สรุปย่อ ๆ ก็คือ นับแต่นั้นพวกเราคร่าชีวิตไปจากสิบเจ็ดคนถ้วนรวมสามคนแรก คนที่สี่ที่เธอไปแก้แค้นเป็นครูประจำชั้นเก่าของเธอวัยหกสิบปีที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร หลังจากที่ฆ่าแล้วเธอก็บอกว่า “ไปให้สุดกันเลยค่ะ” และแก้แค้นอีกสิบสามคนที่อยู่นอกแผนซึ่งเธอจงเกลียดจงชังมาตลอด
ส่วนเรื่องความสัมพันธ์ของคนเหล่านั้นกับเธอ เจ็ดคนเป็นคนที่รู้จักสมัยมัธยมต้น สี่คนเป็นสมัยมัธยมปลาย สองคนเป็นครู อื่น ๆ อีกสี่คน ส่วนเรื่องเพศ สิบเอ็ดคนเป็นผู้หญิง อีกหกคนเป็นผู้ชาย ส่วนเรื่องการฆ่า แปดคนตายเลยง่าย ๆ สี่คนวิ่งหนี สองคนพยายามเจรจา สามคนต่อต้าน เหล่านั้นคือผลสรุปทั้งหมด
ทุกอย่างก็ใช่ว่าจะเป็นไปด้วยความราบรื่น พวกเราทำพลาดกี่ครั้งไม่รู้ต่อกี่ครั้งด้วยซ้ำ ตอนที่จะฆ่าคนที่สิบเจ็ด เป้าหมายวิ่งหนีไปได้ห้ารอบ ถูกจับอีกสี่หน และบาดเจ็บสาหัสอีกสองครั้ง แต่เธอก็ทำให้เรื่องทั้งหมดกลายเป็น ‘เรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้น’ พวกเราโกงมาตลอด ปัดความรับผิดชอบทั้งหมดและทำทุกอย่างให้สะดวกเข้าไว้
ที่ผมเล่าอาจจะดูเหมือนแค่รายงานตัวเลขเฉย ๆ แต่ผมก็จะอธิบายอย่างนั้นจริง ๆ ถ้ามาถามผมว่าเป็นยังไงหลังจากที่ฆ่าคนที่สิบเจ็ดแล้ว พอพ้นสักคนที่สี่ที่ห้าไป แต่ละคนที่ไปแก้แค้นก็เป็นแค่ตัวเลข
ซึ่งก็ไม่ได้แปลว่าจะไม่มีคนที่ทำให้ผมรู้สึกอะไรด้วยเลย เพียงแต่ว่า สำหรับผมแล้ว สิ่งที่สำคัญกว่าคนที่ถูกฆ่าคือทุกการเคลื่อนไหวของเธอขณะแก้แค้น ยิ่งความแค้นฝังลึกเท่าไหร่ เลือดก็ยิ่งออกมามากเท่านั้น เพิ่มความรู้สึกต่อต้านในตัวเธอ ทวีความเปล่งประกายของการแก้แค้น ความงดงามนั้นไม่จืดจางลงแม้ได้เห็นอีกสักกี่ครั้งก็ตาม
พอพ้นคนที่สิบเอ็ดไป ก็เลยขีดจำกัดสิบวันที่ ‘เลื่อนเวลา’ เอาไว้แล้ว แต่แม้ตอนนี้จะผ่านมาสิบห้าวันแล้ว ทุกอย่างยังเป็นไปตามปกติ แม้แต่เจ้าตัวยังประหลาดใจ ผมคิด ว่าคงเป็นเพราะความมุ่งมั่นอันแรงกล้าว่า “ยังตายไม่ได้” ที่เกิดขึ้นขณะคอยตามแก้แค้นที่ทำให้ยืดระยะการ ‘เลื่อนเวลา’ ออกไปได้อีก
พอปิดงานคนที่สิบเจ็ดกลางป่าเมเปิลสีแดงได้แล้วเด็กสาวก็จับมือทั้งสองข้างของผมแล้วเริงระบำท่ามกลางใบไม้ที่ร่วงโรยดังตุ๊กตาไขลาน ผมเห็นรอยยิ้มอันใสซื่อนั้นแล้วเข้าใจเสียทีว่าความสำเร็จรู้สึกดีเพียงใด
หากการ ‘เลื่อนเวลา’ นี้สิ้นสุดลง รอยยิ้มนั้นก็จะหายไปตลอดกาล
เป็นการสูญเสียอันแสนโหดร้าย ราวกับสีหนึ่งหายไปจากโลกใบนี้
—ย้อนกลับไม่ได้แล้วสินะ
ณ ตอนนี้ ผมรู้สึกเจ็บอยู่ในอกอย่างคนอื่นเสียที
พอเธอแสดงความดีอกดีใจนั้นเสร็จก็ทำท่าเหมือนจะรู้ตัวแล้วปล่อยมือ “ก็ มีแค่คุณนี่คะที่ฉันจะดีใจด้วยได้” พลางพูดแก้เก้อ
“รู้สึกโชคดีจังเลยนะที่ได้เป็นคนนั้นของเธอน่ะ” ผมตอบ “คนนี้ก็คนที่สิบเจ็ดแล้วสินะ”
“ค่ะ เหลือแค่คุณแล้วค่ะ”
ใบไม้แห้งร่วงลงมาค่อย ๆ ทับถมร่างคนที่สิบเจ็ดนั้น หญิงตัวสูงผู้เป็นเจ้าของจมูกโง้งที่เคยหายใจอยู่ไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้คือคนที่เคยสมทบพี่สาวของเธอตอนลงมือทำร้าย พวกเราแอบตามตอนที่เธอกำลังเดินทางกลับบ้านจากที่ทำงานแล้วเข้าไปทัก และเหมือนจะจำหน้าคนที่เคยทำร้ายไม่ได้ด้วย แต่พอเด็กสาวชักกรรไกรออกมาก็กลัวจนวิ่งหนีไป ตอนนั้นผมคิดว่าเธอคงประสาทดีและเก็บไม่ได้ง่าย ๆ แน่ แต่การเลือกวิ่งหนีเข้ามาในป่าเป็นทางเลือกที่โง่งมที่สุด เพราะพวกเราจะฆ่าเธอได้โดยไม่ต้องกลัวว่าจะมีคนเห็น
แต่สิ่งที่เสียดายอย่างหนึ่งคือเด็กสาวฆ่าคนจนชำนาญแล้ว จนเลือดที่เปื้อนตามตัวเธอหรือปฏิกิริยาใด ๆ ก็หายไป ถึงท่วงท่าคล่องแคล่วที่แทงเข้าจุดสำคัญอย่างแม่นยำจนทำให้ตายได้นั้นสวยงามก็จริง แต่พอไม่ได้เห็นเธอบาดเจ็บหรืออะไรก็รู้สึกโหวง ๆ นิดหน่อย
“ถ้าฉันไม่เหลือคนให้แก้แค้นแล้ว ความมุ่งมั่นของฉันน่าจะเหลือไม่พอให้ ‘เลื่อนเวลา’ ได้แล้วค่ะ” เธอพูด “ก็คือ ถ้าคุณตาย ฉันก็จะตายไปด้วย”
“แล้วจะทำตอนไหนล่ะ”
“คงอ้อยอิ่งไม่ได้แล้วสินะคะ…เอาเป็นว่า ฉันจะแก้แค้นคุณพรุ่งนี้ค่ะ จะได้จบ ๆ สักที”
“อืมฮึ”
ผมหรี่ตาเมื่อมีแสงจ้าลอดต้นไม้มาจากทางทิศตะวันตก ใบไม้บนพื้นที่เหยียบย่ำกลายเป็นสีแดงฉานราวกับเป็นวันสิ้นโลก และก็ไม่ต่างจากตัวเธอนัก ที่โลกก็จะสิ้นแล้วเช่นกัน
พวกเรากินมื้อเย็นมื้อสุดท้ายด้วยกันสองคน ทีแรกผมเสนอร้านหรู ๆ ฉลอง แต่เธอก็ปฏิเสธทันควัน “ฉันเกลียดที่ที่ไปแล้วต้องทำตัวลีบค่ะ มารยาทอะไรก็ไม่รู้อย่างคนอื่น” และเสริมอีก “มื้อสุดท้ายทั้งที มัวแต่เกร็งก็กินไม่อร่อยกันพอดี”
