แพทย์เทวะ หัตถ์ปีศาจ 742 การหลอกลวง

ตอนที่ 742 การหลอกลวง

ตอนที่ 742 การหลอกลวง

 

เสียงโหยหวนของขันทีทําให้ทุกคนในปัจจุบันรู้สึกตกใจกับสิ่งที่พวกเขาได้ยิน

นี่คืออะไร ปล่อยสัตว์ไป 28 ตัวนี้ไม่ใช่การล่าสัตว์หรือ ? เมื่อใดที่มันกลายเป็นความช่วยเหลือ

 

แต่มีบางคนที่กล่าวว่า “แน่นอน องค์ชายเจ็ดเท่านั้นที่จะทําสิ่งนี้ !”

 

ความรู้สึกนี้ได้รับการตอบสนองอย่างเห็นอกเห็นใจอย่างรวดเร็ว ดังนั้นทุกคนจึงมองที่ชวนเทียนชั่วมากกว่านี้ พวกเขาเริ่มรู้สึกว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นกับซวนเทียนชั่วไม่สามารถเป็นปกติได้อีก ดังนั้นพวกเขาทุกคนจึงเริ่มกล่าวด้วยความชื่นชมว่า “พระองค์เป็นคนใจดี ข้าชื่นชม ! ชื่นชมจริงๆ !”

 

อย่างไรก็ตามซวนเทียนฮั่วยิ้ม แต่ไม่ตอบสนองต่อสิ่งนี้ เมื่อเสียงหยุดลงในที่สุดเขาก็ถอยกลับไปสองสามก้าว และกล่าวกับฮ่องเต้ว่า “เสด็จพ่อ ข้าไม่เคยตามล่าสัตว์เล็ก และจะไม่แข่งขันกับพี่ชายของข้าพะยะค่ะ”

 

องค์ชายสี่, ซวนเทียนยี่จ้องมองเขาด้วยท่าทางที่ขมขึ้นและกล่าวว่า “ถ้าไม่ใช่เพราะน้องเจ็ดปล่อยไป ข้าก็จะได้อีกสักสองสามตัว”

 

ฮ่องเต้ตะโกนว่า “เจ้าได้ที่หนึ่งแล้วเจ้ายังไม่พอใจกับเรื่องนี้อีกหรือ” หลังจากพูดแล้วเขาก็รับหยกที่ฮองเฮาจัดเตรียมไว้อย่างไม่พอใจและส่งให้จางหยวน “นี่คือรางวัลสําหรับผู้ชนะการล่าสัตว์ในวันนี้ นําไปมอบให้เขา !”

 

แม้ว่าฮ่องเต้จะอนุญาตให้องค์ชายสี่ออกจากพระราชวังเป็นครั้งคราวโดยเริ่มต้นจากงานเลี้ยงฉลองเทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วง เขายังคงรู้สึกมีหนามในใจของเขาตั้งแต่เมื่อซวนเทียนยและชวนเทียนเยโจมตีพระราชวัง ดังนั้นทัศนคติของเขาจึงไม่ดีมาก หยกหรูยี่ที่เป็นสัญลักษณ์ของชัยชนะก็ยังไม่ได้รับเช่นกัน

 

แต่ซวนเทียนยี่ก็ไม่ได้คิดมากเพราะเขาทําราวกับว่าเขาไม่เห็นความเงียบสงบของฮ่องเต้ หลังจากได้รับหยกหรู่ยี่แล้วเขาก็คุกเข่าและขอบคุณฮ่องเต้ จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืนแล้วมุ่งหน้าไปยังกลุ่มคุณหนู

 

การเคลื่อนไหวของเขาทําให้ทุกคนรู้สึกงง อย่างไรก็ตามซวนเทียนเก้อดึงแขนเสื้อของเฟิงหยูเฮง และกล่าวว่า “ดูสิ พี่สี่กําลังมองหาเซียงหรู”

 

เฟิงหยูเฮงสามารถมองผ่านความตั้งใจของเขา ทิศทางที่ซวนเทียนยี่มุ่งหน้าไปเป็นที่ซึ่งเฟิงเซียงหรูนั่งอยู่ อย่างรวดเร็วทั้งสองยืนเผชิญหน้ากัน ซวนเทียนยี่ยืนหยกหรูย์ให้และกล่าวว่า “อาจารย์เซียงหรูรับมันไว้ เราได้ตกลงกันแล้วว่าถ้าข้าชนะ รางวัลนั้นจะมอบให้เจ้าเป็นของกํานัลเพื่อขอบคุณอาจารย์”

 

คําพูดเหล่านี้ทําให้ใบหน้าของเฟิงเซียงหรูแดงไปจนถึงคอของนาง ซักครู่นางไม่รู้ว่านางควรทําอะไร เพราะนางโกรธและอายที่ชวนเทียนยทําแบบนี้ นางกัดฟันแล้วกล่าวอย่างเบา ๆ ว่า “พระองค์บ้าไปแล้วหรือ ? ใครบอกพระองค์เลือกให้เวลานี้ พระองค์สามารถให้ขาในภายหลังได้”

 

ซวนเทียนยี่ยังไม่ใส่ใจรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ และกล่าวด้วยเสียงดังทันที “ฮ่า ๆ ! เจ้าคืออาจารย์เย็บปักของข้า ทําไมข้าต้องเลือกระหว่างการให้ตอนนี้หรือให้ภายหลัง เมื่อได้รับมันจะต้องได้รับเป็นธรรมดา รับมันไปเร็ว สิ่งที่เสด็จพ่อให้มานั้นดีมาก” ในขณะที่พูดเขาดูชิ้นหยกอย่างระมัดระวังแล้วกล่าวเสริม “มันเป็นหยกชั้นดีเจ้าได้รับรางวัลใหญ่จริง ๆ ในครั้งนี้ รีบรับไปสิ”

 

เซียงหรูโกรธมากจนนางอยากจะเตะเขา แต่ในท้ายที่สุดนางก็สามารถกลั้นไว้ได้ นางคว้าหยกหรูยี่มาเงียบ ๆ แล้วกล่าวว่า “เร็ว กลับไปได้แล้ว ระวังหลงทาง”

 

“หลงทาง ? หลงทางหรือ ?” ซวนเทียนยี่อารมณ์ดี และเดินกลับไปที่กลุ่มขององค์ชายอย่างมีความสุขโดย ไม่อธิบายให้ใครฟัง แน่นอนการกระทําเหล่านี้ไม่สามารถเป็นปกติอีกต่อไปเมื่อเขาทําพวกเขา

 

สําหรับฮ่องเต้ เขาไม่ได้พูดอะไรเลย มันเป็นฮองเฮาที่กล่าวขึ้นมา “หยกหรู่ยี่ องค์ชายสี่ได้รับรางวัลไปแล้ว ดังนั้นมันจึงเป็นของเขา ถ้าเขามอบให้อาจารย์ของเขามันก็ดีมาก”

 

ซวนเทียนยี่พยักหน้าอย่างไร้ยางอายเป็นเชิงเห็นด้วย อย่างไรก็ตาม มีใครก็ไม่รู้เอ่ยว่า “เงินทองเป็นสิ่งที่จะมอบให้กับคนที่พระองค์รัก องค์ชายสี่และคุณหนูตระกูลเฟิงคือ…”

 

“ฮะ ? ” ซวนเทียนยี่ถามเสียงดัง “ใครมีสายตาที่ชัดเจนเช่นนี้”

 

เฟิงเซียงหรูรู้สึกว่านางจะไม่สามารถอยู่ต่อไปได้อีก แต่นางก็รู้สึกว่านางไม่สามารถออกจากเวทีได้ในเวลานี้ นางยกแขนของนางขึ้นและปกปิดใบหน้าขณะที่พูดพึมพํากับตัวเองอย่างเงียบ ๆ “ซวนเทียนยี่ เพียงแค่เจ้ารอ ซวนเทียนยี่ เจ้าแค่รอ !” แต่จะให้เขารออะไรนั้น นางยังไม่ได้คิด หากได้เตะเขาสองสามครั้งมันก็จะไม่เพียงพอที่จะระบายความโกรธของนางออกมา แต่นางไม่สามารถที่จะฆ่าเขาได้ใช่หรือไม่ ? แม้ว่านางจะมีความคิดว่าการหยิบมีดมาสับเขาเป็นชิ้น ๆ นั้นค่อนข้างดี

 

ในท้ายที่สุดซวนเทียนยี่เป็นองค์ชายที่ถูกถอดถอนและไม่ได้อยู่ในตําแหน่งองค์ชายอีกต่อไป เขาแค่มองหาความสุขและความสนุก ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่ต้องการสนทนาในเรื่องนี้ของเขา แม้ว่าเขาจะมีความสนใจคุณหนูสามตระกูลเฟิง แต่ก็ดีองค์ชายที่ถูกถอดถอนแต่งงานกับบุตรสาวของอนุจากครอบครัวที่น่าอดสูไม่สามารถเป็นปกติได้อีก

 

แม้ว่าคนส่วนใหญ่จะคิดแบบนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะคิดแบบนี้ ตัวอย่างเช่นท่านผู้หญิงหยวนผู้ซึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ ด้วยความโกรธ กล่าวด้วยน้ําเสียงไม่ดี “ข้า…ข้า…ข้าจําได้ว่าองค์ชายสี่ถูกขังไว้ แต่เพียงไม่กี่ปีพระองค์ก็ถูกปล่อยออกมา การจําคุกถูกยกเลิกในเวลานี้หรือไม่ ?”

 

เมื่อคําเหล่านี้ถูกเอ่ยออกมา ทุกคนตกตะลึงและคิดในใจตัวเองแล้ว ท่านผู้หญิงหยวนเสียสติไปแล้วหรือไม่ฮ่องเต้เป็นคนตัดสินให้จําคุก และการปล่อยเขาออกมาก็ถูกตัดสินโดยฮ่องเต้ด้วยเช่นกัน นางฉีกหน้าฮ่องเต้ ในท้ายที่สุดเขายังคงเป็นพระโอรสของฮ่องเต้ เป็นไปได้หรือที่เขาจะถูกขังตลอดชีวิต?

 

ใครจะรู้ว่าก่อนที่ฮ่องเต้จะพูด ซวนเทียนยี่กล่าวออกมาว่า “ถูกยกเลิก ? ทําไมมันถูกยกเล็ก ? ข้าถูกปล่อยตัวออกมา 2 ครั้ง จะถือว่าถูกยกเลิกได้อย่างไร ? นอกจากนี้ข้าไม่ต้องการออกมา แค่พักในตําหนักปิงก็ค่อนข้างดี ข้าสามารถมุ่งเน้นไปที่การเย็บปัก พระสนมหยวน หากเจ้ามีใจกังวลว่าข้าจะถูกปล่อยออกมา มันจะเป็นการดีกว่าถ้าเจ้าจะส่งด้ายคุณภาพสูงให้ข้า สิ่งนี้จะช่วยให้อาจารย์ของข้าไม่บ่นว่าข้าทําด้ายจากร้านค้าของนางเสียเปล่า”

 

คําพูดของเขานั้นอิสระและง่าย จากที่นั่งหลักฮองเฮายิ้มและกล่าวว่า “ยี่เอ่อ หยวนชูได้ถูกลดตําแหน่งเป็นท่านผู้หญิงและได้สูญเสียค่าว่า “ชู” เจ้าไม่สามารถเรียกนางว่าเป็นพระสนมได้อีกต่อไป”

 

“โอ้ ! เร็วมาก ?” ซวนเทียนยี่ตกใจแล้วยิ้มให้ท่านผู้หญิงหยวน “เวลาเปลี่ยนไปเร็วจริง ๆ ระหว่างการไปล่าสัตว์ เจ้าถูกลดตําแหน่งจากพระสนมเป็นท่านผู้หญิง ฮ่าๆๆ ความเป็นมนุษย์มีความผันผวน, ค่อนข้างผันผวนจริง ๆ ! โอ้ ใช่แล้ว คิดเกี่ยวกับมันเช่นนี้เจ้าก็คงเป็นหนึ่งในตําหนักที่มีตําแหน่งต่ําสุดที่ให้กําเนิดองค์ชายใช่หรือไม่ ? ถ้าน้องแปดรู้เรื่องข่าวนี้ ข้าสงสัยว่าเขาจะอายขนาดไหน”

 

ท่านผู้หญิงหยวนตัวสั่นด้วยความโกรธ ขณะที่นางชี้ไปที่ชวนเทียนยและกล่าวว่า “อย่าหยิ่งยโส ! อย่าลืมว่ามารดาผู้ให้กําเนิดของเจ้ายังอยู่ในตําหนักเย็น เจ้ายังกล้ามาเยาะเย้ยข้าหรือ ?”

 

มารดาผู้ให้กําเนิดองค์ชายสี่คือพระสนมรุ่ย เมื่อย้อนกลับไปนางแกล้งเป็นบ้า และจัดการเพื่อหลีกเลี่ยงการประหารชีวิต แม้กระนั้นนางถูกส่งไปยังตําหนักเย็นโดยฮองเฮา ซวนเทียนยรู้สึกเสียใจเรื่องมารดาของเขาเสมอ ตอนนี้ท่านผู้หญิงหยวนนําขึ้นมา มันคงหนีไม่พ้นที่เขาจะรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย แต่ในท้ายที่สุดผู้ชายก็ทนทุกข์ได้มากกว่าผู้หญิงเล็กน้อย เนื่องจากเขาเพิ่งบอกกับท่านผู้หญิงหยวนว่า “มันจะเป็นไปได้อย่างไร อย่างน้อยที่สุดข้าก็ไม่มีความหวังอีกต่อไปสําหรับตัวเอง แต่น้องแปดต่างไปจากเดิม ท่านผู้หญิงคิดเช่นนั้นหรือไม่ ?”

 

ท่านผู้หญิงหยวนแข็งตัว ถูกต้องแล้วองค์ชายสี่ไม่มีความหวังอีกต่อไป นางมียาชนิดใดที่ทําให้มีนเมาทําให้นางพูดอย่างนั้นจริง ๆ ? แม้ว่าองค์ชายสีจะถูกปล่อยออกมา ราชวงศ์ต้าชุนอาจไม่สามารถวางองค์ชายที่ครั้งหนึ่งเคยพยายามก่อกบฎบนบัลลังก์ จะเกิดอะไรขึ้นกับนาง หากนางทําเช่นนี้ต่อไป

 

ท่านผู้หญิงหยวนไม่พูด ก้มหน้าลงอย่างเงียบ ๆ ไม่สนใจใครอีก

 

ซวนเทียนยี่ยิ้มเยาะเมื่อมองดู ความเย็นชาในดวงตาของเขา แม้กระนั้นเขาไม่ได้พูดอะไร

 

จางหยวนเป็นตัวแทนของฮ่องเต้ในการประกาศการสิ้นสุดของวันแรกของการล่าสัตว์ และให้บ่าวรับใช้ในพระราชวังพาสัตว์ออกไป จะมีงานเลี้ยงตอนกลางคืนที่พวกเขาจะย่างเนื้อกิน

 

เมื่อกลุ่มลุกขึ้นยืนแล้ว จากนั้นดูเจ้านายออกไป แม้แต่ชวนเทียนเก้อก็ยังอยู่กับพระชายาเหวินซวนเฟิงหยูเฮงไม่ได้เข้าร่วมเพราะนางพาบ่าวรับใช้ของนางมาเตรียมกลับไปที่กระโจม อย่างไรก็ตามในขณะที่พวกเขาจากไป พวกเขาเดินเข้าไปท่านผู้หญิงหยวนและได้ยินบ่าวรับใช้ปลอบนาง “ท่านผู้หญิงกลับไปเถิดเจ้าค่ะ ข้างนอกมันหนาว ท่านผู้หญิงหนาวจนตัวสั่นหมดแล้วเจ้าค่ะ”

 

แต่ท่านผู้หญิงหยวนไม่ขยับตัว ขณะที่นางกัดฟันแล้วถามหลู่ซ่ง “ศัตรูในวันนี้ ข้าควรจะหาทางแก้แค้นใคร ?”

 

เมื่อเอ่ยคําเหล่านี้ออกมา นางก็หันหัวของนาง และพบว่าเฟิงหยูเฮงกําลังจะมาถึง สิ่งที่นางเพิ่งพูดนั้นได้ยินจากนาง และนางก็อดไม่ได้ที่จะหยุดและไม่รู้ตัว

 

เฟิงหยูเฮงไม่ได้สร้างปัญหาให้นางเลย เพียงแค่ยิ้มให้นางแล้วกล่าวว่า “ท่านผู้หญิงหยวนไม่รู้ว่าจะแก้แค้นใคร? บุตรสาวของฮ่องเต้คนนี้ลืมที่จะเดือนเจ้าก่อนหน้านี้ว่าจดหมายที่ส่งโดยองค์ชายเก้ากลับบอกว่ามันเป็นท่านผู้หญิงที่ส่งจดหมายถึงองค์ชายแปดเป็นการส่วนตัว องค์ชายแปดเป็นบุตรที่กตัญญจริง ๆ ด้วยคําพูดเพียง บางส่วนจากมารดาของเขา เขาเดินไปข้างหน้าทันที การอุทิศตนในระดับนั้นไม่ชัดเจนในเรื่องเล็กน้อย ทําไม ท่านผู้หญิงไม่รู้ว่าสําหรับข่าวที่จะเดินทางจากเมืองหลวงไปภาคใต้จะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2 เดือน ตอนนี้เจ้าเปลี่ยนใจแล้ว แต่องค์ชายแปดจะไม่รู้เรื่องทันที ความล่าช้าระหว่างทั้งสองฝ่ายจะทําให้เกิดความเข้าใจผิดอย่างมาก ใครจะรู้ว่าเหตุการณ์ประเภทใดบ้างที่สามารถเกิดขึ้นได้ ท่านผู้หญิงต้องคิดอย่างรอบคอบ !”

 

ท่านผู้หญิงหยวนงงงวยจากสิ่งที่นางเคยได้ยิน ฮ่องเต้เคยพูดเรื่องแบบนี้มาก่อน แต่ทําไมนางถึงไม่รู้ว่าการแต่งงานระหว่างองค์ชายแปดกับตระกูลหญ่นั้นเป็นสิ่งที่นางเลือก? ตอนนี้เฟิงหยูเฮงกล่าวว่านางเขียนจดหมายถึงองค์ชายแปดเมื่อมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น? ทําไมนางถึงไม่รู้เรื่องนี้?

 

ในขณะที่รู้สึกตกใจนางเห็นใครบางคนเดินช้า ๆ เมื่อมองดี ๆ นางคือคุณหนูสามของตระกูลหญ่, หลู่หยานเฟิงหยูเฮงยิ้มและกล่าวว่า “ว่าที่ลูกสะใภ้มาคารวะท่านแม่สามีของนาง”

 

หลังจากพูดแบบนี้หลู่หยานก็ก้าวไปข้างหน้า นางแสดงความเคารพอย่างลึกซึ้งและกล่าวอย่างหวานชื่นว่า “หยานเอ๋อขอบคุณท่านผู้หญิงสําหรับความเมตตานี้ ท่านผู้หญิงโปรดวางใจ หยานเอ๋อจะสนับสนุนองค์ชายแปด ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป และข้าจะสนับสนุนท่านผู้หญิง ข้าจะไม่ยินยอมให้ท่านแม่ต้องทนทุกข์ทรมานกับความไม่ พอใจในพระราชวังเจ้าค่ะ”

 

เช่นเดียวกับท่านผู้หญิงหยวนที่ต้องการเดินออกไป นางได้ยินเฟิงหยูเฮงกล่าวกับหลู่หยาน “คุณหนูตระกูลหลู่ บุตรชายของท่านผู้หญิงกําลังจะแต่งงานกับคฤหาสน์ของเสนาบดีฝ่ายซ้าย ไม่มีอะไรให้เจ้าต้องเคารพ นางคือท่านผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว”

 

หมู่หยานรู้สึกงุนงงเล็กน้อย และนางก็รู้สึกว่าเฟิงหยูเฮงกําลังช่วยนางมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่นางก็ยังไม่เข้าใจว่า ทําไมเฟิงหยูเฮงจึงเปลี่ยนใจ ต้องรู้ว่าทัศนคติของนางในตอนเช้านั้นแน่วแน่มาก แต่ไม่ว่านางจะสงสัยมากแค่ไหนนางก็ไม่ได้เปิดเผยบนใบหน้าของนาง นางปฏิบัติต่อมันเมื่อเฟิงหยูเฮงเปลี่ยนใจให้ช่วยเหลือตระกูลหลู่ ดังนั้นนางจึงรีบขอบคุณอย่างจริงใจต่อเฟิงหยูเฮง

 

ทั้งสองพูดอย่างสุภาพมาพักหนึ่งก่อนที่หลู่หยานจะกล่าวลาท่านผู้หญิงหยวน และจากไป เฟิงหยูเฮงก็เดินออกไป ทําให้ท่านผู้หญิงหยวนยืนอยู่ในความงุนงง จากด้านข้างหยู่ซ่กล่าวกับนางอย่างเงียบ ๆ “ท่านผู้หญิง ดูเหมือนว่าตระกูลหญ่ได้รับความช่วยเหลือจากองค์หญิงจีอัน ในขณะนี้ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมที่เราจะก้าวไปอีกก้าว เราต้องรอดูก่อนเจ้าค่ะ !”

 

ตอนที่ 741 คนที่แต่งงานต้องเลือกด้วยตัวเอง

 

เฟิงหยูเฮงนําการแต่งงานขึ้นมาอีกครั้งทําให้ท่านผู้หญิงหยวนชูกลัวที่จะแสดงความคิดของเนื่องจากถูกลดตําแหน่งของนางไป เมื่อมองตรงไปที่ฮ่องเต้ นางหวังว่าเขาจะส่ายหน้าแล้วบอกว่าเขาจะไม่อนุญาต

 

น่าเสียดายที่สิ่งต่าง ๆ ไม่เป็นไปตามที่นางคาดหวัง ไม่เพียงแต่ฮ่องเต้จะไม่ส่ายหน้าเท่านั้น แต่เขายังพยักหน้าและเอ่ยกับเฟิงหยูเฮงว่า “เราคิดถึงการแต่งงานครั้งนี้ในวันนี้ แม้ว่าเขาจะไม่ได้ประทับใจในบุตรสาวของตระกูลหลู่มากนัก แต่โมเอ๋อก็ถูกส่งไปประจําการที่ชายแดน เขาควรเลือกด้วยตัวเอง มันจะไม่ดีสําหรับเราที่จะต่อ ต้านความตั้งใจของเขา การแต่งงานครั้งนี้จะถูกตัดสินเช่นนี้ เมื่อโมเอ๋อกลับมาขึ้นราชสํานักในปีใหม่ เราจะอนุมัติการแต่งงานด้วยตัวเอง”

 

เมื่อได้ยินแบบนี้ ตระกูลหลู่ไม่ได้พูดอะไร พวกเขาก้าวไปข้างหน้าคุกเข่าบนพื้น พวกเขาขอบคุณสําหรับพระเมตตาของเขา หลูซ่งกล่าวว่า “เจ้าหน้าที่ผู้นี้ขอบพระคุณสําหรับพระราชโองการ และจะทํางานหนักขึ้นตั้งแต่วันนี้ เพื่อที่จะแสดงความจงรักภักดีต่อราชวงศ์ต้าชุนและช่วยแบ่งเบาภาระของฝ่าบาทพะยะค่ะ”

 

ฮ่องเต้พยักหน้าและไม่ได้พูดอะไรอีก อย่างไรก็ตามการจ้องมองของเขาหยุดที่หมู่หยาน และมองเป็นเวลานาน หลู่หยานก้มหน้าตลอดเวลา และไม่รู้ว่านางถูกฮ่องเต้มองอย่างพิจารณา แต่หลู่ซ่งเงยหน้าขึ้นเมื่อกล่าว และเห็นสิ่งนี้อย่างชัดเจน เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าหัวใจของเขากระโจนขึ้นมาถึงลําคอ เขาหวังอย่างเงียบ ๆ ว่า บุตรสาวของเขาจะทําตัวดี ๆ ในเวลาเช่นนี้ และไม่ได้ทําอะไรผิดพลาดในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สําคัญเช่นนี้ ถ้าฮ่องเต้ไม่พอพระทัย การแต่งงานครั้งนี้ก็จะถูกยกเลิก และตระกูลหลู่ก็จะไม่ฉลองอะไรเลย

 

โชคดีที่หลู่หยานก็ถือว่ามีความสามารถและยังคงคุกเข่าเงียบ ๆ ต่อไปโดยไม่ทําให้เกิดปัญหาใด ๆ แต่ในอีกด้านหนึ่ง ท่านผู้หญิงหยวนก็ล่มสลาย ในขณะที่นางตะโกนเสียงดัง “ไม่ !” จากนั้นนางก็คลานไปอย่างหมดหวัง ขณะที่นางกําลังจะไปถึงฮ่องเต้ จางหยวนก็มองให้บ่าวรับใช้ในพระราชวังก้าวไปข้างหน้าทันทีเพื่ออุ้มนางกลับ ท่านผู้หญิงหยวนร้องเสียงดังด้วยความปวดร้าว ในขณะที่ร้องไห้ นางกรีดร้องด้วยเสียงดัง “ฝ่าบาท ฝ่าบาทไม่สามารถตอบตกลงได้! บุตรสาวของตระกูลหลู่จะคู่ควรกับโมเอ๋อของเราได้อย่างไรเพคะ ! ได้โปรดคิดทบทวนใหม่ด้วยเพคะ !”

 

คําอ้อนวอนของนางไม่ได้รับความเห็นอกเห็นใจแม้แต่น้อยจากฮ่องเต้ ฮ่องเต้มองท่านผู้หญิงหยวนด้วยท่าทางแปลก ๆ และถามว่า “สิ่งนี้ไม่ตรงตามที่เจ้าคาดหวังงั้นหรือ ? ตอนนี้เราสนับสนุนเจ้าในเรื่องนี้แล้ว ทำไมเจ้าถึงขอให้เราคิดทบทวนล่ะ ?”

 

ท่านผู้หญิงหยวนตัวแข็งอยู่กับที่ นางเคยหวังที่จะได้เข้าร่วมกับตระกูลหลู่เมื่อใด ตระกูลหลู่มีความสําคัญ อย่างไรที่จะสนับสนุนบุตรชายของนาง ?

 

ก่อนที่นางจะนึกถึงได้ เฟิงหยูเฮงกล่าวกับนางว่า “คุณหนูของคฤหาสน์เสนาบดีฝ่ายซ้ายนั้นค่อนข้างดีสําหรับบุตรชายของท่านผู้หญิง ท่านผู้หญิงหยวนมีอะไรที่ไม่พึงพอใจหรือ ?”

 

ท่านผู้หญิงหยวนจ้องมองนางอย่างดุเดือด และกล่าวอย่างโกรธแค้น “ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเจ้า ! มันเป็นเพราะเจ้า ! แม้ว่าข้าจะถูกลดระดับเป็นท่านผู้หญิง เจ้าต้องไม่ลืมว่าบุตรชายของข้าคือองค์ชายแปด เขาคือองค์ชายและเป็นแม่ทัพที่คอยปกป้องชายแดน เขามีฐานะและอิทธิพลที่สูง คฤหาสน์ของเสนาบดีฝ่ายซ้ายที่ต่ําต้อย ไม่คู่ควรหรืออย่างไร ?”

 

เฟิงหยูเฮงส่ายหน้า “ท่านผู้หญิงหยวนมองดูคนอื่นในขณะที่มีความรู้สึกว่าตัวเองสูงส่ง ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่าข้าเป็นองค์หญิงที่ต่ําต้อย และตอนนี้เจ้ากําลังบอกว่าตระกูลหลู่ที่เป็นคฤหาสน์ของเสนาบดีต่ําต้อย ถ้าอย่างนั้นในสายตาของท่านผู้หญิง คนแบบไหนที่ท่านนับถือ ? เสนาบดีฝ่ายซ้ายในขณะนี้คือขุนนางขั้นหนึ่ง ถ้าตระกูลแบบนี้ถือว่าต่ําต้อย เจ้าต้องการให้องค์ชายแปดแต่งงานกับผู้หญิงประเภทไหนในราชวงศ์ต้าชุน ปัจจุบันในบรรดาสาว ๆ ในวัยนี้นอกจากองค์หญิงจอันและองค์หญิงหรูหยาง, เทียนเก้อ บุตรสาวของตระกูลหลู่ ขุนนางขั้นหนึ่งควรเป็นที่เคารพนับถือมากที่สุดใช่หรือไม่ ? หากยังไม่พอที่จะทําให้เจ้าพึงพอใจ ถ้าอย่างนั้นองค์ชายแปดก็มีค่าคู่ควรแก่การเป็นองค์ชายแห่งอาณาจักรอื่น” ทันใดนั้นนางก็เข้าใจ และรีบกล่าวว่า “เมื่อนึกย้อนกลับไปถึง วันเทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วง ท่านผู้หญิงหยวนและเจ้าหญิงองค์ที่เจ็ดของกูซูดูเหมือนจะสนิทกันมาก เป็นไปได้หรือไม่ที่ท่านผู้หญิงมีความสนใจในตัวองค์หญิงเจ็ด ? ถ้าเป็นเช่นนั้นข้าจะช่วยท่านทูลขอฮ่องเต้สาหรับเรื่อง

 

ในเวลานี้ความคิดของท่านผู้หญิงหยวนนั้นไม่เป็นระเบียบ นางไม่สามารถคิดได้อย่างสมบูรณ์ และความคิดของนางถูกเฟิงหยูเฮงชักจูง นางจะพูดอะไรออกมา ตอนนี้นางได้ยินเฟิงหยูเฮงพูดถึงองค์หญิงเจ็ดของกูซู ความคิดของนางบอกว่าองค์หญิงเจ็ดของกูซูดีกว่าบุตรสาวของตระกูลหลู่ ดังนั้นนางจึงพยักหน้าและได้ยิน เฟิงหยูเฮงเอ่ยว่า “ท่านผู้หญิงคิดดีแล้วหรือไม่ ?

 

ท่านผู้หญิงหยวนจะยังคงมีสมองที่จะคิดได้อย่างไร ขณะที่นางพยักหน้าโดยรู้ตัว อย่างไรก็ตามนางได้ยินว่า ทุกคนในปัจจุบันสูดหายใจเข้าอย่างรวดเร็ว แม้แต่พระงสนมคนอื่น ๆ ก็มองนางแล้วก็ส่ายหน้าอย่างไร้ประโยชน์ ราวกับว่าพวกเขากําลังดูคนที่สิ้นหวัง นางงุนงงและมองเฟิงหยูเฮงอย่างว่างเปล่าพลางถามว่า “เจ้าไม่ได้บอกว่าเจ้าจะช่วยและทูลขอฝ่าบาทไม่ใช่หรือ ? ทําไมเจ้ายังไม่พูด ?”

 

ในที่สุดคนบางคนที่อยู่ด้านล่างก็ไม่สามารถอยู่นิ่งได้ แต่พวกเขาก็ยังไม่กล้าพูดอะไร พวกเขาพึมพํากับตัวเองอย่างเงียบ ๆ แต่หลู่ซ่งที่คุกเข่าอยู่กังวลมากกว่าคนอื่น ในขณะที่เขาตะโกนเสียงดัง ๆ ว่า “ท่านผู้หญิง ! ข้าหลู่ซ่ง เป็นขุนนางขั้นหนึ่ง ทําไมท่านถึงเกลียดบุตรสาวของขามาก ? ทําไมนางถึงไม่สมควรที่จะเป็นพระชายาขององค์ชายแปด ? มันเป็นไปได้หรือไม่ที่ท่านผู้หญิงหยวนอยากจะทําลายโอกาสขององค์ชายแปดบนบัลลังก์โดยการแต่งงานกับองค์หญิงต่างอาณาจักรมากกว่าที่จะให้พระองค์แต่งงานกับบุตรสาวของข่า ?”

 

คําพูดของหลู่ซึ่งเป็นเหมือนแสงไฟที่ทิ้งความประทับใจอันยิ่งใหลู่ให้กับท่านผู้หญิงหยวน และแม้กระทั่งบ่าวรับใช้ของนางไม่สามารถทนและเตือนนางอย่างเงียบๆ “ท่านผู้หญิง ตามกฎของราชวงศ์ต้าชุน เมื่อองค์ชายแต่งงานกับองค์หญิงต่างอาณาจักร ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นไป จะถือว่าองค์ชายจะสละสิทธิ์ในการครองบัลลังก์ เจ้าค่ะ !”

 

ท่านผู้หญิงหยวนถูกเขย่ากลับไปที่ความรู้สึกของนางทันที นางตกหลุมแผนการของเฟิงหยูเฮงและนางเกือบจะเสียชีวิตด้วยความโกรธ นางจ้องมองที่เฟิงหยูเฮงด้วยสายตาที่แทบจะฆ่าคนได้ แต่นางจะทําอะไรได้ นอกจากจ้องมอง ?

 

เฟิงหยูเฮงขดมุมปากของนางแล้วถามว่า “ท่านผู้หญิงต้องการให้องค์ชายแปดแต่งงานกับองค์หญิงจากกูซูหรือไม่ ?”

 

ท่านผู้หญิงกัดฟันของนางตอบ “ไม่”

 

“ถ้าอย่างนั้นการแต่งงานกับตระกูลหลู่…”

 

“หากฝ่าบาทเห็นด้วยแล้ว จะปฏิเสธการแต่งงานได้อย่างไร”

 

“เป็นเช่นนั้น !” เฟิงหยูเฮงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ตั้งแต่สมัยโบราณ มารดาต้องพึ่งพาบุตรชายเพื่อความรุ่งโรจน์ แต่เจ้าต้องไม่ลืมว่าบุตรจะพบความสุขจากมารดาของพวกเขา ! ท่านผู้หญิงหยวนควรจะคิดหรือไม่ว่าการลดตําแหน่งของท่านจะทําให้องค์ชายแปดไม่มีความสุข นอกจากนี้ท่านควรคิดให้ถี่ถ้วนว่าท่านยอมรับการเกี่ยวดองกับตระกูลหลู่ได้หรือไม่ ท้ายที่สุดแล้วปัจจุบันไม่สามารถเปรียบเทียบกับอดีตได้”

 

ทุกคนต้องเผชิญกับปัญหา ปัจจุบันนี้ไม่สามารถนํามาเปรียบเทียบกับอดีตได้อย่างไร เห็นได้ชัดว่าไม่สามารถเปรียบเทียบได้ในทันที่ก่อนหน้านี้ ! ในชั่วพริบตานางสนมของฮ่องเต้หยวนชูได้รับการลดระดับลงย่างมาก แต่มันก็เกิดขึ้นจริง มันคือ…โชคร้ายที่เข้าไปยุ่งกับผู้คน!

 

เมื่อเห็นว่าท่านผู้หญิงหยวนไม่มีความตั้งใจที่จะปฏิเสธ ตระกูลหลู่ก็ขอบคุณอีกครั้ง อย่างไรก็ตามหลู่หยาน ก็เรียกความกล้าที่จะมองไปที่เฟิงหยูเฮง นางยังคงคิดอยู่เสมอว่าถ้าองค์หญิงจอันช่วยถึงระดับนี้ เป็นไปได้หรือไม่ที่นางจะตัดสินใจตกลงในสิ่งที่พวกนางพูดกันเมื่อตอนเช้า ?

 

ในช่วงเวลานี้การแต่งงานขององค์ชายก็สงบลง ก่อนที่ผู้คนจะมีปฏิกิริยาตอบสนอง เรื่องนี้ได้รับการจัดการแล้ว เจ้าหน้าที่ที่ยืนอยู่ฝ่ายองค์ชายแปดต้องยอมรับความจริงนี้ หลังจากคิดเล็กน้อย ไม่ว่าในกรณีใดหลู่ซึ่งเป็นเสนาบดีฝ่ายซ้ายคนปัจจุบัน และนี่ก็ไม่อาจถือได้ว่าเป็นการสูญเสียมากเกินไป มันจะดีกว่าการแต่งงานกับองค์หญิงต่างอาณาจักร ดังนั้นพวกเขาทั้งหมดจึงยืนขึ้นและแสดงความยินดีกับท่านผู้หญิงหยวน ซึ่งทําให้นางโกรธมากจนนางอยากจะอาละวาดในจุดนั้น และส่งคนทั้งหมดเหล่านี้ออกไป

 

ผ่านไปอีก 1 ก้านธูป องค์ชายและพวกผู้ชายก็เริ่มกลับมา บ่าวรับใช้ในพระราชวังก็เดินไปข้างหน้าเพื่อเริ่มรับทราบจํานวนสัตว์ที่ถูกล่าโดยแต่ละคน ผลสรุปออกมาอย่างรวดเร็ว องค์ชายสี,ชวนเทียนที่ได้ตําแหน่งผู้นําที่ 26 ตัว ที่สองคือองค์ชายรองได้ 18 ตัว องค์ชายน้ําได้ 11 ตัว และองค์ชายใหลู่ได้เพียง 6 ตัวเท่านั้น แต่ทุกคนรู้ว่าองค์ชายใหลู่ไม่ชํานาญในเรื่องแบบนี้ เขาเป็นองค์ชายที่มุ่งเน้นไปที่ธุรกิจและเขามีอยู่เพื่อประโยชน์ในการหารายได้ให้กับราชวงศ์ต้าชุน เขาเติมเงินกองทุนของราชวงศ์ตาชุนอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ยิ่งกว่านั้นองค์ชายใหลู่ ได้ปฏิบัติต่อผู้คนอย่างใจดีและสร้างปฏิสัมพันธ์กับผู้คนผ่านทางธุรกิจมากขึ้น ดังนั้นจึงไม่มีใครดูถูกเขาเพราะการล่าสัตว์

 

พูดไป ผู้คนมีความสุขมากที่บุตรชายของพวกเขามีความสามารถมากโดยที่พวกเขาไม่ได้แข่งขันกับองค์ชายอย่างแท้จริง แต่ละคนล่าสัตย์ได้เพียงไม่กี่ตัวเท่านั้น และ นั่นก็เพียงพอแล้ว

 

สําหรับองค์ชายเจ็ด, ซวนเทียนฮั่ว ที่อยู่ข้างหลังเขานั้นกลับมามือเปล่า ไม่มีสัตว์แม้แต่ตัวเดียวที่ถูกนํากลับมา ซวนเทียนฮั่วยังยืนอยู่ในชุดคลุมสีขาวของเขา และไม่มีร่องรอยใด ๆ ของการล่า เขาไม่เหนื่อยหอบเหมือนคนอื่น เขายืนอย่างที่ควรจะเป็น และดูเหมือนว่าเขาไม่ได้เดินบนพื้นตามล่าสัตว์ เขาดูราวกับว่าเขานั่งด้านข้าง ขณะจิบชา ในทันทีทันใดบรรดาฮูหยินและคุณหนูก็จ้องมองเขา บางคนถึงกับซับน้ําตาและพูดคุยกับมารดา อย่างเงียบ ๆ พวกนางสามารถคิดวิธีที่จะเป็นเหมือนตระกูลหลู่ และแต่งงานกับองค์ชายเจ็ด ?

 

อย่างไรก็ตาม ทุกคนต้องการแต่งงานกับชวนเทียนฮัว แต่ทุกคนรู้ว่าชวนเทียนฮัวเป็นองค์ชายที่ยากที่สุดในราชสํานัก แม้แต่องค์ชายเก่าที่ทุกคนคิดว่าเป็นสิ่งที่ยากที่สุดตอนนี้ก็ถูกยึดครองโดยเฟิงหยูเฮง แต่องค์ชายเจ็ดก็เหมือนเทพบุตรที่ไม่สามารถย้อมสีของโลกนี้ได้ เขามีไว้ให้พวกนางมองเท่านั้น

 

การเห็นซวนเทียนฮั่วไม่มีผลลัพธ์ใด ๆ ไม่มีใครแปลกใจอย่างแท้จริง รวมถึงฮ่องเต้ ในขณะที่เขาไม่ได้คิดมาก ท้ายที่สุดพวกเขามีประสบการณ์มากเกินไป ในอดีตชวนเทียนชั่วไม่ค่อยเข้าร่วมในการล่าสัตว์แบบนี้ และไม่กี่ครั้งที่เขาไป ส่วนใหลู่อยู่ที่แท่นชมวิวเพื่อจิบชา หลังจากนั้นเขาไปที่ลานล่าสัตว์สองสามครั้ง ครั้งแรกเขาจับสัตว์ตัวเล็กกว่า 20 ตัวที่ยังมีชีวิตอยู่ ครั้งที่สองเขาเพียงแค่นําลูกธนูที่ไม่มีหัวลูกธนู แต่มีจุ่มลงในสีย้อม สําหรับสัตว์ที่องค์ชายคนอื่นน่ากลับมา พวกมันทั้งหมดถูกลูกธนูของเขาโจมตีก่อนและฉากนั้นช่างน่าอึดอัดใจมาก

 

แต่ใครไม่รู้เกี่ยวกับบุคลิกของซวนเทียนฮั่ว ทุกคนคุ้นเคยกับเขาแล้วว่าไม่ต้องสัมผัสเลือด ไม่ว่าเลือดมาจากมนุษย์หรือสัตว์ เขาจะไม่แตะต้องสิ่งนี้ เขาแค่อยากทําสิ่งนี้ และฮ่องเต้ไม่สนพระทัย ดังนั้นใครจะทําอะไรได้บ้าง

 

ในขณะที่ผู้คนก่าลังคิดเกี่ยวกับมันดูเหมือนว่าองค์ชายเจ็ดก็ไม่ได้ทําอะไรในเวลานี้ เขาขี่ม้าของเขาไปที่ลานล่าสัตว์และรอเวลาผ่านไป

 

ในท้ายที่สุดมันเป็นฮ่องเต้ที่ทําลายความเงียบ “ฮั่วเอ่อ ได้อะไรติดมือมาจากการไปล่าสัตว์นี้หรือไม่ ? หรือมีความเข้าใจบางอย่างหรือไม่ ?”

 

ซวนเทียนฮั่วยิ้มบาง ๆ และคารวะฮ่องเต้แล้วพยักหน้า “กระหม่อมก็มีผลสรุปบางอย่างพะยะค่ะ”

 

“โอ้ ?” ฮ่องเต้เริ่มให้ความสนใจ “เจ้าได้ผลสรุปเช่นใด ?”

 

ซวนเทียนฮั่วกล่าวว่า “เนื่องจากเป็นการล่าสัตว์ ผลของข้าคือการตามล่าตามธรรมชาติ”

 

เมื่อทุกคนได้ยินสิ่งนี้ พวกเขาเริ่มสนใจ เป็นไปได้หรือไม่ที่องค์ชายเจ็ดได้ทรงฆ่าสัตว์ขนาดเล็ก ? ยังฆ่าสิ่งมีชีวิตด้วยหรือไม่ ? หรือเคยเห็นเลือด

 

ใครจะรู้ว่าบ่าวรับใช้ในพระราชวังที่ตามหลังซวนเทียนฮั่วรายงานเสียงดัง “การออกไปล่าสัตว์ขององค์ชายเจ็ด พระองค์ปล่อยสัตว์ 28 ตัวสําเร็จพะยะค่ะ !”

 

ตอนที่ 740 เสด็จพ่อช่วยอาเฮงด้วย !

 

“องค์ชายเก้าได้ส่งองค์หญิงแห่งกูซูกลับไปยังอาณาจักรของนาง และตอนนี้พระองค์อยู่ภาคใต้ ไม่กี่วันที่ผ่านมามีจดหมายมาถึงฉบับหนึ่งซึ่งกล่าวว่าองค์ชายแปดที่อยู่ภาคใต้มีการเฉลิมฉลองอย่างมีความสุข จากสิ่งที่ข้ารู้องค์ชายแปดเลือกของกํานัลที่ยิ่งใหญ่ และขอให้องค์ชายเก้นํากลับมาเมืองหลวงพร้อมกับพระองค์ พวกมันเป็นของหมั่นที่จะส่งไปยังคุณหนูสามของตระกูลหลู่” ขณะที่นางพูด นางลุกขึ้นยืนและแสดงความยินดีอย่าง ยิ่งต่อพระสนมหยวนชูแล้วกล่าว “ข้าต้องแสดงความยินดีกับพระสนมหยวนชูด้วยเจ้าค่ะ !”

 

เมื่อคําพูดเหล่านี้ถูกเอ่ยออกมา มีข่าวว่า นี่องค์ชายแปดกําลังจะเข้าร่วมตระกูลหลู่ !

 

แต่ทําไมถึงเป็นอย่างนี้ ?

 

พระสนมหยวนสูงงงวย และทุกคนในปัจจุบันก็งง แต่เมื่อเทียบกับความประหลาดใจของคนอื่น ๆ ตระกูลหลู่ก็ดีใจเล็กน้อย หมู่หยานมีปฏิกริยาตอบสนองอย่างมาก นางกว้าแขนของเก้อชื่อและถามซ้ํา ๆ ว่า “นี่เป็นเรื่องจริงหรือ ? ท่านแม่จริงหรือไม่ ?”

 

เก้อซื่อยังไม่เข้าใจ สําหรับตระกูลหลู่ นี่เป็นความสุขที่ไม่คาดคิด แต่ข่าวนี้มาจากปากของเฟิงหยูเฮง มันจะเชื่อถือได้หรือไม่ ? นางถามหลู่ซ่งอย่างเงียบ ๆ ว่า “ท่านพี่ไปหาพระสนมหยวนชูเมื่อเช้านี้ไม่ใช่หรือ ? ท่านได้ยินนางพูดถึงเรื่องนี้หรือไม่ ?”

 

หลู่ซ่งส่ายหัวและถอนหายใจ “ไม่ ไม่แม้แต่จะเอ่ยถึง แต่พระสนมหยวนชูยังปฏิเสธการแต่งงานครั้งนี้อีกด้วย ตระกูลหลู่ของเรายังไม่ถึงขั้นที่สนับสนุนองค์ชายแปด มีอะไรบ้างที่สามารถช่วยพระองค์ได้ ? พระสนมหยวนชูได้บอกกับข้าอย่างชัดเจนว่าการแต่งงานระหว่างสองตระกูลนั้นเป็นไปไม่ได้ แต่ข้าไม่รู้ว่าทําไมตอนนี้ ถึง…!” ทันใดนั้นเขาก็แกว่งไปแกว่งมา และดูเหมือนจะรู้แจ้งในขณะที่เขากล่าวว่า “ข้าเข้าใจแล้ว สถานการณ์ของตระกูลหลู่ของเราคือสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงสองเดือนที่ผ่านมาและพระสนมหยวนได้ส่งจดหมายถึงองค์ชายแปดเกี่ยวกับการแต่งงานครั้งนี้ หลังจากเกิดเหตุการณ์ขึ้นกับตระกูลหลู่ แม้ว่านางจะส่งจดหมายไปแล้วมันก็เป็นฤดูหนาวแล้ว และใช้เวลาสองหรือสามเดือนในการเดินทางไปทางภาคใต้สําหรับจดหมายที่องค์ชายแปดได้ส่ง กลับมานั้นคงเป็นจดหมายฉบับแรกที่พระสนมหยวนชูส่งเช่นนี้องค์ชายแปดไม่รู้เกี่ยวกับสถานการณ์ในตอนนี้ ของตระกูลหลู่ หรือบางที… ข้อมูลยังไม่ถึงภาคใต้เมื่อองค์ชายเก้าส่งจดหมายฉบับนี้มา”

 

แต่หลังจากที่คิดเพิ่มเติมอีกครั้ง เขาก็ไม่ได้มองโลกในแง่ดีเกินไป “แม้ว่าข่าวยังไม่ถึงภาคใต้ มันเป็นเรื่องหรือเวลา เท่าที่ข้าเห็นการแต่งงานครั้งนี้จะไม่เกิดขึ้น”

 

อย่างไรก็ตามหลู่หยานไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านี้และกล่าวว่า “มันจะไม่เกิดขึ้นหรือ ? แต่องค์หญิงจีอันได้พูดไปแล้วต่อหน้าผู้คนมากมาย นั่นหมายความว่ามันจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน มันต้องเกิดขึ้น !” นางกล่าวอย่างเฉียบขาดเมื่อดวงตาเบิกกว้าง นางบอกหลู่ซ่งว่า “ตระกูลหญ่และองค์ชายแปดจะแต่งงานกันเป็นสิ่งที่ถูกกล่าวถึงในจดหมายขององค์ชายเก่า ท่านพ่อ ตอนนี้องค์หญิงจีอันได้กล่าวต่อหน้าผู้คนมากมาย ท่านพ่อคิดว่าคําพูดเหล่านี้สามารถเพิกถอนได้หรือไม่ ?”

 

หลู่ซ่งตกใจ “เจ้าหมายความว่าจะพูด…”

 

“ข้าหมายความว่าเราควรจะไปตามน้ํา”

 

ดวงตาของหลู่ซ่งสว่างขึ้นและแลกเปลี่ยนสายตากับเก้อชื่อ ครอบครัวหญ่ทั้งสามคนได้ข้อสรุปทันที ดังนั้นหลู่ซ่งจึงยืนขึ้นและคารวะพระสนมหยวนชูโดยกล่าวว่า “ขอบคุณพระสนมหยวนชที่ได้รับการดูแลอย่างดี บุตรสาวตัวน้อยของข้าจะไม่ก่อปัญหาให้กับองค์ชายแปดอย่างแน่นอน”

 

“หุบปาก ! หยุดเรื่องไร้สาระของเจ้า !” พระสนมหยวนชูเสียสติเพราะนางลุกขึ้นยืนทันที ไม่มีเวลากังวลที่จะพูดกับเฟิงหยูเฮงอีกต่อไปแล้ว นางชี้ไปที่หลู่ซ่งและกล่าวว่า “ใครบอกว่าองค์ชายแปดจะแต่งงานกับตระกูลหลู่ของเจ้า ? ข้าไม่เห็นด้วย ! นอกจากนี้การแต่งงานขององค์ชายต้องได้รับการยินยอมจากฝ่าบาท เจ้าจะเห็นด้ว ยกับเพียงแค่คําพูดได้อย่างไร ?”

 

หลู่ซ่งกล่าวด้วยน้ําเสียงเต็มไปด้วยความเศร้าโศก “เรียนพระสนม การแต่งงานครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยเจ้าหน้าที่ผู้นี้ มันคือ…” เขามองไปที่เฟิงหยูเฮง “เป็นองค์หญิงที่พูดมันขึ้นมาขอรับ !”

 

พระสนมหยวนชูโกรธมากจริง ๆ จนไม่รู้ว่าควรจะระบายที่ใด นางหันหน้าไปจ้องมองเฟิงหยูเฮงด้วยความโกรธ นางกล่าวว่า “เจ้ากําลังพูดเรื่องไร้สาระอะไร ? องค์หญิงเป็นเพียงองค์หญิง ข้าคือพระสนมที่สง่างาม ! ข้าเป็นมารดาผู้ให้กําเนิดองค์ชายแปด! เจ้ากล้าที่จะกุเรื่องนี้ขึ้นมาหรือ !”

 

เฟิงหยูเฮงกระพริบตาแสร้งทําเป็นกลัวแล้วขยับไปอีกสองก้าว จากนั้นนางก็เดินไปที่ศูนย์กลางของเวที และคุกเข่าของนางต่อหน้าฮ่องเต้ “เสด็จพ่อ เสด็จพ่อช่วยสนับสนุนอาเฮงด้วยเพคะ !”

 

พระสนมหยวนชูเกือบกระอักเลือดออกมา ช่วยนาง ? คนที่ควรจะขอความช่วยเหลือจากฮ่องเต้ควรจะเป็นนางไม่ใช่หรือ? ดังนั้นนางจึงคุกเข่าต่อหน้าฮ่องเต้ และกล่าวว่า “ฝ่าบาทต้องช่วยสนับสนุนพระสนมผู้นี้ด้วยเพคะ

 

ฮ่องเต้มองลงไปข้างล่างและไม่พูดอะไร อย่างไรก็ตามเขามองจางหยวน จางหยวนได้แต่พูดกับตัวเองว่าฝ่าบาทเป็นฮ่องเต้ และผลักดันสิ่งต่าง ๆ ให้กับขันทีทันทีที่เกิดสถานการณ์ ฝ่าบาทยิ่งใหญ่จริง ๆ ! แต่เขาก็ยังต้องเชื่อฟังฮ่องเต้ หลังจากดูสีหน้าของฮ่องเต้ เขารู้ได้อย่างรวดเร็วว่าเขาควรทําอะไร ดังนั้นเขาจึงเปล่งเสียงแหลมและกล่าวกับทั้งสองว่า “ควรมีการทูลขอการสนับสนุนจากองค์ฮ่องเต้ องค์หญิงจี่อันเป็นผู้ที่ขอก่อน พระส นมหยวนชโปรดคุกเข่ารอ”

 

บ่าวรับใช้ไปช่วยนางสนมหยวนทางด้านข้าง และเดือนนางว่า “พระสนมไม่สามารถยืนหรือนั่งได้ ท่านต้องคุกเข่ารอเจ้าค่ะ”

 

พระสนมหยวนชูโกรธมากจนตับของนางเริ่มเจ็บ แต่ไม่มีอะไรที่นางจะทําได้ จางหยวนเป็นตัวแทนของฮ่องเต้ นี่คือสิ่งที่ทุกคนเข้าใจ นางทําได้เพียงคุกเข่าและรอให้เฟิงหยูเฮงกล่าวว่า “เสด็จพ่อ อาเฮงเป็นแค่องค์หญิงผู้ต่ําต้อย แต่ข้าทําให้พระสนมหยวนชอุ่นเคือง ข้าเป็นแค่บุตรสาวผู้ต่ําต้อย ในขณะที่พระสนมหยวนชู เป็นคนที่มาจากพระราชวัง และนางเป็นมารดาผู้ให้กําเนิดองค์ชายแปด ถ้านางทําร้ายอาเฮงและปฏิเสธที่จะปล่อยให้ไป อาเฮงจะสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้หรือไม่เพคะ ?”

 

คําพูดเหล่านี้พูดพร้อมน้ําตาที่ไหลออกมา ใช่แล้ว มันเป็นน้ําเสียงที่น่าสงสารอย่างแน่นอนขณะที่เฟิงหยูเฮงกล่าว ทําให้พระสนมหยวนชอุ่นเคือง” และหลั่งน้ําตาออกมาเล็กน้อยทําให้ฮ่องเต่รู้สึกหดหู่อย่างยิ่ง

 

“เด็กดี ลุกขึ้นเร็ว ที่พื้นมันเย็น” เขาโน้มตัวไปข้างหน้าและช่วยประคองนางด้วยตัวเอง ซึ่งทําให้จางยวนจับตัวเขาไว้ จากนั้นก็วิ่งไปที่ด้านข้างเฟิงหยูเฮงเพื่อสนับสนุนนาง

 

เฟิงหยูเฮงยังคงเช็ดน้ําตาต่อไป แต่ผู้คนที่ดูฉากนี้เฟิงขยตา พวกเขาคิดกับตัวเองว่าองค์หญิงจี่อันเก่งในด้านการแสดง ! องค์หญิงผู้ต่ําต้อย ? องค์หญิงไม่ได้มีสถานะที่ต่ําต้อยเลย ritสนมหยวนชอุ่นเคือง เจ้ากลัวว่านางจะทําให้ชีวิตเจ้าล่าบาก เจ้าคิดอะไรบางอย่างเกี่ยวกับพระสนมผู้นี้หรือ ? เมื่อนึกย้อนกลับไปเมื่อเจ้าและพระส นมของฮ่องเต้ที่มีสถานะสูง เจ้าไม่ได้กังวลอะไรเลยแม้แต่ครึ่งเดียว !

 

แต่สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงข้อร้องเรียนในจิตใจ คนที่กําลังคิดสิ่งเหล่านี้ส่วนใหญ่อยู่ใกล้กับเฟิงหยูเฮง มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ได้รับความโปรดปรานจากพระสนมหยวนชูโดยหวังในตัวองค์ชายแปด แต่ตอนนี้ฮ่องเต็มีทัศนคติเช่นนั้น พวกเขาจะพูดอะไรได้ ? พระสนมหยวนชูเป็นคนผิด นี่คือสิ่งที่ทุกคนรู้ แต่ใครกล้าช่วยนาง

 

เฟิงหยูเฮงใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ําตา จากนั้นนางก็เงยหน้าขึ้นแล้วกล่าวกับฮ่องเต้ “เสด็จพ่อ ที่พระสนมหยวนชูพูดกับอาเฮง, อาเฮงกลัวจริง ๆ แต่… ข่าวนี้เป็นเรื่องจริงเพคะ อาเฮงไม่ได้พูดเรื่องไร้สาระ ! มันเป็นจดหมายที่องค์ชายเก้าส่งมา เสด็จพ่อก็เห็นจดหมายนั้น มันเป็นสิ่งที่อาเฮงส่งเข้าไปในพระราชวังเมื่อวานนี้เพคะ”

 

ฮ่องเต้พยักหน้า “อาเฮงพูดถูก เมื่อวานจดหมายจากหมิงเอ๋อส่งมา แน่นอนว่ามีการเขียนไว้ว่าเจ้าแปดตั้งใจจะให้บุตรสาวคนที่สามของตระกูลหลู่เป็นพระชายาของเขา พระสนมหยวนหยวนมาพูดในสิ่งที่เจ้าเฟิงพูดกับเราอีกครั้ง !”

 

พระสนมหยวนชูตกใจ นางตกตะลึงครั้งแล้วครั้งเล่า นางไม่เคยคิดเลยว่าสิ่งที่เฟิงหยูเฮงพูดคือสิ่งที่ฮ่องเต้ทรงทราบ ! คนเดียวที่ถูกทิ้งให้อยู่ในความมืด… คือนางใช่หรือไม่ ?

 

นางสั่นด้วยความกลัวและเงยหน้าขึ้นมองฮ่องเต้ พระสนมหยวนชูไม่รู้ว่านางควรพูดอะไร ในตอนแรกนางคิดว่าเฟิงหยูเฮงพูดเรื่องไร้สาระและไม่ได้รับข่าวดังกล่าว หรือมันเป็นอะไรบางอย่างที่นางวางแผนกับซวนเทียนห มิง แต่ตอนนี้ฮ่องเต้มีทัศนคติเช่นนั้น ไม่ว่าเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นโดยเจตนาหรือไม่ แต่ดูเหมือนว่าฮ่องเต้จะไม่ คัดค้าน ? แต่นั่นหมายความว่าเขาเห็นด้วยงั้นหรือ ? นี่…

 

“ฝ่าบาท” พระสนมหยวนชูยังคงต้องการที่จะอุทธรณ์ครั้งสุดท้าย “องค์ชายแปดประจําการในภาคใต้ และไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับบุตรสาวของตระกูลหญ่มากนัก เขาจะตัดสินใจแต่งงานกับนางได้อย่างไร ? ต้องมีความเข้าใจผิดเจ้าค่ะ”

 

ฮ่องเต่โบกมือของเขา “อย่าพูดถึงเรื่องนี้ เราแค่ต้องการสนับสนุนอาเฮง เจ้าข่มขู่นางก่อนหน้านี้คืออะไร? นางเป็นแค่องค์หญิง เจ้าคือพระสนมที่สูงศักดิ์ ? เอาล่ะ เนื่องจากเจ้าคิดแบบนี้ ข้าจะสนับสนุนอาเฮง !”

 

เมื่อคําเหล่านี้ออกมาทุกคนก็ตัวแข็ง พวกเขาไม่เข้าใจ ฮ่องเต้จะสนับสนุนเฟิงหยูเฮงอย่างไร พระสนมหยวนชูกล่าวว่านางเป็นองค์หญิงที่ต่ําต้อย ดังนั้นจึงเป็นไปได้ไหมที่นางจะได้เลื่อนตําแหน่งอีก ? แต่ถึงแม้ว่า นางจะได้เลื่อนตําแหน่ง นางก็ไม่สามารถเทียบได้กับพระสนมของฮ่องเต้ !

 

ในขณะที่ผู้คนเริ่มคาดเดา พวกเขาได้ยินฮ่องเต้กล่าวว่า “พระสนมหยวนชู หยวนซื้อ ไม่ตอบแทนความเมตตาและยังไร้ความเมตตาเมื่อพูด เจ้าจะถูกลดระดับให้เป็นนางสนมและยกเลิกตําแหน่งชู” ไปเจ้าจะรู้จักกันใน นามนางสนมหยวนเท่านั้น”

 

พระราชโองการที่ออกมาอย่างกะทันหันนี้ เมื่อพระสนมหยวนชูกลายเป็นนางสนมหยวน นางเสียคำว่า ชู ไปเสียแล้ว นี่ทําให้ทุกคนรู้สึกตกใจ แต่นางสนมก็ยังคงอยู่ในตําแหน่งในพระราชวัง นางสนมผินยังคงเหนือกว่าตําแหน่งของเฟิงหยูเฮงในฐานะองค์หญิง !

 

ชัดเจนมากว่านางสนมหยวนก็คิดแบบนี้เช่นกัน เมื่อนางมองเฟิงหยูเฮงอย่างเย็นชาและกล่าวเสียงแข็ง “แม้ว่าข้าจะเป็นแค่นางสนม เจ้าก็ควรปฏิบัติต่อข้าด้วยความเคารพ

 

เฟิงหยูเฮงถอยหลังไปสองสามก้าว ขณะที่ตบหน้าอก นางทําท่าตกใจมาก และฮ่องเต้ก็กล่าวว่า “โอ้ นางสนมก็ไม่ดีเช่นกัน ถ้าอย่างนั้นเป็นขุนนางหญิงก็แล้วกัน !”

 

ทุกคนสูดหายใจเข้าอย่างรวดเร็ว หากไม่มีตําแหน่งในพระราชวัง ถึงแม้ว่าขุนนางหญิงเป็นหนึ่งในผู้หญิงของฮ่องเต้ สถานะนั้นก็แตกต่างกันมากเกินไป เฟิงหยูเฮงเป็นองค์หญิงและสถานะของนางก็โด่งดัง หากนางต้องการต่อสู้กับขุนนางหญิงผู้ต่ําต้อย ก็คงไม่มีอะไรที่ขุนนางหญิงหยวนจะทําได้

 

อดีตพระสนมฮ่องเต้หยวนชปัจจุบันเป็นเพียงขุนนางหญิงหยวนทรุดตัวลงบนพื้น นางตกลงจากสวรรค์สู่พื้นดินและหล่นลงสู่สถานะเดิมทันที ขุนนางหญิงนี่คือตําแหน่งที่นางได้รับตอนที่นางเข้าไปในพระราชวังครั้งแรก ! นางทํางานหนักมาหลายสิบปีและในที่สุดก็ให้กําเนิดพระโอรสคนหนึ่งของฮ่องเต้ นางทํางานเพื่อรับตําแหน่ง พระสนมด้วยตนเอง อย่างไรก็ตามมันก็หายไปในเวลาเพียงชั่วครู่นี่…ทําไมถึงเป็นเช่นนี้ ?

 

นางร้องไห้และขอร้องฮ่องเต้ “ฝ่าบาท ข้ารู้ถึงความผิดพลาดของตัวเอง นางสนมผู้นี้รู้ความผิดพลาดของตัวเองแล้วเพคะ อย่าลดตําแหน่งนางสนมผู้นี้ให้อยู่ในตําแหน่งขุนนางหญิงเลยเพคะ ! ฝ่าบาท !”

 

นางอ้อนวอนเสียงดังทําให้ฮองเฮารู้สึกหงุดหงิด “เมื่อเรามาถึงลานล่าสัตว์ เจ้าก็ร้องไห้ ข้าบอกหลายครั้ง วันนี้ไม่ใช่เวลาที่จะร้องไห้ เจ้ากําลังร้องไห้ในเวลาที่ทุกคนก่าลังจะสนุก ?”

 

ขุนนางหญิงหยวนต้องการพูดจริง ๆ ว่าเฟิงหยูเฮงก็ร้องไห้เช่นกัน แต่นางก็ไม่กล่าอีกต่อไป นางท่าได้เพียงขอให้ฮ่องเต้เปลี่ยนพระทัยและคืนตําแหน่งพระสนมให้นาง นางไม่ต้องกังวลเรื่องอื่นอีกแล้ว

 

แต่ฮ่องเต่ไม่ได้มีเจตนาที่จะเปลี่ยนใจ นางร้องไห้นานมากโดยไม่มีการตอบสนอง ในเวลานี้เฟิงหยูเฮงกล่าวอีกครั้ง “เสด็จพ่อ เสด็จพ่อเห็นด้วยกับการแต่งงานระหว่างองค์ชายแปดกับคุณหนูสามของตระกูลหลู่…”

 

ตอนที่ 739 ต้นฤดูหนาว

 

ในช่วงเช้านี้ไม่มีใครในตระกูลหญ่ที่ไม่มีงานทํา หลู่หยานและเก้อซื้อคิดหาทางตกลงกับเฟิงหยูเฮงส่วนหลู่ซ่งเขาได้ขอเข้าพบพระสนมหยวนชูอีกครั้ง

 

แต่น่าเสียดายที่เขาเดินออกมาอย่างเศร้าโศกด้วยสีหน้าเศร้าสลดข้างในกระโจม พระสนมหยวนชมีรอยยิ้มบนใบหน้าของนางขณะที่นางพูดกับบ่าวรับใช้ของนาง“ตระกูลหญ่ไม่สามารถปกป้องความมั่งคั่งและจัดการครอบครัวของตัวเองได้ด้วยความสามารถเพียงเล็กน้อยพวกเขาบอกว่าพวกเขาต้องการสนับสนุนองค์ชายแปดมันดีอยู่แล้วที่พวกเขาไม่ได้ลากพระองค์ลงมา”

 

หยู่ซ่ถามนางอย่างเงียบๆ “พระสนมจะยอมแพ้เรื่องตระกูลหลู่หรือไม่เจ้าคะ ?”

 

พระสนมหยวนชูกล่าวว่า “นี่ไม่ใช่การยอมแพ้ แต่พวกเขาไร้ความสามารถเองครั้งแล้วครั้งเล่าพวกเขาได้แสดงให้เห็นข้าเห็นว่าพวกเขาล้มเหลวและข้าไม่เคยเห็นพวกเขาประสบความสําเร็จในสิ่งใดข้าจะแนะนําคนแบบนี้ให้กับองค์ชายแปดได้อย่างไรนั่นคือบุตรชายของข้า ข้าไม่เพียงแค่ดูความล้มเหลวเช่นนั้นจะปรากฏขึ้นที่ด้านข้างของเขา แต่…” นางขมวดคิ้ว“ทุกอย่างที่กล่าวมาอิทธิพลของตระกูลเหยานั้นใหญ่มากไม่ว่าในกรณีใดหล่ซึ่งยังเป็นเสนาบดีฝ่ายซ้ายของราชสํานักแต่เขาถูกตระกูลเหยากดขี่จนถึงขั้นที่ไม่สามารถกู้คืนได้”

 

หยู่ซ่คิดวิเคราะห์นิดหน่อย “ตามจริงแล้วพระสนมพูดถึงมันเมื่อสองปีก่อน ตระกูลเหยาถูกเนรเทศให้ไปอยู่หวางโจวในเวลานั้นไม่ใช่เพราะการเสียชีวิตของนางสนมของฮ่องเต้ ข้าคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ในภายหลังและมีความเป็นไปได้สูงมากที่การตายของพระสนมของฮ่องเตนั้นไม่เกี่ยวข้องกับหมอเทวดาเหยาเซียนแต่มันก็เป็น ข้ออ้างที่จะให้ตระกูลเหยาออกไปจากสถานการณ์ในขณะนั้นการออกไปของตระกูลเหยาถือเป็นการป้องกันแบบหนึ่งและมันก็แม่นย่าเพราะมันไม่ใช่การถูกเนรเทศอย่างแท้จริง พวกเขาอาศัยอยู่อย่างอิสระในหวางโจวและยังคงสามารถสร้างอํานาจของตัวเองได้ หลังจากนั้นไม่กี่ปีตระกูลหญ่ย่อมไม่สามารถเทียบกับพวกเขาได้ตามธรรมชาติ”

 

“ถูกต้อง !” พระสนมหยวนชถอนหายใจอย่างขมขึ้นและกล่าวว่า“ถึงแม้ว่าข้าจะไม่ค่อยได้พบฮ่องเต้แต่ข้าก็ไม่ตาบอดหูหนวกเลยฮ่องเต่และเหยาเซียนเข้ากันได้ดีเป็นส่วนตัว สําหรับตระกูลหญ่พวกเขาประเมินฝ่ายตรงข้ามต่ําเกินไป และพวกเขาก็อ่อนแอและโง่มาก การตกสู่สถานะปัจจุบันของพวกเขาเป็นเรื่องที่สมควรเป็นเพียงสาเหตุของปัญหาทั้งหมดนี้คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากเฟิงหยูเฮงถ้าองค์หญิงยังคงอยู่ต่อไป นางจะกลายเป็นอุปสรรคสําคัญสําหรับโมเอ่อเจ้าว่าเราควรพิจารณาเรื่องนี้อย่างเหมาะสมหรือไม่ ?”

 

หยู่ซ่ค่านับ “ทุกอย่างจะเป็นดังที่พระสนมกล่าวเจ้าค่ะ”

 

หลังจากรุ่งเช้าวันแรกของการล่าสัตว์ก็เริ่มขึ้น พื้นที่ล่าสัตว์มีเวทีสําหรับดูพิเศษ ฮ่องเต้และฮองเฮานั่งในที่นั่งหลักในขณะที่พระสนมของฮ่องเต้องค์ชายและสมาชิกในครอบครัวของฮ่องเต้นั่งอยู่ทั้งสองด้านด้านล่างนี้เจ้าหน้าที่และครอบครัวของพวกเขานั่งอยู่ในกลุ่มใหญ่และมันก็มีชีวิตชีวามาก

 

ฮ่องเต้ค่อนข้างอารมณ์ดี เมื่อมองไปที่จุดล่าสัตว์ที่เขาไม่ได้เห็นมานานแล้วกับบุตรชายและอาสาสมัครของเขา เขาก็อดไม่ได้ที่จะได้รับอารมณ์ “ถ้าองค์ชายหกองค์ชายแปดและองค์ชายเก้าอยู่ที่นี่คงจะดี”

 

ฮองเฮาเห็นด้วยกับเขาและกล่าวว่า “เด็ก ๆทุกคนเติบโตกันหมดแล้ว และพวกเขาต้องการปกป้องครอบครัวและอาณาจักรพวกเขาต้องทํางานหนักเพื่ออาณาจักรและไม่สามารถอยู่เคียงข้างฝ่าบาทได้ตลอดเวลาแต่ฝ่าบาทสามารถใช้ชีวิตอย่างสบาย องค์ชายล้วนเป็นคนรอบคอบแม้ว่าพวกเขาจะอยู่ในพื้นที่ชายแดน พวกเขาต้องคิดถึงเมืองหลวงและคิดถึงเสด็จพ่อของพวกเขา”

 

หลังจากที่ฮองเฮาพูด องค์ชายและพระสนมของฮ่องเต้ก็พูดด้วยเช่นกัน พวกเขาทั้งหมดสะท้อนสิ่งที่พูดโดยเฉพาะอย่างยิ่งพระสนมหยวนชมารดาผู้ให้กําเนิดองค์ชายแปดขณะที่นางพูดนางก็เริ่มเช็ดน้ําตาด้วยเสียงสะอื้น“ก่อนที่องค์ชายแปดจะเดินทางไปภาคใต้พระองค์บอกให้หม่อมฉันคอยรับใช้ฝ่าบาทแต่หม่อมฉันไม่เคยได้รับใช้ฝ่าบาทเลย… โชคดีที่ฝ่าบาทมีฮองเฮาอยู่เคียงข้างฝ่าบาทเสมอฮองเฮาคอยดูแลฝ่าบาทของเรา เราสามารถทําใจให้สบายได้เจ้าค่ะ”

 

ฮองเฮาจ้องมองพระสนมหยวนชู แล้วกล่าวเบาๆว่า “การล่าสัตว์ในฤดูหนาววันนี้เป็นกิจกรรมรื่นเริงไม่นานองค์ชายและคนอื่นๆ จะเข้าร่วมการแข่งขันเพื่อล่าสัตว์ทําไมต้องร้องไห้ในเวลาเช่นนี้มันรบกวนความสุขของทุกคน”

 

เสียงสะอื้นของพระสนมหยวนชูก็ติดอยู่ในลําคอของนางทันที เมื่อฮองเฮาพูดสิ่งนี้ นางก็หยุดให้ลงทันที แต่ในท้ายที่สุดก็เป็นฮองเฮาที่กล่าว นางไม่สะดวกที่จะพูดอะไรและนางก็ยอมรับแล้วก็เงียบ

 

สําหรับฮ่องเต้ อารมณ์ของเขาไม่ได้รับความทุกข์ทรมานจากเรื่องนี้มากนักในสภาวะทางอารมณ์ของเขา เขาเริ่มระลึกถึงอดีตที่ผ่านมา “เราลืมไปแล้วว่ามันนานกี่ปีตั้งแต่ครั้งแรกที่เรามาถึงพื้นที่ล่าสัตว์นี้เป็นอะไรบางอย่างเมื่อหลายสิบปีก่อน ในเวลานั้นอดีตฮ่องเต้ยังคงมีชีวิตอยู่และในระหว่างการเยี่ยมครั้งแรกนั้นเราได้รับรางวัลที่หนึ่ง และได้รับเสียงชื่นชมอย่างมากหลังจากนั้นฮ่องเต้ผู้ล่วงลับได้มอบธนโฮยให้กับข้าเป็นการส่วนตัวและบอกกับข้าว่าธนูนี้จะต้องมอบให้กับนักธนูคนแรกของราชวงศ์ต้าชุนที่คู่ควรกับมัน”

 

ฮ่องเต้กําลังพูดและคําพูดของเขาออกมาค่อนข้างช้าพระสนมกเซียนหยิบบทสนทนามาถึงจุดนี้แล้วระลึกถึงในเวลาเดียวกัน “ใช่เพคะ ! ในเวลานั้นฝ่าบาทเป็นนักธนูศักดิ์สิทธิ์คนแรกของราชวงศ์ต้าชุน ธนูโฮยถูกมอบให้ฝ่าบาทและได้รับการสนับสนุนค่อนข้างมากฝ่าบาทยึดคันธนูนั้นมาหลายสิบปีแล้วจนหม่อมฉันคิดว่าฝ่าบาทไม่มีแผนที่จะส่งมอบให้กับใครเพคะ”

 

ฮองเฮากล่าวต่อ “ถูกต้อง ! บางที่ฝ่าบาทอาจไม่คิดว่าราชวงศ์ต้าชุนจะมีคนอย่างองค์หญิงจีอันเมื่อพูดถึงการยิงธนูขององค์หญิงจอันมันทําให้ผู้คนปรบมือด้วยความชื่นชมอย่างแท้จริง”

 

ฮ่องเต้พยักหน้า “การมีส่วนร่วมของอาเฮงต่อราชวงศ์ตาชุนนั้นไม่ได้หยุดเพียงแค่การยิงธนู” ขณะที่เขากล่าวเขามองไปที่เพิ่งหยูเฮงด้วยรอยยิ้มกว้าง รอยยิ้มแบบนั้นทําให้คนอื่นมองไปที่เพิ่งหยูเฮงเช่นกันอย่างไรก็ตามใครจะรู้ว่ามีการเสแสร้งมากแค่ไหน

 

“ข้าสงสัยว่าองค์หญิงน่าธนูโฮยมาล่าสัตว์ด้วยหรือไม่” ทันใดนั้นพระสนมหยวนชูก็กล่าวอีกครั้งด้วยน้ําเสียงที่ลึกลับอย่างจงใจนางทําให้ทุกคนรู้สึกไม่สบายใจ

 

เพิ่งหยูเฮงกล่าวเบา ๆ ว่า “ข้าเพิ่งมาดูความสนุกสนาน การล่าสัตว์เป็นสิ่งที่ผู้ชายทํา ข้าไม่ได้นําธนูมาด้วยเจ้าค่ะยิ่งกว่านั้นธนูโฮยเป็นสมบัติของชาติพระสนมคิดว่าสมบัติของชาติเป็นสิ่งที่สามารถนําออกมาได้ตลอดเวลาหรือไม่”

 

พระสนมหยวนชูหัวเราะคิกคักแล้วกล่าวว่า “องค์หญิงต้องล้อเล่น จริง ๆ สมบัติของชาติจะต้องได้รับการเคารพบูชาอย่างแน่นอนขาเพิ่งได้ยินว่าองค์หญิงจ๋อันเป็นคนที่กล้าหาญและข้าต้องการเป็นพยานแล้วองค์หญิงจะลองยิงธนูได้หรือไม่? พวกเราจะได้เปิดหูเปิดตาเล็กน้อย”

 

“โอ้ ?” นางมองไปที่พระสนมหยวนช “พระสนมหยวนชพูดถึงข้าหรือไม่ ? เป็นสิ่งที่พระสนมหยวนชูอยากเห็นหรือเป็นสิ่งที่พระสนมของฮ่องเต้ทุกคนปรารถนาที่จะเห็น ?” ขณะที่นางพูดนางมองไปรอบๆพระสนม

 

ของฮ่องเต้ทั้งหมด ด้วยภาพรวมนี้คนจํานวนน้อยที่สนใจพวกนางก็ก้มหน้าลงเช่นกัน สําหรับคนอย่างพระสนมคู่เซียนพวกนางส่ายหน้าโดยแสดงว่าพวกนางไม่ได้คิดเช่นนั้นเฟิงหยูเฮงยิ้ม“ดูเหมือนว่าทุกคนไม่ต้องการเห็นข้าล่าสัตว์แต่เนื่องจากพระสนมหยวนชูยืนกรานอยากจะเห็นงั้นข้าเชิญพระสนมหยวนไปเปลี่ยนเป็นชุดขี่ม้าและเข้าสู่พื้นที่ล่าสัตว์กับคนอื่น”

 

พระสนมหยวนชูตกตะลึง “เจ้าหมายถึงอะไร ? ทําไมข้าต้องเข้าสู่สนามล่าสัตว์?”

 

“พระสนมหยวนชูไม่อยากเห็นข้าล่าสัตว์หรือเจ้าค่ะ ?” เพิ่งหยูเฮงสับสนและถามนางว่า “พื้นที่ล่าสัตว์มีขนาดใหญ่มากและสัตว์ร้ายก็อยู่ข้างในพวกมันจะหายไปในพริบตา สิ่งที่พระสนมหยวนชูจะได้เห็นก็คือฝุ่นและหิมะพระสนมหยวนชูจะไม่สามารถได้ยินเสียงอะไรเลยแม้แต่น้อย”

 

พระสนมหยวนชไม่ยอม “ด้วยผู้คนมากมาย รวมถึงฝ่าบาทและฮองเฮาที่มาดูการล่าสัตว์เป็นไปได้หรือไม่ที่เจ้าต้องการให้พระองค์เข้ามาในพื้นที่ล่าสัตว์ ?”

 

เฟิงหยูเฮงส่ายหัว “ไม่เลยไม่ใช่เลย เสด็จพ่อและฮองเฮา รวมทั้งพระสนมของฮ่องเต้ทุกคนไม่ได้มาเพื่อตามล่าแต่พวกท่านเพิ่งมาเห็นดูจํานวนสัตว์ที่ล่าได้สําหรับกระบวนการนั่นไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนกังวลตอนนี้ดูเหมือนว่ามีเพียงพระสนมหยวนชูเท่านั้นที่สนใจในกระบวนการไล่ล่า!นอกจากนี้…” นางหยุดครู่หนึ่งและพูดด้วยรอยยิ้ม“การล่าสัตว์เป็นเรื่องที่คนทํากันมาตลอดนี่เป็นครั้งแรกที่ข้าเคยได้ยินพระสนมของฮ่องเต้เรียกร้องให้องค์หญิงไปล่าสัตว์ตามปกติแล้วแม้ว่าข้าจะใช้ความคิดริเริ่มในการสร้างภาพลักษณ์พระสนมให้คําแนะนํากับข้าท่านไม่กลัวว่าผู้หญิงจะได้รับบาดเจ็บงั้นหรือ ? พระสนมหยวนชปฏิบัติต่อข้าอย่างแปลกประหลาดจริงๆ”

 

“นี่…” พระสนมหยวนชูเจอวาจาคมกริบของเฟิงหยูเฮงอีกครังและถูกทิ้งให้พูดไม่ออก

 

ในเวลานี้ฮ่องเต้ก็ดนาง “อาเฮงพูดถูกพระสนมของฮ่องเต้จะเรียกผู้หญิงให้ไปที่ลานล่าสัตว์ได้อย่างไรพระสนมหยวนชูยิ่งเจ้าอายุมากขึ้นเรื่อย ๆ เจ้าก็ยิ่งไม่มีเหตุผล !”

 

คําพูดของฮ่องเต้ทําให้ใบหน้าพระสนมหยวนซูเปลี่ยนเป็นสีแดงไม่สามารถกลั้นน้ําตาได้น้ําตาเริ่มร่วงใจของพระสนมหยวนชูก็รู้สึกขมขึ้นไม่ว่าอย่างไรเราก็เคยร่วมเตียงกันมาก่อนและข้าก็ให้บุตรชายแก่ฝ่าบาทไม่สามารถเป็นศัตรูกันได้?หากต้องการว่านางว่าอายุมากนางจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนยิ่งพระสนมหยวนชูคิดถึงมันมากขึ้นนางก็เสียใจมากและในที่สุดก็ไม่สามารถระงับอาการสะอื่นของนางได้

 

ฮองเฮาไม่สามารถทนดูอีกต่อไป และต้องเดือนนางอีกครั้ง“วันนี้เป็นวันแรกของการล่าสัตว์พระสนมหยวนชูเจ้าตั้งใจจะร้องไห้กรอบ ? หากเจ้าคิดว่าน้ําตาของเจ้าสําคัญกว่าการล่าสัตว์นี้ให้บ่าวรับใช้ของเจ้าพาเจ้ากลับไปที่กระโจมของเจ้า เจ้าสามารถร้องไห้ได้มากเท่าที่เจ้าต้องการ”

 

พระสนมหยวนชไม่สามารถหายใจได้ และหยุดร้องไห้อย่างเชื่องช้า จากนั้นนางก็ได้ยินว่าฮ่องเต้ประกาศว่าองค์ชายและชายหนุ่มทุกคนจากครอบครัวของเจ้าหน้าที่เตรียมตัวที่จะมุ่งหน้าลงไปที่ลานล่าสัตว์ในทันใดนั้นกลุ่มที่ลุกขึ้นยืนก็ขึ้นขี่ม้า นอกจากบ่าวรับใช้ที่จะล่าสัตว์เวทีที่มีชีวิตชีวาก็มีคนน้อยมากและมันก็เงียบกว่ามาก

 

บ่าวรับใช้นาชาและขนมอบขึ้นมา ในวันที่อากาศหนาวนี้หากดื่มชาก็จะช่วยคลายความหนาวได้มากและอยู่ที่นั่นเพื่อดูการล่าสัตว์ไม่มีใครที่จะไปดื่มอย่างแท้จริงสําหรับการล่าสัตว์นี้ผู้ที่มีประสบการณ์ทุกคนรู้ว่ามันจะดําเนินต่อไปอย่างน้อย 1 ชั่วยามจึงไม่มีใครนั่งรอพวกเขาเริ่มคุยอย่างเกียจคร้าน

 

ฮ่องเต้นั่งในที่นั่งที่สูงที่สุดและมองดูทุกคน ใบหน้าของเขาค่อนข้างมืดมนและพึมพําเป็นครั้งคราว “ทําไมพวกเขาถึงรู้สึกหงุดหงิด?ย้อนกลับไปเมื่อพระสนมของฮ่องเต้ได้รับเลือกให้เข้าสู่สถานที่ใครจะเลือกพวกเขา”

 

ฮองเฮากล่าวอย่างไร้ปัญหา “ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด ก็ไม่ใช่ข้าที่เลือกพวกเขา ส่วนใหญ่ถูกส่งโดยครอบครัวขุนนางสถานะของพวกเขามีมากพอและมีนิสัยที่ดีนั่นก็เพียงพอแล้ว”

 

ฮ่องเต้ชี้ไปที่พระสนมหยวนชและถามฮองเฮา “นั่นถือว่านิสัยดีแล้วหรือ ?”

 

จางหยวนไม่สามารถทนต่อการรับชม และดึงแขนเสื้อของฮ่องเต้ “ฝ่าบาทเบาเสียงลงหน่อยพะยะค่ะ”

 

“อะไร ? เป็นไปได้หรือไม่ที่เรากลัวว่าคนอื่นจะได้ยิน” นี่เป็นเสียงที่ดังมาก คนที่อยู่ด้านล่างซึ่งไม่เคยได้ยินมากนักตอนนี้สามารถได้ยินทุกอย่างพวกเขาเงยหน้าขึ้นมอง และแสดงความงุนงงทันที พวกเขาไม่รู้ว่าฮ่องเต้โกรธอะไรในตอนนี้

 

แต่ฮ่องเต้ก็ยังชี้ไปที่พระสนมหยวนชู และพระสนมหยวนชูรู้สึกเย็นทั่วทั้งร่างกายของนาง นางกลัวว่าค่าต่อไปจากปากของฮ่องเต้จะได้รับการชี้นํามาที่นางอย่างแท้จริง อันเป็นผลมาจากความหงุดหงิดของฮ่องเต้นางรู้สึกกลัวมาก

 

โชคดีที่หลังจากรอมานานฮ่องเต้ก็ไม่ได้กล่าวอะไร เรื่องนี้ทําให้พระสนมหยวนชถอนหายใจด้วยความโล่งอกแต่เมื่อนางปล่อยมันออกไป ทันใดนั้นนางก็ได้ยินเสียงเฟิงหยูเฮงและความสบายใจที่นางเริ่มรู้สึกหายไปอีกครั้ง

 

ตอนที่ 738 ศัตรูที่ซ่อนเร้น

 

หล่หยานมาหานางเพื่อทําข้อตกลง นี่คือสิ่งที่เพิ่งหยูเฮงไม่คาดคิด ซักพักนางก็ไม่เข้าใจจริง ๆ หลู่หยานจะใช้อะไรในข้อตกลงนี้ ?

 

เมื่อเห็นว่าเฟิงหยูเฮงมีข้อสงสัย หมู่หยานหยานจึงเริ่มที่จะกล่าวว่า “องค์หญิงเพิ่งตัดความสัมพันธ์กับตระกูลเฟิงและตระกูลเหยา นี่คือสิ่งที่หลายคนในเมืองหลวงรู้ สําหรับตระกูลหลู่ของเราเนื่องจากเรื่องของหลู่เหยามนจบลงด้วยการทําให้ตระกูลเหยาขุ่นเคืององค์หญิงคงได้ยินว่าธุรกิจของตระกูลหลู่ประสบความสูญเสียอย่างมากใช่หรือไม่เจ้าคะ ? ข้าจะไม่ปิดบังท่านแต่หลังจากที่เราตรวจสอบมันผลลัพธ์ที่ตามมาก็คือคนที่ทํากับตระกูลหญ่คือตระกูลเหยาเนื่องจากความร้ายกาจที่เกิดจากหลู่เหยา ตระกูลเหยาจึงใช้วิธีการที่รุนแรงเช่นนี้ ทําให้ธุรกิจของตระกูลหญ่ไม่สามารถกู้คืนได้ ถึงแม้ว่าครอบครัวของเราจะไม่ดิ้นรนเพื่อให้ผ่านไปได้แต่ก็ยังมีอุปสรรคมากมายองค์หญิง เมื่อท่านใช้แส้เฆี่ยนดีฮูหยินเหยาท่านทําให้ตระกูลเหยาขุ่นเคืองและทําให้พวกเขามุ่งหน้าไปยังคฤหาสน์ขององค์หญิงเพื่อสาปแช่ง เมื่อคิดถึงเรื่องนี้แล้วท่านต้องรู้สึกเกลียดชังตระกูลเหยาด้วยใช่หรือไม่ด้วยเหตุนี้ศัตรูของศัตรูของข้าคือมิตรของข้า ตราบใดที่องค์หญิงสัญญาว่าจะทํางานร่วมกับตระกูลหญ่ของข้าตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป คฤหาสน์ของเสนาบดีฝ่ายซ้ายจะเข้าข้างท่านองค์หญิงมันจะช่วยให้ท่านได้รับการ สนับสนุนที่แข็งแกร่ง”หล่หยานพูดทุกอย่างด้วยลมหายใจเดียวและเห็นได้ชัดว่านางเริ่มมีอารมณ์มากขึ้นเรื่อยๆขณะที่นางกล่าวในตอนท้ายดูเหมือนว่านางจะเกลี้ยกล่อมเฟิงหยูเฮงนางยกมือขึ้นและดูจริงใจอย่างแท้จริงนางดูซื่อตรงในการทําข้อตกลงนี้กับเฟิงหยูเฮงเพื่อช่วยให้เกิดพันธมิตรระหว่างองค์หญิงจีอันและตระกูลหญ่

 

แต่เฟิงหยูเฮงไม่ได้ดูตื่นเต้นเท่าที่นางหวังหลังจากได้ยินสิ่งที่หลู่หยานได้พูดไปนางแค่ร้อง “โอ” ออกมานางไม่ได้ถามคําถามใด ๆหลังจากนั้น

 

หญ่หยานกลายเป็นกังวลเล็กน้อย “องค์หญิงนี่หมายความเช่นไร ?”

 

เฟิงหยูเฮงมองไปที่หมู่หยาน แต่สีหน้าบ่งบอกถึงความสับสนขณะที่ถามหล่หยานว่า “เจ้าพูดคุยเรื่องนี้กับข้าด้วยตัวเองหรือเจ้าเป็นตัวแทนทางความคิดของตระกูลหมู่ทั้งหมด”

 

หลู่หยานเงยหน้าขึ้นมาแล้วกล่าวว่า “แน่นอนหมายถึงตระกูลหลู่เจ้าค่ะ”

 

“โอ้” นางพยักหน้า ทันใดนั้นนางก็กล่าว “ดูเหมือนว่าตระกูลหญ่ได้ตัดสินใจแล้วว่าจะยืนหยัดอยู่ฝ่ายองค์ชายเก้านั่นเป็นสิ่งที่ดีเจ้านายของตระกูลหญ่เป็นเสนาบดีฝ่ายซ้าย เพื่อให้สามารถมีเสนาบดีเป็นผู้สนับสนุนได้ข้าเชื่อมั่นว่าองค์ชายเก้จะอยู่ในจุดที่ดียิ่งขึ้นกว่าในอดีต”

 

หลู่หยานตื่นตกใจ “องค์ชายเก้าอะไร ?ข้ากําลังพูดถึงการเป็นพันธมิตรกับองค์หญิง”

 

“ใช่ !” เพิ่งหยูเฮงยิ้ม และเตือนนางว่า“เจ้าอย่าลืมว่านอกจากจะเป็นองค์หญิงจอันแล้วขายังเป็นว่าที่พระชายาขององค์ชายเก้าอีกด้วยโดยการเลือกข้านั่นหมายความว่าเจ้าได้เลือกองค์ชายเก้าด้วยเช่นกันเจ้าแน่ใจหรือไม่ว่าตระกูลหลู่ปรารถนาที่จะยืนกับองค์ชายเก้า ? หากเจ้ามั่นใจเรายินดีต้อนรับข้าจะไปพบกับท่านเสนาบดีฝ่ายซ้ายเพื่อขอขอบคุณด้วยตนเองและขอบคุณเขาที่ให้การสนับสนุนในเวลาเดียวกันข้าจะกระจายข่าวนี้ข้าขอให้ท่านเสนาบดีฝ่ายซ้ายออกมาแสดงจุดยืนของเขาในราชสํานักอย่างเปิดเผยหลังจากกลับมาถึงเมืองหลวงนี้จะทําให้องค์ชายองค์อื่น ๆยอมแพ้ต่อเสนาบดีฝ่ายซ้ายโอ้ถูกแล้ว”นางแกล้งทําเป็นจําบางอย่าง“หลู่เหยายังได้รับแมลงมีพิษจากองค์หญิงเจ็ดของกูซูนั่นต้องหมายความว่าตระกูลหญ่มีความสัมพันธ์กับผู้คนในภาคใต้ใช่หรือไม่ ? คุณหนูผู้สูงศักดิ์จะมีความสัมพันธ์เช่นนี้กับองค์หญิงต่างอาณาจักรได้อย่างไรปัจจุบันทุกคนรู้ว่าภาคใต้เป็นขององค์ชายแปดสถานการณ์ของหมู่เหยาจะทําให้ผู้คนต้องเชื่ออย่างแน่นอนว่าตระกูลหญ่กําลังยืนหยัดอยู่ฝ่ายองค์ชายแปด นั่นเป็นเหตุผลที่ข้าเชิญท่านเสนาบดีฝ่ายซ้ายออกมาเพื่อชี้แจงความเข้าใจผิดนี้และให้ทุกคนรู้ว่าในใจของเขาคนที่ได้รับการสนับสนุนจากพลเมืองคือองค์ชายเก่าไม่ใช่องค์ชายแปดคุณหนูดระกูลหญ่ เจ้ารู้สีกหรือไม่ว่าตระกูลหญ่ของเจ้าสามารถท่าสิ่งนี้ได้”

 

“นี่…” หล่หยานถูกแช่แข็งทันที คําพูดของเฟิงหยูเฮงได้ยกระดับสารในวันนี้ให้สูงขึ้นทันที มันกลับจุดยืนของตระกูลหมู่ทันทีเล็กสนับสนุนองค์ชายแปดและหันมาสนับสนุนชายเก่าหรือ ? นางไม่สามารถทําการตัดสินใจดังกล่าวได้แต่ถ้าไม่ใช่ในกรณีนี้ ประเด็นของการหารือเกี่ยวกับข้อตกลงนี้คืออะไร ? นอกจากนี้นี่เป็นความคิดของนางและมารดาของนางมันไม่ได้เป็นตัวแทนของหลู่ซ่งบิดาของนางแต่หญ่หยานคิดว่าตราบใดที่เพิ่งหยูเฮงตอบตกลงและสามารถช่วยตระกูลหลู่แก้แค้นตระกูลเหยาได้ทําให้ตระกูลหญ่สามารถกู้คืนได้ตระกูลหลู่สามารถทําบางสิ่งอย่างผิวเผินเพื่อแสดงว่าพวกเขาสนับสนุนองค์หญิงจีอันอย่างไรก็ตามนางไม่เคยคิดเลยว่าเฟิงหยูเฮงจะพูดเช่นนี้และอยากให้พวกเขาทั้งโลกรู้ว่าหลู่ซ่งเสนาบดีฝ่ายซ้ายกําลังยืนอยู่ข้างองค์ชายเก่า ทํา ได้หรือไม่ ? แน่นอนมันไม่สามารถทําได้หากสิ่งนี้ถูกค้นพบโดยบิดาของนาง นางจะต้องถูกเฆี่ยนด็จนตายอย่างแน่นอน

 

เมื่อเห็นว่าหลู่หยานต้องประสบกับความพ่ายแพ้เฟิงหยูเฮงก็ส่ายหัวอย่างไร้จุดหมาย “ทิ้งแผนการของเจ้าไปหากเจ้าต้องการใช้ข้าเพื่อบรรลุเป้าหมายของเจ้าเอง เจ้าต้องแสดงความเชื่อที่เพียงพอมิฉะนั้นทําไมข้าต้องช่วยตระกูลหญ่ ใครบอกว่าศัตรูของศัตรูเป็นมิตรกัน ? ในขณะที่หลู่เหยาอยู่ในตระกูลเหยานางแอบใส่เข็มในชุดของข้าและทําให้ข้ารู้สึกทนไม่ได้เจ้าคิดว่าข้ามีความรู้สึกดีต่อตระกูลหล่งั้นหรือ ? หลู่หยาน กลับไปไม่ว่าใครจะมากับความคิดนี้สาหรับเจ้าเพียงแค่บอกพวกเขาอย่างที่ข้าบอกเจ้านี่คือจุดยืนของข้า”

 

หลู่หยานรู้สึกราวกับว่านางเป็นเด็กเล็กที่ถูกสอนในการเผชิญหน้ากับเฟิงหยูเฮง นางไม่รู้ว่านางควรตอบอย่างไรและรู้สึกอึดอัดใจเป็นระยะเวลานาน ความอดทนตามธรรมชาติของนางเริ่มเดือดในเวลานี้ขณะที่นางก ล่าวว่า “ไม่น่าแปลกใจที่ทุกคนบอกว่าคุณหนูรองของตระกูลเฟิงนั้นเป็นคนเจ้าคารมปรากฏว่ามันเป็นเรื่องจ ริง เจ้าทิ้งข้าไปโดยไม่พูดอะไรเลยใครจะรู้ว่าถ้าคนอื่นจะทําให้เจ้าเสียเกียรติในระดับนี้เพิ่งหยูเฮง สวรรค์จะต้องลงโทษเจ้า”

 

“โอ้ ?” เฟิงหยูเฮงหัวเราะแล้วกล่าวว่า “การลงโทษจากสวรรค์หรือ? แน่นอนข้าเชื่อ มันมีอยู่เพียงแต่มันยังยุติธรรมมาก เรามาดูกันว่าใครจะเป็นคนแรกที่ต้องทนทุกข์ทรมานจากการกระทํานี้นอกจากนี้ข้าจะเตือนเจ้าว่าข้าเป็นองค์หญิงจอันของราชวงศ์ต้าชุนไม่ใช่คุณหนูรองตระกูลเฟิงคุณหนูตระกูลหญ่จะให้ความสนใจกับเรื่อง สําาคัญเมื่อพูดหรือไม่ข้าจะไม่เถียงกับเจ้าในเรื่องนี้แต่ถ้าเจ้าตั้งใจจะถามศักดิ์ศรีของข้าในฐานะองค์หญิงนั่นจะ เป็นเรื่องอื่น เอาล่ะ ข้าจะกลับแล้วถ้าเจ้าชอบสถานที่แห่งนี้มันก็ดีถ้าเจ้าพักนานกว่านี้ตอนเช้าในภูเขามีอากาศบริสุทธิ์จริง ๆ ! นอกจากนี้ยังขอบคุณคุณหนูตระกูลหญ่สําหรับเตาพกพาที่มอบให้ข้ามันสวยมาก”

 

หลังจากพูดจบแล้ว นางก็นาวังซวน และหวงซวนออกไปแต่หลู่หยานก็ถูกแช่แข็งด้วยสิ่งสุดท้ายที่นางพูดหลังจากนั้นไม่นานนางก็จัดการตอบโต้ได้ “เตาพกพาอะไร ?” นางตะโกนถามด้วยความสับสน“องค์หญิงท่านหมายความว่าอย่างไร?ข้ามอบเตาพกพาให้ท่านเมื่อใด ?”

 

ทั้งสามคนเดินไปข้างหน้าหยุดชะงักชั่วครู่หนึ่งแต่กลับมาอย่างรวดเร็ว พวกเขาเดินทางไปข้างหน้าพยายามไขปริศนาด้วยกันด้วยตัวเองในขณะที่เฟิงหยูเฮงก็ขมวดคิ้ว

 

ในตอนแรกเมื่อนางเห็นหมู่หยานในสถานที่นี้นางมั่นใจแล้วว่าเตาพกพาามร้อนถูกส่งมาจากนางไม่ว่าจะเป็นเมื่อคืนที่ผ่านมาหรือมีการพูดคุยกันในตอนเช้าทั้งหมดเป็นกระบวนการปกติและไม่มีอะไรผิดปกติแต่คําพูดสุดท้ายของหมู่หยานที่บอกว่าไม่ได้ส่งเตาพกพาให้นางได้ย้อนกลับไปคิดเรื่องก่อนหน้านี้อย่างสมบูรณ์

 

ทั้งสามค่อย ๆ เพิ่มความเร็วของพวกเขา เมื่อถึงเวลาที่พวกนางเข้ามาใกล้ค่ายเฟิงหยูเฮงกล่าวว่า “ข้าหวังว่าเช้านี้จะไม่มีอะไรผิดปกติ เสี่ยวไปยังอยู่ในกระโจม

 

เมื่อนางพูดสิ่งนี้ วังชวนและหวงนวนก็เริ่มรู้สึกกังวล ทั้งสามวิ่งกลับไปที่ค่ายพวกนางวิ่งเข้ามาไม่กี่คนแต่ทั้งสามคนแต่งตัวและทุกคนรู้ว่าพวกนางรู้ศิลปะการต่อสู้ทําให้คนคิดว่าพวกนางไปฝึกศิลปะการต่อสู้มาแล้ววิ่งกลับ และไม่มีใครถามมากเกินไปเมื่อทั้งสามคนมาถึงกระโจมทหารองครักษ์ที่ยืนเฝ้าเฝ้าถอนหายใจด้วยความโล่งอกและกล่าวว่า “องค์หญิงกลับมาแล้ว”

 

เฟิงหยูเฮงตกใจมาก “อะไรกัน ? มีอะไรเกิดขึ้น ?”

 

ทหารองครักษ์ส่ายหัว “ไม่มีอะไรเกิดขึ้นขอรับ แต่มีเสียงดังมาจากในกระโจม ขากลัวว่ามีคนเข้าไปข้าจึงเข้าไปดูข้าพบเสื้อเสื้อกระโดดขึ้น ๆ ลงๆ บนเตียงขององค์หญิง ข้าพยายามจะจับมันแต่หลังจากความพยายามสองสามครั้งข้าก็ไม่สามารถจับมันได้ เสื้อตัวนั้นดุร้ายองค์หญิงต้องการให้คนเข้าไปจับหรือไม่ขอรับ?หรือว่าให้มันอยู่ในกระโจมขอรับ ?”

 

เฟิงหยูเฮงได้ยินเช่นนี้ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อนางพาเสียวไปนางวางมันไว้ในมิติของนางและไม่ปล่อยให้คนจํานวนมากเห็นนอกจากนี้แม้ว่ามันยังตัวเล็กแต่มันก็ยังเป็นเสื้อทหารองครักษ์จะตกใจเป็นเรื่องปกตินางโบกมือแล้วกล่าวกับทหารองครักษ์ “ไม่เป็นไรไม่จําเป็นต้องกังวลข้าเลี้ยงเสื้อตัวน้อยนั่นเอง” ขณะที่นางพูด นางยกม่านขึ้นแล้วเดินเข้าไปข้างในทหารองครักษ์ได้รับความหวาดกลัวและต้องการหยุดนางเพราะกลัวว่าเฟิงหยูเฮงจะได้รับอันตราย

 

แต่เมื่อเขาตามนางเข้าไป เขาเห็นเพิ่งหยูเฮงอุ้มเสือขาวตัวน้อยราวกับมันเป็นแมว นางลูบหัวของมันสองสามครั้งและเสื้อขาวตัวน้อยก็มีความสุขมากมันวางคางบนแขนของนางไม่ว่าเขาจะมองอย่างไรนี่คือภาพสัตว์เลี้ยงที่ได้รับการดูแลมุมมองโลกของทหารองครักษ์กําลังจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ

 

นี่เป็นสิ่งมีชีวิตที่ดุร้ายจริง ๆ ที่เขาเพิ่งต่อสู้กับมันทําไมมันกลายเป็นแมวเชื่องเมื่อเห็นองค์หญิงจอัน ? ความแตกต่างนั้นมากเกินไปแขนที่ถูกเสี่ยวไป์ตะปบนั้นยังคงเจ็บปวดอยู่สิ่งนี้เตือนให้เขารู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เป็นเรื่องจริงแต่ฉากตรงหน้าเขาก็เป็นเรื่องจริงดูเหมือนว่าเสื้อตัวนี้จะถูกเลี้ยงดูโดยองค์หญิงดังนั้นเขาจึงถอยออกจากกระโจมอย่างเงียบๆ และได้แต่ชื่นชมองค์หญิงเท่านั้น

 

สําหรับเฟิงหยูเฮง เมื่อนางเห็นการออกของทหารองครักษ์นางวางเสียวไปไว้บนโต๊ะทันที่และเริ่มตรวจสอบมันทั้งหมดตั้งแต่หัวจรดเท้าจากหน้าผากถึงกัน นางตรวจดูอย่างละเอียดหลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีอะไรผิดปกติกับเสือขาวตัวน้อยก็ทําให้นางสงบลงเล็กน้อยนางวางเสื้อตัวน้อยลงบนพื้นเพื่อเล่นด้วยตัวเองจากนั้นก็ได้รับเตาพกพาที่หวงซวนถืออยู่

 

ถ่านภายในเครื่องทําความร้อนถูกเทลงโดยเสียวไปในเวลานี้ภายในเตาสะอาดหมดจดและมีเพียงกลิ่นของถ่านเท่านั้นที่สามารถสังเกตเห็นได้อย่างไรก็ตามไม่มีร่องรอยของถ่านอีกต่อไปหวงซวนถามนางว่า“ใครเป็นคนส่งมา ?”

 

เฟิงหยูเฮงส่ายหนาของนาง นางไม่มีผู้ต้องสงสัย อย่างไรก็ตามนางจําได้ว่ารถมาของซวนเทียนเก้อถูกจู่โจมกะทันหัน มันถูกดัดแปลงอย่างชัดเจนโดยบางคนแม้กระนั้นพวกเขาไม่รู้ว่ามันถูกดัดแปลงในปัจจุบันไม่มีอะไรผิดปกติกับมันแต่เพื่อส่งให้นางในทันทีเพิ่งหยุเฮงเข้าใจว่าฝ่ายต่อต้านกําลังสาธิตให้นางฟังรายการที่ส่งมาถึงนางนั้นไม่ได้เป็นภัยคุกคามต่อนางแต่เป็นการบอกให้นางรู้ว่าไม่มีสิ่งใดที่ฝ่ายค้านไม่สามารถทําได้หากพวกเขาต้องการที่จะโจมตีองค์หญิงจอันและจับนางโดยที่นางไม่ทันระวังตัวมันจะไม่ยาก

 

ความรู้สึกแบบนี้ที่มีศัตรูซ่อนอยู่ในเงามืดไม่ดี…

 

ตอนที่ 737 ของขวัญที่ไม่คาดคิด

 

คราวนี้หวงซวนยืนอยู่ที่ทางเข้ากระโจม และถามว่า “เจ้ามาจากครอบครัวไหน ? เจ้ามาส่งอะไรให้คุณหนู ?” ขณะที่นางพูดนางยกม่านขึ้นและอนุญาตให้คนเข้ามาข้างใน

คนที่มาเป็นบ่าวรับใช้ผู้ชายแต่เนื่องจากมีคนจํานวนมากที่มาที่ลานล่าสัตว์ จึงมีกฎที่ราชสํานักกําหนดไม่ว่าจะเป็นบ่าวรับใช้ของพวกเขา พวกเขาจะต้องมีป้ายไม้ที่ห้อยลงมาจากเอวของพวกเขาตัวอักษร “หญ่” เขียน อย่างชัดเจนบนป้ายประจําตัวของบ่าวรับใช้ ซึ่งทําให้หวงซวนมีความวิตกกังวลบางอย่างบ่าวรับใช้ในตระกูลหญ่ทําอะไรในกระโจมของพวกเขาไม่ใช่กรณีที่ตระกูลหญ่ไม่ถูกกับองค์หญิงหอกหรือ ?

 

เมื่อค่านึงถึงคําถามเหล่านี้ เฟิงหยเฮงไม่ได้พูด แต่วังซวนถาม “บ่าวรับใช้ของตระกูลหลู่ ? เจ้ามาที่นี่เพื่ออะไร ?”

 

บ่าวรับใช้คนหนึ่งยื่นมือของเขาออกมาและมีเตาพกพาเล็ก ๆ ปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของเขานอกจากนี้ยังมีผ้าปิดมันการปักก็เหมาะสมและสวยงามมากเขาโค้งคํานับต่อเพิ่งหยูเฮงแล้วตอบว่า “ข้ามาจากตระกูลหลู่ขอรับท่านเสนาบดีฝ่ายซ้ายได้ให้ข้ามอบมันให้กับคุณหนูสามแต่เมื่อคุณหนูสามเห็นมันนางพูดทันทีว่าถ้านางใช้สิ่งที่ดีมันจะเสียเปล่าและนางก็บอกให้ข้าเอามาให้องค์หญิงจีอันขอรับนางกล่าวว่านางหวังว่าองค์หญิงจะช อบและยอมรับความปรารถนาดีของนางขอรับ”

 

“คุณหนูสามตระกูลหญ่หรือ ? หล่หยานฉันหรือ ?” หวงชวนรู้สึกงงงวยและถามว่า “นางคิดอะไรอยู่ ? จะส่งอะไรให้คุณหนูของข้า ? ความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสองเป็นอย่างไร ?”

 

บ่าวรับใช้มีปัญหาและกล่าวว่า “ข้าอยู่ข้างเสนาบดีฝ่ายซ้าย และยังไม่ชัดเจนเกี่ยวกับคุณหนูสามวันนี้มีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นข้ามาเพื่อส่งมอบให้กับคุณหนูสามสําหรับเหตุผลที่นางจะส่งเครื่องทําความร้อนนี้บ่าวรับใช้นี้ไม่รู้และหวังว่าองค์หญิงจะไม่ปฏิเสธได้โปรดยอมรับเตาพกพานี้แม้ว่าองค์หญิงจะไม่ชอบก็สามารถโยนมันทิ้งไปได้แต่ถ้าข้าน้ํามันกลับไปโดยดูจากอารมณ์คุณหนูสามและวิธีการที่เสนาบดีโปรดปรานนางองค์หญิงได้โปรดสงสารข้าด้วยขอรับข้าขอร้ององค์หญิง”

 

บ่าวรับใช้พูดอย่างน่าสงสารมาก หลังจากพูดจบ เขาคุกเข่าบนพื้นพร้อมกับมองว่า ถ้าเจ้าไม่ยอมรับข้าจะไม่ลุกขึ้น”นี่ทาให้ทุกคนรู้สึกหมดหนทาง

 

เฟิงหยูเฮงโบกมือ “ลืมไปเถิด เนื่องจากมีการนํามาแล้ว เราจะยอมรับ ข้าเห็นว่าเตาพกพาดูสวยงามมากและมันก็ดูค่อนข้างดี”

 

เมื่อได้ยินว่าเพิ่งหยูเฮงยอมรับ หวงซวนก็รีบเดินไปข้างหน้าเพื่อรับมา บ่าวรับใช้คนนั้นอยู่ครู่หนึ่งและพูดอีกมากก่อนเดินออกไป วังซวนรอบคอบและยกผ้าขึ้นเพื่อส่งข่าวรับใช้ออกไป บ่าวรับใช้กล่าวอย่างสุภาพ“ขอบคุณมากเจ้าดูแลคุณหนูของเจ้าต่อเถิด” จากนั้นเขาจึงหันหลังกลับจากไป

 

วังซวนยืนอยู่ตรงทางเข้าครู่หนึ่งจนกระทั่งนางเห็นหัวหน้าบ่าวรับใช้ในทิศทางของกระโจมตระกูลหญ่จากนั้นนางหันหลังกลับ และพูดกับทหารองครักษ์ทั้งสองที่ยืนอยู่ข้างนอก “ถ้ามีใครมาอีกก็ถามตะโกนด้วยเสียงดังไม่ว่าพวกเขาจะเป็นใครเจ้าต้องส่งเสียงเพื่อให้เจ้านายข้างในรู้ว่ามีคนมาเจ้าเข้าใจหรือไม่ ?”

 

เนื่องจากทหารองครักษ์ทํางานในพระราชวังของฮ่องเต้ พวกเขามักจะหยิ่งมาก พวกเขาดูถูกผู้มีอํานาจทั่วไปบางคนน้อยกว่าผู้หญิงในค่ายนี้พวกเขามีหน้าที่รับผิดชอบในการเฝ้ายามเท่านั้นเมื่อมาถึงการรายงานหรือของในลักษณะนั้นพวกเขาจะไม่กังวลกับมันแต่กระโจมที่ทั้งสองเฝ้าระวังนั้นแตกต่างกันพวกเขาเข้าใจว่านี้เป็นกระโจมขององค์หญิงแม้ว่าพวกเขาจะหยิ่งมากแต่ก็ไม่สามารถปฏิบัติต่อคนผู้นี้อย่างเลวร้ายยิ่งกว่านั้นการควบคุมของทหารองครักษ์ก็ถูกควบคุมโดยองค์ชายเจ็ด!เมื่อดูความสัมพันธ์ระหว่างองค์ชายเจ็ดและองค์ชายเก้าจะต้องไม่ทําให้องค์หญิงจอันขุ่นเคือง ดังนั้นพวกเขาจึงพยักหน้าอย่างรวดเร็วและปฏิบัติตามวังซวนไม่ปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเลวร้าย

 

เมื่อนางกลับมาภายในกระโจม หวังซวนถือเตาพกพาขณะนั่งอยู่หน้าเฟิงหยูเฮงและตรวจสอบมันในขณะที่มองมันนางพูดว่า“การได้รับของขวัญไม่ใช่สัญญาณที่ดี คุณหนู ท่านคิดว่าคุณหนูตระกูลหญ่กําลังคิดอะไรอยู่ ? นางส่งสิ่งนี้มาทําไม ?”

เพิ่งหยูเฮงส่ายหน้า “ข้าจะรู้ได้อย่างไร คนปกติจะไม่สามารถเข้าใจได้”

 

วังซวนก้าวไปข้างหน้าและรับเครื่องทําความร้อนจากหวงซวน นางยกฝาขึ้นและมองอย่างระมัดระวังจากนั้นนางส่ายหัวด้วยความสับสน“ข้าไม่เห็นอะไรเป็นพิเศษเกี่ยวกับเรื่องนี้”

 

หวงซวนกล่าวอีกว่า “ใช่เจ้าค่ะ ข้าจะตรวจดูอีกที ไม่มีอะไรพิเศษเกี่ยวกับเรื่องนี้แต่สําหรับคนแบบนั้นที่จะส่งบางสิ่งบางอย่างมาแม้ว่าเราจะไม่พบในทันทีเราก็ไม่สามารถไว้ใจได้เตาพกพาต้องใช้ถ่านเพื่ออุ่นเตาบางที่สิ่งต่าง ๆ จะแตกต่างกันเมื่อเติมถ่านเราลองดูกันเจ้าค่ะ”

 

สิ่งที่หวงซวนพูดนั้นถูกต้อง พวกนางเอาถ่านชิ้นเล็ก ๆ ออกจากเตาอั้งโล่ทันทีและวางไว้ในเตาพกพาหลังจากนั้นไม่นานเตาพกพาก็เริ่มทํางาน เฟิงหยูเฮงกล่าว “มันจะดีที่สุดถ้าไม่มีพิษหรือสิ่งใดเกิดขึ้นเมื่อถ่านไหม้วังซวนจับตาดูคุณหนูสามตระกูลหญ่ แล้วเจ้าสองคนนั่งตรงทางเข้าได้หรือไม่ ? หากมีสิ่งใดเกิดขึ้นกับเตาพกพานี้จะไม่มีใครสังเกตได้ ถ้าข้าน้ํามันออกไปข้างนอกเพื่อทดสอบด้านนอกมีลมแรงมันจะไม่ได้ผล ต้องดําเนินการภายในกระโจม

 

เฟิงหยูเฮงยิ้มอย่างขมขึ้น “ไม่เป็นไร เจ้าสามารถทดสอบได้แม้ว่ามันจะมีอะไรมันจะไม่ฆ่าใครทันทีมีโอกาสหนี้ได้”

 

วังซวนเห็นว่านางผ่อนคลาย ดังนั้นนางจึงถามว่า “คุณหนูหมายความว่าไม่มีปัญหากับเตาพกพานี้หรือเจ้าคะ”

 

นางหัวเราะ “มีปัญหาอะไรจะเกิดขึ้น? ถ้าหลี่หยานมาทําร้ายข้าอย่างเปิดเผยนั่นจะเป็นปัญหากับสมองของนางแต่ควรทําการทดสอบใดๆ ถ้าไม่ได้ส่งโดยหลู่หยานล่ะ ? บ่าวรับใช้คนนั้นพูดเพียงว่าเขามาจากตระกูลหลู่นอกจากนี้เขายังมีเอกสารแสดงตัวจากตระกูลหลู่และเราคิดว่าเขาเป็นแต่ใครจะรู้ว่าอาจจะถูกขโมยมาหรือไม่ไปข้างหน้า และทดสอบเราต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่ามันใช้ได้ดี”

 

หวงซวนอุ่นเตาพกพาเป็นระยะเวลานานจนถ่านกลายเป็นขี้เถ้ แต่ไม่เห็นอะไรเลย จากนั้นนางก็ไม่มีทางเลือกนอกจากยอมรับคําอธิบายแรกของเฟิงหยูเฮง“ดูเหมือนว่าหลู่หยานไม่ใช่คนโง่และไม่ได้ทําอะไรเลยเจ้าค่ะ”

 

อย่างไรก็ตามวังซวนกลายเป็นคนที่ระมัดระวังมากขึ้นและยังไม่อนุญาตให้เฟิงหยูเฮงอยู่ใกล้เตาพกพา“พวกเราจะทดลองต่อไปเราจะทําตามที่บอกไว้ในตอนแรก และปล่อยให้มันดูสวยไม่จําเป็นต้องไว้หน้านางและถือมันทุกวันสิ่งนี้ดูดีแต่ถ้าคุณหนูชอบ มันดูเหมือนจะไม่พบอันที่ดีนี้สิ่งนี้จะต้องไม่ถูกใช้อย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”

 

เพิ่งหยุเฮงเห็นด้วยกับสิ่งที่นางพูด ดังนั้นนางจึงไม่สืบเรื่องนี้ต่อไปนางดูวังชวนวางเตาพกพาบนเก้าอี้และเสี่ยวไปที่เดินไปรอบ ๆ บนพื้นดึงเตาพกพาลงไปที่พื้นด้วยการปัดสองสามครั้งและเริ่มหมุนไปรอบ ๆ ขณะอมัน

 

ทุกคนเห็นว่ามันสามารถใช้เป็นของเล่นโดยเสี่ยวใบได้ดังนั้นพวกนางจึงรู้สึกว่ามันคุ้มค่ามาก

 

คืนนั้นทุกคนนอนหลับอย่างสงบสุข ด้านนอกกระโจมมีทหารองครักษ์เท่านั้นที่เฝ้ายามเพื่อความปลอดภัยของค่ายสําหรับข่าวลือจากบรรดาฮูหยินและคุณหนูได้ยินเสียงสัตว์ป่าในตอนกลางคืนเฟิงหยูเฮงให้ความสนใจอย่างใกล้ชิดแต่ไม่ได้ยินอะไรเลยเรื่องนี้ทําให้หวงซวนและวังชวนหัวเราะเยาะนางซักพัก

 

ในช่วงเวลาที่ไม่ได้ทําอะไร เฟิงหยูเฮงคุ้นเคยกับการตื่นแต่เช้าเพื่อฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ พื้นที่ล่าสัตว์นี้อยู่ในภูเขาและอากาศดีมากนางไม่ต้องการที่จะพลาดโอกาสนี้ดังนั้นเมื่อท้องฟ้าสว่างขึ้นนางจึงรีบเรียกบ่าวรับใช้ของนางลุกขึ้นและล้างหน้าจากนั้นนางก็เปลี่ยนเป็นชุดฝึกซ้อมตามปกติของนางแล้วยกผ้ากระโจมออกไป

 

ทหารองครักษ์เห็นว่านางกําลังออกไปข้างนอก ดังนั้นพวกเขาจึงถามว่านางต้องการให้พวกเขาตามไปป้องกันหรือไม่ ?อย่างไรก็ตามพวกเขาถูกทิ้งไว้ที่กระโจมวังซวนบอกพวกเขา “ดูแลกระโจมไม่มีใครได้รับอนุญาตให้เข้าไป”หลังจากออกคําสั่งทั้งสามก็เริ่มวิ่งเยาะ ๆ เบา ๆ เพื่อทําให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นไม่ช้าพวกนางเริ่มมุ่งหน้าไปยังเขตชานเมืองของพื้นที่ล่าสัตว์

 

พื้นที่ล่าสัตว์แห่งนี้ล้อมรอบด้วยภูเขาทั้งสามด้าน มีทางเข้าเพียงทางเดียวก็ถูกเฝ้าดูโดยทหารและทหารจํานวนมากเพื่อรับรองความปลอดภัยของฮ่องเต้ เฟิงหยูเฮงวิ่งไปที่เส้นทางเล็ก ๆ ที่นําไปสู่ยอดเขาเมื่อสัญญาณการอยู่อาศัยของมนุษย์เริ่มจางลงอากาศก็เริ่มดีขึ้น นอกจากนี้สภาพอากาศก็ค่อนข้างดีเช่นกันเมื่อมีแสงแดดส่องมามันเป็นภาพที่น่าพอใจนางตัดสินใจดึงแส้ออกมาและเริ่มฝึกด้วยนางต่อสู้กับหวงซวน และวังซวนเป็นครั้งคราวแม้กระนั้นมันก็ไม่สนุกเหมือนการต่อสู้กับซวนเทียนหมิง หลังจากผ่านไปสองสามรอบนางก็หมดความสนใจและหยุดเช็ดเหงื่อนางมองไปทางป่าอย่างไร้จุดหมายสักพักก่อนที่จะงอมุมปากริมฝีปากของนางออกมาอย่างกะทันหัน และร้องออกมาว่า “ออกมา ! วิ่งกับองค์หญิงมานานแล้วเจ้าคิดว่าจะซ่อนตัวจากใคร ?”

 

ในเรื่องที่เกี่ยวกับค่าพูดเหล่านี้ หวงซวนและวังซวนไม่อยากรู้อยากเห็นเลยแม้แต่น้อยเป็นที่ชัดเจนว่าบ่าวรับใช้สองคนสังเกตเห็นว่ามีใครบางคนกําลังตามหลังพวกนางและซ่อนตัวอยู่ในป่าเป็นเพียงว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีความเสี่ยงต่อเฟิงหยูเฮงอย่างแท้จริง ดังนั้นพวกนางจึงไม่ส่งเสียง ตอนนี้เฟิงหยูเฮงพูดเรื่องนี้แล้วบ่าวรับใช้สองคนก็เริ่มหัวเราะตามที่หวงซวนกล่าวว่า“บางคนคิดว่าพวกเขาฉลาดมากและไม่คิดว่าพวกเขามีถิ่นหรือไม่”

 

หลังจากพูดอย่างนี้แล้วทั้งสามมองไปที่ป่า มันเป็นต้นไม้ที่หนามากและราวกับว่าทั้งสามสามารถมองผ่านมันได้พวกนางมั่นใจมากว่าอีกคนหนึ่งซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้ต้นนั้น

 

คนที่อยู่ข้างหลังต้นไม้ก็ออกมาโดยไม่ต้องสงสัย มันไม่ใช่ใครอื่นนอกจากคุณหนูสามตระกูลหญ่หลู่หยาน

 

นางส่งเตาพกพามาเมื่อวันก่อน และตอนนี้นางกําลังติดตามพวกนาง หวงซวนมองหลู่หยานและไม่สามารถใส่ใจกับนางได้นางแค่กลอกตานางไม่ต้องการที่จะให้ความสนใจกับคนโง่และไม่เหมือนใคร

 

มันคือหญ่หยานที่พูดก่อน นางกล่าวกับเฟิงหยูเฮงด้วยรอยยิ้ม “องค์หญิงมีความสามารถในการได้ยินมันเป็นความผิดของหมู่หยานที่พยายามจะอวดต่อหน้าเจ้านาย ศิลปะการต่อสู้ขององค์หญิงนั้นยอดเยี่ยมมากท่านรู้ได้อย่างไรว่ามีคนติดตามอยู่ข้างหลัง” ขณะที่นางพูดนางก้าวไปข้างหน้าและทักทายนางอย่างจริงจังมากก่อนกล่าวว่า “องค์หญิงโปรดอย่าเข้าใจผิดถึงแม้ว่าหมู่หยานจะตามท่านมาที่นี่แต่ข้าไม่ได้มีความตั้งใจอะไรข้าแค่อยากมีโอกาสพูดคุยกับองค์หญิงดังนั้นข้าจึงตามมาเจ้าค่ะ”

 

“โอ้ ?” เพิ่งหยูเฮงยิ้ม และกล่าวว่า “จริง ๆ คุณหนูตระกูลหญ่มีโอกาสที่ดี ข้าแต่งตัวในยามรุ่งสางและออกจา กกระโจมของข้า ประจวบกับคุณหนูตระกูลหลู่ก็แต่งตัวและออกจากกระโจมพร้อมกัน หากเจ้าไม่ได้พบข้า คุณ หนูตระกูลหญ่ตั้งใจจะไปไหนหรือ”

 

หมู่หยานได้เตรียมคําพูดไว้ล่วงหน้าอย่างชัดเจน และกล่าวด้วยรอยยิ้มทันที “ท่านพ่อมักจะบอกว่าอากาศในภูเขานั้นดีมากโดยเฉพาะในตอนเช้า ถ้าข้าตื่นแต่เช้าเพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์สักหน่อย ข้าจะรู้สึกตื่นตัวอย่า งมากในระหว่างวัน นั่นเป็นเหตุผลที่ข้าตื่นแต่เช้าเป็นการสูดอากาศบริสุทธิ์ของภูเขา”

 

“ใช่” เพิ่งหยูเฮงตอบเบา ๆ แล้วมองไปที่หมู่หยาน แต่นางไม่ได้พูดอะไรอีก

 

หญ่หยานรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย และกระแอมเบาๆ ในที่สุดนางก็ยกเหตุผลที่นางมา “องค์หญิงเหตุผลหลักที่หลู่หยานติดตามท่านในวันนี้คือ… เพื่อหารือเกี่ยวกับข้อตกลงกับท่าน”

 

ตอนที่ 736 ใครทํา ?

 

อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันทําให้ทุกคนถูกเหวี่ยงไปมาในรถม้า แต่โชคดีที่เฟิงหยูเฮง หวงซวน และวัง ซวนมีความสามารถในด้านศิลปะการต่อสู้ แม้แต่ซวนเทียนเก้อก็ไม่ใช่ผู้หญิงที่อ่อนแอตามปกติ แม้ว่านางจะตกใจในตอนแรก แต่นางก็สามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว ทุกคนมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะเฟิงหยูเฮง เมื่อนางสังเกตเห็นว่ารถมาคันนี้กําลังจะพลิกคว่ำ นางได้จับซวนเทียนเก้อเอาไว้ วังซวนก็ ปกป้องพวกนางจากด้านข้าง จากนั้นหวงซวนก็จับบ่าวรับใช้ของซวนเทียนเก้อ และทุกคนก็รีบออกจากรถมาทันทีที่รถม้าพลิกคว่ำ มันเป็นเพียงพื้นดินด้านนอกลื่นมากและบ่าวรับใช้ก็ลื่น แต่ไม่ประสบเหตุการณ์สําคัญใด ๆ

 

เร็วมาก ผู้คนเริ่มรวมตัวกัน ทหารองครักษ์กลัวพวกเขาก้าวไป 1 ก้าวแล้วย้ายเข้าสู่การต่อสู้ทันที แม้แต่ฮ่องเต้เองก็ออกจากรถม้าเพื่อมอง ในบรรดา 5 คน มีเพียงบ่าวรับใช้เท่านั้นที่ได้รับความตกใจ คนอื่น ๆ ทําได้ค่อนข้างดี ซวนเทียนเก้อตาขวางด้วยความโกรธ “เกิดอะไรขึ้น ? ใครเลือกรถมาคันนี้ คนขับรถม้าอย่างไร เกิดอะไรขึ้น ? เจ้าหวังที่จะทําให้องค์หญิงผู้นี้บาดเจ็บใช่หรือไม่ !”

 

ฮ่องเต้ได้ยินเช่นนี้และรู้สึกทุกข์ใจเป็นอย่างยิ่ง เขาก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วเพื่อปลอบนาง ซวนเทียนเก้อเป็นคนที่มีความเชี่ยวชาญด้านมนุษยสัมพันธ์ในขณะที่นางถูกฮ่องเต้ตามใจจนนิสัยเสีย ถึงจุดที่แม้แต่บิดามารดาของนางก็ทนไม่ไหวที่จะมอง แต่ฮ่องเต้ก็มีความสามารถอย่างมากที่อดทนต่อการกระทําของซวนเทียนเก้อ เขาใส่ใจบุตรสาวคนเดียวของตระกูลซวนอย่างสุดซึ้ง การตกจากรถม้าไม่ใช่เรื่องเล็ก ในขณะที่ปกป้องนาง เขารีบสั่งให้สอบสวน ! สิ่งนี้จะต้องได้รับการสอบสวน !

 

แต่หลังจากการสอบสวนทุกอย่างแล้ว ไม่มีอะไรมากไปกว่าอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิด ล้อของรถม้าราชสํานักหัก ไม่มีการลอบฆ่า ซึ่งทําให้ผู้คนรู้สึกสบายใจ ฮองเฮาให้คนจัดรถมาคันใหม่ให้อย่างรวดเร็ว ในเวลาเดียวกัน นางดึงฮ่องเต้กลับไปที่รถม้าราชสํานัก คนอื่น ๆ ก็ค่อย ๆ กลับไปที่รถของพวกเขา นอกจากนี้ยังมีกลุ่มเด็ก ๆ ที่ ต้องการดูความตื่นเต้นที่ยังคงอยู่

 

ในขณะนี้เฟิงหยูเฮงกําลังก้มตัวลงไปใกล้กับรถม้าราชสํานักที่พลิกคว่า นางมองดูล้อที่หัก จริง ๆ แล้วล้อที่ทําด้วยไม้นั้นมีความแข็งแกร่งโดยเฉพาะอย่างยิ่งบนรถม้าสําหรับองค์หญิงหรือราชวงศ์ รถม้าราชสํานักถูกสร้างขึ้นโดยช่างฝีมือที่ดีที่สุดและผ่านการทดสอบทุกรูปแบบเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีปัญหา แม้ว่าซวนเทียนเก้อจะใช้มันมานาน พระราชวังจะมีคนดูแลรักษามันโดยเฉพาะก่อนที่จะออกเดินทาง พวกเขาจะต้องตรวจสอบทุกอย่างให้อยู่ในสภาพดีก่อนให้ซวนเทียนเก้อเข้าไปนั่ง แต่เมื่อรถม้าแล่นมาครึ่งทาง ล้อเกิดหักขึ้นมา สถานการณ์แบบนี้ค่อนข้างคาดไม่ถึงจริง ๆ

 

เฟิงหยูเฮงมองไปพักหนึ่งจากนั้น ในที่สุดก็หันมามองข้อต่อและขมวดคิ้ว รอยหักไม่ได้เกิดจากอุบัติเหตุหรือจากการใช้งานมานาน เฟิงหยูเฮงสามารถยืนยันได้ว่ามันดูเหมือนว่าจะโค้งงอเพื่อรอให้เกิดอุบัติเหตุ

 

แต่คนที่ทํามันควรเข้าใจว่าอุบัติเหตุเล็กน้อยเหล่านี้ไม่สามารถทําร้ายซวนเทียนเก้อได้ มันไม่น่าเป็นไปได้มากขึ้นว่ามันจะเป็นอันตรายต่อเฟิงหยูเฮงซึ่งมีแนวโน้มว่าจะนั่งไปกับนาง ดังนั้นเหตุการณ์เล็กน้อยนี้ไม่มีอะไรมากไปกว่าการเตือนหรือเป็นการประกาศสงครามด้วยการแสดงพลังเล็ก ๆ เพื่อให้พวกนางรู้ว่าไม่ใช่แค่คนอื่น ๆ ที่สามารถประสบความสูญเสียในโลกนี้ ฝ่ายต่อต้านก็สามารถทําอะไรบางอย่างได้โดยที่ไม่มีใครรู้ แม้ว่าการกระทําเหล่านี้มีขนาดเล็กอย่างไม่น่าเชื่อ แต่ก็เป็นไปได้มากที่มันจะเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่

 

“อาเฮง” ซวนเทียนเก้อเห็นว่ามีบางอย่างเกี่ยวกับท่าทางของนาง และเดินไปข้างหน้าเพื่อถามว่า “มีอะไรผิดปกติหรือ ?”

 

เฟิงหยูเฮงไม่ต้องการพูดถึงเรื่องนี้มากขึ้นในสถานที่นี้ นางส่ายหน้าและบอกว่า “วงล้อช่ารุด ทุกอย่างปกติดี ให้บ่าวรับใช้จัดการ ไปที่รถม้ากันเถิด” นางยืนขึ้นแล้วดึงซวนเทียนเก้อจากนั้นบีบมือของนาง สิ่งนี้ทําให้ซวนเทียนเก้อรู้ว่าจะไม่ถามต่อ ในเวลาเดียวกันนางมองไปรอบ ๆ ในบรรดาผู้คนที่เฝ้าดูความตื่นเต้นนางพบเฟิงเซียงหรู เฟิงเฟินได หลู่หยานและพระสนมหยวนชู การจ้องมองของเฟิงหยูเฮงอยู่ที่พระสนมหยวนชชั่วครู่หนึ่ง แล้วนางก็หันกลับมามองซวนเทียนเก้อ ทั้งสองมองหน้ากัน และนางขดมุมปากของนางเล็กน้อยเป็นรอยยิ้มจาง ๆ จากนั้นก็เดินไปกับบ่าวรับใช้กลับไปที่รถม้าของนาง

 

รถคันใหม่เป็นรถม้าของคนอื่น ดูเหมือนว่าเป็นของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของราชสํานัก แม้ว่ามันจะไม่ใหญ่เท่ากับคันก่อน แต่ก็ยังคงสะดวกสบายในการนั่ง เมื่อพวกนางเข้าไปและออกเดินทางอีกครั้งหนึ่ง ซวนเทียนเก้อถามอีกครั้งว่า “มีปัญหาใช่หรือไม่ ?”

 

เฟิงหยูเฮงพยักหน้า “ดูเหมือนว่ามีคนจงใจทําให้มันดูเหมือนอุบัติเหตุ หลังจากเจ้ากลับไปที่พระราชวัง… หรือเมื่อเราไปถึงให้ส่งคนกลับมาเพื่อจับตาดูคนที่ดูแลรถม้าในพระราชวังเหวินซวนทันที แม้ว่าจะมีหลักฐานไม่ มากนัก แต่สําหรับเหตุการณ์นั้นกับรถม้าราชสํานัก เขาไม่สามารถหลีกเลี่ยงการมีส่วนร่วมได้”

 

ซวนเทียนเก้อพยักหน้า สีหน้าของนางกลายเป็นเคร่งขรึม

 

ในรถม้าราชสํานักคันอื่น พระสนมหยวนชูกําลังขมวดคิ้วขณะมองดูบ่าวรับใช้ในพระราชวังของนางหยู่ซู “เจ้าสังเกตเห็นตอนที่องค์หญิงจอันมองมาที่ข้าหรือไม่ ? นางยังยิ้ม ยิ้มแบบนั้นคืออะไร ? มันดูมืดมนและเต็มไปด้วยเจตนาร้าย”

 

หยู่ซู่ยังงงงวยและได้แต่ปลอบใจนางเท่านั้น “พระสนาม อย่าสนใจ องค์หญิงจอันเป็นคนที่เข้าใจยาก บางทีนั่นอาจเป็นเพียงการแสดงออกตามปกติของนาง และไม่มีอะไรพิเศษเกี่ยวกับเรื่องนี้”

 

“การแสดงออกปกติหรือ ?” พระสนมหยวนชูยิ้มอย่างขมขึ้น “ข้าไม่คิดอย่างนั้น ใครไม่สามารถเดาได้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ องค์หญิงจอันคงหนีไม่พ้นเรื่องที่รถม้าราชสํานักพลิกคว่าจะถูกวางลงบนหัวของข้า แต่ท้ายที่สุด สิ่งนี้ได้กระทําโดยใครสักคน ดังนั้นข้าจึงไม่กลัวนาง” ในขณะที่นางพูด นางคิดเล็กน้อยและกล่าวเพิ่ม “หยู่ซู่ เดาสิ ใครเป็นคนทํารถมาคันนั้น ?”

 

หยู่ซู่สะดุ้งตกใจ “พระสนมคิดว่ารถม้าพลิกคว่านั้นไม่ใช่อุบัติเหตุงั้นหรือเจ้าคะ ?”

 

พระสนมหยวนชูหัวเราะ “มันจะเป็นอุบัติเหตุได้อย่างไร ? ถ้ามันเป็นอุบัติเหตุทําไมไม่มีใครประสบอุบัติเหตุล่ะ ? ทําไมถึงเป็นรถม้าของพวกนางที่พลิกคว่ำ ? นั้นคือองค์หญิงหรูหยางซึ่งเป็นองค์หญิงของราชวงศ์ต้าชุน เราทุกคนรู้อย่างชัดเจนว่ารถมาของนางดีกว่าของเรามากแค่ไหน หากรถม้าประเภทนี้สูญเสียล้อ รถม้าของเราจะไม่แยกออกจากกันหรือ เมื่อคิดถึงตอนนี้ใครก็ตามที่กล้าที่จะลงมือกับองค์หญิงหรูหยางก็กล้าหาญจริง ๆ” ขณะที่นางพูดท่าทางของนางค่อย ๆ ทรุดตัว “โมเอ่อไม่ได้ส่งจดหมายกลับมา ทําไมข้าถึงรู้สึกอึดอัด ?”

 

หยู่ซู่ปลอบใจนางว่า “ระยะทางนั้นไกลมากเจ้าค่ะ อย่างน้อยที่สุดก็ใช้เวลาอีกหนึ่งเดือน”

 

“ข้าคิดว่าจะเป็นแบบนั้น” พระสนมหยวนชูถอนหายใจนาน “หวังว่าจดหมายฉบับนี้จะไม่ผิดพลาด และโมเอ๋อได้รับเรียบร้อยแล้ว ใช่แล้ว เจ้าส่งคนไปรับเสี่ยวหยาแบบลับ ๆ พวกเขาไปหรือยัง ?”

 

หยู่ซู่พยักหน้า “พระสนมไม่ต้องกังวลเจ้าค่ะ รถม้าของเสียวหยากําลังตามมาจากด้านหลัง มีองครักษ์เงา จากพระราชวังเพื่อปกป้องนางจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นเจ้าค่ะ”

 

“ดีมาก” พระสนมหยวนชูพิงรถม้า และหลับตา “นวดขาให้ข้าที”

 

กลุ่มผู้ยิ่งใหญ่ยังคงมุ่งหน้าไปยังพื้นที่ล่าสัตว์ในภาคตะวันออก หลังจากนั้นไม่นานผู้คนในรถม้าก็ง่วงนอน จากการนั่งรถเป็นหลุมเป็นบ่อ อย่างไรก็ตามซวนเทียนเก้อยังคงตื่นตัวอยู่มากขณะที่นางซุบซิบเฟิงหยูเฮง นางพูดถึงพระสนมของฮ่องเต้และผู้สูงศักดิ์คนอื่น ๆ โดยรวมเฟิงหยูเฮงได้ยินเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ ที่ผู้หญิงทําเพื่อต่อสู้ เพื่อความโปรดปราน เฟิงหยูเฮงก็สนใจที่จะได้ยินเช่นกัน ความรู้สึกนั้นสนุกสนานมากกว่าการดูละครประวัติศาสตร์ในชีวิตก่อนหน้านี้ของนาง

 

แต่จากมุมมองของมนุษย์ที่มากขึ้น นางเห็นอกเห็นใจพระสนมของฮ่องเต้ ในท้ายที่สุดผู้หญิงของฮ่องเต้ไม่มีอิสระอย่างแท้จริงหลังจากเข้าไปในพระราชวัง แม้ว่าพวกนางจะเป็นอิสระ แต่พวกนางก็มีจินตนาการของตัวเอง มันเป็นยุคที่สร้างสถานการณ์นี้ พวกนางยังเป็นผลผลิตจากสภาพแวดล้อมของพวกนาง และเป็นตัวเลขที่น่าเศร้า

 

นางยกม่านอีกครั้งและกําจัดกลิ่นถ่านเล็กน้อย นางเริ่มมีชีวิตชีวาขึ้นอีกเล็กน้อย จากนั้นนางก็เริ่มนั่งรถกลุ่มที่ด้านหลัง ขณะที่กล่าวกับซวนเทียนเก้อ “เมื่อเผาถ่าน ไม่สามารถปิดหน้าต่างได้ตลอดเวลา บางครั้งต้องใช้อากาศข้างนอกเล็กน้อย ไม่อย่างนั้นเราจะหายใจไม่ออก” ขณะที่นางพูด นางเห็นว่ามีรถม้าที่เปิดม่านจากด้านใน หญิงสาวมองออกไป และเมื่อพบนางหญิงสาวตกใจแล้วพยักหน้าให้นางก่อนที่จะปล่อยม่าน

 

ในเวลานี้ซวนเทียนเก้อมองออกไป นางเห็นหมู่หยานในทันที แล้วนางก็พยักหน้าให้เฟิงหยูเฮง ดังนั้นนางจึงเริ่มการสนทนาใหม่ “ตระกูลหลู่นั้นแย่กว่าในอดีตมาก ธุรกิจของพวกเขาถูกระงับจนถึงจุดที่ไม่สามารถกลับมาอีกได้ และพวกเขาสูญเสียเงินจํานวนมาก หลู่ซ่งไม่ได้มีอํานาจเช่นเดียวกับที่เขาเคยทํามาก่อน อาเฮง” นางจับ มือของเฟิงหยูเฮงแล้วกล่าวว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นห่วงว่าญาติของเจ้าจะถูกพัวพัน แต่เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าชะตากร รมจะถูกกําหนดตั้งแต่เกิด ? การเกิดของเจ้ามาพร้อมกับโชคชะตา และในเวลาเดียวกันชะตากรรมของพวกเขาถูกกําหนดตั้งแต่แรกเกิด นี่ไม่ใช่ความผิดของเจ้า แม้ว่าจะไม่มีเจ้า พวกเขาก็ต้องเผชิญกับปัญหาเช่นนี้ นี่คือสิ่งที่ ชีวิตควรเป็น”

 

เฟิงหยูเฮงพยักหน้า “ข้าเข้าใจตรรกะนั้น แต่ข้าก็ยังอยากลอง ข้าจะทําทุกอย่างที่เป็นไปได้เพื่อให้แน่ใจว่าญาติของข้าจะไม่ได้รับอันตรายมาก อย่างน้อยที่สุดข้าก็หวังว่าพวกเขาจะไม่ได้รับบาดเจ็บ สําหรับสิ่งที่เจ้าพูด พวกเขามีชะตากรรมของตัวเองดังนั้นข้าจะให้พวกเขาอดทนต่อชะตากรรมของพวกเขาเอง ชะตากรรมของข้าเป็นพิเศษ และมันไม่ควรจะพัวพันไปถึงพวกเขา”

 

ซวนเทียนเก้อไม่สามารถเข้าใจคําศัพท์เหล่านี้ได้ ดังนั้นนางจึงหยุดถาม และหลับตา

 

การเดินทางครั้งนี้ใช้เวลากว่า 3 ชั่วยาม และพวกเขามาถึงพื้นที่ล่าสัตว์เมื่อท้องฟ้ามืดเท่านั้น

 

พื้นที่ล่าสัตว์ได้รับการคุ้มครองและดูแลตลอดทั้งปี พวกเขาตั้งกระโจมแล้วตามรายการชื่อที่ส่งมาจากพระราชวังในตอนต้น เฟิงหยูเฮงและซวนเทียนเก้อมีฐานะอันสูงส่งและพวกเขามีกระโจมของตัวเอง สําหรับพระสนมของฮ่องเต้และองค์ชาย พวกเขาก็มีกระโจมของตัวเองเช่นกัน สําหรับเจ้าหน้าที่แต่ละครอบครัวมีกระโจมของตัวเอง คนที่พาบุตรสาวไปจะมีห้องเล็ก ๆ อยู่ข้างใน ในขณะที่ทั้งคู่จะอยู่ในห้องด้านนอก

 

วังชวนและหวงซวนนําสิ่งต่าง ๆ เข้ามาในกระโจมอย่างราบรื่น อย่างไรก็ตามเฟิงหยูเฮงนั้นไม่ค่อยใส่ใจในขณะนั่งอยู่ข้างใน วังซวนสนใจและเดินไปถามนางอย่างเงียบ ๆ “คุณหนูคิดอะไรอยู่หรือเจ้าคะ ? คุณหนูกําลังคิดเรื่องรถม้าที่พลิกคว่าใช่หรือไม่เจ้าคะ ?”

 

เฟิงหยูเฮงส่ายหัวของนาง “ไม่ใช่อย่างนั้นจริง ๆ วังซวน ข้าจะถามเจ้า เจ้ามีความเข้าใจเกี่ยวกับครอบครัวของฮองเฮามากแค่ไหน?”

 

“ครอบครัวของฮองเฮา ?” วังซวนไม่คิดว่านางจะถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ นางตกตะลึงในตอนแรก แต่ทันที่กล่าวว่า “ฮองเฮาเก่งมากในฐานะบุคคล เพื่อหลีกเลี่ยงอันตราย นางไม่ได้พูดถึงครอบครัวของนาง ในขณะนี้พวกเขาใช้ชีวิตตามปกติ ไม่กี่ปีที่ผ่านมา พวกเขาถูกปลดออกจากมณฑลและไม่อยู่ในเมืองหลวงอีกต่อไป นอกจากนี้ ฮองเฮาเองก็ไม่มีบุตร องค์ชายได้เจริญเติบโตขึ้นแล้วและไม่ได้เลี้ยงดูนางเพียงคนเดียว นั้นเป็นเหตุผลว่าทํา ไมครอบครัวของนางจึงไม่มีความพยายามมากนัก ทําไมคุณหนูถึงอยากถามเรื่องนี้ ? มีบางอย่างกับฮองเฮา…”

 

“ไม่มีอะไร” เฟิงหยูเฮงจับมือนาง นางไม่ต้องการที่จะคิดอย่างจริงจังเกี่ยวกับสิ่งที่นางไม่แน่ใจเกี่ยวกับ “ข้าแค่อยากจะถามเพราะข้าไม่ค่อยได้ยินคนพูดถึงมัน ข้าก็แค่อยากรู้”

 

เช่นเดียวกับที่นางพูด ใครบางคนจากภายนอกมารายงาน “ข้าขอถามได้หรือไม่ว่าองค์หญิงจอันอยู่ข้างใน หรือไม่ ข้ามาส่งของบางอย่างให้องค์หญิง !”

 

ตอนที่ 735 ตรวจสอบซึ่งกันและกัน

 

คนผู้นั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกจากพี่น้องเฉิงที่แต่งงานเข้าตระกูลเฟิง เฉิงจุนม่าน และเฉิงจุนเหม่ย

 

เมื่อพูดถึงพวกนาง เฟิงหยูเฮงไม่ได้พบพวกนางนานแล้ว นางเพิ่งได้ยินจากคนจากตระกูลเฟิงบอกว่าพี่น้องเฉิงเข้ามาในพระราชวังอย่างเร่งด่วน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ขอเหตุผล ในท้ายที่สุดพี่น้องเฉิงก็แต่งงานเข้าตระกูลเฟิงเพื่อคานอํานาจของคังอี้ สําหรับภารกิจอื่นที่พวกนางได้รับจากฮองเฮา มีเพียง 2 คนเท่านั้นที่รู้ ตอนนี้ เฟิงจินหยวนตกอับและตระกูลเฟิงอยู่ในสถานการณ์ปัจจุบัน พี่น้องเฉิงไม่ต้องการอยู่ก็เข้าใจได้เช่นกัน มันเป็นเพียงแค่ว่าพวกนางยังคงถือกรรมสิทธิ์ ในท้ายที่สุดพวกนางยังคงต้องการคําอธิบาย

 

นางมาถึงตรงหน้าทั้งสอง และพี่น้องเฉิงก็เผชิญหน้ากับนางโดยตรง พี่น้องเฉิงได้ยินเรื่องที่เฟิงหยูเฮงตัดขาดความสัมพันธ์กับตระกูลเหยาและตระกูลเฟิง แม้ว่าพวกนางจะถามคําถามนี้ เนื่องจากเฟิงหยูเฮงต้องการให้ผู้คนเชื่อพวกนางไม่สามารถถามคําถามนั้นได้ แต่พวกนางยังคงต้องพูดคุยกับเฟิงหยูเฮง ดังนั้นจนม่านจึงคิดอย่างรวดเร็ว และมองไปที่สายตาที่มองมาด้วยท่าทางที่เป็นธรรมชาติและทรงตัว นางกล่าวกับเฟิงหยูเฮง “คารวะองค์หญิงเจ้าค่ะ”

 

เฟิงหยูเฮงยิ้มแล้วกล่าวว่า “ไม่จําเป็นต้องสุภาพ เนื่องจากเจ้าเป็นหลานสาวของฮองเฮา”

 

จากนั้นจุนม่านกล่าวว่า “เราควรจะได้ไปพบองค์หญิง แต่องค์หญิงก็รู้ดีว่าเราเข้ามาในพระราชวังด้วยข้ออ้างที่จําเป็นต้องดูแลฮองเฮา มันเป็นเวลานานแล้วที่เราไม่ได้กลับบ้านของตระกูลเฟิง ในช่วงเวลาที่องค์หญิงเพิ่งกลับมาเมืองหลวง เราต้องการพบ แต่เรารู้สึกละอายมาก เรากลัวว่าองค์หญิงจะถามเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือเร่งให้พวกเรากลับไป”

 

เฟิงหยูเฮงได้ยินเรื่องนี้และรู้ว่าพี่น้องเฉิงเก่งจริง ๆ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นพวกนางทํางานร่วมกับความตั้งใจ และการกระทําของนางทําให้ทุกคนมีเหตุผลที่จะเข้าใกล้ สิ่งที่ตามมาจะง่ายกว่าที่จะพูด นางยิ้มและกล่าวว่า “ข้าไม่เคยคิดที่จะรีบให้พวกเจ้ากลับไป เจ้าก็รู้สถานการณ์ของข้ากับตระกูลเฟิง โดยเฉพาะกับเฟิงจินหยวน เขาไม่สามารถเป็นบิดาที่เหมาะสมได้ ดังนั้นข้าจึงไม่มีเหตุผลที่จะเป็นบุตรสาวที่ดี ไม่ว่าเจ้าสองคนจะกลับไปหรือไม่ ข้าก็ไม่สามารถทําอะไรได้ ข้ายังคิดว่าคงจะดีถ้าเจ้าสองคนไม่กลับไป ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ปัจจุบันของตระกูลเฟิง เจ้าสองคนจะลดสถานะของเจ้าลงและเผชิญกับความยากลําบากโดยสมัครใจ การมีชื่อเป็นภรรยาของเฟิงจินหยวนนั้นไม่คุ้มค่ามากนัก เจ้าสามารถขอให้ฮองเฮายกเลิกการแต่งงานนี้ได้”

 

จุนม่านได้ยินสิ่งนี้ และรู้ว่าการกระทําของนางนั้นเป็นไปตามเจตนาของเฟิงหยูเฮง ดังนั้นนางจึงก้าวไปข้างหน้าอย่างมีความสุขจับมือนาง และกล่าวอย่างอบอุ่น “องค์หญิงคิดเช่นนี้ พวกข้าก็สบายใจ พูดตามความจริง เมื่อเราได้ยินว่าองค์หญิงและตระกูลเฟิงตัดขาดความสัมพันธ์กันโดยสิ้นเชิง เราก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก การตัดความสัมพันธ์เป็นสิ่งที่ดี ไม่ต้องการครอบครัวแบบนั้นก็ดี ในอนาคตมันจะง่ายขึ้นสําหรับเราที่จะพูดเช่นกัน” ในขณะที่นางพูด นางดึงเฟิงหยูเฮงไปยังสถานที่ที่มีคนน้อยลง สําหรับคนอื่น ๆ นี่เป็นเรื่องที่ค่อนข้างเป็นธรรมชาติ เพราะทั้งสองฝ่ายได้แสดงทัศนคติที่มีต่อตระกูลเฟิงซึ่งถือได้ว่าอยู่ในสถานะเดียวกัน ในที่สุดเมื่อพวกนางหยุด จุนม่านยังคงยิ้มอย่างอบอุ่นบนใบหน้าของนาง แต่นางลดเสียงของนางลงอย่างเงียบ ๆ ว่า “องค์ หญิงไม่ได้ตําหนิเราจริง ๆ ใช่หรือไม่เจ้าคะ ? หรือองค์หญิงยังมีแผนสําหรับตระกูลหรือไม่ ? เราเพียงต้องการขอให้เจ้าบอก ถ้าเจ้ามีแผนใด ๆ หลังจากเสด็จป่าหายป่วย พวกข้าจะกลับไป ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดมันเป็นแค่การตัดสินใจ เราขอให้องค์หญิงบอกให้เราทราบ”

 

เฟิงหยูเฮงส่ายหน้า “ข้าทําให้เจ้าสองคนเดือดร้อน ข้าไม่มีแผนกับตระกูลเฟิงอีก เฟิงจินหยวนมีชีวิตของเขาเอง ไม่ว่าเจ้าจะกลับไปหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับความตั้งใจของเจ้าเอง ไม่จําเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับข้า แน่นอนถ้าเจ้าสองคนหรือฮองเฮามีแผนใด ๆ เจ้าสามารถดําเนินการต่อไปได้ ไม่จําเป็นต้องถามข้า”

 

พี่น้องเฉิงมองหน้ากันและรู้ว่าพวกนางไม่สามารถซ่อนมันจากเฟิงหยูเฮงได้ แทนที่จะแกล้งทําเป็นไม่รู้ จะดีกว่าที่จะบอกความจริง ดังนั้นนางจึงกล่าวต่อ “องค์หญิงควรรู้ว่ามีข่าวลือจากภาคเหนือเกี่ยวกับแผนที่แผ่นหนึ่งที่นําไปสู่เส้นเลือดมังกรในเฉียนโจวที่อยู่ในมือของเฟิงจินหยวน ราชวงศ์ต้าชุนต้องการแผนที่ชิ้นนั้น ท่านป้าได้แบ่งเบาภาระของฮ่องเต้อยู่เสมอ ดังนั้นเมื่อเราเข้าไปในคฤหาสน์เฟิง เราก็มีภารกิจเพิ่มเติมในการค้นหาแผนที่นั้น”

 

จุนเหม่ยกล่าวต่อ “เราหามานานแล้ว แต่เราไม่สามารถหาเบาะแสได้ ในช่วงเวลานี้เพิ่งจินหยวนมีองครักษ์เงาจากเฉียนโจวปกป้องเขาอยู่ เขายังไม่พบอะไรเลย หลังจากนั้นองครักษ์เงาของเฉียนโจวถูกดึงออกไป เมื่อคิดถึงเรื่องนี้แล้ว พวกเขาจะต้องยอมแพ้ เราเฝ้าดูสถานการณ์อยู่พักหนึ่งก่อนจะกลับมาที่พระราชวัง”

 

จุนม่านพยักหน้าให้ ถามเฟิงหยูเฮงด้วยความกังวล “องค์หญิงรู้ที่อยู่ของแผนที่นั้นหรือไม่เจ้าคะ ? …มันอยู่ในมือของเพิ่งจินหยวนหรือไม่เจ้าคะ ?”

