และแล้วบาดแผลจะลบเลือน 9.2 รักจงบังเกิด (ปลาย)

ตอนที่ 9.2 รักจงบังเกิด (ปลาย)

          ฉันยืนนิ่งอยู่คนเดียวใต้แสงไฟสีขาวที่ติด ๆ ดับ ๆ เมื่อมองเข็มวินาทีวนครบสามรอบแล้วจึงมานั่งลงเก้าอี้ตัวหนึ่งที่ตั้งเรียงกันอยู่เพียงหกตัว

          เหงื่อของฉันเริ่มแห้งและร่างกายเย็นลง หัวก็ปวดตุบ ๆ ฉันหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาจากกระเป๋ามากางบนหน้าตัก ตาจดจ้องไปตามตัวหนังสือ แต่เนื้อหาไม่เข้าหัวแล้ว ฉันยังคงพลิกหน้ากระดาษต่อไป

          ที่ฉันทำเช่นนี้ ไม่ใช่เพราะคาดหวังรอให้มิซูโฮะคุงวิ่งกระหืดกระหอบมาหาฉัน เพียงต้องการเวลาสักหน่อยเพื่อทำใจยอมรับว่าฉันพลาดโอกาสเดียวที่จะได้เจอกันไปแล้ว

          “ตกรถไฟแล้วเหรอ”

          พอหันไปก็เห็นเด็กหนุ่มคนนั้นที่มาส่งฉัน ฉันพยักหน้าไปเพราะขี้เกียจจะอธิบายสถานการณ์ตอนนี้

          เขาค้อมหัวต่ำ “ขอโทษนะ ความผิดผมเอง”

          ฉันค้อมหัวกลับ “ไม่หรอกค่ะ ยังไงก็ไม่ทันอยู่แล้ว ฉันมาถึงเร็วกว่าที่กะไว้ด้วยซ้ำเพราะให้คุณปั่นจักรยานมาส่ง ขอบคุณนะคะ”

          เด็กหนุ่มสูงกว่าฉันไปหนึ่งช่วงหัว เป็นคนดูซึม ๆ เขาซื้อชานมอุ่นจากตู้อัตโนมัติแล้วยื่นให้ ฉันขอบคุณเขา จากนั้นถือไว้ให้มือทั้งสองข้างอุ่นแล้วค่อย ๆ ดื่ม พอใจเย็นลงแล้วก็รู้สึกเจ็บที่ข้อเท้ามากขึ้นเรื่อย ๆ แต่เทียบกับความเจ็บปวดจากบาดแผลที่ถูกคนไม่ดีทำร้ายแล้ว เท่านี้ยังเล็กน้อย

          เขานั่งตรงเก้าอี้ที่ห่างออกไปสองตัว ฉันสำรวจเด็กหนุ่มดูอีกครั้ง ตอนแรกฉันเอาแต่คิดเรื่องเวลาที่นัดไว้จนไม่ทันได้สังเกตชุดนักเรียนของเขา เป็นชุดที่ดูคุ้น ๆ แต่ก็นึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหน เบลเซอร์สีน้ำเงินเข้มกับเนกไทสีเทา ไม่เหมือนพวกชุดที่เคยเห็นตามทางระหว่างเดินกลับจากโรงเรียน และไม่ใช่ชุดของโรงเรียนที่ฉันอยากเข้าด้วย

          ฉันพยายามค้นดูทุกซอกทุกมุมในหัว จริงสิ สักสองปีที่แล้ว บางอย่างดลใจฉันให้ไปใช้คอมพิวเตอร์ของห้องสมุดเพื่อค้นหาข้อมูลของโรงเรียนหนึ่ง ชุดของเขาเหมือนชุดที่นักเรียนบนหน้าหลักของเว็บไซต์โรงเรียนนั้นสวมอยู่

          พอนึกออกว่า ‘บางอย่าง’ ที่มาดลใจนั้นคืออะไร ฉันก็ได้สมมติฐานอันฝันเฟื่อง แต่ก็สะบัดทิ้งออกจากหัวทันที ‘คงไม่บังเอิญขนาดนั้นหรอก’ ฉันรู้สึกสมเพชตัวเองที่คาดหวังอะไรบ้าบอแบบนั้นขึ้นมาแวบหนึ่ง

          เด็กหนุ่มเห็นว่าฉันมองเขาอยู่ จึงถาม “มีอะไรเหรอ” พลางกะพริบตาปริบ ๆ ฉันรีบเสตามองทางอื่นทันที เขายังคงมองฉันจากด้านข้างด้วยความประหลาดใจ สายตาดูเกรงใจของเขายิ่งทำให้ฉันเกร็งหนักไปอีก

          มองรถไฟขาขึ้นออกตัว มองรถไฟขาล่องออกตัว

          สุดท้ายทั้งสถานีเหลือเพียงพวกเราสองคน

          “รอใครอยู่เหรอ” เขาถาม

          “ไม่เชิงหรอกค่ะ แค่…”

          คำพูดของฉันหยุดอยู่ตรงนั้น เขารอให้ฉันพูดต่อ แต่ฉันก็ต้องงับปากไว้เมื่อนึกได้ว่าประโยคที่ต่อจากคำว่า “แค่” นั้นคือ “อยู่กับคุณแล้วสบายใจจนไม่อยากลุกไปเลยค่ะ” ให้ตายเถอะ เพิ่งเจอเขาครั้งแรกแท้ ๆ แต่ดันจะพูดอะไรอย่างนั้น แค่เขาทำดีด้วยหน่อยก็ย่ามใจไปได้

          เมื่อมองรถไฟอีกขบวนจากไป ฉันพูดต่อ

          “เอ่อ ขอบคุณที่เป็นห่วงนะคะ แต่ไม่ต้องอยู่เป็นเพื่อนฉันตลอดไปหรอกค่ะ ฉันเองก็ไม่ได้บาดเจ็บจนเดินไม่ไหวอะไรขนาดนั้น ฉันแค่อยากนั่งอยู่ต่อเฉย ๆ ”

          “คิดเหมือนกันเลย ผมก็แค่อยากนั่งอยู่ต่อเฉย ๆ เหมือนกัน”

          “…ใช่มั้ยล่ะคะ”

          “วันนี้เกิดเรื่องเศร้านิดหน่อยน่ะ” เขาเปรย “ในหัวมัวแต่คิดเรื่องอื่นอยู่ถึงได้ชนเธอไปเมื่อกี้ ไม่ใช่ว่าผมรู้สึกผิดกับเธอหรืออะไรหรอก แต่ถ้าผมไปแล้วก็ต้องอยู่คนเดียว เผชิญหน้ากับความเศร้าอีก ซึ่งผมไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น ก็เลยยังอยู่ตรงนี้แหละ”

          เขายืดเส้นยืดสายแล้วหลับตา

          ฉันสบายใจจนรู้สึกผ่อนคลาย เริ่มง่วงขึ้นมานิด ๆ

          ไม่นานหลังจากนั้นถึงได้รู้ว่าคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ คนนี้คือเด็กหนุ่มคนที่ฉันเฝ้าหลงใหลมาเสมอ

          ที่น่าตกใจก็คือ ‘สมมติฐานเรื่องบังเอิญ’ นั้นเป็นจริงแทบทุกประการ หลังจากรอมาสามสิบนาทีแต่ยังไม่เห็นว่าอีกฝ่ายจะมาจึงตัดสินใจปั่นจักรยานไปหาที่โรงเรียนโดยตรง แต่มิซูโฮะคุงก็มาชนเข้ากับฉันเสียก่อน ถ้าตอนนั้นพวกเราหลบไปคนละทางแล้วสวนกันเฉย ๆ ก็อาจจะคลาดกันไปเลย ฉันนึกขอบคุณเรื่องบังเอิญที่ว่านี้

 

           “มีเรื่องจะสารภาพ” มิซูโฮะคุงพูดขึ้น ฉันหลงนึกไปว่าเขากำลังจะสารภาพรักกับฉันแล้วแตกตื่นใหญ่ ฉันหวังมานานว่าคงจะดีถ้าเขารู้สึกแบบเดียวกันกับฉัน ถึงได้ไม่เผื่อใจว่าเขาอาจจะกำลังจะบอกเรื่องอื่น อา ทำยังไงดี จิตใจฉันว้าวุ่น แม้ฉันจะดีใจเหลือเกินที่มิซูโฮะคุงรู้สึกอย่างนั้น แต่ฉันคงตอบกลับความรู้สึกนั้นไม่ได้ ก็เพราะคนที่เขารักเป็นคนละคนกับ ‘อากิซูกิ คิริโกะ’ ที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้ อันที่จริง ฉันควรจะบอกเขาไปเลยด้วยซ้ำว่า “คนที่คุณรัก ไม่ใช่ฉัน แต่เป็น ‘ฮิซูมิ คิริโกะ’ ที่ฉันแต่งขึ้นมาค่ะ”

          แต่คำพูดนั้นก็ไม่ถูกเปล่งออกมา ทันทีที่จินตนาการว่าถ้าฉันเงียบแล้วมิซูโฮะคุงจะหว่านคำรักให้ ทั้งศีลธรรม จิตสำนึก และความจริงใจก็หายวับไป ความจริงน่ะค่อยบอกหลังจากที่เขาสารภาพแล้วก็ได้ จิตใจเจ้าเล่ห์เหลี่ยมของฉันว่า พอได้รับความสุขให้เต็มอิ่มอยู่สักหน่อยค่อยเปิดเผยตัวตน ‘อากิซูกิ คิริโกะ’ ที่ไม่สมควรได้รับความรักจากเขา และควรได้รับความเกลียดชังแทน จะถูกเกลียดก่อนหรือหลังสารภาพก็คงไม่ต่างกันมากอยู่แล้ว ในเมื่อชีวิตฉันเป็นเช่นนี้ ขอเพียงให้ฝันเป็นจริงสักครู่หนึ่งไม่ได้เชียวหรือ

          “เป็นเรื่องที่ปิดบังไม่ให้คิริโกะรู้มาตั้งแต่สมัย ม. ต้น แล้ว”

          คิดถึงฉันมาตั้งนานขนาดนั้นเลยเหรอ ฉันยิ่งดีใจ แต่ก็เศร้าสร้อย คงเพราะฉันเองก็ทรยศมิซูโฮะคุงมานานพอกัน สร้างตัวตน ‘ฮิซูมิ คิริโกะ’ ที่ไม่มีอยู่จริงมาหลอกเขา

          จิตสำนึกของฉันกลับมาอีกครั้ง “เอ่อ มิซูโฮะคุง คือฉัน…” ฉันรวมรวมความกล้าเข้าแทรก แต่มิซูโฮะคุงก็พูดกลบ

