจังหวะที่ลูลิเข้าใจคำพูดของฉันทันใดนั้นลูลิก็ได้หอนออกมาอย่างสนุกสนาน ‘โบ้ววว~’ เอ๋ ? ไม่ได้รู้สึกเสียใจเลยงั้นเหรอคะเนี่ย 

 

ทันใดนั้นตัวของลูลิที่เปล่งแสงเจิดจ้าจนแสบตา เหล่าทุกคนไม่ว่าจะพวกจูน่าจังหรือลุงคนขับรถม้าต่างก็ปิดตาอย่างกะทันหัน แสงสีขาวสว่างที่เปล่งออกมาจากตัวของลูลิค่อย ๆ มีขนาดเล็กลงเรื่อย ๆ ราวกับย่อขนาด รูปลักษณ์ใหญ่โตของราชันย์หมาป่าผู้ยิ่งใหญ่และน่าเกรงขามค่อย ๆ ถูกย่อขนาดลงเรื่อย ๆ จนเหลือแค่ขนาดของเท่ากับสุนัขตัวเล็กเท่านั้น และแสงสว่างเจิดจ้าก็ได้หายไปทิ้งไว้เพียงแต่หมาป่าตัวเล็กสีเงินน่ารักน่ากอด 

 

” ” เอ๋ !!? ” ” 

 

ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นรวมถึงฉันก็เปล่งเสียงตกใจออกมาเหมือนพร้อมใจเตรียมกันมาเลยค่ะ ทำไมน่ะเหรอคะ !! ตอนนี้ลูลิที่เป็นหมาป่าขนาดยักษ์ทรงสง่าและดูน่าเกรงขามกลายเป็นหมาป่าของเล็กน่ารักเหมือนกับลูกหมาป่าเลยค่ะ เรียกว่าตัวกลมเล็กน่ารักขนนุ่ม ๆ ฟูอีกต่างหาก ทันใดนั้นฉันที่เหมือนจะตั้งสติได้เป็นคนแรกเดินเข้าไปใกล้ ๆ แล้วย่อตัวลง

 

 

(ภาพจากเกม Seven Knights , ยืมมาครับ)

 

 

” นะ-นี่เธอลูลิงั้นเหรอ ? ” ลูกหมาป่าตัวเล็กน่ารักตรงหน้าพยักหน้าให้และส่ายหางไปมาอย่างน่ารัก แน่นอนชัดเจนว่าคือลูลิไม่ผิดแน่ค่ะ แต่เดี๋ยวก่อนนะ ลูลิมีสกิลแบบนี้ด้วยงั้นเหรอ ? ลำแสงที่เคยยิงไฮดร้าจนกลายเป็นผุยผงนั่นก็แล้ว ยังมีสกิลที่ฉันไม่รู้จักโผล่ขึ้นมาอีกแล้วค่ะ 

 

” น่าร้ากกกกกกกกก !!!~ ” เสียงที่ดังจากข้างหลังพร้อมแรงลมเบา ๆ ที่ร่างเล็ก ๆ วิ่งมาด้วยความเร็วสูงผ่านตัวฉันไปอย่างรวดเร็วก่อนจะเข้าไปกอดหมาป่าน้อยสีเงินน่ารักตรงหน้าซึ่งก็คือลูลิค่ะ 

 

คงไม่ต้องถามว่าภาพตรงหน้าคืออะไร จูน่าจังวิ่งพรวดเข้าไปกอดลูลิที่ตอนนี้ตัวเล็กยังกับตุ๊กตาและขมนุ่มฟู ๆ ก็น่าจะสบายอีกด้วย ไม่ใช่ ๆ ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องนั้นค่ะ แต่ทันทีที่ฉันตั้งสติได้นั้นแรงลมเบา ๆ ก็พัดมาอีกรอบคราวนี้เป็นร่างที่ใหญ่กว่าจูน่าจังแต่ก็ยังเป็นผู้หญิงวิ่งเข้าไปหาลูลิเช่นกัน

 

” กรี๊ดดดดดดด !! น่ารักอะไรอย่างนี้ !! ” คุณวิเวียนนั้นเองค่ะ แบบนี้คงต้องบอกว่าต้นไม้ล่นไม่ไกลลูกสินะ  หา ? อะไรนะคะ ? ฉันพูดผิดงั้นเหรอ เปล่าเลยค่ะ ! ก็ดูตรงหน้านี่สิคะ มันผิดจากที่ฉันพูดตรงไหนกันคะ ! 

 

” ว้าว ๆ ! น่ารักจังเลย ท่านลูลิสามารถย่อขนาดตัวได้ด้วยเหรอคะเนี่ย ” คุณแอนนาที่เดินมาสมทบพลางเอามือจับแก้มอย่างเขินอายเพราะทนเห็นความน่ารักของลูลิไม่ไหว แหมแต่คุณแอนนาที่ดูเป็นผู้เป็นคนที่สุดก็ยังไม่วายเลยค่ะ 

 

” คะ-คงงั้นแหละค่ะ ” ฉันเองก็ไม่รู้จะบอกยังไงดีเหมือนกันค่ะ เพราะฉันก็ไม่เคยเห็นสกิลนี้ของลูลิเหมือนกันตั้งแต่ที่อัญเชิญลูลิออกมาที่โลกนี้ หลาย ๆ อย่างก็เหมือนจะไม่เป็นไปตามในเกมที่ฉันเคยเล่นเลย ถ้าต่อจากนี้จะมีอะไรที่ลูลิทำให้ประหลาดใจอีกก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกแล้วค่ะ 

 

” งั้นแบบนี้ลูลิก็เดินทางไปพร้อมกันได้แล้วใช่ไหมคะ ” เมื่อคิดได้ว่าปัญหาเรื่องขนาดตัวของลูลิถูกแก้ไขแล้ว ก็หันไปถามคุณแอนนา 

 

” แน่นอนค่ะ ! ” คุณแอนนาตอบอย่างร่าเริง 

 

เมื่อตกลงกันได้แล้วก็เริ่มเดินทางค่ะ แต่เหมือนจะยุ่งยากตรงที่คุณโยฮันต้องมาพาตัวคุณวิเวียนกลับเพราะไม่ใช่แค่ไม่ได้เดินทางไปด้วยแต่พอได้เห็นรูปลักษณ์ที่แสนจะน่ากอดของลูลิแล้วยิ่งทำให้อยากจะไปด้วยมากขึ้นกว่าเดิมอีกค่ะ เรียกว่ากว่าคุณโยฮันจะลากกลับไปได้ ก็เล่นเอาเกือบ 20 นาทีเลยทีเดียว ส่วนเจ้าลัทธิตัวน้อยก็กอดลูลิไว้ไม่ปล่อยเลย ลูลิเองก็ดูเหมือนจะดีใจที่ถูกอุ้มเหมือนกัน ทำให้ส่ายหางไปมาอย่างน่ารักอย่างเคย 

 

เอ๊ะ !? แต่เดี๋ยวก่อนนะคะ แบบนี้ก็สามารถเอาลูลิเข้าไปในบ้านต้นไม้ได้แล้วสินะ แบบนี้ก็จะได้นอนด้วยกันได้แล้ว ยิ่งรูปร่างน่ารักแบบนี้ตอนนอนกอดคงจะรู้สึกดีไม่น้อยเลยละค่ะ ! 

 

และแล้วก็ออกเดินทางกันไปป้อมปราการเดธวอลเลย์เลยค่ะ !! 

.

.

.

 

(ฝั่งป้อมปราการเดธวอลเลย์) 

 

” แบบนี้เองสินะ โฮะ ๆ เป็นเรื่องใหญ่จริง ๆ นั่นแหละ ” เสียงหัวเราะอารมณ์ดีของเฒ่าชราที่ไม่ได้ดูบรรยากาศรอบข้างเลยดังก้องอยู่ในห้องของกิลด์มาสเตอร์ 

 

กิลด์มาสเตอร์ได้เชิญหนึ่งนักผจญภัยระดับ S ที่มีเพียง 4 คนในทวีป ตัวตนที่ทุกคนต่างบอกว่าเป็นเหล่านักผจญภัยที่แข็งแกร่งที่สุดเข้ามาเพื่อปรึกษาหารือเกี่ยวกับการรับมือเรื่องการอาละวาดของมอนสเตอร์ เนื่องจากอีกไม่นานมอนสเตอร์จำนวนที่มากกว่า 500 ตัวจะบุกมายังป้อมปราการแห่งนี้ หนำซ้ำระดับมอนสเตอร์ก็ยังไม่ใช่ระดับน้อย ๆ ขั้นต่ำคือ C ขึ้นไป แถมรวมทหารและนักผจญภัยของทั้งเมืองก็มีอยู่แค่ 260 คนเท่านั้น แต่จริง ๆ แล้วต้องบอกว่าทหารส่วนใหญ่จะปกป้องภายในตัวเมือง ทำให้ผู้ที่จะออกไปสกัดมอนสเตอร์นอกกำแพงเมืองได้มีแค่นักผจญภัยเท่านั้น 

 

” เรื่องก็เป็นแบบนี้แหละ ตาเฒ่าเค็นโซคงต้องขอยืมแรงหน่อย เรื่องค่าตอบแทนไม่ต้องเป็นห่วง ” กิลด์มาสเตอร์ข้อรองอย่างตรงไปตรงมาไม่มีอ้อม ในสถานการณ์แบบนี้ยิ่งดำเนินการเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี 

 

” ข้าเป็นนักผจญภัยนะ ยังไงก็ต้องตอบรับอยู่แล้วละ โฮะ ๆ ๆ ” เค็นโซหัวเราะออกมาอย่างไม่ทุกข์ร้อน ทั้งที่ได้ฟังเรื่องที่น่าหนักใจไปแล้ว แต่ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเพราะแม้จำนวนจะมากขนาดนั้น แต่กับนักผจญภัยระดับ S แล้วถือว่าไม่ใช่ปัญหาเพราะความเก่งกาจของนักผจญภัยระดับ S นั้นเรียกได้ว่าเท่ากับกองทัพทั้งกองเลยก็ว่าได้ 

 

” แต่ก็นะ ข้าเป็นนักดาบ คงจะจัดการรวดเดียวไม่ได้ซะด้วย ถ้าหากเป็นยัยหนูนั่นก็คงทำได้ไม่ยากสินะ โฮะ ๆ ” เค็นโซเอ่ยคำพูดออกมาราวกับเป็นจุดอ่อนของตนเอง 

 

แต่เดิมเค็นโซเป็นนักดาบชั้นเซียนที่ฝึกฝนมาอย่างยาวนาน แต่ด้วยทักษะของเค็นโซจะเน้นไปที่การต่อสู้แบบตัวต่อตัวหรือจำนวนน้อย ๆ เพราะวิชาดาบที่เน้นความเฉียบคบและรวดเร็วนั้นไม่ได้เหมาะกับจำนวนเข้าสู้ แม้จำนวนมอนสเตอร์จะไม่ใช่ปัญหาแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะกำจัดในทีเดียวได้หมด 

 

” หมายถึงใครงั้นเหรอ ? ” กิลด์มาสเตอร์เอ่ยถามเค็นโซราวกับสงสัยในคำพูดของเฒ่าชราตรงหน้า 

 

” ก็ยัยหนูนักอัญเชิญนั่นไง ถ้าเป็นยัยหนูนั่นคงอัญเชิญมอนสเตอร์ระดับสูงมาเป่าพวกมอนสเตอร์ที่อาละวาดได้ในทีเดียวละมั้ง โฮะ ๆ ” เค็นโซอธิบายถึงบุคคลที่ทำให้หวนนึกถึง หนึ่งในคนที่เคยร่วมงานกันในอดีต

 

” ริฮันน่าสินะ ” กิลด์มาสเตอร์ที่เดาออกว่าเค็นโซพูดถึงใครตอบออกมาอย่างอ่อนแรง 

 

ริฮันน่า หนึ่งในนักผจญภัยระดับ S อีกคนในทวีป ได้ฉายาว่า ‘ นักอัญเชิญสัตว์มายา ‘ ผู้ที่สามารถอัญเชิญสัตว์มอนสเตอร์ระดับสูงที่แข็งแกร่งออกมาได้ จนผู้คนต่างยกย่องว่าสามารถอัญเชิญมอนสเตอร์มาถล่มประเทศได้หากทำให้เธอโมโหขึ้นมา ริฮันน่าแม้ปัจจุบันจะไม่ทราบถึงตำแหน่งแต่ก็เป็นคนที่เคยทำงานร่วมกับเค็นโซมาก่อน 

 

” โฮะ ๆ แต่ยัยหนูคงไม่สนใจเรื่องแบบนี้หรอกนะ วัน ๆ เอาแต่ค้นหามอนสเตอร์หายากที่แข็งแกร่งจนเดินทางไปทั่วทวีปเลยนินา ตอนนี้ไปอยู่ไหนแล้วก็ไม่รู้ ” เค็นโซเอ่ยออกมาราวกับรู้จักบุคคลที่ตนเอ่ยถึงเป็นอย่างดี 

 

ริฮันน่าเป็นนักอัญเชิญแน่นอนว่าความสนใจของเธอจะอยู่ที่การหามอนสเตอร์แข็งแกร่งที่อยู่ทั่วโลก ในฐานะที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านมอนสเตอร์แล้วทำให้ริฮันน่ามาเป็นนักผจญภัยเพื่อที่หวังจะวิจัยเกี่ยวกับสัตว์มอนสเตอร์ต่าง ๆ แต่ด้วยพรสวรรค์และความสามารถทางเวทย์อัญเชิญที่เหนือล้ำไปกว่าคนอื่น ๆ ทำให้เธอสามารถเกี่ยวขึ้นมาเป็นนักผจญภัยระดับ S ได้ในที่สุด 

 

” เรื่องนั่นช่างมันเถอะ จะไปหวังจากคนที่ตอนนี้ไม่รู้ที่อยู่ก็คงไม่ได้ ว่าแต่ว่าฉันมีความสังสัยอยู่เรื่องหนึ่ง ” กิลด์มาสเตอร์ที่พูดปัดตกเรื่องของริฮันน่าไปอย่างรวดเร็วพลางปล่อยความสงสัยออกมาทางสีหน้าให้เค็นโซรับทราบ

 

” เรื่องที่ทำไมมอนสเตอร์ถึงได้มารวมตัวกันจำนวนมากขนาดนี้สินะ ” เค็นโซที่ดูเหมือนจะสงสัยในเรื่องเดียวกันกับกิลด์มาสเตอร์พูดราวกับเดาคำตอบได้

 

” ใช่แล้ว เหมือนกับมีใครบางคนสั่งการอยู่อย่างนั้นแหละ ” 

 

” โฮะ ๆ เจ้าจะบอกว่าอาจจะเป็นฝีมือของเผ่าปีศาจสินะ ” เค็นโซที่ตอนนี้มองทะลุลงไปในแววตาของกิลด์มาสเตอร์ราวกับจะล้วงเอาคำตอบออกมาจากก้นบึ้งของจิตใจ 

 

” นายเองก็รู้สึกเหมือนกันสินะ เพราะเผ่าปีศาจมีความสามารถในการควบคุมมอนสเตอร์ ทำให้คิดได้ว่าเรื่องครั้งนี้อาจจะเป็นฝีมือของเผ่าปีศาจสักตนก็ได้ ” กิลด์มาสเตอร์สันนิษฐานแนวคิดของตนออกมาอย่างเปิดเผยด้วยสีหน้าที่ดูครุ่นคิดอย่างสุขุม 

 

” โฮะ ๆ ดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะมีกลิ่นที่รุนแรงเลยทีเดียวนะ ” 

.

.

.

.

(ฝั่งป้อมปราการเดธวอลเลย์) 

 

” เอ๋ !? คนคนนั้นอยู่ที่เมืองนี้ด้วยเหรอครับ ! ” นักผจญภัยหนุ่มจากกลุ่มเหยี่ยวสีน้ำเงินที่นั่งฟังมาโดยตลอดขึ้นเสียงถามอย่างตกใจกับคำที่นายกของเมืองนี้ได้พูดออกมาอย่างเก็บอาการไม่อยู่กับกิลด์มาสเตอร์ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ 

 

” ข่าวไปถึงเร็วเหมือนเคยเลยนะ ” กิลด์มาสเตอร์หันไปพูดกับนายกที่ตอนนี้นั่งกอดอกพลางหลับตาลงอยู่อย่างเงียบ ๆ 

 

หากพูดถึงนักผจญภัยระดับ S แล้วละก็แน่นอนว่าย่อมไม่มีใครที่จะสามารถรู้ที่อยู่หรือตำแหน่งที่แน่นอนของพวกเขาได้เลย แม้แต่บางคนยังไม่เคยเห็นเจอหรือเห็นหน้าเลยด้วยซ้ำมีเพียงนักผจญภัยระดับสูงที่เคยร่วมงานด้วยกันไม่ก็ระดับกิลด์มาสเตอร์เท่านั้นที่จะรู้จักนักผจญภัยระดับ S ได้ ยิ่งที่อยู่หรือตำแหน่งยิ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทราบ 

 

ด้วยความที่นักผจญภัยระดับ S ที่อิสระถึงระดับนั้น แม้แต่กิลด์ก็ยังไม่สามารถบังคับนักผจญภัยเหล่านี้ได้ทำให้ตัวจนของนักผจญภัยระดับ S เป็นสิ่งที่เรียกได้ว่าตัวยุ่งยากไม่ต่างไปจากภูตผีเลยก็ว่าได้ บางคนที่มักจะทำเฉพาะงานที่ตนสนใจ บางคนที่กว่าจะโผล่หน้าออกมาสักครั้งก็ล่อไป 5 ปี จนคนคิดว่าหายสาบสูญไปแล้ว และหนึ่งในนั้นคือผู้ที่ได้ชื่อว่าอาวุโสที่สุดในบรรดานักผจญภัยระดับ S ปราชญ์แห่งดาบ เค็นโซ

 

ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นบุรุษที่แตกฉานในวิชาดาบอย่างถ่องแท้ ไม่มีใครทราบอายุที่แท้จริงของผู้อาวุโสคนนี้ได้แต่คาดเดากันไปต่างๆ นานา แต่คาดว่าไม่ต่ำกว่า 100 ปี และแน่นอนว่านักผจญภัยผู้นี้ไม่ใช่มนุษย์แต่เป็นดวอร์ฟ (คนแคระ) นั่นเอง แม้จะเป็นเผ่าคนแคระที่ตัวเล็กแต่นั่นเป็นเพียงรูปลักษณ์เท่านั้น ซึ่งทุกคนที่เป็นนักผจญภัยรู้จักกันดี แม้แต่เหล่าทหารอัศวินของอาณาจักรก็เช่นกัน การที่นายกรัฐมนตรีเมืองนี้ทราบถึงการมาถึงของเค็นโซนั่นเรียกได้เป็นข้อมูลที่มีค่าอย่างยิ่ง

 

” จริงอยู่ที่ข้าเองก็ได้รับข่าวการมาถึงของหมอนั่นแต่ว่าตอนนี้ไม่รู้ว่าอยู่ส่วนไหนของเมืองเหมือนกัน หรือจะอยู่นอกเมืองก็ไม่อาจทราบได้ ” กิลด์มาสเตอร์ที่ช่วยตอบแทนนายกให้กับความสงสัยของหนุ่มนักผจญภัยเหยี่ยวน้ำเงิน 

 

” ถ้าอย่างนั้นเราให้ท่านเค็นโซมาช่วยอีกแรงกันเถอะครับ ” หนุ่มทหารที่ยืนอยู่ข้างหลังนักรบเกราะสีเงินที่เป็นผู้บัญชาการก็ได้ออกความเห็นที่ไม่ว่าใครก็ต่างคิดแบบเดียวกันออกมา 

 

” พอจะเป็นไปได้บ้างหรือเปล่า ? ” ผู้บัญชาการทหารเกราะสีเงินเอ่ยถามกิลด์มาสเตอร์ที่กำลังกอดอกครุ่นคิดอย่างเงียบ ๆ 

 

” เราลองติดต่อไปแล้วแต่ตอนนี้ยังไม่ได้รับการตอบกลับ ” กิลด์มาสเตอร์พูดออกมาเรียบ ๆ อาจเป็นเพราะได้ลองติดต่อไปก่อนแล้ว พอไม่ได้รับการตอบกลับจึงไม่อยากจะเอาความหวังลม ๆ แล้ง  ๆ พูดขึ้นมาในที่ประชุม

 

” เรื่องค่าใช้จ่ายทางฉันจะเป็นคนรับผิดชอบเองยังไงก็ฝากด้วยล่ะ” นายกรัฐมนตรีที่ดูจะมีความหวังเสนอความรับผิดชอบเรื่องค่าใช้จ่ายทั้งหมดโดยไม่เสียดาย ในฐานะที่นายกรัฐมนตรีของเมืองที่มีชีวิตประชาชนมากมายกำลังตกอยู่ในอันตรายละก็ไม่ว่าราคาจะมากมายเพียงใดก็ไม่อาจหวั่นไหวได้

.

.

.

 

ท่ามกลางเมืองที่มีผู้คนพลุกพล่านไม่ว่าจะพ่อค้าแม่ค้าหรือชาวเมืองลูกเล็กเด็กแดง ที่ไม่อาจรู้ได้ว่าอีกไม่กี่วันจะเกิดการบุกครั้งใหญ่ของมอนสเตอร์จำนวนมาก ภาพบรรยากาศที่ดูสนุกสนานและเต็มไปด้วยความสุขนั้นมีเฒ่าชราตัวเล็กคนหนึ่งกำลังเดินอยู่ราวกับกำลังหลงทางหาจุดหมายไม่เจอ ทำได้เพียงแต่ถามทางจากกลุ่มเด็กน้อยที่กำลังเล่นกันอย่างสนุกสนาน

 

” ขอโทษนะไอ้หนู พอจะรู้ไหมว่ากิลด์นักผจญภัยไปทางไหนเหรอ ” เฒ่าชราที่ใช้ไม้เท้าค้ำยันร่างกายเล็ก ๆ ถามเด็กหนุ่มวัย 12 ขวบที่กำลังเล่นกับพวกเด็ก ๆ ที่อายุน้อยกว่าราวกับเป็นพี่ใหญ่ของกลุ่ม

 

” เอ๊ะ กิลด์นักผจญภัยเหรอ อยู่ใกล้ ๆ ลานน้ำพุกลางเมืองน่ะปู่ ” เด็กหนุ่มตอบพลางชี้ออกไปอย่างร่าเริงพร้อมหันหน้าออกไปทางที่ตนชี้ แต่แล้ว..

 

” เอ๊ะ อ้าว … คุณปู่เมื่อกี้หายไปไหนแล้วอะ ” จู่ ๆ พอหันกลับมาคุณปู่ที่ตัวเล็กก็ไม่อยู่เสียแล้ว เหล่าเด็ก ๆ นี่หันหน้าถามกันอย่างกับว่าต้องการคำตอบว่าเมื่อกี้มันเกิดอะไรขึ้น แต่ด้วยสายตาระดับคนทั่วไปไม่อาจจะมองเห็นการเคลื่อนไหวของเฒ่าชราผู้นี้ได้ ทันทีที่ได้ฟังเด็กหนุ่มบอกทางก็ได้เริ่มขยับขาออกวิ่งทันที แต่ด้วยความเร็วระดับเหนือมนุษย์ทำให้ดูราวกับหายตัว

 

” เอ… น้ำพุกลางเมือง ๆ ? ” เฒ่าชราที่ตอนนี้กำลังมองหาน้ำพุกลางเมืองตามที่เด็กหนุ่มบอกแต่ดูเหมือนจะกำลังหลงทางอีกตามเคย ไม่ว่าจะหันซ้ายหันขวาก็ไม่เห็นน้ำพุที่ว่านั่นเลย 

 

( เอาอีกแล้วหรือนี่ ข้าหลงทางอีกแล้ว เฮ้อ… ) 

 

แม้จะได้ชื่อว่าปราชญ์แห่งดาบที่ผู้คนต่างยกย่องว่าเป็นนักดาบมือหนึ่งของโลก แต่ข้อเสียที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของปราชญ์เฒ่าผู้นี้คงหนีไม่พ้นการหลงทิศหลงทางสุดจะบรรยาย การเคลื่อนไหวที่รวดเร็วจนเรียกได้ว่าตาของคนทั่วไปไม่อาจมองทันและความชราที่ยิ่งทำให้ประสาทสัมผัสทางการรับรู้ทิศทางเสื่อมถอยด้วยเหตุผลสองประการนี้เองทำให้ปราชญ์แห่งดาบผู้นี้ไม่เคยมีใครได้พบเห็นตัวหรือแม้จะตามตัวของเขาทัน 

 

ทั้งชีวิตที่อุทิศตนให้กับการขัดเกลาวิชาดาบมาอย่างยาวนานหลายร้อยปี อายุขัยที่ยาวนานกว่าชีวิตของมุนษย์ทั่วไปนับเป็นโชคอย่างหนึ่งของเค็นโซที่สามารถฝึกฝนต่อได้อย่างที่คนทั่วไปไม่สามารถทำได้ จนในที่สุดตนก็ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นนักดาบที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกแม้แต่ แม่ทัพผู้บัญชาการสูงสุดอย่างกาเฮริสก็ไม่อาจเทียบได้ 

 

” กำลังมองหาอะไรอยู่เหรอคะ ” หญิงสาวร้านขายดอกไม้ที่มองเห็นคุณปู่ชราผู้ที่ยืนอยู่หน้าร้านของตนอย่างกับคนแก่ที่โดนหลานเอามาทิ้ง อดไม่ได้ที่จะมองดูอยู่เฉย ๆ จึงได้เข้าไปไถ่ถาม 

 

” ข้ากำลังหากิลด์นักผจญภัยน่ะแม่หนู ” เท็นโซที่เห็นถึงน้ำใจเด็กสาวที่เป็นห่วงตนที่เหมือนจะหาทางไปต่อไม่เจอ ได้ตอบไปอย่างขอความช่วยเหลืออย่างอับจนหาทาง 

 

” เอ๋ ? แต่นี่มันอยู่อีกฝั่งของเมืองเลยนะคะ ” เด็กสาวที่เหมือนจะตกใจที่คุณปู่คนนี้ถามหากิลด์นักผจญภัยทั้งที่อยู่คนละฝั่ง 

 

” อย่างงั้นหรอกเหรอ ขอโทษนะแม่หนูช่วยพาข้าไปหน่อยจะได้หรือเปล่า ” เค็นโซที่ขอร้องออกมาราวกับคนหมดหมดอาลัยตายอยากเพราะรู้ตัวเองดีว่าหากเดินไปด้วยตัวเองทั้งวันก็คงไม่ถึงที่หมายเป็นแน่ 

 

” ก็ได้อยู่หรอกนะ แต่ฉันขอค่านำทางหน่อยแล้วกันนะคะ ” เด็กสาวตอบรับคำขอของเฒ่าชราพร้อมกับยื่นข้อเสนอให้ราวกับไม่ยอมปล่อยให้โอกาสนี้หลุดมือออกไป 

 

” โฮะ ๆ ๆ เอาอย่างนั้นก็ได้ ”  เค็นโซหัวเราะออกมาอย่างชอบใจก่อนจะเดินไปอย่างช้า ๆ พร้อมกับเด็กสาว

 

เมื่อเดินมาได้ประมาณ 10 นาทีก็มาถึงที่หมาย ตึกสูง 2 ชั้นที่สร้างจากไม้ทั้งหลังอย่างสวยงาม มีป้ายเขียนเอาไว้ว่า ‘กิลด์นักผจญภัย’ ข้างหน้ามีประตูไม้ขนาดเล็ก 2 บานที่ใช้วิธีผลักโยกเยกไปมา รวมทั้งมีโต๊ะหลายตัวและคนนั่งอยู่มากมายอยู่หน้าตึกของกิลด์นักผจญภัย เมื่อเค็นโซรู้ว่าที่แห่งนี้คือจุดหมายของตนจึงได้ตอบแทนเด็กสาวไปเป็นเงินจำนวนหนึ่งที่แม้แต่เด็กสาวก็อ้าปากค้างแต่ก็รับไว้อย่างดีใจ แล้วก้าวเท้าเข้าไปในกิลด์อย่างเรียบ ๆ 

 

” เฮ้ย ๆ ! ตาแก่ที่นี่ไม่ใช่บ้านพักคนชรานะเว้ย มาทางไหนกลับไปทางนั้นเลยไป ! ” นักผจญภัยหนุ่มที่มีกล้ามเป็นมัด ๆ สวมเกราะเบาที่โชว์ให้เห็นถึงกล้ามเนื้ออันสวยงามที่ฝึกมาเป็นอย่างดี ใบหน้าที่ดูโหดและหยาบกร้านที่มีหนวดและเคราดกดำอยู่อย่างหนาแน่นพูดยั่วยุเมื่อเห็นคนเฒ่าชราเดินเข้ามาในกิลด์

 

” โฮะ ๆ ๆ เด็กสมัยนี้ช่างแข็งแรงกันจริง ๆ เลยนะ ” เค็นโซที่ประเมินร่างกายของนักผจญภัยที่เข้ามาหาเรื่องตัวอย่างไม่ใส่ใจกับคำพูดแต่กลับชื่นชมร่างกายที่ดูล้ำบึกนั่นอย่างเปิดเผย 

 

” หา !? นี่กำลังกวนประสาทข้าอยู่หรือไงตาแก่ ! ” นักผจญภัยเคราดำที่เห็นว่าเฒ่าชราผู้นี้ไม่สนใจคำพูดของจนเกิดความโมโหขึ้นมาบนใบหน้าแดงก่ำ จนเผลอออกหมัดตรงดิ่งไปยังเฒ่าชราตัวเล็กที่เตี้ยกว่าตนมากราวกับเด็กเล็กก็ไม่ปาน เสียงดังเหล่าคนมุงดูอยู่กำลังสังเกตสถานการณ์อย่างไม่วางตากับเหตุการณ์ตรงหน้า ถ้ามองดูเผิน ๆ อาจจะคิดได้ว่านักผจญภัยกำลังรังแกคนแก่ก็เป็นได้ แต่แล้วเสียงต่อมาที่ทำให้คนทั้งกิลด์ได้อึ้งตาค้างเหมือนกันก็คือ… 

 

” โฮะ ๆ ๆ  เจ้าเคลื่อนไหวดีนี่ แต่ออกจะเสียเปล่าไปหน่อยนะ ” เฒ่าชราที่ตัวเล็กยังกับเด็กยืนอยู่บนไหล่ของนักผจญภัยที่พุ่งเข้ามาต่อยพร้อมกับชักดาบที่ซ่อนอยู่ในไม้เท้าออกมาจ่อที่คอของนักผจญภัยเคราดำจนมีหยดเลือดไหลออกมาเล็กน้อย เหงื่อที่ผุดออกมาจากร่างกายที่กำลังสั่นกลัวพร้อมทั้งร่างกายที่แข็งทื่อไปเป็นที่เรียบร้อยเป็นเครื่องยืนยันถึงความต่างชั้นของทั้งคู่ได้อย่างชัดเจน 

 

ภาพที่เหล่าคนมุงดูไม่อาจทำความเข้าใจได้สะท้อนในสายตาหลายสิบคู่ ความตกตะลึงจนเกิดความเงียบทั่วทั้งกิลด์นักผจญภัยไม่มีแม้แต่เสียงลมหายใจที่เข้าหูให้ได้ยิน เพราะหากกะพริบตาเพียงครู่เดียวก็อาจจะตามเหตุการณ์ไม่ทันอีกครั้งเป็นแน่ 

 

” กะ-กะ-แกเป็นใครกันแน่ ตะ-ตาแก่ ” เสียงที่สั่นกลัวสุดขั้วหัวใจที่เวลานี้มีคมดาบจ่ออยู่ที่คอเปล่งออกมาอย่างกับคำติดอ่าง แต่แล้วความหวั่นใจที่ได้ประสบเมื่อครู่ก็ผ่อนคลายลงเมื่อคมดาบที่ว่าถูกเอาออกจาอค่อที่ตอนนี้มีรอยเฉือนเล็ก ๆ พอมีเลือดหยด 

 

” โฮะ ๆ ๆ ก็แค่ตาแก่ที่ผ่านทางมาก็เท่านั้นแหละ ” เสียงตอบกลับที่ดูไม่ทุกข์ร้อนและร่าเริงไม่สมกับวัยของผู้ที่เปล่งเสียงพูดออกมา เมื่อสิ้นเสียงหายไปแรงกดทับเบา ๆ ของนักผจญภัยเคราดำก็รู้สึกหายไป แน่นอนว่าร่างเล็ก ๆ ของเฒ่าชราก็หายไปเช่นกัน รู้สึกตัวอีกทีก็ลงมาอยู่บนพื้นตามปกติตรงหน้าของนักผจญภัยเคราดำที่ตอนนี้ล้มนั่งหงายหลังไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

‘ เฮ้ย ! เอาจริงดิ ! มองตามไม่ทันสักนิด ! ‘ 

‘ ปราบเจ้าหมีทมิฬได้อย่างสบาย ๆ เลยด้วย ‘ 

‘ ตาแก่นั่นเป็นใครมาจากไหนกันวะ ! ‘

 

เสียงที่ดังรอบข้างที่มีหลากหลายอารมณ์ปะปนกันไป ทั้งตกใจ ชื่นชม และหวาดกลัว ใครจะคิดว่าเฒ่าชราตัวเล็กอย่างกับเด็กที่แม้ขนาดเดินจะใช้ไม้เท้าค้ำยันร่างกายตัวเองจะสามารถเคลื่อนไหวได้รวดเร็วถึงขนาดนี้เท่านั้นยังไม่พอ ยังสามารถเอาดาบไปจ่อคอนักผจญภัยเคราดำที่เป็นระดับ B ได้อย่างสบาย ๆ อีกด้วย เมื่อเสียงที่ดังเอะอะแผร่กระจายอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ประตูไม้เล็ก ๆ สองบานของกิลด์นักผจญภัยก็เปิดอีกครั้งพร้อมกับการมาถึงของกลุ่มคนประมาณ 4-5 คน และหนึ่งในนั้นคือกิลด์มาสเตอร์

 

 

” มาถึงก็ก่อเรื่องเลยงั้นเหรอ ตาเฒ่าเค็นโซ ” กิลด์มาสเตอร์ที่พอจะเดาสถานการณ์ต่าง ๆ ออกจากหลาย ๆ อย่างตรงหน้าไม่ว่าจะร่างของนักผจญภัยเคราดำที่ตอนนี้ล้มไปนั่งกองที่พื้นในสภาพหวาดกลัวพร้อมทั้งเลือดที่ไหลออกมานิด ๆ จากบริเวณคอ ไหนจะสีหน้าของคนที่มุกดู ต่าง ๆ ก็เช่นกัน

 

 

” โฮะ ๆ ๆ ข้าก็แค่เล่นด้วยนิดหน่อยเท่านั้นเอง ” เค็นโซที่หัวเราะอย่างชอบใจราวกับได้เจอคนรู้จักมาเนิ่นนาน แน่นอนว่าทั้งกิลด์มาสเตอร์และเค็นโซต่างรู้จักกันเป็นอย่างดี ทั้งคู่เคยทำงานร่วมกันมาก่อนตั้งแต่ที่สมัยกิลด์มาสเตอร์เริ่มมาเป็นนักผจญภัยเมื่อ 40 ปีก่อน เค็นโซที่ตอนนั้นก็กลายเป็นตำนานไปแล้ว

 

 

” เอ๊ะ!? ปู่คนนี้คือนักผจญภัยระดับ S ท่านเค็นโซ ปราชญ์แห่งดาบคนนั้นเหรอครับ! ” นักผจญภัยหนุ่มกลุ่มเหยี่ยวสีน้ำเงิน ที่เดินตามหลังกิลด์มาสเตอร์ตกอกตกใจยกใหญ่เนื่องจากไม่คิดว่าจะได้เจอผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นตำนานเร็วขนาดนี้

 

 

ไม่ใช่แค่กลุ่มเหยี่ยวสีน้ำเงินที่ตกใจ แม้แต่เหล่านักผจญภัยที่มุงดูทั้งหลายรวมทั้งพนักงานกิลด์ทุกคนต่างก็ตกใจไม่คิดว่านักผจญภัยที่ได้ชื่อว่าตำนานที่ยังมีชีวิตอยู่แถมยังหาตัวจับได้ยากที่มีน้อยคนจะเคยเห็นและรู้จักจะมายืนอยู่ตรงหน้าของตน กระทั่งนักผจญภัยเคราดำที่ตอนนี้หน้าซีดอย่างหนัก เนื่องจากคิดว่าตนไปหาเรื่องผิดคนเข้าซะแล้วได้แต่อ้าปากสั่น งัก ๆ อย่างคนเสียสติ 

 

” โฮะ ๆ ข้าเองก็พอจะมีชื่อกับเขาบ้างเหมือนกันสินะเนี่ย ” เค็นโซที่เห็นปฏิกิริยารอบข้างแล้วพยักหน้าราวคิดเหตุผลที่ทุกคนต่างอยู่ในอาการดังกล่าวได้ หัวใจออกมาอย่างชอบใจพลางลูบเคราสีขาวขึ้นลงไปมา 

 

” ให้ตายสิ เอาเถอะในเมื่ออยู่ที่นี่แล้วก็ถือว่าช่วยได้เยอะ ” กิลด์มาสเตอร์ถอนหายใจกับท่าทีของเค็นโซที่ไม่เคยเปลี่ยนไปตลอดหลายสิบปีที่ตนได้รู้จักเฒ่าชราผู้นี้แฝงไปด้วยความคิดถึงในช่วงเวลาที่ผ่านมาเนิ่นนาน

 

” โฮะ ๆ ๆ เหมือนจะมีเรื่องร้ายแรงสินะ ” เค็นโซที่เหมือนจะรู้ว่ากิลด์มาสเตอร์ต้องการจะพูดอะไร ฉายแววความตึงเครียดออกมาทางแววตาและสีหน้าแม้น้ำเสียงและคำพูดจะดูสนุกก็ตาม

.

.

.

 

ทุกท่านคะ ตอนนี้ฉันกำลังนึกย้อนไปถึงเวลาที่ได้เรียนวิชาศิลปะสมัยมัธยมที่ผ่านมานานแต่ความทรงจำก็ไม่ได้หายไปไหน ภาพของหุ้นที่มีเฉพาะส่วนหัวและหน้าอกที่ว่างอยู่ข้างหน้าห้องพร้อมกับอาจารย์วิชาศิลปะที่มีจุดเด่นคือหัวล้านที่ใส่วิกปิดบังเอาไว้ และฉันกับเพื่อน ๆ ทุกคนจะต้องสเก็ตภาพของหุ้นตรงหน้า แน่นอนว่าฉันไม่อยากจะบอกว่าตัวเองห่วยแตกเรื่องศิลปะขนาดไหน แม้แต่รูปหมาแมวง่าย ๆ ฉันก็วาดให้ออกมาเป็นเอเลี่ยนได้ค่ะ 

 

ทำไมฉันถึงยกเรื่องศิลปะขึ้นมาน่ะเหรอคะ ? ก็เพราะตอนนี้ฉันกำลังอยู่ในสถานการณ์เหมือนตอนเรียนวิชาศิลปะยังไงละคะ !! แต่เปลี่ยนตำแหน่งเท่านั้นเอง ฉันไม่ใช่คนวาดค่ะ แต่ฉันมายืนเป็นแบบให้กับชาวบ้านที่กำลังมุงวาดรูปของฉันอย่างบ้าคลั่งค่ะ ! แล้วทำไมมันเป็นแบบนี้ไปได้กันละเนี่ย ! 

 

ขอทวนความจำย้อนกลับไปก่อนหน้านี้สักครู่นะคะ ! หลังจากที่ทานอาหารกับพวกคุณวิเวียนเสร็จแล้วฉันก็ไม่รู้จะทำอะไรต่อดี จะให้กลับป่าเลยก็ไม่มีอะไรทำเหมือนเดิมเลยคิดว่าจะลองเดินเล่นในหมู่บ้านดูแน่นอนว่ามีเจ้าลัทธิตัวน้อยจูน่าจังคอยนำทางให้ค่ะ คุณวิเวียนที่ตอนแรกอยากจะมาด้วยแบบหัวชนฝาก็ต้องอดไปเนื่องจากโดนคุณโยฮันห้ามเอาไว้เพราะงานบ้านหลายอย่างยังไม่เสร็จ 

 

พอเดินถึงบริเวณย่านการค้าก็พบกับคุณเฮเลนที่เจอกันในงานเลี้ยงวันก่อน ยังดูภูมิฐานและเป็นหญิงแกร่งเช่นเคยค่ะ ชุดประโปรงยาวสีดำทั้งตัว และผมสีดำเงางามและใบหน้าที่ดูจริงจังเหมาะกับคำว่าประธานบริษัทมาก ๆ เลยค่ะ เห็นแบบนั้นฉันก็เลยลองเข้าไปทักทายดู 

 

” สวัสดีค่ะ คุณเฮเลน ” ไม่รู้ฉันที่เข้าไปทักทายถูกเวลาหรือเปล่านะ เพราะเหมือนคุณเฮเลนจะเหมือนกำลังพูดคุยอยู่กับพวกพ่อค้าแม่ค้าทั้งหลายราวกับกำลังประชุมเล็ก ๆ กัน

 

” อ้าว ท่านโนเอลร่า สวัสดีค่ะ มีอะไรให้ฉันรับใช้หรือเปล่าคะ ? ” แล้วไหงฉันต้องคนมารับใช้ด้วยละคะเนี่ย ฉันก็แค่ทักทายตามปกติเท่านั้นเองนะคะ ! 

 

” เปล่าค่ะ พอดีว่ามาเดินเล่น ได้จูน่าจังช่วยนำทางให้น่ะค่ะ ” ฉันที่พูดแล้วหันไปทางหนูน้อยผมสีน้ำตาลข้าง ๆ จูน่าจังที่ยกกำปั้นเล็ก ๆ ทุบอกอย่างภาคภูมิใจพร้อมเชิดหน้าขึ้นฟ้า เหมือนจะเป็นท่าประจำของจูน่าจังไปสะแล้วค่ะ แบบนั้นระวังโตขึ้นมาจะปวดหลังเอานะคะ 

 

” ตายจริง งั้นเหรอคะ ” คุณเฮเลนอมยิ้มไปกับท่าทางของจูน่าจังที่น่ารักน่าชัง 

 

” กำลังทำอะไรอยู่เหรอคะ ? ” ฉันที่ถามออกไปเพราะกลัวว่าจะรบกวนเวลาทำงานของคุณเฮเลนหรือเปล่า จะได้รีบไสหัวไปไม่ให้รบกวนยังไงละคะ ! 

 

” พอดีว่ากำลังประชุมกันเรื่อง มีคนเข้ามาในหมู่บ้านน้อยลงน่ะค่ะ ” คุณเฮเลนที่ตอบกลับเหมือนกำลังห่อเหี่ยว อาจจะเพราะกำลังหาทางแก้ไขปัญหาที่ตอนนี้ยังคิดไม่ตก ฉันที่ทำหน้าเหมือนสงสัยออกไปทำให้คุณเฮเลนอธิบายทันทีราวกับไม่ต้องรอให้ฉันถามค่ะ 

 

”  พักหลังมานี้ ทั้งพ่อค้าเร่หรือคนที่เข้ามายังหมู่บ้านลดน้อยลงไปน่ะค่ะ ทำให้เศรษฐกิจในหมู่บ้านไม่ค่อยดีเท่าไหร่ อาจจะเป็นเพราะหมู่บ้านของเราไม่ค่อยมีจุดเด่นอะไรด้วย ตอนนี้ก็เลยกำลังคิดหาทางแก้ปัญหากันค่ะ ” อย่างนี้นี่เอง จะว่าไปจำนวนคนในหมู่บ้านก็เหมือนจะน้อยจริง ๆ ที่ได้ฟังจากคุณโยฮันมาเหมือนว่าปกติหม่บ้านโคลินจะมีพ่อค้าเร่มาเดือนละ 2 ครั้ง ส่วนนักท่องเที่ยวหรือนักผจญภัยก็ไม่ค่อยจะมี เพราะเป็นหมู่บ้านที่เรียกได้ว่าติดชายแดน แถมไม่มีจุดเด่นอะไรอีกด้วย 

 

ในระหว่างที่ฉันกำลังคิดตามคุณเฮเลนอยู่นั้นเสียงของเหล่าพ่อค้าแม่ค้าก็ต่างกระซิบกันอย่างเมามัน แต่มันดังเกินกว่าคำว่ากระซิบแล้วล่ะค่ะ เรียกได้ว่ากำลังเม้าท์มอยกันสนุกเลยต่างหาก คงไม่ต้องพูดถึงว่าหัวข้อที่สนทนากันก็คือฉันค่ะ 

 

‘ นี่ ๆ เธอดูสิวันนี้ท่านเทพธิดาโนเอลร่าก็ยังงดงามเหมือนเคยเลยว่าไหม ‘ 

‘ ให้ตายสิ ความงดงามนั่นทำความเรื่องเครียด ๆ เมื่อกี้ปลิวหายไปเลย ‘ 

‘ การที่ได้เจอท่านเทพธิดาวันนี้ เหมือนจะมีโชคดีเกิดขึ้นแน่ ๆ ‘ 

 

หา ? ไหงเป็นงั้นล่ะคะเนี่ย ตัวฉันที่เคยยืนเฉย ๆ จะทำให้คนอื่นโชคดีได้ยังไงกันคะเนี่ย ! ไม่ได้ ๆ ต้องทำเป็นไม่ได้ยินค่ะ เอาเป็นว่าตอนนี้มีสมาธิอยู่กับเรื่องของคุณเฮเลนก่อนดีกว่า 

 

” งะ-งั้นลองหาแลนด์มาร์คหรืออะไรทำนองนั้นในหมู่บ้านดีไหมคะ ? ” ฉันที่ทำเป็นเมินเสียงสรรเสิญข้างหลังคุณเฮเลนเลยเสนอความคิดแบบง่าย ๆ ออกไปเพื่อที่จะรีบให้การสนทนาไปต่อได้อย่างไม่มีสะดุดค่ะ 

 

” แลนด์มาร์คงั้นเหรอคะ ? ” คุณเฮเลนเหมือนจะสงสัยในคำพูดของฉันได้แต่เอียงคอพลางเอามือจับแก้ม

 

” ก็ บะ-แบบว่า พวกสถานที่สวย ๆ หรือสิ่งก่อสร้างที่ดูยิ่งใหญ่จนที่ถ้าหากพูดถึงหมู่บ้านโคลินละก็ต้องนึกถึงสิ่งนั้นเป็นอย่างแรกน่ะค่ะ ” ฉันที่ลองแนะนำพลางยกนิ้วชี้ขึ้นมาอารมณ์เหมือนผู้ชี้แนะเลยค่ะ แต่ก็เป็นแค่ความคิดพื้น ๆ ที่ไม่รู้จะได้ผลหรือเปล่าถ้าหากคุณเฮเลนไม่เก็บไปคิดจริงจังจะขอบคุณมาก ๆ เลยค่ะ 

 

” แบบนี้นี่เอง แบบนั้นอาจจะทำให้คนอยากจะเข้ามาที่หมู่บ้านเพื่อมาดูแลนด์มาร์คก็ได้สินะคะ ”  อาเระ ? ไหงคุณเฮเลยถึงได้กำลังครุ่นคิดอย่างเป็นจริงเป็นจังแบบนั้นล่ะคะเนี่ย ! ฉันแค่แนะนำมั่ว ๆ ไปเองนะคะ อย่าเอาความคิดมือสมัครเล่นแบบฉันไปคิดจริงจังแบบนั้นสิคะ ! 

 

” สมกับที่เป็นท่านเทพธิดาโนเอลร่าจริง ๆ ขอรับ ” ในระหว่างที่ฉันคิดว่ากังวลกับท่าทีของคุณเฮเลนอยู่นั้นเสียงผู้ชายที่เคยได้ยินก็แววเข้ามาในหูค่ะ และนั่นคือคุณอีวานนั่นเอง 

 

” คะ-คุณอีวาน สวัสดีค่ะ ” ฉันที่ทักทายออกไปอย่างเป็นมิตรแต่ด้วยความทรงจำเมื่อตอนงานเลี้ยงเลยแอบ ๆ มีความระแวงอยู่นิดหน่อยค่ะ 

 

” โอ้วว !! จำชื่อของผมได้ด้วยงั้นเหรอครับ !!! อยากที่คิดท่านเทพธิดาโนเอลร่าชั่งประเสริฐจริง ๆ เลยครับ ! ” 

นั่นไงละคะ ! ว่าแล้วเชียว ก็เป็นเพราะอีแบบนี้นั่นแหละค่ะ ฉันเลยไม่อยากจะทักแต่ถ้าหากทำเมินก็ดูจะเสียมารยาทจนเกินไป คราวหลังฉันคงต้องพยายามปรับความคิดของสมาชิกใหม่ของลัทธิสะแล้วค่ะ แต่ไม่รู้ทำไมเหมือนจะไม่เคยได้ผลเลยแถมยิ่งกลายเป็นไปเพิ่มความศรัทธามากกว่าเดิม 

 

” แต่ว่าหมู่บ้านของเราก็ไม่ได้มีสถานที่หรือสิ่งก่อสร้างที่พอจะดึงดูดผู้คนได้เลยค่ะ อาจจะเป็นปัญหาจากจุดนี้ก็ได้ ” 

คุณเฮเลนที่เหมือนจะพาฉันกลับมาสู่ความเป็นจริงพูดขึ้นเหมือนว่าจะคิดได้ว่าคำแนะนำของฉันมันอาจจะช่วยไม่ได้ แฮะ ๆ ก็แน่ละ ฉันแต่ออกความเห็นมั่ว ๆ ก็เท่านั้นเองนะคะ 

 

” งั้นก็สร้างขึ้นมาก็ได้นิคะ !! ” เสียงเล็ก ๆ ของเจ้าลัทธิตัวน้อยของฉันดังขึ้นมาเรียกเอาความสนใจของทุกคนไปรวมอยู่ที่เด็กหญิงน่ารักผมสีน้ำเงิน ที่ตอนนี้ยิ้มอย่างมีนัย 

 

” สร้างงั้นเหรอ จูน่าเธอหมายความว่าไง ” คุณเฮเลนที่สงสัยกับคำพูดของเจ้าลัทธิตัวน้อยเอ่ยถามออกมาอย่างต้องการคำตอบที่อาจจะช่วยเปลี่ยนสถาการณ์ตรงนี้ก็เป็นได้ 

 

” ก็ถ้าหากหมู่บ้านเราไม่มีก็สร้างขึ้นมาใหม่ก็ได้นิคะ !! ” จูน่าจังตอบกลับอย่างร่าเริงตามประสาเด็ก 7 ขวบ ถึงจะบอกอย่างนั้นแต่พูดมันง่ายนะคะ จะให้สร้างสถานที่สวย ๆ ขึ้นมาคงจะยากน่าดูแถมยังต้องใช้เงินอีกด้วย 

 

” ก็จริงนะ ว่าแต่จะสร้างอะไรที่พอจะดึงดูดผู้คนได้ละ ” คุณอีวานทำไมไปคิดตามเป็นจริงเป็นจังกับจูน่าจังแบบนั้นล่ะคะ จะสร้างแลนด์มาร์คขึ้นมาใหม่เลยงั้นเหรอ ? แบบนั้นมันบ้าบิ่นเกินไปแล้วค่ะ ! 

 

” แน่นอนสิ่งที่สวยงามยิ่งใหญ่ที่จะสะกดทุกสายตา จะเป็นอะไรไปได้นอกจาก รูปปั้นของท่านโนเอลไงคะ !!!!! ” 

 

ห๊ะ !? จูน่าจังเมื่อกี้ว่าไงนะคะ ฉันไม่ได้ฟังอะไรผิดไปใช่ไหม ทำไมจู่ ๆ หวยมันถึงมาตกลงที่รูปปั้นของฉันได้ล่ะ เดี๋ยว ๆ  แบบนี้อย่าว่าแต่เรียกคนได้เลยค่ะ จะทำให้เปลืองงบประมาณเปล่า ๆ ไม่ได้ ๆ 

 

” จะ-จูน่าจังคือว่านะ- ” ต้องรีบปฏิเสธโดยด่วน แต่เหมือนว่าฉันจะช้าไปแล้วค่ะ ทันใดนั้น

 

” อย่างนี้นี่เอง ! รูปปั้นของท่านเทพธิดาโนเอลร่าละก็ไม่ว่าใครก็จะต้องหลงใหลอย่างแน่นอน สมแล้วหัวหน้า !! ” 

 

แล้วทำไมคุณอีวานต้องไปเห็นดีเห็นงามกับจูน่าจังด้วยล่ะ !! แล้วหัวหน้างั้นเหรอ เมื่อกี้พูดว่าหัวหน้าใช่ไหม นี่สรุปแล้วจูน่าจังมีกี่ตำแหน่งกันคะเนี่ย ! หมู่บ้านนี้โดนเด็กอายุ 7 ขวบยึดครองไปแล้วงั้นเหรอคะ !? ไม่สิยังเหลือคุณเฮเลนอยู่ถ้าเป็นคุณเฮเลนละก็ต้องคัดค้านอย่างแน่นอนค่ะ ความหวังอยู่ที่คุณเฮเล-

 

” นั่นสินะคะ ดิฉันเองก็เห็นด้วยค่ะ ถ้าหากเป็นรูปปั้นที่ถอดแบบมาจากท่านเทพธิดาโนเอลล่ะก็ ต้องเป็นแลนด์มาร์คที่แม้แต่เมืองหลวงได้แต่อิจฉาแน่นอนค่ะ แบบนี้จะต้องเรียกคนเข้ามาได้มากมายแน่ เศรษฐกิจก็จะรุ่งเริงแน่นอนค่ะ ! ” 

 

คุณเฮเลนคะ !!!!!! ทำไมความหวังสุดท้ายของฉันถึงได้ตกกระไดพลอยโจนเข้าร่วมกับพวกลัทธิคลั่งฉันได้กันละคะเนี่ย เจ้าควรจะต่อต้าน ไม่ใช่เข้าร่วมนะคะ !! 

 

” เข้าใจแล้วงั้นข้าจะไปเรียกจิตรกรหรือพวกที่วาดรูปได้มาเดี๋ยวนี้แหละ ! ” หยุด !!! หยุดก่อนค่ะคุณอีวาน อย่าพึ่งใส่เกียร์หมาวิ่งไปแบบนั้นสิคะ ! 

 

ไหงมันถึงได้กลายเป็นแบบนี้อีกแล้วละคะเนี่ย !! ฉันก็แค่หวังดีออกความเห็นเท่านั้นเองนะคะ แล้วทำไมมันถึงกลายเป็นแบบนี้ไปสะทุกทีเลยละ ฮืออ….

.

.

.

.

หลังจากที่ตกลงวางแผนไปป้อมปราการเดธวอลเลย์ที่บ้านคุณแอนนาเสร็จแล้ว ฉันก็ถูกคุณวิเวียนและจูน่าจังเชิญไปรับประทานอาหารที่บ้านค่ะ จริง ๆ ก็อยากจะปฏิเสธนั่นแหละแต่ว่าพอเห็นวาวตาคาดหวังของหนูน้อยจูน่าแล้วทำเอารู้สึกผิดถ้าหากฉันปฏิเสธเลยค่ะ ทำไงดีละเนี่ย คงต้องตามน้ำไปก่อนเท่านั้นแหละค่ะ  เอ๋ ? รู้สึกเหมือนกำลังจะเกิดภาพเดิม ๆ ในหัวเลยค่ะ 

 

” แอนนาจัง ไปทานอาหารที่บ้านฉันกันไหมจ๊ะ ” เมื่อเห็นฉันที่ตอบตกลงอย่างเลี่ยงไม่ได้ คุณวิเวียนที่เริ่มหาแนวร่วมเพิ่มขึ้นค่ะ หันไปถามคุณแอนนาที่ตอนนี้กำลังยิ้มแย้มเลย 

 

” ขอโทษนะคะ พอดีว่าต้องติดต่อกับพ่อค้าเรื่องราคาวัตถุดิบน่ะค่ะ ” คุณแอนนาพนมมือเหมือนจะขอโทษแล้วเอียงคอพูดออกมาอย่างเสียดาย แน่นอนว่าคุณแอนนาอยากจะไปแน่นอนค่ะแต่ด้วยภาระหน้าที่เลยไม่สามารถทำได้

 

” งั้นเหรอจ๊ะ น่าเสียดายจัง เอาไว้คราวหน้าแล้วกันนะ ” คุณวิเวียนแม้จะเชิญไม่สำเร็จแต่ก็ไม่ได้หมดกำลังใจค่ะ ยังหวังที่จะเชิญครั้งหน้าด้วยสมกับที่เป็นคุณแม่พลังงานเหลือล้นจริง ๆ

 

หลังจากแยกจากคุณแอนนาฉัน จูน่าจัง และคุณวิเวียนก็กลับไปที่บ้านของครอบครัวจูน่าจังเพื่อรับประทานอาหารเที่ยง ถึงตอนนี้ฉันจะอิ่มจากการที่กินแอปเปิ้ลแล้วก็เถอะค่ะแต่จะพูดออกไปก็ไม่ได้ ไม่งั้นมีหวังได้เห็นน้ำตาของแม่ลูกเจ้าลัทธิแน่ ๆ ค่ะ  ฉันที่มองไปรอบ ๆ ก็เห็นสิ่งที่ตัวเองไม่ได้สังเกตตอนที่เข้ามาในหมู่บ้านตอนแรกค่ะ นั่นคือข้าวของที่จัดงานเลี้ยงเมื่อคืนถูกเก็บกวาดจนสะอาดเรียบร้อยหมดแล้วค่ะ ทั้งที่เมื่อคืนเล่นดื่มกันเมาขนาดนั้น แต่วันรุ่งขึ้นกับมีพลังงานเหลือมาเก็บข้าวของได้ ข้าน้อยขอคารวะเลยค่ะ 

 

เมื่อออกมาจากบ้านคุณแอนนาจูน่าจังก็วิ่งไปกอดลูลิที่รออยู่บ้านทันที แต่เหมือนจะไม่ได้มีแต่จูน่าจังเท่านั้นมีทั้งเด็กคนอื่น ๆ ในหมู่บ้านและชาวบ้านอีกจำนวนหนึ่งที่เหมือนกำลังเล่นกับลูลิค่ะ เหมือนจะกลายเป็นไอดอลของเด็ก ๆ และคนรักสัตว์ไปเรียบร้อยแล้วละค่ะ เด็ก ๆ มีทั้งที่ขึ้นไปขี่หลังและที่เอาหน้าน้วยขนของลูลิอย่างสนุกสนาน แต่ก็มีอยู่บ้างที่พ่อแม่ของเด็กบางคนเป็นห่วง 

 

” นี่ลูก ! อย่าไปรบกวนท่านหมาป่าของท่านเทพธิดาสิ ! ” แม้แต่ลูลิก็ถูกเรียกว่าท่าน แบบนี้ความศรัทธาที่มีต่อฉันมาเริ่มแพร่กระจายไปถึงสิ่งรอบตัวแน่ ๆ ค่ะ นี่ถ้าหากฉันมีแมวน้ำอยู่ข้างตัวละก็คงไม่พ้น ท่านแมวน้ำ แน่ ๆ เมื่อเหล่าคุณพ่อคุณแม่ที่สังเกตเห็นฉันก็รีบก้มหัวขอโทษยกใหญ่เพราะกลัวว่าลูกของตนได้ทำเรื่องเสียมารยาทกับสัตว์เลี้ยงของเทพธิดา

 

” ขออภัยด้วยครับท่านเทพธิดาโนเอลร่า ! ที่ลูกของผมได้ล่วงเกินสัตว์เลี้ยงของท่านครับ ! ” แล้วทำไมต้องขอโทษด้วยละคะ !! ยังไม่ได้ว่าอะไรเลยแท้ ๆ ลูลิไม่ได้มีป้ายแหวนว่าห้ามเล่นเหมือนทุเรียนที่แม่ค้ามักจะบอกว่าห้ามจิ้มนะสักหน่อยนะคะ ! 

 

” ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ลูลิเองก็เหมือนจะเหมือนจะกำลังสนุกด้วย ” ฉันที่บอกไม่เป็นไรปัดเอาความวิตกของเหล่าบรรดาพ่อแม่ปลิวหายไปเหมือนไม่เคยเกิดขึ้นเลยค่ะ 

 

” ท่านเทพธิดาครับ ! ท่านหมาป่าชื่อลูลิงั้นเหรอครับ ! ” หนุ่มน้อยคนหนึ่งที่พึ่งลงจากหลังของลูลิวิ่งเข้ามาถามฉันราวกับต่อมความอยากรู้อยากเห็นได้ตื่นขึ้นค่ะ เล่นเอาฉันตั้งตัวไม่ทันเลยทีเดียว

 

” ชะ-ใช่แล้วจ้ะ ” ฉันที่โดนคำถามเข้าอย่างกับหมัดตรงเข้าไป ตอบอย่างตะกุกตะกักพลางยิ้มแห้ง ๆ แต่ทันใดนั้นเองที่เจ้าลัทธิตัวน้อยได้ยืดอกเล็ก ๆ อย่างภาคภูมิใจอีกครั้ง

 

” ชื่อลูลิ ของคุณหมาป่าเราเป็นคนตั้งชื่อให้เองแหละ !! ” นั่นไงคะ ! จูน่าจังที่แทรกบทสนทนาอย่างภาคภูมิใจที่ตัวเองเป็นคนตั้งชื่อให้กับสัตว์เลี้ยงให้กับท่านเทพธิดาประกาศอย่างกึกก้อง 

 

” โห้วว เอาจริงดิลูกพี่ ” ห๊ะ !? เมื่อกี้ว่าไงนะคะ หนุ่มน้อยคนนั้นที่ดูเหมือนน่าจะอายุมากกว่าจูน่าจังเรียกจูน่าจังว่าลูกพี่ ??? จู่ ๆ ภาพของตาแก่เพี้ยน ๆ ที่ใกล้จะไปอยู่กับรากมะม่วงเรียกเด็ก 7 ขวบว่าลูกพี่หญิงก็ลอยกลับเข้ามาซะอย่างนั้นค่ะ ! จูน่าจังกลายเป็นลูกพี่ของกลุ่มเด็กในหมู่บ้านไปตั้งแต่ตอนไหนคะเนี่ย !!! 

