ตอนที่ 1015 เสี่ยวหม่านเป็นฆาตกร
ตอนที่ 1015 เสี่ยวหม่านเป็นฆาตกร
บุคคลที่ดูคุ้นเคยนั้นคือเสี่ยวหม่าน หล่อนกำลังผลักรถเข็นของชายคนหนึ่งเข้าไปในสุมทุมพุ่มไม้ข้างทาง
หลินม่ายรีบจอดรถข้างถนนก่อนจะหันไปบอกกับคนอื่น ๆ ว่า “ฉันมีเรื่องต้องทำค่ะ” จากนั้นก็รีบลงจากรถทันที
เสี่ยวหม่านและน้องชายมาถึงพุ่มไม้ริมถนนแล้ว และแนวของต้นยี่โถสีเขียวริมถนนก็บดบังร่างกายของพวกเขาไว้อย่างสมบูรณ์
หลินม่ายเดินเข้ามาด้านหลังอย่างเงียบ ๆ และเห็นว่าเสี่ยวหม่านกำลังพูดคุยเสียงแผ่วกับเสี่ยวเลี่ยงผู้เป็นน้องชาย
หลินม่ายเดินเข้าหาทั้งสองคนก่อนจะกล่าวเสียงเข้ม “เสี่ยวหม่าน ไปสถานีตำรวจกับฉัน!”
เมื่อเสี่ยวหม่านเห็นว่าหลินม่ายยืนอยู่ด้านหลังของตน หล่อนก็ยัดเงินก้อนหนึ่งไว้ในแขนของเสี่ยวเลี่ยงก่อนจะวิ่งหนี
หลินม่ายอยู่ใกล้หล่อนมาก และเธอก็เตรียมพร้อมแล้ว เธอจึงวิ่งตามและคว้าเสี่ยวหม่านเอาไว้
เห็นเสี่ยวหม่านถูกจับ เสี่ยวเลี่ยงก็ผลักรถเข็นออกไปเพื่อกั้นกลางระหว่างหลินม่ายกับเสี่ยวหม่าน เขาไม่สนใจเงินที่อยู่ในอ้อมแขนแม้แต่น้อย
หลินม่ายกระโจนเข้าหาเสี่ยวเลี่ยงจนทำให้ทั้งคนทั้งรถเข็นล้มลงกับพื้น
เสี่ยวหม่านที่วิ่งออกไปพลันเห็นว่าใบหน้าของเสี่ยวเลี่ยงเต็มไปด้วยเลือด หล่อนก็มีท่าทางลังเลด้วยความกังวล
หลินม่ายวิ่งออกไปคว้าเสื้อคลุมของหล่อนอีกครั้ง “เสี่ยวหม่าน อย่าคิดหนี ยอมแพ้ซะ”
เสี่ยวหม่านวิ่งหนีอย่างหวาดกลัว แต่ก็ไม่สามารถดิ้นหลุดไปได้
เห็นอย่างนั้นเสี่ยวเลี่ยงก็เข้าไปกอดต้นขาของหลินม่าย และตะโกนบอกเสี่ยวหม่าน “พี่สาว หนีไป!”
เสี่ยวหม่านไม่อาจดิ้นหลุดจากมือของหลินม่ายได้ เวลานี้หล่อนจึงถอดเสื้อคลุมออก ก่อนจะหนีไปได้
เสี่ยวเลี่ยงปล่อยมือที่จับขาของหลินม่ายเอาไว้พร้อมกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด “ผมรู้ว่าพี่สาวทำผิดต่อคุณ หล่อนควรจะยอมจำนนด้วยกฏหมาย แต่ผมไม่อยากให้หล่อนเข้าคุก ผมทนไม่ได้” หลังจากนั้นเขาร้องไห้ออกมา
หลินม่ายหยิบผ้าเช็ดหน้าออกจากกระเป๋าก่อนจะเช็ดเลือดกำเดาของเสี่ยวเลี่ยง “ทนเห็นพี่สาวเข้าคุกไม่ได้? แล้วทนได้ไหมที่เห็นหล่อนต้องหลบหนีอย่างนี้? คดีที่พี่สาวเธอก่อมีโทษจำคุกแค่ 1 ถึง 3 ปีเท่านั้น หลังจากหล่อนถูกปล่อยตัว หล่อนก็จะสามารถใช้ชีวิตตามปกติได้ แต่สิ่งที่เธอทำมันไม่ใช่การช่วยเหลือพี่สาวเลย มันเป็นการทำร้ายหล่อนมากกว่า”