          “มาบอกป่านนี้อาจจะไม่ให้อภัยแล้ว แต่ก็ยังต้องขอโทษเธออยู่ดี”

          ขอโทษเหรอ

          ฉันรู้ตัวสักทีว่าตัวเองเข้าใจผิดไปโข

          ที่เขาจะสารภาพ ไม่ใช่เรื่องความรักที่มีต่อฉัน

          แล้ว สารภาพเรื่องอะไรกันแน่

          มีอะไรให้ขอโทษ

          “‘ยูงามิ มิซูโฮะ’ ในจดหมายน่ะ คือเรื่องแต่งทั้งนั้น” เขาบอก “เขาเป็นแค่ตัวตนที่ถูกสร้างขึ้นให้ผมได้ติดต่อทางจดหมายกับคิริโกะต่อ ตัวผมที่อยู่ตรงนี้คือ ยูงามิ มิซูโฮะ ตัวจริง และเป็นคนละคนกับคนในจดหมายคนนั้น”

          “อะไรกันเนี่ย…” ฉันถามกลับกึ่ง ๆ โล่งอก “หมายความว่าไงคะ”

          “เดี๋ยวจะเล่าให้เป็นฉาก ๆ ” เขาตอบ

          และฉันก็ได้รู้ความจริง

 

          ฉันมัวแต่คิดเรื่องตัวเองจนต้องตกใจเมื่อได้ฟังคำสารภาพของมิซูโฮะ และทำให้ฉันลืมที่จะสารภาพเรื่องโกหกของตัวเองไปเสียสนิท ฉันดีใจที่เขาเริ่มโกหกแบบเดียวกันช่วงเดียวกับฉันด้วยเหตุผลเดียวกัน และยังดีใจที่รูปร่างหน้าตา ท่าทาง การพูด และอะไรทั้งหลายของเขาเหมือนอย่างที่ฉันจินตนาการไว้ไม่มีผิด ดีใจ ๆ ๆ ส่วนความลับของฉันคงยังไม่ต้องบอกตอนนี้หรอก

          หลังจากที่ตั้งสติได้แล้ว ฉันพูดสิ่งหนึ่งที่แม้แต่ฉันยังไม่คิดว่าเป็นคำพูดของตัวเองได้

          “งั้นเหรอ แปลว่ามิซูโฮะคุงหลอกฉันมาตลอดเลยสินะคะ”

          แล้วฉันมีสิทธิ์อะไรไปว่าอย่างนั้น

          “อืม” มิซูโฮะคุงพยักหน้า

          “งั้นก็แปลว่าจริง ๆ แล้วไม่มีเพื่อนสักคนเลยสินะคะ”

          “ใช่” เขาพยักหน้าอีกรอบ

          “อย่างนี้นี่เอง”

          ฉันหยุดคำพูดไว้เพียงแค่นั้น ถือกระป๋องชานมเปล่ามาจ่อปากทำเป็นจิบ

          “จะเกลียดกันเลยก็ได้นะ” มิซูโฮะคุงพูดอีก “สมควรเกลียดเลยด้วยซ้ำ โกหกมาตั้งห้าปี ที่ผมมาที่นี่เพราะอยากคุยกับคิริโกะที่อายุสิบเจ็ดแล้วสักครั้งเฉย ๆ ไม่หวังอะไรมากกว่านั้น แค่นี้พอใจแล้วละ”

          ฉันคิด ว่าถึงเขาเป็นคนหลอกลวง แต่ก็ยังซื่อตรง

          ส่วนฉันก็เป็นคนหลอกลวงที่ไม่ซื่อตรง

          “นี่ มิซูโฮะคุง” ฉันเรียกเขา

          “ว่าไง”

          “ที่จะถามนี่ให้ตอบมาตามตรงนะ ตอนที่ได้เจอฉันแล้วรู้สึกยังไงเหรอ”

          เขาถอนหายใจ

          “ถ้าไม่เกลียดกันก็คงดี”

          “ถ้างั้น” ฉันตอบต่อทันที “ฉันจะเป็นเพื่อนด้วยนะ”

          ฉันผู้ซึ่งปกติอยู่ฝ่ายขอร้องใช้ความซื่อตรงของมิซูโฮะคุงมาทำเช่นนี้

          ตาของเขาเบิกเล็กน้อย เขาหลุดขำออกมาแล้วตอบเสียงแหบ “ขอบคุณนะ”

          ฉันอาจจะไม่ต้องโกหกแล้ว ถ้าบอกไปตามตรงว่าฉันเองก็ไม่มีเพื่อนสักคน โดนรังแกทั้งจากที่บ้านกับโรงเรียนไม่หยุดหย่อน มิซูโฮะคุงกับฉันก็จะได้มีความรู้สึกที่อยากพึ่งพิงกันและกัน จมปลักดำดิ่งทิ้งตัวอยู่ในความสัมพันธ์อันฟอนเฟะแหว่งวิ่นนี้

          แต่ขอสักครั้งที่ฉันได้รู้จักกับใครสักคนในฐานะผู้หญิงปกติคนหนึ่ง ไม่ต้องถูกเกลียดหรือสงสาร ไม่ต้องมีเรื่องที่บ้านหรืออดีตมาข้องเกี่ยว ให้มองฉันอย่างที่ฉันเป็น และที่สำคัญที่สุด ภาพจินตนาการในจดหมายเหล่านั้น ขอทำให้เป็นจริง—แม้เพียงข้างเดียว—สักครั้ง

 

          สิ่งแรกที่ฉันทำโดยใช้ความได้เปรียบที่ว่าคือการเพิ่มเวลาที่เราสองคนได้อยู่ด้วยกันให้มากขึ้น

          “มิซูโฮะคุงก็น่าจะลองออกไปใช้เวลากับคนอื่นบ้างนะคะ” ฉันเปรย “เท่าที่ดู ปัญหาหลักของคุณเลยก็คือคุณชินกับการอยู่ ‘อย่างคนเดียว’ เพราะงั้น มิซูโฮะคุงต้องลองเรียนรู้กับการอยู่ ‘อย่างสองคน’ ให้ได้ก่อน”

          ฉันเพียงแค่นึกหาอะไรมาพูดอ้างให้ดูดีเท่านั้น แต่อันที่จริงฉันก็คิดอยู่ประจำเหมือนกัน

          “ที่บอกน่ะเข้าใจนะ” มิซูโฮะคุงตอบ “แต่ให้ทำยังไงล่ะ”

          “มาหาฉันบ่อย ๆ สิคะ”

          “แต่จะไม่เป็นการรบกวนคิริโกะไปเหรอ”

          “แล้วจะเป็นการรบกวนมิซูโฮะคุงมั้ยล่ะคะ”

          “ไม่เลย” เขาส่ายหน้าแรง ๆ “ดีใจด้วยซ้ำ”

          “นั่นแหละ ฉันก็ดีใจค่ะ”

          “…บางทีก็ไม่เข้าใจอะไรที่คิริโกะพูดเหมือนกันนะ”

          “เพราะฉันก็ไม่ได้หวังให้ใครมาเข้าใจหรอกค่ะ”

          “งั้นหรอกเหรอ”

          เขายักไหล่

          พวกเรานัดเจอกันสัปดาห์ละสามวัน จันทร์พุธศุกร์หลังเลิกเรียนที่จะได้ใช้เวลาด้วยกัน ส่วนสถานที่ ถ้าเป็นที่สถานีก็มีความเสี่ยงที่จะมีคนรู้จักมาเห็นฉัน จึงนัดที่ศาลาที่ตั้งอยู่ข้างทางเท้าเลียบแม่น้ำสายเล็กที่อยู่ในเขตที่มีบรรยากาศแบบตะวันตก ซึ่งต้องเดินไปอีกประมาณห้านาที

          เป็นศาลาหลังเล็กที่มีเก้าอี้ยาวตัวหนึ่ง หลังคาหกเหลี่ยมทาสีเขียว ระหว่างเราก็จะมีเครื่องเล่น CD วางอยู่ หูฟังแบ่งกันฟังคนละข้าง แต่ละคนก็จะผลัดกันใส่ CD ที่นำมาแล้วนั่งฟังกันอย่างสบาย ๆ พวกเราได้คุยกันมากกว่าที่คุยในจดหมาย จดหมายจะเขียนได้เพียงเรื่องในอดีตเท่านั้น ดังนั้นการได้พูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ตามจริงที่เกิดขึ้น ณ ตอนนั้นจึงทำให้รู้สึกแปลกใหม่

          บางครั้งพวกเราก็พูดถึงความรู้สึกของตัวเอง หรือเล่าว่าชอบเพลงที่ฟังตรงไหน แต่ปกติก็นั่งฟังเพลงกันอยู่เฉย ๆ สายหูฟังที่เชื่อมเราสองคนนั้นสั้น จึงทำให้พวกเราได้ใกล้ชิดกัน บางครั้งไหล่ก็แตะกัน

          “คิริโกะ ไม่ใกล้ไปหน่อยเหรอ” มิซูโฮะคุงถามอย่างขัดเขิน

          “นั่นสินะคะ แต่ว่าแบบนี้มิซูโฮะคุงจะได้ชินกับคนไงคะ”

          ฉันเลือกเหตุผลที่เหมาะสมที่สุดที่จะได้อยู่ใกล้กัน มิซูโฮคุงตอบสั้น ๆ “ก็จริง” แล้วพิงไหล่ฉัน “หนักค่ะ” ฉันบ่น แต่เขาทำเมินจดจ่ออยู่กับการฟังเพลง

          ให้ตาย ฉันนึกส่ายหน้าอยู่ในใจ ไม่ใช่ให้มิซูโฮะ แต่ให้ตัวฉันที่ใช้ความได้เปรียบของตัวเองให้ผู้ชายคนหนึ่งทำตามที่บอกนี่แหละ เป็นการกระทำที่ต่ำตมซึ่งไม่สมควรให้อภัยสิ้นดี จะถูกฟ้าผ่า อุกกาบาตตกใส่ หรือจักรยานมาชน ก็ไม่มีสิทธิ์เรียกร้องอะไรหรอก

          สักวันต้องบอกความจริง ฉันคิด แต่ความซื่อตรงของฉันเป็นต้องสั่นคลอนทุกครั้งที่เห็นรอยยิ้มอันน่าค้นหาของมิซูโฮะคุง ทุกครั้งที่ร่างกายของเราสัมผัสกัน และทุกครั้งที่เขาเรียกชื่อฉันว่า “คิริโกะ”

          ขออีกหน่อยเถอะ ขออีกหน่อย ขอดื่มด่ำกับฝันนี้อีกสักหน่อยไม่ได้หรือ คำโกหกเหล่านั้นยังคงผุดออกมาเรื่อย ๆ

