[1]พี่สาวกระชากเส้นผมลากฉันแล้วโยนเข้าไปในห้องของฉันที่เปิดไว้ด้วยข้อหา ‘เมิน’ ที่ไม่ยอมสบตาด้วยตอนที่เดินสวนกันตรงทางเดินในตึกเรียน เมื่อเงยหน้าด้วยความเจ็บปวดที่ข้อศอกกระแทกเข้ากับพื้นอย่างแรงก็เห็นพวกคนนิสัยไม่ดีที่พี่พามาด้วย พวกเขาเอาแต่พ่นคำต่ำ ๆ ใส่ฉัน ทั้งห้องคลุ้งไปด้วยกลิ่นเน่า ๆ เหมือนกองขยะที่มีแต่ขวดเหล้ากับกระป๋องเบียร์ พอพยายามจัดส้นเท้าเตรียมหนีก็ถูกชายฟันหลอคนหนึ่งเตะเข้าที่หน้าแข้งจนฉันล้มและหัวเราะกันอย่างครื้นเครง
จากนั้นก็เริ่มงานอย่างเคย ฉันเป็นของเล่นของพวกเขา คนหนึ่งเทวิสกี้เพียว ๆ จนเต็มแก้วแล้วบังคับให้ฉันดื่มหมดรวดเดียว ซึ่งแน่นอนว่าฉันไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ ได้แต่ยื่นมือออกไปรับแก้วใบนั้นกล้า ๆ กลัว ๆ ผู้หญิงคนหนึ่งที่ใส่น้ำหอมมากเกินจนกลิ่นเหมือนพืชกินแมลงบอกว่าหมดเวลาแล้วพร้อมขยิบตาให้ผู้ชายคนข้าง ๆ เขาหิ้วปีกฉันไว้แล้วจับอ้าปาก ส่วนเธอก็กรอกวิสกี้นั้นเข้ามาจนหมด และจากประสบการณ์ที่ผ่านมา ถ้าฉันขัดขืนไม่ยอมกลืนลงไป จะต้องเผชิญกับสิ่งที่เลวร้ายกว่า จึงยอมจำนนกลืนวิสกี้ที่อยู่ในปากลงไป กลิ่นฉุนอย่างยา ถังไม้ และข้าวสาลีตีขึ้นจมูกมาพร้อมกับความรู้สึกที่เหมือนทั้งคอถูกเผาไฟ ฉันกลั้นใจไม่ให้สำลักอย่างสุดความสามารถ พวกนั้นสนุกกันยกใหญ่
และฉันก็ดื่มหมดแก้วจนได้ ไม่ถึงสิบวินาทีอาการคลื่นไส้อย่างแรงก็ตีกลับขึ้นมา ร้อนตั้งแต่คอไปจนถึงกระเพาะ สติลอยคว้างปั่นป่วนเหมือนมีใครจับสมองไว้แล้วเขย่าไปมา อีกนิดหนึ่งก็จะเป็นภาวะแอลกอฮอล์เป็นพิษเพราะได้รับปริมาณมากไปแล้ว เสียงแห่งลางร้ายแว่วมาข้าง ๆ “เอ้า แก้วที่สอง” ผู้หญิงคนนั้นยื่นแก้วมาจ่อหน้าฉัน แรงขัดขืนฉันไม่เหลือแล้ว จะดิ้นสักเท่าไหร่ก็ไม่หลุดจากอ้อมแขนที่ล็อกตัวเอาไว้ วิสกี้ถูกเทเข้ามาอีกครั้งจนฉันสำลักไปด้วย ผู้ชายคนที่ล็อกตัวฉันไว้บอกว่า สกปรก และยอมปล่อย ภายในหัวที่เสียสมดุลไปแล้วทำให้รู้สึกคล้ายตัวจะบินขึ้นจนชนเพดาน ทั้งที่ร่างของฉันล้มตึงอยู่กับพื้น
ฉันพยายามจะคลานหนีไปที่ประตู แต่ก็มีคนจับข้อเท้าฉันไว้แล้วลากกลับ พี่สาวฉันนั่งยอง ๆ อยู่ข้าง ๆ แล้วบอกว่า “ถ้าทนไม่อ้วกได้ครบหนึ่งชั่วโมงจะยอมปล่อย” ก่อนที่ฉันทันจะได้ส่ายหน้าเพื่อบอกว่าทนให้ถึงหนึ่งชั่วโมงไม่ไหว หมัดของเธอก็กระแทกเข้าที่ท้องของฉัน เป็นเชิงว่าไม่ยอมให้ทนอยู่เฉย ๆ อยู่แล้ว
เมื่อรู้ตัวอีกทีก็มีเสียงคนรอบ ๆ โห่ชอบใจที่ฉันอาเจียนอยู่ตรงนั้น ผู้หญิงอ้วน ๆ ตัวเตี้ยคนหนึ่งบอกว่าแพ้แล้วก็ถึงเวลาลงโทษพลางควักปืนช็อตไฟฟ้ากดปุ่มเปิด เสียงจากประกายที่ดูเหมือนประทัดนั้นทำให้ผงะ ฉันรู้ดีว่าสิ่งนั้นทำให้เจ็บปวดได้แค่ไหนดีกว่าคนที่ถืออยู่เสียอีก ทันใดนั้นกระแสไฟฟ้าก็แล่นเข้ามาตรงคอจนฉันร้องลั่น เป็นเสียงกรีดร้องที่ฉันคิดว่าไม่ใช่ของตัวเองด้วยซ้ำ เธอคงเห็นว่าตลกดีถึงได้จี้ตามจุดที่ผิวบางอีกหลายครั้ง ครั้งแล้ว ครั้งเล่า ครั้งแล้ว ครั้งเล่า แอลกอฮอล์ก็เข้าเล่นงานช่วงที่พักเจ็บจนเวียนหัวอีก และถูกจี้เน้นนานเป็นพิเศษเมื่อมีเสียงโห่ที่ฉันอาเจียนอีกครั้ง
ถึงอย่างนั้นฉันก็ไม่ได้รู้สึกทรมาน เรื่องแค่นี้ทำให้กลายเป็น ‘เรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้น’ ไม่ได้
ความเคยชินนั้นน่ากลัว ไม่ว่าจะเป็นความทุกข์ทรมานเพียงใด ฉันก็ผ่านมาได้หมดแล้ว ทำหัวสมองให้โล่งแล้วอัดเข้าไปด้วยเสียงเพลงเพื่อเตรียมรับมือกับการทำร้ายใด ๆ ระหว่างที่พวกเขาเยาะเย้ยล้อเลียน ฉันก็จะจดจ่ออยู่กับเพลงในหัวเท่านั้นเพื่อให้ประสาทส่วนอื่นด้านชา
ฉันคิด ว่าวันพรุ่งนี้ไปที่ห้องสมุดหาฟังเพลงอีกเยอะ ๆ อีกดีกว่า เป็นห้องสมุดในละแวกที่สร้างมาแล้วกว่าสามสิบปี สภาพโทรมเล็กน้อย มีหนังสือไม่มากนักเมื่อเทียบกับ CD เพลงที่มีมากมาย ฉันเข้าไปฟังบริเวณที่เปิดเพลงจาก CD อยู่ทุกวัน ใหม่ ๆ ฉันชอบฟังเพลงเร้าใจที่ปัดเป่าความทุกข์เศร้าให้หายไปได้ แต่จากนั้นก็ได้รู้ว่าสิ่งที่ช่วยจัดการความทุกข์ทรมานได้ดีที่สุดนั้นไม่ใช่เนื้อเพลงอันยอดเยี่ยมหรือท่วงทำนองที่เคียงข้างการปลดปล่อย แต่เป็น ‘ความงามที่แท้’ ต่างหาก ฉันจึงหันไปฟังเพลงช้าแทน ไม่ว่าจะ ‘ความหมาย’ หรือ ‘ความสบายใจ’ สักวันก็จะทิ้งผู้คนไป ถึง ‘ความงาม’ จะไม่ได้คอยเคียงข้าง แต่ก็อยู่ตรงที่เดิมเสมอ คอยอยู่นิ่ง ๆ จนกว่าฉันจะไปถึง แม้ฉันจะไม่เข้าใจในทันทีก็ตาม
ความทุกข์ทรมานจะกลบความรู้สึกด้านบวกไปสิ้น หนึ่งเดียวที่เหลืออยู่คือความรู้สึกที่สัมผัสได้ว่าสิ่งสวยงามนั้นคือความงาม ความทุกข์ทรมานจะช่วยให้ความงามนั้นดูเด่นชัดขึ้นมาด้วยซ้ำ สิ่งใดที่ไม่เป็นไปตามนี้ก็เป็นความสวยงามจอมปลอม เพลงที่แค่ฟังเพลิน หนังสือที่แค่อ่านสนุก ภาพที่ดูมีแค่ความลึกล้ำ ของเหล่านี้พึ่งพาอะไรไม่ได้เลย แล้วจะมีค่าสักแค่ไหนกัน
