และแล้วบาดแผลจะลบเลือน 6 และแล้วบาดแผลจะลบเลือน

ตอนที่ 6 และแล้วบาดแผลจะลบเลือน

          ท้องฟ้าถูกปกคลุมด้วยเมฆเซอร์รัสที่ดูเหมือนนกยักษ์ เมื่อขับผ่านสะพานข้ามแม่น้ำสายใหญ่ที่เปียกชื้นจากฝนคืนที่ผ่านมาแล้วก็มาถึงถนนสายเล็กเลียบทุ่งนาที่มีข้าวออกรวงสีทองลู่ลม พอกลับเข้าถนนสายหลักก็เห็นหมู่บ้านขนาดเล็ก มีร้านสะดวกซื้อคุ้นตาตั้งเรียงรายอยู่อย่างคุ้นเคยราวกับถูกปั๊มเอาไว้ด้วยตราประทับ

          พวกเรามาแวะจอดตรงที่จอดรถของร้านเบเกอรีเล็ก ๆ ร้านหนึ่งแล้วออกมายืดเส้นยืดสาย สายลมฤดูใบไม้ร่วงพากลิ่นบางอย่างที่เตะจมูกมา ผมของเด็กสาวปลิวไสวขณะที่เธอกำลังลงจากที่นั่งข้างคนขับ เผยให้เห็นแผลเป็นความยาวประมาณห้าเซนติเมตรตรงใต้หางตาซ้าย เป็นแผลเป็นที่ลึกและเป็นเส้นตรงคล้ายถูกมีดโกนกรีด เธอยกมือข้างซ้ายลูบผมมาปิดไว้ไม่ให้เห็นอีก

          แม้เธอจะไม่ได้เล่าเอง แต่ผมเดาว่าคนที่สามที่เธอจะไปแก้แค้นนี้เป็นคนทำให้เธอได้แผลนี้มา พอมานึกถึงแผลมีดบาดที่มือ รอยไหม้ตามแขน รอยกรีดที่ต้นขา แล้วก็แผลที่หน้า แผลเต็มตัวขนาดนี้ทำให้ผมเริ่มสงสัยว่าเธอมีอะไรที่ทำให้คนรอบตัวต้องใช้ความรุนแรงหรือเปล่า ต่อให้จะมีเรื่องความรุนแรงในครอบครัวหรือการรังแก แต่จำนวนแผลขนาดนี้ก็ยังดูผิดปกติ

          เหมือนรูปร่างก้อนหินที่เห็นแล้วอยากเตะ เหมือนรูปร่างแท่งน้ำแข็งย้อยที่เห็นแล้วอยากหัก เหมือนรูปร่างดอกไม้ที่เห็นแล้วอยากดึงออกมาทีละกลีบ …บางสิ่งบางอย่างในโลกนี้ ไม่ว่าจะสวยงามหรือน่าเกลียดเพียงใด จะต้อง ‘อยากทำให้แตกสลาย’ เมื่อได้พบเห็น และเด็กสาวก็คงเป็นเช่นสิ่งเหล่านั้น และทำให้เมื่อคืนผมรู้สึกอยากทำร้ายเธอขึ้นมากะทันหัน คงจะเป็นอย่างนั้น

          แต่ผมก็ส่ายหน้าให้กับตรรกะเห็นแก่ตัวของคนที่ทำร้ายคนอื่นอย่างนั้น เป็นข้ออ้างที่โยนความผิดไปให้เด็กสาวเต็ม ๆ เพราะไม่ว่าเธอจะรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไปทำร้ายเธอ

          พวกเราซื้อครัวซองต์ชีสที่อบใหม่ ๆ พร้อมกับพายแอปเปิลและกาแฟแล้วมานั่งกินกันเงียบ ๆ ตรงชานนอกร้าน นกตัวเล็ก ๆ สามสี่ตัวมาอยู่ตามเท้าคอยกินเศษขนมปังที่หล่นอยู่ อีกฝั่งของถนนแคบ ๆ เป็นสนามเด็กเล่นที่เด็ก ๆ เตะบอลอยู่ กลางสนามมีต้นไม้ใหญ่ทอดเงายาวอยู่บนสนามที่ไม่เขียวขจีมากนัก

          ชายวัยกลางคนประมาณสี่สิบสวมหมวกนิวส์บอยสีเทาเปิดประตูร้านออกมายิ้มให้พวกเรา ผมสั้น ใบหน้าคมคาย โกนหนวดดูเรียบร้อย ตรงหน้าอกมีป้ายติดไว้ว่า ‘เจ้าของร้าน’

          “ให้เติมกาแฟไหม”

          พอพวกเราตอบรับ เจ้าของร้านก็เทกาแฟจากโถกาแฟให้ตรงหน้า

          “มาจากที่ไหนกันล่ะ” เขาถามด้วยท่าทีเป็นมิตร

          ผมบอกชื่อเมืองไป

          “ไกลน่าดูเลยนะ …ถ่อมาขนาดนี้คงมาดูขบวนเทศกาลกันแน่ ๆ อ้อ หรือว่ามาร่วมขบวนล่ะ”

          “ขบวนเทศกาลเหรอครับ” ผมถามกลับ “มีด้วยเหรอครับ”

          “เอ ไม่รู้จักสินะ งั้นก็โอกาสดีเลยละ เป็นงานที่ต้องมาดูให้ได้สักครั้งเลย อลังการมาก คนเป็นร้อย ๆ มาแต่งตัวเดินขบวนกัน เดี๋ยวเดินผ่านตรงย่านการค้าหน้าสถานีรถไฟด้วย”

          “อ๋อ ฮัลโลวีนน่ะเหรอครับ”

          ตรงมุมหนึ่งของชานร้านมีแอตแลนติก ไจแอนท์ — หรือฟักทองยักษ์ — ตั้งอยู่ ทำให้ผมนึกขึ้นได้

          “ใช่แล้ว เห็นจัดกันครั้งแรกเมื่อสักสามสี่ปีก่อน แต่หลัง ๆ ก็เห็นคนมากันเยอะ ตกใจเหมือนกันที่มีคนชอบแต่งตัวเยอะขนาดนี้ คนเราอาจจะอยากเปลี่ยนตัวเองก็ได้ แค่ว่าปกติไม่ได้แสดงออกแค่นั้นเอง ที่มีคนแต่งตัวแนวสยองขวัญเลือด ๆ เยอะ ก็คงเพราะมีคนที่มีนิสัยประเภททำร้ายตัวเองกันเยอะละนะ ฉันก็อยากร่วมขบวนนะแต่ไม่กล้า”

          หลังจากที่เล่าอะไรที่ดูเป็นเหมือนจิตวิทยาจบ เจ้าของร้านก็มองหน้าพวกเราอีกครั้งแล้วถามเด็กสาวด้วยความสนใจว่า “จะว่าไป พวกเธอสองคนเป็นอะไรกัน”

          ผมส่งซิกให้เด็กสาวทำนองว่า ตอบให้หน่อย

          “เป็นอะไรกันเหรอคะ ลองเดาดูสิคะ”

          เขาลูบหนวดครุ่นคิด

          “ลูกคุณหนูกับผู้ติดตาม มั้งนะ”

          เป็นการเปรียบเปรยที่น่าสนใจจนผมยังทึ่ง ซึ่งใกล้เคียงกว่าคำว่าพี่น้องหรือแฟนที่ผมคิดไว้เสียอีก

          พอจ่ายค่ากาแฟแล้วพวกเราก็ออกมาจากร้าน จากนั้นเด็กสาวก็นำทาง “เลี้ยวขวาตรงนั้นค่ะ “ตรงไปเรื่อย ๆ เลย “…นั่นมันซ้ายค่ะ” กว่าจะมาถึงอพาร์ตเมนต์ของเป้าหมายการแก้แค้นคนที่สามพระอาทิตย์ก็ตกดินไปแล้ว แสงพระอาทิตย์ยามห้าโมงเย็นสาดทับเมืองให้เหมือนฟิล์มเก่าที่ถูกทิ้งไว้นานแรมปี

          เนื่องจากที่จอดรถของอพาร์ตเมนต์เต็มจึงจำใจต้องไปจอดตรงที่จอดรถของสวนสาธารณะสำหรับการออกกำลังกายที่ห่างออกไปเล็กน้อย เสียงซ้อมเป่าอัลโตแซ็กโซโฟนที่ฟังดูเพี้ยน ๆ ดังมาจากริมแม่น้ำ คงจะเป็นสมาชิกชมรมเครื่องเป่าของโรงเรียนมัธยมแถว ๆ นี้

          “แผลที่หน้านี้ฉันได้มาตอนฤดูหนาวที่ฉันเรียนอยู่ ม. ต้น ปีสองค่ะ”

          ในที่สุดเธอก็เล่าเรื่องแผลนี้

          “พวกชื่อเสียนิสัยไม่ดีเนี่ยจะที่ไหนก็มีเหมือน ๆ กันน่ะนะคะ ตอนนั้นเป็นช่วงเล่นสเก็ตที่สอนให้ปีละครั้ง มีคนนึงแกล้งทำเป็นเซมาเกี่ยวขาฉันจนล้ม แล้วเอาตรงที่เป็นใบมีดใต้รองเท้ามาเตะหน้าฉันอีก จริง ๆ เขาก็คงกะจะแกล้งอำเล่นปกติแหละมั้งคะ แต่ใบมีดรองเท้าสเก็ตน่ะคมจนตัดผ่านถุงมือทำนิ้วขาดได้เลยนะคะ ตอนนั้นเลือดฉันไหลเต็มลานสเก็ตจนแดงไปหมดเลย”