 

แบบนี้มีหวังในไม่ช้าทั้งหมู่บ้านได้เรียกจูน่าจังว่าลูกพี่แน่ ๆ เลยค่ะ นี่พึ่งจะอายุ 7 ขวบเองนะ ถ้า 10 ขวบจะไม่กลายเป็นอาเจ๊เลยเหรอคะ  !! แย่แน่ ๆ ค่ะต้องรีบแจ้งศูนย์ดูแลเยาวชนแล้ว ว่าแต่โลกนี้มีองค์กรแบบนั้นหรือเปล่านะ 

 

” ถูกต้องแล้ว ! เราได้รับเกียรติจากท่านโนเอลให้ตั้งชื่อคุณหมาป่าได้ยังไงล่ะ ” เปล่าค่ะ ยังไม่เคยมอบสิทธิ์นั้นตอนไหนเลย รู้ตัวอีกทีจูน่าจังก็ตั้งชื่อไปตั้งแต่ตอนไหนแล้วก็ไม่รู้ เหอ ๆ แต่เพราะเห็นว่าชื่อลูลิดูน่ารักและเข้ากับ ‘เฟ็นรีร์’ อีกด้วยก็เลยปล่อยเลยตามเลยค่ะ แต่ยังไงก็ต้องขอบคุณจูน่าจังเพราะถ้าหากฉันเป็นคนตั้งชื่อเองบางทีลูลิอาจจะไม่พอใจก็ได้ เหมือนอย่างตอนที่ตั้งชื่อให้สกิลปล่อยลำแสงตอนปราบไฮดร้าก็งอนฉันไปเลยค่ะ

 

หลังจากคำป่าวประกาศของผู้นำลัทธิตัวน้อยเหล่าบรรดาเด็ก ๆ ก็เข้ามารุมล้อมชื่นชมกันไม่ขาดสาย แม้กระทั่งพ่อแม่เด็กบางคนก็ปรบมือชื่นชมเช่นเดียวกันค่ะ อีแบบนี้ฉันคงจะทำอะไรไม่ได้สินะ 

 

หลังจากที่พาลูลิเดินกลับมาที่บ้านของคุณวิเวียน คุณโยฮันก็กลับมาจากล่าสัตว์พอดี จะเรียกล่าสัตว์ดีไหมเพราะว่าสัตว์ที่ได้มาคือกระต่ายตัวเล็กน่ารักมีเขา ใช่แล้วค่ะมันคือ ‘ ฮอร์นแรบบิท ‘ มอนสเตอร์ช่วงเริ่มต้นที่ฉันเห็นคนน้องกระต่ายคาบปลาที่โดนฉันเกือบจะฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ไปนั่นเองค่ะ เหมือนว่าที่โลกนี้ก็มีวัฒธรรมการเอาเนื้อมอนสเตอร์มาทำอาหารเหมือนกันสินะคะ เพราะตอนในงานเลี้ยงฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเนื้ออะไรบ้าง แล้วก็ไม่ได้ถามใครเลยด้วย แต่ถ้าให้เดาคงเป็นเนื้อมอนสเตอร์ไม่ผิดแน่ 

 

ที่จริงสมัยตอนอยู่ในเกมก็มีการดรอปเนื้อหลังจากปราบมอนสเตอร์เหมือนกันค่ะ แต่จะนำเอาไปใช้ทันทีไม่ได้จะต้องผ่านการแปรรูปโดยใช้สกิลประเภทงานฝีมือก่อนถึงจะนำไปใช้ประโยชน์ได้ และการทำอาหารก็เป็นหนึ่งในวิธีใช้ประโยชน์จากวัตถุดิบเนื้อมอนสเตอร์ค่ะ แต่ไม่ใช่ว่าทำเพราะหิวหรืออะไร แต่อาหารสำหรับในการนั้นเหมือนกับเป็นการบัฟตัวละครนั่นเองค่ะ  อาหารแต่ละอย่างนั้นเมื่อกินแล้วจะให้ผลที่แตกต่างกันขึ้นกับชนิดของอาหาร 

 

มีตั้งแต่เพิ่มพลังโจมตี เพิ่มพลังป้องกันหรือแม้กระทั่ง เพิ่มความต้านทานต่อสถานะผิดปกติ แต่ก็อย่างที่ทุกท่านทราบดีว่ามันมีเวลาจำกัด ไม่ใช่กินแล้วจะเพิ่มถาวร และที่สำคัญไม่ใช่ทุกอาชีพในเกมจะจำเป็นต้องการอาหารค่ะ อย่างอาชีพ ‘ นักปราชญ์เทวะ ‘ ของฉันมีสกิลเวทย์สายสนับสนุนอยู่แล้วจึงไม่จำเป็นต้องใช้อาหารเลย ส่วนใหญ่มักจะใช้ในอาชีพสายโจมตีกายภาพเพราะอาชีพเหล่านั้นไม่มีสกิลที่บัฟให้ตนเองนั่นเองค่ะ 

 

จะว่าไปก็มีหลายคนเหมือนกันนะคะที่ตอนเล่นเกมไม่ได้ตั้งใจเล่นสายบู๊เลย เข้ามาเพื่อเก็บเลเวลพอให้ปลดล็อคสกิลที่จำเป็นสำหรับการทำอาหารจากนั้นก็ตั้งตนเป็นเชฟในเกมก็มีค่ะ แต่เหมือนจะรุ่งทีเดียว เพราะว่าการที่ต้องคอยมาเรียนหรือปลดล็อคสกิลทำอาหาร ไหนจะหาวัตถุดิบเป็นเรื่องที่ยุ่งยากและเสียเวลามากค่ะ พอมีคนที่ทำอาหารขายเป็นหลักก็ขายดีเทน้ำเทท่า จนได้กำไรไปซื้อแฟชั่นสวย ๆ ใส่กัน แต่ก็ยังทำอาหารขายเหมือนเดิม บ้างก็ถึงกับลองไปเปิดร้านอาหารในโลกจริงแล้วมาโปรโมทในเกมก็มีค่ะ เรียกได้ว่ามีทุกสีสันก็ว่าได้ 

 

กลับเข้าเรื่องปัจจุบันกันต่อดีกว่าค่ะ คุณโยฮันคนเห็นฉันกับลูลิอยู่ที่บ้านก็ประหลาดใจ แต่พอฉันเล่าเรื่องที่อยากจะไปเข้าเมืองให้ฟังคุณโยฮันก็เหมือนเข้าใจอย่างรวดเร็ว แถมยังให้คำแนะนำอะไรหลาย ๆ อย่างอีกด้วย ไม่ว่าจะเล่าเรื่องของกิลด์นักผจญภัย ระบบตรวจคนเข้าเมือง หรือแม้กระทั่งการปกครองของเมืองด้วย รู้สึกซึ้งใจจริง ๆ เลยค่ะ 

 

ระหว่างที่คุยกับคุณโยฮันโดยมีจูน่าจังนั่งฟังพลางมองฉันอย่างเคลิบเคลิ้มอยู่นั้น คุณวิเวียนก็บอกว่าอาหารทำเสร็จพอดี พวกฉันทั้งสามคนเลยไปนั่งที่โต๊ะอาหารค่ะ โชคดีที่โต๊ะมีที่นั่งสำหรับ 5 คน ฉันเลยร่วมนั่งด้วยได้อย่างเหลือเฟือ อาหารที่นำมาเสิร์ฟเป็นสตูกระต่าย สลัด และขนมปังค่ะ ต้องบอกว่าน่ากินสุด ๆ ถ้าหากมองอยากละเอียดละก็จะรู้ได้ทันทีเลยว่าเป็นอาหารที่ปรุงจากผู้มีฝีมือชั้นเลิศแน่นอน แต่ว่าน่าเสียดายจริง ๆ …

 

” ท่านโนเอล ! อาหารไม่ถูกปากงั้นเหรอคะ ! ขออภัยด้วยค่ะ จะรีบไปทำใหม่เดี๋ยวนี้แหละค่ะ ” ไม่รู้เพราะคุณวิเวียนคอยสังเกตปฏิกิริยาของฉันตอนกินอาหารอยู่หรือเปล่า พอฉันที่ทำหน้าเหมือนกับผิดหวังออกมาคุณวิเวียนจึงก็เลยรีบถามพลางขอโทษที่ทำอาหารไม่ถูกปาก แต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่เพราะอาหารของคุณวิเวียนหรอกค่ะ แต่เพราะลิ้นของไฮเอลฟ์ต่างหาก ที่ไม่ว่าจะกินอะไรเข้าไปก็เหมือนจะไม่สามารถรับรู้รสชาติความอร่อยของอาหารได้เลย ยกเว้นแต่ผลไม้ในป่าอย่างเดียว 

 

” มะ-ไม่ใช่นะคะ ! ไม่ใช่ว่าอาหารของคุณวิเวียนไม่อร่อยหรอกนะคะ แต่พอดีว่าไฮเอลฟ์อย่างฉันไม่สามารถรับรู้รสของอาหารได้ นอกจากผลไม้ในป่าน่ะค่ะ ! ” ฉันที่เห็นคุณวิเวียนก้มหัวขอโทษจนหัวติดกับโต๊ะทานข้าวรีบแก้ไขความเข้าใจผิดโดยด่วน ไม่งั้นมีหวังคุณวิเวียนได้ลุกไปทำอาหารใหม่แน่ ๆ เลยค่ะ 

 

” เอ๊ะ !? เป็นอย่างนั้นเหรอคะ ? ” คุณวิเวียนที่ทำท่าเหมือนพึ่งจะรู้เอียงคอสงสัยอย่างไม่บิดปังอะไร แสดงว่าไม่รู้จริง ๆ สินะคะ จะว่าไปตอนงานเลี้ยงฉันก็ไม่เคยบอกใครด้วยนี่นา คุณวิเวียนที่ไม่รู้ก็คงไม่แปลกหรอกค่ะ 

 

”  งั้นท่านโนเอลก็กินแต่ผลไม้งั้นเหรอคะ ? ” จูน่าจังที่เหมือนจะเริ่มเข้าใจเหตุการณ์ถามขึ้นอย่างกับสงสัยวิถีการกินของฉันค่ะ 

 

” จ้ะ ก็ประมาณนั้น ” 

 

” งั้นเองเหรอครับ ที่ว่าไฮเอลฟ์เป็นดั่งเทพธิดาผู้ปกปักรักษาและอาศัยอยู่ในธรรมชาติก็เป็นเรื่องจริงสินะครับ ” คุณโยฮันที่เหมือนจะโยงเรื่องราวในตำนานกับสิ่งที่ฉันพึ่งจะบอกไปเข้าด้วยกันอย่างลงล็อคพอดิบพอดี เสนอข้อสันนิษฐานออกมาอย่างมีเหตุมีผลทีเดียวค่ะ

 

” อย่างนี้นี่เอง  งั้นคราวหลังฉันจะเตรียมผลไม้ไว้ให้นะคะ ” คุณวิเวียนที่เหมือนจะเชื่อในตำนานนั่นก็เสนอผลไม้ในคราวหน้าให้กับฉันค่ะ  

 

” ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ที่จริงแล้วฉันกินแอปเปิ้ลที่อยู่ในป่าแค่ลูกเดียวก็อิ่มไปทั้งวันแล้วค่ะ ” ฉันที่บอกสิ่งที่เรียกได้ว่าเกิดขึ้นเป็นกิจวัตรประจำวันให้กับพวกคุณวิเวียนฟัง เพราะฉันกินแอปเปิ้ลที่เด็ดใหม่ ๆ จากในป่ากินเพียงลูกเดียวก็อิ่มจนความหิวหายไปทั้งวันเลยล่ะค่ะ แม้จะกินผลไม้อย่างอื่นเติมเข้าไปก็ไม่รู้สึกแน่นท้องหรือปวดท้องด้วย ที่จริงแล้วตั้งแต่มาถึงโลกแห่งนี้ฉันยังไม่เคยปวดฉี่หรือปวดอึเลยด้วยซ้ำค่ะ ตอนแรกคิดว่าตัวเองผิดปกติหรือเปล่า แบบมะเร็งลำไส้น่ะค่ะ !!! แต่เหมือนเพราะเผ่าพันธุ์ไฮเอลฟ์ของฉันค่อนข้างพิเศษเลยถือว่าเหตุผลทุกอย่างคงใช้ไม่ได้แล้วล่ะค่ะ 

 

” งั้นแปลว่าที่ผ่านท่านโนเอลทานแค่แอปเปิ้ลลูกเดียวมาตลอดงั้นเหรอครับ ” คุณโยฮันที่เหมือนจะสงสัยในคำพูดของฉันถามออกมาเหมือนไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ถึงจะถามแบบนั้นแต่วมันก็เป็นเรื่องจริงนี่คะ ไม่ได้โกหกจริง ๆ นะ ที่ถามฉันว่าอยากจะคิดเนื้อหรืออย่างอื่นที่มันอร่อย ๆ หรือเปล่าก็คงต้องบอกว่าอยากสุด ๆ ไปเลยค่ะ แต่เหมือนความเป็นไฮเอลฟ์จะไม่ยอมให้ฉันทำแบบนั้นค่ะ

 

” ค่ะ ” ฉันตอบคุณโยฮันไปแบบเรียบ ๆ 

 

หลังจากที่คุยกันในระหว่างทานอาหารไปด้วยจนในที่สุดเวลาทานอาหารก็สิ้นสุดลงค่ะ ถึงจะบอกว่ากินอาหารอย่างอื่นเข้าไปจะไม่ได้อะไรแต่ก็กินให้หมดค่ะ เพราะว่าจะให้เหลือไว้โดยที่ไม่กินก็ดูจะเสียมารยาทต่อคุณวิเวียนที่อุตส่าห์ทำเผื่อแบบนั้นคงได้เห็นคุณแม่วัยสาวคนนี้ร้องไห้แน่ ๆ ค่ะคงคาดเดาไม่ยากเลย และก็อย่างเคยค่ะฉันที่อย่างน้อยก็ยังอยากจะล้างจานช่วยคุณวิเวียนแต่สุดท้ายก็โดนแม่ลูกผู้คลั่งรักฉันห้ามเอาไว้ให้นั่งอยู่เฉย ๆ เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในบ้านก็พอแล้ว ฉันไม่ใช่พระพุทธรูปนะคะ !!! มีกายเนื้อนะ อยากช่วยค่ะ !! แต่ความความต้องการของฉันจะส่งไปไม่ถึงเจ้าลัทธิทั้งสองค่ะ สุดท้ายก็นั่งเฉย ๆ จนพวกคุณวิเวียนล้างจานเสร็จ …. งืออออ 

 

 

(ฝั่งป้อมปราการเดธวอลเลย์) 

 

หนึ่งในเมืองหน้าด่านที่สำคัญของอาณาจักรแอนวอลเลล์ที่คอยเป็นดั่งปราการเหล็กที่คอยป้องกันเหล่ามอนสเตอร์และเผ่าปีศาจที่หวังจะเข้ามาโจมตี เมืองที่เป็นเหมือนศูนย์รวมของนักผจญภัยทั้งหลาย เนื่องจากมีมอนสเตอร์อยู่แถวเมืองป้อมปราการเดธวอลเลย์เยอะทำให้มีนักผจญภัยเดินทางเข้ามาในที่แห่งนี้ไม่ขาดสาย ทั้งชาวเมืองที่ได้รับความเสียหายหรือคนที่ต้องการวัตถุดิบจากมอนสเตอร์เองก็ต่างอยู่ในเมืองนี้เช่นกัน

 

ถึงจะมีนักผจญภัยอยู่มากแต่ก็ใช่ว่าจะมีแค่นั้น ยังมีทหารที่ถูกส่งมาจากเมืองหลวงอีกด้วยเพื่อมาเป็นกองกำลังช่วยเหลือเวลาที่เผ่าปีศาจบุกมาโจมตีนั่นเอง สิ่งที่ไม่เหมือนเมืองไหน ๆ ของป้อมปราการเดธวอลเลย์นั่นก็คือรูปแบบการปกครองของเมือง ปกติแล้วดินแดนอื่น ๆ ที่ไม่ใช่เมืองหลวงจะมีขุนนางที่เป็นเหมือนเจ้าเมืองปกครองอยู่ แต่ป้อมปราการแห่งนี้หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ เนื่องจากเมืองป้อมปราการนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นเมืองหน้าด่านโดยเฉพาะจึงทำให้ผู้ปกครองเมืองนี้เป็นตำแหน่งที่เรียกว่านายกรัฐมนตรีโดยที่มีหนึ่งในผู้บัญชาการทหารจากเมืองหลวงมาคอยช่วยเหลือเกี่ยวกับด้านความปลอดภัย

 

ถึงแม้ว่าหากเป็นปัญหาที่มาจากมอนสเตอร์ก็มักจะเป็นหน้าที่ของนักผจญภัย แต่ถ้าหากว่ามีเหตุการณ์ที่แม้แต่กิลด์รับภาระไม่ไหวฝ่ายทหารของเมืองป้อมปราการเดธวอลเลย์ก็จะยื่นมือเข้ามาช่วยทันทีเปรียบดั่งน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า และเช่นเดียวกันถ้าหากมีการทำสงครามหรือการโจมตีจากเผ่าปีศาจหากฝ่ายทหารรับมือไม่ไหวก็มักจะมีการจ้างวานกิลด์นักผจญภัยมาช่วยเหลือนั่นเอง ทำให้องค์กรทั้งสองในเมืองนี้อยู่กันอย่างสันติไม่ได้มีเรื่องบาดหมางกันนั่นเอง

 

แต่เหมือนสถานการณ์ปัจจุบันจะทำให้ทั้งฝั่งของกิลด์นักผจญภัยและฝ่ายทหารจากเมืองหลวงกำลังประชุมกันอย่างเคร่งเครียดในสถานที่ประชุมของเมืองโดยมีทั้งหัวหน้ากิลด์นักผจญภัย ผู้บัญชาการทหารที่มาประจำที่ป้อมปราการ และนายกรัฐมนตรี และบรรดาเหล่าคนสนิทของผู้มีตำแหน่งทั้งสาม รวม ๆ แล้วประมาณ 10 คนที่กำลังนั่งหารือกันในที่ประชุมแห่งนี้

 

” สถานการณ์ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง ” ชายวัยกลางคนที่สวมชุดเกราะสีเทาที่ดูราวกับนักรบเจนสนามพูดถามขึ้นมากลางวงสนทนา เรียกความสนใจของทุกคนไปยังนักรบวัยกลางคนผู้นี้เป็นตาเดียวกัน

 

” จากข้อมูลคนของทางฝั่งเรา ดูเหมือนว่ามีมอนสเตอร์จำนวนมากกำลังมุ่งหน้ามาทางเมืองนี้ ” ชายวัยกลางคนอีกคนที่สวมชุดเสื้อเกราะเบาเหมือนเสื้อกั๊กสีน้ำตาลและกางเกงขายาวรองเท้าที่เหมาะแก่การทำกิจกรรมนอกสถานที่ดูจากภายนอกคงเดาออกไม่ยากว่าเป็นลักษณะของนักผจญภัยอย่างแน่นอน

 

” พอจะคาดเดาจำนวนได้บ้างหรือเปล่า ? ” ชายสวมเกราะสีเทาถามขึ้นมาเมื่อได้รับรายงานที่ฟังดูไม่น่ารื่นรมย์นัก 

 

” กลุ่มเหยี่ยวสีน้ำเงินของพวกฉันได้ลองตรวจสอบมาแล้ว คาดว่าจำนวนน่าจะมากกว่า 500 ” นักผจญภัยวัยหนุ่มที่นั่งอยู่ข้าง ๆ นักผจญภัยรุ่นใหญ่เมื่อครู่บอกข้อมูลที่พวกตนรวบรวมมาได้อย่างสีหน้าเป็นกังวล

 

” อะไรนะ !! จำนวนมากกว่า 500 งั้นเหรอ !! ” นักรบที่ยืนอยู่ข้างหลังตะโกนออกมาด้วยความตกใจอย่างเก็บเอาไว้ไม่อยู่ ในขณะที่นักรบที่สวมชุดเกราะสีเงินที่น่าจะมีตำแหน่งใหญ่กว่านั่งฟังอย่างเงียบ ๆ ด้วยสีหน้าที่ตึงเครียด

 

” กิลด์มาสเตอร์ตอนนี้ท่านมีแผนจะให้นักผจญภัยภัยเคลื่อนไหวอย่างไรบ้างงั้นหรือ ” นักรบเกราะสีเงินที่เรียกนักผจญภัยวัยกลางคนตรงหน้าด้วยตำแหน่ง แน่นอนว่าผู้ที่อยู่ตรงหน้าคือกิลด์มาสเตอร์ผู้ดูแลกิลด์นักผจญภัยสาขาป้อมปราการเดธวอลเลย์ ผู้ที่คอยควบคุมและดูการความเป็นไปของนักผจญภัยทั้งหมดในเมือง

 

” แน่นอนว่าตอนนี้ทางกิลด์ได้เรียกรวมนักผจญภัยเท่าที่จะเป็นไปได้เตรียมพร้อมเอาไว้ ” กิลด์มาสเตอร์พูดอย่างเหนื่อยล้า และสีหน้าที่ดูเหมือนว่าผิดหวังกับสิ่งที่ตนไม่สามารถทำได้มากกว่านี้ 

 

” ถึงอย่างนั้นจำนวนที่รวบรวมนักผจญภัยที่ยังอยู่ในเมืองนี้ได้ก็เพียงแค่ 60 คนเท่านั้น ” 

 

” ถ้าหากรวมทหารที่ประจำการอยู่ที่นี่ก็260 คนสินะ กว่าจะขอกำลังเสริมจากเมืองหลวงก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 5 วัน เรื่องจำนวนยังเสียเปรียบอยู่ แถมตอนนี้เรายังไม่รู้ถึงความอันตรายของมอนเตอร์ด้วย ” นักรบเกราะสีเงินผู้บัญชาการทหารเมื่อได้ข้อมูลจากฝั่งกิลด์มาสเตอร์ก็ประมวลข้อมูลเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็ว แต่สุดท้ายผลของการวิเคราะห์ข้อมูลนั้นก็ต้องพบกับปัญหาเนื่องจาก จำนวนของทั้งทหารและนักผจญภัยแม้จะรวมกันแล้วก็ยังน้อยกว่าจำนวนมอนสเตอร์เกือบเท่าตัว 

 

” เรื่องความอันตรายของมอนสเตอร์จากที่ได้สังเกตมาคาดว่าส่วนใหญ่อยู่ในระดับ C แต่คิดว่าอาจจะมีบางตัวที่อยู่ระดับ B อย่างเลวร้ายที่สุดอาจจะมีระดับ A รวมอยู่ด้วย ” กลุ่มนักผจญภัยเหยี่ยวสีน้ำเงินที่นั่งอยู่ข้าง ๆ กิลด์มาสเตอร์พูดขึ้นมาจากการคาดเดาและสังเกตเท่าที่จะเป็นไปได้

 

…. 

 

เมื่อได้ยินอย่างนั้นก็เกิดความเงียบขึ้นภายในที่ประชุม มอนสเตอร์ระดับความอันตรายจะแบ่งตั้งแต่ F จนถึง S และระดับความสามารถของนักผจญภัยเองก็ถูกแบ่งระดับตั้งแต่ F จนถึง S เช่นเดียวกัน แต่ถึงอย่างนั้นระดับของมอนสเตอร์กับระดับของนักผจญภัยก็เอามาเทียบกันตรง ๆ ไม่ได้ แม้จะเป็นนักผจญภัยระดับ C แต่ก็ใช่ว่าจะสามารถปราบมอนสเตอร์ระดับ C ได้ด้วยตัวคนเดียว บางทีอาจจะใช้สองคนขึ้นกับชนิดของมอนสเตอร์ด้วย หากจะพูดว่ามอนสเตอร์ที่มีระดับตัวอักษรเดียวกันแข็งแกร่งกว่าก็คงไม่ผิด และที่สำคัญนักผจญภัยที่มีระดับสูง ๆ ก็มีอยู่เพียงน้อยนิด 

 

นักผจญภัยที่อยู่ระดับ S ที่ได้ชื่อว่าอยู่บนจุดสูงสุดนั้นมีเพียง 4 คนในทวีป และนักผจญภัยระดับ A มีเพียง 29 คนเท่านั้น แต่ส่วนใหญ่มักจะกระจัดกระจายกันไปตามเมืองต่าง ๆ ทำให้การจะรวบรวมนักผจญภัยระดับสูง ๆ ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ยิ่งถ้าหากเป็นนักผจญภัยระดับสูงแล้วการจะยื่นคำร้องหรือจ้างวานก็เป็นเรื่องยาก เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายที่สูงมากแถมนักผจญภัยระดับสูงมักจะเลือกเฉพาะงานที่ตนสนใจเท่านั้น 

 

” ข้าได้ยินมาว่าเมื่อวันก่อน หมอนั่นอยู่ที่เมืองนี่นิ ” บุคคลที่นั่งอยู่ตำแหน่งหัวโต๊ะพูดขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ ชายวัยกลางคนที่สวมชุดผู้ดีสีน้ำเงินเข้มราวกับขุนนางไม่มีผิด แต่กลับไม่มีบรรยายที่รู้สึกเหมือนกับขุนนางเลยแม้แต่น้อย กลับกันราวกับข้าราชการในราชสำนักมากกว่า

 

” ท่านนายกหมายถึงใครงั้นหรือ ” นักรบเกราะสีเงินเอ่ยถามกับผู้ที่มีตำแหน่งเป็นนายกของเมืองป้อมปราการแห่งนี้ด้วยความสงสัยจากคำพูดที่ดังออกมาเมื่อครู่

 

” นักผจญภัยระดับ S ปราชญ์แห่งดาบ เค็นโซ ” 

.

.

.

.

.

ตั้งแต่เด็ก ๆ แล้วฉันเคยถูกสอนมาเสมอมาการจะพูดอะไรสักอย่างนั้นจะต้องคิดอย่างรอบคอบเสมอ เพราะหากว่าเราสื่อสารออกไปผิดจะทำให้ผู้ฟังเข้าใจผิดหรือไม่เข้าใจในสิ่งที่เราจะสื่อได้ค่ะ ใช่ ๆ ไม่ว่าจะตอนไหน ประถม มัธยม แม้แต่ตอนเข้ามหาวิทยาลัย ฉันก็ถูกสอนแบบนั้นมาโดยตลอดแต่แล้วทำไมในตอนนี้ฉันถึงมาเจอสถานการณ์แบบนี้กันได้ละคะ ! 

 

หากถามว่าเกิดอะไรขึ้นงั้นฉันขอเล่าย้อนกลับไปเมื่อคืนหน่อยแล้วกันนะคะ อย่างที่รู้กันว่าฉันได้ถูกเชิญไปงานเลี้ยงขอบคุณของหมู่บ้านโคลินแล้วจู่ ๆ ทั้งที่ฉันยังไม่ได้ทำอะไร ถ้อยคำที่มีทั้งการสรรเสริญเอย ชื่นชมเอย ไหนจะขอคำอวยพร ต่าง ๆ นา แห่เข้ามาแบบที่ฉันก็ยังไม่รู้จะทำอย่างไรเลยค่ะ 

 

โดยเฉพาะแม่ลูกเจ้าลัทธิจูน่าจังและคุณวิเวียนนี่ตัวดีเลยค่ะ จู่ ๆ ก็ขึ้นไปพูดบนโต๊ะอาหารแล้วก็ปราศรัยอย่างกับหาเสียงตอนเลือกตั้ง แต่เรื่องที่พูดไม่ใช่นโยบายแต่ดันเป็นเรื่องของฉันที่ช่วยจูน่าจังเอาไว้ไม่ก็ตำนานของเผ่าพันธุ์ไฮเอลฟ์ของฉันแทนซะงั้นค่ะ แทบจะปวดกบาลกันเลยทีเดียว สิ่งที่แปลกใจยิ่งกว่าคือไหงเหล่าชาวบ้านถึงได้เชื่ออย่างแรงกล้าก็ไม่รู้ค่ะ บางคนถึงกับน้ำตาไหลตอนที่สองแม่ลูกเจ้าลัทธิเล่าให้ฟังเลยทีเดียว 

 

ไหนจะเรื่องคนที่ชื่ออีวานที่ตอนแรกเหมือนจะเข้ามาหาเรื่องแต่สุดท้ายก็ดันกลายมาเป็นสาวกคลั่งบูชาแทนแบบสุด ๆ ไปเลยค่ะ ฉันก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขาเหมือนกันนะคะ แต่อย่างน้อยที่สุดไม่สร้างศัตรูก็ยังดีกว่าละนะ ถึงแม้ว่าจะไม่อยากได้แบบนี้เหมือนกันก็เถอะค่ะ แต่แล้วสุดท้ายไม่รู้ทำไมทั้งงานเลี้ยงก็กลายเป็นเหมือนงานสรรเสริญฉันไปโดยปริยายแม้กระทั่งคุณคาเวลที่เป็นหัวหน้าหมู่บ้านก็คล้อยตามแบบไม่ลืมหูลืมตาอีก 

 

งานเลี้ยงก็ดำเนินไปอย่างที่ทำให้ฉันอัดอึดเป็นที่สุดค่ะ ถึงจะบอกว่าเป็นงานเลี้ยงที่สนุกสนานมาก ๆ ทั้งการกินการดื่มต่างก็สร้างสีสันให้กันงานเลี้ยง แต่สิ่งที่ฉันงงสุดก็คือ ทำไมมีพ่อแม่พาลูกมาหาฉันกันทั้งหมู่บ้านแล้วยังบอกให้ฉันมอบพรให้เด็ก ๆ ด้วยเถอะ ว่างั้นน่ะค่ะ 

 

‘ ท่านเทพธิดาโนเอลคะ ช่วยประทานพรให้เด็กคนนี้ด้วยเถอะค่ะ ‘

‘ ท่านเทพธิดาโนเอลครับ ลูกของผมอยากจะเป็นอัศวินช่วยอวยพรให้ด้วยเถอะครับ !! ‘ 

‘ ท่านโนเอลร่าคะ !! หนูอยากเป็นเมียของเจ้าชายช่วยบอกวิธีหน่อยได้ไหมคะ !! ‘

 

ไม่รู้ทำไมแต่สักพักกลับกลายเป็นหนึ่งในอีเวนต์ของงานเลี้ยงไปแล้วละค่ะ ในอนาคตฉันต้องทำบัตรจับมือขึ้นมาใช่ไหมคะเนี่ย ! งั้นจะเก็บค่าอวยพรแพง ๆ ไปเลยแล้วกันค่ะ ถึงจะบอกว่าอวยพรแต่ฉันก็แค่พูดให้กำลังใจไปเท่านั้นเองค่ะ แต่ไม่รู้ทำไมไหงเด็ก ๆ กลับร้องไห้ดีใจอย่างกับทำตามความฝันสำเร็จแล้วล่ะคะ ! เดี๋ยว ๆ พวกคุณหนูลงมือทำก่อนนะลูก แล้วเด็กคนนั้นมันอะไรกันคะ อยากเป็นเมียเจ้าชายงั้นเหรอ ? ขอดูหน้าคุณแม่เดี๋ยวนี้เลยค่ะ เรียกมาอบรมด่วน ๆ เลยค่ะ ! 

 

จนสุดท้ายงานเลี้ยงก็ดำเนินกันไปจนดึกชาวบ้านที่ดื่มกันจนเมาก็ล้มลงไปนอนกับพื้นทั้งอย่างนั้น จนพวกบรรดาคุณนายภรรยาทั้งหลายต้องหอบกลับบ้าน โดยที่ของในงานยังไม่ได้มีการเก็บข้าวของเลยทั้งโต๊ะ จาน แก้ว อะไรอื่น ๆ อีกอย่างหลาย ตอนแรกฉันก็อาสาจะช่วยเก็บนั่นแหละค่ะ แต่ไม่รู้ทำไมพอจะช่วย ดันมีคนเอาเก้าอี้ที่ดูหรูที่สุดมาให้นั่งซะงั้น เอ๋ ? แล้วนี่ฉันจะได้ช่วยเก็บข้าวของกับเขาไหมคะเนี่ย ! 

 

” เฮ้อ…เหนื่อยจริง ๆ เลยค่ะ ” หลังจากงานเลี้ยงฉันก็ขี่ลูลิกลับมาที่บ้านต้นไม้ เพราะว่าไม่อยากจะรบกวนหมู่บ้านนานไปกว่านี้ จริง ๆ แล้วคืออยากจะออกจากตรงนั้นโดยเร็วต่างหากค่ะ ! ทำไมกันนะ ทั้งที่ฉันเหนื่อยล้าถึงขนาดนี้แต่ลูลิกลับเหมือนปกติไม่มีผิด แถมยังรู้สึกสนุกด้วยก็แน่สิ ส่วนใหญ่ลูลิเป็นที่ชื่นชอบของพวกเด็ก ๆ มากเลย ไม่ต้องมาเจออะไรแบบฉันนี่ค่ะ ! 

 

กลับมาถึงบ้านต้นไม้แล้วก็ร่าย ‘ชะล้าง’ ให้ตัวเองทันทีแล้วทิ้งตัวลงบนโซฟาโดยเร็วค่ะ ความเหนื่อยล้าทางจิตใจเรียกได้ว่าถึงขีดจำกัดสุด ๆ เลยค่ะถึงทางกายจะไม่มีเลยก็เถอะ เอาเป็นว่าวันนี้ขอนอนยาว ๆ หน่อยแล้วกันนะคะ 

.

.

” ฮือออ. . . !? ” หลังจากตื่นก็บิดขี้เกียจบนโซฟาตัวเดิมอย่างปวดหลังนิด ๆ เหมือนยายแก่เลยค่ะ ไม่รู้ว่ากี่โมงแล้วแต่เหมือนแดดจะกำลังร้อนเลย น่าจะเกือบ ๆ เที่ยงแล้วนะคะเนี่ย เหมือนจะตื่นสายแต่ก็ช่างมันเถอะค่ะยังไงซะเมื่อคืนก็เหนื่อยด้วยละนะ ถือว่าให้รางวัลตัวเองหน่อยแล้วกันค่ะ 

 

ถึงจะบอกว่าให้รางวัลตัวเองก็เถอะ แต่ยังไงก็อยู่แต่ในป่าอยู่ดีคงจะกินแต่แอปเปิ้ลแล้วก็อิ่มทั้งวัน แต่สิ่งที่ฉันได้รู้ตอนอยู่ในงานเลี้ยงนั่นก็คือ เวลาฉันกินอาหารที่ไม่ใช่อาหารในป่า ฉันจะไม่อิ่มค่ะ ไม่ใช่แค่ไม่อิ่มแต่เหมือนจะไม่รู้สึกว่าได้กินเลยด้วยซ้ำ แถมพวกเหล้าต่าง ๆ ก็เหมือนจะไม่เมาอีกด้วย แต่เรื่องนั่นพอจะรู้สาเหตุอยู่ค่ะ เพราะเวลากินเหล้าเข้าไปสกิลติดตัวของเผ่าไฮเอลฟ์ ‘ พรคุ้มครองแห่งป่า ‘ ผลก็คือเพิ่มการต้านทานสถานะผิดปกติต่าง ๆ 50 % และ 100 % ถ้าหากอยู่ในป่า พูดง่าย ๆ ก็คือยิ่งมีต้นไม้เยอะแค่ไหนค่าการต้านสถานะก็จะเพิ่มขึ้นนั่นเองค่ะ 

 

แต่เวลาดื่มเหล้าจริง ๆ แล้วเหมือนจะให้สถานะ ‘มึนเมา’ เหมือนในเกมแถมยังแสดงผลค่อนข้างน้อยด้วย สกิล ‘ พรคุ้มครองแห่งป่า ‘ ที่แม้จะมีค่าสถานะประมาณ 60 % ก็เลยทำงานได้อย่างไม่มีปัญหา แต่สิ่งที่ฉันเข้าใจอย่างท่องแท้ก็คือฉันควรจะกินแต่ผลไม้ในป่าสินะคะ เพราะต่อให้กินเนื้อหรืออาหารอย่างอื่นก็ไม่ได้ช่วยทำให้ความหิวลดลงเลย แถมยังรู้สึกเหมือนไม่มีอะไรลงท้องด้วยซ้ำเหมือนกินไปแล้วอาหารมันโดนวาร์ปไปต่างมิติเลยค่ะ แบบนี้ต่อให้กินเนื้อเป็นกิโลก็ไม่อิ่มหรอกค่ะ ! 

 

กลับกันรสชาติที่ได้ลิ้มลองกลับไม่ได้อร่อยเลย แม้จะไม่ถึงกับกินไม่ได้แต่ก็พูดไม่ได้ว่าอร่อย ถ้าเทียบกับตอนที่กิน   แอปเปิ้ลที่เด็ดในป่าแล้วรู้สึกเหมือน ฟ้า กับ นรก เลยค่ะหรือเป็นเพราะฉันตอนนี้เป็นไฮเอลฟ์อาหารอย่างอื่นเลยไม่ตอบสนองกับลิ้นและกระเพาะของฉันกันนะ แบบนี้ไม่ว่าจะเนื้อย่าง ของหวาน หรืออื่น ๆ ก็คงทำให้ฉันอร่อยไม่ได้แล้วล่ะค่ะ 

 

” อยากลองออกไปข้างนอก ที่ไม่ใช่ป่าดูบ้างจังเลยนะ~ ” ฉันที่พึมพำคนเดียวในบ้านหลังจากนอนตื่นสายจนเกือบเที่ยง แน่นอนว่าพอใช้เวทย์ ‘ชะล้าง’ ก็เดินออกไปประตูลูลิที่นอนอยู่ข้างบ้านต้นไม้โดดแดดส่องมาราวกับกำลังอาบแดดเลยค่ะ คงจะสอบที่อุ่น ๆ สินะ พอเห็นฉันก็เงยหน้าขึ้น เหมือนกำลังถามว่า ‘วันนี้จะทำอะไรดี’ 

 

” เธอเนี่ย ร่าเริงจริง ๆ เลยนะ ” ฉันที่เห็นลูลิมีพลังเต็มเปี่ยมตั้งแต่เมื่อคืนที่ผิดกับฉันที่เหนื่อยเพราะจิตใจที่โดนสรรเสริญอย่างบ้าคลั่งถึงกับรู้สึกอิจฉาเจ้าสัตว์อัญเชิญของตัวเองแบบถึงแก่นเลยค่ะ ลูลิที่สังเกตเห็นฉันทำสีหน้าถอนหายใจก็เข้ามาคลอเคลียเหมือนกำลังปลอบใจหรืออ้อนก็ไม่รู้ค่ะ น่ารักจริง ๆ เลยนะเนี่ย 

 

” ไปเด็ดแอปเปิ้ลกันหน่อยดีกว่า ” ฉันขี่ลูลิวิ่งไปทางสวนผลไม้ที่เดิมค่ะ แน่นอนว่ากินทั้งแอปเปิ้ล องุ่น และหลาย ๆ อย่าง เอาจนหายอยากแล้วก็ใช่จริง ๆ ด้วย อร่อยมากเลยค่ะ ! อร่อยกว่าเมนูที่กินในงานเลี้ยงเมื่อวานเป็นไหน ๆ นี่ฉันคงจะกินได้แค่ผลไม้ป่าสินะ เหมือนจะเป็นชะตากรรมของไฮเอลฟ์อย่างฉันไปแล้วค่ะ 

 

” นี่ลูลิไม่หิวเลยเหรอ ” ฉันที่เอะใจก็หันไปถามลูลิที่มองดูฉันกินผลไม้อย่างเอร็ดอร่อยอยู่นานสองนาน แต่ลูลิก็ส่ายหน้าเป็นคำตอบ แต่เหมือนฉันพอรู้สาเหตุอยู่ค่ะ อาจจะเป็นเพราะลูลินั้นเกิดจากพลังเวทย์ของฉันนั่นแปลว่าอาจจะไม่ต้องการกินอาหารแต่อาจจะต้องการพลังเวทย์ของฉันเพื่อดำรงชีวิตก็เป็นได้ค่ะ ไหนแล้ว ๆ ก็ลองถ่ายพลังเวทย์ดูหน่อยแล้วกัน 

 

ฉันยื่นมือออกไปทางลูลิแล้วลองนึกภาพว่าตัวเองโอนถ่าย MP ไปให้กับอีกฝ่ายไม่นานอณูเวทย์ที่ราวกับหิงห้อยสีฟ้า ๆ เล็ก ๆ ก็ออกมาจากมือของฉันแล้วเข้าสู่ตัวของลูลิราวกับซึมเข้าไปในร่างกายอันใหญ่โตของหมาป่าตัวใหญ่ ลูลิที่เมื่อได้พลังเวทย์ของฉันที่เติมเต็มส่วนที่ขาดไปก็ทำหน้าดีใจส่ายหางเป็นการใหญ่ แถมยังร้อง ‘โบ้ววว~ ‘ อีกด้วยดูเหมือนฉันจะคิดถูกนะคะเนี่ย 

 

หลังจากที่เราทั้งสองได้เติมกระเพาะจนอิ่มแล้วฉันก็กำลังคิดว่าจะลองไปที่หมู่บ้านอีกสักครั้งเพื่อไปถามข้อมูลจากพวกคุณโยฮันเพราะอยากจะลองเข้าเมืองดูบ้างแต่ก็ไม่รู้ว่ามีเมืองไหนบ้าง ถ้าจะให้ไปเมืองหลวงเลยคงขอผ่านละค่ะ เพราะอาจจะเจอกับคุณปู่เพี้ยน ๆ คนนั้นด้วย เอาเป็นว่ายังไงก็ลองไปที่หมู่บ้านก่อนดีกว่าค่ะ 

.

.

ฉันที่ขี่ลูลิที่มีความเร็วปานรถซูเปอร์คาร์ก็มาถึงหมู่บ้านโคลินที่เมื่อคืนจัดงานเลี้ยงกันอย่างใหญ่โตภายในเวลาไม่ถึง 5 นาที เมื่อฉันลงจากลูลิและเดินเข้าไปในหมู่บ้านเท่านั้นแหละค่ะ เหล่าชาวบ้านก็ตะโกนทักทายฉันอย่างกับเจอดาราเกาหลีที่สนามบินดอนเมืองกันอย่างคับคั่ง 

 

‘สวัสดีค่ะ ! ท่านเทพธิดาโนเอล วันนี้ก็ยังงดงามเหมือนเดิมเลยนะคะ ! ‘

‘ ไม่หรอก ๆ งดงามกว่าเดิมอีกต่างหาก ! ‘ 

‘ วันนี้มีอะไรให้พวกเรารับใช้งั้นเหรอครับ ! ‘ 

 

เสียงดังรอบข้างขณะที่ฉันเดินได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ พลางโบกมือเป็นการทักทายเหมือนดาราที่ผ่านกล้องเดินพรมแดงในงานเปิดตัวภาพยนตร์เลยค่ะ 

 

” คะ-คือว่าฉันมาหาพวกคุณโยฮันน่ะค่ะ ” ฉันที่บอกจุดประสงค์ของตัวเองให้กับชาวบ้านที่ถามไถ่ถึงการมาที่หมู่บ้านเพื่อให้ชาวบ้านช่วยบอกทางไปที่บ้านของจูน่าจัง เพราะฉันไม่รู้ว่าบ้านของครอบครัวจูน่าจังอยู่ที่ไหนนั่นเองค่ะ เพราะเมื่อคืนพอมาถึงหมู่บ้านก็เล่นเปิดงานกันทันทีเลย แทบจะไม่รู้เลยว่าหมู่บ้านนี้มีบ้านใครอะไรบ้าง 

 

” บ้านของพวกท่านเจ้าลัทธิงั้นเหรอครับ อยู่ตรงหัวมุมก่อนถึงที่ทำการหัวหน้าหมู่บ้านน่ะครับ ” เอ๊ะ ? อะไรนะคะ เมื่อกี้ฉันได้ยินอะไรแปลก ๆ หรือเปล่านะ นี่อย่าบอกนะว่าจูน่าจังและคุณวิเวียนเป็นเจ้าลัทธิไปแล้วจริง ๆ งั้นเหรอคะ ? เอาจริงดิ ฉันแค่คิดเล่น ๆ ในใจแต่ไหงมันกลายเป็นจริงขึ้นมางั้นละ 

 

” งะ-งั้นเหรอคะ ขอบคุณมาก ๆ นะคะ ” งั้นที่ขอบคุณชาวบ้านที่ช่วยตอบให้ในขณะที่ตกใจกับสิ่งที่ได้รับรู้เมื่อครู่ แม้แต่คำพูดที่ลอยมาตามหลังอย่าง ‘ นี่ ๆได้ยินไหม ๆ ฉันได้รับคำขอบคุณจากท่านเทพธิดาด้วยล่ะ ! ‘ ก็ไม่ได้เข้ามาในสมองเลยสักนิดค่ะ นี้ฉันไปทำอะไรให้กับครอบครัวนี้กันไว้นะ จูน่าจังหวังว่าจะไม่โตมาเป็นคนแปลก ๆ อย่างกับคนคลั่งศาสนาอะไรแบบนั้นหรอกนะคะ 

 

เมื่อเดินมาถึงจุดที่ชาวบ้านบอกก็มาถึงบ้านของครอบครัวจูน่าจังเลยละค่ะ เป็นบ้านเดี่ยวที่มีสองชั้น ดูเรียบ ๆ แต่อบอุ่นดี ฉันเคาะประตูแล้วคนที่ออกมาเปิดต้อนรับก็คือเจ้าลัทธิตัวน้อยนั่นเอง 

 

” ท่านโนเอล !!!! ” ฉันที่ยิ้มให้กับจูน่าจังที่เบิกตาโตเป็นประกายเมื่อเห็นฉัน แต่ในขณะที่กำลังจะเปิดปากพูดเท่านั้นละ …. 

 

” พ่อค่ะ ! แม่ค่ะ ! ท่านโนเอลมาหาเราที่บ้านละ !! ” ฉันที่ยังไม่ทันพูดอะไรหนูน้อยผู้ศรัทธาฉันอย่างสุดโต่งก็ได้ตะโกนเรียกบิดามารดาอย่างบ้าคลั่ง คุณวิเวียนที่ได้ยินรีบวิ่งสับตีนแตกออกมาทั้งที่มือยังถือแครอทและสวมผ้ากันเปื้อนลายกระต่าย มาต้อนรับฉันอย่างเอาเป็นเอาตาย 

 

” ท่านโนเอลยินดีต้อนรับค่ะ สักครู่นะคะ เดี๋ยวฉันจะขัดบ้าน ปูพื้น แคะเอาฝุ่นออก และเอาพรมมาปูให้นะคะ ! ” ฉันอ้าปากค้างที่ได้ยินสิ่งที่คุณวิเวียนกำลังจะทำเพื่อต้อนรับฉัน ในตอนที่คุณวิเวียนกำลังจะหันหลังกลับไปทำในสิ่งที่พูดทั้งหมดนั้นฉันก็รับห้ามเอาไว้อย่างไวค่ะ 

 

” ไม่ต้องหรอกค่ะ ๆ ! ที่มาวันนี้แค่อยากจะมาถามอะไรนิดหน่อย ๆ น่ะค่ะ ” เมื่อได้ยินฉันพูดแบบนั้นคุณวิเวียนก็ใจเย็นลงและเชิญฉันเข้ามาในบ้านตามปกติ จูน่าจังเอาปัดฝุ่นที่โซฟาพร้อมทั้งเอาน้ำมาเสิร์ฟอย่างเรียบร้อยราวกับฝึกมาเพื่อการนี้ 

 

” เอ่อ..แล้วคุณโยฮันไม่อยู่เหรอคะ ” ฉันที่สังเกตเห็นว่าคนที่ดูจะปกติที่สุดไม่อยู่บ้านเลยเอ่ยถามออกมา แน่ละค่ะ อย่างน้อยถ้ามีคุณโยฮันอยู่ด้วยน่าจะทำให้เหตุการณ์เมื่อกี้ไม่เกิดขึ้นก็ได้ จะได้ช่วยให้ฉันไม่ประหม่าและทำตัวไม่ถูกเวลาอยู่กับเจ้าลัทธิแม่ลูกคู่นี้ค่ะ 

 

” โยฮันออกไปล่าสัตว์ค่ะ มีธุระกับโยฮันเหรอคะ ? ” คุณวิเวียนตอบคำถามของฉันอย่างสุภาพและเอียงคอสงสัยเมื่อฉันถามหาสามีของเธอ ท่าทางแบบนั้นน่ารักสุด ๆ ไปเลยค่ะถ้าหากฉันเป็นหนุ่มชายโสดละก็คงตกหลุมรักไปแล้วแน่นอน 

 

” ป่าวค่ะ พอดีฉันอยากจะลองไปที่เมืองดูบ้างเลยจะมาถามว่ามีเมืองใกล้ ๆ แถวนี้บ้างไหมคะ ” 

 

” เอ… เมืองเหรอคะ ? ถ้าใกล้ ๆ ก็คงจะเป็นป้อมปราการเดธวอลเลย์นะคะ ” คุณวิเวียนที่ตอนแรกเหมือนจะสงสัยกับคำถามของฉัน แต่พอผ่านไปสักครู่ก็ตอบกลับมา

 

” ป้อมปราการเดธวอลเลย์เหรอคะ ? ” ฉันที่สงสัยเพราะไม่เคยได้ยินเมืองนี้ตอนสมัยอยู่ในเกมเลยถามออกราวกับมีเครื่องหมายคำถามโผล่ขึ้นมาบนหน้าผาก 

 

” ค่ะ ที่จริงแล้วเป็นเมืองหน้าด่านที่ป้องกันมอนสเตอร์หรืออาณาจักรปีศาจบุกโจมตีน่ะค่ะ เมืองนั้นจะมีการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวด และก็มีกิลด์นักผจญภัยด้วยค่ะ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีการค้าและคนอาศัยอยู่พอสมควร ” คุณวิเวียนอธิบายรายละเอียดให้ฉันฟังอย่างไหลลื่นพร้อมรอยยิ้มของคุณแม่วัยสาวที่แสนดึงดูดใจเอามาก ๆ เลยค่ะ ถ้าไม่ติดที่เป็นเจ้าลัทธิของฉันอะนะ

 

” ว่าแต่ทำไมท่านโนเอลถึงอยากจะเข้าเมืองงั้นเหรอคะ ? ” คุณวิเวียนถามถึงเหตุผลที่ฉันอยากจะไป แต่ก็คิดไว้แล้วล่ะค่ะ เพราะไม่ว่าเป็นใครก็ต้องสงสัยกันทั้งนั้น 

 

” พะ-พอดีว่าเก็บตัวในป่ามานานเลยอยากจะลองออกไปดูโลกภายนอกสักหน่อยน่ะค่ะ แฮะ ๆ ” ถึงจะดูไม่น่าเชื่อถือแต่มันเป็นความจริงนะคะ ถึงจะเป็นการเที่ยวเล่นก็เถอะแต่จะให้เอาแต่หมกตัวอยู่ในป่าอย่างเดียวได้ที่ไหนกันคะ 

 

” เปิดหูเปิดตาสินะคะ ! ” จูน่าจังที่ฟังอยู่พูดขึ้นมาอย่างตื่นเต้นพร้อมทั้งตาที่เป็นประกายมองที่ฉันค่ะ เป็นเด็กที่พลังเหลือล้นจริง ๆ เลยนะคะเนี่ย 

 

” ปะ-ประมาณนั้นล่ะจ๊ะ ” ฉันที่พูดพลางลูบหัวของจูน่าจังอย่างอ่อนโยน จูน่าจังเมื่อโดนฉันลูบหัวก็เคลิบเคลิ้มอย่างกับลูกแมวที่ฟินเมื่อโดนเกาคางเลยล่ะค่ะ แต่ไม่รู้คิดไปเองไหมเหมือนจะเห็นแววตาอิจฉาจากคุณวิเวียนด้วยล่ะค่ะ ฉันคงจะตาฝาดไปเองนั่นแหละค่ะ 

 

” งั้นลองไปให้คุณแอนนาพาไปไหมคะ ดูเหมือนว่าวันพรุ่งนี้คุณแอนนาจะไปที่ป้อมปราการเดธวอลเลย์อยู่พอดี ” คุณวิเวียนที่พูดออกมาเหมือนพึ่งจะนึกออกพลางปรบมือแตะแปะอย่างร่าเริง 

 

” คุณแอนนาที่เป็นหมอใช่ไหมคะ ” ฉันถามไปเพื่อความแน่ใจค่ะ เพราะอาจจะมีแอนนาหลายคนก็เป็นได้ 

 

” ใช่ค่ะ ” 

 

” งั้นคุณแม่ค่ะ พาท่านโนเอลไปหาพี่แอนนากันไหมคะ ! ” จูน่าจังที่เสนอความเห็นออกมาอย่างร่าเริงและเหมือนจะอยากไปกับฉันมาก ๆ เลยค่ะ 

 

” นั่นสินะ ท่านโนเอลให้พวกเราพาไปหาแอนนาจังแล้วกันนะคะ ” คุณวิเวียนที่เหมือนจะเออออกับลูกสาวกำมือขึ้นมาทั้งที่ยังกำแครอทในมืออย่างกับกระต่าย

 

” งะ-งั้นรบกวนด้วยค่ะ ” ฉันที่ไม่รู้จะตอบสนองกับปฏิกิริยาของแม่ลูกคู่นี้ยังไง เกิดความประหม่าขึ้นมาอีกครั้งแล้วค่ะ เฮ้อ ไม่ว่ายังไงเจอแบบนี้ก็ไม่มีทางชินเลยค่ะ 

.

.

หลังจากที่ตกลงกันได้ ฉัน คุณวิเวียน และจูน่าจังก็เดินทางไปพบคุณแอนนาที่บ้าน บ้านของคุณแอนนาเรียกได้ว่าอยู่เกือบ ๆ จะกลางหมู่บ้านเลยก็ว่าได้เพราะเนื่องจากเป็นหมอเพียงคนเดียวจึงต้องอยู่บ้านบริเวณที่คนจะสามารถไปมาหาสู่ได้ตลอด จะได้รักษาอย่างทันท่วงที ถือว่าเป็นการเลือกทำเลที่ฉลาดทีเดียวค่ะ

 

เมื่อมาถึงที่บ้านของคุณแอนนาคุณวิเวียนก็เคาะประตูทันที ไม่นานนักประตูก็ถูกเปิดออกหญิงสาวผมสีฟ้าเข้มยาวสลวยพร้อมชุดที่เข้ากับสีผมของเธอปรากฏออกมา คุณแอนนานั่นเองเหมือนจะมีสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อเห็นฉันนะคะ ก็คงไม่แปลกจู่ ๆ ใครจะคิดว่าฉันที่ทุกคนในหมู่บ้านนับถือเป็นเทพธิดาจะมาหาถึงบ้านกันละคะ 

 

” ทะ-ท่านโนเอลร่า แล้วก็พวกคุณวิเวียนมีธุระอะไรงั้นเหรอคะ ” เหมือนคุณแอนนาจะกลับมาสงบได้อย่างรวดเร็วพลางถามออกมาอย่างสุภาพ

 

” พอดีว่าท่านโนเอลมีเรื่องอยากให้แอนนาช่วยน่ะจ๊ะ ” คุณวิเวียนที่เป็นตัวแทนตอบให้ฉันโดยที่ไม่ได้ปรึกษาเลยสักคำค่ะ เมื่อได้ยินแบบนั้นคุณแอนนาก็ทำหน้าสงสัยหันมามองฉันราวกับยืนยันคำพูดของคุณวิเวียน ฉันได้แต่ยิ้ม แฮะ ๆ เป็นการตอบกลับแต่ก็เหมือนจะสื่อสารได้ตรงกันเลยทำให้ คุณแอนนาเชิญพวกเราทั้งหมดเข้าไปในบ้าน 

 

บ้านของคุณแอนนาเรียกว่าไม่มีของคุณวิเวียนเลยค่ะ มีเสียงอยู่ในห้องโถ่ง ประมาณ 3-4 เตียง ซึ่งเดาไม่ยากว่าเป็นเตียงสำหรับผู้ป่วย และยังมีอุปกรณ์ทำแผลต่าง ๆ วางไว้บนโต๊ะจัดเป็นชุด ๆ อย่างเป็นระเบียบ ฉันไม่รู้ว่าโลกนี้จะใช้เวทมนตร์รักษาหรือว่ารักษาแบบแพทย์ทั่วไป แต่ดูแล้ว ๆ มันจะผสมผสานของศาสตร์ทั้งสองไว้ด้วยกันนะคะ 

 

” ท่านโนเอลมีอะไรให้ฉันช่วยงั้นเหรอคะ บอกมาได้ทุกอย่างเลยค่ะ ” เมื่อเราทั้งคู่นั่งอยู่ที่โต๊ะรับแขกเล็ก ๆ กับโซฟาเพียงไม่กี่ตัวคุณแอนนาก็ถามฉันอย่างเข้าประเด็นพร้อมรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความยินดี 

 

” ดะ-ได้ยินว่าคุณแอนนาจะไปป้อมปราการเดธวอลเลย์ใช่ไหมคะ ” ฉันที่ถามออกไปอย่างเกรงใจเพราะจริง ๆ แล้วเหตุผลของฉันก็มีแค่ออกไปเดินเล่นเท่านั้น ไม่อยากหมกตัวอยู่แต่ในป่าน่ะค่ะ 

 

” ใช่แล้วค่ะ พอดีว่าวัตถุดิบทำโพชั่นหมดเลยต้องเดินทางไปซื้อน่ะค่ะ ” คุณแอนนาบอกเหตุผลที่ต้องไปป้อมปราการเดธวอลเลย์อย่างจริงจัง ทำเอาฉันที่คิดจะไปแค่เที่ยวเล่นชมวิวรู้สึกว่าทำตัวเป็นภาระไปเลยค่ะ แต่ว่าฉันก็อาจจะไปช่วยคุณแอนนาก็ได้นะคะ ใช่ ๆ อย่างน้อยก็ช่วยยกของได้นะ ไม่ใช่ฉันค่ะ แต่ลูลิต่างหาก 

 

” ท่านโนเอลอยากจะเปิดหูเปิดตาน่ะจ๊ะ เพราะว่าท่านเก็บตัวอยู่ในป่าเป็นเวลานานก็เลยอยากจะออกไปชมเมืองบ้างน่ะ ” คุณวิเวียนที่สังเกตเห็นฉันที่ไม่รู้จะข้อร้องยังไงช่วยตอบให้อย่างผู้ที่พึ่งพาได้ ทำไมกันนะคะ คุณวิเวียนในเวลานี้ราวกับแม่พระเลย ไม่มีเจ้าลัทธิคลั่งอย่างเมื่อคืนละ คนเดียวกันแน่ใช่ไหมคะ ? ไม่ได้กินอะไรแปลก ๆ เข้าไปใช่ไหมคะ ! 

 

” ท่านโนเอลพูดถึงฉันหรือเปล่าคะ ? ” คุณวิเวียนที่เหมือนจะมีจิตสัมผัสถามฉันเหมือนรู้ว่าฉันกำลังนินทาอยู่ในใจเลยค่ะ บะ-แบบนี้หรือว่าคุณวิเวียนอ่านใจฉันได้งั้นเหรอคะ !! 

 

” ปะ-เปล่าค่ะ แค่นึกขอบคุณที่ช่วยอธิบายให้น่ะค่ะ ” ฉันที่แถจนสีข้างถลอกตอบออกไปอย่างลนลาน แต่เหมือนว่าจะได้ผลอย่างดีเยี่ยม คุณวิเวียนที่เหมือนจะดีใจที่ถูกฉันขอบคุณตอบออกมาอย่างเต็มปากเต็มคำว่า ‘ เพื่อท่านโนเอลแล้ว เรื่องแค่นี้สบายมากค่ะ ‘ เอาจนฉันนึกขอบคุณความศรัทธาที่มีต่อฉันจริง ๆ เลยค่ะ 

 

” งี้นี่เอง ก็ท่านโนเอลอยู่ในป่ามาตั้ง 700 กว่าปีเลยไม่ทราบว่าเมืองภายนอกเป็นยังไงบ้างแล้วสินะคะ ” คุณแอนนาที่เหมือนจะคิดปะติดปะต่อถึงความต้องการของฉันและคำอธิบายของคุณวิเวียนเข้าด้วยกันราวกับจิ๊กซอว์ที่ต่อจนสมบูรณ์พูดขึ้นมาด้วยราวกับตนเข้าใจเรื่องทั้งหมดแล้ว แต่ก็ยังไม่วายจะมาแตะเรื่องอายุเผ่าของฉันค่ะ ! 

 

” กะ-ก็ประมาณนั้นค่ะ ฉันเลยอยากจะขอร่วมทางไปด้วยได้ไหมคะ ” ฉันที่ลืมเรื่องอายุเมื่อกี้ไปแล้วรีบถามเข้าประเด็นเพื่อให้ลืมความรู้ลืมหงุดหงิดเล็ก ๆ ค่ะ 

 

” ได้แน่นอนค่ะ ได้ร่วมทางกับท่านโนเอลร่าแบบนี้ยิ่งยินดีใหญ่เลยค่ะ ! ” คุณแอนนาปรมมือดีใจเหมือนเด็กที่ได้ร่วมเดินทางไปกับฉันอย่างน่ารัก ใบหน้าที่ยังสาวและสวยเรียกได้ว่าเป็นสาวงามอีกคนของหมู่บ้านเลยก็ว่าได้ค่ะ แหม ๆ อยากจะรู้จริง ๆ เลยค่ะว่าชายหนุ่มที่จะพิชิตหัวใจของคุณแอนนาได้จะเป็นคนแบบไหนกันนะ 

 

” คุณแม่คะ ! หนูขอไปกับท่านโนเอลด้วยได้ไหมคะ ! ” จู่ ๆ คำขอที่ทำให้ฉันและคุณแอนนาถึงกับประหลาดใจดังขึ้นมาจากหนูน้อยเจ้าลัทธิผู้น่ารักข้าง ๆ คุณวิเวียน เอ๋ ? ไหงจูน่าจังขอไปกับฉันด้วยล่ะคะ ! ฉันแค่ที่ไปเที่ยวเล่นอีกนะ หรือว่าจูน่าจังจะถึงวัยที่จะหนีออกจากบ้านแล้วเหรอคะ ? 

 

” เอ๋ ? งั้นเหรอจ๊ะ แต่แบบนั้นจะเป็นการรบกวนท่านโนเอลเอานะจ๊ะ อีกอย่างคุณแม่ก็อยากไปเหมือนกันนะ อิจฉาแย่เลยนะจ๊ะ ”  เดี๋ยวก่อนนะ คุณวิเวียนคะ ประโยคหลังนั่นมันอะไรกันน่ะมันฟังดูแปลก ๆ ยังไงก็ไม่รู้นะสรุปแล้วประเด็นหลักคืออิจฉาลูกสาวที่จะได้กับฉันงั้นเหรอคะเนี่ย ความเป็นห่วงลูกสุดน่ารักไปไหนละคะ ! 

 

” อะ-เอาเป็นว่าเดี๋ยวฉันดูแลจูน่าจังให้เองนะคะ คุณวิเวียนต้องอยู่ดูแลบ้านตอนที่คุณโยฮันไม่อยู่ใช่ไหมละคะ เพราะงั้นไม่ต้องห่วงนะคะ ! ” ฉันที่เสนออาสาออกตัวไว้ก่อนเลยค่ะ เพราะถ้าหากไปทั้งแม่ทั้งลูกละก็มีหวังไปเลยเผยแพร่ลัทธิในเมืองอื่นเข้าแน่ ๆ อย่างน้อยแค่จูน่าจังคนเดียวน่าจะพอห้ามได้ แต่ถ้าแม่ลูกมหาประลัยไปด้วยกันรับรองว่าสาวกที่คลั่งศรัทธาฉันได้เพิ่มขึ้นแน่ ๆ ค่ะ !! 

 

” เอ…งั้นเหรอคะ ถ้าท่านโนเอลว่างั้นละก็ ” คุณวิเวียนที่ทำหน้าเหมือนเสียดายพูดออกมาอย่างอ่อนแรง คิดว่าเหตุผลหลัก ๆ ไม่ใช่เรื่องห่วงความปลอดภัยลูกสาวแน่ ๆ ค่ะ แต่อิจฉาที่ไม่ได้ไปด้วยต่างหาก 

 

” งั้นพรุ่งนี้ท่านโนเอลช่วงเช้าเจอกันที่ทางเข้าหมู่บ้านนะคะ ” คุณแอนนาที่ได้ฟังข้อสรุปแล้วก็ได้รับนัดแนะถึงเวลาและสถานที่เพื่อที่จะเตรียมตัวออกเดินทางวันพรุ่งนี้ค่ะ 

 

” ได้เลยค่ะ ! ” ฉันที่มีกำลังใจเต็มเปี่ยมที่จะได้เห็นโลกภายนอก ในใจตื่นเต้นราวกับเด็กที่กำลังจะได้ไปทัศนศึกษาเลยละค่ะ 

.

.

.

.

 (เมืองหลวงอาณาจักรแอนวอลเลล์) 

 

หลังจากที่เมอร์ริอาร์และลุคที่กลับมาจากป่าที่มีเทพธิดาโนเอลร่าอาศัยอยู่ ทั้งคู่ได้ตรงดิ่งกลับมาเมืองหลวงอย่างไม่รอช้า เหตุผลหลักคือลุคที่กลัวว่าตาแก่สติเพี้ยนจะไม่ยอมกลับมาทำหน้าที่ของตัวเอง เพราะถ้าหากย้อนกลับไปเมื่อตอนอยู่ในป่าเมื่อสองวันก่อน ตาแก่จอมเพี้ยนคนที่ทุกคนในอาณาจักรให้การเคารพนับถือได้สร้างวีรกรรมที่แสนน่าอับอายแม้แต่ลุคถึงต้องกุมขมับ

 

อย่างแรกคือการที่ตาแก่จอมเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่ร้องไห้ขี้มูกโป่งอย่างกับเด็กน้อยที่เห็นฮีโร่ของตัวเองในทีวีช่อง 9 เพราะจนตอนที่ลุคลากเมอร์ริอาร์กลับไปทั้งตอนเดินทางกลับลุคก็ยังไม่ได้ถามเหตุผลที่ทำไมเมอร์ริอาร์ถึงได้เป็นขนาดนั้น 

 

อย่างที่สองคือการที่เมอร์ริอาร์เล่นประกาศตำแหน่งของตัวเองทั้งที่อยู่ในสภาพน้ำตาและน้ำมูกไหลราวกับตาแก่โดนหลานทิ้ง เพราะในความเป็นจริงแล้วตำแหน่งของเมอร์ริอาร์นั้นเรียกได้ว่าเป็นรองเพียงแค่กษัตริย์เลยก็ว่าได้ เพราะไม่ใช่แค่เป็นถึงจอมเวทย์หลวงของราชสำนักแต่เป็นที่ปรึกษาให้กับกษัตริย์อีกด้วย ตำแหน่งที่มาพร้อมกับความรับผิดชอบอันใหญ่หลวงและสร้างความหวาดเกรงให้กับนานาประเทศข้างเคียงกับต้องมาพังเพราะตาแก่เจ้าของตำแหน่งนั้นร้องไห้ขี้มูกโป่งต่อหน้าชาวบ้านนับสิบ 

 

และอย่างสุดท้ายคือการที่ตาแก่สติไม่เต็มดันบอกไปว่าจะลาออกและมาขอรับใช้เทพธิดาโนเอลร่าแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย หนำซ้ำยังไปเรียกเด็กอายุเพียง 7 ขวบว่าลูกพี่หญิงเพียงเพราะความคิดที่ตรงกันซะอย่างงั้น 

 

ด้วยเหตุผลดังกล่าวลุคที่ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยจอมเวทย์หลวงเมอร์ริอาร์มานานรู้สึกเหนื่อยอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ถึงแม้เมอร์ริอาร์จะชอบโยนงานมาให้ประจำอยู่แล้วแต่ความเหนื่อยล้าก็เทียบไม่ได้กับสิ่งที่ลุคพึ่งประสบพบเจอเมื่อไม่นานมานี้ และอีกหนึ่งเหตุผลที่ค่อนข้างจะเป็นทางการเลยคือ การที่จอมเวทย์หลวงออกจากเมืองหลวงนานเกินไปโดยที่ไม่มีคนรู้เกิดข่าวลือจนแพร่ไปในประเทศอื่นล่ะก็ จะเป็นการเปิดช่องให้ประเทศอื่นรุกรานก็เป็นได้ ตัวตนของเมอร์ริอาร์มีคุณค่าถึงขนาดนั้น 

 

แต่ลุคกับต้องปวดหัวกับเจ้านายของตนอย่างหาที่ระบายไม่ได้ เพราะแม้แต่ตอนที่นั่งรถม้ากลับตาแก่สติเพี้ยนคนนี้ก็เอาแต่ทำหน้าเคลิบเคลิ้มราวกับไปเสพพืชที่ทำให้หัวเราะมา แถมใบหน้ายังดูสดใสราวกับกลับเป็นหนุ่มอีกครั้งทั้งที่ปกติแล้วจะทำหน้าตาเอื่อยเฉื่อย ขี้เกียจและเบื่อโลกอยู่ตลอด ลุคที่ไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองที่มองไปยังตาแก่รากมะม่วงพลางคิดในใจว่าเทพธิดาโนเอลร่าช่างน่ากลัวจริง ๆ ที่เปลี่ยนตาแก่รากมะม่วงคนนี้ได้ 

 

ทั้งคู่ได้กลับมาถึงเมืองหลวงในวันก่อนงานเลี้ยงขอบคุณที่หมู่บ้านโคลินหนึ่งวัน และแน่นอนว่าเมอร์ริอาร์ได้รับคำฟังคำไหว้วานอย่างเลี่ยงไม่ได้ของโนเอลร่าที่โดนแรงกดดันของตาแก่รากมะม่วงก็ได้เริ่มทำอย่างกระตือรือร้นนั่นก็คือ การหาชุดเครื่องนอนที่ดีที่สุดในโลกให้กับเทพธิดาโนเอลร่านั่นเอง 

 

” นั่นกำลังจะไปไหนครับท่านเมอร์ริอาร์ ? ” ลุคที่กำลังมองจอมเวทย์เจ้านายของตนที่พอกลับมาถึงห้องได้ไม่ถึง 5 นาทีก็แต่งตัวราวกับกำลังจะออกไปข้างนอกเหมือนมีธุระเร่งด่วน ทั้งที่พึ่งจะกลับมาแต่กลับจะออกไปอีกแล้วทำให้ลุคไม่สบอารมณ์เอ่ยถามขึ้นมา 

 

” ไม่เห็นต้องถาม ข้าก็จะไปหาชุดเครื่องนอนที่ดีที่สุดในประเทศให้ท่านเทพธิดาโนเอลร่าน่ะสิ ” เมอร์ริอาร์ที่ตอบอย่างชัดเจนไม่มีความนัยแฝง ทั้งที่ปกติแล้วจะเป็นคนที่คาดเดาไม่ได้แท้ ๆ แต่เวลานี้กลับเป็นคนที่ตอบอย่างไม่มีความลังเลหรือรู้สึกว่าผ่านการคิดวิเคราะห์เลย 

 

” ถ้ามีของแบบนั้นจริง คงโดนเอาไปถวายให้กษัตริย์สักประเทศแล้วล่ะครับ เฮ้อ… ” ลุคที่ตอบอย่างเอือมระอาพลางเอามือกุมขมับที่ปวดตุบ ๆ ลุคไม่คิดเลยว่าตาแก่รากมะม่วงคนนี้จะเอาจริงเอาจังกับการแค่หาชุดเครื่องนอนให้กับเทพธิดาในป่าที่ชื่อโนเอลร่าขนาดนี้

 

” ถูกของเจ้า งั้นเอาเป็นว่าไปขโมยมาจากเจ้าพระราชาของเราเอาและกัน ” คำพูดที่ไม่คิดว่าจะออกจากปากของคนที่เป็นที่ปรึกษากษัตริย์ที่คิดจะไปขโมยชุดเครื่องนอนเจ้านายของตัวเอง 

 

” ทำแบบนั้นมีหวังได้โดนปลดจากตำแหน่งจอมเวทย์หลวงพอดีครับ อีกอย่างจะเอาชุดเครื่องนอนตาแก่อีกคนไปให้เทพธิดาโนเอลร่าเนี่ยคงได้โดนท่านโกรธพอดีครับ ” ลุคที่ไม่รู้จะตบมุกไหนก่อนดีพูดออกไปอย่างขอไปทีเพื่อให้มันผ่านไปโดยเร็วที่สุด แต่เหมือนว่าเมอร์ริอาร์จะไม่ยอมจบ 

 

” ก็จริงของเจ้า ชุดเครื่องนอนของหมอนั่นถึงจะเป็นของชั้นเลิศแต่ก็คงมีกลิ่นสาบตาแก่ไปหมดแล้ว ถ้าเอาไปให้ท่านโนเอลร่าล่ะก็ คงโดนท่านเกลียดขี้หน้าแน่ ๆ ” ลุคที่คิดในใจว่า ‘ท่านโดนเกลียดขี้หน้าไปเรียบร้อยแล้วล่ะ’ ได้แต่เก็บไว้ เพราะลุคนั้นเรียกได้ว่าเป็นคนที่คอยสังเกตสิ่งรอบข้างเสมอและสายตาและสีหน้าของเทพธิดาโนเอลร่าที่มองเมอร์ริอาร์นั้นไม่ต่างไปจากตาแก่นักเวทย์จอมเพี้ยนชัด ๆ แต่ลุคคิดว่าถ้าตนพูดออกไปเมอร์ริอาร์ก็คงไม่เชื่อ 

 

” ข้าคิดว่าท่านโนเอลร่าคงอยากได้ชุดเครื่องนอนธรรมดามากกว่านะครับ ” ลุคที่แสดงความเห็นอย่างถูกต้องที่สุดจากการสังเกตลักษณะความเป็นอยู่ของโนเอลร่าในครั้งที่ได้ไปเยี่ยมพร้อมชาวบ้าน 

 

” หา ? ทำไมเจ้าถึงคิดแบบนั้นกัน อย่างท่านโนเอลร่าต้องนอนในฟูกที่เปรียบดั่งขนนกของวิหคสวรรค์เชียวนะ ” 

 

” แล้วไอ้วิหคสวรรค์นั่นมันหาได้ที่ไหนกันล่ะครับ เฮ้อ…ท่านก็เห็นไม่ใช่เหรอท่านโนเอลร่าน่ะอยู่อย่างเรียบง่าย บ้านก็ยังเป็นบ้านต้นไม้เลยนะครับ ” ลุคที่พูดเหมือนให้เมอร์ริอาร์ฉุกคิดเหมือนจะได้ผล เมอร์ริอาร์ที่หวนคิดถึงวันที่ได้เจอโนเอลร่าก็นึกออกทันทีว่าโนเอลร่าอาศัยอยู่ในป่าอย่างกับเป็นธรรมชาติแถมยังดูเรียบง่ายเอาง่าย ๆ เมอร์ริอาร์ที่คิดว่าลุคนั้นคิดได้อย่างรอบคอบจึงเอ่ยชื่นชม

 

” อืม ๆ ถูกของเจ้านะ ไม่เลวเลยนี่หว่า เจ้าเองก็มีแววใช้ได้นะเนี่ย ” เมอร์ริอาร์ที่เงยหน้าขึ้นหัวเราะราวกับถูกใจในความเอาใจใส่ของลุคที่พึ่งพาได้ ทำเอาลุคถึงกับหน้าตายตอบกลับมา

 

” ถ้าท่านลดความเพี้ยนแล้วสังเกตอะไรบ้างก็คงคิดได้ไปนานแล้วครับ ” ลุคที่ตอบกลับโดยแฝงคำด่าพลางเอามือเกาหัว

 

” เฮ้ย นี่เจ้าเมื่อกี้พูดว่า เพี้ยนใช่ไหม พูดสินะ เมื่อกี้พูดว่าเพี้ยนแน่ ๆ ” เมอร์ริอาร์ที่เกือบเคลิ้มไปกับคำพูดของลุคตั้งสติแล้วถามกลับอย่างหงุดหงิด

 

” เปล่าครับ ข้าไม่ได้พูด ข้าแค่ด่า ” 

 

” มันแย่กว่าเดิมอีกไม่ใช่เหรอ !! ” ในที่สุดบรรยายกาศการตบมุกแบบตลกคาเฟ่ของสองนักเวทย์ผู้เก่งกาจของอาณาจักรที่กลับมาอย่างที่มันควรจะเป็น 

 

” งั้นเอาเป็นว่าข้าออกไปซื้อชุดเครื่องนอนในเมืองก่อนแล้วกัน ที่เหลือก็ฝากเจ้าด้วยล่ะ ” เมอร์ริอาร์ที่เหมือนเตรียมตัวพร้อมแล้วก็ถือไม้เท้ากำลังจะเดินออกจากห้องไปในทันที แต่โดนลุคทักขึ้นมา 

 

” นี่ท่านจะออกไปจริง ๆ เหรอครับ ข้าได้รับรายงานจากคนหน่วยของเราว่าท่านแม่ทัพกาเฮริสต้องการพบท่านโดยด่วนเรื่องมอนสเตอร์ที่ป้อมปราการเดธวอลเลย์นะครับ ” ลุคพูดสิ่งที่ต้องรายงานโดยด่วนเพื่อหวังให้เมอร์ริอาร์ตระหนักสิ่งที่ควรจะทำก่อนเป็นอันดับแรก แต่เหมือนว่าลำดับความสำคัญของเมอร์ริอาร์กับลุคนั้นจะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง 

 

” เออ ๆ ฝากให้เจ้าไปแทนแล้วกัน ข้าต้องไปหาชุดเครื่องนอนให้ท่านโนเอลร่า ฝากด้วยล่ะ ” เมอร์ริอาร์ที่เดินออกจากห้องไปพร้อมเสียงปิดประตูดัง ‘ ปัง ! ‘ ทำให้ลุคได้แต่ยักไหล่เหนื่อยหน่ายกับการกระทำของเจ้านายตนเอง 

( ให้มันได้อย่างนี้สิ …) 

.