 

เฟิงหยูเฮงมองทั้งสอง และต้องการค้นหาอารมณ์ที่แตกต่างจากใบหน้า หรือภาษากายของพวกนาง พี่สาวไม่ได้เปิดเผยอะไรเลย ราวกับว่ามันเป็นจริงอย่างที่พวกนางพูด การค้นหาแผนที่ขุมทรัพย์เป็นภารกิจที่ฮองเฮาให้ไว้ และแม้จะพบแล้วมันก็จะถูกมอบให้กับฮ่องเต้ เป็นการแบ่งเบาภาระของฮ่องเต้ ดังนั้นนางไม่ได้ตรวจสอบ พวกนางต่อไป นางส่ายหัวแล้วกล่าวว่า “ข้าไม่รู้เกี่ยวกับที่ตั้งของแผนที่ขุมทรัพย์ และข้าก็ยังไม่ค่อยแน่ใจว่าอยู่ในมือของเฟิงจินหยวนหรือไม่ เนื่องจากมีข่าวลือแบบนั้นมาเป็นเวลานาน และเฉียนโจวก็ส่งคนมาค้นหา และข้าก็สงสัยว่าการแต่งงานของคังอื่นั้นเกี่ยวข้องกับแผนที่ขุมทรัพย์นี้ ดังนั้น… มันไม่ควรเป็นเรื่องไร้สาระใช่หรือไม่ ?” นางวิเคราะห์อย่างแผ่วเบา อย่างไรก็ตาม นางเริ่มไตร่ตรองฮองเฮาได้ส่งหลานสาว 2 คนของนางไปแต่งงานกับเฟิงจินหยวน ดังนั้นการได้รับแผนที่นี้แบ่งเบาภาระให้กับฮ่องเต้จริง ๆ หรือ ถ้าไม่ใช่ก็มีไว้เพื่อใคร เพื่อตัวเอง ? แต่นางต้องการแผนที่ขุมทรัพย์ไปเพื่ออะไร ?

 

นางงงงวยกับเรื่องนี้ แต่ในเวลานี้บ่าวรับใช้ในพระราชวังตะโกนเสียงดังให้ทุกคนออกจากพระราชวัง และเตรียมตัวออกจากเมืองหลวง การสนทนาระหว่างทั้งสามก็สิ้นสุดลง เมื่อเฟิงหยูเฮงเดินออกไปอย่างช้า ๆ จุนเหม่ยกล่าวกับพี่สาวของนางอย่างเงียบ ๆ “ทําไมข้าถึงรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติตอนที่องค์หญิงมองมาที่เรา นางสงสัยอะไร ทุกสิ่งที่เราพูดเป็นความจริงไม่ใช่หรือ ?”

 

จุนม่านบอกนางว่า “อย่าคิดมาก องค์หญิงระมัดระวังเสมอ ไม่สาคัญว่านางจะคิดอะไร ทั้งสองวิธีเราไม่ได้โกหกนาง ในอนาคตหากมีสิ่งใดเกิดขึ้น เราสามารถยืนหยัดได้”

 

กลุ่มคนออกจากประตูพระราชวังอย่างมาก และได้พบกับฮ่องเต้อย่างรวดเร็ว จากนั้นแขกทั้งผู้ชายและผู้หญิงก็เข้าไปในรถม้า อย่างไรก็ตามการแบ่งไม่ระวังมากเกินไป ผู้ชายและผู้หญิงที่อยู่ใกล้กันนิดหน่อยก็จะยังอยู่ด้วยกัน ด้วยคนหนึ่งบนม้า และคนหนึ่งในรถม้า พวกเขาจะพูดเป็นครั้งคราว

 

เฟิงหยูเฮงไม่ได้นั่งรถม้าของนางเอง นางนั่งกับซวนเทียนเก้อ กับหวงซวนที่มากับนาง บ่าวรับใช้ของซวนเทียนเก้อก็นั่งอยู่ในรถม้าด้วย ฤดูหนาวมีอากาศเย็นและมีเตาอั้งโล่อยู่ในรถ หวงซวนถอนหายใจ “รถม้าราชสํานักขององค์หญิงนั้นดีมากเจ้าค่ะ”

 

ซวนเทียนเก้อถามด้วยความโกรธ “รถม้าราชสํานักของเจ้าไม่ดีหรือ ? ใครบอกนางไม่ให้นํารถมาเอง” หลังจากพูดแบบนี้นางพูดกับเฟิงหยูเฮง “ในปีนนี้มันหนาวมาก แม้ว่าจะไม่ใช่ภัยพิบัติในฤดูหนาวเหมือนปีที่แล้ว เนื่องจากหิมะไม่ตกหนัก แต่อากาศก็หนาวเย็นอย่างแน่นอน ข้ารู้สึกว่ามันอาจจะหนาวกว่าปีที่แล้วเล็กน้อย”

 

เฟิงหยูเฮงพยักหน้า “ใช่ ปีก่อนติดลบ 24 องศา แต่ติดถึงลบ 29 องศาแล้ว ดูเหมือนว่าจะติดลบถึง 30 มันเป็นไปได้หรือที่จะไม่หนาว”

 

ซวนเทียนเก้อไม่เข้าใจความหมายของนาง แต่นางรู้ว่ามันหนาวกว่าและไม่อบอุ่นแม้แต่น้อย นางยังมีความอดทนต่อความแปลกประหลาดของเฟิงหยูเฮง การพูดบางสิ่งที่เข้าใจยากเป็นครั้งคราวเป็นเรื่องปกติ “จากเมืองหลวงไปยังลานล่าสัตว์ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วยามในรถม้า เรานําถ่านในปริมาณที่พอเหมาะซึ่งจะใช้ได้ พระสนมของฮ่องเต้สามารถดูแลตัวเองได้และไม่ต้องทนทุกข์ทรมานนี้จะเป็นเรื่องยากสําหรับบุตรของขุนนาง รถม้าของพวกนางดูแคบมาก ขากลัวว่าพวกนางจะไม่สามารถใส่เตาอั้งโล่ไว้ข้างในได้”

 

เฟิงหยูเฮงหัวเราะ “เมื่อไหร่ที่องค์หญิงหรูหยางของเรารู้สึกเป็นห่วงผู้อื่น ? เมื่อไรที่บุตรของขุนนางอยู่ในสายตาของเจ้า ? เจ้าจะสนใจทําไมว่าพวกนางหนาวหรือไม่ ?”

 

ซวนเทียนเก้อมองที่นาง “ข้าไม่รู้สึกทุกข์ใจกับคนอื่น แต่เซียงหรูก็มาด้วยไม่ใช่หรือ เสด็จลุงอนุญาตให้พี่สี่ออกมา และข้าได้ยินมาว่าพี่สีพาเซียงหรูมาด้วย ข้าเป็นห่วงว่านางจะหยุด เจ้าเช่นกันเจ้ากําลังทําอะไรกับการตัดความสัมพันธ์กับตระกูลเฟิงและตระกูลเหยา มันทําให้เป็นเช่นนั้นแม้แต่เซียงหรูจะไม่สามารถเข้าใกล้เกินไป ข้าอยากจะดูว่าเจ้าจะรู้สึกเป็นทุกข์หรือไม่ถ้านางถูกแช่แข็ง”

 

เฟิงหยูเฮงยกผ้าม่านและมองออกไป เมื่อผ้าม่านถูกยกขึ้นลมกระโชกแรงของอากาศเย็นก็ไหลเข้ามาด้านในทําให้ผู้คนหดคอของพวกเขา “เซียงหรูจะไม่เป็นอะไร” นางมองออกไปข้างนอกซักครู่ก่อนที่จะลดม่านลง และวางมือใกลไฟ “เจ้าพูดเองว่าองค์ชายสี่พานางเจ้าด้วย เจ้าคิดว่าเซียงหรูจะจบลงด้วยการแช่แข็งหรือ ? เป็นไปได้ว่าเตาอั้งโล่ในรถม้าของพวกเขาจะสว่างที่นี่ นางอาจจะถูกห่อหุ้มอย่างแน่นหนาในเสื้อคลุมหนังสัตว์ขององค์ชายสี่”

 

ได้ยินนางพูดแบบนี้ ซวนเทียนเก้อก็พยักหน้า “ข้าลืมเรื่องนั้นไป ลืมไปเถิด เจ้าพูดถูก แต่เนื่องจากเจ้าพูดถึงเสื้อคลุมหนังสัตว์จะต้องมีเรื่องที่เจ้าอยากได้ยิน”

 

“โอ้? มันคืออะไร ?”

 

“อาเฮง เจ้าก็รู้ว่าราชวงศ์ต้าชุนของเราไม่ได้ไปล่าสัตว์มาสองปีที่ผ่านมา ในอดีตเสด็จลงรักการล่าสัตว์นี้มากที่สุด เมื่อฤดูหนาวมาถึงโดยไม่คํานึงว่าเสด็จลงจะต้องการออกไปทําอะไร เสด็จลุงไม่ได้ไปเมื่อสองปีก่อนไม่ใช่ เพราะเสด็จลุงแก่ขึ้นในแต่ละปี แต่ก่อนปีที่แล้วเป็นเพราะภัยพิบัติในฤดูหนาวปีที่แล้วเป็นเพราะเจ้าและพี่เก้า เข้าสู่สงคราม ราชสํานักไม่อนุญาตให้ผู้คนเห็นสงครามที่กําลังต่อสู้อยู่ด้านหนึ่ง ในขณะที่ครอบครัวของฮ่องเต้สนุกสนาน ดังนั้นพวกเขาจึงเงียบอยู่ 2 ปี สําหรับปีนี้ มันกลับมาเพราะชายแดนอาจถือได้ว่าสงบสุขและไม่มีการสู้รบมากมาย นอกจากนี้เจ้ารู้หรือไม่ ? เสด็จลงสัญญากับพระชายาหยุน บอกว่าท่านลุงจะล่าสัตว์เอามาทําเสื้อคลุมให้นางด้วยพระองค์เอง”

 

เฟิงหยูเฮงขมวดคิ้ว “ที่ตั้งของลานล่าสัตว์ถูกปิดกั้นใช่หรือไม่ ? สัตว์ชนิดไหนที่สามารถตามล่าได้ หากพวกมันต้องการซ่อนตัว พวกมันควรเข้าไปในภูเขา”

 

ซวนเทียนเก้อเหยียบเท้าของนาง “ฮ่าๆ อย่าพูดแบบนั้นกับเสด็จลง มันแค่ท่าให้เสด็จลงมีความสุข เมื่อเราไปถึงที่นั่น ผู้คนจะปล่อยเสือ หรือเสือดาว หรืออะไรบางอย่างเพื่อให้เสด็จลงตามล่า บางคนจะถูกส่งไปเพื่อปกป้องท่านลุง นั่นคือทั้งหมด หากเสด็จลงได้รับอนุญาตให้เข้าไปในภูเขาจริง ๆ ราชวงศ์ต้าชุนอาจตกอยู่ในความวุ่นวาย”

 

เฟิงหยูเฮงคิดว่าสิ่งนี้เป็นเรื่องจริงด้วย ดังนั้นนางแค่ยิ้มและไม่พูดอะไรเลย อย่างไรก็ตามซวนเทียนเก้อกล่าวกับตัวเองว่า “มีหลายคนที่มาในครั้งนี้ มีพระสนมของฮ่องเต้สองสามคนที่ออกมาเช่นกัน พวกนางมีความสุขมาก ข้าเห็นว่ามีบางหีบที่ถูกนํามาด้วย ภายในหีบนั้นจะต้องมีเสื้อผ้าและเครื่องประดับ เมื่อออกจากพระราชวัง พวกนางจะต้องคิดว่าพวกนางมีโอกาส เพราะพวกนางไม่ต้องถูกพระชายาหยุนคอยจ้องจับผิด แต่ทําไมพวก นางถึงไม่คิดบ้างกว่า 20 ปีแล้วที่พวกนางรอโอกาส ทําไมโอกาสจะปรากฏขึ้นทันที ฝันไปเถิด !”

 

ขณะที่นางพูดอย่างนี้รถม้าก็สั่นสะเทือน ราวกับว่ามันมีอะไรบางอย่าง รถม้าทั้งคันไม่เพียงแต่กระเด้งขึ้น แต่ม้าก็ส่งเสียงร้องทันทีหลังจากนั้นรถม้าเริ่มเอียง ซวนเทียนเก้อกรีดร้อง รถม้าทั้งหมดก็ลงข้างทาง

 

ตอนที่ 734 คนที่ซ่อนอยู่ในพระราชวัง

 

คนอื่นอาจไม่เข้าใจความตั้งใจของเฟิงหยูเฮง แต่เฟิงเซียงหรูและอันชิก็สามารถเข้าใจได้เป็นอย่างดี เฟิงหยูเฮงทําตัวห่างเหินจากตระกูลเฟิงอย่างไม่คาดคิด เหยาซื่อแสวงหาความตายด้วยตัวเอง และตระหนักว่าเสี่ยวหยาอาจทําให้เฟิงหยูเฮงขุ่นเคือง แต่เพิ่งเซียงหรูรู้ว่าพี่รองของนางไม่มีวันที่จะเป็นศัตรูกับตระกูลเหยา ในขณะ เดียวกันตระกูลเหยาก็ไม่อาจไร้เหตุผลจนดูถูกผู้คนในระดับนี้เพราะเรื่องของเหยาซื่อ

 

ทั้งหมดนี้ทําเพื่อให้เฟิงหยูเฮงสามารถปกป้องพวกเขาได้ แม้แต่องค์ชายสี่ก็บอกนางว่า “เจ้ามีพี่สาวที่ดี เพื่อให้สามารถปกป้องเจ้าในระดับนี้ ไม่ต้องกังวล นับจากนี้ไปข้าจะปกป้องเจ้า ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าถูกกลั่นแกล้ง”

 

นางไม่อยากฟังข้อความหลังคำแช่งของซวนเทียนยี่ นางแค่ต้องการช่วยพี่รองของนาง เนื่องจากผู้คนจำเป็นต้องเชื่อมั่นในปริศนานี้ นางจะทําให้มันดูสมจริง แม้ว่านางจะร่วมมือกัน ทําไมนางถึงรู้สึกเศร้าหลังจากทําเช่นนั้น ?

 

ก่อนเที่ยงวันรุ่งขึ้นมีคนจากพระราชวังมาเยี่ยมคฤหาสน์โดยกล่าวว่าฮ่องเต้จะเสด็จไปล่าสัตว์ทางตะวันออกในอีก 5 วันข้างหน้า องค์หญิงจอันถูกเสนอชื่อเข้าในรายชื่อคนที่ได้รับเชิญ นางได้รับเชิญให้เตรียมการบางอย่างและเข้าสู่พระราชวังในตอนเช้าของอีก 5 วันถัดไป

 

หลังจากบ่าวรับใช้ในพระราชวังออกไป วังซวนบอกกับเฟิงหยูเฮงว่าพื้นที่ล่าสัตว์ตะวันออกแห่งนี้จะล่าสัตว์ทุกปี ไม่มีใครรู้ว่าทําไมมันไม่ได้ถูกจัดขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา หวงซวนกล่าวว่า “บางทีฮ่องเต้ก็ทรงชราแล้วเจ้าค่ะ”

 

อย่างไรก็ตามวังซวนไม่เชื่อว่าจะเป็นเช่นนี้ นางดุหวงซวน “อย่าพูดเหลวไหล ฮ่องเต้ยังมีสุขภาพที่แข็งแรง” จากนั้นนางก็หันไปหาเฟิงหยูเฮง และกล่าวว่า “เท่าที่บ่าวรับใช้ผู้นี้เห็นปีก่อนเกิดภัยพิบัติในฤดูหนาวและ พลเมืองก็ทุกข์ทรมาน มันคงไม่ดีถ้าฮ่องเต้จะทรงล่าสัตว์ เมื่อปีที่แล้วเป็นไปได้มากว่าเพราะคุณหนูและองค์ชายเก้าเดินทางไปภาคเหนือ การต่อสู้ในเฉียนโจวอยู่ในระหว่างดําเนินการ ดังนั้นฮ่องเต้จึงไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา”

 

เฟิงหยูเฮงพยักหน้าและรู้สึกว่าคำอธิบายของนางมีเหตุผล ดังนั้นนางจึงไม่ได้ขออะไรเพิ่มเติม นางเพิ่งบอกหวงซวน “หลังจากนี้ดูแลเรื่องการเลี้ยงเดี่ยวไป เราจะเตรียมอาหารให้มากขึ้น ข้าจะนํามันไปด้วย”

 

หวงซวนรู้สึกหมดหนทางและต้องทําตามคําแนะนําซ้ํา “เสือกินเนื้อ มันไม่สามารถให้นมผงต่อไปได้ มันไม่เหมือนกับน้ําหรือเจ้าคะ ? มันจะกินได้อย่างไร ดูว่าเสี่ยวไป๋กําลังเจริญเติบโต คุณหนู ข้ารู้สึกว่ามันเกี่ยวข้องกับที่คุณหนูให้อาหารมันเจ้าค่ะ”

 

เฟิงหยูเฮงส่ายหัวแล้วบอกนางว่า “ไม่ใช่อย่างนั้น ข้ายังให้อาหารแข็งเสี่ยวไปด้วย ข้าให้ขนมอบอร่อย ๆ จากครัวเล็กน้อย มันไม่ได้แค่กินนม นอกจากนี้ทําไมมันถึงตัวโต ? มันจะอยู่ที่ไหนหลังจากตัวใหญ่ ? เราจะขังมันไว้ในกรงเหล็กจริง ๆ หรือ ? ข้าไม่อยากขังมันไว้ แล้วพวกเจ้าล่ะ ?”

 

หวงซวนและวังซวนส่ายหัว “ไม่มีปัญหาเจ้าค่ะ” พวกนางมีปฏิสัมพันธ์กับเสี่ยวไป๋เล็กน้อย ขณะที่พวกนางเล่ นกับมันราวกับว่ามันเป็นสัตว์เลี้ยง พวกนางทําเช่นนั้นได้อย่างไร พวกนางไม่อยากขังมันไว้ในกรง

 

“แต่ถ้ามันไม่ถูกขังเมื่อตัวใหญ่ และถูกปล่อยให้เดินเตร่ไปรอบ ๆ อย่างอิสระ พวกเจ้าสองคนไม่ต้องกลัว พวกเจ้ามีศิลปะการต่อสู้ แต่คนอื่น ๆ ล่ะ ? ถ้าเสี่ยวไป๋หิวและอยากกินคน บอกมาว่าใครในคฤหาสน์ของเราควรถูกกิน ?” เฟิงหยูเฮงแกะเม็ดแตงในขณะที่ยุ่งกับบ่าวรับใช้สองคนของนาง

 

หวงซวนโกรธกระทืบเท้า และวังซวนกล่าวอย่างไร้ปัญหา “ไม่ได้บอกว่าเสี่ยวไป๋ไม่ได้กินเนื้อหรือเจ้าคะ ? มันจะกินคนเพื่ออะไรเจ้าคะ ?”

 

“ไม่ใช่ หวงซวนเพิ่งพูดว่าควรให้อาหารเป็นเนื้อสัตว์หรือ”

 

“ลืมมันไปเถิด ปล่อยให้มันกินนมไป” หวงซวนยอมแพ้ “ใครสนใจว่ามันโตขึ้นหรือไม่ ไม่ว่าจะอย่างไรการอุ้มตลอดทั้งวันก็เป็นเรื่องสนุกเช่นกัน”

 

เฟิงหยูเฮงพูดติดตลกกับบ่าวรับใช้สองคนของนางสักพักแล้วยืนขึ้นเพื่อเข้าไปในห้องเก็บยาของนาง นางได้เพิ่มห้องพักผ่อนพิเศษสําหรับเสี่ยวไป๋เพื่อให้อยู่ต่อ แต่หลังจากสภาพของเป่ยฟูหรงเริ่มดีขึ้น เฟิงหยูเฮงคิดว่าเมื่อนางกลับมาจากการล่าสัตว์ตะวันออก จะย้ายนางออกจากห้องเก็บยาไปที่ห้องปกติ

 

เมื่อนางมาถึง เป่ยฟูหรงก็ตื่นแล้ว และนางก็เล่นกับขวดยา นางจ้องมองที่ค่าแปลก ๆ ที่เขียนไว้ด้านบน เมื่อเห็นเฟิงหยูเฮงมา นางก็ลุกขึ้นอย่างรวดเร็วและกล่าวกับเฟิงหยูเฮงด้วยรอยยิ้มว่า “อาเฮง ตอนนี้ข้าสามารถอยู่ได้ครึ่งวันแล้ว เมื่อข้าอยากนอนหลับ ข้าไม่หลับทันทีอีกต่อไป แต่ข้าสามารถเดินกลับไปที่เตียงของข้าและนอนหลับได้ อาเฮงทั้งหมดนี้เป็นเพราะเจ้ารักษาข้า ข้าขอบคุณเจ้ามาก ๆ “

 

เฟิงหยูเฮงเห็นว่านางมีความสุขและเริ่มรู้สึกมีความสุข ดังนั้นนางอยู่กับเป่ยฟูหรงสักพัก จากนั้นนางก็บอก เป่ยฟูหรงว่านางจะต้องตามเสด็จไปล่าสัตว์ในอีก 5 วัน ถ้านางต้องการอะไรนางก็จะเรียกฉิงหยู อย่างไรก็ตาม เป่ยฟูหรงยังคงเคลื่อนไหวเหมือนพูดแล้วหยุด เฟิงหยูเฮงเข้าใจสิ่งที่นางต้องการถาม ดังนั้นนางจึงกล่าวว่า “ไม่ต้องกังวล เป่ยจ่ออยู่กับองค์ชายเก้า ทุกอย่างปกติดี ฝ่าบาทสัญญากับข้าว่าพวกเขาจะกลับมาก่อนสิ้นปีนี้อย่าง แน่นอน ถึงเวลานั้นเจ้าคงหายดีแล้ว เมื่อถึงเวลานั้นคงเป็นการจัดงานแต่งงานที่ยิ่งใหญ่”

 

ใบหน้าของฟู่โหร่งเปลี่ยนเป็นสีแดงสดจากสิ่งที่นางพูด นางอาย นางไม่กล้าเงยหน้าขึ้นซึ่งทําให้เฟิงหยูเฮงหัวเราะ แต่เป่ยฟูหรงยังคงเป็นกังวล “อาเฮง เจ้าบอกว่าข้าไม่สามารถหายเป็นปกติได้เหมือนเมื่อก่อน ถ้าข้าแก่และน่าเกลียด… เป่ยจือจะยังต้องการข้าอยู่หรือ ?

 

เฟิงหยูเฮงไม่เคยกังวลเรื่องนี้ นางบอกกับเป่ยฟูหรงว่า “เป่ยจือไม่ใช่คนที่มาจากตระกูลที่ร่ํารวย เกณฑ์การเลือกภรรยาของเขานั้นแตกต่างจากผู้ชายคนอื่น เจ้าต้องเชื่อใจเขาและเชื่อใจตัวเอง แน่นอนเจ้าต้องเชื่อใจข้ามากกว่านี้ด้วย” นางจับมือของเป่ยฟูหรงและกล่าวด้วยน้ําเสียงจริงจัง “เชื่อใจข้าวางใจในทักษะการแพทย์ของ ข้า ข้าจะทําทุกอย่างเท่าที่ทําได้เพื่อรักษาเจ้า”

 

ห้าวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ท้องฟ้ายามเช้ายังคงมืดมิดเมื่อผู้คนในคฤหาสน์ขององค์หญิงเริ่มลุกขึ้นเพื่อเตรียมตัว เฟิงหยูเฮงสวมเสื้อคลุมฤดูหนาวจากนั้นอุ้มเสี่ยวไป๋ไว้ในอ้อมกอด นางกินขนมอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ขึ้นรถม้า รถม้าของราชสํานักถูกขับเคลื่อนโดยบานซูและมุ่งตรงไปยังพระราชวังของฮ่องเต้ หวงซวนถามนางว่า “คุณหนูไม่ให้บานซูไปที่ลานล่าสัตว์กับเราหรือเจ้าคะ ? “

 

“ไม่” เฟิงหยูเฮงกล่าวอย่างมั่นคง “ฮ่องเต้จะออกไปข้างนอก คงหนีไม่พ้นที่ฝ่าบาทจะนําพระสนมไปด้วย จะไม่มีปัญหาการขาดองครักษ์เงา ถ้าข้าพาเขาไปด้วยจะไม่สะดวก ถ้าคนที่มีแรงจูงใจซ่อนเร้นใช้สิ่งนี้เพื่อพูดอะไรบางอย่าง นั่นไม่อาจอธิบายได้โดยง่าย”

 

บานซูได้ยินคําพูดของนางอย่างชัดเจน และเขาไม่สามารถช่วยได้ แต่กล่าวอย่างเย็นชาว่า “ถ้าคุณหนูไม่ต้องการพาข้าไปก็พูดตรง ๆ คุณหนูจะหาข้อแก้ตัวเหล่านี้เพื่ออะไรขอรับ ?”

 

เฟิงหยูเฮงงงงวย “ข้าจะแก้ตัวอย่างไร หวงซวนถาม ขาจึงอธิบายให้นางฟัง ขาบอกโดยตรงจาก ตั้งแต่ต้น เจ้าบอกไม่ได้หรือ ?”

 

บานซูตะโกนอย่างเย็นชาอีกครั้งจากนั้นก็เงียบลง

 

พวกเขามาถึงประตูพระราชวังอย่างรวดเร็ว มีบ่าวรับใช้ในพระราชวังอยู่ในสถานที่นี้แล้วในตอนเช้าตรู่เพื่อรับ แขกเข้ามาในพระราชวัง นอกพระราชวังนอกจากเฟิงหยูเฮงแล้ว ยังมีครอบครัวของซวนเทียนเก้อและครอบครัว ของขุนนางที่สําคัญ มีคนไม่กี่คนที่เข้าไปในพระราชวัง

 

เฟิงหยูเฮงมาถึงเร็วกว่า แทนที่จะไปที่พระราชวังด้านในก่อน นางไปที่บ้านพักของช่างฝีมือก่อน ย้อนกลับไปตอนนั้นช่างฝีมือเป่ยต้องการกลับมาที่พระราชวัง ดังนั้นเขาจึงอยู่ในพระราชวังหวังที่จะได้พบกับคนที่ต้องสงสัย แต่มันก็เป็นเวลานานตั้งแต่เรื่องนั้น เมื่อเฟิงหยูเฮงเห็นเขาอีกครั้ง นางพบว่าช่างฝีมือเป่ยส่ายหน้าอย่างไร้ประโยชน์ “ข้าอยู่ในพระราชวังมานานแล้วและสังเกตมานาน แต่ข้าไม่สามารถหาคนนั้นได้ มีหลายครั้งที่ข้าสงสัยว่าการตัดสินใจของข้าในเวลานั้นถูกต้องหรือไม่ องค์หญิงท่านเคยสงสัยบ้างหรือไม่ว่าเราอาจเข้าใจผิด

 

ในเรื่องที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ เฟิงหยูเฮงไม่สามารถเข้าใจสถานการณ์ได้ อย่างไรก็ตามนางรู้ว่าต้องมีใครบางคน อยู่ในพระราชวังแห่งนี้อย่างแน่นอน หรือแม้แต่คนไม่กี่คนที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับภาคเหนือและเฉียนโจว นางเตือนช่างฝีมือเป่ย “ถ้าเราไม่สามารถหาใครซักคนด้วยการสังเกตด้วยตา เพียงแค่สังเกตด้วยหัวใจของท่านแล้วลองคิดดู มีหลายครั้งที่สิ่งที่ดวงตาไม่สามารถมองเห็นได้แต่จะชัดเจนขึ้นเมื่อท่านหลับตา”

 

เมื่อนางพูดอย่างนี้ ช่างฝีมือเปยคิดอะไรบางอย่างจริง ๆ เขาบอกกับเฟิงหยูเฮง “ที่จริงแล้วมันไม่สามารถถือว่าเงียบสนิท ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาท่านส่งจดหมายเข้าไปมาพระราชวังเรื่องสุขภาพของฟูหรง ข้าได้ยินมาว่า นางสบายดี ข้าผ่อนคลายอย่างมาก นอกจากนี้ตั้งแต่ท่านกลับมามีงานในพระราชวังไม่มากนัก แม้ว่าข้าจะสัญญาไว้แล้วว่าข้าสามารถทําเครื่องประดับให้กับทุกคนได้ แต่ผู้คนในพระราชวังยังคงมีน้ําใจและข้าไม่ได้ ทํางานหนักมาก เมื่อข้าไม่ได้ทํางาน ข้าคิดอยู่เสมอว่าทําไมข้าถึงถูกผูกติดอยู่กับเรื่องแบบนั้น ? ยิ่งขาคิดจะออกไปตามหาฟูหรง ยิ่งมีงานส่งถึงข้ามากขึ้น ในเวลานั้นรู้สึกว่างานชิ้นหนึ่งเสร็จสมบูรณ์ คําขออื่นจะเข้ามา ไม่ว่าอะไรข้าไม่สามารถผลักมันออก แม้ว่างานนั้นจะถูกส่งมาจากคนต่าง ๆ แต่ก็ต้องมีคนคนหนึ่งเพื่อกํากับมันทั้ง หมด ดังนั้นคนเหล่านั้นก็สามารถมาหาข้าอย่างไม่รู้จบ”

 

บางทีสภาพจิตใจของช่างฝีมือเป่ยนั้นช่างวุ่นวาย นอกจากนี้ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เป็นเพียงการเก็งกําไร และไม่สามารถระบุได้อย่างชัดเจน แต่เฟิงหยูเฮงก็สามารถเข้าใจได้ นางถามช่างฝีมือเป่ย “ท่านลุงสงสัย ใครบ้างเจ้าคะ ?”

 

ช่างฝีมือเป่ยมองนางและไตร่ตรองสักพักก่อนที่จะกล่าว “คนผู้นั้นมีสถานะที่สูงมากในพระราชวัง อย่างน้อยที่สุดนางก็ไม่มีใครเทียบได้ในพระราชวังชั้นใน องค์หญิง ข้าสงสัย…”

 

“ฮองเฮาหรือ ?” เฟิงหยูเฮงพูดกับเขาด้วยท่าทางที่จริงจัง คิ้วที่สง่างามของนางนั้นมีรอยย่นแน่น และความตกใจเล็กน้อยอยู่ในแววตาของนาง

 

ช่างฝีมือเป่ยพยักหน้า “ใช่ขอรับ เป็นฮองเฮา แต่ทั้งหมดนี้เป็นเพียงการคาดเดาของข้า อย่างน้อยที่สุดดูเหมือนว่าไม่มีการจัดการกับฮองเฮาในมือของเรา นอกจากนี้นางปฏิบัติต่ฮ่องเต้และองค์หญิงเป็นอย่างดี นั่นเป็นเหตุผลว่าทําไมจึงเป็นเรื่องดี สําหรับองค์หญิงที่จะฟังสิ่งนี้โดยไม่คํานึงถึงอะไร มิฉะนั้นถ้าคนดีถูกกล่าวหาอย่างผิด ๆ นั้นจะเป็นสิ่งที่ไม่ดี ยิ่งกว่านั้นแม้ว่านางจะไม่ได้เป็นคนดี แต่นางก็มีอํานาจมาก องค์หญิงต้องระวังขอรับ”

 

เฟิงหยูเฮงไม่ได้พูดอีกต่อไปเพราะนางกลับไปที่พระราชวังอย่างรวดเร็ว ก่อนอื่นนางไปถามพระชายาหยุนว่าจะไปหรือไม่ แต่ปรากฏว่าพระชายจาหยุนยังคงหลับอยู่และยังไม่ตื่นเลย โดยธรรมชาติแล้วนางจะไม่ไป นางไม่ได้ไปรบกวนพระชายาหยุนอีกต่อไป นางมุ่งหน้าไปหาฮองเฮา

 

วันนี้บรรดาพระสนมของฮ่องเต้และบรรดาผู้หญิงที่เข้ามาในพระราชวังจะมารวมตัวกับฮองเฮาก่อน เมื่อถึงเวลา พวกนางจะออกจากพระราชวังไปด้วยกัน เมื่อนางมาถึงมีคนมากมายรออยู่ที่นั่น เฟิงหยูเฮงมองไปรอบ ๆ และเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยบ้างเล็กน้อย โดยธรรมชาติไม่จําเป็นต้องพูดถึงพระสนมของฮ่องเต้ แต่มีตระกูลหญ่, หลู่หยาน ตระกูลเฟิง, เฟิงเฟินไดและเฟิงเซียงหรู และมีชวนเทียนเก้อ, เหรินซีเฟิง และเฟิงเทียนหยู พวกนางทั้งหมดรออยู่ที่นั่น

 

นางคารวะฮองเฮา จากนั้นก็ถอยกลับหลังจากคุยกันสักพัก ขณะที่นางกําลังจะทักทายซวนเทียนเก้อ สหาย เก่า 2 คนเข้ามาในวิสัยทัศน์ของนาง เมื่อได้เห็นคนสองคนนี้ สิ่งที่ช่างฝีมือเปิยพูดกับนางก็ผุดขึ้นในใจของนางอีกครั้ง นางคิดเล็กน้อยแล้วเดินไปที่ทั้งสอง…

 

ตอนที่ 733 การโจมตีของเพิ่งเซียงหรู

 

เพิ่งเซียงหรูได้เคลื่อนไหวและ “ตบ” ความดุร้ายของนางทําให้คนในห้องตัวสั่น พวกบ่าวรับใช้ที่มากับเสี่ยว หยาก็รีบคว้าตัวเฟิงเซียงหรู อย่างไรก็ตามพวกเขาได้ยินเฟิงเซียงหรูกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ข้าเป็นคุณหนูสาม ของตระกูลเฟิง และข้าก็ได้รับแต่งตั้งเป็นอาจารย์ขององค์ชายสี่, ชวนเทียน เจ้าแน่ใจหรือว่าเจ้ากล้าทําอะไรข้า”

 

บ่าวรับใช้ที่ดูแลเสี่ยวหยานั้นเป็นเพียงแค่ยายและคนแข็งแรงที่ซื้อมา ไม่มีใครสามารถยืนหยัดต่อสู้กับนางได้ พวกเขาจะไม่กลัวคําพูดของเฟิงเซียงหรูได้อย่างไร เสียวหยาเองในขณะที่คนของนางถอยกลับพร้อมความกลับบนใบหน้า ความโกรธเต็มหัวใจของนาง อย่างไรก็ตามนางยังเห็นความแตกต่างระหว่างนางกับคนที่เป็น ของตระกูลผู้สูงศักดิ์ พวกเขามีเสาค้ํายันที่เชื่อถือได้โดยไม่คํานึงถึงความสามารถของตัวเอง เนื่องจากชื่อเพียงอย่างเดียวนั้นค่อนข้างน่ากลัว แต่แล้วนางล่ะ บ่าวรับใช้ที่อยู่ข้างนางถูกซื้อมา พวกเขาเป็นบ่าวรับใช้ไร้ฝีมือที่ซื้อจากพ่อค้าทาสและความภักดีของพวกเขาขึ้นอยู่กับเงิน พวกเขายังไม่ได้เห็นอะไรมากและอาจถูกข่มขู่ให้หวา ดกลัวด้วยคําพูดเพียงไม่กี่ค่า สําหรับตัวนางเอง นางพึ่งพาเหยาชื่ออย่างแท้จริงในขณะที่พูดถึงตัวเองว่าเป็นคุณหนูตระกูลเฟิง ในความเป็นจริงนางแค่แกล้งทําเป็น ในการเผชิญหน้ากับคุณหนูตระกูลเฟิงที่แท้จริง นางจะได้รับการพิจารณาอย่างไร ?

 

เฟิงเซียงหรูมองที่เสี่ยวหยาด้วยสายตาที่เย็นชาไร้อารมณ์ อย่างไรก็ตามเสี่ยวหยาต้องการฟื้นฐานรากของตัวเอง ดังนั้นนางจึงกัดฟันกล่าวว่า “น้องสาม”

 

ใครจะรู้ว่าเฟิงเซียงหรูจะตอบทันที “อย่าเรียกข้าว่าน้องสาม ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากับข้าไม่มีอะไร ยิ่งกว่านั้นข้ายังไม่อยากตาย ตระกูลเฟิงไม่ต้องการที่จะตาย เจ้าสาปแช่งฮ่องเต้และพระชายาหยุนต่อหน้าผู้คนมากมายในเมืองหลวง เสียวหยา หากเจ้าไม่ต้องการมีชีวิตอยู่อย่าลากตระกูลเฟิงและตระกูลเหยาลงโคลนไป พร้อมกับเจ้า ! ไม่ว่าเจ้าจะเป็นศัตรูกันมากแค่ไหน ระหว่างเจ้ากับองค์หญิงจีอันให้ออกไปข้างนอก อย่าทําอะไร ที่เลวร้ายในร้านปักของข้า เจ้าดูถูกฮ่องเต้และพระชายาหยุนในวันนี้เป็นสิ่งที่ข้าจําได้ มันจะดีที่สุดถ้าเจ้าคิดว่า เจ้าอยากตายอย่างไร สําหรับการดูแลท่านฮูหยินเหยา ข้าอาจช่วยเจ้าได้นิดหน่อย”

 

เสี่ยวหยาสั่นเทา คําพูดของเฟิงเซียงหรูวางนางไว้บนลานประหาร และนี่เป็นสิ่งที่นางไม่ได้เตรียมไว้ให้ ในอดีต นางถามไปทั่วและทุกคนรู้ว่าคุณหนูสามตระกูลเฟิงเป็นบุตรสาวของอนุ บุคลิกของนางอ่อนแอ และแม้แต่มารดาที่ให้กําเนิดของนางก็เงียบ ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจเสียงดังในบ้านของตัวเอง เนื่องจากบ้านตระกูลเฟิงไม่ได้จัดเตรียมเงินทองไว้ให้ พวกเขาจึงต้องพึ่งพาร้านปักแห่งนี้เพื่อดูแลตัวเอง นางคิดว่าเฟิงเซียงหรูจะเป็นคนที่นางสามารถจัดการได้อย่างง่ายดาย แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากข้อมูลที่นางรวบรวมมา?

 

เสียวหยาคิดอย่างรวดเร็วแต่ถูกเฟิงเซียงหรูทําให้กลัวอย่างสมบูรณ์ ใบหน้าของนางซีดเซียวแต่นางก็หายเป็นปกติเร็วมาก จากนั้นนางก็ยิ้มและกล่าวกับเฟิงเซียงหรู “เจ้าพูดเรื่องอะไร น้องสาม อย่ากลัวพี่สาวอย่างนั้น ส่วนที่ว่าเรามีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่ ก็ไม่เป็นไรถ้าเจ้าไม่ยอมรับ ไม่ว่าเจ้าจะเป็นบุตรสาวของอนุในปัจจุบัน การตัดสินใจของตระกูลเฟิงซึ่งเป็นสิ่งที่คุณหนูสี่ยอมรับ และข้าก็ยอมรับเจ้า แม้แต่ท่านพ่อก็ปฏิบัติต่อข้าอย่างอ่อนโยน แม้ว่าผู้คนจากคฤหาสน์เหยามาที่บ้าน พวกเขาปฏิบัติต่อข้าอย่างสุภาพ นั้นเป็นสาเหตุที่ไม่ว่าน้องสามจะยอมรับข้าหรือไม่ ข้าไม่สนใจอะไรมาก ข้าจะเตือนน้องสามว่า ข้าควบคุมอารมณ์ไม่ได้และพูดบางสิ่งที่ไม่ควรพูด นี่คือความจริง แต่ถ้าน้องสามจะมีความเด็ดเดี่ยวมาก มันจะไม่เป็นเรื่องดีสําหรับตระกูลเฟิงหรือตระกูลเหยา นั่นเป็นเหตุผลที่ข้าหวังว่าน้องสามจะคิดอย่างรอบคอบเกี่ยวกับเรื่องนี้”

 

หลังจากเสียวหยาพูดจบ เฟิงเซียงหรูก็เงียบไปครู่หนึ่ง เป็นที่ชัดเจนว่าค่าพูดของเสียวหยาทําให้นางรู้สึกวิตกกังวล อย่างไรก็ตามหวงซวนก็ไม่สามารถคิดอะไรมากมาย นางแค่รู้สึกว่าเสียวหยาพูดแรงเกินไป และนางก็ อดไม่ได้ที่จะกล่าวว่า “เจ้าพอใจอะไร ? อย่าลืมว่ามันไม่ใช่แค่คุณหนูสามตระกูลเฟิงที่ได้ยินเจ้าพูดสิ่งเหล่านั้น นอกจากนี้ยังมีพวกเราและองค์หญิงจีอัน เจ้าต้องการปัดความรับผิดชอบนี้หรือไม่ ? เจ้าค่อนข้างจะมองโลกในแง่ดี”

 

“โอ้ ?” เสียวหยามองไปที่หวงซวนเป็นครั้งแรกที่นางรู้สึกว่าไม่จําเป็นต้องกลัวบ่าวรับใช้คนนี้ ดังนั้นนางจึงกล่าวว่า “ลองกระจายข่าวส์ ไม่เป็นไรถ้าข้าตายคนเดียว แต่จะมีหลายคนที่ไปกับข้าที่หลุมศพ มีตระกูลเฟิงและตระกูลเหยา คิดดูแล้วมันค่อนข้างน้อย ไปสิ มาดูกันว่าใครจะความสูญเสียมากที่สุด”

 

หวงซวนโกรธมากจนนางต้องการตบเสี่ยวหยา อย่างไรก็ตามนางถูกหยุดเฟิงหยูเฮง “เจ้าต้องการลากตระกูลเฟิงและตระกูลเหยาลงไปในหลุมศพกับเจ้าใช่หรือไม่ ?” เฟิงหยูเฮงยิ้มและกล่าวว่า “มีคนหนึ่งทําผิด แต่ตระกูลทั้งสองไปลงหลุมศพกับเจ้า มันค่อนข้างน่ากลัวจริง ๆ แต่..มันเกี่ยวข้องกับข้าอย่างไร เจ้ากําลังขู่ข้าด้วยวิธี เดียวกันกับที่เจ้าขู่คุณหนูสามตระกูลเฟิงงั้นหรือ?”

 

เสี่ยวหยาตกใจ ตอนนี้นางรู้แล้วว่าเฟิงหยูเฮงตัดสัมพันธ์กับทั้งตระกูลเฟิงและตระกูลเหยาเป็นเรื่องจริง นางเป็นคนระวังและกังวลเล็กน้อย หากเพิ่งหยูเฮงไม่สนใจจริง ๆ ว่าทั้งสองตระกูลนั้นมีชีวิตอยู่หรือตายและกระจายข่าวนี้ นางจะไม่ถูกบังคับให้ตายหรอกหรือ ? เสียวหยากําลังคิดว่านางจะเอาตัวรอดจากสถานการณ์ที่ยากลําบากนี้อย่างไร ในขณะที่นางกําลังคิดเกี่ยวกับมัน ทันใดนั้นนางก็ได้ยินเฟิงเซียงหรูกล่าวว่า “องค์หญิงจีอัน ท่านได้ยินอะไร ? มีเรื่องใหญ่อะไรเกิดขึ้นที่จะทําให้เกิดปัญหากับทั้งตระกูลเฟิงและตระกูลเหยาเจ้าคะ ?”

 

เสี่ยวหยาสะดุ้งในขณะที่นางมองที่เพิ่งเซียงหรูด้วยความประหลาดใจ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกะทันหันท่าให้นางรู้สึกประหลาดใจมาก อย่างไรก็ตามนางสามารถเข้าใจเหตุผลที่เพิ่งเซียงหรูเปลี่ยนด้านและช่วยเหลือนาง ไม่มีเหตุผลอื่นนอกจากช่วยตระกูลเฟิงและตระกูลเหยาจากหายนะครั้งนี้ มันไม่เกี่ยวข้องกับตัวเองแม้แต่น้อย แต่นางก็มีความสุขที่ได้ดูละครเรื่องนี้ คุณหนูสามตระกูลเฟิงที่ขัดแย้งอย่างเปิดเผยกับเฟิงหยูเฮง นี่เป็นบทละครที่นางรู้สึกว่าสนุกสนานมาก

 

เสี่ยวหยาก้าวถอยหลังสองสามวินาทีแล้วยกแขนขึ้นกอดอก ด้วยความคิดของนางที่เต็มไปด้วยความคิดในการมองดูทั้งสองตรงหน้านาง นางได้ยินเฟิงหยูเฮงถามว่า “คุณหนูสามตระกูลเฟิง เจ้าหมายถึงอะไร?”

 

เฟิงเซียงหรูมีใบหน้าที่ไร้อารมณ์เพราะนางแค่จ้องที่เพิ่งหยูเฮง ไม่มีใครสามารถคาดเดาสิ่งที่นางรู้สึก นางพูดอย่างจริงจังกับเฟิงหยูเฮง “ข้าไม่ได้ยินอะไรเลยและไม่เห็นอะไรเลย ในห้องนี้นอกจากท่านและคนที่ท่านพามา จะปิดปากเงียบเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ ดังนั้นองค์หญิงจีอันได้โปรดกลับไปเจ้าค่ะ” นางทําท่าให้แขก ออกไป และไม่สนใจว่าเฟิงหยูเฮงปฏิเสธหรือไม่รีบไปด้วย “โปรดรีบไป ร้านค้าเล็ก ๆ แห่งนี้ยังคงต้องการทําธุรกิจ ด้วยสถานะอันสูงส่งของท่าน สถานที่แห่งนี้ไม่สามารถรับใช้ใครสักคนที่น่านับถือเหมือนท่านได้เจ้าค่ะ”

 

เพิ่งหยูเฮงไม่พูดอะไรมาก อย่างไรก็ตามนางมองวังซวน หวงซวนเป็นคนที่เปิดเผย ในขณะที่วังซวนเป็นคนที่ถี่ถ้วนมาก ด้วยการมองเพียงครั้งเดียว นางก็เข้าใจในทันทีว่าสิ่งที่นางคิดถึงคืออะไร นางจึงก้าวไปข้างหน้าแล้วกล่าวกับเฟิงเซียงหรู “คุณหนูสามตระกูลเฟิง เจ้ารู้หรือไม่ว่าความผิดประเภทใดที่เจ้าได้กระทําโดยการปกป้อง คนที่กล้าดูถูกฮ่องเต้ ?

 

เพิ่งเซียงหรูยังมีสีหน้าเหมือนเดิม ราวกับว่านางไม่เห็นวังชวนเนื่องจากนางยังคงจ้องมองที่เพิ่งหยูเฮง หลังจากนั้นไม่นานนางก็กล่าวว่า “ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ข้าไม่เห็นสิ่งที่ข้าไม่เห็น ข้าไม่ได้ยินสิ่งที่ข้าไม่ได้ยิน หากองค์หญิงจอันประสงค์จะยื่นฟ้องเรา พวกเราจะจ่ายให้ทั้งหมด พวกเจ้ามีแค่ 3 คน แต่เรามีพยานหลายคนที่นี่ องค์หญิงเป็นคนฉลาด ข้ารู้สึกว่าท่านจะไม่ไปกับพวกเราสามัญชนที่ต่ําต้อยในสํานักงานของทางการที่จะเผชิญหน้ากันใช่ไหมเจ้าค่ะ ?”

 

เฟิงหยูเฮงหัวเราะ สําหรับเสียวหยา เสียงหัวเราะนั้นดูเหมือนว่าเป็นคนที่ยืนอยู่เหนือฝูงชน อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครเข้าใจว่าเสียงหัวเราะนี้มีความพึงพอใจมากเพียงใด “ลืมมันไปเถิด” นางเพียงแต่จ้องมองที่เพิ่งเซียงหรู แต่กล่าวกับวังซวนว่า “องค์หญิงผู้นี้ไม่มีความสามารถหรือความปรารถนาเช่นนั้น ไปกันเถิด จะพูดอะไรกับคนเหล่านี้ เพียงแค่มองที่พวกนางก็ทําให้ข้ารู้สึกร่าคาญ”

 

ในที่สุดเพิ่งหยูเฮงก็ออกจากร้านเย็บปักโดยที่ยังคงเชิดหน้าสูง ความกล้าหาญขององค์หญิงไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนสามารถเทียบได้ มีคนไม่กี่คนที่ได้เห็นละครเรื่องนี้ตีแผ่ นางกล้าที่จะเชื่อคําพูดขององค์หญิงจีอันและคุณหนู สามของตระกูลเฟิงที่ได้รับการโต้เถียงจะกระจายไปทั่วเมืองหลวง ในเวลาเดียวกันคุณหนูสามตระกูลเฟิงก็ยืนอยู่ข้างเดียวกับคุณหนูจากบ้านตระกูลเหยา เจ้านายของตระกูลเฟิงและคุณหนูสีซึ่งตอนนี้กําลังตัดสินใจได้ยอมรับนางแล้ว ดูเหมือนว่าองค์หญิงจีอันนั้นโดดเดี่ยวและไม่มีญาติเลย

 

เพิ่งหยูเฮงเดินผ่านหิมะและเสียงที่ดังกึกก้องฟังดูน่าพอใจมาก หวงซวนค่อยๆ เข้ามาทําความเข้าใจว่าทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นจากการที่นางพลาดไป มันเป็นการแสดงให้เห็นว่าองค์หญิงจีอันตัดขาดจากตระกูลเฟิงและตระกูลเหยาแล้ว แต่นางก็ยังรู้สึกว่าสิ่งต่าง ๆ ไม่เป็นธรรมต่อเฟิงหยูเฮง “คุณหนู ทําไมเราที่ต้องทําแบบนี้ ? แม้ว่ามันจะเป็นไปเพื่อประโยชน์ของพวกเขา ข้ายังรู้สึกไม่ดีเกี่ยวกับเรื่องนี้เจ้าค่ะ”

 

เฟิงหยูเฮงมองกลับไปปลอบใจนาง “อะไรคือความทุกข์นี้ ? ถ้าข้าไม่ทําสิ่งนี้จะมีอาการเจ็บมากขึ้นในอนาคต ทุกคนสามารถเห็นว่าอันตรายที่อยู่รอบตัวข้าเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ จะมีวันหนึ่งที่พวกเขาจะกําหนดเป้าหมายไปที่สหายและครอบครัวของข้า ถ้าข้าไม่ทําทุกอย่างเท่าที่ทําได้เพื่อตัดความสัมพันธ์กับพวกเขาให้หมดจด เมื่อพวกเขากลายเป็นจุดอ่อนของข้าและกลายเป็นเป้าหมายสําหรับศัตรูของข้า มันจะสายเกินไปที่จะร้องไห้ ยิ่งไปกว่านั้นเหยาชื่อไม่ได้อยู่ใกลข้าอีกต่อไป นางยอมรับเสี่ยวหยา และความรู้สึกของข้าที่มีต่อนางมีทั้งหมดหายไปแล้ว น่าเสียดาย

 

เมื่อได้ยินนางพูดอย่างนี้ หวงซวนก็ยอมแพ้ในเรื่องนี้และไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม แต่เฟิงหยูเฮงกล่าวกับตัวเองว่า “เมื่อเห็นเฟิงเซียงหรูตอนนี้ ข้ารู้สึกปลื้มใจจริง ๆ ! ในที่สุดนางก็เข้าใจวิธีการใช้ประโยชน์จากคนที่อยู่

 

ข้างนางด้วยอานาจ เพื่อหลีกเลี่ยงความสูญเสียใด ๆ นางจะไม่ถูกกลั่นแกล้งอย่างง่ายดายเหมือนเมื่อก่อนนี้ เป็นสิ่งที่ดีมาก”

 

“ใช่เจ้าค่ะ คุณหนูสามกล้าหาญกว่าเมื่อก่อน” วังซวนยกย่องนางเช่นกัน “แม้แต่อนุอันก็ยังไม่อ่อนแอเหมือนเมื่อก่อน”

 

รอยยิ้มอันน่ายินดีของเฟิงหยูเฮงปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ขณะที่นางพาบ่าวรับใช้สองคนของนางไปเล่นหิมะบนถนน ดูเหมือนว่านางจะอารมณ์ดี

 

ในอีกด้านหนึ่งภายในร้านเย็บปัก เสี่ยวหยากําลังเตรียมที่จะแสดงความขอบคุณนางต่อเฟิงเซียงหรูที่ช่วยเหลือ ในเวลาเดียวกันนางก็ต้องการที่จะได้ใกล้ชิดกับคุณหนูสามของตระกูลเฟิง อย่างไรก็ตามนางได้ยินเฟิงเซียง หรูใช้น้ําเสียงเย็นชาและไร้อารมณ์ที่จะกล่าวกับนาง “เอาสิ่งที่เจ้าชื่อออกจากที่น้อย่างรวดเร็ว โปรดจําไว้ว่า เนื่องจากเจ้ากําลังเคลื่อนไหวโดยใช้ชื่อคุณหนูตระกูลเฟิง เจ้าต้องใส่ใจกับคําพูดและการกระทําของเจ้า อย่าเชื่อว่าเจ้าคุกคามข้าได้จริง ๆ ข้าไม่อยากสร้างปัญหามากเกินไป ไม่อย่างนั้นเจ้าคิดว่าคําพูดของคนพวกนี้มีน้ําหนักมากเมื่อเทียบกับข้อกล่าวหาขององค์หญิงจีอันหรือไม่ ? ออกไปจากที่นี้อย่างรวดเร็ว”

 

เสี่ยวหยาเข้าใจดีว่าเฟิงเซียงหรูไม่ต้องการให้ตระกูลเฟิงเข้ามามีส่วนร่วม ดังนั้นนางจะต่อสู้กับเฟิงหยูเฮง แต่เมื่อมองจากอีกด้านหนึ่ง นางไม่มีความประทับใจในตัวเอง นางไม่ได้ตั้งใจจะอยู่ที่นี่ นางเพียงแค่พูดอย่างเย็นชาขณะที่นางจากไปกับบ่าวรับใช้ที่ถือของที่ซื้อมา

 

เมื่อเห็นว่าเสี่ยวหยาจากไป อันชิก็ให้พนักงานปิดประตูร้าน นางจะปิดร้านแล้วในวันนี้ จากนั้นนางก็ไปหาบุตรสาวของนาง และต้องการที่จะปลอบนางเล็กน้อย อย่างไรก็ตามนางเห็นว่าใบหน้าของเฟิงเซียงหรูเต็มไปด้วยน้ําตา เฟิงเซียงหรูกัดริมฝีปากล่างและพยายามอย่างที่สุดที่จะไม่ส่งเสียง แต่นางอยู่ใกล้และได้ยินเสียงสะอื้นที่เงียบสงบของเฟิงเซียงหรูกล่าวว่า “พี่รอง ท่านพี่ต้องดูแลตัวเองให้ดี”

 

ตอนที่ 732 ใครจะอยากได้แม่แบบนั้น

 

หลังจากการตะโกน มีบางคนที่รีบหลบออกไปอย่างรวดเร็วมาก หวงซวนโกรธ และต้องการตอบโต้ด้วย แม้กระนั้นนางก็หยุดโดยเพิ่งหยูเฮง นางจึงบ่าวรับใช้ทั้งสองไปที่ด้านข้างนางจึงออกมา และส่งสัญญาณให้ทั้งสอง ทําตัวไม่ดึงดูดความสนใจ

 

วังซวนเข้าใจความตั้งใจของนางและบอกหวงซวนอย่างเงียบ ๆ “เรารอดูอะไรสนุก ๆ กันดีกว่า”

 

หวงซวนจัดการเพื่อตอบสนอง แต่ความคิดของนางไม่เหมือนกับของเฟิงหยูเฮง และของวังซวน นางกล่าวว่า “โอ้ คุณหนูตระกูลเฟิง เพื่อที่จะได้มาที่ร้านเย็บปักนี้จะต้องเป็นคุณหนูสามหรืออาจเป็นเฟิงเฟินได” หลังจากคิด “ดังนั้นมันต้องเป็นเฟิงเฟินได” ขณะที่นางพูด นางเงยหน้าขึ้นมอง แต่รู้สึกตกใจอย่างยิ่งเพราะเกือบจะอุทานออกมา เมื่อกลุ่มนั้นเข้าสู่ร้านเย็บปัก วังซวนปิดปากนางหวงซวนถามด้วยความสับสน “นั่นเสียวหยาหรือ ? นางกลายเป็นคุณหนูตระกูลเฟิงได้อย่างไร ?”

 

วังซวนเดือนนางว่า “เจ้าลืมไปหรือไม่ว่านางถูกเรียกคุณหนูที่เรือนนั้น”

 

“ถึงอย่างนั้นนางก็ควรจะเรียกคุณหนูตระกูลเหยา !” แน่นอนหวงซวนรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่นางเชื่อเสมอว่าเป็นสิ่งที่สงวนไว้สําหรับภายในเรือนนั้น และเสียวหยาจะไม่กล้าท่ามัน มันน่าเสียดายที่นางลืมไปว่าแม้ว่าเสียวหยาไม่กล้า แต่เหยาชื่อกล่าทําเช่นนั้น ยิ่งไปกว่านั้นด้วยการกระตุ้นของเหยาชื่อ ทําให้ตอนนี้เสียวหยากล้าที่จะทํา

 

เมื่อเห็นว่าเสียวหยาได้รับเชิญอย่างสุภาพเข้าร้านปัก ผู้เข้าร่วมประชุมสองคนถูกทิ้งไว้ที่ประตูทั้งสองยืน เชิดหน้าและตะโกนว่า “อยู่ห่างออกไป อย่ามอง หากเจ้ารบกวนคุณหนูตระกูลเฟิงในการเลือกสิ่งต่าง ๆ จะไม่ดีสําหรับเจ้า”

 

ในความเป็นจริง จะมีผู้ชมจํานวนมากได้อย่างไร นอกจากคนไม่กี่คนที่ผ่านมาโดยต้องการที่จะเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น คนอื่น ๆ ก็ไม่ได้มองไปในทิศทางนั้น นี่เป็นร้านค้าของตระกูลเฟิง และตระกูลเฟิงก็คิดถึงเด็ก ๆ ที่ทําตัวเหมือนเฟิงเฟินได หรือคนที่มา และพวกเขาก็ไม่ได้คิดมาก ประชาชนทั่วไปจะเห็นได้อย่างไรว่าคนที่สูงส่งสามารถมองเห็นได้ง่าย แม้แต่ในเมืองหลวงเฟิงเฟินไดเดินไปตามถนน พวกเขาไม่กล้ามองนางอีกเลย พวกเขาไม่สามารถแยกความแตกต่างระหว่างใคร และสิ่งที่พวกเขาดูเหมือนจะเป็น

 

เช่นนี้ เสี่ยวหยาใช้เวลาในร้านค้านานมาก ในช่วงเวลานี้บ่าวรับใช้ที่นางนํามาด้วยจะออกจากร้านพร้อมกับกองสิ่งของในมือ ดูเหมือนว่าเสียวหยาจะซื้อของบางอย่าง หวงซวนรู้สึกงงงวย “ร้านปักของอนุอันลดราคาหรือ หรือซื้อหนึ่งแถมหนึ่ง เสียวหยาซื้อเยอะมาก ๆ แต่ไม่นําเงินมาใช่หรือไม่ ? นางเอาเงินจากไหน ? ท่านฮูหยินเหยาสูญเสียตําแหน่งของนางในฐานะฮูหยินขั้นหนึ่ง มันไม่ได้แปลว่าพวกเขามีชีวิตที่แย่มากหรือ ?”

 

เฟิงหยูเฮงส่ายหัวของนาง “เนื่องจากตระกูลเหยาใช้การกระทําของข้าต่อเหยาชื่อเพื่อเป็นศัตรูกับข้า ละครเรื่องนี้จึงต้องมีการแสดงอย่างเต็มที่ แม้ว่าเหยาชื่อเป็นบุตรสาวที่แต่งงานแล้ว แต่ในสถานการณ์ที่นางไม่สะดวกที่จะย้ายกลับเข้าไปในคฤหาสน์ ตระกูลเหยาก็ไม่สามารถปฏิบัติต่อเรือนของนางได้ไม่ดีนัก สําหรับการแสดงออกที่พวกเขายืนเคียงข้างเหยาซื้อ ท่านลุงทั้งสามและท่านป้าของข้า และแม้แต่ท่านปู่ของข้าก็ไปที่เรือนหลังนั้น แต่ละคนมอบเงินจํานวนมากเพื่อปลอบโยนนาง ในเวลาเดียวกันคฤหาสน์เหยาส่งเงินไม่น้อยไปกว่าสิ่งที่นางจะได้รับในฐานะฮูหยินขั้นหนึ่ง นั่นเป็นเหตุผลที่เสี่ยวหยามีเงิน”

 

วังซวนยิ้มและกล่าวว่า “นั่นก็ดีเช่นกัน เงินถูกนํามาจากตระกูลเหยาจากนั้นใช้เวลาในสถานที่ที่พลาดไม่ได้ มันไม่สามารถพิจารณาได้ว่าเป็นของเสีย คุณหนูต้องการเข้าไปในร้านและพบนางหรือไม่?”

 

“ดี !” เพิ่งหยูเฮงไม่ปฏิเสธความคิดนี้ และเห็นด้วยเพราะนางเป็นคนแรกที่เริ่มเคลื่อนไหว

 

เมื่อพวกนางมาถึงทางเข้า คนสองคนที่ยืนเฝ้าอยู่ด้านนอกเห็นนางมา พวกนางตะโกนเสียงดัง “หยุด !” จากนั้นพวกนางกล่าวว่า “คุณหนูตระกูลเฟิงกําลังเลือกของอยู่ข้างใน คนที่ไม่เกี่ยวข้องไม่ได้รับอนุญาตให้เข้า !” ในขณะเดียวกันนางก็ยื่นแขนที่หนาและยาวออกไปทางเฟิงหยูเฮง

 

น่าเสียดายที่เท้าของเฟิงหยูเฮงไม่ได้หยุดเคลื่อนไหว ราวกับว่านางไม่เห็น นางเดินต่อไป ในพริบตาทั้งสองก็รู้สึกว่าปลายแขนของพวกนางชาราวกับว่าพวกนางถูกจับอย่างแน่นหนา พวกนางไม่สามารถถูกย้ายหรือดึงกลับ หลังจากนี้จะได้ยินเสียง “แตก” และแขนที่หยุดกลางอากาศก็ลดลงในทันที ใบหน้าของชายผู้แข็งแกร่งบิด เบี้ยว และเหงื่อก็เปียกโชก แม้กระนั้นความเจ็บปวดทําให้เขาไม่สามารถทําเสียงเดียว กระดูกถูกหักอย่างกะทันหัน มันเกิดขึ้นโดยไม่มีการเดือนล่วงหน้า และพวกเขาก็ไม่มีโอกาสได้เห็นว่าแขนหักอย่างไร พวกเขาแค่รู้สึกว่าเด็กผู้หญิงที่ก้าวออกมาข้างหน้าค่อย ๆ ยกมือขึ้นและกระแทกเข้ากับพวกเขาเบา ๆ โดยไม่เปลี่ยนสีหน้าก่อนที่กระดูกแตก

 

ด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความรังเกียจ หวงซวนมองคนสองคนที่ล้มลงจากนั้นก็เตะพวกเขาท้องสองสามครั้ง ในเวลาเดียวกันนางกล่าวว่า “เจ้าเป็นเหมือนสุนัขที่ข่คนด้วยพลังของเจ้า แต่ถ้าเจ้าอยากเป็นสุนัข เจ้าต้องเลือกนายที่ดีไม่ใช่หรือ ? สุนัขที่ไม่สามารถเลือกเจ้านายที่ดีนั้นจะเป็นสุนัขที่ดีได้อย่างไร”

 

วังซวนหัวเราะเยาะขณะที่มองดูพวกเขา จากนั้นตามเฟิงหยูเฮงเข้าไปในร้าน

 

ความโกลาหลจากทางเข้าได้รับความสนใจจากลูกค้าในร้าน เสี่ยวหยายังไม่ได้ดําเนินการเพื่อแก้ไขสถานการณ์ แม้ว่าผู้คนที่อยู่ข้างนอกไม่ต้องการที่จะล่วงเกินชายสองคนข้างนอก และไม่สามารถเข้าไปข้างในได้ แต่ก็ไม่มีใครในแวดวงและคุณหนูอยู่ บางคนเป็นลูกค้าประจําและคุ้นเคยกับอันชิและเพิ่งเซียงหรู พวกนางย่อมจําเฟิงหยูเฮงได้เป็นอย่างดี และการปรากฏตัวของเสี่ยวหยาทําให้พวกเขาเชื่อว่าเฟิงหยูเฮงมาถึงแล้ว พวกเขาต่างก็ชื่นชมและแสดงความเคารพ และเสี่ยวหยาพยักหน้าอย่างพึงพอใจเรียกให้พวกเขาลุกขึ้น ผลที่ตามมา เพียงชั่วพริบตา องค์หญิงจีอันตัวจริงก็เข้ามา และ …

 

หากไม่มีเพิ่งหยูเฮงตัวจริง เสี่ยหยาผู้ทําตัวแสร้งปลอมเป็นตัวจริงอาจสามารถหลอกคนอื่นได้ แต่เมื่อเฟิงหยูเฮงนั้นยืนอยู่ต่อหน้าทุกคน คนที่ไม่ตาบอดก็สามารถแยกแยะได้ทันที ระหว่างตัวจริงและตัวปลอม ! ท่านฮูหยิน และคุณหนูที่ถูกหลอกนั้นต่างตกตะลึง บรรยากาศนี้ลักษณะนี้ทั้งสองมีระดับที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง เมื่อเทียบกับเฟิงหยูเฮง เสียวหยาเป็นเหมือนนักแสดงริมถนนที่ไม่สามารถแสดงได้

 

บางคนโกรธและเริ่มชี้ไปที่เสี่ยวหยาขณะสบถ แต่ไม่ว่านางจะสาปแช่งเท่าไร เสียวหยามบ่าวรับใช้มากมายอยู่เคียงข้างนาง และมีคนเดินไปข้างหน้าทันทีเพื่อผลักคนที่ทําให้เกิดความวุ่นวายออกไป เพิ่งหยูเฮงไม่ได้หยุดพวกเขาและเพียงเฝ้าดูเสี่ยวหยาทําให้เกิดความปั่นป่วนจนเกือบทุกคนที่มาซื้อของถูกไล่ จากนั้นนางได้ยิน เสี่ยวหยากล่าวขึ้นมาว่า “องค์หญิงจีอัน เจ้าและตระกูลเหยาได้ตัดความสัมพันธ์กันไปแล้ว ดังนั้นเจ้าไม่ควรที่จะดำรงตําแหน่งต่อไปในฐานะคุณหนูตระกูลเฟิงใช่หรือไม่ ?”

เฟิงหยูเฮงไม่พูด แต่หวงชวนที่อยู่ข้างนางไม่สามารถกลั้นไว้ได้ว่า “ฮ่าๆๆ ! ใครจะอยากได้ มีแต่สาวบ้านนอกอย่างเจ้าเท่านั้นแหละที่อยากได้ คิดว่าจะมีความสุขหรือ?”

 

เสียวหยาเกลียดน่าวรับใช้ที่อยู่ข้างเฟิงหยูเฮงเสมอ แต่ไม่มีอะไรที่นางจะทําได้ หวงซวนและวังชวนรู้จักศิลปะการต่อสู้ ดังนั้นนางจึงไม่สามารถทําให้พวกเขาโกรธได้ ดังนั้นนางจึงเพิกเฉยพวกเขา นางหันไปรอบ ๆ และมองดูการเย็บปักที่นางเลือกต่อไป หลังจากพลิกดูพวกมันทั้งหมด แล้วนางก็ชี้ไปที่อีกด้านหนึ่งที่นางยังไม่ได้ เรียกดูและกล่าว “ห่อมันทั้งหมด ข้าต้องการทั้งหมด”

 

วันนี้เป็นอันชิที่ดูแลร้านด้วยตัวเอง การมาถึงของเฟิงหยูเฮงไม่ได้พบกับความอบอุ่นตามปกติ นางกลับแสดงความเคารพและให้ความเอาใจใส่เหมือนคนอื่น ๆ ตอนนี้นางได้ยินว่าเสี่ยวยาต้องการซื้องานเย็บปักทั้งหมด นางไม่ได้พูดอะไรมากและรีบจัดให้พนักงานห่อของให้นางก่อนจะกล่าวกับเสี่ยวหยา “คุณหนู รวมทั้งหมด 270 เหรียญเงินเจ้าค่ะ”

 

270 เหรียญเงินไม่ใช่จํานวนเล็กน้อย ถ้ามันอยู่ในมือของเฟิงจินหยวน มันจะเพียงพอสําหรับค่าใช้จ่ายสองสามเดือน แต่เสียวหยาทําเหมือนไม่มีอะไรเลย เพียงทําท่าทางให้บ่าวรับใช้ที่อยู่ด้านข้างนางบ่าวรับใช้นําตัว แลกเงิน 3 ใบออกมาทันที เพิ่งหยูเฮงมองดูตั๋วแลกเงิน บ่าวรับใช้นี้ไม่ได้เป็นคนเดิมเป็นของเรือนนั้น เมื่อนึกถึงเรื่องนี้นางจะต้องถูกพาเข้ามาทีหลัง

 

หวงซวนทนมองท่าทางหยิ่งยโสของเสี่ยวหยาไม่ได้ และกล่าวอย่างตั้งใจว่า “ด้วยเงินเพียงเล็กน้อยนั้น อย่าได้อวดรวยไปเสียทุกที่”

 

เสี่ยวหยาใจเต้นแรงและไม่สนใจหวงซวน แต่กล่าวกับเพิ่งหยูเฮง “อย่างไรก็ตามเงินจํานวนมากนี้ถูกมอบให้โดยท่านแม่ การมีท่านแม่คอยเอาใจใส่เป็นสิ่งที่ดี องค์หญิง เจ้าคิดว่าอย่างไร ?”

 

“เจ้า” หวงซวนโมโห ค่าพูดของเสียวหยาเหมือนกันกับการแทงที่หัวใจของเฟิงหยูเฮง นางจะทนได้อย่างไร

 

แต่เฟิงหยูเฮงไม่ได้สนใจอะไรเลยแม้แต่น้อย นางยังหัวเราะและกล่าวกับหวงซวน “เจ้าจะทําอะไรได้ ? แม่แบบนั้น ใครจะอยากได้” จากนั้นนางก็มองไปที่เสี่ยวหยา โดยที่มุมปากของนางขดตัว “องค์หญิงผู้นี้ก็มีมารดา ซึ่งเป็นพระชายาหยุนในพระราชวังด้วย ข้าเรียกนางว่าเสด็จแม่ ข้าก็มีท่านพ่อด้วย และท่านพ่อก็อยู่ในพระราช วังด้วย ข้าลืมบอกเจ้าว่าข้าเรียกเขาว่าเสด็จพ่อ”

 

“ฮ่าๆๆ!” คําพูดเหล่านี้ทําให้เสี่ยวหยาเริ่มหัวเราะ จากนั้นนางก็ชี้ไปที่เพิ่งหยูเฮง และกล่าวว่า “อย่าพยายามยกย่องตัวเอง สามารถเรียกพวกเขาได้ว่าเป็นเสด็จพ่อ เสด็จแม่ ! พวกเขาเกี่ยวข้องทางสายเลือดกับเจ้าหรือไม่ ? เจ้ายังไม่ได้แต่งงาน แต่เจ้าเรียกพวกเขาว่าเป็นเสด็จพ่อ เสด็จแม่ เจ้าไม่รู้สึกละอายใจเลยหรือ” ปัจจุบันเสียวหยาเป็นเหมือนผู้หญิงที่ด่าตะโกนใส่ร้าย และนางก็เริ่มรู้สึกเหมือนเพิ่งเฟินไดมากขึ้นเรื่อย ๆ มันเป็นเพียงการมองในสายตาของนางว่าแม้แต่เฟิงเฟินไดก็ไม่สามารถเปรียบเทียบได้ “องค์หญิงจอนอย่าโทษข้าเพราะไม่เตือนเจ้า แม้แต่ท่านพ่อและท่านแม่แท้ ๆของเจ้าก็ไม่ยอมรับเจ้า เจ้ากลับไปเรียกคนอื่นเป็นท่านพ่อท่านแม่ คนอย่างเจ้าจะต้องชดใช้กรรมสักวันหนึ่ง ! ระวังว่าท่านพ่อและท่านแม่คนใหม่ของเจ้าจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการชดใช้กรรมนี้ เมื่อเวลานั้นมาถึงทั้งครอบครัวจะไม่มีเงื่อนงําว่ามันจะตายอย่างไร ลูกอกตัญญอย่างเจ้าจะต้องถูกฟ้าผ่าตายสักวันหนึ่ง !”

 

ยิ่งเสียวหยาพูดมากเท่าไร ไฟก็จะยิ่งพุ่งออกมาจากดวงดาของนาง และยิ่งคําพูดของนางรุนแรงเกินไป แม้แต่อันธิก็ไม่สามารถทนฟังได้ นางต้องการที่จะไปหยุดเสียวหยาสองสามครั้ง แต่นางก็หยุดดูจากวังซวน

 

ความบ้าคลังของเสียวหยายังคงดําเนินต่อไป นางจ้องมองที่เพิ่งหยูเฮงและกัดฟัน “เจ้าทําให้ท่านพ่อท่านแม่ของข้าตาย หนี้แค้นนี้ข้าเก็บมันทั้งหมดไว้ในใจ เฟิงหยูเฮง ข้าสาปแช่งเจ้า ข้าสาปแช่งเสด็จพ่อและเสด็จแม่ของเจ้าให้ตายอย่างอนาถ ! ตายอย่างไม่ยุติธรรม !”

 

เมื่อค่าพูดเหล่านี้หลุดออกมา วังซวนและหวงซวนก็มองหน้ากันทันที และทั้งสองคนก็คิดเช่นเดียวกัน : คนผู้นี้บ้าไปแล้ว

 

ถูกต้อง ถ่านางไม่บ้า นางจะกล้าพูดสิ่งนี้ออกไปได้อย่างไร ?

 

แต่เพิ่งหยูเฮงไม่โกรธ นางยังคงยิ้มอย่างมีเลศนัยขณะที่มองนาง รอยยิ้มชั่วร้ายแบบนั้นที่เหมือนกับของชวนเทียนหมิง มันได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของพวกเขา คนที่คุ้นเคยกับทั้งสองก็รู้ว่าเมื่อพวกเขาทําท่าเช่นนี้ คนที่ท่าให้พวกเขาขุ่นเคืองจะได้รับความสูญเสียอย่างรวดเร็ว

 

นางก็ได้ยินเสียงฝีเท้ามาจากข้างหลังนางนั่นเอง นางหันกลับมามองอย่างไม่รู้ตัว ในความพร่ามัวคนที่เพิ่งเห็นก็ดูเหมือนจะเป็นคุณหนูคนหนึ่งของร้านปักแห่งนี้ นอกจากนี้นางยังเป็นคุณหนูสามของตระกูลเฟิง, เฟิงเซียงหรู นางยกมือขึ้นโดยไม่ลังเลและตบหน้าของนาง

 

ตอนที่ 731 เคารพเขาในฐานะพ่อ

 

เพิ่งหยูเฮงไม่เคยเห็นพระชายาหยุนเป็นแบบนี้มาก่อน ในความคิดของนาง พระชายาหยุนนั้นทั้งหัวเราะและยิ้มหรือแสดงความภาคภูมิใจ ในขณะที่เล่าเรื่องบุตรชายสองคนของนาง ไม่มีความรู้สึกมากกว่าหรือน้อยกว่า และมันเป็นฉากที่กลมกลืนกันมาก

 

แต่ตอนนี้นางสามารถเห็นประกายแวววาวจากดวงตาของพระชายาหยุนเมื่อนางมองเหยาเซียน แต่นี่เป็นเพียงชั่วขณะหนึ่ง เนื่องจากพระชายาหยุนผู้ดื้อรั้นน้ําตาไหลออกมา และกล่าวกับเหยาเซียนต่อไป “เพราะข้าจา ได้ว่าท่านลุงพูดกับข้าก่อนออกไปว่า ไม่จําเป็นต้องแต่งงานกับคนที่มีอิทธิพลในเรื่องนี้ และไม่จําเป็นต้องทําตัวให้สง่างาม แต่พวกเขาต้องปฏิบัติต่อข้าเป็นอย่างดีและคิดถึงข้าเพียงอย่างเดียว ท่านลุงบอกว่าบ้านเราดีมาก คนบริสุทธิ์และความคิดของคนเรียบง่าย ผู้คนที่อาศัยอยู่ที่นั้นจะมีความสุขที่สุด ใต้เท้าเหยาหวังว่าข้าจะมีความสุขที่ได้อยู่ในบ้านนั้นตลอดชีวิต และหวังว่าข้าจะไม่เป็นเหมือนท่านแม่ของข้า และถูกใครบางคนหลอกจากข้างนอก แต่…ข้าถูกใครบางคนหลอก ไม่เพียงแต่ข้าถูกหลอก แต่ข้าก็จากที่นั่นมากับเขาอีกด้วย แม้ว่าจะมีโรคระบาดกําลังแพร่กระจายในเวลานั้น ซึ่งทําให้เราไม่มีทางเลือกอื่น แต่ข้าพบว่าเขาเป็นผู้ปกครองของอาณาจักร หลังจากติดตามเขากลับบ้าน เขามีภรรยาและบุตรอยู่แล้ว… ทุกคนบอกว่าภรรยาเป็นคนแรก นางสนมเป็นคนที่สอง บุตรเป็นคนที่สาม และบ่าวรับใช้ที่สี่ ในเวลานั้นข้านับนิ้วของข้า และพบว่าข้าไม่ได้แม้แต่อันดับที่ห้า เขามีบุตรหลายคนอยู่แล้ว” เสียงของพระชายาหยุนเต็มไปด้วยความเหงาและเต็มไปด้วยน้ําเสียงที่เย้ยหยัน หันหน้าไปทางเหยาเซียน นางดูเหมือนเด็กที่ทําอะไรผิด นางกลัวและเต็มไปด้วยความเศร้าโศก คําพูดของนางนํามาซึ่งความเห็นใจจากเหยาเสียนเท่านั้น แต่ไม่มีเสียงสะท้อน เหยาเซียนใช้ความสามารถทั้งหมดของเขาเพื่อค้นหาความทรงจําที่เป็นของเจ้าของร่างเดิมเพื่อค้นหาช่วงเวลานี้ น่าเสียดายที่ผลลัพธ์สุดท้ายคือเขาสามารถพบความทรงจําที่คลุมเครือของการใช้ชีวิตในบ้านพักบนภูเขา แต่เขาจําไม่ได้อีกมาก ความทรงจําที่เป็นของเจ้าของร่างเดิมของเหยาเซียนไม่ชัดเจนเหมือนของเฟิงหยูเฮง ท้ายที่สุดอายุของเหยาเซียนคนเดิมนั้นค่อนข้างมากในเวลาที่เขาผ่านไป นอกจากนี้เมื่อเฟิงหยูเฮงมาถึงโลกนี้ร่างกายมีอายุเพียง 12 ปี ความทรงจําเริ่มตั้งแต่อายุ 3 หรือ 4 ปีและไม่เกิน 10 ปี ความทรงจําเหล่านั้นจะชัดเจนขึ้นตามธรรมชาติ เหยาเซียนคนเดิมได้มีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนนับไม่ถ้วน เรื่องของพระชายาหยุนเมื่อ 30 กว่าปีก่อน การที่ไม่สามารถจําได้นั้นมันเป็นเรื่องปกติ

 

พระชายาหยุนไม่ได้ถามว่าเหยาเซียนสามารถจ่านางได้หรือไม่ ดูเหมือนว่าปฏิกิริยาของเหยาเซียนไม่ได้มีความสําคัญกับนางมากนัก นางแค่อยากจะเอ่ยความในใจของนางออกมา และแค่อยากจะพูดในสิ่งที่นางอยากจะพูด ด้วยการพูดถึงสิ่งที่นางเก็บงําไว้ตลอดเวลาหลายปี นางรู้สึกดีขึ้น

 

โชคดีที่เหยาเซียนและเฟิงหยูเฮงเป็นคนที่อดทนมาก นอกจากนี้พวกเขายังต้องการฟังเรื่องราวของพระชายาหยุนด้วย ดังนั้นทั้งสามนั่งในห้องโถงของอาคารชมจันทร์ และพูดคุยดื่มชา กินผลไม้และขนมอบ ตั้งแต่เที่ยงจนถึงเย็นพวกเขาคุยกันจนความประทับใจปรากฏในใจของเหยาเซ็นนอีกครั้ง นางยังจําได้ว่าเหยาเซียนคนเดิมช่วยชีวิตสตรีมีครรภ์ที่อยู่ลึกลงไปในภูเขาเมื่อหลายสิบปีก่อน ในเวลานั้นเขาเข้าไปในภูเขาเพราะต้องการค้นหาสมุนไพรที่มีค่าบางอย่าง หลังจากช่วยหญิงตั้งครรภ์ เขาไปที่หมู่บ้านบนภูเขาและผู้คนที่นั้นก็ยินดีต้อนรับ เขาอยู่ไม่กี่ปีและในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเขาได้วิจัยสมุนไพรพิเศษหลายอย่าง

 

แต่ในที่สุดมันก็ยังคงเหมือนเดิม ในความทรงจําของเหยาเซียน สิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับพระชายาหยุนและมารดาของนางเป็นอากาศ สิ่งนี้ทําให้เหยาเซียนรู้ว่าเหยาเซียนคนเดิมเป็นคนที่ค่อนข้างเฉยต่อผู้คน เขาทุ่มเทอย่างยิ่งกับการเรียนแพทย์ การช่วยเหลือผู้คนเป็นเพียงการออกกําลังกายง่าย ๆ ในการใช้ความสามารถของเขา มันเป็นเพียงส่วนหนึ่งของงาน แต่เกี่ยวกับบุคคลประเภทใดที่เขากําลังออม เขาไม่มีความทรงจํามากมาย ในความเป็นจริงในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เขาอยู่ห่างไกลและไม่ได้ติดต่อกับคนในตระกูลเหยา เขายังคงอยู่ในภูเขา ทิ้งตระกูลเหยาไว้ในเมืองหลวง จากการคำนวณบุตรชายคนเล็กของเจ้าของร่างเดิมก็ยังไม่โตมาก

 

แต่นั้นเป็นเรื่องของอดีต เหยาเซียนไม่สามารถจําได้ในขณะนี้ และพระชายาหยุนไม่หวังว่าเขาจะจํานางได้มาก แต่ดูเหมือนว่านางจะสบายดีและพูดจาสุภาพเล็กน้อย ด้วยการที่มีเพิ่งหยูเฮงช่วยบรรยากาศดีกว่า เมื่อพวกเขาเข้ามาครั้งแรก

 

เฟิงหยูเฮงและเหยาเซียนออกจากพระราชวังในตอนเย็น เมื่อพวกเขาออกไป พระชายาหยุนมีสีหน้าที่ผ่อนคลาย นางเติมเต็มความปรารถนาตลอดชีวิตและนี่คือสิ่งที่ดี สําหรับเหยาเซียน ไม่ว่าจะเป็นคนใกล้ชิดหรือเป็นคนที่อยู่ห่างไกลทําให้นางสามารถบรรเทาภาระที่หนักหน่วงได้ หลังจากคิดในภายหลัง นางคิดว่าผลลัพธ์แบบนี้ดีที่สุด นางจ่าได้และเขาก็ประทับใจ มันไม่ไกลเกินไปหรือใกล้เกินไป มันไม่ได้ใกล้ชิดหรือละเลย ตอนนี้พวกเขามีด้วย ทั้งสองมีช่วงเวลาพิเศษเพื่อความสัมพันธ์ของพวกเขา ความรู้สึกแบบนี้ดีมาก ไม่ว่านางจะเป็นอย่างไร นางเคารพเขาในฐานะบิดา และยึดมั่นในหัวใจ นั่นก็เพียงพอแล้ว

 

เฟิงหยูเฮงใช้มิติของนางพาเหยาเซียนออกจากพระราชวัง เมื่อพวกเขากลับไปที่คฤหาสน์ขององค์หญิงและกลับไปที่ห้องของนางเอง นางก็ไม่สนใจทุกคนและเข้าไปในมิติของนาง

 

ในเวลานั้นเหยาเซียนอยู่บนชั้นแรก เดินไปมาใกล้ ๆ ตู้ยา เมื่อเห็นเฟิงหยูเฮงเข้ามา เขาก็กล่าวอย่างรวดเร็ว “เมื่อก่อนข้าอยู่ในพระราชวัง ข้าต้องผ่านความทรงจําเก่า ๆ ของเหยาเซียน และพบว่าเมื่อเขาอยู่บนภูเขา เขาตามหาสมุนไพรที่หายาก ทิศทางของการพัฒนาของพวกเขาคือการจัดการกับการอักเสบอ่อนเพลียและเจ็บปวด เป็นเรื่องน่าเสียดายที่ยาที่เขาวิจัยได้ก้าวหน้าอย่างมากในช่วงเวลานี้ แต่เมื่อเทียบกับยาแผนปัจจุบันแล้วไม่มีการใช้แม้แต่น้อย

 

เฟิงหยูเฮงพยักหน้า “ใช่เจ้าค่ะ แม้ว่ายาในโลกนี้จะไม่ได้รับการก้าวไกลมากนัก หากเทียบกับโลกสมัยใหม่ มันก็ขาดไปเล็กน้อย ไม่ว่าจะเป็นในด้านการแพทย์หรือเทคนิค รวมถึงความรู้ของแพทย์จะต้องมีการปรับปรุง มีคนน้อยมากที่เป็นเหมือนซางดังที่จะค้นคว้าเรื่องการผ่าตัด แต่เมื่อการพูดถึงเรื่องนี้ ซางดังก็ได้รับความชื่นชม จากชาวพื้นเมืองบางคนซึ่งทําให้เขาเติบโตขึ้น”

 

“อาเฮง” เหยาเซียนมองนางอย่างจริงจัง “ข้ารู้ว่าเจ้าตั้งใจจะเผยแพร่ข้อมูลทางการแพทย์ที่ทันสมัยในโลกนี้ แต่เจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่ว่ามันจะยากขนาดไหน ? ไม่ต้องพูดถึงความจริงที่ว่าเจ้าและข้าไม่สามารถผลิตยาเหล่านี้ได้ โดยมีเพียงทางเลือกเดียวที่จะนําพวกมันออกจากมิติของเจ้า แต่เมื่อพวกมันออกมาจากมิตินี้ พวกมันจะมีวันหมดอายุ โลกมีขนาดใหญ่มาก เจ้าสามารถจัดการร้านห้องโถงสมุนไพรในเมืองหลวง แต่เมื่อมีจํานวนร้านมากเกินไป แม้กระทั่งการเติมเสบียงจะกลายเป็นปัญหา อาเฮง ความฝันจะสวยงามอยู่เสมอ แต่มันไม่เหมือนจริง”

 

“ข้ารู้เจ้าค่ะ” เฟิงหยูเฮงพยักหน้าและก็เหนื่อย “ข้าเคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน มันจะเป็นการยากที่จะเติมเสบียง แต่ถ้าข้าไม่ลอง ข้าจะรู้สึกไม่สมควร ท่านปู่ ทําไมท่านคิดว่าเล็กเซียนฮ่องเต้จัดให้พวกเรามาที่นี่ ? เป็นไปไม่ได้ที่คนตายทุกคนจะมีการจัดการแยกกัน นอกจากนี้ราชวงศ์ต้าชุนไม่ได้มีอยู่ในประวัติศาสตร์ที่เราเป็นส่วนหนึ่ง ราวกับว่ามันปรากฏตัวออกมาจากอากาศบาง ๆ มีหลายครั้งที่ข้าสงสัยว่าทุกอย่างเป็นจริงหรือไม่ ? ถ้าราชวงศ์ต้าชุนไม่มีอยู่ในประวัติศาสตร์ของเรา ข้าจะพิจารณาอะไรดี” ขณะที่นางพูด นางเริ่มมีอารมณ์เล็กน้อย นี่เป็นความคิดที่มีอยู่ในใจนางตลอดเวลา มันเป็นเพียงว่านางไม่กล้าที่จะพูดออกมา มีหลายครั้งที่นางสงสัยว่านี่เป็นภาพลวงตาและเป็นส่วนหนึ่งของอาการหลงผิด นางไม่กล้าที่จะฟังความคิดเหล่านี้จริง ๆ เพราะกลัวว่าสิ่งต่าง ๆ จะหายไปเมื่อพวกเขาถูกเลี้ยงดูมา มันจะต้องเป็นเพียงว่ามีหลายสิ่งที่นางรักในสถานที่นี้

 

“เจ้าเคยคิดสิ่งต่าง ๆ ที่นั่น” เหยาเซียนบอกนางว่า “มันไม่เหมือนกับประวัติศาสตร์ที่เรารู้ว่าเป็นความจริงของประวัติศาสตร์ แม้แต่นักประวัติศาสตร์ก็กําลังคิดทฤษฎีที่สร้างจากสิ่งประดิษฐ์ที่พบในแต่ละยุคสมัย ราชวงศ์เซียที่เรียกว่าราชวงศ์ซาง และราชวงศ์โจวตะวันตก และช่วงเวลาที่เรียกว่าฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง ซึ่งพวกเขามีคนจากยุคสมัยใหม่ที่มีประสบการณ์ส่วนตัวหรือไม่ ? พวกเขาเป็นนักประวัติศาสตร์ไม่ใช่เทพเจ้า พวกเขาสามารถเข้าใจผิด การที่พวกเขาไม่พูดเกี่ยวกับมันไม่ได้หมายความว่ามันไม่ได้มีอยู่ ในขณะเดียวกันเราที่ไม่รู้ก็ไม่ได้หมายความว่ามันไม่มีอยู่จริง”

 

“ท่านปู่หมายถึงว่าราชวงศ์ต้าชุนยังมีอยู่ในประวัติศาสตร์ของเราหรือ ? เป็นเพียงแค่นักประวัติศาสตร์ของโลกสมัยใหม่ที่ยังไม่พบงั้นหรือ ?” นางขมวดคิ้วและคิดสักครู่ก่อนจะส่ายหัว “มันไม่ควรเป็นอย่างนั้น ขึ้นอยู่กับความเจริญรุ่งเรืองของราชวงศ์ต้าชุน มันไม่ใช่ยุคเดียวกับราชวงศ์เซียหรือราชวงศ์โจวตะวันตก ไม่ว่าจะเป็นอะไร มันจะต้อง… ในเวลาเดียวกันกับราชวงศ์ถังและราชวงศ์ซ่ง มีบางครั้งที่ข้ารู้สึกว่าชื่อเสียงได้มาถึงสถานะเช่นเดียวกับราชวงศ์หมิงแล้ว เมื่ออยู่ใกล้กับประวัติศาสตร์สมัยใหม่ นักประวัติศาสตร์สมัยใหม่จะไม่สามารถค้นหาร่องรอยของมันได้อย่างไร”

 

“ถ้าอย่างนั้นก็มีความเป็นไปได้อีกอย่าง” เหยาเซียนยังกล่าวต่ออีกว่า “มีอีกสถานการณ์หนึ่งที่เรียกว่า “มิติคู่ขนาน’ ในโลกที่แตกต่าง แต่ในเวลาใกล้เคียงกันผู้คนต่างอยู่ในแบบคู่ขนาน เพราะมันขนานกันพวกมันจะไม่ตัดกัน เราใช้ชีวิตของเราและพวกเขาใช้ชีวิตของเขา เริ่มแรกไม่มีความเป็นไปได้ที่พวกเขาจะค้นพบสิ่งอื่น อย่างไรก็ตามเมื่อเราเสียชีวิต มีการผิดปกติระหว่างสองแนวและเรามาถึงอีกมิติหนึ่ง ถ้าข้าพูดแบบนี้เจ้าเข้าใจหรือไม่”

 

มันเป็นคําอธิบายที่ลึกลับมาก แต่เฟิงหยูเฮงเข้าใจมัน ในที่สุดนางก็มาจากศตวรรษที่ 21 วิทยาศาสตร์ในยุคนั้นได้ขยายขอบเขตไปมากแล้ว มีอะไรที่ไม่สามารถพูดคุยได้ ดังนั้นนางพยักหน้าและไม่ได้พูดอะไรอีก จากนั้นนางก็ให้บานซูพาเหยาเซียนกลับไปส่ง อย่างไรก็ตามก่อนที่เหยาเซียนจะจากไป เขากล่าวกับนางว่า “เจ้าทําแบบนี้ถูกต้อง ข้าจะเผชิญหน้ากับการทดลองเหล่านี้กับเจ้า แต่ตระกูลเหยาไม่ใช่ครอบครัวที่แท้จริงของเรา เจ้าดูแลตัวเองด้วย”

 

หิมะแรกของปีตกกลางเดือนสิบ เมื่อมันมาถึงหิมะตกหนักมาก และหิมะหนา ๆ ปกคลุมไปตามถนน ผู้คนเริ่มคาดการณ์ว่าจะเกิดภัยพิบัติในฤดูหนาวอีกครั้งหรือไม่ในปีนั้น โชคดีที่หิมะตกเพียงชั่วขณะหนึ่งก่อนที่จะหยุด

 

เฟิงหยูเฮงนาวังซวนและหวงซวนไปเดินเล่นตามถนน หลังจากเยี่ยมชมร้านค่ไม่กี่แห่ง พวกเขาก็ค่อย ๆ เดินไปรอบ ๆ หวงซวนกล่าวว่าองค์ชายเก๋และนางก็ดื้อรั้นไม่ยอมยอมรับ อย่างไรก็ตามในใจของนาง นางกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทําไมเขาถึงไม่ส่งจดหมายหลังจากไปนานขนาดนี้ ?

 

ทั้งสามเดินไปและจบที่หน้าร้านเย็บปักของอันชิ เมื่อมองไปด้านในของร้านก็มีชีวิตชีวา มีคนไม่กี่คนที่ซื้อ งานปักและมีบางคนซื้อโดยแบกถุงทุกขนาด หวงซวนกล่าวว่า “ร้านค้าของอนุอันเจริญรุ่งเรืองค่อนข้างดี นาง กับคุณหนูสามมีชีวิตที่ดีขึ้นมาเล็กน้อย”

 

วังซวนกล่าวอย่างเงียบ ๆ “ถูกต้อง ! ข้าได้ยินมาว่าภายใต้การกระตุ้นของเฟิงเฟินได องค์ชายห้ได้ลดค่า ใช้จ่ายรายเดือนที่มอบให้ตระกูลเฟิง นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะสนับสนุนค่าใช้จ่ายของเพิ่งจินหยวน ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะพูดเกี่ยวกับการมอบบางส่วนให้กับคุณหนูสามและอนุอัน โชคดีที่พวกนางมีร้านค้าของตัวเองและไม่จําเป็นต้องพึ่งพาคนอื่นเพื่อดูแลพวกนาง”

 

“อย่างที่ข้าเห็น เพียงพอสําหรับเพิ่งจินหยวน” คราวนี้หวงซวนเห็นด้วยกับการกระทําของเฟิงเฟินได้ “เขาควรจะแยกแยะอย่างรุนแรงในสิ่งที่เพิ่งเฟินไดทํา เขายังเป็นบิดา แต่มีร่องรอยของการทําสิ่งใดที่บิดาทํา ? ครั้งล่าสุดที่องค์ชายเหลียนมาคฤหาสน์ขององค์หญิง เขาบอกว่าเฟิงจินหยวนจะปีนกําแพง มีแม้กระทั่งเวลาที่เขา ปืนจากบ้านตระกูลเฟิงไปยังบ้านของจาวเหลียน แขนของเขามีเลือดออกจากการตกจากกําแพง เฟิงเฟินไดก็ไม่ได้เรียกหมอ นางบอกให้เขาทน ข้าได้ยินมาว่าใช้เวลาหลายวันก่อนที่ความเจ็บปวดจะหายเจ้าค่ะ”

 

พวกนางกําลังคุยกัน มีคนตะโกนจากด้านหลังอย่างไม่สุภาพ “คุณหนูตระกูลเฟิงกําลังออกเดินทาง ทุกคน หลีกไปให้พ้น !”

 

TN: ราชวงศ์เซียเชื่อกันว่ามีอยู่ระหว่างปี 2000 ถึง 1600 ปีก่อนคริสตศักราช

 

ราชวงศ์ซางอยู่ระหว่างประมาณ 1600 และ 1,046 ปีก่อนคริสตศักราช

 

ราชวงศ์โจวตะวันตกอยู่ระหว่างประมาณ 1,045 ถึง 771 ปีก่อนคริสตศักราช

 

ราชวงศ์ถังอยู่ระหว่างตั้งแต่ 618 ถึง 904 ปีก่อนคริสตศักราช

 

ราชวงศ์ซ่งอยู่ระหว่างตั้งแต่ 960 จนถึง 1279 ปีก่อนคริสตศักราช

 

ตอนที่ 730 ท่านพ่อ ในที่สุดเปี้ยนเปี้ยนก็สามารถพบท่านได้อีกครั้ง

 

เพิ่งหยูเฮงสามารถรับรู้ว่านางเป็นคนจากพระชายาหยุน และนางถามอย่างรวดเร็ว

 

นางกํานัลคารวะเฟิงหยูเฮงก่อนที่จะกล่าวว่า “ตอนนี้ตําหนักศศิเหมันต์ได้รับการซ่อมแซมจนเสร็จสมบูรณ์แล้วและพระชายาหยุนได้ย้ายเข้ามาแล้วเจ้าค่ะหากองค์หญิงไม่มีอะไรทําในวันพรุ่งนี้องค์หญิงสามารถไปเยี่ยมได้เจ้าค่ะพระชายาหยุนคิดถึงเจ้าค่ะ”

 

“โอ้ ? ตําหนักศศิเหมันต์ซ่อมแซมเสร็จแล้วหรือ ?” เพิ่งหยูเฮงดีใจและกล่าวกับตัวเอง เมื่อพระชายาหยุนย้ายมาอยู่ที่ตําหนักศศิเหมันต์ ฮ่องเต้คงจะหดหูอีกครั้ง ใครจะรู้เมื่อเขาจะได้พบนางอีก นี่ก็เป็นเหตุผลที่ทําให้การซ่อมแซมตําหนักศศ์เหมันต์ล่าช้ามาเป็นเวลานานกว่าจะเสร็จ

 

นางพยักหน้า “กลับไปบอกเสด็จแม่ว่าพรุ่งนี้ข้าจะไปเยี่ยม” เมื่อเห็นนางกํานัลจากไปอย่างมีความสุขนางตะ โกนขึ้นไปในอากาศ “บานซู”

 

บานซูปรากฏตัว และเฟิงหยูเฮงได้ออกคําสั่ง “มุ่งหน้าไปที่ตระกูลเหยาในเช้าวันพรุ่งนี้และแอบพาท่านมาให้ท่านปู่ไปเยี่ยมพระชายาหยุนกับข้า”

 

เช้าวันรุ่งขึ้นบานซูก็พาเหยาเซียนมายังคฤหาสน์ขององค์หญิงอย่างเงียบ ๆ เฟิงหยูเฮงพาเหยาเซียนเข้ามาในมิติของนาง แล้วพาเขาเข้าไปในพระราชวังโดยที่ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครรู้ว่าการเดินทางนี้เข้ามาในพระราชวังที่ดูเหมือนว่าองค์หญิงจอันอยู่ตามล่าพังกับหวงซวนบ่าวรับใช้ของนาง จะให้เหยาเซียนเข้ามาขณะที่ซ่อนตัวอยู่ในสถานที่ซึ่งไม่มีใครรู้ ตามความคาดหวังของเฟิงหยูเฮงเขาสามารถถูกพาไปที่ไหนก็ได้เป็นไปได้อย่างไรที่ตระกูลเหยาและองค์หญิงจอันจะเกลียดกันอย่างกะทันหัน

 

ตําหนักศศ์เหมันต์ที่ได้รับการซ่อมแซมใหม่มีความหรูหรามากกว่าเมื่อก่อน จริง ๆ แล้วฮ่องเต้ใช้ประตูที่ทําด้วยทองค่าบริสุทธิ์ เฟิงหยูเฮงพูดไม่ออกและรู้สึกถึงมัน จากนั้นนางก็ถอนหายใจ“มันท่าด้วยทองค่านั่นทําให้ข้ากลัวแทบตาย”

 

หวงซวนไม่เข้าใจ “คุณหนูพูดว่าอะไรหรือเจ้าคะ ?”

 

นางเคาะประตูพระราชวังและบอกหวงซวน “มันทําด้วยทองคํา และไม่ได้ทําด้วยทองคําทั้งหมดมีเพียงชั้น ทองบาง ๆ วางอยู่ด้านนอก มันดูยอดเยี่ยมมาก ไม่ฟุ่มเฟือยมากเกินไปดูเหมือนว่า…” นางลดเสียงของนาง “ฝ่าบาทยังไม่โง่ขนาดที่จะโยนทองคําไปรอบ ๆ เหมือนสิ่งสกปรก”หลังจากพูดเช่นนี้แล้วประตูแห่งตําหนักศศิ เหมันต์ก็เปิด เพิ่งหยูเฮงหันกลับมาและยิ้มให้กับคนที่อยู่ข้างใน“ป้าฟูหยู”

 

คนที่เปิดประตูก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากหัวหน้านางกํานัลซูหยู เมื่อเห็นว่าเพิ่งหยูเฮงมา นางก็ยินดีต้อนรับเฟิงหยูเฮงอย่างรวดเร็วและมีความสุขมาก เมื่อเฟิงหยูเฮงพาหวงซวนไปยังอาคารชมจันทร์หยูก็เริ่มที่จะออกเดินแม้แต่หวงซวนก็ถูกทิ้งไว้ข้างนอก นางผลักประตูเปิดแล้วเข้ามาอย่างไรก็ตามในทันทีที่ประตูถูกเปิดออกนางใช้พวกมันเพื่อซ่อนตัวเองและหลีกเลี่ยงการถูกมองเห็นได้สําเร็จเมื่อนางพาเหยาเซียนออกมา

 

ปกติพระชายาหยุนจะมีคนไม่กี่คนที่คอยดูแลนางเสมอ ส่วนใหญ่นางชอบฟังเรื่องนินทาหรือกินผลไม้หรือของว่างเล็กน้อย ดังนั้นจึงไม่มีบ่าวรับใช้มากมายอยู่ข้างนาง บางครั้งมี 2 คนและมีบางครั้งที่ไม่มีแน่นอนว่าองครักษ์หญิงที่ซ่อนอยู่ทั่วไปจะไม่ได้ผ่อนคลายเหมือนกับยามของนางสําหรับยามเหล่านี้พวกเขาเชื่อมั่นในผู้คนและไว้ใจเฟิงหยูเฮงมาก

 

นางกับเหยาเซียนเข้ามาในอาคารชมจันทร์ด้วยกัน แน่นอนว่าพระชายาหยุนเอนไปด้านข้างบนเก้าอี้ยาวนุ่มๆขณะกินลูกสาลี่ ไม่มีบ่าวรับใช้แม้แต่คนเดียวที่อยู่ข้างนาง นางไม่แม้แต่จะมองเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้านางพูดอย่างสบาย ๆ “อาเฮงรีบเข้ามาเร็ว ไม่จําเป็นต้องสุภาพ วันนี้ไม่มีใครอยู่ที่นี้อีกแล้วมากินของดีด้วยกัน…” นางหยุดกลางประโยคเมื่อนางได้ยินเสียงคนสองคนกําลังขยับในตอนแรกพระชายาหยุนคิดว่าอาจเป็นไปได้ว่าเฟิงหยูเฮงนําบ่าวรับใช้มาแต่นางรู้สึกว่ามันไม่น่าจะใช่ทุกครั้งที่เพิ่งหยูเฮงมาเยี่ยมนางจะให้บ่าวรับใช้ออกไปข้างนอกหวงซวนและวังซวนทั้งคู่ได้รับการฝึกฝนในตําหนักหยูและย่อมเข้าใจกฎของตําหนักศศ์เหมันต์เป็นธรรมดาแต่ก็มีบางคนที่มากับนาง

 

นางเงยหน้าขึ้นด้วยความสงสัย ในทันใดที่นางเห็นเหยาเซียน ลูกสาลี่ที่นางยังไม่ได้เคี้ยวติดอยู่ในลําคอของนางและนางเริ่มสําลึกจนไออย่างหมดหวัง

 

เพิ่งหยูเฮงเดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วเพื่อตบหลังของนาง และในที่สุดก็สามารถช่วยให้พระชายาหยุนได้ ใบหน้าของพระชายาหยุนเปลี่ยนเป็นสีแดงจากการสําลัก และในที่สุดก็สามารถฟื้นตัวได้ อย่างไรก็ตามนาง จ้องมองที่เหยาเซียนด้วยความว่างเปล่าซึ่งอยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่ก้าวสีหน้าของนางเต็มไปด้วยความคิดถึง และความคาดหวังที่กระตือรือร้น

 

ความปรารถนาที่ซุบซิบของเฟิงหยูเฮงพุ่งทะยานในใจของนาง ในเรื่องที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของพระชายาหยุนกับเหยาเซียน นางเคยพูดคุยกับชวนเทียนหมิง ในเวลานั้นความคิดของซวนเทียนหมิงคือเป็นไปไม่ ได้ ! เหตุผลคืออายุที่ไม่เหมาะสมและมีช่องว่างอายุมากเกินไป แต่นางคิดในภายหลังว่าช่องว่างขนาดใหญ่ระ หว่างชายและหญิงในยุคโบราณนั้นเป็นไปไม่ได้อาจเป็นไปได้ว่าเหยาเซียนเดิมได้พบกับพระชายาหยุนเมื่อนางยังเด็กและมีความรู้สึกผูกพัน แต่เมื่อนางบอกชวนเทียนหมิงถึงความคิดของนาง ซวนเทียนหมิงเขกหัวของนางและบอกนางว่ามันเป็นการดีที่สุดที่จะหยุดคิดเช่นนั้น มิฉะนั้นความสัมพันธ์ของเขากับนางจะกลายเป็นเครือญาติ

 

ในความเป็นจริงมันไม่จําเป็นต้องเป็นอย่างนั้น ในขณะนี้เพิ่งหยูเฮงได้เฝ้าดูทั้งสองและคิดว่าเหยาเซียนคนเดิมและพระชายาหยุนมีความรู้สึกเมื่อหลายปีก่อน ความรู้สึกเหล่านั้นอาจไม่เกิดผลอย่างดีที่สุดพวกเขาเป็นเพียงชายและหญิงที่เป็นเพื่อนกัน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น มันไม่สามารถเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ของนางกับชวนเทียนหมิงได้ มันเป็นเพียงแค่ว่าถ้าเป็นเช่นนั้นจริงๆการที่นางพาเหยาเซียนไปพบพระชายาหยุนเป็นการส่วนตัวถ้าหากฮ่องเต้ค้นพบสิ่งนี้ นางจะถูกกําจัดหรือไม่ ?

 

เฟิงหยูเฮงมองพระชายาหยุน จากนั้นก็มองเหยาเซียน และรู้สึกว่าบรรยากาศค่อนข้างอึดอัดใจนางจึงพูดกับพระชายาหยุนอย่างเงียบ ๆ “เสด็จแม่ ข้าแอบพาท่านมาที่นี่ อย่าบอกใครนะเพคะ !”

 

พระชายาหยุนไม่ได้สูญเสียการควบคุมอย่างมากจนนางลืมทุกอย่าง เมื่อได้ยินคําพูดของเฟิงหยูเฮงนางก็ปรับอารมณ์ของนางอย่างรวดเร็ว แม้กระนั้นนางก็ยืนขึ้นเพื่อหยิบเก้าอี้ไม่ไกลจากนั้น จากนั้นนางก็พูดกับเหยาเซียน “นั่งก่อน”

 

เหยาเซียนพยักหน้าและนั่งลง พระชายาหยุนก็กลับไปยังจุดที่นางนั่งลง นางไม่ได้ขี้เกียจเหมือนเมื่อก่อนแต่นางนั่งอย่างถูกต้องราวกับว่านางเป็นเด็ก หางตาของนางแสดงให้เห็นถึงความสุขที่ไม่สามารถซ่อนได้เฟิงหยูเฮงนั่งข้างนางและมองนางเป็นครั้งคราว ในใจของนาง นางวิเคราะห์ตลอดเวลาว่าทําไมพระชายาหยุนถึงดูมีความสุขมาก แต่ความสุขนี้ดูเหมือนจะไม่เหมือนคนที่ได้พบคนรักของพวกเขา แต่ดูเหมือนว่า…

 

“ท่านพ่อ ในที่สุดเปี้ยนเปี้ยนก็ได้พบท่าน” ความคิดของเฟิงหยูเฮงยังไม่เสร็จสิ้นเมื่อนางได้ยินเสียงพระชายาหยุนพูดอย่างนี้โดยไม่คาดคิด เพื่อเป็นการสังเกตการแสดงออกของพระชายาหยุนนางนั่งตรงขอบคําว่า ดาท่าให้นางล้มลงพื้นพร้อมกับเสียง “ปีก” ด้วยความตกใจฤดูใบไม้ร่วงนั้นตรงตามฤดูเหยาเซียนก็สะดุ้ง

 

พระชายาหยุนรีบไปประคองเฟิงหยูเฮง อย่างไรก็ตามนางเห็นลูกสะใภ้นั่งอยู่บนพื้น ขณะมองนางด้วยท่าทางเหลือเชื่อแม้แต่มือของนางก็สัน

 

“เสด็จแม่” เพิ่งหยูเฮงมีสีหน้าขมขึ้น “เสด็จแม่เรียกท่านว่าอะไรเพคะ ?” นางจะพูดยังไงดี ? ถูกต้องแล้วแม้ว่าเหยาเซียนเป็นบิดาของพระชายาหยุน ในสายตาของพระชายาหยุน นางอยู่กับชวนเทียนหมิงก็เป็นเพียงครอบครัวที่ใกล้ชิดกันมาก พระชายาหยุนและเหยาชื่อเป็นพี่น้องกัน ดังนั้นนางกับซวนเทียนหมิงจึงเป็นลูกพี่ลูกน้องกันการจับคู่ในยุคโบราณนี้ยอดเยี่ยมมากทีเดียว ! แต่สวรรค์ ! นางเกิดในโลกสมัยใหม่เติบโตในโลกสมัยใหม่และได้รับการศึกษาในโลกสมัยใหม่ นางเข้าใจอย่างชัดเจนว่าแม้ว่าพวกเขาจะเป็นลูกพี่ลูกน้องนั่นคือการแต่งงานที่ถูกห้ามโดยกฎหมายการแต่งงาน นอกจากนี้ นี่ไม่ใช่แค่จากมุมมองทางกฎหมายแม้แต่ยาก็สนับ สนุนอย่างยิ่งต่อการแต่งงานระหว่างญาติสนิท ถ้าพวกเขาแต่งงานในรุ่นต่อไปหรือรุ่นหลังจากนั้นจะเกิดข้อบกพร่องทางพันธุกรรมขึ้นนางจะอธิบายเรื่องนี้ให้บุตรหลานของนางฟังได้อย่างไร

 

ใจของเฟิงหยูเฮงเต็มไปด้วยความคิดที่ดุร้ายเหล่านี้ ในเวลาเดียวกันนางก็มองเหยาเซียนและเห็นว่าเหยาเซียนมีสีหน้าตกใจเหมือนนาง เห็นได้ชัดว่าเขายังคิดในจุดนี้ แต่ท้ายที่สุดเหยาเซียนมีความทรงจําดั้งเดิมของเจ้าของ เขาผ่านความทรงจําอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ส่ายหัวแล้วกล่าวกับพระชายาหยุน “พระชายาหยุนจ่าคนผิดแล้วพะยะค่ะ”

 

“ใช่ ถูกต้องต้องเป็นกรณีของตัวตนที่เข้าใจผิด เสด็จแม่คิดอย่างรอบคอบ บางทีท่านพ่อของเสด็จแม่อาจดูคล้ายกับท่านปู่มากเจ้าค่ะ”

 

อย่างไรก็ตามพระชายาหยุนยิ้มและช่วยเพิ่งหยูเฮงลุกขึ้นยืน และนั่งลง ในที่สุดนางก็พูดขึ้น “ไม่จําเป็นต้องคิดเกี่ยวกับมัน ใต้เท้าเหยาไม่ได้ดูเหมือนท่านพ่อของข้าแม้แต่น้อย”

 

“แล้วท่านพ่อมาจากไหนเพคะ ?” เฟิงหยูเฮงกําลังจะล่มสลายทางจิตใจอย่างแท้จริง พระชายาหยุนจะพูดให้ถูกมากกว่านี้ในแบบที่พูดได้ไหม การพูดสั้นๆ แบบนี้ที่หนึ่งประโยคไม่ตรงกับข้อความต่อไปนี้ใครจะเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น

 

พระชายาหยุนก็ไร้ความกังวลและเริ่มยิ้ม ในช่วงรอยยิ้มนี้นางดูเหมือนบุตรสาวตัวเล็ก ใบหน้าที่ได้รับการรักษาไว้เป็นอย่างดีมองดูเด็กกว่าสิบปีทันที “ทําตามหัวใจ และทําตามความรู้สึกของข้า” นางมองไปที่เพิ่งหยูเฮงพร้อมกับแสดงออกอย่างมีความสุขอีกครั้ง อย่างไรก็ตามหลังจากยืมไปครู่หนึ่ง ท่าทางของนางก็ค่อย ๆ ดูสง่างาม ในท้ายที่สุดนางพูดอย่างเคร่งขรึม “ขอบคุณ ขอบคุณสําหรับการมาเยี่ยมข้าและอนุญาตให้ข้าพบใต้เท่าเหยา”

 

เฟิงหยูเฮงรู้สึกว่าการวนไปวนมาในบทสนทนานี้น่าเบื่อจริง ๆ ดังนั้นนางจึงไม่ได้ถามอะไรเลย นางนั่งลงบน ก้าอี้แล้วมองทั้งสองตรงหน้านาง นางไม่ได้พูดอะไร และรอให้พวกเขาพูดด้วยตนเองนางจะเป็นแค่ผู้สังเกตกา รณ์

 

โชคดีที่พระชายาหยุนไม่ทําให้นางผิดหวังและไม่ทําให้นางเป็นกังวล พระชายาหยุนเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติมอย่างรวดเร็วมาก โดยกล่าวว่า “การได้พบท่านปู่ของเจ้าเป็นความปรารถนาที่ข้ามีมานานแล้วข้าตามหาใต้เท้า เหยามานานแล้วและรอเขามานาน ไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมาก่อนที่ข้าจะได้พบกับบิดาของหมิงเอ่อความปรารถนาเดียวของข้าคือการได้พบท่านพ่อ แม้ว่า… เขาไม่ใช่พ่อแท้ ๆของข้า“พระชายาหยุนพูดแล้วหันมามองเหยาเซียนบุตรสาวตัวเล็ก ๆ แบบนั้นเริ่มปรากฏตัวอีกครั้ง “ข้าไม่ควรเรียกท่านพ่อเพราะข้าไม่เคยเรียกท่านเช่นนี้ นมาก่อน ข้าจะเรียกท่านลงเสมอ ท่านแม่บอกว่าท่านลุงเป็นคนที่ดีที่สุดในโลกถ้าไม่ใช่เพราะท่านลุงท่านแม่ และข้าจะไม่มีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้ ขณะที่นางพูด นางยืนขึ้นและเดินไปรอบ ๆ ภายในอาคารชมจันทร์อย่างไร้จุด หมาย อีกหนึ่งรอบหลังจากนั้นนางก็เต็มไปด้วยความคิดถึงเมื่อเสียงที่ไม่ได้รับการควบคุมของนางเพิ่มขึ้นอีกครั้งเพิ่งหยุเฮงเรียนรู้ข้อมูลเพิ่มเติม” ท่านแม่บอกว่าท่านทําคลอดข้าด้วยตัวเองแต่ข้าไม่มีความทรงจําใด ๆ เมื่อข้าเกิด ความทรงจําของข้าเริ่มต้นเมื่อข้าอายุ 3 ขวบและสิ้นสุดลงเมื่อข้าอายุ 6 ขวบข้าเคยเชื่อว่าเราเป็นคร อบครัวเดียวกันเป็นเพียงหลังจากที่ใต้เท้าเหยาจากไปและหลังจากที่ข้าได้ยินเด็กเล็กคนอื่น ๆ พูดถึงครอบ ครัวของพวกเขาใช้เวลายามค่ําคืนร่วมกัน ข้าจึงเข้าใจว่าใต้เท้าเหยาไม่ใช่ท่านพ่อของข้ามันเป็นอย่างที่ท่านแม่ พูด ใต้เท้าเหยาเป็นผู้มีพระคุณของเรา สําหรับข้า ข้าคิดเกี่ยวกับมันเป็นเวลาหลายปีจนกระทั่งมาถึงวันหนึ่งเมื่อข้าเข้ามาในพระราชวังใต้เท้าเหยาเป็นคนรักษาผิวของข้า ข้ากล้าที่จะทักทายใต้เท้าเหยาเท่านั้นแต่ไม่สามารถยอมรับใต้เท้าเหยาเพราะ…”

 

ตอนที่ 729 การแก้แค้นจากตระกูลเหยา

 

เจ้าหน้าที่ในราชสํานักปัจจุบัน ตระกูลใดที่ไม่มีรายได้พิเศษจากแหล่งอื่น ? แม้แต่เฟิงจินหยวนก็ยังมีธุรกิจเล็ก ๆ แน่นอนว่าตระกูลเฟิงส่วนใหญ่พึ่งพาตระกูลเฉินเพื่อรับการสนับสนุนแต่หลู่ซ่งเสนาบดีฝ่ายซ้ายคนปัจจุบันนั้นพึ่งพาธุรกิจของเขาอย่างเต็มที่ในการดําเนินงานและสนับสนุนค่าใช้จ่ายทั้งหมดของตระกูลหญ่รวมถึงอาชีพของเขา

 

ตั้งแต่ต้นตระกูลหญ่ไม่ได้ตั้งใจจะฝากความหวังทั้งหมดไว้กับองค์ชายแปด ด้วยบุตรสาวสามคนพวกเขาได้มุ่งไปที่ตระกูลเหยาและตระกูลเงินแล้ว มันน่าเสียดายที่ความรอดเดียวที่เหลืออยู่ของพวกเขาคือองค์ชายแปดหลู่ซึ่งเป็นคนที่ไม่อาจถือว่าโง่ได้ เขารู้ว่าตําแหน่งของเขาในฐานะเสนาบดีฝ่ายซ้ายไม่มั่นคงอันที่จริงแล้วตําแหน่งเสนาบดีฝ่ายซ้ายไม่เคยมั่นคงดังนั้นเขาจึงต้องเตรียมพร้อมสําหรับอนาคตของตระกูลหลู่ในขณะที่เขายังคงมีอํานาจด้วยสถานการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเขาจะต้องคว้าฟางเส้นสุดท้ายไว้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

 

หลังจากหลู่ซ่งและเก้อซื้อพูดคุยกัน พวกเขาตัดสินใจรวบรวมธุรกิจทั้งหมดของตระกูลหญ่จากทั่วทุกมุมในภาคใต้ตระกูลหญ่จะแสดงจุดยืนอย่างถี่ถ้วนและสนับสนุนองค์ชายแปดอย่างเต็มที่ พวกเขาจะวางหมากทั้งหมดของพวกเขาไว้กับองค์ชายแปดด้วยความหวังว่าจะให้ตระกูลรุ่งเรืองบนหลังของหลู่ซื้อ*ในเวลาเดียวกันพวกเขาใช้ความสัมพันธ์ของพวกเขากับพระสนมหยวนชูเพื่อเชิญยายจากพระราชวังมาสอนหลู่หยานเกี่ยวกับกฎเกณฑ์ของพระราชวังในเรื่องที่เกี่ยวข้องทั้งหมดนี้หลู่หยานก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างมาก

 

ตระกูลหญ่จัดประเภทธุรกิจของครอบครัวของพวกเขาใหม่เป็นความลับแม้แต่หลู่หยานก็ไม่ทราบรายละเอียดแม้แต่คนที่รับผิดชอบธุรกิจเหล่านั้นก็ยังคงปิดปากเพราะพวกเขาด่าเนินการตามคําสั่งของหลู่ซ่งอย่างเงียบ ๆ ในการขับเคลื่อนธุรกิจของตระกูลหล่อย่างรวดเร็วและสิ่งที่เรียกว่าเร็วจริง ๆค่อนข้างรวดเร็วธุรกิจจํานวนมากเสร็จสิ้นการเคลื่อนไหวภายในหนึ่งเดือนเริ่มต้นจากเมืองหลวงและไปภาคใต้พวกเขาขยายไปจนถึง ทางใต้สุดของหลานโจวพวกเขาเริ่มขยายสู่ทะเลทราย

 

อย่างไรก็ตามเช่นเดียวกับตระกูลหญ่ที่กําลังชื่นชมยินดี เช่นเดียวกับที่หลู่ซ่งเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะพัฒนาในลักษณะที่มหัศจรรย์ที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ธุรกิจของตระกูลหญ่ก็เริ่มประสบกับความสูญเสียครั้งใหญ่ !ยิ่งกว่านั้นความสูญเสียครั้งใหญ่เหล่านี้เริ่มต้นจากภาคใต้และมุ่งหน้าไปภาคเหนือและสิ่งนี้ท่าให้ตระกูลหญ่ไม่ได้เตรียมตัวไว้

 

ราวกับว่าอีกฝั่งหนึ่งกําลังต่อต้านตระกูลหญ่และเป็นเหมือนก้อนหินที่กําลังทําลายล้าง การเปิดร้านในแต่ละวันมันเป็นการต่อสู้ทุกวัน ในสามวันเมืองถูกนําตัวลง จากชายแดนภาคใต้จะส่งเข้าเมืองหลวงทีละน้อย มันกลายเป็นความเสียหายมากขึ้น และเร็วขึ้น ในที่สุดไม่กี่เดือนต่อมาธุรกิจของตระกูลหมู่ทั้งหมดก็ถูกทําลาย!เงินทุนทั้งหมดของพวกเขาย่อยยับแม้แต่คนที่รับผิดชอบในการดูแลธุรกิจก็ออกจากตระกูลหญ่ทั้งสมัครใจหรือถูกจับกุมโดยทางการด้วยข้อหาทุกประเภทเครือข่ายข้อมูลที่หลู่ซึ่งใช้เวลาหลายปีในการสร้างถูกทําลายอย่างสมบูรณ์แม้ว่าเขาต้องการได้รับข้อมูลบางอย่าง เขาก็ไม่สามารถทําได้ตราบใดที่คนของเขาออกจากเมืองหลวงพวกเขาจะขาดการติดต่อทันทีไม่มีแม้แต่คนเดียวของเขาที่จะทําเรื่องนี้หลู่ซ่งพยายามไม่ต่ํากว่า 10 ครั้ง แต่เขาก็ไม่ได้ข้อมูลกลับคืนมาเลย

 

ในที่สุดเขาก็ตระหนักว่ามีอะไรบางอย่างเกี่ยวกับสถานการณ์ เขาเริ่มรู้สึกกลัว เขาเริ่มไตร่ตรองอย่างแม่นยําว่าเกิดอะไรขึ้น ค่าพูดของเก้อซื้อย้ําเตือนเขาว่า “รีบไปขอความช่วยเหลือจากพระสนมหยวนชูตระกูลหญ่ของเราอยู่ในความมืดแต่พระสนมหยวนชูและฝ่ายองค์ชายแปดก็ไม่อาจถูกตัดขาดได้เช่นกันขอให้พระสนมหยวนช่วยสอบถามให้”

 

ดังนั้นหลู่ซ่งจึงเข้าไปในพระราชวัง และจบลงด้วยการพูดคุยกับพระสนมหยวนชู “หลู่ซ่ง ! ด้วยสถานการณ์อย่างที่เป็นอยู่ เจ้ายังคงมีความกล้าที่จะค้นหาสิ่งนี้ ? บุตรสาวของตระกูลหญ่ของเจ้าทําผิดอย่างมหันต์และทําให้ใครบางคนขุ่นเคือง ตอนนี้เจ้ากําลังได้รับการแก้แค้น แต่เจ้ายังมีหน้าที่จะขอให้ข้าช่วย ? เจ้าต้องรู้ว่าด้วยความกดดันของอีกฝ่ายองค์ชายแปดได้สูญเสียธุรกิจไปสามในสิบส่วน !”

 

หญ่ซึ่งไม่สามารถคุกเข่าได้อีกต่อไป ในขณะที่เขาล้มลงกับพื้น เขามองพระสนมหยวนชูอย่างว่างเปล่าและพยายามถามหลังจากเงียบไปนาน “พนะสนมหมายความว่าคนที่ทําร้ายเราคือ…ตระกูลเหยาหรือขอรับ ?” หลู่ซึ่งไม่ได้คิดในทิศทางนี้ในตอนแรก และเขาก็ทําไม่คิดว่าตระกูลเหยานั้นมีความสามารถที่ยอดเยี่ยมแต่ตอนนี้พนะสนมหยวนชูได้เอ่ยเรื่องความผิดพลาดของบุตรสาวตระกูลหญ่ขึ้นมาแม้ว่าเขาจะไม่เชื่อก็ตามเขาก็ควรเข้าใจสิ่งที่นางชีไปคือตระกูลเหยาแต่… “ตระกูลเหยาและองค์หญิงจีอันตัดความสัมพันธ์กันแล้ว หากไม่มีความ ช่วยเหลือขององค์หญิงจีอัน พวกเขาจะทําอะไรได้มากในช่วงเวลาสั้น ๆ เช่นนี้ขอรับ”

 

เมื่อเห็นว่หลู่ซึ่งไม่เชื่อสายตา นางสนมหยวนชูเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “อย่าพูดเรื่องที่ว่าตระกูลเหยาและองค์หญิงจีอันตัดความสัมพันธ์จริงหรือไม่แม้ว่าพวกเขาจะทําเช่นนั้นก็ตาม เป็นไปได้หรือไม่ที่เจ้าประเมินตระกูลเหยาต่ําเกินไป ?เมื่อเจ้าให้บุตรสาวแต่งงานกับตระกูลเหยา มันเป็นเพียงเพราะความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขากับองค์หญิงจีอันไม่ใช่หรือ ?” พระสนมหยวนชมองหน้านางไม่อยากน่าเชื่อ“ข้าคิดว่าเสนาบดีฝ่ายซ้ายคนใหม่ของราชสํานักจะเป็นคนฉลาด ใครจะรู้ว่าเจ้าไม่ได้ดีไปกว่าเฟิงจินหยวน” นางเย้ยหยันหลู่ซ่งโดยตรงในที่สุดนางก็สะบัดแขนของนางแล้วเดินไปที่ห้องด้านในโดยไม่อยากพูดอะไรอีกแล้ว

 

หลู่ซึ่งยังคงคุกเข่าอยู่บนพื้น จิตใจของเขายังคงทํางาน ทุกคําพูดของพระสนมหยวนชได้ดังขึ้นในใจของเขาอีกครั้งแต่สิ่งนั้นจะทําอย่างไร ? แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าตระกูลเหยาทําเช่นนี้หรือไม่เมื่อเขาคิดย้อนกลับไปว่า เมื่อคดีของหลู่เหยาถูตัดสินแล้ว ตระกูลเหยาบอกว่าตระกูลหญ่จะต้องจ่ายเงินชดเชยให้เพราะหลู่เหยาดึงซูชื่อ ลงน้ําอย่างจงใจและทําร้ายนาง ในตอนแรกเขาไม่ได้คิดอะไรมากอย่างไรก็ตามเขาไม่เคยคิดเลยว่าตระกูลเหยาที่เงียบสงบจะดุร้ายเมื่อต้องแก้แค้น

 

หลซึ่งไม่ได้อยู่ในพระราชวังอีกต่อไป และจากไปอย่างรวดเร็ว เขาเตรียมที่จะตรวจสอบ ย้อนกลับไปที่ตําหนักชานชู พระสนมหยวนชูถามหยู่ซ่ว่า “ภาพนั้นควรไปถึงภาคใต้แล้วใช่หรือไม่ ?”

 

หยู่ซ่นับวันแล้วพยักหน้า “สองเดือนแล้วเจ้าค่ะ คงไปถึงองค์ชายแปดแล้ว พระสนมเพียงอดทนรออีกหน่อยหลังจากที่องค์ชายแปดได้เห็นแล้ว พระองค์จะส่งจดหมายกลับมาอย่างรวดเร็วเจ้าค่ะ”

 

พระสนมหยวนชูยิ้ม “ข้าไม่รีบ แต่ความสัมพันธ์ระหว่างองค์หญิงจอันกับตระกูลเหยาต้องเฝ้าดูอย่างใกล้ ชิดอย่าโดนนางหลอก”

 

ความจริงแล้วมันไม่ใช่แค่พระสนมหยวนชูที่คอยจับตาดูเฟิงหยูเฮงนับตั้งแต่เรื่องระหว่างเฟิงหยูเฮงและเหยาชื่อตระกูลเหยาและตระกูลเฟิงต่างก็ประกาศตัดความสัมพันธ์กันราชสํานักยังเรียกคืนตําแหน่งฮูหยินขั้นหนึ่งของเหยาชื่อกลับใครจะรู้ว่ามีดวงตากดวงที่มองจากเงามืด พวกเขาเฝ้าดูตั้งแต่กลางฤดูใบไม้ร่ วงจนถึงต้นฤดูหนาว พวกเขาไม่ได้เหนื่อยล้าแต่เพิ่งหยูเฮงรู้สึกเหนื่อยล้ากับพวกเขา แต่นางก็ไม่ได้กังวลอะไรเลยแม้แต่น้อยในขณะที่นางยังคงเคลื่อนไหวระหว่างคฤหาสน์ของบุตรสาวของจักรพรรดิและร้านห้องโถงสมุนไพรทุกวัน ในเวลา 2 เดือนนางและหมอซางดังได้สอนหมอที่มีความทะเยอทะยานเกี่ยวกับการรักษาใหม่ จากนั้นนางก็ส่งพวกเขาไปยังร้านห้องโถงสมุนไพรซึ่งกระจายอยู่ทั่วประเทศเพื่อไปทํางาน

 

แน่นอนเหยาเซียนไม่ปรากฏที่ร้านห้องโถงสมุนไพรในเวลานี้ ในความเป็นจริงหมอบางคนที่เหยาเซียนสอนเลือกที่จะจากไปและไปที่คฤหาสน์เหยาเพื่อขอคําสอนจากเหยาเซียนในเรื่องนี้ปฏิกิริยาของเฟิงหยูเฮงคือการสาปแช่งคนเหล่านี้ที่หน้าร้านห้องโถงสมุนไพรแล้วหันหลังให้กับพวกเขา จากนั้นคนเหล่านั้นก็จะบอกกับคนอื่นว่าที่ห้องโถงสมุนไพรไม่ยอมจ่ายค่าจ้างให้พวกเขาแม้แต่เหรียญเดียวก็ไม่ให้

 

แต่เป็นเพราะสิ่งเหล่านี้ทําให้คนที่ไม่เชื่อในเฟิงหยูเฮง และตระกูลเหยาที่แยกตัวออกไปเชื่อว่ามันมากกว่าเดิมดังนั้นส่วนหนึ่งของผู้คนที่เฝ้าดูจากเงามืดได้จากไปสิ่งที่เหลืออยู่ทั้งหมดคือสิ่งที่คงดื้อรั้นพวกเขารู้เพียงว่าพวกเขากําลังเฝ้าดูเฟิงหยูเฮง อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่รู้ว่ามีนกขมิ้นเฝ้าดูจากด้านหลังขณะที่องครักษ์เงาของเฟิงหยูเฮงเฝ้ามองพวกเขาอยู่

 

“คุณหนูต้องการให้ข้าไปภาคใต้ไปกําจัดจุดหมายขององค์ชายแปดหรือไม่ขอรับ ?” ภายในคฤหาสน์ขององค์หญิงบานซูยืนอยู่ตรงหน้าเฟิงหยูเฮงและถามนางด้วยใบหน้าที่ไร้อารมณ์“เมื่อภาพของผู้หญิงคนนั้นถูกส่งออกไปมันควรจะหยุดและไม่ควรได้รับอนุญาตให้ไปทางภาคใต้” บานซูพูดอย่างไม่สุภาพกับเฟิงหยูเฮง“เมื่อภาพนั้นตกไปอยู่ในมือขององค์ชายแปดคนที่ดูเหมือนคุณหนูจะทําให้องค์ชายแปดคิดองค์ชายแปดจะใช้นางภาคใต้อยู่ไกลเมื่อเขาใช้เสียวหยาทําอะไรและใช้ชื่อของคุณหนูทําเราจะทําอย่างไรขอรับ ?”

 

เฟิงหยูเฮงอุ้มเสียวไป์และฟังเพียงครึ่งเดียวนางไม่กังวลเลยแม้แต่น้อยแม้แต่หวงซวนก็กังวลกับรูปร่างหน้าตาของนางในปัจจุบันและนางก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวว่า “หากพวกเขาใช้เสี่ยวหยาทําตัวเหมือนคุณหนูและทําบางสิ่งที่ไม่ควรทําเราจะรู้ว่ามันเป็นตัวปลอมและผู้คนในเมืองหลวงจะรู้ว่ามันเป็นตัวปลอม แต่คนทางภาคใต้นั้นแตกต่างกัน พวกเขาจะรู้ได้อย่างไรว่าอะไรจริงและอะไรปลอม ?พวกเขาจะถูกหลอก”

 

เฟิงหยูเฮงยิ้ม และดวงตาของนาง…“ทําไมเจ้ามองเราเหมือนคนโง่ ?”

 

บานซูทนไม่ได้ “เจ้าคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่สิ่งเหล่านี้จะกลายเป็นจริงหรือ?แต่ในความเป็นจริงพระสนมหยวนชูมีภาพวาดของเสี่ยวหยาในภาพวาดนางสวมชุดสวยมาก เช่นนั้นนางดูเหมือนคุณหนูคุณหนูสั่งข้าให้ไปเฝ้านางที่บ้านของเหยาชื่อในช่วงสองเดือนที่ผ่านมาข่าวที่สําคัญที่สุดที่ข้าได้รับคือเสียวหยาได้ขอการสนับสนุนจากพระสนมหยวนชูและพระสนมหยวนชูตั้งใจที่จะแนะนําเกี่ยวหยาให้กับองค์ชายแปด ปัญหาของสิ่งนี้ดูได้ง่าย”

 

“มันคืออะไร” เฟิงหยูเฮงยิ้ม และมองไปที่ทั้งสอง “มันเป็นความจริงที่ข้าควรคํานึงถึงเรื่องนี้อย่างที่เจ้าสองคนพูดถ้าองค์ชายแปดใช้มันมาแทนข้ามันจะมีอิทธิพลที่แย่มาก แต่เจ้าลืมไปหรือไม่ว่าซวนเทียนหมิงกําลังอยู่ภาคใต้ !ข้าไม่เชื่อว่าด้วยการที่เขาอยู่ที่นั่นพระสนมหยวนชูจะส่งภาพวาดถึงองค์ชายแปดได้เจ้าสองคนมีอะไรจะพูดอีกหรือไม่ ?”

 

ทั้งบานซูและหวงซวนต่างก็ถูกแช่แข็งเร็วมากบานซูตบหน้าผากตัวเองและดูถูกตัวเอง“โง่” จากนั้นเขาถ่มน้ําลาย “ไม่เป็นไร”เขาก็หายตัวไป

 

หวงซวนก็รู้สึกอึดอัดใจมากและดูไร้ประโยชน์ วังซวนและเฟิงหยูเฮงหัวเราะเยาะนาง นางไม่กล้าพูดอะไรกับเฟิงหยูเฮงดังนั้นนางจึงจ้องมองที่วังซวนและกล่าวว่า“ทําไมเจ้าไม่เดือนข้า ?”

 

วังชวนยิ้มอย่างขมขึ้น และกล่าวว่า “ตอนนี้ข้าพึ่งคิดออกตอนนี้หรือ ?” จากนั้นนางก็มองที่เพิ่งหยูเฮง “คุณหนูฉลาดจริงๆแต่เราไม่รู้ว่าองค์ชายเก๋ได้เตรียมสิ่งใด ภาพวาดนั้นถูกดักหรือใช้ภาพวาดอื่นเจ้าค่ะ”

 

เฟิงหยูเฮงลูบขนเสียวใบ และกล่าวว่า “ไม่ต้องห่วงหรอกเขาเตรียมการที่ดีที่สุดแน่นอนเจ้าสองคนควรให้ความสนใจมากกว่านี้เขามักจะส่งจดหมายมากกว่า”

ขณะที่พวกเขากําลังพูดอยู่ฉิงหยูกลับมาจากข้างนอกนางมาพร้อมกับคนที่แต่งตัวเป็นบ่าวรับใช้ในพระราชวัง…

 

ตอนที่ 728 ขึ้นอยู่กับอารมณ์ขององค์ชายคนนี้

 

“องค์หญิงเจ็ดของกูซูหรือ?” เฟิงหยูเฮงนั่งอยู่ในสนามขณะกําลังทานผลไม้คนที่ตรงข้ามนางคือชวนเทียนหมิงและชวนเทียนฮั่ว“ข้าคิดไว้แล้วนอกจากองค์หญิงเจ็ดแล้วจะเป็นใครที่สามารถนํามาได้เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ตระกูลหลู่และกูซูก็มีความสัมพันธ์ที่แนบแน่น มิฉะนั้นองค์หญิงเจ็ดจะมอบแมลงพิษร้ายให้กับหลู่เหยาได้อย่างไร ?”นางกัดแอปเปิ้ลก่อนที่จะส่ายหัวเพื่อลบล้างความคิดหลังจากที่คิดว่า “ไม่จําเป็นหากหลู่เหยาบอกว่านางต้องการใช้จุดอ่อนนั้นเพื่อทําร้ายข้า บางทีเจ้าหญิงแห่งกูซูอาจมอบมันให้กับนางจริงๆ”

 

ซวนเทียนหญิงได้ยินสิ่งนี้และกล่าวอย่างไร้ประโยชน์ “ปรากฎว่าทุกคนในโลกเป็นศัตรูของเจ้า ! แต่แม้ว่าตระกูลหญ่จะไม่ได้ติดต่อกซูโดยตรง ความสัมพันธ์ของพวกเขากับองค์ชายแปดก็สนิทกันเมื่อคิดถึงเรื่องนี้บุตรสาวคนเดียวที่เหลืออยู่ของพวกเขาคือคนที่ถูกเก็บไว้ให้องค์ชายแปด”

 

“นั่นเป็นเรื่องธรรมดา” ชวนเทียนชั่วกล่าวด้วยเช่นกัน “ตระกูลหญ่ไปคุยเรื่องสําคัญมากกับพระสนมหยวนชูไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเส้นทางนี้ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ แต่ปล่อยให้พวกเขาเล่นต่อไปไม่ช้าก็เร็วองค์ชายแปดจะจบลงด้วยการสร้างความวุ่นวาย เราแค่ไม่รู้ว่าเขาจะทําเท่าไหร่เราจะต้องเผชิญหน้ากับเขามากแค่ไหนสําหรับองค์หญิงเจ็ดของกูซูราชวงศ์ต้าชุนไม่ควรวางแผนที่จะดูแลนางโดยตรงนางน่าจะถูกส่งกลับไปที่กซูและคนพานางไป…”

 

“ข้าจะไป” ซวนเทียนหญิงกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าไปภาคใต้

 

“อีกไม่นานเจ้ากําลังจะไปภาคใต้หรือ ?” เฟิงหยูเฮงตกใจ และหยุดทานผลไม้ ขณะที่เอนหลังพิงเก้าอี้นางโน้มตัวไปข้างหน้าและถามชวนเทียนหญิงอย่างใจจดใจจ่อ “เจ้าบอกว่าเจ้าจะไปหลังปีใหม่ไม่ใช่หรือ ? ทําไมเจ้าถึงเปลี่ยนใจในช่วงเวลาเร่งรีบเช่นนี้ ?”

 

ซวนเทียนหมิงเอื้อมมือไปลูบหัวนาง “ไม่ใช่ว่าข้าจะไม่กลับมา ข้าจะไปส่งองค์หญิงเจ็ดแห่งกูซูกลับไปแล้วข้าจะกลับมาก่อนสิ้นปีนี้ ในช่วงงานเลี้ยงเจ้าก็เห็นว่าไม่มีใครในภาคใต้ที่รักสงบราชสํานักไม่ได้อยู่ในสายตาของพวกเขาหรือแม้แต่เสด็จพ่อ ? ด้วยการมาถึงเมืองหลวงจํานวนมากพวกเขาต้องการมาดูสถานการณ์ปัจจุบันในเมืองหลวง แต่การตัดสินใจของอาเฮงครั้งนี้ค่อนข้างดี สําหรับตระกูลเฟิงและตระกูลเหยาที่สร้างความวุ่นวายเช่นนี้ก็ควรทําให้พวกเขาสับสน อย่างน้อยที่สุดหลังจากที่พวกเขากลับไปรายงานเกี่ยวกับองค์หญิงจอันว่ามีความสามารถทางด้านศิลปะเล็กน้อย”

 

“ข้าค่อนข้างโด่งดังในกลุ่มของพวกเขาหรือ ?” เพิ่งหยูเฮงถูจมูกของนางแล้วกล่าวออกมาสําหรับตัวเอง “เนื่องจากเจ้าจะไม่ได้ไปต่อสู้และจะพาตัวคนร้ายไปข้าไปด้วยได้หรือไม่ ?”

 

ซวนเทียนหมิงส่ายหน้า “เมื่อเจ้าสร้างสถานการณ์เช่นนี้ในเมืองหลวงและจากไป เจ้าไม่กลัวหรือว่าคนที่มีเจตนาไม่ดีจะพยายามกระตุ้น หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องพยายามสักสองสามครั้ง หากเจ้าจากไปเจ้าอาจรู้สึกสบายใจในขณะที่ไม่เห็นมัน แต่ผลลัพธ์จะแตกต่างจากที่เจ้าจับตามอง ในที่สุดเจ้าก็สามารถจัดการกับสถานการณ์นี้ได้ เจ้าต้องไม่ยอมให้มันสูญเสียประสิทธิภาพอย่างแน่นอนท่าให้ดีข้าจะรีบกลับมาเชื่อข้า”

 

เฟิงหยูเฮงจะพูดอะไรได้อีก นางนั่งกินผลไม้อย่างไม่พอใจ

 

ราชสํานักได้ประกาศในเช้าวันต่อมาว่าองค์หญิงเจ็ดของกูซูจะถูกส่งกลับไปยังอาณาจักรของนางทันทีพร์อมกับองค์ชายเก้าที่จะไปส่งนางด้วยตัวเอง และเนื่องจากหลู่เหยาได้ก่ออาชญากรรม หลู่ซ่งจึงต้องงดเบี้ยหวัด 3 ปีเพื่อเป็นบทเรียนในเรื่องที่เกี่ยวกับเรื่องนี้หลู่ซึ่งยอมรับ

 

ซวนเทียนหมิงไปทางภาคใต้ทําให้เจ้าหน้าที่จากภาคใต้เริ่มคาดเดา พวกเขาไม่เข้าใจว่าทําไมแม่ทัพคนสําคัญอย่างองค์ชายเก้จึงได้รับการระดมกําลังเพื่อปกป้ององค์หญิงแห่งกูซู ? มีอีกหลายคนที่ถามเกี่ยวกับทหารของชวนเทียนหญิงว่าถูกระดมกําลังหรือไม่ อย่างไรก็ตามไม่มีใครรู้ ในคืนก่อนที่ซวนเทียนหญิงออกเดินทางเขาได้พบกับแม่ทัพปังหนานอย่างลับ ๆแม่ทัพปิงหนานส่งชิ้นส่วนของหยกที่จะทําหน้าที่เป็นเครื่องหมายเพื่อขอโทษทหารที่ถูกทิ้งไว้ในภาคใต้

 

เช้าวันต่อมาชวนเทียนหมิงออกเดินทาง และเฟิงหยูเฮงไปส่งเขาที่ประตูทางใต้ของเมืองหลวง

 

องค์หญิงเจ็ดของกูซูนั่งในรถม้า แม้ว่ารถม้าจะไม่ถือว่าหรูหรา แต่ก็สะดวกสบายมาก หลังจากทั้งหมดนางเป็นเจ้าหญิงแห่งประเทศ ราชวงศ์ต้าชุนไม่ได้วิจารณ์นางอย่างหนัก อย่างไรก็ตามมันก็ไม่ได้ให้การรักษาที่ดีกับ นาง ในช่วงเวลานี้เฟิงหยูเฮงและซวนเทียนหมิงยังคงเดินเคียงข้างกันที่ด้านหน้าของกลุ่มเป้ยจื่อนามาและเมื่อพวกเขาหยุดอยู่นอกประตูเมืององค์หญิงแห่งกูซูก็ตะโกนออกมาจากด้านหลัง“องค์หญิงจีอัน !”

 

เฟิงหยูเฮงมองย้อนกลับไป แต่ตอบพร้อมกับหัวเราะ “องค์หญิงถ้าเจ้ามีอะไรจะพูดก็พูดได้”

 

องค์หญิงแห่งกูซูให้คนขับรถม้าไปข้างหน้าอีกนิด นางนั่งที่ด้านข้างของรถม้าและพูดกับเฟิงหยูเฮง “ว่าที่สามีของเจ้าไปส่งขากลับเจ้าไม่กลัวว่าเขาจะกินข้าหรือ ?” เด็กหญิงต่างชาติมักถูกพาตัวไปในขณะที่พูดดวงตาของนางเต็มไปด้วยรูปลักษณ์ที่เร้าใจ คําพูดนั้นพูดกับเฟิงหยูเฮง แต่ตาของนางมองไปที่ซวนเทียนหมิง

 

น่าเสียดายที่สมองของซวนเทียนหมิงทํางานได้ไม่ดีนักในบางสถานการณ์ตัวอย่างเช่นเมื่อพูดถึงผู้หญิงนอกจากเพิ่งหยูเฮง คนที่เขาจะให้ความสนใจมากขึ้นสามารถนับได้ด้วยสองนิ้วนั่นคือพระชายาหยุนและชวนเทียนเก้อการยั่วยุอย่างกล้าหาญขององค์หญิงเจ็ดสําหรับเขานั้นไม่แตกต่างจากการมองผู้ชายมากนักซึ่งทําให้องค์หญิงเจ็ดรู้สึกเบื่อหน่าย

 

เฟิงหยูเฮงหัวเราะจนปวดท้อง จากนั้นนางจึงถามองค์หญิงเจ็ด “เจ้าไม่รู้สึกว่าเจ้าควรพิจารณาเรื่องความปลอดภัยของเจ้าเองหรือ ? องค์หญิงเจ็ด อย่าตําหนิข้าเพราะไม่เตือนเจ้าว่า ว่าที่สามีของข้าอารมณ์แปรปรวนเมื่อเขามีความสุข เขาอาจจะพาเจ้ากลับภาคใต้อย่างปลอดภัย แต่ถ้าเขาไม่มีความสุขเขาก็อาจจุดไฟเผารถมาของเจ้าเป็นไปได้ว่าเขาจะเหวียงเจ้าลงจากหน้าผาอาจเป็นไปได้ว่าเขาจะใช้แส้ของเขาทําลายใบหน้าของเจ้าองค์หญิงเจ็ด ข้าไม่ได้ขู่ให้เจ้ากลัวนี่คือความจริง”

 

เป่ยจื่อหัวเราะเมื่อได้ยินเรื่องนี้ “องค์หญิงน่ากลัวมาก องค์ชายของเราจะเลวร้ายขนาดนั้นได้อย่างไร ?อย่างมากที่สุดเขาจะปล่อยให้แมลงมีพิษนั้นกัดองค์หญิงเจ็ด องค์ชายข้าพูดถูกหรือไม่ขอรับ ?”