          เธอเงียบไปและผมก็คอยเธอเล่าต่อ

          “ตอนแรกเขาก็ยังยืนกรานว่าฉันล้มเอง แต่ดูยังไงแผลฉันก็ไม่ใช่แค่แผลลื่นล้มกับน้ำแข็งหรอกค่ะ สุดท้ายวันนั้นเขาก็สารภาพว่าทำจริง ๆ ถึงผลจะสรุปไปแล้วว่าเป็นอุบัติเหตุเถอะนะคะ ทั้งที่เห็น ๆ กันอยู่ว่าจงใจเตะหน้าฉัน แถมคนที่เห็นก็ไม่ใช่น้อย ๆ อีกต่างหาก แล้วพ่อแม่ของทางนั้นก็มาขอโทษแล้วก็ให้เงินชดใช้ค่าเสียหาย สุดท้ายฉันก็ได้แผลติดตัวไปตลอดชีวิต ส่วนผู้ชายคนนั้นไม่ถูกพักการเรียนด้วยซ้ำ”

          “ถ้าเอารองเท้าสเก็ตมาด้วยก็คงดีนะ” ผมเสริม “จะได้ลองให้เกิด ‘อุบัติเหตุ’ สักสองสามรอบ”

          “นั่นสินะคะ …แต่แค่กรรไกรก็พอแล้วค่ะ”

          เธอยิ้มขึ้นมาแวบหนึ่ง

          “รอบนี้เป็นผู้ชาย เดี๋ยวคุณตามฉันมาด้วยนะคะ”

          “ได้”

          เมื่อมั่นใจแล้วว่ากรรไกรตัดผ้าอยู่ในแขนเสื้อของเด็กสาวแล้วพวกเราจึงลงจากรถและเดินขึ้นบันไดโครงเหล็กของอพาร์ตเมนต์ที่กลายเป็นสีน้ำตาลแดงที่ผ่านมาไม่น้อยกว่าสามสิบปี จนมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องของผู้ชายที่การงานยังไม่มั่นคงหลังจากจบ ม. ต้น มา

          เธอใช้นิ้วเรียวกดอินเตอร์คอม

          ไม่นานก็มีเสียงฝีเท้าเดินมา ลูกบิดขยับและประตูถูกแง้มออกช้า ๆ

          ผมสบตากับผู้ชายคนนั้น

          ตาลอย หน้าแดงก่ำ ผมกับหนวดยาวรุงรัง แก้มตอบ ดูเก้งก้าง

          ผมนึกอยู่ว่าเขาเหมือนใคร แต่ ‘ใคร’ คนนั้นก็คือผมเอง และไม่ใช่แค่รูปร่างหน้าตา แต่เหมือนกระทั่งความไร้ชีวิตชีวา

          “โอ้ อากิซูกิเรอะ”

          เขาพูดกับเด็กสาว เสียงดูแหบแห้งคล้ายหลังดื่มเหล้า และผมเพิ่งรู้เป็นครั้งแรกว่านามสกุลของเธอคือ อากิซูกิ

          ชายหนุ่มดูไม่ทุกข์ร้อนอะไรกับเธอที่มาเยือนอย่างกะทันหัน พอมองหน้าแล้วจ้องไปที่แผลเป็นใต้ตานั้นเขาก็ทำหน้าเศร้าสร้อย

          “อากิซูกิมาก็แปลว่า” เขาพูด “รายต่อไปที่จะถูกฆ่าคือฉันสินะ”

          ผมกับเด็กสาวสบตากัน

          “ไม่ต้องห่วงน่า ไม่ขัดขืนหรอก” เขาว่าต่อ “แต่มีเรื่องจะคุยกับอากิซูกิหน่อย ไม่นานหรอก ๆ ”

          เขาหันหลับกลับเข้าห้องไปไม่รอฟังคำตอบใด ๆ ทั้งสิ้น ปล่อยคำถามมากมายทิ้งไว้เช่นนั้น

          “เอาไงต่อ”

          ผมรอคำตอบ เธอกำกรรไกรที่อยู่ในแขนเสื้อไว้แน่น ดูยังสับสนกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด

          สุดท้ายก็อดอยากรู้ไม่ได้อยู่ดี

          “ยังไม่ต้องทำอะไรค่ะ รอดูก่อนว่าจะคุยอะไร”

          เก็บเรื่องฆ่าไว้ตอนสุดท้ายก็ยังไม่สายไปค่ะ เธอเสริม

          แต่อีกครึ่งชั่วโมงให้หลังเธอจึงรู้ว่าเธอตัดสินใจเข้าข้างตัวเองเกินไป ทั้งรอฟังเรื่องที่จะคุย ทั้งคิดว่าฆ่าไว้ตอนสุดท้ายก็ยังไม่สาย เด็กสาวยังไม่ระวังตัวมากพอสำหรับผู้ชายที่พวกเราควรจะฆ่าทิ้งเสียตอนนั้น

          ถ้ารวมพ่อของเธอแล้ว เธอแก้แค้นสำเร็จไปแล้วสามคน ผลงานเหล่านั้นคงทำให้เธอนึกเหลิงจนประมาท การแก้แค้นนั้นแสนง่ายดาย ถ้าอยากฆ่าใครก็ฆ่าได้ง่าย ๆ — พวกเราคิดกันอย่างนั้นโดยไม่ทันรู้ตัว

 

          พอเดินผ่านบริเวณทำครัวที่มีกลิ่นน้ำเสียคลุ้งแล้วก็เปิดประตูเข้าไปยังห้องนั่งเล่น แสงพระอาทิตย์ตกดินลอดผ่านหน้าต่างเข้ามาแยงตา

          เป็นห้องขนาดหกเสื่อ ที่กำแพงมีเปียโนไฟฟ้าตั้งอยู่ ชายคนนั้นนั่งหันหน้าเข้าหาเปียโนอยู่บนเก้าอี้ ข้าง ๆ เปียโนเป็นโต๊ะเรียบ ๆ ตัวหนึ่งที่มีวิทยุทรานซิสเตอร์เก่า ๆ กับคอมพิวเตอร์ตั้งอยู่ ส่วนกำแพงอีกฟากมีเครื่องขยายเสียงกีตาร์พิกโนสกับกีตาร์ไฟฟ้าเทเลแคสเตอร์สีเขียวเปปเปอร์มินต์ซึ่งโลโก้หลุดลอกไปหมดแล้ว อาจจะชอบดนตรีแต่ไม่ได้ทำเป็นอาชีพ เพราะคนที่ทำมาหากินกับดนตรีจะให้ความรู้สึกที่สัมผัสได้เลยว่าใช้ดนตรีเลี้ยงชีพ แต่ผู้ชายคนนี้ไม่ได้เป็นอย่างนั้น

          “นั่งตามสบายเลยนะ” เขาเชิญ ผมไปนั่งที่เก้าอี้ทำงานตัวหนึ่ง เด็กสาวเธอไปนั่งที่เก้าอี้สตูล ส่วนเขาลุกมายืนต่อหน้าพวกเราคล้ายจะผลัดกันยืน จัดท่าทางเหมือนเตรียมทำอะไรสักอย่าง จากนั้นถอยไปสองสามก้าวแล้วค่อย ๆ คุกเข่าลงนั่งทับส้น

          ขอโทษนะ

          เขาก้มหัวมือแนบพื้นแล้วพูด

          “คิด ๆ ดูฉันก็โล่งใจเหมือนกันนะ” เขาพูดอีก “นี่ อากิซูกิ จะเชื่อไม่เชื่อก็ได้นะ แต่ว่า วันนั้น — ตั้งแต่วันที่ฉันทำร้ายอากิซูกิ ฉันก็กลัวมาตลอดเลยว่า ‘สักวันต้องโดนแก้แค้นแน่ ๆ ’ ฉันไม่เคยลืมเลย หน้าของเธอที่เปื้อนเลือดบนลานสเก็ตวันนั้นแล้วมองมาที่ฉันแบบโกรธแค้นมาก ๆ ตอนนั้นฉันรู้เลยว่า ‘เธอคนนี้จะต้องเอาคืนฉันสักวันแน่ ๆ ’”

          อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมามองหน้าเด็กสาวชั่วครู่หนึ่งแล้วก้มลงหน้าผากติดพื้นเหมือนเดิม

          “และตอนนี้อากิซูกิก็มาอยู่ต่อหน้าฉันอย่างที่ลางสังหรณ์ของฉันบอกไว้เลย ฉันคงจะถูกฆ่าแล้วสินะ แต่ก็ไม่ต้องอยู่กับความหวาดกลัวอีกต่อไปแล้ว อาจจะไม่ได้แย่ก็ได้”

          เธอมองหัวที่ก้มต่ำอยู่นั้นด้วยสายตาเย็นชา

          “ที่จะบอกมีแค่นี้ใช่มั้ยคะ”

          “อืม แค่นี้แหละ” เขาพูดทั้ง ๆ ที่ค้างอยู่ท่านั้น

          “งั้นฆ่าตอนนี้เลยก็ได้สินะคะ”

