และแล้วบาดแผลจะลบเลือน 3 ทำแต้ม

ตอนที่ 3 ทำแต้ม

          หลังจากเหตุการณ์นั้นผมนึกว่าจะข่มตานอนไม่ได้แล้ว แต่พอได้อาบน้ำอุ่นแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าเข้านอน เปลือกตาก็เริ่มหนักอึ้งขึ้นมา ผมหลับเป็นตายอยู่หกชั่วโมงถ้วน

          เมื่อตื่นมาก็ไม่ได้รู้สึกแย่อย่างที่คาดไว้เลย ความรู้สึกทรมานทั้งหลายที่เคยเป็นตอนตื่นช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมาก็หายสนิท ผมเด้งตัวขึ้นมาเปิดโทรศัพท์ดูแต่ก็ยังไม่มีการติดต่อมาจากเธอ ดูท่าว่าคงจะไม่ต้องการผมจริง ๆ ละมั้ง ผมล้มตัวลงนอนอีกครั้งแล้วหงายหน้าขึ้นมองฝ้า

          แล้วทำไมผมถึงรู้สึกดีขนาดนี้ทั้งที่เพิ่งขับรถชนคนมา แถมรู้สึกโล่งผิดกับเมื่อวานที่มีแต่ความเสียใจทับถมเต็มไปหมด ผมขบคิดพลางฟังเสียงน้ำที่ไหลจากรางน้ำฝนไปด้วยจนได้คำตอบหนึ่งมา

          อาจจะเพราะผมไม่ต้องกลัวแล้วว่าอะไรจะแย่ไปกว่านี้อีก เพราะทุกวันนี้ผมก็ได้แต่ใช้ชีวิตหน่าย ๆ ไปวัน ๆ เอาแต่คิดว่ามันจะแย่ไปอีกสักแค่ไหนกันเชียว จะตกต่ำกว่านี้อีกมั้ย แล้วเหตุการณ์เมื่อวานก็ทำให้ทุกอย่างตกต่ำถึงขีดสุดทันที

          และในความมืดมิดที่ผมร่วงหล่นตกต่ำมาตรงนี้ก็ทำให้สบายใจอย่างประหลาด

          ก็เพราะเมื่ออยู่ตรงนี้แล้วก็ไม่ต้องกลัวว่าจะตกต่ำไปกว่านี้อีก ความเจ็บปวดจากการตกกระทบกับพื้นที่มั่นคงยังดีกว่าความกลัวจากการร่วงหล่นแบบไม่มีที่สิ้นสุด

          ผมไม่มีอะไรจะเสียแล้ว ไม่มีความหวังให้ผิดหวังจนเจ็บปวดอีกแล้ว

          เช่นนั้นผมจึงสบายใจ เกิดอาการปลงตกที่คุ้นเคยขึ้นมา

          ผมออกมายืนสูบบุหรี่ที่ระเบียงแล้วเห็นกาฝูงหนึ่งเกาะตามสายไฟบนเสาไฟที่ห่างออกไปสักห้าเมตร อีกฝูงหนึ่งบินวนอยู่รอบ ๆ คอยส่งเสียงร้องแหบแห้งของมัน

          พอผมสูบจนมวนบุหรี่หายไปหนึ่งเซนฯ ก็มีเสียงผู้หญิงจากระเบียงข้าง ๆ ร้องทัก

          “สายัณห์สวัสดิ์ พ่อคนเก็บตัว”

          เมื่อหันไปทางซ้ายก็พบกับผู้หญิงใส่แว่นตัดผมทรงบ็อบคนหนึ่งโบกมือให้หย็อย ๆ

          เธอเป็นนักเรียนมหาวิทยาลัยศิลป์ที่อยู่ข้างห้องผม ซึ่งผมจำชื่อไม่ได้เสียแล้ว แต่ไม่ใช่ว่าเพราะผมไม่สนใจเธอ แต่เป็นเพราะผมเป็นพวกเก็บตัวแล้วพลอยทำให้จำชื่อคนไม่ค่อยได้ไปด้วย

          “สายัณห์สวัสดิ์ครับคุณคนเก็บตัว” ผมล้อ “มาไวนะครับ”

          “เอามา” เธอขอ “ไอ้ที่คาบอยู่นั่นน่ะ”

          “อันนี้เหรอครับ” ผมชี้ไปที่บุหรี่ที่อยู่ตรงปาก

          “อือ อันนั้นแหละ”

          ผมยื่นบุหรี่ที่สูบไปบ้างแล้วทางระเบียง ระเบียงของอีกฝ่ายนั้นยังคงมีพืชพรรณอยู่แน่นขนัดคล้ายป่าขนาดย่อมเช่นเคย มีบันไดพาดอันเล็กที่จัดสรรเป็นชั้นวางดอกไม้วางอยู่ด้านซ้ายกับขวาโดยมีเก้าอี้ตัวเล็กสีแดงวางอยู่ตรงกลาง เหล่าพืชพรรณได้รับการดูแลอย่างดีมีชีวิตชีวา ไม่เหมือนคนปลูก

          “เมื่อวานนายไม่อยู่ทั้งวันเลยสินะ” เธออัดควันเข้าปอดไปพลาง “ไม่สมเป็นพ่อคนเก็บตัวเลย”

          “เก่งมั้ยล่ะครับ” ผมตอบ “จริงสิ… ว่าจะถามพอดี คุณมีหนังสือพิมพ์เป็นรายวันเลยใช่มั้ยครับ”