.

.

.

 

(???)

 

ณ พื้นที่ลานกว้างที่เต็มไปด้วยอาวุธสำหรับฝึกซ้อมและพื้นดินที่ไม่มีหญ้าขึ้นแม่แต่น้อย กับเสียงของสตรีที่ดูน่าเกรงขามและบ้าคลั่ง การเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วที่ทำให้ร่างกายเผาผลาญอย่างต่อเนื่องผุดเม็ดเหงื่อตามร่างกายแต่แล้ว สตรีดังกล่าวกลับไม่มีท่าทีว่าจะเหนื่อยหรืออ่อนแรง แต่กลับยิ่งฝึกซ้อมหนักขึ้นมากกว่าเดิมราวกับพายุที่บ้าคลั่งไม่มีผิด 

 

เสียงของดาบไม้ที่ดังกระทบกันอย่างรุนแรงและบ้าคลั่งที่ดังไปเท่าบริเวณ พร้อมกับคนมุงดูที่ไม่ใช่มนุษย์หลายสิบคนมองอย่างชื่นชมและนับถือในความแข็งแกร่งและองอาจของสตรีที่ว่า ผมสีแดงเข้มราวกับโลหิตตัดสั้นอย่างน่าหลงใหล กล้ามเนื้อสีแทนที่ดูแข็งแกร่งราวกับฝึกมาอย่างดีแต่ไม่ได้ใหญ่โตจนดูแปลก แต่กลับกระชับได้รูปดังหญิงงามที่มีสุขภาพดีและฝึกฝนตนเอง 

 

สตรีที่ได้ชื่อว่าหนึ่งในราชันย์ผู้บัญชาการกองทัพปีศาจ ‘ การล่มสลายสีฉาด ‘ ‘ ดันทาเลียน ‘ 

 

” อ้าว ๆ !! บุกเข้ามาอีกเซ่ ” เสียงตะโกนคำรามอย่างกับลมกระโชกรุนแรงที่มาพร้อมกับกระบวนดาบที่รุนแรงและรวดเร็วจนคู่ฝึกซ้อมถึงกับมองตามไม่ทันและในที่สุดก็ล้มลงไปกองกับพื้นอย่างอนาถ

 

” ชิ ! แค่นี้เองเหรอ ไม่มีใครที่จะมาเป็นคู่ซ้อมให้ข้าคนนี้แล้วหรือไง !! ” ดันทาเลียนที่ผิดหวังกับคู่ซ้อมของตนที่ตอนนี้สลบไปเป็นทีเรียบร้อยแล้ว แน่นอนว่านี่เป็นการฝึกซ้อมแต่ถ้าหากว่านี่คือสนามรบจริง ๆ แล้วละก็คู่ซ้อมคงได้ตายภายในดาบเดียวเป็นแน่ ความแข็งแกร่งของดันทาเลียนแน่นอนว่าเป็นของจริงถึงรูปร่างจะดูเป็นสตรีแต่ทั้งพละกำลังและความแข็งแกร่งนับว่าเป็นรองเพียงไม่กี่คนเท่านั้น 

 

เมื่อไม่มีทหารปีศาจคนไหนกล้าที่จะมาเป็นคู่ซ้อมให้ ดันทาเลียนจึงได้แต่สบทในลำคอก่อนจะเดินออกไปอย่างหงุดหงิด สำหรับดันทาเลียนที่ความแข็งแกร่งคือทุกสิ่งทุกอย่าง ผู้ที่กวาดล้างศัตรูได้มากที่สุดในบรรดาราชันย์ผู้บัญชาการกองทัพปีศาจก็คือ ดันทาเลียน 

 

เมื่อครั้งที่ได้ลงสนามทั้งการทำสงครามราวกับได้กำหนดชัยชนะไว้อยู่ก่อนแล้ว หมู่บ้าน เมือง หรือจะประเทศทุกที่ที่ดันทาเลียนไปต่างก็ล่มสลายพร้อมทั้งเลือดที่สาดกระเซ็นไปทั่วอาณาบริเวณจนได้ฉายาว่า ‘การล่มสลายสีฉาด’ ฉายาที่ทำให้ทุกประเทศต่างหวาดผวา ในโลกนี้คนที่จะต่อกรกับดันทาเลียนคงจะมีแค่จำนวนน้อยกว่านิ้วมือทั้งสองข้างสะอีก แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นคือ จอมเวทย์หลวง เมอร์ริอาร์ และ แม่ทัพทมิฬ กาเฮริส แห่งอาณาจักรแอนวอลเลล์ 

 

แต่ถึงจะบอกว่าต่อกรได้แต่ก็ใช่ว่าจะเสมอกัน เพราะแต่เดิมความแข็งแกร่งของเผ่าปีศาจนั้นมากกว่ามนุษย์เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เรียกว่าสามารถสู้กับดันทาเลียนโดยที่ยังไม่ตายในพริบตาจะถูกมากกว่า แต่หากถามว่าดันทาเลียนมีคนที่เจ้าตัวไม่อาจต่อกรได้อยู่หรือไม่แน่นอนว่าย่อมมีอยู่แล้ว หนึ่งในนั้นคือ สังฆราชินีของอาณาจักรเอลฟ์  

 

เมื่อครั้งที่ดันทาเลียนเคยบุกอาณาจักรเอลฟ์แต่ก็โดนสังฆราชินีเอลฟ์ที่มีผมสีเขียวแกมเหลืองและดวงตาสองสี รูปร่างงดงามราวกับเด็กสาวตนนั้นตลบแผนทำให้กองทัพปีศาจจะต้องล่าถอยออกมา แถมทั้งพลังเวทย์และเวทมนตร์ต่าง ๆ ก็ทรงพลังเป็นอย่างมาก ไหนจะความสามารถทำนายหรือมองเห็นอนาคตได้อีก ยิ่งทำให้ดันทาเลียนไม่อาจจะอยู่นิ่งได้จึงเอาแต่ฝึกฝนวันแล้ววันเล่าเพื่อที่จะเอาชนะเหล่าคนที่ตนไม่อาจเอาชนะได้ 

 

แต่เดิมแล้วดันทาเลียนเป็นนักสู้ที่เน้นการต่อสู้ด้วยอาวุธทางกายภาพเป็นหลักแต่ต่อให้ต้องเผชิญหน้ากับนักเวทย์ก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับดันทาเลียน ทั้งความเร็วและเซ้นส์ด้านการต่อสู้ทำให้แม้แต่นักเวทย์ก็ถูกดันทาเลียนฆ่าตายไปคนแล้วคนเล่า 

 

ท่ามกลางอารมณ์หงุดหงิดจากการที่ไม่มีคู่ฝึกซ้อมเหมาะสมกับตนดันทาเลียนที่เดินอยู่ในโถ่งทางเดินระหว่างกลับไปยังหอส่วนตัวของตนก็ได้พบกับเพื่อนร่วมรบคนสำคัญอย่างคาดไม่ถึงและยังเป็นหนึ่งในราชันย์ผู้บัญชาการกองทัพปีศาจเหมือนกับดันทาเลียนเช่นกัน

 

” งาย งาย ~ ดันจางง ไปไหนมาเหรอ ~ ” เสียงที่ฟังดูร่าเริงแบบสุดขีดเข้าทักดันทาเลียนพร้อมกับการกอดอย่างไม่ทันตั้งตัวทำให้ดันทาเลียนได้แต่เซ แต่สิ่งที่หนักที่สุดคงเป็นก้อนไขมันขนาดใหญ่มหึมาที่อยู่บนหลังคอดันทาเลียนสัมผัสอุ่น ๆ และความนุ่มนิ่มยืดหยุ่นที่จะทำให้ชายใด ๆ ก็ตามได้สัมผัสแล้วต้องขึ้นสวรรค์เลยทีเดียว 

 

” เลิกเข้ามากอดข้าสักที ! ” ดันทาเลียนที่รำคาญผลักบุคคลที่เข้ามากอดจากทางด้านหลังออกไปอย่างไม่ไยดีมากนัก พร้อมทั้งชักสีหน้าใส่อย่างเอาเรื่องแต่สิ่งเหล่านั้นกับทำให้บุคคลด้านหลังกลับชอบใจ 

 

” อ๊ายย ~! โดนดันทาเลียนดุอีกแล้ว น่ารักจังเลย ~ ” เหมือนท่าทีของดันทาเลียนจะไม่มีผลต่อบุคคลดังกล่าวทำให้ดันทาเลียนรู้สึกเอือมระอาและรำคาญอย่างถึงที่สุดจึงได้เอ่ยถามออกไป 

 

” มีอะไรก็พูดมา ข้ากำลังรีบ ” ดันทาเลียนรีบเข้าประเด็นเพื่อที่จะได้หนีไปจากตรงนี้เร็ว ๆ 

 

” ไม่มีอะไรหรอกน้า ~ ก็แค่เห็นดันจังดูหงุดหงิดอยู่เลยกะจะเข้ามาปลอบเท่านั้นเอง ” 

 

” ก็แค่หงุดหงิดที่ไม่มีคู่ฝึกซ้อมที่เหมาะสมกับข้าก็เท่านั้น ” ดันทาเลียนที่ยอมบอกแต่โดยดีเพราะถ้าหากยังปากแข็งไม่ยอมพูดละก็บุคคลตรงหน้าคงไม่ยอมปล่อยง่าย ๆ แน่นอน 

 

” ก็นั่นสิน้า ~ ถ้าเทียบความแข็งแกร่งตรง ๆ แล้วละก็คงไม่มีใครสู้ดันจังได้หรอกนะ ~ ” พูดคำที่บุคคลนี้ได้กล่าวขึ้นไม่เกินความจริงไปแม้แต่น้อย เพราะทั้งอาณาจักรปีศาจแล้วไม่มีใครที่จะแข็งแกร่งในด้านการสู้รบไปกว่าดันทาเลียนแล้วจริง ๆ 

 

” ว่าแต่ ได้ยินมาว่ามอนสเตอร์กำลังอาละวาดอยู่ที่ป้อมปราการของมนุษย์อยู่ด้วยนะ น่าสนุกใช่ม้า ~ ” ดันทาเลียนที่ได้ฟังเรื่องดังกล่าวไม่ได้มีอาการแต่อย่างใด แต่หนำซ้ำกลับคิดว่าไร้สาระ เพราะเผ่าปีศาจสามารถควบคุมมอนสเตอร์ได้อยู่แล้ว ถึงจะไม่สามารถควบคุมได้ทั้งหมดโดยเฉพาะมอนสเตอร์ระดับตำนานที่พวกมนุษย์จัดอันดับไว้ที่แรงค์ S แม้แต่เผ่าปีศาจสายนักอัญเชิญก็ควบคุมไม่ได้ 

 

” แล้วไง ? ” ดันทาเลียนถามกลับไปอย่างไม่สนใจ เพราะเจ้าตัวคิดว่าคงเป็นฝีมือของเผ่าปีศาจสักคนที่อยากจะถล่มป้อมปราการของมนุษย์ก็เป็นได้ 

 

” ก็ที่ป้อมปราการนั้นมีกิลด์นักผจญภัยอยู่ แถมได้ข่าวจากเด็ก ๆ ของฉันว่านักผจญภัยระดับ S อยู่ที่นั่นด้วยคนนึงนะ ” คำพูดที่เหมือนจะเป็นเป้าหมายหลักของบุคคลตรงหน้าดันทาเลียนได้จุดประกายไฟของดันทาเลียนเข้าอย่างจัง ราวกับรู้ว่าสิ่งที่ดันทาเลียนสนใจคืออะไร และก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ 

 

” ว่าไงนะ เจ้าบอกว่านักผจญภัยระดับ S ก็อยู่ที่ป้อมปราการนั่นด้วยงั้นเหรอ ” ดันทาเลียนถามออกไปอย่างเก็บอาการไม่อยู่ เพราะถ้าหากพูดถึงนักผจญภัยระดับ S แล้วละก็ในทวีปอัลคาเดียมีเพียง 4 คนเท่านั้นและไม่ต้องพูดถึงฝีมือแน่นอนว่าอยู่บนจุดสูงสุดของนักผจญภัย และสามารถต่อกรกับราชันย์ผู้บัญชาการกองทัพปีศาจอย่างดันทาเลียนได้ 

 

” อะรา~ สนใจขึ้นมาแล้วเหรอจ๊ะ~ ” เหมือนกับปลาที่ติดเบ็ด บุคคลปริศนาได้ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์พร้อมทั้งจะเข้าไปกอดดัลทาเลียน

 

” ไหน ๆ ก็บอกเรื่องดี ๆ ให้ฟังแล้วมาให้ กอ- ” ในขณะที่กำลังจะเข้าไปกอดนั้นเอง บุคคลดังกล่าวก็โดนมือของดัลทาเลียนจับหน้าเอาไว้อยู่กับที่เหมือนเด็กน้อย ดัลทาเลียนที่หันหน้าครุ่นคิดไปทางอื่นขณะที่ยังจับหน้าของคนที่พยายามจะเข้ามากอด

 

” งั้นเหรอ หึ งั้นออกไปเดินเล่นหน่อยก็แล้วกัน ” 

.

.

.

.

 

 

(ฝั่งอีวาน) 

 

ว่ากันว่ามนุษย์เรานั้นเมื่อเผชิญพบเจอกับสิ่งที่ไม่รู้หรือไม่อาจทำความเข้าใจได้มนุษย์ย่อมเกิดสิ่งหนึ่งขึ้นมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ นั่นคือ ความกลัว และแน่นอนว่าหากสิ่งที่ไม่อาจทำความเข้าใจหรือแม้กระทั่งพยายามจะทำความเข้าใจมาอยู่ตรงหน้าคงจะทำให้เกิดความงุนงงและสับสนขึ้นมาและตอนนี้อีวานกำลังเจอกับสิ่งเหล่านั้น 

 

คำพูดของโนเอลร่าเพียงไม่กี่คำและรอยยิ้มที่งดงามดุจดั่งเทพธิดาที่ยิ้มราวกับสิ่งที่กำลังพูดออกมาอยู่นั้นเป็นเรื่องตลก ผมสีขาวสว่างบริสุทธิ์ยังกับแพรไหมและดวงตาสีน้ำเงินที่ราวกับมองทะลุทุกสิ่งทุกอย่างทำให้อีวานที่อยู่ต่อหน้าสิ่งที่ทุกคนเคารพศรัทธา สิ่งที่เรียกว่าเทพธิดานั้น อีวานกำลังคิดว่าตนกำลังท้าทายกับสิ่งที่มนุษย์ไม่อาจจะเทียบได้ 

 

” หา ? ” 

 

คำอุทานที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันโดยที่ตัวอีวานเองก็ไม่รู้ว่าตนเองอุทานออกมา เซลล์สมองของอีวานที่ทำงานอย่างหนักหน่วงเพราะกำลังประมวลผลของคำพูดของโนเอลร่าให้ตนได้เข้าใจว่าสิ่งที่เทพธิดาผู้งดงามตนนี้พูดหมายความว่ายังไงกัน 

 

( กะ-กำจัดไปแล้ว ? จะบอกว่ากำจัดไฮดร้าไปแล้วงั้นเหรอ )

 

 อีวานได้แต่อ้าปากค้างโดยที่ยังทำความเข้าใจไม่ได้นั้น จู่ ๆ ก็โดนคำพูดที่ราวกับตอกย้ำสิ่งที่ตนกำลังสับสนอย่างถึงที่สุดเหมือนโดนกองหินขนาดใหญ่ล้นทับไปอีกที 

 

” สมกับที่เป็นท่านโนเอลจริง ๆ เลยค่ะ คงคิดว่าไฮดร้าที่อาศัยอยู่ในภูเขามัวริสนั่นจะเป็นอันตรายต่อหมู่บ้านพวกเราในอนาคตสินะคะ ก็เลยไปกำจัดไว้เพื่อเป็นการตัดไฟแต่ต้นลมสินะคะ ! ” วิเวียนที่ทำความเข้าใจคำพูดของโนเอลร่า (ในแบบของตัวเอง) ได้ก่อนใครประกาศพูดออกมาอย่างเสียงดังฟังชัด 

 

” แน่อยู่ค่ะ ! ท่านโนเอลน่ะไม่ใช่แค่แข็งแกร็งและงดงามแต่หยั่งรู้ไปถึงอนาคตเลยทำให้ท่านโนเอลจัดการไฮดร้าไปก่อนที่คุณลุงอีวานจะถามสะอีกค่ะ ! ทั้งหมดนั่นท่านโนเอลไปล่วงรู้ไปก่อนพวกเราแล้วล่ะค่ะ ! ” จูน่าเข้ามาสมทบกับวิเวียนอย่างไม่รอช้า ปราศรัยความยอดเยี่ยมของโนเอลร่าอย่างที่ได้คิดประมวลผลออกมาตามประสาเด็ก 7 ขวบ แต่สิ่งที่ไม่คาดฝันก็คือ…

 

” ” สะ-สุดยอดดดดด !!!! ” ”  เสียงโห่ร้องด้วยความดีใจและชื่นชมดังกึกก้องไปทั่วหมู่บ้าน ทั้งผู้ใหญ่หรือเด็ก บุรุษหรือสตรี เยาว์หรือชราก็ไม่มีข้อยกเว้น

 

” สุดยอดไปเลย ! ท่านโนเอลเป็นห่วงความปลอดภัยของหมู่บ้านเราถึงกับไปปราบไฮดร้าล่วงหน้าเลยหรือนี่ ! ” 

” แถมท่านโนเอลยังไม่ออกลงมือเอง แต่ให้สัตว์รับใช้ก็พอเพียงแล้วงั้นสินะ ! ” 

” ขนาดสัตว์รับใช้ของท่านโนเอลยังแข็งแกร่งขนาดนี้เลยงั้นเหรอครับ !! ” 

” คุณหมาป่าสุดยอดไปเลย ! ท่านโนเอลก็โคตรสุดยอดเลยค่ะ  ” 

 

ท่ามกลางเสียงชื่นชมยินดีต่อโนเอลร่านั้น อีวานได้แต่ยืนนิ่งหน้าซีดก้าวขาไม่ออก แม้แต่จะเปล่งเสียงออกมายังทำได้ลำบาก ความไม่เข้าใจรวมไปถึงความหวาดกลัวที่ตนไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนในชีวิต ตัวตนที่ชื่อว่าโนเอลร่า เทพธิดาผู้งดงามที่สติปัญญาของมนุษย์ไม่อาจหยั่งถึง ทั้งหมดทั้งมวลทำให้อีวานถึงกับหลั่งน้ำตา 

 

( นะ-นี่เราได้แค่เต้นอยู่บนฝ่ามือของเทพธิดาตนนี้งั้นเหรอเนี่ย จัดการไฮดร้าเพราะห่วงใยหมู่บ้านแถมยังไปปราบก่อนที่เราจะได้ท้าทาย นี่เรากำลังเผชิญหน้ากับตัวตนแบบนี้งั้นเหรอเนี่ย ! ) 

 

อีวานที่หลั่งน้ำตาก้มหน้ายอมรับความพ่ายแพ้ถึงสิ่งที่ตนตระหนักได้ นั่นคือมนุษย์ไม่อาจเอาชนะเทพธิดาได้ไม่ว่าจะด้วยเหตุใด และความทรงจำอันใกล้ก็ย้อนกลับเข้ามาในหัวสมองของอีวานอีกครั้ง ภาพของโนเอลร่าที่ยิ้มอย่างอ่อนโยน คำพูดคำจาที่สุภาพแม้ว่าจะต้องโดนคนอย่างอีวานพูดจาเสียมารยาทใส่ 

 

( ทะ-ทั้งที่ฉันพูดจาเสียมารยาทขนาดนั้น ทั้งที่ฉันท้าทายยั่วยุสารพัด แต่กลับยิ้มให้เราอย่างอ่อนโยนและสุภาพไม่โต้ตอบอะไรเลย นี่เราทำอะไรลงไป ) 

 

น้ำตาที่หลั่งไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ของอีวาน ทำเอาโนเอลร่าได้แต่ลนลานตกใจ แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้ไม่มีใครสังเกตเห็น

 

” นี่ฉัน ทำเรื่องไม่ดีลงไปกับเทพธิดาแล้วสินะ ” อีวานที่ยังหลั่งน้ำตาพูดคอตกอย่างกับวิญญาณหลุดออกจากร่าง แต่แล้วก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นราวกับชกเข้าที่หน้าของอีวานเพื่อเตือนสติ 

 

” เข้าใจแล้วสินะคะ ! ท่านโนเอลน่ะคือเทพธิดาตัวจริง ไม่ว่าจะความแข็งแกร่งหรือความงดงามอ่อนโยน ท่านผู้นี้คือจุดสูงสุด ” จูน่าที่เห็นอีวานได้แต่ล้มก้นจ้ำเบ้าไปกับพื้นทั้งน้ำตาจึงเดินไปพูดด้วย

 

” คุณลุงอีวานน่ะ ได้ทำเรื่องเสียมารยาทมาก ๆ กับท่านโนเอลไปนะคะ ” จูน่าที่พูดราวกับย้ำเตือนความผิดของอีวานที่ตอนนี้น้ำตาไหลก้มน้ำอย่างคนหมดอะไรตายอย่าง 

 

” แต่ว่า ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ท่านโนเอลคือเทพธิดาผู้เมตตาต่อให้จะทำผิดขนาดไหน ท่านโนเอลก็จะต้องให้อภัยอย่างแน่นอนค่ะ ! ” จูน่าพูดด้วยรอยยิ้มไร้เดียงสาอย่างน่ารักราวกับแสงของดวงอาทิตย์ที่ส่องลงมายังตัวของอีวาน ราวกับมือของผู้ที่จะนำทางทำให้อีวานหลุดพ้นจากความมืดมิดนี้ 

 

” ใช่ไหมคะท่านโนเอล ” จูน่าหันไปมองโนเอลร่าด้วยรอยยิ้มน่ารัก 

 

” เอ๊ะ ? ขะ-ค่ะ ” โนเอลร่าที่ตอบออกมาเหมือนโดนรอยยิ้มที่น่ารักของจูน่ากดดัน ทั้งที่เจ้าตัวตามเรื่องไม่ทันมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว ได้แต่ตอบตามน้ำอย่างเลี่ยงไม่ได้ 

 

( งั้นเหรอ แม้แต่คนที่ไร้มารยาทอย่างเราท่านเทพธิดาโนเอลร่าก็ยังให้อภัยงั้นสินะ ฉันนี่มันโง่จริง ๆ ที่คิดว่ายั่วยุท่านเทพธิดาเพื่อจะให้ทุกคนเห็นความจริง แต่กลับกลายเป็นเราเองที่ตามืดบอดไม่เห็นถึงความสูงส่งของเทพธิดาตรงหน้า) 

 

อีวานที่ตัดสินใจได้แล้วเช็ดน้ำตาและเงยหน้าขึ้นราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ใบหน้าที่ดูสมชายและไม่มีความหวาดกลัวในใบหน้าอีกต่อไป ชาวบ้านที่จ้องมามองที่อีวานเป็นตาเดียวกันเฝ้ารอสิ่งที่อีวานกำลังจะพูด 

 

” ท่านเทพธิดาโนเอลร่า ผมได้ทำเรื่องเสียมารยาทต่อท่านมากที่ไม่น่าให้อภัย ผมขออภัยท่านด้วยครับ ” อีวานที่พูดออกมาอย่างอาจหาญก้มหัวจนติดพื้นและพร้อมจะรับโทษอย่างสมชายชาตรี ชาวบ้านที่เห็นดังนั่นต่างปรบมือชื่นชมกับการสำนึกผิดพร้อมกับยอมรับโทษแต่โดยดี แต่แล้ว..

 

” เอ๊ะ ? งะ-เงยหน้าขึ้นเถอะค่ะ ไม่เห็นมีอะไรต้องขอโทษเลยนี่คะ ! ” โนเอลร่าที่เห็นอีวานก้มหัวจนชนพื้นดัง ปึก! เกิดประหม่าและลนลานเลเวลสูงสุดจนทำตัวไม่ถูก ได้แต่ยิ้มสู้ให้กับอีวานที่เอาแต่ก้มหน้าขอโทษ 

 

” โอ้ว ! แม้ผมจะเสียมารยาทขนาดนี้แต่ท่านก็ยังเมตตาไม่ถือโทษอย่างนั้นเหรอครับ ! ” อีวานที่ต้อนนี้ได้เบิกเนตรศรัทธาต่อโนเอลร่าแบบ 300 % หลงเข้าใจการกระทำของโนเอลร่าไปคนละทิศคนละทาง แม้แต่ชาวบ้านที่มุงดูอยู่นั้นก็ยังคิดไปในทางเดียวกันอย่างหยุดไม่อยู่

 

” ช่างมีความเมตตาอะไรอย่างนี้ ! โอ้ว ท่านเทพธิดาโนเอลจงเจริญ !! ” 

” ทั้งที่อีวานทำตัวหยาบคายถึงขนาดนั้นแต่ก็ยังให้อภัยด้วยรอยยิ้ม ! ช่างประเสริฐจริง ๆ ท่านเทพธิดาโนเอล ! ” 

” ทั้งงดงาม แข็งแกร่ง และก็ยังดีใจแถมเมตตาด้วย ข้าจะถวายความภักดีต่อท่านเทพธิดาไปชั่วชีวิตครับ ! ” 

 

เสียงรอบข้างที่ดังขึ้นมาอย่างกับนัดกันมา ทำเอาโนเอลร่าหันซ้ายหันขวาว่ามันเกิดอะไรขึ้น คิดแต่เพียงว่าไหงมันเป็นแบบนี้ไปได้อยู่คนเดียว ทันใดนั้นอีวานที่ก้มหน้าอยู่ก็เงยขึ้นพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมาอีกครั้ง แต่กลับไม่ได้มีสีหน้าอ่อนแออีกต่อไปแต่กลับมีสีหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเคารพและศรัทธา 

 

” ความเมตตาของท่านเทพธิดาโนเอลร่าในครั้งนี้ ข้าจะไม่มีวันลืมไปชั่วชีวิตครับ ชีวิตนี้ของฉันพร้อมจะรับใช้ท่านเทพธิดาโนเอลร่าครับ !! ” อีวานที่รู้สึกซาบซึ้งกับการที่โนเอลร่าไม่ถือโทษตนเองทำให้เกิดความศรัทธาอย่างเต็มเปี่ยมเหมือนหัวใจได้ถูกเติมเต็มราวกับได้ค้นพบความหมายของชีวิตตั้งแต่เกิดมา 

 

” เอ๊ะ ? เอ๋ ? มะ-ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้ค่ะ แค่ทำตัวปกติกับฉันก็พอ ” โนเอลร่าที่เห็นท่าทีเคารพและศรัทธาที่เปลี่ยนไปของอีวานรู้สึกว่าจะมีคนประเภทจูน่าจังเกิดขึ้นมาอีกคนแล้วจึงรีบห้ามไว้และบอกให้ทำตัวตามปกติกับตนทันทีเพื่อไม่ให้ประหม่าไปมากกว่านี้ แต่แล้วเหมือนความพยายามของโนเอลร่าจะเหมือนน้ำมันที่เติมเข้าไปในกองเพลิง 

 

” ไม่ใช่แค่ให้อภัยแต่กลับไม่ถือตัว ให้ทำตัวตามปกติเหมือนเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาด้วยงั้นเหรอครับ ! ท่านเทพธิดาโนเอล ข้าจะรับใช้ท่านไปทุกภพทุกชาติครับ !! แม้จะให้บุกน้ำลุยไฟหรือเลียรองเท้าก็สั่งมาได้เลยครับ ! ” ไม่รู้ว่าเป็นเพราะโนเอลร่าสื่อสารออกไม่ไปดีหรือเพราะความคิดอันบรรเจิดของอีวานกันแน่ที่ทำให้ความหมายของประโยคดั่งกล่าวมันถึงได้กลายเป็นแบบนี้ แต่สิ่งที่ตามมาคือเสียงดังกึกก้องของเหล่าชาวบ้านที่แห่กันชื่นชมต่อโนเอลร่า

 

” ช่างยอดเยี่ยมจริง ๆ ท่านโนเอลร่า ซาบซึ้งมาก ๆ เลยครับ !! ” 

” ท่านโนเอลร่าเอาเมียของผมไปรับใช้ได้เลยครับ !! ” 

” ชีวิตและวิญญาณของพวกเรา รับเอาไว้ด้วยเถอะค่ะ ! ” 

 

เสียงของความซาบซึ้งและน้ำตาไหลกินใจของเหล่าชาวบ้านนับร้อยชีวิตดังประสานเสียงกันอย่างกับคอนเสิร์ตศิลปินเกาหลี บ้างก็ถึงเอาถวายเมียให้ไปรับใช้แต่ก็เหมือนจะโดนเมียโคกสับไปแล้ว และในที่สุดเจ้าลัทธิทั้งสองที่ต่างก็ยิ้มและซาบซึ้งยิ่งกว่าใครก็ได้ประกาศขึ้น 

 

” ทุกท่านค่ะ ! นี่แหละคือความเมตตา ความงดงาม และความแข็งแกร่งของท่านเทพธิดาโนเอลร่าของพวกเรา ทุกท่านจงให้ความเคารพ และถวายความจกรักภักดีชั่วชีวิตต่อท่านเทพธิดาโนเอลร่าด้วยเถอะค่ะ !! ” วิเวียนที่ตอนนี้ได้ยืนขึ้นบนโต๊ะใกล้ ๆ อีกรอบประกาศคำเชิญชวนอย่างกับคนขายประกัน การปราศรัยอันไหลลื่นและอารมณ์ของผู้คนที่ตอนนี้กำลังอินและซาบซึ้งอยู่ทำให้เหล่าชาวบ้านพร้อมใจกันคุกเข่าถวายความเคารพกับโนเอลร่าทันใด 

 

” ” พวกเราหมู่บ้านโคลิน ขอถวายชีวิตเพื่อท่านเทพธิดาโนเอลร่า ครับ/ค่ะ !! ” “

 

จูน่าเจ้าลัทธิตัวน้อยเองก็ยืนขึ้นบนโต๊ะและป่าวประกาศด้วยเสียงเล็ก ๆ น่ารักตามประสาเด็ก 7 ขวบแต่เสียงนั้นกลับเต็มไปด้วยพลังที่จะทำให้ทุกคนคล้อยตามไปอย่างน่าประหลาด 

 

” ทุกคน ! พูดพร้อมกันนะคะ ท่านเทพธิดาโนเอลร่าจงเจริญ ! ” คำปราศรัยสุดเรียบง่ายแต่กลับทรงพลังอย่างเหลือเชื่อออกมาจากปากเล็ก ๆ ของเจ้าลัทธิตัวน้อย 

 

” ” ท่านเทพธิดาโนเอลร่าจงเจริญ! ” ”  เสียงประสานก้องกังวานไปตามสายลมยามหัวค่ำไปทั่วบริเวณ ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่งในอาณาจักรแอนวอลเลล์ 

.

.

.

 

มันเป็นแบบนี้ไปได้ยังไงกันคะเนี่ยย !!!!! อะไรกันคะ จู่ ๆ ก็เหมือนมีคุณอาสีส้มแดงเดินมาเหมือนจะหาเรื่อง แต่แล้วจู่ ๆ ก็บอกให้ไปปราบไฮดร้า และก็ยืนอึ้งน้ำตาไหลก้มหน้าได้ยังไงกันคะ ฉันทำอะไรผิดไปงั้นเหรอคะ ? หรือว่าไฮดร้าตัวนั้นเป็นมอนสเตอร์สุดรักของคุณอาที่ชื่ออีวานงั้นเหรอคะ !? 

 

ไม่เข้าใจคะ ! ยิ่งพูดก็เหมือนจะยิ่งเข้าใจผิดไปคนละเรื่องเลยค่ะ อะไรกัน ฉันอุตส่าห์อยู่เฉย ๆ แล้วนะทำไมมันถึงได้กลายมาเป็นสถาการณ์เหมือนเดจาวูรอบที่เท่าไหร่แล้วคะเนี่ย ! ไม่จบไม่สิ้นสักทีแล้วไหงคุณอีวานดันมาศรัทธาฉันแบบเป็นบ้าเป็นหลังอีก เอ๊ะ ! นี่อย่าบอกนะว่าฉันมีสาวกเพิ่มงั้นหรอคะ ใช่แน่ ๆ แต่ไม่อยากได้อ่ะ ช่วยเอากลับไปด่วน ๆ เลยค่ะ  

 

” เอ๊ะ? เอ๋? มะ-ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้ค่ะ แค่ทำตัวปกติกับฉันก็พอ ” ไม่ได้ ๆ มาโดนคนศรัทธาก้มหัวให้อีกแล้ว ต้องรีบแก้ไขสถานการณ์นี่โดยเร็วที่สุดคะ เอาเป็นว่าต้องทำให้รู้สึกเป็นกันเองที่สุดค่ะ เพราะงั้นถ้าบอกว่าให้ทำตัวปกติละก็ต้องเข้าใจแน่ ๆ

 

 ” ไม่ใช่แค่ให้อภัยแต่กลับไม่ถือตัว ให้ทำตัวตามปกติเหมือนเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาด้วยงั้นเหรอครับ! ท่านเทพธิดาโนเอล ข้าจะรับใช้ท่านไปทุกภพทุกชาติครับ!! แม้จะให้บุกน้ำลุยไฟหรือเลียรองเท้าก็สั่งมาได้เลยครับ! ” ไม่ใช่โว้ย !!! นี่จะเข้าใจผิดไปถึงไหนกันคะ ! แค่บอกว่าให้ทำตัวตามปกติกับฉันแค่นั้นเองนะ หรือปกติแล้วก็ทำแบบนี้งั้นเหรอแล้วท่าทีหาเรื่องตอนแรกมันคืออะไรกันล่ะคะ ! เล่นมุกงั้นเหรอ แล้วที่ให้เลียรองเท้าหมายความว่าไงคะ ? เป็น M งั้นเหรอ ฉันไม่ได้มีรสนิยมแบบนั้นนะคะ 

 

” ช่างยอดเยี่ยมจริง ๆ ท่านโนเอลร่า ซาบซึ้งมาก ๆ เลยครับ!! “

” ท่านโนเอลร่าเอาเมียของผมไปรับใช้ได้เลยครับ!! “

” ชีวิตและวิญญาณของพวกเรา รับเอาไว้ด้วยเถอะค่ะ! “

 

นั่นไงละคะ ! พูดยังไม่ทันขาดคำเลยการประสานเสียงสรรเสริญฉันออกมาอีกแล้วค่ะ นี่มันอัลบั้มที่เท่าไหร่กันแล้วคะ หมู่บ้านนี้เขาเปิดค่ายเพลงสรรเสริญกันหรือยังไงคะเนี่ย ! เอาเป็นว่าช่วยใจเย็น ๆ กันก่อนนะคะ ฉันขออยู่แบบสงบ ๆ ก่อนได้ไหมนะ

 

” ทุกท่านค่ะ! นี่แหละคือความเมตตา ความงดงาม และความแข็งแกร่งของท่านเทพธิดาโนเอลร่าของพวกเรา ทุกท่านจงให้ความเคารพ และถวายความจกรักภักดีชั่วชีวิตต่อท่านเทพธิดาโนเอลร่าด้วยเถอะค่ะ!! “

 

คุณวิเวียน !!!! ช่วยดูบรรยากาศหน่อยสิคะ ! แล้วนั่นมันอะไรกันละเนี่ย บอกให้ถวายความจงรักภักดีชั่วชีวิตเลยเหรอ อย่าเลยค่ะ ถวายให้ฉันไปก็ไม่ได้อะไรหรอกนะคะ ไม่มีเงินให้หรอกนะ เมื่อตอนอยู่โลกจริงบัญชีฉันก็ติดลบเหมือนกันนะ ไม่มีอะไรจะให้หรอกนะคะ 

 

” ทุกคน! พูดพร้อมกันนะคะ ท่านเทพธิดาโนเอลร่าจงเจริญ! ” 

 

จูน่าจัง !!! ลูกไม้ไม่ล่นออกจากต้นเลยเหรอคะเนี่ย เติมไฟเข้าไปอีกแล้ว แบบนี้ฉันก็อยู่อย่างสงบไม่ได้สิคะ เวลามีคนมาสรรเสริญทำเอาประหม่าจนพูดอะไรไม่ออกเลยนะ 

 

ใครก็ได้ช่วยฉันด้วยค่ะ ช่วยเอาฉันออกไปจากสถาการณ์นี่ด้วยค่ะ !!!! 

.

.

.

” ท่านโนเอลยินดีต้อนรับสู่หมู่บ้านโคลินขอรับ ” คุณคาเวลและผู้ช่วยคุณบาคัสพร้อมทั้งชาวบ้านอีกประมาณสิบกว่าคนออกมายืนรอต้อนรับฉันและลูลิที่หน้าหมู่บ้านค่ะ เอ่อ…คือ นี่แค่มายืนรอต้อนรับเฉย ๆ เองนะคะ ทำไมมันดูยิ่งใหญ่อลังการแปลก ๆ 

 

หมู่บ้านโคลินอยู่เป็นหมู่บ้านที่ดูดีกว่าที่คิดเอาไว้ค่ะ บ้านไม่ได้ทำจากไม้แต่กลับทำจากอิฐไม่ก็หินเหมือนกับอารมณ์บ้านในอารยธรรมยุคกลาง พื้นก็มีการปรับระดับและปูพื้นด้วยแผ่นหินทำให้เรียบเดินได้ง่าย หรือรถม้าจะเข้ามาก็ทำได้สบาย ๆ ถือว่าเจริญพอสมควรเลยล่ะค่ะ 

 

แต่ทำไมไม่รู้ฉันได้ยินเสียงดังแว่ว ๆ มาจากชาวบ้านที่ยืนอยู่ข้างหลังคุณคาเวล 

 

‘ นี่ ๆ นั่นน่ะเหรอท่านเทพธิดาโนเอล งดงามอะไรขนาดนี้ ! ‘ 

 

‘ มีตัวตนที่งดงามแบบนี้อยู่บนโลกด้วยงั้นเหรอ ! ฉันเกิดมามีบุญจริง ๆ ! ‘ 

 

‘ หมาป่าตัวใหญ่ข้างหลังก็ดูน่าเกรงขามและสง่างาม เข้ากับท่านเทพธิดาสุด ๆ ‘ 

 

เหล่าเสียงที่ดูชื่นชมเหล่านั้นถึงจะแอบพูดกระซิบกันแต่ฉันได้ยินหมดนะคะ ! อีแบบนี้ก็ไม่ต่างจากตอนที่มีชาวบ้านมาบูชาฉันอยู่ที่บ้านเลยไม่ใช่เหรอ คุณบาคัสที่รู้สึกเหมือนเสียงดังจากข้างหลังเลยหันไปตำหนิพวกชาวบ้านให้

 

” เงียบ ๆ กันหน่อย นี่อยู่ต่อหน้าท่านโนเอลนะ ” ขอบคุณมาก ๆ เลยค่ะคุณบาคัส ดูพึ่งพาได้มากจริง ๆ สมกับที่เป็นผู้ช่วยของคุณคาเวลจริง ๆ นั่นแหละค่ะ 

 

” ท่านโนเอลขอเชิญทางนี้ครับ ” คุณคาเวลผายมือเข้าไปในหมู่บ้านพร้อมกับเดินนำไป ฉันและลูลิและพวกจูน่าจังเดินตามไปอย่างว่าง่าย แต่ตอนนี้ฉันประหม่าสุด ๆ ไปเลยค่ะ ทำไมน่ะเหรอแน่อยู่แล้วค่ะ มีชาวบ้านเรียกว่ายืนอยู่ทางข้างซ้ายขวาในระหว่างที่ฉันเดินไป เหมือนโมเสสที่แหวกทะเลแบบนั้นเลยค่ะ 

 

ระหว่างเดินไปฉันพยายามทำหน้านิ่งที่สุดเพื่อไม่ให้ตัวเองหลุดอาการประหม่าออกมา แต่ไม่รู้ทำไมเสียงรอบข้างในระหว่างที่เดินออกมากลับได้ยินเสียงแห่ชื่นชมกันไม่หยุดตั้งแต่ทางเข้า ณ ตอนนี้เลยค่ะ 

 

‘ สวยจังเลย แม่ค่ะท่านผู้นั้นเป็นใครเหรอคะ ‘

‘ ใบหน้าที่ดูสูงส่งไม่หวาดเกรงต่อสิ่งใด ช่างงดงามและดูเปี่ยมไปด้วยปัญญาจริง ๆ ! ‘ 

‘ เฮ้ย ! เช็ดพื้นก่อนที่ท่านโนเอลจะเดินไปเดี๋ยวนี้ เลียพื้นไปเลยก็ได้ ! ‘ 

 

อะไรทำนองนี้เต็มหูฉันไปหมดเลยค่ะ ตั้งที่อุตส่าห์ทำหน้านิ่งเพื่อไม่ให้ประหม่าแล้วแต่ดันถูกเข้าใจผิดไปว่า ใบหน้าที่ดูนิ่ง ๆ ดูสูงส่งซะงั้น ! ฉันก็แค่ขี้อายแล้วก็ประหม่าเฉย ๆ นะคะ ! 

 

แต่ถ้าหากสังเกตจริง ๆ เหมือนทั้งหมู่บ้านจะตกแต่งให้เหมาสำหรับงานเทศกาลจริง ๆ ค่ะ มีการใช้เชือกหลากสี หรือริบบิ้นสีสันสดใสผูกโยงไปมาระหว่างบ้าน ไม่ก็ระดับตรงต้นไม้ต่าง ๆ ในหมู่บ้านอย่างสวยงามให้ความรู้สึกเหมือนตัวเองมาเดินงานวัดต่างโลกเลยค่ะ 

 

เมื่อเดินมาได้สักพักก็ถึงบริเวณที่เป็นเหมือนลานกว้างกลางหมู่บ้านที่มีน้ำพุอยู่ตรงกลางค่ะ ที่นี่มีทั้งโต๊ะที่เต็มไปด้วยอาหารและเครื่องดื่มผลไม้มากมาย เหมือนจะเป็นจุดหลักที่ใช้เป็นงานเลี้ยงขอบคุณฉัน แต่เหมือนจะไม่มีโต๊ะนั่งน่าจะต้องยืนกินสินะคะเนี่ย ให้อารมณ์เหมือนงานเทศกาลจริง ๆ ด้วย แบบนี้น่าจะช่วยให้หายประหม่าได้บ้างแหละค่ะ เพราะถ้ามันเหมือนโต๊ะจีนในงานแต่งคงอยู่ไม่สุขเป็นแน่ 

 

” ถึงแล้วล่ะขอรับท่านโนเอล ที่นี่คือบริเวณลานกว้างกลางหมู่บ้าน พวกเราใช้จัดงานเลี้ยงขอบคุณท่านโนเอลกันครับ ” คุณคาเวลช่วยแนะนำให้เมื่อเดินมาถึงจุดหมายค่ะ เหล่าชาวบ้านต่างก็มารวมตัวที่นี่กันหมดทั้งผู้ใหญ่ คนชรา และก็เด็กทุกคนต่างมองมาที่เห็นเหมือนนัดกันไว้ เอ่อคือ…. ไหงเป็นแบบนั้นล่ะคะ 

 

” ทุกคน !! ท่านผู้นี้คือท่านเทพธิดาโนเอล เป็นผู้มีพระคุณทรงเมตตาที่ช่วยหมู่บ้านเราไว้จากมังกรชั่วร้าย ! ทุกท่าน ! จงดื่มขอบคุณและมอบความจงรักภักดีต่อท่านเทพธิดาโนเอล !! ” 

 

” ” โอ้วววววว !!! ” ” 

 

เอ๋ !!?? ไหงเล่นประกาศใหญ่โตแบบนั้นล่ะคะ ! อุตส่าห์ว่าจะอยู่เงียบ ๆ แอบกินอาหารในงานแบบไม่มีใครเห็นแล้วนะ แบบนี้ฉันก็ปลีกตัวไปอยู่คนเดียวไม่ได้น่ะสิ ในตอนที่อยู่มหาลัยในช่วงรับน้องฉันก็ออกชิ่งหนีไปร้านคาเฟ่กินชาเขียวปั่นคนเดียวค่ะ 

 

หลังจากคุณคาเวลกล่าวคำเริ่มงานเลี้ยงแล้ว เหล่าชาวบ้านก็พากินดื่มกินอย่างสนุกสนาน แต่ส่วนใหญ่จะเข้าหาทักทายฉันกันเต็มไปหมดเลยค่ะ แทบจะรับมือไม่ไหวเลยทีเดียว

 

” ท่านเทพธิดาโนเอลขอบคุณท่านมาก ๆ  นะคะที่ช่วยปกป้องหมู่บ้านไว้ ” 

” ท่านเทพธิดาโนเอล อาศัยอยู่ในป่ามานานแล้วเหรอคะ ! “

” ท่านโนเอลเป็นเจ้าของหมาป่าตัวใหญ่น่าเกรงขามตัวนั้นขอรับ !! ” 

 

คำถามมากมายถาโถมเข้ามาหาฉันอย่างกับคลื่นสึนามิความสูง 500 เมตรกระแทกใส่ตัวฉันแบบเต็ม ๆ เลยค่ะ ไม่ไหวค่ะ ! ประมวลผลไม่ทันแล้วแบบนี้ ประหม่าจนไม่รู้จะประหม่ายังไงแล้วค่ะ ในระหว่างที่คิดหาทางออกว่าจะทำยังไงดีอยู่นั้น จู่ ๆ ก็มีเสียงแม่ลูกคู่หนึ่งดังขึ้นเรียกเอาความสนใจจากฉันไปเกือบหมด

 

” ทุกท่าน ! ถ้าหากใครอยากจะฟังความสุดยอดของท่านโนเอลล่ะก็ ฉันจะเล่าให้ฟังเองนะคะ !! ” เจ้าลัทธิตัวน้อยยืนขึ้นบนโต๊ะกับข้าวตึวหนึ่งที่ได้เอาจานอาหารออกไปหมดแล้ว ประกาศเสียงดังไปทั่วบริเวณลานกว้างของหมู่บ้าน จูน่าจังนั่นเองค่ะ เหล่าชาวบ้านที่ได้ยินและสนใจในเรื่องราวของฉัน ก็แห่กันไปรับฟัง 

 

เอ๋ ? ทำไมกัน ทำไมภาพมันเหมือนฝูงชนกำลังถูกเจ้าลัทธิตัวน้อยเผยแผ่คำสอนของลัทธิอะไรแบบนั้นเลยล่ะคะ ! แถมเหล่าชาวบ้านที่ไปฟังก็รับฟังอย่างตั้งใจบางคนถึงกับเอาสมุดขึ้นมาจดเลยทีเดียว 

 

” ท่านโนเอลได้ช่วยชีวิตของหนูเอาไว้ค่ะ ความกล้าหาญและความสง่างามในวันนั้นลืมไม่ลงเลยละค่ะ !! ” จูน่าจังที่เล่าเรื่องที่ได้พบกับฉันอย่างภูมิอกภูมิใจยืดอกน้อย ๆ พลางชูกำปั้นขึ้นฟ้า 

 

” ” โอ้วว สุดยอด ! ” ” 

 

เหล่าชาวบ้านที่ได้รับฟังเรื่องราวนั้นต่างพากันอุทานออกมากันอย่างชื่นชมและปลื้มปีติ ทำไมไปเคลิ้มตามกันแบบนั้นล่ะคะเนี่ย ! จูน่าจังเล่าเกินจริงไปแล้วค่ะ ฉันไม่ได้ทำตัวกล้าหาญอะไรแบบนั้นเลยนะคะ แค่คุณต้นไม้เรียกไปทางนั้นเฉย ๆ นะคะ แล้วไอ้ความสง่างามนั้นมันมาจากไหนกันคะเนี่ย 

 

” ทุกท่าน ! หากใครอยากฟังประวัติความเป็นมาของไฮเอลฟ์อย่างท่านเทพธิดาโนเอลละก็ เชิญมารับฟังที่ฉันได้เลยนะคะ ! ” คุณวิเวียนที่ตอนนี้ก็ขึ้นไปบนโต๊ะอาหารอีกฝั่งตรงกันข้ามกับจูน่าจัง แถมยังบอกว่าจะเล่าประวัติของเผ่าของฉันด้วยสีหน้าเปี่ยมความสุข และศรัทธาในตัวฉันแบบสุดโต่งทำเอาตัวฉันขนลุกเลยละค่ะ 

 

‘ งั้นเหรอ ! ประวัติของเทพธิดาอย่างท่านโนเอลงั้นเหรอ ! ‘ 

‘ โอ้วว ตำนานของไฮเอลฟ์น่าสนใจจริง ๆ ‘ 

‘ เราจะได้รู้จักท่านโนเอลมากขึ้นสินะ ! จะตั้งใจฟังครับ ! ‘

‘ นี่แกตอนเรียนหนังสือใส่ใจแบบนี้บ้างได้ไหม !! ‘ 

‘ โอ๊ย ! แม่ นี่ประวัติท่านโนเอลเลยนะ ใครบ้างละไม่อยากฟังน่ะ ‘ 

 

เหล่าเสียงเฮฮาที่ให้ความสนอกสนใจในคำประกาศของคุณวิเวียนทำเอาชาวบ้านอีกครึ่งหนึ่งแห่กันไปฟังถึงตำนานประวัติของไฮเอลฟ์ที่คุณวิเวียนเคยได้ยินมาตอนสมัยอยู่เมืองหลวง โดยเฉพาะคนเฒ่าคนแก่เหมือนจะสนใจเป็นพิเศษเลยค่ะ สรุปคือตอนนี้มีสองเวทีปราศรัยของเจ้าลัทธิแม่ลูกสุดโต่งตั้งอยู่ตรงกันข้ามกัน โดยมีฉันที่อยู่ตรงกลางระหว่างสองเวทีทำหน้าเหมือนวิญญาณหลุดลอยออกจากร่าง แต่แล้วก็มีฟังของหญิงสาวทักฉันจากข้างหลัง 

 

” ท่านโนเอลสนุกกับงานเลี้ยงหรือเปล่าคะ ” เมื่อหันกลับไปก็พบกับหญิงสาววัยรุ่นหน้าตาสะสวยผมสีฟ้าเข้ม ยาวถึงกลางหลังที่มาพร้อมกับชุดสีฟ้าเหมือนกับสีผมของเจ้าตัว ที่ดูเข้ากันอย่างบอกไม่ถูก เอ่ยถามด้วยรอยยิ้มเป็นมิตรและห่วงใย ฉันที่กำลังนึกว่าเหมือนจะเคยเห็นในตอนที่พวกคุณคาเวลไปที่บ้านต้นไม้ คุณพี่สาวคนนี้ก็พูดขึ้นมาเหมือนรู้ว่าฉันกำลังสงสัย

 

” ฉันแอนนาค่ะ เป็นหมอประจำหมู่บ้านโคลินเพียงคนเดียวค่ะ ” ชื่อคุณแอนนาสินะคะ สวยจังเลยผมสีฟ้านั่นสวยสุด ๆ ไปเลยค่ะ แถมยังดูใจดีอีกด้วยน่าจะมีคนมาจีบเยอะพอสมควรเลยนะคะ อิจฉาค่ะ เพราะก่อนจะมาในโลกนี้ฉันก็หน้าตาบ้าน ๆ ธรรมดา ๆ ไม่เคยมีใครมาจีบด้วย โมโหค่ะ !! 

 

” ฉะ-ฉันโนเอลร่าค่ะ พะ-พอดีรู้สึกประหม่านิดหน่อยก็เลย.. ” ที่แนะนำตัวเองกลับไปแบบติด ๆ ขัด ๆ ทำไงได้ล่ะคะ ! ก็คนมันประหม่านินา 

 

” ท่านโนเอลไม่ถูกกับที่คนเยอะ ๆ งั้นเหรอคะ ? ” คุณแอนนาสังเกตอาการของฉันจึงถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง เป็นคนดีอะไรแบบนี้ ถ้าฉันเป็นผู้ชายคงขอคุณแอนนาแต่งงานไปแล้วล่ะค่ะ ! 

 

” กะ-ก็พอดีว่าเก็บตัวในป่ามานานน่ะค่ะ อะ ฮะ ๆ ” ฉันเลือกที่จะกลบเกลื่อนไปว่าตัวเองเก็บตัวก็เลยไม่คุ้นชินกับคนเยอะ ๆ เหมือนอย่างตอนที่โม้ไว้กับคุณโยฮันตอนแรกนั่นแหละค่ะ เพราะไม่งั้นอาจจะโดนหาว่าเป็นพวกไม่เข้าสังคมก็ได้ แต่เดี๋ยวนะ ไปบอกว่าเก็บตัวแบบนั้นมันก็ไม่เข้าสังคมจริง ๆ นี่คะ ? ฉันพูดอะไรออกไปคะเนี่ย !! 

 

” งี้นี้เอง ได้ยินมาจากคุณโยฮันว่าท่านโนเอลอยู่มา 700 กว่าปีเลยใช่ไหมคะ ” อึก ! คุณแอนนาถามเรื่องอายุทำเอาฉันจุกแบบไม่ทันตั้งตัวอย่างกับโดนหมัดตรงเข้าที่ลำตัวเลยค่ะ 

 

” มะ-แหม ก็ประมาณนั้นแหละค่ะ ฮะ ๆๆๆ ” ชิ ! คุณโยฮันฝากไปก่อนเถอะค่ะ ไหงเอาอายุของสุภาพสตรีไปบอกคนอื่นแบบนี้กันละคะ ฉันอายุ 19 เองนะ ไอ้ 700 ปีมันอายุในเกมเฉย ๆ นะคะ ! แต่จะบอกเรื่องนั้นไปได้ที่ไหนกันละ ! 

 

” ท่านโนเอลฮะ ! ” เสียงดังเล็ก ๆ หลายเสียงกำลังเรียกหาฉันจากด้านข้าง เหล่าเด็ก ๆ ในหมู่บ้านที่มีอายุตั้งแต่ 5-10 ขวบ ประมาณ 5-6 คนกำลังทำตาเป็นประกายมองพร้อมกับเอ่ยเรียกชื่อของฉันกันใหญ่เลยค่ะ 

 

” อะ-อะไรเหรอคะ ? ” แย่แล้ว ๆ จะเผลอทำตัวน่าสมเพชต่อเด็ก ๆ ไม่ได้ค่ะ อย่างน้อยต้องแสดงความเป็นพี่สาวใจดีให้เด็ก ๆ ได้เห็นก่อนจะเป็นการดีที่สุดค่ะ อะไรนะ ? ฉันไม่ใช่โลลิคอน หรือ โชตะคอน นะคะ !! 

 

” พวกเราขอเล่นกับคุณหมาป่าตัวโตนั่นได้ไหมครับ ” เด็กผู้ชายร่าเริงผมสีดำคนหนึ่งพูดขึ้นพร้อมชี้นิ้วไปที่ลูลิอย่างคาดหวัง อ่อ ! แบบนี้เองสินะคะ ภาพจำที่จูน่าจังตอนเห็นลูลิครั้งแรกก็ลอยเข้ามาในหัวทันทีเลยค่ะ 

 

” ได้สิคะ ” ฉันย่อเข่าลงให้มีความสูงระดับเดียวกับเหล่าเด็ก ๆ แล้วอนุญาตทั้งรอยยิ้ม แต่ไม่รู้ทำไมเหล่าเด็ก ๆ ถึงได้หน้าแดงแจ๋ ก่อนจะวิ่งไปหาลูลิกันก็ไม่รู้นะคะเนี่ย เหมือนลูลิจะกลายเป็นที่ชื่นชอบของบรรดาเด็ก ๆ ในหมู่บ้านแล้วล่ะค่ะ ไม่ใช่แค่เด็กเท่านั้นค่ะ หลังจากเด็ก ๆ ขออนุญาตแล้วก็มีผู้ใหญ่หลายคนเข้ามาขออนุญาตด้วยเช่นกัน เอ๋ ? อะไรกันคะเนี่ย เหมือนจะเป็นเหล่าคนที่รักสัตว์นะคะ พอได้เห็นหมาป่าตัวใหญ่แบบนี้เลยอยากจะลูบไล้ โอบกอดน้วยขนสินะคะ อื้ม ๆ  ! เข้าใจความรู้สึกนั้นดีเลยค่ะ 

 

” ฉันขอร่วมวงสนทนาด้วยได้ไหมคะ ท่านเทพธอิดาโนเอลร่า ” มีอีกหนึ่งเสียงเกิดขึ้นมาในตอนที่ฉันกำลังนึกมองดูลูลิอยู่ห่าง ๆ เสียงที่ดูสุขุมและเป็นผู้ใหญ่ สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าเมื่อฉันหันไปมองคือผู้หญิงวัยทำงานที่ดูภูมิฐานผมสีดำยาวกับดวงตาสีดำชวนลึกลับและดูเป็นผู้ใหญ่มีไฝเล็ก ๆ ใกล้ ๆ บริเวณปาก และสวมชุดที่เป็นสีดำทั้งตัวราวกับแม่มดผู้ลึกลับ

 

” คุณเฮเลน ” คุณแอนนาเรียกชื่อผู้หญิงที่ส่งเสียงทักพวกเราเมื่อกี้ อย่างสนิทสนมแล้วจึงแนะนำผู้หญิงคนนี้ให้กับฉันค่ะ 

 

” ท่านโนเอลค่ะ นี่คือคุณเฮเลนเป็นประธานสมาคมการค้าของหมู่บ้านโคลินของเรา เป็นคนเก่งมาก ๆ เลยล่ะค่ะ ” คุณแอนนาแนะนำคุณเฮเลนให้อย่างกับโปรโมทเด็กในสังกัดนักร้องเลยล่ะค่ะ 

 

” เฮเลนค่ะ ตอนแรกฉันคิดว่าหนูน้อยจูน่าจะพูดเรื่องโกหกสะอีก แต่พอได้เห็นท่านโนเอลจริง ๆ แล้วฉันต้องขออภัยในความคิดเสียมารยาทของฉันด้วยนะคะ ” คุณเฮเลนกล่าวขอโทษพร้อมก้มหัวอย่างสุภาพ อ้าว ? แล้วไหงมาขอโทษฉันละคะ 

 

” เอะ เอ๊ะ !? มะ-ไม่เห็นต้องขอโทษเลยนี่คะ ! ” ฉันที่ลนลานกับคำขอโทษอย่างสุภาพของคุณเฮเลนรีบบอกว่าไม่เป็นไรโดยด่วน อย่างกับเลขาประธานบริษัททำผิดพลาดแล้วก้มหัวขอโทษไม่มีผิดค่ะ ทางการเกินไปแล้วค่ะ แบบนี้ไม่เอานะ เกรงใจกันสุด ๆ ไปเลยไม่ใช่เหรอคะ 

 

” ไม่หรอกค่ะ เมื่อได้พบท่านโนเอลจริง ๆ แบบนี้ยิ่งทำให้ได้รับรู้ถึงความยิ่งใหญ่ของท่านโนเอลเลยค่ะ ทั้งความงดงามที่แม้แต่ฉันก็ไม่เคยเห็นที่ใดมาก่อน และยังพลังมหาศาลที่สามารถปราบมังกรและความเมตตาที่ช่วยหมู่บ้านพวกเราเอาไว้อีก ทั้งหมดก็เป็นเพราะท่านโนเอล ขอบคุณมาก ๆ เลยนะคะ ” แล้วแบบนี้เมื่อไหร่มันจะหายเกร็งกันละคะ ! ไม่ใช่แค่คำขอโทษแต่กลับมาพร้อมคำชมอย่างกับพวกวัยรุ่นที่พึ่งหัดจีบสาวใช้กลอนเสี่ยว ๆ เลยค่ะ 

 

ในหมู่บ้านนี้มีคนที่ปกติอยู่บ้างไหมคะเนี่ย !!!  

และแล้วโนเอลร่าก็ทำหน้านิ่งอย่างกับวิญญาณหลุดออกจากร่างต่อไป 

.

.

.

.

(ฝั่งอีวาน)

 

ในมุมหนึ่งของงานเลี้ยงยังมีคนที่ไม่ได้สนุกหรือคล้อยตามไปกับงาน ผู้ที่ทำหน้าตาไม่สบอารมณ์อยู่ตลอดเวลาและเป็นคนเดียวที่คิดว่าเทพธิดาโนเอลร่าที่ทุกคนในหมู่บ้านต่างเคารพศรัทธาเป็นเพียงพวกชอบแหกตาคนอื่น ใช่แล้วนั่นคือ อีวาน ชายวัยกลางคนผมสีส้มแดง

 

อีวานที่ปกติมีหน้าที่เป็นหัวหน้าหน่วยเฝ้ายามและความปลอดภัยของหมู่บ้านมักจะให้ความสำคัญกับหมู่บ้านมาเป็นอันดับแรก เรียกได้ว่าเป็นผู้ที่รักหมู่บ้านมาก ๆ คนหนึ่งก็ไม่ผิด และคาดหวังที่จะได้เป็นหัวหน้าหมู่บ้านคนต่อไป แต่แล้วผู้ชายที่เป็นตัวขัดขว้างราวกับก้างชิ้นใหญ่ที่ปักคาคอที่ทำยังไงก็เอาไม่ออก นั่นคือบาคัส 

 

เมื่อ 20 ปีก่อน จู่ ๆ บาคัสก็เข้ามาในหมู่บ้านด้วยเหตุผลที่ว่าเคยเป็นทหารของเมืองหลวงและต้องการใช้ชีวิตธรรมดาในหมู่บ้านห่างไกล ในตอนแรกอีวานก็ไม่ได้คิดอะไรมาก คิดแค่ว่าก็แค่คนที่ย้ายมาอยู่หมู่บ้านเท่านั้น แต่แล้วทุกอย่างที่เคยวาดฝันไว้ก็พังลงเพราะบาคัสมีความสามารถแทบจะทุกด้าน ทั้งการสู้รบ การคิดวิเคราะห์ แม้กระทั่งความใจดีที่คอยช่วยเหลือผู้อื่น ทำให้เอาชนะใจของคนในหมู่บ้านได้อย่างรวดเร็ว 

 

จนหัวหน้าหมู่บ้านคาเวลไว้วางใจให้เขาไปเป็นผู้ช่วย จนทำให้ชาวบ้านต่างเชื่อกันว่าบาคัสคือคนที่จะขึ้นมาเป็นหัวหน้าหมู่บ้านคนต่อไปแน่ ๆ ความอิจฉาบวกกับไฟแค้นก็ก่อตัวขึ้นภายในจิตใจของอีวาน ทุกสิ่งทุกอย่างที่ตนหวังไว้ถูกเจ้าคนนอกที่พึ่งเข้ามาในหมู่บ้านแย่งทุกอย่างไปต่อหน้าต่อตา จนสุดท้ายอีวานก็ไม่อยู่ในสายตาของใครอีกเลย เวลาทุกคนมีปัญหาก็มักจะเรียกหาแต่ บาคัส ๆ กันทั้งนั้น 

 

(ทั้งที่ฉันคนนี้คือคนที่รักและห่วงใยหมู่บ้านมากกว่าใครแท้ ๆ แต่เจ้าบาคัสกับตาแก่คาเวลนั้นกลับมาใครหน้าไหนมาก็ไม่รู้ แถมยังเป็นตัวอันตรายที่พาหมาป่าขนาดยักษ์เข้ามาในหมู่บ้านอีก ! ) 

 

อีวานที่คิดจะเปิดโปงเรื่องแหกตาที่คิดว่าเทพธิดาโนเอลร่าไม่ได้วิเศษอย่างที่ทุกคนคิด เพราะถ้าหากทำให้ชาวบ้านได้เห็นความจริงละก็ความไว้วางใจในตัวอีวานจะต้องกู้คืนกลับมาได้อย่างแน่นอน แต่สิ่งที่อีวานไม่ได้คาดคิดก็คือ 

 

( แต่ว่านั่นมันเรื่องบ้าบออะไรกัน ยัยเทพธิดาที่ชื่อโนเอลร่านั่นทำไมถึงได้งดงามขนาดนี้กัน ! ถึงจะเคยเห็นเอลฟ์มาก่อนก็เถอะแต่นี่เอลฟ์ทั่วไปเทียบไม่ติดเลยไม่ใช่หรือไง ! ความงดงามที่ยังกับมนต์สะกดที่ทำให้ดวงตาทุกคู่จับจ้องไปอย่างขัดขืนไม่ได้นี่มันอะไรกัน ! ) 

 

อีวานที่แรกเริ่มคิดว่าโนเอลร่าเป็นเพียงเอลฟ์ทั่วไป การที่จูน่าที่เป็นเด็กจะเห็นคนสวยของเอลฟ์ที่ปกติก็มากกว่ามนุษย์โดยทั่วไปอยู่แล้วเลยคิดเป็นเทพธิดาคงไม่แปลกตามประสาเด็ก แต่พออีวานได้มาเห็นกับตาทำให้เขาเริ่มจะเอะใจในความงดงามของโนเอลร่าที่แม้แต่อีวานก็ไม่เคยได้ยลโฉมที่ไหนมาก่อน 

 

(ชิ ! ยังไงก็แค่รูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้นแหละ ฉันคนนี้จะกระชากหน้ากากของแกเอง ! ) 

 

อีวานเดินดุ่ม ๆ เข้าไปหาโนเอลร่าที่เหมือนจะกำลังคุยกับเฮเลนและแอนนาอยู่ 

 

” เหอะ ! อย่านึกว่าจะทุกคนจะเชื่อเรื่องแบบนั้นได้นะ ! ฉันไม่เชื่อเรื่องที่เธอปราบมังกรนั่นหรอก ! ” อีวานที่พูดจาดูหมิ่นโนเอลร่าเสียงดังจนทำเอาทุกคนในงานหันมามองตาม ๆ กันอย่างไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง ทุกคนอึ้งอ้าปากค้างไม่ว่าจะเด็กหรือคนแก่ 

 

” คุณอีวาน ! ช่วยหยุดพูดจาเสียมารยาทต่อท่านโนเอลด้วยค่ะ คุณกำลังดูหมิ่นท่านโนเอลอยู่นะ ! ” แอนนาที่เหมือนจะตั้งสติได้ก่อนพูดจาตำหนิกลับไปหาอีวานที่จงใจเข้ามาหาเรื่อง 

 

” หา ? อะไรกันแอนนานี่เธอเชื่อเรื่องแบบนี้ด้วยหรือไง ” อีวานที่ยังไม่ยอมหยุดพูดจาถากถาง เพื่อหวั่งยั่วยุโนเอลร่าให้แสดงท่าแท้ออกมา แต่อีวานกลับคิดผิดกับสิ่งที่เห็น นั่นคือโนเอลร่าที่หน้านิ่งไม่ไหวติงมิหนำซ้ำยังยิ้มอ่อนโยนราวกับเทพธิดาที่ให้ความเมตตาต่อทุกคน

 

( อึก ! ไม่สะทกสะท้านเลยงั้นเหรอ ! แล้วรอยยิ้มนั่นมันอะไรกัน อย่างกับรู้จุดประสงค์การยั่วยุของเราอย่างนั้นแหละ ดวงตาสีน้ำเงินงดงามนั่นมองทะลุความคิดของเราได้หรือยังไงกัน ! ) 

 

อีวานไม่ได้รู้เลยว่าโนเอลร่าไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้น แต่กลับกันโนเอลร่ากลับดีใจที่มีคนคิดว่าเธอเป็นเพียงคนปกติ ไม่ได้วิเศษอะไร แถมเรื่องปราบมังกรเธอก็อยากจะแก้ไขความเข้าใจผิดด้วย พอเห็นอีวานที่เหมือนจะเข้าใจเลยยิ้มให้ราวกับเจอคนที่ควานหามานาน 

 

” แบบนี้มันจะเกินไปแล้วนะคะ ! คุณอีวานกราบขอโทษท่านโนเอลเดี๋ยวนี้เลยนะคะ ! ” คุณวิเวียนที่ทนฟังไม่ได้ลงจากเวทีปราศรัยแล้วเดินมาพร้อมโยนคำตำหนิให้กับอีวานอย่างเดือดพล่าน

 

” จริงด้วยค่ะ ! ท่านโนเอลน่ะสุดยอดที่สุด เรื่องปราบมังกรก็เป็นเรื่องจริงด้วย ขอโทษเดี๋ยวนี้เลยนะคะ ! ” เจ้าลัทธิตัวน้อยที่พึ่งจากเวทีโดยมีเหล่าสาวกอุ้มลงมาอย่างนุ่มนวล เดินกอดอกมาอย่างวางท่าพร้อมอารมณ์ที่เดือดจัดเช่นเดียวกับวิเวียน 

 

” หึ ! ถ้าหากเก่งจริงละก็ งั้นก็ลองปราบไฮดร้าในภูเขามัวริสดูหน่อยเป็นไง ” อีวานยั่วยุโดยใช้แผนที่วางเอาไว้กับการ์เนท เพื่อพิสูจน์โนเอลร่า โนเอลร่าที่ดูเหมือนจะทำหน้าเหมือนกำลังครุ่นคิดอยู่ครู่นึงแล้วจึงยิ้มออกมาอย่างกับเด็กที่กำลังสนุก 

 

(ยะ-ยิ้มงั้นเหรอ !! อะไรกันจะบอกว่าการปราบไฮดร้าเป็นเรื่องง่าย ๆ อย่างนั้นหรือไง ! ระ-หรือว่ารู้อยู่แล้วว่าเราจะทดสอบอย่างนั้นหรอ ไม่จริง ! ดวงตาของเทพธิดาคนนี้มองละทุไปจนถึงไหนกัน ! ) 

 

” อะ-เอ่อคือ ไฮดร้าที่ว่าเนี่ย ใช่ตัวที่อยู่บึงน้ำใต้ภูเขามัวริสหรือเปล่าคะ ? ” โนเอลร่าที่เหมือนจะนึกออกพูดออกมาราวกับไม่สะทกสะท้านคำเชื้อเชิญที่สุดแสนจะอันตรายของอีวาน 

 

” ใช่แล้ว ! ไฮดร้ามอนสเตอร์ระดับ A ที่แม้แต่นักเวทย์หลวงหลายสิบคนก็ยังปราบไม่ได้ ! ” อีวานที่กู่ร้องออกมาอย่างมีชัยราวกับตนกำลังจะชนะ แต่แล้วสิ่งที่ตนไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ทันใดนั้นหมาป่าตัวใหญ่ที่เป็นเหมือนข้ารับใช้ของเทพธิดาตรงหน้าก็เดินมาหาเจ้านาย ทั้งโนเอลร่าและลูลิมองหน้ากันเหมือนกำลังยืนยันบางอย่าง จากนั้นโนเอลร่าก็เปิดปากพูด 

 

” ถ้าไฮดร้าตัวนั้นละก็ ฉันให้ลูลิสัตว์อัญเชิญของฉันกำจัดไปแล้วละค่ะ แฮะ ๆ ”  โนเอลร่าที่พูดออกมาอย่างไม่ทุกข์ร้อนพร้อมกับรอยยิ้มเหมือนเด็กและเสียงหัวเราะราวกับเป็นเรื่องตลก เปรียบเสมือนหมัดหมัดอัปเปอร์คัตที่เสยเข้าเต็มคางของอีวานที่กำลังยิ้มอย่างมีชัยจนปลิวหงายหลัง อย่างที่ตนก็ไม่คาดหวังว่าจะได้ยินคำพูดแบบนั้น 

” หา ? ”  

 

เสียงที่ดังอุทานเพียงพยางค์เดียวสะก้อนกังวานอยู่ในหัวของอีวานที่ตอนนี้สติความคิดหลุดไปไกลแสนไกล 

.