          “…ไม่ เดี๋ยว เดี๋ยวก่อน” ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมาแล้วก้มหัวกลับ เห็นทีแรกก็หลงนึกว่าเป็นคนที่กล้าหาญชาญชัย สุดท้ายก็ดันเป็นแค่คนที่ไม่ยอมจบ “ว่าตามตรงก็ยังไม่ได้เตรียมใจมาเลย แถมอากิซูกิเองก็อยากรู้ใช่มั้ยล่ะว่าฉันรู้ได้ยังไงว่าจะมีคนมาหา”

          “เพราะเห็นชื่อฉันในรายชื่อผู้ต้องสงสัยตามข่าวน่ะเหรอคะ” เธอตอบทันที

          “เปล่า ที่ออกข่าวก็มีแค่ว่าพี่สาวของอากิซูกิกับไอฮาระโดนแทงตาย”

          ไอฮาระ คงจะเป็นชื่อของผู้หญิงที่ทำงานที่ร้านอาหารคนนั้น

          “แต่รู้แค่นั้นก็พอแล้วนี่คะ” เธอว่าอีก “พอเห็นข่าวแล้ว ใครที่เคยเรียนห้องเดียวกันก็คงรู้เลยว่าใครคือคนร้าย แล้วถ้าคนร้ายคือคนที่คิดไว้จริง ๆ รายต่อไปที่จะโดนก็คือตัวเอง คิดแบบนั้นใช่มั้ยล่ะคะ”

          “…ก็ ถูก” เขาเสตามองทางอื่น

          “งั้นก็หมดเรื่องแล้ว จะไม่ขัดขืนใช่มั้ยคะ”

          “อืม ไม่ขัดขืนหรอก แต่มีเงื่อนไขหนึ่งข้อ”

          “เงื่อนไขเหรอ” ผมแทรกเมื่อเห็นว่าเรื่องชักจะยืดเยื้อ ยอมเล่นตามน้ำไปอย่างนี้ดีแล้วเหรอ แต่เด็กสาวก็ไม่ขัดที่อีกฝ่ายพูดขึ้นมา ดูสนใจข้อเสนอนั้น

          “ฉันขอเลือกวิธีตาย” เขาชี้นิ้ว “เดี๋ยวเล่า แต่ขอไปชงกาแฟก่อน …ฉันน่ะเล่นดนตรีไม่เก่งแต่ชงกาแฟเก่ง แปลกเนอะ”

          เขาลุกขึ้นเดินไปยังครัวดูหลังค่อม แต่ตัวผมเองถ้าดูจากด้านข้างก็คงหลังค่อมพอกัน

          ‘วิธีตาย’ ที่เขาพูดถึงคืออะไรกันแน่ หมายถึงแค่ขอเลือกวิธีที่ตัวเองจะถูกฆ่า หรือหมายถึงอยากตายแบบเล่นละครที่จินตนาการไว้สักฉาก ถึงยังไงพวกเราก็ไม่ต้องไปฟังคำขอของเขาอยู่แล้ว แต่ถ้ายอมทำตามที่ขอแล้วจะให้ฆ่าโดยไม่ขัดขืนก็คงไม่แย่เหมือนกัน

          เสียงน้ำร้อนที่ถูกเทตามมาด้วยกลิ่นหอมหวานฟุ้งทั่ว

          “จะว่าไป พี่ชายใส่แว่นกันแดดคนนั้นใคร คนคุ้มกันของอากิซูกิเหรอ” คำถามดังมาจากครัว

          “อย่าเฉไฉค่ะ รีบ ๆ เข้าเรื่องได้แล้ว”

          น้ำเสียงของเธอดูหมดความอดทน เขาไม่สนใจและพูดต่อ

          “แต่จะเป็นอะไรกันก็ช่างเถอะ ฉันดีใจนะที่ยังมีคนยินดีที่จะอยู่กับฆาตกร น่าอิจฉาจัง อ้อ…ฉันไม่เคยเห็นด้วยกับวลีที่ชอบพูดกรอกหูบ่อย ๆ ว่า ‘เพื่อนกันต้องเตือนกันเวลาอีกฝ่ายทำไม่ดี’ มาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้ว ก็คนเราจะให้ไปเชื่อใจกับคนที่ยอมทิ้งเพื่อนเพื่อไปอยู่กับกฎหมายหรือศีลธรรมได้ยังไง ฉันน่ะ คิดว่าเพื่อนที่ดีต้องเป็นคนที่ยอมเป็นคนไม่ดีด้วยไปเลยเวลาฉันทำอะไรไม่ดี”

          ชายหนุ่มถือแก้วกาแฟมาสองใบ ใบหนึ่งส่งให้เด็กสาว อีกใบส่งให้ผมพลางเตือนว่าระวังร้อน และทันทีที่ผมยื่นมือสองทั้งข้างไปรับแก้วนั้น บางอย่างก็กระแทกเข้าที่ขมับของผม

 

          อยู่ ๆ โลกของผมก็เอียงเก้าสิบองศา

          เป็นความแรงชนิดที่ว่ากว่าจะรู้ตัวว่าถูกตีก็น่าจะสองสามนาทีได้ อาจจะไม่ใช่หมัด แต่เป็นอุปกรณ์อะไรสักอย่าง ระหว่างที่นอนนิ่งอยู่ผมได้ยินเสียง แต่จับใจความเนื้อหาอะไรไม่ได้เลย ตาเปิดอยู่แต่ภาพยังไม่ชัดนัก

          บริเวณที่ถูกตียังชาอยู่ตอนที่รู้สึกตัวครั้งแรก มีเพียงความร้อนของกาแฟที่หกอยู่ที่หน้าแข้ง ความเจ็บยังไม่ได้เป็นความรู้สึกเจ็บ แต่เป็นความรู้สึกไม่ดีที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน และอีกสักพักกว่าความเจ็บเหมือนหัวจะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ จะแล่นเข้ามา พอลองเอามือซ้ายจับตรงที่เจ็บดูก็รู้สึกถึงบางอย่างอุ่น ๆ

          ขาของผมไม่ยอมฟังผมที่พยายามจะยืนขึ้น เขาคงตั้งใจจะทำอย่างนี้มาตั้งแต่แรกแล้ว เขาเป็นคนที่รอบคอบมาก คอยจังหวะที่พวกเราเผลอ แม้จะพยายามระวังตัวแล้วแต่ผมก็ลืมเสียสนิทเมื่อเขายื่นแก้วกาแฟให้ ผมสาปแช่งความสะเพร่าของตัวเอง

          แว่นกันแดดของผมหลุดออก คงจะเป็นตอนที่ถูกตี ตาของผมเริ่มกลับมาโฟกัสจนภาพค่อย ๆ ชัด จนในที่สุดผมก็เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น

          เขาคร่อมเด็กสาวอยู่ ส่วนกรรไกรที่จะใช้แทงเขานั้นตกอยู่ไกล ๆ จากทั้งสองคน เธอพยายามจะขัดขืนอีกฝ่ายที่กดมือเธอทั้งสองข้างเอาไว้ แต่น่าเสียดายที่แรงของเธอนั้นเทียบเขาไม่ติด

          ชายหนุ่มเลือดขึ้นหน้า “ฉันหมายตาอากิซูกิมาตั้งแต่ ม. ต้น แล้ว ไม่คิดเลยนะว่าจะฉันจะได้ลาภลอยอย่างนี้ มาหาฉันเองแล้วยังจะสร้างสถานการณ์ให้ฉันบอกว่าป้องกันตัวเองได้อีก แบบนี้ก็หวานหมูเลยสิ”

          มือขวาของเขาจับมือทั้งสองข้างของเธอกดไว้ที่เหนือหัว อีกข้างที่ว่างอยู่กระชากคอเสื้อเธอแล้วทึ้งจนกระดุมเสื้อหลุด เด็กสาวไม่ยอมและพยายามดีดดิ้นด้วยแรงที่มีอยู่ เขาตะคอก “อย่าดิ้น” แล้วต่อยเข้าที่บริเวณตาเธอหนึ่งครั้ง สองครั้ง สามครั้ง สี่ครั้ง

          ผมจะต้องฆ่าเขาให้ได้

          แต่ขาไม่ยอมทำตามความคิดนั้นและล้มลงอยู่ที่เดิมอันเป็นผลการใช้ชีวิตแบบเก็บตัวมากไป ถ้าสักครึ่งปีก่อนผมอาจจะมีแรงมากกว่านี้อีกหน่อยก็ได้ เขาหันมาเมื่อได้ยินเสียงแล้วหยิบบางอย่างมาจากจุดที่ผมมองไม่เห็น เป็นกระบองตำรวจสีดำขลับ คงจะเป็นอันเดียวกันกับที่ใช้ทุบผม เตรียมการมาดีทีเดียว

          และช่วงนั้นเองเธอฉวยโอกาสเอื้อมมือจะไปหยิบกรรไกร แต่เข่าของเธอถูกฟาดด้วยกระบองนั้นจนเกิดเสียงทึบตัน เธอกรีดร้องออกมาสั้น ๆ และเมื่อเห็นว่าเธอขยับไม่ได้แล้วจึงเดินมาหาผมแล้วใช้ส้นเท้าออกแรงเหยียบมือขวา นิ้วกลาง ไม่ก็นิ้วนาง หรือทั้งสองนิ้วของผมส่งเสียงเหมือนตะเกียบที่ชุ่มน้ำหัก คำว่า ‘เจ็บ’ พยางค์เดียวผุดขึ้นมาซ้ำ ๆ จนอัดแน่นอยู่ในหัวผม และผมก็ขยับตัวไม่ได้จนกว่าทุกคำจะหายไปทีละหนึ่งจนหมด ผมเหงื่อแตกพลั่กพลางโอดครวญอย่างหมา