ก็จริง จึงลงเอยด้วยการมานั่งกินสเต็กที่ร้านอาหารเจ้าเดิม ชนแก้วฉลองพร้อมไวน์ที่ดูเหมือนน้ำอัดลม คงเพราะสีหน้าท่าทางที่ดูเหมือนผู้ใหญ่ของเธอ พอเลือกชุดที่ลงตัวก็ดูเหมือนนักเรียนมหาวิทยาลัยไปเลย พนักงานที่ร้านจึงไม่ได้ทักเรื่องที่เธอดื่ม
เธอพูดขึ้นตอนกำลังละเลียดขนมมงบล็องตบท้าย
“เพิ่งเคยกินมงบล็องเป็นครั้งแรกเลยนะคะเนี่ย”
“เป็นไงล่ะ”
เธอทำหน้าเฝื่อน ๆ “ไม่อยากรู้เอาป่านนี้เลยว่ามีของอร่อยขนาดนี้ด้วย”
“เข้าใจเลยละ ผมเองก็ไม่อยากรู้เอาป่านนี้เลยว่าการได้มากินข้าวด้วยกันกับคนที่ชอบสนุกแค่ไหน”
เธอเตะหน้าแข้งเตือนผมเบา ๆ อยู่ใต้โต๊ะ แต่ผมไม่โกรธอะไร เพราะประสบการณ์สิบห้าวันที่ผ่านมาบอกว่านี่คือการที่เธอเมาแล้วหาเรื่องแตะตัวผมเฉย ๆ
“งั้นถ้าคุณลืมหมดทุกอย่างเลยก็ดีสิคะ ถ้า ‘การเลื่อนเวลา’ สิ้นสุดแล้ว”
“ที่พูด ไม่อยากรู้ ไม่ได้หมายความว่าอยากลืม หมายถึงอยากรู้ให้เร็วกว่านี้”
“คุณน่ะแหละค่ะผิดที่เมาแล้วขับ บ้าหรือเปล่า”
“ถูกต้องครับ” ผมเออออ
สีหน้าเธอดูไม่สบอารมณ์ ข้อศอกเท้าโต๊ะแล้วเหม่อมองแกว่งแก้วไวน์ “ทั้งความสนุกที่ได้ซื้อเสื้อผ้า ความสนุกที่ได้ตัดผม ความสนุกที่ได้ออกไปเล่น ความสนุกที่ได้ดื่ม ความสนุกที่ได้เล่นเปียโนยิงยาว หรืออะไรก็ช่าง ฉันไม่อยากรู้จักทั้งนั้นค่ะ”
“อืม โกรธเข้าไว้ พรุ่งนี้เธอจะได้ใช้ความโกรธมาฆ่าผมไง”
“…ไม่ต้องห่วงค่ะ ฉันแก้แค้นแน่นอน” เด็กสาวจิบไวน์แล้วค่อย ๆ ยกดื่ม “พูดอะไรก็พูดไปเถอะค่ะ ยังไงคุณก็เป็นคนที่ทำให้ชีวิตฉันต้องจบสิ้น จะป้อยอยังไงก็ลบล้างไม่ได้หรอกค่ะ”
“งั้นก็ดีแล้ว”
ผมเลยช่วงจิตตกกับเรื่องนั้นมาสองสามวันแล้ว ตอนนี้ก็แค่รอช่วงที่เธอจะใช้กรรไกรแทงเท่านั้น แม้การที่ถูกฆ่าโดยคนในฝันจะแสนเศร้า แต่ในหัวของเธอก็จะมีภาพของผมอยู่ช่วงหนึ่ง ซึ่งก็ไม่ได้แย่นัก
เหตุผลที่ผมเต็มใจที่จะให้เธอฆ่า ไม่ใช่เพราะอยากจะชดใช้ให้เธอ ไม่ใช่เพราะอยากตายในฐานะที่ช่วยฆาตกร ผมเพียงแต่อยากให้เธอแก้แค้นให้มากสมใจอยากเท่านั้น และผมยินดีเสนอตัวเองให้เป็นคนสุดท้าย
และอย่างไรเสีย ผมก็ไม่ได้ตายจริง ๆ ผมตายไปเพียงระยะชั่วคราวของการ ‘เลื่อนเวลา’ อุบัติเหตุครั้งนั้นเท่านั้น ถ้าว่ากันตามเส้นเวลาที่ถูกต้อง—ซึ่งก็ไม่ใช่คำที่ถูกต้องเสียทีเดียว ผมแค่เห็นใช้บ่อย ๆ ตามภาพยนตร์กับหนังสือ—เธอก็ตายไปแล้ว และจะไม่มี ‘เล็บแมว’ ที่มาฆ่าผม ตราบใดที่ผมไม่ฆ่าตัวตายไปก่อน ผมก็ต้องใช้ชีวิตต่อไป
กระนั้น ตัวผมที่ได้ใช้ชีวิตต่อไป จะเป็น ‘ผม’ ที่ไม่ได้รู้จักเด็กสาวตอนยังมีชีวิตอยู่
ผมคิดอย่างถือดีว่า คงจะเป็นบทลงโทษของคนที่ทำหนึ่งคนตายด้วยอุบัติเหตุ และสมรู้ร่วมคิดกับการฆ่าคนอีกสิบเจ็ดคนละมั้ง
“ขอถามอะไรเธออย่างสิ”
“คะ?” เธอเอียงคอเล็กน้อย
“ถ้าพวกเราไม่ได้มาเจอกันอย่างนี้ คิดว่าจะเป็นยังไง”
“…ไม่รู้สิคะ คิดไปก็แค่นั้น”
แต่ผมก็อดคิดไม่ได้ ว่าจะเป็นยังไงถ้าผมไม่ได้ชนเธอ ผมนึกย้อนไปในคืนวันนั้น ถ้าเกิดผมไปซื้อเหล้าที่ซูเปอร์ฯ ดื่ม แล้วก็ขับ คงจะหักพวงมาลัยพลาดจนตกคูข้างทาง แล้วก็ติดแหง็กไปไหนไม่ได้ โทรศัพท์ก็ไม่ได้พกติดตัวมาด้วย ได้แต่คอยอยู่กลางสายฝนรอรถผู้ใจบุญสักคันมาจอดช่วย
แล้วเด็กสาวก็จะปรากฏตัว เวลาป่านนี้ทำไมยังมีเด็ก ม. ปลาย มาเดินตากฝนไม่ยอมกางร่ม ถึงจะมองว่าแปลก แต่ผมก็เรียก “นี่ ขอยืมโทรศัพท์หน่อยได้มั้ย เนี่ย รถผมขยับไม่ได้เลย” เธอก็จะส่ายหน้าแล้วบอกว่า “ฉันไม่มีโทรศัพท์ค่ะ” “เหรอ แย่จัง…แล้วเธอไม่หนาวเหรอ” “หนาวค่ะ” “เข้ามาหลบฝนในรถก่อนมั้ย” “ไม่เอาค่ะ น่าสงสัยเกินไป” “แต่ผมว่า การที่เธอมาเดินตากฝนดึก ๆ ดื่น ๆ ไม่กางร่มแบบนี้ก็น่าสงสัยเหมือนกันนะ ไม่เป็นไรน่า ไม่ทำอะไรแปลก ๆ แน่นอน คนน่าสงสัยเหมือนกันน่าจะเข้ากันได้นะ” เธอก็จะลังเลอยู่สักพักแล้วเข้ามานั่งที่นั่งข้างคนขับเงียบ ๆ แล้วหลับไปด้วยกัน
แสงอาทิตย์ยามเช้าจะปลุกพวกเรา รถบรรทุกคันเล็กจะมาบีบแตรแล้วก็ใช้เชือกดึงรถออกมาจากคู จากนั้นก็ขอบคุณคนขับรถคันนั้น “งั้น ต้องไปส่งเธอที่บ้านก่อน หรือจะไปโรงเรียนดี” “ไม่ทันแล้วค่ะ เพราะคุณเลย” “เหรอ ผมทำพลาดแล้วสินะ” “ไหน ๆ ก็ไม่ไปโรงเรียนแล้ว พาขับแวะดูแถว ๆ นี้หน่อยค่ะ” “ขับรถเที่ยวเหรอ” “พาขับแวะดูแถว ๆ นี้หน่อยค่ะ”
