เสียงฟ้าร้องทำผมตื่น ความปวดเข้าเล่นงานทั่วตัวตอนที่ผมจะดูเวลา ทั้งตัวหนาวสั่น หัวก็ปวด อ่อนเปลี้ยถึงขั้นที่ว่าแค่จะขยับปลายนิ้วยังลำบาก
ผมฝันถึงเรื่องหนึ่งที่จำไม่ค่อยได้สักเท่าไหร่ แต่เป็นฝันสวนสนุกนั้นอีกแล้ว อาจจะเป็นการรำลึกถึงอดีตวัยเด็กที่เป็นเพราะเจอเรื่องรุนแรงมา ในฝันครั้งนี้ก็มีคนจับมืออยู่เหมือนเดิม และก็เดินไปด้วยกันเพราะอะไรไม่ทราบได้ ผู้คนมากมายที่เดินผ่านต่างส่งสายตามองมาอย่างไม่เกรงใจ
อาจจะมีบางอย่างติดหน้าอยู่ หรือแปลกใจที่พวกเราอยู่ที่นี่ ผมเพียงสั่นหัวเป็นทำนองว่า ‘สนที่ไหนล่ะ’ พลางดึง ๆ แขนคนข้าง ๆ ให้มาด้วย
และฝันก็จบลงตรงนั้น เสียงโฟโตเพลเยอร์ยังแว่วอยู่ในหู อยู่ ๆ ผมก็คิด ว่านี่คงไม่ใช่ครั้งที่สองหรือสามที่ฝันถึงเรื่องนี้ หากแต่ฝันมาครั้งแล้วครั้งเล่า เพียงแต่มีบางครั้งที่ลืมไปเท่านั้นเอง
เป็นเพราะผมมีความรู้สึกบางอย่างต่อสวนสนุกงั้นหรือ หรือไม่สวนสนุกนั้นเป็นเพียงสัญญะแทนวัยเด็กที่ไม่ได้เติมเต็มของผม
เข็มนาฬิกาชี้ที่เลขสอง เมื่อมองลอดผ่านหน้าต่างก็เห็นเมฆมืดครึ้มจนเหมือนช่วงกลางคืน แต่ที่จริงแล้วเวลานี้เป็นเวลาบ่ายสอง ไม่ใช่ตีสอง
“หลับไปนานน่าดูเลยนะคะ”
เด็กสาวพยักหัวเล็กน้อยนั่งเท้าคางอยู่บนโต๊ะจ้องหน้าผม เธอผู้อ่อนโยนเมื่อคืนที่ผ่านมาหายไป กลับไปเป็นตัวเธอที่ทื่อ ๆ เช่นเดิม
ผมไปล้างหน้าล้างตาแล้วกลับมาที่ห้องนั่งเล่นถามเธอว่า “วันนี้จะไปแก้แค้นใครที่ไหนต่อ” เธอลุกพรวดขึ้นมาแล้วเอามือมาสัมผัสหน้าผากผม
“มีไข้เหรอคะ”
“อืม ก็นิดหน่อย น่าจะเป็นหวัด”
เธอส่ายหน้า “ถ้าโดนตีหรือทำร้ายหนัก ๆ ก็เป็นไข้ได้นะคะ ฉันก็เป็นบ่อย ๆ ”
“เหรอ” ผมยกมือมาแตะ ๆ หน้าผากบ้าง “แต่ไม่ต้องห่วงหรอก ยังทำอะไรได้เหมือนเดิมนั่นแหละ แล้ว วันนี้ไปไหนดี”
“เตียงค่ะ”
พูดจบเธอก็ดันตัวผมกลับ เท้าผมเสียสมดุลจนล้มลงก้นจ้ำเบ้ากับเตียงไปง่าย ๆ
“นอนพักรอไข้ลดก่อนเถอะค่ะ สภาพแบบนี้จะทำอะไรได้คะ”
“แต่ว่ายังขับรถ…”
“ขับอะไรนะคะ”
และผมก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อวานทิ้งรถเอาไว้
“ตัวร้อนขนาดนี้ แล้วไปตากฝนอีก เดี๋ยวร่างก็พังหรอกค่ะ แล้วจะขึ้นรถไฟหรืออะไรไปก็ไม่ได้หรอกนะคะ อยู่เฉย ๆ ที่นี่ไปก่อนเถอะค่ะ”
“แล้วเธอโอเคเหรอ”
“ก็ไม่หรอกค่ะ แต่ไม่มีทางเลือกที่ดีกว่านี้แล้วนี่คะ”
อย่างที่เธอบอก นอนพักเอาแรงตอนนี้ก่อนดีที่สุด ผมนอนตะแคงข้างปล่อยตัวให้สบาย เธอดึงผ้าห่มที่พับไว้อย่างดีมาคลุมตรงเท้าผมให้
“ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วง แต่ก็ขอบคุณนะ อากิซูกิ” ผมเรียกชื่อเธออย่างเป็นกันเอง
“จะขอบคุณเท่าไหร่ก็ขอบคุณไปเถอะค่ะ” เธอหันหลังให้ผม “แต่ถ้าแก้แค้นคนที่สี่สำเร็จเมื่อไหร่ก็จะถึงตาคุณแล้ว อย่าลืมนะคะ”
“อืม รู้น่า”
“แล้วก็อย่าใช้ชื่อนั้นเรียกฉันอีกนะคะ ฉันเกลียดนามสกุลนั้นค่ะ”
“เข้าใจละ”
ผมเรียกเพราะเห็นว่าชื่อเพราะดี แต่คงทำให้เธอไม่พอใจ
“ขอบคุณค่ะ เดี๋ยวฉันจะออกไปซื้อข้าวเช้า คุณจะเอาอะไรเพิ่มมั้ยคะ”
“ปลาสเตอร์แผ่นใหญ่กับยาลดไข้ แต่ว่ารอฝนซาลงสักหน่อยค่อยออกไปก็ได้”
“แต่จะซาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้นะคะ ทั้งฝนทั้งอะไรก็เถอะ”
เธอทิ้งท้ายแล้วออกจากห้องไป
ผ่านไปไม่ถึงนาทีก็มีเสียงเปิดประตูอีกรอบ ผมคิดว่าเธอคงลืมของอะไร ทว่าคนที่เข้ามาไม่ใช่เด็กสาว กลับเป็นสาวสายศิลป์ข้างห้อง
“โห ดูไม่ได้เลยจริง ๆ ” เธอมองหน้าผมแล้วพูด เสื้อที่เธอใส่เป็นเสื้อถักตัวหนาดูอุ่น ใส่กางเกงขาสั้น ความหนาของเสื้อขัดกับขาของเธอทำให้ขาดูเรียวกว่าปกติ
“กดกริ่งเรียกก่อนสิครับ” ผมบอก
“เธอคนนั้นวานมาแน่ะ” สีหน้าเธอดูเหลือเชื่อกับเรื่องนั้น “ตอนทักทายกันที่ทางเดิน เห็นร้องไห้อ้อนวอน ‘เขาไข้ขึ้นดูทรมานมากเลยค่ะ’”
“โกหกสินะครับ”
“อืม โกหก แต่ที่วานมาน่ะพูดจริงนะ เห็นมาหาที่ห้องแล้วบอก ‘ฝากดูเขาตอนที่ฉันออกไปซื้อของให้หน่อยสิคะ’”
ผมครุ่นคิดอยู่ขณะหนึ่ง “นั่นก็โกหกหรือเปล่าครับ”
“อันนี้พูดจริง นายก็รู้ว่าฉันไม่ใช่พวกที่จะไปหาหรือทักใครก่อนด้วย”
เธอก้มตัวลงมาแล้วจ้องมองหน้าผม พอหันไปมองมือขวาของผมที่โผล่ออกมาจากผ้าห่มก็อุทาน “โอ๊ะ
“แผลใหญ่เลยนะ เห็นเธอคนนั้นว่าแย่แล้ว แผลนายนี่หนักกว่าอีก อย่าบอกนะว่าเป็นแบบนี้ทั้งตัวน่ะ”
“ที่มือขวานี่หนักสุดแล้วครับ ที่เหลือตามตัวก็นิด ๆ หน่อย ๆ ”
“เหรอ แต่โดนอะไรมาก็ช่างเถอะ สภาพแย่อยู่นะ รอเดี๋ยว ฉันจะไปเอาชุดปฐมพยาบาลที่ห้องมาให้”
เธอตะลีตะลานออกจากห้องไป ไม่นานก็เดินเร็วกลับมา จากนั้นใช้กรรไกรตัดปลาสเตอร์ที่เลือดซึมอยู่เต็มผืนแล้วสำรวจสภาพแผลที่นิ้วผม
“แล้วนี่ล้างแผลหรือยัง”
“ครับ ล้างอย่างดีแล้ว”
“ถามเผื่อไว้ก่อนนะ จะไปโรง’บาลมั้ย”
“ไม่ครับ”
“กะแล้ว”
เธอทำแผลได้อย่างคล่องแคล่ว
“เก่งจังเลยนะครับ” ผมชื่นชมพลางมองแผลที่ถูกพันไว้
“ตอนเด็กน้องชายฉันมันชอบได้แผลมาบ่อย ๆ ฉันก็อ่านหนังสืออยู่ในห้อง แล้วมันก็เอาแผลมาอวดแบบภูมิใจเหลือเกินว่า ‘พี่ ผมได้แผลมาละ’ ฉันก็ต้องรับหน้าที่จัดการให้ แต่ก็ไม่เคยเป็นแผลหนักขนาดนายนะ ถ้ารายนั้นมาเห็นแผลนายตอนนี้นี่คงอิจฉาแย่”
หลังจากที่สำรวจแผลที่อื่นตามตัวแล้วก็พูดว่า “เอาละ
“พวกเธอสองไปโดนอะไรกันมา”
“ตกบันไดสานสัมพันธ์ครับ”
“หืม” สาวสายศิลป์หรี่ตามองด้วยความเคลือบแคลง “แล้วพอบอบช้ำไปทั้งตัว เพราะอะไรก็ไม่รู้ อยู่ ๆ ก็ได้แผลเหมือนของมีคมบาดที่นิ้วก้อยนายสองที่น่ะนะ”
“ตามนั้นครับ”