เสี่ยวเลี่ยงเพียงร้องไห้อย่างขมขื่นและไม่ได้พูดอะไรต่อ
หลินม่ายถอนหายใจเบาก่อนจะยกรถเข็นของเสี่ยวเลี่ยงขึ้น หลังจากช่วยพยุงให้เขานั่งบนรถเข็นแล้ว เธอก็หยิบธนบัตรที่กระจัดกระจายบนพื้นขึ้นมา
เงินก้อนนี้หนามาก มูลค่าของมันคือ 20,000 หยวน หลังจากคาดเดาสักครู่หลินม่ายก็รู้ดีว่าเสี่ยวหม่านหาเงินจำนวนมากในระยะเวลาสั้น ๆ นี้ได้อย่างไร
เธอคืนเงินให้กับเสี่ยวเลี่ยง และจะไปส่งเสี่ยวเลี่ยงกลับสู่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า
แต่เสี่ยวเลี่ยงปฏิเสธ และบอกว่าเขาจะเข็นรถกลับไปเอง
หลินม่ายไม่ได้พูดอะไรต่อ ขณะมองเขาเข็นรถเข็นกลับไปที่สถานเด็กกำพร้าด้วยตัวเอง
ประมาณสี่โมงเย็นขณะที่หลินม่ายกำลังเตรียมอาหารสำหรับส่งท้ายปีเก่า จินฉี่คังโทรมาและเล่าเรื่องตลกของฉวินกวงพลาซ่าให้เธอฟัง
ลูกค้าที่ถูกรางวัลที่สองได้รับโทรทัศน์
ชายผู้โชคดีกลับบ้านอย่งมีความสุขพร้อมกับทีวีในอ้อมแขน แต่ทันทีที่ลองเปิดใช้ เขากลับพบว่ามันพัง
บ้านของเขาอยู่ใกล้กับฉวินกวงพลาซ่า ดังนั้นพวกเขาจึงกลับมาที่งานพร้อมทีวีที่พังเพื่อขอคำอธิบาย
อย่างไรก็ตาม ฉวินกวงพลาซ่าปฏิเสธที่จะยอมรับว่าของรางวัลพัง และยืนยันว่าลูกค้าเป็นคนทำให้ทีวีพัง
ฝ่ายนั้นไม่ยอมเปลี่ยนเครื่องให้ลูกค้า และยังกล่าวหาว่าเขาทำผิดต่อหน้าสาธารณะชน ลูกค้าจึงกลับบ้านอย่างรู้สึกอับอาย จนเกิดคิดสั้นขึ้นมา จากนั้นก็กินยาฆ่าตัวตาย
ใกล้ถึงวันปีใหม่แล้ว แต่เมื่อเกิดเรื่องร้ายแรงเช่นนี้ขึ้น ผู้คนทั้งหมดย่อมตื่นตระหนก
หลินม่ายถามต่อ “แล้วลูกค้าที่ถูกรางวัลเป็นยังไงบ้าง?”
“โชคดีที่ครอบครัวของเขาทราบเรื่องทันเวลา และส่งเขาไปล้างท้องที่โรงพยาบาล เลยได้รับการช่วยเหลือเอาไว้ทัน ส่วนโทรทัศน์ถูกส่งกลับไปตรวจสอบแล้ว มันไม่มีร่องรอยความเสียหายจากฝีมือมนุษย์ เป็นความเสียหายจากโรงงาน ส่วนโรงงานทีวีเองก็ออกมายอมรับว่าการตรวจสอบสินค้าภายในโรงงานของพวกเขาเป็นการทำอย่างลวก ๆ เท่านั้น”
จินฉี่คังถามต่อ “คุณหลิน เราควรประโคมข่าวนี้หรือไม่ครับ?”