          ทว่าหนึ่งเดือนหลังจากที่ได้พบกับมิซูโฮะอีกครั้งในตอนนั้น ความสัมพันธ์ก็ต้องจบลงอย่างกะทันหัน หน้ากากของฉันหลุดลอก เผยให้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของฉัน

 

          หลังจากเรื่องขโมยเงินครั้งนั้น เพื่อนร่วมชั้นต่างทำตัวเหมือนฉันเป็นหัวขโมย แต่ยังไงก็มีข่าวลือลอย ๆ ว่าฉันเป็นคนขายตัวมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว จะโดนเรียกว่าหัวขโมยอีกก็ไม่เป็นไรหรอก แต่โรงเรียนนี้มีแต่พวกลักเล็กขโมยน้อย พวกกระเป๋าสตางค์หรือของนั่นนี่ถึงได้หายทุกวัน และความผิดทุกอย่างก็มาตกที่ฉันแทน มีอยู่ครั้งหนึ่งที่บัตรนักเรียนของนักเรียนปีที่สามหาย ฉันยังคงถูกปรักปรำ แม้ว่าฉันไม่เคยเข้าไปที่ห้องนั้นเลยก็ตาม ฉันจะขโมยของแบบนั้นไปเพื่ออะไร

          หลังเลิกเรียนก็ไปเจอคนกลุ่มหนึ่งดักรออยู่บริเวณประตูหน้าโรงเรียน ฉันถูกจับตัวไว้ ทุกอย่างในกระเป๋าฉันถูกเทลงบนพื้นถนนหมด ค้นแม้กระทั่งกระเป๋าตามชุดนักเรียนฉันกับกระเป๋าสตางค์ ซึ่งแปลว่าน่าจะไปค้นตามล็อกเกอร์กับใต้โต๊ะมาแล้วด้วย

          ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีบัตรประจำตัวนักเรียนนั้น การค้นตัวจึงกินเวลากว่ายี่สิบนาที แต่ก็ไม่ได้แปลว่าจะจบแค่นั้น พวกนั้นผลักฉันตกคลองน้ำทิ้งเป็นการระบายอารมณ์ ในนั้นไม่มีน้ำไหล มีแต่ตมเหนอะหนะกับเศษใบไม้ร่วงทับถมที่หนาประมาณยี่สิบเซนติเมตร จังหวะที่ฉันตกลงไปก็ลื่นล้มจนตัวจมอยู่กับตม จากนั้นของในกระเป๋าก็ตกลงตามมาทีละชิ้นพร้อมกับเสียงหัวเราะที่ออกห่างไป

          ต้นขาฉันเจ็บแปล๊บขึ้นมา คงจะโดนแก้วหรืออะไรสักอย่างบาดตอนล้มจนเลือดไหลออกมาจากแผลใหญ่นั้น ที่สกปรกอย่างนี้เดี๋ยวเชื้อโรคต้องเข้าแผลแน่ ต้องรีบออกไปจากที่นี่ แม้คิดเช่นนั้นแล้วแต่ขาฉันยังไม่ยอมขยับ แต่ไม่ใช่เพราะความเจ็บหรือตกใจที่เห็นสภาพแผลอันสยดสยอง ฉันรู้สึกเหมือนกระเพาะถูกรัดแน่นจนหายใจไม่เป็นจังหวะ ดูเหมือนว่าฉันเองก็เจ็บเป็นอย่างคนปกติสินะ

          แค่นี้ยังไม่เท่าตอนที่ถูกจับโยนลงสระน้ำตอนหน้าหนาวสมัยมัธยมต้นหรอก ฉันบอกกับตัวเอง นอนหงายหน้าแช่ตมเย็น ๆ พลางคิด คลองน้ำทิ้งนี้ลึกกว่าความสูงของฉันมาก ต่อให้กระโดดใช้มือเกาะขอบเอาไว้ได้ก็คงปีนขึ้นไปยากอยู่ดี น่าจะมีบันไดปีนขึ้นอยู่สักที่ แต่ก่อนจะไปหาต้องเก็บของในกระเป๋าที่กระจัดกระจายอยู่ก่อน พวกสมุดน่าจะเละหมดแล้ว เก็บไปแต่ของที่จำเป็นแล้วกัน วันนี้คงไม่ไปตามนัดแล้ว ไว้ค่อยบอกว่าไม่สบาย ถ้าออกไปจากตรงนี้ได้แล้วก็จะดิ่งกลับบ้าน ชุดนักเรียนก็ไปซักมือแล้วจับยัดเครื่องซักผ้า…หลังจากนั้นค่อยคิดต่อว่าจะทำยังไงดี

          CD ที่เคยฟังด้วยกันกับมิซูโฮะคุงตกอยู่ข้าง ๆ พอหยิบขึ้นมาดูก็เห็นว่าแผ่นหักแล้ว ฉันมองไปรอบ ๆ นอกจากในนี้จะมืดสนิทแล้ว เลียบคลองน้ำทิ้งยังมีรั้วเหล็กขนาบอยู่ คงไม่มีใครมาเห็นฉัน ฉันจึงร้องไห้หลังจากที่ไม่ได้ร้องมาเนิ่นนาน นั่งกอดเข่าเปล่งเสียงสะอึกสะอื้น เมื่อได้เริ่มร้องแล้วน้ำตาก็ไหลออกมาอย่างไม่รู้จักจบจักสิ้น ฉันเอาแต่ร้องไห้ไม่หยุด

 

          พวกที่ผลักฉันให้ตกมาในคลองน้ำทิ้งไม่ได้โยนทุกอย่างในกระเป๋าลงมาในนี้ ยังมีพวกใบงานกับสมุดที่ตกตามพื้นถนนแล้วถูกลมพัดไป และมีแผ่นหนึ่งที่มิซูโฮะคุงเก็บได้ตอนที่เขาเดินทางกลับบ้านตามทางที่อ้อมมา ประสาทหูของเขาไวจนจับเสียงร้องไห้ของฉันที่แว่วไปกับสายลมได้

          มีเสียงคนปีนข้ามรั้วมา ฉันรีบหยุดร้องไห้แล้วกลั้นหายใจเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นใคร ฉันก็ไม่อยากให้มาเห็นสภาพที่ร้องไห้อยู่กลางตมอย่างนี้

          “คิริโกะ” เป็นเสียงคุ้นเคยที่ทำให้ใจแทบหยุดเต้น ฉันรีบคว่ำหน้าไม่ให้เขาเห็น ทำไมกัน ฉันแตกตื่น ทำไมมิซูโฮะคุงถึงมาอยู่ที่นี่ได้

          ทำไมถึงรู้ว่าคนที่ขดตัวหมอบอยู่ในคลองน้ำทิ้งนี้คือฉัน

          “นั่นคิริโกะหรือเปล่า”

          เขาทักอีกครั้ง ฉันยังเงียบอยู่ แต่พอเขาเรียกซ้ำอีกฉันจึงตัดสินใจเผยร่างที่แท้จริง

          ยังไงสักวันก็ต้องบอกอยู่แล้ว การที่ฉันยื้อเอาไว้ไม่ยอมบอกเสียทีทำให้ทุกอย่างต้องถูกเปิดเผยในสภาพที่เลวร้ายที่สุดเช่นนี้

          นี่คือบทลงโทษของฉัน

          ฉันเงยหน้าถามเขา

          “ทำไมถึงรู้ว่าฉันอยู่ตรงนี้คะ”

          เขาไม่ตอบคำถามนั้น

          “อ้อ คิริโกะจริงด้วย”

          มิซูโฮะคุงพูดแค่นั้นแล้วโยนบางอย่างขึ้นไปในอากาศ จากนั้นโดดตามลงคลองก้นจ้ำเบ้า เศษตมกระจายจนบางส่วนกระเด็นโดนหน้าฉัน ไม่นานก็มีของหลายอย่างร่วงลงมา ที่เขาโยนเมื่อกี้น่าจะเป็นกระเป๋านักเรียนที่เปิดทิ้งไว้ ทั้งหนังสือ สมุด กล่องดินสอ อะไรอีกหลายอย่างตกลงในตมทีละชิ้นละอัน

          มิซูโฮะคุงนอนหงายหน้าแบบเดียวกับที่ฉันทำเมื่อกี้อย่างไม่กลัวว่าเสื้อผ้าหน้าผมจะเปื้อน

          และเงียบกันไปสักพัก

          “นี่ คิริโกะ”

          “คะ?”

          “ดูนั่นสิ”

          มิซูโฮะคุงชี้ขึ้นไปที่ท้องฟ้า

          และฉันก็นึกขึ้นได้ว่าวันนี้เป็นวันเหมายัน

          พวกเรานอนเคียงกันกลางคลองมองพระจันทร์เต็มดวง

 

          ฉันไม่บอกเรื่องแผลที่ต้นขาฉันเพราะไม่อยากให้เขาต้องเป็นห่วงไปมากกว่านี้แล้ว

          ระหว่างที่เดินลัดเลาะอยู่ในคลองน้ำทิ้งท่ามกลางความมืดมิด ฉันก็ไล่เลียงสารภาพเรื่องที่ฉันโกหก เรื่องที่เขียนจดหมายโกหกมาตั้งแต่สมัยมัธยมต้น เรื่องที่บ้านที่แย่ลงตั้งแต่พ่อเลี้ยงกับพี่เลี้ยงเข้ามา เรื่องที่ไม่มีที่ให้ไปเพราะถูกคนที่โรงเรียนแกล้งตอนช่วงไล่เลี่ยกันกับเรื่องที่บ้าน และรายละเอียดยิบย่อยสารพัดสิ่งที่ฉันต้องเจอ

          และเขาก็ดูเหมือนตั้งใจที่จะไม่ตอบกลับหรือพูดสงสารใด ๆ คอยฟังเรื่องราวฉันอยู่เงียบ ๆ ก่อนหน้านี้ฉันเคยไประบายความทุกข์ใจอยู่ครั้งหนึ่งกับนักจิตวิทยาโรงเรียนที่จะมาสัปดาห์ละครั้ง แต่นักเรียน ป. โท อายุยี่สิบสี่ที่มาทำหน้าที่คนนั้นก็เอาแต่ตอบกลับตามสูตรดูเวอร์ ๆ กับทุกอย่างที่ฉันพูดจนน่ารำคาญ ซึ่งฉันมองว่าการทำแบบนี้คือการฝืนทำให้รู้สึกว่า ‘ฟังอยู่นะ’ มากกว่า ฉันยังจำได้ดีว่าความจริงใจแบบปลอม ๆ นั้นทำฉันอึดอัดแค่ไหน เพราะงั้นฉันถึงได้ดีใจที่มิซูโฮะคุงเงียบคอยรับฟังอยู่อย่างเดียว