หลังจากขับรถเที่ยวตามชานเมืองจนหมดวันก็จะแยกกับเด็กสาว หัวเราะกับตัวเองว่าช่างเป็นวันที่ประหลาด แต่ไม่กี่วันให้หลังก็จะบังเอิญเจอเธออีก พอผมจอดรถเธอก็จะขึ้นรถมานั่งที่นั่งข้างคนขับเงียบ ๆ แทนที่จะไปโรงเรียน “งั้น วันนี้เอาเวลาไปทิ้งยังไงดี” “พาขับแวะดูแถว ๆ นี้หน่อยค่ะ คุณคนลักพาตัว” “คนลักพาตัวเหรอ” “งั้น คุณคนน่าสงสัย” “คนลักพาตัวดีกว่า” “ใช่มั้ยล่ะคะ”
แล้วก็จะมาพบกันเช่นนั้นทุกสัปดาห์ เป็นวิธีที่ช่วยให้สมองปลอดโปร่ง ต่างคนต่างช่วยกันเยียวยาความเจ็บป่วยให้กันและกัน และเมื่ออีกสองสามปีผ่านไป เธอก็จะเรียนจบ ม. ปลาย จนได้ ส่วนผมก็เข้าสังคม เลี้ยงชีพด้วยงานนอกเวลาทั้งหลาย แต่เราสองคนก็ยังนัดมาขับรถเที่ยวกันทุกคืนวันศุกร์ “มาช้าจังนะคะ คุณคนลักพาตัว” “ขอโทษที่ให้คอย ปะ ไปกัน”
เป็นความสัมพันธ์ที่บ้า และสมบูรณ์แบบ แต่ถ้าได้รู้จักกันเช่นนั้น ต่อให้มีโอกาสสนิทกับเธอได้ แต่คงไม่ตกหลุมรักเธอ ที่ผมเข้าใจเธอได้เพราะได้อยู่กับเธอตอนแก้แค้น แต่นั่นก็อาจเป็นเพียงความคิดที่เข้าข้างตัวเองเวลานี้เท่านั้น
คืนนั้นผมตื่นมาพร้อมความรู้สึกหนัก ๆ ที่ท้องน้อยของผม มีคนกำลังคร่อมตัวผมอยู่ ประสาทสัมผัสของผมทั้งห้าที่ยังไม่ชัดเจนยามหลับค่อย ๆ ตื่นขึ้น
อย่างแรกที่ตื่นคือการได้ยิน เสียงฝนตกกระทบหลังคา ถัดมาคือสัมผัส พื้นแข็ง ๆ ดันหลังกับท้ายทอยของผม คงจะนอนตกจากโซฟา
และมีของแหลมบางอย่างทิ่มอยู่ที่คอของผม ซึ่งเป็นอื่นไม่ได้นอกจากกรรไกรตัดผ้าเล่มนั้น ที่เธอบอกว่า ‘พรุ่งนี้’ คงจะหมายถึงช่วงที่ขึ้นวันใหม่ทันที
ตาของผมปรับให้เข้ากับความมืด เธอไม่ได้ใส่ชุดนอนผิดจากที่คาดเอาไว้ กลับเป็นชุดนักเรียนแล้ว
ขณะนั้นผมรู้ทันที “อา จบแล้วสินะ” และยอมรับความจริงได้อย่างน่าประหลาดใจ
ทุกอย่างจะกลับเป็นดังเดิม
ผมรู้สึกเช่นนั้น
“ตื่นแล้วเหรอคะ”
เธอถามเสียงแผ่ว
“อืม” ผมตอบ
ผมไม่หลับตา อยากดูจนจบว่าเธอจะแก้แค้นอย่างไร
ความมืดบดบังไม่ให้เห็นสีหน้าเธอ แต่สังเกตจากการหายใจและน้ำเสียงแล้ว เธอไม่ได้ตัวสั่นเพราะความดีใจ สีหน้าไม่ได้บิดเบี้ยวด้วยความโกรธแค้น
“ขอถามอะไรคุณหน่อยนะคะ” เธอว่า “เป็นการยืนยันครั้งสุดท้ายค่ะ”
ลมพัดวูบหนึ่ง สั่นคลอนทั้งอพาร์ตเมนต์
เด็กสาวถามคำถามแรก
“คุณช่วยฉันฆ่าคนตลอดสิบห้าวันที่ผ่านมาเพื่อเป็นการชดใช้ให้ฉันใช่มั้ยคะ”
“คงประมาณนั้นมั้ง” ผมตอบ “ถึงสุดท้ายจะเพิ่มความผิดไปอีกก็เถอะ”
“คุณบอกว่ารักตัวฉันตอนแก้แค้น จริงมั้ยคะ”
“จริง ก็ไม่รู้หรอกต้องบอกอีกกี่รอบเธอถึงจะเชื่อ…”
“ฉันขอแค่คำว่า ‘ใช่’ กับ ‘ไม่’ ค่ะ” เธอขัด “ที่คุณอยากให้ฉันฆ่าคุณ เพราะคุณอยากชดใช้ฉัน เลยอยากให้ฉันแก้แค้นให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ใช่มั้ยคะ”
“ใช่”
ถ้าจะเอาเป๊ะ ๆ ก็ยังไม่อยากถูกฆ่า แต่ในเมื่อเหลือทางเลือกแค่นั้น คำว่า ‘ใช่’ น่าจะใกล้เคียงกว่า
“โอเคค่ะ”
ดูเหมือนเธอจะยอมรับคำตอบเหล่านั้น
ผมกะพลาด ที่คิดว่าคำถามเหล่านั้นคือการให้ผมปฏิญาณว่าอยากให้จบแบบนี้จริง ๆ โดยยิ่งตอบว่า ‘ใช่’ มากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งเป็นการทำให้เธออยากแก้แค้นผมมากเท่านั้น
คำถามหมดแล้ว ใจผมเต้นรัว ในที่สุด สมองปลอดโปร่ง ไม่เพียงแค่การมองเห็น แต่ทุกประสาทสัมผัสแจ่มชัดขึ้นอย่างรวดเร็ว รู้สึกได้แม้กระทั่งอารมณ์ของเธอที่สั่นคลอนตรงปลายกรรไกรนี้ ความลังเลนั้นค่อย ๆ หายไปอย่างมั่นคง ความตั้งใจเริ่มก่อตัวภายในใจเธอ ปลายกรรไกรค่อย ๆ กดลึกเข้ามาเพียงทีละสองสามมิลลิเมตร ความเจ็บปวดที่ส่งเข้ามายิ่งทำให้ประสาทการรับรู้ของผมไวจนถึงที่สุด ทั้งกลัวตาย ทั้งใจจดใจจ่อคอยเห็นความงาม สองอารมณ์นั้นทะลักล้นหลอมรวมเข้าทำหน้าที่อย่างยาเสพติด ห่อหุ้มให้ตกอยู่ในภวังค์ที่ไร้ทางออกจนอยากตะโกนร้อง ทั้งร่างของผมสั่นเทา เอาเลย แทงมาเลย ผมระริกระรี้ ให้ทุกอย่างจบด้วยกรรไกรนั้นเสีย แทงเลย แทงศพเดินได้อย่างผมที่อยู่มายี่สิบสองปีแล้ว
น่าเสียดายที่สีหน้าของเด็กสาวถูกความมืดบดบังเอาไว้ ถ้าเลือดพุ่งจากคอของผมไปเปื้อนที่หน้าเธอแล้วเธอจะดีใจหรือเปล่า หรือจะโกรธ หรือจะเศร้า หรือจะเหม่อ หรือจะไม่รู้สึกอะ—
“ฉันรู้นะคะว่าคุณคิดอะไร”
เธอพูดเช่นนั้น
“เพราะฉะนั้น ฉันจะไม่ฆ่าคุณค่ะ ‘ไม่ฆ่าให้หรอกค่ะ’”
และยกกรรไกรไปจากคอของผม
เกิดอะไรขึ้น ไม่เห็นเข้าใจเลย
“เฮ้ย อะไร กลัวขึ้นมารึไง”
ผมพูดท้าทายเธออีก แต่เด็กสาวไม่สนใจพลางโยนกรรไกรไปที่เตียง