หลินม่ายตอบกลับ “ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวพวกเขาก็จะตายเพราะคำพูดตัวเอง เมื่อก่อนนี้ไม่เคยมีลูกค้าซื้อสินค้าจากฉวินกวงพลาซ่าแล้วมีปัญหา แถมฉวินกวงพลาซ่ากับโรงงานสองยักษ์ใหญ่จากไฉ่หงและเจียนจวินก็ไม่ได้ปฏิบัติตามสัญญาที่ว่าจะรับสินค้าคืนและเปลี่ยนของใหม่ให้ภายใน 15 วันไม่ใช่เหรอ? เราเพียงแค่ยุยงให้ผู้บริโภคเหล่านั้นไปเรียกร้องสิทธิ์ที่ฉวินกวงพลาซ่า จากนั้นก็ช่วยปกป้องสิทธิ์ของพวกเขาก็พอ”
เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อน้าหวงมาทำงาน หล่อนก็นำหนังสือพิมพ์ฉบับใหม่มาให้หลินม่าย
หลินม่ายกำลังกินเกี๊ยวทอดกับข้าวหมากที่ซื้อจากข้างนอก
เธอหยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมาอ่าน
มีข่าวหนึ่งดึงดูดความสนใจของเธอ เป็นเหตุฆาตกรรมเกิดขึ้นบนเลขที่ 11 บ้านหลีฮวา ตรอกถงเหริน เหตุเกิดขึ้นเวลาเที่ยงคืนที่ผ่านมา
หญิงวัยกลางคนชื่อเหลาเซียงหมิ่นถูกฆาตกรรม ซึ่งฆาตกรลงมือได้โหดเหี้ยมมาก ใช้มีดแทงหน้าอกของเหยื่อซ้ำ ๆ จนตาย
หลินม่ายจำได้ว่าที่อยู่ของพ่อเลี้ยงเสี่ยวหม่านที่เลวร้ายกว่าสัตว์เดรัจฉานก็คือสถานที่แห่งนี้
แม่ที่ไร้มนุษยธรรมของเสี่ยวหม่านชื่อเหลาเซียงหมิ่น
ในใจของหลินม่ายสั่นสะท้าน ฆาตกรคนนี้… คือเสี่ยวหม่านงั้นเหรอ!
เมื่อวานหล่อนมาที่สถานกำพร้าอย่างลับ ๆ เพื่อพบเจอเสี่ยวเลี่ยง เพียงเพราะต้องการพบญาติที่เหลือเพียงคนเดียวเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะลงมือฆ่าใครบางคน แล้วค่อยหนีไปสุดขอบโลก
เสี่ยวหม่านฆ่าแม่ตัวเอง ทำให้หล่อนไม่สามารถใช้ชีวิตเช่นคนปกติได้อีกต่อไป
หลินม่ายถอนหายใจก่อนจะรับประทานอาหารเช้าแล้วเข้าไปประชุมที่สำนักงานใหญ่
หลินม่ายเสนอในที่ประชุมเกี่ยวกับการจัดสรรงานสำหรับผู้สูงอายุที่อยู่คนเดียวในช่วงอายุ 50 ถึง 65 ปีภายในเมืองซื่อเหม่ย
เธอบอกกล่าวให้มีการสร้างห้องพักสำหรับผู้สูงอายุเหล่านี้ จัดตั้งโรงงานและหางานให้พวกเขาทำ
ให้พวกเขาทั้งหมดช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
หลังจากอายุครบ 65 ปีจะถูกย้ายไปยังสถานสงเคราะห์ผู้สูงอายุไร้บ้าน พวกเขาจะไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการเร่ร่อน
เงินทั้งหมดที่ได้รับจากการทำงานจะถูกนำไปใช้ในกิจการบ้านพักสวัสดิการ สร้างวงจรที่เป็นรูปธรรม และบ้านพักสวัสดิการจะไม่สร้างภาระให้กับองค์กร
ทุกคนเห็นด้วยหลังได้ยินอย่างนั้น
แต่ก็มีปัญหาตามมาอยู่ดี จะบริหารโรงงานใด และงานใดที่เหมาะสมต่อผู้สูงอายุ
ทุกคนพูดคุยกันอยู่นาน ส่วนใหญ่แนะนำการใช้ทรัพยากรท้องถิ่นสำหรับผลิตน้ำมันพืช แปรรูปข้าว แปรรูปมันฝรั่ง
ทุกอย่างฟังดูเป็นไปได้
สุดท้ายหลินม่ายเลือกโครงการแปรรูปมันเทศ