เธอเงียบไปแล้วตีนิ้วก้อยผม สีหน้าเธอดูพอใจเหลือเกินที่ทำให้ผมเจ็บปวดแบบไม่ทันตั้งตัว
“แล้ว มีแพลนว่าจะไปตกบันไดกันอีกมั้ย”
“ก็พอคิดไว้อยู่แหละครับ”
“เห็นสองสามวันก่อนมีข่าวผู้หญิงสองคนโดนแทง คงไม่เกี่ยวกับพวกเธอใช่มั้ย”
ผมเผลอเบนสายตาไปยังกรรไกรตัดผ้าของเด็กสาวที่วางอยู่บนโต๊ะ แต่ดูเหมือนสาวสายศิลป์จะไม่ทันได้สังเกตตาผมที่กลอกไปอย่างผิดปกติ
แต่นับว่าสัญชาตญาณดีทีเดียว ผมชมอยู่ในใจ
“เห อันตรายน่าดูเลยนะครับนั่น ไปไหนมาไหนจะระวังนะครับ”
“ไม่เกี่ยวกับพวกเธอจริง ๆ เหรอ”
“ขอโทษด้วยครับ แต่ไม่ครับ”
“…เหรอ อดสนุกเลย” เธอบอก “กะว่าถ้าพวกเธอสองคนเป็นฆาตกรจริง ๆ จะให้มาฆ่าฉันด้วยสักหน่อย”
“หมายความว่าไงครับ” ผมย้อนถาม
“ก็สมมติถ้านายเป็นฆาตกรจริง ๆ ฉันก็จะขู่นาย ประมาณว่า ‘ฉันไม่สนหรอกว่านายจะมีเหตุผลอะไร ต่อให้เป็นเพื่อน ถ้าทำผิดก็คือทำผิด ฉันจะแจ้งตำรวจ’ พอพูดเสร็จนายก็จะพยายามขวางฉันไม่ให้ไปสถานีตำรวจ แต่ฉันก็ไม่ยอมลดละ นายเลยต้องฆ่าฉัน แทงฉันแบบที่แทงผู้หญิงสองคนนั้น จบบริบูรณ์”
ผมแทรกคล้ายเมินทุกอย่างที่เธอพูดเมื่อครู่ “ไม่ได้ถามว่ายังไงนะครับ ที่จะถามคือทำไมคุณถึงอยากให้ฆ่าต่างหากล่ะครับ”
“คำถามนั้นก็ยากพอ ๆ กับไอ้คำถาม ‘ทำไมถึงต้องมีชีวิตอยู่ด้วยล่ะครับ’ ของนายนั่นแหละ” เธอยักไหล่ “ฉันเคยเหมาว่านายเป็นพวกที่ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อเลยนะ แต่เหมือนจะไม่ใช่ สองสามวันมานี้นายเริ่มได้เหตุผลการใช้ชีวิตมาจากเธอคนนั้นแล้วใช่มั้ยล่ะ”
ผมเงียบไม่ตอบจนได้ยินเสียงฝีเท้าจากหน้าประตู เด็กสาวคงกลับมาแล้ว เธอหิ้วของที่ซื้อมาเข้ามาที่ห้องนั่งเล่น พอเห็นบรรยากาศที่ดูตึงเครียดของผมกับสาวสายศิลป์ก็ชะงัก
สาวสายศิลป์มองหน้าผมกับเด็กสาวสลับไปมาแล้วยืนขึ้นไปจับมือคนที่เพิ่งเข้ามา
“นี่ เดี๋ยวฉันจัดการผมเธอให้” เธอพูดพลางใช้นิ้วสางผมอีกฝ่ายแล้วหันมากระซิบกับผม “ไม่ต้องห่วง ฉันไม่ทำอะไรเธอหรอก”
“ผมเชื่อมือคุณนะครับ แต่ถามเจ้าตัวก่อนดีกว่า”
“จะตัดผมให้เหรอคะ” เธอถามด้วยความงงงวย
“อื้ม เชื่อมือได้เลย”
“…งั้นก็ขอบคุณนะคะ รบกวนด้วยค่ะ”
แม้จริง ๆ ผมยังลังเลอยู่พอควรว่าจะเชื่อใจดีหรือไม่ สุดท้ายผมก็ปล่อยให้เป็นไปตามที่เด็กสาวตัดสินใจ แค่แปลกใจที่ว่าเธอไม่น่าสนเรื่องทรงผมหรืออะไรขนาดนั้นแต่กลับตกลง ใจหนึ่งผมก็กังวลว่าสาวสายศิลป์จะพูดอะไรกับเธอบ้าง แต่อีกใจก็อยากเห็นว่าจะออกมาเป็นยังไง เพราะผมเองก็เชื่อฝีมือการตัดผมนั้น แต่ไม่ว่าจะยังไง การได้เห็นอะไรที่สวยขึ้นกว่าเดิมย่อมดีเสมอ
เธอสองคนย้ายตัวไปที่ห้องข้าง ๆ ผมเก็บของที่เด็กสาวซื้อมาใส่ตู้เย็น จากนั้นเปิดอัลบั้ม ‘Chaos and Creation in the Backyard’ (สับสนสรรค์สร้างในสวนหลังบ้าน) แล้วกลับมานอนที่เตียงอีกรอบ
ไม่มีเสียงฟ้าร้องแล้ว แต่ฝนยังคงตกหนักขึ้นเรื่อย ๆ ลมพัดหอบเม็ดฝนกระหน่ำซัดเข้าที่หน้าต่าง ผมไม่ได้อยู่คนเดียวแบบนี้มานานแล้ว
สมัยยังเด็กผมเป็นคนไม่ค่อยแข็งแรงนัก มักจะได้นอนมองเพดานหรือหน้าต่างเช่นนี้บ่อย ๆ ยามบ่ายในวันที่ลาเรียนมานอนอยู่คนเดียวตอนฝนตกทำให้ผมรู้สึกได้ตัดขาดจากโลกภายนอก บางครั้งก็กังวลว่าโลกจะถึงจุดจบแล้วหรือเปล่า พอทนความเงียบเหงาไม่ไหวก็จะไปเปิดโทรทัศน์ วิทยุ นาฬิกาปลุก หรือข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ ภายในบ้าน
ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าโลกจะไม่ถึงจุดจบง่ายขนาดนั้น จึงไม่ได้ไปเที่ยวเปิดข้าวของในห้องอย่างที่เคยทำตอนเด็ก
แต่เขียนจดหมายแทน
แม้ตัวผมจะลืมไปแล้ว แต่เหตุการณ์สองสามวันที่ผ่านมาก็เกิดเพราะการเขียนจดหมายของผมกับคิริโกะ และเพราะตัดสัมพันธ์ไปและอยากจะมาคืนดีอีกครั้ง ผมจึงได้มาช่วยเด็กสาวฆ่าคนแล้วมานอนอยู่กับเตียงแผลเต็มตัวอย่างนี้
ผมไม่แน่ใจว่าจะพูดอย่างนี้ได้หรือเปล่า แต่ว่า—หลังจากที่เลิกเขียนจดหมายถึงคิริโกะ ผมยังเขียนจดหมายอยู่ ส่วนผู้รับคือใครนั้น แน่นอนว่าเป็นคิริโกะ เพียงแต่ผมเขียนปีละสองหน และไม่ได้นำไปหย่อนที่ตู้ไปรษณีย์
ทั้งยามสุข ยามทุกข์ ยามโดดเดี่ยว หรือยามที่รู้สึกว่าทุกสิ่งอย่างนั้นไร้ค่า ผมเขียนจดหมายที่ไม่มีผู้รับเพื่อเป็นการสงบจิตใจของผม ถึงขั้นหาแสตมป์มาติด สุดท้ายเก็บเอาไว้ในลิ้นชัก ผมรู้ดีว่าเป็นการกระทำที่แปลกประหลาด แต่ผมไม่มีวิธีปลอบประโลมตัวเองแบบอื่นอีกแล้ว
ผมนึกจะเขียนอีกหลังจากที่ไม่ได้เขียนมานาน หยิบกระดาษมาวางบนโต๊ะแล้วจับปากกา ทั้งที่ไม่ได้คิดเรื่องที่จะเขียนมาก่อน แต่ก็เขียนได้เรื่อย ๆ ไม่หยุดหย่อนถึงเหตุการณ์เมื่อสองสามวันที่ผ่านมา เรื่องที่เมาแล้วขับ เรื่องที่เด็กสาวที่น่าจะตายไปแล้วแต่กลับยังอยู่ตรงหน้าผม เรื่องการ ‘เลื่อนเวลา’ เรื่องที่ต้องช่วยเธอแก้แค้น เรื่องที่เธอใช้กรรไกรตัดผ้าแทงคนตาย และทุกครั้งที่ฆ่าก็จะเข่าอ่อนบ้าง อาเจียนบ้าง นอนไม่หลับบ้าง เรื่องที่ได้เพลิดเพลินกับการเล่นโบว์ลิงและกินมื้อเย็นหลังจากที่ฆ่าคนที่สองเสร็จ เรื่องการตอบโต้แสนสาหัสของคนที่สาม และเรื่องที่ยังรอดตัวกลับมาได้แม้จะมีคราบเลือดเต็มตัวเพราะขบวนฮาโลวีน
“ผมคงไม่ได้ประสบเหตุการณ์เหล่านี้ถ้าไม่ได้อยากเจอเธอตั้งแต่แรก”
พอเขียนเสร็จผมก็ออกมาสูบบุหรี่ตรงระเบียงและกลับไปงีบที่เตียงต่อ แม้ข้างนอกมีพายุ แต่ก็ช่างเป็นยามบ่ายอันแสนสงบ ให้ความรู้สึกเหมือนต้องมนตร์ขลัง