 

ชวนเทียนหญิงหัวเราะเยาะ “ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของข้า”

 

องค์หญิงเจ็ดแห่งกไม่สามารถหยุดตัวเองจากการสั่น ในช่วงกลางฤดูใบไม้ร่วงนี้เป็นครั้งแรกที่นางรู้สึกหนาว “เจ้าสองคนอยู่ด้วยกันตลอดเวลา รีบสั่งลากันเร็ว ข้าอยากกลับไปที่กซูแล้ว” หลังจากพูดจบนางก็ลดม่านและถอยกลับเข้าไปในรถไม่ต้องการพูดกับทั้งสองอีกต่อไป

 

แต่ซวนเทียนหมิงเปล่งเสียงของเขาแล้วกล่าวว่า “อะไรกันแน่ ? เจ้ามาที่เมืองหลวงโดยไม่แจ้งราชวงศ์ต้าชุนดังนั้นเจ้าจะไม่มีคําพูดในการออกจากเมืองหลวงหรือ ?” จากนั้นเขาก็เพิกเฉยต่อรถม้า และดึงเฟิงหยูเฮงไปข้างหน้าเขากอดนางเบา ๆ ราวกับว่าเขากําลังกล่าวคําอําลากับคนรักของเขาแต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าซวนเทียนหญิงพูดอะไรกับเฟิงหยูเฮง“ธุรกิจของตระกูลหญ่นั้นจําเป็นสําหรับการติดต่อสื่อสารกับภาคใต้การตัดธุรกิจของพวก เขามันจะเป็นตัดชีวิตของพวกเขา”

 

เพิ่งหยูเฮงยิ้มบาง ๆ “ไม่ต้องกังวล ก่อนที่เจ้าจะกลับมา ทุกอย่างจะถูกจัดการอย่างเรียบร้อยข้าจะรอเจ้าอยู่ในเมืองหลวงรีบกลับมา”

 

ในที่สุดกลุ่มของซวนเทียนหมิงก็ค่อย ๆ หายลับตาไกลออกไปเรื่อย ๆ วังซวน และหวงชวนอยู่ข้างเฟิงหยูเฮงก่อนจะกลับไปที่คฤหาสน์ ต่อจากนั้นเป็นต้นมาเจ้าหน้าที่จากต่างมณฑลเริ่มออกจากเมืองหลวงรวมถึงเขตการปกครองของหลานโจว และเจ้าเมืองหลู่

 

พระสนมหยวนชถือจดหมายไว้ในมือของนางขณะที่บ่าวรับใช้หยู่ซ่นํารังนกมาให้นาง “พระสนมทานรังนกเจ้าค่ะจดหมายนั้นสามารถอ่านได้ในภายหลัง”

 

พระสนมหยวนชูยิ้มแล้วก็โยนจดหมายไปด้านข้าง เมื่อได้รับรังนก นางก็เริ่มทาน แต่นางบอกกับหยู่ซ่ว่า “ข้าอ่านเสร็จแล้ว มณฑลหลานโจว, หลิงเทียนไม่เพียงแต่ทิ้งความตั้งใจของตระกูลจไว้เท่านั้นแต่ยังทิ้งตัวแลกเงินมูลค่ารวมไว้เป็นจํานวนมาก เขาบอกว่าเขาจะสนับสนุนองค์ชายแปดอย่างเต็มที่การสนับสนุนนี้ค่อนข้างเข้าใจได้ อย่างน้อยที่สุดมันก็ดีกว่าค่พูดปากเปล่าของตระกูลหลู่”

 

ใบหน้าของหยู่ซูไม่ได้แสดงออกมากนัก นางเพิ่งถามว่า “หลานโจวเป็นมณฑลสุดท้ายในภาคใต้หากพวกเขาไม่พึ่งพาองค์ชายแปดไม่มีสิ่งใดที่พวกเขาสามารถทําได้ พระสนมเชื่อหรือว่าเขาจะสนับสนุนพระองค์อย่างเต็มที่ ? ข้าคิดว่าเจ้าหน้าที่เหล่านั้นล้วนแต่เป็นสุนัขจิ้งจอกเจ้าเล่ห์และยากที่จะควบคุม

 

“ถูกต้องแล้ว” พระสนมหยวนชูเย้ยหยัน “คํานี้พูดง่าย แต่ก็ยากที่จะทํา พวกเขาเรียกชายแดนภาคใต้ว่าบ้านที่นั่นโมเอ๋อได้ทําสิ่งที่ยิ่งใหญ่ในภาคใต้ เป็นเรื่องธรรมดาที่พวกเขาจะสนุกและรู้สึกเป็นมิตร แต่ถ้าเรากําลังพูดถึงความรู้สึกที่แท้จริงของพวกเขา ตามที่สิ่งนี้เห็นได้ว่ายังมีไม่มากองค์ชายเก้มุ่งหน้าไปทางใต้ไม่ใช่หรือ ? ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาเปลือกตาของขากระตุกตลอดเวลามีความรู้สึกอึดอัด องค์ชายเก้าเสด็จไปไม่ใช่ สิ่งที่ดี ใครจะรู้ว่าเขาจะทําให้เกิดปัญหามากเพียงใดสําหรับโมเอ่อสําหรับเจ้าหน้าที่ของภาคใต้เมื่อพวกเขาเห็นองค์ชายที่มีชื่อเสียงมากกว่าโมเอ่อในขณะเดียวกันก็มีสิทธิ์ในการบังคับบัญชากองกําลังถ้าองค์ชายเก้าก้าวไปข้างหน้าอีกก้าวหนึ่งและสร้างรากฐานในทะเลทรายทางตอนใต้ล่ะ”

 

หยู่ซ่คิดสักครู่แล้วก็พยักหน้าแล้วกล่าวว่า “พระสนมพูดถูกเจ้าค่ะ มีความเป็นไปได้เช่นนั้นจริงๆ แต่เราไม่สามารถมององค์ชายเก้าไปภาคใต้เพื่อฉกเศษชิ้นส่วนต้องมีการเตรียมการบางอย่าง”

 

“ใช่ !” พระสนมหยวนชถอนหายใจ “แต่การเตรียมการแบบไหนกันแน่”

 

“พระสนม” หยู่ซ่ก้าวไปข้างหน้าและโค้งคํานับ ลดเสียงของนางลงเพื่อพูดว่า “องค์ชายยังไม่ได้รับพระชายาเอก แม้แต่พระชายารอง และสนมที่เหมาะสมก็ไม่มีอยู่จริง ข้าได้ยินมาว่ามีบ่าวรับใช้เพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่พระองค์นอนด้วย แต่พวกนางไม่สามารถถูกนําขึ้นได้ตระกูลหญ่ต้องการที่จะให้บุตรสาวของฮูหยินใหญ่แต่งงานกับ องค์ชายแปดแต่นั้นเป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากพระองค์กลับมายังเมืองหลวง ในภาคใต้ตอนนี้ พระสนมบอกว่าพระองค์ไม่จําเป็นต้องมีพระชายาเอก ตําแหน่งพระชายารองก็เป็นเรื่องดีเช่นกัน ตัวอย่างเช่นตระกูลของเจ้าเมืองหลานโจวหรือตระกูลของเจ้าเมืองหลู่ เขามีคุณหนูที่เกิดจากสนาใช่หรือไม่เจ้าคะ ? สําหรับบุตรสาวของอนที่สามารถเป็นพระชายารองสําหรับองค์ชายก็เป็นผลลัพธ์ที่ดีเช่นกันเจ้าค่ะ”

 

พระสนมหยวนชูพยักหน้า “นี่เป็นความคิดที่ดีโมเอ่อไม่มีพระชายาเอกตลอดหลายปีที่ผ่านมาและไม่เคยแม้แต่จะนํามันขึ้นมา ข้าจะใช้โอกาสนี้ถามพระองค์ ความตั้งใจของพระองค์คืออะไร ? นอกจากนี้ยังมีเสียวหยาหยู่ซูรีบไปหาจิตรกรที่ดีที่สุดทันทีข้าให้ให้คนไปเชิญเสียวหยามาที่พระราชวัง ในช่วงเวลานั้นให้จิตรกรวาดภาพของนาง เมื่อถึงเวลานั้นขาจะส่งให้โมเอ๋อดูดูว่าพระองค์จะคิดอย่างไร”

 

“ว่ากันว่าองค์หญิงจอันได้ตัดสัมพันธ์กับท่านฮูหยินเหยา ตระกูลเหยา และตระกูลเฟิงเจ้าค่ะ”

 

“ใครจะไปรู้” สนมหยวนหยวนชูขมวดคิ้ว และคิดสักพัก “ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า บางทีสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ๆ เราควรปรับทิศทางของเรา และไม่ทําสิ่งที่ไร้ประโยชน์

 

หลังจากกลางฤดูใบไม้ร่วงผ่านไปหลายวัน อากาศก็ค่อย ๆ เย็นลง ตลอดเวลาที่ผ่านมาการกระทําของเฟิงหยูเฮงต่อคนที่นางรักก็ยิ่งเย็นชาลงเรื่อย ๆ นางปิดกั้นตัวเองมากยิ่งขึ้นเพราะพวกเขาโดดเดี่ยวมีคนเคยเห็นว่าบ่าวรับใช้ของตระกูลเหยาแอบสาดน้ําสกปรกที่ทางเข้าคฤหาสน์ขององค์หญิงจอัน

 

ชั่วขณะหนึ่งองค์หญิงจีอัน ความสัมพันธ์ที่ขาดจากญาติของนางเป็นเรื่องที่เป็นจริง

 

ในเวลาเดียวกันตระกูลเหยาไม่สามารถกักความโกรธให้หลู่เหยาที่ลากซูชื่อลงไปในน้ํา พวกเขาปลดปล่อยสายฝนแห่งการล้างแค้นให้กับตระกูลหญ่ที่เหยาเซียน และเหยาจิงจนเตะออกไป…

 

ตอนที่ 727 แผนการของเฟิงหยูเฮง   ทั้งสองปีนขึ้นไปบนรถม้า ขณะที่หวงซวนและชวนเทียนฮั่วนั่งนอกรถม้า เฟิงหยูเฮงนั่งกอดเข่าและกล่าว ๆ “ในเมื่อข้าตัดสินใจที่จะไม่เป็นบุตรสาวของเหยาชื่ออีกต่อไป นั่นหมายความว่าข้าไม่ได้เป็นหลานสาวของเหยาเซียนด้วย หากความสัมพันธ์เหล่านี้จะถูกตัดออกไป พวกเขาก็ควรจะถูกตัดทั้งหมด นอกจากนี้ยังมีตระกูลเฟิง… นับจากวันนี้เป็นต้นไปข้าเป็นเพียงองค์หญิงจีอัน ครอบครัวหรือญาติไม่มีใครเกี่ยวข้องกับข้าทั้งนั้น พี่เจ็ด ท่านคิดอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ ?” นางมองเขาด้วยรอยยิ้มที่ละเอียดอ่อน ราวกับว่านางกําลังพูดถึงสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเอง   แต่ชวนเทียนฮั่วยังรู้สึกเจ็บอยู่ค่อนข้างมาก และถามนางอย่างไม่รู้ตัว “เจ้าต้องทําถึงเพียงนี้เชียวหรือ ? เจ้าจําเป็นต้องรู้ว่าถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้เจ้าจะไม่มีญาติเลย แม้ว่าเราจะอยู่ใกล้กัน แต่เราไม่ได้เกี่ยวข้องกับเจ้าทางสายเลือด มันแตกต่างกันเล็กน้อย”   เฟิงหยูเฮงส่ายหัว “แต่ท่านพี่ก็เห็นสถานการณ์ปัจจุบันของเหยาชื่อ สาเหตุพื้นฐานที่สุดของมันคือนางเป็นมารดาของข้าและผูกพันธ์กับข้า หากไม่มียาเปลี่ยนวิญญาณ นางก็คงไม่กลายเป็นนางในตอนนี้ สถานการณ์ที่คล้ายคลึงกันจะไม่ได้รับอนุญาตให้เกิดขึ้นเป็นครั้งที่สอง ข้าจะไม่ยอมให้สถานการณ์นั้นเกิดขึ้นอีก แน่นอน นั่นเป็นเหตุผลว่าทําไมความสัมพันธ์เหล่านี้จึงต้องถูกตัดขาด”   “บางทีเจ้าอาจจะเป็นคนที่รักตัวเองน้อยเกินไป” ชวนเทียนหัวต้องการแนะนําให้นางระมัดระวัง แล้วสิ่งต่าง ๆ ก็จะดีเอง แต่สิ่งแบบนี้จะไม่สามารถโน้มน้าวตัวเองได้ วิธีการของศัตรูจะต้องได้รับการปกป้อง พวกเขาสามารถเผชิญกับอันตรายที่มาถึง และพวกเขาจะไม่สามารถป้องกันตัวเองอย่างเต็มที่จากอันตราย ไม่เช่นนั้นเรื่องของเหยาชื่อจะไม่เกิดขึ้น “ลืมมันไปเถิด” ชวนเทียนฮัวพยักหน้า “ข้ายอมรับสิ่งที่เจ้าพูดนั้นถูกต้อง เป็นเรื่องน่าเสียดายที่ไม่มีใครรู้ว่าองค์หญิงจีอันเป็นคนที่มีจิตใจดีมากที่สุด อาจดูก้าวร้าวแต่ได้รับการปกป้องจริง นับจากวันนี้เป็นต้นไป เจ้าจะไม่มีข้อกังวลใด ๆ อีกต่อไป”   “ใช่เจ้าค่ะ !” ในที่สุดเฟิงหยุเฮงยิ้มออกมาอย่างขมขื่น “เมื่อข้าท่าได้ดี ข้าสามารถให้พวกเขาสนุกกับชีวิตสบาย ๆ กับข้า แต่เส้นทางที่ข้าวางแผนที่จะเดินออกจากที่นี่ยากขึ้น จะมีศัตรูมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อสถานการณ์ของราชวงศ์ต้าชุนเปลี่ยนไป ใครจะรู้ว่ามีการทดสอบอีกกี่ครั้ง เนื่องจากข้าตัดสินใจที่จะทํางานร่วมกับชวนเทียนหมิงในการพยายามปกป้องโลกนี้ ข้าจึงต้องปลีกตัวออกจากพวกเขา ข้าไม่สามารถมีโซ่ตรวนหรือจุดอ่อนได้ มิฉะนั้นเมื่อศัตรูจับจุดอ่อนของข้า มันจะยากสําหรับข้าที่จะกระท่า เมื่อเวลานั้นมาถึงคนที่ข้ารักไม่เพียงแต่จะได้รับบาดเจ็บเท่านั้น ซวนเทียนหมิงก็จะถูกลากเข้ามาด้วย โชคดีที่ตระกูลเหยาในปัจจุบันจะสามารถดํารงอยู่ได้ อย่างมั่นคงในเมืองหลวงหากไม่มีข้า ส่าหรับตระกูลเฟิงคนเดียวที่ข้ากังวลคือเซียงหรู โชคดีที่นางมีองค์ชายสี่คอยดูแล ทําให้ข้าไม่ต้องเป็นกังวลอีกต่อไป”   เมื่อพวกเขากลับไปที่คฤหาสน์ขององค์หญิง วังซวนกลับสู่เมืองหลวงก่อนกําหนด เฟิงหยูเฮงไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะพูดมากเกินไป และนางก็กลับไปที่ห้องของนางเพื่อพักผ่อน หวงซวนเป็นคนที่เล่าให้วังซวนฟังว่าเกิดอะไรขึ้น มันทําให้วังซวนถอนหายใจซ้ําแล้วซ้ําอีก “คุณหนูคิดถึงเรื่องของเหยาชื่อที่โดนวางยาเปลี่ยนวิญญาณที่ทําให้จิตใจเปลี่ยนไป นี่ก็เป็นสิ่งที่ดี มันสะอาดมาก และการพลาดโอกาสน้อยจะไม่จําเป็นต้องระมัดระวังมากเกินไปในอนาคต”   เฟิงหยูเฮงกลับไปที่คฤหาสน์ขององค์หญิงแล้ว กลับไปที่เรือนของเหยาชื่อ เหยาชื่อและเสี่ยวหยานั่งอยู่ในสนามขณะที่พวกเขากอดกันร้องไห้อย่างขมขึ้น เสียงร้องของพวกนางทําให้บ่าวรับใช้ในลานไม่กล้าเข้าใกล้เพราะทุกคนอยู่ไกล   เสียงของเหยาชื่อเต็มไปด้วยการตําหนิตัวเองเพราะไม่สามารถดูแลเสียวหยาได้ นางบอกว่านางทั้งบุตรสาวของนางลงเพราะนางไม่เคยสามารถให้ชีวิตที่ดีแก่นางได้ ตอนนี้ในที่สุดพวกนางก็สามารถกลับจากตะวันตกเฉียงเหนือได้ คนผู้นั้นสามารถขโมยตําแหน่งของเสี่ยวหยาได้ นางมองเสี่ยวหยาเป็นเฟิงหยูเฮงตัวจริง เมื่อนางเห็นมันบุตรสาวคนนี้ก็เหมือนกับเฟิงหยูเฮงในความทรงจําของนาง ความสงบและไม่มีความสามารถแปลก ๆ เหล่านั้น เมื่อพบปัญหา นางจะร้องไห้และนางจะถูกรังแกจากคนอื่น นี่คืออาเฮงที่นางจําได้ ไม่ใช่สัตว์ประหลาดผู้นั้นที่อาศัยอยู่ในคฤหาสน์ขององค์หญิง นางจะทิ้งบุตรสาวไว้ที่นั่นนานแล้ว และยอมรับสัตว์ประหลาดตัวนั้นได้อย่างไร   “อาเฮง เป็นเพราะข้าที่ทําให้เจ้าผิดหวัง ข้าควรสังเกตว่ามีอะไรบางอย่างว่าจะเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็ว และพาเจ้ากลับไปที่เมืองหลวงในไม่ช้า” เหยาชื่อร้องไห้ขณะพูดกับเสียวหยา “อย่าโทษข้า ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปข้าจะคอยปกป้องเจ้า และไม่ให้เจ้าต้องทนทุกข์ทรมานแม้แต่น้อย”   เสียวหยาร้องไห้ แต่มีความสุข นางเจ็บปวดอย่างมากจากการถูกเฟิงหยูเฮงดี แต่ไม่มีใครสังเกตเห็นมุมปากของนางโค้งงอขึ้นเล็กน้อยผ่านความขมขื่น นางกล่าวกับเหยาชื่อ “ท่านแม่ ข้าไม่ตําหนิท่านแม่ ท่านแม่ก็ถูกหลอกโดยคนนั้น และเป็นเหยื่อด้วยเช่นกัน ท่านแม่ไม่ต้องกังวล ทุกอย่างในอดีตข้ากลับมาอยู่ข้างท่านแม่แล้ว นับจากวันนี้เป็นต้นไปเราจะไม่แยกจากกันอีกเจ้าค่ะ”   ทั้งสองกอดกันอีกครั้งและเริ่มร้องไห้ หลังจากร้องไห้ไปครู่หนึ่ง เสียวหยาสามารถยืนขึ้นและประคองเหยาชื่อกลับไปที่ห้องด้วยความช่วยเหลือของบ่าวรับใช้ จากนั้นนางถูกส่งกลับไปที่ห้องของนางโดยบ่าวรับใช้ ในทันใดที่นางนั่งลง น้ําตาก็หายจากความเจ็บปวด และนางก็เกือบหมดสติ   บ่าวรับใช้ถามนางว่า “คุณหนูต้องการให้ข้าเรียกหมอหรือไม่เจ้าค่ะ?” พวกเขาไม่กล้าเรียกนางว่าแม่นาง เหยาชื่อได้บอกพวกนางแล้วว่าพวกนางจะต้องเรียกเสียวหยาว่าคุณหนู และพวกนางเห็นเสียวหยาตีเทียนชิง พวกนางจะยังคงกล่าที่จะทําผิดพลาดในการเรียกนางได้อย่างไร ?   “ไม่ต้องเรียกหมอ แค่ไปเอายามาให้ข้า” เสี่ยวหยาส่งข่าวรับใช้ออกไปก่อนจะถอนหายใจยาว ๆ จากนั้นนางก็เงยหน้าขึ้น และเห็นบาดแผลเลือดที่ถูกแส์เฟิงหยูเฮงฟาด “เฟิงหยูเฮง !” นางกัดฟันและดูเหมือนจะตะโกนชื่อ คนที่ร้ายกาจที่สุดในโลก นางเป็นศัตรูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของนางและเป็นคนที่นางต้องกําจัด “วันหนึ่งข้าจะทําให้ เจ้าคุกเข่าและคํานับข้า สักวันข้าจะแก้แค้นให้กับทุก ๆ บาดแผลที่เจ้าตีข้า และทิ้งไว้บนร่างกายของเจ้า เฟิงหยูเฮง เจ้ารอข้า !”   เสียวหยาดูเหมือนจะเห็นความหวังแล้ว นางเล่าถึงผู้คนที่นางพบในระหว่างงานเลี้ยงโดยเฉพาะพระสนมหยวนชู ซึ่งที่ให้คําเชิญนาง…   การกระทําของเฟิงหยูเฮงในเรือนนั้นกระจายไปทั่วเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว แทบทุกคนรู้เกี่ยวกับมัน ท่านฮูหยินเหยาไม่ชอบองค์หญิงจีอัน และนางเริ่มขัดแย้งกับองค์หญิงจีอันมากขึ้นเรื่อย ๆ และมันก็เริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อ ย ในที่สุดองค์หญิงอันก็ไม่สามารถทนได้และตัดความสัมพันธ์กับนาง ยิ่งไปกว่านั้นคําพูดที่ว่าองค์หญิงจ๋อันได้ โบยแส้รอบ ๆ เรือน ตีบ่าวรับใช้และเหยาชื่อ นางยังเปิดเผยต่อสาธารณชนว่านางจะทําลายความสัมพันธ์ของนางในฐานะบุตรสาวของเหยาชื่อ นับจากวันนี้นางจะไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะมีชีวิตอยู่หรือตาย   ในขณะเดียวกันตระกูลเหยาก็เคลื่อนไหวเช่นเดียวกัน ภายใต้การนําของเหยาเซียน ลูกชาย 3 คนของตระกูลเหยาและลูกสะใภ้ทั้งสามเข้าไปในคฤหาสน์ขององค์หญิงจอัน   ตระกูลเหยาแสดงความดุร้าย มันเป็นเช่นนั้นหลังจากที่พวกเขาเข้าไปในคฤหาสน์สู่คฤหาสน์ขององค์หญิงอันไม่ได้มีโอกาสใกล้ชิด ขณะที่ผู้คนเริ่มก่อให้เกิดความปั่นป่วนในสนามหน้าบ้าน   ประการแรกคือเหยาเซียนที่โจมตีเฟิงหยูเฮงโดยกล่าวหานางว่าทอดทิ้งมารดา และกล่าวหาว่านางเป็นบุตรสาวที่ไม่จริงเอาจัง ไม่เพียงแต่นางจะไร้ความปราณี แต่นางยังใช้แส้ดีมารดาของนาง หัวใจของนางช่างเลวทรามจริง ๆ !   หลังจากการโจมตีของเหยาเซียน บุตรชายทั้งสามและลูกสะใภ้ของตระกูลเหยาเริ่มที่จะเล็กรักนาง ในขณะที่ทุกคนสามารถได้ยินเสียงของพวกเขาในถนน พลเมืองนับไม่ถ้วนวิ่งไปรวมตัวกันรอบ ๆ คฤหาสน์ขององค์ หญิงจีอันเพื่อดูผู้คนมากขึ้นเรื่อย ๆ เริ่มมาถึงทีละน้อย ท้ายที่สุดเฟิงหยูเฮงรู้สึกว่านางทนไม่ไหวที่จะดําเนินการต่อ นางโกรธและชักแส้ออกมา และไล่ตระกูลเหยาออกจากคฤหาสน์ ประตูถูกปิดด้วย “ปัง” ผู้คนข้างนอกไม่สามารถมองเห็นหรือได้ยินสิ่งอื่นได้อีก   บ่ายวันนั้นตระกูลเหยาประกาศว่าพวกเขาตัดความสัมพันธ์กับเฟิงหยูเฮง นับจากนี้เป็นต้นไปเฟิงหยูเฮงจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตระกูลเหยา ไม่ว่านางจะมีชีวิตอยู่หรือตาย ตระกูลเหยาจะไม่สนใจ ปัญหาที่เกิดขึ้นก็ไม่ได้เป็นความรับผิดชอบของตระกูลเหยา   หลังจากการประกาศจากตระกูลเหยา บ้านของตระกูลเฟิงก็ไม่ได้ช่า แม้ว่าเฟิงจินหยวนไม่เคยเชื่อว่าเฟิงหยูเฮงเฆี่ยนตีเหยาชื่อ แต่บ้านของตระกูลเฟิงไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของเขาอีกต่อไป แต่มันคือเฟิงเฟินได เฟิงเฟินไดเกลียดเฟิงหยูเฮง เมื่อเห็นว่าทุกคนผลักไสเฟิงหยูเฮง นางก็เข้าร่วมและผลักดัน นี่คือบ้านของต ระกูลเฟิงที่แสดงให้โลกเห็นว่าตระกูลเฟิงนั้นได้ตัดความสัมพันธ์กับเฟิงหยูเฮงด้วย นับจากนี้เป็นต้นไปเฟิงหยูเฮงเป็นเพียงองค์หญิงจีอัน นางไม่ได้เป็นบุตรสาวของฮูหยินใหญ่ตระกูลเฟิงอีกต่อไป   เมื่อข่าวทั้งหมดนี้มาถึงคฤหาสน์ขององค์หญิงจีอัน เฟิงหยูเฮง วังซวนและหวงซวนก็กําลังเล่นกับเสื้อขาวตัวน้อย ฉิงหยูเป็นคนนําข่าวชิ้นนี้มาจากด้านนอก หลังจากที่นางได้ยินสิ่งนี้ นางก็หัวเราะออกมาแล้วพูดกับบ่าวรับใช้ “ดูสิผลลัพธ์ที่ข้าคาดไว้ว่าจะเกิดขึ้นเร็วมาก”   วังซวนถอนหายใจขณะที่หวงชวนถามอย่างตรงไปตรงมาว่า “นางจะรู้สึกเสียใจบ้างหรือไม่ ? ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปคุณหนูจะไม่มีญาติทางสายเลือดอีกต่อไป”   “ข้าไม่เคยมีอะไรจะเริ่มต้นด้วยเลย” เฟิงหยูเฮงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “มีอะไรที่ต้องกลัว ข้าเป็นคนโดดเดี่ยวเสมอ ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงตอนนี้ ไม่เคยมีคนใกล้ชิดอย่างแท้จริง ความจริงแล้วสถานการณ์ปัจจุบันดีกว่าตอนเริ่มต้นมาก อย่างน้อยข้าก็มีพวกเจ้า และข้ามีองค์ชายเก้าและพี่เจ็ด ไม่ต้องกังวล หนทางข้างหน้ายังอีกยาวไกล”   หวงซวนพยักหน้า และไม่พูดอะไรเพิ่มเติม   อีกสองวันข้างหน้าคฤหาสน์ของตระกูลเหยาไม่สงบ แม้ว่าซูซื้อจะยังคงดูผ่อนคลายมาก ๆ แม้จะต้องสาป แช่งบ้างเล็กน้อยในทิศทางของคฤหาสน์ขององค์หญิง เหยาจึงจนและสามีของนางก็รู้ คนอื่นก็รู้ รวมทั้งเหยา เซียนพวกเขาทุกคนชัดเจนมาก ทุกคืนเมื่อซูซ่อไปล้างหน้า นางจะเรียกเฟิงหยูเฮง   นางเคยถามเหยาเซียนว่าทําไมพวกเขาถึงต้องแสดงอย่างเด็ดเดียว ? เหยาเซียนบอกนางว่านี่เป็นแผนการ ของเฟิงหยูเฮงในการปกป้องทุกคน หากพวกเขาไม่ทําสิ่งนี้ อนาคตของตระกูลเหยาอาจเลวร้ายยิ่งกว่าเมื่อห้าปี ก่อน   ทุกวันนี้ชวนเทียนหมิงพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะอยู่ข้าง ๆ เฟิงหยูเฮง แม่ในเวลากลางคืนเขาจะ อยู่ที่คฤหาสน์ขององค์หญิง ในช่วงเวลานี้เขาได้พบกับเหยาเซียนในพื้นที่อย่างลับ ๆ เมื่อซวนเทียนหมิงพบว่า ตระกูลเหยาไม่ได้ตัดความสัมพันธ์กับเฟิงหยูเฮงจริง ๆ แค่เล่นละครของนาง เขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ในโลกนี้มีไม่มากที่เขากลัว แต่เขากลัวจริง ๆ ว่าเฟิงหยูเฮงจะโดดเดี่ยวอย่างแท้จริงและจะไม่สามารถจัดการกับมันได้   โชคดีที่ตระกูลเหยายังอยู่เคียงข้างนาง สําหรับตระกูลเฟิง เขาไม่ได้กังวลอะไรเลยแม้แต่น้อย เฟิงหยูเฮงและตระกูลเฟิงไม่ได้สนิทกัน ไม่ว่าความสัมพันธ์จะถูกตัดหรือไม่ก็ตาม   หลังจากนั้นอีกสองวันพระราชโองการที่น่าสถานะอันสูงส่งของเหยาชื่อก็มาถึง หลังจากนี้เจ้าเมืองซูจึงหยวนก็ประกาศผลการสอบสวนการต่อสู้ของหลู่เหยา และหลู่ปิง หลู่เหยาได้ดึงท่านฮูหยินซูลงไปในน้ําอย่างจงใจ ความผิดของการพยายามฆ่าได้ถูกตราไว้ นางยังใช้แมลงมีพิษจากภาคใต้เพื่อทําร้ายหลู่ปิงน้องสาวของนาง ความผิดที่ก่อขึ้นโดยเจตนาก่อให้เกิดอันตรายด้วย และคนที่ให้แมลงมีพิษแก่นางคือ…  

ตอนที่ 727 แผนการของเฟิงหยูเฮง

 

ทั้งสองปีนขึ้นไปบนรถม้า ขณะที่หวงซวนและชวนเทียนฮั่วนั่งนอกรถม้า เฟิงหยูเฮงนั่งกอดเข่าและกล่าว ๆ “ในเมื่อข้าตัดสินใจที่จะไม่เป็นบุตรสาวของเหยาชื่ออีกต่อไป นั่นหมายความว่าข้าไม่ได้เป็นหลานสาวของเหยาเซียนด้วย หากความสัมพันธ์เหล่านี้จะถูกตัดออกไป พวกเขาก็ควรจะถูกตัดทั้งหมด นอกจากนี้ยังมีตระกูลเฟิง… นับจากวันนี้เป็นต้นไปข้าเป็นเพียงองค์หญิงจีอัน ครอบครัวหรือญาติไม่มีใครเกี่ยวข้องกับข้าทั้งนั้น พี่เจ็ด ท่านคิดอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ ?” นางมองเขาด้วยรอยยิ้มที่ละเอียดอ่อน ราวกับว่านางกําลังพูดถึงสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเอง

 

แต่ชวนเทียนฮั่วยังรู้สึกเจ็บอยู่ค่อนข้างมาก และถามนางอย่างไม่รู้ตัว “เจ้าต้องทําถึงเพียงนี้เชียวหรือ ? เจ้าจําเป็นต้องรู้ว่าถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้เจ้าจะไม่มีญาติเลย แม้ว่าเราจะอยู่ใกล้กัน แต่เราไม่ได้เกี่ยวข้องกับเจ้าทางสายเลือด มันแตกต่างกันเล็กน้อย”

 

เฟิงหยูเฮงส่ายหัว “แต่ท่านพี่ก็เห็นสถานการณ์ปัจจุบันของเหยาชื่อ สาเหตุพื้นฐานที่สุดของมันคือนางเป็นมารดาของข้าและผูกพันธ์กับข้า หากไม่มียาเปลี่ยนวิญญาณ นางก็คงไม่กลายเป็นนางในตอนนี้ สถานการณ์ที่คล้ายคลึงกันจะไม่ได้รับอนุญาตให้เกิดขึ้นเป็นครั้งที่สอง ข้าจะไม่ยอมให้สถานการณ์นั้นเกิดขึ้นอีก แน่นอน นั่นเป็นเหตุผลว่าทําไมความสัมพันธ์เหล่านี้จึงต้องถูกตัดขาด”

 

“บางทีเจ้าอาจจะเป็นคนที่รักตัวเองน้อยเกินไป” ชวนเทียนหัวต้องการแนะนําให้นางระมัดระวัง แล้วสิ่งต่าง ๆ ก็จะดีเอง แต่สิ่งแบบนี้จะไม่สามารถโน้มน้าวตัวเองได้ วิธีการของศัตรูจะต้องได้รับการปกป้อง พวกเขาสามารถเผชิญกับอันตรายที่มาถึง และพวกเขาจะไม่สามารถป้องกันตัวเองอย่างเต็มที่จากอันตราย ไม่เช่นนั้นเรื่องของเหยาชื่อจะไม่เกิดขึ้น “ลืมมันไปเถิด” ชวนเทียนฮัวพยักหน้า “ข้ายอมรับสิ่งที่เจ้าพูดนั้นถูกต้อง เป็นเรื่องน่าเสียดายที่ไม่มีใครรู้ว่าองค์หญิงจีอันเป็นคนที่มีจิตใจดีมากที่สุด อาจดูก้าวร้าวแต่ได้รับการปกป้องจริง นับจากวันนี้เป็นต้นไป เจ้าจะไม่มีข้อกังวลใด ๆ อีกต่อไป”

 

“ใช่เจ้าค่ะ !” ในที่สุดเฟิงหยุเฮงยิ้มออกมาอย่างขมขื่น “เมื่อข้าท่าได้ดี ข้าสามารถให้พวกเขาสนุกกับชีวิตสบาย ๆ กับข้า แต่เส้นทางที่ข้าวางแผนที่จะเดินออกจากที่นี่ยากขึ้น จะมีศัตรูมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อสถานการณ์ของราชวงศ์ต้าชุนเปลี่ยนไป ใครจะรู้ว่ามีการทดสอบอีกกี่ครั้ง เนื่องจากข้าตัดสินใจที่จะทํางานร่วมกับชวนเทียนหมิงในการพยายามปกป้องโลกนี้ ข้าจึงต้องปลีกตัวออกจากพวกเขา ข้าไม่สามารถมีโซ่ตรวนหรือจุดอ่อนได้ มิฉะนั้นเมื่อศัตรูจับจุดอ่อนของข้า มันจะยากสําหรับข้าที่จะกระท่า เมื่อเวลานั้นมาถึงคนที่ข้ารักไม่เพียงแต่จะได้รับบาดเจ็บเท่านั้น ซวนเทียนหมิงก็จะถูกลากเข้ามาด้วย โชคดีที่ตระกูลเหยาในปัจจุบันจะสามารถดํารงอยู่ได้ อย่างมั่นคงในเมืองหลวงหากไม่มีข้า ส่าหรับตระกูลเฟิงคนเดียวที่ข้ากังวลคือเซียงหรู โชคดีที่นางมีองค์ชายสี่คอยดูแล ทําให้ข้าไม่ต้องเป็นกังวลอีกต่อไป”

 

เมื่อพวกเขากลับไปที่คฤหาสน์ขององค์หญิง วังซวนกลับสู่เมืองหลวงก่อนกําหนด เฟิงหยูเฮงไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะพูดมากเกินไป และนางก็กลับไปที่ห้องของนางเพื่อพักผ่อน หวงซวนเป็นคนที่เล่าให้วังซวนฟังว่าเกิดอะไรขึ้น มันทําให้วังซวนถอนหายใจซ้ําแล้วซ้ําอีก “คุณหนูคิดถึงเรื่องของเหยาชื่อที่โดนวางยาเปลี่ยนวิญญาณที่ทําให้จิตใจเปลี่ยนไป นี่ก็เป็นสิ่งที่ดี มันสะอาดมาก และการพลาดโอกาสน้อยจะไม่จําเป็นต้องระมัดระวังมากเกินไปในอนาคต”

 

เฟิงหยูเฮงกลับไปที่คฤหาสน์ขององค์หญิงแล้ว กลับไปที่เรือนของเหยาชื่อ เหยาชื่อและเสี่ยวหยานั่งอยู่ในสนามขณะที่พวกเขากอดกันร้องไห้อย่างขมขึ้น เสียงร้องของพวกนางทําให้บ่าวรับใช้ในลานไม่กล้าเข้าใกล้เพราะทุกคนอยู่ไกล

 

เสียงของเหยาชื่อเต็มไปด้วยการตําหนิตัวเองเพราะไม่สามารถดูแลเสียวหยาได้ นางบอกว่านางทั้งบุตรสาวของนางลงเพราะนางไม่เคยสามารถให้ชีวิตที่ดีแก่นางได้ ตอนนี้ในที่สุดพวกนางก็สามารถกลับจากตะวันตกเฉียงเหนือได้ คนผู้นั้นสามารถขโมยตําแหน่งของเสี่ยวหยาได้ นางมองเสี่ยวหยาเป็นเฟิงหยูเฮงตัวจริง เมื่อนางเห็นมันบุตรสาวคนนี้ก็เหมือนกับเฟิงหยูเฮงในความทรงจําของนาง ความสงบและไม่มีความสามารถแปลก ๆ เหล่านั้น เมื่อพบปัญหา นางจะร้องไห้และนางจะถูกรังแกจากคนอื่น นี่คืออาเฮงที่นางจําได้ ไม่ใช่สัตว์ประหลาดผู้นั้นที่อาศัยอยู่ในคฤหาสน์ขององค์หญิง นางจะทิ้งบุตรสาวไว้ที่นั่นนานแล้ว และยอมรับสัตว์ประหลาดตัวนั้นได้อย่างไร

 

“อาเฮง เป็นเพราะข้าที่ทําให้เจ้าผิดหวัง ข้าควรสังเกตว่ามีอะไรบางอย่างว่าจะเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็ว และพาเจ้ากลับไปที่เมืองหลวงในไม่ช้า” เหยาชื่อร้องไห้ขณะพูดกับเสียวหยา “อย่าโทษข้า ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปข้าจะคอยปกป้องเจ้า และไม่ให้เจ้าต้องทนทุกข์ทรมานแม้แต่น้อย”

 

เสียวหยาร้องไห้ แต่มีความสุข นางเจ็บปวดอย่างมากจากการถูกเฟิงหยูเฮงดี แต่ไม่มีใครสังเกตเห็นมุมปากของนางโค้งงอขึ้นเล็กน้อยผ่านความขมขื่น นางกล่าวกับเหยาชื่อ “ท่านแม่ ข้าไม่ตําหนิท่านแม่ ท่านแม่ก็ถูกหลอกโดยคนนั้น และเป็นเหยื่อด้วยเช่นกัน ท่านแม่ไม่ต้องกังวล ทุกอย่างในอดีตข้ากลับมาอยู่ข้างท่านแม่แล้ว นับจากวันนี้เป็นต้นไปเราจะไม่แยกจากกันอีกเจ้าค่ะ”

 

ทั้งสองกอดกันอีกครั้งและเริ่มร้องไห้ หลังจากร้องไห้ไปครู่หนึ่ง เสียวหยาสามารถยืนขึ้นและประคองเหยาชื่อกลับไปที่ห้องด้วยความช่วยเหลือของบ่าวรับใช้ จากนั้นนางถูกส่งกลับไปที่ห้องของนางโดยบ่าวรับใช้ ในทันใดที่นางนั่งลง น้ําตาก็หายจากความเจ็บปวด และนางก็เกือบหมดสติ

 

บ่าวรับใช้ถามนางว่า “คุณหนูต้องการให้ข้าเรียกหมอหรือไม่เจ้าค่ะ?” พวกเขาไม่กล้าเรียกนางว่าแม่นาง เหยาชื่อได้บอกพวกนางแล้วว่าพวกนางจะต้องเรียกเสียวหยาว่าคุณหนู และพวกนางเห็นเสียวหยาตีเทียนชิง พวกนางจะยังคงกล่าที่จะทําผิดพลาดในการเรียกนางได้อย่างไร ?

 

“ไม่ต้องเรียกหมอ แค่ไปเอายามาให้ข้า” เสี่ยวหยาส่งข่าวรับใช้ออกไปก่อนจะถอนหายใจยาว ๆ จากนั้นนางก็เงยหน้าขึ้น และเห็นบาดแผลเลือดที่ถูกแส์เฟิงหยูเฮงฟาด “เฟิงหยูเฮง !” นางกัดฟันและดูเหมือนจะตะโกนชื่อ คนที่ร้ายกาจที่สุดในโลก นางเป็นศัตรูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของนางและเป็นคนที่นางต้องกําจัด “วันหนึ่งข้าจะทําให้ เจ้าคุกเข่าและคํานับข้า สักวันข้าจะแก้แค้นให้กับทุก ๆ บาดแผลที่เจ้าตีข้า และทิ้งไว้บนร่างกายของเจ้า เฟิงหยูเฮง เจ้ารอข้า !”

 

เสียวหยาดูเหมือนจะเห็นความหวังแล้ว นางเล่าถึงผู้คนที่นางพบในระหว่างงานเลี้ยงโดยเฉพาะพระสนมหยวนชู ซึ่งที่ให้คําเชิญนาง…

 

การกระทําของเฟิงหยูเฮงในเรือนนั้นกระจายไปทั่วเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว แทบทุกคนรู้เกี่ยวกับมัน ท่านฮูหยินเหยาไม่ชอบองค์หญิงจีอัน และนางเริ่มขัดแย้งกับองค์หญิงจีอันมากขึ้นเรื่อย ๆ และมันก็เริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อ ย ในที่สุดองค์หญิงอันก็ไม่สามารถทนได้และตัดความสัมพันธ์กับนาง ยิ่งไปกว่านั้นคําพูดที่ว่าองค์หญิงจ๋อันได้ โบยแส้รอบ ๆ เรือน ตีบ่าวรับใช้และเหยาชื่อ นางยังเปิดเผยต่อสาธารณชนว่านางจะทําลายความสัมพันธ์ของนางในฐานะบุตรสาวของเหยาชื่อ นับจากวันนี้นางจะไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะมีชีวิตอยู่หรือตาย

 

ในขณะเดียวกันตระกูลเหยาก็เคลื่อนไหวเช่นเดียวกัน ภายใต้การนําของเหยาเซียน ลูกชาย 3 คนของตระกูลเหยาและลูกสะใภ้ทั้งสามเข้าไปในคฤหาสน์ขององค์หญิงจอัน

 

ตระกูลเหยาแสดงความดุร้าย มันเป็นเช่นนั้นหลังจากที่พวกเขาเข้าไปในคฤหาสน์สู่คฤหาสน์ขององค์หญิงอันไม่ได้มีโอกาสใกล้ชิด ขณะที่ผู้คนเริ่มก่อให้เกิดความปั่นป่วนในสนามหน้าบ้าน

 

ประการแรกคือเหยาเซียนที่โจมตีเฟิงหยูเฮงโดยกล่าวหานางว่าทอดทิ้งมารดา และกล่าวหาว่านางเป็นบุตรสาวที่ไม่จริงเอาจัง ไม่เพียงแต่นางจะไร้ความปราณี แต่นางยังใช้แส้ดีมารดาของนาง หัวใจของนางช่างเลวทรามจริง ๆ !

 

หลังจากการโจมตีของเหยาเซียน บุตรชายทั้งสามและลูกสะใภ้ของตระกูลเหยาเริ่มที่จะเล็กรักนาง ในขณะที่ทุกคนสามารถได้ยินเสียงของพวกเขาในถนน พลเมืองนับไม่ถ้วนวิ่งไปรวมตัวกันรอบ ๆ คฤหาสน์ขององค์ หญิงจีอันเพื่อดูผู้คนมากขึ้นเรื่อย ๆ เริ่มมาถึงทีละน้อย ท้ายที่สุดเฟิงหยูเฮงรู้สึกว่านางทนไม่ไหวที่จะดําเนินการต่อ นางโกรธและชักแส้ออกมา และไล่ตระกูลเหยาออกจากคฤหาสน์ ประตูถูกปิดด้วย “ปัง” ผู้คนข้างนอกไม่สามารถมองเห็นหรือได้ยินสิ่งอื่นได้อีก

 

บ่ายวันนั้นตระกูลเหยาประกาศว่าพวกเขาตัดความสัมพันธ์กับเฟิงหยูเฮง นับจากนี้เป็นต้นไปเฟิงหยูเฮงจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตระกูลเหยา ไม่ว่านางจะมีชีวิตอยู่หรือตาย ตระกูลเหยาจะไม่สนใจ ปัญหาที่เกิดขึ้นก็ไม่ได้เป็นความรับผิดชอบของตระกูลเหยา

 

หลังจากการประกาศจากตระกูลเหยา บ้านของตระกูลเฟิงก็ไม่ได้ช่า แม้ว่าเฟิงจินหยวนไม่เคยเชื่อว่าเฟิงหยูเฮงเฆี่ยนตีเหยาชื่อ แต่บ้านของตระกูลเฟิงไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของเขาอีกต่อไป แต่มันคือเฟิงเฟินได เฟิงเฟินไดเกลียดเฟิงหยูเฮง เมื่อเห็นว่าทุกคนผลักไสเฟิงหยูเฮง นางก็เข้าร่วมและผลักดัน นี่คือบ้านของต ระกูลเฟิงที่แสดงให้โลกเห็นว่าตระกูลเฟิงนั้นได้ตัดความสัมพันธ์กับเฟิงหยูเฮงด้วย นับจากนี้เป็นต้นไปเฟิงหยูเฮงเป็นเพียงองค์หญิงจีอัน นางไม่ได้เป็นบุตรสาวของฮูหยินใหญ่ตระกูลเฟิงอีกต่อไป

 

เมื่อข่าวทั้งหมดนี้มาถึงคฤหาสน์ขององค์หญิงจีอัน เฟิงหยูเฮง วังซวนและหวงซวนก็กําลังเล่นกับเสื้อขาวตัวน้อย ฉิงหยูเป็นคนนําข่าวชิ้นนี้มาจากด้านนอก หลังจากที่นางได้ยินสิ่งนี้ นางก็หัวเราะออกมาแล้วพูดกับบ่าวรับใช้ “ดูสิผลลัพธ์ที่ข้าคาดไว้ว่าจะเกิดขึ้นเร็วมาก”

 

วังซวนถอนหายใจขณะที่หวงชวนถามอย่างตรงไปตรงมาว่า “นางจะรู้สึกเสียใจบ้างหรือไม่ ? ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปคุณหนูจะไม่มีญาติทางสายเลือดอีกต่อไป”

 

“ข้าไม่เคยมีอะไรจะเริ่มต้นด้วยเลย” เฟิงหยูเฮงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “มีอะไรที่ต้องกลัว ข้าเป็นคนโดดเดี่ยวเสมอ ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงตอนนี้ ไม่เคยมีคนใกล้ชิดอย่างแท้จริง ความจริงแล้วสถานการณ์ปัจจุบันดีกว่าตอนเริ่มต้นมาก อย่างน้อยข้าก็มีพวกเจ้า และข้ามีองค์ชายเก้าและพี่เจ็ด ไม่ต้องกังวล หนทางข้างหน้ายังอีกยาวไกล”

 

หวงซวนพยักหน้า และไม่พูดอะไรเพิ่มเติม

 

อีกสองวันข้างหน้าคฤหาสน์ของตระกูลเหยาไม่สงบ แม้ว่าซูซื้อจะยังคงดูผ่อนคลายมาก ๆ แม้จะต้องสาป แช่งบ้างเล็กน้อยในทิศทางของคฤหาสน์ขององค์หญิง เหยาจึงจนและสามีของนางก็รู้ คนอื่นก็รู้ รวมทั้งเหยา เซียนพวกเขาทุกคนชัดเจนมาก ทุกคืนเมื่อซูซ่อไปล้างหน้า นางจะเรียกเฟิงหยูเฮง

 

นางเคยถามเหยาเซียนว่าทําไมพวกเขาถึงต้องแสดงอย่างเด็ดเดียว ? เหยาเซียนบอกนางว่านี่เป็นแผนการ ของเฟิงหยูเฮงในการปกป้องทุกคน หากพวกเขาไม่ทําสิ่งนี้ อนาคตของตระกูลเหยาอาจเลวร้ายยิ่งกว่าเมื่อห้าปี ก่อน

 

ทุกวันนี้ชวนเทียนหมิงพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะอยู่ข้าง ๆ เฟิงหยูเฮง แม่ในเวลากลางคืนเขาจะ อยู่ที่คฤหาสน์ขององค์หญิง ในช่วงเวลานี้เขาได้พบกับเหยาเซียนในพื้นที่อย่างลับ ๆ เมื่อซวนเทียนหมิงพบว่า ตระกูลเหยาไม่ได้ตัดความสัมพันธ์กับเฟิงหยูเฮงจริง ๆ แค่เล่นละครของนาง เขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ในโลกนี้มีไม่มากที่เขากลัว แต่เขากลัวจริง ๆ ว่าเฟิงหยูเฮงจะโดดเดี่ยวอย่างแท้จริงและจะไม่สามารถจัดการกับมันได้

 

โชคดีที่ตระกูลเหยายังอยู่เคียงข้างนาง สําหรับตระกูลเฟิง เขาไม่ได้กังวลอะไรเลยแม้แต่น้อย เฟิงหยูเฮงและตระกูลเฟิงไม่ได้สนิทกัน ไม่ว่าความสัมพันธ์จะถูกตัดหรือไม่ก็ตาม

 

หลังจากนั้นอีกสองวันพระราชโองการที่น่าสถานะอันสูงส่งของเหยาชื่อก็มาถึง หลังจากนี้เจ้าเมืองซูจึงหยวนก็ประกาศผลการสอบสวนการต่อสู้ของหลู่เหยา และหลู่ปิง หลู่เหยาได้ดึงท่านฮูหยินซูลงไปในน้ําอย่างจงใจ ความผิดของการพยายามฆ่าได้ถูกตราไว้ นางยังใช้แมลงมีพิษจากภาคใต้เพื่อทําร้ายหลู่ปิงน้องสาวของนาง ความผิดที่ก่อขึ้นโดยเจตนาก่อให้เกิดอันตรายด้วย และคนที่ให้แมลงมีพิษแก่นางคือ…

 

ตอนที่ 726 ตัดความสัมพันธ์   น้ําเสียงของนางเย็นชาและไม่รู้สึกถึงความรู้สึกใด ๆ ดวงตาของนางยังว่างเปล่า และไม่สนใจ นางมองเหยาชื่อแต่ดูราวกับว่านางไม่ได้มองอะไรเลย เหยาชื่อในปัจจุบันไม่มีอะไรมากไปกว่าคนแปลกหน้าของเฟิงหยูเฮง ไม่มีความใกล้ชิด ไม่มีแม้แต่ความรู้สึกใด ๆ ไม่มีอะไรนอกจากความเกลียดชังและเสียใจ   “ลงมือได้เลย” เสียงของเฟิงหยูเฮงเป็นเหมือนคําสาปของพญามาร และกล่าวด้วยน้ําเสียงที่ออกคําสั่ง มันทําให้เหยาชื่อต้องเชื่อฟังโดยไม่รู้ตัวขณะที่นางลดมือลง นางทําได้แค่ตอบสนองเมื่อมือของนางเอื้อมมือไปด้านข้างของนาง ทําไมนางถึงฟังเฟิงหยูเฮง ? อย่างไรก็ตามเฟิงหยูเฮงยังกล่าวต่อไปว่า “ตอนนี้เจ้าบีบคอของข้า ในจุดที่อันตราย และข้ามีเหตุผลทั้งหมดที่จะรายงานว่าเจ้าพยายามฆ่า” นางกล่าวอย่างสงบและมีเหตุผลราวกับระบุสถานการณ์   แต่เหยาชื่อไม่เข้าใจ ก่อนหน้านี้นางได้รับความหวาดกลัวจากเฟิงหยูเฮงที่ดีเสียวหยา ตอนนี้นางได้รับความตกใจด้วยคําพูดของเฟิงหยูเฮง พยายามฆ่า ? อะไรคือการพิจารณาคดีว่าพยายามฆ่า ? นางแค่บีบคอของเฟิงหยูเฮง สิ่งนี้ถือได้ว่าเป็นการพยายามฆ่าได้อย่างไร ?   ในเวลานี้ซวนเทียนถั่วเสริมสิ่งที่เฟิงหยูเฮงพูดโดยกล่าวว่า “ท่านฮูหยินเหยา ถ้าไม่ใช่เพราะองค์หญิงจีอันหยุดทานได้ทันเวลา เจ้าจะต้องบีบคอนางจนตาย นี้จะเป็นการพิจารณาคดีฆาตกรรมที่พยายามฆ่า”   “ข้าไม่ได้ทํา !” เหยาซื้อถอยกลับไปพูดด้วยความตกใจว่า “ข้าจะมีความสามารถในการบีบคอนางจนตายได้อย่างไร ? นางคือองค์หญิงจีอัน และข้าก็เป็นผู้หญิงที่ไร้พลัง ข้าจะทําให้นางตายได้อย่างไร ?” สายตาของ เหยาชื่อค่อย ๆ เพิ่มความรุนแรงขึ้น ข้าอยากจะทําให้นางขาดใจจนตาย มีเพียงความตายของนางเท่านั้นที่จะ ให้บุตรสาวอยู่กับข้าได้โดยไม่มีอุปสรรคใด ๆ หากนางไม่ตาย เรื่องทั้งหมดนี้จะดําเนินต่อไปเช่นนี้ตลอดกาล และบุตรสาวของข้าจะไม่กลับมา”   เหยาชื่อกําลังจะคุ้มคลั่งที่เท้าของนาง เสี่ยวหยายื่นมือขึ้นจับที่ขาของเหยาชื่อ นางเอ่ยออกมาเบา ๆ ว่า “ท่านแม่อย่าโกรธเจ้าค่ะ มันเป็นความผิดของข้าที่ไม่สามารถปกป้องท่านแม่ได้”   คําว่าท่านแม่ทําให้เหยาชื่อใจอ่อนลงอีกครั้ง นางนั่งบนพื้นและกอดเสี่ยวหยาไว้ ทั้งสองร้องไห้ขณะที่ปลอบโยนซึ่งกันและกัน มันท่าให้เฟิงหยูเฮงจําเวลาที่ใช้ในหมู่บ้านบนภูเขาทางตะวันตกเฉียงเหนือได้ เหยาชื่อทําอาหารไม่เป็นและต้องทําอาหารให้กับเด็กทั้งสอง นางจึงลงเอยด้วยการเผาครัวโดยบังเอิญ ในเวลานั้นเหยาชื่อก็กอดนางขณะที่ร้องไห้อย่างนี้ ขณะที่พวกเขาปลอบโยนซึ่งกันและกัน ในเวลาเพียงไม่กี่ปีมันก็จบลงแบบนี้   “เหยาซื้อ” เสียงของเฟิงหยูเฮงเต็มไปด้วยความโกรธ “อันที่จริงข้าไม่เข้าใจว่าทําไมเจ้าปฏิเสธที่จะยอมรับข้า หากเจ้ายืนยันว่าข้าไม่ใช่บุตรสาวของเจ้า หากเป็นเพียงความคิดนี้ และเจ้าต้องการเพียงแค่บุตรสาวคนเดิมของเจ้าที่เจ้าสามารถอยู่รอดได้ เฟิงหยูเฮงที่เหมือนเจ้าไม่มีความสามารถในการปกป้องตัวเอง เจ้าก็ควรตรวจสอบความจริงของสถานการณ์หรือไม่ เจ้าควรตรวจสอบสาเหตุที่บุตรสาวของเจ้าเปลี่ยนไปอย่างกะทันหันและไม่ใช่บุตรสาวของเจ้าอีกต่อไป ข้ารู้ว่าการแพทย์และความสามารถของข้าดีกว่าของท่านปู่ ความสามารถทางการแพทย์ของข้าไม่สามารถถูกสอนที่อื่นได้ ข้าเรียกรู้ศิลปะการต่อสู้ คงเป็นไปไม่ได้ที่จะเรียนรู้ศิลปะการต่อสู้ ที่น่าทิ้งในเวลาเพียงสามปี แม้ว่าเจ้าจะสงสัยสิ่งเหล่านี้ ทําไมเจ้าไม่ตรวจสอบ ? เจ้าไม่เคยแม้แต่จะตรวจสอบ ข้าก่อนที่จะปฏิเสธที่จะยอมรับข้า ทําไมเจ้าถึงยอมรับนางอย่างง่ายดาย ?” นางชี้ไปที่เสียวหยาด้วยมือที่สั่นเทา “ถ้าข้าไม่ใช่บุตรสาวของเจ้า นางจะเป็นตัวจริงงั้นหรือ ? เจ้าไม่มีความระแวงสงสัยนางแม้แต่น้อยเลยหรือ ?”   เมื่อเผชิญกับคําถามของเฟิงหยูเฮง เหยาชื่อตอบอย่างเป็นธรรมชาติ “ข้าไม่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับนางเลย นางเป็นบุตรสาวของข้า และเป็นตัวจริงแน่นอน ! แต่เจ้าไม่ใช่”   เฟิงหยูเฮงพยักหน้า คราวนี้มันไม่มีร่องรอยของความเจ็บปวดอีกต่อไป เมื่อสิ่งต่าง ๆ กลับกลายเป็นเช่นนี้ นางไม่ได้มีความรู้สึกใด ๆ ต่อเหยาซื้ออีกต่อไป นอกจากใบหน้าของนาง มันเป็นเพียงใบหน้าที่ดูเหมือนมารดาของนางจากชีวิตก่อนหน้านี้ที่เริ่มพร่ามัว จิตใจของนางก็เริ่มที่จะแหลกสลาย เฟิงหยูเฮงรู้ว่าตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป นางคงไม่ผูกพันกับความสัมพันธ์ทางสายเลือดนี้อีกต่อไป นางเป็นตัวของตัวเอง ไม่ใช่บุตรสาวของเหยาชื่อ นางไม่ได้เป็นบุตรสาวของตระกูลเฟิงอีกต่อไป   “ไม่เป็นไร ข้าไม่ใช่” นางบอกเหยาชื่อว่า “แน่นอนข้าไม่ใช่บุตรสาวของเจ้า ด้วยเหตุนี้นับจากนี้เป็นต้นไปข้าจะไม่ยอมรับเจ้าอีกต่อไป ข้าเป็นแค่องค์หญิงจีอัน และว่าที่พระชายาขององค์ชายเก๋ แน่นอนว่าเจ้าสามารถให้บุตรสาวของเจ้าลองแย่งตําแหน่งพระชายาเอกหยู แต่ข้าจะเตือนเจ้าว่ามีคนที่อยากได้ตําแหน่งนั้น ผลก็คือองค์ ชายเก้เผาบ้านของพวกเขาลง หากเจ้าไม่ต้องการให้บ้านหลังนี้ถูกเผา มันเป็นการดีที่สุดที่จะหลีกเลี่ยงความคิดเช่นนั้น เหยาชื่อ ข้าขอให้เจ้ารับรู้อย่างเป็นทางการว่าเราไม่ได้เกี่ยวข้องกันในฐานะมารดาและบุตรสาวอีกต่อไป นั่นเป็นเหตุผลที่ข้าจะไม่ให้เงินเจ้าอีกต่อไป เพราะข้าไม่มีความตั้งใจที่จะเลี้ยงดูคนแปลกหน้า ข้าจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเงินที่ได้รับตระกูลเหยา เจ้าไม่ต้องกังวลกับเรื่องนั้น”   เหยาชื่อได้ยินเรื่องนี้ แต่ไม่ตอบสนองมากนัก นางพยักหน้าแล้วพูดว่า “ได้ ข้ายอมรับมัน อย่าเชื่อว่าหาก ไม่มีการสนับสนุนจากเจ้า เราจะอยู่ด้วยความหวาดกลัว แม้ว่าการสนับสนุนของตระกูลเหยาจะหยุดลงนั้นก็ไม่ใช่ปัญหา อย่าลืมว่าแม้ว่าเจ้าจะเป็นองค์หญิง ข้าก็เป็นฮูหยินขั้นหนึ่งของราชวงศ์ต้าชุน ข้ายังมีเบี้ยหวัดจากราชสํานักด้วย ข้าได้รับมันทุกเดือน ข้าสามารถอยู่รอดได้ด้วยตัวเอง ข้าสามารถยกระดับอาเฮงของข้าได้ และไม่ต้องการความสงสารจากใครเลย” เหยาซื้อพูดอย่างหยิ่งผยอง นางประคองเสียวหยาและรู้สึกถึงบาดแผลของนางเบา ๆ ขณะกล่าวเสียวหยา “อย่ากลัวเลย แม่จะดูแลเจ้าและบาดแผลของเจ้าอย่างเหมาะสม แม่จะหาหมอที่ดีที่สุดมารักษาเจ้า อาเฮงจะต้องหายดี อย่ากลัวเลย”   เฟิงหยูเฮงเบนสายตาไปที่อื่น นางไม่อยากมองเหยาชื่อ นางไม่ต้องการได้ยินใครบางคนเรียกชื่อของนางเอง ในเวลานี้ชวนเทียนฮั่วกล่าวเบา ๆ ว่า “ท่านฮูหยินเหยา ข้าเชื่อว่าเจ้าอาจเข้าใจผิด ตําแหน่งฮูหยินขั้นหนึ่ง มาตรฐานนั้นได้มาเพราะบุตรสาวของเจ้า เนื่องจากเจ้าไม่มีครอบครัวของสามีที่มีเกียรติ และเจ้าไม่ได้มีความชอบใด ๆ กับราชวงศ์ต้าชุน เพราะบุตรสาวของท่านจึงทําให้ท่านที่ได้รับตําแหน่งนั้น ในเมื่อได้ตัดความสัมพันธ์ ในฐานะที่เป็นมารดาและบุตรสาว องค์หญิงจีอัน นั่นเป็นเหตุผลว่าทําไมสถานะของเจ้าในฐานะฮูหยินขั้นหนึ่งจะถูกราชสํานักเพิกถอนทันที ไม่ต้องกังวล องค์ชายผู้นี้จะรีบแจ้งราชสํานักให้มาจัดการเรื่องนี้โดยเร็ว เจ้าไม่ต้องรอนานเกินไป”   “เจ้า…” เหยาชื่อหายไปเล็กน้อย “บนพื้นฐานอะไร ? เจ้ากําลังยกเล็กตําแหน่งของข้าบนพื้นฐานแบบใด ?”    ชวนเทียนฮัวบอกนาง “บนพื้นฐานที่ข้าเป็นองค์ชายเจ็ดของราชวงศ์ดําชุน”   “องค์ชายเจ็ด มันมีเหตุผลอะไรที่ท่านต้องทําเช่นนั้น ?”   “เหตุผล ?” ชวนเทียนฮั่วส่ายหัว “อย่าพูดกับข้าเกี่ยวกับเหตุผล ข้าคือเหตุผล” หลังจากที่เขาพูดสิ่งนี้ เขาไม่ต้องการที่จะยังคงอยู่ในสถานที่นี้ เขาดึงเฟิงหยูเฮงให้เดินตามและเริ่มเดินออกไป   เฟิงหยูเฮงยังคงดื่มต่ํากับคําพูดสุดท้ายที่ชวนเทียนฮั่วพูด แม้ว่าทั้งสองจะไกลกันนางก็ยังถอนหายใจ “พี่เจ็ดไม่เห็น แต่เมื่อท่านตําหนิผู้คน ท่านก็เหมือนกับชวนเทียนหมิง”   ชวนเทียนฮั่วทําอะไรไม่ถูก “ข้าคิดว่าอารมณ์ของเจ้าจะไม่ดีในการจัดการเรื่องนี้” “และหลังจากนั้น ? “   “ความจริงหากว่าไม่เป็นเช่นนั้น” ซวนเทียนฮั่วหัวเราะและบีบหน้าของเฟิงหยูเฮง “แต่ข้าก็สบายใจกับเจ้าเช่นนี้”   อย่างไรก็ตามเฟิงหยูเฮงก็จ่าเรื่องหนึ่งได้ ทันใดนั้นนางจึงพูดกับชวนเทียนฮัว “พี่เจ็ดรอข้าอยู่ที่นี่” หลังจากพูดแบบนี้ นางหันหลังกลับแล้วมุ่งหน้าไปที่ลานบ้าน เมื่อนางออกมา นางถึงบ่าวรับใช้ที่ชื่อเทียนชิงออกมา “เจ้ากลับไปได้” นางพูดกับเทียนชิง “ฝากขอบคุณท่านปhา บอกว่าข้าจะไปที่พระราชวังในภายหลังเพื่อเยี่ยมท่านป้า”   เทียนชิงรู้สึกตกใจเล็กน้อย “แต่องค์หญิง พระชายาบอกกับบ่าวรับใช้คนนี้ให้เฝ้าเสี่ยวหยา”   “ไม่ต้อง” เฟิงหยูเฮงยิ้มขณะส่ายหัว “เมื่อมองดู สิ่งสําคัญคือจิตใจไม่ใช่ดวงตา แต่เหยาชื่อยืนยันที่จะใช้สายตาของนางมองโลกใบนี้เท่านั้น ดังนั้นจึงไม่มีอะไรที่ข้าจะทําได้ กลับไปบอกท่านป้าว่าพวกเขาต้องการรนหาที่ตายเอง และไม่มีใครสามารถหยุดพวกเขาได้ นอกจากนี้สิ่งที่ข้าพูดในนั้นคือความจริง เจ้าสามารถบอกท่านป้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ ข้ารู้ว่าท่านป้าโตมาพร้อมกับเหยาชื่อ และบางที่ท่านป้าอาจจะไม่พอใจแทนข้าที่ทําสิ่งนี้ ด้วยวิธีนี้และจะลงโทษข้า แต่เจ้าก็เห็นด้วย ข้าไม่มีทางเลือกอื่น ต้องเผชิญกับท่านแม่แบบนั้น ถ้าข้ายอมรับนางต่อไป มันจะทําให้นางเจ็บปวดมากขึ้นเท่านั้น”   เทียนชิงรู้สึกหมดหนทางและพยักหน้าแล้วออกเดินทาง เมื่อเทียนชิงอยู่ห่างออกไป ซวนเทียนฮั่วให้คําแนะน่านางเบา ๆ “เจ้าไม่เต็มใจงั้นหรือ ?”   เฟิงหยูเฮงส่ายหัว “ข้าคือองค์หญิงจีอัน พี่เจ็ดเคยเห็นองค์หญิงจีอันขี่ม้าและยิงธนู ท่านพี่เคยเห็นองค์หญิงจีอันใช้อารมณ์เมื่อใด ?”เจ้าไม่ได้หรือ ? “ชวนเทียนหัวคิดเล็กน้อยจากนั้นส่ายหัว”มีอยู่อย่างชัดเจน แต่เจ้าไม่ ยอมรับในขณะที่เลือกที่จะลืมมัน เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เจ้าก็ตั้งใจเอ่ยอ้าง เมื่อเป็นเช่นนี้… หมิงเอ๋อจะเศร้า”เขามองออกไปเมื่อหัวใจของเขาเริ่มเจ็บโดยไม่มีเหตุผลชัดเจน ไม่ใช่เพียงหมิงเอ่อที่จะเสียใจ เขาก็จะเป็นเช่นนั้น มันเป็นเพียงว่าเขาสามารถเก็บความรู้สึกนี้ไว้ในหน้าอกของเขา เขาไม่สามารถส่งเสียงได้”พี่เจ็ด อย่าบอกเขา ! “เฟิงหยูเฮงยิ้มได้เพราะนางใช้รอยยิ้มนี้เพื่อปกปิดความเจ็บปวดในดวงตาของนาง “ข้าทนมานานแล้ว แต่ข้าจะไม่ทําในอนาคต คนที่นี่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับข้า ข้าจะไม่ร้องไห้เพื่อนางและข้าจะยิ้ม ไม่ว่านางจะประสบปัญหาอะไร นางก็จะไม่สามารถพบข้าได้อีก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับนาง ข้าจะไม่ยื่นมือช่วยเหลือนาง มันไม่ดีมากหรือ ? ในชีวิตของข้ามีภาระเพิ่มขึ้น ในอนาคตจะมีสักวันที่ข้าจะไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับใครก็ตาม ที่พยายามแก้แค้นนาง เพราะข้าทําให้ใครบางคนขุ่นเคืองหรือก่อให้เกิดปัญหาใหญ่ ตัดความผูกพันระหว่างมารดากับบุตรสาวให้กับเหยาชื่อนี้เป็นสิ่งที่ข้าต้องเปิดเผยสู่โลกใบนี้”นางเดินไปข้างหน้าอย่างมีความสุขและแขนขึ้นเหนือศีรษะ ดูเหมือนว่านางจะมีความสุขและพอใจมาก อย่างไรก็ตามซวนเทียนฮั่วรู้ว่าการตัดความสัมพันธ์กับเหยาชื่อเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการปกป้องเหยาชื่อ แม้ว่าเฟิงหยูเฮงจะทําดูเหมือนไร้หัวใจ ราชวงศ์ต้าชุนในปัจจุบันไม่มั่นคงและมีอันตรายที่ซ่อนอยู่มากมาย เฟิงหยุเฮงและชวนเทียนหมิงอยู่ด้วยกันซึ่งหมายความว่าวันข้างหน้าจะวุ่นวาย ผู้หญิงคนนั้นกลัวว่าเหยาชื่อจะดื่มยาเหมือนเมื่อก่อน หากนางต้องการป้องกันไม่ให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น สิ่งที่นางทําไปนั้นดีที่สุดอย่างแน่นอน”อาเฮง“เขาไล่ตามนางและคิดอยู่นาน แต่พูดได้เพียงอย่างเดียว”มันก็ ดีถ้าเจ้าสบายใจ”ในเวลานี้เฟิงหยูเฮงฟื้นนิสัยปกติของนางแล้ว นางไม่ยิ้มโง่ ๆ อีกต่อไป และนางก็ดูดุร้าย เหมือนที่นางทําในเรือนนั้น นางไม่ได้พูดเกี่ยวกับสิ่งเล็กน้อย นางเริ่มจัดการเรื่องที่เป็นทางการแล้ว นางหยุดเดินและตะโกนในอากาศ”บานซู”ร่างของบุคคลนั้นปรากฏขึ้นทันที”เจ้าอยู่ที่นี่ และคอยจับตามองเสียวหยา“บานซูพยักหน้าและหายตัวไปอีกครั้ง   เฟิงหยูเฮงมองไปที่ชวนเทียนฮั่วแล้วกล่าวกับเขาอย่างจริงจังว่า “ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ขากลัวว่าเสี่ยวหยาจะใช้ประโยชน์จากใบหน้านั้น อย่าสงสัยว่าทําไมข้าไม่ทําลายใบหน้านางนางด้วยแส้ของข้า การทําลายมันตั้งแต่เริ่มต้นมันน่าเสียดายเกินไป เราจะให้นางวนไปรอบ ๆ และดูว่านางวางแผนจะทําอะไร เราจะเห็นว่า นางตัดสินใจเลือกใคร ในขณะเดียวกันคนที่นางเลือกจะเป็นปลาตัวใหญ่ที่เราตั้งใจจะจับ !”  

ตอนที่ 726 ตัดความสัมพันธ์

 

น้ําเสียงของนางเย็นชาและไม่รู้สึกถึงความรู้สึกใด ๆ ดวงตาของนางยังว่างเปล่า และไม่สนใจ นางมองเหยาชื่อแต่ดูราวกับว่านางไม่ได้มองอะไรเลย เหยาชื่อในปัจจุบันไม่มีอะไรมากไปกว่าคนแปลกหน้าของเฟิงหยูเฮง ไม่มีความใกล้ชิด ไม่มีแม้แต่ความรู้สึกใด ๆ ไม่มีอะไรนอกจากความเกลียดชังและเสียใจ

 

“ลงมือได้เลย” เสียงของเฟิงหยูเฮงเป็นเหมือนคําสาปของพญามาร และกล่าวด้วยน้ําเสียงที่ออกคําสั่ง มันทําให้เหยาชื่อต้องเชื่อฟังโดยไม่รู้ตัวขณะที่นางลดมือลง นางทําได้แค่ตอบสนองเมื่อมือของนางเอื้อมมือไปด้านข้างของนาง ทําไมนางถึงฟังเฟิงหยูเฮง ? อย่างไรก็ตามเฟิงหยูเฮงยังกล่าวต่อไปว่า “ตอนนี้เจ้าบีบคอของข้า ในจุดที่อันตราย และข้ามีเหตุผลทั้งหมดที่จะรายงานว่าเจ้าพยายามฆ่า” นางกล่าวอย่างสงบและมีเหตุผลราวกับระบุสถานการณ์

 

แต่เหยาชื่อไม่เข้าใจ ก่อนหน้านี้นางได้รับความหวาดกลัวจากเฟิงหยูเฮงที่ดีเสียวหยา ตอนนี้นางได้รับความตกใจด้วยคําพูดของเฟิงหยูเฮง พยายามฆ่า ? อะไรคือการพิจารณาคดีว่าพยายามฆ่า ? นางแค่บีบคอของเฟิงหยูเฮง สิ่งนี้ถือได้ว่าเป็นการพยายามฆ่าได้อย่างไร ?

 

ในเวลานี้ซวนเทียนถั่วเสริมสิ่งที่เฟิงหยูเฮงพูดโดยกล่าวว่า “ท่านฮูหยินเหยา ถ้าไม่ใช่เพราะองค์หญิงจีอันหยุดทานได้ทันเวลา เจ้าจะต้องบีบคอนางจนตาย นี้จะเป็นการพิจารณาคดีฆาตกรรมที่พยายามฆ่า”

 

“ข้าไม่ได้ทํา !” เหยาซื้อถอยกลับไปพูดด้วยความตกใจว่า “ข้าจะมีความสามารถในการบีบคอนางจนตายได้อย่างไร ? นางคือองค์หญิงจีอัน และข้าก็เป็นผู้หญิงที่ไร้พลัง ข้าจะทําให้นางตายได้อย่างไร ?” สายตาของ เหยาชื่อค่อย ๆ เพิ่มความรุนแรงขึ้น ข้าอยากจะทําให้นางขาดใจจนตาย มีเพียงความตายของนางเท่านั้นที่จะ ให้บุตรสาวอยู่กับข้าได้โดยไม่มีอุปสรรคใด ๆ หากนางไม่ตาย เรื่องทั้งหมดนี้จะดําเนินต่อไปเช่นนี้ตลอดกาล และบุตรสาวของข้าจะไม่กลับมา”

 

เหยาชื่อกําลังจะคุ้มคลั่งที่เท้าของนาง เสี่ยวหยายื่นมือขึ้นจับที่ขาของเหยาชื่อ นางเอ่ยออกมาเบา ๆ ว่า “ท่านแม่อย่าโกรธเจ้าค่ะ มันเป็นความผิดของข้าที่ไม่สามารถปกป้องท่านแม่ได้”

 

คําว่าท่านแม่ทําให้เหยาชื่อใจอ่อนลงอีกครั้ง นางนั่งบนพื้นและกอดเสี่ยวหยาไว้ ทั้งสองร้องไห้ขณะที่ปลอบโยนซึ่งกันและกัน มันท่าให้เฟิงหยูเฮงจําเวลาที่ใช้ในหมู่บ้านบนภูเขาทางตะวันตกเฉียงเหนือได้ เหยาชื่อทําอาหารไม่เป็นและต้องทําอาหารให้กับเด็กทั้งสอง นางจึงลงเอยด้วยการเผาครัวโดยบังเอิญ ในเวลานั้นเหยาชื่อก็กอดนางขณะที่ร้องไห้อย่างนี้ ขณะที่พวกเขาปลอบโยนซึ่งกันและกัน ในเวลาเพียงไม่กี่ปีมันก็จบลงแบบนี้

 

“เหยาซื้อ” เสียงของเฟิงหยูเฮงเต็มไปด้วยความโกรธ “อันที่จริงข้าไม่เข้าใจว่าทําไมเจ้าปฏิเสธที่จะยอมรับข้า หากเจ้ายืนยันว่าข้าไม่ใช่บุตรสาวของเจ้า หากเป็นเพียงความคิดนี้ และเจ้าต้องการเพียงแค่บุตรสาวคนเดิมของเจ้าที่เจ้าสามารถอยู่รอดได้ เฟิงหยูเฮงที่เหมือนเจ้าไม่มีความสามารถในการปกป้องตัวเอง เจ้าก็ควรตรวจสอบความจริงของสถานการณ์หรือไม่ เจ้าควรตรวจสอบสาเหตุที่บุตรสาวของเจ้าเปลี่ยนไปอย่างกะทันหันและไม่ใช่บุตรสาวของเจ้าอีกต่อไป ข้ารู้ว่าการแพทย์และความสามารถของข้าดีกว่าของท่านปู่ ความสามารถทางการแพทย์ของข้าไม่สามารถถูกสอนที่อื่นได้ ข้าเรียกรู้ศิลปะการต่อสู้ คงเป็นไปไม่ได้ที่จะเรียนรู้ศิลปะการต่อสู้ ที่น่าทิ้งในเวลาเพียงสามปี แม้ว่าเจ้าจะสงสัยสิ่งเหล่านี้ ทําไมเจ้าไม่ตรวจสอบ ? เจ้าไม่เคยแม้แต่จะตรวจสอบ ข้าก่อนที่จะปฏิเสธที่จะยอมรับข้า ทําไมเจ้าถึงยอมรับนางอย่างง่ายดาย ?” นางชี้ไปที่เสียวหยาด้วยมือที่สั่นเทา “ถ้าข้าไม่ใช่บุตรสาวของเจ้า นางจะเป็นตัวจริงงั้นหรือ ? เจ้าไม่มีความระแวงสงสัยนางแม้แต่น้อยเลยหรือ ?”

 

เมื่อเผชิญกับคําถามของเฟิงหยูเฮง เหยาชื่อตอบอย่างเป็นธรรมชาติ “ข้าไม่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับนางเลย นางเป็นบุตรสาวของข้า และเป็นตัวจริงแน่นอน ! แต่เจ้าไม่ใช่”

 

เฟิงหยูเฮงพยักหน้า คราวนี้มันไม่มีร่องรอยของความเจ็บปวดอีกต่อไป เมื่อสิ่งต่าง ๆ กลับกลายเป็นเช่นนี้ นางไม่ได้มีความรู้สึกใด ๆ ต่อเหยาซื้ออีกต่อไป นอกจากใบหน้าของนาง มันเป็นเพียงใบหน้าที่ดูเหมือนมารดาของนางจากชีวิตก่อนหน้านี้ที่เริ่มพร่ามัว จิตใจของนางก็เริ่มที่จะแหลกสลาย เฟิงหยูเฮงรู้ว่าตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป นางคงไม่ผูกพันกับความสัมพันธ์ทางสายเลือดนี้อีกต่อไป นางเป็นตัวของตัวเอง ไม่ใช่บุตรสาวของเหยาชื่อ นางไม่ได้เป็นบุตรสาวของตระกูลเฟิงอีกต่อไป

 

“ไม่เป็นไร ข้าไม่ใช่” นางบอกเหยาชื่อว่า “แน่นอนข้าไม่ใช่บุตรสาวของเจ้า ด้วยเหตุนี้นับจากนี้เป็นต้นไปข้าจะไม่ยอมรับเจ้าอีกต่อไป ข้าเป็นแค่องค์หญิงจีอัน และว่าที่พระชายาขององค์ชายเก๋ แน่นอนว่าเจ้าสามารถให้บุตรสาวของเจ้าลองแย่งตําแหน่งพระชายาเอกหยู แต่ข้าจะเตือนเจ้าว่ามีคนที่อยากได้ตําแหน่งนั้น ผลก็คือองค์ ชายเก้เผาบ้านของพวกเขาลง หากเจ้าไม่ต้องการให้บ้านหลังนี้ถูกเผา มันเป็นการดีที่สุดที่จะหลีกเลี่ยงความคิดเช่นนั้น เหยาชื่อ ข้าขอให้เจ้ารับรู้อย่างเป็นทางการว่าเราไม่ได้เกี่ยวข้องกันในฐานะมารดาและบุตรสาวอีกต่อไป นั่นเป็นเหตุผลที่ข้าจะไม่ให้เงินเจ้าอีกต่อไป เพราะข้าไม่มีความตั้งใจที่จะเลี้ยงดูคนแปลกหน้า ข้าจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเงินที่ได้รับตระกูลเหยา เจ้าไม่ต้องกังวลกับเรื่องนั้น”

 

เหยาชื่อได้ยินเรื่องนี้ แต่ไม่ตอบสนองมากนัก นางพยักหน้าแล้วพูดว่า “ได้ ข้ายอมรับมัน อย่าเชื่อว่าหาก ไม่มีการสนับสนุนจากเจ้า เราจะอยู่ด้วยความหวาดกลัว แม้ว่าการสนับสนุนของตระกูลเหยาจะหยุดลงนั้นก็ไม่ใช่ปัญหา อย่าลืมว่าแม้ว่าเจ้าจะเป็นองค์หญิง ข้าก็เป็นฮูหยินขั้นหนึ่งของราชวงศ์ต้าชุน ข้ายังมีเบี้ยหวัดจากราชสํานักด้วย ข้าได้รับมันทุกเดือน ข้าสามารถอยู่รอดได้ด้วยตัวเอง ข้าสามารถยกระดับอาเฮงของข้าได้ และไม่ต้องการความสงสารจากใครเลย” เหยาซื้อพูดอย่างหยิ่งผยอง นางประคองเสียวหยาและรู้สึกถึงบาดแผลของนางเบา ๆ ขณะกล่าวเสียวหยา “อย่ากลัวเลย แม่จะดูแลเจ้าและบาดแผลของเจ้าอย่างเหมาะสม แม่จะหาหมอที่ดีที่สุดมารักษาเจ้า อาเฮงจะต้องหายดี อย่ากลัวเลย”

 

เฟิงหยูเฮงเบนสายตาไปที่อื่น นางไม่อยากมองเหยาชื่อ นางไม่ต้องการได้ยินใครบางคนเรียกชื่อของนางเอง ในเวลานี้ชวนเทียนฮั่วกล่าวเบา ๆ ว่า “ท่านฮูหยินเหยา ข้าเชื่อว่าเจ้าอาจเข้าใจผิด ตําแหน่งฮูหยินขั้นหนึ่ง มาตรฐานนั้นได้มาเพราะบุตรสาวของเจ้า เนื่องจากเจ้าไม่มีครอบครัวของสามีที่มีเกียรติ และเจ้าไม่ได้มีความชอบใด ๆ กับราชวงศ์ต้าชุน เพราะบุตรสาวของท่านจึงทําให้ท่านที่ได้รับตําแหน่งนั้น ในเมื่อได้ตัดความสัมพันธ์ ในฐานะที่เป็นมารดาและบุตรสาว องค์หญิงจีอัน นั่นเป็นเหตุผลว่าทําไมสถานะของเจ้าในฐานะฮูหยินขั้นหนึ่งจะถูกราชสํานักเพิกถอนทันที ไม่ต้องกังวล องค์ชายผู้นี้จะรีบแจ้งราชสํานักให้มาจัดการเรื่องนี้โดยเร็ว เจ้าไม่ต้องรอนานเกินไป”

 

“เจ้า…” เหยาชื่อหายไปเล็กน้อย “บนพื้นฐานอะไร ? เจ้ากําลังยกเล็กตําแหน่งของข้าบนพื้นฐานแบบใด ?” 

 

ชวนเทียนฮัวบอกนาง “บนพื้นฐานที่ข้าเป็นองค์ชายเจ็ดของราชวงศ์ดําชุน”

 

“องค์ชายเจ็ด มันมีเหตุผลอะไรที่ท่านต้องทําเช่นนั้น ?”

 

“เหตุผล ?” ชวนเทียนฮั่วส่ายหัว “อย่าพูดกับข้าเกี่ยวกับเหตุผล ข้าคือเหตุผล” หลังจากที่เขาพูดสิ่งนี้ เขาไม่ต้องการที่จะยังคงอยู่ในสถานที่นี้ เขาดึงเฟิงหยูเฮงให้เดินตามและเริ่มเดินออกไป

 

เฟิงหยูเฮงยังคงดื่มต่ํากับคําพูดสุดท้ายที่ชวนเทียนฮั่วพูด แม้ว่าทั้งสองจะไกลกันนางก็ยังถอนหายใจ “พี่เจ็ดไม่เห็น แต่เมื่อท่านตําหนิผู้คน ท่านก็เหมือนกับชวนเทียนหมิง”

 

ชวนเทียนฮั่วทําอะไรไม่ถูก “ข้าคิดว่าอารมณ์ของเจ้าจะไม่ดีในการจัดการเรื่องนี้”

“และหลังจากนั้น ? “

 

“ความจริงหากว่าไม่เป็นเช่นนั้น” ซวนเทียนฮั่วหัวเราะและบีบหน้าของเฟิงหยูเฮง “แต่ข้าก็สบายใจกับเจ้าเช่นนี้”

 

อย่างไรก็ตามเฟิงหยูเฮงก็จ่าเรื่องหนึ่งได้ ทันใดนั้นนางจึงพูดกับชวนเทียนฮัว “พี่เจ็ดรอข้าอยู่ที่นี่” หลังจากพูดแบบนี้ นางหันหลังกลับแล้วมุ่งหน้าไปที่ลานบ้าน เมื่อนางออกมา นางถึงบ่าวรับใช้ที่ชื่อเทียนชิงออกมา “เจ้ากลับไปได้” นางพูดกับเทียนชิง “ฝากขอบคุณท่านปhา บอกว่าข้าจะไปที่พระราชวังในภายหลังเพื่อเยี่ยมท่านป้า”

 

เทียนชิงรู้สึกตกใจเล็กน้อย “แต่องค์หญิง พระชายาบอกกับบ่าวรับใช้คนนี้ให้เฝ้าเสี่ยวหยา”

 

“ไม่ต้อง” เฟิงหยูเฮงยิ้มขณะส่ายหัว “เมื่อมองดู สิ่งสําคัญคือจิตใจไม่ใช่ดวงตา แต่เหยาชื่อยืนยันที่จะใช้สายตาของนางมองโลกใบนี้เท่านั้น ดังนั้นจึงไม่มีอะไรที่ข้าจะทําได้ กลับไปบอกท่านป้าว่าพวกเขาต้องการรนหาที่ตายเอง และไม่มีใครสามารถหยุดพวกเขาได้ นอกจากนี้สิ่งที่ข้าพูดในนั้นคือความจริง เจ้าสามารถบอกท่านป้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ ข้ารู้ว่าท่านป้าโตมาพร้อมกับเหยาชื่อ และบางที่ท่านป้าอาจจะไม่พอใจแทนข้าที่ทําสิ่งนี้ ด้วยวิธีนี้และจะลงโทษข้า แต่เจ้าก็เห็นด้วย ข้าไม่มีทางเลือกอื่น ต้องเผชิญกับท่านแม่แบบนั้น ถ้าข้ายอมรับนางต่อไป มันจะทําให้นางเจ็บปวดมากขึ้นเท่านั้น”

 

เทียนชิงรู้สึกหมดหนทางและพยักหน้าแล้วออกเดินทาง เมื่อเทียนชิงอยู่ห่างออกไป ซวนเทียนฮั่วให้คําแนะน่านางเบา ๆ “เจ้าไม่เต็มใจงั้นหรือ ?”

 

เฟิงหยูเฮงส่ายหัว “ข้าคือองค์หญิงจีอัน พี่เจ็ดเคยเห็นองค์หญิงจีอันขี่ม้าและยิงธนู ท่านพี่เคยเห็นองค์หญิงจีอันใช้อารมณ์เมื่อใด ?”เจ้าไม่ได้หรือ ? “ชวนเทียนหัวคิดเล็กน้อยจากนั้นส่ายหัว”มีอยู่อย่างชัดเจน แต่เจ้าไม่ ยอมรับในขณะที่เลือกที่จะลืมมัน เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เจ้าก็ตั้งใจเอ่ยอ้าง เมื่อเป็นเช่นนี้… หมิงเอ๋อจะเศร้า”เขามองออกไปเมื่อหัวใจของเขาเริ่มเจ็บโดยไม่มีเหตุผลชัดเจน ไม่ใช่เพียงหมิงเอ่อที่จะเสียใจ เขาก็จะเป็นเช่นนั้น มันเป็นเพียงว่าเขาสามารถเก็บความรู้สึกนี้ไว้ในหน้าอกของเขา เขาไม่สามารถส่งเสียงได้”พี่เจ็ด อย่าบอกเขา ! “เฟิงหยูเฮงยิ้มได้เพราะนางใช้รอยยิ้มนี้เพื่อปกปิดความเจ็บปวดในดวงตาของนาง “ข้าทนมานานแล้ว แต่ข้าจะไม่ทําในอนาคต คนที่นี่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับข้า ข้าจะไม่ร้องไห้เพื่อนางและข้าจะยิ้ม ไม่ว่านางจะประสบปัญหาอะไร นางก็จะไม่สามารถพบข้าได้อีก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับนาง ข้าจะไม่ยื่นมือช่วยเหลือนาง มันไม่ดีมากหรือ ? ในชีวิตของข้ามีภาระเพิ่มขึ้น ในอนาคตจะมีสักวันที่ข้าจะไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับใครก็ตาม ที่พยายามแก้แค้นนาง เพราะข้าทําให้ใครบางคนขุ่นเคืองหรือก่อให้เกิดปัญหาใหญ่ ตัดความผูกพันระหว่างมารดากับบุตรสาวให้กับเหยาชื่อนี้เป็นสิ่งที่ข้าต้องเปิดเผยสู่โลกใบนี้”นางเดินไปข้างหน้าอย่างมีความสุขและแขนขึ้นเหนือศีรษะ ดูเหมือนว่านางจะมีความสุขและพอใจมาก อย่างไรก็ตามซวนเทียนฮั่วรู้ว่าการตัดความสัมพันธ์กับเหยาชื่อเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการปกป้องเหยาชื่อ แม้ว่าเฟิงหยูเฮงจะทําดูเหมือนไร้หัวใจ ราชวงศ์ต้าชุนในปัจจุบันไม่มั่นคงและมีอันตรายที่ซ่อนอยู่มากมาย เฟิงหยุเฮงและชวนเทียนหมิงอยู่ด้วยกันซึ่งหมายความว่าวันข้างหน้าจะวุ่นวาย ผู้หญิงคนนั้นกลัวว่าเหยาชื่อจะดื่มยาเหมือนเมื่อก่อน หากนางต้องการป้องกันไม่ให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น สิ่งที่นางทําไปนั้นดีที่สุดอย่างแน่นอน”อาเฮง“เขาไล่ตามนางและคิดอยู่นาน แต่พูดได้เพียงอย่างเดียว”มันก็ ดีถ้าเจ้าสบายใจ”ในเวลานี้เฟิงหยูเฮงฟื้นนิสัยปกติของนางแล้ว นางไม่ยิ้มโง่ ๆ อีกต่อไป และนางก็ดูดุร้าย เหมือนที่นางทําในเรือนนั้น นางไม่ได้พูดเกี่ยวกับสิ่งเล็กน้อย นางเริ่มจัดการเรื่องที่เป็นทางการแล้ว นางหยุดเดินและตะโกนในอากาศ”บานซู”ร่างของบุคคลนั้นปรากฏขึ้นทันที”เจ้าอยู่ที่นี่ และคอยจับตามองเสียวหยา“บานซูพยักหน้าและหายตัวไปอีกครั้ง

 

เฟิงหยูเฮงมองไปที่ชวนเทียนฮั่วแล้วกล่าวกับเขาอย่างจริงจังว่า “ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ขากลัวว่าเสี่ยวหยาจะใช้ประโยชน์จากใบหน้านั้น อย่าสงสัยว่าทําไมข้าไม่ทําลายใบหน้านางนางด้วยแส้ของข้า การทําลายมันตั้งแต่เริ่มต้นมันน่าเสียดายเกินไป เราจะให้นางวนไปรอบ ๆ และดูว่านางวางแผนจะทําอะไร เราจะเห็นว่า นางตัดสินใจเลือกใคร ในขณะเดียวกันคนที่นางเลือกจะเป็นปลาตัวใหญ่ที่เราตั้งใจจะจับ !”

 

ตอนที่ 725 เฆี่ยนเสี่ยวหยา   เทียนชิงจัดดอกไม้ นางเพิ่งมาทํางานใหม่ของนาง แต่ก็ไม่มีใครดูแลนาง ในเรือนนี้มีบ่าวรับใช้ไม่มาก และส่วนใหญ่ถูกส่งมาจากตระกูลเหยา พวกนางมักจะยุ่งกับงานและคุยไม่ค่อยมาก การมาถึงของเทียนชิงทําให้บ่าวรับใช้สับสนเล็กน้อย อย่างไรก็ตามพวกนางไม่อยากรู้อยากเห็นมากเกินไป เมื่อเห็นว่าเทียนชิงไปจัดดอกไม้ด้วยตัวเอง พวกนางไม่ได้ช่วยนาง อย่างไรก็ตามใครจะรู้ว่าเสี่ยวหยาจะเดินเข้ามาและเมื่อมาถึงตรงหน้าเทียนชิง นางยกมือขึ้นตบหน้าอีกฝ่าย   บ่าวรับใช้ไม่รู้ว่าบ่าวรับใช้ที่เพิ่งมาถึงนี้ทําอะไรผิด ทําไมถึงถูกตีหลังจากมาถึงได้ไม่นาน สําหรับเสี่ยวหยา พวกเขาทํางานในเรือนนี้มานาน แต่พวกเขาไม่เคยเห็นเสียวหยาโกรธ พวกนางคิดว่านางเป็นผู้หญิงที่มีอารมณ์ดีมาก เมื่อมาถึงจุดนี้พวกนางพบว่าเจ้านายทุกคนเป็นคนที่จะทุบตีคนอื่น มันเป็นเพียงว่านางไม่เคยต้องการที่จะทุบตีพวกนาง   เสี่ยวหยาตบเทียนชิงทําให้นางสับสน และนางจ้องไปที่เสี่ยวหยา หลังจากนั้นไม่นานนางก็ถามว่า “แม่นาง ทําไมเจ้าถึงตบข้าเจ้าคะ?”   เพี้ยะ !   ตบอีกครั้ง เสี่ยวหยาใช้กําลังทั้งหมดของนางและทําให้เทียนชิงล้มลงกับพื้น ในท้ายที่สุดเทียนซึ่งเป็นบ่าวรับใช้ที่มาจากพระราชวังเหวินซวน และจะไม่สลบเพียงเพราะถูกตบแค่ 2 ครั้ง แม้ว่าสถานะของนางในฐานะบ่าวรับใช้จะชัดเจน และนางไม่สามารถปกป้องตัวเองได้ นางยังคงถามเสียวหยา “ทําไมแม่นางถึงตบข้าเจ้าคะ ?”   เสี่ยวหยามหน้าดึงคางของเทียนชิง ท่าทางในปัจจุบันของนางเป็นเหมือนปีศาจที่น่ากลัว และมองน่ากลัว “เจ้าเรียกข้าว่าแม่นาง ข้าบอกเจ้าไปแล้วว่าข้าเป็นบุตรสาวของท่านฮูหยินเหยา ข้าเป็นคุณหนู แต่เจ้ายังเรียกข้าแบบนั้น เจ้าตั้งใจจะทําอะไร ?   เทียนชิงเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว “มันเป็นความผิดของข้าเจ้าค่ะ ข้าไม่คุ้นเคยกับสถานการณ์และจะไม่ทํามันอีก แต่… คุณหนูตบข้าก่อนที่ข้าจะทําผิด ทําไมถึงเป็นอย่างนี้เจ้าคะ ?”   “ทําไม” เสียวหยากล่าวอย่างดุเดือด “เป็นเพราะเจ้าเป็นบ่าวรับใช้! บ่าวรับใช้ที่กําลังถูกตีต้องถามเจ้านายด้วยหรือว่าทําไม ? นี่เป็นกฎที่พระราชวังเหวินซวนสอนเจ้างั้นหรือ ? เป็นไปได้หรือไม่ว่าเมื่อพระชายาเหวินซวนตบเจ้า เจ้าจะต้องถามว่าทําไม ? เจ้าเข้าใจหรือไม่ว่าการเป็นเจ้านายเป็นอย่างไร และการเป็นบ่าวรับใช้ หมายความว่าอย่างไร” นางปล่อยมือและยืนขึ้นเพื่อมองดูนาง   อย่างไรก็ตามเทียนชิงส่ายหน้าและกล่าวด้วยน้ําเสียงจริงจัง “แน่นอน ข้ารู้ว่าการเป็นเจ้านายหมายถึงอะไร และการเป็นผู้รับใช้หมายถึงอะไร แต่ในพระราชวังเหวินซวนจะไม่มีสิ่งใดเลย เรื่องชอบดูถูกหรือทุบตีบ่าวรับใช้โดยไม่มีเหตุผล ไม่ว่าจะเป็นท่านอ๋อง พระชายาหรือองค์หญิง พวกเขาไม่เป็นเหมือนคุณหนูที่ดีใครบางคน แม้ว่าบ่าวรับใช้คนใดจะทําผิดพลาด พวกเขาก็จะให้คนมาตรวจสอบและบอกพวกเขาว่าพวกเขาทําผิด จากนั้นพวกเขาก็จะลงโทษตามกฎของครอบครัว นั่นเป็นสาเหตุที่ขาแค่อยากถามว่าข้าทําอะไรผิดเจ้าค่ะ”   “เอาล่ะ !” เสี่ยวหยากล่าว “เจ้าอยากรู้ ดังนั้นข้าจะบอกเจ้า สิ่งที่เจ้าพูดถึงคือกฎของพระราชวังเหวินชวน หากเจ้าต้องการสิ่งที่เคยเป็นมาก่อน มีเส้นทางเดียวเท่านั้น หากเจ้ายืนยันที่จะอยู่ที่นี่ เจ้าจะต้องปฏิบัติตามกฎของเรือนนี้ ที่นี่เจ้านายคือพระเจ้าของเจ้า หากเจ้านายต้องการที่จะทุบตีเจ้า เจ้าไม่มีสิทธิสอบถามใด ๆ ทั้งสิ้น เจ้าทําให้ท่านแม่ไม่มีความสุข ดังนั้นเจ้าก็ไม่ควรคาดหวังว่าจะมีความสุข !”   เทียนชิงมองเสี่ยวหยา และในที่สุดก็เข้าใจว่าทําไมพระชายาเหวินซวนจึงส่งนางมาให้นางต้องจับตาดูคนผู้นี้ ปรากฏว่าคนผู้นี้มีใบหน้าที่เหมือนกันกับองค์หญิงจีอันจริง ๆ และมีจิตใจที่น่าเกลียด สําหรับผู้หญิงที่ถูกทิ้งไว้ที่ด้านข้างของท่านฮูหยินเหยา นางต้องการทําอะไรกันแน่ ? “ในเรือนนี้เจ้าเป็นคุณหนู แต่หลังจากที่เจ้าออกจากประตูนั้น เจ้าก็ไม่ได้เป็นอะไรเลย” เทียนชิงนั่งบนพื้นและตะโกนอย่างเย็นชา “อย่าเชื่อว่าเจ้ามีใบหน้าที่คล้ายกับองค์หญิงจีอัน แล้วเจ้าจะสามารถแทนที่นางได้ แม่นางฟูหยา ถ้าเจ้าต้องการสิ่งที่ดีที่สุดสําหรับท่านหยินเหยา มันจะดีที่สุดถ้าเจ้าจ่าสถานะของตัวเองเอาไว้ อย่ายอมรับสิ่งที่ไม่ควรยอมรับ อย่าทําสิ่งที่เจ้าไม่ควร ทํา เช่นนั้นทุกคนจะขอบคุณ พระชายาเหวินซวนกล่าวแล้วว่าตราบใดที่เจ้าดูแลท่านฮูหยินเหยาและไม่คิดถึงสิ่งที่ไร้ค่าเหล่านั้น นางจะไม่ทําอะไรเจ้า แต่ถ้าเจ้ายืนยันที่จะใช้ตัวตนขององค์หญิงจําอันต่อไป ไม่ช้าก็เร็ว… เจ้าจะได้รับผลตอบแทน !”   เมื่อเทียนชิงพูด น้ําเสียงของนางสงบและไม่ได้มีความเกลียดชังใด ๆ แต่ถ้อยคําที่นางพูดนั้นทําให้เสียวหยาบ้าคลั่ง นางตะโกนเสียงดัง “หุบปาก ! บ่าวรับใช้ที่ต่ําต้อยเช่นเจ้าพูดเรื่องไร้สาระอะไร ? ข้าคือเฟิงหยูเฮง ข้าไม่ได้แทนที่ใคร ! ท่านแม่มอบตัวตนของข้าให้ข้า ท่านแม่ของข้าเป็นข้อพิสูจน์ที่ดีที่สุด ! องค์หญิงจีอันนั้นเป็นตัวปลอม นางเป็นตัวปลอม !” เสียวหยาพูดพร้อมกับส่งเสียงกรีดร้อง ดูเหมือนว่านางจะอารมณ์เสียอย่างมาก “นางทําให้ท่านพ่อท่านแม่ของข้าตาย ข้าไม่ต้องการแค่มารดาของนางเท่านั้น แต่ข้าต้องการบิดาของนางด้วย ข้าเป็นเฟิงหยูเฮงตัวจริง ถ้าเจ้าไม่เชื่อลองไปถามเหยาชื่อ ดูสิ่งที่นางพูด ! ฟังนาง นางบอกเจ้าว่าใครเป็นตัวจริง และใครเป็นตัวปลอม !”   เสียวหยากําลังจะล่มสลายทางจิตใจ นางหยิบกิ่งไม้และถือมันไว้ในมือของนาง มันเหมือนกับแส้ นางตีเทียนชิงอย่างแรง ขณะที่กําลังดี นางก็ตะโกน “คุกเข่า ! บ่าวรับใช้คนหนึ่งกล้าหลบแส้ของข้าหรือคุกเข่าลง !”   เพี้ยะ ! หลังจากนั้นอีกครั้ง การโจมตีบนร่างกายของเทียนชิง แม้ว่าเสื้อผ้าสําหรับกลางฤดูใบไม้ร่วงที่บ่าวรับใช้ใส่จะค่อนข้างหนา แต่ก็ไม่สามารถหยุดยั้งการโจมตีที่รุนแรงของเสียวหยา ซึ่งทําให้เทียนซึ่งทําหน้าตาบูดบึ้ง และกัดฟันเพื่อรับความเจ็บปวด   ในเวลานี้ประตูหลักของลานถูกเปิดด้วย “ปัง” ทันทีหลังจากนี้เสียงพูดขึ้น และมันฟังดูเหมือนว่ามันมาจากใต้พิภพ เสียงดังทําให้เสี่ยวหยาสั่น “ไม่ใช่ทุกคนในโลกที่สามารถใช้แส้แล้วสามารถเรียกตัวเองว่าเฟิงหยูเฮง เสี่ยวหยา ถ้าเจ้าต้องการใช้ชื่อของข้า เจ้าต้องอยู่กับมัน นอกจากนี้ทักษะของเจ้าในการตีคนไม่ดีมาก มาเถิด องค์หญิงจีอันจะสอนวิธีใช้แส้ของจริงให้”   หลังจากที่นางพูดแบบนี้ นางก็หยุดต่อหน้าเสียวหยาและเอื้อมมือไปที่แขนเสื้อ แส้ปรากฏในมือของนางทันที ด้วยการหมุนวน การตีอย่างแรงเริ่มกระแทกเข้าสู่ร่างกายของเสียวหยา “เพี้ยะ, เพียะ, เพียะ, เพี้ยะ, เพี้ยะ” การโจมตีครั้งต่อมาทําให้เสี่ยวหยาล้มลงกับพื้นแล้วกลิ้งจากมุมหนึ่งของเรือนไปยังจุดศูนย์กลาง เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดดังขึ้นหลังจากที่อีกคนหนึ่งเงียบไป ในตอนท้ายทุกสิ่งที่เหลืออยู่ก็คือเสียงกรีดร้อง สําหรับเสื้อผ้าของนางนั้นฉีกขาดไม่เหลือชิ้นดี และเลือดก็เริ่มไหลนอง   พวกบ่าวรับใช้ต่างก็งนงงเมื่อเห็น แม้แต่เทียนชิงก็ยังตัวแข็งทื่อ ในอดีตนางเคยได้ยินเกี่ยวกับการกระทําที่ดุดันรุนแรงของเฟิงหยูเฮง อย่างไรก็ตามนางไม่เคยเห็นด้วยตัวเอง ตอนนี้นางเห็นแล้ว และนางก็ตกใจมากจนแทบหายใจไม่ออก   ดุร้าย ! ทุกคนต่างก็กล่าวว่าองค์หญิงอันปฏิบัติต่อคนที่อยู่ใกล้นางเป็นอย่างดีและไม่ดี เมื่อนางเริ่มงานของนาง จะไม่มีใครหนีรอดได้ ดูเหมือนว่ามันเป็นเรื่องจริง   “เฟิงหยเฮง!” ในที่สุดเสียวหยาใช้พลังทั้งหมดของนางกรีดร้อง “เจ้าตีข้าทําไม ? เจ้าเคยใช้ชื่อของข้า และตอนนี้ข้าก็แค่ใช้ชื่อของเจ้า อะไรทําให้มันไม่เป็นที่พึงปรารถนา ข้าสละชีวิตทั้งครอบครัวของข้าเพื่อช่วยเจ้า และช่วยกองทัพของราชวงศ์ต้าชุน แต่เจ้าล่ะ? ตอนนี้เจ้าตอบแทนข้าอย่างนี้หรือ ? พ่อและแม่ของข้าเสียชีวิต จากโศกนาฏกรรม ใครที่ข้าควรพยายามแก้แค้นเพื่อสิ่งนั้น ? เฟิงหยูเฮง เจ้าไม่มีมโนธรรม เจ้าทําให้ข้าผิดหวัง ! เจ้าปล่อยให้พ่อและแม่ของข้าตาย !”   เสียงกรีดร้องอย่างเย้ยหยันคําตอบที่นางได้รับจากเฟิงหยูเฮงยังคงเป็นเสียงเย็นชา “หยุดใช้สิ่งนั้น เพื่อทําหน้าที่เป็นผู้บีบบังคับ ข้าจะไม่ยอมทําตาม ก่อนหน้านี้เจ้ายินดีที่จะยอมรับคําขอของข้าและข้าไม่ได้บังคับเจ้า แน่นอนว่าด้วยความกตัญญ ข้ายังฝังพ่อและแม่ของเจ้า และทําให้เจ้ามีชีวิตที่ดีขึ้น แต่เจ้าไม่ได้มีชีวิตที่ดีขึ้นนี้ ยืนยันที่จะใช้เส้นทางนี้ ดังนั้นอย่าโทษข้าที่โกรธและไร้ความปราณีกับเจ้า”   เพี้ยะ ! การโจมตีอีกครั้ง ทําเครื่องหมายเลือดลงในร่างกายของเสี่ยวหยา   ในที่สุดความวุ่นวายข้างนอกก็ดึงดูดความสนใจของเหยาชื่อ ประตูห้องโถงถูกเปิดออกและเหยาชื่อเดินโซเซออกมา เมื่อเห็นสถานการณ์ตรงหน้านาง นางเกือบหมดสติ นางเปล่งเสียงกรีดร้องโหยหวนและรีบไปหาเสี่ยวหยา โดยไม่สนใจว่าแส้ของเฟิงหยูเฮงยังคงเคลื่อนไหวราวกับว่านางบ้าไปแล้ว นางก็ฟุบลงบนร่างของเสี่ยวหยา ในเวลาเดียวกันนางตะโกนเสียงดัง “อาเฮง, อาเฮง, เกิดอะไรขึ้น ? ทําไมถึงมีเลือดมากมาย ! อาเฮง อย่ากลัวข้า ข้าจะไม่ให้ใครทําร้ายเจ้า !”   น้ําตาที่ขมขื่นตกลงไปบนร่างของเสี่ยวหยา ในที่สุดแส้ของเฟิงหยูเฮงก็หยุดเคลื่อนไหว อย่างไรก็ตามนางมองเหยาชื่ออย่างงุนงง ความทรงจําของเจ้าของร่างเดิมปรากฏขึ้นอีกครั้งเมื่อนางเห็นเวลาที่พวกเขาถูกไล่ออกจากตระกูลเฟิง เหยาชื่ออุ้มนางในขณะที่ร้องไห้ ในหมู่บ้านบนภูเขาทางตะวันตกเฉียงเหนือ เหยาชื่อจะร้องไห้ทุกครั้งที่พบกับความยากลําบาก น้ําตาก็จะร่วงหล่นลงบนร่างของนาง มันเป็นฉากเดียวกับตรงหน้าของนาง มันเป็นเพียงการที่กอดอยู่นั้นไม่ใช่นางอีกต่อไป กลายเป็นคนที่เหมือนนาง   ในทันทีนั้นเฟิงหยูเฮงรู้สึกว่าเสี่ยวหยาอาจเป็นเจ้าของร่างเดิมนี้ได้จริง นางยังคิดว่าถ้านี่เป็นการกลับมาของเจ้าของร่างเดิมอย่างแน่นอน นางก็ต้องยอมแพ้โดยไม่คํานึงว่าสิ่งที่นางได้รับในภายหลังนั้นจะต้องถูกส่งกลับ อย่างน้อยที่สุดมารดาของนางก็ต้องถูกส่งคืนและตัวตนของนาง ในฐานะเฟิงหยูเฮงจะต้องถูกส่งคืน   โชคดีที่การตัดการเชื่อมต่อนี้ใช้เวลาเพียงชั่วครู่ และนางก็ฟื้นความชัดเจนอย่างรวดเร็ว เมื่อมองดูมารดาและบุตรสาวตรงหน้านางอย่างเย็นชา นางรู้ว่าเสี่ยวหยาไม่ใช่เจ้าของร่างเดิม กลับเป็นคนแปลกหน้าที่ไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดแม้แต่น้อย ถึงกระนั้นคนแปลกหน้านี้ในขณะนี้ยืนยันที่จะกลายเป็นหนามยอกอก เสียวหยายังใช้วิธีการพิเศษนี้เพื่อยั่วยวนมารดาของนาง นางไม่สามารถยอมรับได้อีกต่อไป   ในเวลานี้เสียวหยาก็ฟื้นขึ้นมา เมื่อรู้ว่าเหยาชื่อกอดนางด้วยเหตุผลบางอย่างนางจึงม้วนริมฝีปากของนางเป็นรอยยิ้ม จากนั้นนางก็ใช้แรงและหันไปมองเฟิงหยูเฮง นางพูดด้วยความยินดี “องค์หญิงจีอัน มันไม่เป็นไรถ้าท่านจะเพียนขาจนตาย ข้าหวังว่าท่านแม่จะสามารถมีชีวิตอยู่อย่างสงบสุข ทั้งหมดนี้เป็นความผิดของข้า แต่ขาก็ทําเพื่อประโยชน์ของท่านแม่เช่นกัน ร่างกายของท่านแม่อ่อนแอ ถ้าข้าไม่ทําตามที่นางชอบ นางจะป่วย ! องค์หญิง มันเป็นความผิดของข้า ข้าหวังว่าท่านจะยกโทษให้ข้าได้ !”   คําอ้อนวอนอย่างฉับพลันของเสียวหยาสําหรับความเมตตา ทําให้เฟิงหยูเฮงขมวดคิ้วเล็กน้อยตามที่คาดไว้ ทันทีหลังจากนี้จะได้ยินเสียงของเหยาชื่อ “เจ้าทําเกินไปแล้ว !” ในที่สุดเหยาชื่อก็มองไปที่เฟิงหยูเฮงด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง ความสุภาพเล็กน้อยที่ครั้งหนึ่งเคยมีหายไป ในเวลานี้เฟิงหยูเฮงเป็นศัตรูของนางอย่างสมบูรณ์ นางเป็นศัตรูที่ทําร้ายบุตรสาวของนาง!   เหยาชื่อบ้าไปแล้ว นางพุ่งเข้าใส่เฟิงหยูเฮง มือทั้งสองของนางโอบรอบคอของเฟิงหยูเฮงแล้วบีบแน่น ขณะที่ใบหน้าของนางบิดเบี้ยวไปในทางที่ชั่วร้าย “เจ้ากล้าที่จะตีอาเฮงของข้าจริงหรือ ? เจ้ากล้าตบุตรสาวของ ข้าหรือ ? วันนี้ข้าจะทําให้เจ้าหายใจไม่ออก ! ข้าจะฆ่าเจ้า !”   การบีบของเหยาชื่อกระชับมากขึ้น เมื่อเห็นว่าสีหน้าของเฟิงหยูเฮงเปลี่ยนไปเล็กน้อย ซวนเทียนฮั่วที่เข้ามา ไม่สามารถทนดูและเตรียมพร้อมที่จะก้าวไปข้างหน้าเพื่อช่วยอีกต่อไป   แต่ในเวลานี้พวกเขาได้ยินเฟิงหยูเฮงกล่าวอย่างเย็นชา “เหยาชื่อ ลงมือเลย !”  

ตอนที่ 725 เฆี่ยนเสี่ยวหยา

 

เทียนชิงจัดดอกไม้ นางเพิ่งมาทํางานใหม่ของนาง แต่ก็ไม่มีใครดูแลนาง ในเรือนนี้มีบ่าวรับใช้ไม่มาก และส่วนใหญ่ถูกส่งมาจากตระกูลเหยา พวกนางมักจะยุ่งกับงานและคุยไม่ค่อยมาก การมาถึงของเทียนชิงทําให้บ่าวรับใช้สับสนเล็กน้อย อย่างไรก็ตามพวกนางไม่อยากรู้อยากเห็นมากเกินไป เมื่อเห็นว่าเทียนชิงไปจัดดอกไม้ด้วยตัวเอง พวกนางไม่ได้ช่วยนาง อย่างไรก็ตามใครจะรู้ว่าเสี่ยวหยาจะเดินเข้ามาและเมื่อมาถึงตรงหน้าเทียนชิง นางยกมือขึ้นตบหน้าอีกฝ่าย

 

บ่าวรับใช้ไม่รู้ว่าบ่าวรับใช้ที่เพิ่งมาถึงนี้ทําอะไรผิด ทําไมถึงถูกตีหลังจากมาถึงได้ไม่นาน สําหรับเสี่ยวหยา พวกเขาทํางานในเรือนนี้มานาน แต่พวกเขาไม่เคยเห็นเสียวหยาโกรธ พวกนางคิดว่านางเป็นผู้หญิงที่มีอารมณ์ดีมาก เมื่อมาถึงจุดนี้พวกนางพบว่าเจ้านายทุกคนเป็นคนที่จะทุบตีคนอื่น มันเป็นเพียงว่านางไม่เคยต้องการที่จะทุบตีพวกนาง

 

เสี่ยวหยาตบเทียนชิงทําให้นางสับสน และนางจ้องไปที่เสี่ยวหยา หลังจากนั้นไม่นานนางก็ถามว่า “แม่นาง ทําไมเจ้าถึงตบข้าเจ้าคะ?”

 

เพี้ยะ !

 

ตบอีกครั้ง เสี่ยวหยาใช้กําลังทั้งหมดของนางและทําให้เทียนชิงล้มลงกับพื้น ในท้ายที่สุดเทียนซึ่งเป็นบ่าวรับใช้ที่มาจากพระราชวังเหวินซวน และจะไม่สลบเพียงเพราะถูกตบแค่ 2 ครั้ง แม้ว่าสถานะของนางในฐานะบ่าวรับใช้จะชัดเจน และนางไม่สามารถปกป้องตัวเองได้ นางยังคงถามเสียวหยา “ทําไมแม่นางถึงตบข้าเจ้าคะ ?”

 

เสี่ยวหยามหน้าดึงคางของเทียนชิง ท่าทางในปัจจุบันของนางเป็นเหมือนปีศาจที่น่ากลัว และมองน่ากลัว “เจ้าเรียกข้าว่าแม่นาง ข้าบอกเจ้าไปแล้วว่าข้าเป็นบุตรสาวของท่านฮูหยินเหยา ข้าเป็นคุณหนู แต่เจ้ายังเรียกข้าแบบนั้น เจ้าตั้งใจจะทําอะไร ?

 

เทียนชิงเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว “มันเป็นความผิดของข้าเจ้าค่ะ ข้าไม่คุ้นเคยกับสถานการณ์และจะไม่ทํามันอีก แต่… คุณหนูตบข้าก่อนที่ข้าจะทําผิด ทําไมถึงเป็นอย่างนี้เจ้าคะ ?”

 

“ทําไม” เสียวหยากล่าวอย่างดุเดือด “เป็นเพราะเจ้าเป็นบ่าวรับใช้! บ่าวรับใช้ที่กําลังถูกตีต้องถามเจ้านายด้วยหรือว่าทําไม ? นี่เป็นกฎที่พระราชวังเหวินซวนสอนเจ้างั้นหรือ ? เป็นไปได้หรือไม่ว่าเมื่อพระชายาเหวินซวนตบเจ้า เจ้าจะต้องถามว่าทําไม ? เจ้าเข้าใจหรือไม่ว่าการเป็นเจ้านายเป็นอย่างไร และการเป็นบ่าวรับใช้ หมายความว่าอย่างไร” นางปล่อยมือและยืนขึ้นเพื่อมองดูนาง

 

อย่างไรก็ตามเทียนชิงส่ายหน้าและกล่าวด้วยน้ําเสียงจริงจัง “แน่นอน ข้ารู้ว่าการเป็นเจ้านายหมายถึงอะไร และการเป็นผู้รับใช้หมายถึงอะไร แต่ในพระราชวังเหวินซวนจะไม่มีสิ่งใดเลย เรื่องชอบดูถูกหรือทุบตีบ่าวรับใช้โดยไม่มีเหตุผล ไม่ว่าจะเป็นท่านอ๋อง พระชายาหรือองค์หญิง พวกเขาไม่เป็นเหมือนคุณหนูที่ดีใครบางคน แม้ว่าบ่าวรับใช้คนใดจะทําผิดพลาด พวกเขาก็จะให้คนมาตรวจสอบและบอกพวกเขาว่าพวกเขาทําผิด จากนั้นพวกเขาก็จะลงโทษตามกฎของครอบครัว นั่นเป็นสาเหตุที่ขาแค่อยากถามว่าข้าทําอะไรผิดเจ้าค่ะ”

 

“เอาล่ะ !” เสี่ยวหยากล่าว “เจ้าอยากรู้ ดังนั้นข้าจะบอกเจ้า สิ่งที่เจ้าพูดถึงคือกฎของพระราชวังเหวินชวน หากเจ้าต้องการสิ่งที่เคยเป็นมาก่อน มีเส้นทางเดียวเท่านั้น หากเจ้ายืนยันที่จะอยู่ที่นี่ เจ้าจะต้องปฏิบัติตามกฎของเรือนนี้ ที่นี่เจ้านายคือพระเจ้าของเจ้า หากเจ้านายต้องการที่จะทุบตีเจ้า เจ้าไม่มีสิทธิสอบถามใด ๆ ทั้งสิ้น เจ้าทําให้ท่านแม่ไม่มีความสุข ดังนั้นเจ้าก็ไม่ควรคาดหวังว่าจะมีความสุข !”

 

เทียนชิงมองเสี่ยวหยา และในที่สุดก็เข้าใจว่าทําไมพระชายาเหวินซวนจึงส่งนางมาให้นางต้องจับตาดูคนผู้นี้ ปรากฏว่าคนผู้นี้มีใบหน้าที่เหมือนกันกับองค์หญิงจีอันจริง ๆ และมีจิตใจที่น่าเกลียด สําหรับผู้หญิงที่ถูกทิ้งไว้ที่ด้านข้างของท่านฮูหยินเหยา นางต้องการทําอะไรกันแน่ ? “ในเรือนนี้เจ้าเป็นคุณหนู แต่หลังจากที่เจ้าออกจากประตูนั้น เจ้าก็ไม่ได้เป็นอะไรเลย” เทียนชิงนั่งบนพื้นและตะโกนอย่างเย็นชา “อย่าเชื่อว่าเจ้ามีใบหน้าที่คล้ายกับองค์หญิงจีอัน แล้วเจ้าจะสามารถแทนที่นางได้ แม่นางฟูหยา ถ้าเจ้าต้องการสิ่งที่ดีที่สุดสําหรับท่านหยินเหยา มันจะดีที่สุดถ้าเจ้าจ่าสถานะของตัวเองเอาไว้ อย่ายอมรับสิ่งที่ไม่ควรยอมรับ อย่าทําสิ่งที่เจ้าไม่ควร ทํา เช่นนั้นทุกคนจะขอบคุณ พระชายาเหวินซวนกล่าวแล้วว่าตราบใดที่เจ้าดูแลท่านฮูหยินเหยาและไม่คิดถึงสิ่งที่ไร้ค่าเหล่านั้น นางจะไม่ทําอะไรเจ้า แต่ถ้าเจ้ายืนยันที่จะใช้ตัวตนขององค์หญิงจําอันต่อไป ไม่ช้าก็เร็ว… เจ้าจะได้รับผลตอบแทน !”

 

เมื่อเทียนชิงพูด น้ําเสียงของนางสงบและไม่ได้มีความเกลียดชังใด ๆ แต่ถ้อยคําที่นางพูดนั้นทําให้เสียวหยาบ้าคลั่ง นางตะโกนเสียงดัง “หุบปาก ! บ่าวรับใช้ที่ต่ําต้อยเช่นเจ้าพูดเรื่องไร้สาระอะไร ? ข้าคือเฟิงหยูเฮง ข้าไม่ได้แทนที่ใคร ! ท่านแม่มอบตัวตนของข้าให้ข้า ท่านแม่ของข้าเป็นข้อพิสูจน์ที่ดีที่สุด ! องค์หญิงจีอันนั้นเป็นตัวปลอม นางเป็นตัวปลอม !” เสียวหยาพูดพร้อมกับส่งเสียงกรีดร้อง ดูเหมือนว่านางจะอารมณ์เสียอย่างมาก “นางทําให้ท่านพ่อท่านแม่ของข้าตาย ข้าไม่ต้องการแค่มารดาของนางเท่านั้น แต่ข้าต้องการบิดาของนางด้วย ข้าเป็นเฟิงหยูเฮงตัวจริง ถ้าเจ้าไม่เชื่อลองไปถามเหยาชื่อ ดูสิ่งที่นางพูด ! ฟังนาง นางบอกเจ้าว่าใครเป็นตัวจริง และใครเป็นตัวปลอม !”

 

เสียวหยากําลังจะล่มสลายทางจิตใจ นางหยิบกิ่งไม้และถือมันไว้ในมือของนาง มันเหมือนกับแส้ นางตีเทียนชิงอย่างแรง ขณะที่กําลังดี นางก็ตะโกน “คุกเข่า ! บ่าวรับใช้คนหนึ่งกล้าหลบแส้ของข้าหรือคุกเข่าลง !”

 

เพี้ยะ ! หลังจากนั้นอีกครั้ง การโจมตีบนร่างกายของเทียนชิง แม้ว่าเสื้อผ้าสําหรับกลางฤดูใบไม้ร่วงที่บ่าวรับใช้ใส่จะค่อนข้างหนา แต่ก็ไม่สามารถหยุดยั้งการโจมตีที่รุนแรงของเสียวหยา ซึ่งทําให้เทียนซึ่งทําหน้าตาบูดบึ้ง และกัดฟันเพื่อรับความเจ็บปวด

 

ในเวลานี้ประตูหลักของลานถูกเปิดด้วย “ปัง” ทันทีหลังจากนี้เสียงพูดขึ้น และมันฟังดูเหมือนว่ามันมาจากใต้พิภพ เสียงดังทําให้เสี่ยวหยาสั่น “ไม่ใช่ทุกคนในโลกที่สามารถใช้แส้แล้วสามารถเรียกตัวเองว่าเฟิงหยูเฮง เสี่ยวหยา ถ้าเจ้าต้องการใช้ชื่อของข้า เจ้าต้องอยู่กับมัน นอกจากนี้ทักษะของเจ้าในการตีคนไม่ดีมาก มาเถิด องค์หญิงจีอันจะสอนวิธีใช้แส้ของจริงให้”

 

หลังจากที่นางพูดแบบนี้ นางก็หยุดต่อหน้าเสียวหยาและเอื้อมมือไปที่แขนเสื้อ แส้ปรากฏในมือของนางทันที ด้วยการหมุนวน การตีอย่างแรงเริ่มกระแทกเข้าสู่ร่างกายของเสียวหยา “เพี้ยะ, เพียะ, เพียะ, เพี้ยะ, เพี้ยะ” การโจมตีครั้งต่อมาทําให้เสี่ยวหยาล้มลงกับพื้นแล้วกลิ้งจากมุมหนึ่งของเรือนไปยังจุดศูนย์กลาง เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดดังขึ้นหลังจากที่อีกคนหนึ่งเงียบไป ในตอนท้ายทุกสิ่งที่เหลืออยู่ก็คือเสียงกรีดร้อง สําหรับเสื้อผ้าของนางนั้นฉีกขาดไม่เหลือชิ้นดี และเลือดก็เริ่มไหลนอง

 

พวกบ่าวรับใช้ต่างก็งนงงเมื่อเห็น แม้แต่เทียนชิงก็ยังตัวแข็งทื่อ ในอดีตนางเคยได้ยินเกี่ยวกับการกระทําที่ดุดันรุนแรงของเฟิงหยูเฮง อย่างไรก็ตามนางไม่เคยเห็นด้วยตัวเอง ตอนนี้นางเห็นแล้ว และนางก็ตกใจมากจนแทบหายใจไม่ออก

 

ดุร้าย ! ทุกคนต่างก็กล่าวว่าองค์หญิงอันปฏิบัติต่อคนที่อยู่ใกล้นางเป็นอย่างดีและไม่ดี เมื่อนางเริ่มงานของนาง จะไม่มีใครหนีรอดได้ ดูเหมือนว่ามันเป็นเรื่องจริง

 

“เฟิงหยเฮง!” ในที่สุดเสียวหยาใช้พลังทั้งหมดของนางกรีดร้อง “เจ้าตีข้าทําไม ? เจ้าเคยใช้ชื่อของข้า และตอนนี้ข้าก็แค่ใช้ชื่อของเจ้า อะไรทําให้มันไม่เป็นที่พึงปรารถนา ข้าสละชีวิตทั้งครอบครัวของข้าเพื่อช่วยเจ้า และช่วยกองทัพของราชวงศ์ต้าชุน แต่เจ้าล่ะ? ตอนนี้เจ้าตอบแทนข้าอย่างนี้หรือ ? พ่อและแม่ของข้าเสียชีวิต จากโศกนาฏกรรม ใครที่ข้าควรพยายามแก้แค้นเพื่อสิ่งนั้น ? เฟิงหยูเฮง เจ้าไม่มีมโนธรรม เจ้าทําให้ข้าผิดหวัง ! เจ้าปล่อยให้พ่อและแม่ของข้าตาย !”

 

เสียงกรีดร้องอย่างเย้ยหยันคําตอบที่นางได้รับจากเฟิงหยูเฮงยังคงเป็นเสียงเย็นชา “หยุดใช้สิ่งนั้น เพื่อทําหน้าที่เป็นผู้บีบบังคับ ข้าจะไม่ยอมทําตาม ก่อนหน้านี้เจ้ายินดีที่จะยอมรับคําขอของข้าและข้าไม่ได้บังคับเจ้า แน่นอนว่าด้วยความกตัญญ ข้ายังฝังพ่อและแม่ของเจ้า และทําให้เจ้ามีชีวิตที่ดีขึ้น แต่เจ้าไม่ได้มีชีวิตที่ดีขึ้นนี้ ยืนยันที่จะใช้เส้นทางนี้ ดังนั้นอย่าโทษข้าที่โกรธและไร้ความปราณีกับเจ้า”

 

เพี้ยะ ! การโจมตีอีกครั้ง ทําเครื่องหมายเลือดลงในร่างกายของเสี่ยวหยา

 

ในที่สุดความวุ่นวายข้างนอกก็ดึงดูดความสนใจของเหยาชื่อ ประตูห้องโถงถูกเปิดออกและเหยาชื่อเดินโซเซออกมา เมื่อเห็นสถานการณ์ตรงหน้านาง นางเกือบหมดสติ นางเปล่งเสียงกรีดร้องโหยหวนและรีบไปหาเสี่ยวหยา โดยไม่สนใจว่าแส้ของเฟิงหยูเฮงยังคงเคลื่อนไหวราวกับว่านางบ้าไปแล้ว นางก็ฟุบลงบนร่างของเสี่ยวหยา ในเวลาเดียวกันนางตะโกนเสียงดัง “อาเฮง, อาเฮง, เกิดอะไรขึ้น ? ทําไมถึงมีเลือดมากมาย ! อาเฮง อย่ากลัวข้า ข้าจะไม่ให้ใครทําร้ายเจ้า !”

 

น้ําตาที่ขมขื่นตกลงไปบนร่างของเสี่ยวหยา ในที่สุดแส้ของเฟิงหยูเฮงก็หยุดเคลื่อนไหว อย่างไรก็ตามนางมองเหยาชื่ออย่างงุนงง ความทรงจําของเจ้าของร่างเดิมปรากฏขึ้นอีกครั้งเมื่อนางเห็นเวลาที่พวกเขาถูกไล่ออกจากตระกูลเฟิง เหยาชื่ออุ้มนางในขณะที่ร้องไห้ ในหมู่บ้านบนภูเขาทางตะวันตกเฉียงเหนือ เหยาชื่อจะร้องไห้ทุกครั้งที่พบกับความยากลําบาก น้ําตาก็จะร่วงหล่นลงบนร่างของนาง มันเป็นฉากเดียวกับตรงหน้าของนาง มันเป็นเพียงการที่กอดอยู่นั้นไม่ใช่นางอีกต่อไป กลายเป็นคนที่เหมือนนาง

 

ในทันทีนั้นเฟิงหยูเฮงรู้สึกว่าเสี่ยวหยาอาจเป็นเจ้าของร่างเดิมนี้ได้จริง นางยังคิดว่าถ้านี่เป็นการกลับมาของเจ้าของร่างเดิมอย่างแน่นอน นางก็ต้องยอมแพ้โดยไม่คํานึงว่าสิ่งที่นางได้รับในภายหลังนั้นจะต้องถูกส่งกลับ อย่างน้อยที่สุดมารดาของนางก็ต้องถูกส่งคืนและตัวตนของนาง ในฐานะเฟิงหยูเฮงจะต้องถูกส่งคืน

 

โชคดีที่การตัดการเชื่อมต่อนี้ใช้เวลาเพียงชั่วครู่ และนางก็ฟื้นความชัดเจนอย่างรวดเร็ว เมื่อมองดูมารดาและบุตรสาวตรงหน้านางอย่างเย็นชา นางรู้ว่าเสี่ยวหยาไม่ใช่เจ้าของร่างเดิม กลับเป็นคนแปลกหน้าที่ไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดแม้แต่น้อย ถึงกระนั้นคนแปลกหน้านี้ในขณะนี้ยืนยันที่จะกลายเป็นหนามยอกอก เสียวหยายังใช้วิธีการพิเศษนี้เพื่อยั่วยวนมารดาของนาง นางไม่สามารถยอมรับได้อีกต่อไป

 

ในเวลานี้เสียวหยาก็ฟื้นขึ้นมา เมื่อรู้ว่าเหยาชื่อกอดนางด้วยเหตุผลบางอย่างนางจึงม้วนริมฝีปากของนางเป็นรอยยิ้ม จากนั้นนางก็ใช้แรงและหันไปมองเฟิงหยูเฮง นางพูดด้วยความยินดี “องค์หญิงจีอัน มันไม่เป็นไรถ้าท่านจะเพียนขาจนตาย ข้าหวังว่าท่านแม่จะสามารถมีชีวิตอยู่อย่างสงบสุข ทั้งหมดนี้เป็นความผิดของข้า แต่ขาก็ทําเพื่อประโยชน์ของท่านแม่เช่นกัน ร่างกายของท่านแม่อ่อนแอ ถ้าข้าไม่ทําตามที่นางชอบ นางจะป่วย ! องค์หญิง มันเป็นความผิดของข้า ข้าหวังว่าท่านจะยกโทษให้ข้าได้ !”

 

คําอ้อนวอนอย่างฉับพลันของเสียวหยาสําหรับความเมตตา ทําให้เฟิงหยูเฮงขมวดคิ้วเล็กน้อยตามที่คาดไว้ ทันทีหลังจากนี้จะได้ยินเสียงของเหยาชื่อ “เจ้าทําเกินไปแล้ว !” ในที่สุดเหยาชื่อก็มองไปที่เฟิงหยูเฮงด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง ความสุภาพเล็กน้อยที่ครั้งหนึ่งเคยมีหายไป ในเวลานี้เฟิงหยูเฮงเป็นศัตรูของนางอย่างสมบูรณ์ นางเป็นศัตรูที่ทําร้ายบุตรสาวของนาง!

 

เหยาชื่อบ้าไปแล้ว นางพุ่งเข้าใส่เฟิงหยูเฮง มือทั้งสองของนางโอบรอบคอของเฟิงหยูเฮงแล้วบีบแน่น ขณะที่ใบหน้าของนางบิดเบี้ยวไปในทางที่ชั่วร้าย “เจ้ากล้าที่จะตีอาเฮงของข้าจริงหรือ ? เจ้ากล้าตบุตรสาวของ ข้าหรือ ? วันนี้ข้าจะทําให้เจ้าหายใจไม่ออก ! ข้าจะฆ่าเจ้า !”

 

การบีบของเหยาชื่อกระชับมากขึ้น เมื่อเห็นว่าสีหน้าของเฟิงหยูเฮงเปลี่ยนไปเล็กน้อย ซวนเทียนฮั่วที่เข้ามา ไม่สามารถทนดูและเตรียมพร้อมที่จะก้าวไปข้างหน้าเพื่อช่วยอีกต่อไป

 

แต่ในเวลานี้พวกเขาได้ยินเฟิงหยูเฮงกล่าวอย่างเย็นชา “เหยาชื่อ ลงมือเลย !”

 

ตอนที่ 724 ผู้มาเยือน

 

คฤหาสน์ขององค์หญิงจีอัน

 

การมาเยี่ยมอย่างฉับพลันของซวนเทียนฮั่วเป็นความประหลาดใจที่น่ายินดีสําหรับเฟิงหยูเฮงซึ่งกําลังอาบน้ําเสือขาวตัวน้อย อย่างไรก็ตามสิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นก็คือเสือขาวตัวน้อยที่อาบน้ํา

 

เฟิงหยูเฮงไม่มีโลชั่นอาบน้ําสําหรับเสื้อ แต่มิติของนางมีที่อาบน้ําสําหรับสุนัขเลี้ยง นางนํามันออกมาและนําไปใช้ในการอาบน้ําเสี่ยวไป ในเวลานี้เสียวไปปกคลุมไปด้วยฟองสบู่ เมื่อมันเห็นซวนเทียนฮั่ว มันก็ส่งเสียงหอน กระโดดจากอ่าง มันรีบวิ่งเข้าหาเขาแล้วงับที่ต้นขาของซวนเทียนฮั่วแน่นแล้วเกาะติดกับเสื้อคลุมของเขา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่ยอมปล่อย

 

เฟิงหยูเฮงพูดไม่ออก ทําไมเสื้อตัวนี้ถึงเหมือนกับจาวเหลียน

 

ชวนเทียนฮั่วไม่คุ้นเคยกับสัตว์ตัวตัวเล็ก ๆ ท้ายที่สุดแม่ของเสื้อก็เป็นอีกตัวหนึ่งที่เขาคอยดูแลตอนที่อยู่ทางทิศตะวันออก ดังนั้นเขาไม่ได้รังเกลียดว่ามันถูกปกคลุมด้วยฟองสบู่และอุ้มมันขึ้นมา เขาโน้มตัวเข้าไปใกล้และดม ก่อนถามเฟิงหยูเฮงว่า “เจ้าใช้อะไร ? ท่าไมมีกลิ่นหอม”

 

เฟิงหยูเฮงคิดว่าเล็กน้อย ดูเหมือนว่านางจะให้ยาสีฟันและแปรงสีฟันแก่ชวนเทียนฮั่วเท่านั้น แต่ไม่เคยให้ครีมอาบน้ํากับเขาเลย นางจึงกล่าวอย่างรวดเร็ว “เป็นสิ่งที่ใช้อาบน้ําสัตว์โดยเฉพาะ นอกจากนี้ยังมีอีกที่ใช้หรับคน เมื่อพี่เจ็ดจากไป ข้าจะเอาให้ท่านพี่”

 

แน่นอนว่าซวนเทียนฮัวจะไม่ปฏิเสธ “สิ่งที่เจ้าว่ามีอยู่เสมอ” ขณะพูดเขาลูบหัวเสื้อขาวตัวน้อย เสือตัวน้อยโอบกอดเขาและจบลงด้วยการทําให้เสื้อคลุมของซวนเทียนฮัวเปียกโชก

 

เฟิงหยุเฮงรับเสี่ยวไปมาอย่างไร้ประโยชน์ และวางมันกลับเข้าไปในอ่างต่อ เสียวใบส่งเสียงร้องอย่างไม่อยากกลับ แต่มันก็ไม่สามารถหนีมืออสูรร้ายได้ ซวนเทียนฮั่วรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องสนุก เขาจึงเดินเข้าไปเพื่อช่วยอาบนเสื้อ ในขณะที่เอาน้ําราดเสื้อ เขากล่าวกับนางว่า “มีข่าวเรื่องการชดใช้จากเจ้าเมืองหลู่”

 

ดวงตาของเฟิงหยูเฮงสว่างขึ้น “พวกเขากําลังเตรียมที่จะจ่ายเท่าไหร่เจ้าคะ ?”

 

เมื่อเห็นนางกลายเป็นเช่นนี้ ชวนเทียนฮัวรู้สึกหมดหนทาง “เจ้าไม่ขาดแคลนเงินทองไม่ใช่หรือ ไม่เป็นไรถ้าเจ้าแค่อยากมีเรื่องกับคนอื่น แต่มีความจําเป็นที่จะต้องสร้างปัญหาด้วยตนเองหรือไม่ ?”

 

เฟิงหยูเฮงส่ายหัว “ใครบอกว่าข้าไม่ขาดแคลนเงินทอง ข้าขาดแคลนเงินทองจริง ๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าข้าจะได้รับเงินเล็กน้อย แต่ส่วนใหญ่ก็ใช้ไปกับร้านห้องโถงสมุนไพรซึ่งจะต้องมีการขยายและต้องมีกา รลงทุน มันไม่ได้ฟังดูมากนัก แต่เมื่อเริ่มทําจริง ๆ มันก็เป็นจํานวนเงินที่น่าตกใจ พี่เจ็ด ข้าไม่เคยบอกท่านพี่มาก่อน แต่ร้านห้องโถงสมุนไพรของข้านั้นแตกต่างจากร้านขายยาและโรงหมออื่น ๆ มันทํางานได้ตามคําขอและความเข้าใจของข้า แม้ว่าจะยังห่างไกลจากผลลัพธ์ที่ต้องการ แต่ก็ต้องจัดการที่ละขั้นตอน ในโลกนี้ข้าหวังว่ามันจะทําให้ดีขึ้น สําหรับขุนนางที่ทุจริตหรือผู้ที่ไม่เห็นด้วยในราชสํานัก ความมั่งคั่งของพวกเขาจะเป็นแหล่งที่ดีที่สุดในการพัฒนาโลก”

 

ชวนเทียนฮั่วเห็นด้วยกับคําพูดนี้ ดังนั้นเขาจึงบอกนางว่า “มู่เจียงมีความประสงค์ที่จะชดใช้ด้วยทรัพย์สมบัติของตระกูลหกในสิบส่วน ข้ารู้สึกว่าไม่เป็นไร เจ้าคิดอย่างไร ? “

 

“ถ้าพี่เจ็ดคิดว่ามันดี ข้าก็ว่าดี ข้าไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้และไม่มีความเข้าใจมากนัก มันใช้ได้ดีตราบใดที่เราไม่สูญเสีย

 

ชวนเทียนฮั่วบอกกับนางว่า “มันไม่เพียงแค่แตกหัก มันยังให้ผลก่าไรมหาศาล ไข่มุกนั้นอาจหายาก แต่ก็ยังเป็นเพียงไข่มุกชิ้นเล็ก ๆ อย่างไรก็ตามตระกูลมู่ได้ทําการปกครองมณฑลหล่มาเป็นเวลาเกือบสิบปีแล้ว มีร้านค้าหลายแห่งที่เดินทางไปภาคใต้และทําการค้ามากมายระหว่างราชวงศ์ต้าชนและกูซู โชคลาภในตระกูลของเขายอดเยี่ยมมาก ด้วยสิ่งนี้เจ้าเจอบ่อเงินบ่อทองแล้ว”

 

“นั่นเป็นผลมาจากความพยายามของพี่เจ็ด ข้าไม่ได้ทําอะไรเลย” นางยิ้มแล้วถามซวนเทียนฮั่ว “เจ้าเมืองหลู่จะโกรธขนาดนี้หรือไม่ ? เขาจะไม่คิดหาวิธีที่จะตอบโต้เราหรอกหรือ ?”

 

ชวนเทียนฮั่วส่ายหน้า “แน่นอนว่าเขาไม่สามารถนอนหลับได้ แต่จะบอกว่าเขาจะตอบโต้เราในเมืองหลวง เขาไม่มีความสามารถนั้น แต่หลังจากเขากลับไปภาคใต้ จะมีการสื่อสารกับน้องแปดแน่นอน นี่คือสิ่งที่เราไม่สามารถทําอะไรได้ พลังของน้องแปดในภาคใต้นั้นมั่นคงมาก หากพวกเขาใกล้ชิดกันมากขึ้นในอนาคต มันจะเป็นอันตรายอย่างมากต่อราชสํานัก โชคดีที่หมิงเอ๋อได้เตรียมการล่วงหน้าทางนั้นไว้แล้ว ข้าเชื่อว่าหลังจากเขาผ่านไป เขาจะสามารถจัดการกับมันได้เล็กน้อย ควรมีการจับคู่อย่างเท่าเทียมกัน และไม่ควรนิ่งเฉยเกินไป”

 

“มันน่าเสียดายที่เขาพูดว่าเขาจะไม่พาข้าไปด้วย เฟิงหยูเฮงถอนหายใจเล็กน้อย “ข้าอยากไปดูจริง ๆ ท่านพี่ก็รู้ว่าข้านั่งอยู่เฉย ๆ ไม่เป็น เขาไปทางใต้และท่านพี่ไปตะวันออก เมื่อเวลานั้นมาถึงข้าจะเป็นคนเดียวที่เหลืออยู่ในเมืองหลวง แค่คิดเกี่ยวกับมันก็ทําให้ข้าโดดเดี่ยวและเหงา”

 

เมื่อสิ่งนี้ถูกหยิบยกขึ้นมา บรรยากาศก็สงบลงเล็กน้อย เฟิงหยูเฮงไม่ต้องการที่จะกล่าวเพิ่มเติมและเริ่มล่าตัวเสี่ยวไป นางอุ้มมันขึ้นมาจากน้ําแล้ววางลงบนผ้าขนหนู ห่อมันแล้วนางก็อุ้มขึ้นมา ในความเป็นจริงนางต้องการที่จะเข้าไปในมิติของนางเพื่อเป่าขนให้เสียวไป แต่ชวนเทียนฮั่วอยู่ด้วย การเข้าออกจากมิติของนางจะไม่ สะดวกนัก

 

ทั้งสองเล่นกับเสี่ยวไป ในขณะที่คาดเดาวันที่เจ้าเมืองหลู่จะชดใช้ค่าเสียหาย ไม่นานหลังจากนั้นหวงซวนก็เข้ามาจากข้างนอกแล้วก็กระซิบอย่างเงียบ ๆ ในหูของเฟิงหยูเฮง เฟิงหยูเฮงขมวดคิ้วและผลักเสี่ยวไปไปไว้ในอ้อมแขนของหวงซวน จากนั้นนางก็ยืนขึ้นและยิ้มให้กับชวนเทียนฮั่ว “ข้าจะออกไปจัดการเรื่องต่าง ๆ พี่เจ็ด เข้าไปข้างในหรือไม่เจ้าคะ ?”

 

ชวนเทียนฮั่วพยักหน้า “ข้าจะไปกับเจ้าด้วย”

 

แต่เสื้อคลุมด้านนอกของเขาเปียกโชกเพราะเสียวไปและยังไม่แห้ง เฟิงหยูเฮงคิดสักพักแล้วถอดเสื้อคลุมออก นางนํามันเข้าไปในห้องของนางแล้วเข้าไปในมิติของนางในขณะที่ไม่มีใครดูอยู่ นางใช้เครื่องเป่าลมให้ แห้งก่อนออกจากมิติ จากนั้นนางก็คืนเสื้อให้ซวนเทียนฮั่ว และทั้งสองออกจากคฤหาสน์กับบ่าวรับใช้ของพวกเขา จากนั้นพวกเขาก็ปีนเข้าไปในรถม้าของราชสํานักที่ชวนเทียนฮั่วเอามา

 

ในเวลานี้ภายในสนามหญ้าบ้านของเหยาชื่อ เหยาชื่อกําลังจ้องมองหญิงสาวที่ไม่คุ้นเคย ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความระมัดระวังและปฏิเสธ บ่าวรับใช้อายุประมาณ 15 หรือ 16 ปี และนางก็มีมารยาทดีมาก นางคํานับให้เหยาชื่ออย่างถูกต้องจากนั้นก็ยืนอยู่ข้าง ๆ รอให้เจ้านายคนใหม่ของนางพูด

 

เหยาชื่อเป็นคนที่ไม่สามารถพูดกับคนอื่นได้ นางโกรธเล็กน้อยแต่นางไม่รู้ว่าควรพูดอะไร นางมองไปที่เสี่ยวหยาเพื่อขอความช่วยเหลือ และเสียวหยาพยักหน้ารับและถามบ่าวรับใช้ “พระราชวังเหวินซวนส่งเจ้ามาหรือ ?”

 

บ่าวรับใช้พยักหน้า “ใช่เจ้าค่ะ ข้าชื่อเทียนชิง พระชายาเหวินซวนส่งข้ามาเพื่อดูแลท่านฮูหยินเหยาเป็นพิเศษเจ้าค่ะ”

 

“แต่เรามีบ่าวรับใช้มากพอที่นี่แล้ว พวกนางทุกคนเตรียมโดยด้านของคฤหาสน์เหยา สะดวกในการรับใช้และเราไม่ต้องการเพิ่มแล้ว ความตั้งใจที่ดีของพระชายาเหวินซวน เรายอมรับมัน แต่เจ้า…กลับไปและขอบคุณพระชายาแทนข้าด้วย”

 

บ่าวรับใช้เตรียมพร้อมสําหรับการปฏิเสธอย่างชัดเจน และไม่แปลกใจเลยกับคําพูดของเสียวหยา นางรู้สึกว่ามันเงียบสงบมาก นางยิ้มและตอบโต้เสี่ยวหยา “เมื่อข้ามา พระชายากล่าวว่าการเตรียมเรือนอื่น ๆ ของตระกูลเหยานั้นสมบูรณ์มาก และมีบ่าวรับใช้มากมาย มีไม่มากและไม่น้อยเกินไป ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่สามารถจัดการงาน และจะไม่รู้สึกแออัด แต่เจ้าเห็นหรือไม่ว่าท่านฮูหยินเหยาและพระชายาเป็นสหายที่ดีมากันหลายปีแล้ว นางอาจไม่ต้องการคนเพิ่มเพื่อดูแลนาง แต่ข้าทํางานอยู่ที่ฝั่งของพระชายาเสมอ เมื่อคิดถึงเรื่องนี้แล้ว การอยู่ที่ข้างท่านฮูหยินเหยาเพื่อพูดคุยจะดีที่สุด”

 

“ข้าไม่ต้องการให้ใครมาพูดคุยเป็นเพื่อนข้า” เหยาชื่อกล่าวอย่างเย็นชา ซึ่งทําให้บ่าวรับใช้ต้องหยุด ก่อนที่จะมาพระชายาเหวินชวนเพียงแต่บอกนางว่านางต้องจับตาดูเสียวหยาอย่างใกล้ชิด สําหรับท่านฮูหยินเหยา นางบอกว่าทั้งสองเติบโตมาด้วยกัน และอยากให้นางคุยกับท่านฮูหยินเหยาบ่อยขึ้นเกี่ยวกับอดีต เพื่อทําความสนิทสนมขึ้นอีกนิด

 

เทียนชิงไม่ได้คิดว่าการสนทนาของนางกับเหยาชื่อจะเริ่มแบบนี้ ไม่มีความเป็นมิตรแม้แต่น้อย ไม่มีแม้แต่ความรู้สึกเล็ก ๆ น้อย ๆ จากการเติบโตมาด้วยกันที่พระชายาเหวินชวนพูด เหยาชื่อไม่เผยให้เห็นรอยยิ้มตั้งแต่ต้นจนจบ และถามนางด้วยความระมัดระวังมากขึ้น “เจ้าตั้งใจจะอยู่ในบ้านนี้นานเท่าไหร่ ?”

 

เทียนชิงตกใจแล้วตอบว่า “ข้าจะอยู่ที่นี่เพื่อดูแลท่านฮูหยินตลอดไปเจ้าค่ะ !”