.

.

.

 ( ??? ) 

 

เผ่าพันธุ์ของพวกเราเปรียบดั่งเสมือนภูมิปัญญาแห่งโลก ทั้งความรู้ ประวัติศาสตร์ เวทมนตร์รวมทั้งพลังเวทย์อันยิ่งใหญ่ล้วนแต่เป็นสิ่งที่เผ่าพันธุ์ของพวกเรามีมากที่สุดหาอื่นใดเปรียบ ไหนจะมีอายุขัยที่ยืนยาวหลายร้อยปีร่างกายที่แข็งแรงยากต่อการเจ็บไข้ได้ป่วย และรูปโฉมที่งดงามที่คงไว้เมื่อโตเต็มวัยไม่แก่ชราไปมากกว่านี้ ไม่ว่าจะบุรุษหรือสตรี เราคือเผ่าพันธุ์ที่สูงส่งดุจดั่งเมล็ดพันธุ์ที่ได้รับการดูแลโดยพระเจ้า ใช่ เราคือเผ่าพันธุ์เอลฟ์ 

 

ประเทศของพวกเราตั้งอยู่ในมหาทวีปวาสเซลเรีย ที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยป่าไม้และพืชพันธุ์นานาชนิด ธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์เปรียบดั่งเพื่อนที่คอยช่วยเหลือและเกื้อกูลกันและกันระหว่างเอลฟ์และธรรมชาติ แม้จะมีต้นไม้และธรรมชาติเป็นส่วนใหญ่แต่ก็มีสิ่งก่อสร้างที่เสมือนวิหารของพระเจ้าที่งดงามและดูราวกับสถานที่ศักดิ์สิทธิ์

 

สถานที่ต่าง ๆ นั้นได้รับการออกแบบให้เปรียบดั่งวิมานอันศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่แค่สิ่งก่อสร้างแต่ทั้งผืนแผ่นดินของทั้งทวีปวาสเซลเรียแห่งนี้อุดมไปด้วยพลังเวทย์อันบริสุทธิ์ ทำให้วิทยาการด้านเวทมนตร์ของประเทศพวกเราล้ำหน้ากว่าทุกที่บนโลก เรานำพลังเวทย์ที่มีอยู่มากมายมาประยุกต์ใช้เป็นพลังงานขับเคลื่อนให้กับเรือเหาะ ในขณะที่มนุษย์และเผ่าปีศาจนั้นใช้เรือตามปกติที่ต้องแล่นในน้ำ แต่ที่นี่เราไม่ทำแบบนั้น 

 

เรือเหาะที่ใช้พลังเวทย์จากธรรมชาติเป็นแหล่งพลังงานเชื้อเพลิงทำให้เรือเหาะขนาดใหญ่บินได้นั้นทำให้เราสามารถทำการค้าและนำเข้าสินค้าต่าง ๆ จากต่างประเทศได้อย่างไม่ยากเย็นและเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ รวมถึงไม่เสี่ยงอันตรายในท้องทะเลอันกว้างใหญ่อีกด้วย มอนสเตอร์ระดับตำนานที่เรียกได้ว่าราชาแห่งท้องทะเล ‘เลเวียธาน’ นั้นว่ากันว่าหลับใหลอยู่ในสักที่แห่งหนึ่งใต้มหาสมุทรของโลก ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่มันจะตื่นขึ้นมา นั้นจึงเป็นเหตุให้เราไม่เดินเรือในน้ำ 

 

แม้แต่โรงเรียนที่สอนวิชาความรู้และเวทมนตร์ที่เป็นเลิศที่สุดก็ตั้งอยู่ในประเทศของพวกเราเผ่าเอลฟ์ แม้ว่าเผ่าพันธุ์ของพวกเราจะรักสงบและสันโดษแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะปิดรับเผ่าพันธุ์อื่น ๆ  พวกเราพร้อมจะมอบภูมิปัญญาต่าง ๆ ให้หากเผ่าพันธุ์นั้นปฏิบัติตามกฎของเราอย่างเคร่งครัด

 

แต่สิ่งที่ภูมิใจที่สุดของประเทศของเราคือหอสมุดที่เรียกได้ว่ายิ่งใหญ่ที่สุดในโลก และได้ชื่อว่าสวนแห่งภูมิปัญญาแห่งโลกนั้นเอง ปัจจุบันหอสมุดนี้ได้รับการดูแลโดยศาสนจักรศักดิ์สิทธิ์ของประเทศของพวกเราเหล่าเอลฟ์ โดยเอลฟ์อย่างพวกเรามีความเชื่อว่าพระเจ้าจะคอยประทานพรต่าง ๆ ให้กับโลกพร้อมทั้งทำให้โลกสงบสุขและมีเทพธิดาที่คอยเปรียบดั่งผู้ส่งสารของพระเจ้าตัวตนที่เป็นตัวแทนของความงดงามและความเมตตา 

 

เทพธิดาที่ว่ากันว่าปรากฏตัวเพียงครั้งเดียวในตอนที่ก่อตั้งประเทศของเหล่าเผ่าพันธุ์เอลฟ์เมื่อหลายพันปีก่อน และไม่เคยมีใครได้พบเห็นอีกเลย แม้จะมีหน้าตาและหูคล้ายกับเอลฟ์ทั่วไปแต่นั้นไม่ใช่เลย ตัวตนที่สูงส่งเปรียบดั่งเทพธิดาสวรรค์ที่เปี่ยมไปด้วยความงดงามและความเมตตาแต่ถึงกระนั้นก็ยังมีพลังอำนาจอันมหาศาลที่คอยปกป้องทุกชีวิตบนโลก 

 

อย่างที่บอกไปว่าแม้เทพธิดาของศาสนาของเอลฟ์จะมีรูปร่างคล้ายกับเอลฟ์ก็ตาม แต่ลักษณะที่เล่าบอกต่อกันมาอย่างยาวนานจนเป็นเรื่องเล่าแพร่กระจายไปทั่วโลกคือ ผมสีขาวงดงามยาวไสวดุจแพรไหม และดวงตาสีน้ำเงินที่เสมือนจะมองทะลุถึงแก่นสัจธรรมของโลก เอลฟ์อย่างพวกเราเฝ้ารอคอยการมาของเทพธิดาที่ว่ามากว่าพันปี แม้เอลฟ์โดยทั่วไปจะมีผมสีเหลืองไม่ก็เขียวและตาสีเหลืองไม่ก็เขียวเช่นกัน แต่เมื่อมีเอลฟ์ตั้งครรภ์ทุกคนจะให้ความสนใจ ว่าหากเด็กคนที่เกิดมามีลักษณะตามที่ตำนานได้เล่าไว้ล่ะก็ เด็กคนนั้นเปรียบดั่งเทพธิดาที่ลงมาจุติ 

 

ฉันที่เป็นผู้นำของศาสนจักรศักดิ์สิทธิ์มีหน้าที่เฝ้ามองและทำนายถึงอนาคตความเป็นไปของโลกใบนี้ และหน้าที่ที่สืบทอดกันมาในตำแหน่งนี้คือ การหาเอลฟ์ที่มีลักษณะใกล้เคียงกับตำนานที่ว่านั่น แต่ฉันที่อยู่มา 400 ปีแล้วก็คงได้แต่เฝ้ารออย่างถึงที่สุดและส่งต่อเรื่องราวและหน้าที่นี้ให้กับผู้ที่จะมาแทนตำแหน่งของฉันในวันที่ฉันจากโลกนี้ไป 

 

” ท่านสังฆราชินี ได้เวลาได้ค่ะ ” เอลฟ์สาวที่เปรียบเสมือนผู้ช่วยและคนรับใช้ในเวลาเดียวกันเข้ามาทักจากด้านหลังในขณะที่ฉันกำลังมองออกไปนอกกระจกหลากสีในห้องชั้นบนสุดของหอสมุดสวนแห่งปัญญา 

 

” เข้าใจแล้ว จะไปเดี๋ยวนี้ค่ะ ” เดินทางออกจากกระจกสีสันสวยงาม เมื่อกำลังจะออกจากห้องก็มองไปที่กระจกอีกครั้งด้วยแววตาโศกเศร้าและเหงาเดียวดาย 

 

‘ ฉันจะ…หาเจอหรือเปล่านะ … ‘ เสียงในใจที่ไม่มีใครได้ยิน ดังก้องกังวานอยู่ภายในใจเอลฟ์หญิงแสนสวยที่มีดวงตาสีเทาดำเปรียบดั่งท้องฟ้ายามค่ำและเหลืองอร่ามเหมือนวิมานทองคำ 

.

.

(สายเส้นโดยอาจารย์ 森野霞)

 

ถึงวันที่จะต้องไปงานเลี้ยงที่หมู่บ้านโคลินตามที่สัญญาไว้กับพวกคุณคาเวลแล้วค่ะ ทำยังไงดีคะเนี่ยรู้สึกประหม่าสุด ๆ ไปเลยค่ะ แม้ว่างานเลี้ยงจะเริ่มตอนช่วงเย็น แต่ก็พยายามสงบจิตสงบใจเท่าที่จะทำได้ค่ะ จากที่ดูน่าจะเหลือเวลาอีกประมาณ 2 ชั่วโมง คุณคาเวลบอกว่าเดี๋ยวจะให้ครอบครัวของจูน่าจังมารับที่ทางเข้าป่า เนื่องจากฉันไม่เคยไปหมู่บ้านโคลินมาก่อนค่ะ 

 

จริง ๆ แล้วปัญหาหลัก ๆ ของฉันคือหลงทางง่ายค่ะ แม้จะมีลูลิช่วยก็เถอะ จะว่าไปตอนที่ก่อนจะตอบตกลงไปงานเลี้ยงขอบคุณก็ได้ถามคุณคาเวลไปแล้วล่ะค่ะว่าพาลูลิได้ด้วยได้หรือเปล่า ซึ่งก็ไม่มีใครติดขัดอะไร โดยเฉพาะคุณวิเวียนและจูน่าจังยิ่งดีใจเป็นพิเศษ เหมือนลูลิจะกลายเป็นเครื่องเล่นให้กับสองแม่ลูกศาสดาไปแล้วล่ะค่ะ 

 

แต่แบบนี้จะไม่เป็นไรจริง ๆ น่ะเหรอคะ พาหมาป่าตัวบักเอ้บเข้าไปในหมู่บ้านแบบนี้ เพราะคนในหมู่บ้านส่วนใหญ่ยังไม่เคยเจอฉันและลูลิมาก่อนเลยใช่ไหมล่ะ เพราะงั้นถึงได้กังวลอยู่นี่ไงคะ 

 

เรื่องนั้นเอาไว้ด้นสดหน้างานเอาแล้วกันค่ะ นึกได้ว่าได้แผนที่มาจากคุณโยฮันแล้วไหน ๆ แล้วมาลองเปิดดูหน่อยดีกว่าค่ะ แผนที่มีลักษณะเป็นกระดาษแผ่นหนาสีน้ำตาลอ่อนให้อารมณ์เหมือนกระดาษเขียนแบบเมื่อสมัยก่อนเลยค่ะ รู้ได้ไงน่ะเหรอคะ ? เห็นในการ์ตูนโจรสลัดเรื่องหนึ่งน่ะ อย่าคิดมากเลยค่ะ ๆ  

 

เมื่อกางแผนที่ออกสิ่งที่เห็นอย่างแรกคือมหาทวีปทั้ง 6 ที่อยู่แยกกันอย่างอิสระโดยมีมหาสมุทรและทะเลกั้นอยู่ที่ประกอบไปด้วย อัลคาเดียอยู่ตรงกลางด้านบนหน่อย ๆ เป็นทวีปที่ใหญ่ที่สุดเลยก็ว่าได้นะคะเนี่ย ในทวีปอัลคาเดียแบ่งเป็นทั้งหมด 3 ประเทศหลัก ๆ คือ แอนวอลเลล์ที่ฉันอาศัยอยู่ ฮาเดส และก็เรดคลิฟ 

 

แต่จากที่ดูภูมิประเทศแบบคร่าว ๆ รู้สึกว่าฮาเดสจะมีแนวเทือกเขาขนาบข้างทั้งซ้ายและขวา แถมยังมีแม่น้ำสายใหญ่ตัดผ่านข้างหน้าอีก แถมข้างหลังก็เป็นมหาสมุทรเหมือนโดนขังให้อยู่อย่างโดดเดี่ยวไปเลยค่ะ ส่วนประเทศเรดคลิฟอยู่ติดกับฮาเดสโดยมีแนวเทือกเขาที่ว่าเป็นเหมือนรั้วให้ และก็ติดกับแม่น้ำแล้วก็ทะเล 

 

ส่วนอาณาจักรแอนวอลเลล์อยู่ตรงกลางของทวีปเรียกว่าใหญ่พอสมควรค่ะ มีทั้งเมืองหลวงและเมืองต่าง ๆ มากมายคงจะเป็นของเหล่าขุนนางสินะคะ แล้วก็ที่เด่นชัดคือป้อมปราการที่เขียนว่า เดธวอลเลย์ แต่ป้อมปราการที่ตั้งอยู่ระหว่าง เมืองหลวงของแอนวอลเลล์กับเรดคลิฟ อารมณ์เหมือนทางผ่านที่จะไปเมืองหลวงสินะคะเนี่ย 

 

ส่วนมหาทวีปที่อยู่มุมบนขวาคือวินโดเนีย ดูเหมือนว่าประเทศที่อยู่ในมหาทวีปนี้จะมีเพียงประเทศเดียวและใช้ชื่อเดียวกับชื่อทวีปอีกด้วย ภูมิอากาศเต็มไปด้วยหิมะละมั้งคะ ถึงได้ระบายเป็นสีขาวแบบนี้ เรียกว่าเหมือนในเกมทุกอย่างเลยค่ะ

 

ส่วนมุมขวาล่างเป็นมหาทวีปขนาดใหญ่ที่เขียนว่าซีเรีย เหมือนกับในเกมไม่มีผิดเลยค่ะ ในแผนที่เขียนว่าดินแดนต้องห้ามด้วย อันนี้ทำให้ฉันไม่แปลกใจเท่าไหร่เพราะถ้าหากอ้างอิงจากแผนที่สมัยอยู่ในเกม Fantasy Garden ละก็มหาทวีปซีเรียเป็นแผนที่ที่มีความอันตรายของมอนสเตอร์เลเวลมากกว่า 700 ขึ้นไปทั้งนั้น แถมดันเจี้ยนระดับ SSS ก็อยู่ที่ทวีปนี้อีกด้วย แม้แต่ผู้เล่นที่มีเลเวล 1000 อย่างฉันก็ยังต้องระมัดระวังเป็นอย่างมาก เพราะมอนเตอร์ในแผนที่นี้จะหินอย่างมากค่ะ ถึงแม้ผู้เล่นจะมีเลเวลสูงกว่ามอนสเตอร์แต่ด้วยสเตตัสที่สูงของมอนสเตอร์ในแผนที่นี้ก็เป็นจุดที่กลบความด้อยกว่าในเรื่องเลเวลได้ 

 

แถมในแผนที่นี้สมัยในเกมยังไม่มีจุดเซฟอะไรอีกด้วย ถ้าหากตายแล้วก็ต้องไปเกิดที่ทวีปอื่นเท่านั้นเสียเวลาเดินทางมาก็ตั้งมาก เพราะทวีปซีเรียไม่มีจุดวาปด้วยต้องเดินทางด้วยเรือที่ค่าเดินทางแพงมากหรือหากบินเอาก็เป็นไปไม่ได้คงจะ MP หมดก่อนแน่ ๆ ค่ะ ทำให้การจะไปสักครั้งจะต้องไปเป็นปาตี้และเตรียมอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้พร้อม 

 

” เฮ้อ… คิดถึงในเกมจังเลยนะคะ ตอนนั้นโดน ‘มังกรปฐพี’ ไล่ตามเป็นฝูงโดยไม่ได้ตั้งใจ เกือบแย่แหนะ ” ความหลังที่นึกขึ้นมาในหัวอย่างกะทันหันทำให้หัวเราะออกมาเบา ๆ เพราะตอนนั้น ‘มังกรปฐพี’ ที่มีเลเวล 890 จำนวนกว่า 6 ตัวบินตามฉันไม่ยอมปล่อยถึง 1 ชั่วโมงเต็ม ๆ จนต้องลากไปใส่ปาตี้หนึ่งที่พึ่งจะเคยมา ไม่รู้ปาตี้นั้นตอนนี้เป็นยังไงบ้าง ต้องขอโทษด้วยจริง ๆ นะคะ ! ตอนนั้นมันจวนตัวจริง ๆ 

 

ส่วนทวีปที่ฉันสะดุดตาและเรียกได้ว่าผูกพันที่สุดคือทวีปมากาเรีย เป็นทวีปที่กิลด์ของฉันได้ยึดพื้นที่ส่วนหนึ่งของทวีปไว้ได้ในสงครามแย่งชิงพื้นที่ระหว่างกิลด์ ถึงจะยึดได้เพียงแค่ 3 เดือนแล้วถูกตีแตกก็เถอะค่ะ แต่ก็เป็นทวีปที่ฉันอยู่บ่อยที่สุดเลยก็ว่าได้ ในเกมเป็นทวีปที่ไม่มีประเทศอะไรอยู่ แต่เป็นเมืองร้างที่มีอารยธรรมโบราณที่เต็มไปด้วยป่ารกทึบและเศษซากปรักหักพังของสิ่งก่อสร้างโบราณเท่านั้น แต่ไม่รู้ว่าในโลกนี้จะเป็นยังไงเพราะแผนที่ก็ไม่ได้บอกรายละเอียดอะไรไปมากกว่าลักษณะของทวีปและชื่อก็เท่านั้นค่ะ 

 

 ส่วนทวีปวาสเซลเรียกับทวีปแอสโมเดียนั้นในสมัยตอนอยู่ในเกมจะมีเพียงหนึ่งประเทศอยู่ที่นั่นทั้งคู่ ถ้าจำไม่ผิดวาสเซลเรียจะเป็นเมืองที่มีป่าไม้อันอุดมสมบูรณ์ให้อารมณ์เหมือนเมืองต้นไม้เลยก็ว่าได้ค่ะ เหมือนทางทีมงานจะบอกว่าเป็นเมืองสำหรับนักเวทย์หรืออะไรทำนองนั้น ส่วนเมืองในทวีปแอสโมเดียเป็นทวีปที่ผู้เล่นมักจะไปทำงานฝีมือกันที่นั่นค่ะเพราะเป็นทวีปที่มีวัตถุดิบทางการเกษตรหรือถ่านหินเป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังมีปราสาทสไตล์ญี่ปุ่นอยู่ด้วยทำให้ผู้เล่นชอบไปถ่ายรูปกันบ่อย ๆ จะบอกว่าได้รับแรงบันดาลใจจากญี่ปุ่นสมัยก่อนก็คงไม่ผิดค่ะ 

 

ไม่รู้ว่าตั้งแต่ดูแผนที่ผ่านไปนานขนาดไหนแล้ว แต่เหมือนจะประมาณ 1 ชั่วโมงเห็นจะได้ค่ะ งั้นเอาเป็นว่าไปรอที่ทางเข้าป่าเลยดีกว่า แหมจะให้พวกจูน่าจังรอก็คงเสียมารยาทจริงไหมคะ เมื่อฉันเดินไปเปิดประตูหน้าบ้านก็เห็นเหมือนลูลิกำลังนั่งรอส่ายหางอย่างเคย เหมือนจะตื่นเต้นเหมือนกันนะคะเนี่ย 

 

” พวกเราเดินไปกันเถอะลูลิ ” ฉันที่บอกอย่างนั้นแล้วเดินก้าวนำออกไปลูลิเดินตามหลังมาอย่างว่าง่าย ทำไมถึงเดินเอาน่ะเหรอคะ ก็ถ้าขึ้นขี่หลังลูลิไม่เกิน 5 นาทีก็คงถึงทางเข้าป่าแล้วล่ะค่ะ แต่เวลาเหลืออีกตั้ง 1 ชั่วโมงไม่เห็นต้องรีบมาก ยังไงต่อให้เดินก็ใช้เวลาเพียง 15-20 นาทีเท่านั้นยังมีเวลาก่อนเวลานัดอีกเยอะค่ะ 

 

ระหว่างที่เดินก็เห็นมอนสเตอร์มากมายผ่านไปผ่านมา แต่ก็อย่างเคยค่ะ ไม่มีตัวไหนกล้าเข้ามาโจมตีเลยเป็นเพราะเห็นลูลิแน่ ๆ แต่ก็มีบางตัวที่เหมือนจะตาเป็นประกายมองลูลิเหมือนกำลังเจอลูกพี่ซะงั้น เอ๋ ? เดี๋ยวนะลูลิกลายเป็นลูพี่ของพวกมอนสเตอร์ในป่าไปแล้วเหรอคะเนี่ย 

 

เมื่อเดินกำลังคิดอะไรเพลิน ๆ อยู่นั้นจู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงเด็กน่ารักตะโกนเรียกอยู่ไกล ๆ ค่ะ 

 

” ท่านโนเอล ! ทางนี้คะ !! ” จูน่าจังนั่นเอง ยืนโบกไม้โบกมือพร้อมทั้งคุณโยฮันและคุณวิเวียนประกบซ้ายขวาโดยมีจูน่าจังตัวน้อยอยู่ตรงกลาง แต่ทำไมถึงได้มารอฉันก่อนกันละคะ นี่ฉันอุตส่าห์มาก่อนตั้งเกือบครึ่งชั่วโมงเชียวนะคะ 

 

” เอ๊ะ ? พวกจูน่าจังมารอฉันอยู่ก่อนแล้วเหรอคะ ? ” ฉันที่เก็บความสงสัยเอาไว้ไม่อยู่เอ่ยถามออกไปตรง ๆ แต่ก็ได้รับใบหน้าภูมิใจเพราะทั้งยืดหน้าอกน้อย ๆ นั้นตอบกลับมา

 

” แน่นอนค่ะ ! จะปล่อยให้ท่านโนเอลรอได้ยังไงกันละคะ ! ” จูน่าจังตอบอย่างทรงพลังทำเอาฉันที่คิดว่าตัวเองจะมาเร็ว ๆ เพื่อไม่ให้พวกจูน่าจังต้องรอไหล่ตกเลยละค่ะ 

 

” อะ-เอ่อ พวกคุณวิเวียนมารอฉันตั้งแต่เมื่อไหร่กันเหรอคะ ” ฉันหันไปถามทางคุณวิเวียนที่เต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มและความสวย 

 

” ประมาณหนึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้ค่ะ ! ” คุณวิเวียนตอบกลับพร้อมกับกำมือทั้งสองข้างขึ้นเหมือนเด็กที่กำลังรอคำชมจากพ่อแม่เลยล่ะค่ะ 

 

” เอ๊ะ ! ไหงมารอตั้งนานขนาดนั้นกันคะ ” ฉันที่ตกใจกับเวลาที่ทั้งครอบครัวจูน่าจังรอจนเผลอขึ้นเสียงไปเล็กน้อย แต่เหมือนความตกใจของฉันจะโดนทั้งคุณวิเวียนและคุณโยฮันปัดตกไปในทันที

 

” ท่านโนเอลเป็นผู้มีพระคุณต่อหมู่บ้านและครอบครัวของเรานะครับ จะให้มารอได้ยังไงกัน ” 

 

” ใช่แล้วล่ะค่ะ ! ท่านโนเอล จริง ๆ ฉันกับจูน่าจะมารอตั้งแต่ตี 5 วันนี้แล้วนะคะ แต่โยฮันห้ามไว้ก่อน ” 

 

อะเระ ?  เมื่อกี้ฉันฟังอะไรผิดไปหรือเปล่าคะ จะมารอตั้งแต่ตี 5 เนี่ยนะ ขอโทษนะคะแต่งานเลี้ยงจัดช่วงเย็นนะคะ คุณวิเวียนไม่ได้สบสันอะไรใช่ไหมคะเนี่ย โชคดีจริง ๆ ที่คุณโยฮันห้ามไว้ถ้าเกิดไม่งั้น คงเหมือนแม่ลูกกำลังยืนอดอาหารประท้วงต่อเทพธิดาในป่าไปแน่ ๆ เลยค่ะ 

 

” คุณโยฮันทำได้ดีมาก ๆ เลยนะคะ ” ฉันที่หันไปชื่นชมคุณโยฮันอย่างใจจริง พร้อมทั้งยิ้มด้วยใบหน้าโล่งอก ทำเอาทั้งจูน่าจังและคุณวิเวียนงงไปตาม ๆ กัน

 

” ขอบคุณครับ ฮะ ๆ ” เหมือนคุณโยฮันจะรู้ว่าฉันชมเรื่องอะไรไป ทำให้เราทั้งคู่หัวเราะแห้ง ๆ ออกมากันเหมือนรู้กันแค่สองคน 

 

เมื่อทักทายกับครอบครัวจูน่าจังเสร็จแล้วก็ออกเดินไปที่หมู่บ้านกันทุกคน แต่เหมือนจูน่าจังจะขึ้นไปขี่หลังลูลิในระหว่างเดินไปหมู่บ้าน แต่เหมือนจะแอบ ๆ เห็นใบหน้าอิจฉาของคุณวิเวียนหางตาด้วยค่ะ ไม่ ๆ คงคิดไปเองนั่นแหละค่ะ 

 

” อะ-เอ่อ ฉันไปจะไม่เป็นไรจริง ๆ น่ะเหรอคะ เห็นบอกว่าชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่รู้จักฉันด้วย ” ฉันที่ประหม่าเอ่ยถามคุณโยฮันที่เดินนำหน้าไปเล็กน้อย 

 

” ไม่ต้องห่วงครับ ตั้งแต่เมื่อวานที่พวกเรากลับไปที่หมู่บ้าน ท่านหัวหน้าหมู่บ้านก็เล่าเรื่องทุกอย่างให้ชาวบ้านทั้งหมดฟังด้วยล่ะครับ ทุกคนต่างเฝ้ารอที่จะได้พบท่านโนเอลกันทั้งนั้น ” หา ? ไหงเป็นงั้นล่ะ ปกติแล้วมันต้องนึกสงสัยตัวตนของฉันกันสักหน่อยไม่ใช่เหรอคะ 

 

” ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ! ท่านโนเอลพวกเราเองก็ช่วยบอกชาวบ้านทุกคนเหมือนกันรับรองว่าทุกคนต้องศรัทธาในตัวท่านโนเอลแน่ ๆ ค่ะ!! ” นั่นละปัญหาค่ะ !!! คุณวิเวียนไหงอยากจะให้คนมาศรัทธาฉันด้วยละคะเนี่ย ! แบบนั้นยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ แบบนี้ก็ยิ่งประหม่าไม่ใช่เหรอคะ ! 

 

” ใช่แล้วค่ะ ! คนไหนที่ไม่รู้สึกถึงความสุดยอดและสูงส่งของท่านโนเอลก็ไม่ต่างหากอึพิกม่าหรอกค่ะ ! จะต้องจับมาเทศน์สามวันสามคืนเกี่ยวกับความสุดยอดของท่านโนเอลให้ได้ค่ะ ! ” เดี๋ยว ๆ ๆ จูน่าจังนี่อายุ 7 ขวบจริง ๆ ใช่ไหมคะ ยังเด็กอยู่สินะ ไหงถึงได้พูดอะไรน่ากลัวแบบนั้นออกมาหน้าตาเฉยแบบนั้นได้ละคะ ! 

 

” ไม่ได้นะจูน่าแบบนั้นน่ะ ” คุณวิเวียนที่เหมือนจะยังพอมีสติความนึกคิดอยู่ช่วยเตือนจูน่าจังที่มีความคิดสุดโต่ง สมกับที่เป็นแม่คนจริง ๆ ค่ะต้องมองใหม่จริง ๆ แล้ว 

 

” สามวันยังไม่พอหรอกนะจ๊ะ ต้องห้าวันต่างหากแล้วก็ต้องจับลากมาคุกเข่ากราบเท้าท่านโนเอลด้วยและก็ต้องถวายคำสรรเสริญต่อท่านโนเอลวันละ 10 รอบเช้าเย็นแบบนี้ต่างหากล่ะจ๊ะ ” …

 

ขอถอนคำพูดค่ะ ฉันมันบ้าเองที่คิดไปว่าแม่ลูกคู่นี้ยังจะพอปกติอยู่บ้าง ฉันที่ห่อไหล่ตกทำให้คุณโยฮันสังเกตเห็นแล้วพูดด้วยความเห็นใจว่า 

 

” ท่านโนเอลเหนื่อยหน่อยนะครับ ” อาา.. ช่างเป็นคนดีจริง ๆ คุณโยฮัน รู้สึกซาบซึ้งที่ยังมีคนเข้าใจความรู้สึกของฉันมาก ๆ เลยค่ะ 

 

และแล้วก็เดินมาถึงทางเข้าหมู่บ้านค่ะ 

.

.

.

” โอ้วว ! ท่านเทพธิดาโนเอล โปรดช่วยอวยพรให้หมู่บ้านของพวกเราอยู่เย็นเป็นสุขด้วยเถิดขอรับ ” 

เอ๋ !? ไหง ฉันถึงได้ถูกเหล่าชาวบ้านพากันคุกเข่ากราบไหว้เหมือนเป็นสิ่งศักสิทธิ์แบบนี้กันล่ะคะ ฉันเป็นแค่ไฮเอลฟ์ที่อาศัยอยู่ในป่าเฉยๆนะคะ !! 

 

เรื่องราวของ อริษา เด็กสาวมหาลัย ปี 1 ที่ชื่นชอบการเล่นเกม โดยเฉพาะเกม VR MMORPG เกมที่จะให้ผู้เล่นสวมบทบาทเป็นเผ่าพันธุ์ต่าง ๆ ออกท่องโลกกว้างที่ชื่อว่า Fantasy Garden ได้หลุดเข้าไปอยู่ในเกมที่ตัวเองเล่นอย่างไม่ทราบสาเหตุ โดยเธอกลายเป็นเผ่าพันธุ์ ไฮเอลฟ์ (เอลฟ์ชั้นสูง) ซึ่งเป็นเผ่าลับในเกมที่จะมีเฉพาะผู้ที่เล่นเกมครบ 1000 ชม. เท่านั้นถึงจะปลดล็อคเผ่านี้ได้ เท่านั้นยังไม่พอในขณะที่กำลังทำความเข้าใจกับโลกที่ตนเองยังไม่เข้าใจอยู่นั้นก็ได้เผลอไปช่วยเด็กจากหมู่บ้านที่อยู่ใกล้กับป่าที่ตนอาศัยอยู่ จนเกิดข่าวลือหนาหูกันว่ามีเทพธิดาผู้งดง่ายลงมาโปรดเพื่อช่วยเหลือเด็กสาวจากหมู่บ้านจนผู้คนแห่กันมากราบไหว้บูชากัน อริษา จะทำอย่างไรกับสถานการณ์นี้กันนะ 

 

เพื่อน ๆ เคยนั่งรถไฟเหาะกันไหมคะ ? ตอนนี้ฉันรู้สึกแบบนั้นเลยค่ะ ลูลิวิ่งเร็วอย่างกับรถซูเปอร์คาร์ไม่พอแต่ยังกระโดดแถมยังโยกเยกโคลงเคลงจนรู้สึกเหมือนกำลังอยู่บนรถไฟเหาะเลยค่ะ ความเร็วระดับมากกว่า 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำให้แค่นั่งไม่กี่นาทีก็รู้สึกว่าเศษซากแอปเปิ้ลและผลไม้ต่าง ๆ กำลังย้อนกลับขึ้นมาที่ลำคอแล้วล่ะค่ะ 

 

‘ หมาป่าตัวใหญ่ละ ๆ ‘ 

 

วิ่งไปได้สักพักก็มีเสียงดังในหัวที่ไม่ได้ยินมานาน เสียงของพวกคุณต้นไม้นั่นเองค่ะ เหมือนจะรู้สึกสนใจลูลิพอสมควรให้อารมณ์เหมือนเด็ก ๆ กำลังเห็นของเล่นที่ไม่เคยเห็น เล่นเอาแอบอมยิ้มเหมือนกันนะคะ แต่ที่ยิ้มไม่ออกเพราะตอนนี้ของเหลือจากเศษซากอาหารกำลังจะถูกนำมารีไซเคิลออกทางเดิม 

 

ลูลิวิ่งมาได้ 5 นาทีก็ถึงภูเขามัวริสค่ะ ใหญ่เหมือนกันนะเนี่ย ภูเขาที่เป็นลักษณะของภูเขาหินไม่ได้มีต้นไม้ที่เขียวชอุ่มทำให้รู้สึกแห้งแล้งอยู่หน่อย ๆ ค่ะ แต่กลับกันลมปะทะค่อนข้างเย็นและรุนแรง เนื่องจากภูเขามัวริสอยู่ติดกับชายฝั่งทะเลพอดี แรงลมที่พัดมาพร้อมกับกลิ่นของน้ำทะเลและฝุ่นทรายทำให้รู้สึกแปลกใหม่ เพราะตั้งแต่ที่มาโลกนี้อยู่แต่ในป่าได้แต่กลิ่นต้นไม้ใบหญ้าและแสงแดดอ่อน ๆ อย่างเดียวเลยค่ะ 

 

” ลูลิ ช่วยวพาวิ่งดูรอบภูเขาหน่อยนะ ” ฉันชะโงกหน้าไปบอกกับลูลิ ลูลิพยักหน้าพร้อมทั้งส่ายหางไปมาอย่างน่ารักและออกวิ่ง แต่คราวนี้ลดความเร็วลงเนื่องจากเส้นทางรอบภูเขาไม่ได้เป็นเส้นตรง

 

ย้อนกลับไปเมื่อไม่กี่นาทีก่อนในระหว่างที่ขี่ลูลิผ่านตัดป่าอย่างรวดเร็วก็ได้เจอมอนสเตอร์ต่าง ๆ มากมายแต่ก็เป็นเพียงมอนสเตอร์เลเวลไม่เกิน 100 เป็นมอนสเตอร์ระดับเริ่มต้นที่เหมาะสำหรับผู้เล่นใหม่จะมาเก็บเลเวลหากเป็นในเกม แต่เหมือนมอนสเตอร์พวกนั้นดูเหมือนไม่กล้าเข้ามาโจมตี น่าจะกลัวลูลิแน่ ๆ ค่ะ 

 

ไม่แปลกที่จะเป็นอย่างนั้น เพราะตอนนี้แม้จะไม่รู้ละเอียดแต่ลูลิน่าจะเลเวลเกิน 500 แน่ ๆ ค่ะ เผลอ ๆ อาจจะถึงเกือบ 800 เลยด้วยซ้ำ เพราะถ้าหากคิดจากปริมาณ MP ที่ถูกดึงไปใช้ตอนอัญเชิญก็น่าจะคิดได้คร่าว ๆ ค่ะ ที่จริงแล้วการพาลูลิมาเดินเล่นก็เพราะอยากจะทดสอบอะไรหลาย ๆ อย่างนั้นเอง แน่นอนอันดับแรกคือความแข็งแกร่งของลูลิว่าอยู่ระดับไหน ในเกมแม้สัตว์อัญเชิญ ‘เฟ็นรีร์’ จะไม่ใช่สัตว์อัญเชิญที่แข็งแกร่งที่สุด แต่ก็มีคนใช้เยอะพอสมควร จุดเด่นหลัก ๆ คือ ‘เฟ็นรีร์’ มีสเตตัสโดดเด่นในด้าน AGI สูงมากทำให้หลบหลีกการโจมตีหรือเคลื่อนที่ได้เร็ว แต่พลังป้องกันและพลังโจมตียังเป็นรองมังกรและฟีนิกซ์อยู่พอสมควรค่ะ 

 

เพราะฉะนั้นวันนี้เราจะพาลูลิมาเปิดโลกกัน ไหน ๆ ก็ออกมาเที่ยวเล่นทั้งทีก็ต้องเอาให้คุ้มไปเลยสิคะ แต่พอวิ่งไปรอบ ๆ ภูเขาก็พอจะเห็นว่ามีถนนสายหลักที่น่าจะเป็นเส้นทางไปสู่หมู่บ้าน และทุ่งหญ้าโล่ง ๆ แต่ก็มีต้นไม้บ้างประปรายไม่ได้โล้นมาก ให้อารมณ์เหมือนเป็นเส้นทางเวลาเดินทางกลับต่างจังหวัดเลยค่ะ ที่ข้างทางจะเป็นทุ่งนาไม่ก็ป่าไม้อะไรแบบนั้น เพียงแต่เปลี่ยนจากทุ่งนาหรือป่าไม้เป็นทุ่งหญ้าก็เท่านั้น 

 

วิ่งไปได้สักพักลูลิก็หยุดลงกะทันหันเล่นเอาเกือบหัวสักหัวคว่ำเลยค่ะ 

 

” ลูลิหยุดทำไมละ มีอะไรงั้นเหรอ ” พอถามลูลิเสร็จก็เหมือนจะส่ายหน้าไปทางภูเขามัวริส เหมือนต้องการให้ฉันหันมองไปทางนั้นด้วย พอมองตามไปดูก็ไม่มีอะไรไปพิเศษ แต่ เอ๊ะ ? รู้สึกเหมือนจะเห็นลักษณะคล้าย ๆ ก้อนหินขนาดใหญ่ 2 ชิ้นวางที่เหมือนเป็นลักษณะของประตู ตรงกลางมีช่องขนาดใหญ่ที่ลูลิน่าจะผ่านเข้าไปได้ ใช่แล้วค่ะ นี่มันถ้ำชัดๆเลย ถ้ำที่หันหน้าไปทางทะเล ถ้าหากมองจากถนนสายหลักหรือป่าจะไม่มีทางรู้ได้เลยว่ามีถ้ำในภูเขามัวริสด้วยเหรอ เหมือนจะเชื่อมเข้าไปข้างในภูเขามัวริสและเหมือนว่าลูลิจะสนใจ เหมือนจะหันหน้ามาแล้วทำแวววาวตาเหมือนจะถามว่า ‘เข้าไปได้ไหม’ แบบนั้นเลยค่ะ 

 

” ลองไปกันเถอะ ” พอฉันอนุญาตลูลิก็พยักหน้าก่อนจะก้าวขาเดินไปช้า ๆ ถึงแม้ว่าลูลิจะเข้าไปได้แต่ทางเข้าก็ไม่ได้ใหญ่ขนาดนั้นความกว้างประมาณ 3 เมตร แต่สูงประมาณ 5 เมตร ถือว่าเกือบ ๆ พอดีตัวลูลิเลยก็ว่าได้ค่ะ พอเข้าไปก็มืดสนิทแต่เหมือนลูลิจะเดินต่อไปได้อย่างไม่มีปัญหา เป็นเพราะสายตาของหมาป่ากับมนุษย์ต่างกันหรือเปล่านะคะหรืออาจจะมีสกิลติดตัวก็ได้ ฉันที่มองไม่เห็นก็จำเป็นต้องร่าย ‘แสง’ อย่างช่วยไม่ได้ค่ะ 

 

เดินเข้าไปในถ้ำที่อยู่ตีนเขามัวริสก็สังเหตุว่าเป็นทางเดินยาวที่คับแคบแต่ยังพอให้ลูลิเดินไปได้แต่คงจะเคลื่อนไหวแบบเร็ว ๆ ได้ลำบาก เมื่อเดินไปได้สักพักก็เหมือนจะมีพื้นที่เป็นเหมือนโพรงขนาดใหญ่ เป็นบริเวณกว้าง ๆ ดูเหมือนว่าจะมาถึงบริเวณใจกลางของภูเขาแล้วล่ะค่ะ ไม่มีอะไรอยู่เลยเหมือนเป็นเพียงพื้นที่โล่ง ๆ ธรรมดา ๆ แต่ก็ไม่วายทำให้ต้องเดินสำรวจไปทั่วค่ะ พอมาหยุดอยู่ที่ตรงกลางของลานกว้างนั่นทันใดนั้น 

 

ครืน.. ! 

 

เสียงเหมือนพื้นที่สั่นไหวเล็ก ๆ ก่อนจะทรุดตัวลงและพังลง ทำให้ทั้งฉันและลูลิตกลงไปข้างล่าง

 

” กรี๊ดดด !! ” ด้วยความตกใจเลยเก็บอาการไม่อยู่ ร้องกรี๊ดออกมาอย่างดังค่ะ แต่โชคดีที่จับลูลิเอาไว้แน่น ลูลิพุ่งตัวเหยียบกำแพงแล้วพุ่งตัวไปฝั่งกำแพงตรงข้าม ซ้ายที ขวาที อย่างรวดเร็วอย่างชำนาญก่อนจะลงพื้นอย่างนุ่มนวล 

 

” อะไรกันเนี่ย พื้นทรุดตัวงั้นเหรอคะ ! ” ฉันที่บ่นพึมพำอยู่คนเดียวทำให้ได้ยินเสียงสะท้อนดังก้องเหมือนอยู่ในโรงพละคนเดียวหลังเลิกเรียน เมื่อลองใช้เวทย์ ‘แสง’ มองไปรอบ ๆ ก็เห็นว่าเหมือนดูใต้ดิน มีหินย้อยอยู่บนเพดานแต่ที่สำคัญเหมือนจะมีบึงน้ำขนาดใหญ่อยู่ข้างใต้ภูเขามัวริสด้วยค่ะ บึงน้ำดูแล้วน่าจะลึกพอสมควร เพราะมองไม่เห็นข้างล่างเลย  สักพักในขณะที่ตรวจสอบดูบึงน้ำอยู่นั้น ลูลิก็กระโดดถอยหลังอย่างฉับพลัน 

 

” เอ๊ะ ? เป็นอะไรไปลูลิ ” ตอนนี้ลูลิทำสีหน้าเหมือนกำลังขู่อะไรบางอย่างพร้อมกับเสียง ‘กรร !!’ ราวกับกำลังข่มขวัญ เลยใช้เวทย์ ‘แสง’ ส่อง ไปที่บริเวณบึงน้ำก็เห็นเหมือนมีจุดที่บึงน้ำผุดฟองขึ้นมาเป็นจำนวนมากเหมือนน้ำที่กำลังเดือดแต่เป็นเพียงบริเวณเดียวไม่ได้เป็นทั้งบึงน้ำ และเมื่อน้ำในบึงสั่นไหวรุนแรง จู่ ๆ ร่างมอนสเตอร์ตัวหนึ่งก็โผล่ออกมา

 

ลักษณะเหมือนงูขนาดใหญ่มี 4 หัวสีดำ เขี้ยวอันแหลมคม 2 เขี้ยว 4 คู่ ที่ดูน่ากลัวเหมือนเคียวยมฑูต เกล็ดสีเขียวดำเข้มที่เหมือนกับชุดเกราะของทหารยุคปัจจุบัน ใช่แล้วค่ะฉันเคยเห็นมอนสเตอร์ตัวนี้มาก่อนมันคือ ‘ไฮดร้า’ นั้นเอง มอนสเตอร์ในเกม Fantasy Garden ที่มีเลเวล 230 เป็นอีกหนึ่งในมอนสเตอร์ที่คนค่อนข้างเกลียดมากทีเดียวค่ะเนื่องจากหาตัวได้ค่อนข้างยากและยังอยู่แต่ในน้ำ 

 

ไม่ใช่แค่เรื่องที่หาตัวจับได้ยากแต่เวลาสู้มักจะชอบพ่นกรดที่ทำให้ผู้เล่นติดสถานะพิษ และอัมพาตถ้าหากว่ามีความต้านทานของสถานะทั้งสองที่ว่าก็จะทำให้ยิ่งสู้ลำบากกว่าเดิม เพราะงั้นผู้เล่นส่วนใหญ่มักจะไปเก็บเลเวลกับมอนสเตอร์ตัวอื่นมากกว่าที่จะมาล่า ‘ไฮดร้า’ แต่ก็มีบางเควสหรือไอเทมบางชนิดที่ดรอปจากไฮดร้าเท่านั้น 

 

ลูลิที่สัมผัสได้ถึงตัวตนของ ‘ไฮดร้า’ ทำเสียงขู่คำรามออกมาพร้อมตั้งท่าพร้อมสู้ฉันที่เห็นลูลิแบบนั้นเลยลงจากหลังของลูลิ สำหรับฉันแล้ว ‘ไฮดร้า’ แบบนั้นแค่พริบตาเดียวก็สลายเป็นผุยผงไปแล้วล่ะค่ะ ยิ่งตอนนี้อยากเห็นพลังของลูลิเลยปล่อยให้ลูลิได้ฉายเดี่ยวยังไงล่ะคะ 

 

‘ไฮดร้า’ เองก็เหมือนจะเตรียมพร้อมสู้พร้อมกับจ้องมาที่ลูลิปานจะกินเลือดกินเนื้อ ทั้งคู่กำลังก้องตากันเหมือนคาวบอยที่ดวลปืนไวกันเลยค่ะ ศึกระหว่างคาวบอยไฮดร้าและคาวบอยลูลิกำลังจะเริ่มขึ้นแล้วล่ะค่ะ ทันใดนั้นไฮดร้าทั้ง 4 หัวก็พร้อมใจกันพ่นกรดพิษรุนแรงออกมา ใส่ลูลิฉันที่อยู่ข้างๆ ร่ายเวทย์ ‘กำแพงเวทย์’ เตรียมเอาไว้แสงสีเขียวจาง ๆ รูปวงรีขนาดใหญ่มาป้องกันกรดตรงหน้าฉัน แต่ไม่ได้ปกป้องลูลิ เพราะฉันอยากเห็นว่าลูลิจะทำอะไรได้บ้าง 

 

แต่ยังไม่ทันที่กรดจะได้สัมผัส ‘กำแพงเวทย์ ของฉันหรือตัวของลูลิ ลูลิก็ส่งเสียง ‘กรร..’ ออกมาเบา ๆ พร้อมกับเหมือนอ้าปากสูดลมหายใจเอาอากาศเข้าไป แต่กลับมีละอองแสงสีฟ้าจำนวนมากที่รวมตัวอยู่ที่บริเวณปากของลูลิ แสงสีฟ้าส่องสว่างไปทั่วบริเวณถ้ำ ประกายแสงสีขาวเกิดสว่างขึ้นที่บริเวณสัญลักษณ์ที่บริเวณลำตัวและใบหน้าของลูลิ 

 

” เอ๊ะ ? ! ” ฉันที่เผลอตกใจกับสิ่งที่เห็นเผลอส่งเสียงด้วยความสงสัยอยู่คนเดียวข้าง ๆ ลูลิ ที่ตกใจไม่ใช่อะไร เพราะฉันตอนอยู่ในเกมรู้ทุกสกิลของสัตว์อัญเชิญ ‘เฟ็นรีร์’ หมดทุกสกิลเพราะฉันมีสัตว์อัญเชิญแค่ตัวเดียว แต่สกิลที่ลูลิกำลังจะใช้ไม่ว่าจะคิดยังไงก็ไม่เคยเห็นเลยค่ะ ไม่รู้ว่ามันคืออะไรและไม่รู้ด้วยว่าจะให้ผลอะไร 

 

ในวินาทีที่กำลังสงสัยอยู่นั้นก็มีลำแสงสีฟ้าขนาดใหญ่พุ่งออกจากปากของลูลิ ตรงไปที่ไฮดร้าอย่างรวดเร็ว ลำแสงสีฟ้ากลืนกินกรดพิษรุนแรงทั้งหมดถูกย้อมไปด้วยสีฟ้า ความร้อนสูงที่ทำให้กรดสลายไปในพริบตาพุ่งเข้าใส่ไฮดร้าในบึงน้ำก่อนที่ลำแสงกลืนกินตัวไฮดร้าจนหมดสิ้น ไฮดร้าที่ถูกความร้อนอันมหาศาลของลำแสงที่ลูลิปล่อยออกมาส่งเสียงร้องโหยหวนดิ้นทะรนทุรายก่อนจะสลายไปอย่างไม่มีวันกลับ

 

‘ตูม……….!!!!’ ลำแสงที่ฆ่าไฮดร้าจนสิ้นซากนั้นทะลุไปยังกำแพงข้างหลังบึงน้ำแรงเจาะทะลวงมหาศาลจนถึงกับสร้างวูโหว่ขนาดใหญ่จนทำให้เห็นภาพทะเลข้างนอก สำแลงพุ่งทะยานไปทางทะเลอย่างไร้จุดหมายก่อนที่เส้นลำแสงจะขาดไปเมื่อลูลิหยุดการโจมตีนั้น 

 

” เอ๋ ? ” ความงุนงงบวกกับความประหลาดใจแบบสุดขีดที่เหมือนกับอิฐก้อนใหญ่ล่นทับหัวฉันดัง ตึบ ! เลยค่ะ  นั้นมันพลังอะไรกันคะเนี่ย !!!! เดี๋ยวนะลูลิมีสกิลอะไรแบบนี้ด้วยงั้นเหรอคะ ทำไมตอนอยู่ในเกมถึงไม่มีล่ะ ไม่เคยเห็นมาก่อนด้วยค่ะ ! แล้วนั้นมันอะไรกันคะ ! ไหงลูลิถึงยิงบีมลำแสงออกมาจากปากได้ล่ะ ‘เฟ็นรีร์’ ทำอะไรแบบได้ด้วยงั้นเหรอ ! 

 

ไม่ค่ะ ! ไม่มีแน่นอนเพราะปกติตอนสมัยอยู่ในเกม การโจมตีของ ‘เฟ็นรีร์’ จะพุ่งเข้าไปกัดและใช้กรงเล็บฟาดฟันศัตรูที่อาศัยความเร็วเป็นเลิศนั่นต่างหาก อย่างมากที่สุดคือการใช้เสียงคำรามขู่ศัตรูที่มีผลทำให้พลังป้องกันและความเร็วของศัตรูลดลง 10 % เท่านั้น แต่ไม่มีลำแสงยังกับพลังคลื่นเต่าอะไรแบบนั้นออกมาแน่นอนค่ะ หมาป่า ‘เฟ็นรีร์’ ที่ชื่อลูลิตนนี้ไม่ใช่ ‘เฟ็นรีร์’ ที่ฉันเคยรู้จักในเกมแน่นอนค่ะ ! 

 

ระหว่างที่กำลังคิดและทำหน้าอึ้งทำตัวไม่ถูกอยู่นั้น ลูลิที่นั่งอยู่พลางส่ายหางและทำหน้าเหมือนกำลังคาดหวังจะให้ชม ฉันที่เห็นแบบนั้นเลยเดินไปลูบหัวอย่างเลี่ยงไม่ได้ ลูลิก้มหัวลงมาพร้อมหลับตาทำหน้าดีใจหางที่ส่ายเหมือนจะแรงกว่าเดิมด้วย เฮ้อ… ถึงจะเหมือนโลกในเกม Fantasy Garden แต่ไหงมันถึงได้แตกต่างกันขนาดนี้ล่ะคะ 

 

อย่างที่คิดเหมือนลูลิตอนนี้จะแข็งแกร่งกว่าในเกมแบบเทียบไม่ติดเลยล่ะคะ เลเวลน่าจะเกือบๆ 800 จากการคาดเดาทั้งความเร็วและพลังเมื่อกี้ ถึงจะไม่เคยเห็นก็เถอะค่ะ แต่ไม่รู้ชื่อสกิลนี่สิเพราะไม่มีหน้าต่างที่แสดงรายละเอียดของสกิลให้ดูด้วยเลยไม่รู้เลยว่าจะเรียกสกิลนั้นว่าอะไรดี 

 

” เอ..เรียกสกิลเมื่อกี้ว่าอะไรดีน้าา ” ฉันกำลังเอียงคอพลางคิดชื่อสกิลที่ลูลิใช้ แต่เหมือนลูลิจะสงสัยว่าฉันหมายถึงอะไรเลยเอียงคอสงสัยตามแต่ก็เหมือนจะเข้าใจว่าฉันสื่อพลังที่เจ้าตัวใช้เมื่อกี้ นั่นสินะคะ คงจะใช้ ‘พลังคลื่นเต่า’ ไม่ได้หรอกเพราะลูลิเป็นหมาป่านี่นา แถมเป็นราชันย์หมาป่าด้วย ถ้าอย่างนั้นเอาเป็น..

 

” ‘ลำแสงหมาป่า’ เป็นไง ” …. เกิดความเงียบระหว่างฉันกับลูลิทันทีค่ะ แล้วในวินาทีต่อมาลูลิก็หันหน้าหนีเหมือนกำลังไม่พอใจกับชื่อที่ฉันตั้งให้ อะไรกันคะ ! นี่ฉันคิดแทบตายเลยนะ ไหงถึงหันหน้าหนีเหมือนกำลังจะบอกว่า ‘ยัยนี่ตั้งชื่อห่วยแตก’ อะไรแบบนั้นเลยล่ะ ! ฉันน่ะเซ้นส์การตั้งชื่อเป็นเลิศเชียวนะคะ ! อย่างน้องหมาหน้าคณะฉันยังตั้งชื่อให้ว่า ‘บะหมี่แห้ง’ เลยค่ะ แถมน้องแมวที่เพื่อนเก็บมาเลี้ยงมาขอคำปรึกษาเรื่องตั้งชื่อก็ให้ไปว่า ‘มะกรูดเขียว’  ด้วย แต่ไม่รู้ทำไมเพื่อนคนนั้นตั้งแต่นั้นมาก็ไม่คุยกับฉันอีกเลยล่ะค่ะ 

 

” ช่วยไม่ได้ งั้นเอาไว้ก่อนแล้วกัน.. ” ฉันที่เห็นลูลิงอนหันหน้าหนีที่ไม่พอใจกับการตั้งชื่อสกิลก็ต้องยอมถอยอย่างเสียไม่ได้ค่ะ เอาเถอะครั้งนี้จะยอมให้ก่อนและกันแต่ครั้งหน้ารับรองว่าจะทำให้ดีใจจนส่ายหางเป็นพายุเลยค่ะ 

 

” เอาละ งั้นกลับกันเถอะ ” ฉันที่ว่าแล้วก็ขึ้นขี่หลังของลูลิ แล้วออกทางที่สกิลของลูลิเจาะเปิดเป็นรูโหว่เอาไว้ เมื่อออกมาก็รู้ว่าอยู่ต่ำกว่าทางเข้าถ้ำประมาณ 10 เมตรได้ แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรเพราะลูลิกระโดนไต่ระดับซ้ายทีขวาทีด้วยความเร็วสูงจนเหมือนกันนินจา จนขึ้นมาอยู่ที่ระดับเดิมในตอนแรกได้ แบบนี้คงเป็นนินจาหมาป่าสินะคะ 

 

พอสังเกตรอบตัวเห็นว่าพระอาทิตย์กำลังจะลับฟ้าแล้วเลยบอกให้ลูลิพากลับเพราะถ้าฉันกลับเองคงลำบากเพราะจำทางไม่ค่อยได้ จุดที่สังเกตได้คือบ้านต้นไม้ที่เป็นต้นไม้ใหญ่ที่สุดในป่าแต่ด้วยป่าที่มีต้นไม้อยู่อย่างหนาแน่นเลยทำให้บดบังจนหาเจอได้ยาก แต่ลูลินั้นหาได้เป็นปัญหาไม่ เพราะมีประสาทสัมผัสดมกลิ่นเป็นเลิศทำให้รู้ทิศทางที่เคยมา ความจำเหมือนจะดีกว่าฉันค่ะ อะไรนะ ! นี่ฉันแย่กว่าลูลิงั้นเหรอคะ !!? ไม่มีทางเป็นไปได้หรอกค่ะ ! เพราะฉันเป็นเจ้าของไงล่ะคะ ! 

.

.

.

 

(บ้านหลังหนึ่งในหมู่บ้านโคลิน) 

 

” นี่มันจะบ้ากันไปใหญ่แล้ว !! ไอ้แก่หัวหน้าหมู่บ้านนั่นดันไปเออออตามเด็กเมื่อวานซืนแบบนั้นซะได้ !! ” เสียงบ่นอันเกรี้ยวกราดของชายวัยกลางคนผมสีส้มแดงที่ดังไปทั่วบ้านที่อยู่ใกล้กับหอคอยสังเกตการณ์ของหมู่บ้าน นั้นคือ อีวาน

 

” ไม่ใช่แค่สรรเสริญบูชา แต่ยังเชิญมาที่หมู่บ้านจัดงานเลี้ยงใหญ่โตอีก ! ” ด้วยความที่ไม่พอใจในการกระทำของหัวหน้าหมู่บ้านที่เชิญเทพธิดาชื่อโนเอลร่ามางานเลี้ยงขอบคุณ อีวานที่กำลังหัวเสียเพราะไม่มีใครเห็นด้วยกับตน อีวานนั้นคิดว่าการเอาคนน่าสงสัยเข้ามาในหมู่บ้านจะเป็นอันตราย (ก็ถูก) 

 

” แหม ๆ  เป็นอะไรคะคุณ ” เสียงผู้หญิงที่เหมือนกำลังรู้สึกสนุกทักถามอีวานที่กำลังนั่งโมโหอยู่บนโต๊ะกับข้าว หลังจากเสียงที่ดังออกมาก็มีเสียงดัง ‘ก๊อก ๆ’ มาเป็นจังหวะการเดินตามมา 

 

” หา ? การ์เนทเองเหรอ ” อีวานหันไปหาตามเสียงที่เดินใกล้เข้ามา ผู้หญิงรูปร่างส่งโปร่งหุ่นดีอายุวัยทำงานแต่ยังถือว่าสวยอยู่ เลือนผมสีทองยาวประบ่าและดวงตาสีน้ำผึ้งพร้อมรอยยิ้มที่มีสีแดงอันฉูดฉาดบริเวณริมฝีปากใบหน้าที่เหมือนกำลังสนุกตลอดเวลาแฝงไปด้วยมนตร์เสน่ห์และความเจ้าเล่ห์ 

 

” มีเรื่องอะไรทำให้โมโหงั้นเหรอคะ ” การ์เนทเดินเข้ามาโอบอีวานจากข้างหลัง พร้อมทั้งถามอย่างเป็นห่วงแต่ก็มีความสนุกอยู่บนใบหน้าไม่เปลี่ยน

 

” ไอ้แก่คาเวลน่ะสิ ดันจัดงานเลี้ยงขอบคุณเจ้าคนที่ยัยเด็กจูน่าอ้างว่าเป็นเทพธิดามาที่หมู่บ้าน ! ” อีวานบอกการ์เนทอย่างหัวเสียในขณะที่ถูกโอบกอดจากข้างหลัง 

 

” แหม ๆ แบบนั้นก็ไม่เห็นเป็นอะไรเลยไม่ใช่เหรอคะ ? ” การ์เนทที่รู้สึกว่าไม่เห็นจะมีปัญหาตรงไหน เอ่ยถามอีวานไปอย่างเย้ายวน

 

” ไม่เป็นอะไรที่ไหน ! จากที่ตาแก่คาเวลไปหายัยเทพธิดานั้นเห็นว่าเป็นต้นเหตุของระเบิดสีขาวจริง ๆ แต่เห็นบอกว่าทำไปเพื่อปราบมังกรที่มุ่งหน้ามายังหมู่บ้าน ! เรื่องบ้าบอแบบนั้นมันจะเป็นไปได้ยังไงกันเล่า !  ” อีวานที่ตะคอกกลับไปทำให้แขนที่โอบกอดของการ์เนทหลุดออก 

 

” ถ้าอย่างนั้น คุณก็เปิดโปงเทพธิดานั่นไปเลยสิคะ ว่าทั้งหมดมันเป็นเรื่องแหกตา ” การ์เนทเอากอดอกเถ้าคางในขณะที่เปิดประเด็นเชิญชวนอีวานที่ตอนนี้โมโหเลือดขึ้นหน้า 

 

” เปิดโปงเหรอ ? ” อีวานชักสีหน้าสงสัยกับแนวทางของการ์เนท 

 

” ใช่ค่ะ ถ้าหากว่ามีเทพธิดาท่านนั้นมีพลังถึงขั้นปราบมังกรเพื่อหมู่บ้านจริงล่ะก็ งั้นก็ให้ไปเปรียบไฮดร้าที่อยู่ในภูเขามัวริสให้ดูก็ได้นี่คะ ” การ์เนทเสนอวิธีการให้กับอีวานที่ทำหน้าเหมือนรอฟังอย่างไม่ละสายตา 

 

” ไฮดร้า ? หมายถึงไฮดร้าที่อยู่ใต้ดินในภูเขามัวริสนั่นน่ะเหรอ ? ” อีวานถามกลับโดยย้ำมุ่งประเด็นไปที่ชื่อที่การ์เนทเอ่ยออกมา 

 

” ค่ะ ถ้าหากว่าสามารถปราบมังกรได้จริง ๆ ล่ะก็กับแค่ไฮดร้า คงไม่คณามือเทพธิดานั่นใช่ไหมล่ะคะ ” 

 

” ก็จริง ไฮดร้าเป็นมอนสเตอร์ระดับ A ที่แม้แต่เอาอัศวินหรือจอมเวทย์มาหลายสิบคนก็ไม่รู้ว่าจะเอาชนะได้ไหม ถ้าหากเป็นนักผจญภัยก็ต้องใช้ระดับเพรชถึง 15 คนขึ้นไป หากยัยเทพธิดานั่นปราบมังกรได้จริง ๆ ก็ต้องปราบไฮดร้าได้อย่างสบาย ๆ สินะ ” อีวานที่คิดตามข้อเสนอของการ์เนทพยักหน้าราวกับว่าเห็นด้วยกับวิธีการนั้นพร้อมรอยยิ้มที่เหมือนหาเส้นทางแห่งชัยชนะเจอแล้ว

 

” ถูกต้อง ” การ์เนทเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้มขี้เล่นราวกับกำลังสนุก

 

” ก็ได้ เอาตามนั้นแหละ ฉันจะเป็นคนกระชากหน้ากากของยัยเทพธิดานั้นออกมาเอง ฮ่า ๆ ๆ ! ” อีวานที่ระเบิดหัวเราะออกมาอย่างคนที่มีชัยเหนือกว่า เสียงหัวเราะแห่งความยินดีที่ตนนั้นจะได้พิสูจน์ให้คนในหมู่บ้านได้เห็นความจริงดังก้องไปทั่วบ้านยามค่ำ 

 

การ์เนทที่เห็นสามีของตนเองหัวเราะอยู่นั้นก็ไม่วายยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์และทั้งเอียงคออย่างเย้ายวนคิดในใจ 

 

(ชักจะสนุกขึ้นมาแล้วสิ) 

.

.

.

.