          “อืม แต่ก็อ่านแค่หน้าแรกน่ะนะ มีอะไรเหรอ”

          “ผมอยากอ่านของฉบับเช้านี้น่ะครับ”

          “เหรอ งั้นก็มานี่สิ” สาวสายศิลป์ชวน “ฉันก็ว่าจะชวนนายไปเดินเล่นค่ำนี้ด้วยกันเหมือนกัน”

          ผมมาที่ทางเข้าห้องแล้วเดินไปด้านในห้องของเธอ หนนี้เป็นรอบที่สองแล้ว ครั้งแรกคือตอนที่เธอขอให้มาอยู่เป็นเพื่อนเธอตอนเธอดื่มจนเมาหัวราน้ำ ตั้งแต่เกิดมาผมก็เพิ่งเคยเห็นคนที่อยู่ในห้องสภาพระเกะระกะขนาดนั้นได้เป็นครั้งแรก

          ไม่ได้ถึงขั้นคำว่าสกปรก ทุกอย่างก็ดูเข้าที่เข้าทางดี เพียงแต่ว่าขนาดของห้องกับจำนวนของที่มีมันไม่สัมพันธ์กันแค่นั้นเอง คงจะเป็นพวกเสียดายของจนทิ้งไม่ลง ซึ่งต่างจากผมโดยสิ้นเชิงที่มีแต่ข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นเท่านั้น

          และแม้แต่ตอนนี้ห้องของเธอก็ยังไม่เรียบร้อยเหมือนเดิม แถมยังมีของเพิ่มขึ้นมาด้วย ห้องนี้ทำหน้าที่เสมือนเป็นห้องทำงานศิลป์ของเธอไปด้วย ชั้นวางขนาดใหญ่ตามผนังจึงมีอัลบั้มรวมภาพวาดกับรวมรูปถ่ายวางเรียงรายอยู่ ทั้งยังมีแผ่นเสียงมากมายที่ถูกยัดเอาไว้ด้วย บนชั้นก็มีลังกระดาษวางซ้อนกันจนชนเพดาน แค่คิดว่าถ้ามีแผ่นดินไหวแรง ๆ สักครั้งก็ขนลุกแล้ว

          ผนังด้านหนึ่งมีโปสเตอร์หนังฝรั่งเศสกับปฏิทินเมื่อสามปีที่แล้วแปะอยู่ อีกมุมหนึ่งมีรูปถ่ายแนวติสต์ ๆ ถูกหมุดไว้อย่างสะเปะสะปะบนกระดานไม้ก๊อกที่แขวนเอาไว้ ส่วนโต๊ะมีสองตัว ตัวหนึ่งมีอุปกรณ์ศิลปะอย่างพวกดินสอกับพู่กันวางเกลื่อนอยู่กับคอมพิวเตอร์เครื่องใหญ่ที่อยู่บนโต๊ะเดียวกันนั้น อีกตัวดูเรียบร้อย มีเพียงเครื่องเล่นแผ่นเสียงในกล่องไม้ที่ตั้งอยู่ตรงนั้น

          ผมนั่งที่ระเบียงท่ามกลางแสงอาทิตย์อัสดงไล่สายตาดูทุกบรรทัดบนแต่ละหน้าหนังสือพิมพ์ และก็เป็นดังคาด ไม่มีข่าวเรื่องอุบัติเหตุรถชนของผมเมื่อวาน สาวสายศิลป์เธอชะเง้อมองตามที่ผมอ่าน “ไม่ได้อ่านเสียนาน มีแต่อะไรน่าเบื่อเหมือนเดิมเลยนะ” เธอออกความเห็น

          “ขอบคุณนะครับ” ผมคืนหนังสือพิมพ์ให้

          “ด้วยความยินดี มีข่าวที่หาอยู่มั้ยล่ะ”

          “ไม่มีครับ”

          “เหรอ น่าเสียดายนะ”

          “ไม่หรอกครับ โล่งอกเสียด้วยซ้ำ เอ่อ ขอดูทีวีด้วยได้ไหมครับ”

          “ห้องนายไม่มีทีวีหรือไง” เธอดูอึ้งไป “แต่ก็นะ ฉันก็ไม่ค่อยได้ดูหรอก คงไม่ใช่ของจำเป็นอะไรขนาดนั้นละมั้ง”

          เธอควานหารีโมทอยู่ใต้เตียงแล้วเอามาเปิดโทรทัศน์

          “ข่าวท้องถิ่นมากี่โมงนะครับ”

          “เดี๋ยวก็คงมา แล้วพ่อคนเก็บตัวอย่างนายนึกยังไงจะดูข่าว หันมาสนใจข่าวสารบ้านเมืองแล้วเหรอ”

          “เปล่าครับ คือผมทำคนตายมา” ผมตอบ “ก็เลยอยากรู้ว่าจะเป็นข่าวบ้างมั้ยน่ะครับ”

          เธอกะพริบตาปริบ ๆ แล้วจ้องมาทางผม “อีกทีซิ”

          “เมื่อคืนผมชนเด็กผู้หญิงคนนึงน่ะครับ ความเร็วชนิดที่ว่ายังไงก็ไม่รอดแน่ ๆ ”

          “เอ่อ…อันนี้ ไม่ได้อำกันใช่มั้ย”