 

เหยาชื่อขมวดคิ้วทันที และเสียงก็ดังขึ้น นางโน้มตัวไปข้างหน้าโดยไม่รู้ตัว “เจ้าพูดอะไร เจ้าจะอยู่ที่นี่ตลอดไปหรือ ?”

 

เสียวหยารีบไปประคองนางอย่างรวดเร็วและปลอบใจนางในเวลาเดียวกันว่า “ท่านแม่ไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะ ท่านแม่ต้องไม่โกรธ หากมีอะไรข้าจะถามเองเจ้าค่ะ” หลังจากที่นางพูด นางมองไปที่เทียนชิงและกล่าวกับอีกฝ่ายว่า “ท่านแม่จะพูดคุยกับข้าเท่านั้น นางไม่ชอบพูดคุยกับบ่าวรับใช้ เราจะพูดอีกครั้ง เรายอมรับความตั้งใจดีของพระชายาเหวินซวนด้วยใจ โปรดกลับไป !”

 

“แต่…”

 

“ไม่มีแต่” เสียวหยากล่าวด้วยสีหน้าเยือกเย็น “เจ้าเห็นด้วย สุขภาพของท่านแม่ไม่ดีมาก เจ้ายืนอยู่ที่นี่ก็ไม่ได้เชิญความรู้สึกใด ๆ มันจะทําให้นางโกรธด้วยซ้ํา ข้าคิดว่าถ้าเจ้าท่าให้ท่านแม่แย่ลงไปอีก ข้ารู้สึกว่านี้ไม่ใช่ผลลัพธ์ที่พระชายาเหวินซวนปรารถนาเช่นกันใช่ไหม?”

 

“แม่นางเป็นบุตรสาวบุญธรรมของท่านฮูหยินหรือ ?” เทียนชิงค่อนข้างฉลาด เมื่อเห็นว่าเส้นทางเดิมนั้นไม่ดี นางก็จะย้ายออกจากหัวข้อก่อนหน้าและถามเรื่องอื่น ในเวลาเดียวกันนางจะหยิบหมอนที่เหยาชื่อโยนลงบนพื้ นด้วยความปั่นป่วน

 

เสี่ยวหยามุ่งเน้นไปที่การสนับสนุนเหยาชื่อ และไม่สนใจนางมากนัก เสี่ยวหยาตอบว่า “ข้าไม่ใช่บุตรสาวบุญธรรมของนาง

 

เหยาชื่อตะโกนตอบ “นางเป็นบุตรสาวที่ดีของข้า นางจะเป็นบุตรสาวบุญธรรมของข้าได้อย่างไร บ่าวรับใช้ของพระราชวังเหวินซวนรู้วิธีการพูดหรือไม่ ? เจ้ามีหลักในสายตาของเจ้าหรือไม่ ? นางเป็นบุตรสาวของข้า ในบ้านนี้ถ้าเจ้าเรียกข้าว่าท่านฮูหยิน เจ้าต้องนางว่าคุณหนู เจ้าเข้าใจหรือไม่ ? “

 

แม้ว่าจะมีข้อสงสัยในใจของเทียนซึ่ง นางก็ยังยอมรับอย่างรวดเร็วว่า”บ่าวรับใช้คนนี้เข้าใจเจ้าค่ะ ท่านฮูหยินอย่าต้องกังวลเลยเจ้าค่ะ ในอนาคตบ่าวรับใช้จะทํางานได้อย่างแน่นอนตามกฏของเรือน คุณหนู”นางเรียกเสียวหยาและคํานับนาง

 

เสี่ยวหยาสะดุ้งและมองเหยาชื่อ เรื่องนี้ถือว่าเป็นงานของบ่าวรับใช้คนนี้หรือ ? แต่ความตั้งใจเดิมของพวกนางคือไล่นางออกไป ?

 

ความโกรธเกรี้ยวกราดขึ้นในตัวของเหยาชื่ออีกครั้ง เนื่องจากนางไม่ต้องการเห็นเทียนชิงอีกต่อไป ดังนั้น นางจึงโบกมือ”เจ้าไปได้แล้ว อย่าเข้ามาเว้นแต่ว่าจะถูกเรียก “เจ้าค่ะ เทียนซึ่งเชื่อฟังและจากไป เพื่อให้สามารถอยู่ในบ้านนี้ในวันแรกของนางได้โดยไม่เจตนา นางไม่รีบร้อน

 

เมื่อเห็นทางออกของเทียนซึ่ง เสียวหยาก็รีบปิดประตูอย่างรวดเร็ว เมื่อนางกลับมา นางได้ยินเหยาซื้อกล่าวว่า”ท้ายที่สุดนี่คือครอบครัวเล็ก ๆ ที่ไม่มีผู้คนมากมายเหมือนพระราชวัง ด้วยคําพูดเพียงไม่กี่คํานางก็อยู่ต่อไป สิ่งที่ควรท่าในอนาคตค่อยว่ากันใหม่งั้นหรือ ? “ในขณะที่พูด นางถอนหายใจ”พระชายาเหวินซวนเป็นสหาย ที่ดีสําหรับข้าในอดีต เราเติบโตมาด้วยกัน แต่ข้าไม่รู้ว่าทําไมนางถึงไม่รู้สึกสนิทสนมกับข้าอีกต่อไปตั้งแต่ข้าไป ที่พระราชวังเพื่อขอเทียบเชิญให้เจ้า โดยรวมแล้วมันเป็นค่าตําหนิสําหรับข้าที่ไม่เหมาะสม พวกเขาทุกคนบอก ว่าเจ้า… ลืมไปเถิด ข้าจะไม่นํามันขึ้นมา ตอนนี้เรือนนี้ ข้ากลัวว่าในอนาคตเราจะไม่เป็นอิสระอีกต่อไป”เสี่ยวหยา ขมวดคิ้วของนางอย่างหนัก และประคองเหยาชื่อระยะเวลาหนึ่ง หลังจากคิดไปซักพักนางก็กล่าวกับเหยาชื่อ”ท่านแม่นั่งก่อนเจ้าค่ะ ข้าจะออกไปดูว่าบ่าวรับใช้กําลังทําอะไร ในเมื่อนางมา เราไม่สามารถนิ่งเฉยได้” หลังจากพูดแล้วนางก็เริ่มเดินไปที่ประตู เมื่อนางเห็นเทียนชิงอีกครั้ง นางก็ไม่ได้พูดอะไรเลย นางเดินไปและตบหน้าเทียนชิงอย่างรุนแรง !

 

ตอนที่ 723 ขอโทษเฟิงเซียงหรู

 

เฟิงจินหยวนถูกจับอย่างไม่ทันตั้งตัวและถูกไล่ ชั่วครู่หนึ่งเขาก็แปลกใจเล็กน้อย ก่อนหน้านี้พวกเขาพูดคุยกันดี ดังนั้นทําไมนางถึงไล่เขาออกไปในทันที ? แม้แต่พูดอะไรบางอย่าง เช่นการทุบตีเขาถ้าเขาไม่ได้จากไป ? บุตรสาวคนที่สองของเขากําลังทําอะไรกันแน่

 

แม้ว่าจะมีข้อสงสัยในใจ เขาก็ไม่กล้าที่จะขัดขึ้น ท้ายที่สุดเขาเข้าใจบุตรสาวคนที่สองของเขาเช่นกัน ถ้านางบอกว่าจะทุบตีใครบางคน คนผู้นั้นจะถูกทุบตีอย่างแน่นอน เขาไม่ต้องการที่จะประสบความพ่ายแพ้โดยไม่มีเหตุผล สําหรับที่ที่เขาจะใช้เวลาทั้งวันเขาต้องคิดอย่างรอบคอบ อย่างน้อยที่สุดเขาก็ต้องพยายามอีกครั้งที่บ้าน ตระกูลเฟิง เขาใช้เวลาอยู่ข้างนอกเป็นเวลานาน และไม่มีโอกาสเปลี่ยนเสื้อผ้า มันอึดอัดอย่างแท้จริง

 

เมื่อเฟิงจินหยวนออกจากคฤหาสน์ เฟิงหยูเฮงรีบถามหวงซวน “เจ้าแน่ใจเรื่องนี้หรือไม่ ?”

 

หวงซวนพยักหน้า “มันเป็นข่าวที่มาจากบ้านของจาวเหลียน ไม่ใช่เรื่องโกหกแน่เจ้าค่ะ เฟิงจินหยวนแต่งตัวเป็นบ่าวรับใช้เพื่อเข้าใกล้จาวเหลียน เฟิงเฟินไดพบเขาและทําให้นางโกรธ เขาจึงถูกไล่ออกจากบ้านเจ้าค่ะ”

 

เฟิงหยูเฮงตะคอกอย่างเย็นชา “เขาสมควรได้รับมันจริง ๆ ! ครั้งนี้เฟิงเฟินไดทําถูกต้อง พ่อประเภทนี้จะต้องไม่ถูกเก็บไว้ในบ้าน เป็นเรื่องน่าเสียดายที่ข้าเพิ่งบอกเฟิงจินหยวนเกี่ยวกับโฉนดที่เป็นของเขา ถ้าข้ารู้เรื่องนี้ก่อนหน้านี้ ข้าคงไม่เตือนเขา”

 

หวงซวนตกตะลึง “อ่า ตอนนี้ที่เฟิงจินหยวนกําลังจะกลับไป เขาคงจะกลับไปที่บ้านใช่หรือไม่เจ้าค่ะ ?”

 

“เอาบ้านกลับมางั้นหรือ ? เขาไม่มีความสามารถนั้น” เฟิงหยูเฮงกินขนมและชาเป็นอาหารเช้า ในขณะที่รับประทานอาหารนางกล่าวว่า “เฟิงเฟินไดไม่เหมือนกับเฟิงเฉินหยู อย่างน้อยที่สุดเฟิงเฉินหยูก็จะรู้เรื่องความรุนแรงของสิ่งต่าง ๆ และรู้ว่านางต้องให้บิดาของนางเผชิญ นางรู้ว่าอนาคตของนางจะขึ้นอยู่กับบิดาของนางที่มีภาพลักษณ์ที่ดีซึ่งจะสนับสนุนนาง แต่เฟิงเฟินไดมักมองว่าตัวเองเหนือกว่าทุกคน นางไม่เคยคิดก่อนพูดหรือกระทําการใด ๆ นางเพียงแค่ต้องพึงพอใจในช่วงเวลานี้และจะไม่พิจารณาอะไรมาก เมื่อคิดถึงเรื่องนี้แล้ว เฟิงจินหยวนจะได้รับประโยชน์จากนางเมื่อใด เขาจะต้องการแค่บ้านงั้นหรือ ? เฟิงเฟินไดจําเป็นต้องมอบให้มากกว่านี้”

 

หวงซวนคิดเกี่ยวกับมันและได้ข้อสรุปเดียวกัน หลังจากนึกถึงบุคลิกของเฟิงเฟินไดนางอดไม่ได้ที่จะขมวด คิ้ว “บุตรของตระกูลเฟิง ข้าไม่รู้ว่าพวกนางได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างไร” หลังจากพูดอย่างนี้นางกล่าวเสริม “คุณ หนูของเราเป็นข้อยกเว้น !” เมื่อเห็นว่าเฟิงหยูเฮงยิ้มและไม่ได้เอ่ยอะไร นางกล่าวต่อ “คุณหนู เราควรเตือนองค์ ชายเหลียนให้สงวนท่าที่ไว้อีกหน่อยหรือไม่ ? พฤติกรรมประจําวันของเขาไร้เหตุผลมากเกินไป ขณะนี้มีคําพูด แพร่หลายไปทั่วทุกหนทุกแห่งเกี่ยวกับเรื่องที่เขาหลวใหลองค์ชายเจ็ด แม้แต่นักเล่าเรื่องในโรงน้ําชาก็กําลังพูด ถึง เขามาที่เมืองหลวงเพื่อให้คุณหนูรักษาอาการป่วยของเขาไม่ใช่หรือ ? ทําไมอาการป่วยไม่ได้รับการรักษา ? แทนที่จะทําตัวเหมือนเป็นผู้หญิงเจ้าคะ ?”

 

เฟิงหยูเฮงยังไร้ประโยชน์เช่นกัน “แน่นอนว่าเขาเป็นชายหรือหญิง ข้าคิดว่าเขาค่อนข้างสับสนเช่นกัน แค่ให้เขาเป็น แม้ว่าคนผู้นั้นจะเกะกะ แต่เขามีเป้าหมายและวัดจากการกระทําของเขา ท้ายที่สุดเขาคุ้นเคยกับการเป็นจุดสนใจ ในขอบเขตของแผนการ เขาเป็นคนที่รอดชีวิตจากการต่อสู้เพื่อครองบัลลังก์ เขาจะไม่สร้างปัญหาที่ไม่สามารถจัดการได้ นั่นเป็นเพียงบุคลิกภาพของเขา แม้ว่าเราจะแนะนําเขา แต่มันก็ไร้ประโยชน์ มันจะเป็นการดีที่สุดถ้าปล่อยให้เขาเป็นแบบนั้น”

 

“แต่จะเกิดอะไรขึ้นถ้าพระองค์…”

 

“จะเป็นเช่นไรถ้าหากองค์ชายเจ็ดสนใจเขา ?” เฟิงหยูเฮงเกือบจะพ่นน้ําชาออกมา มีหลายครั้งที่นางต้องชื่นชมจินตนาการของบ่าวรับใช้ นอกจากความงามแล้ว จาวเหลียนไม่มีอะไรอีกมาก สําหรับความงามนั้นมันไร้ประโยชน์เมื่อมาถึงซวนเทียนฮั่ว ไม่ต้องพูดถึงความจริงที่ว่าเขารู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ชาย แต่ถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้ ก็ตาม ชวนเทียนฮั่วเป็นคนที่รักสาวงามงั้นหรือ ?

 

หวงซวนเห็นปฏิกิริยาของเฟิงหยูเฮง จากนั้นก็ลองคิดดูว่านางเพิ่งพูดอะไร นางรู้สึกว่ามันไร้สาระนิดหน่อย ดังนั้นนางจึงยิ้มและไม่พูดอะไรอีกเลย

 

ในวันนี้บ้านของตระกูลเฟิงก็ไม่เงียบเช่นกัน เฟิงจินหยวนเพิ่งกลับไปที่ทางเข้าที่พักและเห็นยามเฝ้าประตูของตระกูลเฟิงปิดประตูอย่างรวดเร็ว ทิ้งเขาไว้ข้างนอก เขาควันออกหูด้วยความโกรธและกําลังจะไปทุบที่ประตู ในเวลานี้มีกลุ่มคนมาจากข้างหลัง หนึ่งในผู้คนผลักดันเขาไปด้านข้างอย่างไม่ปราณี เขาเสียสมดุลและล้มลงบนบันได ทําให้กันของเขาเจ็บ ขณะที่เขากําลังโกรธที่จะถามว่าเขาเป็นใครที่ผลักเขาออกไป เขาเห็นว่ากลุ่มยืนอยู่หน้าบ้านของตระกูลเฟิงและเคาะประตู รัศมีนั้นราวกับว่าตระกูลเฟิงเป็นหนี้พวกเขา และพวกเขามาเพื่อเก็บหนี้

 

เฟิงจินหยวนตัวสั้นและถอยกลับไปด้านข้างด้วยจิตใต้สํานึก ในขณะที่ถอยร่น เขาสงสัยในตัวเองว่าเขาไปเงินที่ไหน ? มันทําให้มีคนจํานวนมากมาเก็บเงิน ? มองอย่างระมัดระวังมากขึ้น มีหญิงสาวคนหนึ่งในกลุ่ม และนางดูเหมือนจะอายุประมาณ 14 หรือ 15 ปี นางดูค่อนข้างดี แต่มันน่าเสียดายที่นางได้อารมณ์ ราวกับว่านางเป็นคนตาย มือขวาของนางพันแน่นและได้รับบาดเจ็บสาหัส

 

ในเวลานี้ เสียงของยามเฝ้าประตูมาจากด้านในบ้านของตระกูลเฟิง และตะโกนอย่างไม่หยุดยั้ง “หยุดเคาะ คุณหนบอกแล้วว่าเจ้าไม่ได้เป็นเจ้านายของบ้านของตระกูลเฟิงอีกต่อไป ไม่ว่าเจ้าจะอยู่หรือตาย มันไม่เกี่ยวกับบ้านของตระกูลเฟิง !”

 

เมื่อค่าพูดเหล่านี้ถูกพูดออกมา ผู้คนก็ตกใจ จากนั้นเด็กสาวก็หันหน้าไปและมองไปในทิศทางของเฟิงจินหยวน ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความรังเกียจและดูถูก จากนั้นนางก็บอกกับบ่าวรับใช้ข้างของนาง และคนที่มาก็ก้าวไปข้างหน้าตะโกนว่า “พวกเราไม่ใช่เจ้านายของตระกูลเฟิง พวกเราคือบ่าวรับใช้จากตระกูลมู่ของมณฑลหลู่ วันนี้คุณหนูของเรามาพบคุณหนูสาม”

 

ผู้คนที่อยู่ข้างในนั้นเงียบลงอย่างเห็นได้ชัดในขณะนั้นก็มีเสียงฝีเท้า หลังจากนั้นไม่นานประตูก็เปิดออก มันเป็นเฮ่อจง

 

คนที่อยู่ข้างนอกนั้นไม่สุภาพมากพูดทันทีว่า “คุณหนูสามของตระกูลเฟิงอยู่หรือไม่ ?”

 

เฮ่อจงพยักหน้า “อยู่ ข้าถามได้หรือ…””เมื่อเราเคาะประตู เราไม่บอกพวกเจ้าหรือ ? ทําไมเจ้ายังจะถาม ยามเฝ้าประตูของตระกูลเฟิงทุกคนฟังไม่รู้เรื่องหรือ ? “จากกลุ่ม นางใช้ความคิดริเริ่มเดินหน้าต่อไป นางเดินเข้าไปในบ้านของตระกูลเฟิง “ไปเรียกคุณหนูสามมา แค่บอกว่าบุตรสาวของเจ้าเมืองหล่มาเยี่ยม นางจะรู้เอง”เฮ่อจงขมวดคิวเมื่อได้ยินสิ่งนี้ สัญชาตญาณบอกเขาว่าแขกไม่ใจดี แต่เฟิงเฟินไดออกจากคฤหาสน์ ไม่มีใครอยู่บ้านและสามารถทําหน้าที่เป็นเจ้านายตัดสินใจได้ นอกจากการบอกคุณหนูสามแล้ว นางก็ทําอะไรไม่ได้

 

ดังนั้นเฮ่อจงจึงไม่ชักช้าอีกต่อไป เขาเดินเล่นไปตามทางเพื่อเรียกเฟิงเซียงหรูไปที่สนามหน้าบ้าน เขาคิดในตอนแรกว่าพวกเขามาพร้อมกับท่าทางดุดัน ดังนั้นคุณหนูสามที่ปรากฏตัวพร้อมกับบุคลิกที่อ่อนแอและขี้อายของนาง นางจะไม่ถูกทําร้ายและโดนดูถูกหรือ ? เขาเตรียมพร้อมที่จะปกป้องนาง แล้วแม้ว่ามันจะเป็นการกระทํา มันก็หมายความว่าเขาได้ทําหน้าที่ของเขาในฐานะพ่อบ้านของตระกูลเฟิง

 

แต่เฮ่อจงไม่เคยคิดเลยว่าคนเหล่านั้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เรียกตัวเองว่าเป็นคุณหนูของฮูหยินใหญ่ของเจ้าเมืองหลู่แทนที่จะไปทําร้ายหรือดูถูกเฟิงเซียงหรู นางกลับแสดงความเคารพต่อเฟิงเซียงหรู แม้ว่าการแสดงออกของนางจะไม่ตรงกับการกระทําของนาง คําพูดที่นางพูดนั้นเป็นคําขอโทษต่อเฟิงเซียงหรู นางกล่าวว่า”คุณหนูสามตระกูลเฟิง ในวันงานเลี้ยงมันเป็นความผิดของข้าทั้งหมด ข้าเป็นคนที่จงใจและขาดความเข้าใจในกฎ ข้าดูถูก และ..ตบคุณหนูสามในวันนั้นเป็นความผิดของข้าทั้งหมด วันนี้ข้ามาเพื่อขออภัยต่อคุณหนูสาม คุณหนูสามโปรดยกโทษให้ข้าด้วย“หลังจากพูดจบแล้ว นางก็ทําอะไรบางอย่างที่ทําให้ทุกคนในตระกูลเฟิงต้องตกใจมากขึ้น เมื่อนางตบหน้าตัวเองอย่างกะทันหัน นี้ไม่ใช่ทั้งหมด หลังจากตบหนึ่งครั้ง นางตบอีก น่าเสียดายที่มือข้างหนึ่งได้รับบาดเจ็บและไม่สามารถใช้งานได้ ดังนั้นนางสามารถใช้มือเดียวและตบหน้าข้างซ้าย ใบหน้าข้างซ้ายบวมเหมือนซาลาเปาและค่อนข้างน่าตกใจ

 

เมื่อเฟิงเซียงหรูเห็นคนผู้นี้ นางจ่าเรื่องนี้ได้ตั้งแต่วันงานเลี้ยง นางเคยได้ยินว่าองค์ชายสี่บอกว่าคุณหนูตระกูลมู่จะมาขอโทษ แต่จากบุคลิกของคุณหนูตระกูลมู่ ไม่ว่าจะเป็นคําพูดที่สุภาพ และนางไม่ต้องการโต้แย้งมากเกินไป อย่างไรก็ตามนางไม่เคยคิดเลยว่านางจะเริ่มตบตัวเองที่นี่

 

นางมองไปที่กลุ่มคนที่เคยมา และสังเกตเห็นใบหน้าที่คุ้นตา 2 คนอย่างรวดเร็ว คนเหล่านั้นมาจากต่าหนักปิง นางเคยเห็นพวกนางมาก่อน ปรากฏว่าคุณหนุตระกูลมู่ถูกจับตามองโดยคนจากตําหนักปิง ไม่น่าแปลกใจที่นางทําทุกอย่างอย่างถูกต้อง”พอแล้ว”เฟิงเซียงหรูขมวดคิ้ว และบอกให้นางหยุด และคุณหนูตระกูลมู่ก็ไม่ร อชา เมื่อถูกสั่งให้หยุด นางก็หยุดทันทีโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย แม้ว่าใบหน้าของนางจะบวม แต่ก็ยังไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ เฟิงเซียงหรูมองนางและกล่าวอย่างใจเย็น”เรื่องนี้ผ่านไปแล้ว เจ้าขอโทษข้าและข้ายอมรับมัน เจ้ากลับไปได้แล้ว “คุณหนูตระกูลมู่มองเฟิงเซียงหรูด้วยความตกใจอยู่ครู่หนึ่ง นางรู้สึกว่าผู้หญิงตรงหน้าของนางดูเหมือนจะสงบและมีความอดทนมากขึ้นตั้งแต่งานเลี้ยง แต่นางไม่สนใจ เนื่องจากเฟิงเซียงหรูกล่าวว่านางยอมรับคําขอโทษและอนุญาตให้นางกลับได้ ภารกิจของนางในวันนี้สําเร็จ คุณหนูตระกูลมู่หันกลับมามองคนสองคน จากตําหนักปิง เมื่อเห็นว่าพวกนางไม่คัดค้าน นางก็เริ่มเดินออกจากบ้านของตระกูลเฟิง

 

ในเวลานี้เฟิงจินหยวนใช้ประโยชน์จากความโกลาหลใกล้บ้านของตระกูลเฟิง และได้เข้ามาแล้วเมื่อถึงเวลาที่กลุ่มของคุณหนูตระกูลมู่ออกไป และเฮ่อจงพบเขา เขาก็ยืนอยู่ข้างในแล้ว เฮ่อจงตกใจและรีบจัดการให้เขาถูกไล่ออกไป แต่ในเวลานี้พวกเขาได้ยินเฟิงจินหยวนกล่าวว่า”บ้านหลังนี้เป็นของข้า โฉนดบ้านเป็นของข้าด้วย หากเจ้าต้องการให้เฟิงเฟินได้เป็นเจ้านาย พวกเจ้าสามารถตามนางออกไปได้ เมื่อถึงเวลาข้าจะขายบ้านนี้ และจะยังคงอยู่ได้อย่างอิสระ”เฮ่อจงตัวแข็งเมื่อได้ยินเฟิงจินหยวนพูดแบบนี้ เขาจําได้ว่าในเรื่องนี้ เขาเป็นพ่อบ้าน นางจะจํากฎที่สําคัญที่สุดของบ้านไม่ได้อย่างไร เฟิงจินหยวนเป็นเจ้านาย แต่ตอนนี้พวกนางฟังค่าพูดของเฟินไดและไล่เขาออกไป สถานการณ์แบบนี้จะทําอย่างไรดี ?

 

เฟิงจินหยวนเห็นว่าสีหน้าที่เปลี่ยนไปของเฮ่อจง ดังนั้นเขาจึงกล่าวต่อไปว่า”ข้าต้องเตือนเจ้าว่า แม้ว่าเจ้าจะทําคําสั่งของเฟิงเฟินได้ อย่าคาดหวังสิ่งตอบแทนที่มากเกินไปในเมื่อพวกเจ้าทรยศเจ้านายของพวกเจ้า แค่คิดให้ดี เมื่อเฟิงเฟินไดออกจากที่นี้ นางจะไปไหนได้บ้าง ก็ต้องไปที่ตําหนักหลีแน่นอน เจ้าคิดว่าตําหนักหลีที่สง่างาม ซึ่งมีทหารและบ่าวรับใช้มากมายจะคอยดูแลเจ้าอยู่งั้นหรือ ? ฝันไปเถิด”เฟิงจินหยวนปลุกคนเหล่านี้ให้ตื่นจากความฝัน กลุ่มของเฮ่อจงได้มีปฏิกิริยาในตอนนี้ แน่นอน! ถ้าพวกเขาทําตามคําสั่งของเฟิงเฟินไดจริงๆ เมื่อคุณหนูสี่แต่งเข้าตําหนักหลี แล้วพวกเขาล่ะ มีเพียงบ้านหลังนี้เท่านั้นที่อนุญาตให้พวกเขาตั้งหลักแหล่ง ยิ่งกว่านั้นสัญญารับใช้ของพวกเขายังคงเป็นของเฟิงจินหยวน

 

เมื่อคิดเช่นนี้เฮ่อจงไม่กล้าไล่เฟิงจินหยวนอีกต่อไป เขายังนําเฟิงจินหยวนกลับมาที่ห้องอย่างสุภาพ สําหรับพายุที่จะมาถึงเมื่อเฟินไดกลับมา พวกเขาก็แค่รอให้เกิดขึ้น

 

วันนี้ถูกกําหนดให้เป็นวันที่ไม่สงบ นอกสนามหญ้าของบ้านของเหยาชื่อ เสียวหยากําลังจ้องมองผู้คนที่ยืนอยู่ข้างนอก และถามด้วยความสับสนว่า”พวกเจ้ามองหาใคร ?”

 

ตอนที่ 722 ความสัมพันธ์ทางธุรกิจ

 

เฟิงหยูเฮงไม่เข้าใจความหมายของคําพูดของบิดานาง นางมองทหารยามของนางเองโดยหวังว่านางจะได้รับคําตอบ โชคไม่ดีที่ทหารยามไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ และบอกนางว่า “นายท่านเพิ่งมาเมื่อคืนขอรับ นายท่านเฟิงมาหลังจากที่องค์หญิงออกไป เมื่อได้ยินว่าองค์หญิงไม่ได้อยู่ที่นี่ เขารออยู่ข้างนอกตลอดเวลา เมื่อคืนอากาศหนาว ข้ากลัวว่าเขาจะแข็งตาย และขอให้หวงซวนเอาผ้าห่มออกมาขอรับ”

 

เฟิงหยูเฮงถอนหายใจ “เฟิงจินหยวน เจ้าโชคดีจริง ๆ ใครจะรู้ว่าผู้ที่มาคือหวงซวน นางเป็นคนใจดีมากเกินไปที่จะนําผ้าห่มมาให้เจ้า นางมีความกระตือรือร้นที่จะเห็นเจ้าแข็งจนตาย” หลังจากพูดจบนางก็สะบัดแขนของนาง และก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว “เข้ามา อย่าทําให้ข้าเสียหน้าต่อไป”

 

เมื่อได้ยินว่าเขาจะได้รับอนุญาต เฟิงจินหยวนถอนหายใจด้วยความโล่งอกและตามไปอย่างรวดเร็ว บางที เขาอาจถูกขดตัวอยู่ข้างนอกเป็นเวลานานเกินไปเนื่องจากร่างกายของเขาเป็นเหน็บ เขาไม่สามารถลุกขึ้นยืนได้อย่างมั่นคงในครั้งแรก เขาล้มลง ทหารยามที่ทางเข้าไม่มีทางเลือกนอกจากก้าวไปข้างหน้าและช่วยประคองเขาจนกว่าพวกเขาจะมาถึงในห้องโถงใหญ่

 

หวงซวนเข้ามาอีกครั้งเมื่อเห็นว่าเฟิงหยูเฮงเข้าสู่ลาน เมื่อเห็นเฟิงจินหยวน ใบหน้าของนางก็เต็มไปด้วยความดูถูก แต่อารมณ์ของนางค่อนข้างชัดเจน หลังจากเข้าไปในห้องโถง นางก็บอกให้ทหารยามประคองเฟิงจินหยวนมานั่งเก้าอี้ จากนั้นนางก็ให้บ่าวรับใช้ไปชงชาอุ่น ๆ ซึ่งทําให้เฟิงหยูเฮงงงงวย

 

แต่เฟิงจินหยวนจะคิดยังไงเกี่ยวกับการดื่มชาอุ่น ๆ เมื่อนั่งลงเขายกมือเพื่อเช็ดน้ําตา ในขณะที่เช็ดน้ําตาเขาบ่นกับเฟิงหยูเฮง “อาเฮง เจ้าเป็นบุตรสาวของฮูหยินใหญ่ เจ้าต้องทําอะไรบางอย่างกับน้องสีของเจ้า นางมักจะโอ้อวดอํานาจขององค์ชายห้าและมักจะดูถูกคนอื่นรวมถึงข้าด้วย ที่บ้านนางตีข้าและดูถูกข้า และไม่เคยไว้หน้าข้าเลย นอกจากนี้ยังเป็นที่ยอมรับกันว่าข้าอยู่ในบ้านของนางและกินอาหารของนาง การถูกทุบตีและดูถูกที่ข้าสามารถทนได้ แต่แม้กระทั่งบ่าวรับใช้ในบ้านก็ยังเชื่อฟังนางอยู่ อาเฮง ถ้าเจ้าไม่ช่วยข้า ข้าจะถูกทิ้งไว้ตามถนน

 

เสียงร้องไห้ของเฟงจินหยวนเต็มไปด้วยน้ําตาจริง ๆ อย่างไรก็ตามน้ําตาเหล่านี้ไม่สามารถเคลื่อนไหวใครได้ นอกจากนี้ไม่ว่าพวกนางจะมองเขายังไง เขาดูเหมือนหญิงชราคนหนึ่งที่พยายามขายผัก เนื่องจากค่าพูดที่ไม่เกี่ยวข้องของเขาฟังดูเหมือนว่าพวกนางเพิ่งนินทาเกี่ยวกับเรื่องของตระกูลอื่น เฟิงหยูเฮงเกลียดการได้ยิน เรื่องนี้มากที่สุด หวงซวนสนใจ “เจ้าพูดว่าอะไร เจ้าถูกเฟินไดไล่ออกจากบ้านหรือ ? ฮ่าๆๆ ! นายท่านเฟิง ไม่คิดว่าเจ้าจะมีวันนี้ !” เมื่อนางพูดค่าสุดทํายเหล่านั้น สีหน้าของนางก็เย็นชา จากนั้นนางก็หันไปถามเฟิงหยูเฮง “คุณหนู นี้เป็นฉากที่ชวนให้นึกถึงเจ้าค่ะ !”

 

“แน่นอน” เฟิงหยูเฮงถือถ้วยน้ําชาในมือของนาง “คิดว่าท่านแม่ น้องชายกับข้าถูกไล่ออกจากบ้านและไม่สามารถหาที่อยู่ได้ เราก็ร้องไห้หลายครั้ง ฮ่าๆ !” นางถอนหายใจ “มันเป็นฉากที่ชวนให้นึกถึงจริง ๆ !”

 

การร้องไห้สะอึกสะอื้นของเฟิงจินหยวนหยุดลง ด้วยมือของเขาเอ้อระเหยอยู่ข้างดวงตา เขาจ้องมองที่เฟิงหยูเฮงด้วยความงุนงง ความเย็นเริ่มคลานขึ้นมาจากก้นบึงของหัวใจ

 

ฉากชวนให้นึกถึง ? นางเป็นหนี้เขาหรือเปล่า ? หากเป็นเช่นนั้นเขาได้ทําผิดพลาดในการมาที่คฤหาสน์ขององค์หญิงจีอัน เพื่อขอความช่วยเหลือหรือไม่ ? นางคนนี้จะเก็บความขุ่นเคืองมากมายได้อย่างไร ? แต่… นอกจากคฤหาสน์ขององค์หญิง เขาจะไปที่ไหนได้อีก

 

“อาเฮง” เขาคิดสักพักนึงแล้วคิดว่า “เรื่องของอดีตนั้นก็ทิ้งไว้ในอดีต ข้ารู้ว่าสิ่งที่ทําไปแล้วนั้นเป็นสิ่งที่ผิด แต่ก็ไม่มีอะไรที่ขาสามารถแก้ไขได้ ในเวลานั้นเจ้ายังเด็ก และไม่รู้สถานการณ์มากนัก แต่เจ้าควรรู้ว่าท่านย่ายังอยู่ในช่วงนั้น เมื่ออยู่ใกล้นาง นางเป็นคนที่ตัดสินใจเรื่องครอบครัว เมื่อสถานการณ์เกิดขึ้นกับตระกูลเหยา ปฏิกิริยาแรกของท่านย่าคือปกป้องตัวเองเนื่องจากนางเป็นผู้หญิง ไม่ผิดมากที่ทําเช่นนั้น นั้นเป็นสาเหตุที่การส่งพวกเจ้าทั้งสามคนออกไปในเวลานั้นเป็นความตั้งใจของท่านย่า มันไม่ใช่ความตั้งใจของข้า !” ในขณะที่เขาพูด เขาเริ่มร้องไห้อีกครั้ง

 

เฟิงหยูเฮงเผชิญหน้า “ข้าพูดไม่ออกจริง ๆ ในความรับผิดชอบที่เจ้าควรแบกรับในฐานะผู้ชาย เจ้ายังไม่ยอมรับความผิด หากมีเรื่องใดที่เจ้าทํากับคนอื่น แม้แต่ท่านย่าที่เสียชีวิตก็ยังถูกแอบอ้าง นี่คือ…” นางจะพูดอะไรกับเขาได้อีก ? ราวกับว่านางพูดทุกอย่างที่เป็นไปได้ในทางลบ อย่างไรก็ตามเฟิงจินหยวนไร้ยางอายจนถึงจุดที่ นางไม่สามารถทําอะไรได้ “ลืมไปเถิด ข้าจะไม่ทวงหนี้แค้นนี้กับเจ้า”

 

ดวงตาของเฟิงจินหยวนสว่างขึ้น “จริงหรือ? เจ้าจะไม่ทวงหนี้แค้นนี้หรือ ?”

 

เฟิงหยูเฮงพยักหน้า “ข้าเหนื่อย”

 

“เยี่ยมมาก !” เฟิงจินหยวนกระฉับกระเฉงขึ้นมาทันที “เจ้าจะไม่ทําเช่นนั้น หมายความว่าเจ้าตกลงที่จะรับข้าเข้ามา ? เจ้าเห็นด้วยที่จะให้ข้าย้ายเข้ามาอยู่ที่นี้หรือ ?”

 

เฟิงหยูเฮงเกือบพ่นชาออกมาจากปาก สมองของคนผู้นี้มีความผิดปกติหรือไม่? “ข้าเพิ่งพูดว่าข้าจะไม่ทวงหนี้แค้น แต่สิ่งนั้นเกี่ยวข้องกับเจ้าที่ย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร อย่าลืมว่าเรายังมีหนี้ใหม่กันอยู่”

 

“หนี้ใหม่ ?” เฟิงจินหยวนตัวแข็งที่อ “หนี้ใหม่มาจากไหน ? เมื่อใดที่ข้าจะเป็นหนี้ใหม่กับเจ้า อาเฮง ข้าไม่กล้าทําให้เจ้าขุ่นเคืองในวันนี้เลย ! เจ้าไม่สามารถวางหนี้ทั้งหมดไว้บนหัวข้าได้”

 

“เจ้าไม่ได้ทําให้ขาขุ่นเคืองในวันนี้ แต่จากความเข้าใจของข้าที่มีต่อเจ้า เจ้าสามารถทําให้ข้าขุ่นเคืองได้ทุกที่ทุกเวลา !” ในขณะที่นางพูด นางก็ส่ายหัวของนาง “ถูกไล่ออกจากบ้านโดยบุตรสาวของอนุ ข้าไม่เข้าใจจริง ๆ ท่านกําลังทําอะไรอยู่ในฐานะบิดา ?”

 

เฟิงจินหยวนยังไม่รู้ว่าเขาต้องทําหน้าที่อะไรในฐานะบิดา เห็นได้ชัดว่าเขาใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ดังนั้นเขาตกต่ําถึงสถานะปัจจุบันของเขาอย่างไร

 

เขานั่งลงบนเก้าอี้อย่างสลดใจเมื่อความรู้สึกของเขาว่างเปล่า รัศมีแห่งความตายเริ่มห่อหุ้มเขา เฟิงจินหยวน คิดว่าจะใช้เวลาไม่นานก่อนที่เขาจะเสียชีวิตใช่หรือไม่ ผ่านการกระทําของบุตรสาวของเขา เขาถูกบุตรสาวดูหมิ่นทีละคน จากนั้นก็ถูกไล่ออกจากบ้านของเขา เขามีชีวิตแบบไหน เขาทําอะไรลงไป เขาเพียงแค่ไปช่วยจาวเหลี่ยนเป็นเวลาหนึ่งวัน ? ความโกรธนี้ทําให้เฟิงเฟินไดถึงจุดที่ไม่อนุญาตให้เขาเข้าไปในบ้านได้อย่างไร การที่เขาจะไปที่บ้านของจาวเหลียนนั้นเกี่ยวข้องกับเฟิงเฟินได้อย่างไร?

 

ยิ่งเฟิงจินหยวนคิดเกี่ยวกับมันมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งโกรธมากขึ้นเท่านั้น แต่เขาก็ไม่มีพลังที่จะต่อสู้เพื่ออะไรอีกต่อไป เขาหวังว่าเขาจะสามารถปักหลักอย่างสงบ ไม่ว่าจะอยู่ในบ้านของตระกูลเฟิงหรือคฤหาสน์ขององค์หญิง ตราบใดที่มีคนเต็มใจที่จะให้เขาอยู่ด้วย เขาไม่ต้องการต่อสู้เพื่อสิ่งอื่นใด

 

เขามองไปที่เฟิงหยูเฮงพร้อมกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยความคาดหวังเพราะบุตรสาวคนนี้พูดอย่างเงียบ ๆ กับบ่าวรับใช้ของนาง หลังจากพูดซักพักหนึ่งบ่าวรับใช้พยักหน้าแล้วจากไป ทิ้งให้เขาอยู่ในห้องกับเฟิงหยูเฮง ชั่วครู่หนึ่งมันเงียบอย่างน่ากลัว

 

“อาเฮง” เขาพยายามเรียกนาง เห็นได้ชัดว่าเขาอายุ 40 ปี แต่เขาดูเหมือนจะอายุ 50 แล้ว แต่ใครจะถูกตําหนิ ? หลังจากทั้งหมดถูกพูด และทํามันเป็นผลมาจากการกระทําผิดของเขาเอง “อาเฮง” เขาถอนหายใจ “ช่วยข้าด้วย ถ้าใช้เวลาทั้งวันนอนบนถนน มันจะไม่ดีสําหรับชื่อเสียงของเจ้าใช่หรือไม่ ? ข้าจะไม่ขออะไรอีกแล้ว ถ้าเจ้ารับข้าเข้าไป จัดห้องเล็ก ๆ ให้ข้า ข้าจะไม่ขอเรือนที่เหมาะสม แค่เรือนด้านข้างก็ใช้ได้แล้วค หากเรือนด้านข้างไม่สะดวก เป็น…ห้องเก็บฟืนก็ได้”

 

เสียงของเขาเต็มไปด้วยน้ําเสียงอ้อนวอน เป็นครั้งแรกที่ไม่มีการร้องขอเพิ่มเติม สําหรับเฟิงหยูเฮง นี่เป็ นการยากที่จะได้มา นางหัวเราะชื่นชมอยู่พักหนึ่งทําให้เฟิงจินหยวนรู้สึกอับอายมาก”ข้าบอกว่า.. “เฟิงหยูเฮง เอนไปข้างหน้า”เจ้าทําหน้าที่เป็นเสนาบดีฝ่ายซ้ายในช่วงหลายปีที่ผ่านมาได้อย่างไร ? ตอนนี้เจ้าถูกไล่ออกจากตําแหน่ง ในฐานะขุนนาง เจ้าไม่มีความสามารถในการวิเคราะห์เหลืออยู่เลยหรือ ? “หืม ? “เฟิงจินหยวนไม่เข้าใจความหมายของนาง”ความสามารถในการวิเคราะห์อะไร ใช่แล้ว อาเฮง ข้ากําลังขอเจ้าให้ข้าอยู่ในคฤหาส น์ขององค์หญิง เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับข้าตอนเป็นเสนาบดีฝ่ายซ้ายอย่างไร ? “แน่นอน มันเกี่ยวข้องกัน“เฟิงหยูเฮงนั่งลงบนเก้าอี้ของนางอย่างสบายๆ ถือชาหนึ่งถ้วยในมือข้างหนึ่งและมืออีกข้างหนึ่งถือขนม นางถามเฟิงจินหยวน” ในการเป็นขุนนาง ต้องมีอะไรนอกจากความรู้และภูมิหลังของครอบครัวที่ดี ? “เฟิงจินหยวนแข็งตัว” ต้องการอะไรอีก? ข้าไม่รู้”เฟิงหยูเฮงถอนหายใจ”นั่นเป็นเหตุผลที่ข้าบอกว่าข้าไม่เข้าใจว่าท่านเป็นเสนาบดีฝ่ายซ้ายมาหลายปีได้อย่างไร ? ท่านไม่รู้ด้วยซ้ําว่าเจ้าหน้าที่ต้องมีจิตใจที่หนักแน่น ดูเหมือนว่าตําแหน่งในอดีตของเจ้า ในฐานะขุนนางดํารงอยู่ได้ด้วยการสนับสนุนของตระกูลเหยาจริง ๆ “นางมองที่เฟิงจินหยวนและรูปลักษณ์ที่ดุร้ายก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง เฟิงจินหยวนกลัวจนไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมอง เฟิงหยูเฮงไม่กลัวเขา นางกล่าวกับเขาว่าความคิดที่ชัดเจนและสมเหตุสมผลที่ข้าพูดคือเพื่อเตือนให้เจ้าวิเคราะห์สิ่งต่าง ๆ อย่างรอบคอบมากขึ้น บางทีด้วยการวิเคราะห์บางอย่าง เจ้าจะไม่ตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าเกลียดเช่นนี้เฟิงจินหยวนสับสน เขาไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่เฟิงหยูเฮงพูด การวิเคราะห์อะไร เป็นไปได้ไหมที่การใช้ความคิดอีกเล็กน้อยจะทําให้เฟินไดเปลี่ยนความคิดของนางและอนุญาตให้เขาเข้าบ้าน ? นั่นไม่ใช่สองสิ่งที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงหรือ!

 

แต่เฟิงหยูเฮงไม่เชื่อว่าพวกมันไม่เกี่ยวข้อง นางบอกกับเฟิงจินหยวน”บ้านของตระกูลเฟิงในปัจจุบันเป็นเงื่อนไขขององค์ชายห้าที่ต้องการแต่งงานกับเฟิงเฟนได โอ้ มันจะแม่นยํามากกว่าถ้าจะบอกว่ามันเป็นเงื่อนไขของการแลกเปลี่ยน บ้านหลังนั้นแลกกับข้อตกลงของเจ้ากับพระองค์ที่จะแต่งงานกับเฟิงเฟินได อาจถือได้ว่าเป็นการซื้อ นั่นเป็นเหตุผลที่อาจกล่าวได้ว่าบ้านไม่สามารถถือว่าเป็นสินสอดได้ นั่นคือทรัพย์สินที่เขาให้เจ้าเป็นการส่วนตัว… ซื้อบุตรสาวคนที่สี่ของเจ้า“แม้ว่ามันจะฟังดูน่าเกลียด แต่เหตุผลก็ให้ความกระจ่างแก่เฟิงจินหยวน หลังจากคิดไปเล็กน้อย ดูเหมือนว่าเขาเคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน อย่างไรก็ตามเขาลืมเรื่องนี้ได้อย่างไรเมื่อถูกกดขี่โดยเฟิงเฟินได ? เฟิงจินหยวนรู้สึกราวกับว่าเขาได้รับการฟื้นฟูจากความตาย ก่อนหน้านี้เขารู้สึกว่าไม่มีอะไรเหลืออยู่ แต่เมื่อเขาคิดแบบนี้ เขาก็ยังร่ารวยมาก ! เขายังคงมีทรัพย์สินที่ครอบครอง เขายังคงมีบ้านขนาดใหญ่ !

 

เฟิงจินหยวนกระโดดขึ้นอย่างมีความสุข และไม่ได้ให้ความสนใจกับเฟิงหยูเฮง เมื่อหันไป เขาก็เริ่มเดินออกไป เฟิงหยูเฮงมองบิดาคนนี้ที่ไม่มีมโนธรรมและไม่สามารถโกรธได้อีกต่อไป แต่นางก็ยังมีความสุขที่ได้เทน้ําเย็นลงบนความสุขของเขา

 

ดังนั้นในขณะที่รอยยิ้มอยู่บนใบหน้าของเฟิงจินหยวน ในขณะที่ความสุขยังคงเดิมหัวใจของเฟิงจินหยวน ถังน้ําเย็นก็ไหลรินเขาทันทีทันใด”เจ้าวางแผนจะไปที่ทางการเพื่อรับโฉนดและแก้แค้นเฟิงเฟินไดงั้นหรือ ? เจ้าต้องคิดให้รอบคอบ บ้านเป็นของเจ้า แต่องค์ชายห้ามอบค่าใช้จ่ายรายเดือน หากเจ้าท่าผิดกับเฟิงเฟินไดก็จะไม่เกิดผลดีมากนัก”เฟิงจินหยวนตัวแข็งทันทีและหันกลับมาเหมือนหุ่นยนต์ เมื่อมองไปที่เฟิงหยูเฮงเขาอ้าปากถาม” ถ้าอย่างนั้น…ข้าควรทําอย่างไรดี ? “เฟิงหยูเฮงแบมือของนาง”ข้าจะรู้ได้อย่างไร ในขณะที่นางกล่าว หวง ซวนก็กลับมาอีกครั้งนางกระซิบบางสิ่งใส่หูนาง หลังจากนั้นเฟิงหยูเฮงยกคิ้วแล้วมองกลับไปที่เฟิงจินหยวนแล้วกล่าวอย่างเย็นชา”บ่าวรับใช้พานายท่านเฟิงออกไปจากคฤหาสน์ หากเขาอยู่ยังหน้าทางเข้าและปฏิเสธที่จะออกไปที่เขาได้เลย”

 

ตอนที่ 721 ความรักอยู่ในอากาศ

 

ในอดีตชวนเทียนหมิงไม่เคยคิดว่าความรักมีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับตัวเอง ก่อนที่เขาจะพบเฟิงหยูเฮง เขาไม่เคยชอบผู้หญิง ไม่ว่าพวกนางจะเป็นหญิงวัยกลางคนหรือหญิงสาวที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ เขาไม่เคยชายตามองพวกนาง นอกจากพระชายาหยุนหรือองครักษ์หญิงเช่นหวงซวนและวังซวน เขาเกลียดที่ไม่สามารถทําร้ายคนเหล่านั้นและเตะพวกเขาไปไกลๆ

 

แต่ตั้งแต่เขาพบเฟิงหยูเฮง มันก็เหมือนกับว่าเขาเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง แม้ว่าเขาจะยังคงรังเกียจผู้หญิง แต่มันก็แตกต่างกับผู้หญิงคนนี้ เขาชอบเฟิงหยูเฮง ความรู้สึกนี้เติมเต็มจิตใจเขา เขาชอบนางมากจนเขาเกลียดที่เขาไม่สามารถเก็บนางคนนี้ไว้ข้าง ๆ ตลอดเวลา ในขณะที่เขาไม่ต้องการแยกจากกันแม้แต่น้อย

 

ฉากที่สวยงามนี้ทําให้โลกสูญเสีย แม้แต่เสือขาวตัวน้อยบนพื้นก็หันกลับมามอง สัตว์ในป่าก็หยุดร้อง ลมก็หยุดพัด ราวกับว่าทุกอย่างกําลังเปิดทางแก่พวกเขา

ในท้ายที่สุดมันคือเฟิงหยูเฮงที่มีเหตุผลมากกว่า หลังจากช่วงเวลานี้นางจ้องที่ชวนเทียนหมิง และกล่าวว่า “เจ้าโชคดีมาก”

 

ซวนเทียนหมิงพยักหน้า “แน่นอน เจ้าคือชายาของข้า ไม่ช้าก็เร็วเจ้าจะเป็นของข้า” เขาหันหลังให้และกอดนางจากด้านหลัง พวกเขายืนอยู่บนยอดเขา ตรงหน้าของพวกเขาเป็นหน้าผาที่สูงชันมาก “เจ้ากลัวหรือไม่ ? ”

 

เฟิงหยูเฮงส่ายหน้า “ข้าไม่กลัวเพราะข้ารู้ว่าแม้ว่าข้าจะตกลงไป เจ้าก็จะช่วยข้าได้อย่างแน่นอน นั้นเป็นสาเหตุที่ข้าไม่กลัว”

 

เสือขาวตัวน้อยที่เท้าของพวกเขาขยับออกไปเล็กน้อย และใช้การกระทําเพื่อบอกทั้งสอง เจ้าสองคนอาจไม่กลัว แต่ข้ากลัว !

 

ชวนเทียนหมิงกอดนางแน่น แล้ววางคางบนหัวของนาง กลิ่นของเส้นผมของนางทําให้เขารู้สึกว่าทุกสิ่งในโลกได้รับการเติมเต็ม

 

“ไม่ว่าเราจะมาจากที่ไหน อายุ 14 ปียังไม่ถือว่าเป็นผู้ใหญ่” เฟิงหยูเฮงไม่รู้ว่าสิ่งนี้มาจากไหน ในขณะที่นางเริ่มพูดคุยกับชวนเทียนหมิงเกี่ยวกับกฎของชีวิตในอดีตของนาง “เจ้ารู้หรือไม่ ? การอายุแต่งงานเมื่ออายุ 15 เป็นบางสิ่งบางอย่างจากสมัยโบราณ ในโลกสมัยใหม่ บางคนอาจจะแต่งงานหลังจากอายุ 18 ปี และผู้หญิงเต็มใจที่จะแต่งงานในช่วงอายุ 20 ต้น ๆ เท่านั้น หากผู้ชายแต่งงานกับเด็กผู้หญิงที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะหรือฝ่าฝืนจะถูกจัดการโดยกฎหมาย”

 

ชวนเทียนหมิงพบว่าสิ่งนี้น่าสนใจที่จะฟัง เขาไม่ได้สนใจกฎหมายที่นางพูดถึง เขาอยากรู้มากขึ้นเกี่ยวกับการพูดของสมัยโบราณและยุคปัจจุบัน และเขาอดไม่ได้ที่จะถามออกมาว่า “สําหรับเจ้าแล้ว สิ่งที่ทันสมัยและโบราณคืออะไร ? ปัจจุบัน ? แล้วเมื่อไหร่หรือยุคสมัยใหม่ ในอนาคตหรือ ? เจ้าจะรู้เกี่ยวกับอนาคตได้อย่างไร ?”

 

ลมพัดมาปะทะกับใบหน้าของเฟิงหยูเฮง นางยิ้มและกว่าวว่า “ถ้าข้าบอกว่าข้าเดา เจ้าจะไม่เชื่ออย่างแน่นอน”

 

ชวนเทียนหมิงพยักหน้า “ใช่”

 

“แต่ถ้าข้าพูดบางอย่างผิดปกติมากขึ้น เจ้าก็จะเชื่อมันจะน้อยลง ซวนเทียนหมิงไม่ต้องรีบ ไม่ช้าก็เร็วข้าจะบอกทุกอย่างกับเจ้า ข้าแค่หวังว่าเจ้าจะไม่กลัวในเวลานั้น และไม่คิดว่าข้าเป็นสัตว์ประหลาด”

 

คนที่อยู่ข้างหลังนางหัวเราะ “มิติของเจ้านั่นข้าเห็นแล้ว มีอะไรที่น่ากลัวไปกว่านี้อีกหรือ ?” หลังจากคิดไปเล็กน้อย “ดูเหมือนว่าท่านปู่ของเจ้าก็คุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้ ใช่หรือไม่ ?”

 

“ใช่ ท่านปูคุ้นเคยกับมัน” เฟิงหยูเฮงบอกเขาว่า “มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ข้ายังคิดไม่ออกว่า ข้าควรจะบอกเจ้ายังไง รวมถึงมิตินั้นด้วย นอกจากนี้ยังมีสิ่งผิดปกติบางอย่างที่ข้าไม่ได้คิด แต่มัน เป็นแค่เรื่องของเวลา ไม่ต้องกังวล” ตั้งแต่กระสุนปืนปรากฏขึ้นในมิติของนาง เมื่อนางพบพื้นที่เพิ่มใต้พื้นกระดาน นางได้ไตร่ตรองเกี่ยวกับเรื่องนี้ตลอดเวลา นางได้ตรวจสอบมิติทั้งหมดแล้ว และมีอาวุธที่นางไม่ได้วางไว้ในนั้น แต่ถูกนํามาด้วย นางไม่รู้ว่าทําไมหรือเมื่อมันเริ่มที่พื้นที่พิเศษปรากฏ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับมิติเป็นเรื่องใหญ่ นางจะต้องทําการตรวจสอบอีกครั้ง

 

แน่นอนชวนเทียนหมิงไม่รีบร้อน เขาเพียงแน่วแน่ที่จะสํารวจเพิ่มเติมเกี่ยวกับชายาคนนี้ “เจ้าพูดถูก มันเป็นเพียงเรื่องของเวลา ไม่ช้าก็เร็วข้าจะสามารถเข้าสู่โลกของเจ้าและไปดูได้”

 

นางยิ้ม “ข้าอยากกลับไปดูอีกครั้ง” หันกลับมามองนางจากชีวิตที่ผ่านมาของนาง ทําไมนางถึงเสียชีวิต ? ใครเป็นคนวางระเบิดครั้งนั้นบนเฮลิคอปเตอร์ ?

 

เมื่อซวนเทียนหมิงจากไป เขาได้เตรียมการเล็กน้อย เขามีขวดสุราที่เขาเอามาด้วย ทั้งสองบนพื้นดินและเฟิงหยูเฮงดึงเสือขาวตัวน้อยมากอด รับขวดสุราจากชวนเทียนหมิง ทั้งสองเริ่มดื่ม เมื่อพวกเขาดื่มมากขึ้นคําพูดก็เริ่มมากขึ้น ชวนเทียนหมิงพูดบางสิ่งที่เขาอยากจะพูดเสมอ “ ข้ารู้สึกว่าเจ้าไม่ค่อยความสุขมาก”

 

เฟิงหยูเฮงถือขวดสุราไว้สักพักแล้วก็หยุด นางยังคงดื่มแล้วส่งมันกลับไปที่ชวนเทียนหมิง โดยกล่าวพร้อมกับยิ้มขมขืน “สิ่งใดที่จําเป็นที่จะต้องมีความสุข ? เจ้ารู้หรือไม่ มีหลายครั้งที่ข้าไม่ต้องการดูแลญาติ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด พวกเขาไม่ได้อยู่ใกล้ข้า และพวกเขายืนยันที่จะทําให้ข้าโกรธ มีกี่ครั้งที่ข้าต้องการยกมือของข้าขึ้นมาและตบพวกเขาสองสามครั้ง แต่ข้ายังคงใจอ่อนใน นาทีสุดท้าย ข้าจัดการเชิงเฉินหยูและเฟิงจินหยวนได้เพราะสมัยก่อนเฟิงจินหยวนเพราะความเกลียดชังเช่นกัน แต่เหยาชื่อ นางคือแม่ของข้า ถ้าข้า… ข้ากลัวว่าข้าจะกระตุ้นความโกรธของสวรรค์ใช่หรือไม่ ? ”

 

“เหยาซื้อบอกว่าเจ้าไม่ใช่บุตรสาวของนาง แต่อาเฮง นอกจากเหยาชื่อไม่มีใครในโลกนี้ที่จะบอกว่าเจ้าไม่ใช่ ในท้ายที่สุด… เจ้าก็ยังเป็นเจ้า”

 

นางเงยหน้าขึ้นมองเขา และพวกเขาสบตา หลังจากนั้นไม่นานนางก็ถามว่า “ถ้าข้าบอกว่าข้าไม่ใช่ เจ้าจะทําอะไร ?”

 

ชวนเทียนหมิงหัวเราะ “ไม่ว่าเจ้าจะเป็นหรือไม่ มันไม่เกี่ยวข้องกับข้า คนที่ข้าต้องการไม่ใช่บุตรสาวคนที่สองของตระกูลเฟิง ข้าไม่ต้องการบุตรสาวของเหยาชื่อ คนที่ข้าต้องการคือเจ้า นั่นคือทั้งหมด”

 

รอยยิ้มของนางเพิ่มขึ้นเล็กน้อย และดวงตาของนางก็เปล่งประกาย มันถูกผลักลงอย่างรวดเร็วมาก “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ทําเหมือนว่าข้าไม่ใช่ ! ท่านแม่ของข้าไม่ยอมรับข้า ดังนั้นข้าจะให้คําอธิบายอะไรอีก แต่… ซวนเทียนหมิง แม้ว่าข้าจะบอกว่าเจ้าจะไม่เข้าใจ ข้าไม่ใช่เฟิงหยูเฮง แต่ข้าเป็นบุตรสาวของนาง นางไม่เข้าใจ เจ้าไม่เข้าใจ ในโลกนี้มีเพียงข้าเท่านั้นที่เข้าใจ แต่ถ้าข้าเข้าใจ ใครจะเชื่อล่ะ ?”

 

นางดื่มมากเกินไปและพูดสิ่งต่าง ๆ เป็นจํานวนมากอย่างงุนงง ทั้งหมดเกี่ยวข้องกับความเศร้าโศกที่เหยาชื่อได้สร้าง ในตอนท้ายนางก็หลับไป ซวนเทียนหมิงดึงนางกลับมาสู่อ้อมกอดของเขา แต่ไม่รีบพานางกลับมา เขาอุ้มนางแบบนี้ขณะที่มองไปที่หน้าผา มองออกไปไกลพวกเขาดูเหมือนคู่รักที่ฉลาด และจะได้รับความชื่นชมมาก

 

เมื่อเฟิงหยูเฮงตื่นขึ้นมาก็ถึงรุ่งเช้าอีกวันแล้ว นางเพิ่งรู้สึกว่านางถูกกอดแน่น ๆ และผ้าห่มหนา ๆ ก็คลุมไว้ นางถูกกอดแน่นมาก นางปวดหัวเล็กน้อย แม้กระนั้นนางก็ยังไม่พอที่จะลืมสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนก่อน ดังนั้นนางจึงเงยหน้าขึ้นและเห็นชายที่กอดนางไว้ตลอดเวลา

 

เขาไม่ได้นอนทั้งคืน แต่เขาดูเหมือนจะไม่เหนื่อย มีน้ําค้างเล็กน้อยที่ปรากฏบนขนตาของเขา และมันก็เป็นภาพที่น่าพอใจมาก

 

เฟิงหยูเฮงหัวเราะ “ดูงดงาม”

 

อย่างไรก็ตามซวนเทียนหมิงกล่าวว่า “ในที่สุดเจ้าก็ตื่นแล้ว ถ้าเจ้าไม่ตื่น ข้าเป็นห่วงว่าเจ้าจะแข็งตายแล้ว” ในขณะที่เขาพูดเขาดึงนางขึ้นมาจากพื้น ในขณะที่ช่วยนางจัดเสื้อผ้าให้เป็นระเบียบ เขาถามว่า “เจ้ารู้สึกไม่สบายหรือไม่ ? เจ้าหนาวไหม ?”

 

เฟิงหยูเฮงส่ายหัว “ข้าไม่หนาว เจ้ากอดข้าฉันแน่น ข้าจะหนาวได้อย่างไร”

 

แต่เขาก็ไม่ได้มองโลกในแง่ดี “ไม่ว่าอากาศจะดีแค่ไหนอากาศก็ยังเย็น กลางฤดูใบไม้ร่วงไม่เหมือนฤดูร้อน จุดสูงสุดนี้ก็สูงมาก ขณะที่เจ้านอนหลับ ข้าไม่กล้าแม้แต่จะพาเจ้าลงจากภูเขา” ขณะ ที่เขาพูดเขาชี้ไปที่เสือขาวตัวน้อยที่กําลังหลับอยู่ “ดูเจ้านั่นสิ ข้าไม่สามารถจัดการได้ทั้งหมด”

 

เฟิงหยูเฮงยิ้มและอุ้มเสือขาวตัวน้อยขึ้นมา เมื่อเสือขาวตื่นขึ้นมันก็หาวแล้วมองไปที่ชวนเทียนหมิง มันไม่มีความสุขเลย มันขยับเข้าไปใกล้เฟิงหยูเฮงมากขึ้น

 

“มันคงจะหนาว” เฟิงหยูเฮงกล่าวขณะที่ลูบหลังเสือขาวตัวน้อย “แต่ด้วยขนเสื้อหนา เช่นนี้มันจะรู้สึกหนาวจริงหรือ ? มันเป็นเด็กที่นิสัยเสียจริง ๆ”

 

เมื่อเห็นว่านางสบายดี ชวนเทียนหมิงไม่ได้อยู่ที่นี่ต่อไป นําม้ามา เขาพาชายาของเขาลงมาจากภูเขา อย่างไรก็ตามเฟิงหยูเฮงเอื้อมมือไปที่แขนของนางแล้วรู้สึกว่าเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ จากนั้นนําถุงขนาดใหญ่ออกมา “เมื่อเจ้ากลับไป ให้ของในถุงนี้ต้มกับน้ําอุ่นครึ่งถ้วย มันจะป้องกันการเป็นไข้”

 

ซวนเทียนหมิงไม่เข้าใจ “มีไข้หรือ ?”

 

“เป็นสิ่งที่เจ้าจะเรียกว่าหนาว” นางอธิบาย “ยานี้มีการใช้ป้องกัน เจ้าได้สัมผัสกับความหนาวเป็นเวลาหนึ่งคืน มันจะดีที่สุดถ้าเจ้าไม่เป็นหวัด”

 

ซวนเทียนหมิงพยักหน้า และไม่ได้ถามอะไรอีก เขาแค่เตือนนางว่า “อย่าลืมว่าเจ้าสัญญากับเสด็จแม่ว่าเจ้าจะให้พบท่านปู่ของเจ้า ข้ากลัวว่านางจะจํามันและหมดความอดทนก่อนที่จะสร้างปัญหาอีกครั้ง”

 

การพูดถึงพระชายาหยุนที่จะสร้างปัญหา เฟิงหยูเฮงได้ประสบกับมันเป็นการส่วนตัว ดังนั้น นางจึงรีบกล่าวว่า “ข้าไม่ลืม ข้าจะไม่ลืม ข้าจะให้พวกเขาพบกันในช่วงงานเลี้ยงของเทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วง แต่เจ้าก็รู้ว่าเกิดเรื่องของหลู่เหยา ในท้ายที่สุดนั่นคือลูกสะใภ้ของตระกูลเหยา การพูดของตระกูลเหยานั้นอยู่ท่ามกลางงานศพ มันไม่เหมาะสมที่จะไปเยี่ยมฮองเฮาหรือพระชายาหยุน”

 

ชวนเทียนหมิงรู้สึกว่าสิ่งนี้สมเหตุสมผล และกล่าวว่า “รออีกหน่อย ในไม่ช้าข้าจะต้องเข้าไปในพระราชวัง และจะนําเรื่องนี้ไปบอกเสด็จแม่ นั่นจะป้องกันไม่ให้นางคิดว่าเราลืม”

 

หลังจากทั้งสองกลับเมืองหลวง ชวนเทียนหมิงส่งเฟิงหยูเฮงที่หน้าคฤหาสน์ขององค์หญิงแล้ว เข้าไปในพระราชวัง

 

เฟิงหยูเฮงยืนอยู่หน้าคฤหาสน์ และดูเขาจากไป จากนั้นนางหันหลังกลับ และเตรียมพร้อมที่จะเข้าสู่คฤหาสน์ แต่เมื่อนางหันหลังกลับมีทหารยามคนหนึ่งเดินมา และบอกกับนางอย่างเงียบ ๆ ว่า “องค์หญิง ดูนั่นขอรับ !”

 

“หืม ? ” เฟิงหยูเฮงรู้สึกนงงเล็กน้อยแล้วหันหน้าไปตามนิ้ว จากนั้นนางก็พบว่ามีก้อนอะไรแปลก ๆ ขดตัวอยู่ใกล้กับทางเข้า “นั่นคืออะไร ? ” นางไม่ได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ และยังมีแอลกอฮอล์อยู่ในเลือดของนาง ชั่วครู่หนึ่งนางไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนเกินไป

 

ทหารยามบอกนางว่า “คนขอรับ”

 

“คนหรือ ? เป็นขอทานหรือไม่ ? ” นางก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วและกําลังจะถามบุคคลนั้นว่าพวกเขามีปัญหาหรือไม่ หรือเขาไร้ที่อยู่อาศัย ทําไมเขาต้องขดตัวต่ออยู่หน้าคฤหาสน์ขององค์หญิงจีอัน

 

แต่ทหารรักษาการณ์บอกกับนางว่า “ไม่ใช่ขอทาน แต่เป็นนายท่านเฟิงขอรับ”

 

เฟิงหยูเฮงพูดไม่ออก เฟิงจินหยวน ? เกิดอะไรขึ้นถึงทําให้เขาวิ่งมาที่นี่และแสร้งทําเป็นคนน่า สงสาร “ถ้าไม่ใช่ขอทาน ให้เขาอยู่ที่นั่น ! ” หลังจากพูดจบนางจึงเดินเข้ามาในคฤหาสน์

 

อย่างไรก็ตามเฟิงจินหยวนตื่นขึ้นในเวลานี้ มองขึ้นไป เขาเห็นเฟิงหยูเฮงและตะโกนเรียกทันที “อาเฮง! เจ้าต้องช่วยข้า! อาเฮง เจ้าต้องช่วยสนับสนุนข้า!” เฟิงจินหยวนร้องไห้ขณะคลานไปที่เท้าของเฟิงหยูเฮงอย่างรวดเร็ว การกระทําของเขายิ่งแย่ไปกว่าคนขอทาน มันทําให้ผู้คนที่เดินบนถนนมองไปในทิศทางของพวกเขา

 

เฟิงหยูเฮงโกรธมาก “เฟิงจินหยวน เจ้ากําลังทําอะไร ? ลุกขึ้น !”

 

“ข้าจะไม่ทํา !” เชิงจินหยวนมีความแน่วแน่อย่างมากในการปฏิเสธ “ถ้าเจ้าปฏิเสธที่จะช่วยข้า ข้าจะไม่ลุก !”

 

นางทําอะไรไม่ถูก “ข้าไม่สามารถรักษาอาการปวยนั้นได้ อย่าหวังเลย”

 

ไม่ใช่ ! มันไม่เกี่ยวกับเรื่องนั้น !” เฟิงจินหยวนเอื้อมมือไปกอดขา “ข้าไม่ได้ขอให้เจ้ารักษาอาการป่วยของข้า ข้าแค่ ข้าแค่ไม่มีที่ไป หากเจ้าทิ้งข้าไป ข้าจะถูกทิ้งไว้บนถนน”

ตอนที่ 720 เตะออกจากบ้าน

 

คนที่เฟิงเฟินไดเห็นนั้นไม่ใช่คนอื่นนอกจากเฟิงจินหยวน บิดาของนาง

 

ในเวลานี้เฟิงจินหยวนสวมชุดที่เป็นของบ้านเหลียน เขายังถือจานเปลอยู่ในมือ มีผ้าปานบนจานเปลนี้โค้งเล็กน้อย เขาพยักหน้าและคํานับทุกคนที่เขาเห็น ไม่ว่าจะมองอย่างไร นี่ดูเหมือนจะเป็นบ่าวรับใช้ อย่างไรก็ตามไม่มีใครที่รู้ว่านี่คือเจ้านายของตระกูลเฟิงและอดีตเสนาบดีฝ่ายซ้าย

 

เฟิงเฟินไดรู้สึกว่าวิสัยทัศน์ของนางมืดลงเพราะนางเกือบจะเสียชีวิตไปแล้ว ทําไมเฟิงจินหยวนถึงอยู่ที่นี่ เมื่อนางเห็นเขาในตอนแรกนางตกใจ แต่หลังจากคิดไปเล็กน้อยนางจะไม่เข้าใจสถานการณ์นั้นได้อย่างไร เพราะความรักของเขาคนนี้สําหรับจาวเหลียนได้มาถึงสภาวะที่ผิดเพี้ยนไปแล้ว บ้านเหลียนกําลังจัดเลี้ยงในวันนี้ และมีแขกจํานวนมากด้วย ความกลัวว่าพวกนางจะไม่สามารถให้บริการแขกทุกคนได้ พวกเขาจึงนําบ่าวรับใช้มาเพิ่ม เขาจะปล่อยให้โอกาสที่ยอดเยี่ยมนี้ในการมาบ้านของจาวเหลียนหลุดลอยได้อย่างไร แม้ว่าเขาจะเป็นคนเก็บตัว เขาก็จะใช้โอกาสนี้เพื่อดูจาวเหลียนอีกสองสามครั้ง

 

นางชี้ไปที่เฟิงจินหยวนและเปิดปากเพื่อเริ่มสาปแช่ง อย่างไรก็ตามนางเห็นว่าเฟิงจินหยวนเข้ามาใกล้ และทําให้นางดูหมดท่า จากนั้นเขาก็ลดเสียงของเขาและกล่าวว่า “ถ้าเจ้าไม่อยากเสียหน้า ก็อย่าพูดอะไรเลย รีบกลับบ้าน หากเจ้าสร้างความวุ่นวายที่นี้ ข้าจะไม่เหลือหน้าและเจ้าก็ไม่เหลือหน้าเช่นกัน !”

 

ดงหยิงได้ยินเช่นนี้ก็เริ่มให้คําแนะนํา “ใช่เจ้าค่ะ คุณหนู ถ้าเราอยากพูด เราค่อยกลับไปคุยกันที่บ้านดีกว่าเจ้าค่ะ ตอนนี้ไม่ใช่เวลากลับกันเถิดเจ้าค่ะ !”

 

เฟิงเฟินไดถูกดึงออกจากบ้านของจาวเหลียนโดยดงหยิง เมื่อพวกนางเข้าไปในทางเข้าของบ้านของตระกูลเฟิง นางจะไม่สามารถระงับได้ นางกรีดร้องเสียงดังออกมาซึ่งทําให้บ่าวรับใช้ในบ้านกลัวมาก ไม่มีใครกล้าก้าวไปข้างหน้า แม้แต่เฮ่อจงก็ตกตะลึงมาก แต่ก็ไม่รู้ว่าอะไรที่ทําให้คุณหนูสี่เป็นแบบนี้

 

เฟิงเฟินไดกรีดร้องระบายเป็นเวลานาน หลังจากนั้นนางก็บอกเฮ่อจง “บอกยามเฝ้าประตูว่า ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เฟิงจินหยวนไม่สามารถก้าวเข้ามาในบ้านหลังนี้ได้ !”

 

“ห้ะ ? ” เฮ่อจงตกตะลึง และถามว่า “คุณหนูจะทําเช่นนี้จริงหรือขอรับ ?”

 

“ใช่ ! ” เฟิงเฟินไดโกรธมาก “เจ้าไม่เข้าใจสิ่งที่ข้าพูดหรือ ? เจ้าหูหนวกหรือไม่ ? ไป ! ปิดประตูให้แน่น ใครก็ตามที่กล้าให้เฟิงจินหยวนเข้ามา ข้าก็จะถลกหนังพวกมันซะ !”

 

“แต่เขาคือเจ้านายนะขอรับ !” เฮ่อจงไม่เคยคิดเลยว่าคุณหนูสี่จะลงเอยด้วยการต่อรองกับเจ้านายอีกครั้ง คราวนี้นางสั่งอย่างเด็ดเดี่ยวไม่ยอมให้เขาเข้ามาในบ้าน อะไรคือเหตุผล

 

เฟิงเฟินไดโกรธมากจนวิญญาณของนางกําลังจะออกจากร่าง คําพูดของเฮ่อจงทําให้นางรู้สึกรังเกียจมากยิ่งขึ้น นางอดไม่ได้ที่จะพูด แต่ดังว่า “เจ้านาย ? เขายังรู้อยู่หรือไม่ว่าเขาคือเจ้านาย หากเขารู้ว่าเขาเป็นเจ้านายและยังรู้ว่าเขาเป็นบิดาของบุตรของตระกูลเฟิง เขาก็จะไม่ทําตัวไร้ยางอายไปที่บ้านของจาวเหลียน และทําหน้าที่เป็นบ่าวรับใช้ ! นั่นเพราะแม่นางเหลียนน่ารัก งั้นหรือ ? แต่มันก็สามารถทําให้เขางมงายมากจนไร้ยางอาย ? หากเจ้าไม่เชื่อข้า เจ้าไปดูได้ ลองดู และดูว่าคนที่เจ้ากําลังเรียกว่าเจ้านายกําลังถือจานเปลและเช็ดโต๊ะอยู่หรือไม่ ดูว่าเขากําลังรับใช้คนอื่นอยู่หรือไม่ ! ข้าบอกให้เขาออกไปหางานทํา เขากลายเป็นคนน่าอับอายและไม่สามารถหาเงิน ได้แม้แต่เหรียญเดียวให้กับครอบครัว คนที่ตะโกนและดูถูกข้า แต่ตอนนี้ล่ะ เพื่อประโยชน์ของผู้หญิง เขาไม่รู้สึกอับอายแม้แต่น้อย ! ทุกคนฟัง ตั้งแต่วันนี้ถ้าใครยังต้อนรับเขาอยู่ เจ้าก็ออกไปเลย ! โปรดจําไว้ว่านี่คือข้าจ่ายเงินให้พวกเจ้า ไม่ใช่เพิ่งจินหยวน ! เจ้ามองอะไร ! ไปปิดประตู !

 

หลังจากการตะโกนครั้งสุดท้ายของเฟิงเฟินได ประตูถูกปิดโดยบ่าวรับใช้สองคนซึ่งไม่ได้พูดอะไรอีก หลังจากปิดประตูพวกเขาถามนางว่า “คุณหนูสามออกไปยังไม่กลับมาเลยขอรับ นางจะได้รับอนุญาตให้เข้ามาหรือไม่ขอรับ ?”

 

หัวใจของเฟิงเฟินไดนั้นเต็มไปด้วยความโกรธ แต่นางรู้ว่าถ้านางไม่อนุญาตให้เฟิงเซียงหรูเข้ามา นั่นจะเป็นการกระทําที่ผิดของนาง ยิ่งไปกว่านั้นแม้ว่านางจะไม่ยอมให้เฟิงเซียงหรูเข้ามาในบ้าน นางก็จะต้องนอนที่ไหนสักแห่งคฤหาสน์ขององค์หญิงจีอัน ตําหนักปิง และแม้แต่ตําหนักจุน มีสถานที่ใดบ้างที่นางไม่สามารถไปได้ ดังนั้นนางจึงโบกมือแล้วกล่าวว่า “ข้าบอกไม่ให้เฟิงจิน หยวนเข้ามา หากเป็นคนอื่นมาเคาะให้ฟังและตั้งใจฟังให้ดี ถ้าเฟิงจินหยวนมาก็ไล่เขาออกไป”

 

“ขอรับ !” ยามเฝ้าประตูก็เชื่อฟังมากเพราะรักษางานของพวกเขาไว้ แม้แต่เย่อจงก็ไม่มีอะไรจะพูด หลังจากคิดเกี่ยวกับสิ่งที่เฟิงจินหยวนทํา เขาก็ไม่พอใจเช่นกัน

 

ดังนั้นเฮ่อจงพูดกับเฟิงเฟินไดว่า “ขอให้คุณหนูสี่วางใจได้ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปบ้านของตระกูลเฟิง ข้าจะเคารพในความปรารถนาของคุณหนู เฟิงจินหยวนนั้นไม่ใช่เจ้านายของเราอีกต่อไปขอรับ !”

 

ตระกูลเฟิงถูกเปลี่ยนมือด้วยความโกรธของเฟิงเฟินไดอย่างสมบูรณ์ ในคฤหาสน์ขององค์หญิงเฟิงหยูเฮงสนุกไปกับช่วงเวลาแห่งการพักผ่อน ตอนนี้นางกําลังอุ้มเสือขาวตัวน้อยขณะนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ในบ้านของนาง บานชูกลับมาเร็วทําให้นางมีความสุขมาก ตอนนี้นางรู้แล้วว่าเฟิงจื่อหรูปลอดภัยและอยู่ในสํานักศึกษา ได้ยินข่าวว่าวังซวนจะกลับมาเมืองหลวงอีกสองวัน นางรู้สึกสบายใจมากยิ่งขึ้น

 

แต่เย็นวันนั้นจนกระทั่งท้องฟ้ามืดมน นางไม่ได้นั่งเฉย จดหมายถูกส่งจากบ้านของจาวเหลียน ในนั้นเป็นรายชื่อและเด็กผู้หญิงทุกคนที่ไปที่บ้านของจาวเหลียนและครอบครัวของพวกนาง สิ่งนี้มาพร้อมกับการวิเคราะห์ของจาวเหลียนถึงตําแหน่งที่แท้จริงของพวกนาง จาวเหลียนเปิดเผยการเชื่อมต่อที่ทรงพลังทั้งหมดของพวกนาง ทําให้เฟิงหยูเฮงรู้สึกเหลือเชื่อ อย่างน้อยเขาก็เกิดมาในราชวงศ์ เขาก็เป็นคนที่โตมาในสภาพแวดล้อมแบบนั้น มุมมองและการวิเคราะห์คนของเขาจะละเอียดกว่าของนาง

 

นางกอดเสือขาวตัวน้อย เสือตัวนี้หนักกว่าเมื่อสองสามวันก่อน ในที่สุดมันก็เป็นสัตว์ใหญ่ อัตราการเติบโตนี้ไม่ธรรมดา หวงซวนแนะนํานางว่า “คุณหนูควรทํากรงเจ้าค่ะ หลังจากเลี้ยงเสือตัวนี้ไปเรื่อย ๆ ข้ากลัวว่ามันจะเริ่มกัดคนเจ้าค่ะ”

 

ใครจะรู้ว่าเสือขาวตัวน้อยเข้าใจ มันเงยหน้าขึ้นมองหวงชวนก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นและไม่สนใจนาง

 

เฟิงหยูเฮงหัวเราะแล้วกล่าวว่า “ดูรูปร่างหน้าตาที่ขี้เกียจของมัน มันจะกัดใครได้บ้าง ? ” ในขณะที่พูดนางลูบหัวเสือน้อย “เสี่ยวไป แม้ว่าเจ้าจะกัดใครซักคน เจ้าก็ต้องกัดคนเลวให้ข้า เจ้าเข้าใจหรือไม่ ? ในอนาคตเราจะเป็นครอบครัว เจ้าต้องโจมตีตามที่ข้าชี้เข้าใจหรือไม่ ?”

 

เสือขาวตัวน้อยเงยหน้าขึ้นมองนาง จากนั้นยกอุ้งมือขึ้นและตบหน้าท้องสองสามครั้ง ดูเหมือนว่าจะเข้าใจซึ่งทําให้เฟิงหยูเฮงกอดและจูบมัน แต่เมื่อนางจูบ นางรู้สึกว่าวันนั้นน่าเบื่อหน่าย นางถามหวงซวน “วันนี้ที่เท่าไหร่ ?”

 

หวงซวนกล่าวว่า “นี่เป็นวันที่ 16 เดือนแปด เราไม่ได้เข้าร่วมงานเลี้ยงหรอกหรือเจ้าคะ ?”

 

“โอ้” เฟิงหยูเฮงพยักหน้า “วันที่ 16 เดือนแปด ดวงจันทร์วันที่ 15 มาถึงวันที่ 16 ไปที่ตําหนักหยู และไปหาชวนเทียนหมิงพูดแบบนั้นเพื่อให้เขาได้ยิน”

 

“หืมม” หวงซวนตกใจ “อะไรเจ้าค่ะ? ดวงจันทร์วันที่ 15 มาถึงวันที่ 16? นั่นหมายความว่าอย่างไร ? จะเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่บอกองค์ชายเก้าเจ้าค่ะ”

 

เฟิงหยูเฮงกางมือของนาง “บอกอย่างนั้น สําหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นให้เขาคิดเอง”

 

ดีมาก หวงซวนหมดหนทาง เมื่อนางกลับมาแน่นอนนางพาชวนเทียนหมิงมาด้วย

 

เฟิงหยูเฮงเปลี่ยนชุดแล้ว และยืนที่ทางเข้าของคฤหาสน์ด้วยรอยยิ้มในขณะที่กอดอก ชวนเทียนหมิงเห็นรูปลักษณ์ภายนอกของนางและรู้สึกว่ามันตลก เขาสามารถระลึกถึงเวลาของพวกเขาในภูเขาทางตะวันตกเฉียงเหนือ รูปลักษณ์ของผู้หญิงคนนี้ที่ใช้ก้อนหินทุบคนนั้นเป็นเช่นนี้อย่างแม่นยํา

 

“มาเลย” เขายื่นมือไปที่เฟิงหยูเฮง “ไปต่อ องค์ชายผู้นี้จะพาเจ้าไปชมดวงจันทร์”

 

เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ถูกดึงไปที่หลังม้าแล้วนั่งตรงหน้าเขา เสือขาวตัวเล็กก็มาด้วย และเดินไปพร้อมกับม้าของซวนเทียนหมิง

 

หวงซวนเฝ้าดูและไม่สามารถช่วยได้ นางเริ่มรู้สึกอิจฉา นางหันกลับมาพบบานซูกําลังยืนอยู่ข้างหลังตัวเอง หน้านางเปลี่ยนเป็นสีแดง อย่างไรก็ตามนางยังถามด้วยความอยากรู้ “เจ้ามายืนที่นี่ทําไม ? เจ้านายออกไปแล้ว ทําไมเจ้าไม่ติดตามไปล่ะ ?”

 

บานชูมีสีหน้าเย็นชา และกล่าวอย่างไร้อารมณ์ “พวกเขาออกไปเป็นคู่ ข้าจะติดตามนางเพื่ออะไร เจ้าไม่ได้อยู่ที่นี่หรือ ? ดวงจันทร์กลมของวันที่ 15 มาถึงวันที่ 16 มา ข้าจะพาเจ้าขึ้นไปบนหลังคาเพื่อดูดวงจันทร์” หลังจากพูดแบบนี้เขาก็ขยับร่างแล้วนําหวงซวนขึ้นไปบนหลังคาในพริบตา ในช่วงเวลานั้นหวงซวนรู้สึกราวกับว่านางกําลังฝัน ถ้าความฝันนี้กินเวลานับพันปี มันคงจะดีที่สุดถ้านางไม่ตื่น

 

ในเวลานี้เฟิงหยูเฮงและชวนเทียนหมิงออกจากเมืองหลวงไปแล้ว และมุ่งตรงไปยังเทือกเขา ปิงเสี่ยว

 

เทือกเขาปิงเสี่ยวเป็นเส้นทางเดียวสู่ภูเขาปิงจาง สําหรับสองคนที่ย้ายระหว่างเมืองหลวงละ ค่ายทหารบ่อยครั้ง มันเป็นเส้นทางที่คุ้นเคยมาก โดยธรรมชาติแล้วพวกเขายังรู้ว่ายอดเขาที่สูงที่สุดในเทือกเขาแห่งนี้อยู่ที่ไหน ม้าของซวนเทียนหมิงมุ่งหน้าไปยังจุดสูงสุดนี้ จริง ๆ แล้วม้าที่มีบาดแผลในมุมที่ไม่น่าเชื่อ แม้ว่ามันจะเป็นเฟิงหยูเฮง นางก็สั่นเล็กน้อยและหลับตาลง นางกอดเสื้อขาวตัวน้อยไว้ในอ้อมแขนของนางแน่น โดยกลัวว่ามือเดียวจะทําให้มันหล่นลงมา พลังภายในของนางไม่ดีเท่ากับซวนเทียนหมิง ถ้านางหล่นลงไป นางจะต้องแหลกเป็นชิ้น ๆ แน่นอน

 

แต่คนที่จับนางไว้จากด้านหลังมีเจตนาที่จะเล่นกล บางครั้งเขาก็กระตุ้นนางเล็กน้อย บางครั้งเขาก็จะบีบเสือขาวตัวน้อยหรือให้ม้าโยก หรือแม้กระทั่งปล่อยมือของเขาอย่างจงใจ เฟิงหยูเฮงร้องไห้ด้วยความกลัวขณะที่กอดเสือขาวตัวน้อยส่งเสียงครวญคราง ซวนเทียนหมิงแกล้งคน และเสื้อไม่หยุดทั้งคู่ตึงเครียดและไม่กล้าเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย

 

ชวนเทียนหมิงรู้สึกว่านี่สนุกมาก ดังนั้นจึงเลือกเวลาที่ไร้สาระมากขึ้นเพื่อกระตุ้นม้าของเขา โดยจงใจหยอกล้อคนข้างหน้าเขา เมื่อพวกเขายืนอยู่บนยอดเขาในที่สุดใบหน้าของเฟิงหยูเฮงก็ซีด นางปืนลงจากหลังม้า เท้าของนางสั่น แม้แต่แขนที่อุ้มเสือขาวตัวน้อยก็สั่น เสือขาวตัวน้อยก็หวาดกลัวอย่างมากเช่นกัน มันเป็นเช่นนั้นเมื่อเฟิงหยูเฮงปล่อยมันลงไป เสือขาวตัวน้อยไม่สามารถยืนได้ มันล้มลงกับพื้นด้วย “ตุบ” มันเกิดขึ้นกับพื้นบนหินซึ่งทําให้ก้นกระแทก

 

ชวนเทียนหมิงหยิบมันขึ้นมาแล้วส่ายหน้าถอนหายใจ “ข้าพาเจ้าไปหานาง เพื่อให้ชายาของข้ามีเพื่อน ประการที่สองข้ารู้สึกว่าเจ้าเป็นสัตว์ร้ายและจะสามารถฉีกใครก็ตามที่รังแกชายาขององค์ชายผู้นี้ แต่ใครจะรู้ว่าเจ้าจะขี้ขลาดจริง ๆ แค่ขึ้นภูเขาเจ้าเป็นแบบนี้แล้วหรือ ? เจ้าเป็นแมวหรือเป็นเสือ ? ”

 

เสี่ยวไปก็รู้สึกเศร้าและก้มหน้า มันต้องการที่จะปล่อยเสียงคํารามเพื่อแสดงตัวตนของมัน แต่เมื่อมันเปิดปาก เสียงก็เงียบกว่าแมว ไม่สามารถทําสิ่งอื่นได้ ถ้ามันเป็นแมวใครทําให้จุดสูงสุดนี้ น่ากลัวมาก

 

หลังจากชวนเทียนหมิงล้อเลียนเสี่ยวไปเสร็จ เขาก็ไปหยอกล้อชายาของเขา ด้วยรอยยิ้มอันชั่วร้ายบนใบหน้าของเขา เขาพร้อมที่จะพูดคําพูดที่เยาะเย้ย แม้กระนั้นใครจะรู้ว่าเมื่อเขาก้าวไปข้างหน้าเท้าก็มาพบเขา ถูกเตะตรงไปที่หน้าอกของเขา !

 

เขาไม่สามารถหลบได้ทันเวลาและถูกเตะ แม้กระนั้นมือของเขาเคลื่อนไหวเร็วมาก เท้าที่ยังไม่ถูกดึงกลับถูกจับและเจ้าของก็ถูกดึงเข้าสู่อ้อมกอดของเขา ขณะที่พวกเขาล้มลง ริมฝีปากของพวกเขาสัมผัสกันและลิ้มรสชาติหวานล้ํา ทั้งสองคนต้องการที่จะมีส่วนร่วม

 

ตอนที่ 719 พลังแฟนในตํานาน

 

เฟิงเซียงหรูร้องไห้ออกมา ชานชูที่ไม่กล้าถาม นางไม่กล้าแม้แต่จะปลอบนาง นางทําได้เพียงรอให้เฟิงเซียงหรูเหนื่อยจากการร้องไห้ หลังจากเฟิงเซียงหรูหยุดร้องไห้ นางก็ส่งผ้าเช็ดหน้าให้

 

อย่างไรก็ตามเฟิงเซียงหรูผลักผ้าออกไปแล้วยืนขึ้นโกรธกล่าวว่า “เปลี่ยนชุดให้ข้า ข้าจะไปตำหนักปิง !”

 

นางมุ่งหน้าไปยังตําหนักปิงด้วยตาที่แดงก่ําและบวม และท้องเต็มไปด้วยความโกรธ เมื่อผ่านไปที่ลานด้านหน้า นางชนกับเฟิงเฟินไดที่เพิ่งกลับมา ทั้งสองชนกันเมื่อเดินสวนกัน เฟิงเซียงหรูก็เต็มไปด้วยความโกรธและชนเข้ากับนางด้วยแรงอีกเล็กน้อย ทําให้เฟิงเฟินไดเกือบจะล้มลง

 

“เจ้าบ้าไปแล้วหรือ ? ” เฟิงเฟินไดตะโกนด้วยความโกรธ และเอื้อมมือออกไปเพื่อดึงเฟิงเซียงหรูซึ่งกําลังเดินไปที่ประตูด้านหลัง แต่นางเอื้อมมือออกไปช้าไปหน่อยเพราะเฟิงเซียงหรูรีบออกจากบ้านไปอย่างรวดเร็วแล้วปีนขึ้นรถม้าที่รออยู่ข้างนอก “เจ้า

 

 เฟิงเฟินไดชี้ไปที่เฟิงเชียงหรู ด้วยความสับสน และถามบ่าวรับใช้ของนางว่า “นางบ้าไปแล้วหรือ?”

 

ดงหญิงก็สับสนเช่นกันบอกเฟิงเฟินไดว่า “คุณหนูอาจไม่ทันเห็น แต่ดูเหมือนว่าคุณหนูสามร้องไห้ ดวงตาของนางแดงและใบหน้าของนางน่าเกลียดเล็กน้อย”

 

ร้องไห้ ? หืมม !” เฟิงเฟินไดกล่าวอย่างเยือกเย็น “ตั้งแต่วัยเด็กจนถึงตอนนี้ มีวันที่นางไม่ร้องไห้ นางเป็นคนที่มีนิสัยอ่อนแอที่สุดในบ้าน นางจะทําอะไรได้นอกจากร้องไห้ ?”

 

“ความสามารถของนางนั้นยอดเยี่ยมมาก” ดงหยิงกล่าวอย่างไม่เต็มใจซึ่งทําให้เฟิงเฟินไดตั้งคําถามกับนางทันที นางจึงบอกเฟิงเฟินไดว่า “คุณหนูคงไม่รู้ เมื่อคืนคุณหนูสามเมามากเจ้าค่ะ องค์ชายเก้าและองค์ชายเจ็ดพานางกลับมาส่ง และพวกเขาก็อยู่ในรถม้าขององค์ชายเก้า เมื่อมาถึงด้านหน้าทางเข้า องค์ชายเก้าไม่ได้ลงมาเจ้าค่ะ แต่องค์ชายเจ็ดเข้ามาส่งจน กระทั่งถึงเรือนของคุณหนูสาม นั่นไม่ใช่ความสามารถที่ยิ่งใหญ่หรอกหรือ ?”

 

“อะไรนะ ? ” เฟิงเฟินไดตกใจเป็นอย่างมาก “องค์ชายเจ็ดช่วยประคองนางเข้าห้องของนางด้วยตัวเอง ? ” นางเกือบจะกัดฟันของนางจนแตกออกจากกัน เฟิงเฟินไดไม่เข้าใจ “สิ่งที่เกิดขึ้นกับบุตรสาวของตระกูลเฟิง ทําไมพวกนางถึงตีสนิทกับองค์ชายได้ ? ” นางโยนคําสบประมาทเหล่านี้ออกไป แต่ลืมไปว่านางมีองค์ชายห้าอยู่เคียงข้างนางด้วย นอกจากนี้นางยังมีส่วนร่วม และนี่คือการมีส่วนร่วมที่จัดหาให้เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในบ้านของตระกูลเฟิง แต่เฟิงเฟินไดก็ไม่เข้าใจ “ทําไม” พวกนางถึงเปลี่ยนจากการเป็นหงส์เพลิง ? เฟิงหยูเฮงเป็นอะไร แต่สิ่งที่ดีเกิดขึ้นกับเฟิงเซียงหรู ? ทําไมมันดีสําหรับนางไม่ดี ข้าไม่สามารถยอมรับได้ เฟิงเซียงหรูเป็นเพียงมด นางจะยุ่งกับองค์ ชายเจ็ดได้อย่างไร ในอนาคตอันใกล้นางจะกลายเป็นเหมือนข้าได้อย่างไร ? ไม่ดี ไม่ดีอย่างแน่นอน

 

เฟิงเฟินไดบ้าไปแล้ว ในขณะที่นางกรีดร้องอย่างดุเดือดในสนามหน้าบ้านของตระกูลเฟิงดงหยิงหวาดกลัวอย่างมาก ในขณะที่ไล่บ่าวรับใช้ที่รวมตัวกันเพื่อมองฉากนี้ นางปลอบโยนว่า “คุณหนู สงบสติอารมณ์ก่อนเจ้าค่ะ คุณหนูต้องใจเย็น ๆ !”

 

เฟิงเฟินไดสงบลงอย่างรวดเร็ว แต่หลังจากใจสงบลง จิตใจของนางก็เริ่มหมุนอย่าง รวดเร็ว เมื่อเฟิงหยูเฮงเหยียบหัวของนาง มันก็เพียงพอแล้วที่นางจะเต็มไปด้วยความโกรธ เมื่อเฟิงเซียงหรูจะกระทําสิ่งเดียวกัน นี่เป็นสิ่งที่นางทนไม่ได้ เฟิงเซียงหรูชอบองค์ชายเจ็ด จากนั้นนางไม่สามารถยอมให้สิ่งนี้กลายเป็นความจริงได้

 

“เรากําลังจะไป” เฟิงเฟินไดพูดเย้ยหยัน และพูดคําเหล่านี้ออกมา จากนั้นนางก็เริ่มมุ่งหน้าออกประตู

 

ดงหยิ่งไล่ตามนาง และถามด้วยความสับสน “คุณหนูจะไปที่ไหนเจ้าค่ะ”

 

“ไปทําให้เฟิงเซียงหรูเป็นทุกข์” นางนําดงหยิงออกจากบ้านมุ่งไปที่บ้านของจาวเหลียน

 

วันนี้บ้านเหลียนมีชีวิตชีวามาก งานเลี้ยงสําหรับเทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วงทําให้เฟิงจาวเหลียนกลายเป็นที่จดจําและเป็นผู้หญิงที่มีชื่อเสียงเพียงไม่กี่คนในเมืองหลวง และจากนอกเมืองหลวง ในเรื่องที่เกี่ยวกับสาวงามอันศักดิ์สิทธิ์นี้ซึ่งปรากฏขึ้นทันทีทันใด แม้แต่ผู้หญิงก็ไม่รู้สึกหึง พวกนางกลับรู้สึกสนิทสนมมากกว่าเดิม

 

ตั้งแต่งานเลี้ยงจัดขึ้นในพระราชวัง ผู้คนรู้สึกว่าบรรยากาศค่อนข้างเต็มไปด้วยพิธีการ ดังนั้น จาวเหลียนจึงส่งเทียบเชิญและเรียกทุกคนมาที่บ้านของเขาเพื่อรวมตัวกัน แม้ว่าจะมีคนไม่มากเท่ากับงานเลี้ยง หลังจากนับจํานวนอย่างรวดเร็ว แต่ก็มี 20-30 คนที่มา

 

การมาถึงของเฟิงเฟินไดไม่ได้ทําให้เกิดความปั่นปวนมากนัก นอกจากยามเฝ้าประตูซึ่งพบว่ามันแปลกมากที่เฟิงเฟินไดจะมาด้วยตัวนางเอง นางมาโดยไม่ได้รับเทียบเชิญ ไม่มีใครมองนาง ผู้คนที่มาที่บ้านเหลียนได้มาหาจาวเหลียน ตราบใดที่จาวเหลียนปรากฏตัว ดวงตาของพวกนางจะไม่สนใจสิ่งอื่นใด

 

คิดดูแล้วมันค่อนข้างแปลก เห็นได้ชัดว่าทุกคนในปัจจุบันเป็นเด็กผู้หญิง ดังนั้นทําไมทุกคนม องความสวยของจาวเหลียนก็รู้สึกราวกับว่าพวกเขากําลังมองหาผู้ชายอยู่ พวกนางไม่สามารถหยุด ตัวเองจากการค้นหาอีกต่อไปเล็กน้อย มีแม้กระทั่งบางคนที่อยากจะดําน้ําไปข้างหน้า 2 ในปัจจุบันมีหลายคนที่อยู่รอบ ๆ จาวเหลียนพูดคุย และหัวเราะอย่างไม่รู้จบ

 

เมื่อเฟิงเฟินไดมาถึง นางเห็นว่าจาวเหลียนอยู่ท่ามกลางฝูงชน และแขนของเขาพาดอยู่รอบคอของผู้หญิง มืออีกข้างของเขาห้อยลงมาจากไหล่ของผู้หญิงอีกคน เด็กผู้หญิงสองคนป้อนผลไม้เข้าปากของเขาเป็นครั้งคราว และจาวเหลียนก็กินอย่างมีความสุข เมื่อเวลาผ่านไปเขาจะยิ้มให้กับหญิงสาว ทําให้ฝูงชนปล่อยเสียงกรีดร้องโหยหวน

 

หากไม่ใช่สาหรับใบหน้าที่สวยงามสุด ๆ นี่จะดูเหมือนเป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์ เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นวายร้าย เฟิงเฟินไดไม่รู้ว่านางควรจะอธิบายคนนี้อย่างไร และนางก็มีความมั่นใจมากว่านางจะ ถูกโจมตีโดยผู้หญิงเหล่านี้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับกริยาท่าทางที่ไม่เหมาะสมของนางผู้หญิงเหล่านี้ก่อตั้ง อาณาจักรและกษัตริย์ของพวกนางคือเฟิงจาวเหลียน ตราบใดที่จาวเหลียนมองพวกนาง พวกนางก็มีความสุขที่ได้ทําอะไร

 

ดงหยิงไม่สามารถช่วยได้ แต่ถอนหายใจอย่างเงียบ ๆ “แม่นางเหลียนให้ยาบางอย่างกับพวกนางหรือเจ้าคะ ?”

 

เฟิงเฟินไดส่ายหัว “นางต้องใช้ยาด้วยหรือ ? แค่นางยิ้มเล็กน้อย มันก็จะเอาชนะยาใด ๆ ที่มีอยู่ในโลก” หลังจากพูดจบนางก็สูดหายใจลึก ๆ และพยายามปรับอารมณ์ให้ดีที่สุด เฟิงเฟินไดรู้ว่าถ้าไม่ใช่เพื่อพบปะแม่นางเหลียนก่อนหน้านี้ และได้พบนางเป็นครั้งแรกในงานเลี้ยงด้วยชุดสีแดงที่สวยงาม บางทีหัวใจของนางก็อาจตกอยู่ภายใต้การควบคุมของอีกฝ่ายด้วยใช่หรือไม่ จริง ๆ แล้วถ้าใครสวยเกินไป มันก็น่ากลัวเกินไป

 

นางต้องการพูดกับจาวเหลียนเกี่ยวกับเรื่องของเฟิงเซียงหรู มันจะเป็นการดีที่สุดถ้านางสามารถทําให้เขารับความคิดมากขึ้นและขโมยองค์ชายเจ็ด นางไม่สามารถอนุญาตให้เฟิงเซียงหรูไปหาเขาได้ แต่เฟิงเฟินไดก็นั่งอยู่ในห้องโถงตั้งแต่เที่ยงจนถึงค่ํา เพียงแค่นั่งนางก็เหนื่อยและง่วงนอน อย่างไรก็ตามนางไม่มีโอกาสได้พูดกับจาวเหลียน ราวกับว่ามันเป็นฮ่องเต้ที่เลือกนางสนมของพระองค์ ผู้หญิงเหล่านั้นต่างก็พยายามที่จะเบียดเสียดกันประจบประแจงเขา มีบางคนที่แสดงสมบัติของพวกนางเพียงเกลียดที่พวกนางไม่สามารถนําสิ่งที่ดีที่สุดของพวกนางมามอบให้กับสาวงามนี้ แต่ใครจะรู้ว่ามีใครที่คิดว่าแม้ว่าจาวเหลียนจะมีความสุขก็ตาม มันคืออะไร มันเป็นเพียงเพราะรอยยิ้มเดียว ? แต่มีอะไรที่จะเห็นจากผู้หญิงคนหนึ่งยิ้มให้ผู้หญิงคนอื่น ? เฟิงเฟินไดไม่เข้าใจจริง ๆ ผู้หญิงเหล่านี้ถูกครอบงําหรือไม่ ?

 

ในที่สุดก่อนที่ท้องฟ้าจะมืด เจ้านายอีกคนของบ้านเหลียนก็ออกมา นางจํานางได้ มันเป็นเด็กผู้หญิงคนนั้นชื่อหลี่เฉิง น้องสาวของแม่นางเหลียน ใครจะไปรู้ว่านางพักอยู่ที่ไหนตลอดทั้งบ่าย เพราะผมของนางยุ่งเหยิงนิดหน่อย และเสื้อผ้าของนางก็ดูไม่ค่อยดีนัก ใบหน้าของนางสะอาด และไม่มีร่องรอยของเครื่องประทินผิวแม้แต่น้อย เมื่อมองดูเท้านางไม่แม้แต่สวมรองเท้า

 

เมื่อหลี่เฉิงเข้ามาในห้อง มีบ่าวรับใช้ 2 คนไล่ตามนาง แต่นางก็เดินเร็ว บ่าวรับใช้ไม่สามารถตามทัน เมื่อนางเข้าไปในห้องจัดเลี้ยง ทุกคนก็หันมาสนใจนาง หลังจากนี้จาวเหลียนรู้สึกว่าบรรยากาศไม่ถูกต้อง ในที่สุดเขาก็เงยหน้าขึ้นมา… “ใครปล่อยนางออกมา ? ข้าให้จับตาดูนางไว้ ไม่ใช่หรือ ?” รูปร่างหน้าตาของหลี่เฉิงทําให้เขารู้สึกว่าจิตใจพังทลาย แต่ไม่มีอะไรจริงที่เขาสามารถทําได้ เขาทําได้แค่สั่งบ่าวรับใช้ “พานางออกไปเร็วและดูแลนาง” หลังจากพูดนางหันไปหาผู้หญิงคนอื่น และกล่าวว่า “น้องสาวของข้า” ขณะพูดเขาชี้ไปที่หัวของเขา “มีปัญหาเล็กน้อยที่นี่ ไม่ต้องใส่ใจใด ๆ เลย”

 

แต่ทําไมหลี่เฉิงถึงยอมให้ตัวเองถูกพาตัวไปได้อย่างไร นางสะบัดตัวหลุดเป็นอิสระจากบ่าวรับใช้สองคนและสะดุดไปไม่กี่ก้าว จากนั้นนางก็มองไปรอบ ๆ ห้องที่เต็มไปด้วยหญิงสาว และความโกรธก็เริ่มลุกไหม้อยู่ภายในนาง นางชี้ไปที่จาวเหลียน “ไม่น่าแปลกใจที่เจ้าให้คนขังข้า ไม่น่าแปลกใจที่เจ้าไม่อนุญาตให้ข้าออกมาจากเรือนของข้า ปรากฏว่าเจ้ากําลังนั่งอยู่ที่นี่และทําสิ่งนี้ ! สามีที่รัก ข้าไม่เคยต่อต้านเจ้าที่จะมีอนุ ข้าให้นําน้องสาวอีกสองสามคนเข้ามาในบ้าน แต่เจ้าพูดอะไร เจ้าบอกว่าแค่ข้าก็พอแล้ว เจ้าไม่อยากมีเพิ่ม ถ้าอย่างนั้นสถานการณ์นี้ตอนนี้คืออะไร ? เจ้าต้องการทําอะไรกับข้าจะให้ข้าคิดอย่างไร ?”

 

คําพูดของหลี่เฉิงทําให้ทุกคนงงงวยอย่างสมบูรณ์ นอกจากเฟิงเฟินไดผู้รู้สถานการณ์น้อยกว่าคนอื่น ๆ ก็ไม่เข้าใจ ทําไมนางคนนี้ถึงเรียกแม่นางเหลียนว่าสามี ปัญหาในใจของนางทําให้นางไม่สามารถแยกความแตกต่างระหว่างผู้ชายกับผู้หญิงได้หรือ ?

 

จาวเหลียนเป็นทุกข์เช่นกัน เขาบอกว่าการมีเพียงคนเดียวในบ้านนั้นก็เพียงพอแล้ว แน่นอนมันก็เพียงพอแล้ว หากมีอีกคนหนึ่ง เขาจะไม่รําคาญจนตายหรอกหรือ ? สําหรับเหตุผลที่เขาเรียกผู้หญิงจํานวนมากเข้ามาในบ้าน คนอื่นอาจไม่รู้ แต่เขาก็ไม่ชัดเจน ในระหว่างงานเลี้ยงเมื่อวานนี้เขาสังเกตว่าผู้หญิงเหล่านี้ไม่ว่าพวกนางจะมาจากเมืองหลวงหรือนอกเมืองหลวง พวกนางยังคงอยู่เว้นระยะห่างจากเฟิงหยูเฮง พวกนางไม่สนิทสนมหรือถูกทอดทิ้ง พวกนางไม่สนับสนุนหรือคัดค้านนาง แต่ในการสนทนาส่วนตัวพวกนางมีปฏิสัมพันธ์กันเล็กน้อย มีไม่กี่คนที่มาจากตระกูลของขุนนางในภาคใต้ เรื่องนี้ทําให้เขาอยากรู้อยากเห็นมาก

 

จาวเหลียนไม่ว่าจะพูดอะไรจะเกิดมาในราชวงศ์ การหลอกลวงร่วมกันที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่เขาคุ้นเคยในวัยเด็ก คนเหล่านี้และตระกูลสามารถคาดเดาตําแหน่งของพวกเขาได้อย่างรวดเร็ว นั่นเป็นเหตุผลที่เขารวบรวมคนเหล่านี้อย่างเร่งด่วนในบ้าน ด้วยการโต้ตอบและสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเล็กน้อย เขาได้ยินสิ่งต่าง ๆ มากมายที่ไม่ควรได้ยินจากผู้อื่น เขายังจําได้ว่าเขาถูกพากลับมาที่ราชวงศ์ต้าชุนโดยเฟิงหยูเฮง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาควรยืนอยู่ข้าง ๆ เฟิงหยูเฮง หากเขาสามารถทําสิ่งเหล่านี้ได้ เขาจะทําเพื่อเฟิงหยูเฮง

 

การปรากฏตัวของหลี่เฉิงทําให้ฉากดูวุ่นวายเล็กน้อย โชคดีที่จาวเหลียนอธิบายหลี่เฉิงมีบางอย่างผิดปกติเมื่อหลี่เฉิงแต่งงานเมื่อไม่กี่ปีก่อน สิ่งนี้ทําให้อาการป่วยของนางกําเริบและนางมักจะพูดเรื่องไร้สาระ ผู้คนมองดูลักษณะที่ปรากฏของหลี่เฉิง และรู้สึกว่านี่เป็นลักษณะของคนที่ไม่ปกติ ดังนั้นพวกนางมองบ่าวรับใช้ที่ลากหลี่เฉิงออกไป และเรื่องก็มาถึงข้อสรุป

 

อย่างไรก็ตามใครจะรู้ว่าจะมีคนที่มีแรงจูงใจของตัวเองที่จะเห็นสิ่งนี้และเริ่มรู้สึกสงสัย เมื่อพิจารณาอีกด้านหนึ่ง จาวเหลียนมีรูปร่างที่ดูกล้าหาญภายใต้ความงามนั้น แม้ว่าเขาจะดูเป็นผู้หญิง กลิ่นอายผู้ชายของเขาก็ค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ จากการสังเกตเขาเช่นนี้ พวกนางพบว่าจาวเหลียน มีรูปร่างคอแตกต่างจากเด็กผู้หญิงคนอื่น ๆ แม้ว่ามันจะแตกต่างจากลูกกระเดือกของผู้ชายคนอื่นมากเกินไป แต่มันก็ไม่ได้ดูเหมือนผู้หญิงที่ควร เมื่อคิดถึงเรื่องนี้อย่างถี่ถ้วน พวกนางอดไม่ได้ที่จะตกใจ…

 

ในเวลานี้เฟิงเฟินไดหมดความอดทน นางนําดงหยิงและออกไป เรื่ององค์ชายเจ็ดจะถูกหยิบขึ้นมาวันอื่น ทั้งสองวิธีพวกนางอยู่ใกล้กัน พวกนางสามารถมาได้ตลอดเวลา ทําไมต้องรอ ?

 

เจ้านายและคนรับใช้ออกจากห้องจัดเลี้ยง และเตรียมพร้อมที่จะมุ่งหน้าไปที่สนามหน้าบ้าน เมื่อพวกนางกําลังจะออกจากประตู พวกนางรู้สึกว่าบ่าวรับใช้ที่เดินเข้าประตูนั้นพยายามหลีกเลี่ยงพวกนาง มีข้อสงสัยเกิดขึ้นในใจเมื่อนางขยับเข้ามาใกล้ แต่นางก็ตกใจมาก “ทําไมเจ้ามาที่นี่?”

 

ตอนที่ 718 ไม่ได้มีหน้าพบพระองค์อีกต่อไป

 

หลู่ซึ่งไม่เคยคิดเลยว่าเหยาซูผู้สงบและเป็นธรรมชาติจะมีท่าทีเช่นนี้

 

นี่ไม่ใช่ทั้งหมดดังที่เขาได้ยิน เหยาชูกล่าวว่า “ถ้าคดีนี้ได้รับการแก้ไขภายในสามวันและหลู่เหยาไม่มีความผิด ครอบครัวของข้าจะดําเนินงานศพตามปกติ หากหลู่เหยามีความผิด จะมีการยื่นฟ้องหย่ากับทางการ และตระกูลเหยากับตระกูลหลู่จะไม่มีความสัมพันธ์ต่อกันอีก” คําพูดเหล่านี้ เป็นไปในทิศทางเดียวกับเฟิงหยูเฮง

 

หลู่ซ่งรู้ว่าเขาจะไม่สามารถได้รับผลประโยชน์แม้แต่เล็กน้อยจากตระกูลเหยา ดังนั้นเขาจึงไม่ได้อยู่ต่อไป และเขาได้รับความอับอายนี้ นอกจากนี้ตระกูลเหยาไม่เคยอนุญาตให้เขาเข้าไป พวกเขายังคงอยู่ที่ทางเข้าในขณะที่คุยเรื่องเหล่านี้ แม้ว่าคืนนี้จะตกต่ํา มันคงหนีไม่พ้นที่จะมีคนที่ไม่มีอะไรจะทําและอยากเห็นบางสิ่งที่สนุกสนาน เขาไม่ต้องการที่จะเสียหน้ามากกว่านี้และได้แต่จากไปอย่างเศร้าโศกเท่านั้น

 

เฟิงหยูเฮงเฝ้าดูรถม้าของตระกูลหลู่ไกลออกไปและได้แต่พูดอย่างเย็นชา ในเวลาเดียวกันนางพูดกับจิงจุนและเหยาซู “ท่านลุงใหญ่ไม่จําเป็นต้องเข้าใจตระกูลหลู่ ตระกูลเหยาของเราควรทําในสิ่งที่จําเป็นต้องทํา ข้าเชื่อว่าทัศนคติของตระกูลเหยาก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ท่านปู่คิดขึ้นมาใช่หรือไม่ ?

 

เหยาจิงจุนพยักหน้า “อาเฮงพูดถูก ท่านพ่อที่ต้องการให้เราตอบตระกูลหลู่ด้วยวิธีนี้”

เฟิงหยูเฮงถามเหยาซู “ถ้าอย่างนั้นลูกพี่ลูกน้องคนโตเลิกกับหลู่เหยาแล้วหรือ ?”

 

เหยาซูพยักหน้า “อาเฮงไม่ต้องกังวล ข้าไม่ได้เป็นคนโง่ ข้าบอกมันก่อน ถ้ามันเป็นแค่ข้าที่กําลังทุกข์ทรมานเล็กน้อย ข้าก็สามารถทนได้ทั้งหมด แต่ถ้านางมีเจตนาชั่วร้ายต่อผู้อื่น สมาชิกของตระกูลเหยาจะไม่ยอมทนกับคนแบบนี้”

 

“ดีมาก” เฟิงหยูเฮงพอใจในทัศนคติของตระกูลเหยา ด้วยการสนับสนุนเพิ่มเติมจากเหยาเซียน นางเชื่อมั่นว่าตระกูลเหยาจะไม่ประสบกับความสูญเสียในเรื่องนี้ แต่นางก็ยังให้คํามั่นสัญญาแก่เหยาซู่ว่า “สบายใจได้ ไม่ว่าตระกูลหลู่จะทําอะไร และไม่ว่าเรื่องนี้จะใหญ่ขนาดไหน ตระกูลเหยาก็มีหลานอย่างข้าที่คอยสนับสนุนมันจากด้านหลัง ข้าจะให้การสนับสนุนตระกูลเหยา วันแห่งความสุขของตระกูลหลู่ควรจะสิ้นสุดลง เราแค่ต้องรอดูอย่างระวังว่าแผนต่อไปของตระกูลหลู่คืออะไร”

 

คืนนั้นตระกูลหลู่พ่ายแพ้ อย่างไรก็ตามผู้คนในตระกูลเหยาและคฤหาสน์ขององค์หญิงมีความฝันอันแสนหวาน ห้องโถงไว้ทุกข์ซึ่งติดตั้งไว้ชั่วคราวแสงไฟดับลง ไม่ใช่แม้แต่บ่าวรับใช้ที่ถูกทิ้งให้ยืนอย่างระมัดระวัง ทั้งสองวิธีไม่มีศพอยู่ในโลงศพและไม่มีอะไรที่จะต้องปกป้อง ทุกคนนอนหลับอย่างสงบสุข

 

เช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้นมันเป็นช่วงเช้าของราชสํานักปกติ หลังจากประชุมเสร็จเสนาบดีฝ่ายซ้ายไม่ได้ออกจากพระราชวังทันทีหลัง เขากลับมาและส่งข้อความจากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังพระรา ชวังด้านในอย่างรวดเร็ว

 

ข้างในตําหนักชุนชาน, พระสนมหยวนชูกําลังนั่งอยู่ในห้องโถงด้านนอกและกินรังนก หลู่ซ่งนั่งบนเก้าอี้ด้านข้างพร้อมกับแสดงออกอย่างกระตือรือร้น

 

อย่างไรก็ตามพระสนมหยวนซูไม่ได้สนใจเขาแม้แต่น้อย นางกินรังนกต่อไป นางจะเงยหน้าขึ้นมอง แต่จะไม่พูดเป็นครั้งคราว

 

หลู่ซ่งรู้สึกอึดอัดใจเช่นกัน แต่เขาได้เริ่มที่จะขอผู้ชม พระสนมก็เป็นมารดาของเจ้านายของเขาด้วย เนื่องจากเจ้านายไม่พูด เขาสามารถลองและทําลายความเงียบงุ่มง่ามได้เท่านั้น

 

ดังนั้นเขาจึงหัวเราะสองสามครั้ง จากนั้นจึงพูดกับพระสนมหยวนชู “เมื่อพูดถึงการมาเยือนของข้า เจ้าหน้าที่ผู้นี้ไม่เคยเห็นองค์ชายแปดมาหลายปีแล้ว ข้าสงสัยว่าทุกอย่างทางภาคใต้เป็นไปด้วยดีหรือไม่ขอรับ ?”

 

พระสนมหยวนชูพยักหน้า “มันน่าจะดี ! แต่ใครจะรู้ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด จดหมายจะรายงานเฉพาะเรื่องที่ดี และจะไม่รายงานข้อกังวลใด ๆ แน่นอนว่าข้าไม่รู้เช่นกัน”

 

“เจ้าหน้าที่ผู้นี้ได้ยินเมื่อวานนี้จากเจ้าหน้าที่ทางภาคใต้ว่าองค์ชายแปดได้รับความนิยมมากในภาคใต้ และมีกองทหารจํานวนมากอยู่ภายใต้การควบคุมของเขา เขาเป็นที่ชื่นชอบในหมู่พลเมืองเช่นกัน พระสนมวางใจได้ขอรับ” หลู่ข่งยิ้มและมองไปในทิศทางของพระสนมหยวนชูเป็นครั้งคราว เขาพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “พระสนม เมื่อเจ้าหน้าที่คนนี้กลายเป็นเสนาบดีฝ่ายซ้าย นางสนมเคยกล่าวกับเจ้าหน้าที่บางคนว่าต้องการบุตรสาวคนหนึ่งของตระกูลหลู่อยู่ข้างพระองค์ ข้าสงสัยว่าเรื่องนี้”

 

พระสนมหยวนซูเยาะเย้ยข้างในและคิดว่าหลู่ซึ่งยังคงพูดถึงเรื่องนี้ มันน่าเสียดายที่วันนี้ไม่สามารถเทียบกับอดีตได้ในอดีตอิทธิพลขององค์ชายแปดอ่อนแอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมาถึง ซึ่งเขามีอิทธิพลน้อยลง มันก็เกิดขึ้นที่ตระกูลหลู่และครอบครัวมารดาของนางมีความสัมพันธ์กันเล็กน้อย นางเคยได้ยินเช่นกันว่าฮ่องเต้ตั้งใจที่จะให้หลู่ซึ่งอยู่ในตําแหน่งของเสนาบดีฝ่ายซ้ายซึ่งทําให้นางเกิดความคิดนั้น แต่ตอนนี้…

 

“บุตรสาวของตระกูลหลู่ ? ” ในที่สุดนางก็วางอาหารในมือของนางลง และกล่าวกับหลู่ซ่งอย่างเหมาะสม “หลังจากเรื่องเมื่อวานนี้ ตอนนี้ตระกูลหลู่มีบุตรสาวเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ใช่หรือไม่ ? ”

 

หลู่ซ่งพยักหน้าอย่างไร้จุดหมาย “แม้ว่าจะมีบุตรสาวสองคนที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่ใบหน้าของอีกคนก็ถูกทําลายไปแล้ว แม้ว่านางจะมีรูปร่างหน้าตาที่สวยงามมาก แต่ตอนนี้นางก็ไม่ทําอะไรเลย นางจะคู่ควรที่จะอยู่ข้างพระองค์ได้อย่างไร แต่บุตรสาวคนที่สามของเจ้าหน้าที่ยังมีชีวิตอยู่ นางเป็นบุตรสาวที่เหมาะสมของฮูหยินใหญ่ ถ้าพระสนมจําคําพูดในครั้งนั้นได้…”

 

“แล้วจะนําเรื่องนี้ขึ้นมาพูดกับโมเอ๋อ ? ” พระสนมหยวนชูหัวเราะแล้วกล่าวว่า “ข้ากลัวว่าถ้าสิ่งนี้นําเรื่องนี้มา ข้าก็ไม่มีทางเลือกนอกจากช่วยเหลือตระกูลหลู่จากเจ้าเมือง ข้าไม่ควรยินยอมให้ความสัมพันธ์ฉันญาติในอนาคตของเราจากการแต่งงานนั้นถูกลากลงโคลนใช่หรือไม่ ?”

 

หลู่ซ่งตกใจและลุกขึ้นยืนแล้วคุกเข่ากล่าวซ้ําๆ ว่า “เจ้าหน้าที่ผู้นี้ไม่กล้าขอรับ เจ้าหน้าที่คนนี้ไม่กล้าขอรับ !”

 

พระสนมหยวนซูไม่พูดมากนักเพียงกล่าวว่า “ข้าจะเขียนจดหมายถึงองค์ชายแปด เรื่องนี้ก็จะถูกนําขึ้นมา แต่เจ้ารู้ว่าด้านเจ้าเมืองไม่ใช่คนที่อยู่ในอํานาจของข้า องค์หญิงอันก็ไม่ใช่คนที่จะสร้างความขุ่นเคืองได้ ในฐานะบุคคล หลู่ข่งอย่าโลภมากเกินไป ข้าจะเห็นด้วยกับเรื่องหนึ่ง เจ้าไม่ควรคาดหวังว่าข้าจะเห็นด้วยกับเรื่องที่สอง มิฉะนั้น…”

 

“เจ้าหน้าที่คนนี้เข้าใจขอรับ !” หลู่ซ่งกล่าวอย่างรวดเร็ว “เจ้าหน้าที่ผู้นี้ต้องการที่จะมีอ นาคตที่ดีสําหรับบุตรสาวของข้า และหวังว่าจะมีส่วนช่วยในการวางแผนขององค์ชายแปดต่อไปในอนาคต ข้าหวังว่าพระสนมจะให้การสนับสนุนขอรับ” ในที่สุดเขาก็เอ่ยคําร้องขอ 2 เรื่อง แต่เขาหวังว่าพระสนมหยวนชูจะเห็นด้วยกับเรื่องนี้ ดังนั้นเขาจึงไม่มีความหวังใด ๆ เพิ่มเติม เขาแสดงความขอบคุณอย่างรวดเร็วต่อพระสนมหยวนซู เมื่อได้รับข้อตกลงจากพระสนมหยวนชูเพื่อส่งจดหมายฉบับใหม่ถึงองค์ชายแปดอย่างรวดเร็ว ในที่สุดเขาก็ออกจากตําหนักชุนชานด้วยความพึงพอใจ

 

แต่เมื่อเขาจากไป รอยยิ้มที่เกิดจากข้อตกลงซึ่งปรากฏบนใบหน้าของพระสนมหยวนซูก็หายไปในทันที

 

หยู่ซู่ นางกํานัลในตําหนักถามนางเบา ๆ ว่า “พระสนมวางแผนที่จะเขียนจดหมายถึงองค์ชายแปดหรือไม่ ? ”

 

พระสนมหยวนชูพยักหน้า “แน่นอน ข้าไม่ได้เขียนจดหมายถึงโมเอ๋อนานแล้ว และควรถามว่าเขาเป็นอย่างไรบ้าง”

 

“ งั้นเรื่องของเสนาบดีหลู่ละเจ้าค่ะ ?”

 

“หืมม !” นางยักไหล่ “บุตรสาวของตระกูลหลู่ ? พวกเขาเป็นใคร ? ในอดีตข้าคิดว่าอาจมีโอกาสใช้ตําแหน่งของหลู่ซ่งในฐานะเสนาบดีเพื่อเปิดทางกับเจ้าหน้าที่ในเมืองหลวง แต่ตอนนี้มันแตกต่างกันจริง ๆ ไม่คิดว่าตระกูลหลู่จะไร้ความสามารถเช่นนี้ ไม่นานหลังจากดํารงตําแหน่งเสนาบดี พวกเขาลงเอยด้วยการเป็นศัตรูกับองค์หญิงจีอัน ? ไม่ใช่ข้าที่ทําให้ความทะเยอทะยานขององค์หญิงจีอันเพิ่มสูงขึ้น มันยิ่งลดศักดิ์ศรีของข้าลง แม้ว่าข้าจะอยู่ในพระราชวัง แต่สิ่งที่ได้ยิน และมองเห็นได้นั้นไม่น้อยไปกว่าคนภายนอก ข้ากลัวว่าตระกูลหลู่จะหมดอํานาจ”

 

หยู่ซู่พยักหน้า นางอยู่ในพระราชวังมานานหลายปี และนางเคยอยู่ข้างพระสนมหยวนชูมานานแล้ว นางจะไม่เข้าใจสิ่งที่ทําให้สถานการณ์มีความหมายได้อย่างไร ตอนนี้ตระกูลหลู่กําลังจะสูญเสียอํานาจ ความสนใจของพระสนมก็หันไปคนอื่นเช่นกัน ไม่เป็นที่รู้แน่ชัดว่าความสนใจนั้นเปลี่ยนไปเพียงใด อะไรถูกหรือผิด

 

“พระสนม” หยู่ซ่กังวลเล็กน้อย “นางผู้นั้น นางจะถูกสนับสนุนได้หรือไม่เจ้าคะ ?”

 

พระสนมหยวนซูขดมุมปากของนาง “ไม่ว่านางจะเป็นที่รู้จักหรือไม่หลังจากที่พยายาม แต่เมื่อข้าเห็นแล้วการมีคนอยู่ในมือนั้นไม่ใช่เรื่องเลวร้าย โหรงเจิ้ง” นางเรียกขันทีที่รับใช้ในตําหนักของนาง “ไปเตรียมพู่กันและหมึก ข้าจะเขียนจดหมายถึงองค์ชายแปดเป็นการส่วนตัว”

 

ในวันที่ 16 ของเดือนแปด ตระกูลเหยาเอ่ยขึ้นมา สําหรับเรื่องนี้กับหลู่เหยาตระกูลเหยาจะไม่ยอมรับผู้เยี่ยมชมที่ต้องการแสดงความเคารพ ทุกอย่างกําลังรอผลการพิจารณาคดีของเจ้าเมือง ในเวลาเดียวกันตระกูลเหยายังรายงานถึงกรณีของซูชื่อที่ถูกจงใจดึงลงไปในน้ําโดยหลู่เหยา เพื่อเป็นตัวเร่งให้เกิดการเผชิญหน้าระหว่างพี่น้องตระกูลหลู่

 

เจ้าเมืองได้รับคดีอย่างเป็นทางการ และประกาศว่าเขาจะเปิดเผยความจริงอย่างแน่นอน ซึ่งทําให้ตระกูลหลู่ทั้งหมดไม่พอใจ แต่คฤหาสน์เหยาดําเนินการกับสิ่งที่ต้องทํา พวกเขาไม่ได้ปิดประตูไม่ต้อนรับแขก เหยาซูยังคงขึ้นราชสํานักต่อไปตามความจําเป็น ขณะที่เหยาเซียนยังคงไปเยี่ยม ชมห้องโถงสมุนไพร แม้แต่บ่าวรับใช้ก็พูดคุยและหัวเราะ ไม่มีสัญญาณของงานศพ

 

ในบ้านตระกูลเฟิง เฟิงเซียงหรูนอนจนถึงเที่ยง ชานชูบ่าวรับใช้บอกกับนางว่า “อนุอันไปที่ร้านแล้วเจ้าค่ะ ดูเหมือนว่าธุรกิจของร้านค้านั้นค่อนข้างดี นางยังได้รับเงินอีกเล็กน้อย คุณหนู” ชานชูส่งชาหนึ่งถ้วยให้เฟิงเซียงหรูซึ่งยังนั่งอยู่บนเตียงและบอกนางว่า “คุณหนูดื่มเพื่อแก้อาการเมาค้างเจ้าค่ะ ก่อนจะออกไป อนุอันได้สั่งให้บ่าวรับใช้คนนี้เตรียมให้คุณหนูเจ้าค่ะ ข้าอุ่น 3 ครั้ง แล้ว รอคุณหนูตื่นเจ้าค่ะ”

 

เฟิงเซียงหรูถหัวนางด้วยสีหน้าขมขื่น ชาที่กําลังอุ่นงั้นหรือ ดูเหมือนว่านางจะเมาจริง ๆ หรือ ? ปรากฏว่ามันไม่ใช่ความฝัน ? ไม่แปลกใจที่นางปวดหัวมาก แต่… นางกลับมาได้อย่างไร ทําไมนางจําไม่ได้แม้แต่น้อย ?

 

เฟิงเซียงหรูเคาะหัวของนาง ๆ อย่างไรก็ตามชานซูปัดความสงสัยออกมาว่า “คืนนั้นทําไมคุณหนูถึงดื่มสุราผลไม้มากขนาดนั้นเจ้าคะ ? ไม่ต้องพูดถึงกลิ่นสุรารอบ ๆ ตัวคุณหนู แต่คุณหนูก็พ่นเรื่องไร้สาระมากมาย คุณหนูไม่รู้ เมื่อคืนองค์ชายเจ็ดพาคุณหนูกลับเรือนอนุอันโกรธเจ้าค่ะ อนุอันออกมาและคุกเข่าในสนามเป็นเวลานาน อนุอันลุกขึ้นยืนเมื่อพระองค์กลับไปเจ้าค่ะ”

 

“อะไรนะ ? ” เฟิงเซียงหรูตกใจและกระโจนขึ้นจากเตียง นางคว้าชานซูและถามต่อ “เจ้าพูดว่าอะไรนะ ? ใครพาข้ากลับมา ?”

 

ชานชูเขย่าอย่างไร้ประโยชน์ และกล่าวว่า “องค์ชายเจ็ด เป็นองค์ชายเจ็ดที่มาส่งคุณหนูเจ้าค่ะ” หลังจากพูดอย่างนี้นางก็ไม่ลืมที่จะเพิ่ม “แต่คุณหนู เมื่อคืนนี้คุณหนูพูดอะไร คนที่สนับสนุนคุณหนูนั้นเป็นที่ประจักษ์ชัดว่าเป็นองค์ชายเจ็ด แต่คุณหนูก็ยังคงพูดว่าชวนเทียนยี่ และชวนเทียนยี่เท่านั้น คุณหนูสาม มันจะดีได้อย่างไร นั่นคือองค์ชายสี่ ! ไม่ใช่ว่าคุณหนูชอบองค์ชาย เจ็ดหรือเจ้าคะ ? ” คําพูดสุดท้ายของบ่าวรับใช้นั้นเงียบมาก ในตอนท้ายนางงุนงงไปหน่อย คุณหนูของนางพลาดไปแล้ว?

 

เฟิงเซียงหรูล้มตัวลงนอนบนเตียงแล้วใช้มือทั้งสองปิดหน้าของนาง

 

นางไม่มีอะไรเหลือแล้ว นางไม่มีอะไรเหลือแล้วจริง ๆ ! นางดื่มมากเกินไปและองค์ชายเจ็ด ช่วยมาส่งนางกลับบ้าน สิ่งนี้ก็น่าละอายพอแล้ว แต่ปัญหาก็ยิ่งกว่านั้นคือนางเรียกชื่อซวนเทียนยี่ที่ร้ายกาจ นางทําอะไรกันแน่ นับจากนี้เป็นต้นไปนางไม่มีหน้าไปพบองค์ชายเจ็ดแล้ว

 

นางลุกขึ้นนั่งบนเตียง นางไม่ใส่ใจกับสิ่งที่ชานชูพูดกับนาง นางรับน้ําชาจากบ่าวรับใช้และดื่มจนหมดในรวดเดียว

 

ชานชูได้รับความตกใจจากการกระทําอย่างกะทันหันของคุณหนู อย่างไรก็ตามจากนั้นนางเห็นคุณหนูของนางนั่งอยู่บนเตียงและเริ่มร้องไห้ ในขณะที่ร้องไห้ นางกล่าวว่า “ไม่มีอะไรเหลือเลย เส้นทางข้างหน้าถูกปิดแล้ว มันควรจะเป็นเส้นทางที่ชัดเจน แต่ข้าก็ลงเอยด้วยการไปสู่จุดจบ องค์ชายเจ็ด ในชีวิตนี้เฟิงเซียงหรูไม่มีหน้าจะพบพระองค์อีกต่อไปแล้ว…”

 

ตอนที่ 717 ทัศนคติของตระกูลเหยา

 

คนที่เรียกว่าคุณหนูของนางนั้นแน่นอนว่าเป็นคนจากตระกูลเหยา กลุ่มของเฟิงหยูเฮงออกจากโรงเตี้ยม และซวนเทียนหมิงต้องการที่จะไปที่คฤหาสน์เหยาด้วย อย่างไรก็ตามนางปฏิเสธและกล่าวว่า “ข้าสามารถจัดการเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ในครอบครัวได้ เจ้าไม่จําเป็นต้องไปช่วย”

 

ซวนเทียนหมิงพยักหน้า “ถ้าเจ้าพูดแบบนั้นมันจะดูเป็นเรื่องจริง ลืมไปเถอะพี่ที่เจ็ดและข้าจะไปส่งเซียงหรูเอง” มองย้อนกลับไปเฟิงเชียงหรูได้รับการสนับสนุนจากซวนเทียนฮั่ว นางดื่มจนเมาและเรื่องไร้สาระทุกชนิดออกมาจากปากของนาง นางจะเรียกองค์ชายเจ็ดหรือตะโกนเรียก ซวนเทียนยี่ว่าเป็นวายร้าย มันเป็นสิ่งที่ยากที่จะมอง

 

เฟิงหยูเฮงโบกมือ “รีบเร็ว เจ้าอย่าให้มีอะไรเกิดขึ้นกับเซียงหรู”

 

กลุ่มแยกทางกันที่โรงเตี้ยม เฟิงหยูเฮงนั่งในรถม้าซึ่งบ่าวรับใช้จากตระกูลเหยาขับมาเริ่มออกเดินทาง

 

ในเวลานี้หน้าคฤหาสน์ของตระกูลเหยา หลู่ซ่งเสนาบดีได้ออกเดินทางเยือนโดยส่วนตัวพร้อมกับบ่าวรับใช้ทุกคนที่แบกโลงศพที่ดีมาก ปัจจุบันเขากําลังพูดกับบุตรชายคนโตของตระกูลเหยา, เหยาจิงจุน เขาได้ยินหลู่ซึ่งกล่าวว่า “บุตรสาวตัวน้อยของข้าเสียชีวิตอย่างน่าสลดใจ และได้ยินว่าตระกูลเหยาจัดห้องไว้ทุกข์ที่ห้องโถงด้านข้าง ทําให้ข้าไม่รู้ว่าทําไมตระกูลเหยาทําเช่นนี้ แต่ในฐานะบิดาของเหยาเอ๋อ มีบางสิ่งที่ข้าควรทําเพื่อนางโลงศพไม้ประดู่นี้จะได้รับการพิจารณาว่าเป็นสิ่งที่ตระกูลหลู่ของเรามอบให้ตระกูลเหยา”

 

คําพูดของเขาสุภาพ แต่ใครจะพลาดมันมีความหมายแฝงอยู่ในคําพูดของเขา ! นี่เป็นการบอกอย่างชัดเจนว่าตระกูลเหยากําลังปฏิบัติกับหลู่เหยาอย่างไม่เป็นธรรม มันยังบอกด้วยว่าตระกูลเหยาไม่สามารถแม้แต่ซื้อโลงศพ และต้องการให้ตระกูลหลู่จัดหาสิ่งใดสิ่งหนึ่ง

 

แต่เหยาจิงจุนไม่สนใจมันแม้แต่น้อย เขาบอกกับหลู่ซึ่งอย่างใส่ใจในรายละเอียด “ที่จัดขึ้นในห้องโถงด้านข้างเพราะสาเหตุของการเสียชีวิตของหลู่เหยายังคงถูกสอบสวนโดยทางการ ต้องมีการพิจารณาว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นได้อย่างไร เมื่อหน่วยงานของทางการสอบสวนเสร็จแล้วและบอกว่าหลู่เหยาไม่มีความผิด ตระกูลเหยาจะย้ายห้องโถงไว้ทุกข์มาที่ห้องโถงใหญ่เป็นธรรมดา นอกจากนี้สําหรับโลงศพเราได้เตรียมการไว้แล้ว ขณะนี้กําลังเตรียมการ แต่ไม่ได้เร็วเท่ากับใต้เท้าหลู่ ในขณะที่เขาพูดเขายกมือขึ้นและแจ้งบ่าวรับใช้ “นําโลงศพที่ลอร์ดหลู่นํามาไว้ที่ห้องโถงไว้ทุกข์” จากนั้นกล่าวต่อ “เราได้ให้เสนาบดีหลู่ใช้เงินชื่อไม้ประดู่ ตระกูลเหยามีโลงศพที่ทําจากวัสดุธรรมดาเท่านั้น มันไม่ร่ํารวยเท่าตระกูลหลู่อย่างแท้จริง แต่ตระกูลเหยาของเราอยู่ในหางโจวมาหลายปี และไม่สามารถเปรียบเทียบกับตระกูลหลู่ซึ่งใช้เวลาหลายปีในเมืองหลวงและสะสมความมั่งคั่งได้”

 

ใบหน้าของหลู่ซึ่งสลับกันระหว่างสีแดงกับสีขาว เขาสะบัดแขนกว้างของเขา และกล่าวด้วย ความโกรธ “เสนาบดีผู้นี้จะไม่พูดกับเจ้า ไปเรียกเหยาเซียนออกมาที่นี่!”

 

เหยาจิงจนรู้สึกงงงวย “ตามรุ่นแล้ว เสนาบดีหลู่และคนต่ําต้อยผู้นี้เป็นญาติโดยการแต่งงาน และเราเป็นคนรุ่นเดียวกัน ท่านพ่อเป็นคนรุ่นเก่า สําหรับงานศพของสมาชิกรุ่นน้อง ทําไมท่านพอถึงต้องถูกเรียกมา ? สุขภาพของท่านพ่อไม่ค่อยดี และตอนนี้ท่านพ่อนอนหลับไปแล้ว”

 

“ไปนอนแล้วหรือ ?” หลู่ซ่งโกรธมาก “ด้วยเรื่องใหญ่ที่เกิดขึ้นในครอบครัว เขานอนหลับได้จริงหรือ ? ”

 

ใบหน้าของจิงจุนกลับกลายเป็นมืดครื้ม เขากล่าวอย่างเย็นชา “เสนาบดีหลู่ แม้ว่าข้าจะไม่มียศ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าข้าจะรู้สึกกลัว ตระกูลเหยาของข้าทําสิ่งที่ถูกต้องเสมอ วันนี้บุตรสาวของตระกูลหลู่เสียชีวิต ทําไมตระกูลเหยาของข้าถึงต้องนอนไม่หลับ หากเจ้ามีสิ่งที่จะพูด ข้ายืนอยู่ตรงนี้ต่อหน้าเจ้า แต่อะไรคือสิ่งที่ต้องมีท่านพ่อ เป็นไปได้หรือไม่ที่ห้องโถงไว้ทุกข์สําหรับลูกสาวตระกูลหลู่ของเจ้าจะต้องได้รับการดูแลจากคนรุ่นเก่า ?”

 

หลู่ซ่งรู้ด้วยว่าข้อกล่าวหาของเขาที่มีต่อเหยาเซียนไม่สามารถอุ้มน้ําได้ เดิมที่เขาไม่ต้องการเดินทางมาครั้งนี้ แต่มีบางอย่างเกิดขึ้นกับหลู่เหยา แต่ตระกูลเหยาได้จัดการเรื่องนี้ด้วยวิธีนี้ เมื่อมาถึงใบหน้าของเขา เขาไม่สามารถจัดการได้อย่างแท้จริง ! นอกจากนี้ศพของหลู่เหยายังคงอยู่ที่ทางการ แต่ตระกูลเหยาไม่ได้ไปรับมัน สถานการณ์แบบนี้เป็นแบบไหน ?

 

เขาจ้องมองจิงจุน และขอร้องเขาว่า “ตระกูลเหยาต้องกลับไปรับศพของเหยาเอ๋อ ! ไม่ว่าจะพูดอะไรก็คือลูกสะใภ้ตระกูลเหยา !”

 

เหยาจิงจุนส่ายหัว “ข้าไม่มีอํานาจ”

 

“เจ้า”

 

“อะไร ? ” เหยาจิงจนรู้สึกงงงวย และมองหลู่ซึ่ง “เจ้าคือผู้ที่ได้รับตําแหน่งเสนาบดีฝ่ายซ้าย เจ้าจะไม่สามารถทําอะไรเพื่อนําศพของนางกลับมาได้ ข้าเป็นคนสามัญที่ไม่มีตําแหน่งใด ๆ ข้าจะทําได้อย่างไร”

 

“เหยาจิงจุน !” หลู่ซงตะโกนอย่างโกรธเคือง “อย่าปฏิเสธที่จะทํามันตอนนี้จนกว่าเจ้าจะถูกบังคับให้ต้องทํามากกว่านี้ ใครไม่รู้ว่าซูจิงหยวนเชื่อฟังเฟิงหยูเฮงคนเดียว นางเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลเหยาของเจ้า โดยธรรมชาติแล้วคําพูดของตระกูลเหยาของเจ้าควรมีน้ําหนักบ้าง !” 

 

“ใครแอบอ้างชื่อองค์หญิง ? ” ทันใดนั้นเสียงที่ดังมาจากข้างหลัง เฟิงหยูเฮงลงจากรถแล้วยืนตรงหน้าเสนาบดีหลู่ซ่ง ความตกใจทําให้หลู่ซึ่งต้องถอยกลับไป

 

“จิงจุน เจ้าไปขอความช่วยเหลือจากนางหรือ” ด้วยเหตุผลบางอย่างคําเหล่านี้ออกมาจากปากของหลู่ซ่ง การปรากฏตัวฉับพลันของเฟิงหยูเฮงทําให้เขารู้สึกค่อนข้างลําบาก เขาได้ยินมาว่าเฟิงหยูเฮงกําลังเที่ยวดูโคมไฟกับองค์ชายเก้าและองค์ชายเจ็ด ทําไมนางถึงกลับมาในเวลานี้ ?

 

“เจ้าว่าอะไร ข้าไปขอความช่วยเหลือหรือ ?” เหยาจิงจุนมองหลู่ซ่งใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความดูถูก “อาเฮงเป็นหลานสาวของข้า นางเป็นบุตรสาวของตระกูลเหยาตั๋วแต่แรก สิ่งนี้เรียกได้ ว่าช่วยเหลือหรือ ?”

 

“ใช่” หวงซวนอุทาน “คุณหนูของเราเป็นสมาชิกของตระกูลเหยา และเรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องกับคุณหนูเป็นเรื่องธรรมดา คุณหนูลงเอยด้วยการช่วยเหลือได้อย่างไร นอกจากนี้” นางจ้องมองที่หลู่ซ่ง “ตอนนี้ใครที่เอ่ยถึงเฟิงหยูเฮงเรื่อย ๆ ? เจ้าคือคนที่เลี้ยงดูนางหรือ แล้วตอนนี้ที่คุณหนูของเรายืนอยู่ตรงหน้าเจ้ากลัวหรือไม่ ?”

 

หลู่ซึ่งโกรธมากจนมีไฟลุกไหม้ในอกของเขา ยื่นมือของเขาชี้ไปที่หวงซวน “เจ้าเป็นแค่บ่าวรับใช้ เจ้าสามารถพิจารณาอะไรได้บ้าง เจ้ากล้าพูดกับเสนาบดีแบบนี้หรือ ?”

 

หวงซวนไม่ได้พูด ตามสถานะแล้วนางไม่มีสิทธิ์นี้ แต่เฟิงหยูเฮงกล่าวแทนนางว่า “นางเป็นบ่าวรับใช้ที่ตําหนักหยูส่งมาดูแลข้า แม้ว่าข้าจะไม่ด่าว่านาง ใต้เท้าหลู่กล้าสอนคนขององค์ชายหยู เช่นนี้แล้ว…. องค์หญิงผู้นี้จะส่งคนไปขอให้องค์ชายหยูมา ด้วยวิธีนี้ใต้เท้าหลู่สามารถดุบ่าวรับใช้นี้ต่อหน้าพระองค์ได้”

 

หลู่ซึ่งหายใจไม่ออกและเกือบจะหมดสติไปแล้ว แต่เขาไม่ต้องการฉีกหน้าใครบางคนต่อหน้าเฟิงหยูเฮง เขาทําได้แค่กล่าวว่า “สิ่งที่องค์หญิงจีอันพูดหมายถึงอะไร ? เจ้าหน้าที่ผู้ต่ําต้อยคนนี้ก็ไม่กล้า”

 

“มีอะไรที่เสนาบดีหลู่ไม่กล้าทํา ? ” นางมองหลู่ซ่ง “นี่คือทางเข้าคฤหาสน์ของตระกูลเหยา ใต้เท้าหลู่ยังยื่นมือมาหาตระกูลเหยา มีอะไรที่ใต้เท้าหลู่ไม่กล้าทํา โอ้ ถ้าองค์หญิงผู้นี้ได้ยินไม่ ผิด ใต้เท้าหลู่ก็พร้อมที่จะไปก่อกวนที่สํานักงานของเจ้าเมืองด้วยหรือ ?”

 

“จะเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นได้อย่างไร ? ” หลู่ซึ่งกระทืบเท้าด้วยความวิตกกังวล เมื่อไหร่ที่เขาบอกว่าเขาจะไปสร้างความวุ่นวายที่สํานักงานของเจ้าเมือง ? เขาแค่ต้องการเอาศพของหลู่เหยากลับมา เขาไม่ได้สนใจมากเกินไปเกี่ยวกับบุตรสาวคนนั้นโดยเฉพาะหลังจากที่หลู่เหยาทําลายใบหน้าของหลู่วิ่ง เขาเกลียดนางมากยิ่งขึ้น แต่เกลียดไปก็แค่นั้น นางยังคงเป็นบุตรสาวของเขา หากเขาอนุญาตให้ศพอยู่ในสํานักงานของเจ้าเมือง และอนุญาตให้ซูจิงหยวนตรวจสอบสิ่งต่าง ๆ ทุกอย่าง เขาจะไม่หลงเหลือใบหน้าใด ๆ “องค์หญิงจีอันคงเข้าใจผิด” เขาพยายามอย่างดีที่สุดที่จะพูดอย่างสงบกับเฟิงหยูเฮง “เจ้าหน้าที่ผู้ต่ําต้อยคนนี้มีความกังวลใจเกี่ยวกับบุตรสาวที่รักของข้า เป็นเพราะตระกูลเหยาที่ไม่ได้ไปเอาศพ และแม้แต่ตั้งห้องโถงไว้ทุกข์ในห้องโถงด้านข้าง”

 

“เสนาบดีหลู่ไม่รู้หรือ ? ” เฟิงหยูเฮงอธิบายให้เขาฟัง “หญิงสาวที่แต่งงานแล้วเปรียบเหมือนน้ําที่ล้น หากนางไม่มีชีวิตที่เป็นมงคลกับครอบครัวสามีของนาง นั่นเป็นเพียงวาสนาของนางเองที่ไม่ดี ถ้าเสนาบดีหลู่รู้สึกว่าการกระทําของตระกูลเหยานั้นไม่ดี งั้นสร้างห้องโถงไว้ทุกข์ในตระกูลหลู่ หากใต้เท้าต้องการจัดห้องโถงไว้ทุกข์ในห้องโถงหลัก ใต้เท้าหลู่สามารถทําได้ หากใต้เท้าหลู่ต้องการติดตั้งในห้องโถงด้านข้าง ใต้เท้าก็สามารถทําได้ มันสามารถฟุ่มเฟือยได้ตามที่ใต้เท้าหลู่ต้องการ แล้วยังไงต่อ?”

 

“เจ้า…” หลู่ซงตะโกนออกมาอีกครั้ง

 

แต่เฟิงหยูเฮงกล่าวต่อว่า “ตราบใดที่ตระกูลหลู่ตั้งห้องโถงไว้ทุกข์ในบ้านของตัวเอง บุตรสาวของจักรพรรดิจีอันจะต้องไปขออภัยโทษจากผู้ปกครอง และนําศพของหลู่เหยากลับมา แต่เมื่อทําสิ่งนี้เสร็จแล้วนั่นหมายความว่าหลู่เหยากลับสู่ตระกูลหลู่ และจะไม่มีความสัมพันธ์ใด ๆ กับตระกูลเหยาอีกต่อไป ตระกูลเหยาจะออกหนังสือหย่าร้าง และทั้งสองครอบครัวจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน”

 

“ทําแบบนั้นไม่ได้!” หลู่ซ่งตกใจมาก “องค์หญิงจีอัน การถูกหย่าร้างเป็นความอัปยศอดสู เหยาเอ๋อไม่ได้ทําอะไรผิด การตายของนางก็ลึกลับเช่นกัน ตระกูลเหยาไม่มีเหตุผลที่จะหย่ากับนาง ! ”

 

เฟิงหยูเฮงยิ้ม “ใต้เท้าหลู่ไม่ต้องพูดเร็วว่าจะมีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นหรือไม่ ปัจจุบันศพยังอยู่ที่หน่วยงานของทางการ เจ้าเมืองซูจิงหยวนเป็นเจ้าหน้าที่ซื่อตรง ใครจะรู้ว่าเขาอาจค้นพบอะไร สําหรับตระกูลเหยาที่หย่านาง นั่นคือความตั้งใจของตระกูลหลู่ของเจ้า ใต้เท้าหลู่ไม่รู้สึกว่าการจัดงานศพของตระกูลเหยานั้นไม่เพียงพอใช่ไหม นั่นเป็นสาเหตุที่ตระกูลหลู่จะดําเนินการด้วยตัวเอง บุตรสาวที่แต่งงานแล้ว งานศพของนางจัดโดยครอบครัวในวัยเด็กของนาง หมายความว่านางไม่มีครอบครัวของสามี แต่ครอบครัวของสามียังคงมีอยู่อย่างชัดเจน ซึ่งหมายความว่าการหย่าร้าง เป็นทางเลือกเดียวที่เหลืออยู่” นางยักไหล่ “นั่นเป็นเหตุผลว่าทําไมทั้งหมดเป็นความปรารถนาของใต้เท้าหลู่เอง เรากําลังจะไปทํามัน”

 

หลู่ซ่งรู้สึกว่าไม่มีเหตุผลที่จะกล่าวกับเฟิงหยูเฮง องค์หญิงเป็นเหมือนองค์ชายองค์ที่เก้า จิตใจพวกเขาอยู่ในกลุ่มเดียวกัน ไม่ว่าพวกเขาจะพูดอะไรโดยใช้เหตุผลของอีกฝ่าย ตัวเขาเองนั้นช่างโง่เขลา เขาจะยืนขึ้นและพยายามให้เหตุผลกับชายาขององค์ชายองค์ที่เก้าได้อย่างไร นี่ไม่ใช่แค่การแสวงหาประสบการณ์ที่ขมขื่นหรอกหรือ ?