          ฉันแค่อยากให้เขาได้รู้ความจริงของฉันเท่านั้น ไม่ได้อยากให้เวทนาสงสารอะไร ฉันจึงพยายามอธิบายเสียงเรียบ ต่อให้จะเป็นเรื่องความรุนแรงภายในครอบครัวหรือเรื่องที่ถูกกลั่นแกล้งก็ตาม

          ทว่า ยังไงเสียฉันก็ทำให้เขาต้องเป็นห่วงอยู่ดี ไม่ว่าใครได้ฟังที่ฉันเปิดใจเล่าขนาดนี้แล้วก็ต้องรู้สึกอยากทำอะไรสักอย่างแน่ ๆ ละ ‘ต้องหาอะไรมาพูดปลอบเธอสักหน่อย’

          แต่คำพูดเวทมนตร์เหล่านั้นไม่มีจริง ปัญหาของฉันมันหยั่งรากลึกเกินแก้แล้ว เกินกว่าที่คำพูดแสดงการรับรู้จำพวก “ลำบากแย่เลยนะ” “เธอเก่งมากเลยที่ผ่านมาได้” จะช่วยอะไรได้ ซึ่งถ้าไม่ใช่คนที่ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับฉันแล้วก้าวข้ามผ่านมาได้แล้วจริง ๆ คำพูดปลอบประโลมใด ๆ ก็ดูเปล่ากลวงทั้งนั้น

          แล้วการที่คนเราจะปลอบใครสักคนนั้นเป็นไปได้จริง ๆ เหรอ เพราะใครก็ตามนอกจากตัวเองก็ถือว่าเป็นคนนอกเท่านั้น คนเราภาวนาเพื่อตัวเองโดยรวมผลประโยชน์ของคนอื่นเข้ามาด้วยได้ก็จริง แต่การจะภาวนาเพื่อคนอื่นอย่างเดียวโดยเฉพาะนั้นคงเป็นไปไม่ได้ สรุปก็คงประมาณว่า การที่คนเราจะทำสักอย่างนั้นจะขึ้นอยู่กับว่าสิ่งนั้นมีผลได้ผลเสียยังไงบ้าง

          เขาเองก็คงคิดอะไรแบบนั้นอยู่เหมือนกัน ระหว่างที่พรรณนาถึงความทุกข์ทรมานของฉันอยู่ เขาก็จับมือฉันแล้วไม่พูดอะไร เป็นครั้งแรกที่ฉันได้จับมือกับผู้ชายในสภาพที่สติฉันยังสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์

          ทั้งที่ฉันนึกจะพูดเพื่อกลบเกลื่อนความเขิน สิ่งที่ฉันพูดกลับดูเหมือนการผลักไสเขาออกไป

          “แต่เรื่องแบบนี้บอกมิซูโฮะคุงไปก็คงไม่ได้อะไรขึ้นมาสินะคะ”

          แรงที่จับมือฉันอ่อนลงไปแวบหนึ่ง สายตาอันแหลมคมของมิซูโฮะคุงมองเห็นไปถึงเจตนาที่แฝงอยู่ในคำพูดนั้น

          ใช่ สิ่งที่ฉันแอบถามไปด้วยคือ

          ‘คุณช่วยฉันหน่อยได้มั้ยคะ’

          ความเงียบดำเนินไปพร้อมก้าวเดินประมาณสามสิบก้าว

          เขาเรียกชื่อฉัน

 

          “นี่ คิริโกะ”

          “ว่าไงคะ”

          ทันใดนั้นเขาก็จับไหล่ฉันแล้วจับกดเข้าที่กำแพงอย่างเบามือ หัวหรือหลังฉันจึงไม่ได้กระแทก แต่การกระทำเหล่านั้นดูไม่สมเป็นมิซูโฮะคุง ทำเอาฉันตื่นตระหนกจนไม่กล้าพูดหยอกล้ออะไร

          ปากเขาเคลื่อนเข้ามาที่ข้างใบหูฉันแล้วกระซิบบอก

 

           “ถ้าเธอไม่ไหวแล้วจริง ๆ ถึงตอนนั้นก็บอกนะ ผมจะฆ่าเธอเอง”

 

          นั่นคือคำตอบที่เขาคิดถี่ถ้วนมาแล้วจริง ๆ คิดว่านะ

          “มิซูโฮะคุงเลือดเย็นจังนะคะ”

          ที่ปากฉันยังไม่ตรงกับใจก็เพราะถ้าพูดคำว่า ‘ขอบคุณนะคะ’ ออกไป ฉันจะร้องไห้ทันที

          “นั่นสินะ ผมคงจะเป็นคนเลือดเย็นจริง ๆ นั่นละ”

          รอยยิ้มมิซูโฮะคุงดูอ้างว้าง

          ฉันโอบหลังเขาเอาไว้แล้วค่อย ๆ ดึงตัวเข้ามา

          เขาทำแบบเดียวกันเป็นการตอบรับ

          ฉันรู้ ว่าคำพูดที่ดูเหมือนจะเสียสติอย่างนั้นคือการบ่งบอกว่าเขาคิดอยากหาทางช่วยฉันอย่างจริงจัง เพราะท้ายที่สุดแล้ว ไม่มีวิธีใดแล้วจริง ๆ ที่จะแก้ปัญหาที่ไม่มีวันแก้ได้

          ประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ที่ว่าฉันจะถูกฆ่า แต่อยู่ที่ว่าฉันจะ ‘ถูกมิซูโฮะคุงฆ่า’ ผู้ชายที่ฉันเชื่อใจสัญญากับฉันแล้วว่าจะตัดขาดความทรมานของฉันทุกอย่างเมื่อถึงเวลา ฉันไม่เคยได้ยินคำสัญญาใดที่ปลอบโยนฉันได้เท่านี้ ไม่เคย และอาจจะไม่มีอีกแล้ว

 

          ฉันมาอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าที่บ้านมิซูโฮะคุง เหมือนว่าพ่อแม่เขาจะกลับมาหลังเที่ยงคืนตลอด ระหว่างที่ชุดของฉันอยู่ในเครื่องซักผ้า พวกเราก็ผ่อนคลายไปตามประสานิดหน่อย ลองทำตัวดูเป็นคู่ชายหญิงวัยแรกรุ่น คนอื่นอาจจะมองว่าเป็นอะไรที่ไม่สลักสำคัญมากนัก แต่สำหรับคนอย่างฉันที่ใช้ชีวิตมาแบบนั้น สิ่งนี้เป็นสิ่งที่จะทำให้ฉันไม่ต้องคิดมากอะไรไปได้อีกสองสามวันเลยทีเดียว

          การที่พวกเราได้มาลงเอยด้วยกันทำให้เกิดความสัมพันธ์อันไม่สมบูรณ์ที่ไร้ซึ่งทางออก แต่พอคิด ๆ ดูแล้ว ทางออกที่ว่าก็ไม่เคยมีอยู่แต่แรก ฉันจึงรู้สึกสบายใจที่ได้กระโดดลงไปในบึงลึกล้ำนี้

 

          หัวใจพวกเราขยับมาใกล้ชิดกันแล้ว แต่ถ้านับเรื่องการกระทำ ความสัมพันธ์ของเราก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง สิ่งที่เปลี่ยนไปคือพวกเราได้คุยกันหลังเลิกเรียนมากขึ้นเท่าตัว และอีกอย่างคือมิซูโฮะคุงที่ใช้ผ้าพันคอสีเลือดหมูมาพันคอฉันทุกครั้งที่เราได้นั่งฟังเพลงด้วยกัน

          สีสันเริ่มหายไปจากทิวทัศน์ ฝนหายไป และหิมะเข้ามาแทนที่ หน้าหนาวสีเทาหม่นมาถึงแล้ว มีอยู่วันหนึ่ง วันนั้นพวกเราใส่เสื้อโค้ตมานั่งฟังเพลงเคียงกันอย่างเคย ฉันนั่งหาวไม่หยุดเพราะไม่ได้นอนมาหลายวันติด ๆ กัน

          มิซูโฮะคุงยิ้มเจื่อน ๆ “เบื่อเหรอ”

          “เปล่า ไม่ใช่เลยค่ะ” ฉันขยี้ตา “ช่วงนี้มีงานก่อสร้างที่ห้องสมุดที่ฉันชอบไปบ่อย ๆ น่ะค่ะ”

          แต่เล่าแค่นั้นคงไม่เข้าใจที่ง่วงแน่ ๆ จึงเสริมไปว่าปกติถ้าวันไหนนอนไม่พอก็จะมาหลับที่ห้องอ่านหนังสือในห้องสมุดด้วย

          “หลับที่บ้านไม่ได้สินะเนี่ย”

          “ค่ะ ยิ่งช่วงนี้เพื่อนของพี่เลี้ยงฉันมาบ้านบ่อยด้วย ส่วนพ่อเลี้ยงก็ไม่ว่าอะไรเพราะเสียงดังแค่ไหนก็ยังหลับได้ คืนก่อนก็ปลุกฉันมาตอนตีสองให้มาลองเจาะหูด้วยค่ะ”

          ฉันปัดผมที่ปรกหูอยู่จนเห็นรูเล็ก ๆ สองรูที่ถูกเจาะตรงหู มิซูโฮะคุงยื่นหน้าเข้ามาใกล้แล้วจ้อง

          “ทิ้งไว้สักพักก็น่าจะหายแหละค่ะ แต่ว่าที่กลัวก็เพราะไม่ได้ใช้น้ำยาฆ่าเชื้อหรือยาทาอะไรเลยนี่แหละค่ะ”

          “ไม่เจ็บเหรอ”

          “ไม่ค่ะ แค่นี้เอง ตอนเจาะก็แป๊บเดียว”

          มิซูโฮะคุงใช้นิ้วลูบไปตามรอยเจาะนั้น “จักจี้ค่ะ” ฉันปราม แต่เหมือนว่าเขาจะสนุก ถึงยังใช้นิ้วทั้งห้าคอยจับดูว่าหูฉันเป็นยังไงคล้ายตอนคลำของบางอย่างในความมืด พอหลังหูกับติ่งหูถูกสัมผัสก็ทำให้รู้สึกสั่นเกร็งไปจนถึงในหัว ชักจะรู้สึกผิดยังไงก็ไม่รู้

          “ช่วงนี้ฉันก็ไม่ค่อยอยากนอนที่บ้านแล้วค่ะ ต่อให้วันนั้นพี่หรือพ่อเลี้ยงจะไม่ทำอะไรก็เถอะ ฉันหลับสนิทได้จริง ๆ ก็ที่ห้องสมุดนี่แหละค่ะ ถึงจะต้องนั่งหลับบนเก้าอี้แข็ง ๆ แต่ยังมี CD กับหนังสือ เสียงรบกวนก็ไม่มี ที่สำคัญคือไม่ต้องเจอคนที่ไม่อยากเจอด้วย”