          “อย่ากวนสิ กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มเลย”

          คำพูดนั้นคล้ายสัญญาณเตือน เขากระชับมือเข้ากับกระบองแล้วตีผมอีกหลายครั้ง ทั้งหัว คอ ไหล่ แขน หลัง อก สีข้าง และทุกที่ ทุกครั้งที่ถูกตีทำให้กระดูกผมส่งเสียงกรอบอยู่ในตัว และทำให้แรงที่จะต่อต้านน้อยลงทุกที

          ผมค่อย ๆ คิดถึงความเจ็บปวดของตัวเองได้อย่างไม่ยึดโยง ผมไม่ได้รู้สึกเจ็บปวด แต่ผมรู้สึกถึง ‘ความเจ็บปวดของร่างกายผม’ อยู่ เมื่อแยกด้วยเส้นกั้นนั้นแล้ว ความเจ็บปวดของผมก็ไม่อยู่กับผมอีกต่อไป

          ชายคนนั้นเก็บกระบองตำรวจแล้วใส่เข้าที่เข็มขัด ย่อตัวลงนั่งโดยเท้ายังเหยียบผมที่นอนคว่ำหน้าอยู่ ดูท่าจะยังเล่นผมไม่หนำใจ

          สัมผัสคล้ายถูกหนีบด้วยของมีคมส่งมาจากโคนนิ้วก้อย

          เมื่อรู้ตัวว่าสัมผัสนั้นหมายถึงอะไรเหงื่อของผมก็ไหลเป็นสายน้ำ

          “กรรไกรคมนะเนี่ย” เขาชื่นชม

          เขาดูตื่นเต้นราวไฟในตัวถูกจุดประกาย ถ้าได้หลงไปกับความรุนแรงแล้วละก็อะไรก็ยั้งไม่อยู่ คนที่ตกอยู่ในห้วงเช่นนี้จะไม่มีคำว่าลังเล ยิ่งไปกว่านั้น การใช้ความรุนแรงของเขาอาจถูกมองได้ว่าเป็นการป้องกันตัวเสียด้วยซ้ำ หรือถ้าจำเป็นจริง ๆ ก็จะให้ตีความว่าเขามีสิทธิ์กระทำได้โดยไม่มีความผิด

          “อันนี้น่ะเหรอที่จะเอามาแทงฉัน”

          เสียงหายใจของเขาดังฟืดฟาด แรงหนีบกรรไกรเพิ่มขึ้นจนบาดเข้าเนื้อนิ้วก้อย ผมจินตนาการถึงความเจ็บปวดถ้าคมมีดบาดเข้ามาจนถึงเนื้อชั้นใน ภาพนิ้วก้อยของผมที่กระเด็นหลุดจากมือของผมเหมือนหนอนลอยเข้ามาในหัว ร่างกายท่อนล่างของผมอ่อนแรงคล้ายถูกปล่อยจากที่สูง กลัวเหลือเกิน

          “ถ้าฆาตกรนิ้วหายไปสักนิ้วสองนิ้วคงไม่มีใครทันสังเกตหรอกเนอะ”

          ก็เป็นไปได้ละมั้ง ผมคิด

          ทันใดนั้นเขาก็บีบกรรไกรเข้าเต็มแรง

          เสียงเฉือนเนื้อดังมาพร้อม ๆ กับความเจ็บปวดรุนแรงที่แล่นขึ้นสมอง ภายในราวกับมีของเหลวสีดำล้นออกมาจากสมองท่วมไปทั่วทั้งตัว ผมตะโกนร้อง พยายามดิ้นหนีสุดชีวิตแต่ถูกเท้าของเขากดมือเอาไว้แน่น ภาพตรงหน้าเริ่มมืดลง ครึ่งซีกถูกทับถมด้วยสีดำ กระบวนความคิดสิ้นสุด

          ผมคิดว่าคงขาดไปแล้ว ทว่านิ้วก้อยยังอยู่กับมือผม แม้แผลที่ถูกเฉือนจะเปิดจนเห็นกระดูกข้างในและทำให้เลือดสีแดงสดไหลไม่หยุด แต่กรรไกรตัดผ้านั้นตัดกระดูกไม่ได้ “กระดูกคงแข็งไปสำหรับกรรไกรสินะ” เขาเดาะลิ้น เด็กสาวลับด้านปลายกรรไกรอย่างดีก็จริง แต่คงไม่ได้ลับตามด้านคมจุดอื่นขนาดนั้น

          เขาออกแรงหนีบกรรไกรอีกครั้งที่ข้อนิ้วที่สองของนิ้วก้อยผมจนสัมผัสได้ถึงแรงที่หนีบกระดูกอยู่ ผมเจ็บจนสมองชา แต่เพราะไม่ใช่ความเจ็บปวดที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน ความคิดของผมจึงยังเดินต่อได้ ผมเอื้อมมืออีกข้างไปล้วงหากุญแจรถแล้วกำไว้ในหมัดให้ส่วนปลายโผล่ออกมา เขาคงคิดว่าคุมมือข้างที่ผมถนัดไว้ได้แล้ว แต่หารู้ไม่ว่าผมถนัดซ้าย

          ผมทิ่มกุญแจนั้นสุดแรงเกิดเข้าขาข้างที่เหยียบมือขวาผมอยู่ แรงชนิดที่ว่าตัวผมเองยังตกใจ เขาร้องโหยหวนออกมาอย่างสัตว์ป่าและถอยกรูดไป และก่อนที่เขาทันจะได้หยิบกระบองออกมาจากสายพกข้างเข็มขัด ผมจับข้อเท้าเขาแล้วล้มตัวเขาลง หัวของเขาฟาดกับพื้นอย่างแรงตอนล้มลงไป เอาละ ถึงตาผมแล้ว ผมสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วระงับความคิดไม่ให้จินตนาการอะไรทั้งนั้น การทำเช่นนี้คือสิ่งสำคัญที่จะทำให้ไม่หลงเหลือความลังเลใจอีก และอีกไม่กี่นาทีถัดมา ผมไม่นึกถึงความเจ็บปวดของอีกฝ่าย ไม่นึกถึงความทรมานของอีกฝ่าย และไม่นึกถึงความโกรธแค้นของอีกฝ่าย

          ผมคร่อมตัวเขาแล้วต่อยจนฟันหน้าเขาหัก และต่อยอีก เสียงเนื้อที่หุ้มกระดูกกระทบกันดังก้องไปทั่วห้องเป็นจังหวะคงที่ ความเจ็บปวดรุนแรงจากขมับและนิ้วก้อยเติมเชื้อไฟให้ความโกรธของผม หมัดของผมเปื้อนเลือดของเขา มือข้างที่ต่อยค่อย ๆ สูญเสียความรู้สึกไปเรื่อย ๆ แล้วยังไงล่ะ ต่อยต่อไปสิ สิ่งสำคัญคือห้ามลังเล สิ่งสำคัญคือห้ามลังเล สิ่งสำคัญคือห้ามลังเล-

          ไม่นานเขาก็เลิกต่อต้าน ผมหอบถี่หายใจแทบไม่ทัน พอลุกไปจากตัวเขาเพื่อจะไปหยิบกรรไกรที่ตกอยู่ข้าง ๆ แล้วมือข้างซ้ายของผมที่กำหมัดอยู่นานนั้นเกิดชาจนขยับไม่ได้ จึงต้องก้มตัวยื่นมือขวาออกไปเก็บอย่างช่วยไม่ได้ ปลายนิ้วของผมสั่นจนจับไม่อยู่ ระหว่างที่ผมยังงุ่มง่ามอยู่เขาก็ลุกขึ้นถีบหลังผมจนล้มและไปคว้ากรรไกรไว้

          ผมหลบกระบองที่เหวี่ยงมาตอนที่ผมหันไปพอดีได้อย่างอัศจรรย์ แต่เสียการทรงตัวจนล้มทำให้ป้องกันตัวไม่ได้อีก เขากระทืบเข้าที่ท้องผมจนผมสะอึกน้ำลายไหลออกมา ผมเงยหน้าเตรียมใจรับกระบองที่กำลังจะฟาดลงมาในอีกไม่กี่วินาที ทันใดนั้น เวลาก็หยุดเดิน

          เป็นความรู้สึกเช่นนั้น

          และในไม่กี่อึดใจ ตัวของเขาก็ล้มลง

          เด็กสาวยืนถือกรรไกรเปื้อนเลือดมองไปที่เขาด้วยสายตาว่างเปล่า

          เขาคืบคลานสุดชีวิต แต่จะเพราะเพื่อหนีจากเธอ หรือเพื่อขอความช่วยเหลือจากผมนั้นผมไม่ทราบ เธอพยายามไล่ต้อนเขาอีก แต่เพราะยังเจ็บเข่าที่ถูกตีอยู่จึงล้มลง เด็กสาวไม่ยอมแพ้เงยหน้าคลานตามเขาด้วยแขนทั้งสองข้าง

          เธอกำกรรไกรไว้ในมือทั้งสองข้างแน่น แล้วแทงเข้าที่หลังของเขาเต็มแรง

          ครั้งแล้ว ครั้งเล่า

 