          “ครับ” ผมพยักหน้า ผมรู้สึกสบายใจพอที่จะบอกเธอเพราะเธอก็เป็นคนประเภทคล้าย ๆ ผม “แล้วตอนที่ไปชนผมก็ซัดวิสกี้มาเสียเมามาย ไม่มีอะไรให้แก้ตัวเลยละครับ”

          เธอกวาดตามองหนังสือพิมพ์ในมืออีกรอบ “ถ้างั้นจริงแล้วทำไมไม่มีข่าวอะไรเลยล่ะ แปลกจริง ยังไม่มีใครไปเห็นศพเหรอ”

          “เรื่องมันซับซ้อนน่ะครับ พออ่านหนังสือพิมพ์ดูแล้วก็แน่ใจละว่าผมอาจจะรอดตัวไปได้สักเก้าวัน ระหว่างนั้นผมก็ยังไม่มีความผิด”

          “เอ่อ ก็ยังงง ๆ อยู่” เธอกอดอก “แล้วว่างมาคุยกับฉันเหรอ ไม่ใช่ว่าตอนนี้นายต้องไปทำลายหลักฐานหรือไปกบดานอยู่สักที่เหรอ”

          “ที่จริงก็ต้องเป็นงั้นแหละครับ แต่เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาของผมคนเดียว ต้องรอการติดต่อมาก่อนด้วยน่ะครับ”

          “…เหรอ ถึงจะคาใจอะไรอีกหลายอย่างก็เถอะ แต่สรุปคือตอนนี้นายเป็นอาชญากรไปแล้ว”

          “ครับ ถูกเผงเลยครับ”

          อยู่ ๆ สีหน้าสาวสายศิลป์ก็เบิกบานขึ้นมา เธอเข้ามาเขย่าไหล่ผมทั้งสองข้างอยู่หลายครั้งพร้อมอาการที่แค่คำว่าเริงร่ายังน้อยไป

          “คือ ตอนนี้ฉันดีใจมาก ๆ เลยละ” เธอบอก “รู้สึกดีสุด ๆ ไปเลย”

          “ชอบที่เห็นคนอื่นล่มจมหรือไงครับ” ผมยิ้มเจื่อน ๆ

          “อืม ฉันดีใจที่ได้รู้ว่านายเป็นพวกสวะเกินเยียวยา”

          ไม่ใช่ว่าเธอไม่เข้าใจความรู้สึกคนอื่น เธอเข้าใจ และเพราะเช่นนั้นถึงได้ยิ้มกว้างที่ช่วยให้ผมสบายใจขึ้นบ้างออกมา ปฏิกิริยาเช่นนี้ทำให้ผมรู้สึกดีกว่าความเห็นอกเห็นใจทั้งหลายที่พาให้กระอักกระอ่วนใจเสียอีก และอย่างไรเสีย เธอก็พลอยดีใจเพราะผมไปด้วย

          “ได้เลื่อนขั้นจากพ่อคนเก็บตัวเป็นพ่อฆาตกรแล้วสินะ”

          “ไม่ใช่ว่าลดขั้นเหรอครับ”

          “แต่ฉันว่าเลื่อนขั้นนะ …นี่ คืนนี้ไปเดินเล่นกัน ไอ้การยื้อเวลากระจึ๋งนึงของนายอะไรนั่นเอาไว้ก่อน เผื่อนายจะปลอดโปร่งขึ้น ว่าไง”

          “ครับ ด้วยความยินดี”

          “โอเค เอ้อ สักขวดมั้ย” เธอชี้ไปที่ขวดตรงชั้นวาง “เห็นน่าจะมีอะไรหลายอย่างอยากลืมไม่อยากคิดถึงนี่”

          “ยังก่อนดีกว่าครับ เผื่อมีคนติดต่อมาแล้วจะได้รีบขับรถออกไปเลย”

          “เหรอ งั้นก็น่าเสียดายนะที่ตอนนี้คงมีแค่น้ำเปล่าสำหรับพ่อฆาตกร พอดีว่าที่นี่มีแต่เหล้ากับน้ำเปล่าน่ะ”

          พอได้เห็นเธอหย่อนน้ำแข็งใส่แก้ววิสกี้แล้วก็ชวนให้คิดถึง แวบหนึ่งผมรู้สึกเหมือนตัวเองหลุดเข้าไปอยู่ในหนังสือภาพหรือภาพวาดสักภาพหนึ่ง

          “ขอโทษนะครับ ขอสักแก้วได้ไหมครับ”

          “ก็กะจะให้ตั้งแต่ทีแรกแล้วละ” เธอเทวิสกี้ลงอีกแก้วด้วยความว่องไว “เอ้า ชนแก้ว”

          “ชนแก้ว”

          ขอบแก้วที่ชนกันส่งเสียงชวนชื่นใจออกมา

          “ฉันไม่เคยดื่มกับฆาตกรมาก่อนเลยนะเนี่ย” เธอเปรยพลางบีบน้ำเลมอนใส่แก้ว

          “เป็นการพบปะครั้งสำคัญเลยนะครับ อย่าลืมเชียวละ”

          “แน่นอน”

          เธอตอบแล้วยิ้มตาหยี

 

          ผมรู้จักกับสาวเรียนศิลป์เก็บตัวที่อยู่ข้างห้องคนนี้จนเป็นเพื่อนกันก็ตอนช่วงที่ผมกลายเป็นคนเก็บตัวอุดอู้อยู่ในห้องตอนนั้น