ถ้าเธอไม่ ‘เลื่อนเวลา’ อุบัติเหตุเอาไว้ ตอนนี้ผมจะเป็นยังไงบ้างหนอ ผมเลี่ยงที่จะคิดถึงเรื่องพวกนั้นมาตลอด แต่คำถามนี้ก็วกกลับมาหาผมอยู่ดีเมื่อผมได้อยู่ในห้องคนเดียวอย่างนี้
ถ้าผมไม่รั้งอะไรต่อหลังจากอุบัติเหตุตอนนั้น วันนี้ก็คงเป็นวันที่สี่หลังจากที่ถูกจับกุม พวกตำรวจสืบสวนกับอัยการคงจะทำหน้าที่กันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมก็อาจจะกำลังเตรียมไปให้การในชั้นศาลอยู่ หรือไม่ก็กระบวนการทุกอย่างจบสิ้นแล้ว และผมก็นอนมองเพดานในตะรางอยู่
แต่มองอย่างนั้นคงจะจบสวยเกินไป โลกหลังจากการ ‘เลื่อนเวลา’ สิ้นสุดนั้น ผมอาจจะฆ่าตัวตายไปแล้วก็ได้ พอชนเข้ากับเด็กสาวจนตายก็หมดหวังในชีวิตทันที ผมอาจจะผูกคอตายอยู่กับต้นไม้แถวนั้น
เป็นภาพที่นึกออกได้ไม่ยาก หลังจากที่เอาเงื่อนสำหรับผูกคอตายคล้องที่คอและรำลึกถึงอดีตทั้งหลายในชั่วไม่กี่วินาทีสั้น ๆ เสร็จแล้วก็ปล่อยให้ทั้งร่างถ่วงน้ำหนักกับช่องว่างในบ่วงนั้นจนโน้มกิ่งไม้ลงมา
คนมักจะคิดว่าการฆ่าตัวตายนั้นอาศัยความกล้า แต่ผมมองว่าคนที่คิดเช่นนั้นคือคนที่ยังไม่ได้พินิจเรื่องการฆ่าตัวตายให้มากพอ ประโยคทำนองที่ว่า “ถ้ากล้าที่จะฆ่าตัวตาย ก็เอาความกล้านั้นไปทำอย่างอื่นเสียดีกว่า” นั้นเป็นความเข้าใจผิด การฆ่าตัวตายไม่ได้อาศัยความกล้า หากแต่ใช้แค่ความสิ้นหวังสักเล็กน้อยผสมเข้ากับช่วงความปั่นป่วนสับสนช่วงสั้น ๆ เท่านั้น เพียงแค่สักหนึ่งถึงสองวินาทีของความปั่นป่วนนั้นก็นำไปสู่การฆ่าตัวตายได้ ส่วนมาก คนที่มีความกล้าที่จะตายจะไม่ฆ่าตัวตาย แต่คนที่ไม่มีความกล้าที่จะใช้ชีวิตต่อต่างหากที่จะฆ่าตัวตาย
จะคุก หรือกิ่งไม้ (ไม่ก็เตาเผาศพ) จะทางไหนก็เป็นสิ่งที่หดหู่ทั้งนั้น การที่ได้มานอนอยู่บนเตียงนุ่ม ๆ ฟังเพลงที่ชอบอย่างนี้คือปาฏิหาริย์ยิ่ง
CD วนกลับมาเล่นเพลงซ้ำเป็นรอบที่สอง ผมผิวปากไปตามเพลง Jenny Wren (เจนนี เรน) ของ พอล แม็กคาร์ตนีย์[1]
และฝนก็ตกทั้งวัน
เมื่อถึงหกโมงเย็นผมก็ตื่นมาด้วยความหิวและนึกได้ว่าวันนี้ยังไม่ได้กินอะไรให้เต็มอิ่ม ผมลุกไปหน้าเตาแล้วใช้มือข้างเดียวเปิดซุปบะหมี่ไก่แคมป์เบลและเทลงในหม้อ จากนั้นเติมน้ำพร้อมกับเปิดแก๊ส จังหวะนั้นเองเด็กสาวก็กลับมาพอดี
ผมยาวที่เห็นจนเป็นภาพจำของเธอมาตลอดถูกตัดให้สั้นประบ่า หน้าม้าที่เคยทึบจนปรกตาแทบมิดนั้นดูโล่งขึ้นมาก แต่ยังคงซ่อนแผลที่ใต้ตาให้เห็นได้ไม่ชัดมากนัก ผมนึกชื่นชมฝีมือของสาวสายศิลป์ด้วยความประทับใจว่ายอดเยี่ยมมาก
พอเธอเห็นผมอยู่หน้าเตาจึงทัก “เดี๋ยวฉันจัดการให้ค่ะ คุณไปนอนเถอะ” และผลักผมให้กลับไปที่ห้องนั่งเล่น ผมเพิ่งสังเกตว่ารอยฟกช้ำตามหน้าเธอหายไปแล้ว แวบแรกผมคิดว่าเธอคง ‘เลื่อนเวลา’ เอาไว้ แต่คิดดูอีกทีแล้วคงจะเป็นฝีมือการแต่งหน้าของสาวสายศิลป์มากกว่า
“คนนั้นพูดอะไรแปลก ๆ กับเธอมั้ย” ผมถาม
“ไม่ค่ะ ใจดีมาก ดูไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรนะคะ ถึงห้องจะรกไปหน่อยก็เถอะ”
ผมอยากจะแก้ว่า นั่นไม่ได้เรียกว่ารก อยู่ แต่ก็ไม่ได้พูดไปเพราะเห็นว่าคงไม่แปลกที่จะว่าแบบนั้น
“ตัดผมเก่งเนอะ ว่ามั้ย ผมก็เคยไปให้เธอตัดครั้งนึง ยังดีกว่าพวกช่างทำผมฝีมือห่วย ๆ อีก เห็นว่าไม่ชอบเข้าร้านเสริมสวยเอามาก ๆ สงสัยเพราะไม่ชอบร้านเสริมสวยขนาดนั้นเลยลงทุนตัดผมเองจนเก่งได้ขนาดนี้นี่แหละ”
“อย่าเพิ่งพูดอะไรเรื่อยเปื่อยค่ะ เดี๋ยวไข้ก็ไม่ลดสักทีหรอก”
ไม่กี่นาทีให้หลังเธอก็เดินถือถ้วยซุปมา แต่เมื่อผมพูดว่า “ขอบคุณ” แล้วยื่นมือออกไปรับ เธอก็ทำท่าปัด ๆ มือผม
“อ้าปากค่ะ”
ด้วยสีหน้าจริงจัง
“ไม่ต้อง ๆ ไม่ต้องทำถึงขนาดนี้ก็…”
“อ้าปากเถอะค่ะ มือเจ็บอยู่นี่คะ”
เด็กสาวจ่อช้อนเข้าที่ปากผมไม่ให้ผมได้อธิบายว่าถึงมือที่เจ็บจะเป็นข้างขวา แต่ข้างที่ถนัดยังใช้การได้ สุดท้ายผมก็ยอมอ้าปากแบบแกน ๆ ให้ช้อนเข้ามาในปาก ซุปไม่ได้ร้อนถึงขั้นลวกปาก แต่ก็ไม่ได้เย็นชืดถึงขั้นชวนให้อาเจียน ผมรู้สึกแหม่ง ๆ ที่สิ่งที่เข้ามาในปากคือซุปบะหมี่ไก่ที่ไม่มีพิษภัยอะไรและรสชาติกำลังดี
“ไม่ร้อนไปใช่มั้ยคะ” เธอถาม “นิดหน่อย” พอผมตอบไปเธอก็ใช้ช้อนตักขึ้นมาอีกแล้วเป่าให้ได้อุณหภูมิที่พอดีและป้อนผม ดึงช้อนออก เคี้ยว กลืน “แล้ว เป้าหมายคนต่อไป…” ผมเปรยแต่ก็ถูกเธอใช้ช้อนยัดปากผมอีกครั้ง เคี้ยว กลืน “กินไปเงียบ ๆ เถอะค่ะ” เธอบอก เคี้ยว กลืน
รู้สึกรับไม่ค่อยได้ที่เด็กสาวที่ผมฆ่าไปด้วยความประมาทแต่ดันมาคอยดูแลผมอย่างนี้
“…ฉันคงไม่เหมาะกับอะไรแบบนี้สินะคะ”
“ไม่นะ ก็ทำได้ดีนี่”
ผมตอบทั้งที่ยังงง ๆ อยู่ และเธอก็เอียงคอตอบมา
“เข้าใจผิดอะไรไปหรือเปล่าคะ ฉันหมายถึงที่ฉันไปแก้แค้นนะคะ”
“อ้อ อันนั้นเหรอ ก็นึกว่าหมายถึงที่มาทำหน้าที่ดูแลแบบนี้”
เธอก้มมองถ้วยที่ว่างเปล่า
“…ว่าตามตรง ฉันกลัวที่จะไปแก้แค้นคนต่อไปนี่แหละค่ะ”
“เป็นใครก็ต้องกลัวการฆ่าคนทั้งนั้นแหละ ไม่แปลกหรอก” ผมย้ำชัด “แล้วเธอก็ฆ่ามาแล้วตั้งสามคน จะบอกว่า ‘ไม่เหมาะ’ ก็ไม่น่าได้แล้วใช่ไหม”
เธอส่ายหน้าช้า ๆ
“แต่ฉันว่า สามคน คือที่สุดของฉันแล้วค่ะ”
“ขี้กลัวนะเธอเนี่ย งั้นเลิกแก้แค้นเลยมั้ยล่ะ ลืม ๆ ความโกรธอะไรแล้วใช้ชีวิตที่เหลืออยู่อย่างสงบ ๆ แทนดีมั้ย”
ผมตั้งใจจะพูดให้เธอนึกฮึกเหิมขึ้นมาอีกครั้ง ทว่าเธอกลับคิดจริงจังผิดจากที่ผมคาดไว้
“เอาจริง ๆ ถ้าทำแบบนั้นน่าจะฉลาดกว่าสินะคะ”
จริงอย่างที่คุณพูด แก้แค้นไปก็ไร้ค่า
เธอพึมพำอยู่กับตัวเอง