พีต ทาวน์เซนด์[2] กล่าวไว้ว่า “ดนตรีร็อกแอนด์โรลไม่ได้แก้ปัญหาอะไร แต่อย่างน้อยเราก็โยกไปกับมันได้” ใช่ ‘ปัญหาของฉันไม่ได้ถูกแก้’ และนั่นแหละคือทางออกที่แท้จริง ฉันไม่เชื่อแนวคิดอะไรก็ตามที่ว่าฉันต้องแก้ปัญหาก่อนจะทำอะไรต่อ อะไรที่แก้ไม่ได้ก็จะแก้ไม่ได้อยู่วันยังค่ำ ไม่ต้องไปนึกถึง ‘การเยียวยา’ อย่างการที่ลูกเป็ดขี้เหร่ที่กลายเป็นหงส์อะไรทำนองนั้นหรอก ฉันเชื่อว่าลูกเป็ดขี้เหร่ก็มีความสุขดีกับการเป็นลูกเป็ดขี้เหร่นั่นแหละ
ผ่านไปนานแค่ไหนแล้วนะ อาจจะสองสามนาทีไม่ก็สองสามชั่วโมง แต่เมื่อรู้ตัวอีกทีทั้งพี่สาวและเพื่อนของเธอก็หายไปแล้ว วันนี้ก็ทนมาได้อีกวัน ฉันชนะแล้ว พอลุกขึ้นเดินไปที่ครัวแล้วก็กลั้วคอด้วยน้ำสองแก้ว เข้าห้องน้ำไปอาเจียนอีกรอบและมายืนแปรงฟันอยู่ที่อ่างล้างหน้า
สารรูปตัวฉันในกระจกดูไม่ได้เลย ตามีเลือดคั่งจนแดงก่ำขัดกับหน้าที่ซีดเซียว ตามเสื้อมีคราบวิสกี้ อาเจียน แล้วก็เลือด ฉันลองจับดูว่าเลือดออกตอนไหนหรือมีแผลตรงไหนหรือเปล่า แต่ก็ไม่มี จนกระทั่งเริ่มแปรงฟันถึงได้รู้ตัวว่าคงกัดกระพุ้งแก้มตอนที่ถูกปืนไฟฟ้าจี้ แปรงสีฟันถูกย้อมเป็นสีแดง
นาฬิกาบอกเวลาตีสี่ ฉันหยิบยาแอสไพรินแก้ปวดกับยากระเพาะจากชั้นในห้องนั่งเล่นมากิน จากนั้นจึงเปลี่ยนเป็นชุดนอนแล้วกลับไปนอนที่เตียงในห้องตัวเอง ไม่ว่าจะถูกทำร้ายหนักแค่ไหน แต่วันพรุ่งนี้ก็ยังจะต้องอยู่กับวันธรรมดา ๆ ที่โรงเรียนเหมือนเดิม ต้องพักร่างสักหน่อย
ฉันหยิบตุ๊กตาหมีที่อยู่ใต้หมอนแล้วมากอดเอาไว้เสมือนเป็นวิธีการปลอบประโลมตัวเอง ซึ่งตัวฉันรับไม่ได้ที่สุด แต่ก็คงต้องเป็นอย่างนี้ต่อไป แม้จะโหยหาอ้อมกอดอันอ่อนโยนมานานเพียงใด แต่ฉันรู้ว่าจะไม่มีเพียงสักคนที่จะกอดฉัน
โรงเรียนรัฐแห่งนี้เหมือนถูกปิดกั้นจากโลกภายนอกด้วยต้นไม้หนาทึบที่ขึ้นรอบ ๆ และฉันก็ไม่ได้อยากเข้าเรียนที่นี่เลย อยากเข้าเรียนที่โรงเรียนเอกชนประจำจังหวัดมากกว่า แต่แม่ของฉันก็บอกว่าผู้หญิงไม่จำเป็นต้องเรียนอะไรก็ได้ ส่วนพ่อเลี้ยงฉันก็ไม่ยอมให้ฉันสอบเข้าเรียนที่โรงเรียนมัธยมปลายอื่นนอกจากโรงเรียนรัฐที่ขึ้นรถทอดเดียวไปก็ถึง ต่อให้กริ่งเข้าเรียนดังแล้วแต่ในห้องก็ยังมีเสียงเจี๊ยวจ๊าวอยู่ แต่ละคนไม่ได้สนใจจะเรียนหรืออะไรเลย พอช่วงคาบบ่ายนักเรียนก็หายไปถึงหนึ่งในสามของห้อง หลังโรงกีฬาก็มีก้นบุหรี่เกลื่อนอยู่เป็นร้อย ๆ ทุก ๆ เดือนก็จะมีคนที่ต้องลาออกกลางคันเพราะถูกจับไม่ก็ท้อง นั่นละโรงเรียนฉัน แต่ฉันบอกตัวเองให้นึกยินดีที่ยังมีโอกาสได้เรียนต่อมัธยมปลาย เพราะโลกใบนี้ยังมีเด็กที่ไม่ได้เรียนมัธยมต้นอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยด้วยซ้ำ
คาบบ่ายเริ่มแล้ว เสียงในห้องดังมากจนไม่ได้ยินว่าครูพูดอะไรอยู่ ฉันจึงนั่งอ่านหนังสือเรียนด้วยตัวเอง แต่มีบางอย่างปลิวมาจากข้างหลังและโดนไหล่ เป็นซองกระดาษที่ยังมีบางอย่างเหลืออยู่ข้างในนิดหน่อย กาแฟที่อยู่ข้างในหกเปื้อนถุงเท้าฉัน ตามมาด้วยเสียงหัวเราะ แต่ฉันไม่แม้แต่จะหันไปมอง ถ้าเป็นช่วงคาบเรียนพวกเขาก็ทำอะไรไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว ถ้าจะทำแค่ปาซองกระดาษ ฉันก็เรียนต่อได้สบาย ๆ
เมื่อเงยหน้าขึ้นก็สบตาเข้ากับครู เป็นผู้หญิงยังสาววัยยี่สิบปลาย ๆ เธอคงจะเห็นซองกระดาษนั้น แต่ก็ทำเป็นไม่สนใจ
แต่ฉันก็ไม่โทษเธอหรอก สมมติว่าฉันเห็นนักเรียนตกเป็นเป้าบ้างก็คงไม่ทำอะไรเหมือนกัน คนเราก็สนใจแต่เอาตัวเองให้รอดก็พอ
เลิกเรียนแล้วฉันก็มุ่งหน้าไปยังห้องสมุดประจำเขต ไม่ใช่แค่ว่าอยากไปฟังเพลง แต่ก็จะรีบไปนอนสงบ ๆ บ้าง ถึงจะรู้สึกแปลก ๆ อยู่บ้างที่ไปใช้ห้องสมุดเหมือนเป็นคาเฟสำหรับอ่านการ์ตูนอย่างนี้ แต่ฉันไม่มีที่ที่จะนอนได้แบบสบายใจแล้ว
ถ้าเป็นที่บ้านก็จะโดนพ่อหรือพี่สาวปลุกมาซ้อมตอนไหนก็ได้ หรือถ้าเผลอฟุบหลับกับโต๊ะในห้องก็จะโดนดึงเก้าอี้จากด้านหลัง ไม่ก็โดนขยะเทใส่หัว ฉันหลับไม่ลงหรอก ถึงได้มาหลับที่ห้องสมุด ยังดีที่พวกที่เป็นอันตรายต่อฉันไม่กล้าเข้าใกล้ที่นี่ มีทั้งหนังสือให้อ่าน มีเพลงให้ฟัง ห้องสมุดเป็นนวัตกรรมแสนล้ำเลิศ
การอดนอนทำให้ร่างกายคนเราอ่อนแอลงมาก เวลานอนที่หายไปครึ่งหนึ่งทำให้ความทนทานต่อสิ่งต่าง ๆ ของฉันลดลง ไม่ว่าจะการทำร้ายทั้งทางกายหรือจิตใจ หรือความวิตกถึงอนาคต ถ้าฉันยอมแพ้แม้แต่ครั้งเดียว คงต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะกลับเป็นเด็กสาวผู้แข็งแกร่งคนเดิม ไม่สิ เผลอ ๆ จะกลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้ด้วยซ้ำ
ฉันต้องอดทนและเข้มแข็ง ดังนั้นการพักผ่อนให้เพียงพอจึงสำคัญอย่างยิ่ง วันไหนที่หลับไม่ถึงสี่ชั่วโมงจากที่บ้านก็จะมานอนอีกที่ห้องสมุด แม้เก้าอี้แข็ง ๆ ที่อยู่ในห้องอ่านหนังสือจะไม่ได้สบายตัวนัก แต่ที่นี่ก็เป็นที่เดียวที่ฉันอยู่ได้ โดยห้องสมุดจะเปิดตั้งแต่เก้าโมงเช้าถึงหกโมงเย็น