(เมืองหลวงของอาณาจักรแอนวอลเลล์) 

 

” ให้ตายสิ !! แล้วนี่ตาแก่เมอร์ริอาร์มันหายหัวไปไหนของมันวะ ! ” เสียงบ่นของชายวัยกลางคนที่ใส่ชุดเกราะอย่างน่าเกรงขามราวกับอัศวินชั้นยอดที่ดูผ่านศึกมานับครั้งไม่ถ้วน ดังราวกับเสียงคำรามของราชสีห์ที่พร้อมจะประกาศอาณาเขตของตน เสียงดังกังวานภายในห้องทำงานที่ไร้ซึ่งวี่แววของเจ้าของห้อง มีเพียงกองหนังสือที่กองกระจัดกระจายเต็มโต๊ะทำงาน ไหนจะกองบนพื้นอย่างไร้ระเบียบ 

 

” คะ-คือว่าท่านเมอร์ริอาร์กับท่านลุค บอกว่าจะไปทำธุระที่นอกเมืองหลวงนะขอรับ ” นักเวทย์หนุ่มคนที่นำทางทหารอัศวินวัยกลางคนที่คำรามเสียงเมื่อกี้ตัวสั่นตอบอย่างกล้า ๆ กลัว แต่คงไม่ใช่เรื่องแปลกที่หนุ่มนักเวทย์ผู้นำทางจะมีปฏิกิริยาแบบนี้ 

 

หากบอกว่าเมอร์ริอาร์คือสุดยอดจอมเวทย์ของอาณาจักรแล้วละก็ ทหารอัศวินวัยกลางคนคนนี้ก็คือสุดยอดของนักรบของอาณาจักรเช่นเดียวกัน แม่ทัพผู้ควบคุมกองทัพเหล่าบรรดาทหารและอัศวินคือเขาผู้นี้ กาเฮริส อัศวินที่ได้ชื่อว่าแข็งแกร่งที่สุดในอาณาจักรแอนวอลเลล์ แม้ปัจจุบันจะมีอายุ 55 ปี แต่สำหรับกาเฮริสที่คิดว่าอายุมันเป็นเพียงตัวเลข ไม่อาจจะฉุดรั้งความแข็งแกร่งของตนเอาไว้ได้ 

 

หากนับฐานะหรือตำแหน่งแล้วล่ะก็ กาเฮริสนับว่ามีตำแหน่งที่สูงเทียบเท่าเมอร์ริอาร์เลยทีเดียว หากแต่ทั้งคู่อยู่กันละคนสายงานเพียงเท่านั้น กาเฮริสเปรียบดั่งดาบที่แข็งแกร่งที่สุดให้กับอาณาจักรที่พร้อมจะเข้าห้ำหั่นฟาดฟันศัตรูให้พินาศ เมอร์ริอาร์ก็เปรียบดังหนังสือที่เต็มเปี่ยมไปด้วยภูมิปัญญาและเวทมนตร์ที่คอยสร้างปาฏิหาริย์ให้กับอาณาจักร ทั้งคู่แม้จะอายุห่างกันถึง 21 ปี แต่กาเฮริสก็นับถือและชื่นชมในความเก่งกาจของเมอร์ริอาร์อย่างบริสุทธิ์ใจ 

 

กาเฮริสเคยทำงานร่วมกับเมอร์ริอาร์มานับครั้งไม่ถ้วน หากย้อนกลับไปก็คงก่อนที่กาเฮริสได้มารับตำแหน่งแม่ทัพหลวงของอาณาจักรแอนวอลเลล์ แต่เดิมนั้นกาเฮริสชื่อเต็ม ๆ คือ กาเฮริส เดอ มงฟอร์ต เป็นบุตรคนที่ 2 ของตระกูลขุนนางยศ เอิร์ล ของอาณาจักรแอนวอลเลล์ การที่เป็นบุตรคนที่สองแน่นอนว่าจะไม่ได้รับการสืบทอดตระกูลเนื่องจากตนหาได้เป็นบุตรคนโตไม่ แต่ถึงอย่างนั้นกาเฮริสก็ไม่ได้สนใจ เนื่องจากกาเฮริสชอบฝึกฝนตัวเองตั้งแต่ยังเด็ก โดยเฉพาะการฝึกการต่อสู้และหวังว่าจะได้เป็นอัศวินของอาณาจักร 

 

ความพยายามและพรสวรรค์ของกาเฮริสเปล่งประกายอย่างที่ไม่เคยมีใครวาดฝัน แม้แต่พ่อที่เป็นเอิร์ลเคยได้รับความดีความชอบในด้านการรบมาแล้วยังแปลกใจกับกาเฮริสที่แข็งแกร่งและไต่เต้ามาได้ถึงเพียงนี้ แต่คงเป็นโชคของตระกูลมงฟอร์ตโดยแท้ เนื่องจากทั้งบุตรทั้งสอง ไม่ว่าจะคนโตหรือคนเล็กต่างก็ไม่มีท่าทีจะแย่งชิงตำแหน่งผู้นำตระกูลแต่อย่างใด ทำให้ไม่มีการนองเลือดภายในตระกูลเกิดขึ้น กาเฮริสก็ได้เดินบนเส้นทางที่ตนใฝ่ฝันและเชื่อมั่น หากแต่เวลานี้คนไม่ได้อารมณ์ดีสักเท่าไหร่ 

 

” หา !? ตาแก่นั้นสถานการณ์แบบนี้ยังออกไปนอกเมืองหลวงอีกงั้นเหรอ !! ” กาเฮริสหัวเสียกับนิสัยที่คาดเดาไม่ได้ของเมอร์ริอาร์ โดยธรรมชาติแล้วนิสัยของทั้งคู่เรียกได้ว่า น้ำกับไฟ ก็มิปาน กาเฮริสเป็นคนที่จริงจังและเข้มงวด ในขณะที่เมอร์ริอาร์นั้น เฉือยชา ขี้เกียจ และทำตัวสบาย ๆ อยู่ตลอด 

 

” นี่ ! แล้วเจ้าตาแก่นั่นไปที่ไหน ! ” กาเฮริสได้แต่ตะคอกถามหนุ่มนักเวทย์ที่นำทางมา จนหนุ่มนักเวทย์คนนั้นหน้าซีดอย่างกับไก่ต้ม

 

” ขะ-ข้าเองก็ไม่ทราบครับ ทราบเพียงว่าออกไปนอกเมืองหลวงเท่านั้น ” คำรายงานที่ทำให้กาเฮริสผิดหวังอีกครั้ง แต่แล้วคนที่ต้องรับผลกรรมนั้นคงหนีไม่พ้นหนุ่มนักเวทย์

 

” เวรเอ้ย ! เจ้าแก่นั่น จะไปไหนมาไหนก็ไม่บอกคนอื่นบ้างหรือไง !! ” กาเฮริสที่โมโหสุดขีดได้แต่สบทแล้วเดินจากไป จากห้องของเมอร์ริอาร์ หนุ่มนักเวทย์ที่นำทางมาแสดงสีหน้าโล่งใจอย่างถึงที่สุด เพราะคิดว่าตนจะต้องโดนกระทืบซะแล้ว 

 

กาเฮริสที่ตอนนี้มีเรื่องเร่งด่วนที่จะต้องปรึกษาหารือกับเมอร์ริอาร์เกี่ยวกับการรับมือการอาละวาดของมอนสเตอร์ที่ป้อมปราการเดธวอลเลย์ จากรายงานที่กาเฮริสทราบผ่านทางการรายงานด้วยม้าเร็วเมื่อวานนี้ทำให้รู้ว่ามอนสเตอร์เกิดการอาละวาดและจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างผิดปกติ จากการประเมิณคร่าว ๆ คาดว่ามีจำนวนมากกว่า 500 ตัว ถ้าหากมอนสเตอร์จำนวนขนาดนั้นบุกมาทีเดียวละก็ป้อมปราการเดธวอลเลย์ได้ถูกทำลายเป็นแน่ 

 

” อ้าว นั้นมันท่านแม่ทัพกาเฮริสไม่ใช่หรือขอรับ ” ในระหว่างที่กาเฮริสเดินครุ่นคิดอยู่นั้นเสียงที่ดูขี้เล่นและเจ้าเล่ห์ก็ได้ทักขึ้นจากข้างหลัง ภาพที่เห็นคือขุนขางวัยกลางคนที่เดินออกมาจากเสาของขนาดใหญ่ของปราสาทข้างหลังตน ใบหน้าที่ดูมีชีวิตชีวา และร้อยยิ่มที่ย้อมไปความน่ากังขา ที่มองดูแล้วไม่อยากจะเข้าใกล้เท่าไหร่ ชุดผู้ดีสมกับฐานะขุนนางสีเขียวแก่ประดับอย่างประณีต 

 

” ท่านมาร์ควิสเนวิลล์ มีธุระอะไรกับข้าหรือ ” กาเฮริสเอ่ยถามกลับไปอย่างไม่ค่อยถูกชะตา 

 

” แหม อะไรกัน พอดีว่าข้าได้ยินข่าวเรื่องที่มอนสเตอร์กำลังจะอาละวาดที่ป้อมปราการเดธวอลเลย์ข้าก็อยากจะช่วยเท่านั้นเอง ” เนวิลล์ตอบกลับพร้อมรอยยิ้มที่พยายามจะเป็นมิตรด้วยอย่างเต็มที่ เสียแต่ว่ากาเฮริสไม่คิดจะผูกมิตรด้วยเลย 

 

” แล้วท่านจะช่วยอะไรได้งั้นหรือ ” กาเฮริสถามตรง ๆ แฝงไปด้วยคำดูถูกและหยั่งเชิง แต่เนวิลล์กลับแสดงยอมริ้มกว้างกว่าเดิมยังกับดีใจที่ถูกถาม 

 

” คงไม่ใช่เรื่องที่ข้าจะไปช่วยท่านสู้หรอกนะ เพียงแต่จะให้ข้อมูลก็เท่านั้น ” เนวิลล์ที่ยกมือสองข้างเหมือนขอยอมแพ้แล้วพูดในสิ่งที่ตนต้องการอย่างไม่ปิดบัง กาเฮริสเห็นว่ามีค่าพอที่จะฟังจึงเงียบรอให้เนวิลล์พูดต่อ 

 

” ข้าได้ข้อมูลมาจากชาวบ้านที่เป็นแหล่งข้อมูลของข้าว่า เมื่อไม่กี่วันก่อนมีเทพธิดาที่มีพลังมหาศาลอาศัยอยู่ในป่าใกล้กับภูเขามัวริส ” กาเฮริสกระตุกคิ้วทันทีที่ได้ยิน เพราะไม่คิดว่าเรื่องที่เนวิลล์จะเป็นอะไรที่บ้าบอขนาดนี้ 

 

” ธุระของท่านคือการที่เล่าเรื่องไร้สาระแบบนี้น่ะหรือ ” กาเฮริสที่ไม่สบอารมณ์แสดงออกทางสีหน้าอย่างเด่นชัด ถึงความไม่พอใจและกล่าวถามไปอย่างเหลืออดก่อนจะหันหลังเริ่มเดินออกไป 

 

” ท่านกาเฮริสไม่คิดบ้างหรือว่าท่านเมอร์ริอาร์อาจจะไปหาเทพธิดานั่นก็ได้น่ะ ” เนวิลล์ที่เหมือนจะจี้จุดได้ตรงเป้าทำให้กาเฮริสที่เดินไปได้ไม่กี่ก้าวหยุดเดินและเหลียวหลังมามองเนวิลล์ สิ่งที่มาร์ควิสวัยกลางคนคนนี้พูดไม่เกินกว่าความเป็นจริง เมอร์ริอาร์เป็นคนที่คาดเดาไม่ได้ และจะสนใจเฉพาะเรื่องที่ตนสนใจเท่านั้น ถ้าหากเป็นเรื่องนี้ล่ะก็ ก็คงพอจะให้เมอร์ริอาร์เคลื่อนไหวได้ เนวิลล์ที่รู้นิสัยเมอร์ริอาร์เช่นเดียวกับกาเฮริสใช้ประโยชน์จากจุดนี้ในการยื้อกาเฮริสไว้ 

 

” ท่านจะไม่เชื่อข้าก็ไม่ว่าหรอกนะ เพราะยังไงข้าก็เพียงแค่ให้ข้อมูลที่ข้ามีอยู่ก็เท่านั้น ” เนวิลล์พูดกลางทำมือเหมือนขอไปที พร้อมกับยิ้มกวนประสาทใส่กาเฮริสที่ตอนนี้อยู่ในห้วงแห่งความคิด 

 

” เอาเป็นว่าขอให้ท่านโชคดีนะ ท่านแม่ทัพ ” มาร์ควิสเนวิลล์ว่าแล้วก็หันหลังเดินไปทิศตรงกันข้ามกับกาเฮริส ปล่อยให้กาเฮริสไว้กับข้อมูลที่ไม่รู้ว่าจะเชื่อถือได้มากน้อยแค่ไหน พร้อมกับคำอวยพรที่ดูไม่ค่อยอยากจะรับสักเท่าไหร่นัก 

 

กาเฮริสมองตามหลังของมาควิสเนวิลล์ที่เดินจากไปอย่างช้า ๆ ภายในหัวที่เต็มเปี่ยมไปด้วยข้อกังขาต่าง ๆ มากมายถาโถมเข้ามาโดยไม่มีหยุดพัก ไม่นานกาเฮริสก็ส่ายหัวเป็นเชิงยอมแพ้ให้กับความเหน็ดเหนื่อยกับท่าทีกวนประสาทของเนวิลล์

 

” ช่างเป็นขุนนางที่กวนประสาทจริง ๆ ” 

.

.

.

 

นับเป็นเรื่องที่เหนื่อยที่สุดตั้งแต่ที่ฉันได้มาถึงโลกนี้เลยก็ว่าได้ค่ะ … ไม่รู้ทำไมและเมื่อไหร่ที่ฉันสามารถนั่งสงบจิตสงบใจอยู่บนโซฟาอยู่ในบ้านตัวเองหลังจากเกิดเหตุการณ์ของการกำเนิดลัทธิบูชาฉันเกิดขึ้นค่ะ บอกตามตรงว่าเหนื่อยสุด ๆ ไปเลยค่ะ ต้องขอบคุณ คุณโยฮันและคุณลุคที่ช่วยหยุดเจ้าลัทธิทั้งสองเอาไว้ไม่อย่างนั้นฉันคงยืนร้องไห้ขี้มูกโป่งตรงนั้นแน่ ๆ เลยค่ะ ดีที่แค่ซึมออกมาเฉย ๆ นะคะ 

 

ที่หนักที่สุดคือคุณปู่ที่เป็นจอมเวทย์หลวงเมอร์ริอาร์ที่บอกว่าอยากจะมารับใช้ฉัน ถึงกับจะลาออกแล้วมาอาศัยอยู่ในป่าเพื่อคอยรับใช้ฉันเลยค่ะ บอกตรง ๆ ไม่ว่าจะยืนยันหรือนอนยันก็ไม่เอาเด็ดขาดค่ะ ! ขนลุกเป็นที่สุดค่ะ ! สักวันฉันจะต้องตอบแทนคุณลุคให้ได้ค่ะ ที่ช่วยลากคุณปู่น่าขนลุกนั่นกลับไป แถมคุณปู่นั่นยังไม่วายบอกอีกว่า ‘ ไว้จะมากราบไหว้อีกนะขอรับ ! ‘ เล่นเอาปวดหัวสุด ๆ เลยค่ะ

 

อีกคนที่ฉันต้องตอบแทนให้ได้คือคุณโยฮันที่ช่วยหยุดจูน่าจังและคุณวิเวียน ไม่อย่างนั้นคงได้เห็นแม่ลูกศาสดาลัทธิอะไรก็ไม่รู้แน่นอนค่ะ ถึงตอนนี้ยังไม่ต่างจากที่พูดมาก็เถอะนะคะ แต่สิ่งที่อยากจะขอบคุณจริง ๆ คือแผนที่ที่คุณโยฮันเคยสัญญาเอาไว้ต่างหากค่ะ แบบนี้ก็ทำให้รู้รายละเอียดเกี่ยวกับโลกที่ชื่อ ‘การ์เด้น’ ได้มากขึ้นแล้วค่ะ 

 

ถึงตอนนี้จะยังไม่ได้เปิดดู แต่ยังไงก็ต้องขอบคุณไว้ก่อนล่ะนะ เพราะตอนนี้สมองของฉันทำงานเกินขีดจำกัดไปกับการโดนสรรเสริญมากมายไปแล้วค่ะ ตอนนี้เลยไม่มีอารมณ์จะอ่านแผนที่หรือใช้ความคิดอะไรทั้งนั้นเลยได้แต่นอนแผ่อยู่บนโซฟาหลังจากที่พวกคุณคาเวลกับชาวบ้านกลับไปแล้วเท่านั้น 

 

” แต่อย่างน้อยก็ทำให้หมดปัญหาเรื่องฟูกนอนไปได้ละนะคะ ” พึมพำให้กับปัญหาที่สำหรับฉันตอนนี้ค้างคามานานถูกแก้ไขสักทีค่ะ ทำไมถึงบอกว่าถูกแก้ไขน่ะเหรอคะ เพราะตอนที่คุณปู่จอมเวทย์เพี้ยนคนนั้นบอกว่า ‘หากประสงค์สิ่งใดเชิญบอกมาได้เลยครับ ‘ ตอนแรกก็ปฏิเสธไปแล้วนั่นแหละค่ะ แต่คุณปู่แกตื้อสุด ๆ จนขอเครื่องนอนไปประกอบด้วยฟูก หมอน และผ้าห่ม ที่จริงก็รู้สึกเกรงใจอยู่เหมือนกันนะคะ แต่กลับได้รับคำตอบว่า ‘ เอ๊ะ ? ขอแค่นั้นจะดีเหรอครับ ‘ ซะงั้นกลับมาค่ะ 

 

เหมือนว่าคุณปู่จอมเวทย์จะเอามาให้วันหลัง แต่เอาจริง ๆ อยากให้คุณลุคเอามาให้แทนจังเลยค่ะ เพราะไม่อยากจรับมือกับคำสรรเสริญของคนแก่เพี้ยน ๆ แบบนั้นเลยค่ะ แต่แล้วก็หนีเสือปะจระเข้ เพราะคุณคาเวลหัวหน้าหมู่บ้านเชิญไปงานเลี้ยงฉลองในหมู่บ้านแทนคำขอบคุณที่ช่วยปกป้องหมู่บ้านเอาไว้ แม้จะตอบว่าไม่เป็นไร แต่ด้วยแรงกดดันจากมหาชนและสายตาคาดหวังของทั้งจูน่าจังและคุณวิเวียนเลยปฏิเสธไม่ลงเลยค่ะ 

 

งานเลี้ยงฉลองขอบคุณจะจัดขึ้นในวันพรุ่งนี้ ทำให้ฉันถูกเชิญไปยังหมู่บ้านด้วย นี่เป็นครั้งแรกเลยค่ะที่จะได้ออกจากป่าไปดูโลกภายนอก เพราะแม้แต่ตอนที่บินสำรวจก็บินวนอยู่รอบ ๆ บริเวณป่าเท่านั้น ไม่ได้ออกไปไกลกว่านั้นเลย ทำให้รู้สึกประหม่าทั้งที่ยังไม่ได้ไปเลยค่ะ แต่จูน่าจังบอกว่าไม่ใช่ทุกคนในหมู่บ้านที่เคารพศรัทธาฉันเพราะงั้นคิดว่าน่าจะเจอคนปกติที่คุยได้ง่าย ๆ ก็ได้ค่ะ ถ้าเป็นแบบนั้นน่าจะพอทำให้รู้สึกประหม่าน้อยลงก็ได้ค่ะ 

 

เหมือนจะไม่ใช่แค่นั้นค่ะ ดูเหมือนว่าน้อง ‘เฟ็นรีร์’ จะถูกจูน่าจังตั้งชื่อให้ว่า ‘ ลูลิ ‘ ให้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้แถมน้อง ‘เฟ็นรีร์’ ยังส่ายหางไปมาอย่างดีอกดีใจอีก เอาเถอะค่ะชื่อ ‘ ลูลิ ‘ ก็ไม่เลวเหมือนกัน ออกจะน่ารักดีด้วยค่ะ ส่วนตอนนี้น้องลูลิอยู่ไหนน่ะเหรอคะ เพราะว่าตัวใหญ่แบบนั้นเลยทำให้เข้ามาให้บ้านไม่ได้เลยต้องจำใจให้น้องนอนอยู่หน้าบ้าน ก็รู้สึกผิดอยู่หรอกค่ะ แต่เหมือนน้องลูลิจะไม่ได้ติดใจอะไร ไม่มีท่าทีไม่พอใจหรืออะไรเลยด้วย เป็นสัตว์อัญเชิญที่เรียกได้ว่าเชื่องเอามาก ๆ เลยค่ะ 

 

ไม่ใช่แค่เชื่อง แต่ฉลาดสุด ๆ ไปเลยค่ะเหมือนจะเข้าใจภาษาของคนด้วย แต่ที่แปลกคือปกติแล้วสัตว์อัญเชิญจะมีเวลาจำกัดในตอนสมัยอยู่ในเกม แต่เหมือนพอมาอยู่ในโลกนี้จะไม่มีเงื่อนไขนั้นเพราะตอนนี้ลูลิก็อยู่มาหลายชั่วโมงแล้วแต่ก็ไม่ได้หายไปแต่อย่างใดค่ะ ตอนนี้ยังพอเหลือเวลาก่อนพระอาทิตย์ตกดินอยู่ ลองพาลูลิไปวิ่งเล่นแถวภูเขาดูดีกว่าค่ะ 

 

เมื่อเดินเปิดประตูบ้านก็เห็นลูลิที่นั่งรออยู่เหมือนรู้ว่าฉันกำลังจะออกมาเลยค่ะ ส่ายหางไปหาอย่างน่ารักทั้งที่รูปร่างใหญ่โตแถมยังดูน่าเกรงขามแท้ ๆ แต่พอเห็นแบบนี้กลับน่ารักสุด ๆ ไปเลยค่ะ ระหว่างที่คิดเพลินอยู่นั้นลูลิก็หมอบตัวลงตัวเหมือนจะพยายามสื่อว่าให้ขี่หลัง 

 

” ให้ฉันขี่หลังเหรอ ? ” พอถามไปก็ได้รับคำตอบเป็นการหยักหน้าพร้อมกับส่ายหางไปมาอย่างแรง เหมือนกำลังดีใจอยู่ ช่างน่ารักจริง ๆ เลยค่ะ 

 

ไม่รอช้าฉันรีบขึ้นขี่หลังลูลิให้ความรู้สึกเหมือนกำลังขี่เครื่องเล่นขนาดใหญ่อยู่เลยค่ะ แต่สัมผัสการขี่คือนุ่มมาก ขนสีเงินของลูลิยาวงดงามแต่กลับนุ่มอย่างไม่น่าเชื่อ แม้ตอนที่น้วยขนว่านุ่มแล้วแต่ตอนขี่กลับนุ่มกว่าเดิมอีกค่ะ พอขึ้นนั่งเสร็จจัดท่าทางให้เข้าที่ลูลิก็ยืนขึ้นทำให้รู้ว่าสูงเอาเรื่องเลยนะคะเนี่ย ปกติแล้วลูลิสูงประมาณ 4 เมตร แล้วพอฉันที่ขึ้นมาขี่ก็รู้สึกเหมือนกำลังอยู่บนรถไฟเหาะสำหรับเด็กเลยล่ะค่ะ 

 

ทันใดนั้นภาพในวิสัยทัศน์ของฉันก็เคลื่อนที่ไปอย่างรวดเร็วจนไม่ทันตั้งตัว

 

” ว้าย !!!? ” ลูลิวิ่งด้วยความเร็วอย่างเหลือเชื่อเลยค่ะ ถ้าให้เปรียบเป็นความเร็วรถยนต์แล้วคงไม่ต่ำกว่า 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โชคดีที่ลูลิออกตัววิ่งตอนฉันกำลังเอาหน้าถูไถขนของลูลิอยู่เลยทำให้ตกไปซะก่อน แต่ก็เกือบไปเหมือนกันค่ะ ถ้าหากความเร็วระดับนี้ไม่จับไว้ให้ดีละก็มีหวังตกรถแน่ ๆ เลยค่ะ ไม่สิ ตกหมาป่าต่างหาก 

 

” ดีละ !! งั้นลูลิไปที่ภูเขามัวริสกันเลย !! ” ฉันตะโกนออกไปพร้อมกับชูมือขึ้นในขณะที่อยู่บนความเร็วสูงระดับรถซูเปอร์คาร์ที่ชื่อว่าลูลินั่นเองค่ะ ! 

 

” อาวู๊ววว์~ !! ” ลูลิที่ตอบรับด้วยเสียงโห่ร้องอย่างแข็งขันพร้อมกับเพิ่มความเร็วที่สามารถเร่งขึ้นไปได้อีก ทำเอาฉันแปลกใจเลยทีเดียวค่ะ แบบนี้คงใช้เวลาไม่ถึง 5 นาทีคงจะถึงภูเขามัวริสแน่ ๆ 

 

รู้สึกสนุก ๆ สุด ๆ ไปเลยค่ะ แบบนี้จะเป็นยังไงต่อนะ …

.

.

.

.

(ทางฝั่งเมอร์ริอาร์และลุค) 

 

ภาพความทรงจำที่ไม่เคยมีวันลืมเลือนแม้ว่าตนจะแก่ชราขึ้นเพียงใด ภาพที่ตอนเด็กคุณแม่เอาให้ดูยังจำได้ไม่มีวันลืม ภาพของเอลฟ์ผมขาวอันงดงามบริสุทธิ์ดั่งแพรไหม ดวงตาสีน้ำเงินฟ้าเปรียบดั่งอัญมนี sapphire บวกกับสีของน้ำทะเลอันอุดมสมบูรณ์ แม้จะเป็นตำนานเล่าขานหรือเรื่องเล่าที่หลายคนบอกว่าไร้สาระ แต่กับเมอร์ริอาร์ผู้ที่มีภาพจำที่นั่งอ่านหนังสือกับคุณแม่ในวัยเด็กในตอนนั้นกลับมีความเชื่อเต็มเปี่ยมใจหัวใจที่ไม่เคยลดลง

 

แต่ถึงแม้ว่าจะมีความเชื่ออย่างเต็มเปี่ยมในหัวใจแต่ก็ไม่เคยคาดหวังมาในช่วงชีวิตของตนเองนั้นจะได้พบกับสิ่งที่เห็นกับคุณแม่ในนั้นวัน เป็นเพียงสิ่งที่เชื่อว่ามีอยู่จริงเพียงแต่ไม่มีวันจะได้เห็นหรือสัมผัสแต่ ณ เวลานี้สิ่งที่ไม่เคยคาดหวังไม่สิ ความหวังที่เคยทิ้งไปแล้วกลับมาอยู่ตรงหน้า ภาพวาดในตอนนั้นกำลังปรากฏเด่นชัดห่างออกไปเพียงไม่กี่เมตรต่อหน้าของเมอร์ริอาร์ 

 

ความรู้สึกตื้นตันที่หลั่งไหลออกมา ความรู้สึกยินดีพรั่งพรูออกมาอย่างที่ในช่วงชีวิตที่ได้รับใช้อาณาจักรมาอย่างยาวนานไม่เคยได้สัมผัส แม้กระทั่งในตอนที่ตนได้รับการยอมรับเป็นจอมเวทย์หลวงของราชสำนักมีชื่อเสียงโด่งดังก็ไม่อาจทำให้เมอร์ริอาร์มีความรู้สึกยินดีเฉกเช่นนี้ 

 

” เอ๊ะ ทะ-ท่านเมอร์ริอาร์ เป็นอะไรไปครับ ” ในระหว่างที่ชาวบ้านทุกคนกำลังยกย่องสรรเสริญพร้อมทั้งขอบคุณเทพธิดาที่ชื่อโนเอลอยู่นั้น ลุคที่สังเกตเห็นเมอร์ริอาร์ที่อยู่ข้างตนตัวสั่นพลางก้มหน้าลงอยากที่ไม่เคยเห็นมาก่อน จึงได้ทักถามอย่างเป็นห่วงและทันใดนั้น ไม้เท้าเวทมนตร์ที่เมอร์ริอาร์ใช้เป็นอาวุธและไม้ค้ำสำหรับคนแก่ก็ล้มตกพื้นเหมือนไม่มีคนค้ำอีกต่อไป 

 

” ขะ-ข้าไม่เคยนึกไม่เคยฟันมาก่อนเลยจริง ๆ ว่าชีวิตนี้ข้าจะได้เห็นท่านผู้นั้น ” ลุคได้ยินเสียงเมอร์ริอาร์ที่พูดด้วยเสียงสั่นเครือ จึงเงยหน้าขึ้นหลังจากมองไม้เท้าที่ล่วงตกลงพื้นไป สิ่งที่พบนั้นทำให้ลุคถึงกับต้องประหลาดใจถึงกับเก็บอาการไม่อยู่ด้วยทีเดียว 

 

ใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาที่ไหลอาบแก้มอย่างกับน้ำพุ รอยยิ้มที่สื่อถึงความปีติยินดีจนแสดงออกทางสีหน้าอย่างชัดเจนไม่ว่าผู้ใดมองก็ต้องเห็นเป็นภาพเดียวกัน ลุคที่ได้ทำงานร่วมกับเมอร์ริอาร์มานานไม่เคยนึกไม่เคยฝันว่าจะเห็นเมอร์ริอาร์เป็นแบบนี้ ความตกใจปนความสงสัยทำให้ลุคถึงกับตัวสั่นด้วยความหวาดระแวงและถามเมอร์ริอาร์ 

 

” ทะ-ท่านเมอร์ริอาร์ ! เป็นอะไรไปครับ เกิดอะไรขึ้นครับ ! ” ลุคขึ้นเสียงถามเมอร์ริอาร์ที่เอาแต่น้ำตาไหลยืนยิ้มด้วยความปีติยินดี 

 

” ลุคเอ๋ย ข้าได้พบแล้ว ในที่สุดข้าก็ได็พบเข้าแล้ว สิ่งที่ข้าอยากจะเห็น สิ่งที่ข้าเคยได้แต่ฟังจากแม่ของข้า ในที่สุดข้าก็พบแล้วล่ะลุค !! ” เมอร์ริอาร์โผล่เข้ามาพูดทั้งน้ำตาและเขย่าตัวลุคอย่างรุนแรง เหมือนตอนที่ขี่ไวเวิร์นด้วยความเร็วสูงแล้วเจอลมปะทะอย่างแรงไม่มีผิด 

 

” ใจเย็น ๆ ก่อนครับท่านเมอร์ริอาร์ ท่านพูดเรื่องอะไรกันแน่ ” ลุคที่ฟังเท่าไหร่ก็ไม่เข้าใจ พยายามอย่างถึงที่สุดที่จะให้ตาเฒ่าจอมเวทย์ข้าง ๆ ตนสงบสติอารมณ์ 

 

” ท่านโนเอลร่าไง ! เหมือนมาก เหมือนในหนังสือเล่มนั้นเลย ! ” เมอร์ริอาร์ยังพูดจาไม่รู้เรื่องอยู่ดี ทำให้ลุคได้แต่หันไปมองโนเอลร่า สำหรับลุคแล้วตัวตนของโนเอลร่าตอนนี้ยังคลุมเครือ แต่สิ่งที่ลุคแน่ใจตอนนี้คือสุภาพสตรีที่ชื่อว่าโนเอลร่าที่อยู่ตรงหน้าห่างจากลุคไปไม่ไกลนั้นมีพลังอย่างเหลือล้น เกินขอบเขตที่มนุษย์จะเข้าใจได้ น่าจะแข็งแกร่งกว่าทั้งตนและเมอร์ริอาร์ที่ได้ชื่อว่าจอมเวทย์หลวงแห่งราชสำนักที่เก่งที่สุดในประวัติศาสตร์ 

 

” นะ-หนังสืออะไรครับ ท่านพูดอะไรข้าไม่เข้าใจ ” ในเมื่อเหมือนจะคุยไม่รู้เรื่องสิ่งที่ลุคทำได้มีเพียงแต่รอให้เมอร์ริอาร์ใจเย็นลงเท่านั้น และแล้วในที่สุดเมอร์ริอาร์ก็หยุดเขย่าลุคเหมือนเจ้าตัวจะตั้งสติได้และพูดขึ้นอีกครั้ง

 

” เมื่อสมัยที่ข้ายังเด็ก แม่ของข้าที่เป็นเอลฟ์ได้พาข้าที่ยังเล็กอ่านหนังสือภาพก่อนจะเข้านอน หนังสือภาพนั้นเป็นเรื่องเล่าเกี่ยวกับตัวตนที่อยู่บนจุดสูงสุดของเผ่าเอลฟ์ ตัวตนที่เทียบได้กับเทพธิดาที่จุติมายังโลก เอลฟ์ผู้สูงส่งและมีพลังอำนาจเหนือจินตนาการ ” เมอร์ริอาร์ที่เล่าเรื่องให้ลุคฟังในขณะที่ยังน้ำตาไหลอาบแก้มไม่หยุด 

 

” รูปร่างและลักษณะของเอลฟ์ที่ข้าได้เห็นในสมุดภาพนั้นยังอยู่ในความทรงจำของข้าโดยไม่มีวันลืม ผมสีขาวยาวที่ส่องประกายดุจแพรไหมที่ต้องแสงจันทร์ กับดวงตาสีน้ำเงินเปรียบดังท้องทะเลที่ราวกับจะจ้องทะลุไปยังจิตใจของผู้คน และพลังที่มนุษย์หรือปีศาจไม่อาจเทียบเคียง ทั้งหมดนั้นข้าได้จำมันทั้งหมด ทุกรายละเอียด ” ลุคที่ฟังเมอร์ริอาร์บรรยายถึงรูปลักษณ์ของเอลฟ์ในหนังสือที่เมอร์ริอาร์เคยอ่าน พลางมองเปรียบเทียบกับโนเอลร่าที่ตอนนี้กำลังทำสีหน้าที่คาดเดาไม่ออก หากเปรียบเทียบคำพูดที่เมอร์ริอาร์เล่ามากับโนเอลร่าแล้วละก็คงจะบอกได้ว่านี่คือตัวตนที่อยู่ในหนังสืออย่างแน่นอน ทั้งความงดงามที่ดูราวกับเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทั้งพลังที่เป็นต้นเหตุให้พวกตนต้องมาตรวจสอบด้วยตัวเอง ทั้งหมดนั้นสอดคล้องกับสิ่งที่เมอร์ริอาร์เล่าทั้งหมด 

 

” และตัวตนของรูปร่างของความงดงามและสูงส่งนั้นก็คือ ไฮเอลฟ์ ยังล่ะ ข้าตั้งแต่ที่เติบโตมาได้แต่คาดหวังอย่างลม ๆ แล้ง ๆ ว่าสักวันข้าอยากจะเจอตัวตนที่อยู่ในหนังสือภาพที่แม่ข้าเล่าให้ฟัง ทั้งยังเป็นตัวตนที่เผ่าเอลฟ์ทั้งหมดให้การเคารพนับถือดุจเทพเจ้าของเหล่าเอลฟ์ ข้าที่เป็นครึ่งเอลฟ์นั้นได้แต่เฝ้ารอและในเวลาที่ตัวเองแก่ชราข้าก็ได้เลิกหวังเพราะคิดว่าตนอยู่ได้อีกไม่นาน อย่างน้อยที่สุดก็ขอจดจำภาพในหนังสือนั่นแล้วตายอย่างสงบเมื่อถึงเวลา แต่ว่าตอนนี้ ! ตอนนี้ท่านผู้นั้นอยู่ตรงหน้าข้าแล้ว ! ลุคเจ้าเข้าใจหรือเปล่าในที่สุดความหวังที่ข้ารอมาเนิ่นนานสุดท้ายข้าก็ได้เจอแล้ว !! ” 

 

เมอร์ริอาร์ที่พูดอย่างหนักแน่นและตื่นเต้นพร้อมทั้งน้ำตาเขย่าตัวลุคอีกรอบ ลุคได้แต่เอือมระอาแต่ก็พอจะเข้าใจอยู่บ้าง ตาแก่คนนี้ ณ เวลานี้แสดงความเป็นเด็กออกมาอย่างชัดเจน ตัวตนด้านนี้ของเมอร์ริอาร์ที่ลุคไม่คิดว่าจะมีวันได้เห็น  ทำให้ในใจแอบรู้สึกเอ็นดูเมอร์ริอาร์อยู่นิดหน่อย 

 

” ตอนนี้ข้าอยากจะรับใช้ท่านผู้นั้น ” เอ๊ะ ? เสียงพูดแสดงความต้องการของเมอร์ริอาร์ปลุกลุคตื่นขึ้นจากผวัง แต่ตอนนั้นเมอร์ริอาร์ก็ได้วิ่งดุ่ม ๆ อย่างราดเร็ว เข้าไปหาโนเอลร่าแล้ว 

 

” ดะ-เดี๋ยวก่อนสิครับ ท่านเมอร์ริอาร์ ! ” ลุครีบเข้าตามเมอร์ริอาร์ที่สับขาวิ่งสี่คูณร้อย ไปอย่างเร็ว 

.

.

.

 

นะ-นี่มันเรื่องอะไรงั้นเหรอคะ ? ฉันไปปราบมังกรเพื่อช่วยหมู่บ้านตอนไหนกันล่ะคะเนี่ย ฉันจำได้แค่ว่าพอใช้เวทย์        ‘ ดาราสวรรค์เพลิงศักดิ์สิทธิ์ ‘ ขึ้นไปบนฟ้าเสร็จก็ก้มหน้าใส่มือตัวเองทันทีเพราะคำร่ายสุดจูนิเบียวนั้น ด้วยจังหวะที่ยังอายอยู่ฉันเลยไม่ได้ดูตอนที่มันระเบิดว่ามีมังกรอยู่ตรงนั้นจริงหรือเปล่า แต่ถ้าหากมีมังกรจริงฉันก็คงหาคำตอบไม่ได้แล้วล่ะค่ะ เพราะไม่แน่ว่ามังกรอาจจะเป็นผุยผงไปแล้วก็ได้ เพราะ ‘ ดาราสวรรค์เพลิงศักดิ์สิทธิ์ ‘ นั้นเป็นสกิลเวทย์ระดับสูงสุดของสายอาชีพ ‘นักปราชญ์เทวะ’ ของฉันค่ะ 

 

ความรุนแรงสมัยตอนอยู่ในเกมฉันจำได้ว่าตอนสงครามแย่งชิงพื้นที่ระหว่างกิล ตอนนั้นกิลของฉันที่เป็นกิลที่ครอบครองปราสาทโบราณในแผนที่มหาทวีปมากาเรีย ถูกกิลใหญ่รุมถึง 3 กิลพร้อมกันในครั้งเดียวแต่ด้วยเวทย์ ‘ ดาราสวรรค์เพลิงศักดิ์สิทธิ์ ‘ ของฉันที่โจมตีออกไปทำให้ผู้เล่นที่มีเลเวลเฉลี่ยตั้งแต่ 500-700 จำนวนกว่า 196 คน ตายไม่เหลือซากทันทีเลยค่ะ 

 

แต่ดูเหมือน ‘ ดาราสวรรค์เพลิงศักดิ์สิทธิ์ ‘ ที่ฉันร่ายตอนอยู่บนโลกนี้จะมีความรุนแรงกว่าในเกมมากเลยค่ะ คาดเดาจากความกว้างของรัศมีระเบิดและแรงระเบิดที่ส่งผลกระทบมายังพื้นโลกก็เดาได้คร่าว ๆ แล้วล่ะค่ะ ยังสามารถยืนยันได้จากสกิลสนับสนุนอื่น ๆ ที่ให้ประสิทธิภาพดีกว่าในเกมก็เช่นเดียวกันค่ะ ไม่ใช่แค่นั้น น้อง ‘เฟ็นรีร์’ ก็คิดว่าน่าจะพัฒนามากกว่าตอนที่เรียกในเกมแน่ ๆ เลยค่ะเพราะดึง MP ไปราว ๆ 60 % ทั้งที่ตอนอยู่ในเกมดึงไปเพียงแค่ 15 % เท่านั้นทำให้คิดว่าน้อง ‘เฟ็นรีร์’ ตอนนี้น่าจะเลเวลประมาณ 700-800 โดยประมาณ ถือว่าเยอะกว่าในเกม 2.5 เท่าได้เลยค่ะ 

 

เอาเป็นว่าช่างเรื่องสกิลทั้งหลายนั้นไว้ก่อนดีกว่าค่ะ ตอนนี้ฉันไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงกับสถานการณ์ตรงหน้านี้ดี ดูเหมือนชาวบ้านจะเข้าใจผิดว่าฉันปราบมังกรเพราะช่วยหมู่บ้าน แต่จริง ๆ แล้วฉันไม่รู้เรื่องเลยค่ะ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีมังกรบินผ่านมาทางนั้น ความอายกับคำร่ายแสนจะจูนิเบียวทำให้ฉันไม่รู้ว่ามีอะไรบนท้องฟ้าในระหว่างระเบิด ตะ-แต่ว่า ไหน ๆ มันก็ปูมาทางนี้แล้ว งั้นก็ตามไปให้สุดเลยแล้วกันค่ะ ! 

 

” อะ-เอ่อ คือว่าไม่ต้องคิดมากหรอกนะคะ ฉันแค่เห็นมังกรมันค่อนข้างอันตรายก็เลยจัดการไปเท่านั้นเองค่ะ ” อย่างน้อยที่สุดต้องแก้ไขความเข้าใจผิดที่ช่วยหมู่บ้านไว้ก่อนค่ะ ให้เรื่องมันประมาณว่าเป็นเหตุบังเอิญอะไรแบบนั้น ใช่ค่ะ ! แผนนี้แหละค่ะ ! รับรองว่าได้ผลแน่นอนค่ะ ! 

 

” โอ้วว ! ท่านโนเอลกำลังจะบอกว่าแค่มังกรระดับนั้นไม่คณามือท่านโนเอลเลยสินะครับ สมแล้วจริง ๆ ” คุณคาเวลเมื่อได้ยินฉันพูดแบบนั้นก็ทำตาลุกวาว และตอบกลับมาด้วยความเคารพสรรเสริญยิ่งกว่าเดิม 

 

” สุดยอดจริง ๆ เลยค่ะ ถ้าเป็นท่านโนเอลละก็มังกรระดับนั้นก็เป็นได้แค่จิ้งเหลนสำหรับท่านโนเอลสินะคะ !! ” คุณวิเวียนที่นั่งคุกเข่าอยู่ข้างหลังฉันก็ผสมโรงไปกับเขาด้วย แถมยังกุมมือไว้ราวกับกำลังอธิษฐานต่อเทพธิดาอยู่เลยล่ะค่ะ 

 

” ใช่แล้วล่ะค่ะ !! ท่านโนเอลคือเทพธิดาผู้แข็งแกร่งที่สุดในโลก แค่คุณจิ้งเหลนบินได้แบบนั้นท่านโนเอลแค่เป่าทีเดียวก็หายไปกับตาแล้วล่ะค่ะ !!! ” ยังไม่วายเจ้าลัทธิตัวน้อย จูน่าจังที่ยืดอกภาคภูมิใจในตัวของฉันอย่างสุดฤทธิ์ เอ่อแล้วก็จูน่าจัง ไม่มีตัวตนที่แค่เป่าทีเดียวแล้วมังกรจะสลายหายไปได้หรอกนะคะ !! แบบนั้นมันคงมีแต่พระเจ้าแล้วล่ะค่ะ !! 

 

” ดะ-เดี๋ยวก่อนสิคะทุกคน นั้นอาจจะเป็นแค่ลูกมังกรก็ได้นะคะ อาจจะไม่ใช่มังกรตัวเต็มวัยก็ได้นะคะ ! เพราะถ้าหากเป็นมังกรเต็มวัยจริงๆ ฉันคงสู้ไม่ได้หรอกใช่ไหมล่ะคะ แฮะ ๆ ” ฉันที่พยายามจะเบี่ยงประเด็นเพื่อให้ความเข้าใจผิด ๆ นี่ลดลงโดยเร็วที่สุดค่ะ ไม่งั้นได้เกิดข่าวลือแปลก ๆ ไปทั่วแน่ ๆ เลยค่ะ ! 

 

” ไม่หรอกครับท่านเทพธิดาโนเอล ต่อให้เป็นลูกของมังกรจริงก็ไม่มีทางที่จะโดนเวทมนตร์แค่ครั้งเดียวแล้วสลายเป็นผุยผงได้หรอกครับ !! ” เอ๊ะ ฉันหันไปตามเสียงที่หักลบคำชี้แจงของฉัน เป็นคุณปู่ที่ยืนสั่นอยู่ข้างหลังคนนั้นนั่นเองค่ะ แล้วทำไมคุณปู่คนนี้ถึงร้องไห้ขี้มูกโป่งมาแบบนี้ล่ะคะ ? เอ๊ะ ! ฉันไปทำอะไรให้หรือเปล่าคะ ? หรือว่ามีคนด่าว่าตาแก่เพี้ยน ๆ หรือเปล่าคะ ? 

 

” อะ-เอ่อ ปะ-เป็นอะไรทำไมร้องไห้ขนาดนั้นล่ะคะ ” ฉันที่อดสงสัยไม่ได้เลยถามคุณปู่คนนี้ไปตรง ๆ และทันใดนั้นชายหนุ่มที่อยู่กับคุณปู่ข้างหลังตอนนั้นก็วิ่งมาสมทบกับคุณปู่พอดีเลยค่ะ 

 

” ทะ-ท่านเมอร์ริอาร์ หยุดทำอะไรบ้า ๆ ได้แล้วครับ ! ” ชายหนุ่มเมื่อวิ่งมาถึงก็ตำหนิใส่คุณปู่ที่กำลังร้องไห้น้ำตาไหลอาบแก้มอยู่ อย่าบอกนะว่าโดนหนุ่มคนนี้ดุเอาหรือเปล่านะคะ ? จะว่าไปก็มีนะคะเนี่ย คุณปู่ที่โดนหลานดุใส่แล้วไม่สนใจก็จะร้องไห้งอนเป็นเด็ก 

 

” เงียบซะ !! ข้าตัดสินใจแล้วว่าจะเป็นข้ารับใช้ของท่านเทพธิดาโนเอลน่ะ ! ” เอ๋ ?  เมื่อกี้ว่าไงนะคะ ? ข้ารับใช้งั้นเหรอคะ ไหงคุณปู่เพี้ยน ๆ คนนี้ถึงพูดว่าจะมาเป็นข้ารับใช้ให้ฉันกันละคะเนี่ย !!! (โนเอลหน้าตายไปสะแล้ว) 

 

” ช่วยอย่าพูดอะไรเอาแต่ใจได้ไหมครับ ท่านเป็นถึงจอมเวทย์หลวงของราชสำนักอาณาจักรแอนวอลเลล์เลยนะครับ !! ” 

 

” ” เอ๋ !!! ? ” ” ไม่ใช่แค่ฉันเท่านั้นค่ะ แม้กระทั่งคุณคาเวล และชาวบ้านคนอื่น ๆ ที่กำลังนั่งคุกข่าวกันอยู่ก็พากันตรงใจกับสิ่งที่เด็กหนุ่มคนนี้พูดออกมา 

 

อะไรนะคะ !? คุณปู่ที่ท่าทางเพี้ยน ๆ คนนี้ แถมยังร้องไห้ขี้มูกโป่งคนนี้น่ะเหรอคะ จอมเวทย์หลวงของอาณาจักรน่ะ แล้วไหงจอมเวทย์หลวงของอาณาจักรมาขอรับใช้ฉันได้ล่ะคะเนี่ย !! 

 

” ระ-หรือว่า ท่านคือจอมเวทย์หลวงเมอร์ริอาร์ผู้ได้ชื่อว่าจอมเวทย์ที่แข็งแกร่งและทรงปัญญาที่สุดในประวัติศาสตร์ของแอนวอลเลล์งั้นเหรอครับ !! ” หนุ่มผู้ช่วยของคาเวล บาคัส เอ่ยถามออกมาอย่างตกใจ 

 

” ใช่แล้ว ” เอาจริงเหรอคะเนี่ย ! คุณปู่คนนี้เนี่ยนะ ! ผู้ทรงปัญญาที่สุดในประวัติศาสตร์ของอาณาจักรแอนวอลเลล์ แต่เมื่อกี้ร้องไห้ขี้มูกโป่งเลยนะคะ น้ำลายไหลด้วยนะคะ แถมยัง เอาเสื้อเช็ดน้ำมูกตัวเองด้วยนะคะ ! 

 

” แต่ว่าเรื่องนั้นไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้ช่วงชีวิตที่เหลือของข้าจะรับใช้ท่านโนเอล ! ”  ไม่คะ ๆๆๆๆๆ !!! ขอปฏิเสธค่ะ  เกรงใจสุด ๆ ไปเลยค่ะ !! ช่วยกลับไปให้ไวเลยค่ะ ! 

 

” ทุกท่าน ! ข้าเมอร์ริอาร์แม้จะเป็นจอมเวทย์หลวงของอาณาจักร แต่ว่าตั้งแต่พริบตาแรกที่ข้าเห็นท่านโนเอลก็รู้ได้ทันที ว่าตนเองไม่อาจเทียบกับท่านเทพธิดาโนเอลได้แม้แต่น้อย ไม่ว่าจะวิชาความรู้ เวทมนตร์ สติปัญญา ท่านโนเอลเหลือล้ำกว่าข้ามาก ดังนั้นทุกท่านจงสรรเสริญแด่ท่านเทพธิดาโนเอลเถิด !! นี่คือคำยืนยันจากจอมเวทย์หลวงแห่งอาณาจักร !!!! ” 

 

” ” โอ้ววว !!!!!! ” ”  

 

… นี่มันเกิดอะไรขึ้นอีกแล้วคะเนี่ย ไหงจู่ ๆ ก็มีคุณปู่ร้องไห้ขี้มูกโป่งเข้ามา แถมคุณปู่คนนั้นยังเป็นจอมเวทย์หลวงของอาณาจักรอีก และก็ยังยกย่องฉันโดยเอาตัวเองมาเปรียบเทียบตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ค่ะ แถมยังทำตัวเป็นเจ้าลัทธิคนที่สองต่อจากจูน่าจังอีกด้วยค่ะ 

 

ใครก็ได้ พาฉันออกไปจากตรงนี้ด้วยค่ะ 

 

” หึ ! ไม่เลวเลยนะคะคุณปู่ เห็นความสูงส่งและความยอดเยี่ยมของท่านโนเอลแบบจริงนับว่าใช้ได้เลยทีเดียวค่ะ จะให้เข้าร่วมลัทธิบูชาท่านโนเอลด้วยก็แล้วกันค่ะ ! ” จูน่าจังที่ไม่รู้ว่ามาอยู่ต่อหน้าคุณปู่เมอร์ริอาร์ตั้งแต่เมื่อไหร่กำลังยืดอกชี้นิ้วอย่างวางท่าเหมือนรุ่นพี่ที่เข้าเรียนก่อนซะงั้นค่ะ 

 

” โอ้ว !!  งั้นเหรอ ข้าขอตอบรับด้วยความยินดี แม่หนุ- ไม่สิ ต่อจากนี้ข้าจะเรียกเจ้าว่าลูกพี่หญิงก็แล้วกัน ! ”  เอ๊ะ !? อะไรนะคะ ไม่อยากจะเชื่อหูของตัวเองเลยค่ะ คุณปู่วัยใกล้จะเข้าไปอยู่กับรากมะม่วงกำลังเรียกเด็กอายุ 7 ขวบว่าลูกพี่หญิงเนี่ยนะคะ นี่มันอะไรกันคะเนี่ย !!! ยังกับฉากการ์ตูนโชเน็นที่นักเลง 2 คนต่อยกันเสร็จแล้วสาบานเป็นพี่น้องกันหรือไงคะ !! 

 

ฉันที่ยืนอ้าปากค้าง เหมือนจะเจอเพื่อนร่วมอุดมการณ์ละค่ะ เพราะที่ตรงนั้นชายหนุ่มที่มาตามคุณปู่เมอร์ริอาร์ก็กำลังอ้าปากค้างไม่ต่างจากฉัน ดูท่าคงจะลำบากไม่น้อยเลยสินะคะ เข้าใจเลยค่ะ เข้าใจหัวอกของคุณเลยค่ะ ! ไม่รู้ทำไมพอคิดแล้วน้ำตาก็ไหลซึมไหลออกมา 

 

” โอ๊ะ ! ท่านโนเอลดีใจจนถึงกับน้ำตาไหลเลยหรือนี่ ! ” 

 

” เฮ้ย ! ท่านโนเอลที่กำลังปลื้มปีติจนน้ำตาไหล ใครก็ได้เอาดินสอกับกระดาษมาเร็ว ต้องเก็บภาพนี้เอาไว้ให้ได้ !! ” 

 

” ท่านโนเอลตอบรับความจงรักภักดีของพวกเราจนถึงกับน้ำตาไหลเลย !! พวกแก ! สรรเสิญท่านโนเอลมากกว่านี้ !! ” 

 

” ” ท่านเทพธิดาโนเอล !! ” ” 

.

.

.

อยากกลับบ้านจังเลยค่ะ … งืออออ 

(ฝั่งเมอร์ริอาร์และลุค) 

 

” ท่านเมอร์ริอาร์ ไปกันได้แล้วครับ เป็นคนขอจะไปด้วยแท้ ๆ แต่ยังทำตัวอืดอาดอีกนะครับ ” เสียงบ่นของนักเวทย์หนุ่มคนสนิทของตาแก่จอมเวทย์หลวงขี้เกียจที่ดังขึ้นในโรงเตี้ยมช่วงสายที่เกือบจะเที่ยงอยู่แล้วสะท้อนกังวานอยู่ในห้องพัก ลุคซึ่งตื่นก่อนและเตรียมตัวเสร็จตั้งนานแล้ว กำลังรอเมอร์ริอาร์ที่ทำตัวขี้เกียจเฉือยฉากำลังเตรียมตัว

 

” เออ ๆ เจ้านิบ่นยังกับแม่ผัวข้างบ้านเลยนะ ” ตาแก่ที่กำลังเตรียมตัวโดยเร่งจัดแจงชุดและอุปกรณ์ของตนอย่างหยาบ ๆ พูดตอบกลับลุคที่ยืนรอที่หน้าประตูมาสักพักแล้ว 

 

” งั้นผมลงไปรอที่หน้าโรงเตี้ยมก่อนแล้วกันนะครับ เสร็จแล้วก็ช่วยรีบตามมาด้วยนะครับ ” 

 

” เออ ๆ รู้แล้วน่า ! ” เมอร์ริอาร์ตอบกลับในขณะที่เร่งแต่งตัวอย่างด่วนที่สุด

.

.

เมื่อเมอร์ริอาร์แต่งตัวเสร็จแล้วก็ลงไปสมทบกับลุคที่ยืนรออยู่ที่หน้าโรงเตี้ยมเมื่อทั้งคู่พร้อมแล้วก็เดินไปที่ทางเข้าหมู่บ้าน เนื่องจากเมื่อวานพอเมอร์ริอาร์จะขอไปหาโนเอลด้วยเลยนัดแนะกันว่าจะเจอกันที่ทางเข้าหมู่บ้าน เมื่อเดินไปที่ทางเข้าหมู่บ้านก็ได้เห็น ว่ามีคนจำนวนมากยืนรออยู่ที่หน้าหมู่บ้านก่อนแล้ว แน่นอนว่ามีทั้ง หัวหน้าหมู่บ้าน และผู้ชายวัยกลางคนที่ดูพึ่งพาได้ข้าง ๆ เหมือนผู้ช่วย และยังอื่น ๆ 

 

ในบรรดาคนที่มารวมกันอยู่หน้าหมู่บ้านไม่ได้มีแค่สองคนก่อนหน้านี้ ยังมีที่มาเป็นครอบครัวพ่อแม่ลูก ถ้าให้เดาคงจะเป็นเด็กสาวที่ได้เทพธิดาที่ชื่อโนเอลร่าช่วยเอาไว้แน่ ๆ ไม่งั้นคงไม่มีเหตุผลที่ให้เด็กต้องมาเสี่ยงเดินทางไปพบคนที่ยังไม่มีที่มาที่ไปแบบนี้ และที่อยู่ข้าง ๆ เด็กคนนั้นคงจะเป็นพ่อแม่ พ่อมีรูปร่างสมส่วนเป็นหนุ่มแข็งแรงผมสีดำ และแม่ก็ยังสาวทั้งสวยมีผมสีน้ำตาลยาว ไม่ใช่แค่ครอบครัวของเด็กคนนั้น แต่ยังมีชาวบ้านกว่าอีกประมาณ 20 คน ที่มารออยู่หน้าทางเข้าหมู่บ้าน 

 

ทั้งยังมีหญิงสาวงามที่มีผมสีฟ้าเข้มยาวสลวยไปจนเลยกลางหลัง ได้ยินมาว่าเป็นหมอเพียงคนเดียวในหมู่บ้านโคลินแห่งนี้ ก็จะขอตามไปด้วยเช่นกันดูท่าว่าการไปหาคนที่มีโนเอลร่าในครั้งนี้ดูจะวุ่นวายพอสมควรแล้วสิ เมอร์ริอาร์และลุคต่างก็คิดเช่นเดียวกัน

 

” ขอโทษที่พวกเรามาช้าครับ ” ลุคขอโทษพร้อมทั้งก้มหัว ให้กับคาเวลและเหล่าชาวบ้านที่มารออยู่ก่อนแล้วทั้งหลาย 

 

” แย่ที่สุดเลยค่ะ ! หนูน่ะอยากไปหาท่านโนเอลเร็ว ๆ แล้วนะคะ ! ” เสียงตำหนิของเด็กผู้หญิงน่ารักวัย 7 ขวบผมสีน้ำตาลอ่อนและดูร่าเริงกำลังชี้นิ้วและหน้าแดงอมแก้มป่อง ในสายตาของทุกคนตรงนั้นไม่มีใครคิดว่าเด็กผู้หญิงคนนี้เสียมารยาทกับแขกแต่กลับคิดว่า ‘น่ารักจัง’ กันทั้งนั้นแม้กระทั่งลุคและเมอร์ริอาร์ก็เช่นกัน 

 

” ฮ่า ๆ ขอโทษนะแม่หนู ยกโทษให้กับคนแก่อย่างข้าด้วยเถอะ ” เมอร์ริอาร์หัวเราะร่า พร้อมทั้งคุกเข่าให้ระดับความสูงเท่ากับเด็กสาวตัวน้อยก่อนจะลูบหัวเธอพลางขอโทษจากใจจริง เด็กสาวเมื่อได้เห็นการขอโทษจากใจจริงก็เอานิ้วที่ชี้อยู่ลงและกลับมาสงบเสงี่ยมว่านอนสอนง่าย 

 

” แม่หนูคือจูน่าจังใช่ไหม นับถือเทพธิดาที่ชื่อโนเอลมากเลยสินะ ” เมอร์ริอาร์พูดกับแม่หนูน้อยตรงหน้าอย่างเป็นมิตร เนื่องจากเห็นปฏิกิริยาของแม่หนูที่อยากจะไปพบคนที่เธอศรัทธามากเร็ว ๆ จึงได้เร่งรีบถึงขนาดนี้ 

 

” ของมันแน่อยู่แล้วค่ะ ! ท่านโนเอลน่ะทั้งงดงาม ใจดี และสุดยอดเอามาก ๆ เลยค่ะ !! ” เมื่อได้ฟังเด็กสาวตรงหน้าพูดตรงภูมิอกภูมิใจ ก็ทำให้เมอร์ริอาร์ได้แต่หัวเราะและคิดว่าช่างเป็นเด็กที่ใส่สื่อซะจริง ๆ และแล้วเหล่าคนทั้งหมดก็เดินทางเข้าไปในป่าอันมีเทพธิดาชื่อโนเอลร่าอาศัยอยู่ 

.

.

เป็นวันที่น่าเบื่อสุด ๆ ไปเลยค่ะ ตื่นตั้งแต่เช้า ‘ชะล้าง’ ร่างกายก็ออกไปเด็ดแอปเปิ้ลกินตามเดิมชีวิตปกติของฉันเป็นแบบนี้วนไปวนมาได้ 2-3 วันแล้วล่ะค่ะ เฮ้อ…อย่างน้อยถ้ามีเพื่อนเล่นบ้างหรืออยู่ด้วยล่ะก็อาจจะแก้เหงาบ้างก็ได้นะคะ อ๊ะ ! ทันใดนั้นความคิดที่ซ่อนอยู่ในหลืบของเซลล์สมองของฉันก็จุดประกายขึ้นมาทันทีเลยค่ะ 

 

ใช่แล้วฉันมีสกิลเวทย์อัญเชิญอยู่ด้วยค่ะ ! ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่อาชีพ ‘ ผู้อัญเชิญแห่งพันธสัญญา ‘ ที่มีความโดดเด่นในการอัญเชิญสัตว์มอนเตอร์ออกมาช่วยต่อสู้ หรือ ช่วยในการเคลื่อนที่ และยังอีกหลายอย่างสารพัด แต่ฉันเองก็ได้ทำเควสปลดล็อคสกิลเวทย์อัญเชิญมาเหมือนกันค่ะ สกิลที่ฉันมีคือ ‘ อัญเชิญขั้นสูง : สัตว์เวทย์มายา ‘ นับเป็นสกิลเวทย์อันเชิญระดับสูง แต่ข้อจำกัดของผู้ที่ไม่ได้มีอาชีพ ‘ ผู้อัญเชิญแห่งพันธสัญญา ‘ คือจะสามารถอัญเชิญได้เพียงหนึ่งตนเท่านั้น หากอัญเชิญอีกรอบจะทำให้สัตว์อัญเชิญก่อนหน้าหายไปทันทีค่ะ 

 

ไม่ใช่แค่เรื่องจำนวน แต่ยังใช้ปริมาณ MP มากกว่าด้วยถึง 20% ในการอัญเชิญแต่ละรอบ และเลเวลของสัตว์ที่อัญเชิญได้ก็จะน้อยกว่าผู้ที่มีอาชีพ ‘ ผู้อัญเชิญแห่งพันธสัญญา ‘ ฉันเคยได้ยินว่าผู้ที่เล่นอาชีพนี้ในแนวหน้าของเกมสามารถอัญเชิญมอนสเตอร์ที่มีเลเวล 900 ถึง 4 ตัวด้วยกัน ถ้าหากต่อสู้ PVP แบบตัวต่อตัวล่ะก็นับว่าเป็นอาชีพที่น่าจะแข็งแกร่งที่สุดในเกมเลยก็ว่าได้ค่ะ แต่น่าเสียดายที่อาชีพ ‘ ผู้อัญเชิญแห่งพันธสัญญา ‘ มีคนเล่นไม่มากนักเพราะเควสปลดล็อคสกิลค่อนข้างยุ่งยากและใช้เวลานานแถม มอนสเตอร์ที่อัญเชิญมาได้ผู้เล่นก็ต้องคอยพาไปอัพเลเวลราวกับเป็นเหมือนอีกตัวละครหนึ่งเลย อยากรู้จังเลยค่ะว่าคนที่อัญเชิญมอนสเตอร์เลเวล 900 ได้ 4 ตัวเนี่ย ถ้าจะว่างน่าดูเลยนะคะ ! 

 

ลำพังเพียงจะเก็บเลเวลตัวละครของตัวเองก็เหนื่อยจะแย่แล้ว ยังจะต้องมาเก็บเลเวลให้มอนสเตอร์ที่อัญเชิญออกมาอีก ไม่ไหวค่ะ สำหรับฉันไม่ไหวจริง ๆ ค่ะ ฉันที่มีสกิล ‘ อัญเชิญขั้นสูง : สัตว์เวทย์มายา ‘ แต่เลเวลของสัตว์เวทย์ของฉันก็แค่ประมาณ 300 เท่านั้นเองค่ะ แน่นอนว่ามีสกิลนี้ไม่ใช่เพื่อจะเอาไว้ช่วยสู้หรืออะไร แต่เพราะแค่รู้สึกเหงาเลยอยากได้สกิลอัญเชิญไว้จะได้มีเพื่อนเท่านั้นแหละค่ะ  เอ๊ะ ! ฉะ-ฉันไม่ใช่คนเพื่อนไม่คบนะคะ ! เอาล่ะมาเริ่มกันดีกว่าค่ะ

 

เมื่อคิดแล้วก็ลงมือทำกันเลยเถอะค่ะ ฉันรีบวิ่งออกมาข้างนอกบ้านต้นไม้ และเริ่มร่ายเวทย์ทันที 

” อัญเชิญขั้นสูง : สัตว์เวทย์มายา ” ปรากฏเวทย์วงสีฟ้าอ่อนบนพื้นขนาดใหญ่รัศมีประมาณ 5 เมตรเห็นจะได้ค่ะ วงเวทย์ค่อยเปล่งแสงเจิศจ้า ก่อนที่อณูของแสงของพลังเวทย์ของฉันจะรวมตัวกันและห่อหุ้มเป็นร่างรูปขึ้นมา 

 

รูปร่างสูงใหญ่ มีขาสี่ขาขนสีเงินเงางามเป็นประกายราวกับดวงดาวบนท้องฟ้ายามค่ำคืน ดวงตาสีเงินเช่นเดียวกับสีขนดูกลมกลืนอย่างน่าอัศจรรย์ ขมเขี้ยวสีขาวแหลมคมที่พร้อมจะฉีกกระฉากทุกสิ่งที่ขวางหน้า กรงเล็บที่ขาทั้งสี่ที่แหลมคมที่เฉียดเฉือนได้แม้กระทั่งเหล็กกล้า ลวดลายสัญลักษณ์ที่เปล่งแสงเรืองรองที่แก้มและลำตัวที่ดูสูงส่งราวกับราชันย์

 

ฉันแล้วค่ะ สัตว์เวทย์อัญเชิญของฉันคือ ‘เฟ็นรีร์’ ราชันย์แห่งหมาป่าที่ได้ชื่อว่าสังหารเทพ สัตว์อัญเชิญเพียงหนึ่งเดียวของฉันเองค่ะ ไม่ต้องถามนะคะว่าทำไมถึงต้องเป็น ‘เฟ็นรีร์’ เพราะฉันชอบยังไงล่ะคะ !! ปกติก็ชอบน้องหมาอยู่แล้ว แม้ว่าจะชอบแมวเหมือนกันแต่ชอบหมามากกว่าค่ะ รูปร่างอันสง่างามและขนนุ่ม ๆ แถมยังมีความว่องไวมากตอนอยู่ในเกมฉันก็ใช้ขี่บ่อย ๆ เลยล่ะค่ะ แม้ว่าตอนอยู่ในเกมจะมีสัตว์อัญเชิญที่แข็งแกร่งกว่าน้อง ‘เฟ็นรีร์’ ก็ตามแต่แหม ฉันไม่ได้เน้นที่ความแข็งแกร่งนี่คะ เน้นความน่ารักต่างหาก 

 

หลังจากน้อง ‘เฟ็นรีร์’ ปรากฏร่าง วงเวทย์และอณูเวทย์ก็สลายหายไปในอากาศ แต่ฉันกลับรู้สึกว่าความเหนื่อยล้าเข้าถาโถมขึ้นมาแบบฉับพลันเหมือนวิญญาณถูกดึงเลยค่ะ นี่มันอาการตอนเหมือนเสีย MP ไปเป็นจำนวนมากเลยไม่ใช่เหรอคะ แต่ทำไมกันล่ะ ปกติแล้วตอนอยู่ในเกมเวลาอัญเชิญน้อง ‘เฟ็นรีร์’ ใช้ MP แค่ประมาณ 15 % เท่านั้นเอง แต่ตอนนี้เหมือนจะโดนดึงไปกว่า 60 % เลยค่ะ นี่มันแปลกเกินไปแล้วค่ะ 

 

ในขณะกำลังคิดเรื่องโดนดึง MP อยู่นั้นน้อง ‘เฟ็นรีร์’ ก็เข้ามาเอาหน้ามาคลอเคลียฉันอย่างน่าเอ็นดู แต่ด้วยรูปร่างของน้องที่ใหญ่โตมาก ถ้าเทียบกับขนาดหมาบ้านทั่วไปคงใหญ่กว่าประมาณ 10 เท่าได้มั้งคะเนี่ย ความสูงประมาณ 4 เมตร ทำให้เหมือนโดนคลอเคลียหรือโดนชนก็ไม่รู้ ฉันเห็นน้องอ้อนแบบนั้นแล้วอดใจไม่ไหวค่ะ ! เลยเอาหน้าไปน้วยขนของน้อง ‘เฟ็นรีร์’ นุ่มฟู สุด ๆ ไปเลยค่ะ !!! ฟินเหลือหลายค่ะ ! 

 

แต่ดูเหมือนว่าจะผิดที่ผิดเวลาจริง ๆ ค่ะ ฉันที่กำลังน้วยขนของน้อง ‘เฟ็นรีร์’ อยู่นั้นหันไปเห็นกลับกลุ่มชาวบ้านประมาณ 20 คนกำลังมองที่ฉันอย่างใบหน้าอึ้ง ๆ ตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ค่ะ 

 

อ๊ะเระ ? !  อะไรกันคะเนี่ยย !!! ไหงมีคนมายืนดูฉันน้วยขนของ ‘เฟ็นรีร์’ อยู่เยอะขนาดนี้ล่ะคะเนี่ย ! แล้วนั่นใครบ้างเหรอคะ ฉันไปทำอะไรไม่ดีไว้งั้นเหรอคะ ? แย่ล่ะ ๆ คำถามมากมายถาโถมเข้ามาในหัวแบบไม่หยุดเลยค่ะ ในระหว่างที่มองเหล่าผู้คนอย่างลนลานอยู่นั้นเองก็ได้ไปสบตากับเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ผมสีน้ำตาลน่ารักที่คุ้นเคย จูน่าจังนั้นเองค่ะ 

 

” อ๊ะ จะ-จูน่าจัง มะ-มาทำอะไรที่นี่เหรอคะ ? ” เป็นการถามอย่างลนลานจนดูน่าสงสัยเป็นที่สุดเลยค่ะ ! 

 

” สะ-.. ”  เอ๋ ? สะ – อะไรเหรอคะ จูน่าจังเหมือนจะพูดอะไรสักอย่างแต่พูดไม่ออกมา

 

” สุดยอดดดดดด !!!! สุดยอดไปเลยค่ะท่านโนเอล มีสัตว์เลี้ยงเป็นหมาป่าสีเงินตัวใหญ่แบบนี้ด้วยงั้นเหรอคะ !! ” อ่ะ เรื่องนั้นเองหรอกเหรอคะ นึกว่าจะโดนหาว่าอัญเชิญมอนสเตอร์อันตรายออกมาซะอีก แล้วจะโดนชาวบ้านที่มาถล่มยับซะแล้วล่ะค่ะ เล่นเอาใจหายใจคว่ำหมดเลยค่ะ 

 

” สมกับที่เป็นท่านเทพธิดาโนเอลจริง ๆ ช่างงดงามและเมตตา !!!! ” เอ๋ ? ไหงภาพอันคุ้นเคยมันถึงย้อนกลับมาฉายใหม่เหมือนเมื่อ 2 วันที่แล้วล่ะคะ 

 

” โอ้วว ! ภาพที่ท่านเทพธิดาโนเอลหยอกล้อเล่นกับหมาป่าสีเงินที่ดูสูงส่งและน่าเกรงขาม อย่างกับภาพวาดอันตระการตาที่ไม่ว่าจิตรกรไหนวาดก็ไม่อาจเทียบได้ !!! ” 

 

” เฮ้ย เพื่อน ! แกเป็นลมไปอีกแล้วเหรอ แล้วทำไมถึงร้องไห้ตอนเป็นลมได้วะ ! ” 

 

” ภาพอันงดงามเมื่อกี้ฉันจะ ไม่ขยี้ตาอีกเด็ดขาดต่อให้มีขี้ตาหรือแมลงเข้าก็ช่าง !! ” 

 

อะเระ ? ไม่ได้กลัวที่ฉันอัญเชิญหมาป่าตัวยักษ์ออกมาหรอกเหรอคะ ? ไม่ใช่แค่ไม่กลัวแต่กลับยกย่องสรรเสริญซะงั้น อะไรกันคะเนี่ย ! หมู่บ้านนี้เค้านิยมเลี้ยงหมากันงั้นเหรอคะ ? 