          “แล้วห้องสมุดนั้นก็ปรับปรุงอยู่น่ะเหรอ”

          “น่าจะไปใช้ไม่ได้อย่างน้อย ๆ ก็สักยี่สิบวันเลยค่ะ แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าจะมีที่ไหนอีกที่เหมือนแบบห้องสมุด”

          มิซูโฮะคุงเลิกจับหูฉันแล้วหลับตาลูบคางพลางครุ่นคิด

          จากนั้นก็มีความคิดแวบขึ้นมาในหัวเขา

          “ผมรู้อยู่ที่หนึ่งที่ตรงตามคุณสมบัติที่คิริโกะอยากได้ครบเลย”

          “…เอ๊ะ บอกหน่อยสิคะ ด่วน ๆ ”

          ฉันโน้มตัวเข้าหาเขา มิซูโฮะคุงเสตามองทางอื่นดูขัด ๆ เขิน ๆ

          “หนังสืออาจจะมีไม่มากเท่าที่ห้องสมุดนะ แต่ที่มีก็ดีอยู่ แล้วก็แน่นอนว่าฟังเพลงได้ด้วย ทั้งเงียบวังเวงเพราะมีต้นไม้ขึ้นรอบ ๆ ไม่มีเวลาปิดทำการ ค่าเข้าก็ไม่มี มีที่ให้นอนด้วย” เขาพูดแล้วมองตาฉัน

          “แต่มีข้อเสียร้ายแรงอย่างนึง”

          ฉันถามพลางกลั้นหัวเราะ “ที่ที่ว่าเนี่ยใช่ที่ที่มิซูโฮะคุงใช้นอนหลับตลอดเลยหรือเปล่าคะ”

          “ถูกต้อง” เขาผงกหัว “นั่นแหละ เลยไม่รู้ว่าจะใช้ได้หรือเปล่า”

          “ถ้าให้ว่าตามตรง นั่นน่ะคือข้อดีแบบดีมาก ๆ สำหรับฉันด้วยซ้ำไปค่ะ ถ้ามิซูโฮะคุงไม่ขัดข้องอะไรฉันก็ยินดีจะไปรบกวนทันที”

          “…งั้น วันนี้ฟังเพลงแค่นี้ก่อนเนอะ”

          มิซูโฮะคุงกดหยุดเครื่องเล่น CD ไว้แล้วถอดหูฟังออกจากหูของฉัน

 

          ฉันไม่เคยเข้าห้องผู้ชายคนอื่นนอกจากมิซูโฮะคุงมาก่อน เพราะงั้น ฉันถึงไม่รู้ว่าที่ห้องเขาดูไม่มีค่อยมีอะไรอย่างนี้มาจากนิสัยเขาหรือเป็นปกติของห้องผู้ชายกันแน่ แต่ที่แน่ ๆ ตู้หนังสือตู้ใหญ่ที่สูงจนแนบชิดกับเพดานที่มีหนังสืออัดแน่นใบนั้นไม่ใช่ของที่จะมีในห้องเด็กผู้ชายอายุสิบเจ็ดปีทั่ว ๆ ไปแน่ ๆ ทั้งยังมีกลิ่นกระดาษเก่าอ่อน ๆ ด้วย

          พอเปลี่ยนเป็นชุดนอนที่ยืมมิซูโฮะคุงมาแล้วพับแขนเสื้อสามทบก็ออกมาเรียกเขา “เสร็จแล้ว” ชุดนอนที่ฉันใส่เป็นเสื้อยืดเจอร์ซีย์สมัยมัธยมต้นของเขา สายตามิซูโฮะคุงที่มองฉันเหมือนเห็นของแปลกทำให้รู้สึกเขิน ๆ ฉันจึงชี้ไปที่ตู้หนังสือเพื่อเบนสายตาเขา

          “ทึ่งจังเลยนะคะที่หนังสือเยอะขนาดนี้”

          “แต่ก็ยังอ่านไม่หมดหรอก” เขาพูดเหมือนประชดตัวเอง “ไม่ได้ชอบอ่านหนังสือขนาดนั้นหรอก ออกแนวสะสมมากกว่า เวลาไปร้านหนังสือมือสองก็จะไปซื้อหนังสือที่เห็นในนิตยสารบ่อย ๆ ที่ประมาณว่า ‘มีค่าพอให้เชื่อถือได้’ น่ะ”

          “เป็นคนชอบขวนขวายสินะคะ”

          เขาสั่นหัว “เริ่มอ่านอะไรได้เดี๋ยวเดียวก็เบื่อแล้ว เป็นคนหน่ายเร็วน่ะ ก็เลยคิดว่าเอาของที่ตัวเองรู้สึกว่าน่าเบื่อที่สุดเป็นงานอดิเรกไปเลยดีกว่า รู้มั้ยทำไม”

          “เพราะอย่างน้อย ๆ ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะผิดหวัง หรือเปล่าคะ”

          “ใช่ ถึงระหว่างที่ฉันอดทนรนหาบางอย่างอยู่จะยังไม่รู้สึกชอบอ่านหนังสือขึ้นมา แต่ก็เข้าใจแล้วละว่าทำไมคนถึงชอบอ่านหนังสือ ถือว่าก้าวมาไกลเลย” เขาขึงผ้าปูที่นอนให้เรียบ พับผ้าห่ม พลางจัดแจงหมอนให้เข้าที่ “แต่พักเรื่องนั้นไว้ก่อน เตรียมที่นอนให้แล้ว นอนให้เต็มที่เลย”

          ฉันนั่งลงบนผ้าปูที่นอนเย็น ๆ จากนั้นนอนห่มผ้าหนุนหมอน รู้อยู่ว่าท่าทางตัวเองออกจะเก้ ๆ กัง ๆ ไปสักหน่อย แต่จะให้ไม่เกร็งเลยก็เป็นไปไม่ได้หรอก ผู้หญิงคนไหนที่ได้นอนบนเตียงผู้ชายในฝันแล้วไม่เกร็งเลยก็คงไม่ใช่คนแล้วละ

          กลิ่นของมิซูโฮะคุงห่อหุ้มตัวฉัน อธิบายไม่ถูก แต่ก็ประมาณว่าเป็นกลิ่นของคนอื่นที่ไม่ได้มาจากตัวเองแน่ ๆ ถึงจะเคยกอดเขาแค่ครั้งเดียวในคลองน้ำทิ้งนั่น แต่ถ้าฉันเอาหน้าซุกเขาตอนนั้นก็คงกลิ่นประมาณนี้ละมั้ง กลิ่นของเขาทำให้ภายในตัวฉันรู้สึกอย่างติดตรึงถึงความสบายใจ ผ่อนคลาย และความเอ็นดู แวบหนึ่งฉันคิดจะแอบเอาผ้าห่มผืนนี้ติดมือกลับบ้านไปด้วย

          “เดี๋ยวถึงเวลาแล้วจะมาปลุกนะ ฝันดี”

          มิซูโฮะคุงปิดม่านแล้วปิดไฟ ฉันเรียกเขาไว้ตอนเขากำลังจะออกจากห้องไป

          “เอ่อ อยู่เป็นเพื่อนจนกว่าฉันจะหลับได้มั้ยคะ”

          เขาตอบมาท่าทางกระอักกระอ่วน “ผมเองก็ไม่อะไรหรอกนะ แต่จะว่ายังไงดี…คือ คิริโกะจะทำยังไงล่ะถ้าเกิดผมรู้สึกอะไรแปลก ๆ ขึ้นมา”

          หน้าเขาแดงเล็กน้อย แต่ไม่จำเป็นต้องรู้ก็ได้เพราะในห้องก็ปิดไฟอยู่

          งั้นเหรอ มิซูโฮะคุงก็มองฉันเป็นผู้หญิงคนหนึ่งเหมือนกันสินะ

          สิ่งที่ฉันอยากรู้ ว่าที่เขาทำดีด้วยนั้นทำในฐานะเพื่อนจริง ๆ หรือมีความรู้สึกชอบพอในฐานะเพศตรงข้ามอยู่ด้วยนั้น ตอนนี้ก็กระจ่างแล้ว ทำให้ความอบอุ่นแผ่ซ่านอยู่ในอก

          “ถ้าอย่างนั้นก็จะขัดขืนพอเป็นพิธีค่ะ” ฉันตอบ

          “แค่ พอเป็นพิธี ได้ไง” ท่าทางเขาดูอาย ๆ “ถ้าฉันจะทำอะไรเธอ ให้ต่อยสักหมัดเข้าที่หว่างคิ้วได้เลย แค่นั้นก็ใช้ดึงสติคนขี้ขลาดอย่างฉันได้แล้วละ”

          “เข้าใจแล้วค่ะ จะจำไว้นะคะ”

          ห้ามต่อยเข้าที่หว่างคิ้วเขาเด็ดขาด ฉันจะจดจำเอาไว้ให้มั่น

          มิซูโฮะเปิดโคมไฟแล้วเริ่มอ่านหนังสือ ฉันปรือตามองเขา

          บางที ภาพนี้คงเป็นภาพที่ฉันจะไม่มีวันลืมไปชั่วชีวิต

          ระหว่างที่คิดเช่นนั้นก็ผล็อยหลับไป

 

          จากนั้นฉันก็มาอยู่ที่ห้องเขาบ่อยครั้ง เมื่อฉันเปลี่ยนเป็นชุดนอนแล้วนอนห่มผ้า มิซูโฮะคุงก็จะเปิดเพลงคลอไปด้วย จากนั้นก็ค่อย ๆ หรี่เสียงระหว่างที่ฉันเริ่มหลุดลอยสู่ห้วงนิทราไปเรื่อย ๆ พอหลับเต็มอิ่มแล้วตื่นมาเขาก็จะชงชาดำมาให้ จากนั้นก็ซ้อนท้ายจักรยานเขาไปโรงเรียน และยังพาไปส่งที่บ้าน

          ตั้งแต่ที่ฉันรู้ว่ามิซูโฮะคุงจะคอยมาจัดผ้าห่มให้เข้าที่ระหว่างที่ฉันหลับอยู่ ฉันก็เรียนรู้การนอนพลิกตัวให้ผ้าห่มเสียทรงพอที่เขาจะมาจัดใหม่ให้ จุดที่ยากก็คือการห้ามไม่ให้ตัวเองยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ตอนที่เขามาจัดผ้าห่มให้ รอยยิ้มที่ถูกกักเก็บเอาไว้ทำให้ความอบอุ่นคงค้างอยู่ในตัวฉันจนความรู้สึกที่มีต่อเขาเริ่มสะสมมากขึ้น