พอฟังเพลงสบาย ๆ แล้วฉันก็ไปหยิบหนังสือเรื่อง ‘The Cider House Rules’ (กฎของบ้านไซเดอร์) ของเออร์วิง[3]มาอ่าน ความง่วงงุนขึ้นถึงขีดสุดเมื่ออ่านไปได้ไม่กี่หน้า เวลาผ่านไปไวราวกับมีใครมาขโมยไป ตื่นมาอีกทีก็ตอนที่บรรณารักษ์มาตบไหล่ปลุกฉันแล้วบอกว่าถึงเวลาปิดทำการของห้องสมุดแล้ว
อาการปวดหัวหายไปเพราะสร่างเมาจากเมื่อวานแล้ว ฉันค้อมหัวให้เธอแล้วเอาหนังสือกลับไปเก็บที่ชั้น ข้างนอกมืดสนิทแล้ว เพราะช่วงเดือนตุลาคมพระอาทิตย์จะตกดินเร็ว
ลมสัญญาณฤดูหนาวพัดมาจนตัวเย็นเฉียบ ฉันคิดเรื่องเดิม
วันนี้จะมีจดหมายมามั้ยนะ
ห้าปีมาแล้วนับตั้งแต่ที่เริ่มติดต่อกันทางจดหมาย หลาย ๆ อย่างรอบตัวฉันเปลี่ยนไปมากในช่วงเวลานั้น พ่อฉันเส้นเลือดสมองแตกตาย ไม่กี่เดือนให้หลังแม่ก็แต่งงานกับผู้ชายคนใหม่มาเป็นพ่อเลี้ยงของฉัน นามสกุลเปลี่ยนจาก ‘ฮิซูมิ’ เป็น ‘อากิซูกิ’ และมีพี่สาวที่แก่กว่าสองปี
ฉันทำนายว่าชีวิตของฉันจะต้องเหลวแหลกไม่มีชิ้นดีได้ทันทีที่เห็นผู้ชายคนที่แม่แนะนำตัวกับฉันว่า ‘จะแต่งงานกัน’ ในช่วงฤดูใบไม้ผลิตอนที่ฉันเรียนอยู่มัธยมต้นชั้นปีที่หนึ่ง ‘อา ไม่ดีแน่’ ฉันพึมพำกับตัวเองอยู่ในใจ ทุกอย่างที่เป็นตัวเขาต่างเป็นสัญญาณลางร้าย แม้จะหาคำพูดอะไรมาบอกให้แน่ชัดว่าเป็นลางร้ายยังไงไม่ได้ แต่ฉันก็อยู่มาตั้งสิบเจ็ดปี ฉันไม่ต้องลังเลเลยว่า ‘คงจะเป็นคนไม่ดีมั้ง’ หรือ ‘คงจะเป็นคนดีมั้ง’ แค่มองก็ดูออกแล้วว่า ‘คนไม่ดีชัด ๆ ’ นั่นคือสิ่งที่ความรู้ที่สั่งสมในจิตใต้สำนึกบอกกับฉัน ทำไมแม่ถึงต้องเลือกผู้ชายที่น่ารังเกียจแบบนี้มาด้วยนะ
และอย่างที่ฉันคาด พ่อเลี้ยงเป็นคนที่น่ารังเกียจครบสูตรเลยจริง ๆ เป็นคนที่ต้อยเนื้อต่ำใจกับฐานะตัวเองในสังคมจนต้องปกปิดด้วยการเล่นงานกับคนอื่นเป็นประจำ และด้วยความที่เป็นคนขี้ขลาด จึงเลือกแต่คนที่มีฐานะทางสังคมด้อยกว่า เป็นผู้ชายแบบนั้นแหละ มักต่อว่าพนักงานร้านที่ “ไม่รับแขก” และถามชื่อเพื่อขู่จะเอาไปฟ้อง พอมีรถมาชนท้ายก็บังคับให้ทั้งครอบครัวมาหมอบกราบขอขมาอยู่กับพื้นถนน คงจะทำแล้วรู้สึกว่าตัวเองดูเป็น ‘ลูกผู้ชาย’ เหลือเกิน
ที่หนักที่สุดคือแม่ที่หลง ‘ความเป็นลูกผู้ชาย’ นั้นอยู่ไม่น้อย จบ จบสิ้นแล้วจริง ๆ
และปกติของคนแบบนั้นที่เชื่อว่าการใช้กำลังคือการรักษาความเป็นผู้นำของครอบครัวถือเป็น ‘ความเป็นลูกผู้ชาย’ อย่างหนึ่ง อย่างอื่นมีอะไรบ้างน่ะเหรอ ‘สุรา’ ‘บุหรี่’ ‘การพนัน’ เป็นสิ่งที่พ่อเลี้ยงฉันเชิดชูให้เป็นสัญลักษณ์ของ ‘ความเป็นลูกผู้ชาย’ เขาอาจจะอยากเพิ่ม ‘นารี’ เข้าไปด้วยอีกอย่าง แต่น่าเสียดายที่ ‘ความเป็นลูกผู้ชาย’ ของเขาคงปัดผู้หญิงทุกคน—ยกเว้นแม่ฉัน—ให้ห่าง
เจ้าตัวก็คงจะรู้ บางทีก็โพล่งอะไรประมาณว่า “รักภรรยาฉันคนเดียวแล้วเหมือนชีวิตมีเป้าหมาย ถึงจะเคยคิดบ้างก็เถอะว่ายังมีโอกาสไปเจอคนอื่น แต่ก็ไม่สนหรอก” อยู่ซ้ำ ๆ ทั้งที่ไม่มีใครถาม แล้วก็ซ้อมแม่ทั้งที่พูดแบบนั้นไปหยก ๆ ฉันพยายามเข้าไปห้ามพ่อเลี้ยงแล้วไม่รู้กี่ครั้ง แต่แม่ก็บอกว่า “ถ้าคิริโกะเข้ามาแทรกเรื่องมันจะยุ่งยากไปอีกนะ อยู่เงียบ ๆ ไปเถอะ” และฉันก็ได้แต่ดูอยู่เฉย ๆ
ในเมื่อแม่เลือกเอง ฉันก็คงได้แต่คอยเฝ้ามอง
บางวันฉันถามแม่ตอนอยู่ด้วยกันสองคนว่า “ทำไมไม่หย่าคะ” เท่าที่นึกออก แม่ฉันก็จะตอบว่า “ไม่อยากให้ที่บ้านต้องเป็นห่วงอีกแล้ว” ไม่ก็ “แม่ไม่มีผู้ชายแล้วอยู่ไม่ได้หรอก” แล้วก็ปิดท้ายประมาณว่า “พวกเราต่างก็มีข้อเสียด้วยกันทั้งนั้น” มีแต่คำที่ฉันไม่อยากได้ยินทั้งนั้น
และการใช้กำลังของพ่อเลี้ยงก็มาถึงฉันที่เป็นลูกเลี้ยงด้วย ก็คงเป็นธรรมดาละนะ เขาจะเล่นงานฉันเพราะเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างกลับบ้านช้านิดหน่อยบ้างละ หรือลาเรียนครึ่งวันบ้างละ วิธีการของเขาก็หนักข้อขึ้นเรื่อย ๆ จนวันหนึ่งเขาเมาแล้วผลักฉันตกบันได ซึ่งฉันก็ไม่ได้บาดเจ็บอะไรเท่าไหร่ แต่แม่โกรธมากจนวันรุ่งขึ้นก็เปรย ๆ ว่าจะหย่ากับพ่อเลี้ยงแล้ว
ใช่แล้ว แค่เปรยเฉย ๆ เพราะกลัวจะทำสามีโกรธเหลือเกิน ถึงได้พยายามไม่ให้คำว่า ‘หย่า’ หลุดออกมาสักแอะ “ถ้าคุณยังทำแบบนี้กับฉันหรือคิริโกะอีก ฉันเองก็คงต้องทำอะไรสักหน่อยนะคะ” แค่นั้นแหละ แล้วก็พูดอะไรต่อไม่ได้เพราะพ่อเลี้ยงปาแก้วไปที่หน้าต่างต่อหน้าต่อตา
ตอนนั้นฉันอยู่ในห้องตัวเองอ่านหนังสืออ้างอิงอยู่ พอได้ยินเสียงกระจกหน้าต่างแตก ปากกาในมือก็หยุดกึก ชั่งใจว่าจะไปดูที่ห้องนั่งเล่นดีไหม ทันใดนั้นพ่อเลี้ยงก็กระแทกกระทั้นเปิดประตูเข้ามาในห้อง ฉันห้ามไม่ให้ตัวเองเผลอกรีดร้องออกมา ซึ่งฉันควรจะกรีดร้องออกมาให้ดังสุด ๆ ด้วยซ้ำไป เผื่อว่าจะมีเพื่อนบ้านได้ยินแล้วรีบวิ่งมาช่วย…แค่พูดเล่นหรอก
แม่รีบวิ่งตามมา “อย่านะคะ เธอไม่เกี่ยวอะไรด้วยนี่” พลางร้องไห้อ้อนวอนพ่อเลี้ยง เขาไม่สนใจแล้วต่อยฉันจนตกเก้าอี้ขมับกระแทกโต๊ะอย่างแรง ถึงอย่างนั้น ฉันก็คิดแค่ว่า ‘เกินไป แค่จะให้อ่านหนังสือเรียนก็ยังไม่ได้เลยเหรอ’ ถึงจะเกลียดความรุนแรงแค่ไหน แต่พอเห็นคนในบ้านถูกซ้อมอยู่ทุกวันก็เริ่มชินไปแล้ว
