และแล้วบาดแผลจะลบเลือน 4 ฆาตกรเลือดเย็นผู้ขลาดเขลา

ตอนที่ 4 ฆาตกรเลือดเย็นผู้ขลาดเขลา

หลังจากที่เธอตื่นมาด้วยกลิ่นกาแฟและเห็นฮันนีโทสต์แผ่นหนาพร้อมไข่ต้มยางมะตูมกับสลัดผักที่วางเรียงรายแล้วก็มานั่งตาปรือกินมื้อเช้าอยู่เงียบ ๆ ไม่ยอมสบตาผมแม้แต่ครั้งเดียว

          “แล้วจะเอายังไงต่อล่ะ” ผมถาม

          เธอยกมือที่มีแผลอยู่ให้ดู

          “คิดไว้ว่าจะไปเอาคืนกับแผลเป็นนี้ต่อค่ะ”

          “ถ้างั้นก็แสดงว่าแผลนี่ไม่ใช่เพราะพ่อสินะ”

          “ค่ะ ปกติแล้วพ่อจะระวังไม่ให้เป็นแผลนอกร่มผ้าน่ะค่ะ”

          “นอกจากพ่อแล้วมีคนที่อยากแก้แค้นอีกกี่คนล่ะ”

          “คิดดูก็สักห้าคนได้ค่ะ เป็นพวกคนที่ทิ้งแผลเป็นไว้บนตัวฉัน”

          นั่นคือมีแผลเป็นห้าแผลที่เธอ ‘เลื่อนเวลา’ เอาไว้ ไม่สิ คนเดียวใช่ว่าจะทิ้งแผลเป็นไว้ที่เดียวสักหน่อย ต้องบอกว่า อย่างน้อยที่สุดคือห้าแผล

          และผมก็นึกอะไรบางอย่างออก

          “แล้วห้าคนที่ว่าจะไปแก้แค้นก็คือรวมผมด้วยใช่มั้ย”

          “แน่นอนสิคะ” เธอพูดอย่างไม่ทุกข์ร้อนอะไร “ถ้าไปแก้แค้นจนครบสี่คนแล้ว รายต่อไปก็คือคุณค่ะ”

          “…อืม ก็นั่นสินะ”

          ผมพูดพลางนิ่วหน้าไปด้วย

          “แต่ไม่ต้องห่วงหรอกนะคะ ไม่ว่าคุณจะเป็นอะไรไป ถ้าการ ‘เลื่อนเวลา’ ของอุบัติเหตุที่ทำให้ฉันตายหมดขีดจำกัดแล้ว ทุกอย่างที่ฉันเคยทำไว้ก็จะกลายเป็น ‘เรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้น’ ค่ะ”

          “ถึงจะฟังแล้วไม่ค่อยเข้าใจก็เถอะ” จากนั้นผมจึงถามคำถามที่กวนใจผมมาสักระยะแล้ว “แต่ถ้าการ ‘เลื่อนเวลา’ อุบัติเหตุของผมถึงขีดจำกัดแล้ว เรื่องที่เธอเอาค้อนไปทุบพ่อก็จะกลายเป็น ‘เรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้น’ ด้วยใช่มั้ย”

          “แน่นอนสิคะ ก็ฉันโดนรถชนก่อนที่ทันจะได้แก้แค้นอะไรนี่”

          นั่นคือตอนที่เธอเล่าเรื่องการ ‘เลื่อนเวลา’ ครั้งแรกที่เกิดกับแมวตัวสีเทานั้น ตอนที่เธอไปพบซากแมวตายที่น่าสงสารและหายไปตอนที่ไปดูอีกครั้งตอนค่ำ จากนั้นก็ถูกแมวข่วนจนไข้ขึ้น พอหายแล้วก็มีความทรงจำที่ขัดแย้งกันเกิดขึ้น

          “ว่าง่าย ๆ ถ้าเทียบกับเรื่องพ่อเธอให้เห็นภาพ เธอก็เหมือน ‘แมว’ ตัวนั้น ส่วนค้อนก็เหมือน ‘เล็บ’ ของมัน สินะ”

          “จะว่าอย่างนั้นก็น่าจะได้ค่ะ”

          สรุปก็คือ นับจากนี้ไป ถ้าเธอไปทำร้ายใคร พอการ ‘เลื่อนเวลา’ ถึงขีดจำกัด ทุกอย่างก็จะกลับไปเป็นเหมือนเดิม

          “แล้วการแก้แค้นมันจะมีความหมายอะไรล่ะ” ผมถามไปตรง ๆ “เพราะยังไงสุดท้ายอีกสิบวัน…ไม่สิ เก้าวัน ทุกอย่างก็กลับไปเป็นเหมือนเดิมอยู่ดี”

          “ก็ลองคิดดูนะคะ สมมติว่าตอนกำลังฝันอยู่แล้วรู้ตัวว่า ‘นี่คือฝัน’” เธอเทียบ “คุณจะไม่ทำอะไรเลยเพราะคิดว่า ‘ทำอะไรไปก็ไม่มีผลกับความเป็นจริงอยู่ดี’ หรือเลือกที่จะคิดว่า ‘ในเมื่อทำอะไรไปก็ไม่มีผลกับความเป็นจริง งั้นก็ขอทำตามใจเต็มที่เลยแล้วกัน’ ล่ะคะ”

          “ไม่รู้สิ ไม่เคยฝันแบบนั้นเหมือนกัน” ผมสั่นหัว “แค่หวังดีกับเธอน่ะ การไปทำให้คนอื่นที่ทำให้เธอทรมานต้องทรมานไม่ได้ทำให้ความสุขที่หายไปของเธอกลับคืนมาหรอกนะ คือก็ไม่ได้ตั้งใจจะดูถูกความโกรธแค้นอะไรของเธอหรอก แต่ว่าการแก้แค้นน่ะทำไปมันก็แค่นั้น”

          “‘หวังดีกับเธอ’ เหรอคะ” เธอย้ำชัดถ้อยชัดคำเน้นหนักทุกพยางค์ “งั้นนอกจากแก้แค้นแล้ว อะไรที่จะดีกับฉันล่ะคะ”

          “ก็อย่างไปทักทายเพื่อนหรือคนที่คอยช่วยเธอบ้าง ไปสารภาพรักกับคนที่ชอบหรือคนที่เคยชอบ อะไรประมาณนั้น ก็น่าจะมีอะไรให้ทำเยอะแยะนี่”

          “ไม่มีค่ะ” เธอขัดเสียงแหลม “ไม่มีหรอกค่ะคนที่ฉันสนิทหรือคนที่คอยช่วยเหลือฉัน คนที่ชอบหรือเคยชอบก็ไม่มี คำพูดของคุณนี่ย้อนแย้งสวนทางกับตัวฉันสุด ๆ ไปเลยนะคะ”

          ผมคิดจะตอบไปอยู่ว่า เธออาจจะโกรธอยู่หรือเปล่าเลยคิดว่าไม่มี อย่างน้อย ๆ ก็คงจะมีสักคนถ้าลองนึกดู แต่สิ่งที่เธอพูดมานั้นก็มีความเป็นไปได้ว่าจริง ผมจึงกลืนคำพูดเหล่านั้นลงคอไป

          “ขอโทษที่พูดอะไรไม่คิดนะ” ผมพูด

          “ค่ะ คราวหน้าก็ระวังคำพูดหน่อยแล้วกัน”

          “…แล้ว จะไปแก้แค้นใครต่อ”

          “พี่สาวค่ะ”

          ต่อจากพ่อก็พี่สาว รายต่อไปจะเป็นแม่หรือเปล่า

          “เป็นบ้านที่ดูไม่ค่อยอบอุ่นเลยนะ”

          ไม่ใช่เรื่องของคุณค่ะ เธอสวน

 

          ความรู้สึกที่เหมือนจะหายจากความปวดเมื่อยทุกอย่างนั้นหายไปทันทีที่จับลูกบิดประตู พอใส่รองเท้าบูตเตรียมจะออกไปทั้งตัวก็หมดแรงจนได้แต่อยู่นิ่ง ๆ ถ้าเกิดคนที่ไม่รู้ผ่านมาเห็นคงเข้าใจผิดคิดว่าลูกบิดนี้ไฟรั่วเป็นแน่

          ผมยืนค้างอยู่อย่างนั้น ชีพจรเต้นเร็วขึ้น รู้สึกแน่นหน้าอกจนเจ็บ โดยเฉพาะตรงลิ้นปี่ ทั้งแขนและขาชาไปทั่วและอ่อนแรง แม้จะลองรออยู่นิ่ง ๆ สักพักแต่ก็ไม่ดีขึ้น เป็นอาการเหล่านั้นนั่นเอง ที่ผมคิดว่าคงหายไปแล้วหลังจากที่ช็อกกับอุบัติเหตุตอนนั้น สุดท้ายผมก็ยังกลัวการออกไปข้างนอกอยู่ดี

          พอเธอเห็นผมที่ค้างไปเหมือนแบตเตอรีหมดอย่างนั้นก็พูดว่า “ล้อกันเล่นอยู่หรือเปล่าคะ” พลางขมวดคิ้ว ใครเห็นก็คงคิดว่ากำลังนึกแกล้งอะไรอยู่แน่ ๆ และทันใดนั้นข้างในท้องก็รู้สึกหนักอึ้งเหมือนมีก้อนหินถมอยู่จนชวนให้อาเจียน เหงื่อเย็น ๆ เริ่มไหลออกมา