 

” ท่านโนเอล ! หนูขอเล่นกับคุณหมาป่าด้วยได้ไหมคะ !! ” จูน่าจังที่มองมายังน้อง ‘เฟ็นรีร์’ ด้วยตาเป็นประกายถามอย่างไม่เก็บความต้องการมาหาฉันแบบจะกินเลือดกินเนื้อเลยล่ะค่ะ 

 

” ดะ-ได้ค่ะ ” เพราะไม่นึกว่าจูน่าจังจะใจกล้าขนาดนี้ ปกติแล้วเด็กถ้าเจอหมาป่าตัวบักเอ้บขนาดนี้คงไม่วายกลัวร้องไห้ขี้มูกโป่งไปแล้วไม่ใช่เหรอคะ ! จูน่าจัง ขะ-แข็งแกร่ง !!! ไม่ทันไรจูน่าจังที่ได้รับคำอนุญาตของฉันก็วิ่งแจ้นไปกอดน้อง ‘เฟ็นรีร์’ ทันที

 

” จะ-จูน่า ! มันอันตรายนะลูก ” คุณโยฮันที่เงียบอยู่ร้องตะโกนด้วยความเป็นห่วงลูกสาวของตัวเอง ไม่แปลกหรอกค่ะ คนเป็นพ่อเป็นแม่ที่ไหนจะไม่ห่วงลูกตัวเองบ้างล่ะคะ ฉันคงต้องยืนยันให้คุณโยฮันสบายใจก่อนจะดีกว่า 

 

” ไม่เป็นไรหรอกค่ะ คุณโยฮันเด็กคนนี้เป็นสัตว์เวทย์อัญเชิญของฉันเองค่ะ ไม่เป็นอันตรายหรอกนะคะ เว้นแต่ว่าฉันจะสั่งให้เด็กคนนี้เคลื่อนไหวเท่านั้นนะคะ ” ฉันที่ทนเห็นสีหน้าความเป็นห่วงของคุณโยฮันไม่ได้เลยพูดอธิบายถึงความปลอดภัยให้เจ้าตัวสบายใจขึ้นมา 

 

” งะ-งั้นเหรอครับ ถ้าท่านโนเอลว่าแบบนั้นล่ะก็ ” ถ้าจะสบายใจขึ้นแต่ก็ยังเป็นห่วงอยู่ดีสินะคะเนี่ย ช่างเป็นคุณพ่อที่แสนดีจริง ๆ เลยค่ะ 

 

” ท่านโนเอลคะ ! ขอเองก็ขอไปท่านกับคุณหมาป่านั่นด้วยได้หรือเปล่าล่ะคะ ” คนที่ไม่คิดว่าจะขอแบบเดียวกันกับจูน่าจังก็โผล่มาอีกคนแล้วค่ะ ใช่ค่ะ คุณวิเวียนแม่ของจูน่าจังนั่นเอง เหมือนกันไม่มีผิดรู้แล้วล่ะค่ะว่าจูน่าจังได้ใครมา 

 

” แน่นอนค่ะ ” ก็ไม่มีเห็นผลอะไรที่ต้องห้ามสักหน่อยนี่คะ เมื่อมองดูก็เห็นว่าน้อง ‘เฟ็นรีร์’ เล่นกับจูน่าจังอย่างสนุกสนานแถมยังให้จูน่าจังขี่หลังอีกด้วย เชื่องน่าดูเลยนะคะเนี่ย ไม่ทันไรคุณวิเวียนก็วิ่งเข้าไปกอดและน้วยขนของน้อง ‘เฟ็นรีร์’ ดังฟืดฟาดเลยทีเดียวและใบหน้าที่ฟินนั่นมันคนประเภทเดียวกับฉันเลยนิคะ ดูเหมือนจะรสนิยมดีทีเดียวนะคะเนี่ยคุณวิเวียนต้องมองใหม่แล้วล่ะค่ะ 

 

” เอ่อคือว่า ท่านโนเอลร่าสินะครับ ” ในระหว่างที่มองดูจูน่าจังและคุณวิเวียนกำลังเล่นกับน้อง ‘เฟ็นรีร์’ อยู่นั้นก็ได้ยินเสียงของผู้สูงอายุคนหนึ่งดังขึ้นมา ลักษณะดูอาวุโสที่สุดในบรรดาชาวบ้าน แต่จะว่าไปน่าจะอายุพอ ๆ กับคุณปู่ที่ตัวสั่นอยู่ข้างหลังที่ดูเหมือนจะเป็นนักเดินทาง 

 

” เอ่อ ค่ะ ” ฉันที่หันหน้ากลับมาตอบกลับอย่างงง ๆ ก่อนจะได้รับคำตอบในฉับพลัน 

 

” ข้าเป็นหัวหน้าของหมู่บ้านโคลินชื่อ คาเวล ที่มาวันนี้มีเรื่องอยากจะสอบถามบางเรื่องน่ะครับ ” เอ๋ คุณปู่ที่ดูภูมิฐานและดีใจคนนี้คือหัวหน้าหมู่บ้านของพวกจูน่าจังนั่นเองค่ะ คุณคาเวลสินะคะ 

 

” คะ-ค่ะ ” ไม่รู้ว่าหัวหน้าหมู่บ้านมีธุระอะไรกับฉันกันนะคะ แต่ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ชาวบ้านทั้งหมดก็คุกเข่าให้ฉันกันหมดเลยค่ะเว้นก็แต่คุณปู่อีกคนที่มีไม้เท้าแต่ยังยืนสั่นไม่หยุดกับเด็กหนุ่มที่ดูเป็นคนสะอาดอยู่ข้าง ๆ เขา 

 

” คือว่าเมื่อ 2 วันก่อนมีระเบิดสีขาวบนท้องฟ้าครับ เห็นว่าอยู่ใกล้ ๆ กับบ้านของท่านโนเอล ท่านพอจะทราบเรื่องนี้บ้างไหมครับ ” …

.

.

ความแตกแล้วค่าา !!!!!!!!!!!! งือออ ไหงถึงความแตกง่ายแบบนี้กันล่ะคะ พุ่งเป้ามาถามฉันโดยเฉพาะเลยไม่ใช่เหรอไงกันคะ แบบนี้ต้องเรียกว่าเป็นผู้ต้องสงสัยอันดับ 1 ไม่ผิดแน่ค่ะ !! ตะ-แต่เดี๋ยวนะคะ บางทีอาจจะแค่สงสัยอยู่ก็ได้ ชะ-ใช่แล้วค่ะ ! ถ้าทำตัวน่าสงสัยหรือลนลานเข้าล่ะก็นะ 

 

ในระหว่างที่กำลังคิดหาทางกลบเกลื่อนอยู่นั่นเองจูน่าจังก็โยนระเบิดพร้อมกับกุญแจมือที่ทำให้ฉันถึงกับดิ้นไม่หลุดเลยค่ะ 

 

” ระเบิดที่พลังสุดยอดระดับนั้นต้องเป็นท่านโนเอลอยู่แล้วล่ะค่ะ ! ทำเอาข้าวของในหมู่บ้านปลิวกระเจิงไปเลยล่ะค่ะ ความสุดยอดแบบนั้นไม่มีใครเทียบกับท่านโนเอลได้อีกแล้วค่ะ ! ” จูน่าจังง !!!!!! ไหงถึงรู้ได้ขนาดนั้นกันล่ะคะ นักสืบเหรอคะ ? ชาติก่อนเป็นโคนันมาใช่ไหมคะ ! แถมยังพูดตาเป็นประกายชนิดที่เรียกว่าสรรเสิญบูชาซะขนาดนั้น แล้วยิ่งบอกว่าข้าวของในหมู่บ้านปลิวเละเทะเลยใช่ไหมคะ แบบนั้นก็ยิ่งทำให้รู้สึกผิดกว่าเดิมสิคะ แบบนี้ใครมันจะโกหกได้ลงคอล่ะคะ !!! ไม่ไหวค่ะ สู้ความแข็งแกร่งของจูน่าจังไม่ไหวเลยจริง ๆ ค่ะ

 

” ขะ- ” ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้วคงต้องยอมรับแล้วก้มหัวขอโทษเท่านั้นแหละคะ แต่เพราะความกลัวจะโดนดุด่าว่า เลยได้แต่ก้มหน้าพูดด้วยเสียงเข้ม แต่จริง ๆ คือกำลังสลดใจแบบสุด ๆ ไปเลยค่ะ 

 

” คะ-คือว่า ฉะ-ฉันเป็นคนทำเองค่ะ ”  มาถึงจุดนี้แล้วค่ะ จะให้ก้มหัวขอโทษก็ยอมค่ะ แต่อย่ามองฉันเป็นคนร้ายเลยนะคะ ถึงจะเป็นคนร้ายก่อเหตุนั้นจริง ๆ ก็เถอะค่ะ ไม่รู้ทำไมน้ำตาก็เริ่มซึมออกมาที่หางตา แต่ด้วยการที่ก้มหน้าอยู่เลยทำให้ไม่มีคนเห็นแต่แล้วในขณะที่กำลังจะเงยหน้านั้นเอง 

 

” สุดยอด !! เฮ้ย ! นี่พวกได้ยินแล้วใช่ไหมท่านเทพธิดาโนเอลเป็นคนทำให้เกิดระเบิดบนฟ้าจริง ๆ ด้วย ฉันชนะพนันแล้วเฟ้ย ! ” 

 

” มะ-ไม่น่าเชื่อ ท่านเทพธิดาโนเอลนอกจากจะมีความงดงามและความอ่อนโยนที่ไม่มีผู้ใดทัดเทียมแล้ว ยังมีพลังที่ล้นเหลือแข็งแกร่งอย่างไม่น่าเชื่อ นี่สิเทพธิดาตัวจริง !!!! ” 

 

” ท่านโนเอลสุดยอดไปเลยเจ้าค่ะ !! แบบนี้หมู่บ้านของเราพวกก็เหมือนได้รับความคุ้มครองจากท่านโนเอลแล้ว โอ้วว ช่างเป็นบุญแก่หมู่บ้านเราซะจริง ๆ ” 

 

” โอ้ว !! ท่านโนเอลมีพลังถึงเพียงนี้ จิตใจของกระผมก็ร้อนรุ่มขึ้นมาแล้วครับ ช่วยเหยียบกระผมหน่อยจะได้ไหมครับ !! ” 

 

อะเร ? แล้วไหงมันกลายเป็นคำสรรเสริญกันได้คะ  ไม่ได้โกรธฉันกันอยู่เหรอคะ  ไม่ได้จะมาจับตัวฉันไปลงโทษกันหรอกเหรอคะ ? แล้วชาวบ้านคนนั้นมันอะไรกันคะบอกว่า ‘ช่วยเหยียบผมหน่อยครับ ท่านโนเอล !’ น่าขนลุกเป็นที่สุดเลยค่ะ !! 

 

” งั้นเหรอครับ เป็นท่านโนเอลจริง ๆ ด้วยสินะครับ แต่ข้าขอเสียมารยาทถามได้หรือไม่ครับว่าทำไมถึงต้องระเบิดท้องฟ้าอย่างรุนแรงแบบนั้นด้วยล่ะครับ ” ในขณะที่คิดว่ารอดแล้วเรา จู่ๆคุณคาเวลก็ยิงคำถามเหมือนจะใส่กุญแจมือของฉันอีกรอบแล้วล่ะคะ จะ-จะตอบยังไงดีล่ะคะเนี่ย แย่แล้วค่ะ ๆ ไม่รอดแล้วล่ะค่ะ 

 

” เอ๊ะ ! ระ-หรือว่าจะเป็นเรื่องนั้นกันครับ ” จู่ ๆ ชาวบ้านหนุ่มคนหนึ่งที่นั่งคุกเข่าอยู่ก็โพล่งขึ้นมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

 

” หืม เรื่องอะไรงั้นเหรอ คาซึ ” คุณคาเวลหันไปถามหนุ่มที่ชื่อคาซึ ที่นั่งคุกเข่าอยู่กลางแถว ชาวบ้านที่ติดอยู่ติดกันก็หันมามอง 

 

” คะ-คือว่าหลังจากวันที่ท่านเทพธิดาโนเอลใช้พลังน่ะครับ วันนั้นพวกท่านหัวหน้าหมู่บ้านประชุมกัน  มีพ่อค้าเร่เข้ามาในหมู่บ้านเล่าว่าก่อนหน้าที่พวกเขาจะมาถึงหนึ่งวันเห็นมังกรบินผ่านบ้านรถของพ่อค้ากำลังมาทางหมู่บ้านน่ะครับ ! ”  เมื่อได้ยินชายหนุ่มที่ชื่อคาซึพพูดแบบนั้น ก็เกิดความเงียบขึ้นโดยไม่ได้นัดหมายและในทันใดนั้นเอง 

 

” สุดยอดดดดดดดดดดดด !!!!! ที่แท้ท่านโนเอลก็ช่วยปกป้องหมู่บ้านของพวกเราจากมังกรหรอกหรือนี่ !! ” 

 

” ช่างเมตตา ช่างเมตตาเหลือเกิน ช่างเป็นเทพธิดาที่ประเสริฐอะไรเช่นนี้ห่วงแม้กระทั่งชีวิตเล็ก ๆ ของชาวบ้านอย่างพวกเราด้วย ” 

 

” อ้าวเฮ้ย ! เพื่อน นี่แกคราวนี้ร้องไห้จนหมดสติไปเลยเหรอ !! ” 

 

” โอ้ว !! ท่านโนเอลหัวใจของกระผมมันเกินจะรับไหวแล้วครับ ช่วยเหยียบผมทีคร้าบ !! ” 

 

” โอ้ว เป็นอย่างงั้นเองเหรอครับเนี่ย ข้า คาเวล ในฐานะของหัวหน้าหมู่บ้านโคลิน พวกเราขอมอบความจงรักภักดีนี้ให้กับท่านครับ ท่านเทพธิดาโนเอล ! ” หัวหน้าหมู่บ้านคาเวลพูดกล่าวคำขอบคุณทั้งน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม และคุกเข่าถวายความเคารพร้อมทั้งเหล่าชาวบ้านทุกคน แม้กระทั่งจูน่าจังและคุณวิเวียนที่เล่นกับน้อง ‘เฟ็นรีร์’ ที่คุกเข่าให้ฉันอยู่ข้างหลัง 

 

ในขณะที่ตามเรื่องราวและเหตุการณ์ไม่ทันได้เปล่งเสียงเดียว ที่ในหัวพอจะสั่งให้พูดออกมาได้ค่ะ 

 

” เอ๊ะ ? “

.

.

.

.

 

ปล. แผนที่ในโลกในเรื่องนี้ทำเสร็จแล้วจะอัพตอนหน้านะครับ 

 

(ทางฝั่งเมอร์ริอาร์และลุค) 

 

” เฮ้อ…เมื่อไหร่จะถึงกันละเนี่ย ” เสียงของตาแก่ที่ฟังดูขี้เกียจ บ่นอย่างโหยหวนในระหว่างนั่งอยู่บนรถม้าที่วิ่งอย่างเต็มกำลัง เนื่องด้วยใช้เวทย์ ‘ย่างก้าวสายลม’ ที่เป็นเวทย์ที่ช่วยเสริมความว่องไวให้กับม้าเลยทำให้ม้าวิ่งได้เร็วขึ้นทันตาเห็น แม้จะวิ่งไม่วิ่งเต็มกำลังแต่ก็เร็วเท่ากับตอนวิ่งแบบเต็มกำลังนั้นเอง แต่ตอนนี้ม้าวิ่งด้วยความเร็วสูงสุดเท่าที่จะทำได้เลยทำให้เร็วยิ่งกว่าปกติ 

 

” อดทนหน่อยสิครับท่านเมอร์ริอาร์ นี่ใช้เวทย์เสริมความว่องไวไปแล้วนะครับ อีกไม่นานก็คงจะถึง อย่าบ่นเป็นตาแก่ไม่ได้เรื่องสักทีเถอะครับ ” ลุคที่นั่งไปกับเมอร์ริอาร์เอือมระอาที่ได้ฟังเสียงบ่นของตาแก่เป็นรอบที่ 6 ตั้งแต่ออกเดินทางมา หลังจากที่ลุคเตรียมรถม้าเสร็จก็ออกเดินทางในทันทีโดยไม่รีรอ ถ้านับจากที่เริ่มเดินทางมานี่ก็ 5 ชั่วโมงแล้ว 

 

” หา !? เมื่อกี้เจ้าหลอกด่าข้าใช่ไหม ! ” เมอร์ริอาร์ที่รู้ว่าลุคกำลังแอบหลอกด่าตน เกิดโมโหแล้วชี้ไปที่ลุคอย่างจะเอาเรื่องตามประสาคนแก่ที่หลานมีหนังสือโป้แต่ไม่ยอมมาแบ่งตัวเองนั่นล่ะ 

 

” ป่าวสักหน่อยครับ เมื่อกี้ผมแค่พูดว่าตาแก่ไม่ได้เรื่องเองนะครับไม่ได้หมายถึงท่านเมอร์ริอาร์เลยนะครับ ” ลุคตอบอย่างหน้าตาเฉย และยิ้มให้กับเมอร์ริอาร์ราวกับไม่สนใจอารมณ์โมโหของเมอร์ริอาร์แถมยังยั่วโมโหมากกว่าเดิม 

 

” ก็ไอ้ตาแก่ที่ว่าบนรถคันนี้มันมีแค่ข้าไม่ใช่หรือไงฟะ ! ” การตบมุขของเหล่านักเวทย์หลวงแห่งราชสำนักส่งเสียงดังออกมาจากรถม้า ถ้าหากมีคนมาเห็นและรู้ว่าตาแก่ที่โวยวายตบมุขคนนี้เป็นจอมเวทย์หลวงแห่งราชสำนัก อาณาจักรแอนวอลเลล์คงโดยประเทศเพื่อนบ้าหัวเราะเยาะ ว่านี่เอาตาแก่หลานไม่รักมาเป็นจอมเวทย์หรือไง

 

” ท่านเนี่ยคิดในแง่ร้ายจังเลยนะครับ คำว่าตาแก่ไม่ได้เรื่องผมอาจจะหมายถึงคนที่เป็นถึงจอมเวทย์หลวงของอาณาจักรแห่งหนึ่งแล้วทำตัวขี้เกียจ บ่นตลอดการเดินทาง ไม่ก็ชอบหนีงานไปเที่ยวก็ได้นะครับ ” 

 

” ก็ไอ้ที่ว่ามาทั้งหมดมันข้าไม่ใช่เหรอ !!!!! ” หากคนภายนอกเข้ามาเห็นคงคิดว่าตาแก่กับชายหนุ่มคนนี้เป็นคนของคณะตลกคาเฟ่ที่ไหนสักแห่งแน่ ๆ แล้วก็คงจะเดินทางไปแสดงที่เมืองอื่นอะไรแบบนั้น แต่น่าเสียดายที่ทั้งคู่มียศตำแหน่งที่มีหน้ามีตาของอาณาจักร 

 

หมู่บ้านโคลินนั้นถือว่าเป็นหมู่บ้านที่ติดสุดขอบชายแดนของอาณาจักรแอนวอลเลล์ ได้ยินมาว่าติดกับเถือกเขาที่กั้นระหว่างอาณาจักรของเผ่าปีศาจแต่ถึงอย่างนั้นก็ว่างใจไม่ค่อยได้ เนื่องจากเผ่าปีศาจมักจะเปิดศึกสงครามกับมนุษย์มาอย่างยาวนานถึงแม้ช่วงนี้จะพักรบกันอยู่ แต่ก็ไม่รู้ว่าเผ่าปีศาจจะลอบโจมตีเมื่อไหร่ คงจะคิดว่าโจมตีหมู่บ้านเล็ก ๆ ไปก็คงไม่ได้อะไรขึ้นมาแถมเถือกเขาที่เป็นเหมือนเส้นแบ่งระหว่างชายแดนของอาณาจักรแอนวอลเลล์กับเผ่าปีศาจก็ชันเอาการ ทำให้ไม่สามารถเดินทางยกทัพมาได้อย่างแน่นอน 

 

เมอร์ริอาร์ที่นั่งอยู่บนรถพลางมองออกไปนอกข้างทางได้แต่คิดความเป็นไปได้ว่าระเบิดนั้นจะเกิดจากอะไรได้บ้าง แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่สามารถหาคำตอบได้ ตนที่ทำงานรับใช้อาณาจักรมาอย่างยาวนานก็ไม่เคยเจอปรากฏการณ์แบบนี้มาก่อนเลยทำให้ได้แต่คาดเดาเท่านั้น 

(เฮ้อ…จะเป็นอะไรไปได้บ้างนะ ถ้ามีมังกรจริงล่ะก็ต้องได้รับรายงานการพบเห็นมังกรเข้ามาแล้วสิ แต่หลังจากระเบิดกับหายเงียบไปอย่างกับผีซะงั้น แบบนี้ต่อให้คิดให้ตายยังไงก็ไม่รู้อยู่ดีไม่ใช่หรือไงกัน) ในขณะที่คิดคร่ำครวนอยู่นั้นก็ความทรงจำในวัยเด็กของเมอร์ริอาร์ก็ย้อนกลับมา 

 

ตนที่เป็นลูกครึ่งเอลฟ์กับมนุษย์ ที่มีแม่เป็นเอลฟ์และพ่อผู้เป็นมนุษย์ เกิดมาพร้อมกับพลังเวทย์ในตัวที่มากกว่าคนทั่วไปเนื่องจากได้สายเลือดของเอลฟ์นั้นเอง แม้ว่ารูปร่างหน้าตาจะเหมือนมนุษย์ทุกประการ แต่เนื้อในจริง ๆ นั้นไม่ใช่เลย ทั้งพลังเวทย์และความสามารถทางด้านเวทมนตร์ของเมอร์ริอาร์นั้นก้าวล้ำไปกว่าเด็กในรุ่นเดียวกันมาก แม้แต่ตอนที่อยู่โรงเรียนเวทย์มนตรา เมอร์ริอาร์ก็ยังถือว่าโดดเด่นเมื่อเทียบกับผู้อื่น 

 

แต่มีสิ่งหนึ่งที่จำได้อย่างแม่นยำไม่เคยลืมในความทรงจำของเมอร์ริอาร์เลยนั่นคือหนังสือภาพของแม่ที่ทุกวันนี้เมอร์ริอาร์ก็ยังเก็บไว้ราวกับสมบัติของตนที่ไม่เคยมีใครรู้ นั่งสือที่บอกเล่าเกี่ยวกับเอลฟ์ที่สูงส่งและงดงาม เอลฟ์ชั้นสูงที่เปรียบเสมือนตัวตนที่มาจากสวรรค์ราวกับเทพธิดา เอลฟ์ผู้งดงามที่มีผมยาวสีขาวดังแพรไหมบริสุทธิ์ ดวงตาสีฟ้างดงามราวกับสีของน้ำทะเลในมหาสมุทรที่มีความอุดมสมบูรณ์ไร้มลพิษ ตัวตนที่เอลฟ์ทุกตนให้ความเคารพแม้แต่ครึ่งเอลฟ์อย่างเมอร์ริอาร์ก็ไม่มีข้อยกเว้น ใช่นั่นคือ ไฮเอลฟ์ 

 

ว่ากันว่าไฮเอลฟ์นั้นได้หายสาบสูญไม่เหลืออยู่แม้แต่ตนเดียวตั้งแต่สมัยที่เหล่าทวยเทพได้ให้คำทำนายและกลับไปสู่ดินแดนแห่งทวยเทพแล้ว ใช่นั่นเป็นตำนวนเรื่องเล่าที่บอกต่อกันมาในเผ่าเอลฟ์ ในปัจจุบันเอลฟ์ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ที่ทวีปวาสเซลเรียเป็นทวีปที่มีวิทยาการเวทมนตร์ล้ำหน้าที่สุดในกราเด้น ไม่ใช่แค่นั้นยังมีเหล่ามนุษย์หรือเผ่าอื่น ๆ ไปร่ำเรียนเวทมนตร์ที่นั่นมากมาย และถึงอย่างนั้นก็ไม่มีไฮเอลฟ์สักตนเดียว ผู้ปกครองทวีปนั้นก็เป็นเอลฟ์ที่สืบราชวงศ์ต่อกันมาหลายร้อยปี แต่ก็ไม่ใช่ไฮเอลฟ์อยู่ดี

 

” ท่านเมอร์ริอาร์ครับ ถึงแล้วล่ะครับหมู่บ้านโคลิน ” ในระหว่างที่เมอร์ริอาร์คิดเรื่องเก่า ๆ อยู่อย่างเหม่อลอยนั้น ลุคก็พูดขึ้นมาทำให้สติที่กลับไปยังวัยเด็กกลับมา 

 

” เออ งั้นเหรอ เอาล่ะ ! ไปเริ่มสืบเลยแล้วกัน ” พอถึงหมู่บ้านเมอร์ริอาร์ก็แสดงความกระตือรือร้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แม้แต่ลุคก็ยังนึกแปลกใจ พอรถม้าเข้าไปในหมู่บ้านก็ทำให้เห็นสภาพแวดล้อมภายในหมู่บ้าน เป็นหมู่บ้านขนาดกลางแต่กลับมีองค์ประกอบครบถ้วน สมาคมการค้า หมอ หรือแม้แต่ตลาดแผงลอย แต่ที่น่าแปลกใจคือมีความรกผิดปกติ เหมือนกับว่าพึ่งจะเกิดพายุที่ทำให้ข้าวของกระจัดกระจายเมื่อเร็ว ๆ นี้ 

 

” ขอโทษนะครับ คุณนายที่นี่เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอครับ พอดีพวกผมพึ่งจะมาที่หมู่บ้านนี้เป็นครั้งแรกน่ะครับ ” เมื่อเห็นผู้หญิงชาวบ้านที่รูปร่างท้วมที่กำลังถือตะกล้าผ้าที่พึ่งเก็บมาหมาด ๆ ลุคก็เข้าไปถามราวกับเป็นนักท่องเที่ยวที่ผ่านทางมา (ก็แค่ไรเดอร์ที่ผ่านมาทาง) 

 

” อาระ ? พวกเธอไม่รู้ เมื่อวานนึ้มีระเบิดแสงสีขาวลูกใหญ่ยักษ์บนท้องฟ้าแถว ๆ ภูเขามัวริสน่ะนะ ” เมื่อได้ยินเกี่ยวกับเรื่องระเบิดทั้งลุคและเมอร์ริอาร์ก็ทำหน้าจริงจังขึ้นมาทันที ผู้หญิงชาวบ้านร่างท้วมพูดต่อโดยไม่ติดใจอะไร 

 

” แรงระเบิดนั้นแรงมากเลยนะ ยังกับพายุและแผ่นดินไหวพร้อมกันเลยล่ะ เล่นเอาข้าวของพังเสียหายไม่ก็ปลิ้วจนเทะเละเลยล่ะ แต่โชคดีจริง ๆ ที่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บน่ะ ” เมอร์ริอาร์และลุคเมื่อได้ฟังถึงผลกระทบได้ตระหนักทันทีว่าระเบิดนั้นแรงขนาดไหน เพราะทางภูเขามัวริสนั้นห่างจากหมู่บ้านนี้หลายกิโล แต่แรงระเบิดยังส่งผลมาถึงหมู่บ้านนี้ ไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าหากเกิดขึ้นในเมืองหลวงผลจะเป็นยังไง 

 

เมื่อได้รู้ซึ้งถึงผลกระทบแล้วเมอร์ริอาร์คิดว่าคงต้องสืบอย่างเป็นจริงจังซะแล้ว จะทำเล่นไม่ได้อีกต่อไป 

 

” ขอโทษนะคุณนาย พวกข้าอยากจะขอพบกับหัวหน้าหมู่บ้านได้หรือเปล่า ” เมอร์ริอาร์แสดงความต้องการเพื่อขอพบคนใหญ่คนโตที่สุดในหมู่บ้าน เพราะคิดว่าหากจะสืบอะไรที่ได้ข้อมูลที่เป็นทางการกว่านี้คงไม่พ้นการไปหาหัวหน้าหมู่บ้าน 

 

” เอ๋ ? หัวหน้าหมู่บ้านเหรอ ไม่รู้เหมือนกันนะว่าประชุมกันเสร็จหรือยังน่ะ ” หญิงร่างท้วมยืนคิดสักครู่ พร้อมกับคำตอบถามที่ไม่มีความแน่นอน 

 

” ประชุมเหรอครับ ” ลุคที่เงียบมาครู่นึงเอ่ยถามขึ้นมาแทนเมอร์ริอาร์ 

 

” ใช่ ๆ ประชุมเรื่องระเบิดที่พูดไปนี่แหละ ไม่รู้หรอกนะว่าประชุมกันได้ความว่ายังไง แต่ลองไปหาดูก่อนก็ได้นะ ถ้าหากไม่อยู่แสดงว่ายังประชุมกันอยู่นั้นแหละ ” หญิงร่างท้วมบอกลู่ทางให้อย่างเป็นกันเอง โดยไม่มีท่าที่ปิดบังหรือตื่นกลัวอะไร 

 

หลังจากได้รับการแนะนำจากหญิงร่างท้วม ลุคเลยให้เงินตอบแทนน้ำใจจำนวนหนึ่ง แล้วมุ่งหน้าไปยังบ้านของหัวหน้าหมู่บ้านทันที ในระหว่างเดินไปก็มองรอบข้างเพื่อชมสภาพต่าง ๆ ของหมู่บ้านด้วยเป็นอย่างที่หญิงร่างท้วมคนนั้นบอกไว้ไม่มีผิด มีชาวบ้านส่วนใหญ่ออกมาเพื่อเก็บข้าวของที่ล้มกระจัดกระจายที่เป็นผลมาจากเหตุระเบิดสีขาวบนท้องฟ้านั่น แต่ดูแล้วเหมือนจะไม่รุนแรงมากถึงกับบ้านเรือนได้รับความเสียหาย อาจจะเป็นเพราะระยะห่างของหมู่บ้านกับจุดระเบิดอยู่ไกล ถือว่าเป็นโชคดีของหมู่บ้านแห่งนี้จริง ๆ 

 

เดินไปสักพักก็เห็นบ้านที่ติดป้ายข้างหน้าว่า ที่ทำการหัวหน้าหมู่บ้าน ติดเอาไว้ ถึงจะบอกว่าที่ทำการแต่ก็หมายถึงบ้านอยู่ดี ลุคที่มองหญิงสาวคนหนึ่งกำลังกวาดหน้าบ้านของหัวหน้าหมู่บ้านเลยเข้าไปถามทันที

 

” ขอโทษนะครับ พวกผมอยากจะมาขอพบท่านหัวหน้าหมู่บ้าน ไม่ทราบว่าท่านอยู่หรือเปล่าครับ ” ลุคถามเข้าอย่างตรงประเด็นโดยไม่รอช้า หญิงที่กวาดพื้นอยู่นั้นทำหน้าครุ่นคิดครู่นึงก่อนจะตอบกลับ 

 

” ท่านหัวหน้าหมู่บ้านพึ่งกลับจากประชุมเมื่อครู่นี้เองค่ะ ว่าแต่มีธุระอะไรงั้นเหรอคะ ? ” เมื่อเห็นคำถามที่แฝงไปด้วยความกังวลที่แสดงออกมาอย่างชัดเจนทางสีหน้าของหญิงตรงหน้า เมอร์ริอาร์จึงคิดว่าไม่มีความจำเป็นต้องปกปิดฐานะอีกต่อไป

 

” โทษทีนะแม่หนู พวกข้าเป็นนักเวทย์หลวงของราชสำนักที่มาจากเมืองหลวงมาเพื่อสืบเรื่องระเบิดสีขาวบนท้องฟ้าที่เกิดขึ้นวานนี้น่ะ ” เมื่อเห็นเมอร์ริอาร์แนะนำตัวเป็นนักเวทย์หลวงของราชสำนัก หญิงสาวที่กวาดพื้นถึงกับทำตัวไม่ถูกเลยทีเดียว 

 

” ขะ-ขออภัยด้วยค่ะ ! จะไปแจ้งหัวหน้าหมู่บ้านเดี๋ยวนี้ล่ะค่ะ ! ” หญิงสาวทิ้งไม้กวาดและรีบวิ่งเข้าไปในบ้านของหัวหน้าหมู่บ้าน ดูเหมือนการบอกฐานะที่แท้จริงของเมอร์ริอาร์จะได้ผลเกินคาด ไม่นานหญิงสาวคนดังกล่าวก็กลับมาพร้อมกับเชิญทั้งคู่เข้าไปในบ้าน 

 

” ยินดีต้อนรับครับ ท่านนักเวทย์ ข้าเป็นหัวหน้าหมู่บ้านโคลินแห่งนี้ ชื่อ คาเวลครับ ” หัวหน้าหมู่บ้าน คาเวล แนะนำตัวอย่างเป็นทางการพร้อมทั้งก้มหัวให้อย่างสุภาพ เป็นชายแก่ที่ดูสขุมและมีความเป็นผู้นำสูง 

 

” ขอโทษที่ต้องมารบกวนเวลาพักของนะครับคุณคาเวล ” ลุคก้มหัวและกล่าวขอโทษอย่างสุภาพกลับเช่นเดียวกัน 

 

” ไม่หรอกครับ ได้ยินว่าพวกท่านมาเพื่อสืบเรื่องระเบิดสีขาวใช่ไหม ทางพวกข้าเองก็พึ่งประชุมเรื่องนี้ไปหมาด ๆ เช่นเดียวกัน ” คาเวลตอบกลับอย่างเป็นกันเอง พร้อมทั้งให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี เมื่อเห็นท่าทีดังกล่าวเมอร์ริอาร์ก็ถามอย่างเข้าประเด็นอย่างไม่รีรอ 

 

” แล้วพอจะรู้อะไรบ้างไหม ” เมอร์ริอาร์ถามคาเวลกลับ ดูจากอายุแล้วทั้งคู่น่าจะอายุอานามใกล้เคียงกันเลยไม่จำเป็นต้องสุภาพแถมเมอร์ริอาร์เองก็ไม่ค่อยอยากจะเป็นทางการมากนัก 

 

” ครับ มีข้อมูลจากนายพรานในหมู่บ้านว่ามีเทพธิดาผู้งดงามอาศัยอยู่ในป่าที่ใกล้กับภูเขามัวริสได้ช่วยเหลือลูกสาวของเขาไว้น่ะครับ ” คาเวลบอกข้อมูลที่ได้พึ่งได้มาจากที่ประชุมเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน 

 

” เอ๊ะ ? เทพธิดางั้นเหรอ ช่วยเล่ารายละเอียดให้เราฟังได้ไหมครับ ” ลุคที่ถามอย่างทันควัน แน่นอนว่าช่วยถามแทนเมอร์ริอาร์ที่สนใจคำพูดของคาเวลอย่างมากเช่นกัน 

.

.

ช่วงเย็นก่อนหัวค่ำเล็กน้อยหลังจากที่ได้ข้อมูลส่วนมากจากหัวหน้าหมู่บ้านคาเวลแล้วทั้งลุคและเมอร์ริอาร์ก็ไปพักที่โรงเตี้ยมภายในหมู่บ้าน แม้ว่าจะเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ แต่ก็มีโรงเตี้ยมไว้สำหรับนักท่องเที่ยวเช่นกัน ทั้งคู่อยู่ในห้องเดียวกันโดยมี 2 เตียงขนาด 3 ฟุตครึ่ง และมีโต๊ะเขียนหนังสือภายในห้อง และที่แขวนเสื้อคลุมเท่านั้น แน่นอนว่าไม่มีห้องอาบน้ำในตัวจึงต้องไปอาบน้ำที่โรงอาบน้ำรวมของหมู่บ้าน หลังจากที่อาบน้ำชำระล้างตัวเสร็จทั้งคู่จึงกลับมาพูดคุยเกี่ยวกับข้อมูลที่ได้มาวันนี้ 

 

และสิ่งที่ลุคค่อนข้างสงสัยกับสิ่งที่เมอร์ริอาร์ทำในวันนี้คือการที่พรุ่งนี้เขาจะขอไปหาคนที่ชาวบ้านยกย่องว่าเป็นเทพธิดาที่ชื่อว่าโนเอลร่า ทำให้ลุคต้องจำใจไปกับเมอร์ริอาร์ด้วยอย่างเลี่ยงไม่ได้ ดูท่าเมอร์ริอาร์จะให้ความสนใจกับนักเวทย์ที่ช่วยเหลือเด็กสาวเอามาก ๆ 

 

” ลุคเจ้าคิดว่ายังไงบ้าง ” เมอร์ริอาร์เอ่ยถามหนุ่มนักเวทย์คนสนิทของตนเพื่อต้องการความเห็นเกี่ยวกับสิ่งที่คาเวลเล่าช่วงบ่าย 

 

” ครับ จากที่ฟังมาเหมือนว่าลูกสาวของนายพรานจะไปเก็บผลไม้ในป่าแล้วได้นักเวทย์ที่อาศัยในป่าช่วยเอาไว้ แต่ส่วนที่น่าสงสัยคือ..” 

” เทพธิดาสินะ ? ” เมอร์ริอาร์พูดดักคอเหมือนจะรู้ว่าลุคอยากจะพูดคำว่าอะไร 

 

” ครับ เด็ก 7 ขวบการที่จะเห็นผู้มีพระคุณของตนเองเป็นเทพธิดาก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แถมคนนั้นยังเป็นนักเวทย์อีกด้วยการที่เด็กอายุแค่นั้นจะบอกว่าเป็นเทพธิดาก็คงไม่แปลกอะไร ” ลุคแสดงความคิดเห็นของตนออกมาตรง ๆ ใช่ ลุคคิดว่าคำพูดของจูน่าที่บอกว่าตัวเองได้เทพธิดาช่วยเอาไว้ อาจจะเป็นจิตนาการของเด็กก็เป็นได้ คงจะเป็นนักเวทย์ที่อาศัยในป่ามาช่วยเพียงเท่านั้น 

 

” งั้นเหรอ แต่ลางสังหรณ์ของข้าบอกว่าข้าควรเชื่อคำพูดของเด็กสาวคนนั้นน่ะสิ ” ลุคหันไปมองหน้าเมอร์ริอาร์ทันทีอย่างกับไม่เชื่อในคำพูดของผู้ที่ได้ชื่อว่าผู้ทรงปัญญาของอาณาจักร 

 

” ดูถ้าจะเป็นตาแก่ไม่ได้เรื่องของจริงแล้วสินะครับเนี่ย ” ลุคพูดพลางถอนหายใจออก 

” หา !? นี่เจ้าเมื่อกี้ด่าข้างั้นสินะ เมื่อกี้ด่าทางอ้อมอีกแล้วใช่ไหม !! ” 

” ป่าวครับ เมื่อกี้ข้าด่าท่านตรง ๆ ต่างหากครับ ” ลุคตอบอย่างหน้าตาย 

” มันก็บัดซบพอ ๆ กันนั่นแหละโว้ย !! ” เมอร์ริอาร์ตะโกนออกมาอย่างเหลืออดกับท่าทีของหนุ่มนักเวทย์คนสนิทของตน 

.

.

.

.

เฮ้อ… วันนี้ก็ใช้ชีวิตตามปกติอย่างเคยค่ะ แต่ก็ยังหาฟูกนอนไม่ได้สักที นอนโซฟาที่พื้นที่แคบ ๆ มาหลายวันแล้วปวดหลังสุด ๆ ไปเลยค่ะ ถึงจะรักษาหายได้ด้วยสกิลเวทย์ก็เถอะ แต่แบบนี้ถ้าไม่รีบหาฟูกนอนโดยด่วนมีหวังเป็นคุณป้าก่อนวัยอันควรแน่ ๆ เลยค่ะ 

 

แต่ยังไงจะให้หาตอนนี้ก็คงไม่ทันแล้วล่ะค่ะ ตอนนี้ก็ค่ำแล้ว เฮ้อจะมีคุณปู่ใจดีมอบที่ฟูกนอนดี ๆ ให้สักชิ้นบ้างไหมคะ ฮ่า ๆ พูดอะไรของฉันกันคะเนี่ย ! ถ้ามีจริง ๆ คงเป็นปู่ที่เพี้ยนหนักเอาการนะคะ ว่างั้นแล้วก็ใช้สกิลเวทย์ ‘ชะล้าง’ ใส่ตัวเองเพื่อทำความสะอาด เพราะวันนี้ใช้เวทย์บินเลยทำให้เนื้อตัวมีแต่ฝุ่นเต็มตัวจากกระแสลมที่พัดมา แถมฟูก็ยังไม่เป็นทรงอีกต่างหาก ถึงจะไม่มีกระจก แต่ก็รับรู้ได้ค่ะ เพราะแค่เอามือลูบผมก็รู้ได้ทันทีว่าผมโดนผมพัดจนเสียทรง 

 

แต่พอใช้เวทย์ ‘ชะล้าง’ แล้วทุกอย่างก็กลับมาเหมือนใหม่ ช่างเป็นสกิลเวทย์ที่แสนสะดวกเลยจริง ๆ ค่ะ เอาเป็นว่าพอไม่มีอะไรให้ทำแล้วก็เข้านอนดีกว่าค่ะ 

.

.

.

” ฮิย้าาา !! ” แต่แล้วกลางดึกฉันก็ต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมาค่ะ เพราะอะไรน่ะเหรอคะ ? มันก็แน่อยู่แล้วล่ะค่ะ ฝันร้ายไงคะ 

 

ช่างเป็นฝันที่แย่สุด ๆ ไปเลยค่ะ ฝันว่าดันมีตาแก่ที่ไหนไม่รู้มาเป็นเจ้าลัทธิบูชาฉันเหมือนกับจูน่าจังไม่มีผิด แถมยังบูชาฉันอย่างบ้าคลั่งกันเลยทีเดียวค่ะ น่าขนลุกมากค่ะ ไม่ ไม่ ๆ มันเป็นแค่ฝันเท่านั้นค่ะ แค่ฝัน ใช่ ๆ รีบข่มตานอนให้หลับดีกว่าค่ะ 

.

.

.

โนเอลที่หลับสนิทอยู่นั้นไม่รู้เลยว่าความฝันที่ตนได้พบจะกลายเป็นความจริงในวันรุ่งขึ้น….

(ฝั่งเมืองหลวงของอาณาจักรแอนวอลเลล์) 

 

” ท่านเมอร์ริอาร์ครับ ให้ไปเตรียมกำลังพลไปเตรียมตรวจสอบทันทีเลยไหมครับ ” หนุ่มนักเวทย์คนสนิทของจอมเวทย์เฒ่าเมอร์ริอาร์ พูดถามด้วยความกระตือรือร้น เด็กหนุ่มนักเวทย์คนดึงกล่าวคือ ลุค คนเดียวกับที่เข้ามารายงานเมอร์ริอาร์เมื่อคราวก่อนเรื่องการระเบิดแสงสีขาวครั้งใหญ่ทางตะวันตกนั่นเอง 

 

” เจ้าจะบ้าหรือไง เอากำลังพลไปแล้วถ้าหากการระเบิดนั้นเกิดขึ้นอีกครั้งมันช่วยอะไรได้หรือไง ! ” จอมเวทย์เฒ่าตะโกนออกไปอย่างเอือมระอา ยิ่งเห็นความเอาจริงเอาจังและเป็นงานของลุคยิ่งรู้สึกทำให้หงุดหงิด 

 

” งะ-งั้นจะเอายังไงดีล่ะครับ ” ลุคถามอย่างระมัดระวังเนื่องจาก เมอร์ริอาร์เป็นจอมเวทย์หลวงที่ขึ้นชื่อว่าเอาแน่เอานอนไม่ได้ แถมยังเอาใจยากที่สุดในบรรดาคนที่ลุคทำงานด้วย ถ้าทำอะไรโดยไม่ทันคิดอีกคงไม่วายโดนด่ากลับมาเป็นชุดแน่ ๆ 

 

” ให้ตายสิ เจ้าเนี่ยหัดใช้หัวบ้างสิ… ” เมอร์ริอาร์เอือมระอากับหนุ่มนักเวทย์คนสนิทอีกรอบ โดยทั่วไปแล้วเมอร์ริอาร์จะเป็นคนที่ไม่สอนอะไรตรง ๆ มักจะให้ผู้เรียนคิดด้วยตนเอง ส่วนเจ้าตัวจะคอยช่วยหนุนและใบ้ให้เท่านั้นถ้าหากนับความสามารถในการเป็นครูบาอาจารย์ก็ถือว่ายอดเยี่ยม แต่ด้วยความเป็นตาแก่เพี้ยน ๆ อย่างที่หลาย ๆ คนว่าทำให้ความไม่ค่อยได้รับการเคารพเท่าที่ควร 

 

หากย้อนกลับไปเมื่อ  6 ปีก่อนเป็นปีที่ลุคพึ่งจะได้รับการบรรจุเข้าเป็นนักเวทย์ราชสำนักใหม่ ๆ ตอนนั้นลุคเป็นคนที่เอาจริงเอาจังและบ้างานเป็นอย่างมาก ลุคคิดเพียงแค่ว่าหน้าที่หรือภารกิจที่ได้รับมอบหมายมานั่นต้องทำให้สำเร็จโดยไม่มีอะไรบกพร่อง นั่นคือนิสัยดั้งเดิมของลุค แต่เมื่อมาเจอกับเมอร์ริอาร์ที่ผู้คนต่างยกย่องว่าเป็นจอมเวทย์หลวงของราชสำนักที่เก่งที่สุดในประวัติศาสตร์ นับตั้งแต่ก่อตั้งอาณาจักรแอนวอลเลล์เลยก็ว่าได้ เชื่อเสียงของเมอร์ริอาร์ไม่ใช่แค่นั้น แม้กระทั่งอาณาจักรหรือเมืองที่อยู่ต่างทวีปยังรู้จักชื่อเสียงเรียงนามของเมอร์ริอาร์เช่นเดียวกัน 

 

ในตอนที่ลุคกำลังเรียนอยู่โรงเรียนเวทย์มนตรา ลุคก็ได้ยินชื่อเสียงของเมอร์ริอาร์อยู่ก่อนแล้วเลยเกิดความคาดหวังพอสมควร และรอคอยวันที่ตนจะได้ร่วมทำงานกับจอมเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่คนนั้น แต่เมื่อความจริงในปัจจุบันที่จอมเวทย์หลวงผู้ยิ่งใหญ่ผู้นั้นกลับเป็นแค่ตาแก่จอมขี้เกียจ วัน ๆ เอาแต่หมกตัวอยู่ในห้อง งานฝึกสอนส่วนใหญ่ก็โยนให้กับครูท่านอื่น ทำให้ลุคเกิดความไม่พอใจในตัวเมอร์ริอาร์ในช่วงแรกเป็นอย่างมาก 

 

ใช่ นั่นแค่ช่วงแรกเท่านั้นถ้าหากไม่เกิดเหตุการณ์ตอนนั้นล่ะก็ 

เมื่อ 4 ปีก่อนหลังจากที่ลุคทำงานเป็นนักเวทย์หลวงของราชสำนักได้ 2 ปี ได้รับภารกิจในการไปปราบ ‘ ไฮดร้า ‘ มอนเตอร์ระดับ A ที่มีลักษณะเป็นงู 4 หัวขนาดใหญ่ที่อาศัยในหนองน้ำ แน่นอนว่าลุคไม่ได้ไปคนเดียว มีทั้งทหารระดับอัศวินอีกประมาณ 15 คน และยังมีนักเวทย์หลวงเหมือนกับลุคอีกถึง 5 คน รวมทั้งหมด 21 คนที่มีภารกิจไปปราบ ‘ไฮดร้า’ 

 

เหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเกือบจะลืมหายใจ ระดับความอันตรายของ ‘ไฮดร้า’ อันตรายกว่าที่ทีมของพวกลุคคาดไว้มาก เพราะมันไม่ใช่แค่ตัวเดียวแต่มีถึง 2 ตัวนั่นเอง ในระหว่างที่ความหวาดกลัวกัดกินสติของลุคอยู่นั้นเพื่อนในทีมก็ตายกันไปทีละคนทีละคน จนสุดท้ายเหลือแค่ลุคคนเดียว เมื่อรู้ตัวว่าเหลือตัวคนเดียวและไร้ซึ่งทางหนี ทำให้หมดกำลังใจที่จะมีชีวิตต่อและได้แต่รอความตาย ในขณะที่ไฮดร้ากำลังพ้นไอกรดรุนแรงมานั้น เมอร์ริอาร์ที่ได้ตามมาสมทบเนื่องจากได้ยินเรื่องไฮดร้าที่มีสองตัว ก็กางกำแพงเวทย์ปกป้องลุคเอาไว้ และได้ทำการปราบไฮดร้าไปหนึ่งตัวก่อนที่อีกตัวจะดำน้ำหนีไป 

 

เมอร์ริอาร์คือผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตลุคเอาไว้ และยังเป็นอาจารย์ที่เตือนสติให้ลุคอีกด้วยเพราะหลังจากเหตุการณ์นั้นลุคที่เอาแต่โทษตัวเองว่าตนเป็นต้นเหตุให้เพื่อนให้ทีมทุกคนต้องตายจนเกือบจะลาออกจากราชสำนัก แต่เพราะถ้าเมอร์ริอาร์คอยช่วยเหลือแต่สอนอะไรหลาย ๆ อย่างจึงได้เข้าใจและยอมรับพร้อมทั้งให้อภัยกับตัวเอง นั่นสินะหลังจากวันนั้นก็ผ่านมาถึง 4 ปีแล้ว 

 

” งั้นท่านจะเอายังไงครับ ” ลุคที่ขี้เกียจจะคิด ถามเมอร์ริอาร์กลับไปอย่างขอไปที นิสัยขี้เกียจและขอไปทีของลุคคงจะติดมาจากเมอร์ริอาร์แน่ ๆ 

 

” ฟังนะ … เรายังไม่รู้ว่าการระเบิดนั้นคืออะไร แต่จากรายงานที่เรามีการระเบิดนั้นรุนแรงถึงขั้นที่ส่งผลกระทบมายังพื้นดินเลยทีเดียว เพราะงั้นจะเอากองพลจำนวนมากไปก็เท่ากับพากันไปตายเท่านั้น ทางที่ดีคือควรจะไปสืบหาข้อมูลด้วยคนน้อย ๆ นี่แหละดีที่สุด ” เมอร์ริอาร์แสดงความเห็นของผู้ทรงปัญญาให้เห็นเป็นครั้งแรกของวัน 

 

” แล้วจะเริ่มสืบยังไงครับ ” ลุคถามในขณะที่หน้ายังนิ่งเฉย 

 

” เจ้าบอกว่าใกล้ ๆ จุดที่ระเบิดมีหมู่บ้านแถวชายแดนใช่ไหมล่ะ งั้นก็ไปถามเอาจากชาวบ้านก็ได้นิ ส่วนคนที่จะไปยิ่งน้อยก็ยิ่งดี ที่สำคัญไปสืบแบบส่วนตัวจะดีกว่า ถ้าหากอ้างไปว่ามาจากเมืองหลวงเพื่อสืบเรื่องระเบิดสีขาวนั่นแล้วล่ะก็ชาวบ้านอาจจะไม่ยอมพูดอะไรออกมาก็ได้ ” 

 

” งั้นใครจะไปบ้างครับ ” ลุคฟังอย่างเข้าใจและเห็นด้วยกับเมอร์ริอาร์ เลยถามต่อถึงเรื่องคนที่จะไป

 

” ก็เจ้ากับข้าไง สองคนก็เพียงพอแล้ว ” เมอร์ริอาร์พูดกลางเหล่ตามองลุคอย่างมีนัย

 

” เฮ้อ…ไม่พ้นแบบนี้อีกแล้วสินะครับ ” ลุคที่เดาได้ว่าเมอร์ริอาร์จะพูดอะไรต่อ ก็ถอนหายใจขอคาดหวังว่าให้ตัวเองคิดผิด เพราะเมอร์ริอาร์เป็นพวกชอบเคลื่อนไหวด้วยตัวเองแถมยังไม่เขียนรายงานส่งให้ทางราชสำนักอีกด้วย เพราะงั้นถ้าหากมีคนที่นอกเหนือจากลุคและเมอร์ริอาร์แล้วล่ะก็จะทำให้เมอร์ริอาร์ต้องทำตามระเบียบอย่างเลี่ยงไม่ได้ 

” งั้นข้าจะเตรียมรถม้าเอาไว้ให้ครับ ” ลุคที่พูดเสร็จก้มหัวแล้วเดินออกจากห้องไปทันที ทิ้งให้เมอร์ริอาร์หาวอย่างคนขี้เกียจในขณะที่อ่านหนังสือเวทมนตร์ต่อไปในห้อง 

.

.

.

.

หลังจากที่เมื่อวานได้ทดลองใช้สกิลเวทย์ต่าง ๆ มาแล้ววันนี้ก็เลยไม่มีแผนจะทำอะไรเป็นพิเศษเลยค่ะ แถมวันนี้ยังตื่นเช้าอีกด้วยคงเพราะเมื่อวานนี้ใช้ MP ไปเยอะเลยเหนื่อยมากเลยค่ะ พอหัวถึงโซฟาก็หลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ฉันเองก็ไม่รู้ค่ะ แต่ตื่นเช้าก็ดีเหมือนกันนะคะ ถึงจะไม่รู้ว่าตอนนี้เวลาเท่าไหร่แล้วก็เถอะ แต่ถ้าให้เดาคงประมาณ 7 โมงนิด ๆ ล่ะมั้งคะ รู้ได้ยังไงน่ะเหรอคะ ? แน่นอนค่ะ เดาล้วน ๆ เลยค่ะ !! 

 

” อือ…!!! ” บิดขี้เกียจหลังตื่นนอนบนโซฟานี้มันสดชื่นจริงๆเลยค่ะ แต่ถ้าได้นอนบอกเตียงจริง ๆ น่าจะฟินมากกว่านี้แน่นอนค่ะ เพราะแต่เดิมในโลกก่อนฉันเป็นคนชอบนอนเอามาก ๆ มักจะเผลอหลับในคาบเรียนประจำจนเพื่อนในสาขาเดียวกันต้องสะกิดปลุกเลยล่ะค่ะ 

 

ถ้าวันนี้ไม่มีอะไรต้องให้ปวดหัวก็คงจะดีไม่น้อยเลยค่ะ ทำไมฉันถึงกังวลงั้นเหรอคะ ? ก็มันแน่อยู่แล้วค่ะ เมื่อวานเล่นยิง ‘ มหามนตราพิสุทธิ์ ‘ ที่ได้ชื่อว่าเป็นสกิลเวทย์สูงสุดซะอลังการขนาดนั้น ต้องมีคนสงสัยแน่ ๆ ค่ะ โดยเฉพาะถ้าหากชาวบ้านที่หมู่บ้านโคลินเห็นเข้าล่ะก็อาจจะคิดว่าเป็นฉันก็ได้ค่ะ (คิดไปแล้ว) แต่ยังไงก็ต้องหาทางกลบกลื่นให้ได้ค่ะ ไม่สิ ๆ โกหกมันจะดีจริง ๆ เหรอคะ หรือพูดความจริง ไปเลยว่าทดลองใช้เวทมนตร์ไปเลยดีไหมนะ งือออออ คิดไม่ออกเลยค่ะ !!!! 

 

เอาเป็นว่าตอนนี้เติมพลังของท้องน้อย ๆ ก่อนดีกว่าค่ะ ถึงจะเรียกว่าเติมพลังก็เถอะค่ะ แต่กินแอปเปิ้ลแค่ลูกเดียวก็อิ่มทั้งวันนี้มันก็รู้สึกแปลก ๆ อยู่เหมือนกันนะคะ จริง ๆ ก็อยากลองกินอย่างอื่นบ้างจังเช่น เนื้อย่าง ไม่ก็ ข้าวแกงกะหรี่ อะไรแบบนั้นบ้างจังเลยคะ แต่ถึงจะอยากแค่ไหนมันก็ไม่ใช่จะหาได้ง่าย ๆ สักหน่อย ยิ่งโลกนี้ไม่รู้ด้วยซ้ำค่ะว่าอาหารการกินเป็นยังไง จะเหมือนโลกเดิมหรือเปล่ายังไม่รู้เลยค่ะ 

 

ว่าแล้วก็ใช้สกิลเวทย์ ‘ชะล้าง’ ให้กับตัวเองแล้วเดินออกจากบ้านต้นไม้ออกไปเด็ดแอปเปิ้ลกินดีกว่าค่ะ จะว่าไปแล้วฉันก็ยังไม่ได้สำรวจป่าที่ตัวเองอาศัยอยู่เลยนะคะ ถึงจะรู้ได้จากคุณโยฮันว่าเป็นป่าที่อยู่ใกล้ภูเขาที่ชื่อมัวริสก็เถอะ แต่ฉันจำไม่ได้เลยว่ามีภูเขาชื่อนี้อยู่ด้วย คงจะเป็นจุดที่แตกต่างกันระหว่างโลกนี้กับเกม Fantasy Graden ล่ะมั้งคะ คงต้องหาแผนที่สะแล้วค่ะ ถึงคุณโยฮันบอกว่ามาครั้งหน้าจะเอามาให้ก็เถอะแต่ก็ไม่รู้เมื่อไหร่ค่ะ 

 

ระหว่างที่เดินคิดอยู่นั้นก็มาถึงจุดที่มีสวนผลไม้ต่าง ๆ นานาชนิดแล้วล่ะค่ะ จะว่าไปยังไม่เคยกินอย่างอื่นนอกจากแอปเปิ้ลเลยนินา งั้นลองดูสักหน่อยคงไม่เสียหายหรอกนะคะ ว่าแล้วก็เด็ดองุ่นมาหนึ่งพวงแล้วเด็ดลูกองุ่นที่ดูเน้น ๆ เข้าปากทันทีค่ะ 

 

” อร่อย !! ” องุ่นนี่ก็อร่อยมากเลยค่ะ มีรสหวานอมเปรี้ยวนิด ๆ ทำให้รู้สึกสดชื่นมากเลยค่ะ แถมยังไม่มีเมล็ดอีกด้วย เอ๊ะ ? ถ้าเอาไปขายที่โลกจริงล่ะก็รวยเป็นเทน้ำเทท่าแน่ค่ะ แบบนี้คงต้องลองหมดทุกอย่างซะแล้วล่ะค่ะ 

 

” อื้ม !! อันนี้ก็อร่อยค่ะ ! ” ส้มที่หยิบมาลูกกลมสวยไร้ตำหนิสีส้มทอง แถมยังปลอกเปลือกง่ายมากเลยค่ะ รสชาติหวานช่ำน้ำเยอะอะไรแบบนี้ ถ้าเอาไปคั้นเป็นน้ำคงได้น้ำส้มชั้นเลิศที่เสิร์ฟในร้านอาหารหรูแน่ ๆ เลยค่ะ 

 

ลองจากนั้นก็ลองกินหลาย ๆ อย่างไม่ว่าจะเป็นเชอร์รี่ กล้วย และอะไรอย่างอื่นอีกมากมาย ไม่ว่าจะอันไหนก็อร่อยไปหมดเลย เป็นผลไม้ชั้นเลิศที่เรียกได้ว่าคัดเกรดคุณภาพระดับ AAA เลยค่ะ จะว่าไปตอนที่พวกคุณโยฮันเอาของมาถวายก็มีพวกผลไม้เหมือนกันแต่แปลกที่อันนั้นไม่อร่อยเหมือนกับที่ฉันหยิบกินเองค่ะ ทั้งที่น่าจะเก็บมาจากจุดเดียวกันแท้ ๆ เพราะเห็นจูน่าจังมาเก็บผลไม้ในตอนที่เจอกันครั้งแรกนิคะ หรือจะคิดไม่เองหรือเปล่านะ 

 

อ๊ะ ! จะว่าไปมีสกิลเวทย์ ‘เหินฟ้า’ ที่ทำให้ผู้เล่นลอยได้อยู่นิคะ ถึงจะไม่มีแผนที่แต่ก็สำรวจด้วยตัวเองได้ ทำให้รู้ว่าในป่าเป็นอย่างไรได้ด้วยค่ะ ทำไมฉันถึงได้ลืมสกิลเวทย์ที่ตัวเองใช้บ่อยขนาดนี้ได้กันคะ ! ถ้าพูดถึงสกิลเวทย์ ‘เหินฟ้า’ เป็นอีกหนึ่งในสกิลเวทย์ที่นิยมใช้มากในอาชีพสายนักเวทย์ค่ะ เนื่องจากว่าผู้เล่นในอาชีพนี้จะมีค่า AGI ค่อนข้างน้อยทำให้เคลื่อนไหวได้ช้าถ้าเทียบถ้าอาชีพอื่น ๆ ทำให้ตกเป็นเป้าได้ง่ายเวลาสงครามแย่งชิงพื้นที่ 

 

จึงมีเวทย์ ‘เหินฟ้า’ ขึ้นมาเพื่อให้เหล่านักเวทย์ทั้งหลายสามารถเอาตัวรอดไปได้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะบินได้อย่างอิสระขนาดนั้นเพราะสกิล ‘หินฟ้า’ เป็นสกิลที่กิน MP พอสมควรยิ่งได้หากคนที่ไม่มีสกิลฟื้นฟู MP อัตโนมัติด้วยแล้วใช่ไม่เกิน 10-15 นาที MP ก็หมดแล้วล่ะค่ะ แต่โชคดีที่ฉันมีทั้งสกิล MP อัตโนมัติและยังมีของส่วมใส่ที่เน้นไปทาง MP และพลังป้องกันเวทย์ทำให้จะบินเป็นวันก็ไม่มีปัญหาค่ะ 

 

” ‘เหินฟ้า’ ” เมื่อคิดได้ก็ร่ายสกิลเวทย์ทันทีค่ะ แสงสีฟ้าจาง ๆ วนอยู่รอบตัวก่อนจะห่อหุ้มผิวหนังจองฉันเหมือนตอนที่ใช้สกิลเวทย์สนับสนุนทั้งหลายนั่นแหละค่ะ เพียงแต่ว่าจะแสงจะแตกต่างกันเช่น พละกำลังจะเป็นแสงสีแดง ความว่องไวจะเป็นสีเขียว และความแว่นยำจะเป็นสีเหลือง ส่วนสกิลเวทย์ ‘เหินฟ้า’ จะเป็นแสงสีฟ้า เมื่อแสงจากสกิลเวทย์ห่อหุ้มตัวฉันเสร็จแล้ว ตัวฉันก็ลอยขึ้น และยังสามารถควบคุมได้เหมือนในเกมอีกด้วย

 

แต่สิ่งที่แตกต่างจากในเกมคือ กระแสลม นั่นเองค่ะเพราะในเกมนั้นจะมีบางพื้นที่เท่านั้นที่ทีมงานมีการ Setting ให้มีกระแสลมหรือภูมิอากาศที่แตกต่างกันซึ่งสกิลเวทย์ ‘เหินฟ้า’ เองก็จะโดนสภาพภูมิอากาศของแต่ละแผนที่คอยรบกวนด้วยค่ะ เพื่อเป็นการปรับสมดุลไม่ใช่เหล่านักเวทย์ในเกมได้เปรียบจนเกินไป 

 

แต่พอได้บินจริง ๆ แบบนี้รู้สึกดีกว่าในเกมเป็นไหน ๆ เลยค่ะเพราะมีแรงลมต้านและได้รับลมเย็นมากระทบร่างกายทำให้รู้สึกดีสุด ๆ เลยค่ะ โชคดีจริงๆ ๆ ที่ฉันไม่ได้เป็นโรคกลัวความสูง พอได้ยินบินเล่นแล้วก็บินเพลินค่ะ ลืมไปเลยว่าจะต้องบินสำรวจป่า เอาล่ะ ๆ ทำงานค่ะ ๆ ต้มแก้มตัวเองเบา ๆ เพื่อเรียกสติเสร็จแล้วก็บินให้สูงขึ้นเพื่อนให้ได้มุมมองที่กว้างที่สุดเท่าที่พอจะมองเห็นได้ค่ะ แต่ก็ไม่ลืมร่ายเวทย์ ‘นัยน์ตาเหยี่ยว’ เพื่อเพิ่มระยะการมองเห็นเข้าไปด้วยค่ะ ไม่งั้นคงลำบากน่าดู 

 

หลังจากที่บินได้รอบ ๆ ป่าหลายรอบทำให้พอเห็นภาพรวมแล้วล่ะค่ะ ที่แน่ ๆ เลยคือบ้านต้นไม้ของฉันเป็นต้นที่ใหญ่ที่สุดในป่าแบบไม่ต้องสงสัยเลยซึ่งอยู่ห่างจากบึงน้ำที่ไปทดสอบสกิลเวทย์ประมาณ 200 เมตร และที่สำคัญมองเห็นหมู่บ้านด้วยล่ะค่ะ จะต้องเป็นหมู่บ้านโคลินของจูน่าจังแน่ ๆ ให้กะด้วยสายตาน่าจะห่างจากบ้านต้นไม้ประมาณ 5 กิโลเมตร ถ้าเดินก็ถือว่าไกลอยู่นะคะ แต่ก็ไม่ถึงกับไกลจนเดินไม่ได้ ป่าที่ฉันอาศัยอยู่ก็ไม่ได้ใหญ่ขนาดนั้น 

 

และทางทิศใต้ของบ้านต้นไม้ของฉันจะเป็นภูเขา ถ้าจำไม่ผิดจะชื่อว่ามัวริสตามที่คุนโยฮันได้บอก เป็นภูเขาหิวที่ใหญ่มากๆเลยค่ะ ไม่มีต้นไม้หรือใบหญ้าขึ้นเลย แอบ ๆ เหมือนเขตแห้งแล้งเล็ก ๆ เลยล่ะค่ะ แต่เหมือนจะช่วยบังกระแสลมที่พัดลมมาจากชายฝั่งทะเลทำให้ป่าไม่ได้รับความเสียหายเวลาพายุมานะคะเนี่ย ถือมีประโยชน์มากเลยค่ะ 

 

พอบินสำรวจจนได้รู้ลักษณะภูมิศาสตร์ของป่าและพื้นที่รอบ ๆ แล้วก็บินลงบริเวณบึงน้ำ 

 

” บางทีอาจจะต้องลองตกปลาเองซะแล้วล่ะค่ะ ” เพราะเห็นมีปลาว่ายน้ำกระโดดจ่อมอยู่บ้างในบึงน้ำ แต่แปลกจังมันน้อยกว่าตอนแรกที่มานิคะ ตอนแรกที่มานั่งซึมเห็นปลาว่ายน้ำ กระโดดน้ำกันอย่างกับสวนน้ำดิสนีย์เวิลด์เลยไม่ใช่เหรอคะ 

ในระหว่างคิดอยู่นั้นก็เห็น มอนเตอร์ประเภทกระต่ายมีเขา คาบเอาปลาที่ตายอยู่ขอบบึงน้ำอีกฝั่ง พอมันสังเกตุเห็นฉันก็รีบคาบปลาแล้ววิ่งหนีไปในทันที เอ๊ะ ! เดี๋ยวนะคะ นั้นมันมอนเตอร์ ‘ฮอร์นแรบบิท’ นิ แต่นั้นไม่ใช่ที่สงสัยทำไมมีปลาตายเกิยตื้นที่ขอบบึงน้ำกันล่ะคะ ? ในวินาทีนั้นภาพจำในหัวเมื่อวานก็โผล่เข้ามาในสมองทันทีค่ะ

 

‘ ตูม….. !!!! ‘  อ๊ะ ! ที่โยนก้อนหินระเบิดน้ำตอนนั้นนั่นเอง เอ๋เดี๋ยวนะคะ นี่ฉันทำให้ปลาในบึงเกือบสูญพันธุ์งั้นเหรอคะ !  พอลองมองดูดี ๆ ก็มีปลาเกิยตื้นตายจำนวนหนึ่ง คิดว่าที่มันน้อยลงเพราะพวกมอนเตอร์คาบไปกินหมดแล้วนั้นเองค่ะ งืออ ไหงเผลอไปล้างบางปลาในบึงแบบไม่ได้ตั้งใจได้ล่ะคะเนี่ย …

 

ความคิดที่จะตกปลาหายไปจากสมองทันทีเหมือนกำลังรู้สึกผิด เฮ้อ…กินแอปเปิ้ลต่อไปก็ได้ค่ะ 

.

.

.

.

ทำยังไงดีล่ะคะเนี่ย ! หวังว่าไม่มีใครได้รับความเดือดร้อนหรือบาดเจ็บหรอกนะคะ ! ทะ-ถ้าหากว่ามีคนเป็นอะไรไปล่ะก็ ฉันต้องถูกหาว่าเป็นฆาตกรแน่ ๆ เลยค่ะ งื้อออ ถูกโยนเข้าคุกแล้วก็รอวันประหารเหมือนในหนังแน่ ๆ ค่ะ ! ตะ-แต่ว่าถ้าไม่มีใครรู้ว่าเป็นฉันก็ไม่น่าจะมีปัญหานิคะ ! ใช่แล้วค่ะ ต้องไม่ให้มีคนรู้ว่าฉันเป็นคนทำค่ะ สมกับที่เป็นฉันเลยค่ะ วิธีแก้ปัญหาที่สุดแสนจะอัจฉริยะไม่มีใครอยากเหมือนแน่นอนค่ะ ! 