          วันนั้นผมนอนฟังเพลงอยู่บนเตียง ผมเปิดเพลงเสียงดังแบบไม่เกรงใจใครทั้งสิ้น จนมีเสียงเคาะประตูหนัก ๆ มา ตอนแรกผมเมินไปเพราะคิดว่าอาจจะเป็นพวกเผยแผ่ศาสนาหรือคนขายหนังสือพิมพ์ ทว่าเสียงเคาะยังคงดังอยู่ต่อเนื่อง ผมรำคาญจึงเร่งเสียงดนตรีให้ดังขึ้นอีก แล้วก็มีคนเปิดประตูเข้ามาอย่างแรง คงเพราะผมลืมล็อกกุญแจไว้

          ผู้บุกรุกเธอเป็นสาวใส่แว่น หน้าตาคลับคล้ายคลับคลาเหมือนเคยเห็นที่ไหนสักที่ คงจะเป็นคนข้างห้องที่พร้อมมาเฉ่งเรื่องเสียงดัง ผมเตรียมใจตั้งรับคำดุด่าทุกรูปแบบ แต่เธอกลับไปกดหยุดเครื่องเล่น CD ของผมให้คายแผ่นออกมา แล้วเอา CD อีกแผ่นมาใส่แทน จากนั้นก็กลับห้องตัวเองไปโดยไม่พูดไม่จา

          ปัญหาที่เธอจะว่าคงไม่ใช่เรื่องระดับเสียง แต่เป็นรสนิยมมากกว่า ผมลองกดปุ่มเล่นดูว่าเธอเอาเพลงอะไรมาเปิด และเสียงเพลงแนวอินดีป็อปที่หวานชื่นรื่นรมย์ประดังน้ำส้มก็ดังออกมา ผมแอบผิดหวังที่หลงคิดไปว่าจะแนะนำรสนิยมเพลงเลิศ ๆ อะไรมาให้ น่าเสียดายจริง ๆ

          เรื่องราวก็ประมาณนั้นกับการที่ผมได้พบกับเธอ แต่ผมก็เพิ่งมารู้ทีหลังอีกทีว่าเธอเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยศิลป์

          ทั้งผมและเธอต่างเกลียดการออกไปข้างนอก และออกมาที่ระเบียงบ่อย ๆ เช่นกัน ต่างกันตรงที่เธอออกมารดน้ำเหล่าต้นไม้ทั้งหลายของเธอ แต่ผมออกมาสูบบุหรี่ ผมรู้สึกว่าทุกครั้งที่ได้เจอหน้ากัน ระยะห่างระหว่างเราก็ร่นลงเรื่อย ๆ

          เมื่อทั้งสองระเบียงไม่มีอะไรมากั้นกลาง ทุกครั้งที่ผมเห็นเธอก็จะพยักหน้าให้ด้วยความสุภาพ ส่วนสาวสายศิลป์ที่เห็นผมทักทายก็จะมองมาด้วยสายตาระแวดระวังพลางตอบรับคำทักทายนั้น

          มีครั้งหนึ่งในช่วงสิ้นฤดูร้อน วันนั้นเธอออกมารดน้ำต้นไม้ที่ระเบียง ผมยืนพิงราวทางด้านซ้ายและทักทายเธอ

          “ปลูกหมดนี่คนเดียวเนี่ยเก่งจังเลยนะครับ”

          “ไม่หรอก” เธอตอบเสียงค่อยจนแทบไม่ได้ยิน “ก็ไม่ได้ดูแลยากขนาดนั้น”

          “ขอถามอะไรอย่างได้มั้ยครับ”

          เธอตอบทั้งที่ยังคอยสังเกตเหล่าพืชพรรณของเธออยู่ “ได้สิ แต่จะตอบมั้ยอีกเรื่องนะ”

          “คือ ไม่ได้ตั้งใจจะถามละลาบละล้วงอะไรนะครับ แต่ว่าคุณไม่ได้ออกไปไหนตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาเลยหรือเปล่าครับ”

          “…แล้วยังไง”

          “ก็ ถ้าใช่ ก็คงดีใจมั้งครับ”

          “ทำไมล่ะ”

          “เพราะผมก็ไม่ได้ออกไปไหนเหมือนกัน”

          ผมหยิบก้นบุหรี่ที่ตกตรงเท้าผมขึ้นมาจุดสูบ

          สาวสายศิลป์เธอลืมตาขึ้นแล้วหันมาทางผมช้า ๆ

          “เหรอ นั่นสินะ เพราะนายก็ไม่ได้ออกห้องไปไหนเลยรู้ว่าฉันไม่ได้ออกไปไหนด้วย”

          “ครับ ข้างนอกตอนหน้าร้อนน่ะน่ากลัวนะครับ”

          “หมายความว่าไง”

          “รู้สึกสงสารตัวเองที่เวลาเดินกลางแดดแล้วต้องกลับมาฟื้นตัวเองอีกสักสองสามวันน่ะครับ ไม่สิ ต้องบอกว่า รู้สึกสมเพชตัวเองหรือเสียใจที่ออกไปเดินมากกว่า”

          “หืม” เธอตอบกลับพลางใช้นิ้วกลางดันแว่น “แล้วช่วงนี้ไม่เห็นเพื่อนนายเลย ไปไหนซะล่ะ คนที่ดูทรงติดยานั่นน่ะ ก่อนหน้านี้เห็นมาแทบทุกวันนี่”