          “‘โทษทีนะ รอหน่อยได้มั้ย”

          “อะไรคะ ไม่สบายเหรอ”

          “เปล่า แค่ไม่ค่อยถูกกับโลกภายนอกน่ะ นี่ก็ใช้ชีวิตแบบออกไปแค่ตอนกลางดึกมาสักครึ่งปีได้แล้ว”

           “แต่เมื่อวานซืนก็ออกไปตั้งไกลขนาดนั้นนี่คะ”

          “อืม ก็เป็นอย่างนั้นแล้วเลยกลัวละมั้ง”

          “ตอนทำรถชนก็เป็นไปแล้วรอบ เป็นคนที่จิตใจไม่เข้มแข็งเลยนะคะ” สีหน้าเธอดูเอือมระอา “งั้นก็รีบ ๆ ทำยังไงก็ได้ให้หายเถอะค่ะ ถ้าอีกยี่สิบนาทีแล้วยังเหมือนเดิมก็อยู่คนเดียวไปนะคะ ฉันไปทำตามแผนของฉันเองก็ได้”

          “เข้าใจละ เดี๋ยวจะพยายาม”

          ผมนอนแหงนหน้าอยู่บนเตียง ทั้งชีพจรที่เต้นรัวกับแขนขาที่ชาก็ยังไม่ดีขึ้น เมื่อนอนอยู่สักพักก็ได้กลิ่นที่ไม่ใช่ของตัวผมมาจากเตียง คงเป็นของเธอที่นอนอยู่ก่อนหน้า ซึ่งทำให้รู้สึกเหมือนผมถูกรุกล้ำอาณาเขต

          ด้วยความที่อยากอยู่คนเดียว ต่อให้จะมีแค่กำแพงกั้นอยู่บานเดียวก็ยังดี ผมเข้าไปนั่งที่ชักโครกในห้องน้ำอันอึมทึมแล้วเอามือทั้งสองข้างปิดหน้าไว้ ผมสูดอากาศที่ช่วยเยียวยาแล้วกลั้นหายใจไว้สักสองสามวินาทีจึงหายใจออก พอทำอยู่ซ้ำ ๆ ก็รู้สึกโล่งขึ้นบ้าง แต่กว่าจะออกไปข้างนอกได้ก็คงสักพัก

          หลังจากที่ออกมาจากห้องน้ำแล้วผมก็เอาแว่นกันแดดแบบที่มีฝาเปิดปิดเลนส์จากลิ้นชักตู้เสื้อผ้ามาใส่ ชินโดทิ้งมันไว้ตรงนั้นหลังจากที่ซื้อมาเล่น ๆ ไม่ว่าใครใส่ก็จะดูเหมือนฮิปปีหน้าโง่ทันที

          ผมเช็ดรอยเปื้อนบนเลนส์แล้วใส่ไปยืนอยู่หน้ากระจก ตัวผมในนั้นดูหน้าโง่กว่าที่คิดไว้เสียอีก เล่นเอาจิตใจห่อเหี่ยวจนไหล่ตก

          “แว่นเห่ย ๆ นั่นมันอะไรคะเนี่ย” เธอทัก “ไม่เข้ากันสักนิดเลยค่ะ”

          “เห่ยแบบนี้แหละดี” ผมหัวเราะ พอใส่แว่นกันแดดนี้แล้วก็ทำให้หัวเราะได้แบบไม่ต้องฝืน ถึงจะมีอาการคลื่นไส้อยู่ แต่เดี๋ยวก็คงหาย “ขอโทษที่ให้รอนะ ไปกัน”

          ผมออกแรงเปิดประตูแล้วลงบันไดมายังข้างในรถคันเล็กที่มีแต่กลิ่นบุหรี่คลุ้งอยู่ จากนั้นก็บิดกุญแจติดเครื่องรถ เด็กสาวเข้ามานั่งที่นั่งข้างคนขับเพื่อช่วยบอกทาง เธอกางแผนที่ขนาด B5 วางไว้บนต้นขา ในนั้นมีรอยปากกาแดงที่เขียนพวกหมายเหตุกับเส้นทางเอาไว้

          “เตรียมมาขนาดนี้คงคิดแผนแก้แค้นมาพักใหญ่แล้วสิ”

          สายตาของเธอยังไม่ละไปจากแผนที่ “ทั้งชีวิตก็คิดแต่เรื่องนี้แหละค่ะ” เธอตอบ

 

          ถนนในยามเช้านั้นแน่นขนัด ทั้งสองข้างทางเต็มไปด้วยรถที่จะเดินทางไปทำงาน แม้แต่ทางเท้าก็เต็มไปด้วยเหล่านักเรียน ม. ปลาย ที่กำลังเดินทางไปเรียน แต่ละคนต่างพกร่มกันคละสีไว้เผื่อฝนตก

          นักเรียนที่กำลังข้ามถนนไปขณะที่รถผมจอดที่ไฟแดงต่างหันมามองพวกเราชวนให้อึดอัด คิดอะไรอยู่กันนะ อาจจะเห็นว่าเป็นพี่ชายที่กำลังจะไปมหาวิทยาลัยแล้วต้องมาส่งน้องสาวก่อน

          ส่วนเด็กสาวข้าง ๆ ก็เอนตัวกับเบาะนั่งแล้วไหลตัวลงไปหลบสายตาของคนเหล่านั้น

          เมื่อผมหันไปทางหน้าต่างที่นั่งข้างคนขับก็เห็นร้านดอกไม้เล็ก ๆ ร้านหนึ่งที่มีดอกไม้หลากสีประดับประดา ทั้งตกแต่งด้วยฟักทองแกะสลักเป็นแจ็กโอแลนเทิร์นอีกสี่ลูกที่ถูกใช้เป็นกระถางดอกไม้ ข้างบนมีดอกไม้สีโทนอุ่นบานอยู่ และผมเพิ่งนึกได้ว่าเทศกาลฮัลโลวีนก็คือสิ้นเดือนตุลาคมนี้แล้ว และเดี๋ยวก็จะเป็นช่วงที่แต่ละโรงเรียนจัดงานเทศกาลกันอีก ระยะนี้คงเป็นช่วงที่ทำให้ใครหลายคนดี๊ด๊าขึ้นมาทีเดียว

          “เพิ่งนึกได้อย่าง” ผมพูดขึ้น “จะแน่ใจได้ไงว่าพี่สาวจะอยู่ที่บ้านน่ะ พ่อเธอโดนเล่นอ่วมขนาดนั้นก็คงโทร. ไปบอกพี่หมดแล้ว แล้วถ้าพี่สาวเธอรู้ตัวว่าทำให้เธอแค้น ป่านนี้คงหนีไปไหนต่อไหนแล้วมั้ง”

          เธอที่นั่งตรงที่นั่งข้างคนขับตอบมาเหมือนรำคาญ “คงไม่โทร. ไปหรอกค่ะ รายนั้นน่ะตัดขาดพี่สาวออกจากบ้านไปแล้ว ต่อให้อยากโทร. ไปก็คงไม่รู้เบอร์โทร. หรอกค่ะ”

          “อย่างนี้นี่เอง” ผมพยักหน้า “แล้วอีกไกลแค่ไหนกว่าจะถึงที่หมาย”

          “สักสามชั่วโมงค่ะ”

          ดูท่าจะได้ขับไปยาว ๆ วิทยุก็น่าเบื่อ ส่วนพวก CD ที่อยู่ในเก๊ะหน้ารถก็คงไม่ถูกจริตสาวม. ปลาย แน่ ๆ

          “…ช่วงนี้คงมีหลาย ๆ คนที่รู้สึกว่าอากาศเริ่มเย็นลงจนน่าตกใจใช่มั้ยล่ะคะ” เสียงของผู้จัดรายการวิทยุดังออกมา “ปีนี้หนาวแปลก ๆ นะคะ เมื่อเช้ายังเห็นคนใส่เสื้อคลุมอย่างกับว่าเป็นหน้าหนาวเลย แต่ว่าตามตรง ดูจากสภาพอากาศก็ไม่แปลกหรอกค่ะที่ใส่ขนาดนั้น ฉันเองก็เป็นคนขี้หนาว เลยใส่ทั้งที่ปิดหูกับถุงมือ แล้วก็ใส่ชุดทับสองชั้นเลย เริ่มคิดแล้วใช่มั้ยล่ะคะว่าบ้าหรือเปล่า แต่แปลกใจนะคะที่…”

          ระหว่างที่ติดแหง็กอยู่กลางทะเลรถ ผมก็ขออนุญาตเธอว่าจะสูบบุหรี่

          “ก็ได้ค่ะ แต่ขอฉันมวนหนึ่งด้วยนะคะ” เธอว่า

          เปล่าประโยชน์จะห้าม จะมาเทศน์เรื่องสุขภาพกับคนที่ตายไปแล้วก็คงตลก

          “ระวังอย่าให้คนข้างนอกเห็นละ”

          ผมเตือนไปเช่นนั้นและหยิบบุหรี่ออกมามวนหนึ่ง จากนั้นใช้นิ้วบี้ส่วนปลายให้พอนิ่มแล้วส่งให้เธอ