1 พฤศจิกายน นับว่าเป็นวันที่หกหลังจากที่เด็กสาวตายไป และหมายความว่าผ่านมาเกินครึ่งหนึ่งของระยะสิบวันที่เธอเลื่อนเวลาเอาไว้แล้ว แต่เช้านี้เธอไม่ทำอะไรเลย ไข้ของผมลดลงแล้ว ส่วนฝนก็ซาลง แต่เธอกลับซุกตัวเข้าที่นอนมุดผ้าห่มทันทีหลังจากกินข้าวเช้าเสร็จ
“ไม่ค่อยสบายค่ะ” เธอว่า “ขออยู่เฉย ๆ สักพักนะคะ”
จะดูยังไงก็แกล้งป่วยชัด ๆ และเหมือนว่าเธอก็ไม่ตั้งใจจะปิดบังอะไรทั้งสิ้น ผมจึงถามไปตรง ๆ
“จะไม่ไปแก้แค้นแล้วเหรอ”
“…ซะที่ไหนล่ะคะ แค่ไม่สบายนิดหน่อยค่ะ ขออยู่คนเดียวนะคะ”
“ได้ แต่ถ้าเปลี่ยนใจก็บอกได้นะ”
ผมมานั่งที่โซฟาแล้วหยิบนิตยสารเล่มหนึ่งที่ตกอยู่บนพื้นแล้วอ่านบทสัมภาษณ์หนึ่งของศิลปินที่ผมไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน ส่วนเนื้อหาช่างมัน เพราะนี่ก็ไม่ใช่สถานการณ์ที่ผมจะมานั่งอ่านอะไรสบาย ๆ แบบนี้
พออ่านไปจนจบห้าหน้าผมก็พลิกกับมาอ่านใหม่อีกรอบพร้อมนับคำว่า “น่าสมเพช” ที่โผล่มาในนั้นไปด้วย ทั้งหมดมียี่สิบเอ็ดคำ ซึ่งนับว่าเยอะมาก แต่ผมก็บ้าเหมือนกันที่มานั่งนับ ไม่มีอะไรอย่างอื่นทำแล้วหรือไง
เด็กสาวโผล่หัวออกมาจากผ้าห่ม
“คือ คุณออกไปเดินสักพักได้มั้ยคะ ฉันอยากอยู่คนเดียวน่ะค่ะ”
“ได้ สักพักที่ว่าคือเท่าไหร่”
“อย่างต่ำก็สักห้าหกชั่วโมงค่ะ”
“ถ้ามีอะไรก็รีบติดต่อมาเลยนะ มีตู้โทรศัพท์สาธารณะอยู่ข้าง ๆ อพาร์ตเมนต์อยู่ แต่ผู้หญิงที่อยู่ข้างห้องนี่ก็น่าจะยินดีให้เธอยืมมือถือเหมือนกันนะ”
“ค่ะ”
เพราะไม่มีร่มผมจึงใส่เพียงเสื้อม็อดโค้ตออกมาจากอพาร์ตเมนต์โดยไม่ลืมที่จะใส่แว่นกันแดดด้วย ฝนปรอยคล้ายม่านหมอกซึมเข้ามาในเสื้อโค้ตผม ผู้คนต่างเปิดไฟสูงขับขี่กันด้วยความระมัดระวัง
ผมมายืนรออยู่ที่ป้ายจอดรถโดยยังไม่มีจุดหมาย จากนั้นขึ้นมาเบียดเสียดกับผู้คนในรถโดยสารที่มาช้าไปสิบสองนาที กลิ่นตัวของผู้คนปะปนจนเหม็นอับ รถกระชากจนขาผมที่แทบไม่มีแรงอยู่แล้วเกือบทำผมล้มกองลงไปกับพื้นหลายครั้ง กระจกเยื้องจากผมที่ขึ้นฝ้ามีคำหยาบคายเขียนไว้ด้วยลายมือไก่เขี่ย
ผมมาลงที่ย่านการค้าแห่งหนึ่งโดยยังไม่ได้คิดมาแม้แต่น้อยว่าจะใช้เวลาห้าชั่วโมงที่นี่ยังไง ผมเข้าไปที่ร้านหนึ่งแล้วสั่งกาแฟมานั่งจิบ แต่ก็คิดอะไรดี ๆ ไม่ออกเลย
พอมานั่งนึกดูแล้ว ไม่ว่าผมจะทำอะไรไปก็จะไม่มีผลกับโลกที่การ ‘เลื่อนเวลา’ สิ้นสุดลง ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรกับการที่ผมถูกจองจำอยู่ในคุก หรือไม่ก็เทียบได้ว่าผมตายห่าไปนานแล้ว ผมจะทำดีทำเลว จะผลาญเงินสักเท่าไหร่ หรือจะทำอะไรไม่สนใจสุขภาพตัวเองสักแค่ไหน ถ้าเธอตาย ทุกอย่างก็จะไม่มีผล ผมมีอิสระเต็มที่
ผมจะทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น แต่คำถามคือ ผมจะทำอะไรดี และไม่มีคำตอบ ไม่มีสิ่งที่อยากทำ ไม่มีที่ที่อยากไป ไม่มีของที่อยากได้
ที่ผ่านมาผมชอบทำอะไรกัน ดูหนัง ฟังเพลง อ่านหนังสือ…ผมอาจจะสนใจในสิ่งเหล่านั้นมากกว่าคนอื่นก็จริง แต่ก็ไม่มีเลยสักอย่างที่ผมทุ่มเทสนใจจนขาดไปจากชีวิตไม่ได้
ผมอาจจะเคยชอบและรู้สึกสนุกเพราะครั้งหนึ่งผมเคยคาดหวังให้สิ่งเหล่านั้นคอยทับถมที่ว่างอันกว้างไกลในใจผม คอยเสพงานหลายชิ้นดังการกินยาขมเพื่อเยียวยาความเฉื่อยชาและเบื่อหน่ายของผม แต่ท้ายที่สุดแล้ว ผมเพียงได้รู้ซึ้งถึงความกว้างและความลึกของช่องว่างในใจผมเท่านั้น
ก่อนหน้านั้นผมเคยเข้าใจว่าช่องว่างในใจที่คนพูดถึง คือช่องว่างที่ไม่ได้รับการเติมเต็มตามความต้องการ แต่มุมมองผมเปลี่ยนเมื่อไม่นานมานี้เอง ว่าจริง ๆ แล้วสิ่งนั้นคือช่องว่างที่จะทำให้ทุกสิ่งหายไปไม่ว่าจะถมด้วยอะไรก็ตาม เป็นความว่างเปล่าที่แท้จริงที่เลข 0 ยังมากไป สิ่งนั้นต่างหากที่อยู่ในตัวผมมาตลอด เปล่าประโยชน์อะไรที่จะถมช่องว่างนั้น จึงทำได้เพียงสร้างกำแพงล้อมและไม่ไปแตะต้องอีก
เมื่อคิดได้เช่นนั้นจึงเปลี่ยนวิธีจากการ “ถมช่องว่าง” เป็นการ “สร้างกำแพง” หันมาสนใจงานสร้างสรรค์ทั้งหลายเพื่อชื่นชมเพียงความงามและสุนทรียะมากกว่าการสะท้อนคิด แต่ก็ไม่ใช่เพราะผมเข้าใจความงามหรือสุนทรียะได้ดีแต่อย่างใด เพียงแต่การเผชิญหน้ากับตัวตนข้างในที่ว่างเปล่าจะดีกว่าเท่านั้น
แต่พอคิดว่าอีกไม่กี่วันอาจจะต้องตายแล้ว ใจที่เคยมุ่งมั่นกับการสร้างกำแพงก็เริ่มไม่อยู่กับที่ เหมือนเด็กที่ได้ของเล่นใหม่ ลองสนุกให้เต็มที่เลยคงจะดีกว่า ผมรีบจัดการมื้อเที่ยงแล้วออกไปเดินตามย่านการค้าหาอะไรบันเทิงใจ ทางเท้าอีกฟากถนนมีกลุ่มนักเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ เป็นคนที่ดูคุ้นตาผมดีเพราะเป็นเพื่อนที่เรียนคณะเดียวกัน
ลองนับจำนวนดูคร่าว ๆ แล้ว ในนั้นเกินเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์เป็นรุ่นเดียวกับผม ผมนึกสงสัยว่ามาทำอะไรกันที่นี่ จนนึกได้ว่าคงจะเพิ่งรายงานวิจัยตัวจบเสร็จ ถึงเวลาแล้วสินะ
ทุกคนต่างมีรอยยิ้มที่บ่งบอกถึงความโล่งใจที่ผ่านพ้นบางอย่างมาได้แล้ว ไม่มีใครสังเกตเห็นผม คงจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าหน้าตาผมเป็นอย่างไร ในขณะที่ผมหยุดนิ่ง เวลาของพวกเขาก็ค่อย ๆ ดำเนินไป ในขณะที่ผมใช้เวลาวัน ๆ ไปซ้ำซาก แต่ละวันของพวกเขาก็มีประสบการณ์หลั่งไหลเข้ามาทำให้เติบโต
ภาพที่ชวนให้มองเห็นถึงความโดดเดี่ยวของตัวผมเองนี้ไม่ทำให้ผมระคายแม้แต่น้อย แต่นั่นต่างหากคือปัญหาที่แท้จริงของผมที่คาราคาซังมาเนิ่นนาน ถ้าผมรู้สึกเจ็บปวดอะไรอย่างคนปกติได้บ้าง ชีวิตของผมคงมีสีสันมากกว่านี้