แต่เมื่อถูกต่อยครั้งที่สอง สาม สี่ ห้า ถึงได้เริ่มสั่นกลัว ในใจนึกหวาดกลัวขึ้นมาเป็นครั้งแรก
อยู่ ๆ ฉันก็นึก
ว่าถ้าเกิดผู้ชายคนนี้ไม่รู้จักยั้งมือเลยล่ะ
น้ำตาฉันไหลทันที ทั้งตัวสั่นไปหมด อาจจะเป็นน้ำตาที่ไหลเพราะความสิ้นหวังและทุกอย่างที่กลายเป็นโศกนาฏกรรมที่ฉันเคยทำนายไว้เมื่อไม่กี่เดือนก่อน แม่พยายามล็อกแขนพ่อเลี้ยงไว้ แต่ก็ถูกปัดทิ้งอย่างง่ายดายเพราะกำลังที่มีไม่เท่ากัน แกนั่นแหละผิด พ่อเลี้ยงว่า ฉันไม่ได้ทำเพราะอยากทำ แต่ในเมื่อแกหยามฉัน ฉันก็ต้องทำแบบนี้ ทุกอย่างมันเป็นความผิดของแก…
ฉันไม่เข้าใจสิ่งที่เขาพูดเลย แต่เข้าใจว่าทำไมถึงต่อยฉัน แทนที่จะเอาความโกรธไปลงที่แม่ เพราะทำแบบนี้แล้วจะได้ผลกว่าการต่อยแม่ตรง ๆ
ฉันโดนซ้อมอยู่สองชั่วโมงติด และเป็นดังที่เขาคาด แม่ไม่เคยปริปากเรื่องหย่าอีกเลยแม้แต่ครั้งเดียว และเขาคงจะชอบวิธีนี้ เพราะหลังจากนั้น เวลาที่ฉันไม่เชื่อฟัง เขาก็จะไปซ้อมแม่ ถ้าแม่ไม่เชื่อฟัง เขาก็จะมาซ้อมฉัน
สิ่งเดียวที่เยียวยาฉันได้คือการได้แลกจดหมายกับมิซูโฮะคุง ถ้าชีวิตฉันมีอะไรให้ชมได้อย่างหนึ่ง ก็คงเป็นทักษะฉันที่ให้มิซูโฮะคุงยอมติดต่อทางจดหมายด้วยได้ ฉันคอยโอกาสมาเสมอตั้งแต่ที่คุณครูประจำชั้นบอกว่าเขาจะย้ายโรงเรียนแล้วสมัยชั้นประถมปีที่หกในฤดูใบไม้ร่วง แต่เพราะฉันขี้ขลาด จึงไม่ได้ทำอะไรเลย กว่าจะขอร้องเรื่องติดต่อกันทางจดหมายได้ก็วันสุดท้ายที่เขาต้องย้ายโรงเรียนแล้ว
ถ้าตอนนั้นไม่รวบรวมความกล้าเรียกออกไป ฉันก็คงไม่ได้แลกจดหมายกับมิซูโฮะคุง ไม่มีแรงบันดาลใจอะไรให้ใช้ชีวิตต่อ คงจะตายไปสักตั้งแต่อายุสิบสามสิบสี่ อยากจะชมตัวฉันในตอนนั้นจริง ๆ
‘ติดต่อกันทางจดหมาย’ ที่ว่าอาจจะต่างไปจากสิ่งที่คนทั่ว ๆ ไปนึกภาพนิดหน่อย ฉันไม่ได้ฟ้องร้องห่มร้องไห้ขอให้มิซูโฮะคุงปลอบฉันที่ต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างหวาดกลัวกับพ่อเลี้ยง พี่สาว และพวกที่โรงเรียน ช่วงสองสามเดือนแรกที่ติดต่อกันทางจดหมายฉันก็เขียนไปตามจริงอยู่ แต่พอพ่อเลี้ยงเข้ามาแล้วชีวิตฉันพลิกผัน ในนั้นจึงมีแต่เรื่องโกหก
ใช่ว่าฉันไม่เคยคิดบ่นโอดครวญให้มิซูโฮะคุงมาปลอบฉัน แต่ฉันกลัวว่าถ้าฉันเปลี่ยนไป เขาก็จะเปลี่ยนไปด้วย ถ้าเกิดว่าฉันเขียนรายงานความทุกข์ของฉันไปตามสภาพจริง มิซูโฮะคุงก็คงจะห่วงฉันแล้วพยายามเลี่ยงที่จะเลือกหัวข้อพวกนั้น แล้วก็ไม่เล่าเรื่องดี ๆ อะไรที่เกิดขึ้นกับตัวเขาอีก การติดต่อกันทางจดหมายของเราก็จะกลายเป็นรายการปรับทุกข์ไป
ฉันไม่อยากให้มันเป็นอย่างนั้น จึงสร้างตัวตน ‘ฮิซูมิ คิริโกะ’ ขึ้นมาเป็นตัวปลอม เรื่องที่พ่อของฉันตาย เรื่องที่แม่แต่งงานใหม่กับคนสารเลวพรรค์นั้น เรื่องที่ถูกกลั่นแกล้งอย่างหนักที่โรงเรียน เรื่องเหล่านั้นฉันไม่ให้เล็ดลอดออกมาได้ เป็นหน้าที่ของ ‘อากิซูกิ คิริโกะ’ ที่ต้องรับผิดชอบ ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับ ‘ฮิซูมิ คิริโกะ’ ที่เป็นเด็กสาวที่ใช้ชีวิตปกติอย่างสมใจอยาก และยังอยู่อย่างมีความสุข
ฉันสนุกที่ได้สวมบทบาทเป็นเธอแล้วเขียนจดหมาย ถ้าได้ลงปากกาเริ่มเขียนประโยคที่สองเมื่อไหร่ ฉันก็จะกลายเป็น ‘ฮิซูมิ คิริโกะ’ รายละเอียดของสิ่งที่โกหกให้ดูสมจริงเริ่มมีมากขึ้น กระทั่งฉันรู้สึกว่ากำลังใช้ชีวิตเป็นสองคนไปพร้อม ๆ กัน
ที่ตลกร้ายก็คือ ความเป็นจริงในเรื่องแต่งเริ่มแทรกทับเข้ามาในความเป็นจริงของโลกจริงของฉัน สมมติฉันลองถามคนที่ไม่รู้เรื่องว่าระหว่างจดหมายที่เขียนโดย ‘ฮิซูมิ คิริโกะ’ กับ ‘อากิซูกิ คิริโกะ’ ฉบับไหนดูเหมือนเป็นเรื่องจริงมากกว่ากัน เก้าในสิบคงตอบว่า ‘ฮิซูมิ คิริโกะ’ ฉันปลีกตัวจากโลกจริงเข้าสู่เรื่องแต่งจริงจังถึงเพียงนั้น โลกจริงที่ถูกซ้อมทุกวัน คงต้องมีอะไรเปลี่ยนไปสักหน่อยถึงจะรู้สึกว่าโลกจริงนั้นเป็นความจริงขึ้นมาบ้าง
ฉันชอบมิซูโฮะคุง
แต่ฉันรู้ว่าแปลกที่จะรู้สึก ‘ชอบ’ กับคนที่ไม่ได้เห็นหน้ามาห้าปีแค่เพราะเข้ากันได้ บ้าเหลือเกินที่ดันมาหลงคนที่ติดต่อกันทางจดหมายที่จำหน้าไม่ค่อยได้แล้วด้วยซ้ำ คงจะเพราะไม่มีคนอื่นให้คุยด้วยแล้วถึงได้ชอบเขาอย่างไม่มีทางเลือก แต่ก็เป็นเหตุผลที่ฉันไม่มีอะไรจะมาแย้ง หรือไม่ก็เพราะได้คุยกันทางจดหมายเป็นส่วนใหญ่ ถึงได้เห็นแต่ด้านดีของเขา
ถึงอย่างนั้นฉันก็เชื่ออย่างประหลาด ว่ามิซูโฮะคุงเป็นเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ฉันจะรู้สึกอย่างนี้ด้วยได้ ไม่มีหลักฐาน แต่ก็ไม่เป็นไร ฉันไม่อยากฝืนนึกอะไรมาอธิบายความรู้สึกของฉันให้ดูสมเหตุสมผลอยู่แล้ว การจะรักใครสักคนไม่จำเป็นต้องมีเครื่องพิสูจน์มาเล่าให้คนอื่นเข้าใจโดยละเอียด ถ้ามีคนที่คิดว่าหลักฐานนั้นเป็นสิ่งจำเป็น คนเหล่านั้นคงจะมองว่ารักคือหนทาง ไม่ใช่เป้าหมาย