          การที่ได้เห็นเด็กสาว ม. ปลาย ในเครื่องแบบมานั่งสูบบุหรี่ในรถนั้นเป็นอะไรที่ไม่ชินตาที่สุด เธอใช้ที่จุดบุหรี่ในรถอย่างเงอะ ๆ งะ ๆ พอสูดควันเข้าไปแล้วก็ไอเสียงดัง

          “ลองแบ่งช่วงสูบทีละประมาณสักช้อนชาดู” ผมแนะนำ “อาจจะได้รสดีกว่าตอนสูบแบบครั้งแรกนะ”

          แม้เธอจะลองหันมาทำตามที่ผมบอกแล้วก็ยังสำลักควันอยู่ดี

          ผมนึกจะเตือนว่าเธอคงไม่เหมาะกับการสูบบุหรี่ แต่พอเห็นท่าทางที่พยายามอยู่หลายครั้งอย่างไม่เข็ดหลาบเลยนั้นแล้ว ผมจึงปล่อยให้เธอลองให้เต็มที่

          “อันนี้จะตอบไม่ตอบก็ได้นะ” ผมเปิดเรื่องขึ้นมา “พี่สาวเธอทำอะไรเธอเหรอ”

          “ไม่ขอตอบค่ะ”

          “อืมฮึ”

          เธอทิ้งก้นบุหรี่ลงในที่เขี่ยบุหรี่ “เรื่องนั้นมันอธิบายง่าย ๆ ไม่ได้น่ะค่ะ” และเสริมอีก “แต่เอาเป็นว่า เธอเป็นคนที่ทำให้ฉันต้องกลายเป็นมนุษย์ที่เกินเยียวยาน่ะค่ะ จำแบบนั้นไปก่อนนะคะ”

          “เกินเยียวยาเหรอ หมายความว่าไง”

          “เป็นนิสัยที่เสียจนแก้ไขไม่ได้น่ะค่ะ สังเกตมั้ยคะเนี่ยว่าฉันมีนิสัยที่ว่า”

          “ไม่รู้เลย ผมว่าดูรวม ๆ แล้วเธอก็ปกตินะ”

          “จะทำแต้มซะแล้วเหรอคะ พูดเอาใจไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอกนะคะ”

          “เปล่าทำแต้มสักหน่อย”

          ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่จริง ๆ ที่พูดไปก็เพราะอยากให้เธอรู้สึกดีขึ้นบ้าง

          “บอกว่าดูปกติงั้นเหรอคะ งั้นเดี๋ยวจะยกตัวอย่างค้านให้ดูค่ะ”

          เด็กสาวล้วงเข้าไปในกระเป๋านักเรียน

          และหยิบตุ๊กตาหมีออกมา

          เป็นตุ๊กตาที่ดูนุ่มนิ่ม ใส่ชุดทหารสีแดงกับหมวกสีดำ

          “ฉันอายุป่านนี้แล้วก็ยังต้องเอามาจับเล่นอยู่นะคะ ถ้าไม่ได้จับละก็จะไม่สบายใจเลย …กลัวแล้วหรือยังคะ”

          เธอถอนหายใจเฮือกใหญ่ราวกับว่าทรมานกับอาการนั้นจริง ๆ

          “แบบ ‘ผ้าห่มอุ่นใจของไลนัส[1]’ น่ะเหรอ ของแบบนั้นก็มีเยอะแยะไป ไม่เห็นต้องอายเลย” ผมพูดต่อ “สมัยก่อนเมื่อนานมาแล้วผมเคยมีเพื่อนคนนึงที่ตั้งชื่อให้ตุ๊กตาแล้วยังคุยกับมันอยู่บ่อย ๆ จนน่าขนลุกเลยละ ถ้าเทียบกับเคสแบบนั้น ระดับเธอแค่จับ…”

          “ขอโทษที่ทำให้ขนลุกนะคะ”

          เธอจ้องผมแล้วเอาตุ๊กตายัดคืนใส่กระเป๋าไป ผมนึกเสียใจว่าหาเหาใส่หัวแท้ ๆ ที่ดันไปดูถูกความคิดของเธอได้แย่ที่สุด แต่ใครจะไปคิดล่ะว่าเธอที่มีสายตาเย็นชาแบบนี้จะมีมุมแบบที่ตั้งชื่อเรียกให้ตุ๊กตาหรืออะไรอย่างนั้นด้วย

          ความเงียบอันน่าอึดอัดเข้าปกคลุม

          “…และธีมสำหรับเรื่องจากทางบ้านวันนี้คือ ‘ช่วงเวลาที่ทำให้รู้สึกว่าดีจังที่ยังมีชีวิตอยู่’ ค่ะ” เสียงนั้นเป็นเสียงจากผู้จัดรายการวิทยุ “เริ่มจาก คุณที่ใช้ชื่อว่า ‘แม่ลูกสอง’ เลยนะคะ ‘ลูกสาวแปดขวบกับหกขวบของดิฉันเข้ากันได้ดีจนแม้แต่ดิฉันยังตกใจเลยค่ะ วันแม่ปีนี้พวกเขาสองคนแอบเตรียมของขวัญไว้ให้ดิฉันด้ว…’”

          เธอยื่นมือมาหรี่เสียงวิทยุก่อนผมทันจะได้มาจับปุ่มเสียอีก

          เรื่องนั้นมันสดใสเกินไปสำหรับบรรยากาศพวกเราตอนนี้

 

          หลังจากที่ออกมาจากการจราจรอันติดขัดนั้นได้แล้วก็ใช้เวลาอีกประมาณสองชั่วโมงขับไปตามเส้นทางเลียบภูเขาที่ทั้งสองข้างทางมีใบไม้สีส้มแดงเหมือนถูกเผาไฟ จนกระทั่งมาถึงเมืองที่พี่สาวของเธออาศัยอยู่ พวกเราแวะกินของว่างที่ร้านแฮมเบอร์เกอร์ร้านหนึ่งแล้วขับรถต่อมาอีกสิบยี่สิบนาทีก็ถึงที่หมาย

          เป็นบ้านที่ดูสะอ้านตา ด้านหลังรั้วอิฐเป็นสวนที่ได้รับการเอาใจใส่อย่างดี มีกุหลาบของทั้งสี่ฤดูบานสะพรั่งอยู่ ที่มุมหนึ่งมีชิงช้าแขวนอยู่กับหลังคาที่คลุมทางเดินหินเอาไว้ ภายนอกบ้านถูกทาด้วยสีฟ้าจนดูกลืนไปกับท้องฟ้า ตรงชั้นสองมีหน้าต่างสีขาวสามบานที่มีกรอบด้านบนเป็นแบบโค้ง

          เป็นบ้านที่ดูอบอุ่น เด็กสาวบอกมาว่าบ้านนี้เป็นที่ที่พี่ของเธอมาเริ่มต้นชีวิตแต่งงานใหม่

          ไม่เหมือนบ้านของผมเลยสักนิด

          บ้านที่ผมอยู่ไม่ได้ขัดสนเรื่องเงินหรืออะไร แต่สภาพภายนอกนั้นบ่งบอกถึงความผุพังของจิตใจเจ้าของบ้านได้เป็นอย่างดี ตามกำแพงบ้านมีเถาไอวีเลื้อยอยู่ ส่วนบริเวณนั้นก็มีของที่ไม่ใช้แล้วถูกทิ้งไว้เกลื่อนกลาด ทั้งจักรยานสามล้อ รองเท้าสเก็ต รถเข็นเด็ก ถังเหล็กใบใหญ่ ที่สวนมีหญ้าขึ้นรกชัฏจนดูเหมือนเป็นบ้านร้าง กลายเป็นแหล่งสุมของแมวจรจัดไป

          บางทีมันอาจจะเป็นบ้านที่มีความสุขอยู่ตอนที่ผมเกิดมาได้ไม่นาน แต่พอผมเริ่มโตพอจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร พ่อแม่ของผมก็กลายเป็นคนที่ไม่เหลียวแลคำว่าครอบครัว มองว่าแค่ลูกหนึ่งคนก็เป็นภาระอันหนักอึ้ง ผมนึกสงสัยมาตลอดว่าคนเราจะคิดมีครอบครัวไปทำไมกัน เมื่อแม่ออกจากบ้านไปก็กลับทำให้โล่งขึ้น คงเพราะการปล่อยให้เป็นอย่างที่ควรจะเป็นนั้นดีต่อตัวพวกเขามากกว่า

          “บ้านสวยนะ” ผมชม

          “คุณรออยู่ข้างนอกนะคะ มีความเป็นไปได้สูงว่าคุณจะไม่ต้องเข้ามาช่วยฉัน เตรียมขับรถหนีไปด้วยกันก็พอค่ะ”

          เธอพูดแล้วถอดเสื้อคลุมส่งมาให้ผม จากนั้นเดินผ่านกรอบทางเข้าไปที่ประตูหน้าบ้านแล้วกดกริ่ง

          เสียงกริ่งดังแจ่มชัดไปทั่วบริเวณ

          ประตูไม้ถูกเปิดออกช้า ๆ โดยผู้หญิงอายุราวยี่สิบต้น ๆ

          ผมคอยจับตามองเธออยู่ใต้ร่มไม้ เธอใส่เสื้อกันหนาวแบบถักสีเขียวแก่กับกางเกงสีเทา ผมสีน้ำตาลเป็นทรงดัดปลายม้วนลอนตัว C สายตาดูเฉียบแหลม ท่วงท่าตั้งแต่การเปิดประตูจนถึงการปรากฏกายของเธอดูงดงาม