อย่างเช่น ตอนมัธยมปลายปีที่สามผมมีผู้หญิงที่สนใจอยู่นิดหน่อยคนหนึ่ง เธอเป็นคนเงียบ ๆ และชอบถ่ายรูป มักแอบพกกล้องของเล่น[2]เก่า ๆ แล้วหยิบออกมากดชัตเตอร์ตามอารมณ์และจังหวะที่ไม่มีใครเข้าใจ เหมือนจะมีกล้องเลนส์เดี่ยวที่ใช้ดีกว่าอยู่ แต่ไม่ค่อยได้ใช้ เห็นบอกว่า “ไม่ชอบที่พอใช้แล้วเหมือนข่มคนเลย”
บางครั้งเธอก็เลือกผมเป็นหุ่นถ่ายรูป พอถามว่าทำไม เธอตอบกลับมาว่า “เข้ากับฟิล์มที่ค่าความเข้มสีต่ำดี”
“ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ แต่ที่แน่ ๆ ไม่ได้ชมกันใช่มั้ย” ผมย้อน
“อืม ไม่ได้ชม” เธอพยักหน้า “แต่ถ่ายรูปนายแล้วสนุกดี เหมือนถ่ายรูปแมวที่ไม่ชอบคนเลย”
พอหมดหน้าร้อนเธอก็พาผมไปทั่วเมือง และงานประกวดก็ใกล้เข้ามาทุกที ที่ที่ไปถ่ายรูปส่วนใหญ่เป็นที่เย็นเยือกและว่างโหวง ทั้งสวนสาธารณะที่ปกคลุมไปด้วยหญ้าสูง ลานตัดไม้เก่าโล่งเตียน สถานีรถไฟที่รถไฟผ่านไม่ถึงสิบขบวนในหนึ่งวัน ลานที่มีรถบัสรับส่งเก่า ๆ จอดทิ้งไว้ เธอจะให้ผมนั่ง จากนั้นก็จะกดชัดเตอร์ไปหลาย ๆ ครั้ง
แรก ๆ ผมก็ขัดเขินที่ภาพของตัวเองจะต้องอยู่แบบถาวรไปโดยปริยาย แต่เมื่อนึกได้ว่าเธอคงมองภาพเหล่านั้นในเชิงสุนทรียะเท่านั้น ผมจึงไม่รู้สึกต่อต้านอะไรอีก แถมยังรู้สึกชื่นชมอยู่หน่อย ๆ พอได้เห็นเธอที่คอยจัดการและรักษารูปเหล่านั้นอย่างดี ทุกครั้งที่ได้รูปสวย ๆ เธอก็จะเอารูปให้ผมดูแล้วยิ้มเป็นเด็ก เป็นรอยยิ้มที่ไม่เคยเห็นในห้องเรียน ผมภูมิใจที่รู้สึกว่านั่นคือรอยยิ้มที่มีเพียงผมเท่านั้นที่ได้เห็น
วันเสาร์ฟ้าโปร่งในฤดูใบไม้ร่วงวันหนึ่งผมได้ข่าวว่ารูปถ่ายของเธอชนะรางวัลด้วย ผมจึงอุตส่าห์เดินไปยังที่ที่จัดงานประกวดนั้น เมื่อเห็นรูปผมที่แขวนอยู่ในแกลเลอรีนั้นแล้วก็ตัดสินใจว่าถ้าเจอกันเมื่อไหร่จะเลี้ยงข้าวเธอเสียหน่อย
ระหว่างทางกลับบ้านผมแวะที่ร้านของชำ และบังเอิญเห็นเธออยู่กับผู้ชายคนหนึ่งที่แต่งตัวเรียบร้อย ย้อมผมสีน้ำตาล
เธอทำท่าจะควงแขนเขา ส่วนฝ่ายชายทำหน้าเหมือนยอมแพ้และทำตาม สีหน้าของเธอในตอนนั้นเป็นสีหน้าที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน ผมคิด ว่าเธอเองก็ทำหน้าแบบนี้ได้เหมือนกันสินะ
ทันทีที่เห็นทั้งสองคนแอบจูบกันผมก็ออกจากร้านมา
หลังจากจบงานประกวดเธอก็ไม่คุยกับผมอีกเลย ถ้าตัดเรื่องกล้องออกไป ผมเองก็ไม่ได้อยากคุยกับเธอขนาดนั้น จึงไม่ได้ทักทายอะไรเธออีก และความสัมพันธ์พิลึก ๆ ของผมกับเธอก็จบลงเช่นนั้น
ตอนนั้นผมไม่ได้เจ็บปวดอะไร ผมคิดว่าคงจะเป็นความรู้สึกจาง ๆ ที่อาจจะปะทุออกมาทีหลัง แต่ไม่มีเลย และไม่เชิงอารมณ์ว่า ยอมแพ้เถอะ แม้แต่ตัวผมยังประหลาดใจที่ไม่ได้รู้สึกหึงหวงหรือริษยาเลยสักกระผีกเดียวที่ได้เห็นเธออยู่กับผู้ชายคนนั้น คิดแค่ว่า อย่าไปกวนเลย เท่านั้น คงเพราะไม่เคยคิดอยู่แล้วว่าเธอจะเป็นของผมได้
ถ้าเป็นคนอื่นก็อาจจะเรียกว่าเป็นอาการ “องุ่นเปรี้ยว” ที่ว่าจะทำเป็นไม่อยากได้อะไรเลยเพราะลองเอื้อมดูแล้วคว้าไม่ได้ แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงจะดีสักแค่ไหนกัน คงจะดีถ้าความอยากได้ที่กำลังสุมอยู่ในอกผมโดยไม่รู้ตัวนี้เกิดเดือดพล่านขึ้นมา ทว่าแม้ผมจะค้นหาสักเพียงใด กลับไม่มีแม้แต่ร่องรอย มีเพียงหลุมกว้างทอดยาวสีจางที่เหม็นอับ
สุดท้ายแล้วผมก็เป็นคนที่ไม่มีความต้องการอะไรทั้งนั้น ไม่มีความทรงจำว่าเคยอยากได้อะไร ความต้องการของผมตายไปแล้ว หรือไม่ก็เพราะที่จริงแล้วผมไม่ได้มีความต้องการมาตั้งแต่แรก และยิ่งตอนนี้ผมไม่เห็นค่าของตัวเองแล้วด้วยซ้ำ เมื่อความสัมพันธ์ของผมกับคิริโกะที่เป็นสิ่งเดียวที่ผมต้องการดันขาดสะบั้นลง
ผมควรจะทำ ‘อย่างไร’ ดี
ผมเข้าไปที่ตรอกหนึ่งแล้วเดินลงบันไดชันแคบ ๆ ไปจนถึงอาร์เคตที่ชินโดเคยมากับผมอยู่บ่อยครั้ง ป้ายสีซีดบ่งบอกถึงความเก่าของที่นี่ ตู้เกมแต่ละตู้คงอยู่มาตั้งแต่ก่อนผมเกิดอีก และคงเรียกว่าของเด็กเล่นไม่ได้แล้ว ในนั้นมีตู้แลกเหรียญที่มีเทปกาวแปะอยู่ทั่ว ที่เขี่ยบุหรี่เปื้อนขี้เถ้า โปสเตอร์ที่ถูกแดดเผา ตู้เกมที่มีแต่รอยขีดข่วน หน้าจอคร่ำครึที่จะส่งเสียงแหลม ๆ สั้น ๆ คุณภาพต่ำ ภาพของสิ่งเหล่านี้ที่หมดสภาพการใช้งานไปนานแล้วแต่ยังคงถูกยื้อชีวิตให้นานที่สุดทำให้ผมนึกถึงหอผู้ป่วย ไม่สิ น่าจะเหมือนห้องดับจิตมากกว่า
“ฉันว่า ที่ฉันชอบมาที่น่าเบื่อ ๆ แบบนี้น่ะนะ” ชินโดว่าไว้ “เพราะไม่มีอะไรเร่งฉันให้มาที่นี่”
ผมเองก็ชอบอาร์เคตนี้ด้วยเหตุผลเดียวกับเขา
ไม่ได้มาที่นี่สองสามเดือนได้แล้ว ผมยืนรออยู่หน้าประตูอัตโนมัติอยู่หลายวินาที แต่ก็ประตูก็ไม่เปิด
ที่กำแพงข้าง ๆ มีกระดาษแปะไว้
“ร้านจะปิดให้บริการในวันที่ 30 กันยายนนี้ ขอขอบคุณที่สนับสนุนมาอย่างต่อเนื่องตลอดหลายปีที่ผ่านมา (หมายเหตุ ร้านจะปิดให้บริการ ณ เวลา 21 นาฬิกาของวันที่ 30 กันยายน)”
ผมนั่งสูบบุหรี่อยู่ที่บันได ดูจากเศษบุหรี่หลายร้อยอันที่กระจัดกระจายทั่วแล้ว คงจะมีใครสักคนคอยเอาที่เขี่ยบุหรี่มาเททิ้ง สีน้ำตาลของก้นกรองเหล่านั้นดูเหมือนปลอกกระสุนที่เปียกฝน
คราวนี้ผมไม่มีที่ไปแล้วจริง ๆ สุดท้ายก็ออกมาจากย่านนั้นแล้วมาแวะที่สวนสาธารณะที่ดูเหมาะ ๆ และมาเจอกับม้านั่งไม้แบบไม่มีพนักพิง ผมปัด ๆ ใบไม้ที่กองอยู่แล้วนอนราบไปกับม้านั่งตัวนั้นโดยไม่สนใจสายตาใครทั้งสิ้น ท้องฟ้ามีเมฆครึ้ม ใบเมเปิลสีแดงแก่พลิ้วไหวร่วงลงมา ผมยื่นมือซ้ายออกไปรับไว้
ผมวางใบไม้นั้นไว้บนอกแล้วหลับตาลง ปล่อยให้เสียงภายในสวนสาธารณะแล่นผ่านหู เสียงสายลมหนาว เสียงใบไม้ที่ร่วงมาใหม่ทับใบไม้เดิมที่กองอยู่บนพื้น เสียงนกร้อง เสียงถุงมือที่รับลูกเบสบอล