 

ดังนั้นหลู่ซ่งตัดสินใจว่าเขาจะไม่สนใจเฟิงหยูเฮง และกล่าวกับเหยาจิงจุน “ไปเรียกเหยาซูมาที่นี่ เหยาเซียนเป็นคนรุ่นเก่า แต่เหยาซูเป็นส่วนหนึ่งของคนรุ่นใหม่ ด้วยสิ่งต่าง ๆ ระหว่างพวกเขา ข้ายังเป็นพ่อตาของเขา ข้าอยากเห็นเขา หากเจ้าหยุดข้าต่อไป นั่นคงเป็นตระกูลเหยาที่กําลังทําผิด”

 

เหยาจิงจนพยักหน้า “แน่นอนสิ่งที่เสนาบดีหลู่พูดนั้นถูกต้อง” หลังจากพูดอย่างนี้แล้วเขาก็แจ้งบ่าวรับใช้ที่ข้าง ๆ ว่า “ไปเรียกคุณชายใหญ่มา”

 

บ่าวรับใช้ออกไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานเหยาซูออกมาจากคฤหาสน์

 

วันนี้ภรรยาของเขาเสียชีวิต แม้ว่าหัวใจของเหยาซูจะเยือกเย็นลงไปที่หลู่เหยา แต่นางก็ยังคงเป็นคนที่เขาใช้เวลาอยู่ด้วย นางจากไปอย่างกะทันหันแม้ว่าเขาจะไม่เจ็บปวด

 

มารยาทของเหยาซูนั้นเหมาะสมมาก เมื่อเห็นหลู่ซ่งเขาก็คํานับและทักทายเขา จากนั้นเขาก็ได้ยินหลู่ซ่งถาม “ลูกเขย เกิดอุบัติเหตุเกิดขึ้นกับเหยาเอ๋อวันนี้ และเสนาบดีผู้นี้ปรารถนาจะรู้ว่าเจ้ามีทัศนคติอย่างไรต่อเรื่องนี้”

 

เหยาซู่ขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาคิดว่าตระกูลหลู่จะมาเคาะประตู อย่างไรก็ตามเขาไม่เคยคิดเลยว่ามันจะเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้ มันเป็นวันที่ 15 ของเดือนแปด แต่พวกเขาก็ไม่อนุญาตให้ผ่านไปอย่างสงบสุข

 

เขาทําแผนของตัวเอง เมื่อได้ยินคําถามนี้เขาไม่ลังเลเลย เขาป้องมือของเขาและกล่าวว่า “ในเมื่อท่านพ่อตามาที่นี่ ข้าปรารถนาที่จะถามทัศนคติของเรา คนรุ่นใหม่จะให้สิ่งหนึ่ง วันนี้หลู่เหยา และท่านแม่ตกลงไปในสระบัว เรารู้ด้วยว่าหลู่เหยานั้นว่ายน้ําเก่งมากและแน่นอนว่าจะไม่ถูกทิ้งให้เคลื่อนไหวไม่ได้เพราะสระบัว นั่นเป็นสาเหตุที่เราสงสัยว่าหลู่เหยาลงไปในน้ําอย่างจงใจ สําหรับท่านแม่ของข้า นางถูกหลู่เหยาดึงลงไปในน้ําอย่างจงใจ ในเรื่องที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ ตระกูลเหยาได้ตัดสินใจที่จะรายงานเรื่องนี้ขอรับ !”

 

ตอนที่ 716 โคมไฟที่สวยงามในวันขึ้น 15 ค่ํา

 

ตําหนักปิงมาเชิญนาง แต่ไม่เคยคิดเลยว่าพวกเขาจะวิ่งเข้าไปหาซวนเทียนหมิง และซวนเทียนฮั่ว ในขณะที่ทั้งสองฝ่ายมองหน้ากัน และบ่าวรับใช้ของตําหนักยิ่งรู้สึกอึดอัดใจมากยิ่งขึ้น

 

ซวนเทียนหมิงถามเขาว่า “องค์ชายสีจัดโคมไฟในพระราชวังของพระองค์มากเท่าไหร่? ”

 

ก่อนที่บ่าวรับใช้จะตอบ เฟิงเซียงหรูตะโกนออกมาจากภายในรถ “ไม่ว่ามากแค่ไหนข้าก็ไม่ไป 1 กลับไปแล้วบอกให้พระองค์ดูเอง !”

 

ซวนเทียนหมิงกางมือ “เจ้าได้ยินแล้ว กลับไปบอกองค์ชายของเจ้าด้วย”

 

บ่าวรับใช้ไม่มีความสุขเพราะเขาทําได้แค่กัดฟัน และขอร้องเฟิงเซียงหรูอีกสักพัก เมื่อเห็นว่าเฟิงเซียงหรูไม่ยอมลดละ เขาก็ไม่สามารถทําอะไรกับมันได้ ดังนั้นเขาจึงแสดงความเคารพต่อซวนเทียนหมิงและซวนเทียนฮั่วแล้วเดินกลับไป อย่างไรก็ตามเขาได้ยินเฟิงเซียงหรูกล่าวว่า “หลังจากที่พระองค์ดูโคมไฟเสร็จแล้ว ให้พระองค์เขียนสิ่งที่พระองค์เรียนรู้ จากนั้นให้พระองค์ปักฉากของโคมไฟที่แขวนในตําหนักปิง ข้าให้เวลาพระองค์ครึ่งเดือน หลังจากครึ่งเดือนข้าจะเข้าไปที่ ตําหนักปิงเพื่อรับงานปัก”

 

บ่าวรับใช้มีสีหน้าขมขื่น เขาไม่สามารถเชิญคนผู้นั้นไปได้และลงเอยด้วยการรับภารกิจที่จะนํากลับไป ใครจะรู้ว่าเขาจะจบลงด้วยการถูกโบยจนผิวของเขาฉีกขาดหลังจากเขากลับไปหรือไม่

 

เมื่อมองจากรถม้าของตําหนักปิงกลับไป กลุ่มของซวนเทียนหมิงก็ปินกลับเข้าไปในรถม้า ในเวลานี้พวกเขามองข้ามและเห็นว่าเฟิงเซียงหรูไม่ได้มีความกล้าหาญอีกต่อไป นางนั่งอยู่ไกลที่สุด ในรถม้าโดยก้มหน้าลง ใบหน้าของนางเป็นสีแดงและไม่กล้าแม้แต่จะมอง

 

ซวนเทียนหมิงหัวเราะและถามเฟิงหยูเฮง “ความกล้าหาญก่อนหน้านี้ของน้องสาวเจ้าหายไปไหนแล้ว ?”

 

เฟิงเซียงหรูก้มหน้าลงมากขึ้น

 

ซวนเทียนฮั่วค่อนข้างเชี่ยวชาญในการทําความเข้าใจความรู้สึกของผู้อื่น และไม่ได้พูดอะไรเลย เขานั่งลงในจุดเดิมของเขา รถม้าของราชสํานักออกเดินทางอีกครั้งและมุ่งหน้าไปยังถนนที่มีชีวิตชีวาที่สุดในเมืองหลวง

 

ตอนแรกพวกเขาคิดว่าพวกเขาจะไปดูโคมไฟกันก่อน อย่างไรก็ตามพวกเขาประเมินการรบกวนที่อาจเกิดจากองค์ชายสองคนต่ําเกินไป โดยธรรมชาติแล้วไม่จําเป็นต้องพูดถึงซวนเทียนฮั่ว เขาได้รับการขัดเกลาจนเหมือนเทพเซียนและทําให้ผู้คนไม่กล้าเข้าใกล้ พวกนางจะมองจากที่ไกล ๆ สําหรับใบหน้าของซวนเทียนหมิงหลังจากที่เขาถอดหน้ากากออกมา ผู้คนต่างก็เกลียดว่าพวก เขาไม่สามารถทนรู้สึกได้ ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงเมื่อพวกเขาเดินผ่าน สายตาของทุกคนก็จะมองเน้นไปที่พวกเขา สิ่งนี้ทําให้เฟิงหยูเฮงต้องการที่จะควักลูกตาของคนที่มองซวนเทียนหมิงอย่างแท้จริง

 

โชคดีที่มีพ่อค้าแม่ค้าไม่กี่รายที่ขายหน้ากาก เพื่อให้เข้ากับบรรยากาศเฉลิมฉลอง หน้ากาก ซึ่งมีสีสันและสวยงามมาก เฟิงหยูเฮงเลือกหน้ากากจิ้งจอกสําหรับซวนเทียนฮั่ว หน้ากากเสือสําหรับซวนเทียนหมิง และหน้ากากปีศาจสําหรับเฟิงเซียงหรู ตัวนางเองสวมหน้ากากมนุษย์

 

ด้วยหน้ากากที่ปิดบังใบหน้าของพวกเขา แม้แต่เฟิงเซียงหรูผู้ซึ่งตามหลังซวนเทียนฮั่วมาตลอดก็พบความกล้าหาญที่จะกล้าเดินกับเขา นางยังสามารถสร้างเรื่องตลกกับเฟิงหยูเฮง และเรียกซวนเทียนหมิงว่าพี่เขยรองซึ่งทําให้บรรยากาศร่าเริงมาก

 

มันเป็นเพียงการจ้องมองของเฟิงเซียงหรูยังคงอ้อยอิ่งอยู่ที่ซวนเทียนฮั่ว นางไม่กล้ามองเขาโดยตรง นางมองจากด้านข้างไม่กี่ครั้งเท่านั้น ส่วนใหญ่นางจะมองเขาจากด้านหลัง แต่ยิ่งนางมอง นางก็ยิ่งรู้สึกว่าองค์ชายเจ็ดอยู่ไกลจากนางมาก เขาอยู่ไกลจนนางไม่สามารถติดต่อเขาได้ นางไม่กล้าแม้แต่จะแอบแตะแขนเสื้อของเขา ความรู้สึกที่กล้าหาญและผ่อนคลายที่นางมีเมื่อเผชิญหน้ากับองค์ชายสี่, ซวนเทียนยี่ไม่สามารถรู้สึกได้เมื่อต้องรับมือกับซวนเทียนฮั่ว ตราบใดที่ซวนเทียนฮั่วยังอยู่ นางก็จะเป็นเฟิงเซียงหรูในอดีต คุณหนูสามของตระกูลเฟิงมีความกล้าหาญน้อยที่สุด เฟิงเซียงหรูต้องการเปลี่ยนตนเอง อย่างไรก็ตาม นางไม่สามารถเปลี่ยนตัวเองได้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

 

ขณะที่นางกําลังคิด นางก็หยุดให้ความสนใจขณะเดิน ในเวลานี้ร้านค้าบนชั้นสองก็เริ่มจุดพลุดอกไม้ไฟ รอยแตกและเรียบทําให้เกิดความปั่นปวนด้านล่าง ผู้คนตะโกนและกระโดดหนีไป ซวนเทียนหมิงยังดึงเฟิงหยูเฮงออกไปในเวลาที่เหมาะสม อย่างไรก็ตามเฟิงเซียงหรูก็มาช้าเพราะนางตกตะลึง ดอกไม้ไฟเล็ก ๆ ระเบิดขึ้นมาใกล้เท้าของนาง และนางก็ส่งเสียงกรี๊ด นางถอยกลับไปหนึ่งก้าว แต่พบว่ากลุ่มของเฟิงหยูเฮงได้ไปไกลแล้ว

 

ทันใดนั้นนางก็รู้สึกกลัวมาก ดอกไม้ไฟระเบิดและมีชีวิตชีวามาก ผู้คนมารวมตัวกัน เพื่อชื่นชมพวกเขา จากควันที่มาจากดอกไม้ไฟ นางสามารถเห็นได้ว่าคนสามคนในหน้ากากมาหา นางเห็นได้ชัดว่าเป็นคนที่อยู่ใกล้นางที่สุด แต่ในขณะนี้พวกเขาดูไม่คุ้นเคย

 

เฟิงเซียงหรูคิดว่าหากเป็นองค์ชายสี่, ซวนเทียนฮั่วที่อยู่ข้าง ๆ นางเมื่อดอกไม้ไฟพุ่งขึ้น ผลก็จะแตกต่างกันหรือไม่ ?

 

นางยังจําได้ว่าครั้งหนึ่งในตําหนักปิง เมื่อซวนเทียนยี่ล้มป่วยและรังแกนางในการเตรียมยาเป็นการส่วนตัว ด้วยเหตุผลบางอย่างนางเริ่มรู้สึกง่วงนอน ในขณะที่ทํางานกับยา นางก็ผล็อยหลับไป เป็นผลให้ไฟหลุดจากการควบคุม และนางก็ถูกปลุกให้ตื่นด้วยไฟ เมื่อนางตื่นขึ้น ใบหน้าของซวนเทียนฝึกดําไปด้วยเขม่าและพานางออกไป บ่าวรับใช้ข้างนอกกําลังสาดน้ํา ซวนเทียนใช้ร่างกายของเขาเพื่อปกปิดตัวนางอย่างแน่นหนา และนางก็ไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย อย่างไรก็ตามเขาถูกกระเบื้องหลังคาตกลงมาใส่และแขนของเขาบาดเจ็บ

 

เร็วมาก ดอกไม้ไฟก็ดับลง และเฟิงหยูเฮงเองก็พาเฟิงเซียงหรูกลับมา จากนั้นนางก็แนะนํา ให้เปยจื่อและหวงซวนดูแลนาง เวลาที่เหลืออยู่โดยไม่มีการรบกวน แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างเฟิงเชียงหรูยังคงเปรียบเทียนซวนเทียนยี่กับซวนเทียนฮั่ว จากการเปรียบเทียบนี้แม้ว่าซวนเทียนฮั่วจะได้รับการขัดเกลา และซวนเทียนยี่เป็นคนกักขฬะแม้ว่าเขานั้นจะเถียงกับนางตลอด ในช่วงเวลาที่สําคัญที่สุดเขาก็จะปกป้องนางได้เป็นอย่างดี เมื่อนางได้รับความเดือดร้อนจากความโศกเศร้า เขามักจะช่วยหาค่าตอบแทนบ้าง คนที่รังแกนางจะไม่มีจุดจบที่ดี

 

แต่… แม้ว่าซวนเทียนยื่นั้นยอดเยี่ยมในทุกวิถีทาง แต่ในใจนางภาพลักษณ์ของชวน เทียนฮั่วนั้นได้ถูกตราตรึงลึกลงไปแล้ว มันเป็นเวลาสองปี ภาพนั้นมีมาตั้งแต่เมื่อนางอายุ 10 ขวบจนกระทั่งนางอายุ 12 ขวบ มันกลายเป็นนิสัยไปแล้ว เฟิงเซียงหรูนึกภาพไม่ออก ถ้ามีวันหนึ่งที่นางไม่ต้องการซวนเทียนฮั่วอีกต่อไป ชีวิตนั้นจะเป็นอย่างไร ?

 

ถนนทั้งหมดเต็มไปด้วยโคมไฟ ในที่สุดกลุ่มก็ไม่สามารถหยุดความเหนื่อยล้าและหาร้านอาหารเพื่อพักผ่อน ในขณะที่พวกเขาทานอาหาร ซวนเทียนฮั่วก็เริ่มพูดเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในภาคตะวันออก เขาบอกพวกเขาว่า “ข้ากลัวว่าข้าจะต้องมุ่งหน้าไปทางตะวันออกอีกครั้งในปีหน้า แม้ว่าซงซุยจะไม่ได้เคลื่อนไหวตลอดเวลา แต่ข้าก็ยังรู้สึกว่ามีอันตรายซ่อนอยู่ ถ้าข้าไม่ไปดูด้วยตาของตัวเอง ข้ารู้สึกไม่สบายใจ”

 

ซวนเทียนหมิงพยักหน้าและกล่าวว่า “หลังจากปีใหม่ข้าจะมุ่งหน้าไปภาคใต้ ถ้าข้าไปที่สถานที่ที่พี่แปดอยู่ในภายหลัง ข้ากลัวว่าการต่อสู้จะเริ่มขึ้น”

 

“เจ้าจะต่อสู้ต่อไปหรือไม่ ? ” ซวนเทียนฮั่วยิ้มอย่างหงุดหงิด “ระหว่างงานเลี้ยงวันนี้เจ้าหน้าที่จากภาคใต้มีความคิดแปลก ๆ ขึ้นมาอย่างชัดเจน ใครจะรู้ว่าน้องแปดสัญญาอะไรกับพวกเขา ราชสํานักเล็ก ๆ ในภาคใต้ดูเหมือนจะมีชีวิตชีวามาก”

 

เฟิงหยูเฮงเริ่มขมวดคิ้วในขณะที่ฟัง “ไม่ใช่ว่าภาคใต้เคยอยู่ใต้บังคับบัญชาของแม่ทัพปิงหนานหรอกหรือ มันจะวุ่นวายได้อย่างไร?”

 

ซวนเทียนฮั่วยิ้มอย่างขมขื่นและส่ายหน้า “แม่ทัพบังหนานอายุมากแล้ว เขาส่งมอบกองทหารของเขามานานแล้วและออกจากราชสํานัก สําหรับบุตรชายของเขาที่เกิดจากฮูหยินใหญ่ของเขา, ซีเต่า เพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายไม่ได้รับกองทัพในภาคใต้ เขากลับไปที่ตะวันออกเฉียงใต้แทน เขาเป็นเพียงรองผู้บัญชาการที่มีทหาร 50,000 นาย เรื่องนี้ได้รับอนุญาตให้น้องแปดแอบเข้าไปในช่องนี้ ในช่วงเวลาสั้น ๆ เพียงไม่กี่ปีเขาก็เปลี่ยนภาคใต้ ปัจจุบันภาคใต้ไม่ได้เป็นอย่างที่เคยเป็นมาก่อน”

 

“ฮ่องเต้ไม่สนใจเรื่องนี้หรือเจ้าคะ ?” คนที่ถามคือเฟิงเซียงหรู นางรู้สึกสับสนมาก “ฝ่าบาทโปรดปรานองค์ชายเก้าเสมอมาไม่ใช่หรือเจ้าคะ ? ทําไมฮ่องเต้ยังคงอนุญาตให้องค์ชายแปด. กระทําการอย่างดุเดือด ?”

 

เฟิงหยูเฮงลูบหัวของเฟิงเซียงหรู “เด็กน้อยมีความคิดเป็นของตัวเอง”

 

เฟิงเซียงหรูก้มหัวลงแล้วจ้องมองที่ซวนเทียนฮั่วด้วยความอาย ใบหน้าของนางก็กลายเป็นสีแดงอีกครั้ง

 

เฟิงหยูเฮงยังทําอะไรไม่ถูกและไม่สามารถเพิกเฉยได้ จากนั้นนางก็ถามคําถามของเฟิงเซียงหรูกับองค์ชายทั้งสองอีกครั้ง เห็นได้ชัดว่านางมีความคิดเดียวกัน

 

ซวนเทียนหมิงบอกกับนางว่า “มันไม่เหมือนที่เสด็จพ่อโปรดปรานข้าตั้งแต่แรก ความไว้วางใจของท่านพ่อเพิ่งเริ่มสร้างขึ้นอย่างแท้จริงในช่วงสองหรือสามปีที่ผ่านมา ก่อนหน้านี้เสด็จพ่อหวังให้องค์ชายทั้งหมดเปล่งประกายสดใส เสด็จพ่ออนุญาตให้ทุกคนได้รับประโยชน์จากความสามารถของพวกเขา ในท้ายที่สุดทั้งเก้าคนจะแข่งขันเพื่อจุดมุ่งหมายเดียวกัน”

 

ซวนเทียนฮั่วพยักหน้า “ ใช่แล้ว สําหรับเรา เสด็จพ่อเป็นผู้ปกครองอันดับแรก และเป็นบิดา อันดับที่สอง สิ่งที่เสด็จพ่อคิดเกี่ยวกับสิ่งแรกและสําคัญที่สุดคือสิ่งที่องค์ชายสามารถทําให้อาณ าจักรดีขึ้น หลังจากนั้นบุตรชายคนไหนที่เสด็จพ่อทรงโปรดปรานมากที่สุด สําหรับเสด็จพ่อ ราชวงศ์ต้าชุนนั้นสําคัญที่สุด เป็นเพียงความคิดของเสด็จพ่ออาจเปลี่ยนไปในช่วงสองปีที่ผ่านมา นอกจากนี้หมิงเอ๋อยังแสดงให้เห็นถึงโอกาสที่สดใสกว่าองค์ชายคนอื่น ๆ นอกจากนี้เขามีเจ้าอยู่เคียงข้างเขา การลงมติของฮ่องเต้ผู้แข็งกระด้างนี้เพื่อสนับสนุนเขา มันเป็นเพียงอํานาจที่เสด็จพ่อมอบให้คนอื่น ไม่ใช่สิ่งที่สามารถรื้อถอนได้ในเวลาอันสั้น”

 

เฟิงหยูเฮงยิ้ม “เพียงพอ” ผู้ปกครองในอดีตมีการคํานวณของตัวเอง นางคุ้นเคยกับการเห็นฮ่องเต้ซึ่งมักจะชื่นชมซวนเทียนหมิง และนางก็คุ้นเคยกับการเห็นความรู้สึกของฮ่องเต้ที่มีต่อพระชายาหยุน นางคุ้นเคยกับวิธีที่เท่าเทียมกันซึ่งฮ่องเต้ปฏิบัติต่อจางหยวน และนางก็คุ้นเคยกับการเห็นฮ่องเต้ไม่มีเหตุผล อย่างไรก็ตามนางลืมไปแล้วว่าฮ่องเต้ยังคงเป็นผู้ปกครองอาณาจักร ในที่สุด เขาก็เป็นเจ้านายของโลกนี้ ด้านหลังด้านนอกที่โง่เขลาของเขาคือดวงตาคู่หนึ่งที่มีความชัดเจน ไม่รู้ว่าฮ่องเต้จะรู้สึกเสียใจหรือไม่ว่าจะมีคนได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตมากเท่าใดในการต่อสู้ระหว่างองค์ชายทั้งเก้าครั้งนี้

 

“เมื่อเจ้าไปภาคใต้ในปีหน้า เจ้าจะไม่พาข้าไปด้วยใช่หรือไม่ ? ” นางจําได้ว่าซวนเทียนหมิงพูดกับนาง เพื่อให้ได้มาซึ่งบารมีทางทหารและเพื่อยับยั้งการร้องเรียนใด ๆ เขาต้องเดินทางไปภาคใต้ด้วยตัวเอง เขาต้องใช้ดาบและหอกเพื่อกวาดล้างบริเวณนั้น

 

ซวนเทียนหมิงลูบหัวของนาง “ข้าจะกลับมาให้เร็วที่สุด”

 

“แต่เมื่อเจ้าและพี่เจ็ดออกไปแล้ว เมืองหลวงจะต้องน่าเบื่ออย่างแน่นอน” นางยิ้ม แต่โบกมือนาง “ไม่เป็นไร เจ้าไปทําสิ่งที่เจ้าต้องทํา ข้าเคยพูดมาก่อน เมื่อผู้ชายออกไปต่อสู้ ข้าจะอยู่ในเมืองหลวงเพื่อดูแล ข้าจะดูแลมันให้ดีและรอให้เจ้ากลับมา”

 

ซวนเทียนหมิงไม่ลืมที่จะพูดกับซวนเทียนฮั่ว “ดูสิ นางไม่เหมาะสมหรือ ?”

 

ซวนเทียนฮั่วพยักหน้า “ใช่แล้ว ในอนาคตมารดาของทุกคนภายใต้สวรรค์จะเป็นฮองเฮาที่ยิ่งใหญ่อย่างแน่นอน”

 

กลุ่มพูดคุยและหัวเราะ และจบลงด้วยการดื่มสุราผลไม้จํานวนมากโดยที่พวกเขาไม่สังเกตเห็น เฟิงเชียงหรูหลังจากที่ดื่มสุราผลไม้ ความกล้าหาญของนางค่อย ๆ เพิ่มขึ้น ในขณะที่นางกล้าที่จะเผชิญหน้ากับซวนเทียนฮั่วโดยตรง แต่เมื่อนางมอง นางก็สังเกตเห็นร่องรอยจาง ๆ ของการปรากฏตัวขององค์ชายสี่บนใบหน้านี้ซึ่งเป็นเหมือนเทพเซียน นางขยี้ตาอย่างโมโห อย่างไรก็ตามลักษณะของซวนเทียนยี่ก็ชัดเจนขึ้นและชัดเจนขึ้น เฟิงเซียงหรูมองมาจากถ้วยด้วยความโกรธ

 

ในเวลานี้เสียงฝีเท้าเร่งด่วนมาจากบันไดของโรงเตี้ยม รอยเท้าเดินตรงไปที่โต๊ะของเฟิงหยูเฮง เมื่อมาถึงโดยไม่มีเวลามาทักทายองค์ชายทั้งสอง คนนั้นพูดกับเฟิงหยูเฮงว่า “ในที่สุดข้า ก็พบคุณหนู กลับไปเร็วเจ้าค่ะ ตระกูลหลู่มา และสร้างปัญหา !”

 

ตอนที่ 715 เฟิงเซียงหรู, รู้จักองค์ชายสี่ดีจริงๆ

 

เมื่อเอ่ยถึงการหาคู่ครอง คนแรกที่ซวนเทียนฮั่วคิดว่าเป็นบุตรสาวคนที่สามของตระกูลเฟิง เขาจึงโบกมือ “เป็นเรื่องที่ดีสําหรับข้าที่จะอยู่คนเดียว นอกจากนี้แม้ว่าน้องสามของเจ้าจะมา แต่ส่วนใหญ่นางก็จะก้มหัวลงและอยู่ด้านหลังใช่หรือไม่ ? ไม่มีความแตกต่างจากการที่ข้าเดินคนเดียว”

 

เฟิงหยูเฮงยิ้มอย่างชั่วร้าย “ทําไมเมื่อข้าจะจับคู่ พี่เจ็ดถึงคิดว่าเป็นเฟิงเซียงหรู ? เป็นไปได้หรือไม่ที่ท่านพี่จะโหยหาผู้หญิงคนนั้น ?”

 

ซวนเทียนฮั่วยิ้มอย่างขมขื่นและถามซวนเทียนหมิง “นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในใจของผู้หญิงคนนี้ตลอดทั้งวันงั้นหรือ ? ”

 

ซวนเทียนหมิงรู้ได้อย่างไรว่าผู้หญิงคนนี้กําลังคิดอะไรอยู่ เขาส่ายหัวอย่างไร้ประโยชน์และแบมือพื่อแสดงว่าเขาไม่สามารถทําอะไรได้เลย

 

ซวนเทียนฮั่วก็พูดกับเฟิงหยูเฮงแล้วเท่านั้น “เหตุผลที่ข้าคิดว่าน้องสามของเจ้าคือเจ้าต้องการผลักนางมาอยู่ข้างข้า ประการที่สองข้ายังไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กับเด็กผู้หญิง นอกจากเทียนเก้อ ข้าไม่สามารถนึกถึงคนอื่นได้”

 

เฟิงหยูเฮงยิ้มเยาะ “เทียนเก้อเป็นน้องสาวของพี่เจ็ด เราจะไม่นับ” จากนั้นนางก็คิดขึ้นมาว่า “ถ้าพี่เจ็ดไม่ชอบเซียงหรูก็มีทางเลือกอื่น”

 

ทั้งสองงงงวย “มีใครอยู่อีก ? ”

 

นางกล่าวว่า “เฟิงจาวเหลียน

 

ซวนเทียนฮั่วพูดไม่ออก “ลืมไปเถิด ข้าจะไปกับเชียงหรู !”

 

ดังนั้นเฟิงหยูเฮงหัวเราะเสียงดัง และบอกให้เปยจื่อไปที่บ้านของตระกูลเฟิงก่อนเพื่อรับเฟิงเชียงหรูขึ้นมา เปยจื่อเพิ่งได้ยินเสียงหัวเราะที่มาจากภายในรถม้าและเขาไม่รู้ว่าพวกเขาหัวเราะอะไร แต่มุมปากของเขาก็เริ่มขดตัวโดยที่เขาไม่สังเกต หวงซวนบอกเขาว่า “แม่นางเปยดีขึ้นมาก คุณหนูกล่าวว่านางจะเหมือนเดิมเมื่อก่อนปีใหม่” เปยจื่อยิ้มมากยิ่งขึ้น

 

รถม้าของราชสํานักมาถึงที่ทางเข้าบ้านของตระกูลเฟิง และหวงซวนกระโดดลงมา เพื่อเชิญเฟิงเซียงหรู หลังจากนั้นไม่นานเฟิงเฟินไดก็ออกมาจากข้างใน นางเปลี่ยนชุดที่นางใส่ตอนกลางวัน และตอนนี้นางสวมชุดสีชมพูยาว ๆ มันสวยงามมาก

 

ในคืนนี้อารมณ์ของเฟิงหยูเฮงดีมาก นางเอนตัวออกจากหน้าต่างแล้วเห็นและตะโกนว่า “น้องสี่ เจ้าจะออกไปดูโคมไฟหรือ ? ชุดของเจ้าสวยมาก” หลังจากพูดแล้วนางก็มองลงไปอีกฝั่งหนึ่งของถนนว่า “รถม้าขององค์ชายห้ายังไม่มาเลย ทําไมเจ้าไม่รออีกซักหน่อย ?”

 

เฟิงเฟินไดเห็นเพิงหยูเฮง และอารมณ์ของนางก็ดิ่งลงทันที การควบคุมตนเองของนางก็แย่ลงเล็กน้อย ขณะที่นางขมวดคิ้วและมองด้วยสายตาที่ดูถูกเหยียดหยาม นางคิดอยู่เสมอว่า เพราะนี่คือรถม้าขององค์ชายเก้า จึงเป็นการดีที่สุดที่จะไม่พูดมากจนเกินไปและต้องสูญเสีย แต่นางต่อต้านเฟิงหยูเฮงตั้งแต่ยังเด็กและมันก็กลายเป็นนิสัย ตอนนี้เฟิงหยูเฮงอยู่ตรงหน้านางและใช้ความคิดริ เริ่มที่จะพูด นางจะยอมรับได้อย่างไรถ้านางไม่พูดสักสองสามคํา ? ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด องค์ชายเก้าจะหยิ่งแค่ไหน เขาก็ต้องไว้หน้าพี่ชายของเขาไม่ใช่หรือ ?

 

เมื่อคิดเช่นนี้ เฟิงเฟินไดก็มีความกล้าพอสมควร ยกชุดของนาง นางใช้เวลาสองก้าวในทิศทางของเฟิงหยูเฮง และกล่าวด้วยความเป็นปฏิปักษ์ที่ยิ่งใหญ่ “พี่รองอารมณ์ดี มันคืออะไร เจ้าจะดูโคมไฟหรือ ?”

 

เฟิงหยูเฮงพยักหน้า “ใช่ ข้ามารับเซียงหรู”

 

เมื่อได้ยินว่านางมารับเฟิงเซียงหรู เฟิงเฟินไดก็ยิ่งโมโหมากขึ้น พวกเขาทั้งสองเป็นน้องสาวที่ เกิดมาต่างมารดา ดังนั้นทําไมเฟิงเซียงหรูจึงได้รับประโยชน์ทั้งหมด ในขณะที่นางไม่ได้อะไรเลย ?

 

“หืมม ! ” เฟิงเฟินไดตะโกนอย่างเย็นชา “ตระกูลเหยากําลังทําพิธีศพในวันนี้ นั่นคือหลู่เหยา ซึ่งถือเป็นลูกพี่ลูกน้องของเจ้า แทนที่จะยืนเฝ้าศพ เจ้าไม่รู้สึกละอายกับการเดินเล่นตามท้องถนนบ้างหรือ ?”

 

เฟิงหยูเฮงไตร่ตรองสักครู่แล้วพยักหน้า “ถ้าเจ้าพูดแบบนั้น จริง ๆ แล้วมันไม่เหมาะสมเลยที่จะเดินไปตามถนนในวันนี้”

 

“ใช่แล้ว” เฟินไดกล่าวขณะที่มองนาง “งั้นเจ้าก็รีบกลับไปเร็ว”

 

“ได้” เฟิงหยูเฮงซื่อตรงมาก “ข้าควรกลับไปยืนเฝ้าศพ เช่นนั้นน้องสี่ควรรีบกลับไปที่ห้องของเจ้าอย่างรวดเร็ว และเปลี่ยนชุดที่แสดงออกถึงความสุขเหล่านี้ให้เป็นชุดไว้ทุกข์ ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่นี้ หลังจากที่เจ้าเปลี่ยนชุดแล้ว เราจะไปที่คฤหาสน์เหยาด้วยกัน”

 

เฟิงเฟินไดงงงวย “ทําไมข้าต้องไป ? เจ้ามาจากตระกูลเหยา ข้าไม่ใช่ !”

 

“เจ้าพูดเหล่านี้ออกมาได้อย่างไร ? ” ใบหน้าของเฟิงหยูเฮงดูดุดันและเริ่มตําหนินาง “เราทั้งคู่ต่างแซ่เฟิง เราทั้งคู่เป็นบุตรของตระกูลเฟิง ดูสิ ข้าเป็นบุตรสาวของฮูหยินใหญ่ ตามกฎของราชวงศ์ต้าชุน บุตรสาวของอนุในครอบครัวจะต้องนับถือบรรพบุรุษเดียวกันกับบุตรของฮูหยินใหญ่ ครอบครัวของมารดาจะต้องอาศัยบุตรของฮูหยินใหญ่ นั่นคือเหตุผลที่หลู่เหยาไม่ได้เป็นเพียงลูกพี่ลูกน้องของข้า นางยังเป็นลูกพี่ลูกน้องของเจ้าและเซียงหรูด้วย เจ้าอย่าทําตัวไม่สุภาพ กลับไปเปลี่ยนชุดเร็ว ในช่วงเวลาหนึ่งเมื่อองค์ชายห้ามาถึง เราก็สามารถพาพระองค์ไปไหว้ได้”

 

ด้วยคําพูดเหล่านี้ เป็นไดจึงเหี่ยวแห้ง เฟิงหยูเฮงพูดถูก หากสิ่งต่าง ๆ ถูกวิเคราะห์อย่างแท้จริง นางควรจะไปกับเฟิงหยูเฮง ถ้าเฟิงหยูเฮงต้องยืนเฝ้าศพ นางก็จะได้รับผลกระทบและต้องยืนเฝ้าศพเช่นกัน ความผิดของใครที่เฟิงหยูเฮงเป็นบุตรของฮูหยินใหญ่ และนางเป็นบุตรของอนุ

 

การแบ่งระหว่างตําแหน่งทั้งสองทําให้เฟินไดกัดฟันของนาง นางจะทําอย่างไร ฮันชิเสียชีวิตไปแล้ว ดังนั้นนางจึงไม่มีทางหวังว่าจะได้ตําแหน่งบุตรสาวของฮูหยินใหญ่ในชีวิตนี้ นางอดไม่ได้ที่จะเกลียดกฏและนึกสาปแช่งราชวงศ์ต้าชุน ในใจของนางความคิดก็ปรากฏขึ้นทันที หากองค์ชายห้าสามารถเป็นฮ่องเต้ได้ เขาจะสามารถเปลี่ยนกฎแบบนี้ได้หรือไม่ ? ในเวลานั้นนางจะเป็นพระชายาเอกและจะกลายเป็นฮองเฮา นางจะเป็นมารดาของแผ่นดิน ใครจะกล้าดูถูกนาง ? 

 

เมื่อนางคิด และมุมปากของนางก็เริ่มขดตัว คนทั้งหมดของนางเริ่มมีชีวิตชีวา

 

เฟิงหยูเฮงยังคงเอนตัวออกจากหน้าต่างและดูการเปลี่ยนแปลงบนสีหน้าของเฟินได มันจะหนีจากดวงตาของนางได้อย่างไร นางแค่ไม่เข้าใจเด็กคนนี้ไร้เดียงสาจริงหรือ ความคิดที่สดใสของนางมาจากไหน ?

 

“ข้าได้ยินมาว่าแม้แต่คนของตระกูลหลู่ก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรมากมายและไม่ได้ไปยังคฤหาสน์เหยา ดังนั้นเจ้าควรไปดูพลุ!” เฟินไดก็ยอมแพ้กับวิธีการก่อนหน้านี้ของนาง และเปลี่ยนแผนของนาง “การดูพลุนั้นดีมาก มีแค่ปีละครั้ง เจ้าควรมีความสุขกับตัวเองอย่างเหมาะสม” หลังจากพูดแล้วนางก็ยกชุดและมุ่งหน้าไปที่รถม้าที่มาช้า

 

เฟิงหยูเฮงลดม่านและแบมือเมื่อพูดกับคนที่อยู่ข้างใน “ผู้หญิงคนนั้นอยากจะเป็นฮองเฮามากที่สุด และวางข้าเป็นบุตรสาวของฮูหยินใหญ่ไว้ใต้ฝ่าเท้าของนางในขณะที่เปลี่ยนกฏของราชวงศ์ต้าชุน ฮ่า ๆ แค่ดูรูปลักษณ์ที่ร่าเริงของนาง ในฐานะพี่สาวของนาง ข้ารู้สึกอายเกินกว่าที่จะทําลายความฝันของนางต่อหน้านาง ท้ายที่สุดการมีความฝันเป็นสิ่งที่ดี ถ้าเป็นความจริงสักวันหนึ่ง !”

 

“เป็นไปได้หรือ ?” ซวนเทียนหมิงกล่าวด้วยความรังเกียจ “ใครจะรู้ว่าบุตรสาวของตระกูลเฟิงถูกสอนอะไรตั้งแต่วัยเด็ก ทําไมพวกเขาทั้งหมดต้องการเป็นฮองเฮา ?”

 

ซวนเทียนฮั่วโกรธมาก “พวกนางคิดว่าตําแหน่งฮองเฮาเป็นเรื่องง่ายหรือไม่ ? หรือพวกนางรู้สึกว่าการเป็นฮองเฮานั้นสบายมาก ? การเป็นมารดาของแผ่นดินจะเป็นไปได้อย่างง่ายดายเพียงแค่พูดได้อย่างไร ภาระที่วางไว้บนไหล่นั้นไม่ใช่สิ่งที่ใคร ๆ สามารถจินตนาการได้”

 

ซวนเทียนหมิงหยุดเขาอย่างรวดเร็วจากการดําเนินการต่อ “อย่าเทน้ําเย็นราดศีรษะเด็กผู้หญิง เกิดอะไรขึ้นถ้านางกลัวและยอมแพ้ครึ่งทาง ชายชราก็จะบ้าไปแล้ว”

 

ซวนเทียนฮั่วตกตะลึง และในที่สุดก็รู้ว่าฮองเฮาราชวงศ์ต้าชุนในอนาคตน่าจะเป็นเฟิงหยูเฮง และเขาไม่สามารถพูดได้ว่านางควรจะมีความสุขหรือไม่ หลังจากคิดไปซักพัก เขาก็สงบลงแล้วเตือนนางว่า “ในอนาคตเมื่อเจ้าเข้าไปในพระราชวังและกลายเป็นฮองเฮา เจ้าจะไม่สามารถทําสิ่งต่าง ๆ ได้ตามที่เจ้าต้องการ”

 

เฟิงหยูเฮงขมวดคิ้ว “ถ้าอย่างนั้นข้าจะไม่เข้ารับตําแหน่งเลย”

 

“เจ้ามีความคิดที่ลึกซึ้ง” ซวนเทียนหมิงกล่าวพร้อมกับซวนเทียนฮั่ว ซวนเทียนฮั่วก็แนะนํานางว่า “ทําได้เลย หากเจ้าไม่เข้ารับตําแหน่งฮองเฮา อาจไม่มีใครในราชวงศ์ต้าชุนที่สามารถทําได้”

 

ในขณะที่พวกเขาพูดกัน เฟิงเซียงหรูก็มาถึงนอกรถ พวกเขาได้ยินนางพูดกับหวงซวน “โชคดีที่พี่รองมาถึงก่อนเวลา ถ้ามาช้า ข้ากลัวว่าข้าจะถูกชวนเทียนยี่ลากไป”

 

ได้ยินเสียงของหวงซวน “องค์ชายสี่ไม่สามารถออกจากพระราชวังได้ไม่ใช่หรือเจ้าคะ ? มันเป็นอะไรเพราะพระองค์เข้าไปในพระราชวังในตอนกลางวัน พระองค์ยังสามารถเดินเล่นตามถนนในตอนกลางคืนได้หรือเจ้าคะ ?”

 

เฟิงเซียงหรูกล่าวว่า “ในความฝันของพระองค์ ถ้าพระองค์กล้าเดินไปตามถนน ลองดูว่าฮ่องเต้จะไม่หักขาของพระองค์หรือ แต่บุคคลนั้นสามารถดึงความคิดแปลก ๆ ออกมาได้ ใครจะรู้ถ้าพระองค์จะจบลงด้วยการจัดเทศกาลโคมไฟในตําหนักปิง”

 

ฟังคําพูดของคนนอกรถม้า ซวนเทียนฮั่วรู้สึกตกใจเล็กน้อย เขาจ้องมองที่เฟิงหยูเฮง สายตาของเขาพูดชัดเจนว่า “นี่คือเฟิงเซียงหรู ?”

 

นางพยักหน้า อันที่จริงนี่คือเฟิงเซียงหรู

 

ข้างนอกเปยจื่อได้ยกม่านขึ้นแล้วเชิญเฟิงเซียงหรูขึ้นรถม้า เฟิงเซียงหรูก้มศีรษะของนางและปีนเข้าไปในรถม้าขณะที่เรียกเฟิงหยูเฮง “พี่รอง” หลังจากนั้นนางกล่าวเสริมว่า “พี่เขยรอง”

 

ซวนเทียนหมิงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “อ้าว องค์ชายผู้นี้รู้สึกว่าเจ้าแต่งตัวค่อนข้างดี”

 

เฟิงเซียงหรูกล่าวทันที “องค์ชายสี่สอนข้าเจ้าค่ะ พระองค์บอกว่าฝ่าบาทจะมีความสุขอย่างแน่นอน” เด็กสาวที่ปีนขึ้นไปครึ่งทางมองขึ้นมา และขอให้เฟิงหยูเฮง “ถ้าพี่รองจะไปดูโคมไฟทําไมพี่รอง…”

 

ปีก !

 

มองขึ้นไป นางมองเห็นซวนเทียนฮั่วทันที เด็กหญิงตัวเล็กเสียสมดุลและหล่นลงบันได

 

เฟิงหยูเฮงทําหน้าตาไร้เดียงสา “เจ้าต้องระวังมากกว่านี้ !”

 

เฟิงเซียงหรูร้อง นางต้องการที่จะระวังด้วย แต่… นางจ้องที่หวงซวนและกระซิบถามเบา ๆ ว่า “ทําไมเจ้าไม่บอกข้าก่อนหน้านี้ว่า…”

 

หวงซวนรู้สึกผิด “ข้าต้องการทําให้คุณหนูสามดีใจเจ้าค่ะ !”

 

“ดีใจตรงไหน มันน่าประหลาดใจมากกว่า !” เฟิงเชียงหรูคร่ําครวญโดยไม่มีน้ําตา ก้นของนางเจ็บจากการตก ลักษณะนี้น่าเกลียดเท่าที่จะทําได้ มีรอยร้าวบนพื้นหรือไม่ ? นางคลานได้หรือไม่ ? นางไม่ต้องการเห็นองค์ชายเจ็ดเช่นนี้ ! น่าอับอายอะไรเช่นนี้ !

 

“ส่งมือมาให้ข้า” ทันใดนั้นเสียงที่ดังมาจากเบื้องบนลอยอย่างชัดเจน ทันทีหลังจากนี้มือที่สวยงามก็ปรากฏตัวต่อหน้านาง แขนเสื้อสีขาวปัดแก้มของนางทําให้แก้มของเฟิงเซียงหรูเปลี่ยนเป็นสีแดงทันที แต่เสียงนั้นยังกล่าวต่อ “ส่งมือมาให้ข้า ข้าจะดึงเจ้าขึ้นมา”

 

นางเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย และเห็นคนเหมือนเทพเซียนเอนตัวและยืนอยู่นอกรถม้าของราชสํานัก พระจันทร์ขึ้น 15 ค่ําลอยอยู่บนท้องฟ้า ในช่วงเวลานั้นเฟิงเซียงหรูรู้สึกว่าถ้านางยื่นมือนางจริง ๆ นางคงดูหมิ่นเทพเซียนผู้นี้

 

นางลังเลและนั่งลงบนพื้น อย่างไรก็ตามในเวลานี้นางได้ยินรถม้าอีกคันวิ่งมาจากอีกฟากหนึ่งของถนน เฟิงหยูเฮงดึงซวนเทียนหมิงลงจากรถ นางจํารถม้าได้ทันทีเนื่องจากมีสัญลักษณ์ของตําหนักปิง

 

ถ้านางจํารถม้าของตําหนักปิงได้ เฟิงเซียงหรูก็จําได้ดีกว่า เพียงแค่มองแวบเดียวมันก็เหมือนกับว่าผู้หญิงคนนั้นได้รับความตกใจอย่างมาก นางไม่ต้องกังวลว่าซวนเทียนฮั่วจะเป็นเทพเซียนหรือไม่ นางยื่นมือออกมาและซวนเทียนฮั่วดึงนางขึ้นไปที่รถม้าของราชสํานัก

 

เฟิงเซียงหรูไม่รอให้คนอื่นโบกมือให้นาง นางก้มศีรษะลงนางนั่งรถม้า เมื่อนางนั่งอยู่ในรถม้า นางได้ยินบ่าวรับใช้จากตําหนักปิงส่งเสียงดัง “โปรดรอสักครู่ คุณหนูสามโปรดรอสักครู่ องค์ชายสี่ ได้สร้างโคมไฟในตําหนักปิง และเชิญคุณหนูสามไปดูเจ้าค่ะ !”

 

ทุกคนต้องเผชิญกับปัญหา เฟิงเซียงหรู นางรู้จักองค์ชายสี่ดีจริง ๆ !

 

ตอนที่ 714 ดูว่าเจ้าสามารถรับมือกับการลงโทษของตระกูลเหยาได้หรือไม่

 

เสี่ยวหยาเรียกเหยาชื่อว่าท่านแม่ ทําให้เหยาชื่อรู้สึกถึงความรู้สึกสนิทสนมระหว่างมารดาและบุตรสาว ซึ่งนางไม่ได้รู้สึกมานาน ในสายตาของนาง นี่คือบุตรสาวของนาง นี่คือเด็กที่นางให้กําเนิด ตอนนี้นางมีบุตรสาวคนเดียวที่อยู่ข้างนาง แม้แต่บุตรชายก็เห็นด้วยกับพี่สาวของเขา นางเหลีออะไรอีก ? ตอนนี้นางแค่หวังว่าบุตรสาวคนนี้จะสามารถทําตามความต้องการของนางได้ นางหวังว่าอีกฝ่ายจะยังคงอยู่เคียงข้างนางและไม่เหินห่าง

 

ในเวลานี้เฟิงหยูเฮงถือชุดที่ถูกดัดแปลงและนั่งอยู่ในห้องโถงใหญ่ของคฤหาสน์เหยา ตระกูลเหยาได้จัดตั้งห้องโถงไว้ทุกข์ให้กับหลู่เหยาในห้องโถงด้านข้าง ในเวลานี้มีบ่าวรับใช้ที่คอยเฝ้า ขณะที่เจ้านายของตระกูลเหยาทั้งหมดมารวมตัวกันในห้องโถงนี้ พวกเขาจ้องมองชุดในมือของเฟิงหยูเฮง

 

หลังจากที่ซูซื่อตกน้ํา นางรู้สึกหนาวนิดหน่อย แต่โชคดีที่เชิงหยูเฮงให้ยาตะวันตกแก่นางเพื่อระงับมัน ความหนาวมาถึงอย่างรวดเร็ว และก็จากไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน แต่นางก็ไม่เข้าใจ เกิดอะไรขึ้นกับชุดที่นางเย็บให้หลานสาวของนางเอง ?

 

“อาเฮง ป้าขอดูหน่อย” ซูชื่อเอื้อมมือไปหาเฟิงหยูเฮงและขอชุด มองอย่างระมัดระวัง ในที่สุดสายตาของนางก็วางลงบนคอเสื้อ นางสังเกตได้อย่างรวดเร็วว่ามีบางอย่างผิดปกติ “ปลอกคอนี้ ไม่ได้เย็บแบบเดียวกับที่ข้าเย็บตอนแรก ดูเหมือนว่าจะมีคนตัด”

 

เฟิงหยูเฮงกล่าวว่า “ข้าตัดเพื่อตรวจสอบเจ้าค่ะ แต่ก่อนที่ข้าจะทํา มันจะถูกดัดแปลงโดยใครซักคน” หลังจากนางพูดแบบนี้นางบอกสถานการณ์ของสิ่งที่เกิดขึ้นกับทุกคนก่อนหน้านี้

 

คําพูดเหล่านี้ทําให้ตระกูลเหยาตกตะลึงอย่างรวดเร็ว แต่คราวนี้ตระกูลเหยานั้นเตรียมตัวมา แล้วเล็กน้อยเมื่อเชิงหยูเฮงพูดถึงเสื้อผ้า เมื่อหลู่เหยาแต่งงานเข้ามา ตระกูลเหยามีข้อสงสัยอยู่บ้างแล้ว นอกจากสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในพระราชวังแล้ว ตระกูลเหยาก็หมดความเชื่อถือที่พวกเขามีในตัวหลู่เหยา เขาไม่สามารถยกโทษให้คนที่จะลากมารดาของเขาลงไปในน้ําเพื่อทําร้ายลูกพี่ลูกน้องของเขา แม้ว่าคน ๆ นั้นจะเป็นภรรยาของเขา เขาจะไม่ยอมทนต่อนางอย่างแน่นอน

 

“อาเฮง” เหยาซ่กล่าวขึ้น “เมื่อเจ้าพูดกับข้าในพระราชวัง เจ้าสังเกตเห็นปัญหาของหลู่เหยาแล้วใช่หรือไม่ ?”

 

เฟิงหยูเฮงพยักหน้า “ข้าสังเกตเห็นว่าชุดที่ท่านป้าใหญ่ให้ข้านั้นแปลก ๆ แต่ข้าไม่เชื่อว่าท่านป้าใหญ่จะทําอะไรแบบนั้น หลังจากถามข้าพบว่าชุดนี้ผ่านมือของหลู่เหยา ดังนั้นข้าจึงคิดว่าเกิดอะไรขึ้นอย่างแน่นอน หลังจากพูดแล้ว นางมองไปที่เหยาฟู และกล่าวต่อ “อย่าปิดบังข้า แต่ท่านยายจากพระราชวังเล่าให้ข้าฟังเกี่ยวกับสภาพร่างกายของหลู่เหยา แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องระหว่างพวกเจ้าสองคน หากเจ้าสามารถทนได้ ไม่สมควรสําหรับลูกพี่ลูกน้องอย่างข้าที่จะพูดอะไร แต่นางไม่สนใจวาสนาของนางอีกต่อไปและพยายามวางแผนต่อต้านข้า แต่นางก็หันหลังกลับและพยายาม ทําอันตรายแก่ท่านป้า คนนี้จะต้องไม่มีชีวิตอยู่อีกต่อไป”

 

เหยาเซียนโมโหและโกรธแค้นเหยา ผู้ซึ่งไม่เข้าใจและไม่ได้มองภาพที่ใหญ่กว่าจริง ๆ แล้ วนําผู้หญิงแบบนั้นเข้ามาในครอบครัว

 

เหยาซูเป็นลูกผู้ชายและคุกเข่าต่อหน้าเหยาเซียนทันที เขายอมรับความผิดพลาดในอดีตของเขา และยอมรับว่าเขาทําให้ตระกูลเหยาและมารดาของเขาติดร่างแหไปด้วย ในเวลาเดียวกัน เขาสะท้อนให้เห็นว่าเขาไม่ควรละเลยคําพูดของเฟิงหยูเฮงซึ่งเกือบจะนําไปสู่ความหายนะครั้งใหญ่

 

เหยาเซียนถอนหายใจยาว นอกจากนี้เขายังรู้ว่าการโทษเหยาซู่ต่อไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร ณ จุดนี้ ห้องโถงไว้ทุกข์ของหลู่เหยาจัดที่ห้องโถงด้านข้าง ด้วยตระกูลเหยาที่ไม่อยากฟุ่มเฟือยมาก พวกเขาทําให้มันชัดเจนว่าทัศนคติของพวกเขาคืออะไร ตอนนี้พวกเขาแค่รอให้ตระกูลหลู่มาเยี่ยม เขาต้องการถามว่าหลู่ซ่งว่ากล้าหาญเพียงใด ตระกูลหลู่ของพวกเขาที่ส่งเด็กผู้หญิงที่สูญเสียพรหมจรรย์เข้ามาในตระกูลเหยา เขาคิดว่าตระกูลเหยาอ่อนแอหรือไม่?

 

เหยาเซียนก็โกรธ เฟิงหยูเฮงเข้าใจปูเป็นอย่างดี และไม่สามารถช่วยได้ แต่ยิ้มให้กับตัวเอง ดีมากตระกูลหลู่ เรามาดูผลของการที่ท่านปู่ของข้าโกรธ มาดูกันว่าตระกูลของเจ้าสามารถรับมือกับความโกรธของท่านปูได้หรือไม่

 

แม้ว่าตระกูลเหยากําลังทําพิธีศพ แต่ผู้คนเห็นมันก็ไม่ได้มีงานศพ นอกจากห้องโถงไว้ทุกข์ คฤหาสน์ไม่ได้มีเพียงบรรยากาศการไว้ทุกข์ แม้แต่เหยาซูก็เปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณ แม้แต่บ่าวรับใช้ของคฤหาสน์เหยาก็ไม่ได้คิดถึงการเสียชีวิตของฮูหยินน้อยของตระกูลเหยา พวกเขาดําเนินการกับ สิ่งที่พวกเขาต้องทํา จากนี้วันนี้เป็นเทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วง ไม่ต้องพูดถึงตระกูลเหยาที่ไม่มีแผน การเปิดประตูให้แขกผู้มาเยือนเคารพศพแม้ว่าจะมีใครมาเยี่ยมก็ตาม ประตูจะเปิดให้วันพรุ่งนี้ ใครจะไปที่ห้องโถงไว้ทุกข์ในวันที่ 15 ของเดือนที่แปดได้อย่างไร แม้แต่ตระกูลหลู่ก็ยังไม่มีใครมา เยี่ยม !

 

เมื่อพูดถึงตระกูลหลู่ ในขณะนี้หลู่หยานก็ยืนอยู่ในห้องหนังสือและพูดคุยกับหลู่ซ่งและเก้อชื่อ เกี่ยวกับเรื่องของวันนี้ หลังจากนั้นเกือชื่อไม่ได้เข้าไปในพระราชวัง ตระกูลหลู่ส่งบุตรสาว 2 คน เท่านั้น หลู่ซึ่งกําลังยุ่งอยู่กับการจัดการกับทางการ เขามีเวลาให้ความสนใจกับเรื่องของผู้หญิงได้อย่างไร ตอนนี้เขาฟังหลู่หยาน เล่าเกินจริงและจงใจบิดเบือนสิ่งที่เกิดขึ้น นางมีความมั่นใจมากยิ่ง ขึ้นว่าหลู่เหยาอิจฉาหลู่วิ่งและโจมตี มีเพียงความกลัว ตระกูลหลู่ที่ไม่ใส่ใจกับสถานการณ์ของนางอีกต่อไป นางโจมตีหลู่ปิงเช่นนี้

 

เก้อซื่อสั่นด้วยความโกรธและอดไม่ได้ที่จะสาปแช่งหลู่เหยา “นางไร้เหตุผลเกินไป ! นางต้องการให้ตระกูลหลู่ของเราติดกับดักอย่างรุนแรงเพียงใด ? ท่านพี่ หลู่เหยาขี้อิจฉามาตั้งแต่ยังเด็กมาก เมื่อนางยังเด็ก นางอิจฉาหยานเอ๋อที่กลายเป็นบุตรสาวของฮูหยินใหญ่อีกด้วยและนางก็ไม่ได้ ยับยั้งใจที่จะกลั่นแกล้งอีกฝ่ายด้วย ข้าปิดบังเรื่องนี้ เนื่องจากอดีตข้ามีชีวิตที่ขมขึ้นและข้าทําได้ แต่บอกให้หยานเอ๋ออดทนเท่านั้น นางจะต้องไม่ทําให้พี่สาวของนางขุ่นเคือง แต่ใครจะรู้ว่าหัวใจที่ ริษยาของนางไม่ได้มุ่งเน้นที่หยานเอ๋อเท่านั้น จริง ๆ แล้วนางไม่ยอมปล่อยวางแม้แต่บุตรสาวของอนุเลย”

 

หลู่หยานยังพูดเสริมด้วย “ใช่เจ้าค่ะ! ท่านพ่อมันโชคร้ายสําหรับการปลูกฝังที่ท่านพ่อใส่เข้าไป แต่ท่านพอควรคิดถึงมัน ตั้งแต่วัยเด็กจนถึงตอนนี้นางทําอะไรไปบ้าง ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น เรื่องที่เกิดขึ้นกับพี่ชายใหญ่นั้นไม่เพียงพอที่จะทําให้ตระกูลหลู่ของเรารู้สึกตกใจในวันที่นางแต่งงานกับตระกูลเหยา ? หลังจากได้รับใครจะรู้ว่ามีประโยชน์อะไร ยายจากพระราชวังก็ซ่อนมันไว้ แต่ถ้าเรื่องนี้ไม่ได้ถูกปิดบังไว้ และตระกูลเหยาติดตาม… ท่านพ่อพูดมากกว่าหนึ่งครั้งว่าตระกูลเหยา จะต้องไม่ขุ่นเคืองตอนนี้หรือ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ทําให้พวกเขาขุ่นเคือง หลู่เหยาทําร้ายท่านฮูหยินใหญ่ จริง ๆ แล้วก็ลากท่านฮูหยินใหญ่ตระกูลเหยาลงไปในน้ํา เรื่องควรจัดการอย่างไรเจ้าค่ะ

 

มารดาและบุตรสาวพูดด้วยความสามัคคีซึ่งทําให้หลู่ซ่งถอนหายใจซ้ํา ๆ เขาแค่คิดกับตัวเองว่าภรรยาและบุตรสาวของเขาพูดถูกต้อง หลู่เหยาเป็นวิญญาณที่นํามาซึ่งความหายนะจากวัยเด็ก จนถึงตอนนี้นางไม่ได้ทําสิ่งเดียวที่มีคุณค่าสําหรับคฤหาสน์ ในเวลาเพียงไม่กี่วันนับตั้งแต่แต่งงานกับตระกูลเหยา จริง ๆ แล้วเขาโกรธ เขากระทืบเท้าของเขา “เป็นความผิดพลาด ! มันเป็นความผิดของข้าด้วยที่โง่ ข้าส่งสัตว์ร้ายตัวนั้นไปยังคฤหาสน์เหยาได้อย่างไร ส่งคนอื่นคงจะดีกว่านาง

 

หลู่หยานสั่นด้วยความกลัวว่าเมื่อหลู่เหยาทําให้บิดาอารมณ์เสีย นางก็จะเปลี่ยนความคิดของนาง ดังนั้นนางจึงรีบมองเก้อซื่อ จากนั้นก็ได้ยินเก้อซื้อกล่าวว่า “ไม่มีความหวังอีกแล้วที่จะอยู่ในตระกูลเหยา ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของเหยาเซียน ถ้าไม่ใช่การต่อสู้ถึงตาย นั่นก็ค่อนข้างดีอยู่แล้ว พวกเขาจะอนุญาตให้บุตรสาวอีกคนจากตระกูลหลู่เข้าไปในครอบครัวของพวกเขาได้อย่างไร แต่มันน่าเสียดายจริง ๆ กับปิงเอ๋อ”

 

หลู่ซ่งถอนหายใจด้วย “ใช่ น่าเสียดาย ข้าหาบุตรชายของฮูหยินใหญ่ไว้ให้นาง แต่ใครจะรู้ว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้น”

 

เก้อชื่อรีบตีเหล็กขณะที่เหล็กยังร้อน นางจับมือหลู่หยาน นางกล่าวว่า “หยานเอ๋อ เจ้าต้องฟังคําแนะนําของข้า ในอีกไม่กี่วันข้างหน้าหลีกเลี่ยงการออกไปข้างนอกถ้าทําได้ในอนาคต เจ้าควรหลีกเลี่ยงการวิ่งไปข้างนอก ในปัจจุบันตระกูลหลู่เหลือเพียงเจ้าเท่านั้น หากมีอะไรเกิดขึ้นกับเจ้า ท่านพ่อและข้าจะหมดที่พึ่ง !”

 

หลู่ซึ่งก็พยักหน้ารับการพูดแบบนี้

 

ดวงตาของหลู่หยานเป็นประกาย นางรอสิ่งนี้ หลู่เหยาและหลู่วิ่งได้รับความเสียหายทั้งคู่ ในตระกูลหลู่ ปัจจุบันพวกเขาจําเป็นต้องพึ่งพานางเพียงผู้เดียว !

 

คืนนั้นตระกูลหลู่ไม่สามารถสงบสุขได้ แม้ว่าตระกูลเหยาจะดูเหมือนไม่ใส่ใจ แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะไม่คิดถึงเรื่องของหลู่เหยา แต่เชิงหยูเฮงไม่ได้ทําอะไรมากมาย เมื่อออกจากคฤหาสน์เหยาแล้ว นางก็พร้อมที่จะกลับไปที่คฤหาสน์ขององค์หญิงจี้อันเพื่อกินขนมไหว้พระจันทร์ แต่เมื่อนางออกไปนางเห็นรถม้าของราชสํานัก ซวนเทียนหมิงรออยู่ข้างนอก เปยจื่อนั่งที่ด้านหน้าของ แคร่ เมื่อเขายกมือขึ้น เขาตะโกนใส่นาง “พระชายา ! ในที่สุดพระชายาก็ออกมา องค์ชายรอนาน แล้วขอรับ”

 

ในขณะที่เขาพูด ม่านด้านหลังก็ถูกยกขึ้น จากข้างใน ชวนเทียนหมิงสวมเสื้อคลุมสีม่วงและกวักมือเรียกนาง “ขึ้นมาเร็ว องค์ชายผู้นี้จะพาเจ้าไปดูโคมไฟของเทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วง!”

 

เฟิงหยูเฮงก็มีความสุขเช่นกัน ยกชุดของนาง นางวิ่งไปข้างหน้า แม้กระนั้นนางไม่ได้บินเข้าไปในรถม้า นางกล่าวว่า “ข้าจะไปเปลี่ยนชุดก่อน !”

 

อย่างไรก็ตามซวนเทียนหมิงกําลังเร่งรีบอย่างมาก “เจ้าจะเปลี่ยนทําไม ? อะไรก็ตามที่ชายาขององค์ชายผู้นนี้สวมใส่ดูดี เปยจื่อนําพระชายาของเจ้าขึ้นมา !”

 

เปยจื่อยิ้มและกระโดดลงจากรถม้า จากนั้นเขาก็ทําท่าให้นางเข้าไป “พระชายา โปรดเข้าไปในรถม้าขอรับ !”

 

เฟิงหยูเฮงส่ายหัวแต่ไม่ได้ยืนยัน ใช้แขนของเปยจื่อเพื่อรับการสนับสนุนนางปืนเข้าไปในรถม้าของราชสํานัก จากนั้นนางก็นั่งอย่างมีความสุขที่ด้านข้างของชวนเทียนหมิงและได้ยินเสียงจากภายนอก รถม้าของราชสํานักเริ่มค่อย ๆ เดินหน้าต่อไป

 

แต่ชวนเทียนหมิงไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวในรถม้าของราชสํานัก หลังจากปีนเข้ามา เชิงหยูเฮงก็เห็นซวนเทียนฮั่วมาด้วย ทั้งสองนั่งตรงข้ามกัน คนหนึ่งกําลังโบพัดในขณะที่อีกคนกําลังกินเมล็ดแตง

 

นางหยิบเมล็ดแตงที่ปอกแล้วจากมือของชวนเทียนหมิง ในขณะที่ส่งพวกมันเข้าไปในปากของนาง นางถามซวนเทียน “พี่เจ็ด ท่านพี่หลอกเจ้าเมืองหลู่ได้เท่าไหร่เจ้าคะ ? ” หลังจากพูดเสร็จ หัวของนางถูกตบ นางจ้องมองคนไร้ยางอายที่ด้านข้างของนาง “ชวนเทียนหมิง เจ้าตีหัวข้าทําไม

 

ชวนเทียนหมิงแก้ไขนาง “เจ้าเรียกว่าหลอกลวงได้อย่างไร ? นั่นเป็นเพียงราคา”

 

ชวนเทียนฮั่วพยักหน้า “ใช่ ไข่มุกแห่งทะเลตะวันออกมีราคาติดอยู่แน่นอน”

 

“ถ้าเช่นนั้นพี่เจ็ดได้รับจากเขามากแค่ไหน ? ” เฟิงหยูเฮงเผชิญกับความคาดหวัง

 

แต่ชวนเทียนฮั่วไม่ต้องการให้นางรู้จํานวนที่ถูกต้อง และกล่าวว่า “ข้าไม่ทําให้เจ้าผิดหวังแน่นอน นั่นคือทั้งหมดที่มี”

 

เฟิงหยูเฮงยิ้มเยาะ และไม่ได้ดําเนินเรื่องนี้ต่อไป นางเริ่มที่จะหยอกล้อชวนเทียนฮั่ว “พี่เจ็ด ท่านพี่จะไปดูโคมไฟกับพวกเราหรือไม่ ? ”

 

ชวนเทียนฮั่วพยักหน้า “น้องเก้าชวนข้า ตอนนี้ก็ไม่มีอะไรทํา ข้าจะไปเดินเล่นกับพวกเจ้าทั้งสองคน”

 

“นี่อาจไม่ดีเกินไปใช่ไหม” เด็กหญิงตัวน้อยโน้มตัวไปข้างหน้า และเริ่มให้เหตุผลกับชวนเทียนฮั่ว “ดูสิ ชวนเทียนหมิงและข้าจะเป็นคู่กัน แต่ท่านไปสถานที่แบบนั้นคนเดียว เป็นไปได้อย่างไรที่พี่เจ็ดไม่มีคู่ ?”

 

ชวนเทียนฮั่วส่ายหัว “เปยจื่อและหวงซวนก็ยังไม่มีคู่”

 

“ใครบอกว่าทั้งสองคนนั้นไม่มีเจ้าคะ ?” เฟิงหยูเฮงชี้ไปที่ด้านนอกรถ ชายและหญิงกําลังขับรถม้า “เนื่องจากพวกเขาเป็นผู้ดูแล พวกเขาจะเดินด้วยกัน นั่นเป็นเหตุผลว่าทําไมพวกเขาจึงถูกมองว่าเป็นคู่รัก แต่พี่เจ็ดไม่สามารถเดินไปกับพวกเขาใช่หรือไม่เจ้าคะ ?”

 

ซวนเทียนฮั่วยิ้มอย่างขมขื่นและคิดสักเล็กน้อยว่า “เราสามารถไปที่พระราชวังเหวินชวนเพื่อเรียกชวนเทียนเก้อไปด้วย ข้าจะไปกับเทียนเก้อ”

 

เฟิงหยูเฮงโบกมือ “ไม่ดี ไม่ดี ท่านอ๋องเหวินซวนและพระชายาต่างอยู่ในพระราชวัง ครอบครัวจะเฉลิมฉลองอย่างมีความสุขและทานอาหารเป็นครอบครัว นั่นคือสิ่งที่เราไม่สามารถทําได้เจ้าค่ะ พี่เจ็ดต้องไม่คิดถึงการรบกวนความสุขในครอบครัวของพวกเขา”

 

ไม่มีสิ่งใดที่ชวนเทียนฮั่วทําได้ “ถ้าอย่างนั้นเจ้าบอกมาว่าข้าต้องทําอย่างไร ?”

 

เด็กหญิงตัวน้อยคิดเร็ว “แล้วเราจะหาให้ท่านพี่ !”

 

ตอนที่ 713 ในที่สุดก็ออกเดินทางบนเส้นทางนี้

 

ข้างนอกห้องโถงจาวเหอ, เสียวหยาพ่ายแพ้และหนีไป

 

นางต้องการเยี่ยมพระชายาหยุน และนางมองจากที่ไกล ๆ ไม่ว่าในกรณีใดนางต้องการที่จะสร้างความประทับใจให้กับผู้หญิงที่ดื้อรั้นและมีอํานาจอย่างมากในพระราชวัง ซึ่งเป็นคนที่เฟิงหยูเฮงเรียกว่าเสด็จแม่ เมื่อนางมาถึง นางได้แสดงเจตนาของนาง และผู้คนที่เห็นนางจะไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้วนางไม่ใช่เฟิงหยูเฮง ด้วยวิธีการนี้นางสามารถเข้าใกล้ห้องโถงจาวเหอโดยใช้ข้อมูลประจําตัวของเฟิงหยูเฮง

 

แน่นอนว่านางไม่กล้าใช้ใบหน้านี้เพื่อพบกับพระชายาหยุน บ่าวรับใช้อาจถูกหลอกได้ แต่พระชายาหยุนนั้นชัดเจนมาก เมื่อเสี่ยวหยาได้ยินว่ามีโหราจารย์อยู่ข้างใน นางก็เลือกที่จะอยู่ข้างนอก เพื่อฟังอยู่ครู่หนึ่ง อย่างไรก็ตาม นางไม่เคยคาดหวังว่านางจะได้ยินเรื่องแบบนี้

 

ด้วยความกลัว นางเริ่มหนีบ่าวรับใช้ที่นางชนต้องงงงวย เกิดอะไรขึ้นกับองค์หญิงจีอัน อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครรู้ว่าคนที่หนีไปนั้นไม่ใช่เฟิงหยูเฮง เป็นแค่คนที่มีหน้าตาคล้ายกับเฟิงหยูเองเท่านั้น

 

“การฆ่าจะเป็นการดีที่สุด” คําพูดของพระชายาหยุนเล่นซ้ํา ๆ ในใจของเสี่ยวหยา นางเดินเล่นไปเรื่อย ๆ จนหายใจไม่ออก ไม่ว่าอย่างไรความกลัวในจิตใจของนางจะไม่สามารถถูกกําจัด นางไม่เคยพบกับพลังเช่นนี้และนางไม่เคยพบใครที่มีจุดยืนเช่นนี้มาก่อน ตอนนี้นางเข้าใจแล้วว่าถ้าใครบางคนในพระราชวังต้องการชีวิตของคนอื่น พวกเขาจะดุร้ายยิ่งกว่าตวนมู่อันกัวในภาคเหนืออย่างแท้จริงด้วย

 

การหลบหนีของเสี่ยวหยาไม่พบกับการต่อต้านใด ๆ อันเป็นผลมาจากใบหน้าของนาง แม้ว่าจะมีบ่าวรับใช้ในพระราชวังจํานวนมากจะทราบอย่างชัดเจนว่าเฟิงหยูเฮงได้ออกจากพระราชวังไปแล้ว เมื่อพวกเขาเห็นนาง พวกเขาแค่สันนิษฐานว่าองค์หญิงเพิ่งไปที่อื่นและไม่ได้ออกจากพระราชวัง ย้อนกลับไปที่ห้องโถงจาวเหอ องครักษ์เงาหญิงที่อยู่ข้างของพระชายาหยุนไล่ตามทางเข้าเรือนเท่านั้น เพราะบ่าวรับใช้ในพระราชวังจากลานบอกกับนางว่า “เป็นองค์หญิงจีอันเจ้าค่ะ ด้วยเหตุผลบางอย่าง นางมาแต่ไม่ได้เข้าไป ก่อนที่จะวิ่งหนีไปเจ้าค่ะ”

 

แม้ว่าองครักษ์เงาหญิงจะไม่เข้าใจว่าทําไมเฟิงหยูเฮงถึงเข้ามา แต่ไม่ได้เข้าไปข้างใน ก่อนวิ่งหนีอย่างรวดเร็วเพราะบ่าวรับใช้บอกว่าเป็นเฟิงหยูเฮง จึงไม่จําเป็นต้องดําเนินการต่อไป ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ไม่ใช่คนนอกหรือว่าเป็นคนเลว บางที่มีเรื่องเร่งด่วนเกิดขึ้นกับองค์หญิงจีอัน ซึ่งทําให้นางไม่เข้ามาหาพระชายาหยุน นางจึงกลับไปรายงานต่อพระชายาหยุน

 

ดังนั้นองครักษ์เงาหญิงจึงกลับเข้ามาในห้องโถงจาวเหอ และรายงานสิ่งที่บ่าวรับใช้พูดกับนาง อย่างไรก็ตามพระชายาหยุนก็ขมวดคิ้ว “นั่นไม่ถูกต้อง ! แม้ว่าอาเฮงไม่ได้เข้ามาข้างใน นางไม่ควรหยุดอยู่ข้างนอกและฟังจากข้างนอกกําแพง ? เจ้าบอกว่าเจ้าสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวข้างนอก เจ้าสงสัยว่ามีใครบางคนกําลังฟังจากภายนอก ?”

 

องครักษ์เงาหญิงพยักหน้าแต่ก็สูญเสียนิดหน่อย นางเริ่มตั้งคําถามกับสายตาของนางเอง

 

ในเวลานี้โหราจารย์เจียนเจิ้งได้กล่าวกับพระชายาหยุนว่า “เมื่อเจ้าหน้าที่ผู้นี้มาถึงห้องโถงจาวเหอ งานเลี้ยงที่ห้องโถงสวรรค์ก็เลิกแล้ว เพราะเรื่องระหว่างตระกูลเหยากับตระกูลหลู่ องค์หญิงจี้อันคงรีบออกไป และข้าไม่เห็นนางยังคงอยู่ในพระราชวังขอรับ”

 

เจียนเจิ้งถูกเรียกตัวไปที่ห้องโถงจาวเหอ หลังจากงานเลี้ยงสิ้นสุดลง เขาเล่าเรื่องหลู่เหยาและซูซื่อตกลงไปในสระบัวให้พระชายาหยุนฟัง ทําให้พระชายาหยื่นขมวดคิ้วแน่น

 

“ไม่ใช่ นั้นไม่ใช่อาเฮง” นางมั่นใจในตัวเองมากจากนั้นจึงสั่งองครักษ์เงาหญิง “ออกจากพระราชวังและไปถามอาเฮงว่านางมาที่ห้องโถงจาวเหอหรือไม่ ถ้าอาเฮงบอกว่านางไม่ได้มา องค์หญิงจีอันที่เห็นในพระราชวังจะเป็นตัวปลอม”

 

องครักษ์เงาหญิงพยักหน้าและปฏิบัติตามคําสั่งอย่างรวดเร็ว จากนั้นพระชายาหยุนก็ผ่อนคลายเล็กน้อย จากนั้นนางก็เริ่มคุยเรื่องราวถึงชีวิตประจําวัน “สะใภ้คนนี้ค่อนข้างกตัญญ วันนี้เป็นเทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วง เป็นไปไม่ได้ที่นางจะไม่มาพบข้าหลังจากเข้ามาในพระราชวัง มันเป็นไปไม่ได้อีกเช่นกันที่นางจะมาถึงห้องโถงแล้วไม่เข้ามาข้างใน แต่ถ้าเจ้าบอกว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นกับตระกูลเหยา นางสามารถอธิบายได้อย่างรวดเร็วว่าต้องออกจากพระราชวัง ฮ่าๆๆ อย่าพูดถึงเรื่องนี้ พูดต่อเกี่ยวกับสองดาวต่อไป ภาพนี้แสดงให้เห็นว่าเงาที่อยู่ด้านหลังดาวหลักน่าจะปรากฏตัวมากที่สุด…”

 

ในห้องโถงจาวเหอ พระชายาหยุนยังคงฟังเรื่องราวของเขา สําหรับเสี่ยวหยาที่หนีไป นางได้ออกจากพระราชวังไปแล้ว นางไม่แม้แต่จะมองหารถม้าที่รอนางอยู่ นางวิ่งกลับไปที่บ้านของเหยาชื่อทันที แม้ว่านางจะกระอักเลือดจากความอ่อนเพลีย นางก็ไม่ยอมหยุด

 

นางไม่รู้ว่ามีใครไล่ตามนางมาบ้างและนางก็ไม่กล้ามองกลับไป ความรู้สึกของอันตรายยังคงวนเวียนอยู่รอบ ๆ คําพูดของพระชายาหยุนยังคงดังก้องอยู่ในหัวของนาง เสี่ยวหยารู้ว่าถ้านางไม่ได้มีใบหน้าเช่นนี้ นางคงไม่สามารถหนีออกจากพระราชวังได้ เหยาชื่อยืนยันว่านางเป็นบุตรสาวที่แท้จริงของนาง และนางควรเข้าไปในพระราชวัง นอกจากนี้ยังมีผู้คนจํานวนมากที่พูดสิ่งนั้นกับนาง นางตัดสินใจด้วยตัวเอง แต่หลังจากตัดสินใจอย่างนี้แล้วนางรู้ไหมว่ามันยากแค่ไหนและอันตรายแค่ไหน เสี่ยวหยาคิดกับตัวเองมันคุ้มค่าหรือไม่ ? เมื่อนางก้าวเท้าบนเส้นทางนี้ นางจะสามารถเดินไปจนจบได้หรือไม่ ? นางหนีทั้งหมดได้หรือไม่

 

ใจของนางเต็มไปด้วยความคิดที่ดุร้าย และนางไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับภาพลักษณ์ที่ประหลาดใจบนท้องถนนอีกต่อไป เสี่ยวหยาวิ่งไปอย่างสิ้นหวัง ในขณะที่วิ่งนางพยายามอย่างที่สุดที่จะมุ่งหน้าไปยังบ้านของนางต่อไป น่าเสียดายหลังจากมองไปรอบ ๆ นางก็ยังหาทางกลับบ้านไม่ได้

 

ในขณะที่หลงทาง นางวิ่งเข้าไปชนหน้าอกของใครบางคน นางกรีดร้องด้วยความประหลาดใจ เพราะนางไม่สามารถหยุดร่างของนางจากการตีกลับ ขณะที่นางกําลังจะถูกส่งตัวไป นางก็ถูกมือที่แข็งแรงดึงกลับมา

 

เสี่ยวหยาเงยหน้าขึ้นมอง และตกตะลึงทันทีว่า “เจ้าเองหรือ”

 

บานซูชนกับหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าเขา นางมีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับเจ้านายของเขา อย่างไรก็ตาม เขาจําไม่ผิดระหว่างสองคนนี้แน่นอน ท้ายที่สุดเจ้านายที่เหมาะสมของเขาคือคนที่เขาปกป้องทั้งวันและตลอดทั้งคืน เขาพบกับเสี่ยวหยาในภาคเหนือ และเขาสามารถแยกแยะตัวจริงออกจากตัวปลอมได้ทันที เขางุนงงว่าทําไมเสียวหยาวิ่งรอบ ๆ บนถนน ราวกับว่านางกลัวอะไรบางอย่าง ? บานซูถามนางว่า “เจ้าเป็นอะไรไป ?”

 

เสี่ยวหยาสะดุ้งและความคิดบางอย่างก็ส่งประกายผ่านความคิดของนาง แต่นางก็เข้าใจทันที ว่าทุกสิ่งที่นางทําในวันนี้คนอื่นจะต้องไม่รู้ บานไม่ควรเข้าไปในพระราชวังในวันนี้ ดังนั้นเขาจะไม่รู้ว่านางไปที่ห้องโถงจาวเหอและได้ยินเรื่องลับ ๆ ที่พระชายาหยุนพูด ดังนั้นนางจึงสงบลงและ เอื้อมมือไปดึงแขนเสื้อของบานซู ขอร้องทั้งน้ําตาไหล “ท่านฮูหยินเหยาให้ข้าไปร่วมงานเลี้ยงที่พระราชวัง แต่ข้าหาทางกลับไม่ได้ บานซูช่วยไปส่งข้ากลับได้หรือไม่ ? หรือเพียงชี้ทางให้ข้าก็ได้

 

นางไม่กล้าขอมากเกินไป ในเรื่องที่เกี่ยวกับบานซู มีความรู้สึกที่ไม่อาจพูดถึงได้เสมอที่สะท้อนอยู่ในใจของเสี่ยวหยา นางเคยขอเชิงหยูเฮงให้บานซูปกป้องนางและเหยาชื่อ แต่เห็นได้ชัดว่า มันคือบานซูเองที่ปฏิเสธ นางจะพูดอะไรอีก ตอนนี้นางชนเขาบนถนน แล้วมันเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมสําหรับนาง

 

แม้ว่าบานซูจะงุนงง แต่ก็ไม่สมควรที่จะถามเสี่ยวหยา ดังนั้นเขาจึงพยักหน้าและดึงแขนเสื้อออกจากมือของเสี่ยวหยาอย่างเด็ดขาด จากนั้นเขาก็หันหลังกลับและพูดอย่างไร้อารมณ์ “ไปกันเถิด ข้าจะไปส่งเจ้ากลับเอง”

 

เสี่ยวหยาอ่อนแรงเดินตามหลังบานซู และมองไปที่ด้านหลังของคนที่เดินเร็ว ราวกับว่านางได้ย้อนเวลากลับไปเมื่อนางกลับไปภาคเหนือ นางถูกผลักจากด้านบนของกําแพงเมือง และบานซูก็เหมือนเทพเซียนที่ลงมาจากสวรรค์และช่วยนาง ต่อจากนั้นเป็นต้นมาคนผู้นี้ยังคงอยู่ในใจของนางและไม่เคยเลือนไป

 

ถ้าข้าคือเพิ่งหยูเฮง เจ้าจะปกป้องข้าตลอดเวลาหรือไม่ ? ทันใดนั้นแนวคิดเช่นนี้ปรากฏในใจของเสี่ยวหยาและไม่สามารถถูกทิ้งไว้ได้ นางต้องการถามคําถามนี้จริง ๆ แต่มันติดอยู่ในลําคอของนาง ไม่ว่าอะไรนางก็ไม่กล้า รออีกหน่อย เสี่ยวหยาบอกกับตัวเอง รออีกสักครู่จนกว่านางจะเดินตามทางนี้อย่างเปิดเผย จะมีวันหนึ่งที่บานซูจะมายืนเคียงข้างนาง การขาดความมั่นใจในหัวใจของนางเริ่มหายไป เสี่ยวหยาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะกลายเป็นเฟิงหยูเฮงเหมือนในเวลานี้ แม้ว่าบานซูจะพานางไปที่ประตูทางเข้าบ้านของนาง แต่ใจนางก็ยังคงอารมณ์ไม่ดี

 

แต่เมื่อนางเงยหน้าขึ้นมองหาคน บานชูก็หายตัวไปแล้ว เสี่ยวหยายืนตัวแข็งอยู่นอกทางเข้าครู่หนึ่ง จนกระทั่งยามเฝ้าประตูเรียกนางว่า “แม่นางเสี่ยวหยาขอรับ ?”

 

จากนั้นนางก็กลับมาถึงความรู้สึกของนาง แต่นางก็ตั้งสติ และถามยามเฝ้าประตู “เจ้าเรียกข้าว่าอะไร ? ”

 

ยามเฝ้าประตูรู้สึกงงงวย “ข้าเรียกท่านว่าแม่นางเสี่ยวหยาขอรับ”

 

“เสี่ยวหยา” นางพูดชื่อนี้ซ้ําแล้วซ้ําอีกรู้สึกว่ามันไม่คุ้นเคยเป็นครั้งแรก นางดูถูกมัน “ท่านฮูหยินเรียกข้าว่าบุตรสาว แต่เจ้าก็เรียกข้าว่าแม่นางเสียวหยา นี่หมายความเช่นไร ? ” นางมองไปที่ยามเฝ้าประตูสองคน และกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปพวกเจ้าจะต้องเรียกข้าว่าคุณหนู พวกเจ้าจําได้หรือไม่?”

 

คนเฝ้าประตูนั้นงงงวย และกําลังจะถามคําถามสองสามข้อ อย่างไรก็ตามในเวลานี้เสียงของ เหยาชื่อดังมาจากข้างในเรือน “เจ้าต้องเชื่อฟังสิ่งที่คุณหนูพูด ในฐานะบ่าวรับใช้ เจ้าควรฟังคํา สั่งของเจ้านาย นางเป็นบุตรสาวของข้า โดยธรรมชาติแล้วนางต้องเป็นคุณหนู เจ้าจําสิ่งนี้ได้หรือ ไม่ ?”

 

คนเฝ้าประตูก็ตกใจ แม้ว่าพวกเขาจะรู้สึกว่าไม่ได้รับการรบกวน แต่พวกเขาก็ไม่กล้าปฏิเสธสิ่งที่เหยาชื่อพูด พวกเขาพยักหน้าและกล่าวอย่างไม่เต็มใจกับเสี่ยวหยา “คุณหนู” จากนั้นพวกเขาคิดกับตัวเองว่าพวกเขาจะบอกเฟิงหยูเฮงหรือเหยาเซียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ในครั้งต่อไปที่พวกเขาพบทั้งสองคน

 

เสี่ยวหยาเห็นว่าเหยาชื่อยังคงยืนเคียงข้างนาง จากนั้นริมฝีปากของนางก็ม้วนตัวเป็นรอยยิ้ม แต่เมื่อรอยยิ้มนี้ปรากฏขึ้นความเย็นชาตามมาทันที คําที่นางได้ยินที่ห้องโถงจาวเหอยังคงทําให้นางรู้สึกกลัวอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นนางจึงขยับเข้าใกล้เหยาชื่อ และเดินตามนางเข้าไปในลานบ้าน

 

ทั้งสองเข้าไปในห้อง และเสี่ยวหยากล่าวออกมาก่อน สิ่งแรกที่นางทําคือขอให้เหยาชื่อ “ท่านฮูหยินเหยาควรคิดอย่างรอบคอบว่าต้องการให้ข้าเป็นบุตรสาวของท่านจริง ๆ หรือเจ้าคะ”

 

เหยาชื่อพยักหน้า “ใช่ ข้าต้องการให้เจ้าเป็น เจ้าเป็นบุตรสาวของข้านับแต่นี้เป็นต้นไป !”

 

“แต่ท่านฮูหยินก็รู้ดีว่าข้าไม่ใช่เฟิงหยูเฮงเจ้าค่ะ !”

 

เหยาชื่อยิ้ม “ปัญหาคืออะไร ? เฟิงหยูเฮงไม่ใช่เฟิงหยูเฮง !”

 

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เสี่ยวหยาได้ยินคําเหล่านี้ แม้ว่านางจะยังไม่เข้าใจความหมายของคําเหล่านี้ อย่างไรก็ตามนางแค่คิดว่ามันเป็นสิ่งผิดปกติกับเหยาชื่อ เพื่อให้นางเย็นชากับบุตรสาวของนาง นางเตือนเหยาชื่อ “สําหรับข้าที่จะเป็นเฟิงหยูเฮง มันจะเป็นอันตราย หากล้มเหลว ผลลัพธ์น่ากลัวมากเจ้าค่ะ”

 

อย่างไรก็ตามเหยาชื่อบอกอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “มันจะไม่ล้มเหลว ในโลกนี้มีเพียงข้าเท่านั้นที่รู้ว่าใครคือบุตรสาวของตัวเอง ข้าบอกว่าเป็นเจ้าก็คือเจ้า ดังนั้นเจ้า เจ้าต้องทําสิ่งที่เจ้าต้องทํา แม้ว่าเจ้าจะไม่ต้องการก็ตาม”

 

“ไม่กลัวความล้มเหลวหรือเจ้าคะ ?”

 

“มันจะไม่ล้มเหลว !”

 

เหยาชื่อเพิ่มความเชื่อมั่นของเสี่ยวหยา นอกจากการกระตุ้นของหลู่หยานและสิ่งต่าง ๆ ที่พระสนมหยวนซูพูดกับนาง เสี่ยวหยาคิดว่าด้วยสิ่งต่าง ๆ เช่นนี้ บางทีเส้นทางนี้เป็นสิ่งที่นางจะต้องเดินโดยไม่คํานึงถึงความปรารถนาของนางเอง จากช่วงเวลาที่นางเข้ามาในเมืองหลวง นางถูกดูดเข้าไปในกระแสน้ําวนนี้แล้ว หรืออาจกล่าวได้ว่านางไม่สามารถหลบหนีจากสิ่งนี้ได้ ในช่วงเวลาที่เฟิงหยูเฮงใช้ตัวตนของนางเข้าไปในคณะมายากล

 

แทนที่เฟิงหยูเฮง ? เอาล่ะโดยใช้ใบหน้านี้ ตัวตนนี้ และความรุ่งเรืองในอนาคต นางจะแก้แค้นให้บิดามารดาของนาง!

 

นางจับมือเหยาชื่อ และดวงตาของนางก็เต็มไปด้วยสายตาจ้องมองที่เป็นประโยชน์เป็นครั้งแรก “ท่านแม่ไม่ต้องกังวล ข้าเป็นบุตรสาวของท่านแม่”

 

ตอนที่ 712 สองดาว

 

หลู่ซ่งรู้สึกกังวลเป็นอย่างมากเกี่ยวกับการค้นพบ ตอนนี้เขาถูกหยุดโดยเฟิงหยูเฮงเช่นนี้ เชื้อเพลิงเพิ่มมากขึ้นในกองไฟ ทันใดนั้นเขาก็จ้องที่เพิ่งหยูเฮง ราวกับว่าเขาได้เข้าใจจนกระจ่างแจ้งแล้วเขาก็รีบกล่าวว่า “เจ้า ทั้งหมดเป็นเพราะเจ้า ทุกอย่างเจ้าเป็นคนบงการ !”

 

เฟิงหยูเฮงพูดจาเย้ยหยัน “ท่านสานาบดีฝ่ายซ้ายเสียสติไปแล้วหรือ ? มีคนเห็น และได้ยินมากมาย ภายใต้สมมติฐานที่ว่าคุณหนูรองตระกูลหลู่, หลู่เหยาว่ายน้ําเป็น ทําไมนางถึงไม่ช่วยตัวเองและยืนกรานที่จะรอให้คุณหนูใหญ่ตระกูลหญ่กระโดดลงไปช่วยชีวิตพวกนาง สถานการณ์ที่แน่นอนมีการวางแผนล่วงหน้า นอกจากนี้แมลงมีพิษจากภาคใต้ทําไมมันถึงปรากฏในพระราชวังของฮ่องเต้ ? ข้าหวังว่าทางการจะสามารถให้คําอธิบายแก่เราได้”

 

“คําอธิบายอะไร !” หลู่ซ่งโกรธมาก “ที่พวกนางตกลงไปในน้ําเป็นอุบัติเหตุ เสนาบดีคนนี้สูญเสียบุตรสาวคนหนึ่งและบุตรสาวอีกคนใบหน้าเสียโฉม นี่คือผลลัพธ์หรือ !”

 

“ข้ากลัวว่าไม่ใช่กรณีนี้ ! ” เฟิงหยูเฮงยักไหล่ “มันเป็นไปอย่างที่ข้าพูดไว้ก่อนหน้านี้ คุณหนูรองตระกูลหลู่ว่ายน้ําเป็น ดังนั้นทําไมนางถึงต้องการให้คนไปช่วยนาง ? นอกจากนี้เหตุผลที่พวกนางตกลงไปในน้ําจะต้องมีการตรวจสอบอย่างชัดเจน ข้ายังอยากรู้ด้วยผู้คนมากมายที่อยู่ใกล้สระบัวทําไมสองคนนี้ถึงตกลงไป ? พูดง่าย ๆ เรื่องนี้ยังต้องการให้เจ้าเมืองมาให้คําอธิบายแก่เรา”

 

“เจ้า” หลู่ซึ่งพูดไม่ออก ตรงหน้าของเฟิงหยูเฮง เขาจะถูกยับยั้งเช่นนี้เสมอ แต่ในท้ายที่สุดแม้ว่าตระกูลของหลู่จะพบกับโศกนาฏกรรมเช่นนี้ เขาก็ยังมีสํานึกผิดชอบชั่วดี ดังนั้นหากเขาสามารถหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าอย่างเปิดเผย เขาจึงหันไปยังตระกูลเหยา “องค์หญิงโปรดหลีกทางให้ข้าข้าต้องไปขอคําอธิบายจากเหยาซู”

 

อย่างไรก็ตามเฟิงหยูเฮงส่ายหน้าและไม่ได้ขยับเขยื้อน “เสนาบดีหญ่เป็นขุนนางขั้นหนึ่งในฐานะเสนาบดี ท่านควรมีความกล้าหาญบ้าง หากท่านมีปัญหาใด ๆ บอกข้ามา องค์หญิงผู้นี้ก็เพียงพอที่จะเป็นตัวแทนของตระกูลเหยาเสนาบดีหญ่ ท่านคิดอย่างไร ?

 

เขาคิดอย่างไร มันแย่มาก หลู่ซึ่งโกรธ กัดฟันของเขาอย่างโกรธเคือง อย่างไรก็ตามมันจะไม่เป็นการดีถ้าฉีกหน้าของเฟิงหยูเฮงในพระราชวัง

 

หันกลับไปเขาเห็นว่าซูจิงหยวนได้ นําผู้คนกําลังมุ่งหน้ามาในทิศทางนี้ หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความโกรธในขณะที่เขารู้สึกว่ามี หนามขึ้นรอบสถานที่นี้ เขาไม่ต้องการที่จะอยู่ในสถานที่นี้ ดังนั้นเขาจึงหลบไปด้านข้างและหลีกเลี่ยงเฟิงหยูเฮง เขารีบวิ่งไปตามทางประตูของพระราชวัง

 

ก่อนที่เขาจะก้าวออกไป เขาได้ยินเสียงของเฟิงหยูเฮงอีกครั้ง “ท่านเสนาบดีหญ่ ท่านจะจากไปเช่นนี้เหรือ ? บุตรสาวสองคนของเจ้า คนหนึ่งเสียชีวิตและอีกคนได้รับบาดเจ็บ เจ้าจะจากไปโดยไม่สนใจงั้นหรือ ?”

 

หลู่ซ่งโบกมือของเขา “แค่ให้ทางการจัดการพวกนาง !”

 

เขาไม่สนใจแน่นอน

 

รอยยิ้มดูหมิ่นปรากฏตัวบนใบหน้าของหมู่ปิง นางเข้าใจบิดาของนางเป็นอย่างดี บิดาคนนี้จะดูผลตอบแทนเสมอเมื่อทําอะไร ทั้งหมดมันเพื่อประโยชน์ของเขาเอง การเลี้ยงดูบุตรสาวคนนี้ซึ่งมีอาการปวยที่ซับซ้อนนั้นไม่ใช่เพราะเขาเห็นคุณค่าความงามอันยอดเยี่ยมของนาง เขาหวังว่าใบหน้านี้จะช่วยแสวงหาเส้นทางที่แตกต่างสําหรับตระกูลหลู่ ตระกูลหญ่จะขยายสายเลือดในหลาย ๆ ทิศทางเพื่อรักษาอํานาจไว้โดยไม่คํานึงถึงว่าองค์ชายที่ขึ้นครองบัลลังก์เป็นใครอย่างไรก็ตามใคร จะรู้ว่าเหตุการณ์ในวันนี้จะส่งผลให้ทั้งนางและหลู่เหยาเสียชีวิตไปพวกนางจะกลายเป็นคนไร้ประโยชน์สําหรับตระกูลหลู่หลู่ซึ่งไม่ได้รู้สึกเห็นอกเห็นใจแม้แต่น้อย

 

เงยหน้าขึ้นมองอีกครั้ง เฟิงหยูเฮงเดินไปข้าง ๆ แล้ว เจ้าเมืองได้จัดการเรียบร้อยแล้ว ศพของหลู่เหยาถูกนําออกไปอย่างรวดเร็วมาก จากนั้นเจ้าเมืองมาและบอกกับนางว่า “คุณหนูใหญ่ตระกูลหญ่โปรดอย่ากังวล และรักษาบาดแผลของเจ้าก่อน อีก 2-3 วันเจ้าหน้าที่ผู้นี้จะเชิญคุณหนูใหญ่มาที่ราชสํานักเพื่อตอบคําถาม”

 

หลู่วิ่งพยักหน้าและมองเจ้าเมืองทักทายเฟิงหยูเฮงก่อนที่จะพาคนของเขาออกไปจากสระบัวนางค่อย ๆ ดึงเฟิงหยูเฮงอย่างเงียบ ๆ แล้วกล่าวว่า “องค์หญิง วันนี้ข้าช่วยท่านและข้าก็ช่วยตัวเองตระกูลหญ่จะไม่ต้องการใบหน้าของข้าอีกนับจากนี้เป็นต้นไป มันเป็นเพียง… ถ้าหลู่วิ่งขอ ร้องอะไรในอนาคต ข้าหวังว่าท่านจะเต็มใจช่วยข้าจากเรื่องของวันนี้”

 

เฟิงหยูเฮงพยักหน้า “ถึงแม้ว่าเจ้าจะไม่ช่วยในวันนี้ ไม่ว่าจะพูดอะไรก็ตามเจ้าช่วยท่านป้าของข้าไว้ พระคุณนี้ข้าจะจํามันไว้ ถ้าเจ้ามาหาข้าที่คฤหาสน์ขององค์หญิง เจ้าขอร้องข้า ข้าจะไม่นิ่งดูดายอยู่ด้านข้าง”

 

ในที่สุดก็สามารถแก้ปัญหาได้เช่นกัน ในคนกลุ่มนี้มีหญิงสาวคนหนึ่งจ้องมองที่หลู่วิ่งไม่ว่างสายตา ดวงตาของนางเผยความยินดี

 

ดีมาก ! หญิงสาวแค่นเสียงเย็นชากับตัวเอง ดีมาก หลู่เหยาเสียชีวิตและใบหน้าของหมู่บึงก็ถูกทําลาย ในตระกูลหลู่ปัจจุบัน คนเพียงคนเดียวที่บิดาจะพึ่งพาได้คือหลู่หยานคนเดียวและคนที่สร้างปัญหาเหล่านี้ไม่ใช่หลู่หยาน แต่มันเป็นพี่สาว 2 คนของนางเองที่ทําให้เกิดเหตุการณ์นี้นางได้รับชัยชนะโดยไม่ต้องใช้ความพยายามใดๆ !

 

ด้วยสิ่งที่เกิดขึ้นเช่นเดียวกับที่ทําในงานเลี้ยงนี้ แม้ว่าพระราชวังจะไม่บิดตัวลง แต่ผู้คนก็ไม่อยากอยู่ต่อไป จากครอบครัวของเสนาบดีฝ่ายซ้ายที่เหลือบุตรสาวเพียงคนเดียวที่สามารถพึ่งพาได้สําหรับผู้ที่เข้าร่วมการประชุม สิ่งต่าง ๆ ได้เหนือกว่าการควบคุมเล็กน้อย และมันก็เกิดขึ้นว่าคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องคือท่านฮูหยินใหญ่ตระกูลเหยา ในท้ายที่สุดเจ้าเมืองก็เข้ามามีส่วนร่วม เพิ่มด้วยทัศนคติของเสนาบดีหลู่ซ่ง เรื่องนี้ดูแปลกมากไม่ว่าพวกเขาจะคิดอะไร

 

มีบางอย่างที่คาดเดา หลังจากกลับไปที่ห้องโถงสวรรค์ มีการพูดคุยกันมากมาย ในท้ายที่สุดองเต้โบกพระหัตถ์ของเขาและงานเลี้ยงก็สิ้นสุดลง แม้ว่าผู้คนจะไม่เพลิดเพลินกับสิ่งต่างๆอย่าง เต็มที่ แต่เนื่องจากมีคนเสียชีวิต ดนตรีและการร่ายรําก็ต้องหยุด

 

หลังจากคลื่นของผู้คนออกจากพระราชวัง เวลาที่ผู้คนเข้ามาในพระราชวังต้องใช้เวลานานออกจากพระราชวังก็ไม่ใช่เรื่องง่าย มีคนจํานวนมากและมันมืดมาก มองจากที่ไกลพวกเขาดูเหมือนมด

 

ฮ่องเต้ยืนอยู่ที่ชั้นบนสุดของชั้นสามของห้องโถงสวรรค์ เมื่อมองดูคนเหล่านี้เขาเย้ยหยันตัวเองแล้วถามจางหยวน “จางหยวน มีกี่คนในฝูงชนที่คิดถึงราชสํานัก ? มีกี่คนที่เริ่มมีความคิดต่างกัน”

 

จาวหยวนได้ยินอย่างนี้ “ฝ่าบาทคือฮ่องเต้ ฝ่าบาทจะถามบ่าวรับใช้คนนี้ได้อย่างไรพะยะค่ะกระหม่อมจะกล้าพูดอย่างไม่มีเล่ห์เหลี่ยมเกี่ยวกับเรื่องของราชสํานักได้อย่างไรขอรับ”

 

ฮ่องเต้ดูเย็นชา “มีสิ่งใดบ้างที่เราถามเจ้า ? มีอะไรที่เจ้าไม่กล้าพูดบ้างหรือ ? จางหยวนเจ้าแก่หรือยัง ? ทําไมเจ้าถึงระวังตัวมากเกินไปทุกครั้งที่ทําอะไร”

 

จางหยวนจ้องมอง “ฝ่าบาทเป็นคนแก่เช่นกันพะยะค่ะ”

 

อย่างไรก็ตามใครจะรู้ว่าฮ่องเต้จะยอมรับมันอย่างมีความสุข “ข้าแก่แล้ว หากข้าไม่แก่ ผู้คนที่มีความคิดไม่เหมาะสม ข้าจะจัดการพวกเขาด้วยตัวเอง ! พวกเขาจะถูกเก็บไว้จนถึงวันนี้ได้อย่างไร !อย่าทึกทักเอาเองว่าข้าไม่รู้ว่าเรื่องไร้สาระที่องค์ชายแปดกําลังทําอะไรในภาคใต้ แต่สิ่งที่รู้คืออะไร” อารมณ์ของฮ่องเต้ดิ่งลงไปอีกครั้ง “สิ่งที่รู้คืออะไร ? ข้าแก่แล้วและไม่สามารถออกไปสํารวจและออกจากเมืองหลวงได้อีกต่อไป ข้าไม่มีพลังมากพอที่จะดูแลลูกของข้า ในอดีตเมื่อพวกเขายังเด็กข้าหวังว่าจะให้พวกเขาฝึกฝนตัวเอง เมื่อถึงเวลาเราสามารถเลือกคนที่ดีที่สุดในการขึ้นครองบัลลังก์”

 

จางหยวนกรอกตาของเขา “ตอนนี้ฝ่าบาทเสียใจหรือไม่พะยะค่ะ ? มันได้รับการพัฒนาไปในทิศทางนี้ และอาณาจักรได้ถูกก่อตั้งขึ้น พวกเขามีความทะเยอทะยานที่ดี และพวกเขาพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้ได้บัลลังก์นี้ อย่างไรก็ตามฝ่าบาทไม่คิดที่จะยอมให้พวกเขาแข่งขันอย่างยุติธรรมงั้นหรือพะยะค่ะ ?”

 

ฮ่องเต้จ้องมอง “ข้าจะทําอย่างไรดี ? ข้าวางแผนไว้เสมอเพื่อให้พวกเขาแข่งขันอย่างยุติธรรมแต่เจ้าก็ยังเห็นมัน พวกเขาสามารถทํางานได้ดีกว่าองค์ชายเก้างั้นหรือ ? ไม่ใช่ข้ามีอคติข้าดูแลองค์ชายเก้าอย่างดี แต่ก็ไม่ได้เกิดจากเบี้ยนเบี้ยน แน่นอนเบี้ยนเบี้ยนเป็นส่วนหนึ่งแต่ส่วนที่สําคัญที่สุดคือองค์ชายเก้ามีความสามารถ

 

ในเรื่องที่เกี่ยวกับประเด็นนี้ จางหยวนก็เห็นด้วย “ไม่ใช่แค่ตัวองค์ชายเองที่ดี และมีความสามารถชายาของพระองค์ก็ดีเช่นกันพะยะค่ะ”

 

“ใช่ ! ” เมื่อพูดถึงเฟิงหยูเฮง ฮ่องเต้ก็ยิ่งกล้าหาญกว่าเดิม “มิฉะนั้นแล้วทําไมข้าถึงบอกว่าองค์ชายเก้าเกิดมาเพื่อเป็นผู้ปกครอง ดูชายาที่เขาเลือก มีภัยคุกคามของราชวงศ์ต้าชุนกี่ครั้งที่ได้รับการจัดการด้วยความช่วยเหลือของอาเฮง ? วันนี้มีเรื่องกับน้ําหอมพันกลิ่น ราชวงศ์ต้าชุนไม่แพ้ใช่หรือไม่ ! นี่เป็นเรื่องเล็ก ๆ ดูที่เหล็กกล้า นั่นไม่ได้ยกระดับสถานะของราชวงศ์ต้าชุนเท่านั้นแต่ยังช่วยยกระดับทหารของข้าอีกด้วย !”

 

จางหยวนพยักหน้า หลังจากคิดไปสักพักเขากล่าวต่อ “ฝ่าบาทยังจําคําพยากรณ์จากโหราจารย์ได้หรือไม่พะยะค่ะ ? ”

 

“แน่นอน” ด้วยการพูดถึงสิ่งนี้ใบหน้าของฮ่องเต้จึงมืดลง “ทางตะวันตกเฉียงเหนือ ในเวลานั้นอาเฮงยังอยู่ที่ภาคตะวันตกเฉียงเหนือใช่หรือไม่ ? ”

 

“พะยะค่ะ” จางหยวนกล่าว “เฟิงจินหยวนกลัวว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับตระกูลเหยาจะพัวพันถึงตระกูลเฟิง และเขาส่งเหยาชื่อและบุตรของนางไปยังหมู่บ้านแห่งหนึ่งในภาคตะวันตกเฉียงเหนือปีนั้นก็เป็นปีสุดท้ายเช่นกันสําหรับองค์ชายเก้า หลังจากนั้นพระองค์กลับมาพร้อมกับนางพระองค์และองค์หญิงพบกันในคืนที่โหราจารย์ได้พูดถึงสายฟ้า มือปาฏิหาริย์ขององค์หญิงรักษาขาของพระองค์ ฝ่าบาท นี่คือโชคชะตา ใช่หรือไม่พะยะค่ะ ?”

 

ฮ่องเต้หัวเราะและกล่าวอย่างมั่นใจ “แน่นอนนั่นเป็นเพียงชะตากรรมของหงส์เพลิง ! ชะตากรรมของหงส์เพลิง !”

 

ในด้านนี้ฮ่องเต้ถอนหายใจด้วยอารมณ์ ในอีกด้านหนึ่งโหราจารย์ได้พูดถึงสิ่งเดียวกัน และผู้ที่ได้ยินเรื่องราวคือพระชายาหยุนผู้ซึ่งครอบครองห้องโถงจาวเหอด้วยตัวนางเองตั้งแต่กลับมาที่พระราชวัง

 

เจียนเจิ้งกล่าวว่า “เมื่อพูดถึงดาวหงส์เพลิง เมื่อก่อนปรากฏว่ามีดาว 2 ดวงปรากฏขึ้นอย่างแปลกประหลาด พระชายาอาจจะไม่รู้ แต่ข้าคอยสังเกตดวงดาวอยู่เสมอและพบว่ามีบางอย่างของเงาที่ซ่อนอยู่หลังดาวแห่งนกฟินิกซ์ ไม่ว่าดาวหงส์เพลิงจะไปที่ใด มันก็จะไปด้วย มันมีศักยภาพที่จะแทนที่ดาวด้วยขอรับ !”

 

พระชายาหยุนกินเมล็ด เมื่อได้ยินคําพูดเหล่านี้นางก็โยนเมล็ดในมือของนางทันทีแล้วลุกขึ้นนั่งตรง “แทนที่ ? เงาขนาดเล็กต้องการที่จะโค่นล้มเจ้านายของพวกมันหรือ ? มีใครเล่าเรื่องข้อมูลของเจ้าถูกต้องหรือไม่”

 

โหราจารย์เจียนเจิ้งปาดเหงื่อ สําหรับเจ้าหน้าที่อย่างเขาที่สังเกตดวงดาว ทําไมเขาถึงไม่สามารถเงยหน้าต่อเจ้านายคนนี้ได้ หนึ่งในเรื่องราวที่ว่านางเรียกเขา ! แต่เจ้านายถามคําถามและเขาต้องตอบดังนั้นเขาจึงกล่าวอย่างเคารพ “เจ้าหน้าที่ผู้นี้ไม่กล้าพูดเรื่องไร้สาระขอรับ”

 

“มันจะเป็นเรื่องจริงหรือ ? ” พระชายาหยุนถาม “ตั้งแต่สมัยโบราณ มีคนจํานวนมากเกินไปที่ไม่รู้น้ําหนักของโลก พวกเขาต้องการไปและคิดเรื่องที่ไม่ควรทํา พวกเขาต้องการทําในสิ่งที่ไม่ควรทําอย่างไรก็ตามพวกเขาไม่รู้ว่าสิ่งที่พวกเขาไม่ควรทํา จะเผาไหม้พวกเขาอย่างรุนแรง

 

เจียนเพิ่งผู้น่าเวทนาเพียงพยักหน้า และแสดงว่าเขาเห็นด้วยกับความรู้สึกนี้

 

พระชายาหยุนจึงกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นจะบอกได้หรือไม่ว่ามีวิธีแก้ไขปัญหานี้ ? เราไม่สามารถปล่อยให้เงาที่กระจัดกระจายกระทบชีวิตของดาวหงส์เพลิงได้”

 

เจียนเจ๋งกล่าวว่า “ในปัจจุบันยังไม่มีวิธีที่มีประสิทธิภาพเงาของดาวดวงนั้นถูกควบคุมโดยเงาของดาวหงส์เพลิงอย่างจงใจ ทุกอย่างจะขึ้นอยู่กับว่าดาวหงส์เพลิงจะจัดการกับมันอย่างไรพวกเขาจะกําจัดมันหรือเก็บมันไว้ มันจะขึ้นอยู่กับความรู้สึกของดาว”

 

“มีทางเลือกอะไรบ้าง ? ” พระชายาหยุนโกรธมาก “คอยดูแลเจ้านายและกําจัดเงาอ อกไปเนื่องจากเงานั้นกําลังรนหาที่ตายของตัวเอง เพียงทําตามที่มันพอใจ เรื่องแบบนี้ที่ไม่รู้ความลึกของโลกเท่าที่ข้ามองเห็น การฆ่ามันจะมีประสิทธิภาพมากที่สุด”

 

คําพูดของพระชายาหยุนก็เต็มไปด้วยความละเอียด แม้แต่โหราจารย์เจียนเจิ้งก็รู้สึกได้และเขาก็อดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเข้าอย่างแรง แต่หลังจากคิดเล็กน้อย เงานั้นน่าจะถูกฆ่าเพราะมีผลต่อการเคลื่อนที่ของดาวหงส์เพลิง

 

“ใครอยู่ข้างนอก ? ” ทันใดนั้นภายในห้องโถง ผู้หญิงคนหนึ่งในห้องโถงก็ตะโกนออกมาเมื่อติดตามสิ่งนี้สายตาของพวกนางก็เดินไปที่มุมหนึ่งนอกหน้าต่าง

 

Related

ตอนที่ 711 ไพ่สองใบของตระกูลหลู่ถูกทําลาย

 

คําว่า “เสียชีวิตจากการจมน้ํา” ทําให้ทุกคนถอยห่างจากศพของหลู่เหยาเมื่อพวกนางถอยออกไปหลู่วิ่งและซูชื่อก็สามารถมองเห็นหลู่เหยาได้อย่างชัดเจน

 

ซูชื่อขมวดคิ้วอย่างหนักและไม่พูดอะไรเลย หลังจากนั้นไม่นานนางก็พูดกับขันทีที่ด้านข้างของนาง “ท่านขันที่ได้โปรดเข้าไปในห้องโถงเพื่อเรียกคุณชายใหญ่ของตระกูลเหยาออกมา”

 

ขันที่จ้องมองที่เพิ่งหยูเฮง เมื่อเห็นว่านางพยักหน้า เขาก็ปฏิบัติตามและจากไป ส่วนหลู่ปิงนางจ้องไปที่ศพของหลู่เหยาและตัวแข็งเป็นเวลานาน ในที่สุดน้ําตาสองสามหยดก็ก้มหน้าลง อย่างไรก็ตามนางไม่ได้ร้องไห้เสียงดัง นางพูดอะไรบางอย่างที่คล้ายคลึงกับวันที่ “ท่านวันที่รบกวนเข้าไปในห้องโถง และเรียกท่านใต้เท้าหลู่, เสนาบดีฝ่ายซ้ายออกมา”

 

ขันที่อีกคนมองที่เพิ่งหยูเฮง เมื่อเห็นว่าเพิ่งหยูเฮงพยักหน้า เขาก็รีบไปที่ห้องโถงอย่างรวดเร็ว

 

มันเป็นเทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วงที่ดีอย่างสมบูรณ์แบบ และไม่มีใครคิดว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นเฟิงหยูเฮงถามบ่าวรับใช้ของซูชื่อว่า “เจ้าไปที่ไหนเมื่อท่านฮูหยินใหญ่และท่านฮูหยินน้อยตกลงไปในสระบัว ? ”

 

บ่าวรับใช้คุกเข่าขณะที่ตัวสั่นด้วยความกลัว และกล่าวว่า “ท่านฮูหยินน้อยบอกว่าข้างสระบัวมีลมแรงและหนาว ให้ข้ากลับไปเอาเสื้อคลุมที่ห้องโถงซึ่งท่านฮูหยินใหญ่ถอดไว้มาเจ้าคะข้าไปเอาและเมื่อกลับมา…”

 

เฟิงหยูเฮงโบกมือและไม่ถามต่อ นางเพียงแค่เดินไปที่ข้างซูชื่อแล้วก็ก้มตัวลงถามด้วยความกังวล “ท่านป้าใหญ่รู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติกับร่างกายหรือไม่เจ้าคะ ?”

 

ซูชื่อถอนหายใจแล้วส่ายหัวจากนั้นนางก็ไอสองสามครั้งก่อนที่จะกล่าวว่า “ข้าสําลักน้ําเพียงเล็กน้อยซึ่งไม่ร้ายแรง” หลังจากพูดแล้วนางมองไปในทิศทางของหลู่เหยาแล้วถามเงียบๆว่า “ไม่มีทางช่วยชีวิตนางแล้วหรือ ? ”

 

เฟิงหยูเฮงพยักหน้า “ไม่มีความหวังมานานแล้วเจ้าค่ะ”

 

ซูชื่อไม่ได้พูดอะไรมาก ในเรื่องที่เกี่ยวกับหลู่เหยา นางไม่มีความรู้สึกที่ดีแม้แต่น้อยสําหรับ นางแม้ว่าสมาชิกของตระกูลเหยาจะใจดีมาก แต่พวกเขาไม่ใช่คนที่ถูกรังแกได้ง่าย ซูซื้อเข้าใจอย่างชัดเจนมากว่าวันนี้การที่นางตกลงไปในน้ําไม่ใช่อุบัติเหตุ นางถูกหลู่เหยาลากอย่างแรงสําหรับสาเหตุที่หลู่เหยาลากนางลงไปในน้ํานี้เป็นสิ่งที่นางไม่เข้าใจ

 

ไม่มีปัญหาที่สําคัญกับซูชื่อและหลู่วิ่งไม่ได้สําลักน้ํา แต่บาดแผลบนใบหน้าของนางน่าเกลียดมาก หมอหลวงให้ยาแก้ปวดและยาแก้อักเสบ แต่เลือดไม่หยุดไหล ใบหน้าของหลู่ปังถูกเต็มไปด้วยเลือดและดูเหมือนว่าบาดแผลจะเริ่มลึกและยาวขึ้น หมอหลวงค่อนข้างหวาดกลัวในที่สุดพวกเขาก็รวบรวมความกล้าที่จะรบกวนเฟิงหยูเฮงโดยกล่าวว่า “องค์หญิงบาดแผลบนใบหน้าของคุณหนูตระกูลหลู่เป็นปัญหาเล็กน้อย ข้าหวังว่าองค์หญิงจีอันจะสามารถช่วยได้พะยะค่ะ”

 

เฟิงหยูเฮงขมวดคิ้ว ในขณะที่หันกลับมานางพูดกับหมอหลวงว่า “คุณหนูผู้นี้เป็นคุณหนูใหญ่ของคฤหาสน์เสนาบดีฝ่ายซ้าย นางเป็นพี่สาวของหลู่เหยาที่จมน้ําตาย” หลังจากพูดจบนางก็เพ่งมองบาดแผลของหลู่วิ่ง ขณะที่นางมอง คิ้วของนางขมวดอีกครั้ง

 

อย่างไรก็ตามหลู่วิ่งปลอบใจนางในเวลานี้ “ไม่เป็นไรเจ้าคะ ปล่อยให้แผลเป็นโตขึ้นอีกหน่อย นั่นจะดีกว่า”

 

เพิ่งหยูเฮงไม่ฟังนางและเอื้อมมือไปข้างหน้าเพื่อกดแผล หลู่วิ่งตัวสั่นด้วยความเจ็บปวดแต่ได้ ยินเฟิงหยูเฮงกล่าวว่า “พิษของแมลงยังคงอยู่ในแผล มันจะเป็นอย่างนี้ได้อย่างไร ? แมลงไม่ยอมปล่อยหลังจากกัดคน ? ” ถึงแม้ว่านางจะเป็นหมอสมัยใหม่ แต่นางใช้เวลานานกว่าในสมัยโบราณนางยิ่งเข้าใจว่ามีหลายสิ่งที่ยาสมัยใหม่ไม่สามารถอธิบายได้ ตัวอย่างเช่น สารพิษที่ผลิตโดยผู้คนในยุคโบราณ และแมลงที่เป็นพิษที่เลี้ยงโดยคนภาคใต้ แม้ว่านางจะมีเวลา แต่นางก็สามารถรักษาคนด้วยยาแผนปัจจุบันได้ แต่ร่างกายของคนผู้นั้นจะฟื้นฟูอย่างล่าช้า นางถามหลู่ปิง “เจ้ารู้จักต้นกําเนิดของแมลงพิษนี้หรือไม่ ?”

 

หลู่วิ่งพยักหน้า “มันเป็นแมลงน้ํามีพิษที่เลี้ยงโดยคนทางภาคใต้ หลังจากกัดคน มันจะยังคงอยู่ในเนื้อ ในสถานการณ์ที่เหยื่อไม่รู้ตัว มันจะกัดต่อไปจนกว่าแผลจะใหญ่ขึ้น แต่แมลงมีพิษชนิดนี้มีไม่มากนัก ตราบใดที่มันถูกดึงออกมา ทุกอย่างก็จะเรียบร้อย”

 

เฟิงหยูเฮงพยักหน้าและไม่ได้ถามอะไรเลย ด้วยแรงบางอย่าง นางก็กดบาดแผลบนใบหน้าของหลู่วิ่งทันที เร็วมาก แมลงสีดําก็ดินออกมา มันมองไปรอบ ๆ แล้วให้มองไปที่แก้มของเฟิงหยูเฮง มันกระโดดออกมาและเตรียมพร้อมที่จะกัด อย่างไรก็ตามมันไม่ได้คิดว่าเฟิงหยูเฮงจะก้าวไปด้านข้าง ข้อผิดพลาดเกิดขึ้นที่ว่างเปล่า แต่ไม่ได้หยุดยั้งความแข็งแกร่งเนื่องจากมันยังคงบินไปข้างหน้า

 

หากปราศจากการเบี่ยงเบนก็เกิดการลงจอดบนหน้าของหมู่เหยาโดยตรง แมลงไม่สนใจว่ามันเป็นคนที่มีชีวิตอยู่หรือคนตาย มันมีความสุขเกินไปกับร่างกายใหม่ มันจะสนใจเรื่องจี้จี้จุกจิกได้อย่างไร

 

ทุกคนเห็นภาพนี้และทุกคนก็สูดลมหายใจเข้าอย่างแรง พวกเขาเฝ้าดูขณะที่แมลงกัดไปตามใบหน้าของหลู่เหยา แต่หลู่เหยาก็ตายไปแล้ว นางไม่สามารถรู้สึกถึงความเจ็บปวดใด ๆและไม่มีใครที่ต้องการกําจัดแมลงสําหรับคนตาย ดังนั้นพวกเขาจึงอนุญาตให้แมลงทําตามที่พอใจจากนั้นใบหน้าของหลู่เหยาครึ่งหนึ่งก็มีบาดแผล

 

ในท้ายที่สุดนางเป็นคนตายและเลือดไม่ไหลอีกต่อไป หลังจากเคี้ยวใบหน้าครึ่งหนึ่งแล้ว แมลงก็หมดความสนใจ คลานออกมาจากผิวหนังก็เริ่มมองหาเป้าหมายต่อไป ในเวลานี้เฟิงหยูเฮงพูดในที่สุด “จับแมลงตัวนั้น” หลังจากพูดอย่างนี้นางก็โยนขวดแก้วออกมาอย่างไม่ตั้งใจ “เอาใส่ไว้ที่นั้น”

 

บ่าวรับใช้ในพระราชวังเริ่มทํางานทันที่ ร่างของแมลงที่โผล่ออกมาจากใบหน้าของหมู่เหยานั้นถูกจับและโยนเข้าไปในขวดแก้ว ผู้คนมองผ่านขวดแก้วและเห็นว่าแมลงดูเหมือนจะดุร้ายมากมันกระแทกหัวของมันซ้ํา ๆ กับด้านบนของขวด ดูเหมือนว่าพยายามจะทําให้ขวดแตกเพื่อหลบหนีน่าเสียดายที่ขวดแก้วมีความทนทาน แมลงตัวเล็ก ๆ จะสามารถทําลายมันได้อย่างไร

 

เฟิงหยูเฮงให้บ่าวรับใช้ในพระราชวังพกขวดอย่างระมัดระวัง

 

ในเวลานี้เสนาบดีฝ่ายซ้าย, หลู่ซ่งรีบมาจากห้องโถงสวรรค์ เมื่อมาถึงบ่าวรับใช้ในพระราชวังก็พาเขาไปยังที่เกิดเหตุทันที สําหรับสิ่งแรกที่เข้าตาของหลู่ซ่งคือศพของหลู่เหยาที่ใบหน้าของนางถูกทําลายไปครึ่งหนึ่ง

 

เขายืนตัวแข็งอยู่กับที่และไม่สามารถพูดได้เพราะตกใจ บ่าวรับใช้คนหนึ่งในพระราชวังเล่าเรื่องราวคร่าว ๆ ของสิ่งที่เกิดขึ้นให้เขาฟังแล้ว เมื่อหลู่ซึ่งได้ยิน “เป็นคุณหนูใหญ่หลู่ปิงที่กระโดดลงน้ําเพื่อช่วยชีวิตพวกนาง” เขาอดไม่ได้ที่จะตื่นตระหนกอีกครั้ง!

 

ในเวลานี้หลู่ปิงที่ยังคงนั่งอยู่บนพื้นอยู่ในอ้อมกอดของบ่าวรับใช้ในพระราชวัง นางเรียกอย่างอ่อนแอ “ท่านพ่อ !”

 

หลู่ซ่งจึงรีบไปหาหลู่วิ่ง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความกังวลขณะที่เขามองหน้านาง ในอีกด้านหนึ่งเขาเลิกคิดเรื่องบุตรสาวคนที่สองที่เสียชีวิตไปแล้ว

 

“ท่านพ่อ ไม่มีอะไรที่ข้าทําได้ในเวลานั้นไม่มีใครว่ายน้ําเป็น น้องรองว่ายน้ําเก่งและยังก็ดีอยู่ แต่ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับท่านฮูหยินตระกูลเหยา ตระกูลหญ่ของเราไม่สามารถรับผิดชอบได้ !”

 

หอู่ซงโกรธและอยากตบหลู่วิ่ง แต่เขาก็รู้ว่าสิ่งที่หลู่วิ่งพูดคือความจริง ถึงแม้ว่าลําดับตระกูลเหยาจะไม่สูง แต่ก็เป็นกษัตริย์ที่ไร้มงกุฏในเมืองหลวง หากมีบางสิ่งเกิดขึ้นกับซูชื่อจากการตกน้ํากับหลู่เหยา ตระกูลหลู่ของเขาไม่สามารถทําอะไรได้เลย แต่…. แต่ใบหน้าของหลู่วิ่ง …

 

“ท่านพ่อ” หลู่ปังกล่าวต่อ “ข้าเพียงแค่อยากรู้อยากเห็น เหตุใดแมลงกินเนื้อคนจึงปรากฏตัว ขึ้นและโจมตีข้า 2 ใบหน้าของข้านั่นถูกแมลงกิน ใบหน้าของข้า…มันถูกทําลายหรือไม่เจ้าคะ”

 

ในที่สุดหลู่วิ่งก็เริ่มสะอื้นกับใบหน้าของนาง นางไม่ได้มีความสวยเหมือนก่อนหน้านี้อีกต่อไปสําหรับคนที่มองนี่เป็นภาพลักษณ์ที่เด็กผู้หญิงที่ใบหน้าของนางถูกทําลาย หลู่วิ่งมีแนวโน้มที่จะมั่นเพราะความกลัว แต่ก็มีบางคนที่รู้ตัวมากขึ้นและสามารถได้ยินส่วนสําคัญของสิ่งที่หลู่วิ่งกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่า “คุณหนูรองตระกูลหลู่นั้นว่ายน้ําเก่ง” นางมองไปที่หลู่เหยาที่ตายแล้วและถามว่า“ถ้าว่ายน้ําเก่ง ทําไมนางไม่ช่วยท่านฮูหยินเหยา แล้วพาตัวเองกลับมา ? ทําไมนางถึงต้อง ให้คนช่วยนาง ? เมื่อเรามาถึง ทั้งสองก็แช่อยู่ในน้ําเป็นเวลานานแล้ว !”

 

เมื่อสิ่งนี้ถูกเอ่ยขึ้นมา บางคนพยักหน้าทันทีและแสดงความคิดเห็น ผู้คนเริ่มถกกันเรื่องความสามารถของหลู่เหยาในน้ํา

 

ยิ่งได้ยินมากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งหดหูมากเท่านั้น จากนั้นเขาก็มองขวดแก้วที่บ่าวรับใช้ถือซึ่งมีแมลงมีพิษ เขาสนิทกับผู้คนจากภาคใต้มากโดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีหลัง ภายใต้การนําขององค์ชายแปด เขามีปฏิสัมพันธ์กับคนที่ถูกส่งไปยังเมืองหลวงสองสามครั้ง เขาจะจําแมลงนี้ไม่ได้อย่างไรหลู่ซึ่งไม่ใช่คนโง่ เมื่อเขาได้ยินว่าหลู่เหยาเสียชีวิตจากการจมน้ํา เขาก็เริ่มสงสัย ในเวลานี้เขาจะไม่เข้าใจสาเหตุและผลกระทบของเหตุการณ์นี้ได้อย่างไร

 

มันเป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่เขาได้คาดการณ์ความคิดของหลู่เหยา เขาไม่เคยคิดเลยว่าหลู่เหยาจะพยายามดึงซูซื่อลงไปในน้ํา จากนั้นใช้สิ่งนี้เพื่อดึงเฟิงหยูเฮง สิ่งที่เขาคิดคือหลู่เหยามักจะหยิ่งและดื้อรั้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่มารดาของนางเสียชีวิตจากอาการปวย นางไม่ญาติดีกับหลู่หยานในการเป็นบุตรสาวของฮูหยินใหญ่ และนางก็เกลียดความงามอันยอดเยี่ยมของหลู่วิ่งนั่นคือเหตุผลที่ในสายตาของหลู่ซ่ง หลู่เหยาใช้สิ่งนี้เพื่อทําลายใบหน้าของหลู่ปิง ในท้ายที่สุดเรื่องนี้เป็นเรื่องระหว่างบุตรสาวของตระกูลหลู่ อย่างไรก็ตามใครจะรู้ว่ามันจะส่งผลให้เกิดความพ่ายแพ้ร่วมกัน

 

ในที่สุดเขาก็หันหน้าไปหาหลู่เหยาที่ตายไปแล้ว อย่างไรก็ตามสีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความขยะแขยงในฐานะที่เป็นบิดาของนาง เขาเกลียดที่เขาไม่สามารถลุกขึ้นไปกระทืบนางสองสามครั้ง แต่เมื่อมีคนดูอยู่มากมาย เขาต้องควบคุมอารมณ์ของเขาได้ หลู่เหยาเสียชีวิตและใบหน้าของหลู่วิ่งถูกทําลาย ไฟสองตระกูลของหลู่หายไป เขาเกลียดชังบุตรสาวคนที่สองมาก !

 

ในที่สุดบุตรหกคนของตระกูลเหยาก็มาถึงที่สระบัว ทั้งหกคนมาถึงแล้ว พวกเขารีบไปหาชูชื่อหลังจากมีความกังวลอย่างมาก พวกเขาก็มั่นใจว่าซูซื่อสบายดี เหยาซูนั้นนําทางและไปขอบคุณหลู่วิ่ง หลังจากทําสิ่งนี้เสร็จสิ้น เขาก็จ้องมองไปที่ศพของหลู่เหยา

 

เหยาขู่ไม่ใช่คนโง่ เมื่อมุ่งหน้ามาทางนี้ เขาได้ยินบ่าวรับใช้ในพระราชวังเล่าถึงสิ่งที่ เกิดขึ้นในเวลานี้เขาเห็นเฟิงหยูเฮงยืนอยู่ข้าง ๆ อย่างเย็นชา เขาเข้าใจว่ามีบางสิ่งที่ยังคงซ่อนอยู่ภายใต้พื้นผิว

 

เขาเดินไปที่ศพของหลู่เหยาและดูบาดแผลบนใบหน้าของนาง จากนั้นเขาก็มองที่หลู่ปิงเปรียบเทียบทั้งสองในฐานะคนจากตระกูลแพทย์ เขาจําได้ทันทีว่าทั้งสองคนมีอาการบาดเจ็บประเภทเดียวกัน ในเวลานี้บ่าวรับใช้ในพระราชวังส่งขวดให้เขา มีแมลงมีพิษอยู่ข้างในเหยาซูมองแล้วก็หันไปถามหลู่ซึ่ง “ท่านพ่อตา หลู่เหยากลับไปบ้านเมื่อสองสามวันก่อนงานเลี้ยงแมลงมีพิษนี้มาจากทางภาคใต้ เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ท่านพ่อตาคงมีคําอธิบายให้ลูกเขยคนนี้ใช่หรือไม่ขอรับ ?”

 

หลู่ซ่งคร่ําครวญอย่างเย็นชา “ข้าสามารถให้คําตอบอะไรเจ้าได้”

 

“แค่อธิบายที่มาของแมลงมีพิษนี้ขอรับ ! ” เหยาซูไม่เชื่อฟัง “ถ้าท่านพ่อจะปฏิเสธที่ จะให้หลักฐานใดๆ ก็ไม่เป็นไร ไปรายงานเรื่องนี้กันเถิดขอรับ ! ” หลังจากพูดอย่างนี้แล้วเขาก็หันไปหาบ่าวรับใช้ที่อยู่ข้าง ๆ เขาแล้วก็ออกคําสั่ง

 

ผู้คนได้ยินทุกอย่าง สิ่งที่เหยาซู่สั่งบ่าวรับใช้คนนั้นเรียกเจ้าเมืองมายังที่เกิดเหตุ จากนั้นเจ้าหน้าที่จะนําศพของหลู่เหยาไปยังทางการเพื่อตรวจสอบ

 

ใบหน้าของหลู่ซ่งเปลี่ยนเป็นสีเขียวด้วยความโกรธ ขณะที่เขาพูดด้วยความโกรธ “เหยาซู !เสนาบดีผู้นี้ให้เจ้าแต่งงานกับบุตรสาวของข้า ตอนนี้นางล่วงลับไปแล้ว เจ้าไม่พานางกลับไปที่คฤหาสน์ กลับส่งนางไปยังทางการแทน ? ”

 

อย่างไรก็ตามเหยาซูมองไปที่เขา และไม่พูดอะไรสักคําเดียว เมื่อหันกลับมาเขาช่วยซูชื่อลุกขึ้นยืนแล้วถามว่า “ข้าทําให้ท่านแม่ต้องตกใจ กลับมาที่คฤหาสน์กันก่อนเถิด สําหรับงานเลี้ยงนี้ท่านปูจะขอพระราชทานอภัยโทษจากฮ่องเต้ขอรับ !”

 

หลังจากพูดอย่างนี้แล้วเด็กทั้งหกของตระกูลเหยาช่วยชูชื่อ ฉันชื่อ และเหมียวชื่อเดินออกจากพระราชวัง หอู่ซ่งเต็มไปด้วยความโกรธแต่ไม่มีที่ระบาย เขาต้องการวิ่งไปข้างหน้าแล้วลากเหยาชูกลับมา อย่างไรก็ตามเขาเห็นว่าเพิ่งหยูเฮงก้าวไปข้างหน้าเพื่อหยุดเขา แล้วกระซิบเบาๆ ว่า “ท่านเสนาบดีฝาบซ้าย การแต่งงานครั้งนี้ท่านคํานาณผิด หรือเป็นเพราะบุตรสาวของท่านที่ได้ความสามารถเกินไป”

 

Related

ตอนที่ 710 หลู่เหยาต้องไม่มีชีวิตอยู่

 

ผู้คนตะโกนด้วยความประหลาดใจ แต่เห็นว่าคนที่กระโดดลงไปในสระบัวนั้นว่ายน้ําค่อนข้างเก่งนางว่ายตรงไปที่ที่ซูชื่อและหลู่เหยา ทุกคนไม่คุ้นเคยกับเด็กผู้หญิงที่กระโดดลง ไปในน้ําพวกนางล้วนแต่คาดเดาว่านางเป็นใคร แต่นี่คือคนที่เพิ่งหยูเฮงรู้จัก บุคคลนั้นเป็นบุตรสาวคนโตของตระกูลหลู่ บุตรสาวของอนุตระกูลหลู่

 

นางกับชวนเทียนเก้อมองหน้ากันและทั้งคู่ก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เพิ่งหยูเฮงสามารถระบุได้ว่าการที่ซูชื่อตกน้ํานั้นต้องเกี่ยวข้องกับหลู่เหยา นอกจากนี้นางสังเกตเห็นว่าแม้หลู่เหยาจะจมน้ําต่อหน้าซูชื่อ แต่ก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเพราะนางจมน้ําตาย แต่มันดูจงใจ แม้ว่านางจะทําท่าเหมือนว่ายน้ําไม่เป็น แต่จากการสังเกตของนาง ความคิดและการกระทําของหลู่เหยาก็ไม่สา

 

มารถหลอกนางได้แม้ว่านางจะสามารถหลอกคนอื่นได้ก็ตาม หลู่เหยาว่ายน้ําเป็น นี่คือสิ่งที่เพิ่งหยูเฮงมั่นใจ

 

หลังจากได้รับความเข้าใจเล็กน้อย นางก็ยังรู้สึกกังวลชูชื่อยังคงอยู่ในน้ําและไม่สามารถจัดการกับความงุ่มง่ามเพียงเล็กน้อยได้

 

หวงซวนถามอย่างรอบคอบจากด้านข้างของนาง “คุณหนู คุณหนูต้องการให้ข้าเข้าไปช่วยหรือไม่เจ้าคะ ?”

 

แม้ว่าเฟิงหยูเฮงอยากจะเห็นว่าหลู่วิ่งไปช่วยพวกนาง นางก็ส่ายหัวเล็กน้อย “ไม่ต้องไปสังเกตไปก่อน”

 

หลังจากพูดอย่างนี้แล้วหลู่วิ่งก็ยื่นมือไปหาซูชื่อ การเคลื่อนไหวนี้ทําให้จิตใจของนางเปลี่ยนไปคนหนึ่งที่ตกลงไปในน้ําคือชูชื่อ และอีกคนคือน้องสาวของหมู่ปิง อย่างไรก็ตามนางเอื้อมมือไปหาซูชื่อและไม่สนใจหลู่เหยา นี่เป็นสิ่งที่ทําให้นางต้องใช้ความคิด

 

บางคนจากฝูงชนผู้ชมต่างเริ่มส่งเสียงให้กําลังหลู่วิ่ง แม้ว่าพวกนางจะไม่รู้ว่าคนผู้นี้เป็นใครแต่พวกนางก็เห็นด้วยอย่างมากกับการกระโดดลงไปในน้ําเพื่อช่วยพวกนาง แต่ในขณะเดียวกันก็มีคนที่เริ่มตั้งคําถามว่าพวกนางตกลงไปในน้ําได้อย่างไร “ทั้งสองมาเดินเล่นที่สระน้ํา ทําไมพวกนา งถึงตกลงไปได้ ? นอกจากนี้ทําไมพวกนางทําไมอยู่ห่างจากขอบสระเช่นนั้น ?”

 

คําพูดเหล่านี้ทําให้ทุกคนตกใจ ถูกต้อง ! ถึงแม้ว่าการตกลงไปในน้ําจะเป็นเรื่องแปลก แต่พวกนางก็จะตกลงไปใกล้ ๆ ข้างสระน้ํา สระบัวนี้ยังมีพืชจํานวนมาก คนจะลอยออกไปไกลขนาดนั้นได้อย่างไร ?

 

ในเวลาเดียวกัน คําถามนี้ถูกถามในใจของเฟิงหยูเฮง อย่างไรก็ตามสายตาของนางยังคงจับจ้องอยู่ที่หลู่เหยา ถึงแม้หลู่เหยาจะยังอยู่ใต้น้ํา แต่เฟิงหยูเฮงก็เห็นนางยังคงจับซูชื่ออย่างสิ้นหวังนางยังจัดการดึงมือของหลู่วิ่งออกจากซูซื่อ

 

นางขมวดคิ้วและรู้สึกว่าหลู่เหยากําลังหยุดหลู่วิ่งไม่ให้ช่วยพวกนาง แต่สําหรับผู้คนที่อยู่ข้างนอก หลู่เหยากําลังดิ้นรนขณะจมน้ํา เฟิงหยูเฮงประหลาดใจและพร้อมที่จะสั่งให้หวงซวนกระโดดลงไปช่วย แต่ในเวลานี้หลู่วิ่งหลุดพ้นจากการแทรกแซงของหลู่เหยาแล้ว นางรีบดึงซูชื่อมาข้างสระอย่างรวดเร็ว

 

แต่ในขณะที่นางกําลังว่ายน้ํา สามารถมองเห็นเลือดได้ในน้ํา เลือดมาจากใบหน้าของหลู่ปิงในช่วงพริบตาเดียวสระบัวขนาดใหญ่ก็ถูกย้อมไปด้วยเลือด

 

ทุกคนตกใจ พวกคุณหนูพากันส่งเสียงกรีดร้องออกมาด้วยความกลัว ในเวลานี้นางกํานัลก็พาขันทีมาได้ ขันที่ผู้แข็งแรงไปและดึงพวกนางขึ้นจากน้ํา เฟิงหยูเฮงรีบวิ่งไปอย่างรวดเร็วและตบหลังของซูชื่ออย่างแรง ทําให้ซูชื่อสําลักน้ําออกมา

 

ไม่มีปัญหาสําคัญกับซูชื่อ หลังจากสําลักน้ํานางก็ตกใจเล็กน้อย โชคดีที่มีหลายคนกําลังดูอยู่ท่านฮูหยินและคุณหนูที่มีจิตใจดีได้ดึงผ้าที่สะอาดบางส่วนจากบ่าวรับใช้ในพระราชวังแล้วห่อซูชื่อไว้ แต่เมื่อมองดูหลู่ปิง นางก็ไม่ได้โชคดีอย่างซูชื่อ ผ้าคลุมหน้าของนางหลุดหายไปในขณะที่นางกําลังว่ายน้ํา ใบหน้าที่งดงามล่มเมืองในขณะนี้ ทุกคนเห็นว่ามีบาดแผลที่น่าเกลียดบนใบหน้าของนางใครจะรู้ว่ามีอะไรบางอย่างจากบ่อน้ําเข้ามาในแผลราวกับว่ามันมืด เลือดที่ไหลออกมาก็ดําและดําลงพร้อมกับสิ่งนี้ใบหน้าด้านซ้ายของนางก็เริ่มเปลี่ยนไป

 

เฟิงหยูเฮงตกใจ “เจ้าถูกวางยา ? อะไรที่ทําให้เจ้าเจ็บ ?”

 

หลู่วิ่งกัดฟันและบอกกับนางว่า “ข้าถูกแมลงกัด องค์หญิงอย่ากังวลเจ้าค่ะ พิษชนิดนี้จะไม่มีผลอะไรต่อข้า มันจะทําลายใบหน้าของข้าเพียงครึ่งเดียว เราดูท่านฮูหยินใหญ่ก่อนเจ้าคะนางถูกแมลงมีพิษกัดหรือไม่ ? ”

 

ในเวลานี้ซูชื่อได้สติขึ้นมาแล้ว เมื่อได้ยินสิ่งที่หลู่วิ่งพูด นางส่ายหัวซ้ํา ๆ และน้ําตาคลอนางกล่าวว่า “เจ้ามาจากตระกูลไหน ตระกูลเหยาของข้าจะตอบแทนเจ้าอย่างแน่นอนเพราะบุญคุณในการช่วยชีวิตข้า ไม่ต้องกังวล ข้าไม่ได้รับบาดเจ็บเพราะเจ้าปกป้องข้าตลอดเวลา ด้วยการใช้ร่างกายของเจ้าเอง เจ้าช่วยข้าจากแมลงใต้น้ํา แต่ใบหน้าของเจ้า” เมื่อมองแล้วนางรู้สึกตกใจและได้แต่พูดกับเฟิงหยูเฮงว่า “อาเฮง เจ้าต้องช่วยรักษานาง”

 

เฟิงหยูเฮงพยักหน้า “ท่านป้าไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะ”

 

ในเวลานี้มีหมอหลวงมาถึง เฟิงหยูเฮงเปิดทางให้หมอหลวง ในเวลาเดียวกันนางเอื้อมมือไปที่แขนเสื้อของนางแล้วดึงยาแก้ปวดชนิดพิเศษออกมา และบอกกับหมอหลวงว่าจะใช้มันอย่างไรและสั่งให้พวกเขามอบมันให้กับหลู่ปิง นางสามารถบอกได้ว่าอาการบาดเจ็บบนใบหน้าของหลู่วิ่งไม่สามารถรักษาได้อีกต่อไป แต่อย่างน้อยที่สุดก็ไม่ติดเชื้อ มันสําคัญยิ่งกว่าที่อาการปวยอื่นจะไม่เกิดขึ้นเนื่องจากการติดเชื้อ

 

ทุกคนมารวมตัวกันรอบ ๆ หลู่ปิงและซูชื่อ หมอหลวงก็รีบรักษาทั้งสองเช่นกัน ไม่มีใครให้ความสนใจกับความจริงที่ว่ายังมีอีกคนหนึ่งที่ยังคงแช่อยู่ในสระบัว เป็นคนที่ตกลงไปพร้อมกับซูชื่อ,หลู่เหยา

 

ในเวลานี้หัวของหลู่เหยาผุดขึ้นมาเหนือพื้นผิวน้ําแล้ว ขณะที่นางมองไปที่ด้านข้างสระโดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากเฟิงหยูเฮงลุกขึ้นยืนและมองข้ามนาง สีหน้าของนางก็เต็มไปด้วยความสับสนและความไม่พอใจมากยิ่งขึ้น หลู่เหยาไม่เข้าใจ เป็นคนแรกที่กระโดดเข้ามาหลังจากที่ซูชื่อตกลงไปในน้ําไม่ใช่เฟิงหยูเฮง ? ความสัมพันธ์ของนางกับซูชื่อนั้นดีมากไม่ใช่หรือ ? นางได้วางแผนให้เรียกเฟิงหยูเฮงมาก่อนทําไมหลู่วิ่งถึงกระโดดลงมาแทน ?

 

คนที่กระโดดลงมาช่วยไม่ใช่เฟิงหยูเฮง นี่คือความจริงที่หลู่เหยาเพิ่งรู้ นางรู้เพียงว่าในเวลาที่หสู่ปิงถูกดึงออกจากน้ํา แมลงที่นางปล่อยออกไปกัดคนผิด ไม่เพียงแต่พวกมันจะไม่กัดเฟิงหยูเฮงแต่พวกมันยังทําลายใบหน้าของหลู่ปิง ในขณะที่หลู่เหยารู้สึกไม่ได้รับการปรับแต่ง นางก็ค่อนข้าง ตกใจเช่นกัน มันไม่เหมือนที่นางไม่ได้เบาะแสเกี่ยวกับความหวังของตระกูลหญ่ที่มีต่อหลู่วิ่งแม้ว่าหลู่ปิงจะมีอาการป่วยซับซ่อนรูปร่างหน้าตางดงามของนางเป็นเหตุผลที่ทําให้ตระกูลหญ่ไม่ยอมแพ้ แต่ตอนนี้ใบหน้าของหลู่ปังถูกทําลายด้วยน้ํามือของนางเอง ถึงแม้ว่าเรื่องนี้จะปิดบังจากคนอื่นแต่ก็ไม่สามารถซ่อนจากบิดาของนางได้ หากบิดาของนางทําการสอบสวนในภายหลังนางจะ อธิบายเรื่องนี้อย่างไร ?

 

หลู่เหยายังคงลอยอยู่ในน้ําในขณะที่ไตร่ตรองกับตัวเอง ใจของนางปั่นป่วนขณะนี้เฟิงหยูเฮงกําลังเฝ้าดูอยู่

 

สีหน้าของนางเปิดเผยทุกสิ่ง เฟิงหยูเฮงเป็นคนฉลาด เมื่อได้เห็นสีหน้าของหมู่เหยา ทําไมนางจะไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น นางเพียงแค่เกลียดว่าความปรารถนาของหลู่เหยาที่จะทําร้ายนางส่งผลให้ซูชื่อพัวพันไปด้วย ถ้าไม่มีหลู่วิ่ง แม้ว่าชูชื่อจะไม่จมน้ําแต่นางก็จะปวยหนักมาก ความตั้งใจของหลู่เหยาเป็นสิ่งที่น่ากลัวซึ่งทําให้นางตัดสินใจ นางไม่สามารถควบคุมความหายนะนี้ได้อีกต่อไป

 

“หวงซวน” นางสั่งอย่างใจเย็น “กระโดดลงไปช่วยชีวิตนางไว้”

 

หวงซวนสับสน ขณะที่นางงุนงงและสงสัยว่าทําไมคุณหนูของนางถึงขอให้นางช่วยหมู่เหยา เป็นเวลาหลายปีที่พวกนางอยู่ด้วยกันในฐานะเจ้านายและบ่าวรับใช้ ทําให้หวงซวนใจเข้าใจเจตนาของนาง ดังนั้นนางจึงเผยอยิ้มและพยักหน้าโดยกล่าวว่า “เจ้าค่ะ”

 

หลังจากพูดอย่างนี้นางก็ถอดเสื้อคลุมด้านนอกแล้วก็กระโดดลงไปในน้ํา

 

เมื่อผู้คนได้ยินเสียง “บูม” นี้พวกนางหันหลังกลับไปดู พวกนางพบว่ามีบางคนกระโดดลงไปในน้ํา พวกนางตอบโต้ในเวลานี้ “อ้า ! มีอีกคนอยู่ในน้ํา !”

 

ขันทีที่รีบไปช่วยผู้คนถูกจับโดยไม่ระวัง เมื่อเห็นว่าเฟิงหยูเฮงปรากฏตัวและซูชื่ออยู่กับคนจํานวนมาก พวกเขาจะกังวลเกี่ยวกับคนอื่นได้อย่างไร หลังจากดึงซูชื่อขึ้นมา พวกเขาถามอาการของนางและลืมหลู่เหยาไปสนิท

 

แต่ในเวลานี้หวงซวนกระโดดลงไปในน้ําเพื่อช่วยชีวิตนาง แม้ว่าผู้คนต้องการดู พวกเขายังรู้สึกว่าเรื่องของซูชื่อและหลู่ปิงนั้นน่าเป็นห่วง พวกเขาหันไปดูไม่นาน จากนั้นพวกเขาก็หันกลับมา

 

หวงซวนว่ายไปทางหลู่เหยา ความสามารถในการว่ายน้ําของหลู่เหยาไม่ดีนัก แต่หลู่เหยาสามารถรู้สิ่งต่าง ๆ ได้อย่างแม่นยํา นางไม่รู้ด้วยซ้ําว่าเพิ่งหยูเฮงว่ายน้ําไม่เป็น เมื่อเห็นว่าหวงซวนมาแล้วนางก็รู้สึกตกใจ นางเริ่มว่ายน้ําลงไปในสระบัวพยายามหนีหวงซวน หวงซวนเห็นสิ่งนี้และไม่สามารถช่วยอะไรได้ อย่างไรก็ตามนางไม่ต้องการให้หลู่เหยาว่ายน้ําไปไกลออกไป นางรู้ขีดจํากัดของตัวเองเมื่อว่ายน้ํา ดังนั้นนางจึงใช้กําลังทั้งหมดของนางและเอื้อมมือออกไปจับเท้าของหมู่เหยา และดึงนางกลับมา

 

ความสามารถในการว่ายน้ําของหวงซวนนั้นเป็นระดับธรรมดา แต่ความสามารถของศิลปะการต่อสู้ของนางนั้นดี นางยังแข็งแกร่ง เมื่อหลู่เหยาถูกดึงโดยหวงซวน นางก็ถูกนํา กลับไปยังจุดเริ่มต้นของนางทันทีนางสูญเสียความคิดไปอย่างตื่นตระหนก และหวงซวนปฏิเสธที่ จะไม่ยอมทําตาม เมื่อดึงหลู่เหยาไปนางก็เริ่มจมลงในน้ํา

 

แต่หลังจากนั้นไม่นานหวงซวนก็จมลง นางยึดหัวขึ้นมา จากนั้นนางใช้ร่างของนางปิดหลู่เหยาทําให้แน่ใจว่าผู้คนบนฝั่งจะไม่สามารถมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น แต่มือที่อยู่ในน้ํานั้นกอดรอบหลู่เหยาทําให้นางจมน้ํา

 

เฟิงหยูเฮงและชวนเทียนเก้อยืนอยู่บนฝั่ง พวกนางจ้องเหตุการณ์ในน้ําตลอด และชวนเทียนเก้อถามอย่างเงียบ ๆ “มันถูกตัดสินแล้วหรือ ?”