 

อะ-เอาเป็นว่าตอนนี้ต้องไม่ทำตัวให้น่าสงสัยเวลาคนมาหาค่ะ อืม ๆ ! แบบนั้นคงพอกลบกลื่นไปได้แน่นอนค่ะ เอาล่ะหลังจากคิดวิธีกลบกลื่นได้แล้ว ก็หันมาลองเวทย์อื่น ๆ บ้างยังกับเรื่องที่ระเบิดเวหาเมื่อกี้ไม่เคยเกิดขึ้นแล้วกันค่ะ เอาล่ะตอนนี้ก็ยืนยันได้อีกเรื่องคือ ‘มหามนตราพิสุทธิ์’ ที่เป็นเวทย์ระดับสูงสุดสามารถใช้งานได้ไม่มีปัญหา แถมไม่รู้ว่าทำไมยังมีอานุภาพรุนแรงกว่าในเกมซะอีกค่ะ แถมเรื่องที่ยังต้องพูดคำร่ายที่แสนน่าอายก็ยังคงอยู่ไม่เปลี่ยนไปจากในเกมด้วยค่ะ ให้ตายสิ เป็นทีมงานเกมที่น่าโมโหจริง ๆ เลยค่ะ

 

เอาล่ะต่อไปลองเวทย์สายสนับสนุนบ้างแล้วกันค่ะ 

” ‘เพิ่มพลังช้างสาร’ ” สกิลเวทมนตร์สายสนับสนุนระดับกลางที่มักจะใช้ให้กับเพื่อนในปาตี้สายกายภาพนั่นเองค่ะ ผลของสกิลนี้ก็คือ เพิ่มสเตตัส STR (พละกำลัง) 20 % เป็นเวลา 3 นาที พอใช้เวทย์เสร็จแสงสีแดงที่เหมือนอัญมณีทับทิมก็ลอยอยู่รอบตัวก่อนจะห่อหุ้มรอบตัวของฉันไว้ก่อนจะซึมเข้าไปในร่างกาย แต่ทำยังไงให้รู้ผลดีล่ะคะเนี่ย อาชีพของฉันแทบไม่เคยใช้อาวุธหรือการโจมตีทางกายภาพมาก่อนเลยค่ะ เพราะเน้นใช้เวทย์เป็นหลักนั่นเอง 

 

” เอาแบบนี้แล้วกันค่ะ ” หยิบก้อนหินที่อยู่แถว ๆ บึงน้ำขนาดพอเหมาะขึ้นมาก้อนนึง เดาออกแล้วสินะคะว่าฉันจะทำอะไร ใช่แล้วค่ะ ! จะลองขว้างลงไปในบึงน้ำนั่นเองค่ะ อย่างน้อยก็น่าพอดูได้ว่าพละกำลังเพิ่มขึ้นมาจริง ๆ หรือเปล่า 

 

” เอาล่ะนะคะ ! ฮัดชะ ! ” ขว้างก้อนหินอย่างสุดแรงพร้อมส่งเสียงเรียกขวัญกำลังใจเหมือนหนังจีนกำลังภายใน จุดที่โยนไปคือบริเวณกลางบึงน้ำเพื่อให้เห็นเลยง่าย ๆ นั่นเองค่ะ 

 

‘ ตูมมม…….!!!!! ‘  บริเวณของบึงน้ำที่กระทบกับก้อนหินที่โยนไปเมื่อกี้ เกิดระเบิดน้ำขนาดใหญ่ น้ำในบึงพุ่งสูงขึ้นไปถึง 5 เมตร เกิดคลื่นน้ำรุนแรงแผ่กระจายออกมาจากจุดที่ระเบิดซัดเข้าหาชายฝั่งของบึงน้ำ ละอองน้ำที่ระเบิดโปรยลงมาเป็นฝนขนาดย่อม ๆ แล้วหยุดแต่ยังคงมีน้ำสั่นไหวไม่หยุด 

อ๊ะเระ  ??? นั่นมันอะไรกันคะ ความรุนแรงเหมือนโยนระเบิดน้อยหน่าลงไปในน้ำแบบนั้นน่ะ นี่มันแปลกเกินไปแล้วค่ะ !! ไหงมันถึงได้รุนแรงแบบนั้นกันคะ !! แต่เดิมแล้วสเตตัส STR (พละกำลัง) ของฉันก็ไม่ได้มากมายอะไรเลยด้วยซ้ำ น้อยกว่านักดาบที่เลเวล 400 ด้วยซ้ำ ถึงจะได้เวทย์ ‘เพิ่มพลังช้างสาร’ ช่วยก็เถอะค่ะแต่คิดยังไงก็แปลกอยู่ดีค่ะ นี่ยังแค่ระดับกลางเองนะคะ ยังมี ‘เพิ่มพลังยักษา’ ที่เป็นขั้นสูงสุดของสกิลเวทย์สายเพิ่มสเตตัส STR (พละกำลัง) ถ้าเป็นสกิลเวทย์อันนั้นจะเพิ่มถึง 30 % เลยนะคะ !! แต่ถ้าเป็นสกิลนั้นจะบึงน้ำจะไม่เป็นหลุมอุกกาบาตกันพอดีหรอกเหรอคะ ! 

 

ไม่ได้ ๆ ! อันนี้ก็ไม่ได้อีกแล้วค่ะ ! ห้ามใช้ใส่ตัวเองเด็ดขาด ถ้าร่ายใส่ชาวบ้านอาจจะพอไหวแต่ถ้าตัวเองมีพลังขนาดนี้คงไม่พ้นถูกมองว่าเป็นพวกแรงควายสมองกล้ามแน่ ๆ เลยค่ะ งือออ… 

 

แล้วนี่ฉันจะลองสกิลเวทย์อะไรได้บ้างล่ะคะเนี่ย ! รู้สึกว่าสามัญสำนึกของสกิลเวทย์ตอนอยู่ในเกมกับในโลกนี้จะใช้ร่วมกันไม่ได้ซะแล้วล่ะค่ะ จากนั้นฉันก็ได้ลองอีกหลายๆสกิลเวทย์ค่ะ ไม่ว่าจะ ‘นัยน์ตาเหยี่ยว’ ที่ช่วยเพิ่มค่าสเตตัส DEX (ความแม่นยำ) ที่เหมือนจะแตกต่างจากในเกมคือ ไม่ใช่แค่ทำให้การโจมตีแม่นยำไม่พลาดเป้าเท่านั้น แต่ยังเล่นเพิ่มระยะการมองเห็นให้ไกลขึ้นอีกด้วยค่ะ หรือจะเป็นสกิลเวทย์ ‘ฝีเท้าลมกรด’ ที่เพิ่มสเตตัส AGI (ความว่องไว) ที่ก็เล่นเอาฝีเท้าเร็วขึ้นขนาดที่ ยูเซนโบลต์ คงได้แค่นอนร้องไห้กัดผ้าห่มน้อยใจแน่ ๆ ค่ะ 

 

รู้ตัวอีกทีก็ตะวันลับฟ้าแล้วค่ะ วันนี้ได้ลองไปก็หลายสิบสกิลเลยทีเดียว ถ้าให้กะเอาน่าจะประมาณ 60-70 สกิลที่ใช้ประจำค่ะ เพราะสกิลทั้งหมดที่ตัวฉันมีคือ 220 สกิล แบ่งเป็นสกิลเวทย์ 160 สกิล , สกิลสามัญ 20 สกิล , สกิลงานฝีมือ 25 สกิล , สกิลเควส 15 สกิล รวมทั้งหมด 220 สกิลค่ะ สกิลเวทย์กับสกิลสามัญก็ที่เคยอธิบายไปก่อนหน้านี้นั่นแหละค่ะ แต่สกิลงานฝีมือจะเป็นสกิลจำพวกสร้างอุปกรณ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น อาวุธ โพชั่น เครื่องประดับ หรือแม้กระทั่ง ใบปลดล็อคสกิล ก็ตาม 

 

ในเกม Fantasy Garden มีสิ่งที่เรียกว่าใบปลดล็อคสกิลอยู่ ทำให้คนที่ขี้เกียจจะทำเควสเพื่อที่จะได้สกิลใช้เงินแก้ปัญหาแต่ก็ไม่ใช่ทุกสกิลค่ะ โดยเฉพาะเวทย์ระดับสูงสุดของแต่ละอาชีพหรือสกิลระดับสูงสุดของแต่ละเผ่า ผู้เล่นจำเป็นต้องมีเลเวลถึงกำหนดถึงจะสามารถรับเควสปลดล็อคสกิลระดับสูงสุดนี้ได้ จริงๆแล้วใบปลดล็อคสกิลส่วนใหญ่จะปลดล็อคได้ถึงแค่ระดับกลางเท่านั้น ทำให้ต่อให้จะรวยขนาดไหนแต่ถ้าไม่ขยันเล่นคงไม่สามารถไปถึงฝันได้หรอกนะคะ 

 

เฮ้อพอลองสกิลเวทย์หลาย ๆ อย่างเข้ารู้สึกเหนื่อยมากเลยค่ะ เหมือนจะเกี่ยวข้องกับ MP นะค่ะเนี่ย ตอนนี้ MP ของฉันเหลืออยู่ประมาณ 25 % เท่านั้นเอง งี้นี่เองถ้าหากใช้ MP มากๆล่ะก็จะทำให้รู้สึกเหนื่อยอ่อนล้าสินะคะ เอาเถอะค่ะยังไงซะก็คงมีเฉพาะครั้งนี้เท่านั้นแหละ ปกติถ้าใช้ชีวิตประจำวันทั่ว ๆ ไปคงไม่มีเหตุให้ใช้สกิลเวทย์ใหญ่ ๆ ที่สิ้นเปลือง MP หรอกค่ะ คิดมากไปก็ปวดหัว ไปเด็ดแอปเปิ้ลกินก่อนจะกลับบ้านต้นไม้ก็แล้วกันค่ะ อ่ะ ! จะว่าไปยังไม่มีฟูกนอนเลยนี่นา เฮ้อ จะหาได้จากที่ไหนกันคะเนี่ย

.

.

.

.

ในขณะที่โนเอลร่ากลับบ้านต้นไม้นอนอิ่มสบายใจ ไม่ได้รับรู้เลยว่ารอบข้าง เกิดความวุ่นวายกันยกใหญ่ 

 

(ฝั่งหมู่บ้านโคลิน) 

” เอาล่ะ มากันครบแล้วใช่ไหม ” คุณปู่ที่ดูอาวุโสที่สุดในบรรดาตัวแทนของชาวบ้านที่มาประชุมกันในอาคารประชุมสภาหมู่บ้าน พูดเปิดประเด็นสอบถามถึงความพร้อมของการประชุมสภาหมู่บ้าน

 

สิ่งที่เรียกว่าสภาหมู่บ้านคือ กลุ่มตัวแทนหมู่บ้านที่มาจากการคัดเลือกของคนในหมู่บ้านซึ่งจะถูกคัดมาทั้งหมด 10 คนซึ่งพอรวมหัวหน้าหมู่บ้านแล้วจะเป็น 11 คน ซึ่งคนที่ถูกคัดเลือกมานั้นมีทั้งผู้หญิงและผู้ชายมีทั้งหนุ่มสาวและผู้ใหญ่ นอกจากนั้นยังมาจากหลาย ๆ อาชีพไม่ว่าจะ นายพราน ช่างฝีมือ หมอ เกษตรกร หรือจะเป็นพ่อค้าแม่ค้า เพื่อให้เป็นธรรมกับทุกฝ่ายเวลาประชุมนั่นเอง 

 

” ” ครับ / ค่ะ ! ” ” เสียงตอบลับของเหล่าสภาหมู่บ้านทั้ง 10 ดังพร้อมเพียงกันดูเป็นอะไรที่สามัคคีอย่างคัดไม่ถึงเลยทีเดียว โยฮันซึ่งเป็นหนึ่งในสภาหมู่บ้านตัวแทนของคนหนุ่มนายพราน นั่งอยู่ในที่นั่งลำดับที่ 7 ซึ่งอยู่เกือบ ๆ ท้ายโต๊ะถ้านับจากหัวหน้าหมู่บ้านซึ่งหน้าที่หัวโต๊ะ 

 

” เอาล่ะ บาคัส ช่วยเล่ารายละเอียดเหตุการณ์เมื่อวานนี้ให้ทุกท่านฟังทีนะ ” หัวหน้าหมู่บ้านไหว้วานให้คนที่นั่งถัดไปจากตนเป็นคนคอยช่วยอธิบาย บาคัส คือผู้เป็นว่าที่หัวหน้าหมู่บ้านคนถัดไป เป็นผู้ใหญ่วัยกลางคนที่ดูกำยำแข็งแกร่ง ในอดีตเคยเป็นทหารหลวงมาก่อน แต่ลาออกเนื่องจากเกษียณตัวเองและมาใช้ชีวิตที่หมู่บ้านที่อยู่ห่างไกลแบบนี้กว่า 20 ปีแล้ว 

 

” ครับ ! จากที่ทุกคนรู้กันดี เมื่อวานนี้เวลาประมาณ บ่าย 3 โมงเย็นนั้น มีระเบิดแสงสีขาวขนาดมหึมาอยู่บนท้องฟ้า จากคนที่เห็นระเบิดในตอนนั้นคาดว่าน่าจะอยู่บริเวณ เหนือป่าข้างหมู่บ้านใกล้ ๆ กับเขามัวริส ครับ ” บาคัสอธิบายอย่างตรงประเด็น กระฉับ และเข้าใจได้ง่าย 

 

(เหนือป่าใกล้กับภูเขามัวริสงั้นเหรอ ..นั่นมันใกล้ ๆ กับที่อยู่ของท่านโนเอลไม่ใช่เหรอ) โยฮันที่ฟังรายงานจากบาคัสคิดตามและเกิดสงสัยขึ้นมากระทันหัน 

 

(หรือว่าจะเป็นเหมือนที่จูน่าพูดจริง ๆ ถ้านั่นเป็นฝีมือของท่านโนเอลล่ะก็ พลังระดับนั้นคงเป็นเทพธิดาไม่ผิดแน่) โยฮันที่คิดใจลอยอยู่คนเดียวนั้นทำให้คาบัสซึ่งอธิบายอยู่เกิดสงสัยเลยทักขึ้นมา 

 

” เป็นอะไรไปโยฮัน นึกอะไรได้ขึ้นมางั้นเหรอ ? ” บาคัสเปิดประเด็นถามอย่างไม่ทันตั้งตัว ทำให้ทุกคนในที่ประชุมหันความสนใจไปที่โยฮันกันหมด 

 

” อ่า เปล่าครับ แค่คิดว่าตำแหน่งที่ระเบิดนั้นมันคุ้น ๆ เฉย ๆ ครับ ” โยฮันที่พึ่งจะรู้สึกถึงสายตาที่หันมาหาตน ตอบอย่างกัมกวม 

 

” คุ้นเหรอ ? คุ้นว่าอะไร พอจะบอกได้ไหม ” คาบัสยังคงมุ่งประเด็นไปที่คำตอบที่ดูจะมีข้อมูลของโยฮันอยู่บ้างอย่างตรงไปตรงมา ทำให้โยฮันที่กำลังคิดว่าจะพูดดีหรือเปล่าได้แต่ เหงื่อตก

 

เดิมที่ในตอนที่ชาวบ้านไปถวายผลไม้และขอบคุณกับโนเอลนั้นมีเพียงโยฮันที่เป็นพ่อของจูน่าที่เป็นสมาชิกสภาเพียงคนเดียวที่มา นอกนั้นก็เป็นเพื่อนบ้านที่สนิทด้วยเท่านั้น แต่ชาวบ้านส่วนใหญ่ยังไม่เชื่อเรื่องที่จูน่าพูด และหาว่าไร้สาระ ทำให้ตัวตนของโนเอลนั้นมีชาวบ้านเพียง 10 กว่าคนเท่านั้นที่รับรู้และศรัทธา แต่ไม่ใช่กับคนในสภาหมู่บ้านแห่งนี้ที่ทุกคนคิดว่าเป็นเรื่องเหลวไหล 

 

โยฮันกำลังคิดอย่างหนักว่า ถ้าหากระเบิดบนท้องฟ้านั้นเป็นฝีมือของโนเอลจริง ๆ หากพูดเรื่องโนเอลออกไปแล้วทำให้คนในหมู่บ้านทำเรื่องหยาบคาบกับโนเอลขึ้นมาล่ะก็อย่าว่าแต่หมู่บ้านแห่งนี้เลย แต่ทั้งโลกจะต้องล่มสลายเป็นแน่ แต่ถ้าสิ่งที่ทำได้ตอนนี้คือการอธิบายเรื่องที่โยฮันพอจะเข้าใจและ ยืนยันตัวตนของเทพธิดาโนเอลเท่านั้น 

 

” คะ-คือว่า ตำแหน่งที่เกิดระเบิดนั่นน่ะครับ เป็นตำแหน่งที่อยู่ใกล้ ๆ กับที่อยู่ของท่านโนเอลที่พวกผมกับชาวบ้านจำนวนหนึ่งได้นำของไปถวายเพื่อขอบคุณที่ช่วยชีวิตจูน่าลูกสาวของผมครับ ” ไม่รู้ว่าคิดถูกหรือเปล่าที่พูดออกไป แต่ยังไงก็คงถูกเค้นถามอยู่ดี แต่ถ้าหากเราเป็นคนอธิบายเองล่ะก็อาจจะพอทำให้พวกสภาหมู่บ้านเชื่อก็ได้ 

 

” หา ? ท่านโนเอล ใครกันล่ะนั่น ” ผู้หญิงวัยกลางผมสีดำตรงยาว ใบหน้าดูเป็นผู้หญิงที่ภูมิฐานและฉลาด เอ่ยขึ้นถามโยฮันที่ได้อธิบาย เธอคือประธานสมาคมแม่ค้าของหมู่บ้านโคลิน เฮเลน 

 

” อ่อ.. ใช่เรื่องที่หนูจูน่าจังบอกเมื่อวันก่อนหรือเปล่านะ ที่บอกได้เทพธิดาที่ชื่อโนเอลร่าช่วยเอาไว้น่ะค่ะ ” เสียงที่ตอบแทน แทรกขึ้นมาจากผู้หญิงที่หน้าตาสะสวย ดูอ่อนโย่นและใจดี ผมยาวสีฟ้าเข้มที่ดูเหมือนแม่น้ำอันสงบนิ่ง เธอคือ แอนนา หมอสาวสวยเพียงคนเดียวของหมู่บ้าน 

 

” อาระ นั่นไม่ใช่เรื่องเหลวไหลหรอกเหรอ ” เฮเลนเหมือนจะนึกได้จากคำพูดของแอนนา แต่ก็ยังไม่ปักใจเชื่ออยู่ดี 

 

” ไม่ครับ ผมได้พบกับท่านโนเอลจริง ๆ รูปลักษณ์ที่งดงามเกินจะบรรยาย รวมถึงเรื่องที่ท่านโนเอลเป็นไฮเอลฟ์เอง ก็ได้รับการยืนยันจากเจ้าตัวเองด้วยครับ ” โยฮันที่ต้องการลบคำสบประมาทที่ว่าเรื่องของลูกสาวตัวเองเป็นเรื่องเหลวไหล ยืนยันเสียงแข็งกับเฮเลน 

 

” ..หึ ” เฮเลนที่เห็นแววตาจริงจังของโยฮัน ได้แต่กลืนคำลงคอพร้อมาสะบัดหน้าหนีเหมือนรำคาญ

 

” งั้นโยฮัน นายจะบอกว่านั่นอาจเป็นฝีมือของเทพธิดาที่ชื่อโนเอลร่านั่นน่ะเหรอ ? ” คาบัสที่เห็นความเชื่อมั่นจากโยฮัน กล่าวถามโยฮันที่เหมือนจะชี้ทางให้คิดเหมือนกับตนเอง 

 

” ผมเองก็ไม่ทราบครับ เพียงแต่เรื่องที่นึกออกก็มีแค่เรื่องนี้…” โยฮันที่ตอบกลับพลางไหล่ตก เพราะยังไงซะมันก็เป็นแค่ข้อสันนิษฐานของโยฮันเท่านั้น

 

เกิดความเงียบระหว่างการประชุมจากข้อสันนิษฐานของทั้งคาบัสและโยฮันที่ตรงกัน จนในที่สุด..

 

” อืม..โยฮันเอ๋ย เจ้าเชื่อใจเทพธิดาที่ชื่อโนเอลร่านั้นมากน้อยแค่ไหน ” หัวหน้าหมู่บ้านเฒ่าที่เงียบฟังการประชุมมาโดยตลอดถามคำถามที่เหมือนจะทำให้คนในที่ประชุมเพ่งความสนใจไปที่โยฮันอีกครั้ง 

 

” ผมเชื่อครับ ท่านโนเอลจากที่ได้พูดคุยดูนั้นเรียกว่าอ่อนโยนมากครับ ไม่ถือตัวแถมยังพูดสุภาพแม้กับคนธรรมดาอย่างพวกเราด้วย คิดว่าไม่ใช่เทพธิดาที่ชั่วร้ายอะไรแน่นอนครับ ” โยฮันยืนขึ้นพูดอย่างหนักแน่น จนทำให้คาบัสและหัวหน้าหมู่บ้านหันมามองหน้ากันและกัน ก่อนจะเอ่ยปากพูดขึ้น

 

” เช่นนั้น โยฮันเจ้าช่วยพาข้าไปพบท่านโนเอลหน่อยได้หรือไม่ ? ” หัวหน้าหมู่พูดขอความต้องการที่เหมือนกับโยนระเบิดให้กับโยฮัน ไม่ใช่แค่โยฮันเท่านั้น แม้แต่ทุกคนในที่ประชุมยกเว้นคาบัส ก็พากันหน้าซีดกับสิ่งที่หัวหน้าหมู่บ้านพูด 

 

” ดะ-เดี๋ยวก่อนสิครับ ! ท่านผู้เฒ่า ! มันอันตรายนะครับ ท่านจะเชื่อคำพูดของเด็กตัวเล็ก ๆ นั่นน่ะเหรอ นั่นอาจจะเป็นกับดักก็ได้นะครับ โยฮันอาจจะเข้าใจผิดไปเองก็ได้นะครับ !! ” เสียงไม่เห็นด้วยของผู้ชายวัยกลางคนอีกคนที่นั่งตรงกันข้ามกับคาบัสที่นั่งเงียบฟังมาตลอดคัดค้านหัวชนฝา ชายวัยกลางคนผมสีส้มแดง หน้าตาเหมือนโมโหอยู่ตลอดเวลา คือ อีวาน

 

” ถ้าอย่างนั้น ขอฉันได้ด้วยจะได้ไหมคะ ? ” แอนนาที่ดูเหมือนจะขอร่วมวงกระโดนโยนตัวแจมกับเขาด้วย ทำเอาอีวานที่ทนไม่ไหวที่เห็นหลายคนในที่ประชุมเลือกที่จะเชื่อคำพูดของโยฮัน ถึงกับตบโต๊ะขึ้นมา 

 

” นี่เจ้าก็เอากับเค้าด้วยงั้นเหรอ แอนนา !! ” 

 

” ก็ไม่เห็นเป็นอะไรนี่คะ ที่จริงฉันก็สนใจตั้งแต่ที่จูน่าจังป่าวประกาศแล้วล่ะ ตอนคุณโยฮันไปขอบคุณก็ว่าจะไปด้วยอยู่หรอกแต่ฉันติดที่มีคนไข้มาพอดีน่ะค่ะ ” แอนนาที่พูดพร้อมทั้งรอยยิ้มงดงาม ว่าเธออยากจะไปพบกับโนเอลตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ทำให้อีวานได้แต่หน้าเหวอ 

 

” ก็อย่างที่ว่าไปนั่นแหละนะ อีวานถ้าหากเจ้าไม่อยากไปข้าก็ไม่บังคับหรอกนะ ” หัวหน้าหมู่บ้านเฒ่าพูดกับอีวานที่กำลังหัวเสีย 

 

” เอาเป็นเพื่อความสบายใจ พวกเจ้ามีใครอยากจะตามข้าไปบ้าง ” เมื่อโดนหัวหน้าหมู่บ้านโยนคำถามที่ยากจะตอบทำให้สภาหมู่บ้านทุกคนเอาแต่ก้มหน้า เว้นก็แต่ บาคัส โยฮัน แอนนา สามคนเท่านั้นที่ยกมือ 

 

” งั้นเอาเป็นตามนั้นและกัน  เลิกประชุมได้… ” หลังจากที่หัวหน้าหมู่บ้านประกาศเลิกการประชุมบาคัสก็เดินตามหัวหน้าหมู่บ้านออกไปทันที สภาแต่ละคนก็ทยอยออกไปจนหมดเหลือแต่อีวาน 

 

” เวรเอ้ย !!! ” อีวานที่สบทพร้อมกับทุบโต๊ะด้วยความโมโห เสียงดังที่ไม่มีใครได้ยิน….

.

.

.

.

ปล. เมื่อบทนั้นมีตัวละครใหม่จะอัพแนะนำตัวละครให้ในหน้าแนะนำทุกครั้งนะครับ (แต่อาจะไม่ใช่ทุกตัวนะ) 

  

ไม่นานหลังจากที่ครอบครัวของจูน่าจังกลับไปแล้ว ฉันก็ไม่มีอะไรทำเลยค่ะ ที่จริงก็แอบดีใจที่ได้คุยกับคนอื่นเหมือนกันค่ะ เพราะแต่เดิมในโลกจริงแล้วไม่ค่อยได้คุยกับคนอื่นเลยพอได้คุยจริง ๆ จัง ๆ กับคนอื่นแล้วรู้สึกดีมากเลยค่ะ 

 

แต่ตอนนี้พอครอบครัวจูน่าจังกลับไปแล้วก็เลยแอบเหงา ๆ เหมือนกันค่ะ แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้เจอกันอีกสักหน่อยนี่คะ ! แต่ถ้าจะมาแบบทั้งหมู่บ้านแล้วคุกเข่าสรรเสริญแบบนั้นไม่เอานะคะ ขอล่ะค่ะ ! 

 

เอาล่ะ ตอนนี้ได้เวลาทดสอบอะไรหลาย ๆ อย่างแล้วค่ะ ที่จะทำน่ะเหรอคะ ? แน่นอนค่ะ ว่าต้องเป็นการทดสอบสกิลของตัวเองยังไงล่ะคะ ถึงจะเคยใช้เวทมนตร์มาแล้วก็เถอะค่ะ แต่ส่วนใหญ่ก็ยังไม่รู้ขีดความสามารถของตัวฉันเลยเพราะไม่รู้ว่าจะเหมือนกับในเกมมากน้อยขนาดไหนนั้นเองค่ะ 

 

จุดทดสอบคือบึงน้ำที่เคยไปนั่งซึมในตอนที่พึ่งจะมาถึงโลกนี้นั่นเองค่ะ เพราะว่าบางทีอาจจะต้องทดสอบเวทย์โจมตีอาจจะเกิดการระเบิดหรือไฟไหม้กับป่าได้เลยต้องทดสอบกับสถานที่ที่มีน้ำน่าจะปลอดภัยกว่านั่นเองค่ะ เอาล่ะอย่างแรกฉันรู้สึกถึง HP และ MP ของตัวเองได้แม้จะไม่มีหน้าต่างแสดงเหมือนในเกมแล้วก็ตาม ที่บอกว่ารู้สึกได้ไม่ได้ละเอียดพอจะบอกว่าลดไปเป็นตัวเลขเท่าไหร่หรอกนะคะ แต่อย่างตอนใช้เวทย์ก็รู้แค่ว่าลดไปนิดหน่อยเท่านั้นเอง เพราะงั้นเลยต้องลองเวทมนตร์ขั้นสูงที่กิน MP ดูบ้างเพื่อดูว่าตัวเองจะรับรู้ละเอียดขนาดไหนนั้นเองค่ะ 

 

ต่อมาคือฉันรับรู้ถึงคูลดาวน์ของสกิล อันนี้เหมือนจะรู้สึกแบบละเอียดเลยล่ะค่ะเพราะแต่เดิมตอนอยู่ในเกมก็มีเป็นวินาทีนับถอยหลังบอกอย่างชัดเจนอยู่แล้ว ทำให้พอมาโลกนี้เลยสามารถรับรู้ได้อย่างละเอียดเลยว่าอีกกี่วินาทีหรือกี่นาทีถึงจะหมดคูลดาวน์ แต่ก็มีเวทมนตร์บางอย่างที่จะคูลดาวน์นานเป็นวันเลยทีเดียวค่ะ ส่วนใหญ่จะเป็นเวทย์ชั้นสูงระดับสูงสุดที่เรียกว่า ‘ มหามนตราพิสุทธิ์ ‘ ซึ่งแต่ละเวทย์นั้นจะมีคูลดาวน์ค่อนข้างนาน บางทีเป็นอาทิตย์เลยก็มีค่ะ เพราะมักจะเป็นเวทย์ที่มีอานุภาพรุนแรงและแสดงผลเป็นวงกว้างที่อาจจะครอบคลุมทั้งประเทศเลยก็มี พวกจอมเวทย์แถวหน้าที่อยู่ในกิลด์ใหญ่ ๆ มักจะเก็บไว้ใช้กันในเวลาสงครามชิงพื้นที่ระหว่างกิลด์เท่านั้นค่ะ 

 

แต่ที่จะลองไม่ใช่แค่เวทย์สายโจมตีเท่านั้นค่ะ เพราะส่วนมากแล้วฉันจะเน้นใช้เวทย์สายสนับสนุนเวลาเล่นกับปาตี้ ทำให้อยากรู้ว่าในโลกนี้จะมีผลเหมือนกับในเกมหรือเปล่า และที่สำคัญอยากรู้ว่าสกิลที่สามารถชุบชีวิตในโลกนี้จะได้ผลหรือเปล่าแต่น่าเสียดายจริง ๆ ค่ะว่าฉันไม่มีสกิลที่ว่านั้น เพราะสกิลชุบชีวิตจะมีเฉพาะคนที่เล่นอาชีพ ‘ นักบวชระดับสูงสุด ‘ (Ultimate priest) เท่านั้น อาชีพนี้มีบทบาทมาก ๆ เวลาลงดันเจี้ยนระดับ SSS หรือ สงครามแย่งพื้นที่ระหว่างกิลด์ เพราะตอนอยู่ในเกมหากถูกฆ่าแล้วไปเกิดใหม่จะต้องกลับไปที่จุดเซฟของแต่ละเมืองที่คนคนนั้นบันทึกเอาไว้ ซึ่งส่วนมากทีมงานมักจะให้อยู่ไกลจากจุดที่เป็นบริเวณสงครามเสมอ ทำให้เสียเวลาที่จะกลับมาร่วมสงคราม ทำให้ช่วงหลัง ๆ มามีคนปั้นตัวละครรองเป็นอาชีพ ‘ นักบวชระดับสูงสุด ‘ ซะเยอะเพราะจำเป็นกับหลาย ๆ สถานการณ์นั่นเองค่ะ 

 

เดินมาจนถึงบึงน้ำแล้วค่ะ จริง ๆ บอกต้องบอกว่าเดินตามเสียงนำทางของธรรมชาตินั่นแหละค่ะเพราะฉันจำทางไม่ได้เลยต้องอาศัยเหล่าคุณต้นไม้ต่าง ๆ แต่จากที่ดูเหมือนจะอยู่ไม่ไกลจากบ้านต้นไม้มากนักใช้เวลาเดินมาประมาณ 6-7 นาทีก็ถึงถ้าวิ่งก็น่าจะประมาณ 4-5 นาทีเท่านั้น พอกลับมาที่นี่เองครั้งถึงได้รู้ว่าเป็นบึงน้ำที่สวยทีเดียวค่ะ เหมาะกับการมาปิกนิกมากเลยล่ะค่ะ แต่จะให้ปิกนิกคนเดียวนี่มันก็….ได้สิคะ ! คนที่เคยดูหนังในโรงคนเดียว กินหมูกระทะคนเดียวแบบฉัน กับอีแค่ปิกนิกคนเดียวน่ะสบายบรือค่ะ ! อะไรนะ เพื่อนไม่คบ ยะ-อย่ามาพูดแมว ๆ นะคะ ! ฉันก็แค่รักสันโดษเท่านั้นเองค่ะ ก็เป็นไฮเอลฟ์นี่คะ ! 

 

เอาล่ะได้เวลาลองสกิลหลาย ๆ อย่างแล้วค่ะ อย่างแรกเวทย์โจมตีชั้นต้นนั้นอย่าง ‘ ศรเวทย์ดารา ‘ ที่เคยใช้ตอนปราบพิกม่านั้นยืนยันแล้วว่าใช้ได้ไม่มีปัญหาอะไร เพราะสกิลนั้นจำนวนศรเวทย์จะเพิ่มแต่เมื่อใช้ปริมาณ MP มากขึ้นค่ะ แต่คราวนี้จะลองสกิลเวทย์ที่สูงขึ้น เมื่อคิดแบบนั้นแล้วก็ชูมือขึ้นไปบนฟ้า แต่ติดปัญหาอยู่อย่างนึงค่ะ

” แด่ตัวข้าที่เป็นเถ้าธุลีแห่งพระเจ้า เพลิงอันบริสุทธิ์ที่ชำระล้าง บาปของมนุษย์ที่ดำมืดน่ากังขา ชิ้นส่วนแห่งหายนะที่แตกสลาย จงบรรจบที่ความว่างเปล่าอันเป็นอนันต์ ‘ ดาราสวรรค์เพลิงศักดิ์สิทธิ์ ‘ !!!! ” ใช่แล้วค่ะ เวทย์ที่ฉันใช้ไปเมื่อครู่คือ ‘ มหามนตราพิสุทธิ์ ‘ เวทมนตร์ระดับสูงสุดของอาชีพ ‘นักปราชญ์เทวะ’ แต่มันโคตรน่าอายเลยคะ !! ไม่นึกว่าพอมาโลกนี้ก็ต้องใช้คำร่ายแบบจูนิเบียวแบบนั้นด้วย ตอนอยู่ในเกมเหล่าทีมงานดันคิดวิธีใช้ ‘มหามนตราพิสุทธิ์’ ไว้ว่าจะให้ใช้ง่าย ๆ ได้ยังไงกันล่ะ ต้องให้มันสมกับที่เป็นสกิลเวทย์ระดับสูงสุดหน่อยสิ เพราะงั้นถึงได้มีคำร่ายเบียว ๆ แบบนี้ออกมาไงคะ ช่วงแรกพูดเล่นที่เป็นเหล่าจอมเวทย์ก็โวยวายกันแบบมันน่าอายชะมัด แต่เหมือนผู้เล่นบางคนจะชอบ ชอบไปได้ยังไงกันคะเนี่ย !! ระหว่างที่นึกอายคำพูดตัวเองอยู่นั้น 

.

.

‘ ตูม…………………!!! ‘ เสียงระเบิดที่ดังก้องไปทั่วท้องฟ้า หมู่เมฆที่เคลื่อนตัวลอยอยู่โดนพัดปริ้วราวกับพายุที่โหมกระหน่ำในพริบตา แรงลมกระโชกที่พัดอย่างบ้าคลั่งเพราะแรงระเบิดอย่างรุนแรง ประกายแสงสีขาวที่เกิดจากเปลวไฟที่มีสีขาวเช่นเดียวกันควบแน่นและแตกออกเหมือนซูเปอร์โนวา คลื่นกระแทกที่รุนแรงส่งผลถึงพื้นดินที่อยู่ห่างจากแรงระเบิดลงมา 500 เมตร ต้นไม้บางต้นเอนแทบจะหักจากคลื่นกระแทก ต้นไม้เล็ก ๆ ปลิวจนรากถูกถอนอย่าไร้ปรานี ผลไม้ที่อยู่บนต้นถูกดีดยังกับกระสุนปืนต่อต้านรถถัง ไม่ต้องบอกก็คงนึกภาพออกนะคะ นี่มันระเบิดที่น่าจะรุนแรงยิ่งกว่าระเบิดระเบิดนิวเคลียร์ที่เคยใช้ในสงครามโลกครั้งที่สองซะอีก 

 

ตะ ตะ ตะ ตายแล้วค่ะ ! ฉันทำอะไรลงไปค่ะเนี่ย !! ไม่นึกว่ามันจะรุนแรงขนาดนั้น ในเกมยังไม่เห็นเหมือนแบบนี้เลยนิคะ ! ดีนะคะที่ชูขึ้นไปบนฟ้า ไม่งั้นละก็อย่าว่าแต่ป่าเลยค่ะ ทั้งภูมิภาคแถวนี้น่าจะพินาศย่อยยับแน่ ๆ ค่ะ !! แรงระเบิดจากเวทย์   ‘ ดาราสวรรค์เพลิงศักดิ์สิทธิ์ ‘  ส่งมาถึงพื้นดินจนทำให้เกิดมาสั่นเหมือนแผ่นดินไหวเล็ก ๆ เลยล่ะค่ะ 

 

บะ-แบบนี้คงต้องปิดผนึกสกิลนี้ไปตลอดกาลแล้วล่ะค่ะ เพราะไม่งั้นเผลอใช้ออกมาคงไม่จบที่ประเทศถูกทำลายแต่โลกคงจะพินาศตามไปด้วยแน่ ๆ ค่ะ นึกภาพว่าถ้าเมื่อกี้ระเบิดบนพื้นดินไม่ออกเลยจริง ๆ ค่ะว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง 

.

.

.

(ในช่วงเวลาเดียวกันอีกด้านหนึ่ง ฝั่งหมู่บ้านโคลิน)

” หะ-เห้ย !! เมื่อกี้มันอะไรกันน่ะ ระเบิดแสงสีขาวบนท้องฟ้านั่น ! ” ชาวบ้านที่เห็นจังหวะที่เวทมนตร์ของโนเอลถูกร่ายออกไปนั้นตะโกนอย่างตกตะลึง

” กรี๊ด………..!!!! ” 

” รีบพาลูกกลับเข้าไปในบ้านเร็ว ! ” ชาวบ้านที่น่าจะเป็นคุณพ่อลูกน้อย บอกภรรยาที่นั่งดูแลลูกอยู่หน้าบ้าน เมื่อเห็นว่าการระเบิดครั้งใหญ่ที่ส่งคลื่นกระแทกมายังพื้นขนาดนี้ อาจเกิดอันตรายไม่มากก็น้อยกับเด็กก็ได้ 

แรงระเบิดพัดพาลมกระโชกที่รุนแรงดังพายุ พัดเอาเสื้อผ้าที่ตากไว้ระหว่างระเบียงบ้าน 2 หลังปลิวว่อนไปอย่างรวดเร็ว กระถางต้นไม้ที่ประดับอยู่สถานที่ต่าง ๆ ในหมู่บ้านไม่เว้นแต่หน้าบ้านล้มแตกกระจัดกระจายไปทั่ว ข้าวของที่พ่อค้าแม่ค้าขายในตลาดกระจัดกระจายเพราะแรงระเบิด ตกเสียหาย บางที่เป็นผลไม้ก็ตกกลิ้งปลิวไปทั่ว 

 

สิ่งที่ชาวบ้านคิด นี่มันภัยพิบัติชัด ๆ แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมถึงมีระเบิดขนาดที่สามารถเป่าประเทศให้หายไปในพริบตาระเบิดกลางท้องฟ้าแบบนั้นกัน 

 

” นั่นมัน อะไรน่ะ ” โยฮันที่เห็นว่าแรงระเบิดและคลื่นกระแทกหมดไปแล้วเปิดหน้าต่างบ้าน เพื่อดูสถานการณ์หลังจากเกิดภัยพิบัตินั่น สิ่งที่เห็นคือหมู่บ้านที่เต็มไปด้วยข้าวของตกแตกเสียหายและกระจัดกระจาย เหมือนงานเทศกาลที่พึ่งจะเลิก 

” พ่อคะ ! หรือว่า ๆ นี่เป็นพลังของท่านโนเอลหรือเปล่าคะ ! ” จูน่าที่ตอนนี้ไม่ได้มีความหวาดกลัวเลยสักนิด แต่กลับถามโยฮันผู้เป็นพ่ออย่างคาดหวัง 

” ไม่รู้เหมือนกันนะ ถ้าหากเป็นท่านโนเอลที่มีพลังราวกับเทพธิดาละก็อาจจะใช่ ” โยฮันที่ไม่รู้จะตอบลูกยังไง เพราะตนก็ไม่รู้ที่มาที่ไปของสถานการณ์ตอนนี้เหมือนกัน 

” คุณคะ ! บะ-แบบนี้ถ้าหากมีระเบิดแบบนั้นอีกล่ะก็ เราควรจะทำยังไงดีค่ะ ลองขอให้ท่านโนเอลช่วยดีไหมคะ ! ” วิเวียนที่กำลังตกใจกับสิ่งที่ไม่รู้กำลังหาทางออกโดยการพึ่งพาท่านโนเอลที่พึ่งจะเจอวันนี้หมาด ๆ 

” ใจเย็น ๆ ก่อนวิเวียน ตอนนี้เรายังไม่รู้แน่ชัดว่ามันเกิดจากอะไร อีกอย่างจะไปรบกวนท่านโนเอลที่พึ่งช่วยชีวิตลูกเราได้ยังไงกัน ยังไงตอนนี้เราควรปรึกษากับทางสภาหมู่บ้านดูก่อนนะ ” เมื่อได้ยินสามีที่ตอนนี้แม้จะหวาดกลัวแต่กลับใจเย็นได้พูดปลอบใจและเตือนสติทำให้วิเวียนที่ทำอะไรไม่ถูกเริ่มใจเย็นลง 

” ค่ะ เข้าใจแล้ว ” 

ว่าดังนั้นแล้วเมื่อเหตุการณ์ระเบิดครั้งใหญ่จบลง โยฮันได้รับวิ่งไปที่บ้านของผู้ใหญ่บ้าน และได้เริ่มมีการจัดการประชุมสภาหมู่บ้านขึ้นในวันถัดไปทันที

.

.

.

(ทางด้านเมืองหลวงของอาณาจักรแอนวอลเลล์) 

เมอร์ริอาร์ จอมเวทย์หลวงที่รับใช้อาณาจักรแอนวอลเลล์มายาวนานถึง 50 ปี เป็นจอมเวทย์ที่เป็นที่กล่าวขานไปทั่วทั้งทวีปและอีกหลาย ๆ ทวีปเนื่องจากความสามารถและสติปัญญาอันเหนือล้ำของเขา และยังเป็นที่ปรึกษาให้กับพระราชาแห่งอาณาจักรแอนวอลเลล์อีกด้วย งานในแต่ละวันของเขาคือการควบคุมกองทัพเวทมนตร์ของอาณาจักรและฝึกสอนเหล่านักเวทย์ราชสำนักให้มีความแข็งแกร่งและรอบรู้เพื่อที่ในวันที่ตนจากโลกนี้ไป จะได้มีคนที่มาทำหน้าที่แทนตำแหน่งของตน

 

” เฮ้อ .. ” เสียงถอนหายใจของคนแก่ชราที่กำลังนั่งอยู่ไปโต๊ะทำงานที่เต็มไปด้วยหนังสือมากมาย ทั้งหมดนั้นล้วนแต่เป็นหนังสือเวทมนตร์ทั้งสิ้น แม้จะได้ชื่อว่าจอมเวทย์หลวงแต่เมอร์ริอาร์ก็ไม่หยุดที่จะค้นคว้าและแสวงหาความรู้เกี่ยวกับเวทมนตร์ใหม่ ๆ อยู่เสมอ แต่ที่ถอนหายใจให้ออกมานั้นเพราะยังไม่พบอะไรใหม่ ๆ ที่คิดว่าจะมาเติมเต็มเวทมนตร์ของตนได้ เพราะถ้าหากพูดว่าตอนนี้เขาคือจอมเวทย์ที่เก่งที่สุดในทวีปก็คงไม่มีใครคิดจะปฏิเสธ 

 

‘ ปัง ! ‘ ” ให้เมอร์ริอาร์ขอรับ !! ” เสียงขานเรียกที่ดูร้อนรนและเร่งด่วนที่มาหลังจากเสียงเปิดประตูดังชนิดที่หัวใจตกไปถึงตาตุ่มเข้ามาอย่างกะทันหันใส่เมอร์ริอาร์

 

” เจ้าบ้า !! คิดจะทำให้คนแก่หัวใจวายหรือไง !! ” ด้วยความโมโหจึงตะคอกใส่เด็กหนุ่มที่น่าจะเป็นนักเวทย์ของราชสำนักคนสนิทของตนกลับไป 

 

” แย่แล้วล่ะครับ ! ทางตะวันตกใกล้กับภูเขามัวริส มีคนรายงานว่ามีการระเบิดที่ใหญ่มาก ๆ บนท้องฟ้าครับ !! ” เด็กหนุ่มนักเวทย์พูดรัวสะจนเมอร์ริอาร์จับประเด็นไม่ทัน 

 

” เฮ้ย ๆ ใจเย็น ๆ หน่อยเซ่ข้าฟังไม่ทันโว้ย ! ” ด้วยความโมโหอีกรอบเลยตะโกนกลับไปเพื่อให้เด็กหนุ่มรู้ตัวว่าตนเองพูดเร็วซะจนคนอื่นฟังไม่ทัน 

 

” อ่ะ ขอโทษครับ มีรายงานที่ได้รับมาจากพ่อค้าเร่ว่า บนท้องฟ้าทางตะวันตกที่ใกล้กับภูเขามัวริสมีระเบิดแสงสีขาวที่รุนแรงมากที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนด้วยครับ ! ” เมื่อเด็กหนุ่มตั้งสติแล้วรายงานใหม่อีกรอบ ทำให้ได้รายละเอียดมากขึ้นแต่ข้อมูลครบถ้วน

 

” หา ? ระเบิดแสงสีขาว อะไรล่ะนั่น มีพวกนักเวทย์สติเพี้ยน (โนเอล) ร่ายเวทย์ระเบิดยักษ์ใส่ภูเขาเล่นหรือไง ” เนื่องจากไม่เชื่อคำรายงานของเด็กหนุ่มนักเวทย์เลยเผลอยิงมุกล้อเล่นใส่กลับไป

 

” เอ๊ะ ? มีคนที่เพี้ยนกว่าท่านเมอร์ริอาร์ด้วยเหรอครับ… ” 

 

” หา !? แกว่าใครเพี้ยนนะเจ้าบ้า ! ” ด้วยความโมโหแบบต่อเนื่องเมอร์ริอาร์เลยหยิบหนังสือที่อ่านอยู่โยนใส่เด็กหนุ่มนักเวทย์คนสนิท 

 

” กำแพงเวทย์ ” หนุ่มนักเวทย์ร่ายเวทย์ป้องกันเบื้องต้นออกมาเบา ๆ หนังที่เล่มหนาที่ถูกโยนใส่กระแทกกับโล่เวทมนตร์เรืองแสงสีขาวจาง ๆ แล้วตกลงสู่พื้น

 

” ท่านเมอร์ริอาร์ช่วยจริงจังหน่อยสิครับ ! มันอาจเป็นสัญญาณเตือนภัยครั้งยิ่งใหญ่ก็ได้นะครับ ! ถ้าเราไม่ตรวจสอบหรือทำอะไรเลยเราจะสายเกินไปก็ได้นะครับ ! ” พอถูกความจริงจังของหนุ่มนักเวทย์คนสนิทตะโกนใส่ เมอรร์ริอาร์ก็ได้แต่เอือมระอา ด้วยความแก่ชรายิ่งไม่ค่อยมีไฟจะทำอะไร นอกจากสิ่งที่ตนเองสนใจเท่านั้น 

 

” เออ ๆ รู้แล้ว ๆ รายละเอียดมีแค่นั้นใช่ไหม ” พอเริ่มมันจริงเป็นจังขึ้นมาก็เริ่มถามรายละเอียดกับหนุ่มนักเวทย์คนสนิท

 

” ตอนนี้มีเท่าที่รายงานครับ แต่ดูเหมือนใกล้ ๆ จุดระเบิดจะมีหมู่บ้านที่อยู่เกือบ ๆ สุดชายแดนฝั่งตะวันตก จะให้ส่งคนไปตรวจสอบไหมครับ ” 

 

” หืม..” เมอร์ริอาร์เอามือลูบคางพลางกำลังครุ่นคิดถึงสิ่งที่น่าจะเป็นไปได้ 

 

(แปลกจริง ๆ ถ้าแรงระเบิดใหญ่ขนาดนั้นมันจะเป็นอะไรไปได้ล่ะ เท่าที่คิดออกตอนนี้ก็มีแต่ลมหายใจมังกร แต่เห็นสีบอกว่าแสงสีขาวด้วยงั้นเหรอ หรือจะเป็นมังกรดาราสวรรค์กัน แต่ว่ามังกรส่วนใหญ่น่าจะอยู่ที่ทวีปซีเรียไม่ใช่หรือไงกัน อีกอย่างมังกรดาราสวรรค์ก็ขึ้นชื่อว่าเป็นมังกรที่รักสงบและมีสติปัญญาสูงส่ง ไม่น่าจะทำอะไรอย่างยิงลมหายใจมังกรเล่น ๆ คงต้องไปตรวจสอบดูจริง ๆ นั่นแหละ) 

.

.

.

.

ปล. ขอเปลี่ยนจาก ประเทศเป็น —> อาณาจักร แทนนะครับ

เหนื่อยสุด ๆ ไปเลยค่ะ กว่าที่พวกชาวบ้านจะยอมฟังที่พูดได้ เพราะเวลาจะพูดก็มักจะร้องกรี๊ดกันจนไม่ได้พูดสักที ยังกับในงานจับมือไอดอลเลยค่ะ บ้างก็ถึงกับเป็นลมชักดิ้นชักงอ บ้างก็จดบันทึกเสียงของฉันเป็นตัวโน๊ตเพลงเลยทีเดียว แต่ที่หนักสุดคงเป็นพวกวัยรุ่นหนุ่ม ๆ ที่บอกว่าตัวเองจะเลิกกับแฟนหันมาศรัทธาฉันอย่างเดียว ไม่รู้จะพูดยังไงเลยค่ะ นี่ฉันเป็นต้นเหตุให้หลายคนบ้านแตกงั้นเหรอคะ !? ไม่เอานะคะแบบนั้น เดี๋ยวโดนแฟนของพวกวัยรุ่นนั่นดักตบเอาแน่ ๆ เลยค่ะ

 

แต่หลังจากที่พวกชาวบ้านสงบเสงี่ยมยอมฟังที่ฉันพูดแล้ว คนที่เป็นเหมือนคู่สามีภรรยาที่ถือถาดที่มีผลไม้และดอกไม้ก็เดินเข้ามาหาฉันช้า ๆ เอ๋ แต่ทำไมกันนะ หน้าคุ้น ๆ เหมือนเคยเห็นมาก่อนเลยค่ะ

 

” ท่านเทพธิดาโนเอล พวกเราเป็นพ่อแม่ของจูน่า ขอบพระคุณท่านมากครับที่ช่วยชีวิตลูกสาวของพวกเราเอาไว้ บุญคุณครั้งนี้จะตอบแทนไปชั่วชีวิตเลยครับ ” อ่ะ อย่างงี้เองเหรอคะ พ่อแม่ของจูน่าจังนี่เองค่ะ จูน่าจังหน้าตาเหมือนคุณแม่มากเลยนะคะเนี่ย คุณแม่รู้สึกจะยังสาวอยู่เลย แถมยังสวยด้วยค่ะ ผมสีน้ำตาลอ่อนและดวงตาสีน้ำตาลเข้มแถมใบหน้ายังได้รูปถ้าหากอยู่ในโลกจริงที่ไม่ใช่เกมละก็คงได้เป็นไอดอลแน่ ๆ ค่ะ

 

ส่วนคุณพ่อเองก็เป็นหนุ่มหล่อไม่เบาเลยค่ะ ผมสีดำที่ตัดสั้นดูสมชายและดูพึ่งพาได้มาก ๆ เลยค่ะ รูปร่างดีและเหมือนจะมีกล้ามเนื้ออีกด้วย

 

” มะ-ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ ฉันแค่บังเอิญอยู่ในป่าตรงนั้นพอดี ” ตอบอย่างลนลานสุด ๆ เลยค่ะ ก็แหม ดันเล่นเคารพกันขนาดนี้ แถมยังคุกเข่าและมอบถาดผลไม้ให้อย่างกับถวายเครื่องเซ่นให้เลยนี่คะ ทำยังไงดี ๆ ไม่รู้แล้วค่า ! 

 

” ไม่หรอกค่ะ ! จูน่าเล่าให้ฟังว่าท่านโนเอลช่วยเหลือเธออย่างกล้าหาญและอ่อนโยนมาก จะไม่ให้ทดแทนบุญคุณได้ยังไงกันคะ ! ” เอ่อ .. คุณแม่ของจูน่าจังตอบกลับมาอย่างทรงพลังเลยค่ะ งืออ..แบบนี้ก็ปฏิเสธไม่ได้สิคะ 

 

” อะ- เอาเป็นว่าเข้าใจแล้วล่ะค่ะ ยังไงก็ยืนขึ้นเถอะนะคะ ” จะให้คุกเข่าต่อไปแบบนี้ มีแต่จะเกร็งกันเปล่า ๆ ต้องทำให้บรรยากาศดูเป็นกันเองมากขึ้นแล้วล่ะค่ะ ! 

 

” โอ้วว ช่างมีเมตตาเหลือเกิน แถมยังไม่ถือตัวอีกด้วยสมแล้วที่เป็นท่านเทพธิดา ! ” 

 

” ไม่ใช่แค่งดงามแต่ยังเปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยนหรือนี่ ! ” 

 

” เจ้าบ้า ! ท่านเทพธิดาน่ะ อ่อนโยนอยู่แล้วเว้ย ” 

 

ง่ะ ! กำลังจะทำให้บรรยากาศดูผ่อนคลายขึ้นแท้ ๆ แต่ไหงมันกลายเป็นแบบนี้ไปได้กันคะเนี่ย !! ช่วยหยุดกันด้วยเถอะค่ะ ! 

 

” ทุกท่านคะ ! แบบนั้นจะทำให้ท่านโนเอลรู้สึกแย่กันนะคะ ! ” โอ้ว เสียงสวรรค์ของจูน่าจังได้ช่วยฉันไว้ค่ะ ขอบคุณมาก ๆ เลยนะคะ จูน่าจังเป็นเด็กดีที่เข้าใจหัวอกฉันจริง ๆ เลยค่ะ

 

” ต้องสรรเสริญท่านโนเอลให้มากกว่านี้สิคะ เสียงยังเบาไปนะคะ ! ” ไม่ช่ายยย !!! จูน่าจัง ทำไมยิ่งไปใส่ไฟแบบนั้นกันล่ะคะเนี่ย !!! แล้วนี่มันอะไรกันน่ะ เป็นเจ้าลัทธิขึ้นมาซะแล้วเหรอคะ !! 

 

” โอ้วว ขออภัยด้วยครับท่านโนเอล พวกแก เสียงดัง ! ” 

 

” ” ท่านเทพธิดาโนเอล !!! ” ” 

 

ยอมแพ้แล้วค่ะ แบบนี้คงต้องปล่อยเลยตามเลยสินะคะ เฮ้อ… ไหงชีวิตของฉันมันถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้กันนะ 

.

.

หลังจากที่บอกกล่าวกับพวกชาวบ้านที่มาเคารพสรรเสริญฉันเสร็จแล้ว ก็เลยขอคุยกับพ่อแม่ของจูน่าจังเป็นการส่วนตัว เหมือนจะมีชาวบ้านบางคนบอกว่าอิจฉาที่ได้คุยกับท่านเทพธิดาด้วย ไม่ได้ ๆ ค่ะ ต้องปล่อยวาง ทำเป็นไม่เห็น ๆ ค่ะ

 

เลยเชิญพ่อแม่ของจูน่าจังและจูน่าจังเข้ามาในบ้านเพื่อพูดคุยถามข้อมูลเกี่ยวกับโลกนี้เท่าที่จะถามได้ค่ะ 

 

” เอ่อคือว่า ฉันอยากรู้รายละเอียดเกี่ยวกับโลกนี้น่ะค่ะ แบบประเทศต่างๆ วัฒนธรรมอะไรแบบนั้นน่ะค่ะ ” ต้องเริ่มจากเรื่องพวกนี้ก่อนสินะคะ อืม ๆ เริ่มต้นได้ดีทีเดียวค่ะตัวฉัน 

 

” เอ๋ ..อ่อ อย่างนี้นี่เองท่านโนเอลคงเก็บตัวอยู่ในป่ามานานสินะครับ ”  ก่อนจะมาที่โลกนี่ก็เก็บตัวค่ะ ไม่ค่อยมีเพื่อนหรือคุยกับใครด้วยค่ะ แทงใจดำมากเลยค่ะ !! แต่ก็ช่างเถอะค่ะ ปล่อยให้เป็นตามนั้นก็แล้วกัน 

 

” ปะ-ประมาณนั้นแหละค่ะ แฮะ ๆ ” ไม่ไหว ๆ กลบเกลื่อนได้แย่สุด ๆ ไปเลยค่ะ 

 

” โลกนี่มีชื่อเรียกว่า ‘การ์เด้น’ น่ะครับ ส่วนใหญ่คนบนโลกนี้มีความเชื่อว่าทั้งโลกเป็นเหมือนสวนที่เหล่าทวยเทพสร้างขึ้นมา ” อ่อ ‘การ์เด้น’ งั้นเหรอคะ จะว่าไปก็เหมือนกันในเกมสินะ เอาแต่เฉพาะคำหลังมาใช้แบบนี้หรือเปล่านะ 

 

” ในโลกนี้แบ่งเป็น 6 มหาทวีปครับ คือ มากาเรีย วินโดเนีย อัลคาเดีย วาซเซลเรีย แอสโมเดีย และซีเรีย ครับ ส่วนทวีปที่เราอยู่ในปัจจุบันคือ อัลคาเดีย เป็นมหาทวีปที่อยู่ตรงระหว่างมหาทวีปทั้ง 4 ครับ ” อ๋า เหมือนกับใน Fantasy Garden เลยค่ะทั้งจำนวนของมหาทวีปและก็ชื่ออีกด้วย แต่ไม่รู้ว่าลักษณะของภูมิภาคจะเหมือนกันด้วยหรือเปล่า แต่ค่อนข้างแน่ใจว่านี่คือโลกของ Fantasy Garden ไม่ผิดแน่ค่ะ เพียงแต่มันไม่ใช่เกมอีกต่อไปแล้วค่ะ 

 

” ส่วนประเทศที่เราอยู่คือประเทศ แอนวอลเลล์ ครับ เป็นประเทศที่อยู่ตรงกลางของมหาทวีป อัลคาเดีย ” แบบนี้เองสินะคะ ที่จริงก็พอเดาได้คร่าว ๆ ตั้งแต่เจอพิกม่าในป่าแล้วล่ะค่ะ เพราะว่าพิกม่าเป็นมอนเตอร์ที่จะเจอช่วงแรก ๆ แล้วเมืองแอนวอลเลล์ก็เป็นเมืองเริ่มต้นสำหรับผู้เล่นใหม่อีกด้วยค่ะ 

 

” อ่ะ ขอโทษนะคะ พอจะมีแผนที่หรืออะไรทำนองนั้นไหมคะ ” ในระหว่างที่คุณพ่อจูน่าจังอธิบายก็ลองถามถึงเรื่องแผนที่ดูค่ะ เพราะปกติแล้วถ้าหากเป็นในเกมจะมีหน้าต่างของแผนที่อยู่มุมบนซ้าย แต่ตอนนี้ไม่ใช่ในเกมจึงไม่มีอีกแล้ว

 

” พอจะมีอยู่ครับ แต่น่าเสียดายที่ผมไม่ได้นำมาด้วยไว้จะนำมาให้คราวหลังนะครับ ” คุณพ่อจูน่าจังพูดพร้อมกับก้มหัวขอโทษเป็นการใหญ่

 

” มะ-ไม่เป็นไรค่ะ แค่เล่าให้ฉันฟังก็ขอบคุณมากแล้วค่ะ ” ทำไมถึงได้อ่อนน้อมกันขนาดนี้ล่ะคะ เล่นก้มหัว คุกเข่ากันตลอดเลยแบบนี้ฉันก็ทำตัวไม่ถูกเหมือนกันนะคะ 

 

แต่จากที่ฟังมาคร่าว ๆ ก็ทำให้รู้ค่ะว่าน่าจะเป็นโลกที่เหมือนกับในเกม Fantasy Garden แถมประเทศก็ยังเหมือนกันอีกคิดว่าคงจะไม่ต่างกันแน่ ๆ ค่ะ แต่ถ้าได้แผนที่ด้วยก็คงจะดี 

 

” ละ-แล้วหมู่บ้านของพวกคุณ..เอ่อ ” จะว่าไปยังไม่ได้ถามชื่อของพ่อแม่ของจูน่าจังเลยนิคะ 

 

” ผมโยฮันครับ ส่วนภรรยาผมชื่อวิเวียนครับ ” คุณโยฮันแนะนำตัวเองเสร็จแล้วผายมือแนะนำไปที่คุณวิเวียนต่อ

 

” วิเวียนค่ะ ” คุณวิเวียนแนะนำตัวเองพร้อมกับก้มหัวให้อีกแล้วค่ะ 

 

” ฉัน โนเอลร่าค่ะ แต่ปกติจะถูกเรียกว่าโนเอลน่ะค่ะ ” คิดว่าถ้าให้แต่อีกฝ่ายแนะนำตัวจะเสียมารยาทค่ะ เลยต้องแนะนำตัวกลับไปบ้างค่ะ 

 

” ครับท่านโนเอล ” โดนเติมคำว่าท่านอีกแล้วล่ะค่ะ แบบนี้ก็ไม่หายเกร็งสักที แต่ฝ่ายที่จะเกร็งคือฉันนี่แหละค่ะ 

 

” หมู่บ้านของพวกคุณโยฮันอยู่ตรงส่วนไหนของประเทศ แอนวอลเลล์เหรอคะ ” ที่ถามเพราะต้องการหาตำแหน่งปัจจุบันบ้านของตัวเองค่ะ จะได้รู้ว่าควรจะไปที่ไหนหรือทำอะไรต่อยังไงล่ะคะ ! 

 

” หมู่บ้านเราชื่อ โคลิน เป็นหมู่ที่อยู่ทางตะวันตกใกล้กับทางฝั่งภูเขามัวริสครับ ” อ่ะ ! ใกล้กับภูเขามัวริสงั้นเหรอคะ ถ้าจำผิดนี่มันเกือบจะข้ามชายแดนไปอีกประเทศแล้วนะคะเนี่ย แสดงว่าเราอยู่ขอบประเทศเลยสินะ แต่หมู่บ้านโคลินไม่เคยได้ยินชื่อเลยน่าจะเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ 

 

” หมู่บ้านโคลินสินะคะ ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนเลยนะคะ ” ปกติแล้วถ้าเป็นหมู่บ้านที่อยู่ในเกมจะพอนึกออกบ้าง แต่ชื่อโคลินไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยอาจจะเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ทีมงานไม่ได้สร้างขึ้นเองก็ได้ 

 

” ครับเพราะหมู่บ้านของเราเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ น่ะครับมีคนที่อยู่ที่นี่เพียง 110 คนเองครับ ถ้าไม่เคยได้ยินก็คงไม่แปลกหรอกครับ ” จริงด้วยค่ะ ปกติหมู่บ้านในเกมที่อยู่ในแผนที่จะเป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่มีประชากรเริ่มตั้งแต่ 300 คนขึ้นไป ถ้ามีแค่ 110 คนก็คงจะไม่อยู่ในแผนที่สมัยเป็นเกมแน่นอนค่ะ 

 

” นี่ๆ พ่อคะ ! ท่านโนเอลน่ะ เป็นไฮเอลฟ์ด้วยนะ ! ” จู่ๆ จูน่าจังก็โยนระเบิดออกมาค่ะ เป็นเด็กที่น่ารักจนอยากจะหยิกแก้มนุ่ม ๆ แล้วตีก้นจริงๆ เลยค่ะ 

 

” อ๊ะ ! จริงหรอค่ะท่านโนเอล เป็นไฮเอลฟ์จริงๆงั้นเหรอคะ !! ” คุณวิเวียนที่ได้ยินแบบนั้นตบโต๊ะดัง ตึง ! พร้อมกับถามมาอย่างดุเดือดเลยล่ะค่ะ ถึงกับตกใจผงะเอนตัวไปข้างหลังเลยทีเดียวค่ะ 

 

” คะ-ค่ะ  ทะ-ทำไมเหรอคะ ” 

 

” นี่ ! วิเวียนมันเสียมารยาทต่อท่านโนเอลนะ ” คุณโยฮันที่เห็นภรรยาตัวเองดีดขึ้นมาตบโต๊ะขนาดนั้นเลยช่วยห้ามปรามให้ใจเย็น ๆ ลง

 

” อ๊ะ ! ขออภัยด้วยค่ะ ๆ ! พอดีฉันตื่นเต้นเกินไปหน่อยน่ะค่ะ ! ” เหมือนคุณวิเวียนจะลืมตัวนะคะ แหมก็ช่วยไม่ได้นิคะ ฉันตอนที่เปิดกล่องกาชาแล้วได้ของแรร์ก็ ตื่นเต้นจนไปฟลัดในช่องแชทกิลจนโดนหัวกิลบล็อคแชทไป 3 ชั่วโมงเลยค่ะ 

 

” จริง ๆ แล้วตอนฉันเป็นเด็กเคยได้ยินตำนานเล่าขานในเมืองหลวงน่ะค่ะ ว่าไฮเอลฟ์นั้นเป็นตัวตนที่เปรียบเสมือนเทพธิดาที่จะมอบคำอวยพรแห่งสันติ อีกอย่างในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาของโลกนี่ยังไม่เคยมีบันทึกไว้ว่าเคยเจอไฮเอลฟ์แม้แต่ท่านเดียวเลยค่ะ ” แบบนี้นี่เอง เหมือนจะอ้างอิงจากเกมที่ฉันเล่นเลยนะคะ เพราะฉันก็เป็นไฮเอลฟ์คนเดียวในเกมจริง ๆ เพราะไม่มีใครปลดล็อคเผ่าไฮเอลฟ์ได้มาก่อน อย่าว่าแต่ไฮเอลฟ์เลยค่ะ แต่เอลฟ์ธรรมดาก็ถือว่าหายากแล้วเพราะเล่นยากและสเตตัสอ่อนแอกว่าเผ่าอื่น ผู้เล่นที่ชอบเน้นผจญภัยจะไปเล่นเผ่าที่เน้นสเตตัสสูง ๆ กันเช่นเผ่ามนุษย์มังกร หรือไม่ก็ มนุษย์สัตว์กัน ส่วนคนที่อยากเล่นเผ่าที่เน้นเวทย์สายโจมตีหนักๆ ก็มักจะเล่นเผ่ามนุษย์หรือไม่ก็ภูติเพราะเรียนรู้และประยุกต์ใช้สกิลโจมตีได้หลากหลายกว่าเอลฟ์ 

 

แต่จากที่ฟังมาจากคุณวิเวียน แปลว่าตัวตนของฉันในโลกนี่ถือว่าเป็นของแปลกใหม่อย่างแน่นอนค่ะ ถ้าหากมีแต่ในตำนานอย่างที่คุณวิเวียนกล่าวแล้วละก็ หากคนใหญ่คนโตหรือกษัตริย์ของประเทศไหนรู้เข้าละก็อาจจะมาจับตัวฉันก็เป็นได้ค่ะ ถ้าแบบนั้นจะทำไงดีคะเนี่ย ถึงจะใช้เวทย์ถล่มทั้งประเทศไปได้ก็เถอะ แต่นี่มันชีวิตจริง ๆ แล้วนะคะ ก็เท่ากับฆ่าคนไปแล้วนะคะ ยังไงก็ต้องลองถามถึงเผ่าอื่น ๆ ดูบ้างเพื่อยืนยันตัวตนของฉันเองก่อนค่ะ

 

” เอ่อ แล้วในโลกนี้มีเผ่าอื่นอีกไหมคะ ” 

 

” มีค่ะ เผ่ามนุษย์สัตว์ เผ่ามนุษย์มังกร ภูติ เผ่าปีศาจ แล้วก็เอลฟ์ค่ะ แต่ส่วนมากแล้วจะอยู่แยกกันในแต่ละภูมิภาคเพราะบางเผ่ายังไม่ยอมรับมนุษย์ค่ะ อย่างเช่นเผ่าปีศาจที่ทำสงครามกับมนุษย์มาอย่างยาวนาน ส่วนภูติหรือเอลฟ์ส่วนมากจะอยู่โดดเดี่ยวเลยไม่ค่อยได้พบค่ะ ” 

 

แบบนี้เองเหรอคะ ในเกมนั้นผู้เล่นจะรับบทบาทเป็นเผ่าต่าง ๆ เลยไม่มีเนื้อหาในเรื่องที่เผ่าปีศาจกับมนุษย์ทำสงครามกัน ดูเหมือนนี่จะเป็นจุดที่แตกต่างจากในเกม Fantasy Garden สินะคะ แต่ก็ฟังดูสมกับเป็นโลกแฟนตาซีจริง ๆ ภูติกับเอลฟ์ที่มักจะสันโดษไม่ค่อยออกมาให้พบเท่าไหร่ก็เหมือนจะเป็นไปตามความเข้าใจตามสามัญสำนึกทั่วไปสินะคะ แต่แค่นี้ก็พอจะเข้าใจได้ 

 

” ท่านโนเอลอยู่ที่นี่มานานหรือยังคะ ” เอ๋ ? ถึงจะถามแบบนั้นไปก็เถอะค่ะ ถ้าตอบว่าเมื่อ 3 วันก่อนจะแปลกไหมนะ เห็นแบบนั้นก็ตอบถามอายุของตัวละครสมัยเป็นเกมไปเลยแล้วกันค่ะ 

 

” เอ่อ ตอนนี้อยู่มา 771 ปีแล้วน่ะค่ะ แฮะ ๆ ” มันดูแก่ไปหรือเปล่านะ ถ้าตอบตามอายุจริงในโลกก็ 19 แต่ไฮเอลฟ์บ้าอะไรอายุ 19 กันคะ ยิ่งตามน้ำเรื่องที่เก็บตัวในป่ายิ่งบอกไม่ได้ใหญ่เลยค่ะ ! 