          กำแพงบางขนาดนี้เสียงคงดังไปถึงไหนต่อไหน ถ้ามีตำรวจโผล่เข้ามาละก็จะไม่แปลกใจเลย ถึงอย่างนั้น ผมกับเธอยังนอนนิ่งอยู่ข้างศพเขาแบบนี้

          ไม่ใช่เพราะเจ็บหรือเหนื่อย แต่เป็นความรู้สึกแบบสัญชาตญาณดิบที่ว่า ‘ชนะการต่อสู้แล้ว’ บาดแผลและความเหนื่อยล้าเป็นเพียงสิ่งหนึ่งที่ช่วยให้ประสบความสำเร็จเท่านั้น

          ครั้งสุดท้ายที่รู้สึกพึงพอใจขนาดนี้คือตอนไหนกัน ผมลองนึกย้อนดู แต่ไม่ว่าจะลองค้นหาในความทรงจำเท่าไหร่ก็ไม่พบกับประสบการณ์ใดที่จะพอใจเท่าชัยชนะครั้งนี้ ความรู้สึกพึงพอใจตอนที่ปาลูกสวย ๆ ตอนแข่งเบสบอลรอบสี่ทีมสุดท้ายครั้งนั้นยังเป็นแค่เศษฝุ่นถ้าเทียบกับความรู้สึกของตัวผมในตอนนี้

          ผมไม่มีความรู้สึกหน่ายในตัวแม้แต่น้อย ราวกับมีชีวิตขึ้นมา

          “ทำไมไม่ ‘เลื่อนเวลา’ ล่ะ” ผมถามเปิด “ก็นึกว่าเธอจะ ‘เลื่อนเวลา’ ถ้าสถานการณ์เริ่มไม่ดีแล้วเสียอีก”

          “เพราะยังไม่สิ้นหวังสุดขีด ไงคะ” เธอตอบ “ถ้ามีแค่ฉันคนเดียวที่ถูกทำร้ายก็อาจจะ ‘เลื่อนเวลา’ ได้ แต่ว่าพอมีคุณอยู่ด้วย ก็จะยังเหลือหวังที่ว่า ‘อาจจะยังพอทำอะไรได้’ ค่ะ”

          “ก็นะ ฉันก็พอจะสู้บ้างจริง ๆ นั่นแหละ”

          “…ยังเจ็บนิ้วอยู่มั้ยคะ”

          เธอถามเสียงค่อยจนแทบไม่ได้ยิน คงจะรู้สึกผิดทีเดียวที่กรรไกรของเธอทำให้นิ้วผมเป็นแผล

          “สบาย” ผมยิ้มตอบ “เทียบกับแผลที่เธอเคยได้มาแค่นี้จิ๊บจ๊อย”

          แม้จะบอกเช่นนั้น แต่ว่ากันตามตรงแล้วก็ยังเจ็บจนแทบเป็นลม พอมองแผลที่ถูกเขาเฉือนอีกรอบแล้วก็เหมือนจะหน้ามืดขึ้นมา ถูกกรรไกรเฉือนไปขนาดนั้นแล้วเรียกว่า ‘สิ่งที่ดูเหมือนนิ้วก้อย’ น่าจะดีกว่า

          ต้องไปแล้ว ผมปัด ๆ ตามตัวที่ยังปวด ๆ อยู่ จะแช่อยู่ตรงนี้ไปตลอดไม่ได้ ถึงเวลาหนีแล้ว ผมเก็บแว่นกันแดดที่ตกอยู่ คอยสังเกตอาการของขมับผมที่ถูกตี

          ผมแบกเด็กสาวที่ยังเจ็บเข่าอยู่ไว้ที่ไหล่แล้วออกมาจากอพาร์ตเมนต์ ข้างนอกเริ่มมืดแล้ว อากาศค่อนข้างหนาว บรรยากาศข้างนอกนั้นปลอดโปร่งราวกับอยู่กลางภูเขาหิมะเมื่อเทียบกับห้องอับกลิ่นเลือดเมื่อครู่

          โชคดีที่ไม่มีใครเดินสวนตอนที่เดินมาที่จอดรถ ผมล้วงกุญแจในกระเป๋าพลางคิดถึงช่วงเวลาหลังจากนี้ที่จะได้อาบน้ำ ทำแผล แล้วก็นอนเสียที แต่กุญแจกลับเสียบเข้ารูได้ไม่สุดและคาอยู่เช่นนั้น

          ผมนึกต้นเหตุออกทันที ตอนที่แทงเข้าไปที่ขาของผู้ชายคนนั้นกุญแจถูกเข้ากับกระดูกจนบิดเสียรูป ผมลองดันกุญแจดูอีกครั้ง จากนั้นลงไปเหยียบกุญแจกับเสาปูนกั้นล้อรถ แต่ไม่มีอะไรช่วยได้เลย

          ทั้งผมกับเธอต่างมีเลือดเปื้อนตามเสื้อผ้า ตามหน้าก็มีรอยช้ำกับรอยกรีดที่เห็นชัดอยู่ ส่วนนิ้วผมก็ยังเลือดไหลไม่หยุด และถุงน่องของเธอก็มีรอยขาดเป็นที่ ๆ แต่ยังโชคดีอย่างหนึ่ง ทั้งโทรศัพท์และกระเป๋าสตางค์ผมยังอยู่ในกระเป๋าเสื้อคลุม แต่จะโทรเรียกแท็กซี่ด้วยสภาพอย่างนี้ไม่ได้แน่ ส่วนชุดสำหรับเปลี่ยนก็อยู่ที่ท้ายรถ

          ผมเตะรถและสบถออกมา ผมเค้นสมองที่ยังเบลอ ๆ จากความเจ็บกับความเย็น ก่อนอื่นต้องทำอะไรสักอย่างกับสภาพตอนนี้ที่เตะตาเกินไปก่อน แม้จะให้รอยช้ำกับแผลหายทันทีไม่ได้ แต่ถ้าเปลี่ยนเสื้อผ้าสักหน่อยคงพอทำเนา แต่ว่าเป็นใครเห็นสองคนเดินเข้าร้านมาซื้อเสื้อผ้าแล้วทั้งตัวมีแต่คราบเลือดกับรอยช้ำแล้วละก็คงแจ้งตำรวจแน่นอน จะซื้อเสื้อผ้าก็ไม่ได้เพราะติดเรื่องเสื้อผ้า หรือจะไปขโมยอุปกรณ์ซักผ้าจากบ้านสักหลังดี ไม่สิ สภาพแบบนี้ถ้าไปเฉียดตามบ้านคนก็คงจะเสี่ยงเกินไป—

          เสียงดนตรีแว่วมาจากที่ไกล ๆ

          ฟังดูหลอน ๆ แต่ก็ชวนให้รื่นเริง

          คำพูดของเจ้าของร้านเบเกอรีลอยเข้ามาในหัว

          ‘คนเป็นร้อย ๆ มาแต่งตัวเดินขบวนกัน เดี๋ยวเดินผ่านตรงย่านการค้าหน้าสถานีรถไฟด้วย’

          วันนี้วันฮาโลวีนน่ะเอง

          ผมยื่นมือแล้วใช้เลือดตรงนิ้วก้อยของผมที่ยังไหลอยู่วาดเส้นสีแดงสดลงบนแก้มเธอ เด็กสาวเข้าใจสิ่งที่ผมจะทำทันที เธอฉีกแขนเสื้อออกและใช้กรรไกรตัดเสื้อตรงไหล่กับกระโปรงจนแหว่งวิ่น ผมเองก็ใช้กรรไกรตัดตามคอเสื้อและกางเกงยีนบ้าง 

          พวกเรากำลังแปลงโฉมให้เป็นผีที่ตื่นขึ้นมาจากหลุม

          ต่างฝ่ายต่างดูผลลัพธ์ที่ออกมาอีกครั้ง เป็นไปดังหวัง ด้วยเสื้อผ้าที่ขาด ๆ ไปทั่วอย่างนี้ คนก็คงจะคิดว่ารอยช้ำกับเลือดเป็นแค่เครื่องสำอางถูก ๆ ที่เอามาแต้มตามตัวเท่านั้น

          สิ่งสำคัญที่เหลือก็เพียงสีหน้า

          “ตามนี้นะ ถ้ามีคนเดินมาหา ก็ให้ทำหน้าประมาณว่า ‘ก็ต้องแต่งตัวแปลกอยู่แล้วมั้ย’ นะ”

          ผมยิ้มให้ดูเป็นตัวอย่าง

          “…ประมาณนี้หรือเปล่าคะ”

          เธอยกยิ้มขึ้นที่มุมปากท่าทางดูฝืน ๆ

          ผมเผลอชะงักไม่ได้ตอบไปชั่วขณะเพราะเห็นเหมือนว่าเธอกำลังส่งยิ้มให้ผม

          “อืม สมบูรณ์แบบ” ผมพูดตอบ

          พวกเราเดินไปตามตรอกที่พาเข้าสู่ถนนสายหลัก เสียงดนตรีค่อย ๆ ชัดขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งเข้าใกล้เสียงยิ่งดังขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ดังจนกระทั่งกระเทือนอยู่ในท้อง เสียงคนนำทางดังมาจากโทรโข่งเป็นช่วง ๆ กลิ่นขนมหวานฟุ้งอยู่อบอวลไปทั่วอากาศ