“ก็ถ้าฆ่าคนที่อยากถูกฆ่าขนาดนั้น จะนับเป็นการแก้แค้นได้ยังไงล่ะคะ” เธอยังคร่อมตัวผมอยู่ “ฉันจะไม่ทำสิ่งที่คุณปรารถนาที่สุดหรอกค่ะ…นั่นคือการแก้แค้นของฉัน”
แล้วผมก็เข้าใจถึงความหมายของคำว่า ‘การยืนยันครั้งสุดท้าย’ เสียที
เธอไม่ได้อยากยืนยันว่าการฆ่าผมเป็นสิ่งสมควรแล้วหรือไม่
แต่เธออยากยืนยันว่าการกระทำนั้นจะไม่สูญเปล่าต่างหาก
“…แล้วถ้าเธอจะแก้แค้นแค่นี้” ผมพูดต่อ “ทำไมการ ‘เลื่อนเวลา’ ถึงยังมีผลอยู่ล่ะ”
“แค่ยังไม่ถึงที่สุดน่ะค่ะ แต่ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ฉันตายแน่ พลังจากเจตนาของฉันก็คงเหลือไม่มากแล้ว”
เด็กสาวยืนขึ้นอย่างอ่อนล้า จัดแขนเสื้อเบลเซอร์กับดึงชายกระโปรงให้เข้าที่ก่อนหันหลังให้ผมแล้วเดินไปที่ประตู ผมอยากลุกขึ้นตามเธอไป แต่ขาขยับไม่ได้ ได้แต่นอนอยู่บนพื้นมองเธอจากไป
ขณะที่เธอเดินไปจนถึงหน้าประตู อยู่ ๆ ก็ชะงักเหมือนเพิ่งนึกอะไรได้แล้วเดินกลับมาหาผม
“แต่ต้องขอบคุณอย่างนะคะ” เธอทำเสียงกระซิบกระซาบ “ทั้งที่ฉันมีแผลเต็มตัวอย่างนี้ แต่คุณยังบอกว่าฉัน ‘สวย’ ถึงจะไม่รู้ว่าพูดจริง ๆ หรือเปล่า แต่ก็…ดีใจมาก ๆ เลยนะคะ”
เธอนั่งคุกเข่าอยู่ข้างผม มือข้างหนึ่งปิดตาทั้งสองข้างของผมไว้ ส่วนอีกข้างประคองคางผมไว้
เส้นผมอันนุ่มสลวยของเธอถูกเข้ากับคอผม
ริมฝีปากของเธอประกบเข้ากับริมฝีปากของผม ราวกับจะผายปอด
เวลาผ่านไปเนิ่นนานไม่อาจนับ
เมื่อริมฝีปากถูกถอนออก เธอก็ปล่อยมือ
และออกจากห้องไป
แต่แทนที่จะเป็นคำว่า ลาก่อน กลับทิ้งไว้เพียงคำว่า “ขอโทษนะคะ”
ผมได้นอนสงบ ๆ อยู่บนเตียงในรอบสิบกว่าวัน หลับตาลงควานหากรรไกรที่เด็กสาวทิ้งเอาไว้บริเวณหัวเตียง จับให้ปลายจ่อเข้ากับคาง หายใจเข้าออกช้า ๆ ผมไม่ต้องไปหาวิธีดี ๆ จากที่ไหนเลย เด็กสาวทำให้ผมดูจนผมเบื่อแล้ว ทั้งจุดที่แทงแล้วเลือดจะพุ่ง หรือกี่นาทีกว่าจะตาย
ชีพจรส่งแรงเต้นผ่านใบมีดขึ้นมา จังหวะคงที่นั้นทำให้ผมสงบใจลงได้ อยู่ ๆ ผมก็นึกขึ้นได้ว่าคนเราตอนตายนั้นประสาทการได้ยินจะเป็นส่วนสุดท้ายที่ยังทำงานอยู่ แม้ประสาทการสัมผัสอื่น ๆ จะตายไปก็ตาม ถ้าผมแทงที่หลอดเลือดแดงคาโรติดตอนนี้เลย ระหว่างที่สติผมค่อย ๆ เลือนหาย ผมคงจะยังได้ยินเสียงสายฝนอยู่
ผมวางกรรไกรเอาไว้ก่อนแล้วไปคุ้ยเขี่ยอยู่กับเครื่องเล่น CD ที่อยู่ข้างเตียง อย่างน้อยก็อยากเลือกเพลงดี ๆ ก่อนตายเสียหน่อย ไม่ใช่เพลงเศร้า ๆ ไว้อาลัยให้กับการตายของผม แต่เป็นเพลงคึกคักขัดบรรยากาศแต่ดูเข้ากับการตายของผม เพลง Can’t Stand Me Now (เธอทนผมไม่ไหวแล้ว) ของ เดอะ ลิเบอทีนส์[1] ผมเร่งเสียงเพลงจนสุดแล้วกลับมาทิ้งตัวถือกรรไกรที่เตียง
ผมนั่งฟังอยู่สามเพลง อยู่ ๆ รู้สึกสนุกไปกับเพลงขึ้นมาโดยไม่คาดคิด เฮ้ย ๆ พอได้แล้ว เอาแต่ฟังแบบนี้เดี๋ยวก็หมดอัลบั้มพอดี แล้วก็จะ “อัลบั้มถัดไปแล้วกัน” เหรอ
ได้ เพลงต่อไปนี่แหละ ถ้าเพลงต่อไปจบ ก็จะจบชีวิตบ้า ๆ นี่เสียที
แต่จังหวะที่เพลงที่สี่ใกล้จะจบในไม่อีกกี่วินาทีก็มีคนมาเคาะประตู ผมไม่สนใจแล้วจดจ่ออยู่กับเพลงอย่างเดียว ทันใดนั้น ประตูถูกเปิดเข้ามาอย่างรุนแรง ผมซ่อนกรรไกรไว้ใต้หมอนแล้วเปิดไฟ
สาวสายศิลป์บุกเข้ามาห้องผมแล้วกดปุ่มปิดเครื่องเล่น CD
“ชาวบ้านเขารำคาญ” เธอว่า
“แค่รสนิยมไม่เหมือนกันเถอะครับ” ผมหยอก “แล้วเอา CD มาเปลี่ยนมั้ยครับรอบนี้”
เธอมองไปรอบ ๆ ห้องแล้วถามขึ้นมา
“เธอคนนั้นล่ะ”
“ไปแล้วครับ เมื่อกี้นี้เอง”
“ฝนตกอย่างนี้น่ะนะ”
“ครับ ไม่เหลือเยื่อใยเลย”
“เห น่าสงสาร”
เธอหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบก่อนจะส่งให้ผมมวนหนึ่ง ผมรับมาคาบไว้ในปากแล้วเธอก็จุดให้ เป็นบุหรี่ที่ความเข้มทาร์[2]สูงพอ ๆ กับที่ชินโดสูบอยู่ประจำ เล่นเอาผมเกือบไอ ปอดของเธอคงเป็นสีดำสนิทไปหมดแล้ว
“ไหนที่เขี่ยบุหรี่” เธอทักถาม
“กระป๋องเปล่านั่นไงครับ” ผมชี้ไปที่บนโต๊ะ
พอหมดมวนหนึ่งแล้วเธอก็จุดมวนถัดไปสูบทันที
ผมคิด ว่าเธอคงมีเรื่องอยากคุยด้วย เรื่องเสียงรบกวนก็แค่ข้อแก้ตัวน้ำขุ่น ๆ ตามมารยาท เหมือนเธอเคยบอกอยู่ว่าเธอไม่เก่งเรื่องหาคำพูดให้ตรงกับสิ่งที่คิดไว้
ตอนนี้คงจะกำลังเค้นสมองอย่างหนัก เพราะอยากบอกสิ่งสำคัญกับผม
พอหมดมวนที่สามเธอจึงพูด
“ถ้าฉันเป็นเพื่อนนาย คงบอกไปแล้วละว่า ‘ตามเธอคนนั้นไปเดี๋ยวนี้’ ประมาณว่า ‘ไม่ตามไปเดี๋ยวก็เสียใจไปตลอดชีวิตหรอก’ แต่พอดีว่าฉันเป็นพวกฉลาดเล่นแง่ ไม่พูดแบบนั้นหรอก”