ลมพัดแรงมาหนหนึ่ง ทำให้ใบไม้ทั้งสีแดงสีเหลืองหลายใบร่วงลงบนตัวผม แต่ผมขี้เกียจจะขยับตัวแล้ว จึงปล่อยให้ทั้งตัวถูกทับถมด้วยใบไม้
‘นี่แหละคือชีวิตของผม’ ไม่ต้องการอะไร ปล่อยให้จิตวิญญาณหลุดลอยเป็นควันโดยไม่ต้องเผา ชีวิตที่เสื่อมสลายไปตามกาลเวลา แต่ผมจะยังไม่เรียกสิ่งนี้ว่าโศกนาฏกรรมเด็ดขาด
พอซื้อของเสร็จผมก็กลับมาที่อพาร์ตเมนต์เร็วกว่าที่เด็กสาวบอกไว้เล็กน้อย เหงื่อโซมตัวเพราะแบกกระเป๋าน้ำหนักกว่ายี่สิบกิโลฯ เธอเห็นผมวางเอาไว้ตรงพื้นที่ห้องนั่งเล่นจึงถอดหูฟังที่ต่อเข้ากับเครื่องเล่น CD ข้างที่นอนแล้วถามผมว่า “นั่นอะไรคะ”
“เปียโนไฟฟ้าไง” ผมตอบพลางเช็ดเหงื่อ “เบื่อใช่มั้ยล่ะที่ได้แต่อุดอู้อยู่ในห้อง”
“ไม่เล่นหรอกค่ะ ฉันเลิกเล่นไปแล้ว”
“เหรอ ซื้อมาเสียเปล่าสิเนี่ย” ผมยักไหล่ “แล้วจะกินอะไร”
“ไม่กินค่ะ”
“หาอะไรรองท้องก่อนเถอะ เดี๋ยวไปทำให้”
ผมเข้าครัวไปอุ่นซุปบะหมี่ไก่กระป๋องแบบเดียวกับที่เด็กสาวทำให้กินเมื่อวาน เธอนั่งมองออกไปนอกหน้าต่างอยู่ที่เตียง สายตาของเธอมองกลับไปกลับมาระหว่างช้อนกับหน้าผม พอชั่งใจอยู่ห้าวินาทีก็อ้าปากอย่างขัดเขิน เมื่อวานเธอดูจะไม่ต่อต้านอะไรกับเรื่องแบบนี้ แต่คงจะรู้สึกคนละแบบพอตัวเองเป็นฝ่ายได้รับการดูแลบ้าง ผมยื่นช้อนเข้าไปในปากเธอ ริมฝีปากบางนุ่มหยุ่นนั้นงับลง
“ฉันไม่เล่นหรอกนะคะ” เธอกลืนคำแรกลงไป “ยิ่งไม่สบายด้วย”
“รู้น่าว่าเธอไม่เล่นหรอก”
ผมตักคำที่สองให้เธออีก
แต่ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงเธอก็มานั่งอยู่ตรงหน้าเปียโนเรียบร้อยแล้ว คงจะทนฟังเสียงที่ผมลองคีย์ทั้งหลายอยู่ข้าง ๆ ไม่ได้
เธอกดนิ้วไปตามคีย์ของเปียโนที่ผมเอามาตั้งให้ที่ข้างเตียง พอหลับตาเรียกบรรยากาศอยู่สักพักจนพอใจจึงเริ่มอุ่นเครื่องด้วยอีทูดี[3]ที่สำคัญ ๆ ของฮานอน[4]อยู่สองสามเพลง และเล่นได้ถูกต้องตามแบบที่สุด เสียงน่าจะดังจนไปถึงข้างห้องด้วย แต่สาวสายศิลป์ไม่น่ามีปัญหาอะไรกับเสียงที่ดูดีมีระดับขนาดนี้
แม้ประสาทหูผมจะไม่ได้ดีมากมาย แต่ก็พอฟังออกว่ามือซ้ายของเธอเล่นเพี้ยนไปมากเป็นบางจุด ยิ่งมือขวาของเธอที่เล่นดีก็ทำให้จุดที่พลาดนั้นเด่นออกมา มือซ้ายของเธอที่ถูกกรีดคงรู้สึกเหมือนใส่ถุงมือหนังเล่นอยู่ เธอเองก็เหมือนจะรู้ตัว จ้องมองมือข้างซ้ายที่เล่นไม่ได้ดั่งใจนั้นด้วยความไม่พอใจ
“ไม่เพราะเลยสินะคะ” เธอเปรย “แต่ก่อนที่ฉันจะได้แผลมานี่เล่นได้ดีมากเลยนะคะ ส่วนตอนนี้ก็อย่างที่เห็นนี่ละค่ะ เหมือนไม่ใช่มือตัวเองเลย เล่นไปก็มีแต่ทำให้ทั้งคนฟังกับคนเล่นอึดอัด”
เด็กสาวหยุดเล่นเมื่อมือซ้ายกดผิดไปสามครั้ง
“งั้นให้มือคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวเองเล่นเลยมั้ยล่ะ” ผมเสนอ
“…ยังไงนะคะ”
ผมนั่งข้างเธอแล้วคอยกดคีย์ด้วยมือข้างซ้าย
เธอหันมามองผมด้วยความสงสัย แต่ก็ทำหน้าประมาณว่า ‘ก็ได้ค่ะ’ แล้วเริ่มบรรเลงด้วยมือขวา
โชคดีที่เพลงที่เล่นเป็นเพลงที่นิยมจนแม้แต่ผมยังรู้จัก เพรลูดหมายเลขสิบห้า[5]ของชอแป็ง[6] พอมาถึงห้องเพลง[7]ที่สามผมก็เข้าสมทบบทบรรเลง แม้ห่างหายจากเปียโนไปสิบยี่สิบปี นิ้วของผมยังพอขยับไปมาได้เพราะคีย์ของเปียโนไฟฟ้าไม่แข็งเท่าแกรนด์เปียโนหลังใหญ่
“เล่นเปียโนเป็นสินะคะ” เธอว่า
“พอเล่นได้ให้ดูเหมือนเล่นเป็นนั่นแหละ เคยเรียนมาตอนเด็ก ๆ นิดหน่อย”
มือขวาของผมที่บาดเจ็บกับมือซ้ายของเธอที่ใช้การได้ไม่เต็มที่ต่างถูกเติมเต็มด้วยมือข้างที่สมบูรณ์ของกันและกัน
บทบรรเลงสอดประสานกันได้เร็วกว่าที่คิด เมื่อถึงห้องเพลงที่ยี่สิบแปดที่โทนของเพลงเปลี่ยน เธอยื่นมือเข้ามาทางคีย์เสียงต่ำจนเข้ามาใกล้ไหล่ผม เป็นสัมผัสที่ให้ความรู้สึกเหมือนตอนที่เธอพิงผมตอนอยู่บนรถไฟ ต่างก็ตรงที่ตอนนี้ผมไม่ได้ใส่เสื้อคลุมแล้ว ทำให้รู้สึกถึงความอบอุ่นจากร่างกายอีกฝ่ายที่ส่งผ่านมาได้ชัดเจน
“ป่วยอยู่ไม่ใช่เหรอ” ผมเย้า
“หายแล้วค่ะ”
เสียงเพลงของเธอแนบชิดกลมกลืนเข้ากับเสียงเพลงของผม ขัดกับน้ำเสียงที่ดูทื่อ ๆ นั้น
พวกเราเล่นเพลงนั้นเพลงนี้ด้วยกันจนเผลอแป๊บเดียวก็ผ่านไปสามชั่วโมง เมื่อเห็นว่าต่างฝ่ายต่างเริ่มล้าแล้วจึงผ่อนเครื่องปิดท้ายด้วยเพลง Spicks and Specks (คนนั้นคนนี้ในชีวิต) ของ บี จีส์[8] พอเล่นจบก็ปิดเปียโนไฟฟ้า
“สนุกมั้ย” ผมถาม
“ก็พอแก้เบื่อได้ค่ะ” เธอตอบ
จากนั้นจึงเดินออกไปหาข้าวเย็นกินที่ร้านอาหารข้างนอก พอกลับมาที่อพาร์ตเมนต์ก็นั่งฟังเพลงพลางดื่มนมผสมบรั่นดีไปด้วย และวันนั้นพวกเราก็เข้านอนกันไว
สุดท้ายวันนั้นเธอก็ไม่ปริปากพูดเรื่องแก้แค้นเลย
ผมคิด ว่าเธออาจจะไม่ไปแก้แค้นแล้ว ถึงเจ้าตัวบอกไว้ว่าจะยังคอยแก้แค้นต่อ แต่คงเป็นความรั้นของเธอเท่านั้น ลึก ๆ ในใจคงไม่อยากฆ่าใครอีกแล้วเพราะผลทั้งหลายอันน่ากลัวที่จะตามมาหลังจากการฆ่า ทั้งความหวาดกลัวที่ทำให้เข่าอ่อน ความขยะแขยงที่ทำให้คลื่นไส้อาเจียน ความผวาที่ทำให้นอนไม่หลับ และโอกาสที่จะถูกโต้กลับอย่างไม่คาดคิดอย่างเมื่อวานซืน ตอนนี้เธอคงรู้ซึ้งแล้วว่าการแก้แค้นนั้นไร้ค่าจริง ๆ
วันนี้เป็นวันอันแสนสงบสำหรับเธอ นอนห่มผ้าใส่หูฟังฟังเพลงทั้งวัน เล่นเปียโนสมใจอยาก ออกไปกินข้าวข้างนอก กลับมาดื่มนมผสมบรั่นดี ชีวิตของเธอคงไม่มีวันสบาย ๆ แบบนี้มากนัก