 

เฟิงหยูเฮงพยักหน้า “มีบางคนรนหาที่ตายทั้งที่ได้ข้าปล่อยพวกนางไปแล้ว ข้าคิดว่ามันผ่านไปแล้ว ข้าจะเพิกเฉยถ้านางรังแกเหยาซู ท้ายที่สุดแล้วเหยาซูเองก็ยินดีที่จะยอมรับแต่คราวนี้นางทําเพื่อที่จะทําร้ายข้า จริง ๆ แล้วนางก็ลากท่านป้าใหญ่ลงไปในน้ําข้าทนไม่ได้จริง ๆ”

 

“ดี” สีหน้าของซวนเทียนเก้อกลายเป็นเย็นชา “ท่านแม่ของข้าบอกว่าการที่หลู่เหยาแต่งงานกับตระกูลเหยานั้นจะเป็นหายนะ ใครจะรู้ว่าหายนะครั้งนี้จะนําไปสู่เส้นทางแห่งการทําลายล้างของนางอย่างรวดเร็วสําหรับตระกูลเหยานั้นถือได้ว่าเป็นสิ่งที่ดี”

 

ในขณะที่ทั้งสองกําลังพูดคุยกัน ความเคลื่อนไหวในน้ําก็น้อยลง หวงซวนเริ่มว่ายน้ําไปทางข้างของสระแล้ว ในช่วงเวลาที่นางหันศีรษะของนาง นางพยักหน้าสองสามครั้งให้เฟิงหยูเฮงเฟิงหยูเฮงม้วนริมฝีปากของนางด้วยรอยยิ้ม และบอกชวนเทียนเก้อ “มันจบแล้ว” จากนั้นนางก็ก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว และแสร้งถามด้วยความกังวล “นางเป็นอย่างไรบ้าง? ท่านฮูหยินน้อยตระกูลเหยาเป็นอย่างไรบ้าง ? ”

 

หวงชวนสายหัวของนางจากในน้ํา “คุณหนู นางอาการไม่ดีเจ้าค่ะ นางจมน้ํานานเกินไป ข้าไม่รู้ว่านางยังหายใจหรือไม่เจ้าค่ะ”

 

คําพูดเหล่านี้พูดค่อนข้างดังและทุกคนได้ยิน ผู้คนไม่สามารถช่วยได้แต่รู้สึกตกใจอย่างยิ่งพวกนางไม่เคยคิดเลยว่าการล่าช้าสําหรับการช่วยชีวิตทําให้ฮูหยินน้อยตระกูลเหยาเสียชีวิต ?

 

เมื่อหวงซวนว่ายน้ํากลับไปที่ฝั่ง มีขั้นที่ที่แข็งแกร่งยื่นมือออกมา และดึงทั้งสองออกจากน้ําหวงซวนสามารถเสริมกําลังและดึงออกมาจากน้ําได้ง่าย แต่หลู่เหยานั้นพยายามอย่างมากในการดึงขึ้นมา ในขณะที่ดึงหลู่เหยาออกมา ขันที่หนึ่งในนั้นส่ายหัวของเขา และกล่าวว่า “หนักมากข้ากลัวว่าอาการของนางจะไม่ดีขอรับ”

 

แน่นอนว่าหลังจากที่นางถูกดึงออกขึ้นน้ํา นางก็นอนลงบนพื้นเหมือนหมูที่ตายแล้ว เสื้อผ้าของนางเปีกโชก ผมของนางกระจัดกระจายและท้องของนางปอง เห็นได้ชัดว่านางดื่มน้ําลงไปมากไม่มีใครอยากมองไกลต่อไปและเบือนหน้าหนี อย่างไรก็ตามซูชื่อจองที่หลู่เหยาเป็นเวลานานจากนั้นจึงใช้ความคิดริเริ่มที่จะพูดกับหมอหลวง “นางคือฮูหยินน้อยตระกูลเหยา ข้าขอให้หมอหลวงไปตรวจดูนางได้หรือไม่เจ้าค่ะ”

 

หมอหลวงตกตะลึง เขาไม่เคยคิดเลยว่าคนที่ถูกทิ้งก็เป็นคนในตระกูลเหยาด้วย ดังนั้นเขาจึงรีบลุกขึ้นแล้วเดินไปที่หลู่เหยา เฟิงหยูเองก็ก้าวไปข้างหน้า ทั้งคู่เป็นหมอ หลังจากทําการตรวจพวกเขาทั้งสองก็ส่ายหน้า“ท่านฮูหยินน้อยตระกูลเหยาเสียชีวิตจากการจมน้ําแล้ว”

 

Related

ตอนที่ 709 วิกฤตของซูชื่อ

 

เช่นเดียวกับที่กซูถูกตบหน้าด้วยคําว่า “สิ่งที่เห็นนั้นมีไม่มากนัก” มีแต่สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าพระราชวังในราชวงศ์ต้าชุนต้องต่อสู้กับน้ําหอมที่มีเอกลักษณ์ของพวกเขามากแค่ไหน!นางไม่เข้าใจว่าองค์หญิงจีอันได้รับน้ําหอมที่น่าอัศจรรย์เช่นนี้มาจากที่ไหน ? นอกจากนี้ยังมีเป็นขวด มันทําให้นางไม่แน่ใจ

 

ในเวลานี้เฟิงหยูเฮงกล่าวว่า “องค์หญิงแห่งกูซูก็เห็นคุณภาพของสิ่งต่าง ๆ ที่ราชวงศ์ต้าชุนของเรามีเราจะอยากได้น้ําหอมพันกลิ่นของเจ้ามาทําอะไร”

 

องค์หญิงแห่งภูซูไม่พูดอะไร

 

เฟิงหยูเฮงยิ้มแล้วหันไปพูดกับฮ่องเต้ “เสด็จพ่อ มันไม่ง่ายเลยที่อาเฮงจะผลิตน้ําหอมแบบนี้ข้าไม่สามารถผลิตได้มากในแต่ละปี แต่จากวันนี้เป็นต้นไป ข้ายังต้องการที่จะนําเสนอของขวัญปีใหม่ที่จะมอบให้กับพระสนมของฮ่องเต้ในตําหนักใน ไม่เป็นไร ถ้าเราไม่ได้รับน้ําหอมของกูซูเพคะ”

 

เมื่อพระสนมของฮ่องเต้ได้ยินเรื่องนี้ พวกเขาทั้งหมดต่างยิ้มกว้างและไม่สามารถหุบปากได้ฮองเฮาพยักหน้า ก่อนฮ่องเต้จะพูด ฮองเฮากล่าวว่า “นั่นเป็นเรื่องธรรมชาติ ด้วยการผลิตน้ําหอมของอาเฮงเราจะเอาน้ําหอมจากกูซูมาทําอะไร” หลังจากพูดอย่างนี้ นางพูดกับองค์หญิงแห่งกูซู “องค์หญิงเจ็ดอย่าตําหนิข้าที่พูดมากเกินไป หากคนของกูซูของเจ้าชอบน้ําหอมประเภทนี้เพียงแค่นํามันกลับมาและทําการวิจัยเพื่อใช้สําหรับตัวเจ้าเอง แต่สิ่งที่มีกลิ่นเช่นนั้นไม่ควรนํามาใช้ในราชวงศ์ต้าชุน ข้าเชื่อว่าบรรดาฮูหยินและคุณหนูยังไม่อยากเสี่ยงต่อการไม่มีบุตรด้วยกลิ่นนี้ใช่หรือไม่ ? ”

 

เมื่อผู้คนได้ยินเช่นนี้ พวกเขาทั้งหมดพยักหน้าและเห็นด้วย “พวกเราย่อมไม่กล้าเป็นธรรมดาเพคะ”

 

ฮองเฮาพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “ถ้าเจ้าเข้าใจเหตุผลนี้ก็เป็นเรื่องดี” จากนั้นนางมองไปที่องค์หญิงแห่งกูซู และกล่าวเพิ่มเติมว่า “องค์หญิงเจ็ดกลับไปภาคใต้ในวันพรุ่งนี้ ข้าจะส่งคนไปส่งเจ้ากลับ สําหรับการเดินทางมาราชวงศ์ต้าชุนครั้งนี้ กูซูไม่ได้ส่งคําขอมาอย่างเป็นทางการ ดังนั้นถือว่าเป็นการเดินทางมาส่วนตัว มันจะไม่เหมาะสมที่จะเจ้าจะรั้งอยู่นาน เจ้าต้องระมัดระวังในการเดินทางของเจ้าโดยเฉพาะกับน้ําหอมพันกลิ่น เจ้าต้องปกป้องมันอย่างระมัดระวัง ไม่ให้ตกแม้ แต่ครั้งเดียวหากยังคงอยู่ในดินแดนของราชวงศ์ต้าชุน”

 

ในตอนท้ายสีหน้าของฮองเฮาได้กลายเป็นเย็นชา องค์หญิงเจ็ดแห่งกูซูไม่ใช่คนโง่ นางรู้ว่าอีกฝ่ายสั่งให้แขกออกไป ดังนั้นนางจึงพยักหน้า หลังจากคํานับนางก็กลับไปนั่ง

 

เฟิงหยูเองไม่ได้อยู่ในสถานที่ต่อไป ในเวลานี้ผู้คนที่หนีจากกลิ่นก็กลับเข้ามาที่ห้องโถงเสียงดนตรีและการร่ายรําเริ่มบรรเลงอีกครั้ง

 

ในขณะที่นางกลับไปที่ที่นั่งของนาง นางจงใจเดินผ่านองค์หญิงแห่งกูซู และทําให้องค์หญิงแห่งกูซูกัดฟันด้วยความโกรธ ด้วยสายตาที่โกรธแค้น นางจ้องมองเชิงหยูเฮง ความเกลียดชังถูกเขียนไว้บนใบหน้าของนาง อย่างไรก็ตามเฟิงหยูเฮงไม่ได้สนใจ นางทําตัวราวกับว่านางไม่ได้เห็นมัน อย่างไรก็ตามเสียงเย็นชาของนางเข้ามาในหูของเจ้าหญิงกูซู “มันคืออะไร ? เจ้าเกลียดข้าหรือ ? “

 

องค์หญิงแห่งกูซูไม่ได้หลีกเลี่ยงเลย และกล่าวว่า “ข้าเกลียดที่ข้าไม่สามารถบีบคอเจ้าให้ตายได้”

 

เพิ่งหยูเฮงหัวเราะ “เจ้าไม่ใช่คนเดียวที่ต้องการบีบคอให้ข้าให้ตาย แต่เท่าที่เห็นมันยังไม่ถึงตาเจ้า รอสักครู่ !”

 

ขวดน้ําหอมดิออร์ทําให้เฟิงหยูเฮงกู้หน้าของราชวงศ์ต้าชุน ผู้คนลืมไปแล้วว่ากี่ครั้งแล้วที่องค์หญิงผู้นี้พยายามอย่างยิ่งที่จะให้ภาพลักษณ์ของราชวงศ์ต้าชุนดี พวกเขาเพิ่งรู้ว่าองค์หญิงจีอันผู้นี้ไม่ว่าสถานการณ์ของราชวงศ์ต้าชุนจะย่ําแย่เพียงใด มันจะไม่ใช่สถานการณ์ที่สิ้นหวัง

 

เห็นได้ชัดว่าฮ่องเต้ก็คิดเช่นนี้ ดังนั้นเขาจึงยกจอกสุราขึ้นและยกมันขึ้นไปยังตําแหน่งที่เปิงหยูเฮงอยู่ เฟิงหยูเฮงลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วและดื่มด้วยความเคารพต่อฮ่องเต้

 

ฉากนี้ไม่ได้มีอะไรมากมายสําหรับขุนนางจากเมืองหลวงรวมถึงบรรดาฮูหยินและคุณหนูส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตามจะมีแขกกลุ่มเล็ก ๆ จากนอกมณฑลที่เริ่มมีความรู้สึกไม่ดีในใจโดยเฉ พาะผู้หญิงที่เก่งเรื่องการกระตุ้น ในทันทีมีคนที่เริ่มกระตุ้นเฟิงเฟินไดว่า “คุณหนูสีองค์หญิงเคย ให้น้ําหอมแบบนั้นกับเจ้าหรือไม่ ?”

 

เฟิงเฟินไดตะโกนอย่างเย็นชา “เป็นไปได้อย่างไร นั่นเป็นสิ่งที่พระสนมของฮ่องเต้เท่านั้นที่สามารถใช้ได้”

 

“ใช่ ! นั่นคือสิ่งที่ถูกต้อง ถึงแม้ว่าคนอื่นจะไม่ได้รับส่วนแบ่ง เจ้าก็เป็นน้องสาวของนาง เจ้าไม่ได้รับส่วนแบ่งได้อย่างไร”

 

เป็นไดรู้สึกอิจฉาอย่างยิ่งและนางโลภมาก เมื่อได้ยินถึงการยั่วยุ นางก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ยุติธรรม มีบางคนที่ชอบดูกิจกรรมที่มีชีวิตชีวาโดยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับสิ่งที่หลุดมือไป พวกนางยังคงผลักดันนางต่อไปโดยกล่าวว่า “พี่น้องควรช่วยเหลือซึ่งกันและกันปัจจุบันนางมีตําแหน่งที่

 

ทรงพลัง แต่ในไม่กี่วันนับตั้งแต่เรามาถึงเมืองหลวง เราได้ยินมาว่าตระกูลเพิ่งมีชีวิตที่ย่ําแย่มากดู เหมือนว่านางจะไม่ใส่ใจเจ้า ข้ารู้สึกเสียใจแทนคุณหนูสี่จริง ๆ ”

 

เชิงเฟินไดเริ่มโกรธขึ้นมาเมื่อได้ยินพวกนางพูดสิ่งเหล่านี้ แต่ถ้าความโกรธนั้นลุกยืด ? นางมีประสบการณ์มากในการติดต่อกับเฟิงหยูเฮง และพวกนางล้วนแต่ประสบความพ่ายแพ้โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฉากประเภทนี้ แม้ว่านางจะโกรธ นางก็ยังจําได้ว่านางไม่สามารถใช้ความคิดริเริ่มที่จะล่วงเกินพี่สาวคนที่สองของนาง มิฉะนั้นนางจะต้องแบกรับภาระนั้นด้วยตัวเอง ในจิตใจของเฟิงหยูเฮงไม่มีคนตระกูลเฟิงหรือน้องสาวอยู่ มีเพียงคนเดียวที่มีความสําคัญต่อนางคือเพิ่งเซียงหรู

 

เฟิงเฟินไดคิดเช่นนี้ นางจําได้ว่าเฟิงเซียงหรูอาจได้รับน้ําหอมประเภทนั้น และนางก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเหมือนเป็นคนนอกมากขึ้น

 

บนที่นั่งในห้องโถง ฮ่องเต้นั่งอย่างสบาย ๆ ฉากก่อนหน้านั้นเป็นไปตามที่เขาต้อง การเมื่อคิดย้อนกลับไป เขารู้สึกว่ามันสนุกมาก

 

จางหยวนยืนอยู่ข้าง ๆ และเห็นใบหน้าที่ยินดีของฮ่องเต้ เขาอดใจไม่ไหวแล้วเทน้ําเย็นลงบนอารมณ์ของเขา “ฝ่าบาททรงพอพระทัยเรื่องอะไรพะยะค่ะ ? หากไม่ใช่เพราะองค์หญิงจี้อันนํา ขวดน้ําหอมเข้ามาในพระราชวัง ใครจะรู้ว่าสถานการณ์นี้จะได้รับการแก้ไขอย่างไรพะยะค่ะ !”

 

ฮ่องเต้โบกมือแล้วกล่าวอย่างมั่นใจ “ไม่ต้องห่วง ตราบใดที่ผู้หญิงคนนั้นอยู่ใกล้ นางจะไม่ยอมให้เราอยู่ในสถานการณ์ที่ลําบาก”

 

“ฝ่าบาทจะทรงมั่นใจได้อย่างไร ? ” จางหยวนพูดไร้ประโยชน์ แต่หลังจากคิดไปเล็กน้อยในฉากก่อนหน้านี้ หากพวกเขาไม่ได้ตําหนิองค์หญิงแห่งกูซูสักหน่อย คงไม่ใช่แค่ฮ่องเต้ที่จะตกอยู่ในสถานการณ์ลําบาก มันจะเป็นทั้งหมดของราชวงศ์ต้าชุน ! จากนั้นเขาก็ถอนหายใจด้วยอารมณ์อันที่จริงตราบใดที่องค์หญิงจี้อันอยู่ด้วย ปัญหาทั้งหมดก็จะได้รับการแก้ไข

 

ดนตรีและการร่ายรํายังคงดําเนินต่อไปตลอดงานเลี้ยง อันที่จริงดนตรีและการร่ายรําเป็นเพียงการสร้างบรรยากาศ เบื้องหลังการร่ายรํา ผู้คนต่างพูดคุยและร่วมมือกัน ฮ่องเต้แสร้งทําเป็นฟังเพลงและดูการร่ายรํา แม้กระนั้นเขาไม่เคยพลาดการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างขุนนางเขาเห็นทุกอย่างและเขายังสามารถเห็นปฏิกริยาของผู้คนในบทสนทนาเหล่านี้ งานเลี้ยงไม่มีอะไรมากไปกว่าการทดสอบเขารู้ว่าขุนนางเหล่านี้มีอะไรอยู่ในใจ

 

“อาเฮง” ซวนเทียนเก้อเดินเล่นผ่านงานเลี้ยง เมื่อนางกลับไปที่ด้านข้างของเฟิงหยูเฮง นางกระซิบบอกเฟิงหยูเฮงนางว่า “ข้าเห็นท่านฮูหยินเหยาคนโตติดตามหลู่เหยาออกจากห้องโถง”

 

“หืม ?” เชิงหยูเฮงไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้ นางพูดคุยกับเด็ก ๆ นางยุ่งอยู่กับการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมและไม่สนใจสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ๆ

 

ชวนเทียนเก้อกล่าวต่อ “ดูเหมือนว่านางสงบมาก มันเป็นแค่แม่สามีและลูกสะใภ้ออกไปเดินเล่นงานเลี้ยงได้ดําเนินต่อไปเป็นเวลานาน ไม่มีใครที่สามารถนั่งเฉยต่อได้ ฮองเฮาได้กล่าวไว้แล้วว่าหากฮูหยินและคุณหนูไม่สามารถนั่งนาน ๆ ได้ พวกนางสามารถไปเดินเล่นรอบ ๆ พระราชวังได้มีอุทยานสองสามแห่งพวกนางสามารถเยี่ยมชมได้”

 

เฟิงหยูเฮงพยักหน้าและอยากจะบอกว่ามันดี อย่างไรก็ตามนางรู้สึกไม่สบายใจ หลังจากคิดไปครู่หนึ่ง นางก็หันหน้ามองไปรอบ ๆ งานเลี้ยง นางเห็นว่าหลู่วิ่ง คุณหนูใหญ่ตระกูลหลู่ยืนขึ้นในเวลานี้และพยักหน้าตามทิศทางของนาง จากนั้นนางก็นําบ่าวรับใช้ออกไป

 

ทันใดนั้นเฟิงหยูเฮงยืนขึ้น ทําให้ชวนเทียนเก้อตกใจ นางกล่าวว่า “ข้ารู้สึกเบื่อ ๆ เทียนเก้อเราจะออกไปเดินเล่นกัน”

 

ชวนเทียนเก้อเห็นด้วย “ไปสิ ข้าก็รู้สึกเบื่อมาพักหนึ่งแล้ว” ทั้งคู่ก็เริ่มเดินออกไปพร้อมกับพูดหวงซวนและบ่าวรับใช้ของซวนเทียนเก้อรีบตามมาด้านหลัง เมื่อพวกเขาเดินผ่านจาวเหลียนพวกนางเห็นว่าเขาโอบไหล่ของสาวน้อยผู้หนึ่งและกล่าวเสียงดัง “คนงาม ! เท่าที่ข้าเห็นมันไม่มีผู้ชายแม้แต่คนเดียวในห้องโถงแห่งนี้ที่คู่ควรกับเจ้า !” นี่ทําให้คุณหนูยิ้มสดใสมาก

 

เช่นเดียวกับที่คนไม่กี่คนออกจากห้องโถงสวรรค์ และก่อนที่พวกนางจะพูดถึงว่าพวกนางต้องการไปที่ไหน บ่าวรับใช้ในพระราชวังก็รีบวิ่งไปตามทิศทางของห้องโถง เมื่อมาถึงที่ทางเข้า นางบังเอิญเห็นเชิงหยูเฮง นางก็ไปที่นั่นทันทีและกล่าวว่า “องค์หญิงหรูหยาง, องค์หญิงจีอันรีบไปที่สระบัวเพคะ ! ท่านฮูหยินคนโตของตระกูลเหยาและลูกสะใภ้ของนางตกลงไปในน้ําเจ้าค่ะ !”

 

“อะไรนะ ? ” เฟิงหยูเฮงตกใจมาก นางรู้สึกว่าการที่หลู่เหยาและซูชื่อออกมาด้วยกันจะจบลงด้วยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตามนางไม่เคยคิดเลยว่ามันจะเกิดขึ้นเร็วขนาดนี้ “นําข้าไป”นางตัดสินใจอย่างรวดเร็วและให้บ่าวรับใช้พาไป ซวนเทียนเก้อก็ไปด้วย พวกเขายกชายกระโปรงของพวกเขาวิ่งไปที่สระบัว

 

สระบัวอยู่ไม่ไกลจากห้องโถงสวรรค์ กลุ่มมาถึงเร็วมาก และเห็นว่ามีคนไม่กี่คนที่สร้างฝูงชน พวกนางทั้งหมดเป็นบรรดาฮูหยินและคุณหนูที่ออกมาเดินเล่น ในเวลานี้มีคุณหนูตะโกนว่า“ไปเรียกขันที่มาเร็ว เราเป็นผู้หญิงและไม่มีใครว่ายน้ําเป็น เราไม่สามารถช่วยพวกนางได้ !”

 

บางคนกล่าวว่า “นางกํานัลไปแล้ว ผ่านมานานแล้วพวกนางก็ยังไม่มาเลย”

 

เฟิงหยูเฮงขมวดคิ้ว มีนางกํานัลและขันทีในอยู่พระราชวัง แต่ทําไมไม่มีขันที่แม้แต่คนเดียวที่อยู่ใกล้สระบัว ? หรือว่าถูกเรียกตัวไป ? เป็นไปได้ไหมที่มีคนส่งพวกเขาทั้งหมดไป ?

 

แต่มีคนกล่าวว่า “ถึงแม้น้ําจะไม่ลึก แต่ก็พืชน้ําอยู่มากมาย ดูเหมือนเท้าของท่านฮูหยินจะถูกพืชน้ําพันอยู่ แม้ว่านางอยากจะยืน นางก็ไม่สามารถยืนตัวตรงได้”

 

“อะไรคือยืนตัวตรง ? ” เด็กสาวอีกคนหนึ่งกระทืบเท้าของนาง “น้ําไม่ลึกก็จริง แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่ามีโคลนใต้น้ํา ? ใครจะยืนได้ หากพวกนางปักเท้าลง พวกนางจะไม่จมลงเหมือนเดิมหรือ !”

 

เฟิงหยูเฮงกังวลเล็กน้อยโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นสายตาอ้อนวอนจากซูชื่อ นางเริ่มวิตกกังวลมากขึ้น แต่ในเวลานี้ต้องมีการสาดจากน้ํา ขณะที่หลู่เหยาตะโกนเรียกนาง “อาเฮง อาเฮงช่วยเราด้วย ! ช่วยเราด้วย ! ” เมื่อนางตะโกน นางก็เริ่มอ่อนแอลงไปเรื่อย ๆ น้ําค่อย ๆ ปกคลุมศีรษะของนางแล้วนางก็หยุดหายใจ ซูชื่อพยายามที่จะดึงนางแต่ไม่สามารถออกแรงได้ร่างกายของนางก็ยังจมลงเรื่อย ๆ

 

เฟิงหยูเฮงต้องการช่วยพวกนาง แม้ว่านางจะมีความสามารถทุกอย่าง แต่ก็มีข้อเสียเปรียบครั้งใหญ่ นางว่ายน้ําไม่เป็น ! หวงซวนว่ายน้ําได้ แต่นางว่ายน้ําไม่แข็ง แม้ว่าในท้ายที่สุดนางจะฝึกฝนอย่างหนัก แต่นางก็ยังว่ายน้ําไม่เก่ง

 

แต่สถานการณ์ตรงหน้าพวกนางเกิดขึ้นโดยฉับพลัน และหวงซวนไม่มีเวลาคิดมาก ขณะที่หลู่เหยากรีดร้อง นางก็พุ่งออกไปข้างนอกเตรียดที่จะกระโดดลงสระบัว

 

แต่ก่อนที่นางจะกระโดดลงไป อีกร่างก็ปรากฏตัวขึ้นจากภายในฝูงชน ด้วยเสียง “บูม” ผู้หญิงคนหนึ่งจึงกระโดดลงไปในน้ํา

 

Related

ตอนที่ 708 ที่ให้เจ้าดูคือขวดดิออร์

 

องค์หญิงแห่งภูซูถูกทิ้งให้อับอาย แต่นางก็ไม่เข้าใจ น้ําหอมที่เป็นเอกลักษณ์ที่กูซูผลิตและส่งมายังราชวงศ์ต้าชุนนั้นเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีค่าเสมอ นางเคยได้ยินว่าพระสนมของฮ่องเต้ในพระราชวังมักจะต่อสู้เพื่อมัน ทําไมตอนนี้น้ําหอมพันกลิ่นจึงถูกโจมตีเช่นนี้ ? มันอาจจะเป็น

 

“ฝ่าบาทจงใจทําเช่นนี้ใช่หรือไม่ ? ” นางเคยคิดมาก่อน อารมณ์ของเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ถูกเปิดเผย และนางก็ออกปากทันที “เพราะกูซูจะไม่มอบน้ําหอมพันกลิ่นแก่ฝ่าบาท ฝ่าบาทจึงจงใจตรัสว่ามันไม่ดีและแย่มาก สิ่งนี้จะเป็นไปตามคําพูดที่ผู้คนของราชวงศ์ต้าชุนพูดบ่อย ๆ ถ้าข้าไม่สามารถทําลายมันได้ ! ใช่หรือไม่ ?”

 

บรรดาทหารและขุนนางที่มาร่วมงานต่างพากันตกตะลึง พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่าองค์หญิงแห่งกูซูจะพูดเช่นนี้ นางกล่าวหาฮ่องเต้เช่นนั้นหรือ ? มีคนตะโกนทันที “บังอาจ !”

 

ใครจะรู้ว่าฮ่องเต้จะโบกพระหัตถ์ของเขา “หยุด ! ทุกอย่างปกติดี เราไม่สามารถลดระดับตัวเองลงไปโต้เถียงกับเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ นี้ได้ นอกจากนี้ผู้คนจากรัฐบริวารเล็ก ๆ ก็ไม่เคยเห็นสิ่งที่ดีเลยถ้าเราพูดว่ามันไม่ดี มันเป็นเรื่องธรรมดาที่พวกเขาจะไม่เชื่อ แต่…” เขามององค์หญิงแห่งกูซูอีกครั้ง “เด็กน้อย สิ่งที่เราพูดไปคือความจริง ถ้าเจ้าไม่เชื่อ ข้าก็ขอให้องค์ชายเก้าพูด น้ําหอมที่พระชายาหยุนใช้นั้นมีกลิ่นที่ดีกว่านี้หลายเท่า”

 

ซวนเทียนหมิงเห็นด้วยทันที “มันเป็นความแตกต่างระหว่างสวรรค์และโลกอย่างแท้จริงน้ําหอมที่เสด็จแม่ใช้นั้นถูกเตรียมโดยอาเฮง กลิ่นหอมอยู่ในระดับปานกลางและมีกลิ่นที่ทนทานใสและไม่ทําลายเสื้อผ้า”

 

ฮ่องเต้กล่าวเสริม “ยังไม่หมด ! สิ่งที่นางใช้ไม่จําเป็นต้องผสมกับน้ํา มันยังไม่ได้วางไว้ในขวดเคลือบปกติ จะว่าไป เจ้าต้องการบางสิ่งบางอย่างเพื่อนําไปใช้หรือไม่ สิ่งที่มารดาขององค์ชายเก้าใช้มันเป็นขวดใสที่ทํามาจากของแปลก ๆ นอกจากนี้ยังมีกลไกเล็ก ๆ ที่ด้านบน เพียงกดมันน้ําหอมจะถูกพ่นออกมาเล็กน้อย สะดวกมาก”

 

องค์หญิงแห่งกูซูตกตะลึง สิ่งที่ถูกอธิบายโดยทั้งสองนั้นเป็นสิ่งที่นางยังไม่มีแนวคิดแบบนั้นสิ่งทันสมัยประเภทนี้เป็นสิ่งที่ไม่สามารถจินตนาการได้ อย่างไรก็ตามนางหลุดปากออกมาว่า“นั่นเป็นไปไม่ได้ !”

 

ฮ่องเต้เริ่มโกรธเล็กน้อย “ข้าเป็นถึงฮ่องเต้ ข้าจะโกหกเจ้าได้อย่างไร ? เจ้าคิดว่านี่เป็นอาณาจักรเล็ก ๆ ของเจ้าที่ผู้ปกครองจะพูดอะไรบางอย่าง จากนั้นก็กลืนคําพูดของตัวเองและปฏิเสธที่จะยอมรับมัน ขันที่จางหยวนไปขอยืมขวดจากพระชายาหยุน และน้ํามันออกมาให้องค์หญิงแห่งกู

 

จางหยวนรู้สึกกังวลเล็กน้อยและกระซิบเบา ๆ ว่า “พระชายาหยุนได้กล่าวไว้แล้วว่าห้ามยืมโดยไม่คํานึงว่าใครเป็นคนขอยืม ฝาบาทลืมแล้วหรือพะยะค่ะ ครั้งล่าสุดที่ฝาบาทหยิบมันขึ้นมาและมองมันซักพักแล้วก็ถูกพระชายาหยุนเตะ ตอนนี้อาการบาดเจ็บของฝาบาทหายดีแล้วหรือพะยะค่ะ ? “

 

ฮ่องเต้ค่อนข้างอับอาย หลังจากคิดไปสักพักจางหยวนก็พูดถูก พระชายาหยุนจะไม่ปล่อยของนั้นออกมา ไม่ต้องพูดถึงจางหยวน แม้ว่าเขาจะไปรับมันมาเอง มันก็ไม่สามารถนําออกมาได้ ! ชั่วครู่หนึ่งเขาไม่มีความคิดอื่น

 

องค์หญิงแห่งกูซูเห็นทั้งสองพูดพึมพําอยู่ครู่หนึ่ง แต่ไม่เห็นขันที่จะไปเอาน้ําหอมที่ดีกว่าสิ่งที่กูซูผลิต นางอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะ “ดูเหมือนว่าทุกคนจะพูดเรื่องไร้สาระ เป็นไปไม่ได้ที่ราชวงศ์ต้าชุนจะมีสิ่งที่ดีเช่นนี้ ! ฝ่าบาท ! หากฝ่าบาทต้องการน้ําหอมพันกลิ่นนี้จริง ๆ ทําไมต้องทําเป็นตรัสเช่นนี้ ? แม้ว่ากูซูจะยังต้องการใช้สิ่งนี้เพื่อผลิตมากขึ้น แต่ก็ยังเป็นรัฐบริวารของราชวงศ์ต้าชุนหากอาณาจักรต้าชุนร้องขอ รัฐบริวารเล็ก ๆ ก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องส่งมอบ หากฝ่าบาทต้องการ หม่อมฉันจะถวายน้ําหอมพันกลิ่นให้เพคะ”

 

“เราจะอยากได้สิ่งของกระจอก ๆ ของเจ้าได้เช่นไร ? ” ฮ่องเต้ไม่มีความสุข แต่สิ่งนี้อยู่ในมือของพระสนมหยุน เขาควรจะจัดการอย่างไรเพื่อให้ได้มาในทันที

 

ถึงกระนั้นองค์หญิงแห่งกูซูก็ปฏิเสธที่จะยอมจํานน “เนื่องจากของของเราต้อยต่ํา ฝ่าบาทโปรดนําสิ่งดี ๆ ออกมา อนุญาตให้ผู้หญิงที่ต่ําต้อยคนนี้ดู ! ด้วยวิธีนี้ผู้คนของราชวงศ์ต้าชุนจะไม่สามารถพูดได้ว่าผู้คนของกูซูยังเห็นโลกไม่มากพอ”

 

“ข้า” ลิ้นของฮ่องเต้ถูกมัด

 

แต่ในเวลานี้เสียงของเฟิงหยูเฮงก็มาจากด้านล่าง “ต้องการเห็นน้ําหอมที่ดีจริง ๆอย่างง่ายดายงั้นหรือ ? องค์หญิงผู้นี้พอจะมีติดตัวอยู่บ้าง ทําไมต้องไปที่ตําหนักในเพื่อเอามา ?” ขณะที่นางพูด นางยืนขึ้นและเดินไปไม่กี่ก้าว จากนั้นนางก็เอื้อมมือไปที่แขนเสื้อของนางและดึงน้ําหอมดิออร์ออกมาจากมิติของนางโดยตรง หลังจากนําน้ําหอมออกมา นางวางมันบนฝ่ามือแล้วยิ้มให้องค์หญิงแห่งกูซู “องค์หญิงไม่ต้องพูดถึงคุณภาพของน้ําหอม ก่อนอื่นให้ดูที่ภาชนะบรรจุน้ําหอมนี้ เจ้าเคยเห็นมันหรือไม่ ?”

 

องค์หญิงแห่งกูซูรู้สึกงงงันอย่างแท้จริง มันเป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่ในโลกนี้ นั่นคือสิ่งที่คิดค้นในภายหลังในอนาคต น้ําหอมที่เฟิงหยูเฮงนําออกมานั้นอยู่ในขวดแก้ว มันดึงดูดความสนใจขององค์หญิงแห่งกูซูทันที

 

นางไม่เคยเห็นมันมาก่อน นางไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้ หลังจากคิดมานานและหนักหน่วง นางก็จบลงด้วยการบีบ “นั่นเป็นผลึกสีขาวใช่ไหม” แน่นอนผลึกสีขาวอาจมีผลเช่นเดียวกับแก้วแต่หลังจากที่นางพูด นางก็ส่ายหน้าทันที นางหักล้างวิธีคิดของนาง “ไม่ใช่ ผลึกสีขาวไม่สามารถใสได้ มันคืออะไรกันแน่ ?”

 

เฟิงหยูเฮงมองนางด้วยรอยยิ้มและก้าวไปข้างหน้าอีกสองก้าว องค์หญิงแห่งกูซูยังคงอยากรู้และถามอีกครั้ง“ขวดนี้ทํามาจากอะไรกันแน่ ? ”

 

อย่างไรก็ตามนางเห็นเฟิงหยูเฮงส่ายหน้าและเอ่ยตอบว่า “ความลับของราชวงศ์ต้าชุน”

 

ฮ่องเต้เป็นคนแรกที่หัวเราะ จากนั้นก็คือชวนเทียนหมิง หลังจากนั้นทุกคนในตอนนี้ก็เริ่มหัวเราะ

 

ดังนั้นใครบางคนจึงเริ่มหัวเราะ “กูซูของเจ้าเก็บความลับเรื่องวิธีการผลิตน้ําหอมไว้หลายปีแต่ตอนนี้เจ้าต้องการถามเกี่ยวกับขวดของเรางั้นหรือ”

 

ดวงตาองค์หญิงแห่งกูซูเป็นประกายขึ้นมาขณะที่นางติดตามอย่างรวดเร็ว “หากกูซูของเราปรารถนาที่จะมอบวิธีการผลิตน้ําหอมที่ไม่เหมือนใคร องค์หญิงจีอันจะแลกเปลี่ยนวิธีการผลิตขวดหรือไม่ ? ”

 

เมื่อคําเหล่านี้ถูกเอ่ยออกมา ทุกคนในปัจจุบันก็ตกตะลึง มันเป็นเพียงขวด แต่มันสามารถกระตุ้นปฏิกิริยาดังกล่าวจากองค์หญิงแห่งกูซูได้ ?

 

แต่ในขณะเดียวกันก็มีคนอื่น ๆ ที่คิดไปข้างหน้าเล็กน้อย บางคนจากข้างล่างกระซิบ “องค์หญิงแห่งกูซูอายุน้อยและบุคลิกของนางก็ไม่ดีนัก แต่นางตาแหลมจริง ๆ หลังจากเรียนรู้วิธีการผลิตแล้ว มันสามารถใช้งานได้มากกว่าการทําขวด ลองคิดดูสิมีหลายอย่างที่สามารถใช้งานได้”

 

คําพูดเหล่านี้ทําให้คนที่ฝันกลางวันตื่นขึ้นมา ขุนนางด้านล่างก็เริ่มตระหนักถึงการใช้แก้วหลายอย่างแน่นอนพวกเขารู้ถึงคุณค่าของสิ่งนั้น ด้วยเหตุนี้บางคนจึงตะโกนทันทีว่า “มันไม่สามารถแลกเปลี่ยนได้ ต้องไม่ทําการซื้อขาย

 

เฟิงหยูเฮงรับฟังและอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้า นางไม่ได้มีอํานาจทุกอย่าง มิติของนางมีอํานาจทุกอย่าง นางไม่รู้วิธีทําแก้ว นางไม่สามารถนําหน้าต่างทั้งหมดออกจากร้านขายยาของนางเพื่อใช้เป็นกระจกสําหรับคนของราชวงศ์ต้าชุนใช่หรือไม่ ? นั่นช่างยอดเยี่ยมจริง ๆ นางได้นําหลายสิ่งมาสู่ยุคนี้ มันจะดีที่สุดถ้ามีอะไรเหมือนแก้วที่ไม่มีอยู่ในยุคนี้ไม่มีมาก

 

นางมองไปที่องค์หญิงแห่งกชูอีกครั้ง ดวงตาของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความคาดหวัง อย่างไรก็ตามนางเผชิญกับความคาดหวังนี้และส่ายหัว “น้ําหอมพันกลิ่นของเจ้าถูกผลิตแล้วทําไมเรายัง ต้องการน้ําหอมที่เป็นเอกลักษณ์ของเจ้า ?”

 

องค์หญิงแห่งกูซูตกตะลึง และกล่าวอย่างไม่รู้ตัว “เจ้าต้องการน้ําหอมกลิ่นพันหรือ ? ” หลังจากถามแล้วนางก็กัดฟัน “ไม่เป็นไร น้ําหอมพันกลิ่นมันเป็นของกูซู ข้าจะใช้วิธีการผลิตน้ําหอมพันน้ําหอมเพื่อแลกเปลี่ยนกับวิธีการผลิตขวดนี้ แม้ว่าเราจะสูญเสียไปเล็กน้อย เนื่องจากองค์หญิงจีอันได้พูดออกมาแล้ว ข้าจะให้เจ้าได้เห็น”

 

เฟิงหยูเฮงเกือบจะหัวเราะออกมาด้วยความโกรธ “เมื่อไหร่ที่ข้าพูดออกมา ใครกันที่อยากได้น้ําหอมพันกลิ่นของเจ้า” หลังจากพูดอย่างนี้นางไม่ได้รอให้องค์หญิงแห่งกูซูพูด นางเปิดฝาออกและกดหัวฉีดพ่นไปในอากาศ โบกแขนของนาง น้ําหอมฟังไปทั่วห้องทันที แต่มันไม่ฉุนเหมือนน้ําหอมพันกลิ่น มันเป็นกลิ่นที่ดีมาก

 

องค์หญิงแห่งกูซูรู้สึกงงงวยอีกครั้ง เมื่อกลิ่นโชยมา ครั้งแรกมันได้กลิ่นเหมือนงานเลี้ยงร้อยดอกไม้ในครั้งที่สองนางได้กลิ่นเหมือนน้ําพุเย็น เมื่อสูดดมอีกครั้งมันเป็นกลิ่นที่หอมกรุ่นอยู่ในอากาศ

 

ด้วยสเปรย์ตัวเดียวนี้ ทําให้นางเพลิดเพลินไปกับความรู้สึกทั้งสามนี้ นี่คือสิ่งที่น้ําหอมที่เป็นเอกลักษณ์ของกูซูและน้ําหอมพันกลิ่นไม่สามารถบรรลุผลได้ องค์หญิงน้อยผู้นี้จะไม่ตกใจได้อย่างไร

 

อย่างไรก็ตามเฟิงหยูเหมิงยิ้มอย่างเป็นธรรมชาติและกล่าวว่า “น้ําหอมของข้ามี 3 กลิ่นที่ต่างกัน กลิ่นแรกเริ่ม กลิ่นกลาง และกลิ่นที่ติดกาย แต่ละกลิ่นสร้างความรู้สึกที่ไม่เหมือนใครสําหรับคนที่ดมกลิ่น สิ่งนี้เป็นตัวกําหนดว่าจะรู้สึกอย่างไร องค์หญิงแห่งกูซูหลับตาของเจ้า เจ้าสามารถสัมผัสถึงคุณภาพของน้ําหอม ราวกับว่าเจ้าสามารถเอื้อมมือไปแตะมันได้ มันไม่ใช่ภาพลวงตามันเป็นความจริง”

 

เสียงของเฟิงหยูเฮงเป็นเสียงที่น่าหลงใหลทําให้องค์หญิงแห่งกูซูทําตามที่นางพูด ในขณะเดียวกันนางก็ฉีดน้ําหอมไปรอบ ๆ กลิ่นหอมกรุ่นฟังไปทั่ว โถงถูกปกคลุมไปด้วยกลิ่นของดิออร์

 

ขุนนางลอกเลียนแบบองค์หญิงแห่งกูซู ปิดตาเพื่อสูดดม ราวกับว่าพวกเขากําลังลิ้มรสไวน์ชั้นเลิศหรือสาวงาม มันเป็นเหมือนจิตรกรวาดภาพระบายสี ในขณะที่ทุกคนเมาเหล้าด้วยกลิ่นและไม่สามารถตื่นขึ้นมา

 

ในที่สุดองค์หญิงแห่งกูซูฟื้นความรู้สึกของนางและจ้องมองที่เพิ่งหยูเฮงโดยถามว่า “มีสารที่ทําให้ไร้ความสามารถบางอย่างปะปนอยู่ในสิ่งนั้นหรือไม่ ? ”

 

เฟิงหยูเฮงหัวเราะเสียงดัง “ข้าจะใช้วิธีที่น่ารังเกียจเพื่ออธิบายการกระทําของคนชอบธรรมเจ้าคิดว่าเพียงเพราะน้ําหอมพันกลิ่นของเจ้ามีกลิ่นจํานวนมาก น้ําหอมของข้าก็จะมีสารที่ทําให้ไร้ความสามารถบางอย่างปะปนเช่นกัน ? องค์หญิงแห่งภูซู เจ้าทําได้ดีมากในการผูกเชือกแขวนคอตัวเอง เจ้าพูดอย่างเปิดเผยว่าเจ้าจะไม่ทิ้งน้ําหอมพันกลิ่นไว้ในราชวงศ์ต้าชุน อย่างไรก็ตามเจ้ายังใช้คําเหล่านี้เพื่อดึงดูดความอยากของผู้ที่อยู่ในราชวงศ์ต้าชุน ถ้าอย่างนั้นเพื่อช่วยในการรักษาใบหน้า สิ่งนี้จะไม่ถูกเก็บไว้ในพระราชวัง อย่างไรก็ตามเมื่อเจ้าออกจากพระราชวังแล้วจะไม่มีปัญหาที่บรรดาฮูหยินและคุณหนูล้มป่วยใช่หรือไม่ ? ข้ากําลังคิดว่าน้ําหอมพันกลิ่นของเจ้ามีกลิ่นแรงมาก และมีกลิ่นจํานวนมากอยู่ภายใน หากเจ้ามอบให้คุณหนูเหล่านั้น มันจะทําให้พวกนางไม่มีบุตรใช่หรือไม่ ? เจ้ามีใจแบบไหน ? ”

 

ทันใดนั้นนางวางความผิดนี้ไว้บนหัวองค์หญิงแห่งกูซู และทําให้นางรู้สึกตกใจจริง ๆ เนื่องจากผลกระทบของน้ําหอมมีประสิทธิภาพมากเกินไป นางจึงอยากพูดโดยเจตนาว่าน้ําหอมต้องมีสารที่ทําให้ไร้ความสามารถ ใครจะรู้ว่าผู้ที่มีแรงจูงใจซ่อนเร้นจะได้รับอันตราย เรื่องของน้ําหอมพันกลิ่นที่มีกลิ่นจํานวนมากได้รับการสังเกตจากเฟิงหยูเฮง แต่จริง ๆ แล้วมันชัดเจนว่าก่อนที่นางจะมาผู้คนในกูซูที่ผลิตมันบอกกับนางว่าแม้ว่ากลิ่นนั้นแรงมาก ไม่มีใครที่จะสังเกตเห็นได้แน่นอน ! แต่ตอนนี้เพิ่งหยุเฮงสามารถสังเกตเห็นได้ด้วยกลิ่นเดียว และที่จริงแล้ว “ไร้สาระ !” นางมั่นใจว่าเฟงหยุเฮงเพียงแต่คาดเดา

 

แต่เฟิงหยูเฮงส่ายหน้าและกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว “นอกจากท่านปู่ของข้า ข้ายังกล้าพูดว่า ข้าเป็นหมอที่เก่งที่สุดในราชวงศ์ต้าชุน การทําผิดพลาดในการดมกลิ่นสมุนไพรทางการแพทย์จะ ไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน หากองค์หญิงไม่พอใจ เพียงให้ทุกคนจากวิทยาลัยแพทย์ของราชวงศ์ต้า ชุนมาดู !”

 

องค์หญิงแห่งกูซูตกตะลึง และจิตใต้สํานึกส่งเสียงอึกทึกครึกโครม “ข้าบอกว่าสิ่งนี้จะไม่ถูกมอบให้กับราชวงศ์ต้าชุน ดังนั้นจึงไม่ได้มอบให้กับราชวงศ์ต้าชุน ในเมื่อสิ่งนี้เป็นของข้าทําไมเจ้าจะต้องสนใจสิ่งที่อยู่ข้างใน ? สําหรับเจ้าที่บอกว่าข้าต้องการมอบให้บรรดาฮูหยินและคุณหนูนั่นเป็นเพียงการคาดเดาของเจ้าเอง ข้าไม่เคยพูดอะไรแบบนั้น”

 

เฟิงหยูเฮงยิ้ม และกล่าวว่า “มันดีมากถ้าเป็นอย่างนั้น”

 

บทสนทนาระหว่างคนทั้งสองเป็นสิ่งที่บรรดาฮูหยินและคุณหนูภายในห้องโถงเข้าใจ ในไม่ช้าพวกนางก็ถูกปกคลุมด้วยเหงื่อเย็น พวกนางวางแผนที่จะไปเยือนองค์หญิงแห่งกูซูเพื่อทดลองน้ําหอมและเผื่อว่าจะได้รับ

 

ไม่เพียงแต่น้ําหอมพันกลิ่นเท่านั้นที่ไม่ได้สร้างความประทับใจให้กับผู้คนในราชวงศ์ต้าชุนแต่ยังทําให้กซูต้องประสบกับการเยาะเย้ย องค์หญิงเจ็ดรู้สึกว่านางไม่มีหน้าที่จะอยู่อีกต่อไปในช่วงเวลานี้มันเป็นฮ่องเต้ที่ช่วยให้นางแยกแยะสถานการณ์ “ไม่เป็นไรมันก็ดี องค์หญิง แห่งกูซูไม่จําเป็นต้องคิดเรื่องนี้ มันเป็นรัฐบริวารเล็ก ๆ สิ่งที่เจ้าได้เห็นนั้นมีไม่มากนักเราจะไม่หัวเราะเยาะเจ้า !”

 

คําพูดเหล่านี้เกือบจะทําให้องค์หญิงเจ็ดร้องไห้

 

Related

ตอนที่ 707 ถูกทอดทิ้ง

 

คําพูดขององค์หญิงแห่งกูซูทําให้ทุกคนขุ่นเคืองใจ นอกจากขุนนางสองสามคนจากภาคใต้ที่สนิทสนมกับกูซูมากแล้วคนอื่น ๆ ก็มองนางอย่างไม่มีความสุข แม้แต่ฮองเฮาก็ขมวดคิ้วของนาง

 

ชวนเทียนเก้อตะโกนอย่างเย็นชา และกล่าวว่า “องค์หญิงที่ต่ําต้อยของรัฐบริวารและไม่ใช่แม้แต่องค์หญิงของฮองเฮาที่กล้าจะวิ่งไปหาราชวงศ์ต้าชุนเพื่อยั่วยุเรา ? ฮีม ! เจ้าไม่รู้ความรุนแรแรงของสถานการณ์จริง ๆ !”

 

องค์หญิงแห่งกูซูมองไปทางซวนเทียนเก้อ และกล่าวอย่างสมบูรณ์โดยไม่ต้องดูแล นางยังคงถือขวดแก้วต่อไป แต่นางมองชวนเทียนเก้อด้วยความรังเกียจ “สิ่งนี้เรียกได้ว่าเป็นการยั่วยุหรือ ?กูชูเป็นรัฐบริวารของราชวงศ์ต้าชุน เนื่องจากเราผลิตสมบัติแบบนี้ มันเป็นเรื่องปกติที่เราจะต้องนํา มันมาให้ฮ่องเต้ของราชวงศ์ต้าชุนดู” หลังจากพูดอย่างนี้นางก็โค้งคํานับฮ่องเต้ “ฝ่าบาทโปรดช่วย ข้าด้วย เนื่องจากมีการผลิตน้ําหอมเพียงขวดเดียวเท่านั้น นี่คือสาเหตุที่ขวดนี้ต้องถูกนํากลับไปให้ ช่างฝีมือเพื่อผลิตต่อไป”

 

สิ่งที่นางพูดมีเหตุผลและวัดได้ ผู้คนในราชวงศ์ต้าชุนไม่สามารถพูดอะไรได้อีกแล้ว แม้ว่าสิ่งที่นางพูดก่อนหน้านี้นั้นไม่ยกยอนัก แต่ตอนนี้นางกําลังพูดกับฮ่องเต้ พวกเขาไม่สามารถพูดแทรกพวกเขาจะต้องดูว่าฮ่องเต้จะตรัสอะไร

 

แต่หลังจากรอมานาน พวกเขาเห็นว่าฮ่องเต้ไม่ตอบสนองมากนัก หลังจากรออีกไม่นานพวกเขาก็เห็นฮ่องเต้สูดอากาศสองสามครั้งแล้วครุ่นคิดสักครู่แล้วหายใจเข้า

 

ขุนนางจ้องมอง เป็นไปได้ไหมว่าฮ่องเต้ได้กลายเป็นคนติดน้ําหอมพันกลิ่นนี้ ? นี่ไม่ใช่สิ่งที่ดีแม้ว่าน้ําหอมพันกลิ่นจะดี แต่นางก็บอกอย่างชัดเจนว่าเป็นเพียงการนํามาให้ราชวงศ์ต้าชุนดูเท่านั้นมันไม่ได้ถูกมอบให้กับราชวงศ์ต้าชุน แม้ว่าฮ่องเต้จะชอบ มันก็คงไม่ดีที่จะขโมยมันอย่างเปิดเผย ?

 

องค์หญิงเจ็ดแห่งกูซูสังเกตเห็นการกระทําของฮ่องเต้ และนางก็อดไม่ได้ที่จะยิ้ม เมื่อมองไปที่ขวดแก้วในมือของนาง นางกล่าวอย่างจริงจัง “ดินแดนของราชวงศ์ต้าชุนมีขนาดใหญ่และอุดมสมบูรณ์แต่มีไม่มากนักในสิ่งมหัศจรรย์โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างน้ําหอม จริง ๆ แล้วมันติดอยู่ใน ยุคของการใช้กํายาน เป็นที่รู้กันว่ากซูของเราหยุดใช้กํายานเพื่อสิ่งเหล่านี้เมื่อ 200 กว่าปีที่แล้ว” นางปิดปาก และหัวเราะคิกคักแล้วกล่าวว่า“มันไปไกลเกินกว่าที่คาดไว้จริง ๆ”

 

คําพูดเหล่านี้ทําให้ใบหน้าและหูของทุกคนเปลี่ยนเป็นสีแดง แต่ก็ไม่มีอะไรที่พวกเขาสามารถทําได้เพื่อหยุดนาง เพราะทุกสิ่งที่นางพูดเป็นเรื่องจริง ราชวงศ์ต้าชุนขาดความเคารพอย่างแท้จริง

 

ในเวลานี้องค์ชายเก้า, ซวนเทียนหมิงก็กล่าวออกมาจากภายในกลุ่มองค์ชาย “มันเป็นแค่ทักษะพิเศษ ราชวงศ์ต้าชุนของข้ามีขนาดใหญ่และมีหลายสิ่งที่จะจัดการ จะมีเวลาว่างในการค้นคว้าสิ่งที่ไร้ประโยชน์เช่นไร นอกจากนี้ถ้าราชวงศ์ต้าชุนรู้วิธีที่จะทําทุกอย่าง เราจะเก็บรัฐบริวารเช่นพวกเจ้าไว้ทําไม ? ถ้าเจ้าชอบค้นคว้าสิ่งเหล่านี้ เพียงแค่ทุ่มเทค้นคว้าสิ่งเหล่านั้นลงในจิตใจของ เจ้าไม่ว่าจะด้วยวิธีใด เจ้าไม่ต้องทําอะไรเลย เพียงดูแลอาณาจักรเล็ก ๆ ของเจ้าให้ผ่านไปแต่ละวันเมื่อเจ้าค้นคว้าเสร็จแล้ว มันจะถูกส่งมายังราชวงศ์ต้าชุนของเราในที่สุด เราแค่ต้องรอราชวงศ์ต้าชุนใช้พลังงานเพื่อสร้างความมั่นคงให้กับอาระจักร ขณะที่เจ้าค้นคว้าน้ําหอมที่เป็นเอกลักษณ์และน้ําหอมพันกลิ่น เรากําลังทําการวิจัยเหล็กกล้า องค์หญิงแห่งกูซู ถ้าเจ้าไม่เข้าใจ แค่ย้อนกลับไปถามท่านผู้นําของกูซูว่าน้ําหอมสําคัญหรือเหล็กของราชวงศ์ต้าชุนใช้ได้จริงสําคัญมากกว่ากัน”

 

แม้ว่าองค์หญิงเจ็ดนั้นเป็นผู้หญิง แต่นางก็เป็นสมาชิกของราชวงศ์กูซู นางเข้าใจในความหมายของเหล็กกล้า ความเย่อหยิ่งที่เกิดจากขวดน้ําหอมพันกลิ่นก็ได้ถูกระงับไว้ในที่สุด

 

ขุนนางของราชวงศ์ต้าขุนพยักหน้าและมององค์ชายเก้าด้วยอารมณ์ซาบซึ้ง ทุกคนกําลังคิด :ไม่น่าแปลกใจที่ฮ่องเต้ทรงโปรดปรานพระโอรสผู้นี้ ดูว่าพระองค์พูดอย่างไร ด้วยคําเพียงไม่กี่คําพระองค์ก็เอาชนะองค์หญิงผู้นั้นได้ คนอื่น ๆ ยังคงนั่งอยู่ที่นั่นด้วยความโกรธ เป็นเรื่องจริงที่ไม่มีสิ่งเปรียบเทียบจะยังไม่ทราบ เมื่อพบกับสถานการณ์นี้ เราได้ตระหนักถึงสถานการณ์แล้ว !

 

“ฮัดชิ้ว!”

 

ในขณะที่ทุกคนถอนหายใจ ฮ่องเต้ก็จามออกมาเสียงดัง เสียงจามนี้ดังมากจนสายทั้งห้องโถงสวรรค์ หลังจากนี้มีคนคิดว่านี่มันยิ่งดังกว่าเสียงตะโกนของฮ่องเต้ในช่วงปีที่แข็งแกร่งของเขา !

 

จามนี้ทําให้ทุกคนมองข้าม พวกเขาเพิ่งเห็นว่าฮ่องเต้กําลังพัดบริเวณตรงหน้าของเขาด้วยมือของเขาซ้ํา ๆ ในขณะที่คลี่คลายเขาขมวดคิ้วและมองไปที่ขันที่จางหยวนถามว่า “นางกํานัลเหล่านั้นมีพัดหรือไม่ ? ให้พวกนางไปเอาเร็ว !” หลังจากพูดอย่างนี้เขามองไปที่องค์หญิงแห่งกูซูและถามด้วยความสับสน “เจ้าบอกว่าน้ําหอมพันกลิ่นนี้ผลิตมาหลายปีแล้วหรือ ? มันเป็นความภาคภูมิใจของกูซูงั้นหรือ ? ทุกคนชอบหรือไม่ ? ”

 

องค์หญิงแห่งกูซูตกตะลึงแล้วพยักหน้า หลังจากคิดไปเล็กน้อย “เป็นไปได้หรือไม่ที่ฝาบาทไม่ชอบมัน”

 

“ฮะ !” ฮ่องเต้ตบต้นขาของเขาทันที “โทษเรา มันสามารถตําหนิเราได้” ฮ่องเต้กล่าวโทษตัวเองเพียงเล็กน้อย “ราชวงศ์ต้าชุนเป็นอาณาจักรที่มีขนาดใหญ่ แต่ได้ละทิ้งความรู้สึกของผู้คนในรัฐบริวาร มันเป็นเช่นนั้นจริง ๆ แล้วเจ้าถือน้ําหอมอีนี้ไปรอบ ๆ และคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ดี ดูเหมือนว่าราชวงศ์ในอาณาจักรเล็ก ๆ อย่างกูซูไม่เคยเห็นอะไรที่เหมือนกับน้ําหอมที่ดีเลย นี่คือความผิดพลาดของเราทั้งหมด”

 

ทุกคนประหลาดใจเมื่อได้ยินสิ่งนี้ องค์หญิงแห่งกูซูก็สับสนเช่นกันถามว่า “ฝบาทกําลังจะพูดอะไรเพคะ ?”

 

ฮ่องเต้โบกมือของเขา “รอสักครู่” จากนั้นเขาก็เปล่งเสียงของเขา และตะโกนให้นางกํานัลทําความสะอาด “พวกเจ้ามาทําความสะอาดเร็ว เอาพัดมาให้ข้าด้วย กําจัดกลิ่นอันน่ากลัวออกไปจากที่นี้อย่างรวดเร็ว ทุกคนในปัจจุบันเป็นขุนนางของราชวงศ์ต้าชุน หากพวกเขาตายจากกลิ่นเหมัน มันจะไม่ดี” ในขณะที่พูดเขาก็ปิดจมูก และถอนหายใจซ้ํา ๆ “องค์หญิงแห่งกูซู ! เราไม่ได้บอกเจ้าจริง ๆ สิ่งที่ไม่ดีมีกลิ่นเจ้ากําลังห้อมล้อมราวกับว่ามันเป็นสิ่งที่ดี ? ข้าเกือบจะหมดสติไปแล้ว”

 

จางหยวนยืนอยู่ข้างฮ่องเต้ด้วยท่าที่ทนไม่ได้ เขากล่าวอย่างขมขึ้น “แน่นอน มันเป็นกลิ่นแบบไหน ? มันน่าขยะแขยงเกินไป”

 

ทั้งสองทํางานร่วมกันอย่างสมบูรณ์ ขณะที่บรรดาขุนนาง ฮูหยิน และคุณหนูด้านล่างล้วนเต็มไปด้วยคําถาม แม้แต่พระสนมของฮ่องเต้ก็ยังงงงวย น้ําหอมพันกลิ่นมีกลิ่นไม่ดีหรือ ? มันเป็นไปไม่ได้ ? มันเป็นการรังแกเกินไปที่พูดเช่นนั้น ท้ายที่สุดมันก็หอมมากหลังจากเปิดฝาไม่นาน ถ้ามันถูกนําไปใช้กับร่างกาย แน่นอนมันจะเป็นเรื่องที่น่ายินดี แต่เมื่อพวกเขาได้กลิ่นตอนนี้ มันไม่ได้พูดเกินจริงอย่างที่ฮ่องเต้ได้กล่าวไว้ ! ในความเป็นจริงมันเป็นกลิ่นที่ดีมาก

 

ในขณะที่คนไม่รู้ว่าฮ่องเต้หมายถึงอะไร แต่ตั้งแต่ฮ่องเต้ตรัสเช่นนั้น พวกเขาไม่สามารถพูดได้ว่าน้ําหอมพันกลิ่นดี พวกเขาได้แต่ปิดจมูกตามเท่านั้น

 

หลังจากการประกาศของฮ่องเต้และจางหยวน คนต่อไปที่จะเห็นด้วยคือองค์ชายเจ็ด, ชวนเทียนฮั่วเขายืนขึ้นและคํานับฮ่องเต้โดยกล่าวว่า “เสด็จพ่อได้โปรดยกโทษ ให้ลูกด้วยอนุญาตให้ลูกกลับมาที่นี้หลังจากกลิ่นในห้องโถงจางหายไปจนหมด”

 

ฮ่องเต้พยักหน้าอย่างจริงจัง “ใช่ ใช่ ออกไปเร็ว สถานที่นี้ไม่เหมาะกับเจ้าจริง ๆ ”

 

ชวนเทียนฮั่วเดินออกไป ในที่สุดเมื่อเขาออกจากห้องโถง เขาสูดหายใจลึกๆ ที่พูดเกินจริงทุกคนดูสิ่งนี้ แม้ว่าพวกเขาจะไม่คิดว่าสิ่งนี้มีกลิ่นไม่ดี การเคลื่อนไหวของซวนเทียนฮั่วในขณะที่สูดลมหายใจนี้ทําให้คนอื่นลองและลอกเลียนแบบเขา แต่พวกเขาอยู่ในห้องโถงและสิ่งที่พวกเขาได้กลิ่นก็คือน้ําหอม เมื่อพวกเขาสูดหายใจเข้าลึก ๆ นี้ก็มีบางคนที่คลั่งไคล้ และคุณหนูเริ่มไอ

 

ดังนั้นคุณหนูที่ได้ลอกเลียนแบบเขาเพื่อทําสิ่งเดียวกันกับที่องค์ชายเจ็ดที่เหมือนเทพเซียนทํานั้นไม่สามารถนั่งนิ่ง ๆ ได้อีกต่อไป !

 

จาวเหลียนก็วิ่งออกไป เขาเป็นคนแรกที่ติดตามเขา เขาไม่มีโอกาสพูดอะไรกับฮ่องเต้เลยแม้แต่น้อย ยกชุดของเขา เขาวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ขณะที่วิ่งเขาตะโกนว่า “สวรรค์ ! ถ้าข้าอยู่ในห้องโถงนี้ คอของข้าจะต้องมีปัญหา !”

 

คนอีกกลุ่มหนึ่งวิ่งตามจาวเหลียนออกไปข้างนอก …

 

อย่างไรก็ตามคนส่วนใหญ่ยังคงอยู่ข้างใน หลังจากนั้นฮ่องเต้ก็ยังอยู่ในเวลานี้องค์หญิงเจ็ดแห่งกูซูรู้สึกอับอายอย่างยิ่ง และนางอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว นางเริ่มรู้สึกสงสัยอย่างลึกซึ้งต่อสิ่งที่อยู่ ในมือของนาง

 

ฮ่องเต้ยังคงตรัสต่อไป “องค์หญิงเจ็ด ! เราไม่โทษเจ้า ท้ายที่สุดแล้วรัฐบริวารเล็ก ๆ ก็ไม่ได้มีความรู้อะไรมากมาย เจ้าเชื่อว่าสิ่งนี้มีกลิ่นหอมและไม่มีอะไรที่สามารถทําได้เกี่ยวกับเรื่อง นี้มันเป็นเพียงแค่เรื่องที่ไม่เคยเห็นสิ่งที่สามารถเรียกได้ว่าเป็นน้ําหอมอย่างแท้จริง”

 

ในที่สุดองค์หญิงแห่งกูซูก็เข้าใจในสิ่งที่ฮ่องเต้หมายถึงอย่างแท้จริง แต่นางก็อดไม่ได้ที่จะถาม“ฝ่าบาทหมายความว่า…. ฝาบาทเคยเห็นบางสิ่งที่หอมกว่าน้ําหอมพันกลิ่นนี้หรือเพคะ ?”

 

ฮ่องเต้โบกมือของเขา “เจ้าหมายถึงอะไรที่หอมกว่านี้ ด้วยสิ่งที่เจ้าดมถ้าได้กลิ่นมากขึ้นมันจะไม่ฆ่าคนหรือ! องค์หญิงน้อยแห่งกูซู ! เราไม่สามารถจัดการกับกลิ่นนี้ได้ใช่เลย ฟังเราไม่สามารถระบุได้ว่าน้ําหอมนั้นดีหรือไม่ดีตามปริมาณกลิ่น ที่จะขึ้นอยู่กับคุณภาพ เพียงแค่การมีกลิ่นหอมไม่เพียงพอ นอกจากนี้ยังมีความบริสุทธิ์ในขณะที่ไม่ฉุน มันควรทําให้ผู้คนรู้สึกผ่อนคลายเมื่อได้กลิ่น ไม่ควรทําให้ทุกคนขมวดคิ้ว เห็นเจ้าเจ็ดของเราหรือไม่ ? เขากลัวว่าจะหมดลมหายใจนอกจากนี้มันไม่ใช่แค่ว่าน้ําหอมจะมีกลิ่นที่ดีหรือไม่ มันยังคงลอยอยู่ในอากาศเป็นเว ลานานสีของน้ําหอมก็สําคัญเช่นกัน” ตามที่ฮ่องเต้พูดเขาชี้ไปที่ขวดเคลือบที่บ่าวรับใช้ในพระราชวังถือไว้สําหรับองค์หญิงแห่งกูซู “มองสิ่งที่เจ้ามี แม้จากที่ไกลออกไป เราจะเห็นได้ว่าสีของของเหลวในนั้นเป็นสีแดงใช่ไหมหากใช้ของเหลวสีนี้กับเสื้อผ้า มันจะไม่ย้อมสีเสื้อผ้าหรอกหรือ ? มันเป็นอะไรกชูร่ํารวยจนเจ้าสวมใส่เสื้อผ้าเพียงครั้งเดียวแล้วทิ้งหรือ ?”

 

ไม่มีใครคาดคิดได้ว่าฮ่องเต้ซึ่งเป็นผู้ปกครองที่มีเกียรติของอาณาจักรจะสามารถพูดคุยเกี่ยวกับสิ่งที่ผู้หญิงใช้เป็นน้ําหอม เขายังสามารถพูดเกี่ยวกับมันได้อย่างแม่นยํามาก และมันเป็นมากกว่าองค์หญิงเจ็ดแห่งกูซูจะสามารถรับมือได้ เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ยืนอยู่ตรงกลางห้องโถงด้วยสีหน้าประหลาดใจบนใบหน้าของนาง เมื่อมองกลับไปที่น้ําหอมพันกลิ่นของนาง นางเริ่มตั้งคําถามกับมัน

 

ในอีกด้านหนึ่ง เฟิงหยูเฮงก็เริ่มยิ้มอย่างขมขื่น นางแค่คิดว่าสิ่งต่าง ๆ ที่ฮ่องเต้พูดนั้นไม่ใช่สิ่งที่นางพูดกับพระชายาหยุนเมื่อนางมอบน้ําหอมให้อีกฝ่าย ? นั่นเป็นแบรนด์ที่แพงมากที่นางนําออก มาจากมิติของนาง บางสิ่งที่คนโบราณทํากันจะเปรียบเทียบได้อย่างไรตอนนี้ตําหนักศศิเหมันต์ถูก เผาไหม้ไปแล้ว พระชายาหยุนและฮ่องเต้ก็มีปฏิสัมพันธ์กันมากขึ้นฮ่องเต้ต้องได้กลิ่นน้ําหอมที่ พระชายาหยุนใช้และได้ยินเหตุผลนี้ ดังนั้นเขาจึงสามารถพูดได้ในวันนี้

 

ยิ่งไปกว่านั้นมันไม่ใช่แค่ฮ่องเต้ที่พูดสิ่งนี้ แม้แต่ชวนเทียนหมิงก็ไม่สามารถห้ามตัวเองได้“องค์หญิงแห่งภูซู อย่าโทษเสด็จพ่อและองค์ชายผู้นี้ที่แนะนําเจ้า น้ําหอมพันกลิ่นของเจ้ามีกลิ่นที่น่ากลัวจริง ๆ รีบทิ้งเร็ว ! แต่เจ้าจะต้องไม่เทลงในเขตแดนของราชวงศ์ต้าชุน ! เททิ้งเมื่อเจ้ากลับไปภาคใต้หรือไกลกว่านั้นก็ยิ่งดี !”

 

Related

ตอนที่ 706 น้ำหอมพันกลิ่น

 

ในตอนแรกเฟิงหยูเฮงไม่รู้ว่าอะไรทําให้พระชายาเหวินซวนกลายเป็นเช่นนี้ แต่การสนทนาก่อนหน้านี้ทําให้นางเข้าใจ พระชายาเหวินซวนไม่ได้มาในวันนี้เพราะงานเลี้ยง เริ่มตั้งแต่วันที่เหยาซื่อได้ขอเทียบเชิญ พระชายาเหวินซวนได้ตัดสินใจแล้วว่านางจะจับตาดูเสียวหยาในระหว่างงานเลี้ยงนี้ แต่เสี่ยวหยายังไม่มา เป็นไปได้หรือไม่ว่าคนที่พูดมาถึงมาแล้ว ?

 

นางคิดเกี่ยวกับมันและมองไปที่พระชายาเหวินซวน อย่างไรก็ตามบ่าวรับใช้ที่อยู่ข้าง ๆ นาง ได้ออกจากห้องโถงสวรรค์แล้ว จากนั้นนางก็มองกลับไปที่นางและพยักหน้าเล็กน้อย และทําให้นางรู้สึกโล่งใจ

 

เฟิงหยูเฮงผ่อนคลายเมื่อพูดคุยกับพระชายาเหวินซวน นางเชื่อมั่นเสี่ยวหยา แม้ว่านางจะมาก็ไม่สามารถสร้างปัญหาได้

 

ในจัตุรัสด้านนอกของห้องโถงสวรรค์ มีคนสองคนกําลังคุยอย่างมีความสุข หรืออาจกล่าวได้ว่าหนึ่งในสองคนนั้นถูกดึงเข้าหากันในขณะที่พูดคุยด้วยสีหน้าสนุกสนาน คนที่ทําการดึงคือพระสนมหยวนซูที่หนีออกจากกลุ่มพระสนมของฮ่องเต้ คนที่ถูกดึงเข้ามาหากไม่ใช่เสี่ยวหยาแล้วจะเป็นใคร?

 

“ด้วยการปรากฏตัวของเจ้าในแบบที่เป็นอยู่ มันต้องเป็นความงดงามจากสวรรค์” พระสนมหยวนชูจ้องที่เสี่ยวหยาและเริ่มงงงวย มีคนที่ดูเหมือนคล้ายกันมากในโลกนี้หรือไม่ ? นางยังสงสัยว่าเด็กหญิงคนนี้ชื่อเสี่ยวหยาเป็นบุตรสาวที่เฟิงจินหยวนทิ้งไว้เบื้องหลัง นอกจากนี้ยังสร้างความคิด หลังจากนั้นนางจะส่งคนไปตรวจสอบอย่างถูกต้องแน่นอน ตระกูลเฟิงทิ้งบุตรสาวไว้ข้างนอกจริงหรือไม่ ?

 

เสี่ยวหยาได้ฟังพระสนมหยวนชูพูดคุยกับนางอย่างอบอุ่น และนางก็ค่อย ๆ อบอุ่นจากความคุ้นเคยครั้งแรกของนาง นางสามารถยิ้มได้เป็นครั้งคราว ในเวลาเดียวกันนางเข้าใจว่าทําไมพระสนมผู้สง่างามจึงมาพูดกับนาง มันเป็นเพราะใบหน้าของนาง ตอนนี้เสี่ยวหยาเข้าใจแล้วว่าตราบใดที่นางต้องการ นางก็สามารถทําหลายสิ่งหลายอย่างได้ด้วยใบหน้านี้ซึ่งคล้ายกับเฟิงหยูเฮง แม้แต่พระสนมหยวนชูก็คิดมากกว่าหนึ่งครั้งเกี่ยวกับการเชิญนางเข้ามาในพระราชวังเพื่อพูดคุยกัน นอกจากนี้ยังมีสิ่งที่ผู้หญิงคนก่อนหน้านี้พูด ตราบใดที่นางเต็มใจ นางก็จะเป็นตัวแทนเฟิงหยูเฮง อย่างน้อยที่สุดในสายตาของหลาย ๆ คนนั่นก็เป็นอย่างนั้น

 

ปรากฏว่าการเข้ามาในพระราชวังจะทําให้นางได้รับผลตอบแทนเช่นนี้ เสี่ยวหยาสงสัยว่าเหยาซื่อคาดหวังผลลัพธ์เช่นนี้หรือไม่ ? หรือทั้งหมดนี้อยู่ในการควบคุมของเหยาซื่อ ? นางรู้ว่านางจะได้อะไรนางจะพบกับคนที่มีเกียรติกี่คน และความรู้สึกอยากจะแทนที่เฟิงหยูเฮงจะเกิดขึ้นภายในตัวนาง แต่เหยาซื่อวางแผนอะไรกันแน่ ? นางตั้งใจวางแผนต่อต้านบุตรสาวของตัวเองด้วยการเตรียมนางขึ้นมาทดแทน สิ่งนี้เป็นประโยชน์อะไรกับเหยาซื่อ

 

เสี่ยวหยาสับสนอยู่พักหนึ่ง ในเวลานี้บ่าวรับใช้มุ่งหน้าไปอย่างรวดเร็ว เมื่อมาถึงตรงหน้าทั้งสอง นางจะแสดงความเคารพพระสนมหยวนชูอย่างรวดเร็วจากนั้นกล่าวว่า “พระสนมได้โปรดยกโทษให้ข้าด้วยเจ้าค่ะ เจ้านายของเราเชิญเสี่ยวหยาเข้าไปในห้องโถงเจ้าค่ะ”

 

พระสนมหยวนชูถูกแช่แข็ง และถามว่า “เจ้านายของเจ้าเป็นใคร ? เจ้านายคนไหนกันแน่ ?” มีความโกรธปรากฏขึ้นระหว่างคิ้วของนาง เมื่อมองดูชุดของบ่าวรับใช้ อีกครั้งดูเหมือนพวกเขาจะคุ้นเคย แต่พวกเขาไม่ได้เห็นชุดที่บ่าวรับใช้ใส่อย่างชัดเจน ดังนั้นนางจึงกลายเป็นคนที่หยิ่งยโสอีกครั้ง “นี่คือพระราชวัง ไม่ใช่เรือนเล็ก ๆ ที่เจ้ามา เจ้าของเจ้าไม่ได้เป็นอะไรเลยหลังจากเข้ามาในพระราชวัง ทําไมคนที่อยู่ข้างข้าจึงถูกเรียกเข้าไป ? ”

 

ท่าทางดุดันในปัจจุบันของนางสนมหยวนชูนั้นแตกต่างจากเมื่อก่อน เสี่ยวหยารู้สึกสับสนเล็กน้อย แต่ก็เข้าใจเช่นกันว่าผู้คนในพระราชวังมีสีหน้ามากมาย หากนางต้องการที่จะเปลี่ยนแปลง นางสามารถเปลี่ยนแปลงได้ทันทีโดยไม่ต้องดําเนินการใด ๆ เลย สําหรับตัวนางเอง นางไม่มีความสามารถนี้ นางอาจไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกับจิ้งหรีด พวกเขาจะไม่แม้แต่จะมองนาง เมื่อคิดเช่นนี้ นางตัดสินใจว่านางจะถนอมใบหน้าของนางให้มากยิ่งขึ้น ศัตรูของนางจะต้องถูกล้างแค้นโดยใช้ใบหน้านี้

 

บ่าวรับใช้ที่ถูกดุด่าโดยนางสนมหยวนชูไม่โกรธ หากนางไม่สามารถทนสิ่งนี้ได้นางจะยังทํางานในพระราชวังเพื่ออะไร นางยิ้มให้กับนางสนมหยวนชูและโค้งคํานับโดยกล่าวว่า “สถานะของเจ้านายของข้าไม่สามารถเทียบได้กับท่าน ท่านเป็นมารดาผู้ให้กําเนิดองค์ชายแปด ในขณะที่เจ้านายของเรา เป็นเพียงพระชายาเอกของพระราชวังเหวินซวน และมารดาผู้ให้กําเนิดองค์หญิงหลู่หยางเจ้าค่ะ”

 

พระสนมหยวนซูตัวแข็งที่อและรู้สึกอายทันที ปากที่นางเปิดออกมาพูดได้อีกเล็กน้อย แต่พูดไม่ออกโดยบ่าวรับใช้ที่รายงานตัวตนของเจ้านายของนาง นางรู้สึกมีความสุข ไม่น่าแปลกใจที่นางรู้สึกว่าบ่าวรับใช้คนนี้ดูคุ้นเคย แน่นอนว่านางทํางานดูแลพระชายาเหวินซวน ! มันเป็นความจริงที่ว่านางใช้เวลาหลายวันในพระราชวัง และไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กับพระชายาเหวินซวน ซึ่งทําให้นางทําผิดพลาดแบบนี้

 

แต่ในท้ายที่สุดนางเป็นพระสนมของฮ่องเต้ที่สง่างามและไม่ต้องการที่จะขอโทษบ่าวรับใช้อย่างไรก็ตามนางไม่ได้รักษาความแข็งแกร่ง นางหันมาพูดกับเสี่ยวหยา “สาวน้อย ในอนาคตเจ้าต้องมาที่พระราชวังบ่อย ๆ เมื่อมีเวลาข้าจะส่งคนที่จะเชิญเจ้า สิ่งที่ข้าคนนี้พูด แค่คิดทบทวนสอีกเล็กน้อย” นางตบหลังมือของเสี่ยวหยา “ไปเถิด พระชายาเหวินซวนกําลังรออยู่” คําพูดเหล่านี้เหมือนกับยอมรับความผิดของนางแล้ว

 

ในทันทีนี้เสี่ยวหยามีความคิดมากมายที่แล่นผ่านหัวของนาง ในขณะที่ประหลาดใจกับสถานะของพระชายาเหวินซวนในพระราชวัง นางก็รู้ว่าถ้านางต้องการมีความคิดใด ๆ นางก็ไม่ควรพลาดเสาหลักของการสนับสนุนเช่นพระสนมหยวนซู ดังนั้นนางจึงยิ้มทันทีและพยักหน้าอย่างมีความสุข “พระสนมไม่ต้องกังวลเจ้าค่ะ เด็กหญิงผู้ต่ำต้อยคนนี้จะมาเยี่ยมบ่อย ๆ เจ้าค่ะ” หลังจากพูดอย่างนี้นางก็ตามบ่าวรับใช้ไปทันที

 

พระสนมหยวนชูยืนอยู่กับที่และไม่ได้ออกไป นางแค่ดูภาพเสี่ยวหยาที่เดินจากไปและพึมพํา “แค่ผอมกว่าผู้หญิงคนนั้น หากเจ้าไม่ได้ดูอย่างระมัดระวัง มันเป็นการยากที่จะบอก นางยังสูงกว่านี้เล็กน้อย แต่ก็ไม่เป็นไร ข้าไม่เคยคิดเลยว่าคนผู้นั้นจะถูกซ่อนอยู่ในเมืองหลวง ดูคล้ายกันมาก ถ้าเสี่ยวหยาถูกปล่อยออกไป และโมเอ๋อหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ พวกเขาวางแผนอะไร !”

 

พระสนมหยวนซูเริ่มคิดกับตัวเองในขณะที่บ่าวรับใช้ได้นําเสี่ยวหยาเข้ามาในห้องโถงสวรรค์แล้ว ดนตรีและการร่ายรําอยู่ในจุดสูงสุดของพวกเขา และมีคนไม่มากที่เข้าและออกเหมือนเมื่อก่อน ไม่มีใครที่จะมองไปในทิศทางนี้ เสี่ยวหยาก้มศีรษะของนางลง ซึ่งทําให้สงบมาก เฉพาะเมื่อนางไปถึงด้านของพระชายาเหวินซวน นางได้ยินเสียงพระชายาเหวินซวนกล่าวทันที “ถ้าคนต้องการมีชีวิตอย่างมีความสุข พวกเขาควรจําไว้อย่างชัดเจนว่าสถานะของพวกเขาคืออะไร อย่าคิดว่าการพึ่งรูปลักษณ์ภายนอกจะเพียงพอที่จะได้รับสิ่งใด”

 

เสี่ยวหยาสังเกตได้จากน้ำเสียงเย็นชา ในเสียงของพระชายาเหวินซวนและนางก็ตกใจมาก นางทําได้โดยไม่พูดอะไรสักคําเดียว

 

เฟิงหยูเฮงเฝ้าดูสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดและตะโกนอย่างเยือกเย็นภายใน นางแค่คิดกับตัวเอง คน ๆ นี้จะเปลี่ยนไป แต่นางก็ไม่เสียใจที่พาเสียวหยามาเมืองหลวง มันเป็นอย่างที่ซวนเทียนหมิงพูด ในวันนั้นคนเช่นนี้ควรอยู่ภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิด ถ้านางอยู่ด้านนอก นั่นจะเป็นสาเหตุที่ทําให้นางทําเรื่องแย่ ๆ !

 

ในความเป็นจริง งานเลี้ยงที่จัดขึ้นในแต่ละปีไม่มีกําหนดการที่แน่นอน มันไม่มีอะไรมากไปกว่าการพบปะให้ทุกคนมากินและมาดื่มด้วยกัน บรรดาฮูหยินจะพูดคุยกัน ขุนนางก็จะคุยกับขุนนาง ฮ่องเต้และฮองเฮานั่งในตําแหน่งที่สูงส่งเพื่อประกาศตําแหน่งของพวกเขา นี่เป็นวิธีแสดงความจริงใจต่องานเลี้ยงนี้ ไม่ได้มีการแก้ปัญหาที่สําคัญใด ๆ ในงานเลี้ยงนี้

 

สําหรับวันนี้องค์หญิงแห่งกูซูมาเช่นกัน ในระหว่างงานเลี้ยงนี้จะมีการนําเสนอของกํานัลพิเศษ เทียนหมานมาจากที่ไกลซึ่งหมายความว่านางเตรียมของกํานัล ในระหว่างที่ดนตรีและการร่ายรําหยุด นางก็ก้าวไปข้างหน้า และคํานับฮ่องเต้และฮองเฮา จากนั้นนางก็ดึงขวดแก้วเล็ก ๆ ออกมา จากแขนเสื้อของนาง ขวดเคลือบนั้นมีสีสันมากและดึงดูดความสนใจของทุกคน มันเป็นขวดขนาดเท่าครึ่งฝ่ามือ อย่างไรก็ตามมันปลุกเร้าความประหลาดใจจากผู้หญิงที่มีอยู่

 

แม้ว่าอาณาจักรเล็ก ๆ ใกล้กับชายแดนจะไม่มีทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์เทียบเท่าราชวงศ์ต้าชุน แต่พวกเขามีความเชี่ยวชาญในการสร้างสิ่งเล็ก ๆ ตัวอย่างเช่นขวดเคลือบนี้ มันดูสวยงาม แต่ถ้าเจ้าถามว่าใช้งานแบบไหน มันก็ใช้งานได้ไม่มากนัก มันอยู่ที่นั่นเพื่อดูสวย

 

แต่ขวดที่เคลือบมันนี้มีที่ว่างอยู่เล็กน้อย เฟิงหยูเฮงบอกได้เลยว่ามีของเหลวอยู่ภายในขวด มันเป็นสีอ่อนแต่ก็ค่อนข้างสวย ทันทีหลังจากนี้องค์หญิงแห่งกูซูเปิดฝาขวดออกทันทีก่อนปิดฝาอีกครั้ง แต่ในทันใดนั้นกลิ่นน้ำหอมก็เต็มห้องโถง มันแพร่กระจายไปทั่ว และแม้แต่ผู้ชายก็หลงใหลด้วย

 

อย่างไรก็ตามเฟิงหยูเฮงขมวดคิ้วเล็กน้อย นางฝึกจมูกของนางด้วยการเติบโตขึ้นท่ามกลางสมุนไพรทางการแพทย์ นางสามารถบอกได้ทันทีว่าน้ำหอมเต็มไปด้วยต่อมชะมดและปริมาณนั้นค่อนข้างสูง แต่เนื่องจากมีกลิ่นหอมมากเกินไปจึงยากที่จะสังเกต

 

ปิดฝานานแล้ว แต่ผู้คนยังคงแช่อยู่ในกลิ่นนั้นและไม่สามารถได้สติกลับมาได้ แม้แต่ฮ่องเต้ก็ยังประหลาดใจ ฮองเฮาและพระสนมของฮ่องเต้ก็ประหลาดใจมาก ฮองเฮาถามว่า “นี่เป็นน้ำหอมที่มีเอกลักษณ์ของกูซูใช่หรือไม่ ? ” หลังจากคิดไปเล็กน้อย “มันดูไม่เหมือนเลย กูซูส่งน้ำหอมที่ไม่เหมือนใครมาราชวงศ์ต้าชุนในแต่ละปี อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าจะไม่ได้มีกลิ่นเช่นนี้”

 

คําพูดเหล่านี้ทําให้องค์หญิงแห่งกูซูชื่นชมยินดี ถือขวดไว้ในมือนางกล่าวอย่างมีความสุข “แน่นอนว่าน้ำหอมแตกต่างกัน น้ำหอมที่เป็นเอกลักษณ์นั้นทําขึ้นโดยใช้น้ำหอมหนึ่งร้อยชนิดที่แตกต่างกัน สําหรับน้ำหอมที่ข้าถือ มันเป็นสิ่งที่กซูใช้เวลาสิบปีในการทํางาน และเป็นน้ำหอมพันกลิ่น ใช้น้ำหอมกว่า 1,000 ชนิด เป็นสิ่งที่ธรรมชาติไม่สามารถเปรียบเทียบได้ กว่าสิบปีสามารถผลิตได้ขวดเดียวเท่านั้น”

 

เฮือก!

 

ทุกคนสูดหายใจอย่างแรง น้ำหอมกว่า 1,000 ชนิด ? พวกเขาได้ยินมาว่ามันยากมากที่จะผลิตน้ำหอมที่เป็นเอกลักษณ์ของกูซู แม้ว่าพวกเขาจะส่งมาในแต่ละปีมันจะเป็นเพียงขวดเล็ก ๆ ความหายากของมันอยู่ในระดับเดียวกับสมบัติของชาติ แต่เมื่อเร็ว ๆ นี้ น้ำหอมที่ไม่เหมือนใครก็สามารถทําให้ตําหนักในของราชวงศ์ต้าชุนกลายเป็นสนามรบที่เต็มไปด้วยเลือด ตอนนี้น้ำหอมที่มีกลิ่นหอมนี้ปรากฏออกมาแล้ว กูซูพยายามที่จะพลิกคว่ำสวรรค์หรือไม่ ?

 

แน่นอนว่าในขณะที่มีบางคนที่ตกใจมาก มีคนอื่นที่มีจิตใจที่ชัดเจน ยกตัวอย่างเช่น ซวนเทียนเก้อผู้เอนกายใกล้เฟิงหยูเฮงและกล่าวว่า “พระสนมของฮ่องเต้ทั้งหมดนั้นจ้องมองอย่างละโมบ แต่ประเด็นคืออะไร ไม่ว่าพวกนางจะแต่งตัวสวยงามแค่ไหน พวกนางเป็นคนที่เข้ามาในพระราชวังเมื่อ 20 ปีก่อน พวกนางแก่แล้ว ยิ่งกว่านั้นเสด็จลุงไม่ได้เข้าไปในตําหนักในเลย แล้วถ้าพวกมันมีกลิ่นดีกว่าล่ะ ? ผู้หญิงประทินโฉมตัวเองเพื่อคนที่พวกเขารัก แต่พวกนางจะทําเพื่อใคร”

 

เฟิงหยูเฮงยิ้มอย่างขมขึ้น “พวกนางไม่สามารถใช้กระจกเพื่อชื่นชมความงามของตนเองได้งั้นหรือ ?”

 

“ถ้าอย่างนั้นพวกนางก็สบายใจแล้ว” ซวนเทียนเก้อไม่มีความประทับใจที่ดีกับนางสนมของฮ่องเต้เหล่านี้ ในขณะที่นางกล่าวอย่างเย็นชา อย่างไรก็ตามนางกล่าวเสริม “แต่ถ้ามีเพียงขวดเดียวนั่นก็จะมอบให้กับพระชายาหยุน อาเฮงไปขอแบ่งมาจากพระชายาหยุนภายหลัง ลองเติมน้ำและใช้ด้วย”

 

เฟิงหยูเฮงยกมือแปะหน้าผาก เจ้าเป็นคนจนงั้นเหรอ ? เจ้าเป็นองค์หญิงในพระราชวัง !

 

ในเวลานี้ผู้คนที่ได้เพลิดเพลินไปกับน้ำหอมที่มีกลิ่นหอมกว่าพันชนิดได้ฟื้นตัวในที่สุด มีคนเริ่มถามคําถามของพวกเขา “น้ำหอมพันกลิ่นนี้ดีจริง ๆ แต่ถ้ากลิ่นเป็นเช่นนี้ เมื่อเปิดฝามันจะใช้ได้อย่างไร”

 

คนที่มีความเข้าใจในน้ำหอมที่เป็นเอกลักษณ์กล่าวว่า “โดยธรรมชาติเจ้าต้องเติมน้ำ”

 

อีกคนหนึ่งถามว่า “เป็นไปได้หรือไม่ที่ขวดน้ำหอมพันกลิ่นนี้จะผสมกับน้ำปริมาณมากเพื่อแบ่งให้พระสนมของฮ่องเต้ ถ้าอย่างนั้นความแตกต่างอะไรกับน้ำหอมที่มีเอกลักษณ์ ?”

 

“แม้แต่น้ำหอมที่มีเอกลักษณ์ก็ไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนมี !”

 

คําพูดเหล่านี้ทําให้ทุกคนประทับใจ น้ำหอมที่เป็นเอกลักษณ์นั้นหายากมาก และถึงแม้ว่าจะใส่น้ำเพิ่มเข้าไปในน้ำหอมพันกลิ่นก็ยังคงเป็นสินค้าที่ดีมาก

 

แต่ในเวลานี้องค์หญิงเจ็ดแห่งกูซูก็กล่าวในทันใดว่า “หืม ? ใครบอกว่าจะมอบน้ำหอมพันกลิ่นนี้ให้กับราชวงศ์ต้าชุน ข้าแค่นํามันออกมาเพื่อให้ทุกคนได้เห็น พวกเจ้าบอกว่าใส่น้ำและแบ่งให้พระสนมของฮ่องเต้หรือ ? ”

 

Related

ตอนที่ 705 หลู่เหยา เจ้าเป็นสุนัขหรือ ?

 

เจ้าเมืองหลู่ก้มหน้าลงด้วยท่าทางทําอะไรไม่ถูก เขาถูกเรียกโดยองค์ชายสี่อีกครั้ง

 

ในเรื่องที่เกี่ยวกับองค์ชายเหล่านี้ เขามีเพียงพอจริง ๆ ด้วยการตบเพียงครั้งเดียวจากบุตรสาวของเขา เขาได้สูญเสียรากฐานทั้งหมดของตระกูลไปแล้ว และเขาต้องทนต่อการทําร้ายจิตใจแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก ถ้าเป็นไปได้เขาอยากจะออกจากงานเลี้ยงแต่เนิ่น ๆ และกลับไปที่โรงเตี้ยมเพื่อร้องไห้ น่าเสียดายที่ก่อนที่เขาจะหาข้อแก้ตัวได้ เขาก็ถูกเรียกตัวมาแล้ว

 

มู่เจียงคุกเข่าต่อหน้าซวนเทียนยี่ แต่ก็บอกว่าไม่จําเป็นต้องคํานับ เขาต้องคํานับคุณหนูสามตระกูลเฟิงและขอโทษ มู่เจียงเกือบกระอักเลือดออกมา !

 

ตระกูลเฟิงก็ตกต่ำจนถึงระดับนี้ และนี่เป็นเพียงบุตรสาวของอนุ แต่เขาก็ต้องคํานับและขอโทษ ? สถานการณ์แบบนี้คืออะไร ?

 

เขาหันหน้าไปด้วยจิตใต้สํานึกและเงยหน้าขึ้นมองไปที่ซึ่งฮ่องเต้ประทับอยู่ แม้กระนั้นเขาพบว่าฮ่องเต้ไม่แม้แต่จะเหลือบมองมาทางนี้ เขากําลังดูการร่ายรําอย่างมีความสุข

 

เขาเปลี่ยนสายตาอีกครั้ง และพบว่ามีคนในกลุ่มพระสนมของฮ่องเต้สังเกตเห็นเขา แต่ไม่มีใครพูดเพื่อเตือนฮ่องเต้ว่าเกิดอะไรขึ้น ท้ายที่สุดมันเป็นเรื่องยาก ฮ่องเต้สนุกกับการร่ายรํา ไม่มีใครอยากรบกวนความเพลิดเพลินของฮ่องเต้

 

ในด้านนี้ก่อนที่มู่เจียงจะคุกเข่า เสียงที่ทําให้งงงวยขององค์ชายสี่, ซวนเทียนยี่กล่าวขึ้นว่า “โอ้ ? นี่คือเจ้าเมืองของมณฑลหญ่ ใต้เท้ามู่ ? บุตรสาวของเจ้าตบหน้าน้องสาวขององค์หญิงจี่อันและทําลายไข่มุกทะเลตะวันตกขององค์หญิง”

 

ทันใดนั้นร่างของมู่เจียงก็โอนเอนไปมา และเขาเกือบจะล้มหัวฟาดไปที่โต๊ะ จากนั้นเขาได้ยินเสียงซวนเทียนเก้อกล่าวว่า “เจ้าระวังไว้ด้วย บุตรสาวของเจ้าทําลายไข่มุกขององค์หญิงจี่อัน และตอนนี้เจ้าวางแผนที่จะคว่ำโต๊ะสุราและทําลายชุดขององค์หญิงผู้นี้หรือไม่”

 

แขนของมู่เจียงประคองตัวเขาบนพื้น ในที่สุดเขาก็สามารถทําให้ทั้งอารมณ์ และร่างกายของเขามั่นคง เขาไม่กล้าทําอะไรอีกแล้ว เขาไม่กล้าทําผิดพลาดต่อหน้าคนเหล่านี้อีกต่อไป ทุกคนบอกว่าผู้คนในชายแดนใต้นั้นปาเถื่อนและเผด็จการ แต่ใครจะรู้ว่าคนที่ดุร้ายและโหดร้ายแท้จริงอยู่ในเมืองหลวง ! เมื่อเทียบกับองค์ชายเหล่านี้ องค์หญิงหรูหยางและองค์หญิงจี่อัน ผู้คนในชายแดนก็ไม่ต่างอะไรกับกระต่ายขาว พวกเขาไม่สามารถทําให้เกิดความวุ่นวายแม้แต่น้อย

 

เขายอมแพ้ เขาเชื่อฟัง คุกเข่าลงต่อเฟิงเซียงหรูและขอโทษ พร้อมสัญญาอีกครั้งว่าสินเดิมจะถูกส่งมายังเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว เขารับประกันได้ว่ามันจะทําให้คุณหนูสามพอใจ

 

ซวนเทียนยี่พยักหน้า “เนื่องจากทัศนคติของเจ้าเป็นที่ยอมรับ เจ้ากลับไปได้ !”

 

ในที่สุดมู่เจียงก็สามารถหนีจากปีศาจเหล่านั้นได้ และหลังของเขาก็ถูกปกคลุมด้วยเหงื่อเย็น

 

เฟิงเชียงหรูรู้สึกงุนงง และถามซวนเทียนยี่ “สินเดิมอะไร ของใคร ?”

 

เป็นผลให้ซวนเทียนยไม่สนใจนาง เขาลุกขึ้นและจากไป เฟิงเซียงหรูพูดไม่ออก นี่เป็นคนแบบไหน ? เมื่อมองซวนเทียนยี่ นางก็เห็นร่างสีขาวที่ถือสุราจอกหนึ่ง ใครจะรู้ว่าพวกเขากําลังคิดอะไรอยู่เพราะสีหน้าของพวกเขาดูบริสุทธิ์เหมือนน้ำ และถูกขัดเกลาเหมือนเทพเซียน

 

แก้มของนางเปลี่ยนเป็นสีแดงทันทีด้วยความอบอุ่น อย่างไรก็ตามสิ่งที่นางคิดคือ : องค์ชายสี่เพิ่งมาคุยกับนาง คนผู้นั้นเห็นหรือไม่ จะมีความเข้าใจผิดหรือไม่ ? แต่จากนั้นนางยิ้มอย่างขมขื่น เข้าใจผิดแล้วจะเป็นอย่างไร ? คนผู้นั้นไม่ได้มีความรู้สึกใด ๆ กับนาง อาจมีอะไรเกิดขึ้นกับบางคนที่พูดกับนาง นางลอบถอนใจภายใน ในท้ายที่สุดนางระงับความรู้สึกเหล่านั้นอย่างแรงแล้วจ้องมองไปที่ซวนเทียนยี่ ก่อนที่จะเริ่มกินผลไม้อย่างเงียบ ๆ

 

ซวนเทียนเก้อเห็นทั้งหมดนี้และถามเฟิงหยูเฮง “ข้าได้ยินมาว่าพี่สี่สนใจเซียงหรู ตอนนี้ดูเหมือนว่ามันจะเป็นเรื่องจริง”

 

เฟิงหยูเฮงยิ้มและตอบว่า “เท่าที่ข้าเห็นมัน ทั้งสองค่อนข้างเหมาะสมกัน”

 

“พวกเขาน่ะหรือ ? ” ซวนเทียนเก้อไม่เห็นด้วย “พี่สี่เป็นองค์ชายที่ถูกควบคุมตัว แม้ว่าพระองค์จะยังคงได้รับอนุญาตให้อาศัยอยู่ในตําหนักปิง แต่พระองค์ได้สูญเสียตําแหน่งในฐานะองค์ชาย พระองค์ถูกลดระดับให้เป็นบุคคลทั่วไป โอกาสที่จะกลับเป็นองค์ชายมีไม่มาก”

 

“ทําไม ? ” เฟิงหยูเฮงถามนางว่า “ขุนนางระดับสูงมีเบี้ยหวัดที่ดีสามารถทําให้เจ้ามีชีวิตที่ดีไร้กังวล แต่ก็เป็นผู้ชายที่ต้องมีภรรยาหลายคน หรือสามัญชนที่จะรักและปกป้องเจ้าอย่างแท้จริง เจ้าต้องการแบบไหน ?”

 

ซวนเทียนเก้อตกใจและตอบกลับหลังจากนั้นไม่นาน “ถ้าเจ้าพูดแบบนั้น พวกเขาก็เหมาะสมกัน ไม่รู้ว่าความกระตือรือร้นของพี่สี่จะอยู่ได้นานแค่ไหน สิ่งที่กังวลคือพระองค์เป็นคนธรรมดา แต่ก็ยังคิดว่ามีภรรยาหลายคน อาเฮง เจ้าต้องรู้ว่าแม้ว่าพระองค์จะเป็นคนธรรมดา บิดาของพระองค์ก็ยังคงเป็นฮ่องเต้ ในท้ายที่สุดพระองค์ยังคงแตกต่างจากคนอื่น ๆ ”

 

“ถูกต้อง” เฟิงหยูเฮงยังกล่าวอีกว่า “สิ่งที่เกี่ยวข้องคือเมื่อเจ้าไม่มีอะไร แต่ยังต้องการใช้ชีวิตที่หรูหรา เซียงหรูยังเด็กและยังมีเวลาอีกสามปีก่อนที่นางจะถึงวัยปักปั่น เรามารอดูกัน ข้าต้องหาครอบครัวที่ดีให้กับน้องสาวของข้า” เมื่อนางมองน้องสาว นางถอนหายใจ “ตามความจริงบุตรสาวคนที่สี่ของตระกูลเฟิง, เฟินไดมีชีวิตที่ดี แม้ว่าองค์ชายห้านั้นค่อนข้างไร้สาระและไม่ได้เป็นที่โปรดปรานของเสด็จพ่อ ตั้งแต่พระองค์สนใจเฟินได การกระทําของเขากลายเป็นที่น่านับถือมากขึ้น”

 

“มันเป็นความอัปยศที่น้องสาวของเจ้าไม่รู้ว่าจะรักษามันได้อย่างไร ข้าได้ยินมาว่าพี่ห้าดูแลบ้านของตระกูลเฟิง แม้เช่นนั้นเฟินไดก็ไม่พอใจ เมื่อนางหงุดหงิด นางไปที่ตําหนักหลี่เพื่อทุบตีสิ่งต่าง ๆ พี่ห้าอดทนมาได้ตลอดเวลา”

 

เฟิงหยูเฮงยักไหล่ “นั่นคือชีวิต อย่างที่พูด มันก็ยังอยู่ในมือของเจ้าเอง ไม่ว่าเจ้าจะแสดงทัศนคติแบบใดก็ตามจะได้รับผลตอบแทนเช่นนั้น สวรรค์นั้นยุติธรรมจริง ๆ”

 

ทั้งสองคุยกันอีกซักพักหนึ่งก่อนที่เฟิงหยูเฮงจะยืนขึ้น นางถือสุราจอกหนึ่งไว้บนโต๊ะ เมื่อนางหยุดนางก็ไปที่ด้านของผู้ชายและอยู่ที่ฝั่งของเหยาซู่

 

สมาชิกทั้งหกคนของตระกูลเหยามาถึงแล้ว และพวกเขาทั้งหมดนั่งอยู่ในที่เดียวกัน เมื่อเห็นว่าเฟิงหยูเฮงมา พวกเขาล้วนมีความสุขมาก กลุ่มล้อมรอบลูกพี่ลูกน้องที่อายุน้อยกว่าและให้การต้อนรับดีมาก เชิงหยูเฮงมีความประทับใจในตัวญาติที่ค่อนข้างดีโดยเฉพาะน้องคนสุดท้อง เขามีอายุมากกว่านางไม่กี่ปี และเขายังคงมีความเป็นวัยรุ่นอยู่บ้าง แต่เขาก็ดูดีที่สุดในบรรดาเด็ก ๆ ตระกูลเหยาทั้งหกคน

 

นางคุยกับกลุ่มนี้ซักพัก นางยกจอกและเอนตัวใกล้กับเหยาซู ทันใดนั้นนางก็ถามด้วยเสียงเงียบ ๆ ว่า “พี่ชายใหญ่ ถ้าฮูหยินของท่านที่ตั้งใจทําร้ายข้า ข้าควรทําอย่างไรดี ?”

 

เหยาซูตื่นตกใจ เขาไม่คิดว่าเฟิงหยูเฮงจะพูดอย่างนี้ในทันที เมื่อนางพูดสิ่งนี้ นางยังยิ้มแย้ม ไม่มีใครคิดว่าหญิงสาวที่ยิ้มแย้มจะสามารถปลดปล่อยจิตสังหารด้วยคําพูดเหล่านั้นได้

 

แต่เหยาเป็นคนที่มีสมอง เขาเชื่อมั่นว่าเฟิงหยูเฮงจะไม่พูดจาไร้เหตุผล หากนางสามารถพูดสิ่งนี้ได้ จะต้องมีเหตุผลและเป้าหมายแน่นอน สําหรับตัวเขาเอง เขาก็มีจุดยืนของตัวเองเช่นกัน “อาเฮง ถ้าเป็นเรื่องระหว่างสามีและภรรยา ข้าจะอนุญาตให้นางทําตามที่นางพอใจ เมื่อพิจารณาถึงเวลาที่มีความสุขมากขึ้น นั่นคือสิ่งที่ผู้ชายควรทํา แต่ตระกูลเหยานั้นใจดี และความรู้สึกที่มีต่อครอบครัวนั้นไม่ใช่ของปลอม มันจะไม่ยอมทนต่อการถูกรังแกจากใคร ถ้านางมีจิตใจที่มุ่งร้ายผู้อื่นโดยเฉพาะอย่างยิ่งมีจิตใจที่มุ่งร้ายต่อใครบางคนในตระกูลเหยาซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องที่อายุน้อย ถ้าเจ้าลงมือทําอะไร พี่ชายใหญ่จะไม่รังเกียจอย่างแน่นอน”

 

เมื่อเหยาซูพูดเช่นนี้ สายตาของเขาแน่วแน่ เขาไม่ได้ลดเสียงของเขาลงเมื่อเขาพูดถ้อยคําเหล่านี้ สมาชิกคนอื่นๆ ในตระกูลเหยาก็สามารถได้ยินได้ชัดเจนมาก พวกเขาอดไม่ได้ที่จะหยุดและมองไปที่เหยาซ่ สายตาของพวกเขาดูอยากรู้อยากเห็น แต่มีการอนุมัติมากขึ้น เหยาเซ็นพี่ชายคนที่สองกล่าวว่า “ท่านปูสอนให้เรามีเจตนาดีต่อผู้อื่น แต่เริ่มในปีนี้ท่านปูพูดมากยิ่งขึ้นว่าเราต้องไม่ตาบอดด้วยความปรารถนาดีของเรา แต่เราต้องพิจารณาสิ่งต่าง ๆ ก่อน ลองดูก่อนเพื่อดูว่าคน ๆ นั้นมีค่าต่อความปรารถนาดีของเราหรือไม่ หากพวกเขาไม่คู่ควรและมีคุณธรรมน้อยลง ก็ไม่จําเป็นต้องใจดี เพียงปฏิบัติต่อพวกเขาตามที่พวกเขาได้ทํา”

 

เหยาซูพยักหน้าแล้วมองที่เฟิงหยูเฮง “อาเฮง แม้ว่าพี่ชายใหญ่จะไม่รู้ว่าอะไรทําให้เจ้าพูดอย่างนี้ ข้าเชื่อมั่นในตัวเจ้า ในทางตรงกันข้าม ข้าไม่เชื่อใจหลู่เหยา นั่นเป็นเหตุผลว่าทําไมหากหลู่เหยาทําอะไรเพื่อทําร้ายผู้อื่นก่อนวันแต่งงาน ข้าจะพานางไปหาเจ้าเพื่อขออภัยและขอให้เจ้าปล่อยนางไป อย่างไรก็ตามถ้าการกระทําของนางหลังจากนั้นไม่ดี ข้าจะพูดอีกครั้ง เจ้าสามารถทําตามที่เจ้าต้องการได้”

 

ตระกูลเหยายกเว้นเหยาฟูที่ไม่ชอบหลู่เหยา แม้แต่เหยาขู่เองก็ยังคงรู้สึกไม่ดีกับหลู่เหยา เป็นเพียงว่าพวกเขามีจิตใจที่ใจดีและพวกเขามักคิดที่จะลดความขัดแย้ง ตราบใดที่หลู่เหยาสามารถดําเนินชีวิตอย่างสงบสุขได้ เรื่องนี้ก็จะได้รับการอภัย อย่างไรก็ตามใครจะรู้ว่าหลู่เหยาไม่ได้มีเจตนาที่จะสงบศึก

 

เฟิงหยูเฮงยิ้มแล้วกล่าวกับเหยาซู “พี่ชายใหญ่พูดได้ดี สําหรับสิ่งที่หลู่เหยาทําร้ายข้า ข้าจะบอกท่านป้าใหญ่อย่างชัดเจนหลังจากเรากลับไป”

 

หลังจากพูดจบแล้ว นางก็ลุกขึ้นยืนและจากไป ในอีกด้านหนึ่งของการจัดงานหลู่เหยามองไปทางด้านนั้นด้วยความกังวล เฟิงหยูเฮงเลี้ยวแล้วมุ่งตรงไปที่หลู่เหยา

 

หลู่เหยาเริ่มสั่นเมื่อเห็นนาง ซูซื่อที่นั่งข้างนางขมวดคิ้วแล้วถามว่า “เจ้าเป็นอะไร ? ”

 

หลู่เหยาตอบกลับอย่างรวดเร็ว “ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ ท่านแม่ อาจจะเป็นเสียงของดนตรีที่ดังขึ้นอย่างกะทันหันซึ่งทําให้ข้าตกใจเจ้าค่ะ”

 

ซูซื่อขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ไม่ได้พูดอะไรเลย อย่างไรก็ตามนางเห็นว่าเฟิงหยูเฮงมาถึงโต๊ะของพวกนางแล้ว รอยยิ้มอันอบอุ่นปรากฏขึ้นบนใบหน้าทันทีเมื่อนางเอื้อมมือออก “อาเฮงรีบมานั่งตรงนี้”

 

หลู่เหยาเห็นนางและหัวใจของนางเต็มไปด้วยความเกลียดชัง นางแต่งงานเข้าตระกูลเหยา แต่ไม่สามารถได้รับความรักจากแม่สามีของนาง แม้ว่านางจะไม่เคยได้รับการปฏิบัติที่ไม่ดี แต่ก็มีสิ่งกีดขวางบางอย่างระหว่างทั้งสอง และมันก็น่าอึดอัดใจอยู่เสมอ แต่เมื่อเชิงหยูเฮงมาถึง ซูซื่อกลายเป็นเหมือนมารดาที่เปี่ยมด้วยความรัก นางกําหมัดในแขนเสื้อของนาง และความเกลียดชังทําให้นางกัดฟันแน่น เมื่อเห็นว่าเฟิงหยูเฮงเปลี่ยนชุดแล้ว นางก็เกลียดมากกว่าเดิมจนหายใจไม่ออก

 

น่าเสียดายที่นางมีจิตใจที่เป็นชั่วร้าย แต่นางก็ไม่กล้าพอ สําหรับเฟิงหยูเฮง ในขณะที่นางพูดคุยและยิ้มแย้ม นางได้พูดบางสิ่งที่ส่งความเย็นผ่านร่างกายของหลู่เหยา “คนที่ไม่มีสมอง วิธีการของพวกเขาอยู่ในระดับต่ำเกินไป องค์หญิงจี่อันไม่ต้องการรบกวนเจ้า แต่ยังมีคนที่ไม่ยอมปล่อย แม้ว่าข้าจะเป็นเนื้อชิ้นอร่อย แต่ก็ไม่ควรที่จะให้เจ้าตามข้าไปรอบ ๆ เหมือนสุนัข หลู่เหยา เจ้าควรมองหาความสุขเพื่อตัวเอง”

 

หลังจากพูดจบแล้ว นางก็ทักทายท่านป้าคนอื่น ๆ ของนางแล้วก็หันไปจากไป ใบหน้าของหลู่เหยาซีดจนน่ากลัว ซูซื่อเห็นสิ่งนี้และอดไม่ได้ที่จะถามว่า “เจ้ามีอะไรผิดปกติ ?”

 

หลู่เหยาตกใจมากจนนางไม่แม้แต่จะได้ยินสิ่งที่ซูซื่อถาม ใจของนางเต็มไปด้วยสิ่งที่เฟิงหยูเฮงบอกนางเกี่ยวกับการค้นหาความสุขของนาง มือของนางสั่นอย่างไม่สามารถควบคุมได้ ในขณะที่นางจ้องมองที่เฟิงหยูเฮง ราวกับว่านางเป็นหมาป่าแล้ว

 

ซูซื่อตกใจมากและจับข้อมือของหลู่เหยา และตะโกนอย่างเยือกเย็น “หลู่เหยา ! ” ในที่สุดเสียงตะโกนนี้ก็ช่วยให้หลู่เหยาได้สติของนางขึ้นมา อย่างไรก็ตามคําพูดของซูซื่อไม่ได้จบลงที่นั่น “ถ้าเจ้าต้องการเป็นลูกสะใภ้ของตระกูลเหยา เจ้าต้องเป็นคนที่เหมาะสมก่อน หากเจ้าไม่สามารถเป็นคนดีได้ อย่าโทษบุตรชายของข้าที่ขับไล่เจ้าออกไป !”

 

หลู่เหยาตกตะลึงอย่างยิ่ง

 

ในขณะเดียวกันเฟิงหยูเองก็หยุดเคลื่อนไหวเกี่ยวกับงานเลี้ยง นางเห็นบ่าวรับใช้ในพระราชวังโน้มตัวเข้าหาพระชายาเหวินซวน และกระซิบบางอย่างที่หูของนาง ท่าทางของพระชายาเหวินซวนดูสง่างาม..

 

Related

ตอนที่ 704 แทนที่เฟิงหยูเฮง?

 

คําพูดของหลู่หยานค่อนข้างคลุมเครือ และเสี่ยวหยาไม่สามารถเข้าใจความหมายที่แท้จริงของนางได้ ดังนั้นนางจึงได้แต่แนะนําตัวเองว่า “ข้าเป็นบ่าวรับใช้ของท่านฮูหยินเหยา ข้าชื่อเสี่ยวหยา คุณหนูกําลังเข้าใจผิดเจ้าค่ะ”

 

หลู่หยานเข้าใจทันที มันกลับกลายเป็นว่านางทําผิดพลาดจริง ๆ แต่นางไม่สามารถหยุดตัวเองจากการถอนหายใจ “เจ้าเหมือนกันมากจริง ๆ เจ้าและองค์หญิงจี่อันมีคล้ายกันมาก ไม่น่าแปลกใจที่ฮูหยินเหยาจะเข้าใจผิด แต่..” หลู่หยานคิดอย่างรวดเร็วเนื่องจากความคิดชั่วช้าทุกประเภทปรากฏขึ้น เมื่อนางพูดอีกครั้งนางก็ดูเศร้าใจเล็กน้อยสําหรับเสี่ยวหยา “แม้แต่ฮูหยินเหยาก็บอกว่าเจ้าเป็นบุตรสาวของนางเอง ดังนั้นแม่นางเองก็ต้องคิดว่าตัวเองอยู่ในฐานะบุตรสาวของฮูหยินเหยา”

 

เสี่ยวหยาขมวดคิ้ว “เป็นไปได้อย่างไร ? ข้ามีบิดามารดาของข้าเอง แม้ว่าพวกเขาจะเสียชีวิตไปแล้ว ข้ามั่นใจว่าข้าไม่ใช่บุตรสาวของฮูหยินเหยา ข้าไม่ใช่องค์หญิงจี่อัน ข้าไม่ใช่”

 

“หืม ทําไมเจ้าถึงพูดเช่นนั้น ?” หลู่หยานคว้ามือของเสี่ยวหยาโดยไม่มีความคุ้นเคยใด ๆ “ถ้าฮูหยินเหยาบอกว่าเจ้าเป็นบุตรสาวของนาง ถ้าเช่นนั้นแล้วองค์หญิงจี่อันล่ะ ถ้าฮูหยินเหยาบอกว่านางไม่ใช่ นางก็ไม่ใช่ มีใครบ้างที่รู้จักบุตรสาวของตัวเองดีกว่ามารดา ? คุณหนู ! สิ่งที่น่าประทับใจเกี่ยวกับตัวเจ้าคือใบหน้าของเจ้า ทําไมเจ้าไม่รู้จักทําให้มีคุณค่าและใช้มัน ?”

 

เสี่ยวหยาสะดุ้งตื่นขึ้นมาและรู้สึกตัวโดยไม่รู้ตัว หลู่หยานเห็นว่านางไม่ได้มีปฏิกิริยามากเกินไปและอดไม่ได้ที่จะกล่าวว่า “ลองคิดดูสิว่าองค์หญิงจี่อันมีอะไรบ้าง ลองคิดดูว่าเจ้ามีอะไรบ้าง เจ้าสามารถเข้ามาในพระราชวังได้วันนี้อาจเป็นเพราะฮูหยินเหยาเห็นด้วยใช่หรือไม่ ? นั่นเป็นเหตุผลที่เจ้าต้องคิดว่าฮูหยินเหยาสามารถให้อะไรเจ้าได้อีก หากเจ้าต้องการเป็นบุตรสาวของฮูหยินเหยาจริง ๆ เจ้าจะได้รับรางวัลของเจ้าอีกมาก”

 

หลู่หยานพูดถึงจุดนี้และรอยยิ้มอันชั่วร้ายปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนาง อย่างไรก็ตามเสี่ยวหยาถูกตัวแข็งที่อยืนกับที่ คําพูดของหลู่หยานสะท้อนซ้ำ ๆ ในใจของนาง และพวกมันก็ทําร้ายประสาทสัมผัสของนางซ้ำ ๆ ไม่ใช่ว่านางไม่เคยคิดแบบนี้มาก่อน เมื่อเหยาซื่อพูดตั้งแต่แรกว่านางเป็นบุตรสาวของนาง นางรู้สึกสับสนและไม่แน่ใจในทันที นางเคยคิดว่าถ้านางเป็นบุตรสาวของเหยาซื่อ สิ่งทั้งหมดของเฟิงหยูเฮงจะกลายเป็นของนาง ?

 

แต่เสี่ยวหยาไม่ใช่คนโง่ นางรู้ว่าเป็นไปไม่ได้ในทันใดนั้นนางก็ตัดความคิดที่ว่านางไม่ควรมี แต่การตัดความคิดนั้นไร้ประโยชน์ นางใช้เวลาทุกวันกับเหยาซื่อ และยิ่งเหยาซื่อเข้าใกล้นางมากเท่าไหร่ เวลาที่พวกนางสนิทสนมกันก็จะสร้างความเข้าใจผิด มันทําให้นางไม่รู้ว่านางเป็นใครอีกแล้ว

 

เสี่ยวหยาค่อย ๆ รู้ตัวว่านางไม่นิ่งเฉยอีกต่อไป “แทนที่เฟิงหยูเฮง” อีกครั้งแม้ว่าจะไม่สามารถพิจารณาได้ แต่ความตายของบิดามารดาของนางก็กลับมาปรากฏในใจอีกครั้ง สาเหตุและผลกระทบถูกเล่นซ้ำแล้วซ้ำอีก ในท้ายที่สุดนางก็มาพร้อมกับคํานิยามใหม่ของเฟิงหยูเฮง : ศัตรู !

 

นางไม่ได้เป็นผู้มีพระคุณอย่างที่มารดาของนางพูด นางเป็นศัตรูแทน

 

แน่นอนถ้าไม่มีเฟิงหยูเฮงทําหน้าที่เป็นตัวแทนของนาง และหากเฟิงหยูเฮงเข้ามาในคณะมายากลนั้น ตระกูลของนางก็คงไม่ได้พบกับความตายนี้ ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะเฟิงหยูเฮง นางจะต้องแก้แค้นเฟิงหยูเฮง นางจะแก้แค้นให้กับศัตรูได้อย่างไร ? บางทีสิ่งที่พลาดไปในตอนนี้ก็พูดถูก นางเป็นบุตรสาวของเหยาซื่อ ด้วยการเป็นบุตรสาวของเหยาซื่อเท่านั้นที่นางจะได้รับตําแหน่งที่สูงขึ้นได้รับการสนับสนุนและสามารถเริ่มวางแผนแก้แค้นได้

 

ทันใดนั้นความมั่นใจที่บิดเบี้ยวก็ปรากฏขึ้นในใจของเสี่ยวหยา….

 

เมื่อเฟิงหยูเฮงกลับไปที่ห้องโถงสวรรค์ เสียงเพลงยังคงดังอย่างต่อเนื่อง เมื่อเห็นว่านางเปลี่ยนชุดก่อนจะกลับไป ผู้คนที่เห็นนางไม่สามารถช่วยอะไรได้ แต่ดูแปลกใจนิดหน่อย แต่ก็มีคนที่ 1 ไม่ใส่ใจมากเกินไป ท้ายที่สุดเฟิงหยูเฮงมักจะมาที่พระราชวัง พระชายาหยุนก็อยู่ในพระราชวัง เช่นกัน การเก็บเสื้อผ้าสองสามชุดในพระราชวังไม่ใช่เรื่องแปลก

 

เป็นพระชายาเหวินซวนที่โบกมือให้เฟิงหยูเฮงเมื่อนางกลับมา เรียกเฟิงหยูเฮงกไปหานาง พวกนางก็คุยกันอย่างอบอุ่นเป็นระยะเวลาหนึ่ง หลังจากนั้นนางก็ถามอย่างเงียบๆ “เจ้าเห็นผู้หญิงที่อยู่ข้างท่านแม่ของเจ้าหรือไม่ ?”

 

เฟิงหยูเฮงรู้ว่านางกําลังถามถึงเสี่ยวหยา และนางรู้ว่าเหยาซื่อได้รับเทียบเชิญจากพระชายาเหวินซวน แต่นางไม่เห็นว่าเสี่ยวหยาเข้ามาในพระราชวัง นางจึงส่ายหัว “ไม่”

 

พระชายาเหวินซวนกังวลเล็กน้อย และกล่าวว่า “เหยาซื่อถามข้าเกี่ยวกับเทียบเชิญสําหรับผู้หญิงคนนั้น ไม่มีอะไรที่ข้าทําได้และได้แต่มอบเทียบเชิญให้นาง แต่ในเวลาเดียวกันข้าตัดสินใจที่จะจับตาดูคนที่เข้ามาในพระราชวัง เป็นผลให้ข้ามาที่พระราชวังเร็ว แต่ข้ายังไม่เห็นนางมา ข้ารู้สึกไม่สบายใจอยู่เสมอ”

 

เฟิงหยูเฮงปลอบโยนนาง “ท่านป้าไม่ต้องกังวลเจ้าค่ะ อย่าไปใส่ใจ นับตั้งแต่ท่านแม่ได้รับยาเปลี่ยนวิญญาณ นางเปลี่ยนไปมาก นอกจากนี้ข้าใช้เวลากับนางน้อยเกินไป จื่อหรูก็ออกไปศึกษาเช่นกัน นางแค่หวังว่าจะมีใครบางคนเหมือนอยู่เคียงข้างนาง มันเกิดขึ้นเมื่อเสียวหยาเหมือนข้ามาก นางควร… เป็นเหมือนความหวังของนางเจ้าค่ะ !”

 

พระชายาเหวินซวนถอนหายใจ นางจับมือของเฟิงหยูเฮง นางกล่าวว่า “เจ้ามักจะคิดถึงคนอื่นอยู่เสมอ มีบางสิ่งที่ข้าไม่ควรพูด แต่เหยาซื่อกับข้าเป็นสหายสนิทมาหลายปีแล้ว เจ้าและเทียนเก้อก็สนิทกันเช่นกัน มันคงจะดีถ้าข้าแค่เก็บมันไว้ในใจ”

เฟิงหยูเฮงกล่าวอย่างรวดเร็ว “อาเฮงคิดเสมอว่าท่านป้าเป็นผู้อาวุโส ในใจของอาเฮงท่านป้าเปรียบเสมือนท่านแม่ นั่นเป็นเหตุผลที่ท่านป้าพูดได้โดยไม่ต้องกังวลเจ้าค่ะ”

 

พระชายาเหวินซวนพยักหน้า จากนั้นนางก็กล่าวว่า “นิสัยของเหยาซื่อเปลี่ยนแปลงไปมาก ยาเปลี่ยนวิญญาณเป็นสาเหตุ แต่นอกจากนี้เจ้าไม่เคยคิดเลยว่าการที่ยาพัฒนาไปในทิศทางนี้มันไร้ประโยชน์กับเจ้าอย่างแท้จริงหรือ! เป็นเวลานานแล้วที่ยาเปลี่ยนวิญญาณมีผล อาเฮงเจ้าเป็นหมอเทวดา แหล่งที่มาของอาการปวยของนาง ข้าเข้าใจโดยธรรมชาติ เนื่องจากอาการป่วยเป็นเช่นนี้ เหตุผลนี้จึงไม่ถูกบังคับเกินไปใช่หรือไม่”

 

คําพูดของพระชายาเหวินซวนนั้นตรงประเด็น และพวกเขาต่างก็นึกถึงเฟิงหยูเฮง เฟิงหยูเฮงสามารถบอกได้ในโลกของหมากินหมา นางสามารถวิ่งเข้าไปในตระกูลเหยา และใครบางคนเช่น พระชายาเหวินซวนซึ่งเป็นผู้อาวุโสที่ดีล้วนเป็นพรอันประเสริฐอยู่แล้ว อย่างไรก็ตามนางไม่สามารถปกป้องมารดาของนางได้

 

นางถอนหายใจเบา ๆ และกล่าวว่า “ ข้ารู้เจ้าค่ะ”

 

พระชายาเหวินซวนก็รู้สึกหมดหนทางเช่นกัน “เจ้าเป็นคนฉลาด เจ้ารู้ทุกอย่าง แต่เมื่อเจ้ารู้ทุกอย่าง เจ้าควรเตรียมตัวไว้ด้วย เชียนหรู ขึ้นอยู่กับบุคลิกภาพของนางปล่อยให้นางก่อกวนเล็กน้อย อย่างไรก็ตามนางเป็นมารดาที่เกิดของเจ้า และเจ้าไม่สามารถทําอะไรกับนางได้มากนัก แต่คนที่อยู่กับเหยาซื่อ นางชื่ออะไร?”

 

“เสี่ยวหยาเจ้าค่ะ”

 

“ถูกต้อง เจ้าต้องคิดให้ดีว่าเจ้าจะจัดการกับเสี่ยวหยาได้อย่างไร เจ้าไม่สามารถปล่อยให้นางอยู่เคียงข้างมารดาของเจ้า ให้นางเรียกมารดาของเจ้าว่าท่านแม่ แม้แต่คนนอกอย่างข้าก็รู้สึกไม่สบายใจที่ได้ยิน เท่าที่ข้าเห็น อาเฮง เจ้าไม่ควรพาผู้หญิงแบบนั้นกลับมาที่เมืองหลวง”

 

เฟิงหยูเฮงยังรู้สึกไร้ประโยชน์ “เมื่อก่อนข้าไม่อยากพานางกลับมา แต่ข้าเป็นหนี้นาง ที่บิดามารดาของนางเสียชีวิตเพราะข้า ข้าต้องรับผิดชอบดูแลนาง ประการที่สองก็ยังเป็นตามที่องค์ชายเก้ากล่าว นางดูคล้ายกับข้ามาก ข้าต้องพานางกลับมาเพื่อจับตาดูนาง ถ้านางอยู่ด้านนอก ข้ากลัวว่าจะมีปัญหาเจ้าค่ะ”

 

พระชายาเหวินซวนขมวดคิ้ว นางต้องการพูดอะไรบางอย่างแต่ไม่ได้พูด นางเป็นสมาชิกคนหนึ่งของราชวงศ์ แม้ว่านางจะมีจิตใจที่ใจดี มันก็ขึ้นอยู่กับว่านางเป็นใคร หากเป็นเฟิงหยูเฮง, นางก็ใจดีแต่เมื่อมาถึงเสี่ยวหยา ถึงแม้ว่าเรื่องนี้จะสะท้อนให้เห็นถึงซวนเทียนเก้อ สิ่งแรกที่นางจะทําคือกําจัดเสี่ยวหยา

 

นางส่ายหัวของนางอย่างไร้ประโยชน์ นางแนะนําเฟิงหยูเฮง “ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดเจ้าต้องให้ความสําคัญกับเรื่องนี้มากขึ้น” หลังจากคิดไปเล็กน้อยนางก็กล่าวเสริม “นางได้รับเทียบเชิญที่ทําให้สามารถเข้ามาในพระราชวัง ถ้านางไม่มาก็ไม่เป็นไร หากนางมาและรู้จักสถานะของนาง ข้าสามารถทนได้ แต่ถ้านางมีแรงจูงใจซ่อนอยู่ อาเฮงอย่าตําหนิข้าที่ทําหน้าที่แทนเจ้า”

 

เฟิงหยูเฮงพยักหน้ากล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว “ท่านป้าไม่ต้องกังวลเจ้าค่ะ อาเฮงจะไม่ยอมให้ตัวเองถูกรังแกจากคนอื่น หากนางต้องการกวนใจ ข้าจะไม่ให้อภัยนางแน่นอน”

 

เช่นนี้ทั้งสองตกลงในเรื่องนี้ เฟิงหยูเฮงคุยกับนางซักพักก่อนจะกลับไปนั่งที่ หลังจากนั่งนางก็คาดเดาเกี่ยวกับฮ่องเต้ อย่างไรก็ตามนางรู้สึกว่าฮ่องเต้ชรานั้นมีชีวิตชีวาขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อนึกถึงเรื่องหลังจากที่พระชายาหยุนกลับไปที่พระราชวังแล้ว มันก็ไม่เหมือนกับว่าไม่มีการสื่อสารระหว่างคนทั้งสอง แม้ว่าพระชายาหยุนจะไม่ปรากฏตัวในงานเลี้ยงนี้ แต่ก็ชัดเจนว่าอารมณ์ของฮ่องเต้นั้นผ่อนคลายมากขึ้นกว่าในช่วงงานเลี้ยงที่ผ่านมา

 

นางนั่งข้างซวนเทียนเก้อ เฟิงเซียงหรูก็ถูกดึงไปนั่งข้างนาง แต่ในขณะเดียวกันก็มีอีกคนปรากฏตัว องค์ชายสี่, ซวนเทียนยี่ ในเวลานี้เขาจับเฟิงเซียงหรูแล้วถามนางว่า “เจ้าเจ็บหรือไม่ ? พูดอะไรสักอย่าง เจ้าใช้ทรงผมเพื่อปกปิดมันไม่ได้หรอก วันนี้ไม่ว่าคุณหนูตระกูลไหนต่างก็แต่งกายสวยงาม เจ้าเป็นคนเดียวที่ทําผมปิดใบหน้าของตัวเองครึ่งหนึ่ง ให้ข้าดูหน่อย เจ้าเจ็บมากหรือไม่ ? อาการบวมนั้นแย่มากหรือไม่”

 

เฟิงเซียงหรูรู้สึกถึงความไม่พอใจของเขา นี่เป็นงานเลี้ยงในพระราชวัง นางจึงจําเป็นต้องไว้หน้าองค์ชายหรือนางก็ไม่สามารถพูดเสียงดังเกินไป นางทําได้เพียงบังคับตัวเองให้อดทน และกล่าวอย่างเงียบ ๆ ว่า “พี่รองเป็นหมอ แม้ว่าข้าต้องการให้ใครซักคนดู มันก็จะเป็นนาง พระองค์มีส่วนร่วมในสิ่งนี้เพื่ออะไรเพคะ ?”

 

ซวนเทียนตบโต๊ะ “ถ้าเจ้าไม่ให้ข้าดูว่าเจ้าเจ็บมากแค่ไหน ตอนที่ข้าส่งคนไปที่สํานักงานในวันพรุ่งนี้เพื่อตบหน้าผู้หญิงคนนั้น ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่านางควรถูกตบแรงแค่ไหน ?”

 

เฟิงเซียงหรูตกตะลึง “อะไรนะ ? พระองค์จะตบหน้าใคร ? ”

 

“ใครก็ตามที่ตบเจ้า ข้าไปตบคืนให้เจ้า !” ซวนเทียนขี่มองนางราวกับว่าเขากําลังมองคนโง่งม “เซียงหรู เจ้าอาจไม่อยากทํา แต่ข้าจะทํา นางเป็นบุตรสาวของเจ้าเมืองหลู่ อาจารย์ขององค์ชายผู้สง่างามคนนี้ ใบหน้าที่นางตบไม่ใช่ของเจ้า มันเป็นของข้า เจ้าเข้าใจหรือไม่ ? ข้าควรปล่อยนางไปโดยไม่ทําอะไรเลยหรือ ?”

 

เฟิงเซียงหรูรู้สึกว่าตรรกะนี้ค่อนข้างแปลก “คนที่ถูกตบนั้นคือข้า มันกลับกลายเป็นพระองค์ได้อย่างไร ? ”

 

“นั่นคือเหตุผล หากเจ้าไม่เข้าใจ มันเป็นเพราะสมองที่โง่งม” ซวนเทียนยี่ไม่มีความอดทนและปล่อยมือจากเฟิงเซียงหรู เขาบัดผมออกเพื่อดูใบหน้าที่บวม เมื่อเห็นมัน เขาอดไม่ได้ที่จะหดหู่ใจ “มันบวมมาก แต่เจ้าทําราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น”

 

เฟิงเซียงหรูทําอะไรไม่ถูก “ข้าประคบน้ำแข็งแล้ว มันดีกว่าเดิมมาก”

 

“แล้วจะเป็นอย่างไรเมื่อมันไม่ดีขึ้น ?” ซวนเทียนยี่โกรธมาก “ดูเหมือนว่าข้าจะไม่ได้รับการชดเชยจากเขามากพอ

 

เฟิงเซียงหรูตกตะลึงอีกครั้ง “พระองค์เรียกร้องค่าชดเชย ? ” นางจําได้ว่าพี่รองของนางต้องการได้รับค่าชดเชยสําหรับไข่มุก !

 

“ไร้สาระ !” ซวนเทียนจ้องที่นางแล้วยิ้มอย่างชั่วร้าย “แค่รอดู ข้าจะช่วยให้เจ้าได้รับการชดใช้ที่ดี ด้วยสิ่งนี้ เซียงหรู เจ้าจะสามารถเดินไปพร้อมกับเชิดหน้าของเจ้า”

 

เซียงหรูผิดหวัง “พระองค์เป็นใคร? นอกจากนี้ทําไมข้าต้องเดินเชิดหน้า ? ข้าเคยฆ่าใครหรือเป็นคนจุดไฟ หรือร้านปักของข้ามีการเสียภาษีหรือไม่ ? ทําไมข้าไม่สามารถเดินโดยที่ต้องก้มหัวลง

 

น่าเสียดายที่ซวนเทียนยี่ไม่สนใจนาง และพูดกับบ่าวรับใช้ในพระราชวังที่อยู่ข้างเขา “ไปพาเจ้าเมืองหล่มาที่นี่เพื่อพบองค์ชายผู้นี้”

 

Related

ตอนที่ 703 เจ้าไม่ใช่องค์หญิงจี่อัน?

 

เฟิงหยูเฮงตระหนักถึงความเป็นไปได้ว่ามีปัญหากับชุด แต่ซูซื่อมอบชุดให้นาง นางไม่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับซูซื่อ ดังนั้นปัญหานี้มาจากไหน ?

 

เพิ่งหยูเฮงขมวดคิ้วและคิดอยู่พักหนึ่ง นางไม่ได้สนใจแม้แต่ตอนที่ซวนเทียนเก้อ และเฟิงเซียงหรูพูดเช่นเดียวกับที่นางกล่าวว่า “ข้าจะคุยกับท่านป้าใหญ่สักหน่อย เจ้าสองคนไปข้างหน้าก่ อน” หลังจากพูดอย่างนี้นางหันหลังกลับ และเดินไปทางด้านหลัง

 

เพิ่งเซียงหรูมองตามด้วยความสับสน อย่างไรก็ตามซวนเทียนจเก้อดึงนางกลับมา “เราเดินต่อกันเถิด พี่รองของเจ้ามีความคิดของนางเอง หากเราติดตามนาง เราจะทําให้นางเดือดร้อน”

 

เมื่อเปิงหยูเฮงจะไปถึงข้างซูซื่อ ซูซื่อดึงหลู่เหยาไปพร้อมกับกล่าวว่า “ห้องโถงสวรรค์ไม่สามารถเทียบได้กับอุทยานหลวง ท้ายที่สุดสถานที่ที่ฮูหยินและคุณหนูรวมตัวกันจะมีกฏผ่อนคลายมากขึ้น ห้องโถงสวรรค์มีขุนนางขั้นสูง องค์ชายและแม้แต่ฮ่องเต้ ทุกสิ่งที่เราพูดและทําจะต้องมีการพิจารณา เพียงจําไว้ว่าการพูดมากขึ้นจะนําไปสู่ข้อผิดพลาด ไม่ว่าคนอื่นจะทําอะไร เราแค่ต้องระวังปากของตัวเอง”

 

หลู่เหยาพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง และกล่าวว่า “ลูกสะใภ้จะจําคําสอนของท่านแม่เจ้าค่ะ”

 

ซูซื่อกล่าวว่า “มันไม่ถือว่าเป็นคําสอน มันเป็นเพียงการเตือน”

 

ในขณะที่แม่สะใภ้และลูกสะใภ้คุยกันว ฉันซื่อและเหมียวชื่อซ่อนตัวอยู่ด้านข้าง แน่นอนพวกนางไม่ได้รู้สึกเหินห่างกับซูซื่อ แต่พวกนางไม่ชอบหลู่เหยา เมื่อเห็นว่าเฟิงหยูเฮงมาถึงแล้ว ซูซื่อตบแขนของหลู่เหยา “ไปคุยกับสหายของเจ้า ข้าเห็นว่าเจ้าไม่มีโอกาสไปพบพวกนางตั้งแต่เข้ามาในพระราชวัง ข้ายึดเจ้าตลอดเวลาไม่เหมาะสมไปเถิด ! “

 

หลู่เหยาเหลือบมองดูที่เฟิงหยูเฮงแล้วพยักหน้า จากนั้นนางก็พูดกับซูซื่อด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณมากสําหรับความเข้าใจ ลูกสะใภ้จะไปหาสหายเพื่อพูดคุยกันซักพักก่อนที่จะมาดูแลท่านแม่เจ้าค่ะ” หลังจากพูดจบนางก็โค้งคํานับแล้วเริ่มมุ่งหน้าไปทางด้านหลัง

 

มีแต่ซูซื่อเท่านั้นที่ต้อนรับเฟิงหยูเฮงอย่างอบอุ่น และถามว่า “อาเฮง มีเรื่องอะไรหรือ ? ข้าเห็นว่าเจ้ากําลังเพลิดเพลินกับการเดินเล่นกับองค์หญิงหรูหยาง ดูเหมือนว่าเจ้าจะมาหาข้ากะทันหัน”

 

เฟิงหยูเฮงปลอบโยนนาง “ไม่มีอะไรสําคัญเจ้าค่ะ ข้าคิดว่าข้าไม่สามารถทิ้งท่านป้าไว้ที่นี่ได้ ข้าควรกลับมาที่นี่และเดินไปกับท่านป้าสักพัก”

 

ทั้งสองคุยกันซักพักหนึ่ง และเฟิงหยูเฮงจงใจพูดคุยเรื่องชุดขณะที่นางแกล้งทําเป็นไม่รู้ และกล่าวว่า “การตัดเย็บชุดของท่านป้าดีจริง ๆ แม้แต่องค์หญิงหรูหยางก็ชื่นชมชุดนี้ดูดีมากเจ้าค่ะ”

 

ซูซื่อหัวเราะเมื่อได้ยินสิ่งนี้ และกล่าวว่า “ข้าใช้เวลาหลายวันในการตัดชุดนี้ ข้าคิดว่าเจ้าจะไม่ชอบ แต่การที่จะพูดตามความเป็นจริงการคิดถึงเด็ก ๆ ของแต่ละครอบครัวกําลังแข่งขันกันในเรื่องของความงาม ข้ารู้สึกว่าชุดนี้อาจขาดไปเล็กน้อยและไม่เป็นไปตามสถานะของเจ้า”

 

เฟิงหยูเฮงกล่าวว่า “ไม่มีการจัดเรียงอะไรเลย ชุดนี้ตัดโดยญาติเป็นชั้นของความใกล้ชิด สิ่งนี้ไม่เกี่ยวข้องกับสถานะ ท่านป้ารู้สถานการณ์ของตระกูลเฟิงและท่านแม่ของข้าด้วย ถ้าไม่ใช่เพื่อดูแลข้า บางทีข้าอาจจะไม่สามารถใส่ชุดที่เย็บโดยญาติได้เจ้าค่ะ”

 

เมื่อนางพูดถึงเหยาซื่อ ซูซื่อก็รู้สึกหมดหนทาง ทั้งสองถอนหายใจซักพัก เฟิงหยูเฮงกล่าวว่า “ในตอนแรกข้ากังวลว่าหลู่เหยาจะอิจฉาชุดที่ท่านป้าทําให้ข้า แต่ตอนนี้ข้าเห็นนางสุภาพมากเมื่อพูดกับท่านป้า ทําให้ข้ารู้สึกสบายใจเจ้าค่ะ”

 

ซูซื่อยิ้มอย่างหงุดหงิด “เมื่อข้าตัดทําชุดเหล่านี้ แน่นอนนางก็เห็นและนางถามข้าว่าทําให้ใครเมื่อได้ยินว่าข้าทําให้เจ้า นางก็ช่วยข้าด้วย” ซูซื่อเป็นคนที่มีน้ำใจ หากนางสามารถหลีกเลี่ยงการคิดถึงคนที่ไม่ดี นางจะพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยง แม้ว่านางจะมีความรู้สึกไม่ดีบางอย่างเกี่ยวกับหลู่เหยา แต่นางก็จะไม่หลีกเลี่ยงการยกย่องนางเมื่อนางทําสิ่งที่ดี “ข้าคิดถึงความใจดีนี้ เมื่อนางรู้สึกเสียใจที่สร้างปัญหาให้เซียงหรูก่อนงานแต่งงาน”

 

เฟิงหยูเฮงไม่ได้พูดอะไรอีก นางไม่ได้ถูกขายโดยสมรู้ร่วมคิด แต่มีความจริงบางอย่างที่วางอยู่ตรงหน้านาง ถ้านางไม่ตื่นขึ้นมานางจะเป็นคนโง่นางมั่นใจแล้วอย่างสมบูรณ์ว่ามีปัญหาเกี่ยวกับชุดของนาง และปัญหานี้เกี่ยวข้องกับหลู่เหย้าอย่างแน่นอน

 

นางกับซูซื่อพูดคุยกันซักพักก่อนจะหาข้อแก้ตัวที่จะจากไป ก่อนจากไปนางมองไปที่หลู่เหยาและหลู่หยาน แม้ว่าพี่น้องทั้งสองอยู่ด้วยกัน แต่ก็ไม่มีการสื่อสารกันแม้แต่น้อย หลู่หยานจะมองดูข้าง ๆ ด้วยการดูถูกเหยียดหยามเป็นครั้งคราวเนื่องจากใบหน้าของนางเผยให้เห็นความดูถูกเหยียดหยาม

 

อย่างรวดเร็วพวกผู้หญิงมาถึงที่ทางเข้าของห้องโถงสวรรค์ ฮองเฮาก็รู้ว่าฮูหยิน และคุณหนูที่เพิ่งขี่ม้ามานั้นทําได้ไม่ดีนัก ด้วยความกลัวว่าพวกนางจะหมดสนุกกับงานเลี้ยง นางมีบ่าวรับใช้ในพระราชวังพาพวกนางไปที่ห้องโถงชั้นในเพื่อรับการดูแล เฟิงหยูเฮงใช้สิ่งนี้เพื่อหยุดพักชั่วคราว การหาสถานที่ที่ไม่มีผู้คน นางแอบเข้าไปในมิติของนางอย่างรวดเร็ว

 

เสื้อผ้าถูกถอดออกอย่างรวดเร็ว ดูอย่างระมัดระวังมากขึ้น ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรที่รอบคอ แต่เมื่อนางสัมผัสด้วยมือของนาง นางก็พบว่าดูเหมือนจะมีอะไรบางอย่างในปกเสื้อ ก่อนที่จะสวมใส่เสื้อผ้าเหล่านี้นางไม่ได้ตรวจสอบอย่างระมัดระวัง เป็นเพราะชุดนี้ซูซื่อเป็นคนให้ความไว้วางใจที่นางมีทําให้นางไม่ทันระมัดระวังตัว นางยังลืมไปว่าตอนนี้ตระกูลเหยามีหลู่เหยาอยู่ด้วย

 

เฟิงหยูเฮงใช้กรรไกรตัดคอเสื้อทันที มันคงจะไม่เป็นไรถ้ามันไม่ได้เปิด แต่เมื่อมันเกิดขึ้นนางก็พบว่ามีช่องว่างในคอเสื้อ

 

แต่กล่าวถึงสิ่งที่ทําให้คันไม่มาก มันเป็นเพียงแค่ขนแปรงจากพู่กัน แต่สิ่งที่ทําให้นางรู้สึกถึงความเจ็บปวดนั้นจริง ๆ แล้วคือเข็มนับไม่ถ้วน ! ไม่ยากเลยที่จะรู้ว่าความลับเหล่านี้นํามาจากเข็มเย็บผ้า การนับอย่างระมัดระวังมีมากกว่า 20 เล่ม

 

เฟิงหยูเฮงขมวดคิ้ว แม้ว่าสิ่งนี้จะสังเกตไม่ได้ แต่ก็ทําให้นางรู้สึกไม่สบายใจ มันเป็นเช่นนั้นนางรู้สึกไม่ดีในระหว่างงานเลี้ยงนี้ นอกจากนี้ซูซื่อยังเป็นคนตัดชุดให้ด้วย ด้วยการใช้ความรู้สึกที่นางมีต่อตระกูลเหยา ซูซื่อจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบนี้ได้ หลู่เหยา! นางมีความคิดที่ดีจริง

 

นางโยนเสื้อผ้าลงบนพื้นด้วยท่าทางโกรธก็โผล่ขึ้นมา ดูเหมือนว่านางจะให้อภัยหลู่เหยามากเกินไป บางคนไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา นางทนอีกฝ่ายได้เพราะเหยาซูครั้งแล้วครั้งเล่า อย่างไรก็ตามนางไม่เคยคิดเลยว่าความอดทนของนางจะได้พบกับความโหดเหี้ยม ภาพที่คมชัดเปล่งประกายผ่านดวงตาของเฟิงหยูเฮง นางไม่มีแผนที่จะให้อภัยผู้หญิงคนนั้นอีกต่อไป !