          มีอยู่ครั้งหนึ่งเขามาจ้องหน้าฉันใกล้ ๆ ตอนนั้นฉันหลับตาอยู่ แต่ก็สัมผัสได้ถึงลมหายใจของเขาและตัวเขาที่นั่งยองอยู่ข้างเตียง

          สุดท้ายมิซูโฮะคุงก็ไม่ได้ทำอะไรฉัน แต่ต่อให้ทำฉันก็คงยอมแต่โดยดี ไม่สิ ฉันคอยสิ่งนั้นอยู่ด้วยซ้ำ เอาตรง ๆ ฉันก็คงยินดีเสียอีกถ้าเขาเกิด ‘รู้สึกอะไรแปลก ๆ ’ ขึ้นมา เพราะยังไงฉันก็อายุสิบเจ็ด เขาก็อายุสิบเจ็ด ซึ่งสิบเจ็ดก็เป็นวัยที่มีแต่อะไรหลายอย่างในตัวเหลือล้นที่ตัวเองคุมไม่อยู่

          ถึงอย่างนั้น ตอนนี้ฉันก็คงไม่คาดหวังอะไรไปมากกว่าการที่เขาคอยอ่านหนังสือเคียงข้างฉันที่หลับปุ๋ยและปล่อยให้ทุกสิ่งคลุมเครือไปเช่นนี้ และจนกว่าจะถึงจุดที่พวกเราทั้งคู่ต่างทนไม่ไหวแล้วจริง ๆ ฉันก็ขอดื่มด่ำไปกับความสมบูรณ์แบบที่ก่อจากความไม่สมบูรณ์แบบนี้ก่อน ฉันนอนหนุนหัวตรงตักมิซูโฮะคุงที่นั่งอยู่ข้างเตียง ร้องเพลงกล่อมหน่อยสิคะ ฉันอ้อนขอเขา และเขาก็ฮัมเพลง ‘Blackbird (แบล็กเบิร์ด)’ ให้ด้วยเสียงแผ่วเบา

 

          ระหว่างที่ได้ใช้เวลากันอย่างเอื่อยเฉื่อยเช่นนี้ จุดจบก็เริ่มคืบคลานเข้ามา ฉันพอจะรู้ตัวอยู่บ้าง แต่ก็ยังรู้สึกว่าเร็วกว่าที่คิดเอาไว้มาก ๆ

          หากรู้ว่าจะเหลือเวลาอีกแค่หนึ่งเดือน พวกเราก็คงบอกความรู้สึกที่มีต่อกันจนหมดเปลือกให้เร็วกว่านี้ ลองทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ที่คนรักเขาทำกัน

          แต่ความฝันนั้นก็ไม่เป็นจริง

 

          วันเสาร์สิ้นเดือนธันวาคมอันหม่นหมอง ฉันพามิซูโฮะคุงไปยังเมืองที่ไกลออกไป นั่งรถไฟกันไปประมาณหนึ่งชั่วโมงก็ถึงสถานีหนึ่งที่เล็กจนดูเหมือนที่ทิ้งขยะ ใยแมงมุมที่ไม่มีตัวชักใยอยู่แล้วพาดอยู่ตามห้องคอย ถุงมือไหมพรมข้างหนึ่งตกอยู่ที่ชานชาลา

          เมื่อเดินมาได้ประมาณสามสิบนาทีก็มาถึงที่สุสานบนยอดเขา ป้ายหินตั้งเรียงรายกระจายทั่วลานโล่งแห่งนี้ และหนึ่งในนั้นมีของพ่อฉันอยู่

          ฉันไม่ได้เอาดอกไม้หรือธูปมา เพียงแค่ลูบป้ายหินนั้น นั่งลงตรงหน้า แล้วเล่าเรื่องพ่อของฉันให้มิซูโฮะฟัง แม้จะไม่มีความทรงจำอะไรมากพอ แต่ฉันก็ชอบพ่อ ตอนเด็ก ๆ พอฉันซึมที่ถูกแม่ดุหรือทะเลาะกับเพื่อน พ่อก็จะชวนว่า “ไปขับรถเที่ยวกัน” ระหว่างที่ขับรถไปตามถนนนอกเมืองที่ไม่มีอะไรพิเศษก็จะมีเพลงเก่า ๆ เล่นอยู่ในรถ เขาจะสาธยายละเอียดยิบว่าเพลงนั้นดียังไงอย่างที่แม้แต่ฉันตอนเป็นเด็กยังเข้าใจ คำพูดของ พีต ทาวน์เซนด์ นั้นก็เป็นพ่อเองที่เอามาเล่าให้ฉัน

          บางที ที่ฉันโหยหาการได้ฟังเพลงก็อาจเพราะฉันสัมผัสได้ถึงตัวตนของเขาที่อยู่ในนั้น ตัวตนของพ่อซึ่งเป็นตัวแทนถึงยามที่บ้านยังสงบ ยามที่ฉันไม่ต้องหวาดวิตกอะไร

          พอเล่าเรื่องพ่อเสร็จแล้วฉันก็เปลี่ยนเรื่องทันที

          “พ่อเลี้ยงฉันน่ะเอาแต่สร้างหนี้ ที่จริงก็พอคิดไว้อยู่เหมือนกัน ดูจากนิสัยผีพนันแบบนั้น แต่ว่าหนี้ตอนนี้เยอะกว่าที่ฉันคาดเอาไว้เสียอีกค่ะ จะใช้คืนแบบปกติก็คงไม่ได้แล้ว แถมคนที่ไปติดหนี้ด้วยก็ดูไม่ใช่คนดี ๆ ด้วย และเพราะเป็นเรื่องการพนัน จะยื่นล้มละลายโดยสมัครใจมาช่วยก็ยากค่ะ”

          พ่อแม่ของฉันยังทะเลาะกันไม่หยุด พ่อเลี้ยงคงยังรู้สึกผิดเฉพาะกับเรื่องนี้อยู่ ถึงได้ยังไม่ได้ลงไม้ลงมืออะไร แต่ก็อีกไม่นานหรอก ถ้าพ่อเลี้ยงได้เปรียบขึ้นมาเมื่อไหร่ เขาอาจจะทำอะไรบางอย่างที่ไม่มีทางกู้คืนกลับมาได้อีก ฉันรู้สึกอย่างนั้น

          ฉัน ‘เลื่อนเวลา’ การกระทำของพ่อไม่ได้ หนี้มหาศาลที่เขาก่อไว้นั้นมากพอที่จะทำลายชีวิตฉันแน่ ๆ แต่เวทมนตร์ของฉันทำอะไรกับความทุกข์ที่ค่อย ๆ กัดกินชีวิตเช่นนั้นไม่ได้ สิ่งจำเป็นที่จะทำให้เสียงเพรียกครวญแห่งจิตวิญญาณดังขึ้นมาได้คือความเจ็บปวดที่มุ่งตรงเข้ามาและสัมผัสได้ทันที

          และต่อให้ฉันทำให้หนี้นั้นกลายเป็น ‘เรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้น’ ไปแล้ว ก็ยังไม่แน่ว่าพ่อเลี้ยงจะทำแบบเดิมซ้ำอีกหรือเปล่า สุดท้ายแล้ว เวทมนตร์ของฉันนั้นเปล่าประโยชน์สิ้นดี

          ฉันลุกขึ้นยืนแล้วปัด ๆ ฝุ่นตามเสื้อผ้า

          “เอาละ มิซูโฮะคุง ฉันชักเหนื่อยแล้ว”

          “เหรอ”

          “แล้วคุณจะฆ่าฉันยังไงล่ะคะ”

          เขาไม่ตอบ เพียงจ้องมองฉัน เหมือนรู้สึกค้างคาอะไรอยู่ เป็นสีหน้าที่เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกจนฉันต้องผงะ ทันใดนั้นมิซูโฮะก็จูบฉันแกมบังคับ การที่จูบแรกของพวกเราเป็นที่สุสานนั้นเข้ากันจนฉันนึกเอ็นดูความสิ้นหวังนั้นเหลือเกิน

 

          สี่วันให้หลัง เวลานั้นก็มาถึงในที่สุด

 

          สิ่งที่ฉันเห็นเป็นอย่างแรกเมื่อกลับบ้านมาคือศพแม่

          ไม่สิ ตอนนั้นอาจจะยังไม่ตายก็ได้ ถ้าได้รับการช่วยเหลือแบบทันท่วงทีตอนนั้นเลยก็น่าจะยังทันอยู่ แต่ใด ๆ ก็คือ ตอนที่มาจับชีพจรไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้น แม่ก็เป็นศพไปแล้ว

          ถ้าแม่ไม่ได้ใส่ชุดเหมือนทุกทีแล้วมาล้มอยู่ตรงพื้น ฉันคงไม่แน่ใจว่าเป็นแม่ฉันจริง ๆ หรือเปล่า นั่นแหละคือสภาพว่าหน้าของแม่ถูกซ้อมหนักขนาดไหน

          หัวของเธอกลายเป็นสีขาวล้วน

          พ่อเลี้ยงนั่งรินเหล้าใส่แก้วอยู่ที่เก้าอี้ พอฉันปรี่เข้าไปหาแม่เขาก็ปรามฉันเสียงแข็งว่า “ปล่อยไว้” แต่ฉันก็ไม่สนใจแล้วย่อตัวลงนั่งข้างแม่กลั้นหายใจมองใบหน้าที่บวมช้ำและเปื้อนเลือดนั้น ครู่ถัดมาความเจ็บแสนหนักหน่วงก็แล่นเข้ามาจากข้างขมับ

          พอฉันล้มลงกับพื้นแล้วพ่อเลี้ยงก็เตะเข้าที่ท้องฉัน ฉันกอดเข่าหมอบตัว แต่เขาก็ยังกระชากเส้นผมให้ฉันเงยหน้าขึ้นแล้วต่อยเข้าที่ดั้งจมูก โลกกลายเป็นสีแดงพร้อมเลือดกำเดาอุ่น ๆ ที่เริ่มไหล ปกติพ่อเลี้ยงจะไม่เล็งที่หน้าเพราะกลัวว่าเรื่องที่เขาทำร้ายคนในบ้านจะแดงขึ้นมา แต่วันนี้เขาไม่ยั้งมือแล้ว

          “แกก็จะไล่ฉันออกจากบ้านด้วยใช่มั้ย” พ่อเลี้ยงว่า “ก็ลองไล่ดูสิ ฉันจะทำทุกวิถีทางเพื่อตามหลอกหลอนพวกแกไปตลอดชีวิต พวกแกหนีฉันไม่พ้นหรอก ก็เป็นครอบครัวกันแล้วนี่”