ถ้าเธอหันมาใช้ชีวิตอย่างนี้แทนก็คงจะดี ลืมเรื่องการแก้แค้นไปเสีย ใช้ชีวิตไปกับวันที่เหลืออยู่จำกัดอย่างเรียบง่ายแต่มีความสุขแบบวันนี้จนกว่าการ ‘เลื่อนเวลา’ จะสิ้นสุดลง ซื้อเสื้อผ้า ฟังเพลง เล่นเปียโน ออกไปเล่นสนุก กินอาหารอร่อย ๆ และจะได้ไม่ต้องไปเข่าอ่อน อาเจียน หรือถูกต่อยอีก ส่วนผมก็จะได้ไม่ต้องเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดการฆ่าคนอีกต่อไป และอาจจะไม่ต้องตกอยู่ในฐานะเป้าหมายคนที่ห้าที่ต้อง ‘ถูกแก้แค้นให้สาสม’
จะมีวิธีไหนไหมที่จะจูงใจให้เธอตัดใจจากการแก้แค้น หรือจะไปปรึกษาสาวสายศิลป์ข้างห้องดี ระหว่างที่นอนมองเพดานคิดไปพลาง ฤทธิ์ของบรั่นดีดึงเปลือกตาผมให้ปิดลง
ผมยังคิดมากแม้กระทั่งตอนหลับ
ผมมองข้ามบางอย่างไป
อย่างความรู้สึกที่ว่ามีบางอย่างผิดแผกไปที่นึกมาตลอดช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา
และความรู้สึกนั้นก็ขึ้นถึงขีดสุดเมื่อวานตอนที่ได้ยินเด็กสาวบอกว่า
‘จริงอย่างที่คุณพูด แก้แค้นไปก็ไร้ค่า’
คำนั้นน่าจะเป็นคำที่ผมคอยอยู่สิ ผมควรจะดีใจที่เธอคิดวางมือจากการแก้แค้นแล้ว
ควรจะ นะ
แล้วทำไม ทำไมผมถึงได้รู้สึกผิดหวังเป็นอย่างยิ่ง
คำตอบตามมาแทบจะในทันที บางทีผมอาจจะไม่อยากได้ยินคำพูดที่ดูอ่อนแอเหล่านั้นจากปากเธอ ไม่อยากให้เธอปฏิเสธตัวเองไปดื้อ ๆ อย่างนั้น ไม่อยากให้ละทิ้งความมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวไปง่าย ๆ อย่างนั้น นัยหนึ่งคือผมชื่นชมเธอที่เป็นดังตัวตนของความโกรธ
แค่นั้นจริง ๆ เหรอ สุ้มเสียงหนึ่งถามกลับ
ก็แค่นั้นจริง ๆ ผมตอบ ผมอยากสัมผัสความรู้สึกอันรุนแรงอย่างที่เธอมี ความรู้สึกที่ไม่มีวันจะเกิดขึ้นข้างในตัวผม
ผิดแล้ว สุ้มเสียงนั้นขัด พวกนั้นก็แค่ความคิดที่เกิดตามมาอีกทอด เหตุผลที่แกผิดหวังจริง ๆ น่ะไม่ซับซ้อนอะไรเลย อย่าหลอกตัวเองน่า
ผมได้ยินเสียงถอนหายใจส่งมาทางตัวผมที่ยังสับสนงงงวยอยู่
ได้ จะให้คำใบ้อย่างนึงเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย และถ้ายังไม่เข้าใจอีก จะคุยต่อก็เปลืองน้ำลายแล้วละ
แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวนะ
“‘ไฟ’ ที่แกรู้สึกอยู่ตอนนี้ ‘มาจากเธอจริง ๆ เหรอ’”
แค่นี้แหละ
ผมหลับตาลงแล้วคิดอีกครั้ง
ได้กลิ่นดอกไม้ที่ชวนคิดถึงมาจากสักที่
ผมขอบคุณชินโด
รู้เสียทีว่าความรู้สึกที่ผิดแผกนั้นคืออะไร
ผมสะดุ้งตื่นมากลางดึก ใจเต้นรัว บางอย่างจุกคอหอยผมอยู่ แต่ไม่ใช่ความรู้สึกคลื่นไส้ เป็นความรู้สึกที่อยากจะตะโกนดัง ๆ
สมองผมปลอดโปร่งราวกับเพิ่งตื่นมาจากการหลับใหลร่วมสิบปี ตอนลุกขึ้นเหมือนได้ยินเสียงเคส CD ที่ถูกเหยียบจนแตก แต่ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องใส่ใจตอนนี้ ผมเปิดน้ำจากก๊อกใส่แก้วแล้วดื่มรวดเดียวหมด กลับมาเปิดไฟที่ห้องนั่งเล่นแล้วเขย่าตัวเด็กสาวที่นอนห่มผ้าจนมิดปากอยู่
“อะไรคะ ดึกดื่นป่านนี้” เธอทำตาปรือหันไปมองนาฬิกาที่อยู่ข้างหมอนแล้วคลุมโปงบังแสงไฟ
“ไปแก้แค้นคนต่อไปกัน” ผมถกผ้าห่มออก “ไม่มีเวลาแล้ว ลุกแล้วไปเตรียมตัวเลย”
เธอดึงผ้าห่มกลับแล้วกอดไว้ “รอเช้าก่อนไม่ได้เหรอคะ”
“ไม่ได้” ผมแทรก “ต้องตอนนี้เลย กว่าจะถึงเช้าเธอคงเลิกคิดจะแก้แค้นไปแล้ว ไม่ได้หรอก”
เด็กสาวพลิกตัวหันหลังให้ผม
“…ทำไมอยู่ ๆ ก็คึกขึ้นมาคะ ไม่เห็นเข้าใจเลย” เธอว่า
“ถ้าฉันเลิกแก้แค้นก็น่าจะดีต่อตัวคุณหลาย ๆ อย่างเลยนะคะ”
“ผมก็เคยคิดงั้นแหละ แต่สองวันที่ผ่านมาลองไปคิดดูแล้วก็เกิดเปลี่ยนใจ หรือจะบอกว่าค้นพบความรู้สึกที่แท้จริงแล้วดีล่ะ แต่เรื่องของเรื่องคือ ผมอยากให้เธอเป็นผู้ล้างแค้นที่ไร้ซึ่งปรานี ทางเลือกที่ชาญฉลาดอะไรนั่นไม่เอาแล้ว”
“คนละอย่างกับที่คอยบอกฉันมาตลอดเลยนี่คะ ก็คุณไม่ใช่เหรอที่บอกว่าการแก้แค้นน่ะไร้ค่า”
“เรื่องมันนานแล้ว ลืมไปแล้ว”
“แล้วอีกอย่าง” เธอขดตัวแล้วกอดผ้าห่มไว้แน่นกว่าเก่า “ถ้าแก้แค้นคนถัดไปเสร็จ รายต่อไปก็คุณนะคะ”
“อ้อ แล้วไงล่ะ”
“อยากเอาใจฉันขนาดนั้นเลยหรือไงคะ”
“ไม่หรอก ไม่เกี่ยวกับเรื่อง ‘ทำแต้ม’”
“งั้นก็เป็นบ้าไปแล้วสินะคะ” เธอพูดอย่างไม่ใส่ใจ “ฉันนอนนะคะ คุณก็ไปนอนสงบจิตสงบใจก่อนเถอะค่ะ เช้า ๆ ถ้าใจเย็นลงแล้วค่อยว่ากันใหม่…ปิดไฟด้วยค่ะ”
ผมนึกหาวิธีว่าจะอธิบายยังไงให้เธอเข้าใจ
จึงไปนั่งที่โซฟาแล้วคอยคำพูดให้แล่นเข้ามา
“พอมาลองนึกดู สัญญาณก็มาตั้งแต่ที่เธอไปแก้แค้นคนแรกแล้วละ”
คอยบรรจงเรียบเรียงคำพูด
“ตอนที่ฆ่าคนนั้น เธอเข่าอ่อนไปเลยใช่มั้ยล่ะ ว่าตามตรง ตอนนั้นยังนึกในใจอยู่เลยว่า ‘เป็นฆาตกรที่ขี้ขลาดชะมัด’ …แต่ลองคิดดูดี ๆ ก็รู้ว่าคนที่แปลกไม่ใช่เธอ แต่เป็นผมต่างหาก ปฏิกิริยาของเธอน่ะปกติดี ที่ไม่ปกติคือปฏิกิริยาผม ก็คนถูกฆ่าต่อหน้าต่อตา ดันยังใจเย็นอยู่ได้ คือไม่จำเป็นต้องถึงขั้นเข่าอ่อนอะไรแบบเธอหรอก อย่างน้อยก็ต้องนอนไม่หลับบ้างละ แต่นี่ไม่มีเลย”
เธอเงียบไม่พูดอะไร คงกำลังตั้งใจฟังผมอยู่
“แล้วพอถึงรายที่สอง ผมก็ยังไม่มีความรู้สึกผิดหรือเกลียดตัวเองอะไรทั้งนั้น แถมความรู้สึกบางอย่างที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อนก็เริ่มก่อตัวขึ้นจนกลบความรู้สึกไม่ดีที่เคยมีต่อการฆ่าคนไปด้วย พอจบงานคนที่สาม ผมก็พอจะเห็นภาพความรู้สึกนั้นแล้ว แต่ก็เพิ่งมาชัดเจนแจ่มแจ้งเอาเมื่อกี้นี้เอง”
เธอลุกขึ้นยืนกันเหน็บกินแล้วถามด้วยความงงงัน
“เอิ่ม พล่ามอะไรอยู่คะ”
พล่ามอะไรอยู่น่ะเหรอ
ความรักไง
“ผมว่า ผมรักเธอเข้าแล้วละ”
เป็นคำพูดที่ทำให้โลกต้องหยุดหมุน
อากาศไหลออกจากห้องไปทุกซอกมุม ทิ้งไว้เพียงภาวะสุญญากาศเงียบงัน
“…คะ?”