แม้เหล่าเกษตรในเมืองซื่อเหม่ยจะไม่ถือว่ามันเทศคืออาหารหลัก แต่พวกเขาก็ปลูกมันเทศจำนวนมากในทุกปี ทั้งหมดนี้ก็เพื่อใช้เลี้ยงหมูหรือทำเป็นมันเทศแผ่นเล็ก ๆ ให้เด็ก ๆ ขบเคี้ยว
มันเทศใช้ทรัพยากรต่ำ และยังมีราคาที่ต่ำมาก
สิ่งนี้ทำให้หลินม่ายนึกถึงของว่างอันโด่งดังในชีวิตก่อนหน้านี้ นั่นคือบะหมี่เผ็ดเปรี้ยว
หากสามารถแปรรูปเส้นมันเทศได้ ไม่เพียงแต่จะขายเส้นมันเทศ แต่ยังขายบะหมี่เผ็ดเปรี้ยวได้ด้วย
และหากบะหมี่เผ็ดเปรี้ยวขายดี ก็สามารถนำแป้งไปทำบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปขายต่อได้
หลินม่ายบอกกล่าวแผนระยะยาวของตนเองให้กับทุกคน ก่อนจะบอกให้เจิ้งซวี่ตงจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย
หลังประชุมเสร็จสิ้นแล้ว หลินม่ายขับรถกลับบ้าน ผ่านสถานีรถไฟฮั่นโข่ว และเห็นคนขายน้ำตาลปั้น
เมื่อคิดว่าเสี่ยวมู่ตงยังไม่เคยกินน้ำตาลปั้น หลินม่ายก็หยุดรถและแวะซื้อน้ำตาลปั้น
ก่อนจะมาถึงแผงขายน้ำตาลปั้น เธอก็สะดุดตากับเสี่ยวหม่านที่สวมผ้าพันคอผืนใหญ่พร้อมสวมหน้ากากปิดบังใบหน้า
เสี่ยวหม่านสวมเสื้อผ้าไม่ได้โดดเด่นอะไรนัก และยังกลมกลืนไปกับฝูงชน
หลินม่ายคาดเดาว่าหล่อนลงมือฆ่าแม่ตัวเองและกำลังหนีไป
แต่อีกฝ่ายกลับมองไปรอบ ๆ คล้ายกับรอใครสักคนอยู่ หรือว่ามีคนอื่นสมรู้ร่วมคิดด้วย?
เมื่อเสี่ยวหม่านหันมาพบเจอหลินม่าย ร่างกายหล่อนถึงกับแข็งทื่อไป
ทั้งสองจ้องมองกันจากระยะเจ็ดถึงแปดเมตรโดยไม่มีใครเคลื่อนไหว
หลังจากนั้นไม่นาน เสี่ยวหม่านกล่าวขึ้นว่า “ม่ายจื่อ ฉันทำร้ายคุณ และฉันจะยอมรับการลงโทษจากกฎหมาย แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้” หลังพูดจบเธอหันหลังกลับแล้ววิ่งหนีไป สุดท้ายก็หายตัวไปในทะเลฝูงชน
หลินม่ายเห็นว่าชายคนหนึ่งติดตามเสี่ยวหม่านไปด้วย
เธอยืนนิ่งสักครู่ ก่อนจะซื้อน้ำตาลปั้นสองไม้แล้วกลับบ้าน
หนึ่งคือมังกรยักษ์ สองคือซุนหงอคง
เสี่ยวมู่ตงและเสี่ยวเหวินได้ยินเสียงแตรรถจากลานนอกบ้าน พวกเขาก็รู้ทันทีว่าหลินม่ายกลับมาแล้ว เช่นนี้จึงวิ่งออกไปทักทายหลินม่ายพร้อมกับหวางไฉอย่างมีความสุข
ประตูลานบ้านเปิดออก หลินม่ายขับรถเข้ามา หลังลงจากรถก็ยื่นน้ำตาลปั้นให้กับสองพี่น้อง
เด็กชายทั้งสองคนมีความสุขมาก แน่นอนว่าเสี่ยวเหวินให้น้องชายของเขาเลือกก่อน
เสี่ยวมู่ตงต้องการมังกรยักษ์ที่ยาวเกือบฟุต เพราะอย่างนั้นซุนหงอคงจึงเป็นของเสี่ยวเหวิน
เด็กชายทั้งสองเดินเข้าบ้านอย่างมีความสุขพร้อมกับน้ำตาลปั้นในมือ
ด้านนอกประตูลาน โต้วโต้วเฝ้ามองสถานการณ์ทั้งหมดนี้พร้อมกับท่าทางอิจฉาตาร้อน
หากหล่อนยังอยู่กับหลินม่าย หล่อนคงมีความสุขมาก
ในใจของหล่อนเต็มไปด้วยความคับแค้นใจ หล่อนยังเป็นเด็ก แล้วทำไมแม่หลินถึงไม่ยอมให้อภัยหล่อน?