“ทำไมล่ะครับ”
“นั่นสิ ทำไมกัน”
และพูดต่อโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย “จะหน้าหนาวแล้วสินะ” พลางพ่นควัน
“ฉันน่ะนะ เกิดแถว ๆ ภาคใต้ ที่นั่นน่ะ ถ้าหิมะตกวันนึง วันพรุ่งนี้ก็แทบไม่เหลือแล้ว เพราะงั้น ตอนที่เห็นหน้าหนาวของเมืองนี้ครั้งแรกก็เลยตกใจ พอหิมะเริ่มถมแล้วก็ต้องรอฤดูใบไม้ผลินู่นกว่าจะเห็นพื้น แล้วภาพหิมะในหัวของฉันคือจะต้องเป็นปุยนุ่นขาว ๆ เลยแอบผิดหวังพอมาเห็นสภาพหิมะกองหนัก ๆ เดินไปไหนมาไหนทีก็ต้องระวังลื่น แถมพอจับกับไอเสียแล้วก็ดูอย่างกับเถ้าภูเขาไฟ”
อยู่ ๆ ก็พล่ามอะไรของเธอ ผมไม่ได้คิดอย่างนั้น
แม้ไม่เก่ง แต่เธอก็แสดงความรู้สึกตัวเองออกมาอย่างสุดความสามารถ
“แต่ถึงงั้น พอตอนเช้าตื่นเพราะรถกวาดหิมะวิ่งผ่านหลังจากที่หิมะตกทั้งคืน ภาพเมืองที่ได้เห็นตรงกระจกที่ฝ้าเกาะจะสวยมากเลยละ เหมือนทั้งเมืองมีสีขาวโพลนย้อมทุกที่เลย หรือพอตอนกลางคืนที่กลับมาจากข้างนอกกำลังหนาว ๆ ตัวสั่น ได้ดื่มกาแฟอุ่น ๆ ใส่น้ำตาลเยอะ ๆ สักหน่อยจะดีมากเลยละ”
เธอหยุดพูดแค่นั้น
“…ฉันเล่าแค่นี้แหละ แต่ถ้านายยังอยากไปหายมทูตฉันก็ไม่ห้าม”
“ครับ ขอบคุณนะครับ”
“จริงเล้ย ทั้งนาย ทั้งชินโดคุง ทำไมพวกผู้ชายที่ฉันสนิทด้วยต้องจากกันไปเร็วเหลือเกินนะ”
“คงเพราะมีแค่คนที่เริ่มอยากตายที่มองเห็นเสน่ห์ของคุณละมั้งครับ”
“ไม่ค่อยยินดีเท่าไหร่เลยนะ” เธอหัวเราะดูสับสน “นี่ มีเรื่องนึงที่อยากถามมาตั้งนานแล้ว ว่าที่นายไม่ยอมแม้กระทั่งจะจับมือฉัน เป็นเพราะนายไม่ได้สนใจฉันแค่นั้น หรือเพราะ ‘เป็นมารยาทแด่ชินโดคุงที่จากไปแล้ว’”
“งั้นมั้งนะครับ คือผมก็ไม่ค่อยเข้าใจตัวเองเหมือนกัน หรือไม่ก็แค่ยอมแพ้ว่ายังไงก็ไม่มีวันเอาชนะเขาได้ละมั้งครับ”
“…ขอบคุณที่ตอบ ดีใจนะ รู้สึกโล่งขึ้นมาหน่อยนึงเลย”
พูดจบเธอก็ยื่นมือซ้ายมา คงเพราะเป็นห่วงแผลของผมถึงได้ไม่ยื่นมือขวา
“ครั้งสุดท้ายทั้งที จับมือหน่อยได้มั้ย”
“ครับ ด้วยความยินดี”
ผมยื่นมือซ้ายออกไป
“ลาก่อนนะครับ คุณ…”
“ซาเองูซะ” เธอบอกพลางจับมือผม “ซาเองูซะ ชิโอริ นี่ฉันเพิ่งได้บอกชื่อจริง ๆ จัง ๆ เป็นครั้งแรกเลยสิเนี่ย เนอะ ยูงามิ มิซูโฮะคุง ฉันชอบความสัมพันธ์ที่ไม่ผูกมัดแบบนี้นะ”
“ขอบคุณที่คอยดูแลเสมอมาครับ คุณซาเองูซะ ผมเองก็ดีใจที่ได้รู้จักกับคุณ”
ไม่นานเธอก็ปล่อยมือ ผมเองก็หันหลังให้กับเธออย่างไม่อาลัยอาวรณ์
ผมติดกระดุมเสื้อโค้ต ผูกเชือกรองเท้าบูตให้แน่น แล้วถือร่มเดินไปเปิดประตู
“นายไม่อยู่แล้วเหงาแย่เลย”
เสียงพึมพำคุณซาเองูซะไล่หลังผมมา
วิธีหลัก ๆ ที่ต้องใช้คือการตระเวนหาตามที่ที่เด็กสาวน่าจะไป แต่ไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้น ผมพอจะเดาที่ที่เธอมุ่งหน้าไปได้จากเบาะแสบางอย่างที่ถูกทิ้งไว้
ผมนึกขึ้นมาเป็นฉาก ๆ
เบาะแสแรกผมเห็นตอนที่ซื้อตั๋วรถไฟ ลำดับการเรียงบัตรที่เปลี่ยนไปทำให้รู้ว่ากระเป๋าสตางค์ถูกค้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นฝีมือเด็กสาวหรือเปล่า
ความคิดแวบแรกที่แล่นเข้ามาคือเธอจะหยิบเงินไปให้พอใช้กับเวลาที่เหลืออยู่ แต่เมื่อลองสำรวจดูอีกครั้งก็พบว่าเงินไม่หายไปเลยแม้เยนเดียว ทั้งบัตรกดเงินสดกับบัตรเครดิตก็ยังอยู่ดี ผมสันนิษฐานไปต่าง ๆ นานา จนได้ข้อสรุปว่า—เธอคงหา ‘บางอย่าง’ ที่ผมมีอยู่ และมีความเป็นไปได้สูงว่าสิ่งนั้นจะอยู่ในกระเป๋าสตางค์ผม
เบาะแสที่สองคือคำว่า ‘ขอโทษนะคะ’ ที่เธอทิ้งเอาไว้ คำว่า ‘ขอโทษนะคะ’ ที่ส่งมาถึงตัวฆาตกรอย่างผม ขอโทษเรื่องอะไรกัน คำว่า ‘ขอบคุณนะคะ’ เธอยังอธิบายเหตุผลอยู่เลย
‘ทั้งที่ฉันมีแผลเต็มตัวอย่างนี้ แต่คุณยังบอกว่าฉัน ‘สวย’ ถึงจะไม่รู้ว่าพูดจริง ๆ หรือเปล่า แต่ก็…ดีใจมาก ๆ เลยนะคะ’
แต่ไม่อธิบายคำว่า ‘ขอโทษนะคะ’ และไม่น่าใช่เพราะเธอไม่อยากจะเล่า เพราะผมยังต้องมากุมขมับคิดอยู่อย่างนี้
อาจจะมีเรื่องอะไรที่เธอยังอธิบายไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็อยากบอกเอาไว้ เพราะงั้น เรื่องไม่ได้จบแค่ที่คำว่า ‘ขอโทษนะคะ’ คำเดียวแน่ ๆ
เบาะแสที่สามคือเมื่อสี่วันก่อน ตอนที่เธออาบน้ำอยู่ พอผมไปเปิดตู้จะหยิบจดหมายที่ ‘ส่งไม่ถึง’ ถึงคิริโกะที่เขียนค้างไว้มาเขียนต่อ จดหมายที่ว่ากลับหายไป ตอนนั้นผมไม่ได้ใส่ใจนัก แต่—เธออ่านจดหมายนั้นแน่ ๆ ละ—ทำไมถึงไม่เก็บไว้ที่เดิม