          คงหมายถึงชินโดนั่นแหละ ก็จริงที่ว่าดูแล้วเหมือนคนติดยา บางวันก็ตาลอย ๆ หรือไม่ก็ยิ้มหลอน ๆ ขึ้นมา แต่พอเธอบอกตรง ๆ แบบนั้นแล้วก็ตลกดีเหมือนกัน

          ผมพูดกลั้วเสียงหัวเราะ “ชินโดสินะครับ หมอนั่นตายไปสองเดือนได้แล้วละ”

          “ตายแล้วเหรอ”

          “ซิ่งตกหน้าผาตายน่ะครับ น่าจะฆ่าตัวตายละนะ”

          “…อ้าวเหรอ ขอโทษที่ถามนะ”

          น้ำเสียงตอนขอโทษของเธอดูตกใจ

          “ไม่เป็นไรหรอกครับ ยังไงก็ไม่ใช่เรื่องหนักหน่วงอะไรขนาดนั้น เพราะเป็นเรื่องราวของความฝันของผู้ชายคนหนึ่งที่เป็นจริงแล้ว”

          “…งี้นี่เอง เอาเถอะ คงจะมีคนแบบนั้นอยู่จริง ๆ แหละ” สีหน้าเธอดูเคร่งขรึม “แล้วที่นายไม่ได้ออกไปไหนก็คือเสียใจที่เพื่อนไม่อยู่แล้วน่ะนะ”

          “จริง ๆ ก็อยากตอบอยู่นะครับว่ามันไม่ใช่แค่นั้น” ผมเกาแก้มแก้เก้อ “แต่ก็อาจจะแค่นั้นจริง ๆ ก็ได้ ผมก็ไม่ค่อยเข้าใจตัวเอง”

          “น่าสงสาร” เธอทำท่าเหมือนเป็นพี่สาวเจ็ดขวบที่กำลังปลอบน้องชายอายุห้าขวบ “แล้วที่เห็นเดือนนี้ผอมไปก็เพราะเรื่องนั้นด้วยหรือเปล่า”

          “ผมผอมลงขนาดนั้นเลยเหรอครับ”

          “อืม จะว่าเป็นคนละคนเลยยังได้ ผมก็ยาว หนวดก็รุงรัง ผอมไปตั้งเท่าตัว ตาโหลอีกต่างหาก”

          ก็จริงอย่างที่เธอพูด การที่ผมไม่ได้ออกจากอพาร์ตเมนต์ไปไหนเลยก็แปลว่าของที่ผมกินส่วนมากก็มีแต่กับแกล้มเหล้าเท่านั้น บางวันถึงขั้นกินแต่กับแกล้มโดยไม่หาอะไรมากินให้เต็มอิ่ม และพอก้มมองดูขาตัวเองก็พบว่าลีบลงอย่างกับผู้ป่วยติดเตียง เสียงก็แหบแห้งโดยที่ผมไม่รู้ตัวเพราะดื่มเหล้ากับการไม่ได้คุยกับคนอื่นนาน ราวกับไม่ใช่เสียงตัวเองเลยสักนิด

          “ผิวก็ซีด เหมือนผีดูดเลือดที่ไม่ได้ดื่มเลือดคนมาเดือนนึงแน่ะ”

          “ไว้ผมจะไปส่องกระจกดูนะครับ” ผมแตะ ๆ ตาตัวเอง

          “ระวังส่องแล้วไม่มีเงานะ”

          “ถ้างั้นก็คงเป็นผีดูดเลือดแล้วแหละครับ”

          “ตามนั้น”

          สีหน้าของเธอดูคล้ายจะบอกว่าขอบคุณที่อุตส่าห์ตบมุก

          “แล้ว คุณล่ะครับ ทำไมถึงไม่ออกไปไหนเลย”

          เธอวางบัวรดน้ำที่ข้างเท้าเธอแล้วพิงตัวเข้ากับระเบียงทางด้านขวาหันมาทางผม

          “เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน ค่อยว่ากัน แต่ตอนนี้ฉันคิดอะไรดี ๆ ออกด้วยละ” เธอส่งรอยยิ้มเป็นมิตรมาให้

          “ก็ดีนะครับ” ผมตอบตกลง

          ค่ำนั้นพวกเราออกจากอพาร์ตเมนต์ไปเดินด้วยชุดที่ดูดีมีมาดตามข้อเสนอของเธอ ผมใส่เสื้อแจ็กเก็ตกับกางเกงยีนผ้าเดนิมดิบ ส่วนสาวสายศิลป์เธอใส่ชุดเดรสทรงโคคูนที่ยาวคลุมตลอดตัวสีกรมท่าพร้อมรองเท้าทรงมิวล์[1]เปิดส้น ห้อยสร้อยคอเรียบ ๆ ทั้งยังใส่คอนแท็กเลนส์แทนแว่นตา รวบผมไว้ดูเรียบร้อย ชุดเหล่านี้ดูไม่เข้ากับการมาเดินเตร็ดเตร่ตอนกลางคืนอย่างที่สุด

          ก่อนหน้านี้ก็มีบางครั้งที่ผมจำต้องออกไปซื้อของหรือไปทำธุระที่ธนาคาร แต่ทุกครั้งที่ออกไป อาการหวาดกลัวโลกภายนอกของผมก็ย่ำแย่ลง ซึ่งสาวสายศิลป์เธอคิดว่าที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะทุกครั้งที่ผมได้ออกมาข้างนอกผมจะถูกบังคับให้ออกมาโดยไม่เต็มใจจนผมเกลียดสิ่งนั้นไปโดยปริยาย