          สิ่งแรกที่เด่นเตะตาหลังจากที่ออกมาตรอกนั้นคือชายตัวสูงหน้าซีดคนหนึ่ง ตรงปากทาสีแดงสดขัดกับใบหน้าที่ดูไร้เลือดหล่อเลี้ยง ตรงแก้มเป็นกรีดออกจนเห็นเหงือก ตาลึกโหลในเบ้าตาสีดำมองผ่านผมยุ่งเหยิงมายังพวกเรา

          แต่งมาดีจังเลยนะ ผมคิด และดูเหมือนว่าเขาก็คิดเช่นนั้นเมื่อเห็นพวกเรา เขายิ้มและอ้าปากกว้างมาทางพวกเราจนทั้งฟันและเหงือกที่แก้มบิดตาม แสดงให้เห็นว่าเป็นเพียงสีที่ทาและวาดเอาไว้ ผมส่งยิ้มกลับให้เขา

          ผมรู้สึกมั่นใจขึ้นมาทันที พวกเราออกเดินไปตามถนนอย่างผ่าเผย หลายคนในขบวนมองมาทางพวกผมอย่างไม่เกรงใจด้วยสายตาที่ชื่นชมการแต่งตัวของพวกเรา เสียงอุทานและคำชมตามมา เหมือนจริงจังเลย พวกเขาพูดอย่างนั้น แน่อยู่แล้ว เพราะพวกนี้น่ะแผลจริง รอยช้ำจริง เลือดจริง ๆ แม้แต่เด็กสาวที่เดินขากะเผลก พวกเขาก็มองว่าเป็นการแสดง

          ขบวนเดินมาถึงถนนใหญ่แล้ว ตามทางเท้ามีผู้ชมแออัด เพียงการเคลื่อนตัวไปข้างหน้าสักสองสามเมตรก็ดูลำบาก ตอนนี้เริ่มไม่เห็นสภาพขบวนทั้งหมดแล้ว ผมเห็นกลุ่มคนประมาณยี่สิบคนด้านหน้า เป็นกลุ่มที่แต่งตัวเป็นตัวละครจากหนังสยองขวัญทั้งหลาย แดรกคูลา แจ็กเดอะริปเปอร์ บูกี้แมน แฟรงเกนสไตน์ เจสัน เพนนีไวซ์ สวีนนีย์ท็อดด์ สุภาพบุรุษมือกรรไกร และคู่แฝดจาก ‘เดอะไชนิง’ …สัตว์ประหลาดทั้งเก่าและใหม่มารวมตัวกัน เพราะแต่งหน้ามากันหมดจึงไม่สามารถระบุอายุได้ชัดเจน แต่ส่วนใหญ่ดูราว ๆ ช่วงยี่สิบปีไปจนถึงสามสิบปี มีทั้งที่แต่งมาให้เนียนคล้ายของจริงและแต่งมาเพื่อล้อเลียนตัวต้นฉบับ

          ตามสองข้างทางมีแจ็กโอแลนเทิร์นวางอยู่เรียงราย ด้านในมีเทียนจุดไว้ให้แสงลอดออกมาจากช่องตากับปาก ตาข่ายอย่างใยแมงมุมถูกขึงไว้ระหว่างต้นไม้สองต้นที่อยู่ข้างทางโดยมีแมงมุมยักษ์สองสามตัวห้อยอยู่ด้วย เด็ก ๆ ที่เดินตามทางเท้าส่วนใหญ่ต่างถือลูกโป่งสีส้ม ใส่หมวกทรงกรวยและใส่ผ้าคลุม

          “ไง”

          เมื่อหันไปมองคนที่มาตบบ่าผมก็พบว่าเป็นชายคนหนึ่งที่มีผ้าพันแพลพันอยู่รอบหน้า

          แต่ที่ไม่หนีไปทันทีเพราะเสียงเรียกนั้นคุ้นหู

          ผ้าพันแผลถูกคลี่ออก ใบหน้าที่อยู่ข้างใต้นั้นคือคนที่บอกพวกเราเรื่องขบวนนี้ เจ้าของร้านเบเกอรีคนนั้นนี่เอง

          “อะไรกัน มาร่วมขบวนไม่บอกกล่าวกันเลยนะ”

          เขาตบบ่าผมย้ำ

          “คุณเองก็บอกว่าจะไม่มาร่วมนี่ครับ”

          “ก็นะ” พร้อมหัวเราะแก้เก้อ “แล้วจะออกจากขบวนกันแล้วเหรอ”

          “ครับ คุณล่ะ”

          “ฉันพอใจแล้วละ แต่ว่าคนเยอะเหมือนกันนะ โดนเหยียบเท้ามาห้ารอบแล้ว”

          “ปีที่แล้วมีคนดูเยอะขนาดนี้มั้ยครับ”

          “ไม่หรอก ปีนี้เยอะเป็นพิเศษเลย คนแถวนี้ยังตกใจ”

          “เห็นเคยมีคนบอกว่างานฮาโลวีนในญี่ปุ่นไม่ค่อยดังเท่าไหร่” ผมมองไปรอบ ๆ “แต่เห็นอย่างนี้แล้วน่าจะไม่ใช่อย่างนั้นเลยนะครับ”

          “คนในประเทศนี้ชอบคุยกันแบบนิรนามไม่ต้องรู้จักกันนี่นะ เทศกาลแบบนี้ก็เลยลงตัวพอดี”

          “คือ แถวนี้พอจะมีร้านขายเสื้อผ้ามือสองมั้ยคะ” เด็กสาวถามแทรก “พอดีว่าลืมถุงใส่เสื้อผ้าที่จะเอามาเปลี่ยนไว้บนรถไฟน่ะค่ะ ถ้ากลับไปทั้งชุดอย่างนี้คงไม่ได้ เลยกะว่าจะไปซื้อเสื้อผ้ามาเปลี่ยนก่อนน่ะค่ะ แต่ที่ถามหาร้านเสื้อผ้ามือสองเพราะมือก็ยังเปื้อนสีอยู่เลยไม่กล้าจับเสื้อผ้าใหม่ ถึงสีจะแห้งแล้วก็เถอะค่ะ”

          “แย่เลยนะ” เขาจับผ้าพันแผลที่หน้าเล่นพลางคิด “ร้านเสื้อผ้ามือสองเหรอ ถ้าเลยอาร์เคตตรงนั้นไปเหมือนจะมีอยู่ร้านนึงนะ”

          นิ้วของเขาชี้ไปที่ด้านหลังพวกเรา

          เธอค้อมหัวลงเล็กน้อยเป็นการขอบคุณแล้วดึงแขนเสื้อผม

          “ต้องรีบไปแล้วเหรอ”

          “ครับ ป่านนี้คงรอพวกเราแย่แล้ว” ผมตอบ

          “เหรอ อยากคุยสบาย ๆ อีกสักหน่อยนะ แต่ก็ไม่เป็นไร”

          เขายื่นมือข้างขวาที่มีผ้าพันแผลมาขอจับมือ ผมอึกอักเพราะแผลที่มือ สุดท้ายก็จับมือเขาแน่น แน่นอนว่าเขาก็จับมือโดนนิ้วก้อยที่เป็นแผลด้วยจนเลือดซึมเข้าที่ผ้าพันแผลบนมือ ผมกัดฟันฝืนยิ้ม ส่วนเธอก็จับมืออย่างดูไม่เต็มใจนัก

          ด้านในอาร์เคตคนยิ่งแน่นเป็นพิเศษ กว่าจะไปถึงร้านขายเสื้อผ้ามือสองที่อยู่ห่างออกไปอีกไม่กี่สิบเมตรก็กินเวลากว่าสิบนาที เป็นร้านแคบ ๆ พื้นส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดทุกครั้งที่เหยียบ พวกเรารีบเลือกหยิบเสื้อผ้าใส่ตะกร้าแล้วไปคิดเงิน หนนี้เธอไม่เลือกมากแล้ว

          พนักงานร้านที่ใส่หน้ากากสีขาวถามด้วยความคุ้นชินกับการแต่งตัวของลูกค้าในวันนี้ “ขอถ่ายรูปหน่อยได้ไหมคะ” ผมพยายามใช้ข้ออ้างที่พอจะช่วยได้แล้วล้วงกระเป๋าสตางค์ออกมา “อ้อ เทศกาลฮัลโลวีนลดให้ครึ่งหนึ่งนะคะ” เธอบอก คงจะเป็นส่วนลดพิเศษสำหรับลูกค้าที่แต่งตัวมาเทศกาล

          ถึงจะอยากเปลี่ยนชุดเลยทันที แต่ต้องจัดการกับคราบเลือดที่เลอะตามตัวก่อน ห้องน้ำสาธารณะน่าจะเป็นที่ที่ดีที่สุด จึงออกเดินตามหาตามตึกอาศัยกับห้างฯ ขนาดเล็ก ทว่าเต็มหมดทุกที่ อาจจะมีคนใช้เปลี่ยนเสื้อผ้ากันอยู่

          หลังจากที่เดินกันจนล้าแล้วก็เริ่มคิดถึงอีกวิธีแก้หนึ่ง นั่นคือการซื้อผ้าเช็ดตัวแล้วค่อย ๆ ซับตามตัว แต่ตอนนั้นเองที่ผมเงยหน้าขึ้นแล้วเห็นหอนาฬิกาใหญ่ของโรงเรียนมัธยมต้นโผล่มาตรงซอกตึก