เป็นไปไม่ได้ที่ของสักอย่างจะหายในห้องของผมที่มีของน้อยชิ้นถึงขั้นไม่รู้จะนับว่าเป็นระเบียบได้หรือเปล่า แต่นับแต่นั้นมาผมก็ไม่เคยเห็นกระดาษแผ่นนั้นอีกเลย ถ้าไม่นับว่าเธอจะแกล้งผมโดยการเอาไปซ่อนไว้ในเคส CD แทรกไว้ในหนังสือ หรือเอาไปทิ้งขยะ ก็เหลือความเป็นไปได้เดียวเท่านั้น
จดหมายนั้นอยู่กับเธอ
พอมาคิดถึงตรงนี้แล้ว ผมนึกย้อนตั้งแต่วันที่ได้เจอเธอครั้งแรก
ปริศนานั้นง่ายนิดเดียว
‘ความทรงจำผมถูกบิดเบือน’
ทำไมเธอถึงเกลียดนามสกุล ‘อากิซูกิ’
ทำไม ‘เพื่อนร่วมชั้น’ ของเธอมีทั้งเด็กมัธยมปลายกับเด็กมหา’ลัย
และที่สำคัญ วันที่ผมชนเธอ ทำไมเธอถึงเดินอยู่คนเดียวเปลี่ยว ๆ แถมไม่มีร่มอย่างนั้น
ผมปล่อยให้เรื่องง่าย ๆ หลุดลอดสายตามาจนป่านนี้ได้ยังไง
บางเบาะแส—ไม่ว่าเธอจงใจหรือไม่จงใจก็ดี—ก็เป็นเธอเองที่ทิ้งเอาไว้ ถ้าเธอจะเก็บงำไว้ก็ได้อยู่แล้ว แต่เธอก็ทิ้งร่องรอยการค้นกระเป๋าสตางค์ผม ทิ้งท้ายไว้ว่า ‘ขอโทษนะคะ’ อีกต่างหาก เธอทิ้งด้ายเส้นสุดท้ายเอาไว้เส้นหนึ่งที่ให้สืบไปจนถึงความจริงได้
ถ้าคุณซาเองูซะไม่มาเคาะประตูตอนนั้น ผมคงเอากรรไกรแทงคอตายแบบไม่รู้เรื่องรู้ราวไปแล้ว ต้องขอบคุณเธอด้วยซ้ำ พอมาคิด ๆ ดูแล้ว คุณซาเองูซะก็คอยช่วยผมมาตลอดจนถึงที่สุด แต่ความสัมพันธ์ระว่างเราให้จบไปแบบเฉื่อย ๆ อย่างนั้นเหมาะสมดีแล้วละ ผมมั่นใจ
ผมไม่มีรถ จึงต้องนั่งรถไฟไปหนึ่งขบวนกับรถบัสรับส่งอีกสามทอดกว่าจะถึงที่หมาย เที่ยวที่สามต้องติดแหง็กกลางทะเลรถ เหมือนว่าจะเกิดอุบัติเหตุกลางสายฝน มีทั้งรถดับเพลิงกับรถตำรวจวิ่งสวนมาอีกเลน ผมบอกคนขับว่ากำลังรีบและจ่ายค่ารถแล้วลงมาเดินทางเท้าเลียบถนนที่รถติดอยู่
ตรงหน้าที่เป็นเนินลาดลงน้ำท่วมไปเป็นระยะร่วมสองสามร้อยเมตร จุดที่ลึกสุดท่วมมิดหัวเข่า ถุงเท้าขายาวก็กันอะไรไม่ได้แล้ว น้ำฝนซึมเข้ารองเท้าบูตที่มัดเชือกไว้แน่น เสื้อผ้าที่ชุ่มน้ำชิงความอบอุ่นไป ทั้งความหนาวกับความกดอากาศทำให้นิ้วผมเริ่มเจ็บ ร่มก็แทบไร้ประโยชน์เพราะลมที่พัดมาจากด้านข้าง และพายุก็พัดมา ผมกำร่มเอาไว้แน่น แต่โครงร่มก็พังอยู่ดี ผมทิ้งร่มไว้ที่ทางเดินเพราะใช้ต่อไม่ได้แล้ว ได้แต่หรี่ตาเดินฝ่าฝนไป
สักยี่สิบนาทีให้หลังก็พ้นแอ่งที่น้ำท่วมมาได้ รถฉุกเฉินทั้งหลายล้อมรถบรรทุกขนาดกลางที่พลิกคว่ำกับรถตู้ที่เสียหายหนัก ฝนทุกหยดสะท้อนไซเรนที่หมุนจนสีแดงถูกสาดทั่วบริเวณ เสียงแตรดังถี่ ๆ มาจากรถที่ติดอยู่ข้างหลัง จังหวะที่ผมกำลังเดินเลี้ยวที่มุมหนึ่งก็เกือบชนเข้ากับเด็กหนุ่มวัย ม. ปลาย ที่ปั่นจักรยานมือถือร่มอยู่ข้างหนึ่ง เขาเห็นผมพอดีและเบรกกะทันหันจนล้อลื่นล้ม พอผมทักถามว่าเป็นอะไรมั้ยก็ไม่สนใจแล้วปั่นหนีไป
เมื่อมองจนเขาลับสายตาไปแล้วจึงเดินต่อ
ผมรู้ชัดว่าจะต้องเดินไปอีกเท่าไหร่จึงจะไปถึงที่ที่เด็กสาวไป
เพราะที่นั่นคือบ้านเกิดของผม
น้ำนองทั่วสวนสาธารณะ สะท้อนแสงอาทิตย์ยามเช้าที่ส่องลอดเมฆมาระยิบระยับ มีม้านั่งไม้เล็ก ๆ ตัวหนึ่งที่ดูราวกับลอยอยู่เหนือน้ำ
เด็กสาวนั่งอยู่ตรงนั้น และแน่นอนว่าทั้งตัวเปียกโชก สวมเสื้อแจ็กเก็ตผ้าถักไนลอนที่ผมให้ยืมทับชุดนักเรียนอยู่ ร่มรูปร่างบิดเบี้ยวพิงอยู่ด้านหลังม้านั่งตัวนั้น
ผมเดินลุยน้ำเสียงดังจ๋อมแจ๋มเข้าไปข้างหลังแล้วใช้มือทั้งสองข้างปิดตาเธอไว้
“ใครเอ่ย” ผมถาม
“…อย่าเล่นอะไรเป็นเด็ก ๆ นะคะ”
เธอจับมือทั้งสองข้างของผมแล้วเลื่อนลงมาวางที่ลิ้นปี่ของเธอ ผมล้มลงไปข้างหน้าจนดูเหมือนผมกอดเธอจากด้านหลังอยู่
และไม่นานก็ปล่อยมือ แต่คงจะชอบแบบนี้เหมือนกัน เธอจึงกลับมาจับมือผมไว้อย่างนั้น
“นึกถึง” ผมเปรย “วันที่เกิดอุบัติเหตุ ผมมานั่งตากฝนที่ม้านั่งเหมือนเธอตอนนี้แหละ มาตามที่นัดไว้กับอีกคน…ไม่สิ ไม่เชิงนัดหรอก ผมรอคิริโกะอยู่ฝ่ายเดียวมากกว่า”
“พูดเรื่องอะไรคะ”
ผมรู้ว่าเธอทำไขสือ จึงเล่าต่อไป
“ตอนอยู่ ป. 6 ผมต้องย้ายโรงเรียนเพราะเรื่องงานของพ่อ วันสุดท้ายก่อนผมจะย้าย พอนึกเหงาที่ต้องเดินกลับบ้านคนเดียว ก็มีคนหนึ่งเข้ามาทัก ชื่อ ฮิซูมิ คิริโกะ ก่อนหน้านั้นพวกเราไม่เคยคุยกันเลย แต่ตอนจะแยกกันก็ขอติดต่อกันทางจดหมายกับผม ผมคิดไปว่า บางที คงจะขอแค่เป็นใครก็ได้ที่อยู่ไกลกันก็เป็นอันใช้ได้ละมั้ง ที่ตอบตกลงก็เพราะไม่รู้จะปฏิเสธยังไงดีเหมือนกัน ทีแรกก็ไม่ได้สนใจเท่าไหร่…แต่ว่า พอได้คุยกัน แลกจดหมายกันไปเรื่อย ๆ ถึงได้รู้ว่ากระบวนการคิดของพวกเราเหมือนกันจนน่ากลัว คุยอะไรกันก็เห็นตรงกันหมด แม้แต่ความคิดหรือความรู้สึกที่ไม่รู้จะบอกคนอื่นยังไง เธอก็เข้าใจเจตนาที่ผมจะสื่อทั้งหมด แล้วผ่านไปสักพักก็กลายเป็นว่าการเขียนจดหมายถึงกันแบบนี้คือแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตของผมไปแล้ว”