          เธอคนนั้นคือพี่สาวที่ถูกพูดถึงละมั้ง ผมนึก ใบหน้าของทั้งสองคนพอจะมีส่วนที่คล้ายกัน ทั้งนัยน์ตาสีจางและริมฝีปากสีอ่อน แต่อายุดูออกจะห่างกันเกินกว่าจะเป็นพี่น้องไปสักหน่อย และนึกภาพไม่ออกเลยว่าคนแบบนั้นจะเป็นคนที่ใช้มีดบาดจนเป็นแผลบนมือนั้นได้

          แม้ผมไม่ได้ยินว่าทั้งสองคนคุยอะไรกัน แต่อย่างน้อยก็ดูเหมือนว่าไม่ได้ทะเลาะกันอยู่ ผมยืนพิงกำแพงตรงทางเข้าแล้วควานหาบุหรี่ในกางเกง ทว่าไม่มี คงจะอยู่ในรถ

          แต่ที่สงสัยก็คือเด็กสาวจะแก้แค้นยังไง ก่อนจะออกมาผมก็ดูแล้วว่าในกระเป๋าไม่มีอาวุธร้ายแรงอะไรซ่อนอยู่ ในเมื่อใช้ค้อนทุบพ่อมาแล้ว จะทำแบบเดียวกับพี่สาวงั้นเหรอ หรือว่ามีอาวุธร้ายแรงอะไรอีกนอกจากค้อน

          ผมยังไม่ทันได้สันนิษฐานอะไรไกล ความสงสัยทั้งหมดก็คลายลงทันที

          ผมทิ้งก้นบุหรี่แล้วหันไปมองที่ประตูหน้าบ้านอีกครั้ง ทันใดนั้นเอง

          เด็กสาวล้มตัวเข้าหาพี่สาวของเธอ

          พี่สาวของเธอพยายามรับร่างนั้นไว้ ดูเหมือนแรงจะไม่พอจนล้มลงไปทั้งคู่

          แต่หลังจากที่เด็กสาวยืนขึ้นแล้ว พี่สาวของเธอไม่มีทีท่าว่าจะลุกขึ้นเลย

          แน่นิ่งไม่อาจยืนขึ้นได้อีก

          ผมวิ่งไปหาเธอทันที

          ภาพตรงหน้าชวนให้ฉงน

          ที่ท้องของพี่สาวเธอมีรอยถูกแทงด้วยกรรไกรตัดผ้า

          ใบมีดกรรไกรข้างหนึ่งอ้าออกแล้วถูกใช้แทงจนมิด

          แต่เก่งเกินไปแล้วที่แทงโดยไม่มีเสียงร้องสักแอะเดียว

          เลือดเริ่มนองทั่วทางเข้า ไหลไปตามร่องที่อยู่บนพื้น

          เธอจบงานได้อย่างว่องไว

          ความเงียบงันและภาพที่ชวนให้ตะลึงงันเช่นนี้ทำให้นึกถึงเหตุการณ์หนึ่งของผม

          ตอนนั้นผมอยู่ ป. 4 คาบพละศึกษาวันนั้นคุณครูบอกว่าจะเล่นดอดจ์บอลกันอีกสามสิบนาทีก่อนคาบจะเลิก เหล่านักเรียนก็เฮกัน กิจกรรมนี้เหมือนเป็นสิ่งที่ได้ทำกันประจำกันไปกลาย ๆ แล้ว ผมเดินเอื่อย ๆ มาที่มุมหนึ่งของโรงกีฬาแล้วมองทุกคนเล่นกันอยู่ห่าง ๆ กับคนที่เหลือที่อยู่ข้างสนาม

          คนจากทั้งสองทีมที่ถูกบอลแล้วต้องมารออยู่นอกสนามมีมากขึ้นจนแต่ละคนเริ่มเบื่อ พวกเขาจึงปูเสื่อแล้วเริ่มเล่นกันเองตามแต่สะดวก มีคนหนึ่งที่ตีลังกาม้วนตัวแบบไม่ปูเสื่อ พอพวกนักเรียนผู้ชายอีกห้าหกคนที่เห็นก็ไม่น้อยหน้าทำบ้าง สิ่งนี้ดึงดูดสายตาได้ดีกว่าดอดจ์บอลเสียอีก ผมจึงคอยดูพวกเขาที่ตีลังกากลิ้งตัวไปมา

          จนมีคนหนึ่งทำพลาดแล้วหัวกระแทกพื้น ร้องเสียงดังจนผมที่อยู่ไกลจากตรงนั้นไม่กี่เมตรได้ยิน ทุกคนต่างหยุดชะงัก คนที่ล้มลงไปนอนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง สักสิบวินาทีต่อมาก็เริ่มกุมหัวแล้วร้องโอดโอยเสียงดัง แต่ดูเหมือนจะส่งเสียงไปเพื่อกลบเกลื่อนความอายมากกว่าเพราะดูแล้วอาการก็ไม่ได้สาหัสมาก คนที่มุงอยู่ต่างชี้นิ้วแล้วหัวเราะพลางเตะคนที่ล้มอยู่ในฐานที่ทำให้เป็นห่วงคิดว่าเป็นอะไรไป

          แต่ผมเป็นคนแรกที่สังเกตเห็นนักเรียนชายอีกคนหนึ่งนอนอยู่ท่าทางแปลก ๆ ที่ไม่ได้อยู่ในวงล้อมนั้น เนื่องจากทุกคนให้ความสนใจกับคนที่หัวกระแทกพื้นคนนั้น จึงไม่มีใครทันสังเกตเห็นนักเรียนคนหนึ่งที่ไม่เก่งกีฬาทำคอตัวเองหัก จากนั้นคนก็เริ่มตระหนกที่เห็นนักเรียนชายคนที่ว่านั้นล้มอยู่ไม่ขยับเขยื้อนแล้วมามุงเยอะขึ้นเรื่อย ๆ ไม่นานพอคุณครูเริ่มเห็นว่าท่าไม่ดีก็รีบวิ่งมาหา และบอกทุกคนด้วยน้ำเสียงที่ดูใจเย็นเกินไปว่าห้ามจับหรือเคลื่อนย้ายตัวเขา จากนั้นวิ่งสุดแรงเกิดไปตามทางเดิน มีคนหนึ่งล้อว่าเป็นครูแล้วคงไม่มีใครมาห้ามให้วิ่งตรงทางเดิน แต่ไม่มีใครตอบรับคำพูดนั้น

          และนักเรียนชายคนนั้นก็ไม่กลับมาเรียนอีกเลย พวกผมได้ยินมาว่าอาการของเขาคือไขสันหลังบาดเจ็บ และความเข้าใจของเด็กประถมสี่ก็คิดได้แค่ว่า “คงคล้าย ๆ กับตอนข้อเท้าแพลงมั้ง” แต่ครูประจำชั้นก็ย้ำถึงความร้ายแรงของมันว่า “คงต้องนั่งวีลแชร์ไปตลอดชีวิต” (ซึ่งผมมาคิดดูตอนนี้แล้วก็ถือว่าเป็นคำอธิบายที่ทำให้ฟังดูร้ายแรงน้อยลงแล้ว เพราะตอนนั้นเขานอนเป็นอัมพาตใช้เครื่องช่วยหายใจอยู่) พอนักเรียนหญิงบางคนได้ยินแบบนั้นก็เริ่มร้องไห้กัน น่าสงสารเหลือเกิน น่าจะคอยดูไว้ให้ดี คนอื่น ๆ บางคนก็เริ่มร้องไห้ตามตามบรรยากาศในขณะนั้น บางคนก็ว่า “ไปเยี่ยมกันเถอะ” บ้างก็ว่า “พับนกกระเรียนพันตัวไปให้กันเถอะ” ห้องเรียนที่มีทั้งความหวังดีและหวังผลเริ่มไม่น่าอยู่

          เดือนถัดมา ครูประจำชั้นแจ้งข่าวว่าเขาเสียชีวิตแล้วในคาบโฮมรูม

          ภาพของนักเรียนชายคนนั้นที่บาดเจ็บและนอนท่าทางผิดแผกอยู่ในโรงกีฬาซ้อนทับกับภาพของผู้หญิงที่ล้มอยู่ต่อหน้าเด็กสาวในตอนนี้

          บางครั้งชีวิตคนเราก็ปลิดปลิวหายไปได้ง่ายดายดังถูกพัดพาไปกับสายลม

          เด็กสาวถือกรรไกรแล้วสูดหายใจก่อนจะตัดตรงปากแผลให้เปิดอีก เป็นการทำให้แน่ใจว่าตายแล้ว ร่างที่นอนอยู่นั้นกระตุกเกร็งพร้อมส่งเสียงครวญต่ำอย่างสัตว์ เลือดพุ่งออกมาจากตรงแผลที่ท้องที่น่าจะเป็นหลอดเลือดแดงใหญ่และกระเด็นมาโดนเท้าผมที่อยู่ห่างจากตรงนั้นสองเมตร