          “เริ่มจากการออกไปข้างนอกให้เต็มที่ ให้สมองตัวเองจำว่า ‘ข้างนอกสนุกนะ’” เธอพูด “‘ในเมื่อการปรับตัวไม่ได้ต่างเกิดจากการเรียนรู้ผิด ๆ ดังนั้นการลบและแก้ไขการเรียนรู้เหล่านั้นจะทำให้เกิดการปรับตัวได้’”

          “ไปเอามาจากไหนเหรอครับ”

          “น่าจะของ ฮานส์ ไอย์เซงค์[2] นะ เป็นแนวคิดที่สุดยอดไปเลยใช่มั้ยล่ะ”

          “นั่นสินะครับ คิดแล้วก็ดูเข้าท่ากว่าพวกคำว่าจิตใจที่ถูกทำร้ายหรือเชื่อมสัมพันธ์อันอบอุ่นอะไรทำนองนั้น ว่าแต่ ทำไมต้องใส่เสื้อผ้าพวกนี้ด้วยล่ะครับ ใช่ว่าจะใส่แล้วเดินไปให้ใครดูสักหน่อย”

          สาวสายศิลป์ดึงชายชุดเดรสให้เข้าที่แล้วตอบ “ก็ยังเกร็ง ๆ กันใช่มั้ยล่ะ อาจจะไม่ได้ละลายพฤติกรรมขนาดนั้น แต่ฉันว่าแค่นี้มันก็สำคัญมากนะ”

          เราเดินอยู่ในเมืองยามค่ำคืนอย่างไร้จุดหมายทั้งที่แต่งตัวราวกับจะไปงานเลี้ยง แม้อากาศตอนกลางวันช่วงนี้ยังคงร้อนจัด แต่ลมเย็นที่พัดมาในตอนกลางคืนทำให้รู้สึกเหมือนเป็นฤดูใบไม้ร่วง เหล่าแมลงที่บินตอมตามหลอดไฟก็ลดลง ตัวที่ตกตายเกลื่อนตามพื้นกลับมากขึ้น

          หลังจากที่คอยเดินหลบซากแมลงที่ตกเกลื่อน เธอไปยืนอยู่ใต้หลอดไฟดวงหนึ่ง มีผีเสื้อกลางคืนตัวใหญ่บินว่อนอยู่บนหัว

          เธอเอียงคอถามผม

          “ฉันสวยมั้ย”

          ดูเหมือนว่าการได้ออกมาสูดอากาศภายนอกที่ห่างหายไปนานทำให้เธอดูตื่นเต้น คึกคักราวกับเด็ก ๆ ในงานวันเกิด

          “สวยครับ” ผมตอบ

          ผมมองว่าเธอเป็นคนสวยจริง ๆ พอได้มาเห็นภาพบรรยากาศที่อยู่ตรงหน้าก็เข้าใจเลยว่า “ความงาม” นั้นเป็นเช่นไร ผมจึงตอบไปว่าสวย

          “ดี”

          ตามด้วยรอยยิ้มกว้างอันใสซื่อของเธอ

          จักจั่นสีน้ำตาลตัวใหญ่ที่กำลังตายกระพือปีกอยู่กับพื้นถนน

          ที่หมายสุดท้ายของวันนั้นคือสถานีรถไฟในละแวกนั้นที่ไม่มีคน สถานีรถไฟอันเงียบเหงาของแหล่งนี้เชื่อมต่อไปยังทุกที่ราวกับใยแมงมุม

          ผมนั่งสูบบุหรี่ที่ริมชานชาลาพลางจ้องมองเธอที่เดินโยกตัวไปมาอยู่บนรางรถไฟ ที่ราวกั้นริมรางรถไฟมีแมวตัวใหญ่นั่งนิ่งอยู่คล้ายคอยจับตามองพวกเรา

          นับแต่นั้นมาพวกเราก็เริ่มออกไปเดินในยามค่ำคืนด้วยกัน โดยจะไปทุกวันพุธและแต่งตัวให้ดูดีก่อนออกไป จนกระทั่งผมสามารถที่จะออกไปเดินคนเดียวได้หลังตะวันตกดินไปแล้ว ความคิดของเธอที่ดูออกจะประหลาดนั้นกลับได้ผลอย่างเหลือเชื่อ

 

          ผมน่าจะเผลอหลับไปครู่หนึ่ง เสียงแจ้งเตือนจากโทรศัพท์ดังปลุกผม ผมรีบปะติดปะต่อว่าก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง หลังจากที่ดื่มอยู่กับสาวสายศิลป์ก็ออกไปเดินยามค่ำคืนเหมือนเคย พอกลับมาก็อาบน้ำ คงจะหลับไปตอนนั้นละมั้ง

          นาฬิกาบอกเวลาห้าทุ่ม พอปลดล็อกโทรศัพท์ดูก็เห็นว่าเป็นสายจากโทรศัพท์สาธารณะ ซึ่งเป็นสายจากเด็กสาวที่ผมชนตอนนั้นแน่ ๆ

          “ไม่ได้ฉีกแผ่นสุดท้ายทิ้งสินะ”

          ผมพูดกรอกสายไป เธอเงียบไปสักสิบวินาทีได้ คงจะพยายามรักษาหน้าอยู่ ไม่อยากทำตัวเหมือนว่าต้องมาพึ่งผม