 

” โอ้ว ! งั้นก็อยู่มาก่อนจะก่อตั้งอาณาจักร แอนวอลเลล์ อีกสินะครับ ประเทศนี้ตามบันทึกแล้วก่อตั้งมาประมาณ 600 ปีเท่านั้นเองครับ ” คุณโยฮันช่วยพูดตอกย้ำความแก่ของฉันตอนนี้จริง ๆ เลยนะคะ แต่ไม่ได้ ๆ จะหงุดหงิดไม่ได้ค่ะ ยังไงก็ตามน้ำไปแล้วทำได้แค่ตามไปเรื่อย ๆ จนถึงน้ำตกเลยแล้วกันค่ะ ! 

 

” ตะ-แต่ว่า ฉันเอาแต่เก็บตัวในป่าเลยไม่รู้เรื่องโลกภายนอก ก็เลยต้องถามพวกคุณโยฮันแบบนี้นั่นแหละค่ะ ” ถ้าหากอยู่มานานแล้วไม่รู้เรื่องราวอะไรคงจะถูกบอกว่ายัยโง่นี่ไปอยู่ไหนมา เลยต้องหาเหตุผลดักไว้ก่อนค่ะ ! 

 

” งี้เองสินะครับ พอเข้าใจแล้วล่ะครับ ” อ่ะ เหมือนจะยอมรับง่าย ๆ เลยค่ะ แต่ก็ถือว่าช่วยให้ไม่โดนสงสัยได้แล้วค่ะ 

.

.

.

หลังจากนั้นก็พูดคุยสอบถามข้อมูลต่าง ๆ จนพอเข้าใจเรื่องราวของโลกนี่ส่วนใหญ่แล้ว คุณโยฮัน คุณวิเวียนและจูน่าจังก็ได้กลับหมู่บ้านไป แต่ก็ไม่ลืมบอกกล่าวไปว่าไม่ต้องเอาของมาถวายก็ได้ค่ะ เพราะจริง ๆ แค่แอปเปิ้ลผลเดียวก็อิ่มทั้งวันแล้ว ตอนแรกคุณวิเวียนบอกจะเอาทั้งอาหารหรือเงินทองมาถวาย แต่ฉันห้ามหัวชนฝาเลยทีเดียวค่ะกว่าจะเข้าใจ เหมือนคุณวิเวียนจะศรัทธาฉันเอามาก ๆ ต้องขอบคุณคุณโยฮันจริง ๆ ที่คอยช่วยห้ามปรามภรรยา ส่วนจูน่าจังก็ไม่ต่างกันค่ะ ดูศรัทธาจนจะถวายชีวิตให้ฉันเลยค่ะ 

เฮ้อ แต่วันนี้ก็ช่วยให้ฉันเข้าใจอะไรหลาย ๆ อย่างได้แล้วล่ะค่ะ คงต้องคิดต่อไปว่าจะเอายังไงดีสินะคะ 

.

.

.

หลังจากส่งจูน่าจังกลับหมู่บ้านไปแล้ว ฉันก็เดินกลับเข้าไปในป่าเพื่อหาที่อยู่ต่อค่ะ รู้สึกว่าถ้าหากตามจูน่าจังไปที่หมู่บ้านด้วยจะเกิดเรื่องลำบากใจขึ้นแน่ๆเลยค่ะ เพราะงั้นกลับมาอยู่ในป่าตอนแรกน่าจะสบายใจกว่าและดูเหมือนว่าตอนอยู่ในป่า Passive skill ของไฮเอลฟ์จะทำงานด้วย

 

นอกจากจะสื่อสารกับธรรมชาติได้แล้วยังได้รับสกิล ‘พลังงานธรรมชาติ’ นั่นก็คือ ฟื้นฟู HP,MP อัตโนมัติ ถึงจะเพิ่มขึ้นอย่างช้า ๆ แต่ก็ถือว่าดีทีเดียวค่ะ แม้ว่าฉันจะมีสกิลสายรักษาอยู่แล้วก็เถอะ แต่ไม่รู้ทำไมอยู่ในป่ามันสบายใจกว่ามาก ๆ หรือเพราะตอนนี้ฉันเป็นไฮเอลฟ์กันนะ

 

แต่มีสิ่งหนึ่งที่ฉันแน่ใจแล้วแน่ ๆ ค่ะว่าที่ที่ฉันอยู่ตอนนี้ไม่ใช่ในเกมอีกต่อไปแล้วถึงจะมีมอนเตอร์แบบเดียวกันกับในเกมก็ตาม หลังจากใจเย็นแล้วคิดอย่างถี่ถ้วนแล้วคงจะคิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้ ฉันไม่สามารถออกเกมได้ มีคนที่เหมือน NPC มีชีวิตจริงๆขึ้นมา ไม่มีหน้าต่างเกมต่าง ๆ และอะไรหลายๆอย่าง ทำให้แน่ใจอย่างแน่นอนว่านี้ไม่ใช่เกมแต่เป็นโลกจริง ๆ แต่คิดว่าคงจะเป็นโลกที่เหมือน Fantasy Garden ไม่มีผิดแน่ ๆ ถึงจะหาสาเหตุที่มาที่นี่ได้ยังไง ก็คงจะเสียเวลาเปล่าเพราะฉันเองก็ไม่รู้ค่ะ 

 

เอาเถอะค่ะ ตอนนี้คงต้องหาที่อยู่อย่างน้อยก็ให้นอนผ่านวันนี้ไปได้ก่อน เมื่อเดินดุ่ม ๆ เข้าไปในป่าได้สักพักก็เหมือนจะได้ยินเสียงคุณต้นไม้ในหัวอีกแล้วว่า ‘ มานี่สิ ๆ ‘  เฮ้อยังไงก็ไม่ชินนะคะแบบนี้ เหมือนตัวเองกำลังหลอนจากการใช้ยาแก้แพ้เลยค่ะ แต่ด้วยความสามารถของไฮเอลฟ์ก็คงต้องยอมรับสินะคะ แต่ก็ไม่ได้มีแต่ข้อเสียหรอกนะคะ เสียงของธรรมชาติยังสามารถบอกทั้งแหล่งอาหารและเหตุการณ์ต่าง ๆ ในป่าได้อีกด้วยจึงอุ่นใจได้ 

 

” ว่าแต่จะให้ฉันเดินไปถึงไหนกันคะเนี่ย ” บ่นพึมพำในขณะที่เดินไปด้วยเพราะว่าเดินมากว่า10 นาทีแล้ว ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะถึงจุดที่เสียงในหัวเรียกไปหาเลย 

 

‘ ใกล้แล้ว ๆ ‘ เหมือนจะรู้ว่าฉันบ่นนะคะเนี่ย เอาเถอะยังไงก็ไม่มีอะไรในหัวอยู่แล้ว สู้ทำตามเสียงไปก่อนก็แล้วกันค่ะ หลังจากเดินมาต่ออีกประมาณ 5 นาทีก็เห็นเข้ากับต้นไม้ที่ใหญ่เอามากๆ ขนาดลำต้นใหญ่พอ ๆ กับพื้นที่บ้านเดี๋ยวทั้งหลังเลยค่ะ แถมยังสูงมากด้วยถ้าให้เดาน่าจะสูงประมาณ 15-20 เมตรได้ เป็นต้นไม้ที่ใหญ่ที่สุดตั้งแต่เห็นมาในป่านี้เลยค่ะ

 

แต่จุดสังเกตแรกที่ฉันเห็นก็คือทำไมถึงมีประตูและหน้าต่างอยู่ที่ต้นไม้ต้นใหญ่แบบนั้นกันคะ นี่มันหรือว่าจะเป็นบ้านต้นไม้ที่เคยเห็นในนิทานแฟนตาซีอะไรทำนองนั้นกันคะ แต่ว่าเป็นบ้านต้นไม้ที่ดูให้ความรู้สึกว่าเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติมากเลยค่ะ และดูเหมือนจะมีหลายชั้นด้วยเพราะดูได้จากหน้าต่างที่ติดอยู่เหนือประตูขึ้นไปอีกประมาณ 2-3 บาน

 

ยังไม่หมดแค่นั้นแถมด้านข้างยังมีเหมือนถ้ำไม่สิอุโมงค์เลยค่ะไม่รู้เอาไว้ทำอะไรเหมือนกัน 

‘ ที่นี่แหละ ๆ ‘ 

เหมือนเสียงในหัวจะอยากให้ฉันมาที่นี่สินะคะ เหมือนกำลังรู้ว่าฉันกำลังหาที่ซุกหัวนอนก็เลยพามาที่นี่สินะ 

 

” ขอบคุณมากเลยค่ะ ” พูดขอบคุณออกไปแบบลอย ๆ ถ้าคนอื่นมาเห็นคงจะคิดว่าฉันบ้าแน่ ๆ ค่ะ แต่ทำไงได้อุตส่าห์ช่วยพามาถึงบ้านต้นไม้ให้ทั้งทีนี่คะ แต่ก่อนอื่นบ้านนี้ไม่ใช่ว่ามีเจ้าของหรอกหรือคะ ไม่ต้องคิดให้ยุ่งยากเดินไปเคาะประตูถามเลยดีกว่าค่ะ

‘ ก๊อก ๆ ‘ ” มีใครอยู่ไหมคะ ” เคาะประตู 2 ครั้งก่อนจะเอ่ยเสียงถาม แต่กลับไม่มีเสียงตอบกลับมา ได้ยินแต่เสียงแต่ต้นไม้ใบหญ้าที่โดนลมพัดเท่านั้น หรือจะไม่มีคนอยู่จริงๆ อาจจะไม่มีเจ้าของมานานแล้วด้วยค่ะ เอาเป็นว่าขอถือวิสาสะเข้าไปล่ะนะคะ 

 

‘ เอี๊ยดด ‘ เสียงประตูที่เหมือนจะไม่มีการใช้งานมานานทำให้ฝืดนิดหน่อย แต่ก็เปิดออกได้ไม่ยากมากนักถึงแม้ว่าไฮเอลฟ์จะยังสเตตัสต่ำกว่าเผ่าอื่นก็ตาม แต่ก็ยังพอมีสเตตัสพละกำลังอยู่บ้างนะคะ 

 

หลังจากเปิดประตูออกก็พบว่าข้างในมีลักษณะเป็นบ้านจริงๆด้วย มีเครื่องใช้ต่าง ๆ อยู่ครบเพียงแต่เต็มไปด้วยฝุ่นที่เกาะเหมือนไม่มีคนใช้มานานแล้ว แต่เหมือนอุปกรณ์ส่วนใหญ่จะทำจากไม้ไม่ก็หิน เลยไม่ค่อยเสื่อมสภาพเท่าไหร่ แต่มองไม่ค่อยจะเห็นเลยล่ะค่ะ เพราะตอนนี้ก็เย็นมากแล้วแถมบ้านต้นไม้นี้ก็ต้นใหญ่จนเกิดร่มเงาบังแสงไปจนเกือบหมดเลยค่ะ พอคิดว่าจะใช้อะไรเป็นแสงสว่างเหมือนพวกไฟฉายได้บ้างไหมก็นึกออกพอดี ในเกมมีเวทย์สามัญอยู่นิคะ

 

เวทย์สามัญคือเวทย์ที่คนทั่วไปไม่ว่าจะเผ่าไหนก็ใช้ได้ทั้งนั้น ส่วนมากจะเป็นเวทย์ที่เน้นใช้งานทั่วไปในประจำวันในเกมไม่ได้มีความสามารถด้านโจมตีอะไร เช่นการเสกน้ำเพื่อเอาไว้ดื่มหรือไม่ก็ล้างสิ่งสกปรกให้กับอาวุธ แต่ที่ฉันกำลังจะใช้คือ เวทย์ ‘แสง’ ค่ะ เป็นเวทย์ที่เวลาลงดันเจี้ยนจะขาดไม่ได้เลยเพราะดันเจี้ยนส่วนมากจะอยู่ในถ้ำไม่ก็สถานที่ที่ไม่มีไฟเช่นพวกปราสาทเก่าแก่หรือเมืองร้างใต้สมุทรอะไรแบบนั้น ทำให้เวทย์ ‘แสง’ ถูกใช้งานบ่อยที่สุดในเกมเลยก็ว่าได้ค่ะ

 

” แสง ” หลังจากร่ายเวทย์โดยการเอ่ยคำสั้น ๆ ก็มีดวงแสงขนาดเท่าลูกบอลสีเหลืองนวลจาง ๆ ให้ความสว่างแต่สบายตามาก ไม่แสบตาหรือปวดตาเลย 

 

เมื่อได้แสงสว่างจากเวทย์ ‘แสง’ แล้วก็มองไปรอบ ๆ ตัวบ้าน คราวนี้เห็นชัดเจนทุกอย่างเลยค่ะ ของใช้ต่างๆ เรียกว่าครบเลยก็ว่าได้ ทั้งโต๊ะอาหาร ช้อน ส้อม หรือตู้เก็บกับข้าวเองก็ตาม ฉันลองเดินเข้าไปข้างในตัวบ้านก็เห็นบันไดทางขึ้นไปชั้นสองพอลองเดินขึ้นไปก็พบห้องที่คาดว่าเป็นห้องนอนค่ะ มีเตียงก็จริงแต่ไม่มีฟูกแฮะด้านข้างของเตียงมีหน้าต่างบานใหญ่ที่เห็นตั้งแต่ตอนอยู่หน้าบ้าน 

 

หลังจากเดินตรวจสภาพบ้านต้นไม้อยู่ประมาณ 15 นาทีก็คิดว่าสามารถอาศัยอยู่ที่นี่ได้ค่ะ แต่คงต้องทำความสะอาดก่อนแน่ ๆ เพราะมีแต่ฝุ่นทั้งนั้นเลยค่ะ แต่ว่าโชคดีที่มีเวทย์สำหรับใช้ทำความสะอาดโดยเฉพาะค่ะ

 

ปกติแล้วในเกมผู้เล่นจะไม่มีการอาบน้ำกันแต่จะใช้เวทย์ ‘ชะล้าง’ เพื่อทำความสะอาดร่างกายกัน เพราะในเกมนั้นจะมีมอนเตอร์ที่จะพ่นของเหลวต่าง ๆ ใส่ผู้เล่นได้ ถึงในเกมจะไม่ได้ทำให้รู้สึกอะไรแต่อาจจะติดดีบัฟเช่น ลดความเร็ว หรือ ลดการต้านทาน ลงได้ทำให้ต้องคอยชะล้างตัวละครอยู่เสมอ ๆ 

 

และเวทย์ ‘ชะล้าง’ นี้เองก็สามารถใช้กับอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้อีกด้วยแต่จะไม่สามารถซ่อมแซมอาวุธที่เสียหายได้ทำได้แต่ทำความสะอาดเท่านั้นค่ะ 

 

” งั้นเริ่มเลยละกันค่ะ ! ” พอเริ่มพูดเหมือนประกาศสงครามกับความสกปรกแล้วก็เริ่มร่ายเวทย์รัว ๆ เนื่องจากเป็นไฮเอลฟ์เผ่าที่มี MP สูงที่สุดในเกมจึงไม่ต้องห่วงเรื่อง MP จะหมด อีกทั้งยังมีสกิล Passive ที่คอยฟื้นฟู MP อัตโนมัติด้วยแล้วยิ่งสบายบรือค่ะ ! 

 

อีกอย่างเวทย์ ‘ชะล้าง’ ก็ใช้ MP น้อยอยู่แล้วแม้แต่ผู้เล่นที่เล่นสายโจมตีกายภาพที่ MP น้อยก็ยังใช้ได้หลายครั้งแบบชิว ๆ ค่ะ 

 

ทำความสะอาดผ่านไปประมาณ 40 นาที ก็เหมือนจะสะอาดทั้งบ้านเลยล่ะค่ะ เนื่องจากไม่ใช่การทำความสะอาดด้วยแรงของตัวเองทำให้ไม่เหนื่อยอะไรเลยด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้มีปัญหาอย่างหนึ่งคือฉันไม่มีฟูกนอนค่ะ แต่โชคดีที่มีโซฟาอยู่ในห้องนั่งเล่นชั้นล่างน่าจะนอนตรงนั้นไปพลาง ๆ ก่อน 

 

ถือว่าวันนี้พอแค่นี้ดีกว่ารู้ตัวอีกทีก็มืดแล้วค่ะ ถึงจะไม่รู้ว่ากี่โมงแล้วก็ตามแต่ตอนนี้อยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย รีบนอนแล้วตื่นเช้าจะดีกว่า คิดได้แบบนั้นก็ร่ายเวทย์ ‘ชะล้าง’ ใส่ตัวเองเพื่อให้สะอาดเหมือนพึ่งจะอาบน้ำมาหมาด ๆ และก็นอนลงที่โซฟาที่ห้องนั่งเล่น โซฟาเหมือนข้างในจะเป็นนุ่นนะคะเนี่ย แต่เหมือนจะถูกห่อหุ้มด้วยผ้าไม่ใช่หนัง ผ้าที่น่าจะทำจากวัสดุของใยไม้ธรรมชาติให้สัมผัสที่กำลังดีไม่นุ่มหรือแข็งจนเกินไปด้วยค่ะ 

 

เหมือนจะไม่มีผ้าห่มด้วยค่ะ เอาไว้ค่อยหาวันพรุ่งนี้แล้วกันค่ะ วันนี้ขอทิ้งตัวลงบนโซฟาแล้วปล่อยสติไหลไปตามก้อนเมฆก่อนแล้วกันนะคะ

.

.

เช้าวันถัดมาแทนที่จะได้ยินเสียงนกร้อง จิ๊บ ๆ เหมือนครั้งที่มาวันแรกหรือเสียงต้นไม้ใบหญ้าที่ถูกสายลมโบกพัดแต่วันนี้กลับเป็นเสียงอื่นแทนค่ะ เป็นเสียงเหมือนคนเลยค่ะ ใช่คนนั่นแหละค่ะไม่ใช่แค่คนเดียวหรือสองคนแต่เหมือนจะหลายสิบคนเลยค่ะ

 

สงสัยจังเลยค่ะว่าทำไมถึงได้มีเสียงคนเยอะแยะแบบนี้กลางป่ากันได้นะ ในระหว่างที่เดินขยี้ตาไปดูที่หน้าประตูก็เห็นเหมือนกลุ่มคนที่อยู่หน้าบ้านต้นไม้ประมาณ 10-20 คน ผ่านกระจกตรงประตู 

 

” เอ๊ะ ! นี่มันอะไรกันคะเนี่ย ! ” ความตกใจที่เกิดขึ้นแบบไม่ทันตั้งตัวเล่นเอาความง่วงเมื่อกี้เหมือนเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นเลยค่ะ ไม่ใช่แค่นั้นนะคะ บางคนเหมือนจะถือถาดที่เต็มไปด้วยดอกไม้และผลไม้ต่าง ๆ อยู่ด้วยเหมือนเวลาเราเอาไปถวายสิ่งศักดิ์สิทธิ์เลยค่ะ 

 

อ่ะ.. เดี๋ยวก่อนนะคะ จะว่าไปเมื่อวานนี้ตอนที่บอกลาจูน่าจัง

‘ เดะหนูจะไปบอกคนในหมู่บ้านเรื่องท่านโนเอลนะคะ!!! จะเอาของมาถวายให้แน่นอนเลยค่ะ!! ‘ 

 

เอ๋ !!!?? ยะ- อย่าบอกนะว่าเพราะจูน่าจังงั้นเหรอคะ ! แต่มันก็คิดได้ทางเดียวนี่คะ นึกว่าจะมาแค่คนเดียวซะอีกไหนเล่นพามาทั้งตระกูลแบบนั้นกันล่ะคะเนี่ย ไม่ค่ะ ต้องดูให้แน่ใจอีกที คราวนี้มองอย่างตั้งใจผ่านหน้าต่างของประตูบ้านต้นไม้แล้วก็เห็นร่างเล็กๆ ของเด็กผู้หญิงน่ารักผมสีน้ำตาลที่เจอเมื่อวานนี้ อยู่หน้าสุดของกลุ่มคนพวกนั้นเลยค่ะ

 

ชัว !! จูน่าจังนั่นเองค่ะ ! ไหงเป็นแบบนี้ไปได้ล่ะคะ ยังไงก็เถอะคงต้องออกไปถามว่ามาทำอะไรกันก่อนค่ะ เมื่อตัดสินใจได้แล้วก็ใช้เวทย์ ‘ชะล้าง’ ให้กับตัวเองอีกรอบหนึ่งเมื่อมั่นใจว่าสะอาดเรียบร้อยดีแล้วก็เปิดประตูโผล่หน้าออกไปทันใดนั้นเอง

 

” โอ้ววว !! ช่างงดงามอะไรถึงเพียงนี้ !! ” 

” นี่มันเทพธิดาชัด ๆ เลยนี่นา !! ” 

” เป็นอย่างที่ยัยหนูจูน่าบอกจริง ๆ ด้วย มีเทพธิดาผู้อ่อนโยนอาศัยอยู่ในป่าใกล้ ๆ เราด้วยหรือนี่ !! ” 

” แม่ครับ ในที่สุดผมก็เจอแล้วครับ เทพธิดาที่แม่บอกเอาไว้ตอนเด็ก ” 

 

เหล่าเสียงชื่นชมกล่าวออกมาอย่างตื้นตันใจ บางคนถึงกับน้ำตาไหลแล้วยกพนมมือไหว้กันเลยทีเดียว 

นะ..นี่มันอะไรกันคะเนี่ย ! ไหงทุกคนถึงได้คุกเข่าแถมยังหนมมือไหว้ฉันกันรัว ๆ แบบนั้นกันล่ะคะ ในระหว่างที่ฉันกำลังตกใจและทำตัวไม่ถูกอยู่นั้น จูน่าจังก็เดินช้า ๆ มาอยู่ตรงหน้าฉันแล้วคุกเข่าลง

 

” ท่านโนเอล เมื่อวันก่อนขอบพระคุณมากนะคะที่ช่วยชีวิตฉันไว้ ฉันจึงได้นำไปบอกกล่าวกับคนในหมู่บ้านและนำของมาถวายเพื่อเป็นการตอบแทนค่ะ ขอโทษด้วยนะคะที่พาคนมาได้เท่านี้ บางคนในหมู่บ้านก็ไม่เชื่อเรื่องที่หนูพูดน่ะค่ะ “

เดี๋ยว ๆ ๆๆ ! ก่อนนะคะ นี่คิดจะพามามากกว่านี้อีกงั้นเหรอคะ ! 

” เอ่อ..คือว่า ” ในขณะที่กำลังจะเอ่ยถามนั้นเอง

” เห้ย ! ท่านเทพธิดากำลังจะให้โอวาทแล้ว เงียบ ๆ ไอ้พวกบ้า ! ” 

” โอ้ว จะได้สดับฟังเสียงของท่านเทพธิดาแล้วหรือนี่ อ๊ะ! ไม่สิต้องรีบจดแล้ว ” 

…. ชักจะตามไม่แล้วซะแล้วล่ะค่ะ เหล่าชาวบ้านที่อยู่หน้าฉันตอนนี้เหมือนจะเห็นฉันเป็นเทพธิดาไปเรียบร้อยแล้ว แถมพอจะพูดบางคนถึงกับเตรียมกระดาษขึ้นมาเพิ่มจดบันทึกกันเลยทีเดียว งืออออ.. แบบนี้ทำยังไงดีล่ะคะเนี่ย! 

 

” จะ-จูน่าจัง นะ-นี่มันอะไรกันเหรอคะ ? ” พยายามถามสิ่งที่ต้องการคำตอบมากที่สุดทันที 

” หนูมาเพื่อขอบคุณแล้วก็ถวายอาหารและดอกไม้ให้กับท่านโนเอลค่ะ ” เพื่อขอบคุณสินะ ก็เข้าใจอยู่หรอกค่ะ แต่ทำไมถึงมาเป็นลัทธิกันแบบนี้ได้ละคะ 

” งะ-งั้นเหรอคะ ขอบคุณนะ ” ไม่รู้จะทำตัวยังไงดีเลยพูดขอบคุณแบบติด ๆ ขัด ๆ

” โอ้ววว !! ไพเราะอะไรเช่นนี้ ” 

” หะ เห้ย พวกใจเย็นๆ อย่าพึ่งเป็นลมไปสิ ” 

” ฉันจะไม่มีวันแคะหูอีกตลอดชีวิตเลย ! ” 

นี่ฉันควรทำยังไงกับสถานการณ์ตรงนี้ดีคะ …. นี่มันเกินกว่าหัวสมองน้อย ๆ ของฉันจะรับไหวแล้วนะคะ ! 

งือออ….. 

รู้ตัวอีกทีฉันก็โดนบูชาเป็นเทพธิดาไปแล้วล่ะค่ะ

.

.

.

 

ไม่รู้ผ่านไปกี่วันแล้วนะหลังจากนั่งจุ้มปุ๊กอยู่หน้าบึงน้ำ แต่จากที่เหมือนดวงอาทิตย์ขึ้นและตกดินก็น่าจะประมาณ 2 วันได้แล้วค่ะ เมื่อคิดว่าต่อให้นั่งซึมไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาท้องก็ร้องหิวขึ้นมาดื้อ ๆ จะว่าไปตั้งแต่หลุดเข้ามาอยู่ในเกมก็ไม่ได้กินอะไรเลยล่ะค่ะ เอาเป็นว่าลองเดินหาของกินดูในป่าก่อนแล้วกันค่ะ น่าจะมีอะไรที่กินได้บ้างนะ 

 

” เดี๋ยวก่อนนะคะ ทำไมในเกมถึงหิวกันได้ล่ะคะ ปกติไม่มีระบบหิวในเกมไม่ใช่เหรอไงกันคะ ? ” พอนึกได้ก็พึมพำกับตัวเอง แต่ก็เอะใจคิดว่า ทำไมมันเหมือนจะไม่ใช่เกมเลยล่ะคะ 

 

แต่เดินเข้าไปในป่าทางเดินได้ไม่ทันไรก็เหมือนจะได้ยินเสียงกระซิบเข้ามาในหัว 

 

‘ มาทางนี้ ๆ ‘  

 

เอ๊ะ ! นั่นใครกันคะ มีใครอยู่ในป่าด้วยเหรอคะ แบบแปลกมากเลยค่ะ ไม่ใช่เสียงแบบที่มีคนพูดผ่านสายลมมา แต่ว่าได้ยินเสียงเหมือนดังก้องอยู่ในหัวโดยตรงเหมือนเวลาใช้เวทย์โทรจิตตอนที่จะติดต่อกับเพื่อนในเกมเลยค่ะ แต่ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนจะรู้สึกว่าเสียงมันดังมาจากทางป่าซ้ายกันนะ ไม่รู้แล้วค่ะ ! จะอะไรก็ไม่สนแล้วค่ะ หิวมากเลยค่ะ ! 

 

เดินไปได้ไม่ไกลมากจากบึงน้ำก็พบกับต้นกลุ่มต้นไม้ที่มีผลไม้ออกผลอยู่เต็มไปหมด มีทั้งแอปเปิ้ล และส้ม และองุ่น และผลไม้อื่น ๆ อีกเยอะแยะเลยค่ะ รอดแล้วค่ะ แบบนี้ก็น่าจะช่วยเรื่องหิวไปได้ แต่รู้สึกเหมือนว่าเสียงที่ดังที่หัวจะมาจากต้นไม้เลยค่ะ อ่ะ ! จริงสิ รู้สึกว่าเหมือนจะมีอยู่นะคะ Passive skill เฉพาะของเผ่าเอลฟ์ เหมือนจะพูดคุยสื่อสารกับธรรมชาติได้ แต่ตอนเล่นเกมมันไม่ใช่เสียงแบบนี้นิคะ มันจะแสดงหน้าต่างข้อความที่ต้นไม้อยากจะสื่อออกมาแทนค่ะ แต่ทำไมกันนะตอนนี้กลับเป็นเสียงที่ดังก้องในหัวแทน หรือเป็นการอัปเดตเกมใหม่ของทีมงานงั้นเหรอคะ 

 

” งั้นขอกินหน่อยนะคะ ” ด้วยความเกรงใจ เลยได้ขอบคุณ คุณต้นไม้ไป แล้วเด็ดแอปเปิ้ลผลสีแดงช่ำน่ากินมากัด น้ำของแอปเปิ้ลที่ช่ำและหวานกระตุ้นต่อมบนลิ้นที่กำลังหลั่งน้ำลายด้วยความหิว 

 

” อร่อยจังเลยค่ะ ! ทั้งกรอบแล้วก็หวานมากเลยค่ะ ! ” ไม่เคยกินแอปเปิ้ลอร่อยแบบนี้มาก่อนเลยค่ะ ปกติตอนอยู่นอกเกมก็ไม่ค่อยได้กินแอปเปิ้ลอยู่แล้ว แต่ก็ไม่คิดว่าแอปเปิ้ลของโลกจริงจะอร่อยเท่านี้หรอกนะคะ 

 

หลังจากกินแอปเปิ้ลจนเหลือแต่แกนตรงกลางแล้วก็รู้สึกอิ่มทันที เอ๋ ? ทำไมกินแค่นี้ถึงอิ่มกันละ ถึงปกติฉันจะไม่ใช่คนที่กินเยอะอะไร แต่ก็ไม่ได้กินน้อยเหมือนคนที่กำลังไดเอทอยู่นะคะ แต่ก็แปลกเกินไปแล้วที่กินแค่ลูกเดียวก็อิ่ม หรือจะเป็นเพราะตอนนี้ฉันเป็นตัวละครในเกมอยู่หรือเปล่านะ 

 

หลังจากอิ่มแล้วก็เลยนั่งเอาหลังพิงต้นแอปเปิ้ลที่กินเมื่อครู่ หวังว่าจะไม่มีแอปเปิ้ลตกมาใส่หัวเหมือนนิวตันหรอกนะคะ ถึงจะตกมาใส่หัวฉันก็ไม่ได้ทำให้คิดค้นหลักการอะไรได้หรอกนะ ที่จะได้คงมีแต่หัวที่ปูดออกมาเท่านั้นแหละคะ แต่ว่าสบายสุดๆไปเลยล่ะค่ะ แสงแดดอ่อน ๆ ทำให้รู้สึกอบอุ่น ไม่ร้อนเลย สายลมเย็น ๆ ที่พัดผ่านตัวฉันไปก็กำลังดี ให้ความรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังลอยอยู่เลย เสียงต้นไม้ใบหญ้าที่โบกปลิวไปพร้อมสายลมที่ช่วยผ่อนคลายให้รู้สึกง่วงและหลับสบายก็เป็นเหมือนเสียงเพลงกล่อมเลยล่ะค่ะ 

 

ไม่รู้ว่าหลับไปนานเท่าไหร่ จนกระทั่งได้ยินเสียงที่ดังก้องในหัวขึ้นมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เหมือนจะไม่ได้เรียกมาเพื่อกินผลไม้หรืออะไรอีกแล้ว แต่กลับเป็นเสียงที่ฟังดูร้อนรนแปลกๆ 

 

‘ เร็วเข้า ต้องรีบแล้ว ‘ 

 

ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจ แต่รู้สึกว่าต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่ ๆ เลยค่ะ ตอนที่กำลังจะคิดอะไรในหัวอยู่แต่แล้วก็ออกวิ่งไปตามเสียงที่ดังขึ้นในหัว เหมือนจะเป็นเสียงของเหล่าคุณต้นไม้อีกแล้ว เหมือนจะให้เราไปทางนี้ เหมือนจะเป็นทางใต้ของป่า ห่างจากสวนผลไม้ที่นอนอยู่เมื่อครู่ประมาณ 400 เมตร ไกลอยู่เหมือนกันนะคะ แต่ไม่เหนื่อยเลยสักนิดไม่รู้ทำไม แต่ไม่ใช่เวลามาคิดแล้วถ้าคุณต้นไม้บอกว่าต้องรีบ ก็ต้องรีบแล้วล่ะค่ะ 

 

” กรี๊ดดดด !!!!! ”  ในระหว่างที่วิ่งอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงร้องของเด็กผู้หญิง ดังขึ้นมา ดู ๆ แล้วน่าจะไม่ไกลมาก ต้องเร่งแล้วค่ะ ทันใดนั้นสกิลของตัวละครของฉันก็เปิดใช้งานเองโดยอัตโนมัติ สกิล ‘ เร่งความเร็ว ‘ ทำให้ความเร็วในการวิ่งของฉันเพิ่มขึ้น 50% ทีเดียวค่ะ ไม่นานประมาณ 30 วินาทีก็เห็นเด็กผู้หญิงผมสีน้ำตาลกำลังถูกมอนเตอร์รูปร่างหมูป่าที่เขี้ยวเหมือนงาช้างขนาดประมาณสิงโตกำลังจ้องขู่ทำร้ายอยู่ ถือว่าใหญ่ถ้าเทียบกับขนาดโลกจริง นั่นคือมอนเตอร์ในเกมชื่อ ‘ พิกม่า ‘ เป็นมอนเตอร์ประเภทหมูที่เลเวลประมาณ 40-50 เป็นมอนเตอร์ที่จะเจอได้ในช่วงเริ่มต้น แถมชิ้นส่วนต่าง ๆ ของพิกม่ายังนำไปใช้ประโยชน์ได้อีกด้วย เนื้อเอาไปทำอาหารได้ หนังและเขี้ยวเอาไปทำอุปกรณ์สำหรับผู้เล่นเริ่มต้นได้ ถึงจะไม่ได้ดีอะไร แต่ก็ดีกว่าของที่มีมาให้ตอนเริ่มต้นละนะคะ 

 

” มาแล้วค่า ! ” ตะโกนเสียงดังแล้วไปขวางระหว่างเด็กผู้หญิงกับพิกม่าไว้ ดูเหมือนว่าพิกม่าจะหันเหความสนใจมาที่ฉันแทนแล้วค่ะ 

 

” ไม่เป็นไรใช่ไหมคะ ” หันหน้าเหลียวหลังไปมองเด็กผู้หญิงที่กำลังล้มนั่งเพื่อดูว่าปลอดภัยหรือเปล่า

 

” ค- คะ ” เหมือนจะยังตกใจกลัวอยู่เลยตอบติดๆ ขัดๆ สินะคะ แต่ทันใดนั้นเอง

 

” โฮกกกกก !!!! ” พิกม่าร้องคำรามพร้อมกับพุ่งตัวเข้ามาโจมตี การพุ่งตัวเข้ามาโจมตีเป็นการโจมตีพื้นฐานของพิกม่าอยู่แล้ว แต่มอนเตอร์ระดับนี้ต่อให้ฉันยืนรับการโจมตีนี้ไป ก็ไม่เกิดความเสียหายอะไร แต่ข้างหลังมีเด็กผู้หญิงคนนี้อยู่ด้วยเลยเผื่อไว้ก่อนดีกว่า

 

” กำแพงมนตรา ” หลังจากร่ายเวทย์เสร็จ กำแพงที่เป็นรูปแสงสีเขียวจางๆแบบวงรีขนาดใหญ่ประมาณ 3 เมตรปรากฏขึ้นระหว่างฉันกับพิกม่า พิกม่าที่ไม่ทันระวังตัวก็ชนเข้ากับ ‘กำแพงมนตรา’ เข้าอย่างจังจนตัวมันเองกระเด็นกลับไปล้มเสียงดัง ตึง ! เลยล่ะค่ะ 

 

” ส-..สุดยอด ” เหมือนจะได้ยินเสียงชื่นชมพึมพำอยู่ข้างหลังเลยค่ะ แต่ก็ไม่ได้หันกลับไปต้องสนใจตรงหน้านี้ก่อน พิกม่าที่ล้มอยู่นั้นพลิกตัวกลับมาตั้งท่าใหม่เหมือนกำลังจะพุ่งมาอีกรอบ ต้องรีบทำให้จบ ๆ ดีกว่าค่ะ

 

” ศรเวทย์ดารา ” ฉันร่ายเวทย์บทโจมตี ‘ศรเวทย์ดารา’ เป็นเวทมนตร์ชั้นต้นที่แค่มีเลเวล 50 ก็สามารถใช้ได้แล้ว เมื่อร่ายเสร็จ ลูกศรแสงสีทองส่องประกายจำนวน 3 แท่งก็พุ่งเข้าเสียบแทงโจมตีมิกม่าที่ตั้งท่าอยู่ในแน่นิ่งไปในทันที เวทย์นี้ถึงจะบอกว่าเป็นเวทย์ชั้นต้นแต่ฉันที่เลเวลตันแล้ว ความแรงมันเลยมากกว่าปกติหลายเท่าตัว ไม่แปลกที่ยิงใส่ทีเดียวแล้วตายเลยค่ะ ถ้าเป็นผู้เล่นใหม่ล่ะก็คงต้องยิงไม่ต่ำกว่า 3-4 ครั้งถึงจะโค่นพิกม่าลงได้ 

 

” เป็นอะไรหรือเปล่าคะ ” พอจัดการกับพิกม่าลงได้ก็หันไปก้มถามเด็กผู้หญิง แต่ เอ.. แปลกจังการแต่งตัวไม่เหมือนผู้เล่นใหม่เลยนะคะเนี่ยออกไปทาง NPC ซะมากกว่าด้วย 

 

” มะ- ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณมากเลยนะคะ เอ่อ..” เหมือนจะเรียกฉันไม่ถูกสินะคะ 

 

” โนเอลร่าค่ะ เรียกโนเอลเฉยๆ ก็ได้นะ ” ไม่รู้จะตอบอะไรก็เลยตอบชื่อในเกมไปเลยแล้วกันค่ะ 

 

” สวยจังเลย ” เอ๋ เด็กผู้หญิงเหมือนจะตาลอยมองฉันอย่างเคลิบเคลิ้มแถมยังหน้าแดงด้วยล่ะค่ะ ก็นะตัวฉันในตอนนี้เป็นไฮเอลฟ์สวยปานเทพธิดาเลยนี่คะ ถึงจะเป็นแค่ตัวละครในเกมก็เถอะนะคะ

(ออกแบบโดย Marshmello ลายเส้นโดย MECHURAKI)

 

” ท- ท่านโนเอลสุดยอดไปเลยค่ะ ! ถึงจะเคยเห็นเวทมนตร์มาแล้ว แต่ของท่านโนเอลสุดยอดมากๆ เลยค่ะ ” เอ๋ ? ไหงทำตาเป็นประกายเหมือนเจอของเล่นชิ้นใหม่แบบนั้นล่ะคะ เมื่อกี้ก็แค่เวทมนตร์ชั้นต้นเองนะคะ ทำไมต้องตื่นเต้นตกใจขนาดนั้นด้วยนะ คงจะเป็นผู้เล่นใหม่จริงๆนั่นแหละค่ะ 

 

” เอ่อ..คือว่าเป็นผู้เล่นใหม่ใช่ไหมคะ ? ” เพื่อให้หายสงสัยฉันเลยถามออกไปตรง ๆ มันเลยแล้วกันค่ะ 

 

” เอ๋ ผู้เล่น ? อะไรเหรอคะ ” อ้าว ไหงไม่รู้จักผู้เล่นล่ะคะ เดี๋ยวก่อนนะอย่าบอกนะคะว่าเป็น NPC แต่ NPC ไม่น่าจะพูดแบบคนปกติได้นิคะ แต่ที่ฉันเห็นอยู่ตรงหน้านี้มันคนจริง ๆ เลยนะคะ 

 

” อ่ะ ปะ- เปล่าค่ะ ไม่มีอะไร ขอจับมือหน่อยได้ไหมคะ ” พอขอจับมือเด็กตรงหน้าก็ทำท่างง แต่ก็ยื่นมือมาให้จับมือแต่โดยดี 

 

นี่มันคนจริง ๆ เลยไม่ใช่เหรอคะ มีเนื้อหนังแถมยังนุ่มอีกด้วยค่ะ  นี่มันยังไงกันแน่คะเนี่ยย ! ไม่ใช่ NPC หรอกเหรอคะ ผู้เล่นก็เหมือนจะไม่ใช่ ถึงจะเป็นผู้เล่นใหม่ก็ตามแต่อย่างน้อยคำว่าผู้เล่นก็ต้องเข้าใจกันบ้างสิคะ นี่แสดงว่าฉันหลุดเข้ามาอยู่ในโลกที่เหมือนกับเกม Fantasy Garden อย่างงั้นเหรอคะ !? เอ๊ะ ! แต่จะว่าไปตอนที่ร่ายเวทย์ก็ไม่มีชื่อสกิลโผล่ออกมา แถมยังไม่มีเวลาคลูดาวน์ของสกิลแจ้งอีกด้วย แต่ทำไมไม่รู้ฉันรู้สึกรับรู้ได้ว่าสกิลที่ร่ายไปเวทย์มีคลูดาวน์เท่าไหร่หรือแม้กระทั่งใช้พลังเวทย์ไปเท่าไหร่ด้วย แม้จะไม่มีแถบบอกค่า MP เหมือนเดิม เป็นความรับรู้ที่เหมือนตัวฉันเองก็หาที่มาที่ไปไม่ได้ 

 

” เอ่อ ท่านโนเอลคะ ? ” 

 

” อ่ะ ขอโทษด้วยนะคะ พอดีคิดอะไรเพลินไปหน่อยน่ะค่ะ ” เหมือนจะคิดเพลินไปจริง ๆ เลยจับมือเด็กผู้หญิงตรงหน้าเอาไว้ซะนานจนเธอสงสัยเลยค่ะ

 

” ว่าแต่ ท่านโนเอลเป็นเอลฟ์งั้นเหรอคะ ” เหมือนจะรู้สึกตัวแล้วสินะว่าฉันไม่ใช่มนุษย์

 

” ค่ะ เป็นไฮเอลฟ์น่ะค่ะ ”  จะบอกว่าเป็นเอลฟ์ธรรมดาก็ได้อยู่หรอกแต่ระบุเผ่าพันธุ์ให้ถูกแต่ทีแรกดีกว่า จะได้ไม่เข้าใจผิดอะไรทีหลัง

 

” อะ.. เอ๋ !!!!!!!!!??? ” งะ ! ไหงตกใจขนาดนั้นกันล่ะคะ ไฮเอลฟ์นี่มันแปลกขนาดนั้นเลยเหรอคะ หรือว่า ๆ ในโลกนี้ไม่มีไฮเอลฟ์งั้นเหรอคะ หรือเป็นปีศาจที่คนรังเกียจงั้นเหรอคะ แย่แล้ว ๆ จะทำยังไงดีล่ะคะเนี่ย เผลอพูดไปแล้วด้วยสิ 

 

” ไฮเอลฟ์งั้นเหรอคะ ! ตัวตนในตำนานที่มีแต่ในเทพนิยาย เอลฟ์ชั้นสูงที่มีพลังเทียบเท่าเทพธิดานั่นน่ะเหรอคะ !! ” 

 

หาอะไรนะ ? ไหงตัวละครของฉันมันถึงได้มีเรื่องเล่าบ้าบออะไรแบบนั้นกันคะ อันนี้ก็แค่เผ่าที่ปลดล็อคจากการเป็นคนติดเกม 1000 ชั่วโมงของฉันเองนะคะ 

 

” จ- ใจเย็นๆ ก่อนนะคะ ฉันเป็นแค่ไฮเอลฟ์เองไม่ได้ยิ่งใหญ่อะ- ” ไม่ทันจะพูดจบคำสรรเสริญก็ตามกลับมาเป็นพรวนเลยค่ะ 

 

” ไม่หรอกค่ะ !! แบบนั้นมันเทพธิดาชัดเลยนะคะ แถมยังแข็งแกร่งมากด้วย ล้มพิกม่าที่นักผจญภัย 5 คนกว่าจะล้มมันได้เลยนะคะ !! ” ไม่ไหวคะ ไม่ฟังเลยคะ งื้อออ .. ทำยังไงดีละคะเนี่ยย จริงสิต้องเปลี่ยนเรื่อง 

 

” เอ่อ..ว่าแต่คุณหนูมาทำอะไรในป่างั้นเหรอคะ ? ” ต้องมุ่งไปที่ประเด็นอื่นให้ได้เลยค่ะ 

 

” เรียกจูน่าเถอะค่ะ ท่านโนเอล ! ” ง่ะ 

 

” เอ่อ.. จูน่าจังมาทำอะไรที่ป่างั้นเหรอคะ ” แบบนี้จะได้เรื่องไหมคะเนี่ย ดูจะศรัทธาฉันแบบสุดๆไปเลยค่ะ 

 

” มาเก็บผลไม้แล้วก็ผักให้ที่บ้านค่ะ ! ”  เป็นการตอบที่ทรงพลังสุดๆไปเลยค่ะ ถ้าหากอาจารย์ที่มหาลัยเห็นนักศึกษาตั้งใจตอบแบบนี้คงดีใจไม่น้อยเลยค่ะ

 

” แต่ว่ามาคนเดียวเหรอคะ อันตรายน่าดูเลยนะคะ ” เพราะเห็นจูน่าจังอยู่คนเดียวเลยคิดว่าน่าเป็นห่วงจัง ถ้าหากเจอมอนเตอร์แบบเมื่อกี้อีกล่ะก็ ไม่สวยแน่ค่ะ 

 

” ปกติแล้วก็มาเก็บคนเดียวค่ะ แต่ว่าวันนี้ไม่รู้ทำไมพิกม่าถึงโผล่มาอยู่ตรงนี้ได้เหมือนกันค่ะ !  ” แสดงว่าที่พิกม่าโผล่ออกมาคือสิ่งผิดปกติสินะ แต่ก็แปลกนิดหน่อยเหมือนกันเพราะปกติแล้วพิกม่าน่าจะอยู่ในป่าที่ลึกกว่านี้หน่อย ไม่น่าจะออกมาแถวนี้นะ 

 

” เอาเป็นว่าเดี๋ยวฉันไปเก็บผลไม้เป็นเพื่อนดีไหมคะ แบบนั้นน่าจะปลอดภัยกว่านะ ” ด้วยความที่เป็นห่วงจูน่าจัง เลยเสนอตัวคุ้มกันให้ค่ะ แหมถึงจะพึ่งเจอกันก็เถอะแต่จะให้ปล่อยเล็กน่ารักไว้คนเดียวในป่าแบบนี้ ทำใจไม่ลงเลยล่ะค่ะ 

 

หลังจากเก็บผลไม้กับจูน่าจังเสร็จแล้วก็เริ่มจะตกเย็นแล้ว เลยได้ไปส่งจูน่าจังที่ทางเข้าป่า แต่ไม่รู้ทำไมตอนที่จะลา จูน่าจังก็พูดขึ้นมาว่า ‘ เดะหนูจะไปบอกคนในหมู่บ้านเรื่องท่านโนเอลนะคะ !!! จะเอาของมาถวายให้แน่นอนเลยค่ะ !! ‘ ซะงั้นค่ะ ไหงมันกลายเป็นแบบนี้ไปได้ล่ะเนี่ย ฮือออ ทั้งที่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูกเลยแท้ๆ แต่เหมือนจะโดนบูชา สรรเสริญแล้วล่ะค่ะ 

 

จากนี้จะเป็นยังไงต่อกันนะ 

.

.

ตอนนี้ฉันกำลังมีปัญหาใหญ่อยู่ค่ะ ใหญ่จริงๆนะคะ! ชนิดที่ว่าถ้าหากใครมาเจอแบบฉันล่ะก็คงจะทำตัวไม่ถูกเหมือนกันนี่แหละค่ะ แล้วปัญหานั้นก็คือ ฉันติดอยู่ในเกมที่ตัวเองเล่นค่ะ หาทางออกจากเกมไม่ได้เลยค่ะ ไม่รู้ต้องทำยังไง ควานหาวิธีมา 1 วันเต็มๆแล้วค่ะ กำลังสงสัยกันใช่ไหมคะ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น งั้นเดี๋ยวขอเล่าย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ 1 วันนะคะ 

 

” อืม … กี่โมงแล้วนะ ได้เวลานอนแล้วสิคะเนี่ย ”  หลังจากเล่นเกมมาได้ประมาณ 4 ชม. แล้วก็เริ่มง่วง ซึ่งเป็นเวลานอนตามปกติของฉันเองค่ะ หันไปมองนาฬิกาก็ดูเหมือนจะเที่ยงคืนยี่สิบนาทีแล้ว พรุ่งนี้ถึงจะไม่มีเรียนคาบเช้า แต่ก็มีเรียนตอนบ่ายโมงตรง แต่ก็อยากจะตื่นก่อนเพื่อมากินข้าวค่ะ 

 

โอ๊ะ ลืมแนะนำตัว ฉันชื่อ อริษา ค่ะพึ่งจะเข้ามหาลัยมาสด ๆ ร้อน ๆ เลยค่ะ อยู่ชั้นปี 1 คณะวิทยาศาสตร์ สาขาวัสดุศาสตร์ค่ะ ปกติแล้วหลังจากเลิกเรียนฉันก็จะกลับห้องมาทันทีเพื่อมาเล่นเกม ในช่วงนี้เหมือนคนจะนิยมเล่นเกมที่ชื่อ Fantasy Graden เป็นเกม VR MMORPG ที่ให้ผู้เล่นสวมบทบาทเป็นอาชีพต่าง ๆ ภายในเกม สนุกมากๆเลยล่ะค่ะ ตอนแรกก็ไม่รู้จักเกมนี้หรอกนะคะ แต่เห็นเพื่อนในคณะพูดถึงเกมนี้กันเยอะ แม้แต่เพื่อนผู้หญิงก็ยังเล่นกัน ก็เลยอดใจไม่ไหวลองซื้อมาเล่นดูบ้างน่ะค่ะ แต่เหมือนจะติดเกินไปหน่อย พอตรวจสอบดูชั่วโมงการเล่นก็เหมือนจะล่อไป 1362 ชั่วโมงซะแล้วค่ะ แถมตัวละครในเกมของฉันก็เหมือนจะเลเวลตันไปแล้วด้วยค่ะ แหะ ๆ ไม่ได้ติดเกมจริงๆนะคะ ก็มีเติมเงินบ้างนิด ๆ หน่อย ๆ ก็แบบว่าเป็นเด็กเรียนดีด้วยเลยได้ทุนการศึกษา แต่ก็แอบเอาเงินทุนการศึกษามาเติมเงินไปราวๆ 10 % ของทุนการศึกษาน่ะค่ะ แต่ไม่ต้องห่วงนะคะ ยังไงก็ไม่กระทบกับการเรียนหรือการใช้ชีวิตแน่นอนค่ะ 

 

พูดถึงเกม Fantasy Graden แล้วส่วนใหญ่ผู้เล่นมักจะเลือกผจญภัยเก็บเลเวล แล้วก็ลงดันเจี้ยนกันเป็นส่วนใหญ่ แต่เกมนี้นอกจากจะเล่นตามแบบฉบับ MMORPG ทั่วไปแล้ว ยังมีอีกหลายอย่างให้ทำมาก ๆ เลยค่ะ ไม่ว่าจะสามารถเล่นเป็นอาชีพพ่อค้าเน้นการขายของ หรือแม้กระทั่ง นักเล่นแร่แปรธาตุ หรือจะเป็นช่างทำอาวุธเองก็มี และยังมีอาชีพให้เลือกเล่นอีกมากมาย ถึงเกมจะจำกัดให้เล่นแค่อาชีพเดียวต่อ 1 ตัวละครก็ตาม แต่ไม่ว่าจะเล่นอาชีพไหนก็สนุกร่วมกับผู้อื่นได้ แถมแต่ละอาชีพเองก็มีบทบาทสำคัญไม่ต่างกันทำให้ผู้คนเล่นกันอย่างสนุกสนานโดยไม่ได้มีแต่คนที่เน้นบู้ ลงดันเจี้ยน เก็บเลเวลอย่างเดียวค่ะ 

 

นอกจากความหลากหลายของอาชีพภายในเกมแล้ว เผ่าพันธุ์เองก็มีหลากหลายให้เลือกเช่นกันนะคะ ไม่ว่าจะ มนุษย์ เอลฟ์ แวมไพร์ มนุษย์สัตว์ มนุษย์มังกร เผ่าปีศาจ ภูติ และอื่น ๆ อีกมาก ทำให้ในเกมมีเผ่าต่าง ๆ ไม่ซ้ำกันเดินไปมาในเกมไม่ขาดสาย และตัวฉันเองเล่นเป็นเผ่าไฮเอลฟ์ (เอลฟ์ชั้นสูง) ซึ่งเป็นเผ่าลับที่จะปลดล็อคให้เปลี่ยนเป็นเผ่านี้ได้ต้องมีชั่วโมงการเล่นเกิน 1000 ชั่วโมง และต้องเป็นเผ่าเอลฟ์มาก่อนเท่านั้น เหมือนในเกมจะมีผู้ที่เล่นเกิน 1000 ชั่วโมงแค่ราว ๆ 5 % เท่านั้นเอง แต่ส่วนใหญ่ไม่ค่อยเล่นเผ่าเอลฟ์มากนัก เนื่องจากเอลฟ์มี แต่ค่าสเตตัสทางกายภาพค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับเผ่าอื่นๆ แถมเป็นสายโจมตีระยะไกลอย่าง ธนูหรือเวทย์ ก็ตาม แต่ก็มีจุดเด่นอย่าง มีค่า MP และ Int ภายในเกมสูงที่สุดก็ว่าได้ แต่ด้วยความที่ว่าจะเก็บเลเวลด้วยตัวเองลำบาก คนจึงไม่นิยมเล่นเอลฟ์เป็นตัวละครแรกกันเท่าไหร่ หรือถึงจะเล่นแต่ก็ต้องถอดใจกับค่าสเตตัสที่น้อยกว่าเผ่าอื่นอย่างชัดเจน แค่จะลงดันเจี้ยนง่าย ๆ ยังต้องใช้เวลานานกว่าชาวบ้านเขาไม่น้อย เลยทำให้ไม่ได้รับความนิยม 

 

แล้วทำไมฉันถึงเล่นเอลฟ์น่ะเหรอคะ ก็เพราะรู้สึกว่าเอลฟ์น่ารักกว่าเผ่าอื่น ๆ ก็เท่านั้นเองค่ะ ถึงมนุษย์สัตว์จะมีทั้ง หูแมว หรือ หูสุนัข น่ารักเหมือนกันก็ตามแต่ก็รู้สึกว่าเดินในเมืองกันเยอะแล้ว เลยเลือกเอลฟ์ จริง ๆ ก็โดนทักบ่อย ๆ ด้วยว่า ‘ โห นี่เธอเล่นเอลฟ์เหรอ เอาจริงดิ ถึกเหมือนกันนะเนี่ย ‘ ที่ว่าถึกไม่ได้หมายถึงพลังป้องกันหรืออะไรทำนองนั้นแน่นอนค่ะ แต่หมายถึง มีความอดทนในการเล่นต่างหาก ก็ที่จริงไม่ใช่ผู้เล่นที่เน้นรีบปั่นเลเวลอะไรอยู่แล้วด้วย ถึงปัจจุบันจะเลเวลตันแล้วก็ตาม แต่ก็ใช้เวลาถึง 1 ปีกว่าๆ ซึ่งก็ถือว่าช้ากว่าเผ่าอื่น ๆ ประมาณนึง แต่ก็นับว่าเป็นส่วนน้อยอยู่ดี เพราะผู้เล่นที่เลเวลตันแล้วนั้นมีแค่ 10 % ของเกมเท่านั้น เนื่องจากเกมมีอะไรให้ทำหลายอย่างมากๆ ทำให้ผู้เล่นไม่ได้โฟกัสแค่การเก็บเลเวล แต่เน้นทำอย่างอื่นด้วย บ้างก็ตั้งวงพูดคุยกันทั้งวันในเกมโดยไม่ทำอะไร ไม่ก็นัดบอดกันในเกม อะไรทำนองนั้นก็มี  แต่เนื่องจากฉันเป็นผู้เล่นที่ไม่ได้เน้นมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นมากนัก อย่างมากก็จะร่วมปาตี้ในการลงดันเพื่อเก็บเลเวล ก็แถบไม่ได้พูดหรือคุยกับใครเลย จะมีก็แต่เพื่อนในปาตี้ที่ร่วมลงดันด้วยกันบ่อย ๆ แค่ 2 ถึง 3 คน เพราะโดยปกติแล้วฉันจะเล่นเป็นนักเวทย์ที่เน้นสนับสนุน ถึงจะไม่ได้สายรักษาหรือสนับสนุนแบบ 100% เหมือนนักบวช แต่ก็พอจะสนับสนุนปาตี้ได้ แต่จริงๆแล้วอาชีพในเกมของฉันคือ นักปราชญ์เทวะ ที่สามารถเล่นได้ทั้งรุกและรับนั่นเอง แต่ในปาตี้ส่วนใหญ่จะมีคนที่คอยทำหน้าที่โจมตี้เป็นหลักอยู่แล้ว เลยมาทำหน้าที่สนับสนุนแทนค่ะ 

 

แต่เหมือนว่าตั้งแต่เปลี่ยนเผ่าเป็นไฮเอลฟ์จะมีคนเข้ามาถามกันเยอะมากขึ้นว่า ทำไมผมเป็นสีขาวล่ะ ฉันเองก็ไม่รู้จะตอบยังไงเหมือนกันค่ะ เพราะแต่เดิมแล้วเผ่าเอลฟ์จะมีผมสีทองกันและดวงตาสีเขียว แต่ตอนนี้ตัวละครของฉันมีผมสีขาว และดวงตาที่น้ำเงินฟ้าสดใส เหมือนทีมงานของเกมจะอ้างอิงจากนิยายหรือตำนานต่าง ๆ ว่าไฮเอลฟ์คือเอลฟ์ชั้นสูงที่เป็นราชวงศ์ของเผ่าเอลฟ์ทั้งหลาย จะมีลักษณะเด่นคือผมสีขาวนั่นเอง แถมหูก็จะไม่ได้ยาวเหมือนเอลฟ์โดยทั่วไปด้วย แต่พอผู้เล่นคนอื่นเห็นตัวละครฉันก็ต่างพากันชื่นชม บ้างก็อิจฉาแล้วบอกว่าอยากได้บ้าง บ้างก็ถึงกับมาขอถ่ายรูปเลยทีเดียว เพราะตัวละครของฉันเรียกได้ว่าสวยมากเลยทีเดียวตั้งแต่เปลี่ยนเผ่ามา แต่ยังได้ชุดที่เป็นของระดับตำนานที่เอาเงินทุนการศึกษาไปประมูลมาเพื่อให้ได้เชียวนะคะ เอ๊ะ ติดเกม ก็บอกแล้วไงคะว่าไม่ได้ ติด! 

 

” นั่นสินะ อยากให้พรุ่งนี้ถึงตอนเลิกเรียนเร็วๆจังเลย… ” ด้วยความที่ถึงเวลานอนแล้วก็หลับไปอย่างรวดเร็ว ไม่รู้ทำไมในระหว่างที่กำลังจะหลับสนิท ถึงได้คิดว่า ถ้าได้เล่นเกมตลอดไปก็คงดี แล้วฉันก็จมดิ่งสู่นิทราที่จะเปลี่ยนชีวิตฉันไปตลอดกาล..

.

.

เช้าวันรุ่งขึ้น เหมือนจะได้ยินเสียงนกร้อง จิ๊บ ๆ อยู่ทั่วเลย แถมยังมีเสียงต้นไม้ใบหญ้าโบกสะบัดพัดตามสายลมเย็น ๆ ที่ผ่านร่างกายไป แถมยังรู้สึกอุ่นๆจากแสงแดดยามเช้าอีกด้วย ทำไมกันน่ะ ทั้งที่นอนอยู่ในหอพักของนักศึกษาแท้ๆ ห้องก็ปิดหน้าต่างด้วย แต่ทำไมรู้สึกเหมือนตัวเองมานอนอยู่กลางป่าได้ล่ะ พอรู้สึกตัวก็ค่อย ๆ ลืมตาแต่ด้วยโดนแสงแดดจ้าส่องลงมาที่ตัวเองเลยเอามือบังตาเอาไว้แล้วค่อยลืมตาอีกครั้ง ภาพที่เน้นแทนที่จะเป็นห้องของตัวเองในหอพักกลับเป็นป่าไม้อันอุดมสมบูรณ์ หญ้าเขียวชอุ่ม มีนกเกาะอยู่บนกิ่งไม้อยู่หลายตัวร้อง จิ๊บ ๆ น่ารักเหมือนประสานเสียงยังไงยังงั้น ต้นไม้ที่ดูใหญ่และแปลกตาเหมือนไม่ใช่ป่าทั่วไปที่เคยเห็น แถมยังมีพืชพันธุ์ที่ไม่คุ้นอยู่อีกด้วย แสงแดดอุ่นๆที่ส่องลงมาทำให้มองเห็นอะไรหลาย ๆ อย่างมากขึ้น 

 

” ที่นี่มันที่ไหนกันคะ … ” ด้วยความที่กำลังงวยเงียจากการตื่นนอนใหม่ ๆ เลยถามออกไปเหมือนหวังว่าจะมีคนมาตอบให้ แต่ก็ได้ยินแต่เสียงตัวเองคนเดียว หลังลืมตาตื่นเต็มที่แล้ววิเคราะห์หลายๆอย่างดู ที่พบว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาด หรือเมาแต่อย่างใด แต่สิ่งที่เห็นตอนงัวเงียนั้นเป็นของจริง 

 

” เอ๊ะ ! ฉันอยู่ที่ไหนคะเนี่ย ” หันหน้าซ้ายทีขวาที มองไปที่ไหนก็มีแต่ป่าที่เขียวอุดมสมบูรณ์อย่างเดียวค่ะ ไม่มีใครอยู่เลยค่ะ แล้วทำไมฉันถึงมานอนที่ป่าได้คะเนี่ย ถูกลักพาตัวมางั้นเหรอคะ ไม่สิ ฉันจำได้ว่านอนอยู่ที่หอพักหญิงนะคะ ไม่น่าจะมีใครเข้ามาในหอพักเพื่อลักพาตัวเด็กผู้หญิงแบบฉันได้หรอกค่ะ หรือจะโดนเพื่อนแกล้งกันนะ แต่ดูจากลักษณะป่าแล้วเหมือนไม่ใช่ป่าในประเทศตัวเองด้วยซ้ำค่ะ 

 

” เอ๊ะ ! และนี่มันชุดอะไรกันคะเนี่ย ” พอนึกได้ก็ลองก้มดูเสื้อผ้าของตัวเอง แทนที่จะเป็นชุดนอนแต่กลายเป็นกำลังสวมชุดที่ดูแฟนตาซี เหมือนชุดนักเวทย์ในเกมเลย แต่พอดูดีแล้วเหมือนจะเคยเห็นที่ไหนนะคะ 

 

” อ๊ะ! ” นึกออกแล้วค่ะ นี่มันชุดตัวละครในเกมของฉันที่เล่นเมื่อคืนไม่ใช่เหรอค่ะเนี่ย ทำไมไหงฉันถึงมาใส่ชุดตัวละครของตัวเองกลางป่าได้ล่ะคะ ฉันไม่นิยมคอสเพลย์หรอกนะคะ แต่พอนึกขึ้นมาได้ว่า ฉันอาจจะกำลังอยู่ในเกมก็ได้แบบลืมล็อกเอาท์ออกจากเกมอะไรแบบนั้นไงคะ

 

” อ่ะ ทำไมหน้าต่างเกมถึงไม่ยอมออกมากันละคะ ” ตอนที่กำลังพยายามจะออกจากเกม แต่หน้าต่างของเกมก็ไม่ยอมออกมาเลยค่ะ ทำมือกวักเป็นแมวที่ร้านอาหารป้าข้างหอก็ไม่มีอะไรออกมาเลย แถมยังไม่มีแถบบอกสถานะเช่น HP , MP หรือ แถบของสกิล หรือแม้กระทั่งช่องแชทก็หายไปด้วยค่ะ

 

” นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันคะ ” ในขณะที่กำลังตกใจกับการเรียกหน้าต่างเกมไม่ได้ ก็ได้ยินเสียงคล้ายๆกับน้ำไหลเบาๆ ดูเหมือนใกล้ ๆ นี้จะมีแม่น้ำนะคะคิดได้แบบนั้นก็เลยเดินไปตามเสียงผ่านต้นไม้ใบหญ้าเข้าไป ก็เห็นบึงน้ำขนาดปานกลางไม่ใหญ่มาก น้ำใสสะอาด แถมยังมีปลาว่ายน้ำ กระโดดน้ำอีกด้วย นับว่าเป็นธรรมชาติที่สมบูรณ์จริงๆเลยค่ะ พอเดินเข้าไปใกล้ๆน้ำแล้วส่องชะโงกตัวเองดูก็พบกับ เอลฟ์หน้าตาสวยราวกับเทพธิดา ผมสีขาวบริสุทธิ์ ดวงตาสีน้ำเงินสดใสราวกับอัญมณี Sapphire 

 

จริงๆด้วยสินะคะ เป็นตัวละครในเกมของฉันจริงๆด้วย แต่ทำไมถึงได้มาอยู่ในร่างนี้กันล่ะคะ ฉันจำได้ว่าล็อกเอาท์ออกจากเกมไปแล้ว แถมยังตอนนี้ก็ออกเกมไม่ได้อีกด้วยแบบมันมันแปลกเกินไปแล้วนะคะ หลังจากคิดอยู่หลายนาทีก็เหมือนจะหาข้อสรุปไม่ได้ 

 

” เฮ้อ นี่ฉันต้องทำอะไรหลังจากนี้กันคะเนี่ย ” เมื่อท้อแท้สิ้นหวังก็ได้แต่กอดเข่าตัวเองหน้าบึงน้ำแล้วล่ะค่ะ 

 

” ดูเหมือนว่าฉันจะติดอยู่ในเกมซะแล้ว ” 

.

.

.

” โอ้วว ! ท่านเทพธิดาโนเอล โปรดช่วยอวยพรให้หมู่บ้านของพวกเราอยู่เย็นเป็นสุขด้วยเถิดขอรับ ” 

เอ๋ !? ไหง ฉันถึงได้ถูกเหล่าชาวบ้านพากันคุกเข่ากราบไหว้เหมือนเป็นสิ่งศักสิทธิ์แบบนี้กันล่ะคะ ฉันเป็นแค่ไฮเอลฟ์ที่อาศัยอยู่ในป่าเฉยๆนะคะ !! 

 

เรื่องราวของ อริษา เด็กสาวมหาลัย ปี 1 ที่ชื่นชอบการเล่นเกม โดยเฉพาะเกม VR MMORPG เกมที่จะให้ผู้เล่นสวมบทบาทเป็นเผ่าพันธุ์ต่าง ๆ ออกท่องโลกกว้างที่ชื่อว่า Fantasy Garden ได้หลุดเข้าไปอยู่ในเกมที่ตัวเองเล่นอย่างไม่ทราบสาเหตุ โดยเธอกลายเป็นเผ่าพันธุ์ ไฮเอลฟ์ (เอลฟ์ชั้นสูง) ซึ่งเป็นเผ่าลับในเกมที่จะมีเฉพาะผู้ที่เล่นเกมครบ 1000 ชม. เท่านั้นถึงจะปลดล็อคเผ่านี้ได้ เท่านั้นยังไม่พอในขณะที่กำลังทำความเข้าใจกับโลกที่ตนเองยังไม่เข้าใจอยู่นั้นก็ได้เผลอไปช่วยเด็กจากหมู่บ้านที่อยู่ใกล้กับป่าที่ตนอาศัยอยู่ จนเกิดข่าวลือหนาหูกันว่ามีเทพธิดาผู้งดง่ายลงมาโปรดเพื่อช่วยเหลือเด็กสาวจากหมู่บ้านจนผู้คนแห่กันมากราบไหว้บูชากัน อริษา จะทำอย่างไรกับสถานการณ์นี้กันนะ 

 

ไหงอยู่ดี ๆ มาเป็นไฮเอลฟ์ในเกม แถมยังมีคนบูชาฉันด้วยล่ะคะ !!

ไหงอยู่ดี ๆ มาเป็นไฮเอลฟ์ในเกม แถมยังมีคนบูชาฉันด้วยล่ะคะ !!

Score 10

Options

not work with dark mode
Reset