          เด็กสาวหันมาโดยที่เสื้อสีขาวของเธอมีเลือดสีแดงสดเปื้อนอยู่

          “…ไม่เห็นบอกกันว่าจะเล่นขนาดนี้”

          ผมพูดออกไปจนได้

          ทั้งที่พยายามทำท่าเหมือนไม่รู้สึกรู้สาอะไร ทว่าเสียงผมยังสั่น ๆ

          “นั่นสินะคะ แต่ก็ไม่ได้บอกว่าจะไม่ฆ่านี่คะ”

          เธอเช็ดเลือดที่เปื้อนแก้มแล้วนั่งลงตรงนั้น

          ผมถอดแว่นกันแดดออกแล้วมองไปที่พี่สาวของเธอ ใบหน้านั้นบิดเบี้ยวด้วยความทุกข์ทรมานราวกับเป็นคนละคนกับเมื่อครู่ มีเสียงหวีดคล้ายขลุ่ยดังมาจากลำคอของเธอที่กระอักเลือด เสื้อคลุมไหมพรมเต็มไปด้วยสีแดงเข้มจนแทบไม่เหลือเค้าของสีเดิม

          มีกลิ่นอื่นนอกจากกลิ่นเลือดที่เหม็นหืนออกมา กลิ่นเหมือนขยะเปียกที่ถูกอัด เหมือนของเสียที่กองอยู่เต็มอ่างอาบน้ำ กลิ่นเหม็นที่แปลกออกมานั้นคลุ้งไปทั่วจนอัดเต็มจมูก แต่ไม่ว่าจะกลิ่นนั้นจะมาจากอวัยวะภายในหรือมาจากระบบย่อยอาหารที่เสียหายก็ตาม กลิ่นนั้นเป็นกลิ่นที่แม้จะได้ดมเพียงครั้งเดียวก็ลืมไม่ลง เป็นกลิ่นเหม็นสาบแห่งความตายที่รุนแรง

          ท้องผมเริ่มปั่นป่วน ผมจึงค่อย ๆ หายใจช้า ๆ เพื่อไม่ให้อาเจียนออกมา

          ตาของผมเบิกโพลงเมื่อเห็นว่าพื้นประตูหน้าบ้านกลายเป็นทะเลเลือดไปแล้ว เลือดขนาดนี้ ถ้าเป็นสักฉากจากละครละก็จะต้องมีคนในเรื่องที่ตกใจสุดขีดแน่ ๆ ผมคิด ว่าจริง ๆ แล้วคนเราก็เป็นถุงเก็บเลือดเดินได้ดี ๆ นี่เอง แม้ผมรู้ดีว่ายิ่งมองจะยิ่งรู้สึกไม่ดี แต่บริเวณท้องที่ถูกแหวกออกนั้นดึงดูดสายตาผม ถึงเลือดจะดูดำกว่าที่คิด แต่สีของเครื่องในที่ทะลักออกมานั้นดูสดมาก เหมือนกับสีของดอกเจอราเนียมที่สะดุดตาอยู่ในแจกันบนตู้เก็บรองเท้า ภาพนี้ทำให้ผมนึกถึงทั้งสัตว์และคนที่ถูกชนตายอย่างน่าสังเวชใจตามถนนนอกเมืองยามเช้า ไม่ว่าสัตว์หรือคน ทั้งสวยหล่อและขี้เหร่ เมื่อลอกผิวออกมาแล้วต่างก็เหมือนกันทั้งนั้น

          ผมคิดเช่นนั้นได้ด้วยใจที่สงบอย่างเหลือเชื่อ สิ่งนี้คือความตาย สิ่งที่ผมทำกับเด็กสาวคนนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับโศกนาฏกรรมที่อยู่ตรงหน้าผมในวันนี้

          และผมลองจินตนาการว่าเธอเป็นเพียงก้อนเนื้อที่กองรวมเป็นซากอยู่ ศพของเธออาจจะมีสภาพที่น่าสลดใจกว่าพี่สาวของเธอก็ได้ ถึงแม้ตอนนี้อาจจะยังไม่รู้สึกได้ชัดเพราะเธอ ‘เลื่อนเวลา’ เอาไว้

          ผมถอยมาก้าวหนึ่งหลบเลือดที่นองอยู่ตรงเท้าแล้วถาม

          “นี่ คือผมก็จะช่วยเธอทำตามแผนเป็นค่าที่ผมชนเธออยู่หรอกนะ …แต่ว่า ถ้าให้ผมช่วยฆ่าคนแล้วจะมีประโยชน์อะไรล่ะ ผมก็ไม่ได้อยากใช้วิธีแบบเลือดล้างด้วยเลือดหรอกนะ”

          “ถ้าไม่เอาด้วยก็ไม่ต้องตามมาก็ได้ค่ะ ฉันก็ไม่ได้บังคับขู่เข็ญอะไรคุณเลยนะคะ” เธอย้อน “แล้วถ้าการ ‘เลื่อนเวลา’ ของฉันสิ้นสุดลงแล้ว ทุกสิ่งที่ฉันทำไว้ก็จะหายไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก็ในเมื่อ ‘ความตายของฉันไม่มีผลชั่วคราว’ จะทำอะไรก็ได้นี่คะ”

          เป็นเช่นนั้น เธอตายไปแล้ว เธอจะไปฆ่าใครหลังวันที่ 27 ตุลาคมที่เกิดอุบัติเหตุนั้นไม่ได้ เพราะช่วงเวลานั้นไม่มีตัวตนของเธออยู่ ต่อให้เธอจะไปเที่ยวฆ่าใครอีกสักกี่คน ถ้าการ ‘เลื่อนเวลา’ สิ้นสุดลง ทุกอย่างก็จะหายไป เหมือนผู้เล่นที่ตกรอบแล้วแต่ยังอยู่ในสนาม ไม่ว่าจะแพ้ชนะสักกี่รอบ พอเกมจบคะแนนเหล่านั้นก็จะไม่มีผล

          เพราะฉะนั้น ที่เธอบอกว่าเธอจะ ‘ทำอะไรก็ได้’ นั้นก็จริง เพราะท้ายที่สุด ทั้งหมดที่ทำลงไปก็แค่เพื่อความสะใจของตัวเอง ไม่ต่างอะไรมากนักกับการเป็นฆาตกรในจินตนาการของตัวเอง ดังนั้น จะทำอะไรก่อนตายก็ย่อมทำได้เต็มที่อยู่แล้ว ไม่สิ ต่อให้เกิดแค่ชั่วคราว การแทงคนจนเลือดไหลและทำให้เจ็บปวดนั้นก็ยังเป็นการฆ่าคนอยู่ดี ซึ่งก็น่าจะเป็นการกระทำที่ให้อภัยไม่ได้อยู่ดีหรือเปล่า

          แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาห่วงพะวงเรื่องนั้น สิ่งที่สำคัญสุดในตอนนี้คือการทิ้งศพเอาไว้ที่นี่ ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่จะมาถกเถียงกันกับเรื่องแบบนั้น

          “รีบหนีไปจากที่นี่กันก่อนเถอะ ถ้ามีคนมาเห็นคราบเลือดนั่นไม่ดีแน่”

          เด็กสาวพยักหน้า ผมถอดเสื้อคลุมออกมาคลุมไหล่อันบอบบางของเธอเอาไว้แล้วรูดซิปขึ้นมาจนถึงอก มองไกล ๆ คงไม่เห็นเลือดที่เปื้อนอยู่บนตัวเธอแล้ว เป็นเสื้อแจ็กเก็ตผ้าไนลอนแบบคอตั้งราคาแพงทีเดียว แต่ผมไม่ต้องห่วงเสื้อมากนัก เพราะยังไงถ้าการ ‘เลื่อนเวลา’ สิ้นสุดลงเมื่อไหร่ เสื้อก็จะกลับไปเป็นสภาพเดิม

          เมื่อผมออกมามองตรงประตูทางเข้าแล้วเห็นว่าไม่มีคนจึงกวักมือเรียกเธอ

          แต่เธอกลับนั่งตัวแข็งที่อยู่ตรงนั้น

          “เฮ้ย อ้อยอิ่งอะไรอยู่ได้ รีบไปกันได้แล้ว”

          ผมวิ่งกลับไปหาเด็กสาวแล้วจับมือให้ลุกขึ้น

          แต่เธอกลับล้มลงตรงนั้นราวกับเป็นหุ่นเชิดที่สายชักขาด

          “อย่างนี้นี่เอง นี่สินะคะที่เขาเรียกว่า ‘เข่าอ่อน’ น่ะ” เธอพูดเหมือนไม่ได้คุยกับผม “แบบนี้ก็ไม่ต่างกับคุณตอนก่อนมาที่นี่เลย น่าสมเพช”

          เธออยู่ในท่ากึ่งลุกกึ่งนั่ง ใช้ทั้งสองมือคลานไปกับพื้นเพราะร่างกายส่วนล่างของเธอไม่มีแรงแล้ว ลักษณะคล้ายเงือกที่มาเกยตื้นอยู่ริมฝั่งทะเล

          แม้ภายนอกจะดูสงบ แต่ในใจเธอคงตื่นตระหนกอยู่

          “ยืนไม่ไหวอีกนานเลยเหรอ”

          “ค่ะ …ดูเหมือนว่าจะคิดถูกที่พาคุณมาด้วย งั้น รีบอุ้มฉันกลับไปที่รถทีค่ะ”