ร่างของเด็กสาวเย็นเฉียบ เพราะนั่งตากฝนรอผมมานานไม่รู้กี่ชั่วโมง หน้าของเธอซีดเซียว ตัวเธอสั่นน้อย ๆ ขณะหายใจ
“ผ่านไปห้าปีหลังจากที่เริ่มส่งจดหมายถึงกัน คิริโกะก็ส่งจดหมายมาว่า ‘อยากคุยกันแบบเห็นหน้าค่ะ’ ผมดีใจมาก เธอก็อยากรู้เรื่องของผม ส่วนผมก็อยากรู้เรื่องของเธอ แค่นั้นผมก็สุขล้นแล้วละ”
“…แต่ว่าคุณก็ไม่ได้ไปพบเธอ” เด็กสาวแทรก “ใช่มั้ยคะ”
“ใช่ ผมไปเจอคิริโกะไม่ได้แน่ ผมไม่รู้ว่าตอนไหนเหมือนกัน แต่ว่าช่วงที่ขึ้น ม. ต้น มาใหม่ ๆ ในจดหมายผมมีแต่เรื่องโกหก แถมไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้งด้วย ตอนนั้นชีวิตของผมน่าสมเพชมาก แล้วอยู่แบบอึดอัดอีกต่างหาก ผมไม่อยากเขียนไปตามจริงแล้วให้คิริโกะผิดหวังหรือมาสงสาร ก็เลยหลอกไปว่าผมยังสบายดี ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข เพราะถ้าไม่ทำอย่างนั้น คงได้เลิกส่งจดหมายถึงกันไปเลยแน่ ๆ ”
พออธิบายแล้วผมก็ตั้งคำถามกับตัวเองว่าเป็นอย่างนั้นจริง ๆ เหรอ แค่เขียนจดหมายเรื่องชีวิตมัธยมต้นที่อยู่อย่างโดดเดี่ยวเข้ากับใครไม่ได้จะทำให้ถูกตัดสัมพันธ์การติดต่อทางจดหมายได้เลยเหรอ
แต่ป่านนี้ก็ไม่มีโอกาสได้รู้แล้ว
“แต่กรรมที่ผมฝืนโกหกไปอย่างนั้นก็กลับมาสนอง ทั้งที่คนที่อยากเจอที่สุดในโลกส่งจดหมายมาว่า ‘อยากคุยกันแบบเห็นหน้าค่ะ’ แต่ถ้าตอบตกลงไป เรื่องที่ผมโกหกไปทั้งหมดจะต้องแดงแน่ ๆ คิริโกะเกลียดผมแน่ถ้ารู้ว่าผมเป็นพวกที่ชอบเอาเรื่องโกหกมาบังหน้า สาปส่งผมตอนที่รู้ว่าที่ผมเขียนในจดหมายมาไม่รู้กี่ปีคือเรื่องโกหก ผมจำใจยอมไม่ออกไปหาคิริโกะ แล้วไม่ตอบจดหมายเพราะไม่รู้จะเขียนอะไรแล้วด้วย แล้วความสัมพันธ์ของผมกับคิริโกะก็จบไปอย่างนั้น…แต่เขียนมาตั้งห้าปีจนชิน จะให้เลิกเลยก็ยาก ผมก็ยังปลอบใจตัวเองเขียนจดหมายแบบไม่ไปหย่อนที่ตู้ไปรษณีย์เพราะยังตัดความรู้สึกได้ไม่ขาด จดหมายที่ไม่มีใครอ่านก็ค่อย ๆ กองสุมเยอะขึ้นทีละเล็กละน้อย”
ผมคลายอ้อมแขนออกแล้วเดินอ้อมม้านั่งมานั่งข้าง ๆ เด็กสาว
เธอหยิบบางอย่างออกมาจากกระเป๋า
“คืนค่ะ”
เป็นจดหมายที่ ‘ส่งไม่ถึง’ ถึงคิริโกะ
มีอยู่อย่างที่คิดจริง ๆ ด้วย
“เท่าที่ฟังดู” เธอพูดต่อ “วันที่เกิดอุบัติเหตุ คุณไม่น่าจะมานั่งรอคุณคิริโกะได้เลยนะคะ”
“เพื่อนผมตาย นั่นแหละจุดเริ่มต้น รู้จักกันมาตั้งกะสมัย ม. ปลาย แล้วละ เป็นเพื่อนที่รู้ใจกันดี ก็เลยบอกเรื่องที่เขียนจดหมายโกหกคิริโกะไป แล้วพอจะโดนจับได้ก็เลิกตอบจดหมาย ก่อนเขาตายสักเดือนนึง เขาบอกผมว่า ‘แกก็น่าจะไปหา ฮิซูมิ คิริโกะ เขานะ’ ตอนบอกท่าทางดูเหมือนว่าเป็นเรื่องที่จะพลิกชีวิตผมให้ดีขึ้นได้เลย ซึ่งเขาก็ไม่ค่อยให้คำแนะนำอะไรผมแบบนั้นบ่อย ๆ หรอก”
ใช่ ชินโดไม่ชอบให้คำแนะนำใคร ๆ หรือต้องให้ใครมาปรับทุกข์ แล้วก็ไม่ชอบไปปรับทุกข์กับใครหรือให้ใครมาแนะนำ เขาเกลียดแนวคิดที่ว่า ต่อให้ขาดการไตร่ตรองหรือแยกแยะ ตราบใดที่เจตนาดีก็นับว่าการกระทำหรือคำพูดนั้นดี เพราะความรับผิดชอบของการกระทำหรือคำพูดนั้นใหญ่หลวง และถ้าไม่มั่นใจจริง ๆ ว่าจะจัดการปัญหาให้คน ๆ หนึ่งได้ ก็ไม่ควรที่จะไปชี้อะไรให้—นั่นคือแนวคิดของเขา
และการที่เขาให้คำแนะนำผมที่เป็นคำแนะนำจริง ๆ แบบนี้ แปลว่าต้องเป็นเรื่องจริงจังสำหรับเขา
“จากนั้นก็เลยกะจะเขียนจดหมายเป็นครั้งแรกในรอบห้าปี เขียนไปว่าจะยังให้อภัยกันอยู่หรือเปล่า มาเจอกันที่สวนสาธารณะตรงทางผ่านไปโรงเรียนประถมของพวกเราหน่อย”
ผมยกขาขึ้นมาไขว่ห้าง ผิวน้ำกระเพื่อมจนดูเหมือนท้องฟ้าตรงเท้าสั่นไหว กิ่งไม้แห้งกับท้องฟ้าโปร่งดูซังกะตายทำให้รู้สึกถึงฤดูหนาวที่จะมาเยือน
“ผมรออยู่ทั้งวัน แต่คิริโกะก็ไม่มา ซึ่งก็ไม่แปลก ผมเมินจดหมายที่ส่งมาไม่รู้กี่ฉบับ แล้วพอเหงาที่เพื่อนสนิทตายดันส่งจดหมายมาว่า ‘อยากขอโทษเธอ’ อีก คงไม่ต้องการผมแล้วละ คิดแล้วก็รู้สึกอัดอั้นตันใจ เลยเอาไปลงกับเหล้า แวะซื้อวิสกี้ที่ร้านแถว ๆ นั้นตอนขากลับ ดื่มแล้วก็ขับต่อ แล้วก็ไปชนเธอนี่แหละ”
ผมหยิบไฟแช็กกับบุหรี่ออกมาจากกระเป๋ากางเกง ไฟแช็กซิปโปยังจุดได้ตามปกติ แต่บุหรี่ที่เปียกน้ำทำให้รสขมปร่า
“อย่างนี้นี่เอง พอจะปะติดปะต่อได้แล้วค่ะ” เธอว่า