          พวกเราปีนรั้วแล้วเข้าไปในเขตโรงเรียน บริเวณใต้ตึกเรียนมีแท่นก๊อกน้ำที่ถูกล้อมด้วยต้นไม้ที่ตายแล้วจนทึบ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการแอบล้างเนื้อตัวให้สะอาด สถานที่นี้ใช้เป็นที่เก็บของจากงานเทศกาลโรงเรียน ทั้งของประกอบการแสดง ชุดมาสคอต แผ่นป้าย เต็นท์ อะไรประมาณนั้น

          ผมถอดเสื้อเชิ้ตชั้นนอกแล้วล้างแขนขาด้วยน้ำที่เย็นเฉียบ หยิบสบู่กลิ่นเลมอนที่วางอยู่ข้าง ๆ ก๊อกน้ำมาฟอกแล้วขัดถูตามบริเวณที่เป็นคราบเลือด คอยขัดถูไปเรื่อย ๆ แม้เลือดที่แห้งแล้วจะล้างยากก็ตามให้สะอาดเท่าที่ทำได้ ฟองสบู่ไหลเข้าแผลตรงนิ้วก้อยด้วย

          พอผมหันไปมองด้านข้างก็เห็นว่าเด็กสาวกำลังหันหลังถอดเสื้ออยู่ เผยให้เห็นรอยแผลไหม้ที่อยู่บนไหล่บอบบางของเธอ ผมรีบเบือนหน้าหนีหันหลังให้แล้วถอดเสื้อยืดออก ฟันผมกระทบกันกึก ๆ ด้วยความหนาวจากลมกลางคืนที่ต้องผิวชุ่มน้ำ จากนั้นฟอกตามต้นคอกับแผงอกด้วยสบู่ก้อนแล้วล้างออก สุดท้ายจึงใส่เสื้อยืดที่มีกลิ่นไม้ซึ่งซื้อมาจากร้านเสื้อผ้ามือสอง

          ปัญหาสุดท้ายคือผมของเธอที่มีเลือดติดอยู่จนจับตัวเป็นก้อน น้ำเย็นนั้นใช้ล้างไม่ได้ และระหว่างที่ผมคิดหาทางออกอยู่นั้น เธอหยิบกรรไกรตัดผ้าออกมาจากกระเป๋า

          เธอคงจะไม่- เด็กสาวใช้กรรไกรตัดผมที่ยาวสลวยนั้นออกไปประมาณยี่สิบเซนติเมตร เธอกำเส้นผมนั้นไว้แล้วปล่อยให้ปลิดปลิวไปตามสายลมหนาว อันตรธานหายไปในความมืดมิด

          กว่าจะเปลี่ยนเสื้อเสร็จก็เย็นยะเยือกไปทั้งตัวแล้ว เด็กสาวขยับหน้าของเธอให้ซุกอยู่กับคอเสื้อไหมพรม ส่วนผมเดินปากสั่นหงึก ๆ อยู่ในเสื้อแจ็กเก็ตแบบมีฮู้ดที่รูดซิปปิดสนิท ระหว่างที่เดินมุ่งหน้าไปยังสถานีรถไฟเธอทนเจ็บขาไม่ไหวจึงขี่หลังผมแทน และตอนที่กำลังซื้อตั๋วรถไฟท่ามกลางผู้คนแออัดก็มีเสียงประกาศของรถไฟขบวนที่กำลังจะมาถึง พวกเราวิ่งเหยาะ ๆ ข้ามสะพานลอยไปยังรถไฟที่มีแสงเจิดจ้านั้น เดินทางอยู่ยี่สิบนาทีจึงมาซื้อตั๋วรถไฟชินคันเซนต่อ หลังจากที่โดยสารมาประมาณสองชั่วโมงก็มาต่อรถไฟขบวนธรรมดา และตอนนั้นเองที่ผมอ่อนเพลียถึงขีดสุด พอถึงที่นั่งในรถไฟแล้วยังไม่ทันสามสิบวินาทีก็ผล็อยหลับไป

          ผมรู้สึกถึงน้ำหนักที่ไหล่ รู้ตัวอีกทีเธอก็มานอนพิงไหล่ผมแล้ว จังหวะการหายใจของเธอแผ่วเบา มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ตามตัว ชวนให้คิดถึงอย่างประหลาด แต่ไม่จำเป็นต้องปลุกเธอเพราะยังเหลือเวลาอีกมากกว่าจะถึงที่หมาย ผมปิดเปลือกตาทำเป็นหลับเพื่อไม่ให้เธอต้องกระอักกระอ่วนเมื่อตื่นมา

          จนผมเกือบเผลอหลับไปจริง ๆ จึงมีเสียงประกาศอันคุ้นเคยดังขึ้นมา ผมกระซิบข้างหูเธอ “จะถึงแล้วนะ” เธอตอบในทันทีว่า “รู้แล้วค่ะ” ทั้ง ๆ ที่ยังหลับตาพิงผมอยู่

          ตื่นมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน

          สุดท้ายเธอก็พิงไหล่ผมไปตลอดทางจนผมลุกจากที่นั่งตอนถึงสถานีปลายทาง

 

          กว่าจะกลับถึงอพาร์ตเมนต์ก็ปาเข้าไปสี่ทุ่มแล้ว เด็กสาวเข้าไปอาบน้ำก่อน ใส่ชุดนอนเป็นเสื้อแบบมีฮู้ดปาร์กาซึ่งมีขนปกคลุมอยู่รอบ ๆ ฮู้ดแล้วกินยาแก้ปวดเข้าไปซุกตัวในผ้าห่ม ผมเองก็รีบไปอาบน้ำเปลี่ยนเป็นชุดนอนและมาทำแผล ใช้วาสลีนทาแผลแล้วปิดด้วยปลาสเตอร์ กินยาแก้ปวดเกินกว่าที่ฉลากกำหนดหนึ่งเม็ดแล้วเอนตัวลงนอนที่โซฟา

          ผมสะดุ้งตื่นมากลางดึกด้วยเสียงบางอย่าง

          เด็กสาวเธอนั่งกอดเข่าอยู่บนเตียงในความมืดมิด

          “นอนไม่หลับเหรอ” ผมถาม

          “ก็อย่างที่เห็นนี่แหละค่ะ”

          “ยังเจ็บหัวเข่าอยู่เหรอ”

          “ก็เจ็บอยู่แหละค่ะ แต่เรื่องของเรื่องคือ…คุณคงพอจะเดาออกอยู่แล้วว่าฉันเป็นคนขี้ขลาดน่ะนะคะ” เธอตอบเอาหน้าซุกหัวเข่า

          “พอหลับตา ภาพผู้ชายคนนั้นก็ลอยมาค่ะ เห็นภาพตัวเขาเปื้อนเลือดทั้งเตะต่อยฉัน กลัวจนนอนไม่หลับเลย …บ้าใช่มั้ยล่ะคะ ทั้งที่ฉันเป็นฆาตกรแท้ ๆ ”

          ผมนึกหาคำพูด คำพูดที่เป็นเหมือนเวทมนตร์อันจะช่วยปัดเป่าความไม่สบายใจและทุกข์โศกทั้งหลายให้เธอหลับสบาย ถ้ามีคำพูดเช่นนั้นคงดี แต่ผมไม่เคยรับมือกับสถานการณ์เช่นนี้ที่ต้องคอยปลอบประโลมคนอื่น

          หมดเวลาแล้ว มีเพียงคำที่ฟังดูเหมือนไม่ได้กลั่นกรองออกมาจากปากผม

          “งั้นจิบเหล้าสักนิดไหม”

          เธอเงยหน้าขึ้นมาเงียบ ๆ “…ก็ดีนะคะ” พลางถอดฮู้ดออก

          ผมรู้ว่ายาแก้ปวดไม่ควรกินคู่กับแอลกอฮอล์ และรู้ว่าบาดแผลบวกแอลกอฮอล์ไม่ใช่สิ่งดี แต่ผมไม่มีวิธีที่จะช่วยบรรเทาความทรมานของเธอแล้ว ผมเชื่อในฤทธิ์กดประสาทส่วนกลางของแอลกอฮอล์มากกว่าคำปลอบโยนของตัวผมซึ่งขาดทั้งประสบการณ์ทางโลกและความเห็นใจผู้อื่น

          ผมตั้งเตาอุ่นนม เทแบ่งใส่สองแก้วแล้วผสมบรั่นดีกับน้ำผึ้งลงไป เป็นเครื่องดื่มที่ผมทำดื่มบ่อย ๆ กลางคืนฤดูหนาวที่ผมนอนไม่ค่อยหลับ จังหวะที่ผมเดินถือแก้วมาให้เธอที่อยู่ในห้องนั่งเล่นก็นึกถึงเขาคนนั้นที่ใช้วิธีเดียวกันทำให้พวกเราตายใจ

          เธอรับแก้วไปจากผมแล้วเป่าให้นมในแก้วเย็นลง

          “อร่อย”

          เด็กสาวพึมพำหลังจากจิบ

          “ถึงความทรงจำร่วมกับเหล้าของฉันจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่ชอบอันนี้นะคะ”

          พอเห็นว่าเธอดื่มหมดแก้วด้วยความรวดเร็วจึงยื่นแก้วของผมให้ เธอรับไปแล้วดื่มอย่างมีความสุข