          เธอยื่นมือทั้งสองข้างออกมาด้วยท่าทางอวดดี ทั้งที่ตอนนี้เธอเข่าอ่อนจนต้องคลานอยู่กับพื้น

          แต่สองมือนั้นสั่นงันงกราวกับเด็กตัวเปล่าที่ถูกทิ้งไว้กลางแจ้งในฤดูหนาว

          ผมอุ้มร่างอันบอบบางนั้นขึ้นมา ถึงจะหนักกว่าที่คิด แต่ก็พอจะแบกแล้ววิ่งได้ ทั้งตัวเธอมีเหงื่อแตกพลั่ก

          พอดูแล้วว่าไม่มีคนก็ยัดเธอเข้าฝั่งที่นั่งคนข้างคนขับ และเมื่อตรวจสอบบริเวณโดยรอบอีกครั้งจนแน่ใจแล้วจึงเหยียบคันเร่งเคลื่อนรถออกมา

          ผมพยายามเลือกเส้นทางที่มีคนเดินถนนอยู่น้อย ๆ และรักษาความเร็วไม่ให้เกินกว่ากฎหมายกำหนด มือที่จับพวงมาลัยชุ่มไปด้วยเหงื่อ

          เธอคงเห็นว่าผมมองกระจกหลังอยู่บ่อย ๆ จึงเปรยว่า “ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ไม่เป็นไรหรอก

          “ถ้าเกิดว่าโดนจับขึ้นมา ฉันก็น่าจะทำให้เป็น ‘เรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้น’ ได้นะคะ เพราะยังไงฉันก็เลื่อนทุกเหตุการณ์ร้าย ๆ มาตลอด”

          ผมเงียบไม่ตอบรับใด ๆ ทั้งสิ้น

          “มีอะไรจะพูดหรือเปล่าคะ” เธอพูดอีก

          “…จำเป็นต้องฆ่าพี่สาวเธอจริง ๆ เหรอ” ผมบอกไปโดยลืมเรื่องทำแต้มเสียสนิท “พี่สาวเธอทำเรื่องไม่ดีกับเธอก็จริงอยู่ แต่เลวถึงขั้นต้องฆ่าเลยเหรอ แค่ทำให้เป็นแผลตรงมือเหมือนกันกับเธอไม่ได้เหรอ พี่สาวเธอทำอะไรเธอ

          “ฉันแค่อยากได้คำอธิบายที่มันฟังขึ้นน่ะ”

          “งั้นฉันขอถามกลับนะคะ ถ้าเกิดว่ามีเหตุผลดี ๆ จริง ๆ คุณจะยอมให้ฆ่าได้หรือเปล่าล่ะคะ” เธอยิงคำถามใส่ผม “สมมติว่าฉันโดนมีดบาดตอนที่จะเข้าไปห้ามแม่กับพี่สาวไม่ให้ทะเลาะกันจนฉันเล่นเปียโนซึ่งเป็นชีวิตใจของฉันไม่ได้ หรือสมมติว่าฉันต้องถูกคนที่พี่สาวฉันพามาที่บ้านทุกสัปดาห์บังคับให้ดื่มเหล้าแรง ๆ รวดเดียว แล้วพออ้วกออกมาก็จะโดนปืนช็อตไฟฟ้าจี้ หรือสมมติว่าฉันโดนพ่อของฉันที่เมามาดึงผมแล้วใช้ไฟแช็กจุดบุหรี่เผา แล้วบอกด้วยว่า ‘แกน่ะน่าจะตาย ๆ ไปซะ อยู่ไปก็รกโลก’ อยู่ซ้ำ ๆ หรือสมมติว่าฉันถูกคนที่โรงเรียนจับล็อกตัวไว้แล้วบังคับให้ดื่มน้ำสกปรก โดนจับรัดคอเล่นอยู่ประจำ โดนจับตัดผมกับเสื้อผ้าแล้วตั้งชื่อกันเองว่า ‘การชันสูตร’ โดนจับมัดขาสองข้างแล้วโยนลงสระว่ายน้ำที่มีน้ำเย็นขุ่น ๆ …ถ้าเป็นแบบนั้น คุณจะเห็นด้วยกับการแก้แค้นขึ้นมาสักนิดไหมล่ะคะ”

          ถ้าเธอไม่ได้เล่าเรื่องเหล่านั้นในเวลาแบบนี้ผมคงไม่เชื่อและคิดว่าเป็นการโกหก หรือคิดว่าเป็นเรื่องที่ถูกใส่ไข่จนทำให้ดูเกินจริงด้วยซ้ำไป

          แต่พอได้เห็นเธอที่เป็นฆาตกรกับตาตัวเองอย่างนั้นแล้ว ผมเชื่ออย่างสนิทใจ

          “…ขอถอนคำพูด ขอโทษ คงไปสะกิดความทรงจำแย่ ๆ อะไรของเธอสินะ” ผมคอตก

          “ก็ไม่ได้บอกว่าเป็นเรื่องที่เกิดกับฉันนี่คะ”

          “นั่นสินะ เป็นแค่เรื่องสมมติ”

          “ฉันเองก็ไม่ได้อยากแก้แค้นเพื่อเป็นการลงโทษอะไรแบบนั้นหรอกค่ะ แค่ว่าความกลัวของฉันที่มีต่อพวกเขาจะไม่หายไปถ้าพวกเขาไม่หายไปก่อน คล้ายคำสาปน่ะแหละค่ะ ตราบใดที่พวกเขายังอยู่ใจฉันก็จะไม่สงบ ทำอะไรก็อึดอัดใจ ที่ฉันแก้แค้นก็เพื่อฉันจะได้เอาชนะความกลัวเหล่านั้น จะได้หลับให้เต็มตื่นสักครั้งก่อนตาย”

          “พอจะเข้าใจนะ” ผมพยักหน้า “จะว่าไป เธอฆ่าพ่อเธอด้วยเหรอ”

          เธอส่ายหน้าตอบ “มั้งคะ” จากนั้นหยิบบุหรี่มามวนหนึ่งจากแผงด้านหน้ารถแล้วจุดเหมือนอยากเปลี่ยนเรื่องคิด แต่พอสูบก็ไอคอกแคก

          ถ้าเธอใช้ค้อนทุบพ่อเธออย่างที่เธอบอกก็พอจะมีวิธีที่ฆ่าได้ง่าย ๆ ผมเคยได้ยินมาว่าจะมีจุดที่ต่อให้เป็นผู้หญิงที่แรงน้อยก็ล้มผู้ชายคนหนึ่งได้สบาย ๆ แต่ไม่แน่ใจว่าจุดที่ว่านั้นเป็นข้างหลังหัวหรือท้ายทอย

          “จะว่าไป ขาหายหรือยัง”

          “…ยังค่ะ ยังเดินไม่ค่อยไหว” เธอขมวดคิ้วพ่นควันออกมา “ที่คิดไว้ทีแรกคือจะไปแก้แค้นคนต่อไปเลย แต่สภาพฉันตอนนี้คงไม่ไหว กลับไปที่อพาร์ตเมนต์ก่อนเถอะค่ะ”

          ผมเพิ่งนึกได้ว่า “อาการเล็กน้อยขนาดนี้ ‘เลื่อนเวลา’ เอาไว้ก่อนไม่ได้เหรอ”

          เธอหลับตานึกบรรจงเลือกคำพูด “ถ้าบาดเจ็บหนักก็ทำได้อยู่หรอกค่ะ แต่ว่าถ้าเป็นอาการที่แค่ปล่อยไว้สักพักก็หายแบบนี้ปกติทำไม่ค่อยได้ค่ะ เพราะความต้องการอ่อนเกินไป ถ้าจะให้ได้ผลต้องมีเสียงเพรียกครวญแห่งจิตวิญญาณประมาณว่า ‘ไม่อยากให้เกิดเรื่องแบบนี้เลย’”

          เป็นคำอธิบายที่ฟังดูมีเหตุผล เสียงเพรียกครวญแห่งจิตวิญญาณ งั้นเหรอ

          ผ่านไปสักพักผมถึงได้กลิ่นเลือดที่คลุ้งอยู่เต็มรถ เป็นกลิ่นเลือดที่กระเด็นติดตัวเด็กสาว ผมลดกระจกลงเพื่อระบายอากาศ แต่กลิ่นอย่างสายกีตาร์ขึ้นสนิมที่ถูกดองอยู่กับปลาก็ยังเหม็นติดรถอยู่ไม่หาย ผ่าท้องออกขนาดนั้นคงจะมีทั้งไขมัน น้ำไขสันหลัง กับน้ำย่อยเปื้อนติดมาด้วย

          กลิ่นคนตายช่างเน่าเหม็น

          “หนาว” เด็กสาวพูด ผมจึงเลิกล้มความคิดที่จะระบายอากาศ ปิดกระจกรถแล้วเปิดฮีตเตอร์แทน

 

          ดาวในท้องฟ้ายามกลางคืนในวันที่ผมได้เห็นการฆ่าคนนั้นสวยเหลือเกิน

          โชคดีที่พวกเรากลับมายังอพาร์ตเมนต์ได้โดยไม่ถูกเรียกตัว หลังจากที่มาถึงก็รีบเดินขึ้นบันไดที่ฝุ่นเขรอะกลับมายังห้อง แต่กุญแจกลับสอดไม่เข้า พลันจังหวะนั้นเองก็มีเสียงฝีเท้าใครบางคนกำลังขึ้นบันไดมา