 

นางเปลี่ยนชุดที่นางเตรียมไว้ในห้องของนาง นางพบว่าไม่มีใครอยู่หลังจากที่นางออกจากมิติของนาง เฟิงหยูเฮงก็รีบไปที่ห้องโถงสวรรค์

 

ในเวลาเดียวกันเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่มาถึงช้าก็มาถึงที่ห้องโถงสวรรค์ภายใต้คําแนะนําของขันที วันที่มีท่าทางที่สับสนเล็กน้อย แต่เขาก็สุภาพกับผู้หญิงคนนี้มาก เมื่อพวกเขามาถึงผู้หญิงคนนั้นกล่าวว่า “เจ้าไปได้ ข้าจะเข้าไปเอง” ขันที่ไม่ได้คิดอะไร เขาเพียงแค่คํานับแล้วถอยกลับ

 

สําหรับเด็กผู้หญิง นางไม่ได้เข้าไปในห้องโถงสวรรค์ นางกลับไปลานด้านข้างและหยุดข้างหินเล็กน้อย ด้วยมือที่ทาบหน้าอก นางสูดหายใจเข้าลึก ๆ

 

นี่คือพระราชวังของฮ่องเต้ใช่หรือไม่ เสี่ยวหยามองไปที่ห้องโถงสวรรค์ที่อยู่ไม่ไกล เสียงเพลงสามารถเข้าไปในหูของนางอย่างชัดเจน เป็นครั้งคราวบ่าวรับใช้ในพระราชวัง และนางรําจะเคลื่อนไหวไปรอบ ๆ หน้าห้องโถง และมันก็มีชีวิตชีวามาก

 

เสี่ยวหยาตื่นเต้นมาก นี่เป็นครั้งแรกที่นางเข้ามาในพระราชวัง และนางก็มาเพราะเหยาซื่อคะยั้นคะยอนาง ความมั่นใจเล็กน้อยที่นางรวบรวมไว้ในขณะที่อยู่นอกพระราชวังนั้นถูกกําจัดไปแล้วอย่างสมบูรณ์โดยไม่เหลืออะไรเลย นางมาสาย เมื่อนางเข้าไป นางได้ยินบ่าวรับใช้จากสวนบอกว่าทุกคนไปที่คอกม้า ดังนั้นนางจึงรีบไปในทิศทางนั้น แต่เมื่อนางไปถึงที่นั่นนางได้ยินว่าฮองเฮานําทุกคนมาที่ห้องโถงสวรรค์ นางไปทันทีและพบบ่าวรับใช้ในพระราชวังเพื่อพานางไปที่ห้องโถงสวรรค์ นางไม่รู้ว่าทําไม แต่เมื่อวันที่เห็นนาง เขาก็เคารพนางมาก แม้แต่ความเคารพ และความกลัวก็มีอยู่บ้าง ตอนแรกเสียวหยาคิดว่าเป็นเพราะนางสามารถเข้ามาในพระราชวังได้ ซึ่งทําให้ขันทีรู้สึกว่าสถานะของนางสูงมากซึ่งทําให้พวกเขาทําแบบนี้ แต่หลังจากนั้นนางก็พบว่านี่ไม่ใช่เรื่องนั้น เหตุผลที่พวกเขากลัวและเคารพนางก็คือนางเหมือนเฟิงหยูเฮงจริง ๆ เพราะขันที่เหล่านี้เห็นเฟิงหยูเฮงที่สนามม้าก่อนหน้านี้พร้อมกับสิ่งที่นางสวมใส่ พวกเขาไม่ได้ทําผิดพลาดทันที ในที่สุดพวกเขาก็งงงวย พวกเขาไม่กล้ายอมรับมัน

 

หลังจากเสี่ยวหยาส่งบ่าวรับใช้ในพระราชวังออกไป นางก็ไม่กล้าเข้าไปในห้องโถง นางพบลานกว้างเพื่อนั่งพักผ่อน พระราชวังของฮ่องเต้นั้นใหญ่มากจริง ๆ นางออกจากประตูรุยไปที่อุทยานหลวง จากนั้นนางก็ย้ายจากอุทยานหลวงไปยังคอกม้า และจากคอกม้าไปยังห้องโถงสวรรค์ นางไม่เคยหยุดเคลื่อนไหว และเกือบจะเหนื่อยจากการเดิน หากต้องการเข้าสู่ห้องโถงแบบนี้จะขาดมารยาทเกินไป

 

เสี่ยวหยาได้วางแผนที่จะนั่งที่นั่นเพื่อพักหนึ่ง แต่ใครจะรู้ว่าก่อนที่นางจะสามารถกลั้นลมหายใจได้ นางเห็นผู้หญิงคนหนึ่งเดินผ่านลาน นางดูจะมีอายุประมาณ 13 หรือ 14 ปี และสวมชุดสีชมพู นางสวยมาก เด็กหญิงมองอย่างไม่ตั้งใจภายในลานและเห็นเสี่ยวหยา เด็กผู้หญิงที่มองผ่านได้รับความน่ากลัว ขาของนางสั้นขณะที่นางหยุดอยู่กับทางของนาง

 

หัวใจของเสี่ยวหยากระโจนเข้าไปในลําคอของนาง ขณะที่นางมองเด็กสาวเดินมาหานาง จากนั้นนางก็มองนางแล้วจ้องหน้านาง หลังจากนั้นครู่หนึ่งนางถามด้วยความสับสน “องค์…องค์หญิงจี่อัน ? ท่านเปลี่ยนชุดมาหรือเพคะ ?” หลังจากคิดไปเล็กน้อยเฟิงหยูเฮงก็เพิ่งขี่ม้ามาด้วยเหมือนกัน มีคนจํานวนมากที่จํานางได้ ดังนั้นการเปลี่ยนชุดจึงเป็นเรื่องปกติ ดังนั้นนางจึงคํานับอย่างมีความสุข “คารวะองค์หญิงจี่อันเพคะ ทําไมถึงมายืนอยู่ตรงนี้เพคะ ? ท่านไม่เข้าไปในห้องโถงหรือเพคะ ?” แปลก นางเคยพูดกับเฟิงหยูเฮงมาพักหนึ่งแล้ว ทําไมนางถึงรู้สึกไม่คุ้นเคยในตอนนี้ ? ราวกับว่ามันเป็นคนละคน แต่มันก็ไม่สมเหตุสมผล เห็นได้ชัดว่าเป็นใบหน้าของเฟิงหยูเฮงอย่างชัดเจน

 

หลู่หยานสับสนอย่างมาก แต่สิ่งนี้ไม่ปรากฏบนใบหน้าของนาง นางคว้าเสียวหยาอย่างอบอุ่นมาพูดคุยกันเป็นเวลานาน เป็นผลให้ยิ่งพวกนางพูดคุยมากเท่าไหร่บรรยากาศก็ยิ่งอึดอัดมากขึ้นเท่านั้น ในขณะที่นางยังพูดต่อไป หญิงสาวที่นางเรียกว่าองค์หญิงจี่อันก็ดูงุนงงไร้ประโยชน์ นางสามารถได้ยินทุกอย่าง แต่ไม่ได้ให้คําตอบเดียว บุคลิกนี้แตกต่างจากของเฟิงหยูเฮงมาก แม้ว่าเฟิงหยูเฮงจะไม่สนใจคนที่นางดูถูก พวกนางยังคุยด้วย

 

หลู่หยานค่อย ๆ เริ่มตระหนักว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง เมื่อมองดูคนที่อยู่ตรงหน้านางอย่างถี่ถ้วนนางพบว่านางดูเหมือนจะผอมกว่าเฟิงหยูเฮงเล็กน้อย นางดูเหมือนจะสูงขึ้นเล็กน้อย ทรงผมก็แตกต่างกันเช่นเดียวกับการแต่งหน้า เฟิงหยูเฮงมีเวลาที่จะเปลี่ยนชุดในช่วงเวลาสั้น ๆ นางจะทําผมของนางใหม่ เปลี่ยนเครื่องประดับของนาง และแต่งหน้าด้วยเครื่องประทินผิวของนางได้อย่างไร สิ่งต่าง ๆ ออกไปมากเกินไป

 

ใบหน้าของนางกลายเป็นเคร่งขรึม ในที่สุดความคิดที่กล้าหาญปรากฏขึ้นในใจของนาง “เจ้าไม่ใช่องค์หญิงจี่อันหรือ ? ”

 

เสี่ยวหยาตอบว่า “ข้าไม่เคยพูดว่าข้าเป็นองค์หญิงจี่อัน”

 

“แล้วทําไมเจ้าไม่บอกข้าในขณะที่ข้ากําลังพูดอยู่”

 

“เจ้าพูดตลอดเวลา ข้าไม่มีโอกาสพูด ข้าจะปฏิเสธมันได้อย่างไร”

 

หลู่หยานตกใจมาก แต่นางก็จําเรื่องได้เช่นกัน นางเคยได้ยินบิดาของนางบอกกับมารดาของนาง ดูเหมือนว่าเขาจะพูดถึงเด็กผู้หญิงที่ดูคล้ายกับองค์หญิงจี่อันได้ปรากฏตัวขึ้น และนางได้รับการยอมรับจากเหยาซื่อในฐานะบุตรสาวของนางเอง นางถูกพาตัวไปบ้านอีกหลัง

 

“เจ้า” หลู่หยานถามนางอย่างลังเล “เจ้าคือนางหรือ ? ”

 

Related

ตอนที่ 702 ทําให้เจ้าสับสนอย่างสิ้นเชิง

 

ทุกคนมองเฟิงหยูเฮงพลิกเปิดหนังสือเล่มเล็ก ๆ จากนั้นเริ่มอ่านชื่อที่เขียนไว้ พวกนางไม่ใช่ใครนอกจากคุณหนูที่พูดสิ่งเลวร้ายเกี่ยวกับเฟิงหยูเฮงที่อยู่นอกทางเข้าพระราชวัง

 

มีคนไม่มากนัก แต่หลังจากที่หนังสือเล่มนี้ถูกปิดลง คนเหล่านั้นที่ถอนหายใจโล่งอกก็ถูกจู่โจมทันที เพิ่งหยูเฮงกล่าวว่า “ยังมีอีกไม่กี่ชื่อที่ข้าจะเรียก”

 

ดังนั้นทุกคนตั้งแต่องค์หญิงเจ็ดแห่งกูซูไปจนถึงฮูหยินแห่งมณฑลหลานโจว, เจียงซื่อ รวมถึงบรรดาคนที่ยั่วยุให้นางร่ายรํามากกว่า 20 คน เมื่อเพิ่มกลุ่มก่อนหน้านี้มีการเรียกรวมทั้งหมด 35 คน มีทั้งบรรดาฮูหยินและคุณหนูที่เข้าร่วม

 

เมื่อเห็นว่าเฟิงหยูเฮงหยุดลง จํานวนผู้เข้าร่วมถูกกําหนดไว้ ซวนเทียนเก้อกล่าวว่า “อย่ายืนเฉย ๆ ด้วยความสับสน มาเลือกม้าตัวเองเร็ว องค์หญิงได้ขี่ม้ามานานแล้ว พวกเจ้าจะให้ข้ารอนานแค่ไหน ? ”

 

เมื่อพูดถึงองค์หญิงหยาง ไม่มีอะไรที่คนพวกนี้จะทําได้ พวกนางทําได้แค่กัดฟันทน!

 

แต่ฮูหยินและคุณหนูเหล่านี้ยังไม่สูงเท่าม้า ดูม้าตัวสูง ไม่ต้องพูดถึงการขี่มัน พวกนางอาจไม่สามารถปีนขึ้นไปบนหลังม้าได้ สิ่งนี้จะดีได้อย่างไร

 

แต่แม้ว่าจะไม่มีอะไรที่พวกนางสามารถทําได้ บ่าวรับใช้ที่คอกม้าก็มีลูกเล่นมากมาย ดังนั้นที่วางเท้าถูกนําออกมาเพื่อให้ความช่วยเหลือแก่พวกนาง ดังที่พวกนางกล่าวว่า “ฮูหยินและคุณหนูใช้สิ่งเหล่านี้เพื่อขึ้นม้าเจ้าค่ะ”

 

คําพูดเหล่านี้ทําให้หัวใจของผู้ที่ต้องการใช้ข้ออ้างที่ไม่สามารถขี่ม้าได้สลายไปในที่สุด

 

ในที่สุดเมื่อพวกนางขี่ม้า พวกนางพบว่าพวกนางไม่สามารถนั่งได้อย่างมั่นคง ตราบใดที่ม้าเคลื่อนไหวแม้เล็กน้อย พวกนางก็จะเริ่มกรีดร้อง คนที่ไม่กล้ามาก ๆ ก็เริ่มร้องไห้

 

เฟิงหยูเฮงขมวดคิ้วขณะมองดูพวกนาง และถามด้วยความสับสน “เจ้าร้องไห้ทําไม ? เจ้าขี่ม้าได้ดีกว่าองค์หญิงผู้นี้ ในขณะร่ายรําข้าก็ยังไม่ร้องไห้ เจ้าจะร้องไห้ทําไม ?”

 

ซวนเทียนเก้องงงวย “อาณาจักรต้าชุนก่อตั้งขึ้นบนหลังม้า เริ่มจากกลุ่มแรก มันถูกสร้างขึ้นมาหลายชั่วอายุคนโดยไม่คํานึงว่าพวกเขาเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง ตอนนี้โลกอยู่ในความสงบแล้ว พวกเจ้าก็พากันลืมเลือนเรื่องนี้ !”

 

องค์หญิงหรูหยางและองค์หญิงจี่อันต่างก็พูด เมื่อถึงตอนนั้นเด็กสาวที่ร้องไห้ก็พยายามกลั้นเสียงร้องไห้ไว้ได้ แต่ความกลัวก็ยังอยู่ที่นั่น นี่เป็นครั้งแรกที่พวกนางนั่งบนหลังม้าและต้องบอกว่า

 

พวกนางกําลังนั่งอยู่กับสิ่งมีชีวิต มันน่ากลัวมาก พวกนางไม่ได้รับอนุญาตให้ร้องไห้และหลับตาเพื่อรอความตาย

 

องค์หญิงเจ็ดแห่งกูซูไม่คิดว่าม้าแข่งน่ากลัวเป็นพิเศษ นางไม่เคยขี่ม้ามาก่อน แต่นางเคยขี่อูฐในทะเลทรายมาก่อน นั่นจะทําให้มันสูงกว่าม้า มันวิ่งได้ค่อนข้างเร็ว นางจึงไม่ตกใจกับม้ามากเกินไป ดังนั้นนางจึงถามเพิ่งหยูเฮงอย่างเย่อหยิ่ง “เราจะแข่งขันได้อย่างไร ?”

 

เฟิงหยูเฮงเปล่งเสียงของนางแล้วบอกทุกคนว่า “มันง่ายมาก วิ่งรอบสนาม 5 รอบ และเราจะดูว่าใครทําสําเร็จก่อน”

 

องค์หญิงแห่งกูซูพยักหน้า “แล้วมีรางวัลหรือไม่ ?”

 

เฟิงหยูเฮงถามว่า “รางวัลอะไร ? ”

 

“รางวัลสําหรับการแข่งม้า !”

 

เฟิงหยูเฮงส่ายหัว “ไม่มีเลย มันเหมือนกับการร่ายรําของเจ้า มันเป็นแค่ประสิทธิภาพ

 

ผู้คนที่ได้ยินสิ่งนี้พูดไม่ออก ตระหนี่ !

 

แต่เฟิงหยูเฮงยังคงต้องคํานึงถึงความปลอดภัยของฮูหยินและคุณหนู ดังนั้นนางจึงมีหัวหน้าอาจารย์สอนผู้เข้าร่วมถึงพื้นฐานของการขี่ม้าอย่างจริงจัง นอกจากนี้นางยังจัดให้มีบ่าวรับใช้สาวคนหนึ่งที่ทํางานกับฮูหยินและคุณหนูแต่ละคนเพื่อป้องกันพวกเขา

 

แต่ในเวลาเดียวกันนางบอกกับทุกคนว่า “อย่ารู้สึกว่าเพียงเพราะเจ้ามีใครบางคนด้านล่างเพื่อปกป้องเจ้า เจ้าจึงไม่ต้องกังวล เจ้าต้องคิดเกี่ยวกับชื่อเสียงของตระกูลเจ้า ไม่สามารถขี่ม้าได้เจ้าล้มและต้องถูกสัมผัสโดยบ่าวรับใช้ในพระราชวัง ช่างเป็นเรื่องที่ช่างคิดผิดจริง ๆ !” หลังจากที่นางพูดอย่างนี้นางก็อมยิ้ม ซวนเทียนเก้อดูทั้งสองแล้วก็หันเหความสนใจของพวกนาง และทําให้ม้าของพวกนางเคลื่อนไหว ในพริบตาพวกนางก็วิ่งหนีไป

 

เมื่อหัวหน้าอาจารย์ของคอกม้าเห็นว่าเจ้านายทั้งสองได้เริ่มขึ้นแล้ว เขาก็กระตุ้นให้บ่าวรับใช้ในพระราชวังเริ่มตั้งม้าให้ฮูหยินและคุณหนูที่กําลังขี่ม้าอยู่ องค์หญิงเจ็ดแห่งกูซูไม่ต้องการการปกป้องในขณะที่นางรีบไปข้างหน้าด้วยตนเอง แม้ว่านางจะไม่เคลื่อนไหวเร็วเท่ากับกลุ่มของเฟิงหยูเฮง แต่นางก็ไม่ได้เคลื่อนไหวช้า

 

เร็วมาก พวกนางวิ่งจนครบรอบ แต่ก็พบว่าม้าที่ถูกขโดยฮูหยินและคุณหนู พวกนางช้าราวกับว่าพวกนางกําลังเคลื่อนที่ผ่านถนนที่แออัด คนที่ไม่กล้ายังไม่ชิน แต่คนที่โดดเด่นกว่าก็คุ้นเคยกับการขี่ม้าอยู่แล้ว ดังนั้นพวกนางจึงไม่ได้คิดมาก ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดพวกนางไม่ได้วางแผนที่จะแข่งขันเป็นครั้งแรกหรือครั้งที่สอง และไม่มีรางวัลจริง แค่ขี่ม้า 5 รอบก็ค่อนข้างดี ดังนั้นทั้งกลุ่มจึงขี่เป็นกลุ่ม พวกนางเริ่มคุยกัน

 

ซวนเทียนเก้อกล่าวว่า “นี่ไม่ดีเลย มันเหมือนกับการเดินผ่านตลาดบนถนน ประเด็นคืออะไร

 

เฟิงหยูเฮงพยักหน้า “ที่จริงมันดูไม่เหมาะเกินไป” นางรีบไปที่หน้ากลุ่มแล้วมองย้อนกลับไปนางกล่าวว่า “ดูเหมือนว่าม้าที่ได้รับเลือกจากฮูหยินและคุณหนูจะไม่แข็งแรง องค์หญิงจี่อันและองค์หญิงหรูหยางขี่ไป 1 รอบแล้ว แต่เจ้าเดินได้เพียงไม่กี่ก้าว ดูเหมือนว่าเราต้องคิดว่าทําอะไรบางอย่างที่จะกระตุ้นม้าพวกนี้ หวงซวน ! ” นางสั่งบ่าวรับใช้ของนาง “ไปดูว่าทําไมม้าพวกนั้นถึงไม่วิ่ง หากพวกมันเป็นม้าแก่ ช่วยเปลี่ยนม้าด้วย หากม้าขี้เกียจก็ใช้แส้กระตุ้น ข้าต้องการดูว่าตัวไหนไม่กล้าวิ่ง !”

 

เมื่อคําเหล่านี้ออกมาหวงซวนก็ไปตีม้า และตั้งให้ม้าวิ่ง

 

คนที่นั่งบนม้าส่งเสียงกรีดร้องออกมาอย่างน่าตกใจ แต่เมื่อบ่าวรับใช้ในพระราชวังสนับสนุนพวกนางจากด้านล่างจึงไม่กลัวที่จะล้ม ยิ่งไปกว่านั้นหวงซวนรู้ว่าอะไรเหมาะสมและไม่ได้ชักม้าแรงเกินไป สิ่งนี้ทําให้มั่นใจได้ว่าม้าจะไม่วิ่งเร็วเกินไป แต่จะทําให้การขี่เป็นหลุมเป็นบ่อเล็กน้อย ฮูหยินและคุณหนูจะต้องอดทนต่อความยากลําบากเล็กน้อย แต่ถ้าพูดถึงการล้มมันจะไม่ง่ายนัก

 

เมื่อสิ่งต่าง ๆ ดําเนินต่อไป ผู้คนจํานวนมากก็เริ่มกระเด็นกระดอนบนหลังม้า เฟิงหยูเฮงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “นี่สิดูคล้ายกับม้าแข่ง” นางจึงดึงซวนเทียนเก้อ และทั้งสองก็ยังคงวิ่งต่อไป

 

ในที่สุดทั้งสองก็จบรอบที่ห้า ไม่นานองค์หญิงแห่งกูซูก็เสร็จสิ้นการแข่งขัน แต่ฮูหยินและคุณหนูยังไม่จบรอบสองเลย พวกนางเห็นว่าเฟิงหยูเฮงเสร็จสิ้นแล้วและหวังว่าการแข่งขันครั้งนี้จะจบลง แต่เมื่อพวกนางกลับไปที่จุดเริ่มต้นและกําลังเตรียมพร้อมที่จะหยุด พวกนางได้ยินเสียงฮองเฮากล่าวขึ้นว่า “ขี่ต่อให้ครบทั้งห้ารอบ องค์หญิงจี่อันไม่รู้การร่ายรํา แต่นางก็ยังคงร่ายรําจนจบการแสดง ทําไมเมื่อถึงตาเจ้า เจ้าจะไม่สามารถทนกับความลําบากได้หรือ”

 

ผู้คนได้ยินสิ่งนี้ ต้องขี่ม้าต่อเช่นกัน !

 

หลังจากครบห้ารอบ ก้นของพวกนางเริ่มระบม ทุกคนจะต้องถูกปลดออกจากม้าโดยบ่าวรับใช้ในพระราชวังและบ่าวรับใช้ส่วนตัว หลังจากสัมผัสพื้นดินอีกครั้ง พวกนางไม่สามารถทนได้อีกต่อไป ขาของพวกนางมั่นและบางคนคุกเข่าลงบนพื้นร้องให้ว่าเจ็บปวดแค่ไหน

 

เพิ่งหยูเฮงมองคนเหล่านั้นอย่างเย็นชา แต่ใครจะรู้ว่าพวกนางรู้สึกกล้าหาญหรือมีสติสัมปชัญญะทรุดตัวลงอย่างกะทันหันในขณะที่บางคนก็ตะโกนว่า “องค์หญิงจี่อันไม่ยุติธรรม ! ทําไมเราถึงเป็นคนเดียวที่ถูกเรียกชื่อ ? ท่านยังมีน้องสาวอีก 2 คน ดังนั้นทําไมพวกนางถึงไม่มีส่วนร่วมในการแข่งขัน ?”

 

เมื่อได้ยินแบบนี้ มีอีกคนเห็นด้วยทันที “ใช่แล้ว! นี่เป็นการแก้แค้นที่จงใจอย่างชัดเจน !”

 

“โอ้ ? ” เฟิงหยูเฮงกลายเป็นคนใจกล้า “แก้แค้น ? หากบอกว่าเป็นการแก้แค้น เจ้าต้องทําสิ่งที่สมควรทําให้ถูกแก้แค้นก่อน บอกมาว่าพวกเจ้าทําอะไร ?”

 

พวกนางทําอะไร? พวกนางกล้าพูดอย่างไร เป็นไปได้ไหมที่พวกนางจะพูดว่าพวกนางพูดเรื่องเลวร้ายเกี่ยวกับองค์หญิงจี่อันลับหลังนาง ? หรือพวกนางจะบอกว่าพวกนางต้องการเห็นองค์หญิงจี่อันถูกบังคับให้ขึ้นไปร่ายรําบนเวที หลังจากคิดมานาน พวกนางไม่สามารถพูดอะไรได้ ดังนั้นพวกนางจึงก้มหน้าลง

 

แต่เฟิงหยูเฮงให้คําอธิบายเกี่ยวกับน้องสาวสองคนของนางที่ไม่ได้เข้าร่วมแข่งม้า “น้องสาวสองคนของข้าไม่ได้เข้าร่วมการแข่งม้าด้วยเหตุผลเดียวกันกับที่พวกนางไม่ได้มีส่วนร่วมในการร่ายรํา พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าทําไม ? เจ้าต้องคิดให้ถี่ถ้วนและตระหนักว่าทําไมเจ้าถึงต้องเข้ามาในพระราชวังเพื่อมีส่วนร่วมในการแสดงเหล่านี้ ทุกคนที่นี่เป็นผู้หญิง ไม่เข้าใจอย่างลับ ๆ ในขณะที่แกล้งไม่รู้ ความคิดของเจ้าชัดเจนมาก สําหรับน้องสาวสองคนของข้า น้องสาวคนหนึ่งได้รับสิทธิ์ในการตัดสินการแต่งงานของนางเองจากเสด็จพ่อ น้องสาวอีกคนได้หมั้นกับองค์ชายในฐานะว่าที่พระชายาเอก อะไรคือจุดสําคัญของการขึ้นเวที่ 2 ข้ากําลังทําสิ่งนี้เพื่อเจ้า สิ่งนี้จะทําให้มั่นใจได้ว่าน้องสาวของข้าจะไม่แย่งชิงกับเจ้า”

 

หลังจากที่นางพูดจบ นางเห็นพวกนางมองหน้ากันอย่างหวาดกลัว ซวนเทียนเก้อกล่าวเสริมว่า “อย่าเพิ่งยืนที่ออยู่อย่างนั้น รีบมาขอบคุณองค์หญิงจี่อัน !”

 

ไม่มีอะไรที่สามารถทําได้ นอกจากการยอมรับภัยพิบัติครั้งนี้ไม่มีอะไรที่พวกนางสามารถทําได้ ดังนั้นพวกนางจึงคุกเข่า และคํานับกล่าวว่า “ขอบคุณองค์หญิงจี่อันมากที่แสดงความสงสารพวกเราเจ้าค่ะ”

 

เฟิงหยูเฮงพยักหน้าและไม่ได้พูดอะไรกับพวกนาง เมื่อหันไปนางก็เดินไปที่ฮองเฮาแล้วก็ทักทายด้วยรอยยิ้ม ” พระองค์เห็นอะไรบางอย่างที่น่าหัวเราะหรือไม่เพคะ ?”

ฮองเฮาส่ายหัว “อาเฮงหนักแน่นและมีเหตุผลมาก ความเย่อหยิ่งนี้จะมาจากพวกนาง” หลังจากที่นางพูดบ่าวรับใช้ในพระราชวังที่อยู่ข้างๆ นางได้เตือนนาง จากนั้นนางก็กล่าวว่า “ข่าวมาจากห้องโถงสวรรค์ เขากล่าวว่าฮ่องเต้ได้เสร็จสิ้นการพิจารณาคดีของราชสํานักแล้ว และได้เรียกให้เราไปหา”

 

เพิ่งหยูเฮงกล่าวอย่างรวดเร็ว “คอกม้าอยู่ใกล้กับห้องโถงสวรรค์มากกว่าสวน เช่นนั้นแล้วเราก็ตรงไป !”

 

ฮองเฮามีความเห็นสอดคล้องกันโดยธรรมชาติ ดังนั้นทั้งกลุ่มจึงมุ่งหน้าไปยังห้องโถงสวรรค์ การเดินทางครั้งนี้ไม่ได้ผ่อนคลายเหมือนเมื่อพวกนางออกจากสวนโดยเฉพาะอย่างยิ่งฮูหยิน และคุณหนูที่ต้องขี่ม้า พวกนางทุกคนเดินกะเผลกหรือพึ่งพาบ่าวรับใช้เพื่อก้าวไปข้างหน้า บนใบหน้าของพวกนาง เครื่องประทินผิวก็เริ่มหายไป ผมของพวกนางยุ่งเล็กน้อย พวกนางทั้งหมดดูเหมือนจะอยู่ในสภาพที่แย่มาก จิตใจของพวกนางแทบสลายจากการร้องไห้ !

 

แน่นอนคนที่ได้รับความเดือดร้อนนี้เป็นผู้ที่มาจากนอกเมืองหลวง คุณหนูจากตระกูลขุนนางในเมืองหลวงแอบหัวเราะเยาะในใจ พวกนางไม่ได้รับความทุกข์ทรมานใด ๆ จากน้ำมือขององค์หญิงจี่อัน พวกนางจะไม่ทําผิดแบบเดิมอีกต่อไป มันเป็นแค่คนเหล่านี้จากข้างนอกโดยเฉพาะพวกที่มาจากทางใต้ซึ่งพวกนางเคยได้ยินนั้นเป็นคนโง่ พวกนางมีชีวิตที่หยิ่งยโสมากกว่าในเมืองหลวง พวกนางจําเป็นต้องรู้ว่าเมืองหลวงนั้นแตกต่างจากที่อื่น ความหยาบคายและไร้เหตุผลนั้นไม่มีจุดหมาย ในเมืองหลวงมีคนหยาบคายและไร้เหตุผลมากกว่าพวกนาง เจ้าเมือง ? เจ้าเพิ่งค้นพบว่าขั้นของเจ้าต่ำหลังจากมาถึงเมืองหลวงแล้ว !

 

ชั่วครู่หนึ่งผู้คนมีความคิดทุกอย่าง แต่เฟิงหยูเองไม่ได้มีความสุขเป็นพิเศษ มันไม่มีเหตุผลอื่น ด้านหลังคอของนางยังรู้สึกคันเล็กน้อย เมื่อนางร่ายรําก่อนหน้านี้ นางเปลี่ยนชุดที่นางใส่อยู่ในปัจจุบันและการคันก็หายไปหลังจากนั้นไม่นาน แต่ตอนนี้นางเปลี่ยนชุดของนางแล้วขี่ม้ารอบสนาม ทําไมหลังคอของนางถึงเริ่มคันอีกครั้ง ไม่เพียงแต่จะทําให้คันแต่ยังมีอาการปวดเล็กน้อย เป็นไปได้หรือไม่ที่ชุดเหล่านี้

 

Related

ตอนที่ 701 แข่งม้ากันเถอะ

 

ฉากการร่ายรําของนางทําให้ผู้คนแตกตื่น เมื่อเฟิงหยูเฮงยืนขึ้นก็คงหนีไม่พ้นที่คนจะเริ่มคาดเดา นางกําลังจะทําอะไร ? เป็นไปได้หรือไม่ที่นางรู้สึกว่ามีความจําเป็นเร่งด่วนในการแสดงเดี่ยว ? สวรรค์ ใครก็ได้ห้ามนางที !

 

คราวนี้เฟิงหยูเฮงไว้หน้าอย่างมาก นางไม่ได้ขอให้นางได้รับอนุญาตให้ทําการร่ายรําเดียว อย่างไรก็ตามมันทําให้พวกนางรู้สึกว่ามันแย่กว่าการร่ายรําเดี่ยว “ฮองเฮาข้าคิดว่าบรรดาฮูหยินและคุณหนูได้แต่ร่ายรํา, ขับร้องและเล่นดนตรีเท่านั้น เราน่าจะเพิ่มการแสดงอื่น ตัวอย่างเช่น…การแข่งม้า !”

 

บางคนรู้สึกอยากจะหมดสติไปและบางคนก็ต่อสู้ทันที “ไม่ได้เพคะ !”

 

ฮองเฮาจ้องมองด้วยสายตาที่แหลมคม ดังเช่นที่พระสนมเชียนกล่าวว่า “เจ้ารีบพูด เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นฮองเฮาหรือ ?”

 

คําพูดเหล่านี้ทําให้บรรดาคุณหนูหวาดกลัวจนคุกเข่า นางคํานับและโขกศีรษะขออภัยซ้ำแล้วซ้ำอีก น่าเสียดายที่ไม่มีใครสนใจนาง ฮองเฮาจึงถามเฟิงหยูเฮง “เจ้าพูดถึงวิธีการแข่งแบบไหน ? ฟังดูเป็นเรื่องใหม่”

 

เฟิงหยูเฮงยิ้ม และกล่าวว่า “ไม่จําเป็นต้องเตรียมอะไรเป็นพิเศษเพคะ มันจะเป็นการดีกว่าถ้าทุกคนมุ่งหน้าไปที่ลุ่ม้า แค่แข่งม้าธรรมดาก็ดีเพคะ”

 

ฮองเฮาพยักหน้า “ข้ารู้สึกว่ามันดีมาก”

 

จากนั้นเฟิงหยูเฮงก็หันไปถามบรรดาฮูหยินและคุณหนู “ตอนนี้ถึงตาเจ้าแล้วที่จะพูด ทุกคนคิดว่าอย่างไร ?”

 

ครั้งนี้ไม่มีใครพูดหรือแม้แต่ส่งเสียง ในที่สุดบางคนถามอย่างเงียบ ๆ “ทําไมต้องแข่งม้า ? แค่ศิลปะการแสดงไม่ดีหรือเพคะ ?”

 

เฟิงหยูเฮงส่ายหน้า “ไม่ดี ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง ทุกคนควรพัฒนาในทุกด้าน ราชวงศ์ต้าชุนเท่านั้นที่สามารถทําสิ่งนี้ได้ล่วงหน้า”

 

อีกคนกล่าวว่า “แต่จุดประสงค์ของการแข่งม้าคืออะไร ? ที่นี่เราเป็นผู้หญิงทุกคน เป็นไปได้หรือไม่ที่เราจะไปสู่สนามรบในอนาคตเพคะ ?”

 

เฟิงหยูเฮงยังมีคําตอบ “ถ้าอย่างนั้นเจ้าบอกข้าว่าอะไรคือจุดที่ต้องแข่งขันขับร้องและร่ายรํา ? พวกเจ้าทุกคนเป็นคุณหนูจากตระกูลของผู้มีอํานาจ เป็นไปได้หรือไม่ที่เจ้าจะกลายเป็นนางรําในอนาคต”

 

ทุกคนส่ายหัว “ไม่แน่นอนเพคะ” นางกล่าวแบบนี้ พวกนางทุกคนคิดถึงคุณหนูที่น่ารัก พวกนางจะกลายเป็นนางรําได้อย่างไร ?

 

เฟิงหยูเฮงถามอีกครั้ง “เนื่องจากเจ้าจะไม่กลายเป็นนางรํา นั่นหมายความว่าการร่ายรํานั้นไม่มีประโยชน์อะไรเลย ทําไมเจ้ายังไปเรียนมัน ? ไปถามมารดาของเจ้าหรือผู้หญิงที่มีอายุมากกว่าในครอบครัวของเจ้า หลังจากแต่งงานกับครอบครัว พวกเขาร่ายรําบ่อยแค่ไหน ? พวกเขาร้องเพลงกันกี่ครั้ง ? พวกเขาเล่นเครื่องดนตรีกันกี่ครั้ง ? ”

 

ทุกคนพูดไม่ออก บรรดาฮูหยินพวกนั้นใบหน้าเป็นสีแดง การร้องเพลง การร่ายรําและเล่นเครื่องดนตรีเป็นสิ่งที่พวกนางคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดาสําหรับผู้หญิงที่จะเรียนรู้ ทําไมเป็นเช่นนั้นเมื่อเฟิงหยูเฮงพูดอย่างนี้ พวกนางดูเหมือนจะไร้จุดประสงค์โดยสิ้นเชิง ? แต่พวกนางมีข้อโต้แย้งอะไร ? มันเป็นอย่างที่นางพูด หลังจากแต่งงานแล้วพวกเขาร่ายรํากี่ครั้ง ? พวกเขาร้องเพลงกี่ครั้ง ? พวกเขาเล่นเครื่องดนตรีกี่ครั้ง ? เป็นไปได้หรือไม่ที่พวกนางจะบอกเฟิงหยูเฮงว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่พวกนางต้องการทําก่อนแต่งงานเพื่อให้ได้รับความรักจากผู้ชาย ?

 

มีคนที่คิดแบบนี้แต่ไม่มีใครพูด ในท้ายที่สุดผู้คนที่ต้องการโต้แย้งตัดสินใจหยุด ผลก็คือมันนําไปสู่การเยาะเย้ย “พวกเจ้าคิดถึงผู้ชายมากเกินไป ? ผู้ชายประเภทนี้จะสนใจในการร่ายรํา การร้องเพลง หรือเล่นเครื่องดนตรีของเจ้าเท่านั้น จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อมีวันหนึ่งที่เจ้าร่ายรําไม่ได้ ข้าจะบอกเจ้าว่าพวกเขาจะหาคนใหม่ พวกเขาจะมีคนใหม่เข้ามาแทนที่ตําแหน่งเดิมของเจ้า ดังนั้นเจ้าจะเข้าสู่รอบใหม่ของการแข่งขันที่จะไม่เหมือนในอดีต

 

คําพูดเหล่านี้เพิ่งถูกกล่าวว่าทําให้เกิดการเตือน แต่หลังจากที่คิดดี ๆ แล้ว นางพูดผิดหรือเปล่า ? ทุกสิ่งที่นางพูดนั้นถูกต้อง !

 

ตามมาทันทีนี้ เพิ่งหยูเฮงกล่าวเพิ่มเติมว่า “องค์หญิงจี่อันไม่รู้ว่าจะร้องเพลง หรือร่ายรําแต่อย่างไร แม้กระนั้นองค์ชายเก้ากับข้าก็มีความรู้สึกที่คล้ายกัน เจ้าคิดว่าองค์ชายเก้านั้นเลวร้ายยิ่งกว่าผู้ชายที่รู้วิธีชื่นชมการร้องเพลงและการร่ายรําหรือไม่ ?”

 

ใครจะกล้าพยักหน้า ยิ่งกว่านั้นแม้ว่าพวกนางต้องการพยักหน้า พวกนางไม่สามารถทําได้ ความสําเร็จของชวนเทียนหมิงเป็นที่รู้จักทั้งราชวงศ์ต้าชุน ไม่ต้องพูดถึงการมีส่วนร่วมก่อนหน้านี้ แม้ว่าจะมีการสู้รบก่อนหน้านี้ องค์ชายเก้าก็ไม่สนใจแม้แต่น้อย เขาสามารถทําลายข้อตกลงใด ๆ ที่เขาต้องการสําหรับองค์หญิงจี่อันซึ่งสามารถเข้ากับเขาได้ในระดับนี้ พวกนางต้องยอมรับว่าองค์หญิงจี่อันมีความสามารถ

 

มีบางคนที่รู้สึกไม่สมถะและถามว่า “ถ้าอย่างนั้นเมื่อองค์หญิงจี่อันกล่าวสิ่งที่ท่านรู้ว่าจะมีประโยชน์ ให้เรารู้วิธีการแข่งม้า จะเป็นประโยชน์กับเราหรือไม่เพคะ ?”

 

“มันเป็นไปไม่ได้อย่างไร ? ” เฟิงหยูเฮงตอบอย่างเป็นธรรมชาติ “อย่างน้อยข้าเก่งในการขี่ม้าและศิลปะการต่อสู้ แล้วเจ้าล่ะ ? เจ้าไม่สามารถเป็นนางรําได้ อะไรคือจุดหมายที่เจ้าใช้เวลาทั้งวันในการร้องเพลงและร่ายรํา ?”

 

มันกลับมาอีกครั้ง ! ทุกคนถอนหายใจ เจ้าเลิกเอ่ยอ้างถึงเรื่องของนางรําได้หรือไม่ ?

 

ผลลัพธ์คือเฟิงหยูเฮงกล่าวเพิ่มเติม หรือบางทีเจ้าอยากบอกว่าเจ้าสามารถดูแลบ้านได้ จากนั้นมาแข่งขันกับข้า มาดูกันว่าใครทําได้ดีกว่าในการติดตามหนี้ ใครจะดีกว่าด้วยการคํานวณ และใครจะดีกว่าด้วยการวิ่งกลับบ้าน ?”

 

อีกไม่นานคนก็ไม่พูดอะไรอีกเลย แม้แต่คนที่กล้าพูดออกมาก็เงียบ หนี้นี้จะถูกชําระอย่างไร พวกนางไม่ได้อยู่ในฐานะเดียวกัน ! ทุกสิ่งที่องค์หญิงจี่อันกล่าวนั้นสมเหตุสมผล แต่เหตุผลนี้ไม่ใช่สิ่งที่พวกนางสามารถโต้เถียงได้ ผู้คนที่มีความเชื่อมั่นบางคนอยู่ในสภาพดี แต่คนที่คลั่งไคล้และคุณหนูที่อ่อนแอทางจิตใจได้เริ่มตั้งคําถามกับชีวิตของพวกนางแล้ว มีแม้แต่บางคนที่ตัดสินใจว่าพวกนางจะทุบเครื่องดนตรีเมื่อพวกนางกลับถึงบ้าน พวกนางจะไล่อาจารย์สอนการร่ายรํากลับไป และพวกนางจะไม่เชิญอาจารย์มาอีก พวกนางจะเริ่มเรียนรู้ศิลปะการต่อสู้ขณะที่เรียนรู้ที่จะทําการคํานวณ

 

เมื่อเห็นว่าไม่มีใครพูด บรรยากาศก็ค่อนข้างอึดอัด ในเวลานี้ซวนเทียนเก้อได้ริเริ่มที่จะยืนขึ้นและกล่าวพร้อมกับหัวเราะว่า “องค์หญิงรู้สึกว่าแนวคิดของการแข่งม้าค่อนข้างดี การนั่งที่นี่ทําให้ข้ารู้สึกเมื่อย องค์หญิงเห็นด้วยกับความคิดของการแข่งม้า และยินดีที่จะเข้าร่วม”

 

เฟิงหยูเฮงพยักหน้าและกล่าวกับทุกคนว่า “เจ้าพูดอะไรในระหว่างการร่ายรํา ? องค์หญิงหวู่หยางได้ขึ้นเวทีแล้ว เป็นไปได้หรือไม่ว่าองค์หญิงจี่อันมองว่าตัวเองอยู่เหนือองค์หญิงหรูหยาง ตอนนี้องค์หญิงจี่อันจะถามเจ้า องค์หญิงหรูหยางได้กล่าวว่านางจะเข้าร่วมการแข่งม้า เป็นไปได้หรือไม่ที่เจ้าคิดว่าตัวเองสูงกว่าองค์หญิงหรูหยาง ? จริง ๆ แล้วคุณหนูในปัจจุบันของตระกูลขุนนางก็ยิ่งดูหมิ่นมากขึ้นเรื่อย ๆ องค์หญิงผู้นี้ไม่รู้วิธีการร่ายรํา แต่ข้าถูกบังคับให้ร่ายรํา ตอนนี้องค์หญิงจี่อันต้องการแข่งม้า ทําไมเจ้าถึงบอกได้ว่าเจ้าไม่ต้องการ ? เจ้ามองสถานะของเจ้าว่าสูงกว่าองค์หญิงจี่อันและองค์หญิงหรูหยางอย่างแท้จริง !”

 

นี่เรียกว่ากรรม ! มันทําให้พวกนางไม่เพียงพูดไม่ออก แต่มันทําให้พวกนางรู้สึกตกใจ ในเวลานี้เองที่ฮองเฮากล่าวขึ้นว่า “ข้ารู้สึกว่าการแข่งม้าเป็นความคิดที่ดี”

 

พวกนางจะพูดอะไรอีก นี่ไม่ใช่เรื่องของว่าพวกนางต้องการหรือไม่ พวกนางเชื่อฟังหรือไม่ ดังนั้นทุกคนจึงยืนขึ้นและปฏิบัติตาม “พระองค์พูดถูกเพคะ”

 

ตั้งแต่นั้นมาก็ออกไปตามทางม้า !

 

ดังนั้นทุกคนจึงออกจากจัดงานเลี้ยงร้อยดอกไม้ และมุ่งหน้าไปตามทางม้า

 

ในช่วงเวลานี้คุณหนูได้เริ่มกังวลว่า “เราควรทําอย่างไร ? ข้าสวมชุดออกงานมาวันนี้ ข้าจะขี่ม้าได้อย่างไร ? ”

 

อีกคนหนึ่งพูดในเสียงที่ทําอะไรไม่ถูก “ใครไม่ใส่ชุดออกงาน ?”

 

“แต่ข้าไม่รู้ว่าจะขี่ม้าได้อย่างไร ! ข้าไม่เคยขี่มาก่อนเลย !”

 

“ใครจะรู้วิธีขี่ม้า ใครเคยขี่มาก่อนบ้าง !”

 

“ถ้าอย่างนั้นเราควรทําอย่างไร ?

 

ทุกคนเงียบไปสักพักก่อนที่จะมีใครคิดว่า “มีพวกเราหลายคน เราทุกคนไม่สามารถไปแข่งม้าได้ เป็นไปไม่ได้ที่จะมีม้าจํานวนมากให้เราขี่ใช่ไหม เมื่อเวลานั้นมาถึงพวกเราจะไม่มีเสียง ไม่มีใครเริ่ม และนางจะไม่ลากเราลงบนม้าอย่างเด็ดขาด”

 

ความคิดนี้น่าเชื่อถือ ดังนั้นทั้งกลุ่มจึงคิดว่าพวกนางจะเดินช้าลงเล็กน้อย มันจะเป็นการดีที่สุดที่จะอยู่ให้ห่างไกลจากองค์หญิงจี่อัน มันจะดีที่สุดถ้าพวกนางไม่สามารถมองเห็นนางได้

 

ภายในฝูงชน เฟิงเฟินไดผสมผสานความเป็นธรรมชาติเข้าด้วยกัน มีบางอย่างที่ต้องการได้รับข้อมูลภายในจากนาง ผลก็คือพวกนางทั้งหมดจะถูกปัดเป่าด้วยคําว่า “ไม่รู้” แต่พวกนางยังสามารถเห็นได้ว่าน้องสาวขององค์หญิงจี่อัน ซึ่งเป็นน้องสาวคนที่สี่ของตระกูลเฟิงไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่ดีนัก

 

มีคนจําได้ว่า “คุณหนูสี่ตระกูลเฟิงดึงดูดความสนใจขององค์ชายหาด้วยการร่ายรําของนางใช่หรือไม่ ? เมื่อคิดถึงเรื่องนี้และพูดถึงเรื่องนั้นโดยน้องสาวของนาง นางจะต้องรู้สึกไม่ดีใช่หรือไม่ ? ”

 

แน่นอนเฟิงเฟินใดรู้สึกอนาถ คนอื่นอาจไม่ชัดเจนเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของนางกับเฟิงหยูเฮง แต่นางจะทําตัวเองไม่ชัดเจนได้อย่างไร ! ไม่ต้องพูดถึงคําพูดก่อนหน้านี้ของเฟิงหยูเฮงที่อาจไม่ได้พุ่งเป้าไปที่นางโดยตรง แต่แม้ว่าพวกนางจะเป็น แต่ก็ไม่สามารถเป็นปกติได้อีกต่อไป ความสัมพันธ์พี่น้องของพวกนางมาถึงจุดที่พวกนางเกือบจะแตกหักกันต่อหน้าอื่น ๆ การดูถูกเหยียดหยามนี้จะพิจารณาอะไร ? แต่สิ่งที่เพิ่งเป็นไดเป็นห่วงคือ… “เจ้าไม่คิดว่าเฟิงหยูเฮงจะเรียกชื่อให้ขึ้นไปใช่หรือไม่ ? ” นางถามดงหยิงอย่างเงียบ ๆ “ข้าไม่รู้ว่าจะขี่ม้าอย่างไร แต่นางเกลียดข้า คงหนีไม่พ้นที่นางจะหักหน้าข้าในเวลาเช่นนี้”

 

ดงหยิ่งคิดเล็กน้อยและปลอบใจนางว่า “เมื่อบ่าวรับใช้คนนี้เห็น นางจะไม่ทํา คุณหนูรองอาจไม่เป็นมิตรที่บ้าน แต่นี่อยู่ข้างนอก ตราบใดที่คุณหนูไม่ใช้ความคิดริเริ่มที่จะทําให้นางอุ่นเคือง นางจะปกป้องชื่อเสียงของตระกูลเฟิงเจ้าค่ะ”

 

“ข้าหวังว่าจะเป็นเช่นนั้น !” เชิงเฟินไดไม่ได้มองโลกในแง่ดีเลย นางเคยปะทะกับเฟิงหยูเฮง ด้านนอกมากกว่าหนึ่งครั้ง เมื่อใดที่บุคคลนั้นเคยดูแลตระกูลเฟิง นางเคยดูแลความสัมพันธ์ในครอบครัวเมื่อใด

 

ทุกคนเดินเป็นเวลาครึ่งชั่วยามก่อนจะถึงลุ่ม้า ฮองเฮาและพระสนมของฮ่องเต้อยู่บนแคร์ไม้และไม่เหนื่อยล้า พวกนางยังไม่ได้ขี่ม้า แต่เพียงเดินเพียงลําพังทิ้งไว้ในสถานะนี้ น่องของพวกนางสั่น พวกนางจะขี่ม้าในภายหลังได้อย่างไร

 

เฟิงหยูเฮงและซวนเทียนเก้อเป็นคนแรกที่มาถึงสนามม้า ติดตามพวกนางคือกลุ่มฮองเฮา หลังจากนั้นก็คือเพิ่งเซียงหรู สมาชิกของตระกูลเหยา และบรรดาฮูหยิน แต่มองย้อนกลับไปได้ดีมากเป็นคนที่กลัว พวกนางอยู่ไกลและเดินช้า ๆ มีช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างพวกนาง

 

เฟิงหยูเองไม่สนใจพวกนางเพียงแต่จะเลือกม้ากับซวนเทียนเก้อ ทั้งสองเลือกม้าที่ดีจากนั้นก็ใส่อานโดยไม่พูดอะไรอีก การเคลื่อนไหวของพวกนางราบรื่นมาก

 

แม้ว่าซวนเทียนเก้อไม่รู้จักศิลปะการต่อสู้ แต่การขี่ม้าเป็นสิ่งที่เชื้อพระวงศ์ต้องเรียนรู้ตั้งแต่เด็ก นางจะไม่เสียเปรียบ

 

เมื่อทั้งสองขึ้นขี่ม้าและมองย้อนกลับไปผู้คนก็เคลื่อนไหวอย่างช้าๆ ในที่สุดก็มาถึง อย่างไรก็ตามพวกนางหยุดอยู่ค่อนข้างไกล ไม่ว่าจะพูดอะไรพวกนางก็จะไม่ก้าวไปข้างหน้า

 

เฟิงหยูเฮงงงงวย “ทําไมพวกเจ้าอยู่ไกล ม้าไม่ได้กินคน พวกเจ้ากลัวอะไร ? ”

 

ใครกลัวถูกม้ากิน ! ทุกคนบ่นในใจ อย่างไรก็ตามไม่มีใครกล้าพูดอย่างชัดเจน

 

เฟิงหยูเฮงมองคนเหล่านี้ที่ขาดโอกาสสดใส และไม่ต้องกังวล นางเอื้อมมือไปที่แขนเสื้ออย่างช้า ๆ และดึงหนังสือออกมา

 

“เนื่องจากเจ้าไม่มีความคิดริเริ่มในการก้าวมาข้างหน้า องค์หญิงผู้นี้สามารถใช้วิธีการที่ตรงกว่านี้ในการเชิญพวกเจ้าเข้าร่วมการแข่งขันนี้ จากนั้นทําตามนี้ เราจะขานชื่อ !”

 

Related

ตอนที่ 700 มาเถิดองค์หญิงผู้ยิ่งใหญ่คนนี้จะร่ายรําเพื่อเจ้า

 

ชวนเทียนเก้อตัวแข็งที่อ เฟิงหยูเฮงอยากร่ายรํา ? ทําไมนางถึงคิดแบบนี้ ? คําถามคือ “เจ้ารู้วิธีร่ายรําหรือ ? ”

 

เฟิงหยูเฮงยักไหล่ “ไม่ว่าข้าจะรู้หรือไม่ ถ้าข้าร่ายรําไม่เป็นก็แปลว่าข้าร่ายรําไม่ดีงั้นหรือ ?”หลังจากที่นางพูดจบ นางลุกขึ้นยืนและมองไปข้างหน้า

 

ผู้คนเห็นนางลุกขึ้นยืนก็หยุดพูดทันที พวกนางก็หยุดเคลื่อนไหว แม้แต่ฮองเฮา และพระสนมของฮ่องเต้ก็ยังแปลกใจเล็กน้อย พระสนมของฮ่องเต้ส่วนใหญ่ต้องการที่จะดูสิ่งที่น่าสนใจแต่ฮองเฮาก็รู้สึกขอโทษ “นั่นเอ่อ… เอ๊ะ อาเฮง ทุกคนแค่ล้อเล่น ไม่จําเป็นต้องจริงจังกับมันเลย”องค์หญิงจีอันไม่รู้ว่าจะร่ายรําได้อย่างไร แม้ว่านางจะไม่รู้เรื่องนี้อย่างชัดเจน แต่เฟิงหยูเฮงไม่เคยเข้าร่วมการแข่งขันร่ายรํามาก่อน เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ นางจะต้องไม่ชํานาญในสิ่งเหล่านี้

 

ฮองเฮากล่าวขึ้นเพื่อทําให้สิ่งต่าง ๆ ราบรื่นสําหรับเฟิงหยูเฮง แต่ก็มีบางคนที่ปฏิเสธที่จะก้าวลงจากนั้นพวกนางได้ยินองค์หญิงเจ็ดแห่งกูซูกล่าวว่า “มันเป็นเรื่องตลกจริง ๆ แต่องค์หญิงจีอันได้ยืนขึ้นแล้ว นั่นหมายความว่าองค์หญิงจีอันมีความปรารถนาเช่นนั้น เราไม่สามารถปฏิเสธนางได้”

 

ใบหน้าของฮองเฮาย่ําแย่ องค์หญิงแห่งกูซูมาโดยไม่มีเทียบเชิญแล้วก็น่ารําคาญพอแล้วตอนนี้นางกําลังต่อต้านเชิงหยูเฮงอย่างเปิดเผยในระหว่างงานเลี้ยงนี้ นางต้องการทําอะไร ?

 

ในขณะที่นางกําลังเตรียมพร้อมที่จะพูดเพื่อหยุดสิ่งต่าง ๆ นางได้ยินเฟิงหยูเฮงกล่าวว่า “ใช่เสิ่งที่องค์หญิงพูดนั้นถูกต้อง เจ้าไม่สามารถปฏิเสธข้าได้ ดังนั้นองค์หญิงผู้นี้จึงไม่สามารถปฏิเสธผู้อื่นได้เช่นกันร่ายรํางั้นหรือ ? เอาล่ะ” หลังจากที่นางพูดแล้วนางก็โค้งคํานับฮองเฮา “อาเฮงขอบคุณสําหรับความเข้าใจของพระองค์เพคะวันนี้เป็นเทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วงมันดีสําหรับ สิ่งต่าง ๆ ที่จะมีชีวิตชีวามากขึ้น โปรดอนุญาตให้อาเฮงเตรียมตัวสักครู่”

 

เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ไม่อาจถูกแก้ไขได้อีกต่อไป ฮองเฮาพยักหน้าและอนุญาตให้เฟิงหยูเฮงมุ่งหน้าสู่เวที

 

เมื่อเฟิงหยูเฮงจากไป ผู้คนเริ่มพูดคุยกันอีกครั้ง องค์หญิงจี้อันกําลังจะมีส่วนร่วมในการร่ายรํานี่ถือเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ! คนเหล่านี้เกลียดที่ไม่สามารถเรียกคนจากด้านหน้าของพระราชวังไปที่สวนน่าเสียดายที่พวกเขาคิดได้เท่านั้น ในท้ายที่สุดด้านนี้ถูกสงวนไว้สําหรับผู้หญิงที่จะเพลิดเพลินกับงานเลี้ยง ขุนนางจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไป

 

เฟิงหยูเองไม่ได้ใช้เวลาเตรียมตัวมากนัก อย่างรวดเร็ว เพลงเริ่มต้นและนางรําในเสื้อผ้าสีสันสดใสปรากฏขึ้น ผู้คนจ้องมองไปทางด้านหลังขณะกําลังรอให้บุคคลสําคัญปรากฏ แต่หลังจากรอคอย พวกเขาจ้องตรงไปข้างหน้า แต่ไม่เห็นแม้แต่เงาของเฟิงหยูเฮงแม้แต่น้อย !

 

บางคนกล่าวว่า “บางทีนี่อาจไม่ใช่การร่ายรํา องค์หญิงจีอันยังคงต้องเตรียมตัวอีกสักครู่และนี่ก็เพื่อเติมเต็มเวลา”

 

ผู้คนต่างพยักหน้าเห็นด้วยกับสิ่งนี้ “ถูกต้อง ! รอสักหน่อย อาจจะเป็นคนต่อไป หรือหลังจากนั้นอาจเป็นการแสดงขององค์หญิง”

 

แต่ก็มีบางคนที่แสดงความสงสัยว่า “หืม ? ดูสิทําไมดูเหมือนว่ามีบางคนดูคุ้นตาอยู่ตรงกลางของนางรํา ? ”

 

เมื่อสิ่งนี้ถูกเอ่ยขึ้นมา ความสนใจของทุกคนก็จับจ้องไปบนเวทีทันที เมื่อพวกนางเห็นจุดที่คุณหนูชี้ไปยังกลุ่มนักเต้น และกล่าวว่า “คนที่อยู่ตรงกลางดูเหมือนจะไม่สามารถร่ายรําตามจังหวะได้ ! แม้ในขณะที่หมุนนางหมุนผิดทาง”

 

เร็วมาก บางคนจําได้ว่า “ผู้หญิงตามจังหวะไม่ทัน” เพียงแค่ดูดี ผู้คนควันจะออกด้วยความโกรธ สิ่งนี้จะได้รับการพิจารณาเพียงเล็กน้อยไม่สามารถตามจังหวะได้ เห็นได้ชัดว่านางไม่มีจังหวะนางไม่สนใจดนตรีและนางมองไปที่นางรําที่อยู่ข้างนางซึ่งกําลังร่ายรํา บางครั้งนางจะแกว่งแขนของนาง เตะขาของนาง งอเอวแล้วทําตามนางรําไม่กี่ก้าวไปทางซ้าย และอีกไม่กี่ก้าวไปทางขวานี่อาจเป็นวิธีการร่ายรํา เห็นได้ชัดว่ามันเป็นไปตามกระแส ในขณะที่บางครั้งชนกับนางรําคนอื่นนางจะเหยียบเท้าของนางเองโดยไม่ตั้งใจ การร่ายรําที่ดีอย่างสมบูรณ์ก็ไม่เป็นระเบียบเพราะนางสะดุด ในตอนท้าย คนสองคนที่อยู่ด้านข้างของหญิงสาวก็สนับสนุนนางและชี้นํานาง บอกว่านางควรขยับเท้าซ้ายหรือเท้าขวาของนางเช่นนี้ในที่สุดฉากก็เสถียร

 

ในที่สุดผู้คนก็สามารถจําคนที่ “ผิดปรกติ” ได้ “นั่นคือองค์หญิงจี้อันใช่หรือไม่ ? ”

 

“ใช่นางจริง ๆ ด้วย”

 

“นางกําลังทําอะไรอยู่ ? ”

 

“ในคําพูดของนางเอง นี่เป็นการร่ายรํา”

 

“ สิ่งนี้เรียกว่าการร่ายรําได้อย่างไร ? ”

 

ผู้คนต่างเงียบงันในขณะที่ทุกคนกําลังรอให้คนแรกที่จะยั่วยุและเยาะเย้ยการร่ายรําขององค์หญิงจีอัน แต่ไม่มีใครพูด แม้แต่องค์หญิงเจ็ดแห่งกูซูก็ยังคงนิ่งเงียบ

 

ชวนเทียนเก้อชื่นชมสิ่งนี้ ! องค์หญิงจีอันดื้อรั้นจริงๆ นางก็ออกมาร่ายรําอย่างนั้นหรือ ? ร่ายรําไปกับภาพลักษณ์ที่แย่แบบนี้หรือ ? นางไม่อายเลยหรือ ? แต่นางไม่ได้อับอายจริง ๆไม่เพียงแต่ นางไม่อาย ดูรูปลักษณ์ของนางนางมีความสุขมาก ! เทียนหมานคิดว่าเรื่องแบบนี้ไม่ต้องพูดถึงองค์หญิงที่สง่างาม แต่ถึงแม้จะเป็นคุณหนูจากตระกูลใหญ่ก็ไม่กล้าทําสิ่งนี้ไม่ใช่หรือ ? แต่ทําไมใบหน้าขององค์หญิงจีอันจึงไม่เปลี่ยนเป็นสีแดง จิตใจของนางจะต้องเข้มแข็งขนาดไหน ?

 

หายนะของเฟิงหยูเฮงทําให้ทุกคนดูความรู้สึกแตกต่าง บรรดาฮูหยินและคุณหนูต่างรอคอยและเห็นว่าไม่มีใครเยาะเย้ยนาง ขณะที่มีใครบางคนกําลังจะขับไล่สิ่งต่าง ๆ น้องสาวที่อยู่ข้าง ๆ นางก็สะกิดนางเงียบ ๆ และกล่าวว่า “คนโง่ ไม่มีใครพูดอะไร เจ้ากําลังจะสร้างปัญหา ?”

 

คุณหนูคนนั้นรู้สึกว่านางมีความยุติธรรมอยู่ข้างนาง “คืออะไร ? การร่ายรําของนางแบบนี้เราไม่สามารถพูดอะไรได้เลยหรือ ?”

 

พี่สาวข้างนางกล่าวต่อ “เจ้าพูดได้ แต่เจ้าต้องดูความรู้สึกของคนรอบข้าง” ขณะพูด นางใช้คางของนางชี้ไปที่ผู้คน “เจ้าเห็นหรือไม่ ? ฮองเฮายิ้ม เจ้าคิดว่านั่นเป็นรอยยิ้มเย้ยหยันหรือไม่ ?นั่นเป็นรอยยิ้มที่ใจดีและรอยยิ้มที่น่ารัก รอยยิ้มแบบนี้หมายความว่าฮองเฮาไม่เพียงแค่ให้อภัยพระนางยังปล่อยวางมันเลย !”

 

เมื่อการวิเคราะห์นี้ออกมา คุณหนูคนนั้นก็ไม่กล้าพูดอะไรอีกแล้ว ในทั่วโลกฮ่องเต้และฮองเฮามีอํานาจมากที่สุด

 

การวิเคราะห์แบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่สิ้นสุดที่นี่ การแสดงออกของฮองเฮาเป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถมองเห็นได้ ดังนั้นมันจึงกระจายไปทั่ว ทุกคนสังเกตเห็นสิ่งนี้และสงบปากสงบคําของพวกนางพวกนางอดทนต่อแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นอย่างเงียบ ๆ ขณะที่พวกนางต้องบังคับตัวเองให้ดูการร่ายรํานี้

 

บางคนเริ่มสงสัยว่าองค์หญิงจีอันจะทําสิ่งนี้โดยเจตนาหรือไม่ ? การร่ายรําของนางเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร ในช่วงเวลาที่นางสามารถร่ายรําได้ต่อ นางก็ร่ายรําจบแล้ว 3 ครั้งคนอื่นๆ อาจขอเงินเมื่อร่ายรํา แต่การร่ายรําของเฟิงหยูเฮงนั้นมากเกินไป ! พวกนางเกือบจะจบลงด้วยการบาดเจ็บภายในจากการเฝ้าดู พวกนางไม่กล้าหัวเราะและไม่สามารถดูถูกมัน พวกนางจะทําอะไรได้บ้าง

 

ในที่สุดเฟิงหยูเฮงร่ายรําเสร็จแล้ว ทุกคนก็โล่งอกถอนหายใจนาน คิดกับตัวเองว่าในที่สุดการร่ายรําประหลาด ๆ นี้ก็จบลง องค์หญิงจีอันได้เมตตาพวกนาง ! บางคนเต็มไปด้วยอารมณ์จนไม่ชอบที่จะต้องคํานับเฟิงหยูเฮง

 

แต่เมื่อนางรําทุกคนถอยกลับไป ทุกคนก็งงงวย องค์หญิงจี้อันกําลังทําอะไรอยู่ ทําไมนางถึงไม่ออกไปด้วย ? นางยืนอยู่ตรงกลางเวทีเพื่อทําอะไร

 

เฟิงหยูเฮงกล่าวเช่นเดียวกับที่ทุกคนคาดเดา “นั่นเป็นการร่ายรําแบบกลุ่ม ข้าสงสัยว่ามันเป็นที่ชื่นชอบของทุกคนหรือไม่ พวกเจ้าคิดว่าอย่างไร?”

 

ฮองเฮาเกือบจะหัวเราะ นางมองด้วยความรัก “อะไรก็ตามที่อาเฮงทํานั้นดี”

 

ทุกคนที่ได้ยินสิ่งนี้รู้สึกไม่สบายใจ ฮองเฮาไม่สามารถพูดความจริงงั้นหรือ ?

 

แต่ฮองเฮาเชื่อว่าสิ่งที่นางพูดนั้นเป็นความจริง นี่คือวิธีการของเฟิงหยูเฮง ใครบอกให้เจ้าบังคับให้นางร่ายรํา ถ้านางไม่ร่ายรํา เจ้าก็จะสร้างปัญหา ถ้านางร่ายรําเจ้าก็จะไม่ชอบ การร่ายรําทั้งหมดจะต้องเป็นไปตามความชอบของเจ้าหรือไม่ ? เจ้าเป็นคนมองโลกในแง่ดีจริง ๆ

 

เช่นเดียวกับฮองเฮาที่กําลังบ่นอยู่ภายใน เชิงหยูเฮงกล่าวขึ้นอีกครั้ง ก่อนอื่นนางขอบคุณฮองเฮาที่ชม จากนั้นนางก็หันหลังกลับ และพูดสิ่งที่ทําให้พวกนางแทบสิ้นสติออกมา “นั่นคือการร่ายรํากลุ่ม มันอาจไม่เป็นที่ชื่นชอบของทุกคน เช่นนั้นแล้วข้าจะร่ายรําเดี่ยวเพื่อทุกคนชมต่อไป !”

 

“ไม่เป็นไรเพคะ ! ” ทุกคนพูดอย่างพร้อมเพรียง “องค์หญิงจี้อันทํางานหนัก องค์หญิงได้โปรดพักผ่อนก่อนเพคะ”

 

เฟิงหยูเฮงทําหน้าประหลาดใจ “พวกเจ้าจะไม่ดูหรือ ? การร่ายรําขององค์หญิงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นน้อยมาก หากพวกเจ้าพลาดโอกาสนี้ โอกาสอื่น ๆ ก็อาจจะไม่เกิดขึ้น ! พวกเจ้าแน่ใจหรือว่าพวกเจ้าไม่อยากดู ?”

 

“ไม่อยากดูเพคะ” ทุกคนโบกมือ “พวกเราไม่อยากดูแล้วเพคะ”

 

เฟิงหยูเฮงพยักหน้า ไม่เป็นไร นั่นคือสิ่งที่พวกคุณพูด โอ้ใช่แล้วเนื่องจากคุณไม่ต้องการที่จะดูการร่ายรํา องค์หญิงผู้นี้จะขับร้องเพลง เจ้าจะว่าอย่างไร หรืออาจจะบรรเลงเพลง ?”

 

“ ไม่จําเป็น ! ” ทุกคนอยากร้องไห้ พวกเขาคิดกับตัวเอง การแสดงของเจ้าเกือบจะทําให้เราเสียชีวิตใครจะกล้าฟังเพลงของเจ้า !

 

เฟิงหยูเฮงลงจากเวทีและเปลี่ยนชุดเสร็จ จากนั้นนางก็นั่งลงที่ด้านข้างของซวนเทียนเก้อ

 

ชวนเทียนเก้อมีรอยยิ้มที่ไม่สามารถซ่อนได้ นางยกถ้วยขึ้น นางกล่าวว่า “มีคนอย่างเจ้าที่นี่ดื่มให้กับการร่ายรําที่ไม่เหมือนใครของเจ้า !”

 

พวกเขาทั้งสองยกจอกสุราขึ้นมาจิบเล็กน้อย และเฟิงหยูเฮงก็สับสนและถามชวนเทียนเก้อ“มันคืออะไร ? การร่ายรําของข้าไม่ดีหรือ ?”

 

ชวนเทียนเก้อเบิกตากว้าง “ไม่แน่นอน เฟิงหยูเฮง เจ้าจริงจังหรือไม่ ? เจ้าไม่รู้ว่าการร่ายรําของเจ้าเป็นอย่างไรหรือ ?”

 

เฟิงหยูเฮงหัวเราะด้วย “แน่นอนข้ารู้ ทําไมข้าต้องไปยุ่งกับพวกนาง ในอนาคตไม่ว่างานเลี้ยงจะเป็นเช่นไร มันจะหยุดพวกนาง พวกนางไม่อยากให้ข้าแสดง”

 

ชวนเทียนเก้อพยักหน้า “ถูกต้อง คนเหล่านั้นต้องการชมการแสดง แต่ไม่กลัวสิ่งที่จะหลุดมือไป พวกนางแค่ต้องการดูคนอื่น ๆ ราวกับว่าพวกนางจะสามารถรับตําแหน่งองค์หญิงหากเจ้าไม่สามารถรักษามันไว้ได้ พวกมันไร้เหตุผลจริง ๆ”

 

“การมีเหตุผลไม่เป็นเรื่องปกติ” เชิงหยูเฮงกล่าวว่า “ดูสิ คนเหล่านี้มาจากทั่วทุกสารทิศเพื่อรวมตัวกันในเมืองหลวง หากไม่มีสิ่งรบกวนเล็กน้อย พวกนางจะกลับบ้านอย่างสบายใจได้อย่างไร แค่คิดถึงเจ้าเมืองหลานโจว และคิดถึงฮูหยินใหญ่ของเจ้าเมืองหลู่ พวกเขาไม่มีใครเป็นคนดีข้าหวังว่าพวกเขาจะไม่สร้างปัญหาใหญ่ บุตรสาวที่สร้างความวุ่นวายในพระราชวังก็ไม่เป็นไร ตราบใดที่ด้านหน้าของพระราชวังนั้นสงบสุขแม้ว่ามันจะเป็นเพียงแค่เปลือกนอกก็ตาม”

 

ชวนเทียนเก้อไม่สามารถเข้าใจเหตุผลนี้ได้เพราะนางถอนหายใจ “ข้าก็หวังเช่นนั้น ท่านพ่อของข้ากล่าวว่าแม้ว่าโลกนี้จะสงบสุข แต่สันติภาพของราชวงศ์ต้าชุนนั้นมีมายาวนานเกินไป ความเงียบสงบนี้จะนํามาซึ่งปัญหา บางทีคนรุ่นนี้อาจทําให้ความสงบเพียงเปลือกนอกถูกทําลายลงอาเฮงเจ้าต้องเตรียมตัว แม้ว่าเสด็จลุงจะชอบพี่เก้า แต่พี่น้องคนอื่น ๆ ของข้าก็ไม่ใช่คนที่จัดการได้ง่าย”

 

เฟิงหยูเฮงพยักหน้า “ข้ารู้ ลองทําทีละขั้นตอน มีบางสิ่งที่ไม่สามารถป้องกันได้แม้ในขณะเตรียมการ”

 

ชวนเทียนเก้อเตือนนาง รู้ว่านางเตรียมพร้อมแล้ว ดังนั้นนางจึงเปลี่ยนหัวข้อ และถามว่า “ตอนนี้พวกนางทําให้เจ้าร่ายรําแล้ว พวกนางก็สบายใจ เราไม่สามารถให้เจ้าร่ายรําเพื่ออะไรใช่หรือไม่ ?”

 

เฟิงหยูเฮงยิ้ม “โดยธรรมชาติเมื่อข้าเล่นกับพวกนาง ดังนั้นพวกนางจะต้องเล่นกับข้า !”

 

ขณะที่นางกล่าวมันเป็นช่องว่างระหว่างเพลง ผู้คนต่างเฝ้าดูด้วยความสยองขวัญ ขณะที่องค์หญิงจีอันยืนขึ้นอีกครั้ง

 

Related

ตอนที่ 699 ความผิดปกติที่ด้านหลังคอ

 

ถูกต้องแล้ว ! แม้ว่าเฟิงหยูเฮงจะไม่นับจํานวนครั้งที่นางลูบที่คอของนางแต่คอของนางกลับรู้ สึกคันมาก นางจึงพูดกับชวนเทียนเก้อ “ดูให้ข้าหน่อยข้ารู้สึกคัน มันจะดีที่สุดถ้าไม่มีอะไรติดอยู่ที่นั่น”

 

ชวนเทียนเก้อยื่นมือออกมาเพื่อลูบหลังคอ แต่ไม่รู้สึกอะไรเลยเมื่อนางลูบคอของนางเพื่อดูแม้ ดึงบนปกเล็กน้อยนางไม่พบอะไรเลยนางอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วและกล่าวว่า “อาจจะเป็นเพราะผมข้าบัดให้แล้ว”

 

เฟิงหยูเฮงพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นเราไม่ต้องเป็นห่วงนะ”

 

นางบอกว่าไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับมัน แต่นางคันบนหลังคอของนางไม่หยุดโชคดีที่มันไม่ได้แย่ เกินไป อาจแก้ไขได้ด้วยการเกาเป็นครั้งคราวและนางไม่ได้คิดมากเกินไป ท้ายที่สุดแล้วมันเป็น งานเลี้ยงที่พระราชวังฮ่องเต้จัดขึ้นนางกับชวนเทียนเก้อนั่งอยู่ที่จุดสูงสุด ด้านข้างของพวกนางมีทั้งฮองเฮาและพระสนมของฮ่องเต้ หากนางลุกขึ้นเพื่อตรวจสอบว่าทําไมหลังคอของนางถึงคันก็จะรู้สึกไม่ดี ยิ่งกว่านั้นคุณหนูของตระกูลขุนนางได้เริ่มการแสดงโดยไม่ต้องมีใครพูดถึงมันและ ไม่มีใครเตรียมตัว ผู้นําของกลุ่มใหม่ที่ปรากฏนั้นเป็นที่รู้จักในทันทีโดยฮองเฮา “อ่า! ผู้นําของกลุ่ม นี้ดูคุ้นเคยหรือไม่ ?บุตรสาวของใต้เท้าเหว่ย ไม่ใช่บุตรสาวของฮูหยินใหญ่ของเขาหรอกหรือ ? ในเวลาเพียงสองปีที่ไม่ได้พบนางนางโตขึ้นมาและทักษะการร่ายรําของนางดีขึ้นมาก”

 

เมื่อฮองเฮาเริ่มแสดงความคิดเห็น พระสนมของฮ่องเต้ทั้งหมดพร้อมด้วยบรรดาฮูหยินและคุณหนูที่นั่งด้านล่างเริ่มเห็นด้วย ในขณะที่ชื่นชมคุณหนูผู้นี้จากตระกูลเหว่ย มีคุณหนูหลายคนที่เหถือเพื่อเริ่มเตรียมตัว ฮองเฮาพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ งานเลี้ยงร้อยดอกไม้ พวกนางจะชื่นชมดอกไม้ได้นานแค่ไหน เพียงแค่ดูการร่ายรําไม่กี่ครั้งก็น่าเบื่ออย่างยิ่ง การที่ทุกคนมีส่วนร่วมจะทําให้บรรยากาศอบอุ่นขึ้น และไม่ทําให้ฉากนั้นเย็นชา

 

แน่นอนว่าฮองเฮาก็เข้าใจว่าการรวมตัวกันของบรรดาฮูหยินและคุณหนูในที่แห่งนี้ไม่ใช่เพียงเพื่อการมีส่วนร่วมในงานเลี้ยงในพระราชวัง พวกนางทําทุกอย่างเท่าที่จะทําได้เพื่อเข้ามาในพระราชวังเพื่อให้บุตรสาวของพวกนางมุ่งมั่นที่จะเป็นคนที่ดีที่สุดเพื่อให้ผู้คนได้เห็นความงามและ ความมั่งคั่งของพวกนาง เพื่อที่จะได้รับเลือกจากบุตรชายผู้มั่งคั่ง ขุนนางหรือองค์ชายในราชวงศ์

 

ชวนเทียนเก้อกล่าวกับเฟิงหยูเองว่า “คุณหนูตระกูลเหว่ยเป็นบุตรสาวของฮูหยินใหญ่ของมณฑลซุน มณฑลชุนเป็นมณฑลแรกทางตอนเหนือของเมืองหลวง นอกจากนี้ยังเป็นมณฑลที่มีปฏิสัมพันธ์กับเมืองหลวงมากที่สุด ด้วยเหตุนี้นางจึงสามารถจดจําได้อย่างชัดเจน”

 

เพิ่งหยูเฮงพยักหน้าและมองบุตรสาวของตระกูลเหว่ยอีกเล็กน้อย แต่นางก็ไม่เข้าใจมากนักนางไม่เข้าใจการร่ายรํา นางสามารถเพลิดเพลินกับการดูเหตุการณ์ที่มีชีวิตชีวาแต่นางไม่สา มารถบอกได้ว่าการร่ายรํานั้นดีหรือไม่ เพิ่งหยูเฮงจะไม่แพ้ใครเมื่อพูดถึงศิลปะการต่อสู้เมื่อพูดถึงบัณฑิต นางสามารถพูดเกี่ยวกับตําราโบราณบางอย่างได้บ้าง แต่เมื่อพูดถึงศิลปะการร่ายรําเหล่านี้นางไม่รู้จริง ๆ ! นางสามารถเล่นพิณด้วยเพลงยอดนิยมได้ แต่การร่ายรํานั้นยากเกินไปสําหรับงาน ยิ่งนางมีอายุมากขึ้นเท่าไหร่ นางก็ยิ่งรู้สึกว่าไม่สามารถทําได้ในอดีตตระกูลเฟิงได้เชิญอาจารย์สอนการร่ายรํามาหลายปีแล้วนางลืมไปอย่างถี่ถ้วนจนนางจําอะไรไม่ได้เลย

 

ดังนั้นนางจึงนั่งอยู่ที่นั่นอย่างเชื่อฟังและเฝ้าดูการหายไปของคุณหนูของตระกูลขุนนางนางจะปรบมือพร้อมกับคนอื่น ๆ เป็นครั้งคราวซึ่งช่วยให้บรรยากาศดีขึ้น โชคดีที่อาการคันที่ด้านหลังคอของนางไม่รุนแรงมาก มันจะกลับมาเป็นปกติในบางครั้งซึ่งทําให้นางคิดว่าจริง ๆ แล้วมันเป็นแค่เส้นผมที่กระตุ้นให้เกิดการคัน

 

พวกนางดูการแสดงเหล่านี้อีก 1 ชั่วยาม ในช่วงเวลานี้แม้แต่ชวนเทียนเก้อก็ขึ้นไปร้องเพลง แน่นอนว่าการแสดงขององค์หญิงในพระราชวังของราชวงศ์ต้าชุน ผู้คนในปัจจุบันไม่กล้าแข่งขันกับนางทุกคนเข้าใจว่าชะตากรรมขององค์หญิงถูกกําหนดไว้แล้ว โดยราชวงศ์ต้าชุนมีองค์หญิงเพียงคนเดียว และแน่นอนว่านางจะเป็นส่วนหนึ่งของการแต่งงานทางการเมือง สิ่งที่ยังไม่แน่นอนคือสิ่งที่นางจะไป แต่ไม่ว่านางจะไปที่ใดก็เป็นไปไม่ได้ที่บุตร ๆ ของเจ้าหน้าที่ของราชวงศ์ต้าชุนจะเข้ามาดังนั้นประสิทธิภาพของชวนเทียนเก้อจึงเป็นประสิทธิภาพที่แท้จริงในคําพูดของนางพวก นางแค่ทําให้มารดาของนางมีความสุข

 

และคนที่ขึ้นสู่สนามหลังจากชวนเทียนเก้อก็เป็นองค์หญิงเจ็ดของกูซูด้วยการร่ายรําที่สง่า บรรดาฮูหยินและคุณหนูทุกคนต่างก็สับสน คุณหนูเล็ก ๆ กลายเป็นคนเขินอายในทันที่กลายเป็นเรื่อ งลําบากเกินกว่าที่จะดูต่อไปเมื่อเห็นองค์หญิงแห่งกูซูเปิดเผยตัวเองอย่างกล้าหาญเนื่องจากการเค ลื่อนไหวของนางนั้นเร้าใจมาก

 

แต่คนที่เข้าใจกล่าวว่า “มันไม่มาก สาว ๆ ของภาคใต้มีนิสัยดุดัน ห้าวหาญอยู่เสมอ ยิ่งกว่านั้นไม่มีมนุษย์คนใดในพวกเราที่นี่ พวกเราทุกคนเป็นผู้หญิง มีอะไรต้องกลัวที่จะมอง”

 

เมื่อพูดคําเหล่านี้ ผู้คนก็ยิ่งโดดเด่นยิ่งขึ้นโดยเฉพาะพวกฮูหยินจากตระกูลขุ นนาง พวกนางหันกลับมามองนางแล้วจ้องมอง

 

องค์หญิงแห่งราชวงศ์ต้าชุนไม่สามารถแข่งขันได้ แต่องค์หญิงนี้ที่มาจากกูซูนั้นแตกต่างกันฮหยินบางคนได้แต่เริ่มวางแผน หากบุตรชายของตระกูลของพวกนางสามารถแต่งงานกับองค์หญิงได้นั่นจะไม่เหมือนกับการมีกซูเป็นเสาหลักของการสนับสนุน เช่นนั้นตระกูลของพวกนางจะเห็นการพัฒนาในตําแหน่งของพวกเขาในราชวงศ์ต้าชุน

 

แต่ก็มีคนที่มีรอดู ท้ายที่สุดความประทับใจที่องค์หญิงใหญ่ของเฉียนโจวแต่งงานกับตระกูลเฟิงเมื่อนั้นก็ยังไม่ลบเลือนไปออกจากความทรงจําอย่างสมบูรณ์ ตอนนี้มีองค์หญิงอีกคนจากต่างอาณาจักร เป็นเรื่องหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ผู้คนจะเปรียบเทียบกับเฉียนโจวด้วยการเปรียบเทียบนี้มีความกังวลมากขึ้น การต้อนรับองค์หญิงต่างอาณาจักรเข้ามาในประตูของพวกเขาไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่คิด

 

แต่ผู้คนไม่รู้ว่าพวกเขากําลังคิดแบบนี้ แต่องค์หญิงเจ็ดแห่งกูซูไม่ได้สนใจอะไรเลยแม้แต่น้อยเมื่อนางร่ายรํา การจ้องมองของนางส่วนใหญ่จะลอยไปที่ตําแหน่งของพระสนมหยวนชูทุกรอยยิ้มนั้นสว่างยิ่งขึ้นเมื่อหันหน้าไปมองพระสนมหยวน

 

แน่นอนว่าพระสนมหยวนชูไม่ใช่คนโง่ นับตั้งแต่นางมาถึงงานเลี้ยงร้อยดอกไม้องค์หญิงแห่งกูซูได้หมุนรอบตัวนาง นางจะพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ ในภาคใต้เป็นครั้งคราวหรือถามว่าชีวิตของนางในพระราชวังกําลังดําเนินไปอย่างไร นางยังกล่าวอีกว่านางได้พบกับองค์ชายแปดที่ภาคใต้ และองค์ชายแปดได้ฝากความระลึกถึงของเขามากับนางให้กับมารดาของเขา การแสดงความเมต ตาอย่างชัดเจนเช่นนี้หากพระสนมหยวนไม่เข้าใจ สิ่งต่าง ๆ คงจะยากเกินกว่าจะผ่านไปได้ แต่นางก็ยังคงคํานวณสิ่งต่าง ๆ ในใจของนาง ท้ายที่สุดซวนเทียนโมไม่เคยพูดถึงความปรารถนาที่ จะต้อนรับองค์หญิงจากกูซูในจดหมายของเขา แต่ตอนนี้องค์หญิงสนใจ นางต้องพิจารณาบุตร ชายของนางว่าการแต่งงานนี้จะคุ้มค่าหรือไม่

 

ในขณะที่นางกําลังคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ องค์หญิงแห่งภูซูก็เสร็จสิ้นการร่ายรําของนาง อย่างไรก็ตามนางไม่ได้ออกจากเวทีทันที แต่หลังจากที่นางแสดงความเคารพ นางก็มองไปรอบ ๆ และจ้องมองที่เพิ่งหยูเฮง “องค์หญิงจีอัน ทําไมเจ้าไม่ลงมาร่ายรํา ?”

 

การร่ายรําของเฟิงหยูเฮงเป็นเรื่องที่ทุกคนจับตามอง แน่นอนมันไม่ได้เป็นเพียงเพราะ องค์หญิงแห่งกูซูกล้าที่จะยั่วยุเพิ่งหยูเฮง พวกนางเพียงแค่รู้สึกว่าไม่ว่าเฟิงหยูเฮงจะร่ายรําหรือไม่ก็ตามนางเป็นคนที่คู่หมั้นแล้ว ในการพบปะเพื่อจับคู่แบบนี้ นางจะมีส่วนร่วมเพื่ออะไร ? นางจะต้องการคําชื่นชมไปทําไม ?

 

แต่องค์หญิงแห่งกูซูได้เรียกนางอย่างเปิดเผย และมีคนที่รู้สึกอยากรู้อยากเห็น พวกนางต้องการดูว่าเฟิงหยูเฮงจะจัดการกับมันอย่างไร

 

ในไม่ช้าทุกคนหันมามองเฟิงหยูเฮง อย่างไรก็ตามพวกนางพบว่านางแสดงราวกับว่ามันไม่ได้เกี่ยวข้องกับนาง นางยังคงจิบชาและกินผลไม้ต่อไป นางจะรับขนมเป็นครั้งคราวนางไม่ได้คิดอะไรในสิ่งที่องค์หญิงแห่งกูซูพูด

 

องค์หญิงเจ็ดไม่ชอบสิ่งที่เห็นเป็นธรรมดา นอกจากนี้เฟิงหยูเฮงไม่ได้ไว้หน้านางต่อหน้าผู้คนมากมายซักพักนางก็รู้สึกอึดอัดเล็กน้อยและตะโกนด้วยความโกรธ “เฟิงหยูเฮง! เจ้าเป็นคนไร้มารยาท ! ”

 

เมื่อได้ยินคําพูดแบบนี้ สมาชิกของตระกูลขุนนางที่มาจากเมืองหลวงได้แต่แต่ถอนหายใจและคิดว่าองค์หญิงแห่งกูซูคนนี้โชคไม่ดีจริง ๆ ! เหรินซีเฟิงและเฟิงเทียนหยูเริ่มถกเถียงกันว่า“อาเฮง จะจัดการกับองค์หญิงคนนั้นหรือไม่ ? เรามาวางเดิมพันกัน !”

 

แน่นอนการตะโกนนี้ไม่ใช่สิ่งที่เฟิงหยูเฮงทําได้เพียงแค่เพิกเฉย ดังนั้นนางจึงกล่าวออกมาอย่างช้า ๆ และเตือนองค์หญิงเจ็ด “คิดถึงสถานะของเจ้าเมื่อพูดด้วย”

 

“เจ้า !” องค์หญิงเจ็ดพูดอย่างนี้แล้วไม่รู้จะจัดการอย่างไร องค์หญิงแห่งรัฐบริวารนั้นไม่สามารถเปรียบเทียบกับตําแหน่งขององค์หญิงจากราชวงศ์ต้าชุนได้ ! นางสามารถพูดได้ว่าพื้นฐานที่ ว่านางเป็นคนไร้มารยาท ? แต่ในที่สุดนางก็เป็นราชนิกูล นางสามารถปรับอารมณ์ของนางได้อย่าง รวดเร็ว วางรอยยิ้มบนใบหน้าของนาง นางไม่ได้พูดถึงเรื่องก่อนหน้านี้นางตัดสินใจที่จะใช้น้ําเสียง ที่ไม่เหมาะสมเพื่อกล่าวว่า “หลังจากมาจากที่ไกลแล้วมีอะไรผิดปกติที่อยากเห็นการร่ายรําขอ งองค์หญิง !”

 

คนที่งดงามจะสามารถกระตุ้นความรู้สึกเห็นอกเห็นใจได้เสมอ สมาชิกในตระกูลขุนนางจากเมืองหลวงเข้าใจเฟิงหยูเฮงและไม่ได้เปลี่ยนข้างทันที แต่คนที่มาจากต่างมณฑลไม่สามารถยับยั้งได้อีกต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีที่มาจากภาคใต้ พวกนางสนิทสนมกับกูซุมากขึ้น พวกนางจะไม่ช่วยองค์หญิงแห่งกูซูในเวลานี้ได้อย่างไร

 

เสียงแรกที่กล่าวออกมา “การพูดสิ่งนี้จะช่วยในความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองอาณาจักรแขกที่มาจากที่ไกลมันคงไม่ดีที่จะปฏิเสธองค์หญิงเจ็ด”

 

เฟิงหยูเฮงรู้สึกว่าเสียงนี้คุ้นเคย เมื่อมองไปทางต้นเสียง นางพบว่ามันเป็นฮูหยินของเจ้าเมืองหลานโจวเจียงซื้อ

 

เจียงซื่อไม่กล้าเผชิญหน้ากับการจ้องมองของเพิ่งหยุเฮงโดยตรงเพราะนางหันหน้าไปทางอื่นแต่คําพูดของนางเปิดทางให้คนอื่น ในไม่ช้าผู้คนก็จะได้ยินเสียงเรียกร้องให้เฟิงหยูเฮงร่ายรํามีแม้แต่คนที่กล่าวว่า “องค์หญิงหรูหยางก็ไปแสดง เป็นไปได้หรือไม่ว่าองค์หญิงจีอันมองว่าตัวเองอยู่เหนือองค์หญิงหรูหยาง ? ”

 

เมื่อคําเหล่านี้ถูกกล่าวขั้นมา ชวนเทียนเก้อก็โกรธ นางต้องการที่จะพูดแทนเฟิงหยูเฮง แต่หยุดโดยเฟิงหยูเฮงซึ่งดึงนางกลับมา นางส่ายหัวเล็กน้อย จากนั้นนางก็ขึ้นไปบนเวทีอีกครั้งและพระสนมของฮ่องเต้ส่วนใหญ่ก็เห็นด้วย แม้แต่ฮองเฮาก็ยังสนใจกล่าวว่า “ข้าไม่เคยเห็นอาเฮงร่ายรํามาก่อน”

 

มีคนเห็นด้วยกันที่จากด้านข้าง “ใช่ โดยปกติแล้วเราจะ

 

ซึ่งเคลื่อนไหวด้วย ดาบและหอก และความสามารถทางการแพทย์ของนางนั้นวิเศษมากแต่เมื่อกล่าวถึงการร่ายรํา นั่นเป็นเรื่องใหม่จริงๆ”

 

ชวนเทียนเก้อเหลือบตาอย่างไร้ความหมาย “คนเหล่านี้ที่ดูไม่กังวลเกี่ยวกับสิ่งที่หลุดมือไป ? อาเฮงไม่ต้องสนใจพวกนาง หากเจ้าไม่ต้องการร่ายรํา ไม่มีใครบังคับเจ้าได้”

 

สมาชิกของตระกูลเหยาเห็นด้วยว่าเฟิงหยูเฮงมีปัญหา คนอื่นไม่รู้แต่พวกนางไม่รู้ เพิ่งหยูเฮงถูกส่งตัวออกจากเมืองหลวงเมื่ออายุ 9 ขวบ นางใช้เวลา 3 ปีในหมู่บ้านบนภูเขาทรุดโทรมหลังจากที่นางกลับมา ตระกูลเฟิงมีสภาพแวดล้อมที่เลวทราม และนางต้องคิดทุกวันเกี่ยวกับวิธีการมีชีวิตอยู่ นางจะรู้วิธีร่ายรําได้อย่างไร แม้ว่านางจะเรียนรู้มาก่อนอายุ 9 ขวบ แต่มันก็เป็นเพียงส่วนเล็กน้อยของสิ่งที่เด็กผู้หญิงทุกคนได้รับการสอน ตอนนี้นางอายุมากขึ้น นางต้องลืมมันไปแล้ว

 

ซูชื่อเห็นว่าเฟิงหยูเองไม่ได้พูดและต้องการพูดให้นาง แต่เฟิงหยูเองก็ส่ายหัวของนางนางบังคับให้นางต้องพูดคําของนาง

 

ชวนเทียนเก้อยังคงแนะนํานางต่อไป “อาเฮงไม่คิดต้องคิดมาก ไม่จําเป็นต้องให้ความสนใจกับคนเหล่านั้น”

 

เฟิงหยูเฮงกล่าวว่า “ใครบอกว่าข้าไม่อยากร่ายรํา ! มันไม่ใช่แค่การร่ายรํา ข้าเต็มใจอย่างยิ่ง” 

Related

ตอนที่ 698 ความคิดของหลู่ปิง

 

ในเรื่องที่เกี่ยวกับเฟิงหยูเฮงเดินช้าลงและเข้าใกล้นาง ดูเหมือนว่าหลู่วิ่งไม่แปลกใจ นางยังใช้ความคิดเริ่มในการทักทายพวกนาง “คารวะองค์หญิงหรูหยางและองค์หญิงจีอัน ข้าชื่อหลู่ปิงเจ้าค่ะ” เพราะทุกคนกําลังเดินการทักทายเป็นเพียงคําพูด และไม่ได้ทําอะไรเลย

 

ชวนเทียนหมิงไม่ได้คิดมากและโบกแขนเสื้อของนางโดยกล่าวว่า “ไม่จําเป็นต้องสุภาพมากเกินไป” จากนั้นนางก็ทําท่าสูดจมูกของนางแล้วกล่าวว่า “ทําไมกลิ่นหอมจึงแรงมาก ? ”

 

เฟิงหยูเฮงเข้าใจ แต่ไม่เปิดเผยเพียงพูดกับชวนเทียนเก้อเท่านั้น “พาเซียงหรูไปข้างหน้าก่อนอย่าปล่อยท่านป้าดูแลฮองเฮาคนเดียว ขณะที่เจ้าอยู่ที่นี่ สิ่งนี้จะทําให้เซียงหรูของเรามีเกียรติ”

 

แม้ว่าชวนเทียนเก้อไม่เข้าใจว่าทําไมเฟิงหยูเฮงถึงย้ายมาอยู่หลังสุด ตอนนี้เฟิงหยูเองกําลังพูดคุยกับหลู่วิ่งในขณะที่ไล่นางและเฟิงเซียงหรูออกไป นางจะไม่เข้าใจว่านางต้องการที่จะพูดกับคุณหนูตระกูลหลู่เพียงลําพังหลังจากคิดถึงความสัมพันธ์ของนางกับตระกูลหญ่ นางก็มั่นใจในความคิดของนางมากยิ่งขึ้นนางดึงเฟิงเซียงหรูและรีบเดินไปข้างหน้าทันที

 

เฟิงหยูเองไม่ได้แสดงความคิดเห็นต่อ หลู่วิ่งกล่าวว่า “ขอบคุณองค์หญิงที่เข้าใจข้าเพคะ”

 

นางไม่ได้พูดในสิ่งที่นางเข้าใจและเฟิงหยูเฮงไม่ได้ถาม นางไม่ได้พูดถึงสิ่งที่ชวนเทียนเก้อที่พูดถึงเรื่องกลิ่นน้ําหอมที่แรงขึ้น อย่างไรก็ตามนางไม่ลืมที่จะสังเกตเห็นว่าจํานวนคนที่สามารถอยู่ใกล้นางได้เพราะกลิ่นนี้มีน้อย

 

“ข้าได้ยินมาว่าคุณหนูใหญ่ตระกูลหญ่ไม่ถือตัวและไม่ค่อยได้ทําหน้าที่เหล่านี้มากนัก ทําไมเจ้าถึงคิดว่าจะเข้ามาในพระราชวังในวันนี้” นางกล่าวและถามอย่างไม่สุภาพในเรื่องเล็กน้อยโดยชี้ไปที่เป้าหมายของตระกูลหลูโดยตรง

 

หลู่วิ่งไม่ได้ซ่อนมัน ใครจะรู้ว่านางเป็นคนเรียบง่ายหรือเป็นอะไร นางก็บอกกับเฟิงหยูเฮงโดยไม่ปิดบังอะไรเลย “มันถูกจัดการโดยตระกูล ท่านพ่อตั้งใจให้ข้าเข้ามาในพระราชวังและไม่มีอะไรที่ข้าจะทําได้เพคะ”

 

“โอ้ ? ” เฟิงหยูเฮงยังคงถามต่อไปว่า “คุณหนูใหญ่ตระกูลหญ่ไม่ต้องการที่จะมาหรือ ?”

 

“ไม่เพคะ” หลู่วิ่งพยักหน้า “ข้าไม่อยากมาเพคะ” หลังจากพูดจบนางมองเจียนเอ๋อบ่าวรับใช้ส่วนตัวของนางแล้วถอนหายใจ “เจียนเอ๋อไม่ต้องกังวลอะไรมาก องค์หญิงจีอันเป็นคนฉลาด แทนที่จะซ่อนมัน จะเป็นการดีกว่าถ้าพูดตามความเป็นจริง”

 

คําเหล่านี้ถูกส่งไปที่บ่าวรับใช้ แต่เป็นจริงสําหรับเฟิงหยูเฮงที่ได้ยิน และเฟิงหยูเองไม่ได้แสดงตัวเองหลังจากได้ยินสิ่งนี้ นางแค่คิดว่ามันเป็นเจ้านายที่มีปฏิสัมพันธ์กับบ่าวรับใช้ของนางมันไม่เกี่ยวข้องกับนาง

 

หลู่วิ่งยิ้มอย่างขมขึ้นกับตัวเอง ทุกคนบอกว่าองค์หญิงจีอันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะรับมือ แน่นอนว่าแม้ว่านางจะชะลอตัวลงเพื่อเข้าใกล้นาง ตามความจริงหลังจากการแลกเปลี่ยนบทสนทนาสั้น ๆ แต่นางก็เริ่มต้นความคิดริเริ่ม นางมองไปรอบ ๆ วันนี้มีคนมากมายที่มาร่วมงานเลี้ยงแม้ว่าทุกคน จะต่อสู้เพื่อไปข้างหน้า แต่ก็ยังมีคนที่ตกอยู่ข้างหลังมีโอกาสไม่มากนักที่จะพูดคุยกับเฟิงหยู เฮง ตัวอย่างเช่น ที่กลางลานนางอยากจะเดินหน้าต่อไปสองสามก้าวแต่มีคนที่อยู่ข้าง ๆ เฟิงหยู เฮงเสมอ นอกจากนี้ยังมีคนในตระกูลเหยามาด้วยนางไม่สามารถหาโอกาสพูดกับอีกฝ่ายได้

 

อย่างไรก็ตามตอนนี้ในที่สุดนางก็สามารถเข้าถึงหัวใจของปัญหาได้ นางสงบจิตใจของนางและถามว่า “องค์หญิงจีอันได้กลิ่นหอมแปลก ๆ จากร่างกายของข้าได้ไหมเพคะ ? แม้ว่าจะไม่ได้มีกลิ่นเหม็นแต่มีดอกไม้นับร้อยที่คลุมไว้มันหนามากจนแม้แต่คนที่อยู่ไกล ๆ ก็สามารถได้กลิ่นว่ามีบางอย่างปิดอยู่”

 

เฟิงหยูเฮงพยักหน้า “ถูกต้อง มันมีกลิ่นแรงมากเกินไป”

 

หลู่วิ่งยิ้มอย่างขมขืน “นี่เป็นน้ําหอมที่นํามาจากภาคใต้ มันเป็นสิ่งที่ท่านพ่อของข้าขอให้คนากภาคใต้นํามาให้ข้าเจ้าค่ะ”

 

“โอ้” ในเรื่องของน้ําหอมที่ไม่เหมือนใครนี้ เฟิงหยูเฮงก็เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน เห็นได้ชัดว่ามันเป็นผลิตภัณฑ์พิเศษที่มาจากทะเลทรายภาคใต้ มันแพงเป็นพิเศษ และอาณาจักรทางใต้ส่งมันเข้าพระราชวังของราชวงศ์ต้าชุนในแต่ละปีเพียงเล็กน้อย ไม่พอที่จะแบ่งปันในหมู่พระสนมของฮ่องเต้ แม้ว่าพวกเขาจะได้รับมันก็จะเป็นเพียงขวดเล็ก ๆ โดยจะใช้เท่าที่จําเป็น ถ้ามันถูกเติมลงในน้ําก็ยังคงหายากมาก

 

แต่เมื่อเชิงหยูเฮงมองเห็นมันก็ไม่ได้หายาก มันไม่มีอะไรมากไปกว่าน้ําหอมกลิ่นแรงและนางไม่ชอบมันมาก ตอนนี้นางได้ยินว่าหลู่วิ่งหยิบยกขึ้นมา นางพยักหน้า “ด้วยความคิดแล้วเสนาบดีใหญ่ได้พยายามอย่างมาก จากความแรงของกลิ่นที่มาจากร่างของคุณหนูใหญ่ ข้าคิดว่าเสื้อผ้าจะ ถูกแช่ในน้ําหอมใช่หรือไม่ ? แม้ว่ามันจะถูกผสมกับน้ํา วัสดุดั้งเดิมจะไม่ขาด เสนาบดีหญ่มีความ สัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดาเลยกับอาณาจักรทางใต้”

 

เมื่อคําเหล่านี้ออกมา ใครก็ตามที่สนใจจะรู้ว่านางสร้างปัญหาให้ครอบครัว เรื่องแบบนี้จะ บอกได้อย่างไรกับคนนอกบางคน แต่หลู่วิ่งไม่ได้คิดมาก นางพยักหน้าแสดงว่าการคาดเดาของเฟิง หยูเฮงนั้นถูกต้องสมบูรณ์

 

เฟิงหยูเฮงยังรู้สึกว่าคุณหนูใหญ่จากตระกูลหญ่คนนี้ดูน่าสนใจมาก แต่ก่อนที่ทั้งสองจะสนทนากันอีกต่อไป เด็กผู้หญิงคนหนึ่งมาจากด้านหน้าของฝูงชน นางดูดีมากและนางก็คล้ายกับหลู่วิ่งเล็กน้อย “นี่คือคุณหนูสามของตระกูลหลู่, หลู่หยาน”

 

หลังจากที่นางพูดสิ่งนี้ คนที่เข้ามาใกล้ นางรําลึกถึงเฟิงหยูเฮงแล้วจึงกล่าวกับหลู่วิ่ง “พี่ใหญ่ทําไมเจ้าถึงเดินช้าจัง ? แต่มันทําให้เจ้าได้คุยกับองค์หญิงจี้อันมานานแล้ว !” หลังจากที่นางพูดจบนางไม่รอให้หลู่ปิงตอบ ก่อนที่จะพูดกับเฟิงหยูเฮง “ตั้งแต่องค์หญิงจี้อันกลับมาจากภาคเหนือหลู่หยานต้องการที่จะทําความรู้จักกับองค์หญิงจีอัน น่าเสียดายที่คุณหนูรองของตระกูลหญ่กระทําผิดกับองค์หญิงจี้อันนับครั้งไม่ถ้วน นางทําให้ตระกูลเสียหน้าอย่างมากข้าไม่ได้มีหน้ามาพูดคุยกับองค์หญิงมากเกินไป ข้าหวังว่าองค์หญิงจะเข้าใจเพคะ”

 

เฟิงหยูเฮงยิ้มแล้วกล่าวว่า “ไม่เป็นไร ตอนนี้เราได้รู้จักกันแล้ว”

 

“ใช่ ถูกต้องเจ้าค่ะ!” หลู่หยานกล่าวต่อว่า “ตอนนี้เราเป็นญาติกันแล้ว มันน่าเสียดายที่หลู่เหยาไม่เข้าใจในวันแต่งงานที่ยิ่งใหญ่นางได้สร้างความวุ่นวายในตระกูลเหยา”

 

เฟิงหยูเฮงส่ายหัว “ถ้าเรากําลังพูดถึงเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผล มันจะเป็นคุณหนูใหญ่ของคฤหาสน์หลู่”

 

“องค์หญิงจี้อันนั้นพูดถูกต้อง” หลู่หยานเห็นว่าเฟิงหยูเองไม่ได้สนทนากันต่อไป แม้ว่าท่าทีของนางจะไม่เย็นเลย แต่มันก็ทําให้นางไม่สามารถเข้าใกล้ได้อย่างชัดเจนเพราะนางพูดถึงความพึงพอใจเพียงผิวเผิน ความสนใจของนางจางหายไป แต่นางก็ยังคงบังคับตัวเองไปข้างหน้าเพียงแค่เปลี่ยนหัวข้อ “ข้าได้ยินมาว่าพระสนมของราชสํานักทั้งหมดจะมางานเลี้ยงดอกไม้นับร้อย เราจะถูกขอให้แสดงทักษะด้วย ! ข้าสงสัยว่าองค์หญิงจีอันได้เตรียมการแสดงไว้หรือไม่เพคะ ?”

 

เฟิงหยูเฮงยิ้มอย่างขมขึ้น “สําหรับคนที่หมั้นหมายแล้วเช่นข้ายังต้องทําเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ ! ข้าจะปล่อยโอกาสให้พวกเจ้า” คําพูดเหล่านี้ดึงดูดความสนใจของผู้หญิงเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นเพียงการแสดงต่อหน้าพระสนมของฮ่องเต้โดยเฉพาะคนที่มีเป็นบุตรชาย ผู้ที่มีโชคลาภที่ดีก็สามารถแต่งงานกับราชวงศ์ได้ แม้ว่าตําแหน่งของพระชายาเอกจะไม่ว่าง การเป็นนางสนมก็เป็นที่ยอมรับ หลังจากทั้งหมดเหล่านี้เป็นองค์ชาย

 

หลู่หยานไม่รู้สึกอึดอัดใจและกล่าวต่อไป เมื่อเห็นว่าหลู่วิ่งไม่ได้พูด และเฟิงหยูเฮงเพียงตอบกลับอย่างต่อเนื่องปรากฏความอึดอัดเล็กน้อย ในท้ายที่สุดนางพบเหตุผล และกลับไปที่หน้าฝูงชน

 

การรวมตัวกันของสามคนนี้ไม่ได้กระตุ้นความสนใจมากนัก ท้ายที่สุดมีคนจํานวนมากที่ต้องการเข้าใกล้เฟิงหยูเฮง ตระกูลเหยาและตระกูลหลู่ก็เกี่ยวดองกันเช่นกัน สําหรับการที่คุณหนูมาคุยเป็นเรื่องปกติมาก มันเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ไม่ได้ไปพูด หมู่เหยาหันกลับมามองหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวลอย่างต่อเนื่อง ทําอะไรไม่ถูกนางกําลังเดินไปด้วยกันกับซูชื่อ และซูชื่อจับนางไว้แน่นนางอยากจะไปแต่ทําไม่ได้

 

หลู่หยานจากไปและหมู่ปิงก็เริ่มกล่าวอีกครั้ง สิ่งที่นางกล่าวคือ “การแสดงอะไร มันเป็นเพียงโอกาสที่ปลอมตัวเพื่อหาคู่สมรส แต่สําหรับหลู่หยานก็อาจมีโอกาสได้” หลังจากพูดจบนา งก็กล่าวพึมพําว่า“พระสนมหยวนชูจะมาใช่หรือไม่เพคะ ?”

 

เฟิงหยูเฮงถอนหายใจและหัวเราะกับตัวเอง หลู่ปิง ทุกคําที่นางแกล้งพูดโดยไม่ตั้งใจเบิดเผยความลับของตระกูลหลูโดยบังเอิญ สิ่งนี้มีไว้เพื่ออะไร ?

 

ในเวลานี้นางได้ยินหลู่ปังกล่าวเบา ๆ ว่า “องค์หญิงไม่จําเป็นต้องคิดมากเกินไปเจ้าค่ะ ข้าเป็นแค่หมากตัวหนึ่งสําหรับตระกูลหลู่ แม้ว่าข้าจะเป็นบุตรสาวคนโต แต่ข้าเกิดจากอนุ ข้ามีชะตากรรมเดียวกันกับบุตรสาวคนอื่น ๆ ที่เกิดจากอนุ ข้าจะไม่ปิดบังจากองค์หญิงจี้อันเหตุผลที่ข้าใช้ชีวิตอย่างสันโดษก็เป็นเหตุผลที่ข้าสวมชุดนี้ เป็นเพราะรูปร่างหน้าตาของข้าผิดปกติตั้งแต่เกิดแม่นางในชุดสีแดงที่องค์หญิงพามานั้นถือเป็นสาวงามล่มเมือง แต่รูปลักษณ์ของหลู่วิ่งไม่ได้ด้อยกว่าของนาง แต่ข้าไม่ต้องการให้ตระกูลหญ่ทําตามที่ต้องการ หากข้าสามารถช่วยองค์หญิงจี้อันในวันนี้ได้ข้าจะขอให้องค์หญิงช่วยข้าภายหลังเพคะ”

 

หลังจากเฟิงหยูเฮงได้ยินสิ่งนี้ นางไม่ได้คิดอะไรมาก และพยักหน้าอย่างตรงไปตรงมา “ได้”

 

อย่างไรก็ตามหลู่ปิงก็ตกตะลึง “องค์หญิงจะไม่ถามเกี่ยวกับสิ่งที่ข้าสามารถช่วยท่านได้หรือเพคะ และข้าขอให้ท่านช่วยข้าด้วยเพคะ”

 

เฟิงหยูเฮงยิ้มและตอบว่า “ในเมื่อคุณหนูใหญ่ตระกูลหญ่ได้พูดไปแล้ว นั่นหมายความว่ามีแผนการสําหรับงานเลี้ยงนี้แน่นอน หากเจ้าใช้ความคิดริเริ่มในการร่วมมือกับข้า ทําไมข้าจะต้องปฏิเสธ ? สําหรับสิ่งที่เจ้าต้องการได้รับความช่วยเหลือ หมากในการเจรจาต่อรองในวันนี้มีค่าเท่าไร.” นางยิ้มอีกครั้ง “ไม่มีอะไรมากไปกว่าการตรวจสุขภาพ นั่นไม่มาก”

 

หลู่วิ่งตื่นขึ้นอีกครั้งแล้วยิ้มอย่างขมขึ้น “ใช่เจ้าค่ะ ไม่มีอะไรที่ปิดบังได้จากองค์หญิงจีอันเจ้าคะ”

 

เร็วมาก กลุ่มที่ชื่นชมดอกไม้ก็หยุด เฟิงหยูเองไม่ได้พูดคุยต่อที่ด้านหลัง ในขณะที่นางนําหวงชวนไปข้างหน้า ที่นั่นฮองเฮากําลังปลูกดอกไม้ และต้นไม้ที่ผิดปกติ และนางจําชื่อคนส่วนใหญ่ไม่ได้ ดอกไม้ที่แย่งความสนใจนั้นสวยงามมากจริงๆ

 

เฟิงหยูเฮงยังชื่นชมดอกไม้อย่างจริงจังอยู่พักหนึ่ง จากนั้นนางก็ได้ยินเสียงผู้คนพูดคุยรอบ ๆฮองเฮาชั่วครู่หนึ่ง ในที่สุดฮองเฮาก็กล่าวและเริ่มเดินกลับ งานเลี้ยงจะเริ่มขึ้นแล้ว

 

ดังนั้นผู้คนที่เดินไปข้างหน้าก็เริ่มหันหลังกลับ เมื่อพวกนางกลับไปที่ลานว่างจากก่อนหน้านี้พวกนางพบว่าพระสนมของฮ่องเต้ทั้งหมดกําลังรออยู่ที่นั่น ทุกคนคุกเข่าอีกครั้งทันทีก่อนที่ทุกคนจะนั่ง ฮองเฮาจึงประกาศเริ่มการขับร้องและการร่ายรํา

 

เฟิงหยูเฮงและชวนเทียนเก้อนั่งอยู่ที่จุดสูงสุดเพราะสถานะอันสูงส่งของพวกนาง พวกนางอยู่ตรงข้ามกับนางสนมของฮ่องเต้ในเรื่องที่เกี่ยวกับนางสนมของฮ่องเต้เหล่านี้เฟิงหยูเฮงไม่คุ้นเคย กับพวกนางโดยเฉพาะอย่างยิ่งพระสนมของฮ่องเต้ที่มีองค์ชายนางจําได้เร็วยิ่งขึ้นแต่ไม่เคยมีป ฏิสัมพันธ์ใด ๆ กับองค์ชายแปดและองค์ชายหก ดังนั้นนางจึงไม่สามารถเข้าใจได้

 

หลังจากผ่านไปมากกว่า 1 ชั่วยาม เพลงก็บรรเลงไปเรื่อยๆ และผู้คนก็เริ่มผ่อนคลาย คนที่ต้องการคุยก็จะคุย คนที่ต้องการกินจะกิน แม้แต่เฟิงเซียงหรูก็มีชีวิตชีวาขึ้นภายใต้คําแนะนําของจาวเหลียน เชิงหยูเฮงให้ความสนใจกับองค์หญิงเจ็ดของกูซู และเห็นว่านางอยู่ที่ด้านข้างของพระสนมหยวนขู่ตลอดเวลา ทั้งสองคุยกันอย่างอบอุ่น เมื่อมองดูที่ที่หลู่หยานนั่งอยู่ นางก็จ้องมองด้วยตาที่สามารถยิงได้

 

นางอดไม่ได้ที่จะนึกถึงสิ่งที่หลู่ปิงพูด ดูเหมือนว่าตระกูลหญ่ต้องการที่จะวางบุตรสาวคนนี้ไว้ที่ด้านข้างขององค์ชายแปด

 

ขณะที่นางกําลังคิดเกี่ยวกับสิ่งนี้ นางยกมือขึ้นอีกครั้งแล้วลูบที่หลังคอ ชวนเทียนเก้องงและถามอย่างเงียบ ๆ “เป็นอะไร ? ข้าเห็นเจ้าลูบคอของเจ้า 4 ครั้งแล้ว”

 

Related

ตอนที่ 697 องค์ชายคนนี้เชื่อถือได้ !

 

มู่เจียงเช็ดคิ้วของเขา คําพูดขององค์ชายสี่เป็นความหายนะที่เกิดขึ้นในครั้งแรก แต่สถานการณ์ได้ก้าวหน้าไปในระดับนี้ เขาไม่กลัวที่จะถูกขูดรีดอีกต่อไป และตัดสินใจที่จะก้าวไปข้างหน้า “องค์ชายโปรดพูดพะยะค่ะ”

 

“อืม” ซวนเทียนยี่พอใจมากกับทัศนคติของเขา ดังนั้นเขากล่าวว่า “การชดใช้ทางการ เงินเป็นเรื่องหนึ่ง แต่บุตรสาวของเจ้าตบหน้าและสาปแช่งคุณหนูสามตระกูลเฟิงที่ด้านนอกทางเข้าของพระราชวัง ความทําร้ายจิตใจเช่นนี้ร้ายแรงมาก คุณหนูสามของตระกูลเฟิงยังเด็กอายุเพียง 12 ปี ข้ากลัวว่าประสบการณ์นี้จะส่งผลลบต่อนางในอนาคต”

 

ซวนเทียนหมิงรู้สึกว่าเขาประเมินพี่สี่ของเขาต่ํากว่าในอดีต องค์ชายสี่นี้ดูเหมือนจะสามารถพูดอะไรก็ได้เมื่อเขาทําตัวไร้ยางอาย และเขาก็สามารถทําให้มันดูเป็นทางการได้ เฟิงเชียงหรูเป็นบุตรสาวของอนุจากตระกูลเฟิง เมื่อคิดถึงตําแหน่งที่แย่ของนางเมื่อเฟิงจินหยวนเป็นเสนาบดี นางต้องทนทุกข์ทรมานกับการถูกเฆี่ยนตีตั้งแต่ยังเด็ก บางทีนางอาจคุ้นเคยกับมัน มันจะมีผลเสียอย่างไร

 

แต่เมื่อองค์ชายสี่พูดเช่นนี้ มันไม่ดีสําหรับเขาที่จะเปิดเผยมัน ท้ายที่สุดพวกเขายืนอยู่ฝ่ายเดียวกันสําหรับเรื่องนี้ ซวนเทียนหมิงจึงกอดอกแล้วเอนหลังพิงเก้าอี้ เขาเริ่มที่จะดูฉากตรงหน้า

 

มู่เจียงไม่ได้รอให้ซวนเทียนยี่กล่าวต่อไปเพื่อวางแผนการกระทําของเขา ในขณะที่เขาได้ยินซวนเทียนยี่กล่าวว่า “ข้าจะไม่รบกวนเจ้า พรุ่งนี้พาบุตรสาวของเจ้าไปที่บ้านของตระกูลเฟิง และขอโทษคุณหนูสามของตระกูลเฟิง หลังจากนั้นองค์ชายคนนี้จะส่งคนไปยังที่พักที่เจ้าอาศัยอยู่เพื่อตบผู้หญิงที่ใช้ความรุนแรง เพื่อเป็นการลงโทษ”

 

มู่เจียงรู้สึกอึดอัดใจอย่างยิ่ง เขาถูกรีดไถเงินและเขาจะต้องทนต่อความอัปยศอดสูนี้ องค์ชายราชวงศ์ต้าซุนค่อนข้างตึงมือจริงๆ เขารู้อยู่แล้วว่าบุตรสาวของฮูหยินใหญ่ของเขาวางท่าสูงส่งและเห็นว่าทุกคนต่ําต้อยกว่านาง ตอนแรกเขาไม่ต้องการพานางมาเที่ยวในเมืองหลวง คนที่เขาโปรดปรานมากที่สุดคือคุณหนูสี่ แม้ว่านางจะเป็นบุตรสาวของอนุแต่นางเป็นบุตรสาวที่เหมาะสมที่สุด อย่างไรก็ตามบุตรสาวคนที่สี่ล้มป่วย ไม่นานก็จากไป ไม่มีทางเลือกอื่นเมื่อเขารายงานต่อราชสํานักว่าเขาจะพาบุตรสาวมาที่เมืองหลวง เขาทําได้แค่กัดฟันและพาบุตรสาวของฮูหยินใหญ่มา อย่างไรก็ตามเขาไม่คิดเลยว่าก่อนที่นางจะเข้าพระราชวังจะมีปัญหาเกิดขึ้น

 

เขาพยักหน้า และปฏิบัติตามไม่กล้าพูดแม้แต่คําเดียว จากนั้นเขาก็เห็นองค์ชายไม่ได้มีการตักเตือนอีกต่อไป และในที่สุดก็ถอยกลับไปที่จุดเดิมของเขา

 

มู่เจียงถอยกลับ แต่นั่นเป็นเพียงวิธีการของเจ้าหน้าที่ จะมีคนที่บางคนมาด้วย แต่ก็มีบางคนที่พวกเขาไม่ชอบ ในเวลานี้มีบางคนกล่าวว่า “ข้าได้ยินมาว่าคุณหนูตระกูลมู่จงใจหาเรื่องคุณหนูสามตระกูลเฟิงและดูถูกคุณหนูรอง โดยกล่าวว่านางพึ่งพาคนของนางเพื่อให้ได้ตําแหน่งองค์หญิง นอกจากนี้ยังมีอีกหลายสิ่งที่น่ารังเกียจที่นางพูด”

 

ใจของมู่เจียงสั่นไหว เขาต้องการหาตัวคนที่พูด เขาจะจดจําบุคคลนั้น และเกลียดที่เขาไม่สามารถคิดวิธีที่จะทําให้บุคคลเหล่านั้นขุ่นเคืองหลังจากพวกเขาออกจากพระราชวัง ในที่สุดเขาก็ได้รับอิสระ ด้วยคําพูดเหล่านี้เขาจะไม่ถูกผลักกลับสู่ตําแหน่งที่ล่อแหลมหรือ?

 

น่าเสียดายที่หลังจากมองไปรอบๆ เขาก็ไม่สามารถหาใครพูดได้ ท้ายที่สุดมีคนจํานวนมากที่มางานเลี้ยงในพระราชวัง ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการหาบุคคลนี้อีกต่อไป เขาสามารถมุ่งเน้นที่ปฏิกิริยาของซวนเทียนหมิงเท่านั้น

 

เป็นผลให้ผู้คนประหลาดใจที่พบว่าองค์ชายเก้าที่มักจะระเบิด ซวนเทียนหมิงไม่ได้โกรธเมื่อได้ยินคําเหล่านี้ เขายิ้มด้วยความพึงพอใจ และกล่าวว่า “มีอะไรที่ไม่ดีเกี่ยวกับเรื่องนั้น? แน่นอนว่าชายาของข้าพึ่งพาข้า ไม่เป็นไร องค์ชายผู้นี้เป็นคนน่าเชื่อถือ”

 

คําว่า “น่าเชื่อถือ” ทําให้บางคนไม่สามารถรั้งเสียงปรบมือได้ อย่างไรก็ตามองค์ชายไม่ได้พูดในหัวข้อนี้อีกต่อไป พวกเขายกจอกสุราขึ้นมา และดูเหมือนว่าจะได้รับชัยชนะก่อนหน้านี้

 

ในเวลาเดียวกันในอุทธยานของฮองเฮา มีคุณหนูที่ไม่คุ้นเคยบางคนจากมณฑลที่ไปหาเฟิงหยูเฮงเพื่อลองเข้าใกล้นาง ดูเหมือนว่าพวกนางไม่รู้ว่าควรจะเปิดฉากสนทนาอย่างไร หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน หนึ่งในนั้นรู้สึกว่าการมีศัตรูร่วมกันทําให้พวกนางกลายเป็นเพื่อนกันได้ ดังนั้น นางจึงเริ่มเปลี่ยนหัวข้อไปที่คุณหนูตระกูลมู่พยายามหาจุดร่วมกับเฟิงหยูเฮง

 

พวกเขาได้ยินคนนั้นกล่าวว่า “คุณหนูตระกูลมู่ไม่ได้รู้จักที่ต่ําที่สูง จริงๆแล้วนางกล้าที่จะบอกว่าองค์หญิงได้รับตําแหน่งโดยอาศัยผู้ชาย”

 

เมื่อคําเหล่านี้ออกมา แน่นอนคุณหนูคนอื่นๆ ก็ดูเหมือนจะพบหัวข้อในที่สุด พวกนางทั้งหมดเริ่มตําหนิคุณหนูตระกูลมู่ และดูเหมือนว่าพวกนางจะเกลียดที่พวกนางไม่สามารถสร้างปัญหาให้นางได้อีก

 

แต่หลังจากการพูดคุยทั้งหมด พวกนางไม่เห็นเฟิงหยูเฮงสร้างความผูกพันกับพวกนางเหนือศัตรูทั่วไป นางกล่าวด้วยรอยยิ้มแทน “พึ่งพาผู้ชายหรือ? นั่นเป็นความสามารถอีกอย่างหนึ่ง”

 

ผู้คนงงงวย หลังจากคิดเล็กน้อยนั่นก็ไม่จริง การมีคนอย่างองค์ชายเก้าเป็นเสาหลักในการสนับสนุน นั่นไม่ใช่ความสามารถแบบนั้นหรือ? ถ้าเจ้ามีความสามารถ เจ้าสามารถหาองค์ชายเพื่อที่จะได้รับตําแหน่งในฐานะองค์หญิง ถึงอย่างนั้นคําสบประมาทเหล่านั้นก็จะเต็มไปด้วยความหึงหวง

 

เมื่อเฟิงหยูเฮงกล่าวเช่นนี้ ทุกคนหมดความสนใจอย่างรวดเร็ว พวกนางพบว่าเฟิงหยูเฮงไม่เปิดช่องทางสนทนา ดังนั้นพวกนางจึงเปลี่ยนเป้าหมายและเริ่มคุยกับเฟิงเซียงหรู

 

เฟิงเซียงหรูคุยด้วยง่ายกว่ามาก อย่างน้อยที่สุดบรรยากาศจะไม่น่าอึดอัดใจ

 

ไม่นานหลังจากนั้นข้าราชการคนหนึ่งในพระราชวังก็เปล่งเสียงของพวกเขาว่า “ฮองเฮาเสด็จมาถึงแล้ว”

 

ทุกคนหันกลับมาทันทีแล้วเดินตรงไปที่กึ่งกลางของฉาก หันหน้าไปทางเบาะนั่ง พวกนางยืนรอจนกระทั่งฮองเฮานั่งลงบนที่ประทับ จากนั้นพวกนางก็คุกเข่าบนพื้น “ฮองเฮาทรงพระเจริญเพคะ”

 

ฮองเฮาออกมาพร้อมกับพระชายาเหวินซวน และองค์หญิงเจ็ดของกูซู วันนี้นางอารมณ์ดีมาก นางยกมือขึ้น นางกล่าวด้วยน้ําเสียงที่อบอุ่นและสง่างาม “พวกเจ้าลุกขึ้นได้”

 

จากนั้นบ่าวรับใช้ในพระราชวังก็กระจายออกไปทันที และพาพวกฮูหยินและคุณหนูไปยังที่นั่งของพวกเขา

 

จากนั้นก็เริ่มทําสิ่งต่างๆอย่างเป็นทางการ เมื่อพวกนางได้ยินฮองเฮากล่าวว่า ” งานเลี้ยงฉลองเทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วงควรได้รับการจัดการโดยฮ่องเต้เอง แต่มีคนเข้ามามากเกินไปในวันนี้ นอกจากนี้ราชสํานักยังมีเรื่องที่ต้องเข้าร่วมเป็นอันดับแรก ดังนั้นเราจึงสามารถเริ่มต้นได้เฉพาะแขกที่แยกชายและหญิงเท่านั้น เมื่องานเลี้ยงเริ่มขึ้นในคืนนี้ พวกเราทุกคนจะรวมตัวกัน ฮูหยินและคุณหนูเชิญตามสบาย”

 

ช่างเป็นเรื่องตลกใครจะนึกถึงข้อตกลงที่ทําโดยพระราชวังของฮ่องเต้ ดังนั้นผู้คนจึงเริ่มพูดคุยกับฮองเฮาอย่างสุภาพ

 

เฟิงเชียงหรูกระซิบถามเพิงหยูเฮง “คนที่อยู่ข้างฮองเฮาเป็นใครหรือเจ้าคะ ? ทําไมนางดูไม่คุ้นเคย? นางไม่ใช่คนของราชวงศ์ต้าชุนหรือเจ้าคะ?”

 

เฟิงหยูเฮงบอกนางว่า “นั่นคือองค์หญิงเจ็ดของกูซู นางเข้ามาในเมืองหลวงพร้อมกับเจ้าหน้าที่จากภาคใต้ ในความเป็นจริงนางเคยไปคฤหาสน์เฟิงมาก่อน นางอยู่กับพี่ชายของนางเมื่อเขามาขอแต่งงานกับคังอี้ เจ้าอาจลืมไปแล้ว”

 

ด้วยคําเตือนของเฟิงหยูเฮง เฟิงเซียงหรูดูเหมือนจะจําเรื่องนี้ได้ แต่นางก็ยังไม่ค่อยประทับใจองค์หญิงเจ็ด นางเพิ่งรู้สึกว่าผู้หญิงประเภทนี้ที่มีรูปลักษณ์ภายนอกที่ชัดเจนนั้นสวยงามมาก และนางก็อดไม่ได้ที่จะมองอีกต่อไป

 

จาวเหลียนเตือนนางว่า “นางไม่ได้งดงามขนาดนั้น นางงามน้อยกว่าข้าเล็กน้อย”

 

นี่คือสิ่งที่เฟิงเซียงหรูยอมรับ ท้ายที่สุดใบหน้าของจาวเหลียนนั้นงดงามมากจนนางไม่สามารถป้องกันได้ แต่ทัศนคติของจาวเหลียนนั้นไม่ใช่สิ่งที่นางเห็นด้วย นอกจากนี้ยังมีเรื่องขององค์ชายเจ็ด มันเป็นเช่นนั้นที่ทําให้เฟิงเซียงหรูรู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อยเมื่อเผชิญหน้ากับจาวเหลียน

 

อย่างไรก็ตามจาวเหลียนไม่ได้มีความรู้สึกว่าเป็นศัตรู แต่เขาก็สามารถเข้าใจความรู้สึกของเฟิงเซียงหรูได้อย่างชัดเจนเพราะเขาไม่ลืมที่จะบอกนางว่า: “อย่าคิดมากเกินไป ตอนนี้เราอยู่ในช่วงการแข่งขัน ยังไม่รู้ว่าใครจะเป็นผู้ชนะและใครจะแพ้”

 

เฟิงเซียงหรูเพิกเฉยต่อเขาด้วยความโกรธ ใครอยากจะแข่งขันกับผู้ชายเพื่อให้ได้ชายอีกคนหนึ่ง ? จาวเหลียนมีสภาพจิตใจที่ผิดปกติ นางจะต้องไม่ถูกลากเข้าไปในคูโดยเขา

 

จาวเหลียนเห็นว่าเฟิงเซียงหรูไม่สนใจเขา และเขาไม่ได้คิดมาก เขาหันหลังกลับด้วยตัวเขาเอง แล้วก็ไปคุยกับคุณหนูคนอื่นๆ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดเขาก็งดงาม เขางดงามมากที่แม้แต่คนเพศเดียวกันก็ไม่อาจปฏิเสธเขาได้ ดังนั้นเขาจึงสามารถเดินได้ค่อนข้างดีในสภาพแวดล้อมนี้

 

ในด้านนี้ฮองเฮาได้แนะนําองค์หญิงเจ็ดของกูซูให้ทุกคนที่อยู่ในปัจจุบัน ผู้คนต่างชื่นชมความงามของนางในขณะที่คาดเดาในใจว่า ทําไมองค์หญิงจากกูซูมาที่ราชวงศ์ต้าชุนอย่างกะทันหัน?

 

เนื่องจากเป็นงานเลี้ยงดอกไม้จึงไม่มีปัญหาการขาดแคลนดอกไม้ ก่อนที่ทุกคนจะเข้าร่วมนั่งเป็นเวลานาน ฮองเฮาจึงริเริ่มที่จะลุกขึ้นยืน และนําทุกคนไปที่ลาน ในขณะที่เดินนางแนะนําให้ทุกคนรู้จักกับพันธุ์ดอกไม้ที่ปลูกในโอกาสนี้

 

ซวนเทียนเก้อและกลุ่มเฟิงหยูเองไม่ได้ขยับไปข้างหน้า แต่พวกนางยืนอยู่ตรงกลางฝูงชน ฮองเฮามีพระชายาเหวินซวนไปกับนาง ในขณะที่พวกนางจะสามารถโต้ตอบกับฮูหยินและคิดถึงครอบครัวของเจ้าหน้าที่ โดยปกติการนินทาก็เริ่มแพร่กระจายจากพื้นที่ที่มีประชากรอาศัยอยู่ สถานที่ที่ผู้หญิงรวมตัวกันจะเป็นแหล่งเพาะพันธุ์สําหรับการนินทา ดังนั้นทั้งสองจึงประสบความสําเร็จในการได้ยินข่าวซุบซิบจํานวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนินทาที่มาจากคฤหาสน์นอกเมืองหลวง เฟิงหยูเฮงต้องการที่จะนําเอาเครื่องบันทึกเสียงออกมาเพื่อบันทึกทุกอย่างเอาไว้

 

ในสถานที่ที่มีดอกไม้มากมายกลิ่นจะแรงตามธรรมชาติ คุณหนูผู้มีจมูกที่ละเอียดอ่อนถอยกลับอย่างไร้จุดหมายจากที่ลาน ค้นหาสถานที่ที่ลมพัดและหยุดพัก เฟิงหยูเฮงเห็นและไม่พูดมาก อย่างไรก็ตามนางสามารถดมกลิ่นบางอย่างที่แตกต่างจากกลิ่นดอกไม้

 

นางต้องการที่จะชะลอความเร็วของนาง ในขณะที่ซวนเทียนเก้อที่ค่อนข้างอ่อนไหว คิดว่าเฟิงหยูเฮงสนใจดอกไม้อย่างจริงจัง ดังนั้นนางจึงช้าลงเช่นกัน อย่างไรก็ตามใครจะรู้ว่าเมื่อพวกเขาช้าลง พวกนางอยู่ท้ายกลุ่ม

 

ที่นี่มีคุณหนูอยู่สองสามคนที่พูดด้วยความรังเกียจ หนึ่งในนั้นกล่าวว่า “เจ้าเห็นหรือไม่ว่าหญิงสาวที่มีผ้าคลุมอยู่ด้านหลัง นางแกล้งทําอะไร? เราเป็นผู้หญิงทุกคน ความหมายของการสวมผ้าคลุมหน้านั้นคืออะไร ?”

 

อีกคนกล่าวว่า “อาจจะมีอาการป่วยบนใบหน้าของนางก็ได้”

 

มีคนปฏิเสธเรื่องนี้ทันที “เป็นไปไม่ได้คนที่มีโรคบนใบหน้าจะเข้ามาในพระราชวังได้อย่างไร? เจ้าคิดว่านี่เป็นย่านโคมแดงหรือไม่? ”

 

เด็กสาวคนนั้นคิดถึงเรื่องนี้และเห็นด้วย ดังนั้นนางจึงเปลี่ยนความคิดของนาง “ถ้าไม่ใช่อาการป่วย นางก็ต้องดูงดงามเป็นพิเศษ งดงามมากจนนางไม่ต้องการเปิดเผยใบหน้าของนาง”

 

“ไม่ว่านางจะสวยขนาดไหน ไม่ใช่ว่าเจ้าไม่เคยเห็นแม่นางเหลียนที่มากับองค์หญิงจี่อัน แม้จะงดงามมาก นางก็ยังเปิดเผยใบหน้าให้ทุกคนได้เห็น เป็นไปได้หรือไม่ที่คนที่อยู่ด้านหลังงดงามกว่านาง? “

 

“นั้นเป็นไปไม่ได้” ทุกคนถอนหายใจพร้อมๆกัน “มันเป็นไปไม่ได้ที่ใครบางคนจะงดงามกว่า แม่นางเหลียน เว้นแต่ว่ามันเป็นสัตว์ประหลาด แต่จะมีสัตว์ประหลาดในโลกนี้ได้อย่างไร”

 

“แน่นอนว่าไม่เพียงแต่เป็นแม่นางเหลียนเท่านั้น แต่บุคลิกของนางก็ดีเช่นกัน ด้านหลังแตกต่างกัน ข้าไม่ได้ยินนางพูดแม้แต่คําเดียว ข้าไม่รู้จริงๆว่านางมาจากตระกูลไหน”

 

เฟิงหยูเฮงได้ยินว่าจาวเหลียนเป็นที่นิยมมาก และนางอดไม่ได้ที่จะยิ้มให้กับตัวเอง จากนั้นนางก็ทําให้ตัวเองช้าลงอีกเล็กน้อยและนางก็หยุดทันทีข้างๆ หลู่ปิงที่มีผ้าคลุมหน้า

 

Related

ตอนที่ 696 การกรรโชกหมู่

 

มู่เจียงรู้แล้วว่าเขาไม่สามารถหลีกเลี่ยงเช่นนี้ได้อีกต่อไป เมื่อเขาเห็นทหารยามนําไข่มุกเปื้อนเลือดมาที่ด้านข้างของเขา เขาได้เตรียมตนเองไว้แล้วสําหรับองค์ชายเจ็ดที่จะมาชําระหนี้นี้กับเขา แม้กระนั้นเขาไม่เคยคิดเลยว่าองค์ชายเจ็ดจะมาจริงๆ เมื่อองค์ชายสี่อยู่ตรงกลางเขา เขากําลังทําอะไร กลุ่มขององค์ชายกําลังรวมตัวกันหรือไม่ ? พวกเขาจะใช้อาวุธกับเขาหรือไม่ ?

 

มู่เจียงเข้าใจสถานการณ์เป็นอย่างดีและเลือกคําว่า “ทะเลาะกัน” แทนที่จะเป็น “หาข้อยุติ” ตลกดี มองสิ่งต่างๆโดยรวม ใครมีความสามารถในการจัดการกับองค์ชาย ซึ่งหนึ่งในองค์ชายเหล่านี้ไม่ได้มีอํานาจมากนัก วันนี้เขาถูกวางในจุดที่ไม่ดีนี้โดยผู้หญิงคนนั้น เขาคิดกับตัวเองว่าหลังจากเขากลับไปแล้ว เขาจะขังผู้หญิงคนนั้นไว้ในเรือนของนางอย่างแน่นอนและไม่ปล่อยให้นางออกไป

 

“องค์ชาย” มู่เจียงแสดงความเคารพอีกครั้งเมื่อเหงื่อปรากฏบนหน้าผากของเขา องค์ชายเจ็ดของราชวงศ์ต้าชุนเป็นเหมือนเทพเซียนมากที่สุด แม้กระนั้นเขาก็เป็นคนที่ไม่มีใครกล้าที่จะเพิกเฉย หากมีใครบางคนที่เชื่ออย่างแท้จริงว่าบุคลิกภาพขององค์ชายเจ็ดนั้นเหมือนกันกับข้างในเหมือนกับเปลือกนอกของเขา นั่นจะเป็นความผิดพลาดที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ตามความเป็นจริงถ้าองค์ชายผู้นี้ถูกทําให้ขุ่นเคือง การแก้แค้นจะเลวร้ายยิ่งกว่าองค์ชายเก้า

 

“ใต้เท้ามู่” ซวนเทียนฮั่วนั่งลงที่อีกด้านหนึ่งของซวนเทียนหมิงแล้วสะบัดเสื้อคลุม ทุกย่างก้าวที่เขาทําคือสวรรค์และละเอียดอ่อน แต่คําพูดที่เขาพูดนั้นยากที่จะยอมรับ “ข้าเชื่อว่าใต้เท้ามู่ได้เห็นไข่มุกที่บุตรสาวของเจ้าทําลายแล้วใช่หรือไม่ ?”

 

จากที่กล่าวมาทั้งหมดดูเหมือนว่าจะข้ามวิธีที่เฟิงหยูเฮงดึงไข่มุกออกจากปิ่นปักผมแล้วเขวี้ยงออกไป ทั้งหมดที่กล่าวมาคือบุตรสาวของเขาถูกทําลาย ความสามารถในการพูดไร้สาระแบบนี้เป็นสิ่งที่มู่เจียงไม่สามารถแข่งขันได้ แต่ถ้าเขาด้อยกว่าล่ะ ด้วยสิ่งต่างๆที่พวกเขาได้แต่ยอมรับเท่านั้น “เจ้าหน้าที่ผู้ต่ําต้อยคนนี้เห็นแล้วพะยะค่ะ” มู่เจียงยังคงขอโทษต่อไป “ข้อพิพาทระหว่างเด็กผู้หญิงนี้เป็นผลมาจากการที่เจ้าหน้าที่ผู้ต่ําต้อยไม่ได้สอนบุตรสาวให้ดี ทั้งหมดนี้เป็นความผิดของเจ้าหน้าที่ผู้ต่ําต้อยพะยะค่ะ”

 

“แน่นอนมันเป็นความผิดของเจ้า” ซวนเทียนหมิงอุทาน “เป็นไปได้หรือไม่ที่บุตรสาวของเจ้าจะไม่ผิด และชายาขององค์ชายคนนี้เป็นฝ่ายผิด? ”

 

มู่เจียงสั่นไหว “องค์หญิงไม่ผิดเลยพะยะค่ะ”

 

“อืม” ซวนเทียนหมิงพยักหน้า “ถ้าเจ้าสามารถคิดแบบนี้มันก็ดี เรื่องนี้จะง่ายขึ้นมากที่จะพูดคุยกัน” จากนั้นเขาถามซวนเทียนฮั่ว “ไข่มุกจากทะเลตะวันออกที่พี่เจ็ดนํากลับมาเป็นสิ่งที่อาเฮงชอบมาก”

 

ซวนเทียนฮั่วกล่าวต่อ “ข้าอยู่ในโลกนี้มานานกว่า 20 ปี และเป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็นไข่มุกชนิดนั้น นั่นคือสิ่งที่พบได้ในหอยพันปีระหว่างทางกลับมายังเมืองหลวง สีสวยมากและหายากมาก แม้จะอยู่ในพระราชวังแห่งนี้ ไข่มุกที่สวยงามอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน นั่นเป็นเหตุผลที่ใต้เท้ามู่ต้องชดใช้”

 

ก่อนที่มู่เจียงจะกล่าว ซวนเทียนหมิงกล่าวอีกครั้งว่า “ใต้เท้ามู่ต้องคิดอย่างรอบคอบ นั่นเป็นราคามิตรภาพแล้ว”

 

มู่เจียงพยักหน้าด้วยความยากลําบาก แต่ไข่มุกได้ถูกอธิบายโดยซวนเทียนฮั่วแล้ว ราคาควร เป็นเท่าไหร่ ? เขาครุ่นคิดอย่างหนัก อย่างไรก็ตามสิ่งที่เขาสามารถระบุได้คือ “ไข่มุก ไม่ควรถูก ทําลาย มัน…มันถูกปกคลุมด้วยเลือดนิดหน่อยขอรับ”

 

เพล้ง

 

ซวนเทียนหมิงหยิบจอกสุราของเขาแล้วปามันออกมาที่เท้าของมู่เจียง ทันใดนั้นห้องโถงทั้งห มดหันไปทางด้านนี้ แม้แต่คนคุยกันอยู่ก็หยุดพูดและกลั้นหายใจ พวกเขาต่างก็คาดเดาถึงจุดจบข องมู่เจียง

 

ซวนเทียนหมิงจึงถามมู่เจียง “เจ้าต้องการพูดว่าเจ้าต้องการให้ชายาขององค์ชายสวมไข่มุกที่เปื้อนเลือดของบุตรสาวเจ้าหรือ ?”

 

องค์ชายสี่, ซวนเทียนยี่ก็กล่าวขึ้นว่า “ไร้ยางอายจริงๆ”

 

มู่เจียงไม่สามารถยืนได้และคุกเข่าลงบนพื้นดิน “องค์ชาย ได้โปรดปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไป เจ้าหน้าที่ต่ําต้อยคนนี้ยินดีที่จะชดใช้พะยะค่ะ”

 

“ดีมาก” ซวนเทียนหมิงพยักหน้า “นี่มันมากกว่านี้ ตราบใดที่เจ้าเต็มใจก็จัดการได้ง่ายขึ้น” เขาจึงถามซวนเทียนฮั่ว “พี่เจ็ดรู้ดีที่สุดเกี่ยวกับมูลค่าของไข่มุก ให้พี่เจ็ดแจ้งราคาแล้วกัน”

 

ซวนเทียนฮั่วตกลง แต่ไม่รีบเร่งที่จะแจ้งราคา เขาถามมูเจียงแทน “เช่นนั้นให้ใต้เท้ามู่รายงานสภาพการเงินของตระกูลเจ้าก่อน สิ่งนี้จะทําให้องค์ชายผู้นี้เข้าใจ ด้วยวิธีนี้เราสามารถหลีกเลี่ยงการร้องขอเงินมากเกินไปซึ่งเจ้าจะไม่สามารถชําระเงินได้ ถ้าเราขอน้อยเกินไป มันจะไม่สามารถจ่ายค่าไข่มุกได้”

 

ทุกคนที่ได้ยินคําพูดเหล่านี้สั่น รายงานความมั่งคั่งของตระกูล? นี่กําลังจะเปลื้องผ้าเขา

 

เหงื่อหยดลงมาจากหน้าผากของมู่เจียงไปที่พื้นขณะที่หัวใจของเขาเริ่มสั่น รายงานความมั่งคั่งของตระกูล ? เขาไม่อยากรายงานความมั่งคั่งที่เขามี แต่เจ้าหน้าที่สามารถรายงานสภาพการเงินของตระกูลได้หรือไม่ ? ตระกูลใดไม่มีบัญชีแยกกันสองบัญชี สาธารณะหนึ่งบัญชี และบัญชีลับหนึ่งบัญชี หากเขารายงานต่อหน้าผู้คนจํานวนมาก มันจะเป็นการดีกว่าถ้าเขาถูกประหารทันที

 

ใบหน้าของเขาย่ําแย่มากและคุกเข่าโดยไม่พูดอะไร อย่างไรก็ตามในใจของเขาเขากําลังคิดอยู่ หากเขารายงานบัญชีสาธารณะของเขาอย่างเชื่อฟัง มันจะทําให้องค์ชายโกรธหรือไม่? พวกเขา จะประหารเขาทันทีหรือไม่? ในท้ายที่สุดเขายังต้องมีชีวิตอยู่

 

เมื่อเห็นว่ามูเจียงไม่ได้พูด ซวนเทียนฮั่วก็ไม่ได้รั้งแม้แต่น้อย เป็นเรื่องปกติถ้าฝ่ายค้านไม่กล่าว เขากล่าวว่า “ดูเหมือนว่าความทรงจําของใต้เท้ามู่นั้นไม่ค่อยดี ไม่สามารถจําเรื่องราวในตระกูลของเจ้าได้ จากนั้นให้องค์ชายคนนี้ช่วยเจ้าคํานวณมัน” ในขณะที่เขากล่าว ซวนเทียนฮั่วเริ่มเพิ่มสิ่งต่างๆจากเงินเดือนประจําปีของมู่เจียงในฐานะขุนนาง ไปจนถึงจํานวนที่ดิน ร้านค้าและคฤหาสน์ที่เขาเป็นเจ้าของในมณฑลหลู่ พวกมันทั้งหมดถูกวางไว้ในที่โล่ง

 

แน่นอนถ้าเป็นเช่นนี้มู่เจียงก็ไม่กลัว หลังจากทั้งหมดซึ่งอย่างเป็นทางการไม่ได้มีที่ดินและร้านค้า สิ่งนี้ไม่ปกติอีกต่อไป แต่สิ่งที่ทําให้เขารู้สึกหวาดกลัวก็คือซวนเทียนฮั่วสามารถพูดได้อย่างชัดเจนเกี่ยวกับการกระทําทุกอย่างที่ตระกูลมู่มี มีบางอย่างที่ตัวเขาเองยังไม่ชัดเจน เรื่องนี้ทําให้มู่เจียงรู้สึกตกใจ ในเวลาเดียวกันเขาก็เข้าใจว่าพวกเขาจะต้องตรวจสอบบัญชีลับของคฤหาสน์มู่อย่างลับๆ และมันก็ไม่ได้จํากัดอยู่แค่เพียงบัญชีเดียว

 

อย่างไรก็ตามสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่านี้คือสิ่งที่ซวนเทียนฮั่วกล่าวต่อไปนี้ “มีรายงานว่านี่ไม่ใช่แหล่งที่มาของความมั่งคั่งของตระกูลมู่ มณฑลหญ่เป็นมณฑลสุดท้ายของราชวงศ์ต้าชุนทางภาคใต้ ถัดจากหลานโจว และธุรกิจจํานวนมากจากอาณาจักรในภาคใต้จะต้องผ่านหลานโจวเพื่อทําธุรกิจกับ ราชวงศ์ต้าชุน นอกจากหลานโจว พวกเขาต้องผ่านมณฑลหลู่ ซึ่งมีผู้คนจํานวนมากเอามณฑลหลู่ เป็นสถานที่ที่พวกเขาจะทําธุรกิจของพวกเขา สําหรับธุรกิจทั้งหมดที่ต้องการเข้าสู่ราชวงศ์ต้าชุนนั้น หลานโจวเป็นสิ่งกีดขวางและมณฑลหลู่นั้นเป็นหนึ่งในนั้น ภาษีที่เกิดจากการค้านี้รวมถึง ภาษีที่ต้องชําระเมื่อเข้าสู่มณฑลหลู่นั้นไม่เคยเป็นส่วนหนึ่งในรายงานต่อราชวงศ์ต้าชุน บอกว่ามีเพียงธุรกิจเดียวเท่านั้นที่มา ดังนั้นจึงมีเพียงคนเดียว แต่ในความจริงแล้ว บางทีทั้งอาณาจักรเข้ามา และเมื่อเจ้าพูดว่าอาณาจักรผ่านมาอาจจะมีสิบ ลึกเข้าไปในทะเลทรายมีอาณาจักรเล็กๆทั้งสิ้น 16 อาณาจักร ใต้เท้ามู่ บุตรสาวคนหนึ่งของอนุจากคฤหาสน์ของเจ้าแต่งงานกับหนึ่งในอาณาจักรเหล่านั้น ในวันที่นางแต่งงาน ขบวนแห่สินสอดนั้นยาว 10 ลี้ มูลค่าของสิ่งนั้นคือหนึ่งในสามของความมั่งคั่งของอาณาจักรเล็กๆ ในเวลาเดียวกันของหมั้นที่พวกเขามอบให้นั้น เป็นเพียงการเดาะลิ้นของเจ้า องค์ชายผู้นี้ พูดอะไรผิดหรือไม่?”

 

มู่เจียงโขกศีรษะของเขากระแทกพื้น เขาไม่ได้พูดอะไรอีก

 

เจ้าหน้าที่ในห้องโถงทุกคนหายใจเข้าอย่างรวดเร็ว เจ้าหน้าที่ของภาคใต้ดีกว่าเล็กน้อยเนื่องจากพวกเขาชัดเจนในเรื่องนี้ แต่คนที่มาจากส่วนอื่นๆ รวมถึงเจ้าหน้าที่จากเมืองหลวงได้ยินเรี่องนี้เป็นครั้งแรก เมื่อได้ยินสิ่งนี้พวกเขารู้สึกตกใจ พวกเขาทั้งหมดเริ่มคํานวณ มู่เจียงมีความมั่งคั่งเพียงใด ? เมื่อบุตรสาวของอนุแต่งงานมีสินเดิมยาว 10 ลี้ และมันก็เพียงพอที่จะคุ้มค่าหนึ่งใน สามของความมั่งคั่งของอาณาจักรเล็กๆ ดังนั้นจะเกิดอะไรขึ้นถ้ามันเป็นบุตรสาวของฮูหยินใหญ่? มันจะเป็นเท่าไหร่?

 

ผู้คนถอนหายใจด้วยความตกใจ และสนใจในความมั่งคั่งของตระกูลมู่มากยิ่งขึ้น องค์ชายเห ล่านี้จะรีดไถเท่าไร

 

ซวนเทียนฮั่วเปล่งเสียงของเขาอีกครั้ง “ใต้เท้ามู่ ทุกสิ่งที่ควรพูด องค์ชายคนนี้ได้พูดไปแล้ว องค์ชายผู้นี้จะไม่พยายามบังคับให้เจ้าทําสิ่งที่เจ้าไม่อยากทํา ในระหว่างงานเลี้ยง คิดอย่างรอบคอบ พรุ่งนี้มาที่ตําหนักจุนเพื่ออธิบายแก่องค์ชายผู้นี้”

 

หลังจากที่เขาพูดจบ องค์ชายสี่ก็หัวเราะ “ใต้เท้ามู่ใครจะรู้ว่ามณฑลหลู่ของท่านจะร่ํารวย เนื่องจากเป็นกรณีนี้ องค์ชายคนนี้จะไม่ระงับเรื่องของบุตรสาวของเจ้าที่มีกระทบต่อคุณ

 

นูสามของตระกูลเฟิงนั้นเป็นสิ่งที่ข้าได้พิจารณามาระยะหนึ่งแล้ว ถ้าเป็นเช่นนั้นเพียงแค่ใช้ 10 เท่าของสินเดิมที่เจ้าส่งไปยังทะเลทรายเพื่อชดใช้สิ่งนี้ ปัจจุบันตระกูลเฟิงอยู่ในสถานะยากจนและมีเงินไม่มาก คุณหนูสามของตระกูลเฟิงเป็นผู้หญิงที่ยังไม่มีคู่หมั้น ในอนาคตนางจะต้องแต่งงาน แต่นางจะไม่สามารถพึ่งพาตระกูลเฟิงเพื่อให้สินเดิมกับนางได้มากมาย เราจะเตรียมเจ้าให้พร้อม ไม่ว่าเจ้าจะใช้เงินหรือสิ่งของ เราจะไม่พูดเล่นกับเจ้ามากกว่านั้น”

 

มู่เจียงได้ยินเรื่องนี้ พวกเขากักบริเวณเขาไว้ในบ้านในเมืองหลวง และเขากล่าวด้วยความกลัว “ต้องไม่ทําเช่นนั้น มณฑลหลู่เป็นมณฑลสุดท้ายในภาคใต้ หากเจ้าหน้าที่ผู้ต่ําต้อยคนนี้ไม่กลับไป มีเรื่องสําคัญที่ซับซ้อน…”

 

“นี่ไม่ใช่ปัญหา” ซวนเทียนหมิงกล่าวขึ้น “องค์ชายองค์นี้จะส่งคนไปทําหน้าที่แทนและดู แลมณฑลหญ่ เมื่อเรื่องต่าง ๆ ในเมืองหลวงได้รับการจัดการ เราจะให้คนไปส่งเจ้ากลับ”

 

เมื่อได้ยินคําพูดเหล่านั้น มันก็เหมือนกับการทําให้มู่เจียงกลายเป็นหุ่นเชิด ใครจะรู้ว่าต้องใช้เวลานานเท่าใดกว่าจะได้รับการแก้ไข จากเมืองหลวงไปภาคใต้ใช้เวลาอย่างน้อยสองเดือน คนที่ไปแทนเขาได้เป็นอย่างดีอาจบีบเขาออก นี่เป็นเรื่องใหญ่

 

ทัศนคติของเขาแน่วแน่มากส่ายหัวแล้วกล่าวว่า “ไม่ดีแน่ๆพะยะค่ะ”

 

อย่างไรก็ตามซวนเทียนหมิงพยักหน้า “เมื่อลอร์ดมู่ไม่เห็นด้วย ก็ลืมมันไปซะ”

 

“หืม? ” ทุกคนสับสน องค์ชายเก้ายอมแพ้สิ่งนี้อย่างรวดเร็ว? นี่ไม่ใช่นิสัยของเขา

 

แน่นอนว่านี่ไม่ใช่นิสัยของซวนเทียนหมิง นิสัยของเขาคือ “งั้นมารายงานกันเจ้าจะบอกว่า องค์หญิงจีอันขุดเนื้อที่ฝ่ามือของบุตรสาวของเจ้า เราจะบอกว่าเจ้ายักยอกเงินจากภาษีที่ค้างชําระต่อราชสํานัก เงินจํานวนมาก มันควรจะเพียงพอสําหรับการประหารชีวิตใช่หรือไม่? ” ในขณะที่เขากล่าว เขามองไปที่ขุนนางขั้นหนึ่งที่อยู่ในความดูแลของราชสํานัก “ใต้เท้าซู ควรค่าแก่การประหารชีวิตหรือไม่”

 

เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบของราชสํานักนั้นสอดคล้องกับซวนเทียนหมิงมากที่สุด เมื่อได้ยินเขาถาม เขาก็ลุกขึ้นอย่างรวดเร็วและตอบกลับว่า “เพียงพอพะยะค่ะ”

 

ซวนเทียนหมิงจึงพยักหน้า “จากนั้นเราจะทําอย่างนั้น”

 

มู่เจียงตกตะลึง และรีบตะโกนว่า “ไม่ ไม่ เราทําแบบนั้นไม่ได้พะยะค่ะ รอสักครู่” จากนั้นเขามองไปที่ซวนเทียนหมิง ในดวงตาของเขามีความโกรธเล็กน้อย อย่างไรก็ตามมีความสิ้นหวังมากขึ้น ในที่สุดเขาก็ยอมแพ้ “ลืมไปเถิดพะยะค่ะ การชดใช้ที่กล่าวถึงก่อนหน้านี้ เจ้าหน้าที่ผู้ต่ําต้อยคนนี้จะยอมรับมันพะยะค่ะ”

 

“มันมากกว่านั้น” ซวนเทียนหมิงกล่าวขึ้น “ถ้าเจ้ามีเงินแค่จ่ายมัน ยืนยันว่าการใช้ชีวิตของ เจ้าเป็นการแลกเปลี่ยน ใต้เท้ามู่เป็นคนโง่ในการคํานวณหนี้นี้”

 

“จากนั้นทําตามนี้” องค์ชายคนที่สี่, ซวนเทียนยี่ยังคงแสดงตัวตนไม่เสร็จ “อนุญาตให้ข้าทําต่อไป นอกจากสินสอดทองหมั้นเป็นการชดใช้ ข้ามีอีกสองข้อที่ต้องการเรียกร้อง”

 

Related

ตอนที่ 695 ลูกศิษย์จะต้องแก้แค้นให้กับอาจารย์

 

ต้องมีการกล่าวว่าความสามารถของจาวเหลียนในการแยกแยะเสียงได้รับการฝึกฝน เมื่อเขายังคงถูกใช้เป็นหนูลองยาในเฉียนโจว

 

เป็นเวลานานที่ดวงตาของเขาไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน ว่าเป็นผลโดยตรงของยา การสูญเสียการมองเห็นนี้ยังคงดําเนินต่อไปเกือบสองปีเต็ม ในช่วงสองปีที่เขาได้ยินแต่มองไม่เห็น ในเรื่องที่เกี่ยวกับคนที่เข้ามาใกล้ เขาเพียงแค่ใช้ความสามารถในการได้ยินเท่านั้น เขาจึงสามารถบอกได้ว่าใครเป็นใคร จุดประสงค์ของพวกเขาคืออะไรและทําอะไรอยู่ นอกจากนี้ยังบอกเขาว่าพวกเขาจะใช้ยาต่อไปหรือฆ่าเขา

 

ในช่วงสองปีที่ผ่านมานั้น เขาฝึกการได้ยินจนถึงขีดจํากัด ตราบใดที่เขาต้องการ เขาสามารถจดจําเสียงของผู้คนได้อย่างแม่นยํา ไม่ว่าเขาจะได้ยินเสียงของพวกเขานานแค่ไหนก็ตาม

 

ในปัจจุบันจาวเหลียนชี้ไปที่บรรดาฮูหยินและคุณหนูที่เรือนทําให้ความสามารถของเขาเต็มไปด้วยการแสดง “เห็นคนที่ใส่ชุดสีชมพูหรือไม่? ใช่ คนที่มีปิ่นปักผมสีทอง นางเป็นคุณหนูของฮูหยินใหญ่ของเจ้าเมืองกวนโจวในมณฑลหลู่ แซ่ของนางคือหยวน จดไว้ นางเป็นหนึ่งในคนที่ออกมาข้างนอก”

 

“นอกจากนั้นยังมีหญิงชุดสีม่วงที่ดูน่าเกลียด นางเป็นคุณหนูของฮูหยินใหญ่ของเจ้าเมืองปิง โจว แซ่ลี่ นางก็เช่นกัน!”