สมองฉันที่พยายามช่วยฉันอย่างเต็มที่สร้างภาพ ‘มิซูโฮะคุง’ ในจินตนาการขึ้นมาโดยดูจากลายมือกับกระดาษจดหมาย ในจินตนาการฉัน เขาเป็นเด็กหนุ่มตัวสูงจากสมัยประถมตอนนั้น สูงกว่าฉันไปหนึ่งช่วงหัว ซึ่งเป็นส่วนสูงที่กอดกันได้ง่ายพอดี แม้ในจดหมายจะดูเป็นคนสดใสและช่างพูด แต่พอได้เจอฉันจริง ๆ ก็คงอายไม่กล้าแม้กระทั่งจะสบตา จะพูดทีก็ลิ้นพัน บางทีก็พูดอะไรไม่ลังเลจนฉันตกใจ สีหน้าเขาตอนปกติก็จะดูหม่น ๆ น้ำเสียงหรือจังหวะการพูดก็ดูเป็นคนใจเย็น ไม่ก็ดูเป็นคนเย็นชาไปเลย แต่รอยยิ้มที่นาน ๆ เห็นทีก็ยังเหมือนตอนที่เขาอายุสิบสองปี เป็นรอยยิ้มที่มาไม่ทันให้ฉันตั้งตัว ดูน่ารักจนทำให้เมามึน
ฉันจินตนาการ ‘มิซูโฮะคุง’ ไว้แบบนั้น และต้องตะลึงเมื่อเห็นว่าเขาเหมือนอย่างที่คิดไว้หลายอย่างหลังจากที่ได้เจอกันอีกครั้ง แต่เรื่องนั้นคงต้องไว้เขียนถึงทีหลังอีกสักหน่อย
เมื่อกลับมาถึงบ้าน ฉันไม่ได้มาดูที่กล่องรับจดหมาย แต่ดูที่ด้านหลังรูปปั้นนกฮูกตรงประตูหน้าบ้าน ฉันวานบุรุษไปรษณีย์ที่รู้จักกันมานานให้ซ่อนจดหมายที่ส่งมาจาก ยูงามิ มิซูโฮะ ไว้ตรงนี้เสมอ แต่แน่นอนว่าบุรุษไปรษณีย์ที่มาส่งก็ไม่ใช่คนเดิมตลอด จึงมีบางวันที่จดหมายจากเขายังอยู่ที่กล่องรับจดหมาย
เมื่อส่องดูแล้วไม่เห็นจดหมายข้างหลังรูปปั้นนกฮูกนั้นจึงถอนหายใจพลางเปิดประตูเข้าไป และนึกทันทีว่าไม่น่าเลย น่าจะดูก่อนว่ามีใครอยู่หรือเปล่า
พ่อเลี้ยงวางกระเป๋าไว้และกำลังถอดรองเท้าอยู่
ฉันทักเสียงค่อย “กลับมาแล้วค่ะ” เขาหันมามองฉันแล้วเก็บบางอย่างเข้ากระเป๋าเสื้อสูททันที ท่าทางเขาดูชอบกล จนสังหรณ์ใจไม่ดี
“โอ้” เขาตอบกลับ ไม่เนียนเอาเสียเลย ฉันคิด ตอบได้ดูอย่างกับคนที่ทำผิดอะไรมา ใจฉันเริ่มเสีย
ฉันเค้นเสียงถามออกไป
“เอ่อ เมื่อกี้ซ่อนอะไรหรือเปล่าคะ”
“…หา?”
พ่อเลี้ยงทำเสียงเขียวหาเรื่องขึ้นมาทันที สูดหายใจเตรียมโวยวายเต็มที่
แต่ฉันรู้ได้เลยว่าเขาทำอะไรผิดมาแน่ ๆ และต้องเป็น ‘สิ่ง’ ที่เขาซ่อนเอาไว้ในกระเป๋าเสื้อสูทเมื่อกี้ เพราะคนไร้ยางอายอย่างนี้ ถ้าเป็นจดหมายของเขาจริง ๆ ไม่มีทางทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ หรอก
“จดหมายถึงฉันไง” เขาพูดขู่ “แล้วทำไมต้องถามแบบนั้น”
ถ้าถามอ้อม ๆ ก็คงเลี่ยงไม่ยอมตอบแน่ ๆ ฉันจึงถามโต้ง ๆ
“ถ้างั้นขอดูหน่อยได้มั้ยคะ แป๊บเดียว”
เขาทำหน้าตื่นอยู่แวบหนึ่ง และกลายเป็นความโกรธในชั่วพริบตา เป็นความเชื่ออย่างหนึ่งของเขาที่ว่าใครพลิกสถานการณ์แล้วโวยวายได้ก่อนจะชนะ ซึ่งแน่นอนว่าได้ผลชะงัดนักเมื่ออีกฝ่ายเป็นคนที่อ่อนแอกว่าเขา
“แล้วแกเป็นใคร”
พ่อเลี้ยงปรี่เข้ามาหาฉันจนฉันได้กลิ่นบุหรี่ เขากระชากคอเสื้อแล้วตบหน้าเบา ๆ แต่ฉันก็เห็นซองจดหมายที่แลบออกมาจากกระเป๋าเสื้อได้แล้ว ดูจากกระดาษสีเทาคุณภาพดีกับลายมือที่เขียนที่อยู่จ่าหน้าซองนั้นแล้วฉันก็มั่นใจว่าเป็นจดหมายจากมิซูโฮะคุงแน่ ๆ และเมื่อเขาเห็นว่าฉันมองอะไรอยู่ก็ปล่อยมือที่กระชากคอเสื้อฉันแล้วผลักฉันออก
อย่ามาปีนเกลียวคนเขาแบบนี้ เขาทิ้งท้ายแล้วเดินขึ้นบันไดไป ฉันพยายามจะตามไป ทว่าขาแข็งก้าวไม่ออกแล้ว ร่างกายฉันรู้ว่าต่อต้านเขาไปก็ไม่มีประโยชน์
ฉันล้มทั้งยืน เขาเป็นคนเดียวที่ฉันไม่อยากให้รู้ เขาคงจะล็อกห้องแล้วอ่านจดหมายที่มิซูโฮะคุงเขียนถึงฉันพลางกระหยิ่มยิ้มย่องที่ได้รู้จุดอ่อนใหม่ของฉัน
เขาเป็นอย่างนี้แต่ไหนแต่ไรแล้ว ไม่รู้จะเรียกว่าเป็นพวกสอดรู้สอดเห็นดีมั้ย แต่พ่อเลี้ยงเป็นคนที่อยากรู้ความลับของคนในบ้านไปหมด แม้จะนับถือความเป็นลูกผู้ชาย แต่ก็ชอบจุกจิกอย่างกับผู้หญิง ถ้าแม่มีสายเข้าก็จะให้รายงานให้หมดว่าคุยอะไรบ้าง จดหมายทุกฉบับที่อยู่ในกล่องรับจดหมายก็เอาไปเปิดอ่านเองหมด ถ้าสบโอกาสก็จะแอบหยิบโทรศัพท์มือถือของคนในบ้านไปดู (ซึ่งก็ไม่มีผลอะไรกับฉันเพราะฉันไม่มีโทรศัพท์มือถือ) บางทีก็เห็นเขาเข้ามาค้นตามลิ้นชักในห้องฉันเหมือนกัน และไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้ง
แล้วก็เรื่องนี้อีก ฉันก็พอทำใจได้ที่เขาอ่านจดหมายฉัน เพราะในนั้นก็ไม่ได้มีอะไรไม่ดีเขียนเอาไว้ ถ้าตัดเรื่องที่ว่าฉันเอาแต่โกหกออกไป การติดต่อการทางจดหมายของเรานั้นปกติดีทุกอย่าง แค่อ่านน่ะไม่เป็นไรหรอก
แต่ที่ฉันกลัวตอนนี้ก็คือ พ่อเลี้ยงจะต้องทำลายหลักฐานเพื่อไม่ให้รู้ว่า ‘แอบอ่านจดหมาย’ เช่นเอาไปทิ้งที่ถังขยะหน้าสถานีรถไฟหรือที่ร้านสะดวกซื้อ แค่คิดก็สั่นไปทั้งตัว เพราะสิ่งนั้นคือสมบัติของฉัน ที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของฉัน ชีวิตของฉัน หากเสียไปคงทรมานกว่าถูกเผาทั้งเป็นหลายเท่า
วันรุ่งขึ้นพอพ่อเลี้ยงออกไปทำงานแล้วฉันก็ละทิ้งซึ่งความละอายและศักดิ์ศรีไปคุ้ยถังขยะในบริเวณบ้าน ถือไฟฉายออกสำรวจถังขยะทุกที่ตามเส้นทางที่พ่อเลี้ยงฉันใช้เดินทางไปทำงาน จนในที่สุดก็เจอซองจดหมายสีเทาที่ถูกขยำเป็นก้อนกลมอยู่ในถังขยะตรงห้องน้ำที่ร้านสะดวกซื้อข้างบริษัท
แต่กระดาษด้านในที่เป็นสิ่งสำคัญนั้นหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ
ถ้าหายไปแค่ครั้งเดียวฉันคงพอรับได้ จะเขียนจดหมายอ้างก็ได้ว่ายัดใส่กระเป๋ากะไว้อ่านที่อื่นทีหลังแล้วดันทำหาย แต่ฉันทายได้เลยว่าจากนี้ไปพ่อเลี้ยงจะต้องคอยจับตาดูตามกล่องจดหมายกับบริเวณรอบ ๆ แน่ ๆ พอเห็นว่าจดหมายเขียนถึง ฮิซูมิ คิริโกะ ก็จะกระดี๊กระด๊าแล้วยัดใส่กระเป๋าเสื้อ จากนั้นก็เอาไปแอบอ่านเพราะคิดว่าตัวเองอยู่เหนือกว่านัก สุดท้ายก็ขยำ ๆ เอาไปทิ้งสักที่ระหว่างเดินทางไปทำงาน
ฉันคิด ว่าจากนี้ไปคงติดต่อกันทางจดหมายลำบากแล้ว
แล้วทำไมกัน ทำไมฉันถึงทำให้เหตุการณ์ที่ ‘พ่อเลี้ยงเจอจดหมาย’ กลายเป็น ‘เรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้น’ ไม่ได้ คงเป็นเพราะความรู้สึกผิดที่ยังตกค้างในใจที่โกหกมิซูโฮะคุงมาตลอดแน่ ๆ ควรตัดความสัมพันธ์ที่ไม่ปกติสุขเช่นนี้ไปเสียที ซึ่งนี่ก็เป็นโอกาสที่ดีแล้วไม่ใช่หรือไง—ความคิดนั้นหากโผล่มาแม้เสี้ยววินาทีหนึ่ง ความบริสุทธิ์และความมุ่งมั่นของความปรารถนานั้นก็จะหายไป และจะ ‘เลื่อนเวลา’ ได้ยาก
ความรู้สึกที่ว่าเรื่องแย่ ๆ จะถาโถมเข้ามาพร้อม ๆ กันอาจจะเป็นเหมือนแค่การคิดไปเองว่า ‘ล้างรถแล้วฝนจะตก’ ก็จริง แต่วันที่ฉันรู้สึกตกต่ำที่สุดที่หาจดหมายที่หายไปไม่เจอก็ดันเกิดเรื่องที่แย่กว่าเรื่องนั้นอีก ตอนที่ฉันเข้าไปที่ห้องเรียนหลังจากที่มาถึงโรงเรียนตอนพักเที่ยงก็มีกลุ่มผู้หญิงมาลากคอฉันไปที่ห้องเก็บของของโรงกีฬา ซึ่งฉันก็ไม่ได้แปลกใจสักเท่าไหร่เพราะเห็นพวกเธอหมายตาฉันไว้มาสักพักแล้ว เป็นความรู้สึกประมาณว่าฟ้าครึ้มยังไงฝนก็ต้องตก
คนในห้องไม่ได้เกลียดฉันมากขนาดนั้น แต่ก็ไม่ได้เกลียดน้อยเกินไป เป็นระดับที่อยู่กึ่ง ๆ ตรงกลางพอดี ฉันมีแรงพอที่จะต่อต้าน แต่ก็ไม่พอที่จะปกป้องตัวเองจนรอดได้ ไม่ได้อ่อนแอจนได้แต่ยอมแพ้ราบคาบ แต่อ่อนแอพอที่จะยอมแพ้กับการที่จะทำให้อะไร ๆ ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกีฬา เกมกระดาน หรือการกลั่นแกล้ง การได้เอาชนะคนที่ ‘แข็งแรงแต่ก็อ่อนแอ’ นั้นสนุกที่สุด
ต่อให้รู้ไปก็ไม่ได้ทำให้ฉันแข็งแรงขึ้นหรืออ่อนแอลง แต่แค่ได้รู้สาเหตุก็คลายความกังวลไปได้มาก เพราะอย่างนี้ละมั้งคนที่ใช้ชีวิตอยู่อย่างหดหู่ถึงได้คิดทบทวนมองอะไร ๆ ในตัวได้ดี
หลังจากที่ถูกทั้งหกคนรุมซ้อมแล้วฉันก็ถูกจับกดลงกับพื้นง้างปากและเทน้ำสกปรกในถังเข้ามา ไม่รู้ว่าไปเอาน้ำมาจากไหน แต่ก็สกปรกพอ ๆ กับน้ำที่ใช้ทำความสะอาดครั้งใหญ่ก่อนปิดเทอม ไม่ว่าใครก็ดูจะชอบเหลือเกินกับการให้ฉันได้ดื่มอะไรแปลก ๆ ฉันกลั้นหายใจไม่ยอมกลืนน้ำ แต่ก็มีคนหนึ่งมาบีบคอฉันบังคับไว้จนน้ำปริมาณหนึ่งไหลผ่านลงไป มีทั้งกลิ่นน้ำยาทำความสะอาดและฝุ่นไหลตั้งแต่คอไปจนถึงท้อง ฉันกลั้นไม่อยู่จนอาเจียนออกมา ให้ตาย ช่วงนี้อาเจียนบ่อยจริง
เก็บกวาดด้วยละ เหล่าเพื่อนร่วมชั้นบอก ท่าทางดูพอใจแล้วเดินหนีไป ฉันไปที่ห้องอาบน้ำแล้วอาเจียนน้ำสกปรกออกมาอีกรอบ ซักเสื้อผ้าล้างเนื้อล้างตัว เสื้อผ้าที่เปียกก็มีน้ำหยดแหมะ ๆ ไปตามทางระหว่างที่เดินไปล็อกเกอร์หน้าห้องเรียนพลางทนสายตาของคนที่เดินสวนแล้วมอง แต่เมื่อเปิดดูก็ไม่พบเสื้อยืดเจอร์ซีย์ของฉัน จนได้ยินเสียงน้ำไหลจากอ่างล้างหน้าที่อยู่ไม่ไกล และอย่างที่คาด เสื้อยืดเจอร์ซีย์ตัวนั้นเปียกโชก ชักจะมากไปแล้ว ทำไมต้องทำถึงขนาดนี้ล่ะ
ฉันยืมชุดจากห้องพยาบาลมาเปลี่ยนแล้วใช้ไดร์เป่าผมเป่าชุดนักเรียนกับเสื้อยืดเจอร์ซีย์ ตาของฉันเริ่มจดจ่อไม่ได้แล้ว บางอย่างในตัวฉันแหลกสลาย แต่ฉันยังฝืนยืนอยู่ พอสูดหายใจเข้าออกลึก ๆ อยู่หลายครั้งความเมื่อยล้าในตัวก็ถูกขับออกไป คนมักพูดว่าความเจ็บปวดทำให้ชีวิตคนเรามีอะไรมากขึ้น แต่ฉันที่ถูกรังแกนับวันมีแต่จะรู้สึกว่างโหวงไปทุกที เพราะงั้น จะเรียกสิ่งนี้ว่าความเจ็บปวดคงไม่ได้ น่าจะเป็นสิ่งที่คอยเผาผลาญตัวฉันมากกว่า
ตัวฉันถูกเซาะกร่อนไปทุกวัน
เลิกเรียนแล้วฉันก็ไปนั่งที่เก้าอี้แข็ง ๆ ในห้องสมุดเขียนจดหมายถึงมิซูโฮะคุง แค่ประโยค “อยากคุยกันแบบเห็นหน้าค่ะ” ประโยคเดียวก็ปาเข้าไปยี่สิบนาทีกว่าจะเขียนออก “พอดีว่ามีเรื่องที่คุยกันทางจดหมายไม่ได้ ก็เลยอยากคุยกันแบบมองตากัน ได้ยินเสียงกันและกันค่ะ”
จะแลกจดหมายกันก็ยากแล้ว ฉันเองก็ไม่มีโทรศัพท์มือถือ โทรศัพท์บ้านก็คงลำบากเพราะคนในครอบครัวต้องคอยจับจ้องแน่ ๆ ถ้าจะใช้โทรศัพท์สาธารณะ เงินก็มีไม่พอคุยให้เต็มที่ แต่ฉันยังอยากติดต่อกับเขาอยู่ ซึ่งแปลว่าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเจอกันตัวเป็น ๆ แล้ว จึงตัดสินใจจะนัดเจอกับมิซูโฮะคุง
ถึงอย่างนั้น ก็ยังเป็นการสุ่มเสี่ยงมาก ๆ เพราะมิซูโฮะจะเห็นทันทีว่า ‘ฮิซูมิ คิริโกะ’ กับ ‘อากิซูกิ คิริโกะ’ ตัวจริงนั้นไม่เหมือนกันเลย ถ้าเจอกันสักสองสามชั่วโมงอาจจะพอถูไถเอาตัวรอดได้อยู่ แต่ถ้าความสัมพันธ์ของเรายังดำเนินต่อไปโดยไม่ใช้จดหมาย ฉันก็คงจะซ่อนตัวตนที่แท้จริงไปตลอดไม่ได้แน่