โต้วโต้วมองเสี่ยวเหวินและหลินม่ายเดินเข้าไปในบ้าน ก่อนจะเดินจากไปด้วยความโกรธ
แต่เมื่อหันกลับมา หล่อนก็เห็นว่าหรงจี้เหมยยืนอยู่ไม่ไกล และกำลังจ้องมองหล่อนอย่างดุร้าย ร่างกายของหล่อนพลันสั่นสะท้านก่อนจะร้องออกมาอย่างกังวล “แม่…”
หล่อนคิดมาโดยตลอดว่ามารดาผู้ให้กำเนิดจะเป็นคนดี จนกระทั่งหล่อนทะเลาะกับอีกฝ่ายเมื่อสองวันก่อน ไม่เพียงแต่แม่คนนี้จะไม่เอาอกเอาใจหล่อนเช่นเคย แต่ยังเผยท่าทางดุร้ายและเกลียดชังหล่อนด้วย
จิงจิงไล่ให้หล่อนไปอยู่ในห้องเล็กที่สร้างด้วยแผ่นไม้บาง ๆ มันค่อนข้างทรุดโทรมมาก หล่อนร้องไห้จนเสียงแหบแห้ง
แม่ของหล่อนไม่เพียงแต่จะไม่ช่วยเหลือ แต่กลับดุด่าว่าหล่อนเสียงดังน่ารำคาญ
จิงจิงแย่งมงกุฎของหล่อนไป และหล่อนต้องการแย่งมันกลับคืน แต่ถูกจิงจิงผลักจนล้มลงกับพื้น แม่ของหล่อนก็ทำเป็นไม่สนใจก่อนจะเอาเสื้อผ้า รองเท้า ถุงเท้าทั้งหมดของหล่อนไปขายที่ตลาดมือสอง ซึ่งเสื้อผ้าเหล่านั้นถูกขายออกไปในมูลค่ากว่าหนึ่งหรือสองพันหยวน
หรงจี้เหมยใช้เงินนั้นซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้ทุกคนในครอบครัวรวมถึงตนเอง แต่ยกเว้นโต้วโต้วเท่านั้น หล่อนทำเพียงโยนเสื้อผ้าเก่าของจิงจิงให้สองสามชุด
ในอดีต เมื่อจิงจิงทำให้หล่อนต้องหงุดหงิด หรงจี้เหมยจะดุด่าจิงจิงเสมอ
แต่พอเป็นตอนนี้ หากจิงจิงเริ่มไม่พอใจ หรงจี้เหมยจะไม่ดุด่าหล่อนอีกต่อไป แต่จะทุบตีโต้วโต้วโดยไม่สนใจว่าหล่อนเป็นโรคหัวใจอยู่หรือไม่
และยังพูดอีกว่าหากโต้วโต้วไม่เชื่อฟัง จะพาหล่อนไปทิ้ง
โต้วโต้วหวาดกลัวการถูกทิ้ง ภายในระยะเวลาไม่กี่วันหล่อนก็มีท่าทางหวาดกลัวราวกับนกกระทาตัวน้อย
ไม่เพียงแต่ไม่กล้ารุกรานจิงจิงเท่านั้น แต่ยังไม่กล้าบ่นเมื่อหรงจี้เหมยบอกกล่าวให้หล่อนซักเสื้อผ้าของทุกคน และออกไปเก็บผักในช่วงฤดูหนาว
เช้านี้หรงจี้เหมยพาจิงจิงและน้องชายทั้งสองคนออกไปซื้อของปีใหม่ โต้วโต้วแอบหลบออกมาจากบ้าน แต่สุดท้ายแล้วหรงจี้เหมยก็จับได้ว่าหล่อนมายืนอยู่ที่ประตูหน้าบ้านของหลินม่าย
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
มีลูกแล้วเอาแต่ทำร้ายทารุณจนลูกหมดความรู้สึกดีๆ ให้ก็อาจมีชะตาเหมือนแม่เสี่ยวหม่านได้ ที่เสี่ยวหม่านยังไม่ไปก็เพราะกำลังล้างแค้นตามไล่ฆ่าพ่อเลี้ยงกับลูกชายพ่อเลี้ยงอยู่หรือเปล่านะ?
หรงจี้เหมยเธอระวังเอาไว้ให้ดีเลย เกิดโต้วโต้วเป็นแบบเสี่ยวหม่านขึ้นมาเมื่อไหร่เธอจะไม่ได้ใช้ชีวิตดีๆ ตอนแก่เฒ่า
สรุป…มีลูกเมื่อพร้อมจะเลี้ยงดูให้ความรักกับเค้าเถอะค่ะ
ไหหม่า(海馬)