“ผมเล่าหมดแล้ว ตาเธอแล้วละ”
เด็กสาววางมือลงบนเข่าทั้งสองข้างแล้วมองไปที่ม้านั่งสีลอกพลางครุ่นคิด
“…นี่ ‘คุณมิซูโฮะ’” เธอเรียกชื่อผม “รู้มั้ยคะว่าทำไมวันที่เกิดอุบัติเหตุ คุณคิริโกะถึงไม่มาที่สวนสาธารณะนี้”
“ก็จะมาถามนี่แหละ” ผมตอบ
“ฉันคิดว่า” เธอพูดตั้งท่ากันตัวเอง “คุณคิริโกะจะมาที่ที่นัดไว้แล้วนั่นแหละ แต่คงใช้เวลาเตรียมใจอยู่ คราวนี้ เป็นเธอต่างหากที่มีเหตุผลที่ไปหาคุณไม่ได้ หรือถ้าว่าตามตรงก็คือ ‘มองหน้าไม่ติด’ นั่นแหละค่ะ แต่อีกใจก็คงดีใจจนร้องไห้ที่รู้ว่าคนที่คิดว่าลืมตัวเองไปแล้วติดต่อมาว่าอยากเจอหลังจากเงียบหายไปห้าปี พอชั่งใจดูแล้ว คุณคิริโกะก็เลยตัดสินใจออกไปหาคุณมิซูโฮะ”
ดูเหมือนเธอกำลังคุมน้ำเสียงให้เรียบที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ไม่ยอมแสดงอารมณ์อะไรออกมาทั้งนั้น
“แต่เธอตัดสินใจช้าเกินไปค่ะ กว่าจะออกจากบ้านมาทั้งชุดนักเรียนก็หนึ่งทุ่มของวันนัดแล้ว วันนั้นฝนก็ตกหนักจนรถบัสรับส่งกับรถไฟหยุดให้บริการ สุดท้าย กว่าเธอจะมาถึงที่หมายก็ปาเข้าไปราว ๆ เที่ยงคืน แน่นอนว่าที่สวนสาธารณะไม่มีใครเลยค่ะ เธอนั่งหนาวตากฝนที่ม้านั่งก่นด่าให้กับความโง่ของตัวเอง แล้วก็ได้เข้าใจสักทีว่าตัวเองอยากเจอคุณมิซูโฮะอีกครั้งขนาดไหน ทำไมถึงเอาแต่ทำพลาดอย่างนี้นะ ทำไมถึงคิดมากเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ จนมองข้ามสิ่งสำคัญไปได้นะ คุณคิริโกะก็เลยเดินกลับทางเดิมไปแบบเหม่อ ๆ ”
และสิ่งที่เกิดกับคิริโกะหลังจากนั้น ผมรู้ดีที่สุด
เธอกับผมได้กลับมาพบพานกันอีกครั้งในรูปแบบที่แย่ที่สุดเท่าที่จะนึกภาพออก
และเราสองคนไม่มีใครรู้ตัวเลย
“ไม่เข้าใจอย่างนึง” ผมพูด “ที่ว่า ‘มองหน้าไม่ติด’ นี่คือยังไง”
“…ไม่ใช่เรื่องที่จะอธิบายที่นี่ค่ะ”
คิริโกะจับเข่าแล้วออกแรงลุกขึ้นยืน
ผมทำตาม
“กลับไปที่อพาร์ตเมนต์กันก่อน อาบน้ำอุ่น ๆ ใส่เสื้อแห้ง ๆ กินอะไรอร่อย ๆ นอนให้เต็มอิ่ม แล้วไปหาที่เหมาะ ๆ ที่จะคุยเรื่องจริงกันเถอะ”
“ครับ”
ระหว่างทางกลับบ้าน ผมกับคิริโกะไม่ได้คุยอะไรกันเลย
จับมือเย็น ๆ ด้วยกัน เดินช้า ๆ คอยเธอ
ทั้งที่น่าจะมีเรื่องอยากคุยมากมาย แต่พอได้เจอกันอีกครั้งก็เหมือนกับว่าไม่ต้องใช้คำพูดใด แค่ความเงียบที่เข้าใจกันทุกอย่างก็ทำให้สบายใจแล้ว ไม่ต้องรีบเร่งพูดอะไรให้มากความ
พอกลับมาถึงอพาร์ตเมนต์ก็นอนข้างกันบนเตียงแคบ ๆ ไปหลายชั่วโมง หลังจากนั้นขึ้นรถบัสเวียนรับส่งบุโรทั่งจากสถานีมายัง ‘ที่เหมาะ ๆ ’ ที่ว่านั้น กว่าจะไปถึงตะวันก็เริ่มตกดินแล้ว
เป็นสวนสนุกขนาดเล็กที่อยู่บนภูเขา เมื่อเข้ามาตรงทางเข้าหลังจากซื้อตั๋วกับตุ๊กตามาสคอตกระต่ายแล้วก็พบกับทิวทัศน์อันมหัศจรรย์สีจางกว้างสุดลูกหูลูกตา มีพวกชิงช้าสวรรค์ เพนดูลัมไรด์ที่ดูเหมือนชิงช้าขนาดยักษ์ แล้วก็รถไฟเหาะอยู่อีกฟากตรงข้ามจุดขายตั๋วและร้านค้าที่มีม้าหมุนทั้งแบบปกติและแบบเหวี่ยงตั้งอยู่ เสียงกรีดร้องอย่างผู้หญิงมาพร้อมกับเสียงทำงานของเครื่องเล่นรอบ ๆ ตัว ลำโพงในสวนสนุกเล่นเพลงแนวบิกแบนด์อยู่อย่างไม่รู้จักจบจักสิ้น และยังมีเสียงเครื่องดนตรีที่ชื่อว่าโฟโตเพลเยอร์เก่า ๆ ดังมาตามเครื่องเล่นด้วย แม้เมื่อวานจะฝนตกหนัก แต่วันนี้คนยังแน่นขนัด ครึ่งหนึ่งมากันเป็นครอบครัว อีกครึ่งมาเป็นคู่
คิริโกะจ้องมองดูคิดคะนึงแล้วกระตุกมือผม
ผมเองก็เดินไปด้วยความรู้สึกเช่นเดียวกัน แม้จะไม่เคยมาเลยสักครั้งก็ตาม
บางที ผมอาจจะเคยมาที่นี่แล้วก็ได้
ผมรู้สึกเช่นนั้น
เธอหยุดยืนอยู่ตรงหน้าชิงช้าสวรรค์
หลังจากได้ตั๋วที่ต้องซื้อมาจากตู้อัตโนมัติแล้ว พวกเราก็ขึ้นกระเช้า
เมื่อมองทิวทัศน์ด้านล่าง แสงไฟหนึ่งที่ส่องสว่างอยู่ท่ามกลางความมืดก็ดับลง เหมือนจะเป็นโคมไฟบริเวณน้ำพุ
และนั่นคือจุดเริ่มต้น ดวงไฟรอบ ๆ ก็ทยอยดับตาม แม้ยังไม่ถึงเวลาปิดทำการของสวนสนุก
สวนสนุกกำลังเลือนหาย กลับกันภายในตัวผมก็มีบางอย่างที่เลือนหายไปฟื้นกลับมา
เวทมนตร์กำลังสิ้นสุดลง ผมคิด
การ ‘เลื่อนเวลา’ สิ้นสุดลงแล้ว และความตายก็มาเยือนคิริโกะ ทุกอย่างที่เธอเคย ‘เลื่อนเวลา’ เอาไว้มาจนตอนนี้ก็กลับสู่สภาพเดิม
แสงสว่างเกือบทั้งหมดหายไป สวนสนุกที่เคยเนืองแน่นไปด้วยผู้คนกลับกลายเป็นเพียงทะเลสีดำเท่านั้น
เมื่อกระเช้าขึ้นมาจนถึงจุดสูงสุด ความทรงจำของผมก็หวนคืน
[1] The Libertines: วงดนตรีสัญชาติอังกฤษ
[2] Tar: สารสีดำที่เกิดจากการเผาไหม้บุหรี่