หากได้เจอมิซูโฮะคุงอีกครั้ง ฉันคงต้องสารภาพความจริงออกมา ปฏิกิริยาของเขาจะเป็นยังไงกันนะ เขาเป็นคนใจดี ต่อให้รู้ว่าถูกหลอกมาตลอดห้าปีที่ผ่านมาก็คงไม่แสดงความโกรธออกมา แต่ต้องผิดหวังเป็นแน่ ฉันกลัวเหลือเกิน
ที่ว่ามาอาจจะมองโลกในแง่บวกไปสักหน่อย แค่เพราะตัวเองเป็นคนเฉยชาไม่ได้แปลว่าคนอื่นจะต้องเป็นเหมือนกันนี่นะ เพราะฉันมีบางอย่างในตัวที่ทำให้ไม่ว่าใครหน้าไหนเห็นฉันเป็นต้องเกลียดฉัน ต้องคิดถึงจุดนี้ด้วย
อย่างแย่ที่สุดคือมิซูโฮะคุงจะสาปแช่งฉันที่เป็นคนขี้โกหก พูดอะไรไม่คิด แล้วหายไปจากชีวิตฉัน ไม่สิ เขาคงไม่ยอมตกลงมาเจอฉันด้วยซ้ำ เขาอาจจะแค่ทำเป็นคุยดีด้วยทางจดหมาย แต่ไม่ได้สนใจอยากเจอตัวจริงขนาดนั้น มองว่าเป็นผู้หญิงหน้าด้านจนไม่อยากเจอหน้า
ฉันทำให้ปฏิกิริยาพวกนั้นกลายเป็น ‘เรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้น’ ได้ เพราะฉันคือผู้ใช้เวทมนตร์มาตั้งแต่วันที่เจอซากแมวสีเทาที่ฉันรักถูกชนตายตอนฉันอายุแปดขวบ ฉันทำให้เรื่องที่เคยเกิดขึ้นทั้งหลายให้กลายเป็น ‘เรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้น’ ได้
แต่ต่อให้ทำอย่างนั้น ถ้าถูกมิซูโฮะคุงเกลียดครั้งหนึ่งแล้ว และเปลี่ยนให้กลายเป็น ‘เรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้น’ ความทรงจำที่ ‘ถูกมิซูโฮะปฏิเสธ’ จะยังหลงเหลืออยู่ในหัว ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้ว ฉันก็คงติดต่อกันทางจดหมายต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นไม่ได้หรอก
เมื่อความหวังทุกอย่างพังไม่เป็นท่าแล้ว ฉันควรจะทำยังไงต่อไปล่ะ
ง่ายนิดเดียว ก็แค่หนีไปโลกสมมติอย่างที่เคยทำมาเสมอ เป็นฉากที่จินตนาการได้ง่าย ๆ นั่นคือรถไฟ จะกี่โมงไม่สำคัญ เอาเป็นว่าช่วงหัวค่ำแล้วกัน ฉันอยู่ที่ทางข้ามรถไฟเล็ก ๆ ที่ปลอดผู้คน แต๊ง แต๊ง แต๊ง เสียงสัญญาณเตือนดังขึ้น พอหาจังหวะเหมาะ ๆ ได้แล้วก็มุดไม้กั้นเข้าไปแล้วนอนอยู่บนทางรถไฟ คอกับหน้าแข้งพาดอยู่กับรางทั้งสองด้าน มองท้องฟ้าที่ประดับด้วยดาวอยู่สองสามวินาทีแล้วก็หลับตาลงช้า ๆ แรงสั่นสะเทือนส่งมาตามรางรถไฟ ไฟหน้าสว่างวาบสาดเข้ามาจนส่องผ่านเปลือกตาที่ปิดอยู่ จากนั้นก็มีเสียงเบรกตามมา แต่ก็สายไปแล้ว คอของฉันขาดในพริบตา
เป็นโลกในจินตนาการที่สมบูรณ์แบบ มีหลายวิธีที่เอาชีวิตตัวเองไปทิ้งได้ง่าย ๆ และเพราะเช่นนั้นฉันจึงกัดฟันใช้ชีวิตอยู่ได้ ‘ถ้าทนเล่นเกมนี้ต่อไปไม่ได้แล้วปิดปุ่มไปเลยก็ได้ เธอมีสิทธิ์ทำได้อยู่แล้ว’ ฉันจะกำจอยเกมไว้ให้แน่นแล้วเล่นต่อไปเพื่อดูว่าเกมที่บิดเบี้ยวนี้ยังมีอะไรได้อีกจนกว่าจะถึงจุดที่ทนไม่ไหวแล้วจริง ๆ แล้วก็ เท่าที่เล่นเกมนี้มาสิบเจ็ดปี ฉันก็ได้รู้อย่างหนึ่งว่าอย่าคาดหวังอะไรกับ ‘เจตนาผู้สร้าง[4]’ ของเกมนี้เลย
หลังจากที่งีบหลับจนถึงเวลาปิดทำการห้องสมุดแล้วก็มาหย่อนจดหมายที่ตู้ไปรษณีย์ทรงกระบอกเก่าคร่ำคร่าตรงข้างห้องสมุด แสงไฟอบอุ่นส่องลอดทอดมาตามทางระหว่างที่เดินกลับบ้าน ไม่ว่าจะบ้านหลังไหนก็ดูจะอยู่อย่างรักใคร่กันดี แต่ความเป็นจริงไม่เป็นเช่นนั้น แต่ละครอบครัวต่างก็คงมีปัญหาภาระที่ต้องแบกรับเอาไว้ แต่อย่างน้อย ๆ ก็ไม่ได้ยินเสียงกรีดร้องดังออกมาจากบ้านของพวกเขาเหล่านั้น
ฉันรออย่างใจจดใจจ่อมาหนึ่งสัปดาห์อย่างผู้หญิงในเพลง ‘Please Mr. Postman (เถอะนะคะ คุณบุรุษไปรษณีย์)’ แต่ก็ไม่มีการตอบกลับอะไรจากมิซูโฮะคุง ฉันจะเป็นบ้าอยู่แล้ว ในหัวคิดไปต่าง ๆ นานา มัวแต่นึกวิธีปฏิเสธอยู่งั้นเหรอถึงได้ตอบช้า แค่ยุ่งอยู่กับการเรียนกับชมรมงั้นเหรอ จดหมายมาแล้วแต่พ่อเลี้ยงเก็บไปแล้วงั้นเหรอ อารมณ์ไม่ดีที่ฉันไม่ได้พูดถึงอะไรที่เขาเขียนมารอบก่อนเลยงั้นเหรอ มิซูโฮะคุงเป็นอะไรไปงั้นเหรอ เห็นว่าเป็นคนหน้าหนาเลยหมดเยื่อใยแล้วงั้นเหรอ จะไม่เขียนตอบมาแล้วงั้นเหรอ รู้ตั้งนานแล้วว่าฉันโกหกงั้นเหรอ
ฉันมองตัวเองในกระจกในห้องน้ำทึม ๆ ของห้องสมุด ขอบตาดำคล้ำ ดวงตามืดมน ฉันคิด ว่าใครที่ไหนจะอยากเจอกับผู้หญิงที่สภาพดูอย่างกับผีแบบนี้
ผ่านมาสิบวันแล้ว ฉันเริ่มคิดที่จะทำให้จินตนาการทางข้ามรถไฟนั้นเป็นจริงเสียที
พอกลับมาจากห้องสมุดมาที่บ้านแล้วก็เห็นบุรุษไปรษณีย์คนหนึ่งที่รู้จักกันมานานวิ่งออกไปจากบ้าน ฉันเข้าไปค้นดูด้านหลังรูปปั้นนกฮูกทันทีด้วยใจที่เต้นตึกตัก แต่ก็ต้องผิดหวัง และไปดูตามกล่องรับจดหมายเพื่อความแน่ใจ ซึ่งแน่นอนไม่มีจดหมายอยู่เหมือนกัน ฉันไม่ยอมแล้วไปดูที่รูปปั้นนกฮูกอีกครั้ง ไม่มี
ฉันยืนค้างอยู่อย่างนั้น เริ่มทนความเกลียดชังอะไรทั้งหลายไม่ไหวแล้ว เมื่อคิดจะพังรูปปั้นนกฮูกนั้นเพื่อไม่ให้คิดมากอะไรอีกสักหน่อยก็มีเสียงเรียกมาจากด้านหลัง
ฉันหันไปแล้วทักทายบุรุษไปรษณีย์ที่ดูเหมือนจงใจกลับมาหา บุรุษไปรษณีย์ตัวเตี้ยวัยสี่สิบต้น ๆ ทักทายกลับอย่างเป็นมิตร
ในมือถือซองกระดาษสีเทาคุณภาพดี
เขากระซิบข้างหูฉัน