          เขาเตะเข้าที่บริเวณลิ้นปี่อีกรอบจนจุกหายใจไม่ออก ฉันตั้งท่าเตรียมรับกับพายุลูกใหญ่ที่จะโหมเข้ามา พยายามแทบตายที่จะปกป้องหน้าเพื่อที่อย่างน้อยจะได้ไปเจอมิซูโฮะคุงได้ ฉันตัดการรับรู้ให้ขาดจากร่างกายโดยสิ้นเชิง พลางเล่นเพลงจากอัลบัม ‘Pearl (ไข่มุก)’ ของ แจนิส จอปลิน[1] อยู่ในหัว พอมาถึงเพลง ‘A Woman Left Lonely (หญิงผู้ถูกทิ้งให้อยู่โดดเดี่ยว)’ พ่อเลี้ยงก็เลิกซ้อมฉันอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็เพราะมือชาจากการต่อยติด ๆ กันเป็นเวลานานเท่านั้น จึงเปลี่ยนไปใช้เข็มขัดหนังแทน พ่อเลี้ยงใช้เข็มขัดหนังแข็ง ๆ นั้นเป็นแส้หวดฉันหลายครั้ง ทุก ๆ ครั้งที่ถูกฟาดก็เจ็บปวดจนแทบไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว ถึงแม้เพลงสุดท้ายของอัลบัมจะจบลงแล้ว เพลงนั้นชื่อ ‘Mercedes Benz (เมอร์เซเดส เบนซ์)’ ซึ่งเป็นเพลงร้องสดแบบไม่มีดนตรีเพราะแจนิสตายจากการเสพเฮโรอีนเกินขนาดหลังจากที่เธอไปซื้อบุหรี่มาโบโรพร้อมเงินทอนสี่ดอลลาร์กับอีกห้าสิบเซนต์ พ่อเลี้ยงยังคงตีฉันอย่างต่อเนื่องไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ฉันเลิกคิด เลิกเห็น เลิกได้ยิน เลิกรู้สึก

 

          ฉันตื่นขึ้นมาหลังจากที่สลบไปแล้วหลายครั้งและเห็นว่าพายุสงบแล้ว มีเสียงเปิดกระป๋องเบียร์ตามมาพร้อมเสียงเคี้ยวถั่วที่ดังทั่วห้อง กรุบกรุบกรุบกรุบ กรุบกรุบกรุบกรุบ ฉันไม่มีแรงจะลุกขึ้นยืนแล้ว แต่ยังพอขยับคอแล้วเงยหน้าไปดูนาฬิกาได้ ผ่านมาสี่ชั่วโมงแล้วนับตั้งแต่ที่ฉันกลับมาถึงบ้าน พอลองพยายามจะลุกขึ้นก็เห็นว่าข้อมือทั้งสองข้างฉันถูกมัดไพล่หลังเอาไว้อย่างกุญแจมือจนขยับลำบาก จะขัดขืนก็ไม่ได้ คงเป็นสายรัดที่เอาไว้มัดพวกสายเคเบิล

          ตามตัวฉันมีแต่รอยแดงลายพร้อยไปหมด เสื้อก็มีแต่รอยเลือด กระดุมกว่าครึ่งหลุดลุ่ย ผิวตั้งแต่คอลงไปจนถึงหลังที่เปิดโล่งอยู่แสบร้อนเหมือนถูกย่างไฟ ไม่สิ ‘คงจะถูกย่างจริง ๆ ’ เป็นความรู้สึกที่เจ็บปานนั้น ข้าง ๆ มีเตารีดเสียบปลั๊กเอาไว้อยู่ ก็น่าจะเป็นนั่นน่ะแหละ และยังมีบางอย่างแข็ง ๆ กลอกไปมาอยู่ในปาก แต่ไม่ต้องถุยออกมาดูก็รู้ว่าเป็นฟันกราม ส่วนรสเฝื่อนที่อยู่ในปากก็น่าจะเป็นเลือดที่ไหลออกมาจากตรงที่ฟันหลุด จะบ้วนปากด้วยเลือดเลยยังได้

          พอสบจังหวะที่พ่อไปเข้าห้องน้ำฉันก็คลานไปหาแม่ที่แน่นิ่งไปแล้วจับที่ข้อมือ

          ไม่มีชีพจรแล้ว

          สิ่งที่ฉันคิดได้ก่อนสิ่งใดคือ ‘ขืนยังอยู่ต้องโดนฆ่าไปด้วยแน่’ ไว้หนีไปที่ที่ปลอดภัยก่อนแล้วค่อยมาอาลัยถึงแม่ก็ได้ ก่อนอื่นต้องหนีไปจากผู้ชายคนนั้น ฉันคลานไปที่ห้องนั่งเล่น ไปตามทางเดิน จนมาถึงประตูหน้าบ้าน ฉันรวบรวมแรงเฮือกสุดท้ายแล้วลุกขึ้นยืน ใช้มือที่ไพล่หลังอยู่เปิดประตูแล้วออกมาข้างนอก จากนั้นจึงพยายามคลานต่อไป

          การรับรู้ของฉันที่ถูกแยกออกจากร่างยังกลับมาเข้ากันไม่สมบูรณ์ ฉันรับรู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับฉันบ้าง เพียงแต่ยังไม่ทันรู้สึกว่าเป็นความจริงสักเท่าไหร่ ถึงตอนนี้ฉันน่าจะทำให้ทุกอย่างกลายเป็น ‘เรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้น’ ได้แล้ว ทว่าฉันยังรู้สึกว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเรื่องของใครสักคนก็ไม่รู้ที่ไม่เกี่ยวกับตัวเอง ฉันอาจจะแหลกสลายไปตั้งนานแล้วก็ได้ ก็แม่ถูกฆ่าทั้งคน แต่ฉันยังใจเย็นอยู่ได้

          มีคนมาจับไหล่ ทั้งตัวฉันชะงักค้าง จะกรีดร้องก็ไม่ออก ความกลัวทำให้ตัวแข็งทื่อและอ่อนแรง

          ทันทีที่รู้ว่าเป็นมือของมิซูโฮะคุง ใจฉันชื้นขึ้นมาจนแทบเป็นลม และน้ำตาก็เอ่อล้นออกมาจนได้ แหมะแหมะแหมะแหมะแหมะแหมะ ฉันไม่เข้าใจอะไรทั้งนั้น ทำไมเขาถึงมาอยู่นี่ได้ ฉันไม่อยากให้เขามาเห็นสภาพฉันอย่างนี้

          หลังจากที่เขาแกะสายรัดออกแล้วฉันก็ยกมือขึ้นมาปิดหน้าเปื้อนเลือดที่ถูกต่อยเป็นอย่างแรก มิซูโฮะคุงถอดเสื้อโค้ตมาคลุมตัวฉันแล้วกอดแน่น ฉันโอบตัวเขาแล้วปล่อยโฮออกมาสุดเสียง

          “เกิดอะไรขึ้น” เขาเค้นเสียงถามอย่างนุ่มนวลเพื่อให้ฉันสงบลง แต่ลมหายใจเขาที่สั่นก็เป็นสิ่งที่บอกถึงอารมณ์ที่คุกรุ่นอยู่ในตัวเขา

          ฉันอธิบายไปแบบกระท่อนกระแท่นจับใจความไม่ค่อยได้ กลับบ้านมาก็เห็นแม่นอนกองอยู่กับพื้น พอเข้าไปหาก็โดนต่อย หลังจากนั้นก็ถูกทำร้ายสารพัดตลอดสี่ชั่วโมง พอพ้นมาได้ไปดูอีกทีแม่ก็ตายแล้ว เขาอดทนคอยรับฟังแล้วเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว

          เขาแทบไม่ต้องคิดด้วยซ้ำกับ ‘การตัดสินใจนั้น’

          “รออยู่นี่เดี๋ยวนะ แป๊บเดียวน่าจะจบเรื่องได้แล้ว”

          พูดจบเขาก็เข้าบ้านไป ความสงสัยที่ว่าเขาจะทำอะไรไม่มีอยู่ในหัวฉันที่กำลังปั่นป่วนสับสนด้วยซ้ำ ฉันน่าจะทำให้สิ่งที่พ่อเลี้ยงทำกับฉันกลายเป็น ‘เรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้น’ ให้เร็วกว่านี้ แต่ความรู้สึกขอบคุณที่มีต่อมิซูโฮะคุงก็เข้ามาขวางจนไม่เกิดเสียงเพรียกครวญแห่งจิตวิญญาณแล้ว

          หิมะเริ่มโปรยลงมา

 

          ผ่านไปไม่ถึงห้านาทีมิซูโฮะคุงก็กลับมา

          แต่พอได้เห็นเขาที่เลือดเปื้อนทั้งหน้ากับเสื้อเชิ้ตแล้วฉันยังมองว่าสวยงามก่อนที่จะทันเศร้าเสียอีก

          มีดที่เขาถืออยู่บอกชัดว่าเรื่องที่เขาทำให้จบคืออะไร

          “ขี้โกหก” ฉันพูดขึ้นมา “ฆ่าผิดคนแล้วค่ะ ไหนบอกว่าจะฆ่าฉันไงคะ”

          มิซูโฮะคุงหัวเราะ “ก็รู้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอว่าผมเป็นขี้โกหกน่ะ”

          “…ก็นั่นสินะคะ”

          เขาทำพลาดไปแล้ว

          เป็นจุดจบที่แย่ที่สุดเท่าที่จะนึกได้

          แต่ฉันก็ ‘เลื่อนเวลา’ ไม่ได้เหมือนกัน

          สิ่งที่เขาทำเพื่อฉันนั้น ฉัน ‘เลื่อนเวลา’ ไม่ได้

          “นี่ มิซูโฮะคุง”

          “ว่า”

          “หนีกันเถอะ ไปที่ที่ไกลออกไปหน่อย”

          ฉันขี่หลังเขาไป จากนั้นมาขโมยจักรยานคันหนึ่งที่ไม่ได้ลงกุญแจไว้ตรงสถานีแล้วให้ฉันนั่งตรงอานสำหรับวางของและปั่นพาออกไป

          พวกเราสองคนต่างรู้ดีว่าการหลบหนีครั้งนี้ไม่มีจุดมุ่งหมาย และไม่ได้มีเจตนาจะหนีจริง ๆ เลยแม้แต่น้อย

          เพียงแต่ต้องการเวลากล่าวคำอำลากันเท่านั้น

 

          จบ ม. ปลาย แล้วมาอยู่ด้วยกันนะ มิซูโฮะคุงบอก

          ทั้งที่รู้ว่าเป็นไปไม่ได้น่ะนะ ฉันพยักพเยิด

 