          พอก้มมองที่มือจึงเห็นว่ากุญแจที่พยายามจะสอดเข้าเมื่อครู่เป็นกุญแจรถของผม ผมเดาะลิ้นและใช้กุญแจอีกอันไขเปิดประตูยัดเด็กสาวให้เข้าห้องไป

          คนที่ขึ้นบันไดมาคือสาวสายศิลป์ข้างห้อง เมื่อเห็นว่าเป็นผมจึงโบกมือทักทายน้อย ๆ

          “ออกไปเองเหรอครับ หายากนะครับเนี่ย” ผมทักทายอย่างเป็นกันเอง

          “เมื่อกี้ใคร” เธอถาม

          ต่อให้ตอนนี้จะเนียนโกหกไปได้ แต่ถ้าเกิดความแตกขึ้นมาทีหลังคงแย่แน่ ตอบไปตามตรงน่าจะดีที่สุด

          “คนที่ผมไม่รู้จักชื่อน่ะครับ”

          ผมเพิ่งนึกได้หลังพูดออกไปว่าคนที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้ผมก็ไม่รู้จักชื่อเหมือนกัน ไม่สิ อาจจะเคยได้ยินสักครั้งสองครั้ง แต่ว่าลืมไปเสียสนิทเลย

          ผมเป็นคนจำชื่อคนไม่เก่งเพราะไม่ได้มีโอกาสเรียกใครมากนัก

          “หืม” เธอหรี่ตามองอย่างเหยียดหยาม “อ้อเหรอ พ่อคนเก็บตัวของเราจะพาผู้เยาว์ที่ไม่รู้จักแม้แต่ชื่อเข้าห้องงั้นเหรอ”

          “โดนจับได้แล้วสิ จะว่ายังไงดีล่ะ—”

          “อยากกินเด็กหรือไง” เธอยิ้มอยู่ที่มุมปาก

          “คือ ฟังผมอธิบายก่อนนะครับ”

          “ว่ามา”

          “คือเรื่องมันอุตลุดอยู่น่ะครับ ประมาณว่าเธอคนนั้นต้องการความช่วยเหลือ แล้วพอดีตอนนี้ผมก็เป็นคนเดียวที่ช่วยได้ด้วย”

          เธอเงียบไปสองสามวิแล้วทำเสียงกระซิบกระซาบ “อย่าบอกนะว่าเป็นเรื่องอุบัติเหตุที่ว่าน่ะ”

          “ครับ ที่ช่วยก็เป็นการชดใช้ …มั้งนะ”

          “งั้นเหรอ” เธอพยักหน้า ยังดีที่เธอเป็นคนที่เข้าใจอะไรได้เร็ว “งั้นก็ไม่รบกวนละ ถ้ามีปัญหาเดือดร้อนอะไรก็บอกฉันแล้วกัน จะช่วยเท่าที่พอช่วยได้”

          “ขอบคุณครับ”

          “แล้วนั่นคราบอะไร”

          สายตาเธอเลื่อนต่ำลงมาที่เท้าผม ตรงหน้าขามีรอยสีแดงดำเปื้อนกางเกงยีนอยู่ประมาณสี่เซนติเมตร ผมเพิ่งสังเกตเห็นก็ตอนที่เธอบอก

          “ไปโดนอะไรมา แล้วโดนตอนไหน”

          ผมตกใจจนออกนอกหน้า ถึงผมจะทำท่าไม่รู้ไม่ชี้ แต่อาการของผมคงบอกทุกอย่างไปหมดแล้ว

          “คราบอะไรก็ช่างเถอะ แต่รีบ ๆ ไปซักออกแล้วกัน ไปละ”

          เธอบอกแล้วกลับห้องไป

          ผมเอามือทาบอกแล้วเปิดประตูเข้าห้องตัวเองที่เปิดไฟไว้แล้ว

          เด็กสาวเรียกมาจากห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า “ผงซักฟอกอยู่ไหนคะ”

          คงจะกำลังซักคราบเลือดออกจากเสื้อของเธอ ผมได้ยินเสียงน้ำที่กำลังไหลเติมอ่าง

          “น่าจะอยู่แถว ๆ ที่เธอยืนอยู่นะ” ผมตะโกนตอบไป “แล้วเธอมีเสื้อผ้าเอามาเปลี่ยนมั้ย”

          “ไม่มีค่ะ ยืมของคุณหน่อยนะคะ”

          “อันไหนตากแล้วก็หยิบ ๆ ไปเถอะ จริง ๆ ก็น่าจะแห้งเกือบหมดแล้วนะ”

          พอเสียงเครื่องซักผ้าที่ถูกเปิดฝาดังอยู่สักพัก เสียงเปิดประตูห้องอาบน้ำก็ตามมา

          ผมนอนตะแคงอยู่ที่โซฟาระหว่างที่เธออาบน้ำพลางคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน ทั้งตอนที่เด็กสาวแทงพี่สาวของเธอ เสียงไอของเธอที่ถูกแทงเข้าที่ท้อง เสื้อของเด็กสาวที่เปื้อนเลือดสีแดงสดที่กระเด็นออกมา กลิ่นของอวัยวะภายในที่ทะลักออก เลือดสีแดงเข้มที่นองไปทั่วพื้น และความเงียบงันที่ชวนให้ใจเสีย

          เหตุการณ์นั้นติดตาผม หากจะใช้คำว่าเสียวสันหลังวาบก็ยังไม่น่าใช่คำที่ถูกต้องสักเท่าไหร่ หรืออาจจะถูกต้องแล้วก็ได้ ผมไม่อาจทราบ—ตั้งแต่เกิดมาผมก็เพิ่งเคยเห็น เรื่องของคนอื่น ต่อหน้าต่อตาอย่างนั้น ซึ่งทำให้ในหัวผมยังสั่นสะท้านไม่หาย

          ที่แปลกก็คือ มันไม่ใช่ความรู้สึกที่แย่ ผมเคยนับถือคนทำหนังอย่างเปกินปา[2] ทารันติโน[3] หรือคิตาโนะ ทาเคชิ[4] เพราะผมเคยคิดว่าถ้าต้องไปเห็นเลือดอย่างในหนังจริง ๆ คงหน้าซีดเป็นลมไปแน่แท้

          แต่ความเป็นจริงเล่า ผมไม่ได้กระวนกระวาย ไม่ได้หวาดกลัว หรือไม่ได้ชังตัวเองเลย กลับเป็นความรู้สึกโล่งที่ได้ระบายอารมณ์อย่างเวลาเห็นสัตว์ที่ล่าเหยื่อ หรือเห็นซากหักพังที่ถูกภัยพิบัติใหญ่ถล่ม

          แต่ผมรู้ดีว่าเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ควรละอายใจ

          นอกจากแอลกอฮอล์แล้วผมก็ไม่มีอย่างอื่นที่จะใช้สงบจิตสงบใจ ผมเทวิสกี้ลงแก้ว ตามด้วยน้ำในปริมาณที่เท่า ๆ กัน ผมรีบกระดกเพราะไม่อยากให้เด็กสาวมาเห็นผมนั่งดื่มอยู่อย่างนี้ แล้วก็ไม่ทำอะไร ปล่อยให้เสียงเข็มนาฬิกาเดินผ่านเข้าหูผมเท่านั้น

          เธอใส่ชุดนอนกลับมาหลังจากที่เป่าผมจนแห้งแล้ว เสื้อที่เธอใส่เป็นเสื้อปาร์กาสีเทาที่แม้แต่ผมใส่ยังหลวมโคร่ง พอเธอใส่เสื้อตัวนั้นก็ยาวลงมาจนถึงต้นขาของเธอกลายเป็นอย่างชุดเดรสไป

          “เอาผ้าไปตากให้หน่อยค่ะ” เธอสั่ง “ฉันจะไปนอนแล้ว”

          เธอล้มตัวลงนอนบนเตียง แต่เด้งตัวลุกขึ้นมาอีกครั้งเหมือนเพิ่งนึกอะไรได้ ไปหยิบอะไรบางอย่างมาจากกระเป๋าแล้วกลับมาสอดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มอีกรอบ คงเป็นตุ๊กตาหมีตัวนั้นนั่นแหละ เธอกอดมันไว้ใต้คางแล้วหลับตาลง

          ผมเอาเสื้อนั้นออกมาจากเครื่องซักผ้าแล้วใช้ไดร์เป่าผมเป่าให้แห้ง อันที่จริงจะใช้บริการร้านซักอบแบบหยอดเหรียญก็ได้ แต่การถือเสื้อตัวเดียวที่คราบเลือดยังซักออกไม่หมดออกไปโทง ๆ ดูจะเป็นความคิดที่ประหลาดชอบกล ผมคิด ว่าพรุ่งนี้ออกไปซื้อเสื้อผ้าเอาไว้เปลี่ยนน่าจะดี เพราะยังไงน่าจะต้องมีการนองเลือดเกิดขึ้นอีกสองสามครั้งแน่ ๆ