“เมื่อกี้ก็จะสอดไว้ที่ด้านหลังรูปปั้นนกฮูกให้เหมือนเดิมแล้วนั่นแหละ แต่พ่อเลี้ยงเธอกลับมาพอดี ไม่อยากให้คนนั้นเห็นใช่มั้ยล่ะ”
ฉันซาบซึ้งเหลือเกิน ขอบพระคุณมากค่ะ ฉันโค้งต่ำอยู่หลายครั้งหลายหน ใบหน้าของเขาที่ถูกแสงแดดอาบยกยิ้มดูเศร้าสร้อย คงพอจะดูสถานการณ์บ้านฉันออก เขาส่งสายตามาว่า ขอโทษนะที่ช่วยอะไรไม่ได้เลย ฉันจึงส่งสายตาตอบไปว่า ไม่ต้องคิดมากหรอกค่ะ อีกอย่าง ก็เป็นแบบนี้ประจำอยู่แล้วนี่คะ
จากนั้นจึงไปเปิดซองจดหมายตรงที่นั่งรอรถสาธารณะในละแวกนั้นเพื่อไม่ให้มีใครมาขัดจังหวะอย่างนี้ได้ มือของฉันสั่นเทา ดูชื่อจ่าหน้าซองเพื่อความมั่นใจอีกครั้ง ฮิซูมิ คิริโกะ ยูงามิ มิซูโฮะ ไม่ผิดแน่ ถ้านี่ไม่ใช่ภาพหลอนที่สร้างขึ้นจากความปรารถนาละก็ ต้องเป็นจดหมายจากมิซูโฮะคุงถึงฉันจริง ๆ แล้วละ
ฉันหยิบกระดาษจดหมายออกมาแล้วนั่งละเลียดอ่านทุกตัวอักษร ไม่กี่วินาทีให้หลังฉันเอนตัวลงนอนกับที่นั่งแล้วมองดาว พอพับซองจดหมายกลับแล้วก็กอดไว้กับหน้าอก มุมปากยกยิ้มโดยไม่รู้ตัวจนกลายเป็นรอยยิ้มแต้มใบหน้า ลมหายใจของฉันอุ่นกว่าทุกทีเล็กน้อย
มิซูโฮะคุง ฉันพึมพำชื่อเขาออกมา สี่พยางค์นั้นคือทั้งชีวิตของฉันในชั่วขณะนั้น
เงินของนักเรียนคนหนึ่งถูกขโมยไปจากกระเป๋าสตางค์ และฉันที่ไม่ได้เข้าเรียนในตอนนั้นก็ตกเป็นผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่ง คุณครูสองคนซักฉันในห้องพักครูว่าตอนนั้นทำอะไรอยู่ อยู่ที่ห้องพยาบาลผึ่งเสื้อผ้าที่เพื่อนร่วมชั้นทำสกปรกค่ะ ครูที่อยู่ห้องพยาบาลก็น่าจะรู้ เรื่องแบบนี้ลองไปถามเขาดูก่อนก็ได้นะคะ ฉันตอบ เหลือเวลาอีกสามสิบนาทีเท่านั้นก่อนจะถึงเวลาที่นัดไว้กับมิซูโฮะ ฉันจึงร้อนใจพูดดูห้วน ๆ
คุณครูเริ่มสงสัย พวกเขารู้ดีว่าแต่ละวันฉันต้องเจออะไรบ้าง จึงสงสัยว่าที่ทำคือการเอาคืนหรือเปล่า และคิดว่าเรื่องห้องพยาบาลที่ว่าคือข้ออ้างที่กุขึ้นมาเพื่อแสดงว่าไม่ได้อยู่ที่เกิดเหตุเท่านั้น ถ้าสารภาพตอนนี้จะไม่แจ้งตำรวจจับนะ ครูคณิตศาสตร์เข้ามาแทรก ฉันยิ่งถูกกักอยู่นานเรื่อย ๆ
เมื่อเลยเวลาที่นัดไว้มาสิบนาทีแล้วฉันหนีออกจากห้องพักครูมาโดยไม่บอกกล่าวใด ๆ ทั้งสิ้น แขนฉันถูกรั้งไว้พร้อมคำว่า “รอเดี๋ยว” แต่ฉันสะบัดทิ้งแล้ววิ่งหนี เสียงไล่หลังมา “คิดจะหนีเหรอ” ด้วยความโกรธ ฉันไม่สนใจ ยิ่งหนีอย่างนี้ยิ่งคิดว่าฉันเป็นคนทำแน่ ๆ แต่สนที่ไหนล่ะ ไม่ใช่เรื่องที่จะห่วงตอนนี้ แต่ไม่ว่าจะรีบแค่ไหนก็เลยเวลาหนึ่งทุ่มที่นัดไว้แล้ว แต่ถ้าสายสักหนึ่งชั่วโมง มิซูโฮะคุงอาจจะยังรออยู่ก็ได้
ฉันวิ่งไม่สนใจใครทั้งนั้นจนเหงื่อไหลตามหน้าผาก นิ้วโป้งเท้าลอกเพราะสีกับรองเท้าโลฟเฟอร์ราคาถูก หัวใจเรียกหาออกซิเจน สายตาเริ่มมองได้ไม่ทั่ว แต่ฉันไม่สนใจและวิ่งต่อไป มิซูโฮะคุงนัดไว้ที่สถานีรถไฟเล็ก ๆ แห่งหนึ่งที่อยู่กึ่งกลางเส้นทางเชื่อมต่อบ้านของฉันและเขา โชคยังดีที่เป็นระยะพอ ๆ กับที่ฉันเดินจากบ้านไปโรงเรียน ถ้าเร่งหน่อยก็อาจไปถึงได้ภายในสามสิบนาที
แต่ผีซ้ำด้ำพลอยอีก จังหวะที่ฉันเลี้ยวที่หัวมุมถนนหนึ่งก็มีจักรยานพุ่งมา พวกเราพยายามหลีกให้กันอย่างรวดเร็วแต่ดันไปทางเดียวกันทั้งคู่จนชนกัน ฉันล้มหลังกระแทกเข้ากับพื้นยางมะตอยจนกระอักหายใจไม่ออก ได้แต่กัดฟันคอยให้ความเจ็บทุเลาลง เด็กหนุ่มวัย ม. ปลาย ที่ปั่นจักรยานมารีบเข้ามาหาแล้วขอโทษอยู่ซ้ำ ๆ ฉันทำเหมือนไม่เป็นไรแล้วลุกขึ้นยืน “ขอโทษนะคะ พอดีรีบ” และพูดพลางดันตัวเขาออกกลับไปเดินต่อ ทันใดนั้นความเจ็บปวดก็แล่นขึ้นมาจากข้อเท้าจนฉันเกือบสะดุดล้ม
ฉันขอร้องหน้าด้าน ๆ อย่างหนึ่งกับเขาที่ยังเอาแต่ขอโทษ
“คือ ช่างเรื่องอุบัติเหตุก่อนแล้วพาไปส่งที่สถานีหน่อยได้มั้ยคะ”
เขาตอบตกลงด้วยความยินดี ฉันนั่งที่อานสำหรับวางของอยู่ข้างหลังเด็กหนุ่มสวมเสื้อเบลเซอร์สีน้ำเงินเข้มที่กำลังปั่นจักรยานพาฉันไปที่สถานี สุดท้ายก็มาถึงเร็วกว่าที่คิดไว้ตอนวิ่ง โชคชะตายังไม่ทิ้งฉันไปไหน
พอมาถึงบริเวณวงเวียนหน้าสถานีฉันก็บอกเขาว่า “ลงตรงนี้แหละค่ะ” แล้วลงจากจักรยานรีบเข้าไปที่สถานีรถไฟพลางประคองขาเอาไว้ข้างหนึ่ง นาฬิกาที่ตั้งอยู่กลางสุมทุมพุ่มไม้บอกเวลาว่าขณะนี้สิบเก้านาฬิกาสี่สิบนาทีแล้ว เสียงสัญญาณเตือนรถไฟออกดังทั่วชานชาลา รถไฟที่จอดนิ่งเริ่มเคลื่อนตัว
รู้สึกลางไม่ดีแล้ว
[1] ชื่อตอนอาจเป็นการอ้างอิงถึงเพลง ‘Let There Be Love’ ของโอเอซิส (Oasis)—วงดนตรีสัญชาติอังกฤษ
[2] Pete Townshend: นักดนตรีชาวอังกฤษ
[3] John Irving (จอห์น เออร์วิง): นักเขียนชาวแคนาดา-อเมริกัน
[4] Authorial Intent: แนวคิดในสาขาวิชาวรรณกรรมวิจารณ์อย่างหนึ่งที่หมายถึงสารที่ต้องการจะสื่อของผู้สร้างผลงานใดผลงานหนึ่ง โดยทฤษฎีที่ยึดแนวคิดนี้เป็นหลักเรียกว่า เจตนานิยม (Intentionalism) ซึ่งเชื่อว่าผลงานทางวรรณกรรมใด ๆ ควรตีความโดยใช้เจตนาของผู้สร้างเป็นหลัก ไม่ใช่การตีความจากผู้รับสารเพียงด้านเดียว