          เขาปั่นจักรยานอยู่ทั้งคืน ท้องฟ้าสีน้ำเงินเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีม่วง จากนั้นแยกเป็นสองชั้นระหว่างสีแดงทึมกับสีฟ้า พระอาทิตย์ขึ้นส่องแสงอาบจักรยานที่แล่นผ่าน ร่างอันหนาวเหน็บเริ่มอบอุ่นขึ้น หิมะที่ทับถมอยู่บนถนนก็ละลาย พวกเราแวะซื้อไก่กับเค้กกินกันที่ร้านสะดวกซื้อ พนักงานร้านเป็นนักเรียนมหาวิทยาลัยที่ดูไม่สนใจลูกค้า คอยคิดเงินไปไม่ว่าอะไรเรื่องหน้าฉัน พวกเรามานั่งกินกันที่ม้านั่ง

          “กินไก่กับเค้กแบบนี้เหมือนวันเกิดเลยนะคะ” ฉันพูดน้ำเสียงเริงร่า

          “ก็นะ จะนับว่าเป็นการฉลองกลาย ๆ ก็ได้แหละมั้ง” เขาพูดติดตลก

          พวกนักเรียนประถมที่กำลังเดินทางไปโรงเรียนต่างจ้องมองมาที่พวกเราสองคนซึ่งเป็นนักเรียนมัธยมปลายที่มานั่งกินเหมือนฉลองอะไรกันแต่เช้าตรู่พร้อมเลือดกับรอยฟกช้ำเต็มตัว สภาพของพวกเราดูขะมุกขะมอมจนมีคนหนึ่งพูดว่า “เอ๊ะ ฮัลโลวีนเหรอ แต่งชุดฮัลโลวีนด้วย” พอหันไปมองหน้ามิซูโฮะคุงแล้วสบตากัน พวกเราก็หัวเราะร่วน

          พวกเราเริ่มออกเดินทางกันต่อ ระหว่างทางก็เห็นนักเรียนมัธยมปลายกลุ่มหนึ่งที่เรียนที่เดียวกับฉัน สีหน้าที่ดูมีความสุขของพวกเขาทำให้ฉันนึกได้ว่าวันนี้โรงเรียนฉันจัดงานเทศกาลกัน รู้สึกราวกับว่าเป็นเรื่องจากอีกฟากโลกที่ไกลออกไปเลย ในกลุ่มนั้นก็มีพวกเพื่อนร่วมชั้นที่กลั่นแกล้งฉันปะปนอยู่ด้วย พวกเขาตกใจพอได้เห็นฉันซึ่งมีแต่รอยฟกช้ำนั่งซ้อนท้ายตรงอานสำหรับวางของแล้วมีผู้ชายตัวเปื้อนเลือดปั่นจักรยานพาไปคนละทางที่ไม่ใช่โรงเรียน

          ฉันซบหน้าเข้ากับแผ่นหลังของมิซูโฮะคุงแล้วร้องไห้พลางหัวเราะ หัวเราะพลางร้องไห้ รู้สึกราวกับว่าพิษที่ฝังแน่นอยู่ในร่างกายมาแสนนานถูกชะล้างออกไป

 

          จนสุดท้ายพวกเราก็มาที่สวนสนุกซึ่งเป็นสิ่งที่ฉันใฝ่ฝันมาตลอด ฉันอยากมาสวนสนุกกับมิซูโฮะคุงสักครั้ง สวนสนุกที่ฉันเคยใช้เวลากันอย่างมีความสุขกับพ่อและแม่

          เสื้อโค้ตปกปิดคราบเลือดที่เปื้อนเสื้อของฉันและเขาได้ แต่รอยฟกช้ำบนใบหน้าฉันกับกลิ่นคาวเลือดนั้นไม่มีทางปกปิดได้ จนคนที่เดินสวนพวกเราต่างหันมามองเพราะสัมผัสได้ถึงความรุนแรงบางอย่างที่ดูไม่เข้ากับสวนสนุก แต่ทั้งฉันและมิซูโฮะคุงก็ไม่สนใจ เพียงจับมือกันแล้วเดินเข้าไปด้านใน

          เขาบอกว่าอยากขึ้นชิงช้าสวรรค์ ส่วนฉันบอกว่าอยากขึ้นรถไฟเหาะ หลังจากที่เถียงกันง้องแง้งไร้สาระสักพักเขาก็ยอมแพ้แล้วตกลงกันว่าจะขึ้นรถไฟเหาะก่อน

          และฉันก็จำไม่ค่อยได้แล้วว่าหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง

 

          แต่ที่จำได้ราง ๆ ก็คือ ‘พอขึ้นรถไฟเหาะแล้วก็เกิดอุบัติเหตุนั้นทันที’

 

          คงจะเป็นสวรรค์ท่านลงโทษละมั้ง

          ไม่ใช่บทลงโทษของมิซูโฮะคุง แต่เป็นของฉัน

          เสียงประหลาด แรงสั่น เหมือนลอย เสียงโลหะ ชน เสียงกรีดร้อง เสียงประหลาดอีกเสียงอยู่ด้านข้าง กรอบแกรบกรอบแกรบกรอบแกรบกรอบแกรบกรอบแกรบกรอบแกรบ เลือดกระเซ็น เสียงกรีดร้อง ความสับสน เลือดกระเซ็น เศษเนื้อ เสียงกรีดร้อง อาเจียน เสียงร้องไห้

          พอรู้ตัวอีกทีมิซูโฮะคุงก็ไม่อยู่แล้ว เหลือเพียงสิ่งที่เคยเป็นมิซูโฮะคุงเท่านั้น

 

          ฉันคิด ว่า

          เพราะมาเจอฉัน มิซูโฮะคุงถึงต้องเป็นฆาตกร

          เพราะมาเจอฉัน มิซูโฮะคุงถึงต้องถูกบดขยี้จนตาย

          ทุกอย่าง เป็นเพราะฉัน

          ถ้าไม่มีฉันเสียอย่าง เรื่องอย่างนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น

          มิซูโฮะคุงไม่ควรได้มาพานพบกับฉัน

          ฉันคิดมาตลอดว่าพ่อเลี้ยงคือต้นตอของความหายนะทั้งหมด

          แต่ไม่ใช่เลย

          ฉันต่างหากที่เป็นต้นตอของความหายนะ

          ต้นตอของความหายนะอย่างฉันเป็นคนที่ดึงพ่อเลี้ยงเข้ามา ดึงพี่เลี้ยงเข้ามา ฆ่าแม่ ฆ่ามิซูโฮะคุง

          ผลท้ายที่สุด ฉันก็ดีแต่ทำให้มิซูโฮะคุงต้องวุ่นวาย

 

          เสียงกล่องดนตรีที่ไม่ได้ยินมาแสนนานดังขึ้น

          ฉัน ‘เลื่อนเวลา’ ไกลกว่าทุกครั้งที่เคยทำมามาก ย้อนไปจนถึงเมื่อสองสามเดือนก่อนไปยังวันที่ฉันและมิซูโฮะคุงได้เจอกันอีกครั้ง และทำให้กลายเป็น ‘เรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้น’ ฉันไม่มีค่าพอที่จะได้พบกับเขา

          แต่ ‘ฮิซูมิ คิริโกะ’ ไม่ได้ผิดอะไร ตัวตนของเธอที่คอยสนับสนุนมิซูโฮะคุงจึงยังไม่ถูกลบ เพราะฉะนั้น สิ่งที่ทำให้กลายเป็น ‘เรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้น’ ก็มีแค่ตอนที่ได้เจอกันอีกครั้งตอนนั้น ลบแก้เหตุการณ์ที่มิซูโฮะคุงมาหาในวันนั้น ให้เขาได้กลับไปใช้ชีวิตนักเรียนมัธยมปลายตามปกติ

          แบบนี้ดีที่สุดแล้ว ถึงมิซูโฮะคุงจะไม่มีฉัน เขาก็จะยังหาเพื่อนได้ตามปกติ มีคนรักได้ตามปกติ ใช้ชีวิตได้ตามปกติ

          ส่วนฉันจะลืมสิ้นเสียทุกอย่าง สิ่งที่เขาเคยบอก สิ่งที่เขาเคยทำให้ ความอบอุ่นของมือเขา ความทรงจำที่เขามอบให้

          เพราะหากฉันคิดถึงเขาแม้เพียงสักเล็กน้อย ความทุกข์ของฉันก็จะถูกส่งต่อไปได้

 

          หลังจากที่ทำให้การพบกันอีกครั้งกลายเป็น ‘เรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้น’ แล้ว ฉันก็ไม่โตขึ้นอีกเลย หนึ่งปีผ่านไปฉันก็ยังอายุสิบเจ็ดเหมือนตอนอยู่มัธยมปลายปีที่สองเหมือนเดิม คล้ายว่าฉัน ‘เลื่อนเวลา’ การโตขึ้นเอาไว้ด้วย แต่ฉันก็จำไม่ได้ว่าเคยขออะไรแบบนั้นไว้ด้วย

          บางที อาจเพราะสักที่ในใจฉันยังห่วงอาวรณ์อยู่ว่า ‘อย่างน้อย ๆ ฉันก็ยังอยากเป็นตัวฉันในแบบที่เขารักฉัน’ และหวังในใจลึก ๆ ว่าสักวันพวกเราจะได้กลับมาพบกันอีกครั้ง

 

[1] Janis Joplin: นักร้องเพลง-นักแต่งเพลงชาวอเมริกัน

และแล้วบาดแผลจะลบเลือน

และแล้วบาดแผลจะลบเลือน

Score 10
Status: Completed
"บ้าสิ้นดีที่ดันมารักผู้หญิงที่ตัวเองฆ่า" ผมฆ่าคนคนหนึ่งในฤดูใบไม้ร่วงตอนที่ผมอายุได้ยี่สิบสองปี ตอนที่ทุกอย่างบนโลกใบนี้หันหลังให้กับผม — แต่ทว่า เด็กสาวที่ถูกผมฆ่านั้น 'เลื่อน' ความตายออกไปได้อีกสิบวัน และเธอจะใช้เวลาสิบวันอันมีค่าที่เหลืออยู่นั้นแก้แค้นเหล่าผู้คนที่ทำลายชีวิตเธอ "คนที่จะช่วยฉันได้ก็เป็นคุณฆาตกรอยู่แล้วค่ะ" และในขณะที่การแก้แค้นดำเนินไป พวกผมกลับเข้าใกล้ความจริงที่อยู่เบื้องหลังการพบพานของเราสองคนมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งเป็นความทรงจำรสหวานขม และคำบอกลาในวันนั้น

Options

not work with dark mode
Reset