          แก้แค้น ผมไม่ค่อยเข้าใจว่าเด็กสาวรู้สึกอย่างไรกับคำนั้น เพราะผมไม่เคยคิดแค้นใครจนอยากฆ่าคนขึ้นมา ชีวิตของผมที่แหลกสลายก็ไม่ใช่เพราะใครอื่นนอกจากตัวผมเอง

          และยิ่งไปกว่านั้น ผมแสดงความรู้สึก “โกรธ” ได้ไม่เก่งมาตั้งแต่เด็กแล้ว ซึ่งไม่ใช่เพราะผมมีความอดทนอดกลั้นสูง แต่เป็นเพราะผมคิดว่าหากเอาความโกรธไปลงกับคนอื่นไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา ผมมักจะไม่ทันได้โมโหอะไรเพราะคิดว่าเปล่าประโยชน์ หลายครั้งผมไม่นึกโกรธทั้ง ๆ ที่สถานการณ์เช่นนั้นเป็นใครก็ต้องโมโหไปแล้ว นิสัยอย่างนั้นอาจจะดีสำหรับการเลี่ยงปัญหาก็จริง แต่ในระยะยาวก็กลับมาแว้งกัดการใช้ชีวิตของผมได้เหมือนกัน

          ผมอิจฉาคนที่สามารถแสดงความโกรธออกมาได้อย่างไม่ต้องลังเล ซึ่งก็แปลว่าผมอิจฉาเธออยู่ส่วนหนึ่งกับเรื่องนั้น แต่แน่นอนว่าผมก็เห็นใจเด็กสาวที่ต้องมารับชะตากรรมอย่างนี้ และนึกยินดีที่ผมไม่ต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างเธอ

          พอเป่าเสื้อของเธอจนแห้งเสร็จเรียบร้อยแล้วผมก็พับวางไว้ข้าง ๆ หมอนที่เธอนอนอยู่ ผมไปเปลี่ยนชุดเป็นชุดนอนที่ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า ด้วยความที่ยังไม่ง่วงมากนักผมจึงออกมาที่ระเบียง ลมเย็นทำให้ผมตัวสั่น ผมคอยสาวสายศิลป์อยู่ตรงนั้น แต่ในวันเช่นนี้เธอจะไม่ออกมา และผมได้ยินเสียงรถพยาบาลแว่วมาจากที่ไกล ๆ

          ขณะที่ผมกำลังจะกลับเข้าห้องนั้นเองโทรศัพท์ก็ส่งเสียงและสั่นมาจากในกระเป๋ากางเกงผม เด็กสาวก็นอนอยู่ ส่วนชินโดก็ตายไปแล้ว ก็ไม่น่ามีใครเป็นธุระต้องโทรมาหาผม

          “ฮัลโหล” ผมพูดกรอกสายไป

          “ตอนนี้อยู่ที่ไหน” เสียงสาวสายศิลป์ตอบมา

          “ก็เพิ่งเจอกันเมื่อกี้นี่ครับ อยู่ที่อพาร์ตเมนต์นี่แหละ แล้วคุณล่ะ”

          “ฉันก็อยู่ที่อพาร์ตเมนต์นี่แหละ”

          สรุปก็คือเราโทร. หากันทั้งที่ห้องอยู่ติดกัน

          “งั้นมาที่ระเบียงสิครับ ผมออกมากะว่าจะสูบบุหรี่พอดี”

          “ไม่ละ หนาว”

          “แต่โทร. แบบนี้ก็เปลืองเงินแย่สิครับ”

          “ฉันน่ะชอบโทร. คุยนะ โทร. แล้วสบายใจดี หลับตาแล้วฟังแต่เสียงก็ได้ อีกอย่าง ฉันชอบฟังเสียงนายผ่านโทรศัพท์ด้วย”

          “ชอบ ‘เสียง’ สินะครับ”

          “ชอบ ‘เสียง’”

          เธอหัวเราะอย่างเริงร่า

          “แล้วไปได้สวยมั้ยกับเด็กที่พามาน่ะ”

          “ผมว่าคุณคงเข้าใจอะไรผิดแล้วนะครับ” ผมเน้นชัด “ผมจะบอกไว้ก่อนเลยว่าผมไม่ได้รู้สึกชอบเธอคนนั้นหรืออะไรเลย”

          “หยอก ๆ น่า ดูก็รู้ว่าพวกเธอสองคนไม่ได้เป็นอะไรกัน”

          ผมยักไหล่ให้อีกฝ่ายที่ไม่ได้อยู่ตรงหน้าในขณะนี้

          “แล้วที่โทร. มาหาผมนี่คือแค่จะมาหยอกเล่นน่ะเหรอครับ”

          “ก็ส่วนนึง แต่ตอนนี้ฉันว้าวุ่นใจน่ะ”

          “ว้าวุ่นใจเหรอครับ”

          “ไม่อยากเจอคนแต่ก็อยากคุย”

          “ว้าวุ่นจริงนะครับ”

          “จริง ๆ ก็จะรบกวนนายแค่เวลาที่รู้สึกแบบนี้แหละ แต่ตอนนี้นายยุ่งอยู่นี่”

          “ขอโทษทีนะครับ” ผมเอาหัวยันกำแพง “ปกติผมก็อยู่เฉย ๆ จนเบื่อแทบตายแท้ ๆ ”

          “เอาเถอะ จริง ๆ ก็ความผิดฉันด้วยแหละที่มาทำตัวอ้อนออดจังหวะอย่างนี้ แต่ก็นะ…ไม่ชอบเลย”

          “ที่อะไรเหรอครับ”

          “จะว่ายังไงดี คือตอนที่เจอกับนายวันนี้น่ะ ดูไม่สมเป็นนายเลยนะ” และเธอก็เงียบไปอึดใจหนึ่งคล้ายครุ่นคิด “นั่นแหละ ปกติแววตานายจะดูเหมือนว่านายไม่อยากออกไปไหน ตาที่ไม่ได้มองอะไรเป็นพิเศษ แต่ก็ไม่ได้มองอะไรทุกอย่าง เป็นตาที่มองอะไรแบบผ่าน ๆ ฉันถึงได้รู้สึกผ่อนคลายเวลาอยู่กับนาย แต่ว่า…ตาของนายตอนที่เจอกันตรงทางเดินเมื่อกี้ไม่มีความรู้สึกแบบนั้นเลย”

          “แล้วเป็นแบบไหนล่ะครับ”

          “ไม่บอก” เธอตัดบท “เธอคนนั้นนอนแล้วใช่มั้ยล่ะ รีบ ๆ ไปนอนไป เดี๋ยวเสียงดังแล้วจะตื่นอีก แค่นี้ก่อนนะ เดี๋ยวอยากจะโทร. มาใหม่ ฝันดี”

          เธอชิงวางสายไปก่อน

          ผมอยู่ที่ระเบียงอีกประมาณหนึ่งชั่วโมง แต่พอกลับเข้าห้องไปก็เห็นว่าเธอยังไม่หลับ

          คืนนี้เธอไม่ได้ร้องไห้ นอนหอบขดตัวกอดตุ๊กตาหมีอยู่ ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่เพราะอากาศที่หนาวเช่นนี้

          ผมคิด ว่าถ้าสุดท้ายจะต้องอยู่กับความกลัว ทำไมต้องไปฆ่าคน แต่จะบอกเธอไปอย่างนั้นก็คงไม่ได้ เพราะเธอพูดเอาไว้แล้วว่า ‘ทั้งชีวิตก็คิดแต่เรื่องนี้’

          ไม่ใช่ว่าเธออยากแก้แค้น เพียงแต่สิ่งที่เธอทำได้มีแค่การแก้แค้นเท่านั้น

 

[1] Linus’ Security Blanket: ผ้าห่มที่ไลนัสจากการ์ตูนช่องเรื่อง Peanuts พกติดตัวอยู่เสมอ

[2] Sam Peckinpah (แซม เปกินปา): ผู้กำกับภาพยนตร์ชาวอเมริกัน

[3] Quentin Tarantino (เควนติน ทารันติโน): ผู้กำกับภาพยนตร์ชาวอเมริกัน

[4] 北野 武 (คิตาโนะ ทาเคชิ): ผู้กำกับภาพยนตร์และนักแสดงชาวญี่ปุ่น

และแล้วบาดแผลจะลบเลือน

และแล้วบาดแผลจะลบเลือน

Score 10
Status: Completed
"บ้าสิ้นดีที่ดันมารักผู้หญิงที่ตัวเองฆ่า" ผมฆ่าคนคนหนึ่งในฤดูใบไม้ร่วงตอนที่ผมอายุได้ยี่สิบสองปี ตอนที่ทุกอย่างบนโลกใบนี้หันหลังให้กับผม — แต่ทว่า เด็กสาวที่ถูกผมฆ่านั้น 'เลื่อน' ความตายออกไปได้อีกสิบวัน และเธอจะใช้เวลาสิบวันอันมีค่าที่เหลืออยู่นั้นแก้แค้นเหล่าผู้คนที่ทำลายชีวิตเธอ "คนที่จะช่วยฉันได้ก็เป็นคุณฆาตกรอยู่แล้วค่ะ" และในขณะที่การแก้แค้นดำเนินไป พวกผมกลับเข้าใกล้ความจริงที่อยู่เบื้องหลังการพบพานของเราสองคนมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งเป็นความทรงจำรสหวานขม และคำบอกลาในวันนั้น

Options

not work with dark mode
Reset