          ทั้งห้องมีเพียงโคมไฟตรงหัวเตียงที่เปิดอยู่ ทำให้เห็นหน้าของเธอที่แดงด้วยความเมาไม่ชัดนัก

          พวกเรานั่งอยู่ข้างเตียง ผมจ้องชั้นหนังสือไปเรื่อยเปื่อย และเธอก็พูดขึ้นมาเหมือนลิ้นเริ่มพันกัน

          “คุณเนี่ย ไม่รู้เรื่องรู้ราวเลยนะคะ”

          “อืม ก็คิดว่าคงงั้นแหละ” ผมเห็นด้วย เพราะไม่รู้เรื่องที่เธอพูดเลยสักนิด

          “…ตอนนี้น่าจะเป็นช่วงที่คุณทำแต้มได้นะคะ” เธอก้มมองเข่าตัวเอง “ฉันน่ะ อย่างน้อย ๆ ก็อยากได้คนปลอบสักหน่อย”

          “ก็คิดอย่างนั้นอยู่หรอก” ผมตอบ “แต่ไม่รู้จะต้องปลอบเธอยังไงนี่สิ ยังไงผมเองก็เป็นคนฆ่าเธอ พูดอะไรไปก็ไม่รู้จะเห็นด้วยมั้ย เผลอ ๆ เธอจะคิดว่าฉันถากถางหรือล้อเลียนเธออีก”

          เธอลุกขึ้นถือแก้วไปวางที่โต๊ะแล้วใช้นิ้วชี้ดีดแก้วเบา ๆ และกลับมานั่งที่เตียงเหมือนเดิม

          “งั้นฉันจะลืมเรื่องอุบัติเหตุไปชั่วคราวก่อนนะคะ ทำแต้มตอนนี้ได้เลยค่ะ”

          คงอยากให้ผมปลอบเธอจริง ๆ

          ผมรวบรวมความกล้าที่มีอยู่ทั้งหมด

          “ถ้าวิธีมันแปลก ๆ จะไม่ว่าใช่มั้ย”

          “ไม่ค่ะ อยากทำอะไรก็ทำเลย”

          “สาบานว่าจะไม่ดิ้นไม่ยุกยิกจนกว่าจะบอกว่าเสร็จแล้ว”

          “สาบานค่ะ”

          “จะไม่เสียใจทีหลังนะ”

          “…มั้งนะคะ”

          ผมนั่งลงตรงหน้าเข่าเธอสำรวจรอยช้ำที่คงเจ็บน่าดูนั้น ตรงที่บวมแดงตอนแรกกลายเป็นสีม่วงไปแล้ว

          ตัวเธอสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อใช้ปลายนิ้วแตะรอบ ๆ รอยช้ำ ก้มมองมาสายตาดูระแวง ทีนี้เธอก็จะจดจ่ออยู่กับทุกสัมผัสจากมือของผม

          ผมค่อย ๆ ทำให้เธอเกร็งขึ้นเรื่อย ๆ แตะจุดบอบบางนั้นอย่างระมัดระวัง วางนิ้วลงทีละนิ้วลงบนรอยช้ำกระทั่งทั้งห้านิ้วครอบปิด หากกดฝ่ามือลงไปเพียงเล็กน้อยก็ทำให้เธอเจ็บปวดอย่างทรมานได้ เป็นความคิดที่ดูเชื้อชวนให้ลอง

          เธอดูกลัว ๆ แต่ก็ไม่ขยับตัวตามที่รับปากไว้ เด็กสาวเม้มปากแน่นคอยมองทุกการกระทำ

          คงกำลังกระอักกระอ่วนอยู่ในใจ แต่ผมยังอ้อยอิ่งยืดเยื้อไม่ยอมปล่อย

          เมื่อความเกร็งถึงที่สุด ผมพูดออกไปว่า

 

          – แ ล ะ แ ล้ ว บ า ด แ ผ ล จ ะ ล บ เ ลื อ น –

                    “โอ๋เอ๋ เพี้ยง หาย”

 

          ผมยกมือออกแล้วทำท่าเหมือนโยนบางอย่างออกไปทางหน้าต่าง

          ทำท่าให้ดูจริงจังเท่าที่จะทำได้

          เธอหันมามองผมด้วยสายตาอึ้ง ๆ

          ไม่ได้ผลสินะ

          ความเงียบเข้าปกคลุมชั่วอึดใจหนึ่ง และเธอก็หัวเราะคิกคัก

          “อะไรกันคะเนี่ย บ้าหรือเปล่า” ทั้งที่พยายามกลั้นขำแล้วแต่ก็หลุดหัวเราะพรืดออกมา เป็นรอยยิ้มที่จริงใจ มาจากใจ และดูมีความสุข

          “ฉันไม่ใช่เด็ก ๆ แล้วนะคะ”

          “นั่นสินะ คงบ้าไปแล้วละ” ผมพูดกลั้วหัวเราะ

          “ก็นึกว่าจะทำอะไร ปูมาตั้งเยอะเพื่อแค่นั้นน่ะเหรอคะ”

          เธอล้มตัวหงายหลังลงบนเตียงแล้วใช้มือทั้งสองข้างกลบหน้าที่หัวเราะอยู่

          พอหัวเราะจนเต็มที่แล้วจึงพูดต่อ

          “…แล้วมันจะหายไปไหนคะ ความเจ็บปวดของฉันน่ะ”

          “หายไปหาทุกคนที่ทำไม่ดีกับเธอไงละ”

          “ดีจังเลยนะคะ”

          เด็กสาวเอี้ยวตัวกลับมาลุกขึ้นนั่ง นัยน์ตายังชื้นน้ำตาที่เล็ดจากการหัวเราะ

          “คือ ทำแบบเมื่อกี้อีกได้มั้ยคะ” เธอขอ “รอบนี้ขอเป็นที่หัวที่ข้างในมีแต่ความทรงจำแย่ ๆ ค่ะ”

          “ได้สิ จะกี่รอบก็ได้”

          เธอหลับตาลง ผมยื่นมือไปแตะที่หน้าผากแล้วท่องคาถาบ้าบอนั้นอีกรอบ และดูเหมือนว่าเธอจะยังไม่หนำใจ จึงยกเลิกการ ‘เลื่อนเวลา’ ของแผลแต่ละที่บนตัวเธอกลับมาทีละแผลและขอให้ทำเช่นเดิม แผลมีดบาดที่มือ รอยไหม้ตามแขน รอยกรีดที่ต้นขา พอปัดเป่าให้ที่แผลตรงใต้ตาเสร็จ สีหน้าเธอดูสบายใจราวความเจ็บปวดเหล่านั้นลอยหายไปไหนสักที่จริง ๆ ราวกับใช้เวทมนตร์ยังไงยังงั้น

          “คือ มีเรื่องจะขอโทษคุณอย่างค่ะ” เธอว่า “จำที่ฉันบอกว่า ‘คนที่ฉันสนิทหรือคนที่คอยช่วยเหลือฉัน กระทั่งคนที่ชอบหรือเคยชอบก็ไม่มี’ ได้มั้ยคะ”

          “อาฮะ”

          “ที่บอกไปคราวนั้นโกหกค่ะ ที่จริงเคยมีคนที่สนิทกัน คอยดูแลฉัน แล้วฉันก็เคยชอบด้วยค่ะ”

          “เคย เหรอ งั้นแปลว่าตอนนี้ก็ไม่มีแล้วงั้นสิ”

          “ค่ะ จะว่างั้นก็ได้ แต่ฉันก็ผิดเองแหละค่ะ”

          “…หมายความว่าไง”

          แต่เธอไม่พูดอะไรต่อ เพียงส่ายหน้าคล้ายคิดว่า พูดมากไปแล้วสิ ผมเองก็ไม่อยากซักไซ้อะไรอีก เด็กสาวจับข้อมือผมไว้แล้วพูดว่า “เดี๋ยวทำให้บ้างนะคะ” เธอพ่นลมเบา ๆ ใส่ตรงนิ้วก้อยของผมที่มีปลาสเตอร์แปะอยู่

          – แ ล ะ แ ล้ ว บ า ด แ ผ ล จ ะ ล บ เ ลื อ น –

                    โอ๋เอ๋ เพี้ยง หาย

และแล้วบาดแผลจะลบเลือน

และแล้วบาดแผลจะลบเลือน

Score 10
Status: Completed
"บ้าสิ้นดีที่ดันมารักผู้หญิงที่ตัวเองฆ่า" ผมฆ่าคนคนหนึ่งในฤดูใบไม้ร่วงตอนที่ผมอายุได้ยี่สิบสองปี ตอนที่ทุกอย่างบนโลกใบนี้หันหลังให้กับผม — แต่ทว่า เด็กสาวที่ถูกผมฆ่านั้น 'เลื่อน' ความตายออกไปได้อีกสิบวัน และเธอจะใช้เวลาสิบวันอันมีค่าที่เหลืออยู่นั้นแก้แค้นเหล่าผู้คนที่ทำลายชีวิตเธอ "คนที่จะช่วยฉันได้ก็เป็นคุณฆาตกรอยู่แล้วค่ะ" และในขณะที่การแก้แค้นดำเนินไป พวกผมกลับเข้าใกล้ความจริงที่อยู่เบื้องหลังการพบพานของเราสองคนมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งเป็นความทรงจำรสหวานขม และคำบอกลาในวันนั้น

Options

not work with dark mode
Reset