          “ที่โทร. มาเบอร์นี้เพราะมีเรื่องจะขอร้องผมใช่มั้ย” ผมต่ออีกครั้ง

          แล้วเด็กสาวก็ตอบกลับมา

          “จะให้โอกาสคุณทำแต้มนะคะ …มาที่ป้ายรถบัสเมื่อวานด้วยค่ะ”

          “รับทราบ” ผมตอบรับ “จะรีบไปเดี๋ยวนี้ มีอะไรอีกมั้ย”

          “เรื่องอีกยาวค่ะ มาหาตามที่ที่นัดไว้ก่อนนะคะ”

          ผมหยิบแจ็กเก็ตที่เอาไว้ขับรถกับกระเป๋าสตางค์แล้วออกมาจากอพาร์ตเมนต์โดยไม่ทันได้ล็อกประตู กว่าจะไปถึงที่นั่นจะมีแยกไฟจราจรประมาณสิบที่ แต่ทุกที่ก็กลายเป็นไฟเขียวหมดพอผมไปถึง จึงมาตามที่นัดหมายได้เร็วกว่าที่คาดเอาไว้

          ผมเห็นเด็กสาวยืนอยู่ที่ป้ายรถบัสที่เรื่องครั้งล่าสุดจบลง ผ้าพันคอสีเลือดหมูพันอยู่จนมิดคอเธอที่กำลังดื่มชานมกระป๋องหนึ่งพลางมองไปยังท้องฟ้าค่ำคืน เมื่อมองตามเธอไปก็เห็นพระจันทร์ที่แทรกตัวอยู่ในหมู่เมฆ เงาบนผิวของมันดูเหมือนเป็นคนแก่ที่ตากแดดตอนเด็ก ๆ มากไปมากกว่ากระต่ายตำข้าว

          “ขอโทษที่ให้รอนะ”

          ผมลงจากฝั่งคนขับแล้วมาเปิดประตูที่นั่งฝั่งข้างคนขับให้ แต่เธอไม่สนใจ กลับเปิดประตูเข้าไปนั่งตรงที่นั่งผู้โดยสารด้านหลังแล้วเหวี่ยงกระเป๋าสะพายออก และปิดประตูด้วยท่าทางดูหงุดหงิด

          “จะไปไหนล่ะ” ผมถาม

          “ที่ที่คุณอยู่” เธอถอดเบลเซอร์แล้วคลายเน็กไท

          “จะขอไปค้างอยู่สักพักน่ะค่ะ”

          “ก็ได้อยู่หรอก แต่ทำไมล่ะ”

          “ก็ไม่มีอะไรมากหรอกค่ะ พอดีไปทุบพ่อมาก็เลยกลับบ้านไม่ได้แล้ว”

          “ทะเลาะกันเหรอ”

          “เปล่าค่ะ ฉันทุบเอง …ดูนี่สิคะ”

          เธอพูดพลางเลิกแขนเสื้อขึ้นมา

          ตามแขนบอบบางของเธอนั้นมีรอยสีดำอยู่เป็นจ้ำ ๆ ถ้าเป็นแผลรอยไหม้ก็คงผ่านมาอย่างน้อย ๆ หนึ่งปีแล้ว การเรียงตัวเป็นระเบียบของทั้งแปดจุดฟ้องว่ารอยเหล่านี้เป็นแผลที่คนทำ

          ผมนึกขึ้นได้ว่าหลังจากที่รถชนคราวนั้น พอเธอ ‘เลื่อนเวลา’ รอยแผลบนมือนั้นสาธิตให้ดูจบก็เลิกแขนเสื้อขึ้น แถมบอกว่า ‘ถ้าไม่เชื่อ เดี๋ยวจะพิสูจน์อะไรให้ดูอีกอย่างนะคะ’ ซึ่งแขนที่ผมเห็นตอนนี้ดูไม่เหมือนกับที่ผมเคยเห็นตอนนั้นเลย เธอคงจะ ‘เลื่อนเวลา’ แผลพวกนี้เอาไว้ด้วย และตั้งแต่ตอนที่เธอแยกจากผมกระทั่งได้มาเจออีกครั้งตอนนี้ ก็คงจะมีอะไรที่เธอ ‘เลื่อนเวลา’ เอาไว้ด้วย

          “เป็นแผลที่ได้มาตอนที่โดนพ่อจี้บุหรี่เมื่อนานมาแล้วน่ะค่ะ” เธออธิบาย “ที่หลังก็มีนะคะ จะดูมั้ย”

          “ไม่ ไม่เป็นไร” ผมโบกมือ “สรุปคือ…เธอทุบพ่อเป็นการเอาคืนแล้วหนีออกจากบ้านมา”

          “ค่ะ พอใช้เข็มขัดมัดแขนขาทั้งสองข้างไว้แล้วก็เอาค้อนทุบไปสักห้าสิบครั้งได้มั้งคะ”

          เด็กสาวพูดสบาย ๆ

          “ค้อนเหรอ” ผมถามแทรก

          “นี่ไงคะ”

          เธอหยิบค้อนที่หัวเป็นทรงกระบอกตันออกมาจากกระเป๋า เป็นอันเล็ก ๆ แบบที่ใช้ในวิชาศิลปะของเด็กชั้นประถม หัวค้อนที่ถูกสนิมกินกับด้ามจับที่เป็นรอยดำทำให้ดูเก่า