เธอเอ่ยออกมาในที่สุดหลังจากที่เงียบไปนาน
“ผมรู้ดีว่าไม่มีสิทธิ์ รู้ดีว่าเป็นคนที่ไม่สมควรมีความรู้สึกนี้ที่สุดในโลก เรียกว่าหน้าด้านยังได้ เพราะผมเป็นคนคร่าชีวิตเธอไป ผมรู้ดี แต่ ‘ดูเหมือนว่าผมจะรักเธอเข้าแล้วละ’”
“ไม่เข้าใจค่ะ” เธอก้มหน้าสั่นหัวอยู่หลายครั้ง “นอนละเมอเหรอคะ”
“สลับกันต่างหาก ผมนอนละเมอมาตลอดยี่สิบสองปี เพิ่งตื่นเมื่อกี้เอง ถึงจะตื่นสายไปหน่อยก็เถอะ”
“ไม่เข้าใจอะไรทั้งนั้นเลยค่ะ ทำไมคุณถึงมารักฉันได้ล่ะคะ”
“ผมน่ะ ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นเธอฆ่าคน” ผมตอบ “พอเห็นเธอยืนมองศพด้วยเสื้อเปื้อนเลือดกับมือถือกรรไกรอย่างนั้นก็รู้สึกเลยว่า ‘อา สวยจัง’ …ทีแรกก็ไม่ทันได้สังเกตความรู้สึกนั้นหรอก แต่ตอนนี้รู้แล้ว และเป็นสิ่งอันอัศจรรย์อย่างถึงที่สุดของชีวิตผมเลยละ เป็นประสบการณ์ครั้งแรกของผมนับแต่เกิดมาที่ได้ตกหลุมรักใครสักคน ผมที่สิ้นซึ่งความต้องการต่ออะไรทั้งปวงไปแล้ว กลับมารู้สึก ‘อยากเห็นอะไรแบบนั้นอีก’ การแก้แค้นของเธอมันสวยงามถึงเพียงนั้นเลยละ”
“อย่าพูดอะไรเรื่อยเปื่อยแบบนั้นนะคะ”
เธอปาหมอนใส่ผม แต่ผมรับไว้ได้ได้ทันแล้วทิ้งลงกับพื้น
“นี่น่ะเหรอคะวิธีที่จะเอาใจฉันเพื่อทำแต้ม อย่ามาหลอกกันเสียให้ยากค่ะ” เธอจ้องมองผม “ไม่เอาด้วยหรอกค่ะ ฉันเกลียดวิธีนี้ที่สุดเลย”
“ไม่ได้โกหกนะ รู้แหละว่าเธอคงไม่เชื่อหรอก ผมเองก็ไม่รู้จะว่ายังไงดีเหมือนกัน”
“ไม่อยากฟังค่ะ”
เด็กสาวหลับตาปิดหู ผมจับข้อมือเธอทั้งสองข้างแล้วดึงออกมา
ตาประสานตา
อึดใจถัดมาเธอก้มหน้าหลบตา
“ก็ได้ จะย้ำอีกรอบนะ” ผมพูดต่อ “เธอตอนแก้แค้นน่ะสวยงามมาก อย่าพูดเลยนะว่าการแก้แค้นน่ะไร้ค่า อย่าไปคิดอะไรที่มันธรรมดาแบบนั้น อย่างน้อยการแก้แค้นก็มีความหมายกับฉันนะ ทั้งงดงามและล้ำค่า ผมอยากให้เธอแก้แค้นกับอีกสักคนก็ยังดี ต่อให้ผมจะต้องตกเป็นหนึ่งในนั้นก็ตาม”
เธอสะบัดมือผมทิ้งแล้วผลักอกจนผมล้มก้นจ้ำเบ้า
ไม่แปลกที่เธอจะรังเกียจ ผมนึกพลางมองเพดาน จะมีมนุษย์มนาที่ไหนที่จะยอมฟังคนที่ฆ่าตัวเองแล้วมาบอกว่า “รักเธอนะ”
ผมเองก็ไม่ได้ตั้งใจจะสาธยายไปขนาดนั้น ทีแรกผมก็แค่อยากจะบอกประมาณว่า “ฉันเข้าใจที่เธอแก้แค้นนะ ที่เธอทำมันถูกแล้วละ อย่าหยุดเลย” แล้วนี่อะไร ‘ดูเหมือนว่าจะรักแล้ว’ เหรอ คำพูดของคนที่ไม่เคยสัมผัสความรู้สึกนั้น แถมส่งไปให้ฆาตกรขี้ขลาดที่เด็กกว่าไปห้าหกปีเนี่ยนะ สต็อกโฮล์ม ซินโดรม กำเริบหรือไง
ลมถอนหายใจที่ผมพ่นออกมาถูกกับมือของเด็กสาวที่ยื่นมา
ผมยื่นมือออกไปจับกล้า ๆ กลัว ๆ แล้วดึงตัวเองให้ลุกขึ้น
และผมก็นึกถึงเหตุการณ์เดียวกันที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้า
แต่ตอนนั้นฝนตกหนัก
เธอจับมือผมแล้วเงียบไปนาน สีหน้าชั่งใจว่า ‘จะเอายังไงดี’ พลางมองมือที่จับเอาไว้ คงกำลังคิดหนักถึงผลของการกระทำที่มาจากจิตใต้สำนึกของเธออยู่
อยู่ ๆ เธอก็คลายมือแล้วผละออก
“งั้น รีบ ๆ ไปเตรียมตัวค่ะ” เธอบอก “ถ้าตอนนี้น่าจะยังทันรถไฟขบวนสุดท้ายนะคะ”
เธอยกยิ้มมองผมที่ยังยืนค้างอยู่
“เป็นอะไรไปคะ ชอบ ‘ฉันตอนแก้แค้น’ ไม่ใช่หรือไง”
“…อ้อ อืม”
ผมตอบไปจนได้
“ไม่เห็นเข้าใจเลย” น้ำเสียงเธอเยาะเย้ย “ไม่ค่อยยินดีเลยนะคะที่คุณมาชอบเนี่ย”
“สนที่ไหนล่ะ จะเกลียดฉันเท่าไหร่ก็เต็มที่ แต่เธอก็ไม่มีคนอื่นให้พึ่งนอกจากผมแล้วนี่”
“ก็นั่นแหละค่ะ ไม่ชอบเลย”
และเธอก็เหยียบเท้าผม แต่ไม่ได้แรงจนเจ็บเพราะเท้าเปล่าด้วยกันทั้งคู่ รู้สึกสบายใจด้วยซ้ำ คล้ายการแสดงออกถึงความรักอย่างสัตว์มากกว่า
พวกเราใส่เสื้อกันหนาวออกมาจากห้องเพราะข้างนอกหนาวจัด ใต้อพาร์ตเมนต์มีจักรยานขึ้นสนิมคันหนึ่งที่น่าจะเป็นของสักคนที่อาศัยอยู่ที่นี่ ผมถือวิสาสะเอามาใช้และให้เด็กสาวนั่งที่อานสำหรับวางของข้างหลัง มุ่งหน้าไปยังสถานีรถไฟ มือของผมที่จับแฮนด์เย็นเฉียบ นัยน์ตาแห้งเพราะลมที่พัดมา ส่วนแผลที่นิ้วก้อยก็เริ่มชาไปกับอากาศเย็น
หลังจากที่ปั่นจักรยานขึ้นเนินมาไกล ข้างหน้าก็เป็นเนินลาดลงก่อนไปถึงสถานีรถไฟ เสียงเบรกของจักรยานดังสะท้อนทั่วเมืองที่หลับใหล เธอเกาะหลังผมแน่น อาจจะเพราะรู้สึกอันตรายที่ความเร็วเพิ่มขึ้น ถ้าหากเนินลาดนี้ทอดยาวไปไม่สิ้นสุดก็คงดี
[1] Paul McCartney: นักร้อง-นักดนตรีชาวอังกฤษ
[2] Toy Camera: กล้องชนิดหนึ่ง มีขนาดเล็กและราคาถูก
[3] Étude: บทประพันธ์ขนาดสั้นชนิดหนึ่งที่ทำขึ้นมาเพื่อเป็นการฝึกซ้อมหรือแสดงฝีมือของผู้เล่นเครื่องดนตรีหนึ่ง ๆ
[4] Charles-Louis Hanon (ชาร์ลส์ หลุยส์ ฮานอน): นักเปียโนชาวฝรั่งเศส ผลงานชิ้นสำคัญคือ Le Pianiste virtuose (นักเปียโนผู้ช่ำชอง) ซึ่งเป็นบทประพันธ์ที่ใช้เป็นแบบฝึกในการเรียนการสอนเปียโนอย่างแพร่หลาย
[5] Prelude, Op. 28, No. 15: เพรลูด โอปุสที่ 28 หมายเลข 15 หรือที่รู้จักกันในชื่อ Raindrop Prelude (เพรลูดหยาดน้ำฝน) โดยปกติแล้ว เพรลูดเป็นบทประพันธ์สั้น ๆ ที่ใช้เล่นนำก่อนไปยังส่วนถัดไปที่อาจมีความยาวมากขึ้นและซับซ้อนกว่า
[6] Frédéric Chopin (เฟรเดริก ชอแป็ง): นักดนตรีชาวโปแลนด์
[7] Measure: หน่วยย่อยที่ถูกแบ่งไว้อย่างสม่ำเสมอในบทประพันธ์หนึ่ง ๆ
[8] Bee Gees: วงดนตรีสัญชาติอังกฤษ