          พอเธอเห็นสีหน้าผมที่พรั่นพรึงก็ยิ้มออกมาอย่างภูมิใจ

          แต่ก็ตลกดีที่น่าจะเป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นรอยยิ้มซื่อสมวัยของเธอ

          ราวกับว่าได้ปลดปล่อยสิ่งที่กัดกินจิตใจที่มีมากมายไปอย่างหนึ่ง

          “พอได้แก้แค้นแล้วรู้สึกโล่งดีจังเลยนะคะ จะไปแก้แค้นใครต่อดีนะ ยังไงตอนนี้ฉันก็ไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว …แล้วก็แน่นอนว่าคุณฆาตกรต้องช่วยฉันด้วยนะคะ”

          พอพูดจบเธอก็นอนที่เบาะหลังแล้วผล็อยหลับไป คงจะเหนื่อยล้าทีเดียว แต่ก็สุดยอดที่ยังพอจะหยิบข้าวของแล้วหนีออกจากบ้านมาได้หลังจากที่แก้แค้นพ่อไปอย่างนั้น

          ผมลดความเร็วลง คอยขับอย่างระมัดระวังไม่ให้เด็กสาวตื่น

          ผมคิดว่าเธอคงจะยกเลิกการ ‘เลื่อนเวลา’ กับแผลไหม้เหล่านั้นเพื่อบอกว่าการที่เอาคืนไปอย่างนั้นคือสิ่งที่สมเหตุสมผลแล้ว ในเมื่อเธอเลิกปิดตาข้างหนึ่งเรื่องที่ถูกพ่อเธอทำร้ายและยอมรับถึงสาเหตุของบาดแผล ‘ที่ไม่เคยเกิดขึ้น’ ได้แล้ว เธอย่อมมีสิทธิ์ที่จะแก้แค้น

          ‘จะไปแก้แค้นใครต่อดีนะ’ งั้นเหรอ ถ้าพูดเหมือนพอมีทางเลือกอย่างนั้นก็แปลว่าคงจะมีคนให้แก้แค้นอย่างน้อย ๆ สักสองสามคน

          ผมคิด ว่าเธอคงจะผ่านชีวิตที่แสนโหดร้ายมา

          พอกลับมาถึงอพาร์ตเมนต์ผมก็เปิดประตูอุ้มเธอเข้าไปในห้อง หลังจากที่ถอดรองเท้าโลฟเฟอร์กับถุงเท้าของเธอแล้วก็ให้เธอนอนบนเตียงพร้อมห่มผ้าให้ เธอรีบดึงผ้าห่มขึ้นมาจนคลุมถึงปาก

          และมีเสียงสะอึกสะอื้นอยู่สองสามครั้ง

          คงจะร้องไห้

          เธอดูเป็นคนที่ทั้งยิ้มและร้องไห้บ่อยเหลือเกิน เศร้าเรื่องอะไรอยู่กันนะ จะเป็นเรื่องชีวิตที่เหลืออยู่อีกไม่กี่วัน หรือนึกเสียใจที่ทำร้ายพ่อลงไป หรือกำลังนึกถึงอดีตที่ถูกทารุณ และอีกหลายอย่างที่ผมพอนึกได้

          หรือเธออาจจะไม่รู้ถึงสาเหตุของน้ำตาเหล่านั้นเสียด้วยซ้ำ บางที ในใจเธอตอนนี้คงมีหลายอารมณ์ที่ปั่นป่วนสับสนกันอยู่ รู้สึกโดดเดี่ยวแทนที่จะสนุก รู้สึกดีใจแทนที่จะเสียใจ

          ผมนอนเหม่อมองเพดานอยู่บนโซฟา รอจนรุ่งสางมาถึง ผมคอยคิดไปมาว่าถ้าเธอตื่นแล้วจะพูดอะไรกับเธอดี หรือจะทำอะไรต่อไปดี

          และช่วงเวลาแห่งการแก้แค้นก็เริ่มนับแต่นั้น

 

[1] Mule: รองเท้าสตรีประเภทหนึ่ง มีส่วนหุ้มหัวรองเท้าและเปิดส้นด้านหลังเท้า ความสูงของส้นมีได้หลายแบบ

[2] Hans Jürgen Eysenck (ฮานส์ เจอร์เกน ไอย์เซงค์): นักจิตวิทยาชาวเยอรมัน-อังกฤษ

และแล้วบาดแผลจะลบเลือน

และแล้วบาดแผลจะลบเลือน

Score 10
Status: Completed
"บ้าสิ้นดีที่ดันมารักผู้หญิงที่ตัวเองฆ่า" ผมฆ่าคนคนหนึ่งในฤดูใบไม้ร่วงตอนที่ผมอายุได้ยี่สิบสองปี ตอนที่ทุกอย่างบนโลกใบนี้หันหลังให้กับผม — แต่ทว่า เด็กสาวที่ถูกผมฆ่านั้น 'เลื่อน' ความตายออกไปได้อีกสิบวัน และเธอจะใช้เวลาสิบวันอันมีค่าที่เหลืออยู่นั้นแก้แค้นเหล่าผู้คนที่ทำลายชีวิตเธอ "คนที่จะช่วยฉันได้ก็เป็นคุณฆาตกรอยู่แล้วค่ะ" และในขณะที่การแก้แค้นดำเนินไป พวกผมกลับเข้าใกล้ความจริงที่อยู่เบื้องหลังการพบพานของเราสองคนมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งเป็นความทรงจำรสหวานขม และคำบอกลาในวันนั้น

Options

not work with dark mode
Reset