 

“คุณหนูของฮูหยินใหญ่ของเจ้าเมืองจาวโจวใช้แซ่ซัน คุณหนูใหญ่ของฮูหยินใหญ่ของเจ้า เมืองเชอโจว และคุณหนูรองแซ่หวู่ บุตรสาวของอนุของเจ้าเมืองโจว, แซ่หวัง…”

 

เช่นนี้จาวเหลียนจําชื่อทั้งหมดสิบคน

 

เฟิงหยูเฮงจดชื่อทั้งหมดเหล่านี้ลงในสมุดบันทึกของนางอย่างจริงจังจากนั้นจึงตรวจสอบ ความถูกต้องเพื่อให้แน่ใจว่านางจําได้ทั้งหมด จากนั้นนางก็กล่าวกับจาวเหลียน “เจ้าทําได้ดีมากในเรื่องนี้”

 

จาวเหลียนมีความสุขมาก “แน่นอน จากนั้นเขาก็กล่าวว่า “เจ้าต้องไม่ปล่อยพวกผู้หญิงที่พูดจาร้ายกาจพวกนี้ไป”

 

เฟิงหยูเฮงพยักหน้า “อย่ากังวล ข้าจะไม่ยอมปล่อยไปแม้แต่คนเดียว”

 

ผู้คนถอนหายใจเพราะคิดถึงชื่อของบรรดาคุณหนูที่ถูกเขียนลงไป เมื่อเจอคนที่ร้ายกาจเช่นนี้ พวกนางโชคร้ายจริงๆ!

 

จาวเหลียนเสร็จสิ้นการบอกชื่อคนเหล่านั้น จากนั้นเขาก็เอ่ยกับเฟิงหยูเองว่า “อาเฮง ดูสิ ข้าช่วยเจ้าในเรื่องสําคัญ เจ้าควรทําอะไรเพื่อแสดงความขอบคุณข้า ?”

 

“หืม ? ” เพิ่งหยูเฮงมองไปที่เขา “เจ้าอยากมีหน้าอกใช่หรือไม่ ? ”

 

“ฮะ!” จาวเหลียนกระทืบเท้า “ทําไมวันนี้ข้าถึงเข้ามาในพระราชวัง? การตอบแทนของเจ้าง่ายมาก ! สร้างโอกาสให้ข้าได้อยู่กับพี่เจ็ดของเจ้า เจ้าเข้าใจหรือไม่? “

 

ก่อนที่เฟิงหยูเฮงจะกล่าวออกมา เฟิงเซียงหรูขมวดคิ้วและตะโกน “เจ้ากําลังพูดเรื่องอะไร ?

 

เฟิงหยูเฮงพยักหน้า “ใช่ เจ้ากําลังพูดเรื่องอะไร พี่เจ็ดไม่สนใจผู้ชาย”

 

“พวกผู้ชายยังคิดว่าข้าเป็นผู้หญิง” ความสามารถของจาวเหลียนในการเปลี่ยนเพศของตัวเองค่อนข้างน่าทึ่ง

 

เฟิงหยูเฮงถามว่า “ผู้หญิงหรือ ? ข้าสามารถทําได้ แต่เจ้าสามารถให้กําเนิดบุตรได้หรือไม่? ”

 

คําพูดเหล่านี้ทําให้ซวนเทียนเก้อหัวเราะ

 

ในขณะที่พวกเขากําลังสนุกสนาม ในตอนท้ายสมาชิกหญิงของตระกูลเหยาเข้ามาในสนาม และมุ่งหน้าไปในทิศทางของพวกนาง เฟิงหยูเฮงเตือนจาวเหลียนอย่างรวดเร็ว “หุบปาก อย่าทําให้ข้าเสียหน้าเลย” จากนั้นนางลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปข้างหน้าเพื่อรับพวกนาง “อาเฮงคารวะท่านป้าเจ้าค่ะ” ในขณะที่พูด

 

ลูกสะใภ้ทั้งสามคนของตระกูลเหยาช่วยนาง และซูชื่อกล่าวว่า “อาเฮง อย่าทําแบบนี้ ที่นี่คือพระราชวังของฮ่องเต้ และเจ้าก็เป็นองค์หญิง” หลังจากพูดอย่างนี้นางดึงน้องสาวสองคนมาทักทายซวนเทียนเก้อ

 

ซวนเทียนเก้อสุภาพมากต่อสมาชิกของตระกูลเหยา เมื่อนางยิ้มขณะพูดกับพวกนาง ส่วนหลู่เหยาที่ตามหลังทั้งสามนางก็ก้าวไปข้างหน้าแล้วโค้งคํานับเฟิงหยูเฮง “คารวะน้องสาวอาเฮง”

 

เฟิงหยูเฮงเหวี่ยงริมฝีปากของนางด้วยรอยยิ้มอ่อนๆ และกล่าวว่า “คารวะฮูหยินน้อยเหยา” อย่างไรก็ตามไม่มีความรู้สึกใกล้ชิดเลยขณะที่นางทําเป็นหูหนวกกับคําว่าน้องสาวอาเฮง

 

หลู่เหยาปรากฏตัวที่น่าอึดอัดใจมาก อย่างไรก็ตามซวนเทียนเก้อเห็นหลู่หยานซึ่งอยู่ไม่ไกลมากกําลังมองดู และกลอกตานางด้วยความเหยียดหยาม นางอดไม่ได้ที่จะเข้าใกล้เฟิงหยูเฮง และกระซิบเบาๆว่า “ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ระหว่างบุตรสาวสองคนของฮูหยินใหญ่ตระกูลหลู่นั้นไม่ดีจริงๆ”

 

เฟิงหยูเฮงคิดกับตัวเองเป็นไปได้ไหมที่จะเป็นคนดี? พวกเขาไม่ได้เกิดมาจากมารดาคนเดียวกัน แต่พวกนางทั้งคู่เป็นบุตรสาวของฮูหยินใหญ่ การแบ่งแยกเช่นนี้จะทําให้ทุกตระกูลขาดความสงบสุข ยิ่งไปกว่านั้นมันเป็นตระกูลหลู่ นางไม่ได้ให้ความสนใจกับหลู่เหยาอีกต่อไป และหันไปคุยกับป้าของนาง สําหรับทั้งสามพวกนางได้เตรียมการล่วงหน้าอย่างชัดเจน เมื่อเห็นเฟิงเซียงหรู พวกนางก็มอบของกํานัลให้นางเมื่อพบกัน เฟิงหยูเฮงให้ความสนใจและเห็นว่าพวกมันเป็นสมบัติทั้งหมด

 

เพิ่งเชียงหรูรู้สึกตกใจเล็กน้อยจากการได้รับความโปรดปราน และนางก็อดไม่ได้ที่จะมองไปที่ เฟิงหยูเฮง ราวกับว่านางไม่กล้ารับถ้าพี่รองของนางไม่เห็นด้วย

 

เฟิงหยูเฮงกล่าวกับนางอย่างไร้ปัญหา “บุตรสาวของอนุได้แบ่งปันญาติของบุต รสาวของฮูหยินใหญ่เสมอ นั่นเป็นสาเหตุที่ตระกูลเหยาไม่ได้เกี่ยวข้องกับข้าเท่านั้น มันเกี่ยวข้องกับเจ้าเช่นกัน จะกลัวอะไรเมื่อได้รับของกํานัลจากท่านป้า ? เป็นไปได้หรือไม่ที่เจ้ากลัวว่าจะยอมรับสิ่งเหล่านี้ ตระกูลเหยาจะกลายเป็นคนจน”

 

เฟิงเซียงหรูรู้สึกอายเล็กน้อยจากสิ่งที่นางพูด หลังจากคิดเล็กน้อยนางก็มาถึงข้อสรุปเดียวกัน ดังนั้นนางจึงยอมรับของกํานัล หลังจากการทักทายทุกคนก็ยังคุยกันอย่างอบอุ่น

 

ฝั่งของพวกนางนั้นอาจจะสงบสุขได้ แต่ด้านหน้าของพระราชวังนั้นสงบน้อยลงเล็กน้อย

 

ในขณะที่มีรายงานว่าเฟิงเซียงหรูถูกคุณหนูตระกูลมู่ตบหน้า องค์ชายสี่ซวนเทียนยื่นั่งถัดจากซวนเทียนหมิง ใครจะรู้ว่าความคิดแบบใดที่อยู่ในใจของเขา ในขณะที่เขากําลังพูดคุยกับซวนเทียนหมิงเกี่ยวกับเฟิงหยูเฮง เมื่อพวกเขาพูดคุยและการสนทนาก็จบลงที่เฟิงเซียงหรู ซวนเทียนหมิงไม่รู้ในตอนแรกว่าองค์ชายสี่มีอะไร ทําไมหลังจากที่ถูกขังไว้หนึ่งปี เขาสูญเสียทหารของเขาและสนใจผู้หญิง ? แต่หลังจากคิดไปเล็กน้อย เฟิงหยูเฮงดูเหมือนจะพูดกับเขาว่าพี่สี่สนใจเฟิงเซียงหรู เขาจึงไม่เย็นชาต่อไป อย่างน้อยที่สุดพวกเขาก็สามารถคุยกันได้เล็กน้อย อย่างไรก็ตาม แม้ว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาในฐานะพี่น้องจะไม่ดีในอดีต ถ้าพี่สี่หมั้นกับเฟิงเซียงหรู ความสัมพันธ์ก็จะดีขึ้นอีกระดับ นอกจากนี้ชายาของเขาปฏิบัติต่อน้องสามของนางเป็นอย่างดี

 

เมื่อซวนเทียนยี่ได้ยินเกี่ยวกับข่าวของเชียงหรู เขาไม่ได้ตอบสนองทันที เขาแค่ถามคนที่อยู่ข้างเขาด้วยความงุนงง “น้องเก้า พวกเขาพูดเรื่องอะไรกัน ?”

 

ซวนเทียนหมิงเล่าซ้ําสิ่งที่เพิ่งพูดไปโดยไม่คิดว่ามันเป็นความเจ็บปวด แต่เมื่อมีการกล่าวว่าเฟิงหยูเฮงขุดมือเล็กๆของคุณหนู เขาไม่สามารถหยุดตัวเองจากการปรบมือ เขาแหย่พี่สี่ “ขอให้อาจารย์ของท่านพี่เรียนรู้จากพี่สาวของนางเล็กน้อย”

 

ซวนเทียนยี่ยืนขึ้นด้วยท้องที่เต็มไปด้วยความโกรธทันที “นั่นคือสิ่งที่เรียนรู้ได้หรือไม่ ? ชายาของเจ้าช่างกล้าหาญ! เซียงหรูของข้า…. อาจารย์ของข้าเป็นเด็กผู้หญิงที่น่ารัก”

 

“อืม” ซวนเทียนหมิงพยักหน้าเตือนเขาว่า “อาจารย์ที่น่ารักของเสด็จพี่ถูกรังแกจากใค รบางคน แม้ว่าพี่รองของนางจะช่วยระบายความโกรธให้นาง แต่เสด็จพี่ไม่ควรแสดงออกว่าเป็นลูกศิษย์ของนางหรือ ?”

 

ซวนเทียนยี่เห็นด้วยกับคําเหล่านี้อย่างมาก เขาจึงยกมือขึ้นเรียกบ่าวรับใช้ในพระราชวังสั่งเขา “มองหารอบๆห้องโถงนี้ ค้นหาเจ้าเมืองหลู่, มู่เจียง ให้เขามาพบข้าทันที”

 

บ่าวรับใช้ในพระราชวังได้รับคําสั่งและรีบไปค้นหา ไม่นานมู่เจียงก็ถูกพาไปที่องค์ชายทั้งสอง

 

เมื่อมู่เจียงได้ยินว่าองค์ชายสี่ตามหาเขา เขาก็ไม่ได้คิดมาก หลังจากที่ทุกข่าวขององค์ชายสี่ก่อกบฏและถูกคุมขังไม่ได้เป็นความลับมาก ทุกคนรู้ว่าองค์ชายผู้นี้ไร้ค่าอย่างแน่นอน เขาจะไม่สามารถทําให้เกิดคลื่นลมใดๆอีกต่อไป แต่เมื่อเขามาถึงหน้าทั้งสอง เขาพบว่าแม้ว่าจะเป็นองค์ชายสี่ที่เรียกเขา คนที่นั่งอยู่ข้างองค์ชายสี่ก็เป็นคนที่มองเขาด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย บุคคลนั้นคือซวนเทียนหมิง! แม้ว่าผู้คนในภาคใต้จะใกล้ชิดกับองค์ชายแปด, ซวนเทียนโม่ แต่ตอนนี้พวกเขาอยู่ในเมืองหลวงและในพระราชวังของฮ่องเต้ องค์ชายเก้าก็เป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ หากพวกเขาไม่กลัว เขานั่นก็ไม่ดี

 

มู่เจียงมาถึงหน้าทั้งสองและคารวะพวกเขาด้วยความเคารพ ก่อนที่เขาจะถามว่าเกิดอะไรขึ้น เขาได้ยินซวนเทียนกล่าวว่า “มู่เจียง บุตรสาวของเจ้าตบหน้าอาจารย์ของข้า เจ้าคิดว่าหนี้นี้ควร จะชําระอย่างไร ?”

 

“หืม ? ” มู่เจียงตกใจมากเมื่อได้ยินเรื่องนี้ บุตรสาวของเขาตบหน้าอาจารย์ขององค์ชาย ? เป็นเรื่องตลก! ผู้หญิงจะตบอาจารย์ขององค์ชายได้อย่างไร?

 

เมื่อเห็นว่าเขาตัวแข็งที่อเช่นนั้นและไม่ตอบสนองเป็นเวลานาน ซวนเทียนยี่ต้องเตือนเขาว่า “เมื่อปีที่แล้วเมื่อข้าถูกจําคุก ท่านพ่อจัดอาจารย์เย็บปักให้ข้า เมื่อมันเกิดขึ้น คุณหนูสามตระกูลเฟิงเป็นอาจารย์ของข้า ใต้เท้ามู่จําไม่ได้หรือ?”

 

“อา !” มู่เจียงลั่น และจําเรื่องนี้ได้ในทันที ในไม่ช้าเขาก็เปียกโชกไปด้วยเหงื่อเย็น แต่หลังจากคิดไปเล็กน้อยเขาก็ฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว และกล่าวอย่างเคารพ “เรื่องระหว่างผู้หญิงเป็นเพียงข้อขัดแย้งเล็กน้อย มันเป็นความผิดที่ข้าไม่เข้มงวดกับบุตรสาวของข้ามากนัก และนางก็ถูกลงโทษโดยองค์หญิงจี่อันแล้วสําหรับเรื่องนี้ องค์ชายสี่โปรดอภัยด้วยพะยะค่ะ”

 

“โอ้” ซวนเทียนยี่พยักหน้า “องค์หญิงจี่อันเป็นพี่สาวของคุณหนูสามตระกูลเฟิง การเริ่มต้นเป็นสิ่งที่นางควรทํา แต่นั่นเป็นสิ่งที่อยู่ระหว่างพวกเขา ในปัจจุบันข้ากําลังถามเจ้าเกี่ยวกับหนี้สําหรับอาจารย์ของข้า เจ้าไม่สามารถนําเรื่องเหล่านี้เข้ามารวมกัน ! ตระกูลเฟิงได้ลงมือทําเพื่อบุตรสาว แต่ราชวงศ์ของเราไม่สามารถอยู่ได้เมื่อมีคนดูหมิ่นองค์ชาย!” ในขณะที่พูดเขามองไปที่มู่เจียง เมื่อเขามองอีกต่อไป ความโกรธแค้นของเขาก็เพิ่มขึ้น หากไม่ใช่เพราะบุคลิกภาพของเขาเริ่มอ่อนแอหลังจากถูกขังอยู่ในตําหนักปิงมาเป็นเวลา 1 ปี เขาจะเตะมู่เจียงไปไกล แต่หลังจากคิดไปเล็กน้อย ถ้าเป็นเช่นนี้ในอดีตที่ผ่านมา เฟิงเซียงหรูจะไม่ใช้แม้แต่หางตาเหลือบมอง และสิ่งนี้ทําให้เขารู้สึกมีอารมณ์เล็กน้อย เขาคิดกับตัวเองว่าโชคชะตานําพาผู้คนอยู่ในโลกนี้

เขาถอนหายใจ และกล่าวว่า “ลืมมัน การพูดคุยกับเจ้าเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้นั้นไร้ประโยชน์ เสด็จพ่อเป็นคนใจดี ในวันนี้ทําให้ข้าเข้ามาในพระราชวังเพื่อเข้าร่วมงานเลี้ยง อย่างไรก็ตามท่านพ่อใช้โอกาสนี้เพื่อดูว่านิสัยของข้าเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร สิ่งที่น่าสนใจที่สุดคือผลลัพธ์ของปีนี้ ข้านําผ้าปักไปไว้ในพระราชวัง และอยากให้เสด็จพ่อเห็นพวกมัน ข้าจะมุ่งหน้าไปยังห้องโถง เพื่อพูดคุยกับเสด็จพ่อ เสด็จพ่ออยากพบคุณหนูสามตระกูลเฟิง แต่ดูเหมือนว่ามันจะเป็นไปไม่ได้ในตอนนี้

 

หลังจากพูดเสร็จเขาก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไป

 

มู่เจียงรีบพุ่งไปจับซวนเทียนยี่ด้วยความหวาดกลัว และร้องออกมา “องค์ชายได้โปรดเมตตาด้วยพะยะค่ะ! ฝาบาทขอโปรดเมตตาด้วยพะยะค่ะ !”

 

“ไปกันเถิด !” ซวนเทียนยี่ผลักมู่เจียงออกไปอย่างรังเกียจ ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นแม่ทัพ ขุนนางสามารถทนต่อสิ่งนี้ได้หรือไม่? ถ้าไม่ใช่เพราะบ่าวรับใช้ในพระราชวังประคองเขา มู่เจียงก็จะล้มลงกับพื้นอย่างแน่นอน

 

ในเรื่องนี้มู่เจียงไม่กล้ามีข้อร้องเรียนใด ๆ ไม่เพียงแต่บุตรสาวของเขาจะสร้างปัญหาใหญ่และทําให้องค์หญิงจี่อันขุ่นเคือง แต่นางก็สร้างความขุ่นเคืองให้องค์ชายสี่ในขณะที่นางอยู่ที่ 1 นั่นด้วย ในขณะนี้เขาแค่หวังว่าเรื่องใหญ่นี้จะกลายเป็นเรื่องเล็ก เขาหวังว่าจะไม่ทําให้เกิดปัญหาใหญ่ ถ้าฮ่องเต้ทรงทราบเรื่องนี้ อนาคตของเขาจะดับวูบ !

 

มู่เจียงจึงก้าวไปข้างหน้าอีกครั้ง แล้วคํานับอีกแล้วกล่าวว่า “องค์ชาย ได้โปรดสงบก่อนพะยะค่ะ เราสามารถตกลงกันในเรื่องนี้ได้ ตราบใดที่องค์ชายมีคําขอใดๆ เจ้าหน้าที่ผู้นี้จะปฏิบัติตามพะยะคะ”

 

เมื่อซวนเทียนยี่ได้ยินว่าเขายอมรับคําขอโดยไม่มีข้อแม้ใดๆ เขาค่อนข้างพอใจเขาจึงเริ่มไตร่ตรองอย่างจริงจัง สิ่งนี้ควรได้รับการแก้ไขอย่างไร ?

 

แต่ก่อนที่เขาจะสามารถคิดได้ เขาได้ยินเสียงที่ไม่ได้อยู่ในโลกนี้พูดจากฝูงชนขององค์ชาย “ใต้เท้ามู่ เราคุยกันก่อนว่าท่านวางแผนจะชดใช้ไข่มุกจากทะเลตะวันออกที่องค์ชายผู้นี้มอบให้องค์หญิงจี่อันอย่างไร?”

 

Related

ตอนที่ 694 จดลงบันทึก

 

ทุกคนคุกเข่าทักทายองค์หญิง ในสถานการณ์ที่เคร่งขรึมบางคนก็จามทันที การรบกวนแบบนี้จริงๆ ไม่ค่อยดีนัก ยิ่งไปกว่านั้นจามนี้ดูเหมือนจะเกิดขึ้นในทันที คุณหนูผู้นั้นไม่สามารถแม้แต่จะปิดปากของนางได้ นางพยายามอย่างมากที่จะทําให้มันเงียบ การจามปล่อยออกไปอย่างเปิดเผยและผู้คนส่วนใหญ่ในสวนได้ยิน

 

ซวนเทียนเก้อถามโดยไม่รู้ตัว “ใครจาม ?”

 

ท่ามกลางฝูงชน มีเด็กสาวคนหนึ่งสั่นเทาด้วยความกลัวและตอบว่า “หม่อมฉันเองเพคะ” น้ำเสียงนั้นเกือบจะร้องให้แล้วเพราะนางกลัวอย่างชัดเจน

 

บ่าวรับใช้ที่อยู่ข้างๆ นางรีบปกป้องเจ้านายของนาง “องค์หญิงได้โปรดยกโทษให้เราด้วยเพคะ ! คุณหนูของเราแพ้ละอองเกสรและกลิ่นของดอกไม้ในสวนค่อนข้างแรง คุณหนูจึงไม่สามารถกลั้นเอาไว้ได้ องค์หญิงโปรดให้อภัยด้วยเพคะ”

 

ทุกคนมองไปที่เด็กผู้หญิงที่จาม มันเป็นบุตรสาวของขุนนางจากมณฑล และมีคนไม่มากที่จํานางได้ แต่ก็ยังมีคนที่จําได้ ก่อนหน้านี้เมื่อทุกคนรวมตัวกันในแวดวงเล็ก ๆ ของตัวเอง ผู้หญิงคนนี้ยังคงอยู่ไกลออกไปขณะปิดจมูกตลอดเวลา

 

ซวนเทียนเก้อไม่คิดมากเพียงกล่าวว่า “เนื่องจากมีเหตุผลที่ดี ทุกคนลุกขึ้นได้ มันเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย ไม่จําเป็นต้องคํานึงถึงมัน วันนี้เป็นเทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วง การที่ทุกคนสนุกสนานจะดีที่สุด”

 

เมื่อนางพูดสิ่งนี้ ในที่สุดคุณหนูก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกนานแล้วขอบคุณนางอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตามซวนเทียนเก้อพึมพํา “แต่วันนี้กลิ่นหอมนั้นแรงไปหน่อย”

 

ทุกคนยืนขึ้นและกลับไปที่กลุ่มเล็ก ๆ ของพวกเขา ผู้หญิงจากเมืองหลวงจะคุ้นเคยกันโดยธรรมชาติ และมีไม่กี่คนที่มาจากมณฑลที่รู้จักผู้คนในเมืองหลวง ทุกคนรวมตัวกันและพูดคุยกันไปมา มันมีชีวิตชีวามาก ในช่วงเวลานี้มีคนไม่กี่คนที่ใช้ความคิดริเริ่มที่จะก้าวไปข้างหน้า และทักทายซวนเทียนเก้อกับเฟิงหยูเฮง สายตาที่ประจบประแจงบนใบหน้าของพวกนางมีความชัดเจนมาก

 

เมื่อต้องเผชิญกับคนเหล่านี้ ซวนเทียนเก้อและเฟิงหยูเฮงไม่ได้ปฏิเสธพวกนางอย่างรุนแรง พวกนางไม่ได้ปฏิเสธแม้แต่คนเดียวที่มาและพวกนางสามารถสนทนากับทุกคนได้อย่างอบอุ่น สิ่งนี้ทําให้เกิดความบ้าคลั่งและความผิดพลาดของเด็ก ๆ ทําให้พวกนางมีความสัมพันธ์กับองค์หญิงหวู่หยางและองค์หญิงจี่อัน แต่ทําไมเมื่อพวกนางหันหลังกลับและคิดเกี่ยวกับมัน พวกนางจําไม่ได้ว่าพูดคุยเรื่องอะไร ดูเหมือนว่าทั้งสองไม่เคยถามแม้แต่ว่าพวกนางมาจากครอบครัวอะไร พวกเขาแค่สุภาพและพยายามอย่างเต็มที่เพื่อรักษาบรรยากาศ

 

เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ มันคงหนีไม่พ้นที่พวกนางจะเริ่มรู้สึกไม่พอใจและเกิดความขุ่นเคือง สิ่งเหล่านี้จะทําให้ผู้อื่นก้าวไปข้างหน้าเพื่อลอง แต่ก็ยังมีกลุ่มคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่สามารถรบกวนสิ่งอื่นได้ การดํารงอยู่ของจาวเหลียนทําให้พวกนางคลั่งไคล้ ชุดสีแดงนั้นเด่นชัดมาก และเขามีใบหน้าที่ทําให้แม้แต่ดวงอาทิตย์ก็สูญเสียความเงางามไป บรรดาฮูหยินและคุณหนูทุกคนเกลียดที่พวกนางไม่ใช่ผู้ชายในเวลานี้ หากพวกนางเป็นผู้ชาย พวกนางต้องการพาผู้หญิงคนนี้กลับไปที่คฤหาสน์ของพวกนาง และยินดีที่จะยอมรับคําขอใด ๆ”

 

ในด้านนั้นมีคนกลุ่มใหญ่มารวมตัวกันรอบ ๆ จาวเหลียนและถามทุกสิ่ง แม้ว่าจาวเหลียนจะพูดในลักษณะที่น่าหงุดหงิดหากเขาต้องการ แต่ก็ไม่มีสถานการณ์ใดที่เขาไม่สามารถบังคับตัวเองให้รับมือกับมันได้ ดังนั้นเขาจึงยังคงอยู่ในกลุ่มคุณหนูที่หลงใหลคลั่งไคล้อย่างรุนแรงซึ่งก่อให้เกิดความปั่นป่วน ในอีกด้านหนึ่งเมื่อจัดการกับคนสุดท้ายที่ต้องการจะประจบประแจง ซวนเทียนเก้อก็ดึงเฟิงหยูเฮงไปหาที่เงียบ ๆ จากนั้นนางก็พูดว่า “สนามนี้มีกลิ่นหอมมากในวันนี้

 

เซียงหรูคิดเรื่องนี้จากนั้นกล่าวว่า “ข้าเห็นว่ามีดอกไม้จํานวนมากที่เอามาปลูกในสวนนี้ในภายหลัง เมื่อคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว ฮ่องเต้จะต้องนําดอกไม้เหล่านี้มาทั้งหมดสําหรับงานเลี้ยง นั่นเป็นเหตุผลว่าทําไมกลิ่นจึงถึงแรงใช่หรือไม่ ?”

 

อย่างไรก็ตามเฟิงหยูเฮงส่ายหน้า “ดอกไม้และต้นไม้จะมีกลิ่นของตัวเอง แต่มันไม่ใช่กลิ่นนี้”

 

ซวนเทียนเก้อยังกล่าวอีกว่า “ใช่แล้ว นี่ไม่ใช่กลิ่นของดอกไม้ คุณหนูที่จามไม่ได้จามเพราะแพ้ละอองเกสรหรอกหรือ ?”

 

เฟิงหยูเฮงมีอํานาจค่อนข้างน้อยในเรื่องนี้โดยอธิบายทั้งสองว่า “เกสรไม่ได้เป็นเพียงสิ่งเดียวที่ผู้คนแพ้ กลิ่นยังเป็นไปได้ เหตุผลที่นางจามมักเป็นผลมาจากการหายใจ นางมีความรู้สึกไวต่อกลิ่นที่แรงเช่นนี้ มันจะทําให้นางรู้สึกไม่สบาย”

 

แต่เฟิงหยูเฮงรู้ว่านอกจากจมูกอ่อน ๆ แล้วคนอื่น ๆ ก็คงไม่นึกถึงกลิ่นนี้มากนัก แม้ว่าใครบางคนคิดว่ากลิ่นนี้ไม่ได้มาจากดอกไม้และต้นไม้โดยมีบรรดาฮูหยินและคุณหนูมากมายมารวมตัวกันในที่เดียว และพวกนางทั้งหมดใส่น้ำหอมเล็กน้อย กลิ่นจะกลายเป็นชัดเจนขึ้นตามธรรมชาติ นี่คืออะไร ยิ่งนั้นมันไม่ได้มีกลิ่นเหม็น

 

นางมองไปรอบ ๆ ซึ่งทําให้ซวนเทียนเก้องงงวย “เจ้ามองอะไร ? เจ้าเห็นคุณหนูสี่ ตระกูลเฟิงหรือไม่ ? ข้าเห็นนางพูดกับบุตรสาวจากตระกูลหลู่”

 

เมื่อได้ยินการกล่าวถึงบุตรสาวของตระกูลหลู่ เฟิงหยูเฮงกล่าวในทันที่ว่า “ข้ากําลังมองหาบุตรสาวจากตระกูลหลู่ แต่ไม่ใช่คนที่เจ้ากําลังพูดถึง ครอบครัวของพวกเขามีบุตรสาว 3 คนใช่หรือไม่ ? ”

 

ซวนเทียนเก้อพยักหน้า “ใช่ เนื่องจากเสนาบดีหญ่มีฮูหยินใหญ่ 2 คนจึงมีบุตรสาวของฮูหยินใหญ่ 2 คน คนหนึ่งคือหลู่เหยาที่แต่งงานกับตระกูลเหยา อีกคนชื่อหมู่หยาน ส่วนอีกคนข้าไม่รู้จัก นางไม่ค่อยออกมาข้างนอก”

 

เฟิงหยูเฮงกล่าวว่า “คนที่ข้ากําลังมองหาคือคนที่ไม่เคยมาก่อน” น้ำหอมกลิ่นแรงนี้ทําให้นางจําสถานการณ์นั้นได้ที่หน้าร้านขายเครื่องประดับ ในเวลานั้นมีกลิ่นตัวแรงออกมาจากร่างของหญิงสาว และนางก็จําบ่าวรับใช้ที่อยู่ข้าง ๆ นางว่ามาจากคฤหาสน์หลู่ บ่าวรับใช้จากคฤหาสน์ตามธรรมชาติไม่สามารถดูแลคุณหนูจากคฤหาสน์ที่แตกต่างกัน สําหรับหลู่เหยา นางรู้จักอีกฝ่าย ดังนั้นคนที่อยู่ด้านข้างของบ่าวรับใช้จะเป็นหนึ่งในสองคุณหนู สําหรับตระกูลหลู่, หลู่หยาน ถึงแม้ว่านางจะไม่รู้จักหลู่หยาน นางก็ไม่ใช่คนที่ไม่เคยก้าวเท้าออกมาข้างนอก มันจะเป็นไปไม่ได้สําหรับนางที่จะสวมผ้าคลุมหน้าขณะที่เดินไปรอบ ๆ ด้านนอก ในขณะที่ใส่น้ำหอมที่กลิ่นแรงเช่นนี้ เมื่อคิดเกี่ยวกับมัน

 

“ทําไมเจ้ามองหานาง ? ” แม้ว่าซวนเทียนเก้องงงวย นางก็ช่วยมองไปรอบ ๆ เฟิงเซียงหรูก็ทําเช่นเดียวกัน แต่หลังจากมองไประยะหนึ่งนางก็กล่าวว่า “เราจะมองหานางเจอได้อย่างไร เราไม่เคยเห็นนางและจํานางไม่ได้แม้ว่าเราจะเห็นนางก็ตาม”

 

ในเวลานี้เซียงหรูก็ชี้ไปที่มุมหนึ่ง “ดูนั่นสิ มีคุณหนูคนหนึ่งสวมผ้าคลุมหน้า”

 

เมื่อมองไปในทิศทางที่นิ้วชี้ แน่นอนว่ามีเจ้านายและบ่าวรับใช้ที่ยืนอยู่ข้างหิน เจ้านายสวมเสื้อผ้าแวววาวและผ้าคลุมหน้าพูดอะไรบางอย่างกับบ่าวรับใช้ของนาง

 

เฟิงหยูเฮงพยักหน้า “ใช่ ข้าจําบ่าวรับใช้คนนั้นได้ มันคือสองคนนี้”

 

“ทําไมเจ้าถึงมองหานาง ? ” ซวนเทียนเก้อถามคําถามนี้อีกครั้ง แต่ความคิดของเฟิงหยูเองก็แค่เดาออกไป และนางก็ไม่สามารถพูดได้โดยไม่สนใจ นางกล่าวว่า “อยากรู้ ! เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นห่วงตระกูลหญ่มากขึ้นเล็กน้อย”

 

ซวนเทียนเก้อรู้สึกว่าสิ่งนี้มีเหตุผล และชี้ไปในทิศทางอื่น “ดูสิ หลู่เหยาและหลู่หยานก็มาเช่นกัน ดูเหมือนว่าพวกนางจะมารวมตัวกัน”

 

เฟิงหยูเฮงมองข้าม แน่นอนว่าทั้งสองเข้าไปในสวนด้วยกัน คนหนึ่งแต่งตัวเหมือนเด็กผู้หญิงและอีกคนแต่งตัวเป็นผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว พวกนางพบใบหน้าที่คุ้นเคยอย่างรวดเร็ว และเข้าร่วมการสนทนากับเหล่าฮูหยินและคุณหนู สําหรับสมาชิกตระกูลหญิงของตระกูลเหยาที่มากับหลู่เหยา พวกนางยังไม่ได้เข้าไปในสนาม เร็วมากบางคนก็มาคุยกับพวกนาง มันจะไม่ดีสําหรับเฟิงหยูเฮงที่จะไปและรบกวนพวกนางทันที

 

เมื่อผู้หญิงพบกัน ส่วนใหญ่เป็นการซุบซิบ เท่าที่นางเห็น มันก็น่าเบื่ออย่างยิ่ง

 

โชคดีที่สิ่งที่ไม่น่าเบื่อทั้งหมดมาถึงอย่างรวดเร็ว ในที่สุดจาวเหลียนก็สามารถหลุดพ้นจากบรรดาคุณหนูและเดินไปหาพวกนางอย่างรวดเร็ว เมื่อมาถึงตรงหน้าพวกนาง เขานั่งลงบนเก้าอี้หินและถอนหายใจยาวทันที “เหนื่อยมาก”

 

เฟิงหยูเฮงมองเขาด้วยความรังเกียจ “ดูเหมือนว่าเจ้ากําลังมีช่วงเวลาที่ดีมาก”

 

“ไม่ใช่ว่าข้าทําเพื่อเจ้าหรอกหรือ !” จาวเหลียนพูดตามธรรมชาติ “อาเฮง เราเป็นพวกเดียวกัน เป็นเรื่องธรรมดาที่ข้าจะต้องเป็นห่วงเจ้าเจ้า”

 

หยูเหมิงงงงวย “เจ้าเป็นห่วงข้าทําไม ? ”

 

“ข้าไม่สามารถดูคนที่รังแกเจ้าได้ !”

 

ซวนเทียนเก้อพูดไม่ได้ “เมื่อคําเหล่านี้ออกมาจากปากของเจ้า ใครกล้าที่จะแกล้งอาเฮงได้อย่างเปิดเผย ? ”

 

หวงซวนกล่าวเพิ่ม “คุณหนูของเราไม่ถูกแกล้งแน่นอน” คําพูดของนางทําให้บ่าวรับใช้ของซวนเทียนเก้อและเฟิงเซียงหรูเห็นด้วยทันที

 

อย่างไรก็ตามจาวเหลียนกล่าวว่า “นี่ไม่เหมือนกัน ไม่มีเจ้าในเวลานั้น แม้ว่าเจ้าต้องการที่จะจัดการกับมัน เจ้าก็ไม่สามารถทําได้” ในขณะที่เขาพูดเขาจ้องมองที่หวงซวน “สําหรับเจ้า! เจ้าดูเป็นคนที่บีบคุณหนูอยู่ แต่เจ้าก็ยังห่างเหิน และไม่สนใจ”

 

หวงซวนโกรธมาก “ข้าทําเมื่อไหร่ เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อไหร่?”

 

จาวเหลียนกล่าวว่า “เมื่อเรามาถึงพระราชวังเมื่อรถม้าถูกปิดกั้น เจ้าไม่ได้ยินว่ามีคนพูดเกี่ยวกับอาเฮง สิ่งที่พวกนางพูดนั้นเปรี้ยวกว่าน้ำส้มสายชู มีคนกล้าพูดเกี่ยวกับอาเฮง และคําพูดของพวกนางหยาบคายมาก”

 

หวงซวนก็เริ่มโกรธ ถูกต้อง สิ่งแบบนี้เกิดขึ้นจริง ๆ แต่เฟิงหยูเองไม่ยอมให้นางทําอะไร !

 

ดูเหมือนว่าจาวเหลียนเดาได้ว่านางคิดอะไรอยู่ ในขณะที่เขารีบกล่าวต่อทันที “การไม่ใส่ใจอะไรเลยในตอนนั้นเป็นทางเลือกเชิงกลยุทธ์ ท้ายที่สุดแล้วตัวตนของเราจะไม่อนุญาตให้เรากล่าวถ้อยคําสาปแช่งพวกนางที่ถนน ไม่ควรเอาทองไปลูกระเบื้อง แต่ความแค้นต้องได้รับการชําระ !”

 

หวงซวนพูดไม่ออกว่าจะแก้แค้นได้อย่างไร ในเวลานั้นมีคนพูดกันมากมาย ใครจะไปรู้ว่าฮูหยินและคุณหนูคนไหนเป็นคนพูด นางไม่รู้จักแม้แต่คนเดียว

 

จาวเหลียนหยุนผยองขึ้นตามธรรมชาติซึ่งทําให้คําเยาะเย้ยของเฟิงหยูเฮง “หยุดตัวเอง ไม่ว่าเจ้าจะทํามากแค่ไหนก็ตาม เจ้าไม่มีหน้าอก”

 

จาวเหลียนได้รับความเดือดร้อนจากการถูกโจมตี และกล่าวอย่างเฉยเมยว่า “จากนั้นคิดหาวิธีที่จะช่วยให้หน้าอกของข้าโตขึ้นสิ ! ” จากนั้นเขาก็รีบเปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็ว และพูดต่อจากที่เขาพูดค้างไว้ “อาเฮง แม้ว่าเจ้าจะไม่จําคนที่พูดถึงเจ้านอกพระราชวัง ข้ายังจําเสียงทั้งหมดของพวกนางได้ในระหว่างการสนทนาก่อนหน้านี้ ข้าพบพวกนางทั้งหมดที่ว่าร้ายเจ้า !”

 

เฟิงหยูเฮงเกือบกระอักเลือดกล่าวว่า “อะไรนะ ?”

 

จาวเหลียนกล่าวซ้ำด้วยความภาคภูมิใจ “คนที่ชอบหว่านความไม่ลงรอยกัน ข้าจําเสียงทั้งหมดของพวกนางได้ในเวลานี้ไม่มีใครหายตัวไป และพวกนางทั้งหมดถูกพบแล้ว”

 

ซวนเทียนเก้อและเฟิงเซียงหรูต่างก็สับสนเมื่อได้ยินอย่างนี้ หวงซวนกล่าวว่า “เจ้าขุ่นเคืองเกินไปหรือไม่ ?”

 

“ผิด!” จาวเหลียนกล่าวว่า “นี่คือความขุ่นเคืองของอาเฮง ข้าต้องจดจําแทนเจ้า ! ไม่เพียงแต่ข้าจะจําได้ผ่านการสนทนา ข้ายังได้ค้นพบตัวตนของพวกนาง มาเถิด อาเฮง ข้าจะบอกให้เจ้าฟัง”

 

“รอซักครู่” เฟิงหยูเฮงเอื้อมมือไปที่แขนเสื้อของนางแล้วดึงสมุดบันทึกและปากกาออกมา “ชี้พวกนางทีละคน พูดช้า ๆ ข้าจะจดบันทึกชื่อพวกนางทั้งหมดไว้ในบันทึกของข้า”

 

ทุกคนแทบเป็นลมจากความบ้าคลั่งนี้ !

 

Related

ตอนที่ 693 องค์หญิงจี่อันต้องการเงินเป็นสิ่งที่ดี จะน่ากลัวที่สุดคือเมื่อนางต้องการชีวิต

 

เพื่อนสนิททั้งสองคนเดินวนไปวนมาและยัดเยียดข้อหาความผิดทางอาญาว่า “ดูหมิ่นเชื้อพระวงศ์” ให้กับคุณหนูตระกูลมู่ เฟิงเซียงหรูฟังจากด้านข้าง แม้ว่านางจะไม่รู้ว่าความผิดดังกล่าวมีอยู่ในกฎหมายของราชวงศ์ต้าชุนหรือไม่ แต่นางก็เข้าใจว่านี้ไม่ใช่สิ่งที่สามารถหักล้างได้อย่างง่ายดาย คุณหนูตระกูลมู่ของมณฑลหลู่นั้นไม่ได้ฉลาดเลย เมื่อใดก็ตามที่นางมีเรื่องกับคนที่วางแผน พวกเขาก็จะใช้แผนการลับ ๆ เพื่อเล่นงานอย่างเปิดเผย นางคิดว่าแม้แต่ความสามารถของเฟิงเฟินไดก็ยังดีกว่าของคุณหนูของตระกูลมู่

 

ทุกวันนี้ผู้คนที่เข้ามาในพระราชวังจักรพรรดิผ่านประตูเต๋อหยาง นอกจากเจ้าหน้าที่ของราชวงศ์ต้าชุนและองค์ชายแห่งราชวงศ์ คนอื่น ๆ ก็ต้องเข้าแถวเพื่อเข้าร่วมด้วย สําหรับพระชายาเอกและพระชายารองขององค์ชายที่สามารถเข้าสู่พระราชวังได้ พวกเขาสามารถเข้าประตูเต๋อหยางได้ เนื่องจากพวกเขาจะต้องไปเยี่ยมฮ่องเต้เป็นครั้งแรกและคารวะ ที่สําคัญที่สุดคือการพาเด็ก ๆ ไปหาฮ่องเต้

 

ในปัจจุบันมีเพียงองค์ชาย 2 พระองค์ที่มีครอบครัว องค์ชายซวนเทียนฉีและองค์ชายซวนเทียนหลิง บุตรชายขององค์ชายรอง, ซวนเฟยหยูเป็นเด็กที่เติบโตแล้ว เขาสามารถวิ่งและกระโดดไปรอบ ๆ ได้โดยไม่มีใครช่วยเขา แต่บุตรขององค์ชายใหญ่ยังเด็กมาก พวกเขาต้องได้รับการดูแลโดยแม่นมและสมาชิกครอบครัวหญิง เพื่อเห็นบุตรสองคนขององค์ชายใหญ่ ฮ่องเต้จึงอนุญาตให้สมาชิกครอบครัวทั้งสองเข้ามาที่ประตูเต๋อหยางได้เป็นพิเศษ

 

ข่าวเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นที่ประตูรุยก็มาถึงฝั่งนี้อย่างรวดเร็วเช่นกัน ขุนนางที่ผ่านประตูเต๋อหยางเดินไปตามทางก่อนเข้าห้องโถงใหญ่ พวกเขาได้ยินสิ่งที่เกิดขึ้นที่นั่นทันที ดังนั้นมีขุนนางที่เริ่มพูดทันทีด้วยความไม่พอใจ “คุณหนูของฮูหยินใหญ่เจ้าเมืองมณฑลหลู่ มองตระกูลตัวเองมากแค่ไหน ? ที่จริงแล้วกล้าที่จะตีคุณหนูสามของตระกูลเฟิงหน้าพระราชวัง นางยังดูถูกองค์หญิงจี่อันอีกด้วยหรือ ?”

 

ทหารยามที่มารายงานพร้อมกับถือถาดในเรื่องเล็กน้อยเพราะเขาเล่าเรื่องทุกอย่างตั้งแต่ต้นอย่างจริงจัง เมื่อคุณหนูของตระกูลมู่ได้แซงคิวและผลักเฟิงเซียงหรู จากนั้นเขาก็พูดคุยเกี่ยวกับวิธีที่นางตบเฟิงเซียงหรูและดูถูกเหยียดหยามเฟิงหยูเฮง เขาเล่าให้ฟังโดยไม่ตกหล่นแม้แต่คําเดียว และทําให้ขุนนางทุกคนรู้สึกไม่พอใจอย่างไม่น่าเชื่อ

 

แน่นอนคนเหล่านี้ที่ไม่พอใจ ส่วนใหญ่เป็นขุนนางจากเมืองหลวง นอกจากนี้ยังมีคนกลุ่มน้อยที่ประกอบด้วยขุนนางที่มีความสัมพันธ์กับเมืองหลวงอย่างแนบแน่น สําหรับคนที่อยู่นอกเมืองหลวงโดยเฉพาะที่มาจากมณฑลชายแดนภาคใต้ยืนอยู่อีกด้านหนึ่ง ในขณะที่ฟังพวกเขารู้สึกว่ามันเป็นความอยุติธรรม พวกเขากล่าวว่า “องค์หญิงจี่อันนั้นหยิ่งเกินไป ทําไมคิดทํากับบุตรสาวของตระกูลมู่แบบนี้ล่ะ ?”

 

“ตอนนี้มือข้างนั้นใช้การไม่ได้แล้วจริงหรือ ? ข้าได้ยินมาว่าคุณหนูยังไม่ได้หมั้นหมาย เมื่อเป็นเช่นนี้ใครจะกล้าแต่งงานกับนาง”

 

“ฮะ ! นางเป็นเด็กสาวที่งดงามมาก แต่นางก็ถูกทําลายเช่นนี้”

 

“ดูเหมือนว่าเมืองหลวงไม่ยอมให้ขุนนางของเราออกนอกมณฑล! พวกเขารังแกสมาชิกในครอบครัวของเรา สถานการณ์แบบนี้เป็นแบบไหน ? ”

 

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ทั้งหมด มันเป็นเรื่องธรรมดาที่ขุนนางจะต้องได้รับการติดต่อจากเมืองหลวง พวกเขาไม่ได้ไปต่อสู้ แต่พวกเขาก็พูดจาอย่างเฉยเมยกับตัวเองว่า “ผู้คนจากภายนอกนั้นช้ามาก ไม่มีใครรู้ถึงความสูงของโลก แต่วาจาเคลื่อนไหวเร็วกว่างู ! นั่นคือในขณะที่องค์ชายยังคงพูดคุยกับฮ่องเต้ในห้องโถง แต่ตอนนี้พวกเขาได้ออกมาแล้ว เจ้าหน้าที่ผู้นี้ต้องการเห็นว่าใครยังกล้าที่จะพูดเช่นนั้น”

 

คําเหล่านี้มีผลบางอย่างในการทําให้ผู้คนอยู่ในการตรวจสอบ บางที่ขุนนางจากต่างมณฑลอาจไม่เข้าใจมากเกินในเรื่องเฟิงหยูเฮง บางทีพวกเขาอาจกลั่นแกล้งองค์หญิงที่ใช้แซ่ที่ต่างออกไป แต่องค์ชายของราชวงศ์ต้าชุนจะไม่โกรธเคืองได้โดยเฉพาะองค์ชายเก้า หากได้ยินการสนทนาของพวกเขาเกี่ยวกับองค์หญิงจี่อัน เขาจะไม่ฉีกกระดูกทันทีหรือไม่ !

 

ผู้คนสั่นเทาและปิดปาก

 

ทหารยามที่ถือถาดเสียงดังสนั่นอย่างเยือกเย็นจากนั้นจึงถามขุนนางตรงหน้าเขาว่า “ใต้เท้า ข้าขอถามหน่อยมีใครเห็นว่าเจ้าเมืองหลู่หรือไม่”

 

ทุกคนส่ายหัวกับใครบางคนกล่าวว่า “ดูเหมือนว่าเขายังไม่ได้เข้ามาก่อนที่เจ้าหน้าที่ผู้นี้เข้ามาในพระราชวัง ข้าเห็นว่าเขามาช้าและอยู่ทางด้านหลังของแถว เมื่อคิดถึงเรื่องนี้แล้ว เขาจะไม่สามารถเข้ามาได้”

 

“จากนั้นข้าจะรอที่นี่ เมื่อใต้เท้ามู่เข้ามาในพระราชวัง ข้าจะสามารถสอบถามเกี่ยวกับเรื่องการชดใช้ไข่มุกขององค์หญิงจี่อัน โอ้ ใช่แล้วองค์หญิงบอกว่าไข่มุกนี้ถูกส่งโดยองค์ชายเจ็ด และขอให้พระองค์ประเมิน”

 

เมื่อทุกคนได้ยินสิ่งนี้ พวกเขาก็เช็ดเหงื่อ องค์ชายเจ็ดและองค์หญิงจี่อัน นี่ไม่ใช่ความร่วมมือที่ดีที่สุดในการหลอกลวงเงินในเมืองหลวง เมื่อพูดถึงเรื่องนี้แล้วคู่นี้กําลังจะร่วมมือกันอีกครั้งในวันนี้หรือไม่ ?

 

มีหลายคนอยู่ในห้องโถงและพวกเขาก็ถูกบีบด้วยกัน กลุ่มคนจํานวนมากของหัวผลุบ ๆ โผล่ ๆ ไม่มีใครเห็นเจ้าเมืองหลู่, มู่เจียงหลบซ่อนตัวอยู่ในฝูงชนด้วยเหงื่อเย็นที่ปรากฏบนหน้าผากของเขา เขาไม่เคยคิดว่าบุตรสาวที่ดื้อรั้นจะทําให้เขาเดือดร้อน ตอนนี้พวกเขามาเคาะประตูแล้ว เขาต้องการหาสถานที่ที่ไม่มีคนให้สงบลงสักหน่อย เขาต้องคิดอย่างรอบคอบเกี่ยวกับวิธีจัดการกับปัญหานี้ ดูเหมือนว่าเขาจะถูกบีบออกจากงานเลี้ยงวันนี้ และไม่มีปัญหาการโจมตีแบบเปิดเผยและแบบลับ เขาต้องคิดหาวิธีขอความช่วยเหลือ ในเวลาเช่นนี้เขาต้องไม่ต่อสู้คนเดียวแน่นอน

 

ในขณะที่มู่เจียงกําลังเบียดกับฝูงชน แต่เสนาบดีหญ่ชงกําลังยืนอยู่กับเจ้าเมืองหลานโจว จีหลิงเทียนที่อยู่อีกด้านหนึ่งของห้องโถง พวกเขาดูเหมือนจะล้อเล่นอย่างจริงใจ แต่อยู่ใต้ผิวน้ำพวกเขาคุยกันอย่างเงียบ ๆ กับคนที่บังคับให้พวกเขาทั้งสองสูญเสียครั้งใหญ่ให้กับองค์หญิงจี่อัน

 

เรื่องของหลู่เหยาที่ใช้ความคิดริเริ่มในการรังแกเฟิงเซียงหรูเป็นสิ่งที่ทุกคนในเมืองหลวงรู้ ยิ่งไปกว่านั้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในระหว่างงานแต่งงานก็แพร่กระจายไปเช่นกัน ดังนั้นหลิงเทียนก็ได้ยินเรื่องนี้หลังจากนั้นไม่กี่วัน เมื่อทั้งสองกําลังพูดในเวลานี้ เขาหยิบยกเรื่องของการถูกหลอกเงิน 80 ล้านเหรียญเงินโดยเฟิงหยูเฮงและซวนเทียนหมิงขึ้นมา จากนั้นเขาก็ถามหลู่ซ่ง “ท่านเสนาบดีกล่าวว่าองค์หญิงจี่อันขาดเงินหรือไม่ ? หลังจากนั้นข้าก็ถามไป นางได้รับเงินจํานวนเล็กน้อยโดยใช้วิธีนี้จากที่อื่น ในวันนั้นในคฤหาสน์ตระกูลเหยา แม้ว่ามันจะเป็นองค์ชายเจ็ดที่ทําเช่นนั้น แต่การกระทําของตระกูลหลู่ของท่านใต้เท้าก็จบลงด้วยน้ำมือของนางใช่หรือไม่ ? แม้ว่าพวกมันจะถูกมอบให้กับตระกูลเหยา แต่พวกมันก็ยังผ่านมือของนาง”

 

หลู่ซึ่งโกรธเมื่อได้ยินเรื่องนี้และกล่าวอย่างเฉยเมย “ถ้านางขาดเงินจริง ๆ นั่นจะเป็นเรื่องดี ! ถ้านางสนใจในเรื่องเงินเท่านั้น มันคงไม่เป็นไร ! เรื่องที่สามารถแก้ไขได้ด้วยเงินไม่ใช่ปัญหาจริง ๆ ปัญหาคือนางไม่ขาดเงินแน่นอน ! เจ้าไม่รู้ว่านางหายไปเมื่อใดก็ตาม เมื่อนางขอเงินก็เป็นเรื่องดี สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือเมื่อนางขอชีวิต ! ”

 

หลิงเทียนเช็ดเหงื่อ ช่วงบ่ายในกลางฤดูใบไม้ร่วงร้อนจริง ๆ ! “ไม่มีใครที่สามารถควบคุมนางได้หรือ ?”

 

“ถ้ามี นางจะเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?” หลู่ซ่งถามเขาว่า “เรื่องที่ประตูรุยวันนี้ นางจะถูกตําหนิได้อย่างไร ? เป็นเพราะบุตรสาวของตระกูลมู่ การไม่ตีนางให้ตายก็ถือว่าดีแล้ว !”

 

จีหลิงเทียนขมวดคิ้ว “จะเกิดอะไรขึ้นถ้ามีบางสิ่งที่ทหารยามออกไป ? เราไม่สามารถฟังความด้านเดียวได้”

 

“ออกไป ? เป็นไปได้อย่างไร !” หลู่ซ่งถอนหายใจ “ถึงแม้ว่าข้าจะไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กับองค์หญิงจี่อันหลังจากใช้เวลาหลายปีในเมืองหลวง แต่ข้าก็ได้ยินมาไม่น้อยว่านางจะไม่ให้อภัย แต่เมื่อทุกกรณีมีการพูด และไม่มีแม้แต่กรณีเดียวที่นางเป็นยั่วโมโหอีกฝ่าย โดยรวมแล้วคนผู้นั้นเป็นคนที่จะไม่สร้างปัญหาถ้าไม่ลําบาก หากเจ้าไม่ปฏิบัติต่อนางในฐานะศัตรูและไม่ไปยั่วยุนาง เจ้าก็ปลอดภัย”

 

อย่างไรก็ตามหลิงเทียนรู้สึกไม่สมปรารถนา “ไม่มีทางที่จะให้นางพ่ายแพ้สักครั้งเลยหรือ ? หากสิ่งต่าง ๆ ได้รับการจัดการเช่นนี้ ข้าจะรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม”

 

หลู่ซ่งมองเขาอย่างขมขึ้น “แม้ว่าเจ้าอยากให้นางพ่ายแพ้ เจ้าก็ต้องหาจุดอ่อนของนาง แต่นางไม่มี ?”

 

ด้วยคําพูดเหล่านี้ การสนทนาก็หยุดนิ่ง ชั่วครู่หนึ่งทั้งสองมองหน้ากันโดยไม่พูด ในเวลานี้หลู่ซ่งหันหัวของเขาและเห็นแม่ทัพบังหนานเดินผ่านไปโดยไม่พูดกับใคร ดูเหมือนว่าเขากําลังเดินไปรอบ ๆ อย่างเฉยเมย และที่ด้านข้างของเขาคือบุตรชายของฮูหยินใหญ่ของคฤหาสน์แม่ทัพ, เหรินซีเต๋า เขาโบกมือให้หลิงเทียนอย่างรวดเร็วและไปไล่ตามหลังจากแม่ทัพปิงหนาน

 

หลู่ซ่งและปิงหนานพูดคุยกันเป็นเวลานาน ในช่วงเวลานี้เขายังมีปฏิสัมพันธ์กับเหรินซีเต๋าอย่างมาก เหรินซีเต๋ายังหนุ่มและอายุมากกว่าเหรินซีเฟิง น้องสาวของเขาเพียงไม่กี่ปี ในปีนี้เขายังอายุไม่ถึง 20 ปี แต่เขาเป็นรองผู้บัญชาการทหารในตะวันออกเฉียงใต้ที่มีทหาร 50,000 นาย หลังจากแม่ทัพปิงหนานส่งมอบการควบคุมของทหารเขาให้บุตรชายของเขายังคงอยู่ในภาคใต้ แต่เขาถูกย้ายไปทางตะวันออกในอีกไม่กี่มณฑลโดยตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ แม้ว่าสิ่งนี้จะเปิดขึ้นในภาคใต้เพื่อให้คนอื่นใช้มันก็ประสบความสําเร็จในการหลีกเลี่ยงปัญหาที่จะไม่ส่งมอบคําสั่งของทหาร

 

การพูดกับหลู่ช่งนี้ไม่ได้มีเนื้อหาจริงใด ๆ แต่มันเป็นเพียงการเข้าใกล้ เขาจะให้ความสนใจกับเหรินซิเต๋าเป็นครั้งคราวและชื่นชมเขาเป็นครั้งคราว เฉพาะเมื่อแม่ทัพปิงหนานจากไปพร้อมกับบุตรชายของเขา เขาจ้องมองไปที่พระราชวังด้านใน ในใจของเขา เขาคิดว่าปิงเอ๋อควรเข้ามาในพระราชวังตอนนี้

 

ในเวลานี้หลู่ปิงเข้ามาในพระราชวังแน่นอน หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นที่ด้านนอกของประตูรุยแล้ว ฮูหยินและคุณหนูยังคงอยู่ในสภาพดี การลงทะเบียนเพื่อเข้าสู่พระราชวังก็ทําได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน ในปัจจุบันผู้คนส่วนใหญ่มารวมตัวกันในสวนแล้ว พวกเขากระจัดกระจายและพูดคุยกัน

 

ด้วยตัวนางเองหลู่ปิงพบมุมที่มีคนน้อย นางยืนกับเจียนเอ่อบ่าวรับใช้ของนาง ทั้งสองได้วางแผนมาแล้ว หลังจากเข้ามาในพระราชวัง พวกนางจะต้องไม่ทําให้พวกเขารู้ การรักษาความเงียบจะดีที่สุด สําหรับการจัดเรียงของหลู่ปิงที่แม่นยํา นางเชื่อว่าจะมีใครบางคนให้คําอธิบายกับนาง

 

เฟิงหยูเฮงและซวนเทียนเก้อนเฟิงเซียงหรูไปยังพระราชวังของฮองเฮา แต่ไม่ได้เข้าไปในห้องโถงใหญ่ พวกเขาพบห้องโถงด้านข้างและให้บ่าวรับใช้นําก้อนน้ำแข็งมาประคบใบหน้าของนาง การพลาดเพียงเล็กน้อยของตระกูลมู่นั้นรุนแรงมากด้วยการตบของนางและใบหน้าครึ่งหนึ่งของเฟิงเซียงหรูก็บวมขึ้น มันดูเหมือนซาลาเปา

 

เฟิงหยูเฮงพูดอย่างไร้ปัญหา “เมื่อก่อนนี้ข้าให้เจ้าฝึกกับข้า มันหายไปไหนทั้งหมดเมื่อข้าไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง ? แม้ว่ามันจะไม่เพียงพอที่จะต่อสู้ได้ เจ้าควรจะตื่นตัวมากขึ้นและสามารถหลบได้ไม่ใช่หรือ ?”

 

เฟิงเซียงหรูรู้สึกละอาย นางไม่ได้ฝึกฝนมันจริง ๆ หากไม่มีพี่สาวคนที่สองให้ติดตาม นางจะทนต่อการฝึกฝนที่ขมขื่นเช่นนี้ได้อย่างไร

 

เฟิงหยูเฮงสายหัวแล้วกล่าวว่า “การกระตุ้นเจ้าก็เพื่อผลประโยชน์ของเจ้าเช่นกัน ในการถูกรังแกจากคนอื่นเช่นนี้ตลอดเวลา เจ้าจะอยู่รอดในครอบครัวสามีของเจ้าหลังจากที่เจ้าแต่งงานได้อย่างไร ! ”

 

ซวนเทียนเก้อได้ยินเรื่องนี้และหัวเราะ “เจ้าให้การสนับสนุนเฟิงเซียงหรูและหาคนที่ไม่สนอนุ มีคนเหมือนพี่เก้าของข้าอีกหรือ ?”

 

“มี” เฟิงหยูเฮงมองไปที่เฟิงเซียงหรู และเห็นว่าใบหน้าของหญิงสาวนั้นเป็นสีแดงสด อย่างไรก็ตามนางไม่มีแก่ใจที่จะดําเนินการต่อ ตอนนี้เมื่อนางดูองค์ชายสี่ นางเห็นว่าเฟิงเซียงหรูไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบโต้ที่รุนแรงมากนัก ดูเหมือนกับว่ามันเป็นเรื่องธรรมชาติมาก นางจึงมีความคิดนี้ขึ้นมา

 

เฟิงเซียงหรูประคบใบหน้าของนางประมาณครึ่งชั่วยาม และในที่สุดอาการบวมก็ค่อยๆ ดีขึ้นเล็กน้อย แม้ว่าจะยังคงสังเกตเห็นได้ แต่ก็ไม่สามารถสังเกตได้เหมือนเมื่อก่อน พวกนางออกจากพระราชวังของฮองเฮาและไปทางสวน เพราะพวกนางอยู่กับซวนเทียนเก้อ เมื่อพวกนางมาถึงสถานที่จัดงานเลี้ยงทุกคนมุ่งหน้างานเลี้ยง

 

ในเวลานี้มีผู้หญิงคนหนึ่งจาม ก็ส่งเสียง “ฮัดชิ้ว !”

 

Related

ตอนที่ 692 ขุดไข่มุกออกมาจากเนื้อ

 

ถ้าเฟิงหยูเฮงกล่าวว่า “ดึง” มันอาจจะไม่ได้ผลมากนัก แต่คําที่นางเลือกคือ “ขุด” คําว่า “ขุด” นั้นน่ากลัวมากเกินไป ทุกคนตัวสั่นและเดาในสิ่งที่คําว่า “ขุด” หมายถึงอะไร

 

สําหรับทหารยามที่ทางเข้า คําพูดของเฟิงหยูเฮงไม่จําเป็นต้องเหมือนองค์หญิง แต่พวกเขาก็ไม่สามารถเพิกเฉยได้เช่นกัน บรรดาฮูหยินและคุณหนูจากนอกเมืองหลวงอาจไม่รู้ว่าองค์หญิงจี่อันมีความหมายอย่างไรต่อราชวงศ์ต้าชุน แต่สําหรับทหารยามที่รับใช้พระราชวังฮ่องเต้ พวกเขาจะไม่เข้าใจแจ่มแจ้งได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นนอกจากองค์หญิงจี่อันแล้วยังมีองค์หญิงหวู่หยางที่ยืนอยู่ข้าง ๆ นาง ในฐานะองค์หญิงแห่งราชวงศ์ต้าชุน แม้แต่คนโง่ก็รู้ว่านางสําคัญเพียงใด

 

เมื่อเฟิงหยูเฮงสั่งให้ทหารยามไม่รอช้า พวกเขาเดินไปข้างหน้า พวกเขาสองคนจับคุณหนูตระกูลมู่ไว้ ขณะที่อีกคนดึงดาบออกที่เอวออกมา จับมือนองเลือดของคุณหนูของตระกูลมู่ ปลายดาบชี้ไปที่รูที่นองเลือดแล้วเคลื่อนไปขุด

 

ผู้คนต่างเฝ้ามองด้วยความหวาดกลัว และทุกคนก็หันหน้าหนี อย่างไรก็ตามพวกนางได้ยินเฟิงหยูเฮงกล่าวว่า “เมื่อเจ้าขุดออกมาให้ระวัง อย่าทําลายไข่มุก”

 

ทหารยามพยักหน้าแล้วมองที่มืออีกครั้ง โดยไม่กังวลต่อการดิ้นรนหรือเสียงร้องของคุณหนูตระกูลมู่ เขากล่าวว่า “การไม่ทําให้ไข่มุกเสียหายนั้นเป็นเรื่องง่าย แค่ขุดเนื้อออกมาเยอะ” ด้วยถ้อยคําที่พูดดาบก็ขยับได้โดยไม่ลังเล ดาบแทงตรงฝ่ามือของคุณหนูของตระกูลมู่ จากนั้นมันก็สั่นไปทางซ้ายและขวา และเขาก็ไม่ได้สนใจว่าเลือดจะไหลออกมามากน้อยเพียงใด ในขณะที่ขุดเนื้อออกมา เมื่อชิ้นเนื้อมีขนาดเท่าเล็บนิ้วหัวแม่มือถูกเจาะออกมา ก็ถูกนํามาใส่ถาดที่อยู่ข้าง ๆ ทันที มันเป็นถาดที่วางไว้ที่ทางเข้าเพื่อเก็บป้ายประจําตัว ชิ้นเนื้อถูกวางไว้บนถาดแล้วนํามาให้เฟิงหยูเฮง

 

ทหารยามรายงานต่อนางว่า “ไข่มุกยังคงอยู่และไม่ได้รับความเสียหายพะยะค่ะ ไข่มุกถูกปกคลุมด้วยเนื้อและเลือดเล็กน้อยเท่านั้นพะยะค่ะ”

 

ผู้คนมองไปที่คุณหนูตระกูลมู่ ในเวลานี้นางล้มลงบนพื้นและเป็นลมจากความเจ็บปวด บ่าวรับใช้ของนางพยายามปลุกนางซ้ำๆ และในที่สุดเมื่อนางตื่นขึ้นมา นางก็เห็นมือที่เป็นแผล แล้วนางก็หมดสติอีกครั้ง

 

อย่างไรก็ตามเฟิงหยูเองไม่ได้ให้ความสนใจใด ๆ กับนาง นางบอกกับทหารยามว่า “เอาสิ่งนี้เข้าไปในพระราชวัง ตามหาเจ้าเมืองหลู่และบอกเขาว่าเลือดและเนื้อของบุตรสาวของเขาทําลายไข่มุกพันปีขององค์หญิงจี่อัน เป็นไข่มุกจากทะเลตะวันออก ดูว่าเขาควรจ่ายคืนเท่าไหร่ หากเขาไม่สามารถหาราคาที่เหมาะสมสําหรับสิ่งนี้ เพียงแค่พาไปพบองค์ชายเจ็ด ให้ฝ่าบาทประเมิน เรื่องนี้ต้องมีทางออก”

 

ทหารยามปฏิบัติตาม และนําถาดไปข้างหน้าโดยไม่พูดอะไรอีก

เฟิงเซียงหรูนิ่วหน้าและคิดกับตัวเองว่าพี่รองของนางกําลังจะทํางานร่วมกับองค์ชายเจ็ดเพื่อหลอกลวงเขาหรือไม่ ? นางได้ยินมาว่าพี่สาวหลอกตระกูลหลู่ให้เสียเงินก้อนใหญ่ ! นางไปข้างเฟ งหยูเฮงและกล่าวด้วยความเสียใจ “พี่รอง ข้าขอโทษ เซียงหรูสร้างปัญหาให้พี่รองอีกแล้วเจ้าค่ะ”

 

เฟิงหยูเฮงส่ายหัว “ข้าโกรธ แต่ข้าไม่ได้โกรธเจ้าที่สร้างปัญหา แต่ทําไมสิ่งเหล่านี้ถึงเกิดขึ้นกับเจ้า ! แน่นอนว่าไม่มีอะไรมากที่เจ้าสามารถทําได้เกี่ยวกับการวิ่งเข้าหาคนอย่างคุณหนูของฮูหยินใหญ่ของเจ้าเมืองหลู่ที่วิ่งมาสาปแช่งและโจมตีผู้คน เราไม่สามารถเป็นคนแบบนั้นได้ แม้ว่าเราจะตีใครสักคน เราไม่สามารถทําเองได้ ภายใต้ศักดิ์ศรีของเรา” หลังจากที่นางพูดจบนางก็หันมากล่าวกับหวงซวน “เลือกบ่าวรับใช้ 2 คนที่เก่งศิลปะการต่อสู้ และส่งพวกนางไปอยู่กับคุณหนูสาม”

 

เฟิงเซียงหรูโบกมืออย่างรวดเร็ว “ไม่จําเป็นเจ้าค่ะ ข้าไม่ต้องการพวกนางจริง ๆ ในอนาคตข้าจะอยู่ให้ห่างจากเรื่องพวกนี้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทําได้เจ้าค่ะ”

 

“ทําไมเจ้าจึงกลัวพวกเขา !” ซวนเทียนเก้อไม่สามารถทนที่จะฟังต่อไป “เซียงหรู เจ้ากําลังหลีกเลี่ยงคนที่ไม่ดีงั้นหรือ ? หรือเจ้ากําลังหลีกเลี่ยงคนดีด้วยเช่นกัน ? ตระกูลเฟิงตกต่ำ แต่เจ้ายังมีพวกเราไม่ใช่หรือ !”

 

เฟิงเซียงหรูรู้สึกอายมากขึ้น พี่รองยังคงเป็นพี่สาวของนาง แต่ความโปรดปรานขององค์หญิงหวู่หยางนั้นค่อนข้างมาก เฟิงเซียงหรูคุกเข่าอย่างรวดเร็ว “ขอบคุณองค์หญิงที่เป็นห่วงหม่อมฉันเพคะ”

 

ซวนเทียนเก้อโบกมือ “ไม่จําเป็นต้องทําแบบนี้”

 

ในเวลานี้เฟิงหยูเฮงคิดถึงเรื่องอื่น และเรียกทหารยามอย่างรวดเร็ว “เจ้าไปที่หน้าของพระราชวังด้วย ไปหาองค์ชายสี่และบอกพระองค์ว่าคุณหนูสามตระกูลเฟิงถูกคุณหนูจากฮูหยินใหญ่ของเจ้าเมืองหลู่ทําร้าย ตอนนี้ใบหน้าของนางบวม องค์หญิงหวู่หยางและข้าจะพาคุณหนูสามไปหาฮองเฮาก่อนเพื่อรักษาใบหน้าของนางและปลอบให้นางหายตกใจ ข้าได้ยินมาว่าพระองค์เตรียมงานปักสําหรับฮ่องเต้ในวันนี้ เมื่อถึงเวลานั้นฮ่องเต้จะถามคุณหนูสามซึ่งเป็นอาจารย์ของพระองค์ ข้าขอให้องค์ชายสีโปรดพิจารณาว่าพระองค์ควรพูดถึงเรื่องนี้อย่างไร”

 

ทหารยามเข้าใจแล้วรีบเข้ามาในวังอย่างรวดเร็ว

 

หลังจากที่เฟิงหยูเฮงกล่าวจบ คุณหนูตระกูลมู่ก็ฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง นางตื่นขึ้นจากความเจ็บปวด นางส่งเสียงครวญครางและคร่ำครวญ และได้ยินเฟิงหยูเฮงพูดคุยเกี่ยวกับวิธีที่ฮ่องเต้จะถามเกี่ยวกับคุณหนูสามตระกูลเฟิง และนางเป็นอาจารย์ขององค์ชายสี่ได้อย่างไร ในช่วงเวลานี้นางรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ความเจ็บปวดที่มือของนางถูกปกคลุมด้วยความตกใจ นางถามบ่าวรับใช้ของนางอย่างรวดเร็ว “พวกนางกําลังพูดเรื่องอะไรกัน ? ”

 

บ่าวใช้รู้เล่าให้นางฟังอย่างเงียบ ๆ ในสิ่งที่เพิ่งพูดไป เมื่อมองไปที่อีกด้านของเฟิงหยูเฮง นางก็ยังพูดกับเฟิงเซียงหรูและไม่สนใจแม้แต่คนที่ถูกตัดเนื้อออกจากมือ เหมือนกับว่าคุณหนูตระกูลมู่เป็นอากาศ เฟิงหยูเฮงรับผิดชอบเฉพาะในการจัดระเบียบสถานการณ์เท่านั้น สําหรับสิ่งที่ตามมานางไม่ต้องการที่จะใส่ใจกับมัน

 

“เข้าวังกับข้า” เฟิงหยูเฮงจับมือของเซียงหรูแล้วหันหลังกลับ จากนั้นนางก็กล่าวกับนางกํานัลที่ประตูทางเข้า “มีความจําเป็นที่จะต้องลงทะเบียนน้องสาวของข้าผู้นี้ในบันทึกหรือไม่ ?”

 

นางกํานัลลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วแล้วตอบว่า “ไม่ต้องเพคะ เข้าไปได้เลยเพคะ”

 

เปิงหยูเฮงพยักหน้า แต่ไม่ได้เข้าวังทันที นางหันหลังกลับและพูดกับคนที่อยู่ทางเข้าพระราชวัง “วันนี้เป็นเทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วง มันเป็นวันแห่งการเฉลิมฉลอง ไม่ว่าจะเป็นฮ่องเต้หรือฮองเฮาไม่มีใครปรารถนาเห็นใครก็ตามที่จะสร้างความวุ่นวาย สิ่งนี้เรียกว่าอะไร ? ” นางหันกลับมามองซวนเทียนเก้อ

 

ซวนเทียนเก้อไตร่ตรองเล็กน้อยจากนั้นก็เอ่ยความผิดออกมา “ดูถูกอํานาจของราชวงศ์”

 

เมื่อคําพูดเหล่านี้ถูกพูดแล้ว คุณหนูของตระกูลมู่ตัวสั่น ความเจ็บปวดเพิ่มขึ้นอีกครั้งและนางก็ยังคงเล่นต่อไป นางไม่ได้คิดอย่างนั้นจริง ๆ ว่าการสบประมาทเฟิงเซียงหรูนั้น จะดึงเฟิงหยูเฮงมาที่ทางเข้าพระราชวังจริงหรือ นางไม่เพียงแค่ออกมาเท่านั้น แต่ยังพาองค์หญิงออกมาด้วย ! นางควรทําอย่างไร

 

บ่าวรับใช้ของตระกูลมู่รองรับคุณหนู ในขณะที่มองเฟิงหยูเฮง นางเห็นว่ากลุ่มกําลังจะเข้าไปในพระราชวัง ในการแลกเปลี่ยนนี้นอกจากการขุดเนื้อ พวกนางไม่ได้สนใจพวกนางมากนัก นางอดไม่ได้ที่จะตะโกนว่า “องค์หญิงจี่อัน! ท่านทําร้ายครอบครัวของขุนนางอย่างประมาท ไม่มีความผิดหรือ ? ยังมีความยุติธรรมในโลกนี้หรือไม่ ? ”

 

เมื่อคําพูดเหล่านี้ออกมา ผู้คนรอบๆ ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจว่าบ่าวรับใช้ของตระกูลมู่เป็นคนหนึ่งที่หาเรื่องใส่ตัวอย่างแท้จริง ! กล้าพูดถึงความยุติธรรมกับเฟิงหยูเฮงงั้นหรือ ?

 

แน่นอนเฟิงหยูเฮงหันกลับด้วยความประหลาดใจ นางกล่าวพึมพํา “ยุติธรรม” จากนั้นนางหันไปหาซวนเทียนเก้อ “มันคืออะไร ? ”

 

ซวนเทียนเก้อยักไหล่ “ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องนี้เลย ! ” หลังจากพูดอย่างนี้นางก็ดึงคนที่อยู่ข้าง ๆ นางแล้วเดินเข้าไปในพระราชวัง

 

คําพูดที่ทั้งสองคนพูดออกไปในตอนท้ายทําให้บ่าวรับใช้ของตระกูลมู่ยอมแพ้แต่โดยดี นางกลัวเช่นกัน ! นางเอาความกล้ามาจากที่ไหน ? จริง ๆ แล้วนางกล้าที่จะถามองค์หญิงจี่อันและองค์หญิงหวู่หยางเช่นนั้น ? ใครจะไปรู้ว่าทั้งสองคนนี้จะเสียใจหรือไม่ !

 

“แถวต่อไป แถวต่อไป !” ในขณะที่บ่าวรับใช้กําลังคิดอย่างกล้าหาญ เจ้าหน้าที่ในพระราชวังเริ่มดูแลให้คนเข้าแถวเข้าพระราชวังอีกครั้ง ผู้คนบีบตัวไปข้างหน้าผลักบ่าวรับใช้และคุณหนูของตระกูลมู่เข้ามาในฝูงชน ผู้คนจะสะดุดและเหยียบพวกนาง บ่าวรับใช้พยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อปกป้องเจ้านายของนางและเกือบจะจบลงด้วยการถูกเหยียบจนตาย

 

สําหรับเรื่องนี้ เฟิงหยูเฮงยังคงมีความขุ่นเคืองมีความต้องการที่จะพูดหรือไม่ ? ถ้านางบอกว่านางไม่เสียใจเลย ไม่มีใครในโลกนี้ที่เสียใจ แม้ว่าหญิงสาวที่ถูกสาปแช่งมักจะปาวประกาศว่านางจะแก้แค้น นางไม่เคยรีบ มีหลายครั้งที่นางอยากจะเข้าไปแทรกแซงต่อไปแม้หลังจากได้รับการแก้แค้น ดังนั้นนางจึงถามซวนเทียนเก้อ “รากฐานของมณฑลหลู่เป็นอย่างไร ?”

 

ซวนเทียนเก้อกล่าวอย่างเฉยเมย “ค่อนข้างอุดมสมบูรณ์! อาเฮงข้าจะบอกเจ้าว่าเจ้าหน้าที่ที่ชายแดนมีความมั่งคั่งกว่าเจ้าหน้าที่ในเมืองหลวง อย่าดูถูกว่าเจ้าหน้าที่ทุกคนในเมืองหลวงเป็นเหมือนสุนัข จริงๆ แล้วคนที่ร่ำรวยอย่างแท้จริงอยู่นอกเมืองหลวง ! มณฑลหลู่อยู่ติดกับหลานโจว และมีความสุขกับการทําธุรกิจจากดินแดนทะเลทรายเล็ก ๆ มันร่ำรวยมาก”

 

“ฮะ !” เฟิงหยูเฮงตกใจ “ถ้าข้ารู้ว่าเป็นอย่างนั้น ข้าคงจะหลอกพวกเขาให้มากขึ้น และให้เจ้าเมืองหลุ่มาคิดค่าชดเชยเอง”

 

“เจ้าเป็นห่วงเรื่องอะไร !” ซวนเทียนเก้อมองนาง “เจ้าไม่รู้เรื่องเหล่านี้ แต่พี่เจ็ดไม่รู้เรื่องนี้ได้หรือไม่?” หลังจากเหตุการณ์ในคฤหาสน์เหยา ในที่สุดนางก็รู้ว่าเทพเซียนอย่างพี่เจ็ดไม่ได้เงอะงะเมื่อพูดถึงหลอกลวงคน ! “ถึงแม้ว่าไข่มุกจะมีขนาดเล็ก อาเฮง เจ้าคิดว่าเจ้าเมืองหลู่จะไม่รู้จักไข่มุกที่เอามาจากหอยพันปในทะเลตะวันออกหรือ ? พี่เจ็ดจะช่วยให้เจ้าได้รับเงินมากพอ เจ้าแค่รอรับเงิน ! ”

 

“อืม” เฟิงหยูเฮงพยักหน้า “เอาล่ะ! มันเป็นกําไรอีกเล็กน้อย”

 

ทั้งสองยังคงเดินทางไปมา ปล่อยเฟิงเซียงหรูเช็ดเหงื่อ นางอยากถามว่าพี่รองขาดเงินหรือ ? แต่ในท้ายที่สุดนางไม่สามารถพาตัวเองไปถามเพราะหลังจากคิดถึงคุณหนูตระกูลมู่ เซียงรองรู้สึกว่านางควรถูกหลอกให้ชดใช้เงินจํานวนหนึ่ง นั่นควรจะป้องกันไม่ให้นางทําตัวหยิ่งเกินไป

 

ซวนเทียนเก้อถามเฟิงเซียงหรู “ใช่แล้ว ทําไมนางถึงตบตีเจ้า ?”

 

เซียงหรูถอนหายใจ “ในตอนแรกทุกคนอยู่ในแถว เมื่อถึงตาของข้า จู่ ๆ คุณหนูตระกูลมู่ก็รีบวิ่งไปข้างหน้าโดยบอกว่านางต้องยืนอยู่ข้างหน้าข้า นางผลักข้า ข้าแค่พูดว่าทําไมเจ้าทําแบบนี้ และนางก็ตบข้าเจ้าค่ะ” เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ เริ่มรู้สึกหดหู่ในขณะที่กล่าว “นี่เป็นเพราะข้าเรียบร้อยมากเกินไปหรือเป็นเพราะคุณหนูจากชายแดนเป็นคนดุร้ายและแข็งแกร่งเกินไป ? ผู้คนตบตีคนอื่นโดยไม่พูดแม้คําเดียวมีที่ไหน ? ”

 

“อืม !” ซวนเทียนเก้อตะโกนอย่างเย็นชา และกล่าวว่า “ดุร้ายและแข็งแกร่งหรือ? นางไม่เหมาะกับคําอธิบาย นางเป็นแค่ผู้หญิงที่ตะโกนใส่หน้ากัน เมื่อพูดถึงความสามารถที่แท้จริง นางไม่มีอะไรเลย เซียงหรูไม่ต้องกังวล องค์หญิงจะเก็บหนี้นี้ไว้ในใจ ถ้าวันนี้นางกลับบ้านเลย เรื่องจะหายไป แต่ถ้านางยังกล้าที่จะเข้าร่วมงานเลี้ยงในพระราชวัง พี่สาวคนนี้จะจัดการนางอย่างถูกต้อง และทําให้นางรู้ว่าการดูถูกราชวงศ์เป็นอย่างไร !”

 

“ถูกต้องแล้ว!” เฟิงหยูเฮงเห็นด้วย และกล่าวว่า “ความผิดที่ก่อขึ้นที่ประตูรุย ! เมื่อดูถูกราชวงศ์ ข้าอยากเห็นว่าตระกูลมู่วางแผนที่จะรับมือกับความผิดนี้อย่างไร !”

 

Related

ตอนที่ 691 การแสดงความเสียใจต่อองค์หญิงไม่ใช่สิ่งที่ดี

 

เฟิงเซียงหรูถูกโจมตี เมื่อเปิงหยูเฮงได้ยินข่าวนี้ นางอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหงุดหงิด งานเลี้ยงยังไม่ เริ่มขึ้น ทว่าบรรดาฮูหยินและคุณหนูที่รออยู่ข้างนอกก็ไม่สามารถอดทนได้ 2 ผู้คนที่มาและมี ส่วนร่วมในงานเลี้ยงวันนี้คือทุกคนที่มีอิทธิพล แม้แต่คนอย่างเสียวหยาที่ได้รับคําเชิญพิเศษก็มีเห ยาชื่อที่หนุนหลังของนาง แม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ผู้คนก็ยังกล้าที่จะโจมตีผู้อื่นนอกประตูรุย..

 

“คนที่ทุบตีนางเป็นใคร ? ” นางถามฟางอี้ “ท่านรู้หรือไม่ว่าทําไมนางถึงถูกตี?”

 

ฟางอี้กล่าวอย่างเงียบ ๆ “บุคคลที่รายงานกล่าวว่าบุคคลที่ตีนางคือบุตรสาวของฮูห ยินใหญ่ของเจ้าเมืองหลู่ หากข้าเข้าใจไม่ผิดนามสกุลของพวกเขาคือมู่เพคะ”

 

“มณฑลหลู่ ? ” เฟิงหยูเฮงขมวดคิ้ว ในความทรงจําของนางจังหวัดหมู่อยู่ทางใต้ใกล้กับหลานโจว “ดูเหมือนว่ามีคนไม่กี่คนจากภาคใต้ที่มาในครั้งนี้”

 

ฟางอี้กล่าวต่อไปว่า “เหตุผลอะไรบ่าวรับใช้ไม่ได้พูดอย่างชัดเจน และข้ารีบออกมาหาองค์หญิงก่อน ดังนั้นสถานการณ์จึงยังไม่ชัดเจนเจ้าค่ะ”

 

เปิงหยูเฮงพยักหน้า “ขอบคุณมาก ข้าจะไปที่ประตูรุยทันที” หลังจากพูดอย่างนี้นางพูดกับชวนเทียนเก้อ “เจ้าพาเฟิง แม่นางเหลียนไปที่อุทยานของฮ่องเต้ก่อน ข้าจะไปที่ประตูรุยก่อน”

 

ชวนเทียนเก้อผลักจาวเหลียนไปที่ด้านข้างของหญิงสาวของนาง “ให้นางกํานัลนํานางไปไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ข้าจะไปกับเจ้า ข้าอยากเห็นว่าบุตรสาวของฮูหยินใหญ่ของเจ้าเมืองหลู่หยิ่งแค่ไหน จริง ๆ แล้วนางกล้าที่จะรังแกเชียงหรูของเรา”

 

เฟิงหยูเฮงเห็นว่าจิตวิญญาณการต่อสู้ของซวนเทียนเก้อถูกปลุกขึ้นมาแล้ว ดังนั้นนางจึงรู้ว่านางไม่สามารถหยุดอีกฝ่ายได้แม้ว่านางต้องการ นางทําได้แค่ทําตามที่นางพูด ให้นางกํานัลพาจาวเหลียนไปจากนั้นทั้งสองก็นําหวงซวน และมุ่งหน้าไปยังประตูรุยอย่างรวดเร็ว

 

จาวเหลียนไม่สนใจ เขาและเฟิงเซียงหรูไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ดี และเขาต้องการที่จะดูอุทยานของพระราชวังฮ่องเต้ของราชวงศ์ต้าชุน ยิ่งกว่านั้นเมื่ออยู่ในพระราชวังของฮ่องเต้จะเกิดอะไรขึ้นถ้ามีโอกาสเขาเดินชนกับองค์ชายเจ็ด ?

 

นั่นคือแผนการที่เขามีอยู่ในใจ ในอีกด้านหนึ่งเฟิงหยูเฮงและชวนเทียนเก้อเดินไปที่ประตูรุยอย่างรวดเร็วในขณะที่เดินชวนเทียนเก้อนึกถึงบางสิ่งบางอย่าง “ข้าเข้ามาในพระราชวังตั้งแต่เข้าตรู่และเห็นท่านฮูหยินทั้งสองของตระกูลเฟิงในพระราชวังของฮองเฮาฮ่าๆพวกนางใช้ข้ออ้างในการดูแลฮองเฮาเพื่อกลับมาที่พระราชวัง ตอนนี้ฮองเฮามีสุขภาพดีและสามารถมีส่วนร่วมในงานเลี้ยงพวกนางยังไม่ยอมกลับไป” ยิ่งนางพูดมากเท่าไหร่ นางก็รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างปิดอยู่ “ในอดีตข้ารู้สึกว่าทั้งสองคนค่อนข้างดีอย่างน้อยพวกนางก็ช่วยเจ้าในตระกูลเฟิงแต่ตอนนี้พวกนางกลับมาที่พระราชวังแล้วสถานการณ์จะเป็นแบบไหน ? ”

 

เฟิงหยูเฮงไม่มีความคิดพิเศษเกี่ยวกับเรื่องนี้ นางแค่บอกชวนเทียนเก้อ “เจ้าไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้พี่น้องเฉิงมีวิธีการของตนเอง มีเหตุผลสําหรับพวกนางที่จะอยู่ในพระราชวังเนื่องจากพวกนางยังไม่ได้บอกข้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ นั่นหมายความว่าพวกนางไม่สามารถพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้หรืออาจจะไม่มีอะไรมากที่จะพูดเพียงแค่รู้สึกว่าบ้านตระกูลเฟิงเป็นสถานที่ต่ําต้อยที่พวกนางไม่ต้องการที่จะกลับไป นี่ก็เป็นเหตุผล ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดฮองเฮาจะให้คําอธิบายแก่ตระกูลเฟิงในที่สุดข้าแค่รอมัน”

 

ชวนเทียนเก้อได้ยินนางพูดเช่นนี้ และไม่ได้พูดคุยเรื่องนี้ต่อไป หัวข้อนั้นเปลี่ยนเป็นอ งค์หญิงเจ็ดของกูซู“องค์หญิงจากทางใต้มาที่ราชวงศ์ต้าชุนสําหรับเทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วงและนางก็เข้ามาอย่างลับๆโดยไม่ได้ตั้งใจ ข้าไม่เชื่อ” นางย้ายเข้ามาใกล้เฟิงหยูเฮงและกล่าวอย่างเงียบ ๆ ว่า “ข้าได้ยินมาว่ากูซูตั้งใจที่จะกระชับความสัมพันธ์กับราชวงศ์ต้าชุนของข้ามากขึ้นผ่านการแต่งงานความวุ่นวายที่เกิดจากองค์ชายขอแต่งงานกับองค์หญิงใหญ่ของเฉียนโจวไม่รู้เพียงว่าใครเป็นองค์หญิงแห่งกูซูได้ให้ความสนใจ”

 

เฟิงหยูเฮงไม่รู้สึกว่าการแต่งงานทางการเมืองเป็นสิ่งที่คาดไม่ถึง แต่องค์หญิงแห่งกูซูแต่งงานกับราชวงศ์ต้าชุน หมายความว่านางอาจจะแต่งงานกับครอบครัวของฮ่องเต้หรือใครบางคนจากตระกูลเดียวกันคนที่นางจับตาดูอย่างแม่นยําเป็นสิ่งที่มีค่าต่อการคาดเดา

 

ขณะที่พวกนางคาดเดา ทั้งสองก็มาถึงประตูรุย เมื่อนางกํานัลเห็นทั้งสองมาถึง พวกนางก็คํานับอย่างรวดเร็ว แต่ถูกหยุดโดยเฟิงหยูเฮงที่กล่าวเบา ๆ ว่า “ไม่เป็นไร ไม่ต้องเปิดเผย องค์หญิงและข้ามาเพื่อดู”

 

นางกํานัลเข้าใจและถอยกลับอย่างเงียบ ๆ โดยสั่งให้ทหารกลับไปที่ตําแหน่งของตนอย่างเงียบ ๆ ราวกับว่าไม่มีใครสังเกตเห็นการมาถึงของทั้งสอง เรื่องนี้ทําให้ทั้งสองเดินออกไปอย่างสงบ

 

ในปัจจุบันทางเข้าประตูของรุยค่อนข้างวุ่นวาย เฟิงเซียงหรูปิดใบหน้าของนางขณะยืนอยู่หน้าทางเข้า ที่ด้านข้างของนางเป็นเด็กผู้หญิงร่างสูงที่ดูเหมือนจะอายุประมาณ 15 หรือ 16 ปีด้วยมือเพียงข้างเดียววางอยู่บนสะโพกของนาง นางก็มีความมั่นใจสูงและพอใจในตัวเองในขณะที่มองเฟิงเซียงหรู ผู้คนในแถวออกันอยู่ข้างหน้าเพื่อดูความวุ่นวาย บรรดาฮูหยินและคุณหนูรวมตัวกันรอบ ๆ บริเวณหนึ่ง และไม่มีใครสังเกตเห็นว่าเพิ่งหยูเฮงและชวนเทียนเก้อออกมาจากพระราชวัง หรือมาจากด้านหลังของแถว

 

เฟิงหยูเฮงเห็นเฟิงเซียงหรูใช้มือปิดใบหน้าครึ่งหนึ่งของนางซึ่งบวมเล็กน้อย แต่นางไม่ยอมปล่อยให้น้ําตาไหลออกมา นางจ้องกลับไปที่เด็กหญิงตัวสูงขึ้นแล้วพูดด้วยน้ําเสียงเย็นชาว่า“ที่นี้เป็นทางเข้าพระราชวัง ขอให้คิดถึงครอบครัวของเจ้าด้วย เจ้าตบข้าไม่ผิด หากคําพูดนี้แพร่กระจายเข้าไปในพระราชวัง เจ้าจะได้ประโยชน์อะไรจากเรื่องนี้”

 

ชวนเทียนเก้อกล่าวกับเฟิงหยูเฮง “นางแช่ม ดูแผ่นป้ายห้อยจากเอวของนาง”

 

เฟิงหยูเฮงแล้วสังเกตเห็นว่าหญิงสาวมีป้ายห้อยที่เอวของนางพร้อมกับชื่อตระกูลของนางเขียนไว้ จากนั้นนางจําได้ว่าทุกคนที่เข้าร่วมงานเลี้ยงจะต้องห้อยแผ่นป้ายนี้เพื่อเปิดเผยตัวตนของพวกเขา สําหรับนางและชวนเทียนเก้อย่อมได้รับการยกเว้น

 

ในขณะที่นางกําลังคิด เสียงของคุณหนูมู่ก็ดังเข้ามา มันโหยหวนและเจาะหู “ข่าวกระจายเข้าไปในพระราชวังหรือ? เหอะ ! แม้ว่ามันจะกระจายเข้าไปในพระราชวัง เจ้าคิดว่าใครบางคนจะออกหน้าแทนเจ้า ? แม้ว่ามณฑลหลู่ของข้าไม่ได้อยู่ในชายแดนภาคใต้ แต่เป็นมณฑลสุดท้ายในภาคใต้ไปถามเกี่ยวกับความสําคัญของมณฑลหญ่ถึงราชวงศ์ต้าชุน นอกจากนี้ให้ถามเกี่ยวกับฮ่องเต้ที่ให้คุณค่ากับท่านพ่อของข้า เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร ? ถ้านี่คืออดีตคุณหนูจากคฤหาสน์ของเสนา บดีฝ่ายซ้ายแม้ว่าจะเกิดมาจากอนุข้าก็จะไว้หน้าเจ้าหน่อย แต่ตอนนี้ความล้มเหลวของพ่อของ เจ้า เขาไม่มีชื่อเสียงหรือตําแหน่งอะไรเจ้ายังต้องการใช้สถานะเดิมของเจ้าเพื่อต่อสู้กับข้างั้นหรือ

 

เฟิงเซียงหรูขมวดคิ้ว “ข้าไม่เคยทําให้เจ้าขุ่นเคืองเลย เป็นเจ้าที่มาหาเรื่องข้าก่อน”

 

“ข้าตบเจ้า 2 ข้าตบเจ้าและเจ้าก็ยกโทษให้อย่างง่ายดาย ! นี่คือด้านหน้าของทางเข้าพระราชวังมันเป็นวันที่ดีและไม่เหมาะที่จะเห็นสิ่งที่เป็นลางร้าย ดังนั้นข้าจะให้ใครตีเจ้าที่นี่ข้าจะดูว่าเจ้ากล้าพูดต่อต้านข้าอีกหรือไม่ !”

 

ในเวลานี้มีคนเตือนคุณหนูมู่ “ถึงแม้ว่าตระกูลเฟิงจะล่มสลายไปแล้ว แต่ก็ยังมีองค์หญิงจีอัน !

 

สีหน้าของคุณหนูมู่นั้นเปลี่ยนไป อย่างไรก็ตามนางก็เย้ยหยันอย่างรวดเร็ว “องค์หญิงจีอัน?องค์หญิงคือใคร มันเป็นตําแหน่งที่ได้มาจากการพึ่งพาผู้ชาย เจ้าคิดว่านางมีพลังจริงๆหรือ ? นางโชคดีตอนที่นางยังเด็ก การหมั้นกับองค์ชายเก้าก็ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าเสียดายสําหรับองค์ชายสําหรับพระองค์ที่จะลงเอยด้วยการมีชายาแบบนี้จากตระกูลที่ตกต่ําแต่มันก็ดีสําหรับข้าในที่สุดพระองค์ก็จะรับสนมอีกสองสามคน และนั่นก็เป็นเรื่องปกติธรรมดาข้าต้องการเห็นว่าองค์หญิงจีอันจะสามารถหยิ่งได้นานแค่ไหน”หลังจากที่นางพูดจบนางจ้องมองที่เพิ่งเชียงหรู“เจ้า พึ่งพาพี่สาวของเจ้ามากใช่หรือไม่ ? น่าเสียดายทําไมนางถึงไม่ออกมาช่วยเจ้าในวันนี้ทําไมนางไม่ มาช่วยเจ้าออกไป ? ข้าได้ยินมาว่าองค์หญิงจี้อันรู้วิธีการใช้แส้ข้าอยากสัมผัสมันจริงๆ !”

 

เมื่อคําพูดของคุณหนูมู่ออกมา ผู้คนที่เฝ้าดูไม่พูดอีกต่อไปแม้ว่าพวกนางจะพูดคุยกันแบบส่วนตัวกับเฟิงหยูเฮงพวกนางเป็นเพียงคําพูดที่เด็กผู้หญิงที่มีใจอิจฉาจะพูดและพวกนางก็ไม่ได้มีความสําคัญอะไรแต่คุณหนูม่พูดมากเกินไปใครจะกล้าเห็นด้วยกับคําสั่งดังกล่าวมณฑลหญ่อยู่ไกลจากเมืองหลวงมากข่าวเดินทางช้าเกินไปจริง ๆ ที่จริงแล้วบุตรสาวของฮูหยินใหญ่ของเจ้าเมืองหลู่มีความรู้น้อยมากเกี่ยวกับองค์หญิงจีอันในขณะนี้มีคนที่เริ่มเดินกลับไปยังตําแหน่งของพวกนางในแถวพวกนางไม่ต้องการดูต่อพวกนางสามารถคาดการณ์ได้ว่าคําพูดนี้จะไปถึงหูของเฟิงหยูเฮงหลังจากนั้น

 

มีหลายคนที่มีความคิดแบบนี้ คุณหนูมู่เห็นว่ามีคนน้อยลงและคนที่สนับสนุนนางด้วยเสียงหัวเราะก็ปิดปากลง พวกนางอยู่ค่อนข้างไกลจากนาง นางไม่เข้าใจ “นางเป็นแค่องค์หญิงที่ใช้แซ่ต่างกัน เพียงพอที่จะทําให้เจ้าตกใจอย่างนั้นหรือ ? ” เมื่อเห็นว่าไม่มีใครตอบ นางรู้สึกว่านางเสียหน้า ดังนั้นนางจึงระบายความโกรธกับเฟิงเซียงหรูอีกครั้งขณะที่นางก้าวไปข้างหน้าและยกมือขึ้น นางตบแก้มอีกข้างของเฟิงเซียงหรู

 

บางที่คุณหนูมู่ก็รู้ศิลปะการต่อสู้บ้างการเคลื่อนไหวของนางดุดันและทรงพลัง เมื่อเฟิงเซียงหรูจัดการตอบโต้ มือก็มาถึงใบหน้าของนางแล้ว ไม่มีโอกาสที่นางจะหลบได้นางหลับตาลงโดยไม่รู้ตัวและรอมือสัมผัสใบหน้าของนาง

 

แต่ก่อนที่นางจะรู้สึกถึงความเจ็บปวดใด ๆ ที่แก้มของนาง นางก็ได้ยินเสียงคุณหนูมู่ร้องดังออกมา ฝ่ามือหยุดทํางาน เมื่อนางลืมตามันเป็นคุณหนูมู่ที่ถูกกระแทกไปด้านข้างและล้มลงกับพื้นโชคดีที่มีบางคนคอยประคองนางซึ่งทําให้นางไม่ล้มลงกับพื้น

 

แต่เสียงร้องคร่ําครวญของคุณหนูมู่นั้นยังคงดังก้องอยู่ นอกจากนี้เฟิงเซียงหรูเห็นได้ชัดว่ามีเลือดก็ไหลออกมาจากมือของนาง สายตาของเฟิงเซียงหรูบ่งบอกว่านางตกตะลึงอย่างยิ่ง

 

ในเวลานี้เสียงของเด็กผู้หญิงมาจากประตูรุย ถอนหายใจก่อนแล้วกล่าวว่า “ไข่มุกอันยิ่งใหญ่จากทะเลตะวันออกที่เพิ่งนํากลับมาโดยพี่เจ็ดจากตะวันออกได้สูญเปล่าเช่นนี้”

 

ทุกคนดูอย่างตกใจ เฟิงเซียงหรูมองอย่างมีความสุข คนที่พูดนั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเฟิงหยูเฮงพี่รองของนาง ข้าง ๆ เฟิงหยูเฮงไม่มีใครนอกจากองค์หญิงหรูหยาง

 

นางรู้สึกดีใจ ด้วยการนําเสนอทั้งสองนี้ ประเด็นในวันนี้จะได้รับการพิจารณา แต่หลังจากคิดถึงเรื่องของคุณหนูมู่แล้ว นางก็ไม่รู้ว่าเฟิงหยูเฮงได้ยินมามากแค่ไหน ถ้านางได้ยินทุกอย่างแล้วพี่รองของนางจะไม่ตื่นางจนตายหรือไม่ ?

 

เด็กหญิงตัวน้อยเริ่มกังวล หากมีคนเสียชีวิตหน้าทางเข้าพระราชวังในช่วงเทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วงนั่นจะเป็นลางไม่ดี

 

แต่เป็นที่ชัดเจนว่าเฟิงหยูเฮงกําลังคิดถึงสิ่งที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง มันเป็นไปไม่ได้ที่มันจะอยู่ในจุดนั้น ลําดับความสําคัญของนางคือไม่ก่อให้เกิดความวุ่นวายมากนัก แต่เฟิงหยูเฮงยังคงเล่นกับปิ่นปักผมในมือของนาง และกล่าวว่า “เทียนเก้อ มองดูปิ่นมุกที่ดีก็สูญเปล่าเช่นนี้น่าเสียดายมาก”

 

ชวนเทียนเก้อพยักหน้า “ใช่ เห็นได้ชัดว่าแม้ว่าไข่มุกจะมีขนาดเล็ก แต่ก็มีเพียงไข่มุกตัวเดียว มันถูกดึงออกมาจากหอยราชาพันปี พี่เจ็ดไม่ยอมแม้แต่จะมอบให้กับข้า และมอบให้เจ้าเจ้าดึงมุกออกมาจริง ๆ และใช้มันเป็นหินเพื่อโจมตีผู้คน ฮ่าๆๆ เป็นขยะอย่างแท้จริง”

 

เฟิงหยูเฮงกล่าวอย่างไร้ปัญหา “ข้าวางแผนที่จะปาปิ่นปักผมทั้งหมด แต่สิ่งนี้คมมาก จะเกิดอะไรขึ้นถ้ามันบังเอิญลงเอยที่ดวงตาของคุณหนูมู่หรือจบลงด้วยการตายของนางนี่เป็นวันหยุด มันช่างเลวร้ายขนาดไหน”

 

“แต่มุกก็ติดอยู่ในข้อมือของนาง มันน่าขยะแขยงเกินไป แม้ว่ามันจะถูกขุดออกมา มันก็ไม่สามารถใช้งานได้อีกต่อไป” ชวนเทียนเก้อยังคงแสดงต่อไป ทั้งสองดําเนินการราวกับอยู่ในบทสนทนาที่ตลกขบขันและพูดตอบโต้กันไปมา

 

เฟิงหยูเฮงไตร่ตรองสักพักหนึ่งแล้วกล่าวว่า “แม้ว่ามันจะน่ารังเกียจ ข้าก็ยังต้องขุดมันขึ้นมาหลังจากขุดมันขึ้นมา ข้าก็ใช้มันอีก ! ทหารยามนําไข่มุกออกจากมือของคุณหนุมให้องค์หญิงผู้

 

Related

ตอนที่ 690 องค์หญิงแห่งกูซู

 

เมื่อคําพูดที่ว่าจะทําให้องค์หญิงหวาดกลัวถูกพูดออกมา หวงซวนก็เกือบจะหัวเราะออกมานางคิดกับตัวเองว่ามันจะไม่กลัว แต่ค่อนข้างตกใจ ! องค์หญิงผู้นี้คิดว่าตัวเองสูงส่งเกินไป นางคิดว่าตัวเองงดงามที่สุดในโลกจริงหรือ ? นางคิดจริง ๆ หรือว่าราชวงศ์ต้าชุนไม่มีสาวงาม ?ด้วยความคิดอันตื้นเขินของนาง เมื่อมีคนที่งดงามกว่า นางจะหมดความมั่นใจทันที

 

แต่หวงซวนก็ลืมไปว่าจาวเหลียนไม่ใช่คนจากราชวงศ์ต้าชุน เขาเป็นเพียงแค่คนที่ติดตามเฟิงหยูเฮงและอยู่ในราชวงศ์ต้าชุน มันเป็นเช่นนั้น ทุกคนลืมเกี่ยวกับรากฐานของเขา

 

อย่างไรก็ตามองค์หญิงเจ็ดแห่งแห่งกูซู, เทียนหมานไม่ได้คิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ นางเพิ่งได้ยินว่าคนที่สวมผ้าคลุมหน้านั้นน่ากลัว ดังนั้นนางจึงอดไม่ได้ที่จะปิดปาก และหัวเราะเบาๆโดยกล่าวว่า “เมื่อนางดูไม่ดี นางจะแต่งตัวสวยและสง่างามได้อย่างไร ? องค์หญิงไม่ควรซ่อนสาวงามไม่ใช่หรือ ? ให้นางเอาผ้าคลุมหน้าออกให้ข้าดูได้หรือไม่ ? ”

 

เฟิงหยูเฮงยิ้มแล้วกล่าวว่า “การที่นางถอดผ้าคลุมหน้าออกจะดี แต่ข้ากังวลเกี่ยวกับฮองเฮาจะตกใจนาง นั่นคงไม่ดีแน่เจ้าค่ะ”

 

“พระนาง” เทียนหมานหันไปมองฮองเฮาด้วยท่าทางที่ประจบประแจงและกล่าวว่า “นางมาแล้ว หากพระนางไม่ดู พระนางจะไม่รู้สึกอยากรู้อยากเห็นหรอกหรือเพคะ ?”

 

ไม่มีอะไรที่ฮองเฮาทําได้แม้ว่าองค์หญิงแห่งกูซูและเฟิงหยูเฮงไม่มีความขุ่นเคืองใด ๆหากเรื่องในอดีตถูกนําขึ้นมา ความสัมพันธ์จะซับซ้อนขึ้นเล็กน้อย กูซูไปทางใต้ของราชวงศ์ต้าชุนและชายแดนของพวกเขาซึ่งติดกับหลานโจวนั้นเป็นพื้นที่ที่วุ่นวาย เมื่อเร็วๆนี้องค์ชายแปด,ซวนเทียนไม่ได้ตั้งราชสํานักลงที่นั่น และนางได้ยินมาว่าเขามีความสัมพันธ์ที่สนิทสนมกับกูซูมากในปัจจุบันราชวงศ์ต้าชุนดูเหมือนจะสงบสุขและมีเสถียรภาพมาก แต่ตําแหน่งขององค์รัชทายาทยังว่างอยู่พวกองค์ชายต่างก็แข่งขันกันอย่างเงียบ ๆ ในเรื่องของพละกําลัง และพวกเขาก็แสดงพลังออกมาองค์ชายแปดได้รับการสนับสนุนจากกูซูและฮ่องเต้ก็ชื่นชมองค์ชายเก้าเช่นกันแบบนี้องค์หญิงแห่งกูซูและเฟิงหยูเฮงจะถูกพิจารณาว่าเป็นศัตรูกัน ในปัจจุบันเทียนหมาน มีโอกาสที่จะทําให้เฟิงหยูเฮงลําบากใจ นางจะยอมแพ้ในเรื่องนี้ได้อย่างไร

 

มีสองด้าน คนหนึ่งเดินทางไกลและอย่างน้อยนางก็ต้องยอมแพ้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นนางก็ไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าและทําให้องค์หญิงเจ็ดแห่งภูซูขุ่นเคืองได้ อีกด้านหนึ่งเป็นคนที่ราชวงศ์โปรดปรานฮองเฮาคิดว่านี่เป็นการตัดสินใจที่ยากลําบาก

 

ขณะที่นางกําลังคิด นางหันความสนใจไปที่ผู้หญิงในชุดสีแดงยืนอยู่ด้านหลังเฟิงหยูเฮงนางเห็นว่าร่างกายของผู้หญิงนั้นสง่างาม ไม่ว่าพวกนางจะดูที่ใบหน้าหรือไม่ก็ตาม รูปร่างนั้นน่าประทับใจมาก ดวงตาที่มองเห็นได้ผ่านม่านแม้ว่าจะไม่มองไปด้านข้างดูเหมือนจะไม่เป็นทาส ท่าทา งตกใจจากการเข้าไปในพระราชวังเป็นครั้งแรกก็ไม่ปรากฏเช่นกัน แต่กลับเป็นรูปลักษณ์ที่ คุ้นเคยเป็นอย่างยิ่ง นอกจากนี้ยังมี รูปลักษณ์ที่ขัดแย้งเล็กน้อย ? มองลงไปไหม มันเป็นอย่าง นั้นหรือ ?

 

ความรู้สึกเหล่านี้เปิดเผยในแววตาเหล่านั้น และฮองเฮาก็จําบางสิ่งได้ทันใด เมื่อเชิงหยูเฮงกลับสู่เมืองหลวงนางได้นําพาองค์ชายจากเฉียนโจวกลับมา เมื่อนางเข้าไปในพระราชวังเพื่อทักทายฮ่องเต้และฮองเฮา นางก็ไม่ควรที่จะเปิดเผยต่อสาธารณะ ดังนั้นจํานวนคนที่รู้เกี่ยวกับมันจึงต่ํามากอันเป็นผลมาจากฮ่องเต้ปิดข้อมูลเป็นความลับ เห็นได้ชัดว่าองค์ชายถูกทําร้ายตั้งแต่อายุยังน้อยมันเป็นเช่นนั้นเขากลายเป็นเรื่องการทดสอบในเฉียนโจวร่างกายของเขาไม่ได้เป็นชายหรือหญิงครึ่งหยินและครึ่งหยาง* แต่ถ้ามองจากภายนอกคน ๆ นั้นก็จะดูเป็นผู้หญิงทั้งหมดในความเป็นจริงการปรากฏตัวของเขาเป็นพิเศษนางเคยได้ยินเช่นกันว่าองค์ชายชอบเสื้อผ้าสีแดงและเสื้อผ้าสีแดงสดดังนั้นคนผู้นี้ควรจะเป็น

 

ด้วยการคํานึงถึงสิ่งเหล่านี้ ฮองเฮาจึงมีความเข้าใจดังนั้นนางจึงยิ้มและกล่าวกับเทียนหมาน “โดยธรรมชาติแล้วข้าช่างสงสัยมากอาเฮงเจ้าเอาผ้าคลุมหน้าของนางออกเถิด !”

 

เมื่อนางพูด นางยิ้มและมองไปที่เฟิงหยูเฮงด้วยรอยยิ้มจาง ๆ สายตาของนางก็แสดงความเข้าใจเชิงหยูเฮงยิ้มแล้วหันกลับมาพูดกับจาวเหลียน “เจ้าควรถอดผ้าคลุมออก !”

 

จาวเหลียนมีความสุขมากกว่าใคร เขาไม่รอช้า เขาถอดผ้าคลุมออกทันทีและกล่าวออกมาในเวลาเดียวกัน “ข้าบอกเจ้าแล้วว่าการใส่ผ้าคลุมหน้าเป็นสิ่งที่น่าเบื่อ และอึดอัดมาก”

 

เขาพูดหยาบคายมากและขาดคุณธรรมหญิงสาวอย่างสมบูรณ์ แต่ในปัจจุบันนอกจากคนไม่กี่คนที่ได้เห็นองค์ชายเหลียน มีเพียงเทียนหมาน ฮองเฮา พระชายาเหวินซวนและบ่าวรับใช้ของพวกนาง แม้แต่ฟางอี้ก็อุทานออกมาพร้อมกัน “สวรรค์ ! มีผู้หญิงที่งดงามถึงเพียงนี้ในโลกด้วยหรือ ?”

 

จาวเหลียนเป็นคนที่งดงามมาก นี่คือสิ่งที่เพิ่งหยูเฮงรู้มานานแล้ว สิ่งที่พิเศษยิ่งกว่าคือความรู้สึกซึ่งผสมผสานกับความงามที่โดดเด่น เป็นเรื่องของความรู้สึกที่กล้าหาญ นี่เป็นสิ่งที่หาได้ยากในโลก และพวกเขาไม่สามารถถูกตําหนิได้เพราะสับสน แม้แต่ชวนเทียนเก้อที่เคยเห็นเขามาก่อนก็อดไม่ได้ที่จะมองเขาจนไม่อาจละสายตา นางกลืนน้ําลายเล็กน้อย สําหรับเทียนหมานนางหยุดเคลื่อนไหวไปแล้ว ปากของนางอ้ากว้าง

 

ฮองเฮาก็ตกตะลึงเป็นพิเศษ นางคิดกับตัวเองว่าถ้อยคํานับพันไม่สามารถเทียบได้กับการมองเห็นด้วยตนเอง จะบอกว่าผู้หญิงประเภทนี้เป็นคนที่งดงามที่สุดในโลกจะไม่ผิดเลยแม้แต่น้อยใช่หรือไม่ เมื่อคิดถึงบุตรสาวคนโตของตระกูลเฟิง ทุกคนบอกว่านางเป็นผู้หญิงที่งดงามที่สุดในเมืองหลวง และเมื่อนางเห็นอีกฝ่าย นางก็งดงามจริง ๆ แม้กระนั้นมันก็ไม่น่าตกใจเหมือนคนตรงหน้านาง มันช่างน่าเสียดายจริง ๆ ที่สาวงามผู้นี้แท้จริงแล้วเป็นผู้ชาย

 

“รีบใส่ผ้าคลุมทันที ! ” เฟิงหยูเฮงกล่าวขึ้นมา “ดูสิว่าเจ้าน่ากลัวขนาดไหน องค์หญิงไม่สามารถปิดปากได้ตลอดเวลา เรื่องนี้จะเป็นความผิดของเรา”

 

เทียนหมานได้นําบ่าวรับใช้ของนางมาด้วย เมื่อได้ยินสิ่งที่เพิ่งหยูเฮงพูด นางรู้สึก อายเล็กน้อยและช่วยองค์หญิงของนาง ในที่สุดเมื่อนางช่วยให้เทียนหมานได้สติขึ้นมานางได้ยินเสียงของนางที่จะกล่าวว่า “ผู้ชั่วร้ายนี้มาจากไหน ?”

 

จาวเหลียนอดปากไม่ไหว “เรื่องนี้หนักบนหัวเจ้าหรือไม่ ? นั่นไม่ใช่ปากที่อยู่ใต้จมูกหรอกหรือ ? เหตุใดข้าจึงเห็นว่าเจ้าไม่เพียงแต่ไร้สมองแต่ยังไม่รู้วิธีการพูดกูซูเป็นดินแดนที่รกร้างอย่างแท้จริงแม้แต่องค์หญิงผู้สูงศักดิ์ของราชวงศ์ก็ยังไร้การศึกษา แต่พลเมืองของประเทศก็น้อย แม้แต่ส ถานที่แบบนั้นก็สามารถเรียกได้ว่าเป็นอาณาจักรหรือ ?มันเป็นเรื่องตลกของโลกจริง ๆ ”

 

นางเป็นคนที่ไม่เคยคิดเมื่อพูดและนี่ถือเป็นการยั้งปาก ถ้าเขาไม่ได้อยู่ในพระราชวังและถ้าเขาไม่ไว้หน้าฮองเฮา เขาอาจจะดูหมิ่นเทียนหมานจนกระทั่งนางเสียชีวิต แต่หลังจากคิดไปเล็กน้อยคําว่าผู้ชั่วร้ายจริง ๆ ก็ไม่ได้ดูถูกเขา เขาคิดว่ามันเป็นการยกย่องอย่างสมบูรณ์ดังนั้นเขาจึงยอมยั้งปากเล็กน้อยและเยือกเย็น

 

ทันใดนั้นเทียนหมานก็โดนดูถูกเหยียดหยามและไม่สามารถตอบโต้ได้ซักพัก เมื่อนางสามารถตอบโต้และต้องการที่จะตอบโต้ ฮองเฮาและพระชายาเหวินซวนได้เปลี่ยนหัวข้อไปแล้วพวกเขาไม่ได้พูดถึงเรื่องก่อนหน้านี้เพียง แต่พูดอย่างอบอุ่นกับเฟิงหยูเฮง “วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วจริง ๆ เจ้าอายุ 14 ปีแล้ว หลังจากปีใหม่เจ้าจะต้องเริ่มเตรียมตัวเมื่อเจ้ามีอายุมากขึ้นอีกปีข้ากําลังคิดว่าเมื่อถึงวันที่เจ้าปักปั่น ข้าจะให้ฮ่องเต้สั่งให้เจ้าเข้ามาในพระราชวังเพื่อข้าจะได้เป็นคนหวีผมให้เจ้า”

 

พระชายาเหวินซวนกล่าวเสริมในทันทีว่า “น้องสะใภ้จะลืมได้อย่างไรว่าถึงแม้อายุจะมีความสําคัญแต่การที่อาเฮงอายุมากขึ้น มีเรื่องที่ใหญ่กว่านั้นที่ต้องเตรียมการเพคะ !”

 

ฮองเฮาสามารถตอบโต้ได้ทันที และกล่าวว่า “โอ้ ! ข้าลืมเรื่องสําคัญได้อย่างไร อาเฮงจะจัดงานแต่งงานของนางในวันเดียวกัน ! จากนั้นไม่จําเป็นต้องมีพระราชโองการ ฮ่องเต้ได้แสดงความประสงค์ที่จะจัดงานสมรสพระราชทานให้กับอาเฮง และหมิงเอ๋อ เมื่อคิดดูแล้วข้าสามารถเพลิดเพลินไปกับงานมงคลนั้นได้”

 

เฟิงหยูเฮงยิ้มและขอบคุณฮองเฮา สามคนเริ่มคุยกันอย่างมีความสุข เมื่อพวกเขาคุยกันอย่างมีความสุข เทียนหมานก็ถูกทิ้งไว้ข้างหลังอย่างสมบูรณ์ แม้แต่จาวเหลียนก็คุยกับชวนเทียนหมิงใครบ้างที่ให้ความสนใจนาง ?

 

เทียนหมานไม่สามารถพูดออกมาเป็นคําเดียว และรู้สึกอึดอัดที่จะทน บ่าวรับใช้ที่อยู่ข้างๆนางเตือนนางอย่างเงียบ ๆ ว่า “พระองค์เป็นองค์หญิง องค์หญิงจะต้องไม่สูญเสียตัวเองไปกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ตอนนี้เราอยู่ในราชวงศ์ต้าชุน องค์หญิงจะต้องมีความอดทนมากกว่านี้”

 

เมื่อนางพูดสิ่งนี้ เทียนฟานก็สามารถปรับอารมณ์ของนางได้อย่างรวดเร็ว กูชูมีขนาดเล็กแต่ก็ยังคงสมบูรณ์ตระกูลของฮ่องเต้ยังคงเป็นตระกูลของฮ่องเต้ การศึกษาของเทียนหมานนั้นเป็นเรื่องจริงแต่ก็ไม่ได้หมายความว่านางจะไม่ขาดการศึกษา นางเข้าใจได้ทันทีเมื่อบ่าวรับใช้ของนางพูดเรื่องนี้และนางก็ฟื้นตัวจากเรื่องก่อนหน้าอย่างรวดเร็วนางไม่สนใจจาวเหลียนและพูดกับเพิ่งหยูเฮงว่า“เมื่อกล่าวถึงการแต่งงานขององค์หญิงกูซูของเราได้เตรียมของขวัญตั้งแต่ต้นปี ปีหน้ากูซูจะส่งคนมาแสดงความยินดีกับท่านเป็นพิเศษเมื่อถึงเวลาข้าหวังว่าองค์หญิงจะไม่รังเกียจ”

 

เฟิงหยูเฮงยิ้มและตอบว่า “โดยธรรมชาติแล้วกซูใช้ความสามารถทั้งหมดเพื่อเป็นของขวัญชิ้นนี้ข้าจะรังเกียจได้อย่างไร”

 

เทียนหมานตกตะลึงอีกครั้งมันกลายเป็นการใช้ความสามารถทั้งหมดในการมอบของขวัญได้อย่างไร ? เมื่อไหร่ที่นางบอกว่าใช้ความสามารถทั้งหมด ? นางต้องการลบล้างมันแต่หลังจากดูไปซักพัก นางก็ฝืนทนบังคับตัวเองให้ยิ้มแล้วกล่าวว่า “องค์หญิงกําลังล้อเล่นไม่ถือว่าเป็นของขวัญที่ใช้ความสามารถทั้งหมด นั่นเป็นเพียงความเคารพต่อองค์หญิงของราชวงศ์ต้าชุน”

 

คําพูดเหล่านี้ไม่สุภาพ และพวกเขาก็สามารถกระตุ้นซวนเทียนเก้อและเฟิงหยูเฮง

 

แต่เฟิงหยูเฮงเป็นคนแบบไหน? นางเคยพ่ายแพ้ในการต่อสู้ด้วยวาจางั้นหรือ ? นางหัวเราะทันที่ “นั่นเป็นเรื่องจริงที่จะบอกว่าอาณาจักรพยายามอย่างเต็มที่แล้วก็ไม่จําเป็นต้องเตรียมตัวล่วงหน้าหนึ่งปีกูซูอดอยากจริง ๆ ข้าหวังว่าของขวัญที่เตรียมไว้หลังจากปีนี้จะเป็นของขวัญมากมาย

 

เทียนหมานรู้สึกสับสนเล็กน้อย นางพูดอย่างไม่ตั้งใจ สิ่งนี้เกี่ยวกับการเตรียมมันในช่วงต้นปี มันยังไม่ได้เตรียมไว้ใช่หรือไม่ ? แต่นางได้พูดไปแล้ว และเฟิงหยูเฮงก็หักหน้านางถ้าไม่ได้ให้ของขวัญที่ดี สิ่งต่าง ๆ จะไม่ง่ายต่อการจัดการ แม้ว่ากูซูต้องการเข้าใกล้องค์ชายแปดที่อยู่ใกล้ทะเลทรายทางตอนใต้ แต่ราชวงศ์ต้าขุนก็ยังไม่ได้เป็นขององค์ชายแปดกูซูไม่สามารถสร้างความวุ่นวายในเวลาเช่นนี้ และเดินตามรอยเท้าของเฉียนโจว

 

เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ เทียนหมานยิ้มอย่างรวดเร็วและกล่าวกับเปิงหยูเฮง “องค์หญิงไม่ ต้องกังวลมันจะเป็นของขวัญมากมายแน่นอน”

 

ฮองเฮาเห็นว่าองค์หญิงของกูซูรู้วิธีที่จะหลีกเลี่ยง จากนั้นนางยิ้มและโบกมือให้ทุกคนนั่งต่อไปอีกซักพัก ซวนเทียนเก้อกล่าวว่านางต้องการออกไปเดินเล่นกับเฟิงหยูเฮง

 

ทั้งสองออกไปและจาวเหลียนก็ติดตาม ก่อนออกเดินทาง เขาไม่ลืมที่จะจ้องมองอย่างฉุนเฉียวที่เทียนหมาน ซึ่งทําให้นางโกรธมาก

 

กลุ่มรีบออกจากพระราชวังจากนั้นค่อย ๆ เดินช้าลง ซวนเทียนเก้อลากตัวนางเดินไปที่สวนเพิ่งหยูเฮงถามว่า “ทําไมองค์หญิงแห่งกูซูถึงมาโดยที่ไม่มีการแจ้งล่วงหน้า ? ”

 

ชวนเทียนเก้อกล่าวอย่างไร้ปัญหา “ข้าได้ยินมาว่านางเข้ามาในเมืองหลวงพร้อมกับนายอําเภอของหลานโจว แต่ไม่มีเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ดังนั้นตัวตนของนางจึงไม่เปิดเผยนางเข้ามาใน เมืองหลวงหลังจากนั้นคําอธิบายที่นางให้ก็กลัวว่าจะมีบางอย่างเกิดขึ้นกับองค์หญิงระหว่างทางดังนั้นนางจึงไม่กล้าเปิดเผยต่อสาธารณชน นางตั้งใจแน่วแน่ที่จะเป็นแขกจากแดนไกลและมันก็ถู กตัดสินว่าเป็นอย่างนั้น”

 

เฟิงหยูเองต้องการถามอีกเล็กน้อย แต่ในเวลานี้นางได้ยินเสียงฝีเท้าก้าวเข้ามาใกล้จากด้านหลังกลุ่มหันหลังกลับและเห็นฟางอี้วิ่งตามมาอย่างรวดเร็ว หลังจากไปถึงพวกนางนางก็โก้งคํานับแล้วกล่าวว่า “องค์หญิง องค์หญิงโปรดรอสักครู่ หลังจากท่านสองคนออกมาคนจากประตูพระราชวังมารายงานว่าในขณะที่รอเข้าแถวเข้าพระราชวังคุณหนูสามของตระกูลเฟิงมีเรื่องกับบางคนและถูกตบ ตอนนี้นางได้รับการช่วยเหลือแล้วอยู่ในสถานที่องค์หญิงต้องการไปดูหรือไม่เพคะ ?”

 

Related

ตอนที่ 689 ผู้มาเยือนที่หายาก

 

เมื่อบุคคลนั้นกล่าวถึงองค์หญิงจีอัน ทุกคนต่างก็เงียบงัน พวกเขาเป็นสมาชิกในตระกูลของเจ้าหน้าที่ซึ่งมาจากต่างมณฑล ความรู้ของพวกเขาไม่สามารถเปรียบเทียบกับผู้ที่อาศัยอยู่ในเมืองหลวง ในเรื่องที่เกี่ยวกับเฟิงหยูเฮง พวกเขาเคยได้ยินเกี่ยวกับนางเท่านั้น อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่เคยเห็นนางมาก่อน มันเป็นไปไม่ได้แม้แต่น้อยที่พวกเขาจะมีปฏิสัมพันธ์นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเคยเห็นรถม้าของราชสํานักนี้

 

แต่ด้วยความคิดเหล่านี้ผู้คนเริ่มหันกลับมามองรถม้าของพวกเขา ดูดีขึ้น แต่ทุกคนหายใจเข้าอย่างแรง

 

“มีอัญมณีฝังอยู่ในรถม้าของนางจริงหรือ ?”

 

“สิ่งที่สดใสและเป็นประกายคงเป็นผลึก ปีที่แล้วท่านพ่อของข้าให้จี้ผลึกเล็ก ๆ ในวันเกิดของข้าและมันก็ดูคล้ายกับสิ่งที่อยู่ในรถม้า คุณภาพของมันไม่สูงเท่าไหร่”

 

“เราจะเปรียบเทียบสิ่งต่าง ๆ ที่เรามีกับราชวงศ์ได้อย่างไร”

 

“ราชวงศ์อะไร นางเป็นแค่องค์หญิงที่ใช้แซ่ต่างกัน นางได้รับตําแหน่งนี้ในภายหลัง”

 

“องค์หญิงที่มีแซ่ต่างกันเป็นคนที่หยิ่งยโส มีของมีค่ามากมายถูกฝังอยู่บนรถม้า หากใครก็ตามที่เอามันไปราคาจะสูงมาก นางมีแผนที่ยิ่งใหญ่จริงๆ”

 

เพิ่งหยูเฮงได้ยินสิ่งเหล่านี้ผ่านหน้าต่างและไม่สามารถช่วยได้ นางหัวเราะภายใน ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทําไมราชสํานักต้องปรับปรุงความปลอดภัยทุกครั้งที่มีเจ้าหน้าที่ที่มาจากต่างมณฑล เพียงแค่อาศัยประสบการณ์ของคนเหล่านี้ บางทีพวกเขาอาจทําให้เกิดสิ่งใดก็ตามที่พวกเขาเห็น รถม้าของนางไม่ได้มีอยู่ในเมืองหลวงมากนัก ยิ่งไปกว่านั้นรถม้าของซวนเทียนหมิงนั้นมากเกินกว่าที่จะรับได้ ผู้คนในเมืองหลวงมองว่าเป็นเรื่องธรรมชาติ ทําไมถึงเป็นเช่นนี้เมื่อบรรดาคุณหนูและฮูหยินที่คลั่งไคล้พูด มันจึงกลายเป็นแผนการยิ่งใหญ่ของนาง?

 

อย่างไรก็ตามการสนทนาสั้น ๆ เกี่ยวกับรถม้าของราชสํานักก็ยังไม่เพียงพอ เมื่อผู้หญิงรวมตัวกัน พวกนางชอบนินทาและหัวข้อเริ่มเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วมาก คราวนี้หัวข้อดังกล่าวเกี่ยวกับชวนเทียนหมิง

 

“พวกเจ้ารู้หรือไม่ ? องค์ชายเก้าไม่เพียงได้รับบาดเจ็บที่ขาเท่านั้น แต่ใบหน้าของพระองค์ที่ถูกทําลายก็กลับมาเป็นปกติโดยไม่มีตําหนิ” คําพูดเหล่านี้เต็มไปด้วยความอิจฉา

 

ดวงตาของจาวเหลียนคมชัดในบางครั้งเขาก็กล่าวกับเปิงหยูเฮง “ฮ่า ๆ มีคนมองเราอยู่ด้านข้าง จะได้กลิ่นน้ําส้มผ่านผนังรถ”

 

ทันใดนั้นเสียงก็ดังขึ้น “ฮะ พูดอย่างชัดเจนว่าองค์หญิงจีอันโชคดี การหมั้นกับองค์ชายเก้าตั้งแต่อายุยังน้อย เราไม่มีโชคเช่นนั้น”

 

“เราจะเปรียบเทียบกับผู้คนในเมืองหลวงได้อย่างไร คนที่อยู่ใกล้กับผู้ที่มีอํานาจจะได้รับผลประโยชน์บางอย่าง การพูดของข้าได้เห็นองค์ชายเก้าครั้งก่อน ในเวลานั้นพระองค์ยังเป็นเด็กแต่รูปร่างหน้าตาของเขาช่างเป็น..น่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง”

 

“ยิ่งกว่าองค์ชายเจ็ดอีกหรือ ? ”

 

“พวกองค์ชายเจ็ดได้รับการขัดเกลาให้เหมือนเทพเซียน ในขณะที่องค์ชาย

 

เก้าเป็นผู้ปกครองที่เย่อหยิ่ง”

 

คําอธิบายเหล่านี้ทําให้ใจบริสุทธิ์ที่อ่อนเยาว์พลาดไป เฟิงหยูเฮงรู้สึกถึงความอิจฉา ที่กําลังล่องลอยอยู่นางรู้สึกหงุดหงิดและตบจาวเหลียน “ปิดม่าน” จากนั้นนางก็รีบหวงซวน “ออกไปและให้คนข้างนอกเปิดทางรถม้าของราชสํานักนี้จะได้รับการปฏิบัติเช่นเดียวกับอ งค์หญิงหรูหยางและสามารถขับตรงไปที่ประตูรุยไม่จําเป็นต้องดําเนินการต่อที่นี่ให้พวกเขาทั้งหมดหลบ ใครจะรู้ว่าทหารองครักษ์เหล่านั้นกําลังทําอะไร”

 

หวงซวนรู้ว่านางได้ยินใครบางคนที่อยู่ข้างนอกคร่ําครวญหาองค์ชายเก้าของเขา และนางหัวเราะภายในอย่างไรก็ตามนางไม่ได้ชี้ให้เห็น นางยกม่านของรถม้าขึ้น นางสั่งทหารยามเร็วมากมีการเคลื่อนไหวด้านนอกเห็นได้ชัดว่าผู้คนที่อยู่ข้างนอกกําลังเอาใส่ใจกับคําสั่งของทหารองค รักษ์ให้เคลื่อนไหว ไม่นานหลังจากนั้นเส้นทางสําหรับรถม้าของนางก็เปิดออก

 

เมื่อหวงซวนกลับมาภายในรถม้า ยานพาหนะก็เริ่มเคลื่อนที่ นางกล่าวกับเฟิงหยูเฮง “ข้าสงสัยจริง ๆ ว่าพระราชวังของฮ่องเต้จะระเบิดจากการที่คนจํานวนมากเข้าไปข้างใน

 

จาวเหลียนงงงวย “พระราชวังของราชวงศ์ต้าซุนนั้นเล็กมากหรือ ?”

 

หวงซวนกรอกตาใส่เขา “ข้าแค่คาดเดา เจ้ารู้หรือไม่ว่าการคาดเดาคืออะไร ?”

 

ความโง่เขลาของจาวเหลียนทําให้หวงซวนรู้สึกหมดหนทางมาก นางตัดสินใจที่จะไม่พูดกับเขาและนั่งเงียบ ๆ ที่ด้านข้างจนกระทั่งรถม้าหยุดอีกครั้ง

 

ด้านนอกคนขับยกม่าน “เราถึงประตูรุยแล้วขอรับ”

 

เฟิงหยูเฮงพยักหน้าและลุกขึ้นเพื่อลงจากรถม้า ขณะที่เท้าสองข้างของนางแตะพื้นนางกํานัลผู้รับผิดชอบที่รอคอยเดินไปข้างหน้าเพื่อแสดงความยินดี และแสดงความเคารพกล่าวอย่างอบอุ่น“บ่าวรับใช้ชราผู้นี้กําลังรอการมาถึงขององค์หญิงโดยเฉพาะ องค์หญิงโปรดตามบ่าวรับใช้ผู้นี้เข้าไปข้างในเจ้าค่ะ”

 

เฟิงหยูเฮงขอบคุณแล้วบอกนางว่าจาวเหลียนเป็นคนที่นางพามา นางกํานัลทําท่าว่านางเข้าใจและเพิ่งให้นางกํานัลอีกคนจดบันทึกง่าย ๆ ก่อนนําเข้าไปในพระราชวัง สําหรับพวกฮูหยินและคุณหนูยังคงรออยู่ด้านนอก พวกเขาทําได้แค่ถอนหายใจ

 

รอบ ๆ เทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วงเย็น แต่ตั้งแต่วันที่ผ่านไปมันก็ร้อนแรงที่สุด พวกนางมาหลังจากแต่งตัวด้วยชุดเสื้อผ้าที่พิถีพิถัน แต่พวกนางไม่เคยคิดเลยว่าจะมีคนมากมายหลังจากยืนอยู่แถวนี้มานาน พวกนางรู้สึกว่าเครื่องประทินโฉมบนใบหน้าของพวกนางละลายไปแล้ว

 

ในกลุ่มเข้าแถว เฟิงเฟินไดยังคงรออยู่ แม้ว่าจะมีความสัมพันธ์กับองค์ชายห้านางก็ ได้รับคําเชิญเข้ามาในพระราชวังอย่างไรก็ตามนางไม่ได้รับการดูแลแบบเดียวกันในการหลีกเลี่ยงรถม้าเช่นเดียวกับเฟิงหยูเฮงแน่นอนจํานวนคนที่อยู่ฝ่ายผู้หญิงที่ไม่จําเป็นต้องรอแถวสา มารถนับได้ด้วยมือเดียว พระชายาเหวินซวน องค์หญิงหรูหยาง และองค์หญิงจีอันมีเพียง 3 คน คนอื่น ๆ ได้แต่รออย่างใจจดใจจ่อในขณะที่รู้สึกอิจฉา

 

แต่ผู้คนที่เกี่ยวข้องกับหลายสิ่งหลายอย่างจะขาดความยับยั้งชั่งใจอย่างที่มีคนถามเฟิงเฟินไดว่า“น้องสาวเจ้าบอกว่าเจ้าเป็นว่าที่พระชายาขององค์ชายห้า ข้าจําได้ว่าคนที่หมั้นกับองค์ชายห้าคือคุณหนูสีตระกูลเฟิงใช่หรือไม่ ? ถ้าเป็นอย่างที่เจ้าพูดองค์หญิงจีอันก็เป็นพี่สาวของเจ้าทําไมพี่สาวของเจ้าไปที่พระราชวังก่อนโดยไม่ดูแลเจ้า”

 

คงจะดีกว่านี้ถ้าเรื่องนี้ไม่ได้นําขึ้นมา เมื่อมันถูกนําขึ้นมา เป็นไดก็รู้สึกโกรธ เฟิงหยูเฮงเคยดูแลนางตั้งแต่เมื่อใดตรงข้ามกับนางดีพอแล้วนางกล่าวอย่างเย็นชา “งั้นถ้านางเป็นพี่สาวของข้าในปัจจุบันสถานะของนางอยู่ในระดับสูงและนางมีความสามารถ และนางเป็นคนที่มีคุณธรรมนางจะเป็นพี่สาวที่บุตรสาวของอนุเช่นข้าจะเข้าใกล้ได้อย่างไรมันดีพอแล้วถ้านางไม่ ทําให้ข้าเดือดร้อนข้าไม่กล้าทําให้นางรําคาญ” นางลืมโดยสิ้นเชิงว่าทุกครั้งที่นางขัดแย้งกับเฟิงหยูเฮงนางเป็นคนที่สร้างปัญหากับเฟิงหยูเฮง

 

คําพูดของเฟินไดถูกแพร่กระจายไปข้างหน้า และย้อนกลับราวกับว่ามันเป็นความจริง บรรดาฮูหยินและคุณหนูจากเมืองหลวงที่รู้สถานการณ์อาจหัวเราะหรือรู้สึกไร้ประโยชน์แต่พวกฮูหยินและคุณหนูที่มาจากมณฑลอื่นพบสิ่งที่จะพูดถึง

 

ในไม่ช้าภาพลักษณ์ของเฟิงหยูเฮงก็ตกต่ําอย่างรุนแรง นางเป็นหนึ่งในคนที่ได้รับเกียรติจากทั่วโลก แต่ยังปฏิบัติต่อน้องสาวของนางซึ่งเป็นบุตรสาวของอนุเช่นนี้

 

เฟิงเฟินไดมีความสุขมากที่ได้ยินและมองย้อนกลับไป จากนั้นนางเห็นเฟิงเซียงหรูยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนพร้อมกับมองว่าจะปฏิเสธสิ่งต่าง ๆ แต่ไม่มีใครฟังนาง นี่ทําให้นางมีความสุขมากขึ้น

 

ในอีกด้านหนึ่ง เฟิงหยูเฮงก็ถูกนําตัวไปที่สวนโดยนางกํานัล นางเดินไปพร้อมกับกล่าวกับพวกนางว่า “วันนี้ฮองเฮารู้สึกดีมาก นางยังมีวิญญาณที่ดี พระชายาเหวินซวนเป็นคนแรกที่เข้ามาในพระราชวังและทั้งสองก็ได้สนทนากันตลอดเวลาเจ้าค่ะ”

เฟิงหยูเฮงถามต่อไป “องค์หญิงหรูหยางมาถึงแล้วหรือยัง ?”

 

“มาแล้วเจ้าค่ะ” นางกํานัลกล่าวอย่างรวดเร็ว “องค์หญิงมาเร็วและไปหาพวกนางเพื่อสนทนาและเดินเล่นด้วยเจ้าค่ะ เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ คงจะกลับมาเร็วๆ นี้เจ้าค่ะ”

 

เฟิงหยูเฮงพยักหน้สและไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม สถานะของซวนเทียนเก้อแตกต่าง จากคนอื่นพระราชวังของราชวงศ์นี้เป็นบ้านของนางบางส่วน ใครสามารถทําอะไรกับนางได้บ้างถ้านางอยากไปทุกที่นอกจากนี้นางคุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้ ด้วยเหตุนี้นางจึงหนีไปเอง

 

เร็วมาก พวกนางมาถึงตําหนักจิงซี เมื่อทุกคนก้าวเท้าเข้าไปในสนาม พวกนางได้ยินเสียงหัวเราะ มันไม่ใช่แค่หนึ่งคนหรือสองคน นางชัดเจนว่ามีอย่างน้อย 4 คน

 

เมื่อนางเข้าไปดูก็เป็นฮองเฮา พระชายาเหวินซวนและซวนเทียนเก้อ นอกจากนี้ยังมีบุคคลอื่นที่ทําให้นางรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่นางก็ไม่ได้ตกใจจนเกินไป นางเพียงแค่เดินไปที่ฮองเฮาและโค้งคํานับ “อาเฮงคารวะฮองเฮาเพคะ สุขสันต์เทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วงเพคะ”

 

เมื่อฮองเฮาเห็นเชิงหยูเฮง ดวงตาของนางก็เหลออกมาจากรอยยิ้ม นางรีบเรียกฟางอี้เพื่อมาช่วยประคองเฟิงหยูเฮง ในเวลาเดียวกันนางพูดกับพระชายาเหวินซวนที่นั่งอยู่ข้างนาง “เพื่อให้สามารถเข้าร่วมงานเลี้ยงวันนี้ด้วยวิญญาณที่ดี ต้องขอบคุณอาเฮงอย่างแท้จริง เจ้ารู้หรือไม่ว่าอาการของโรคนี้ไม่ได้แสดงอาการที่ดีขึ้น เพราะข้าใช้เวลาสองสามเดือนนอนอยู่บนเตียงโดยไม่มีแรง เมื่ออาเฮงกลับมาจากภาคเหนือแล้วมาตรวจข้า นางก็มอบยาพิเศษตัวหนึ่งให้ข้าหลังจากกินไปสักพัก อาการป่วยของข้าก็ดีขึ้นอย่างมาก”

 

เฟิงหยูเฮงกล่าวอย่างสุภาพ “เป็นเพราะร่างกายของเสดแม่เพคะ อาเฮงเพียงให้ยาเล็กน้อยเจ้าค่ะ” หลังจากพูดอย่างนี้นางเรียกพระชายาเหวินซวนอย่างสนิทสนมออกมาว่า “ท่านป้าสบายดีไหมเจ้าคะ ?”

 

พระชายาเหวินชวนมองที่นางด้วยรอยยิ้ม “ข้าสบายดี” ในใจของนาง นางถอนหายใจมากกว่าเหยาชื่อ นางไม่รู้ว่านางกําลังคิดอะไรทิ้งบุตรสาวแสนดีไว้เบื้องหลัง และทําให้เกิดความบาดหมาง นางหันหน้าของนางและต้องการแก้ไขเรื่องนี้ นางตัดสินใจแล้วว่าจะไปและพยายามแนะนํานางต่อไปหลังจากงานเลี้ยงในพระราชวังสิ้นสุดลง ท้ายที่สุดนางทนไม่ได้ที่จะมองคู่มารดาและบุตรสาวทําตัวห่างเหิน

 

ในขณะที่นางกําลังคิด ฮองเฮากําลังจะแนะนําหยูเฮง กับบุคคลอื่น ในเวลานี้หยูเฮงพยักหน้าและทักทายชวนเทียนเก้อ ก่อนที่จะหันไปมองคนอื่น และกล่าวด้วยรอยยิ้ม “องค์หญิงเจ็ดแห่งกูซูท่านมาไกลพอสมควร ท่านเป็นแขกที่หายากจริง ๆ เจ้าค่ะ”

 

ฮองเฮาตกตะลึง “พวกเจ้าทั้งสองคนรู้จักกันหรือ ?”

 

เฟิงหยูเฮงพยักหน้า “ย้อนกลับไปองค์ชายหกของกูซูพาองค์หญิงเจ็ดมาที่ราชวงศ์ต้าชุนของเราแล้ว พวกเขาก็ไปที่คฤหาสน์ของเราโดยเฉพาะในเวลานั้นท่านพ่อของข้ายังคงเป็นเสนาบดีฝ่ายซ้ายอยู่ และเขาก็ดูแลคังอื้องค์หญิงใหญ่ของเฉียนโจว และบุตรสาวของนางองค์ชายหกของกูซูและองค์หญิงเจ็ดมาที่คฤหาสน์ด้วยกัน องค์ชายหกได้ไปเยี่ยมเพื่อพูดเกี่ยวกับการแต่งงานกับองค์หญิงคังอี้เพคะ”

 

หลังจากที่นางพูดจบ ฮองเฮาพยักหน้ากล่าวว่า “ถ้าเจ้าพูดแบบนี้ ข้าก็จําได้ว่ามีบางอย่างเช่นนั้น”

 

องค์หญิงเจ็ดแห่งกูซูก็ยิ้มในเวลานี้จากนั้นก็กล่าวกับเฟิงหยูเฮง “องค์หญิงมีความทรงจําที่ดีจริงๆ ข้าลืมเรื่องนี้ไปหมดแล้ว ข้าไม่เคยคิดเลยว่าองค์หญิงจะยังคงจําได้ ท่านมีน้ําใจจริงๆ”

 

เด็กผู้หญิงที่เกิดในภาคใต้มีเสน่ห์ และในขณะที่นางพูด สีหน้าของนางไม่เปลี่ยนแปลงนอก จากนี้ยังมีรูปลักษณ์ที่สวยงามมาก แต่เพิ่งหยูเฮงมองเห็นความโกรธในแววตาของนาง นางจึงกล่าวว่า “มันไม่สามารถนํามาพิจารณาได้ สองอาณาจักรที่เข้าร่วมการแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ ใครจะลืมมันได้บ้าง ฮองเฮายังบอกว่าจําเจ้าได้”

 

เมื่อเอ่ยอ้างถึงฮองเฮา องค์หญิงเจ็ดไม่สามารถพูดอะไรได้อีก ฮองเฮาที่หยิบบทสนทนากลับมากล่าวว่า “องค์หญิงเจ็ดเป็นคนที่งดงามและจิตใจของนางก็ดี การเดินทางมาที่ราชวงศ์ต้าชุนของข้าเพียงอย่างเดียวนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย วันนี้สนุกไปกับงานเลี้ยงในพระราชวังแห่งนี้อย่างเต็มที่

 

พระชายาเหวินซวนกล่าวเสริม “ใช่แล้ว เด็กผู้หญิงที่เกิดในภาคใต้นั้นงดงามมาก จ มูกของพวกนางจะโด่งและมีดวงตากลม และเด็กสาวทั้งหมดงดงามน้อยกว่าองค์หญิงของราช วงศ์ ข้าได้ยินมาว่าการปรากฏตัวขององค์หญิงเจ็ดนั้นเพียงพอที่จะได้รับการพิจารณาว่างดงามที่ สุดในราชวงศ์ของกูซู ท่านจะได้รับความสนใจจากคนเหล่านี้ในวันนี้”

 

แต่เดิมองค์หญิงเจ็ดนี้มีความมั่นใจในรูปร่างหน้าตาของนางอย่างชัดเจนและนางก็อดไม่ได้ที่จะเชิดคางของนางอย่างมั่นใจ อย่างไรก็ตามนางจ้องมองหญิงสาวในชุดสีแดงด้านหลังหยูเฮงทันที

 

นางสังเกตเห็นสาวชุดแดงนั้นทันทีเมื่อมันเข้ามาในห้อง แต่นางไม่มีทางเลือกนอกจากต้องพูดกับเฟิงหยูเฮงด้วยตัวตนของนาง อย่างไรก็ตามตอนนี้นางมีโอกาสที่จะค้นหาสถานการณ์นางชี้ไปที่จาวเหลียนและถามว่า“นางเป็นใคร ? ทําไมนางถึงสวมผ้าคลุมหน้า ? ใบหน้าของนางเป็น…”

 

เฟิงหยูเฮงยิ้มเล็กน้อย “ถูกต้อง รูปร่างหน้าตาของนางค่อนข้างยากที่จะรับมือ ขากลัวว่าการเอาผ้าคลุมหน้าออกจะทําให้องค์หญิงหวาดกลัวเพคะ”

 

Related

ตอนที่ 688 เป็นอาจารย์วันหนึ่งเท่ากับเป็นบิดาชั่วชีวิต

 

หลังจากตะโกนนี้รถม้าของราชสํานักก็หยุดตรงข้ามกับรถม้าของเฟิงหยูเฮง ผู้ดูแลยกม่านและองค์ชายที่สี่, ซวนเทียนยีก็ออกมาจากรถม้า

 

เฟิงหยูเฮงยืนขึ้นเพื่อรับเฟิงเซียงหรู แต่ตอนนี้นางเห็นว่าองค์ชายสี่มา นางไม่สามารถหยุดริมฝีปากม้วนเป็นรอยยิ้ม ขณะที่นางนึกในใจว่าเขายังเป็นที่โปรดปราณแม้เขาจะทําความผิด

 

ก่อนที่นางจะตอบสนอง ซวนเทียนยี่ก็รีบประสานมือเขา “องค์หญิงจีอัน ไม่ได้เจอกันนาน !”สําหรับคนที่ถูกกักบริเวณอยู่ในพระราชวังเป็นเวลานาน เขามีจิตวิญญาณที่ดี ลักษณะการพูดของเขายังไม่ได้เก้อเขินแม้แต่น้อย และมันก็ตรงไปตรงมามากขึ้น

 

เฟิงหยูเฮงแค่คิดว่าทุกคนบอกว่าการเย็บปักสามารถทําให้ทุกคนสงบลง และทําให้องค์ชายสี่แตกต่างจากเดิมอย่างสิ้นเชิง

 

ดังนั้นนางจึงโค้งคํานับเขาและกล่าวว่า “องค์ชายสี่ ยินดีที่ได้พบกันเพคะ” เมื่อทั้งสอง ได้พบกันอีกครั้งพวกเขาทักทายกันอย่างสุภาพและอบอุ่นโดยไม่ได้เรียกพี่สี่ และน้องสะใภ้กันอีกแล้วแต่พวกเขาเรียกตําแหน่งกันโดยตรง มันฟังดูห่างเหิน แต่มันก็ยังดีกว่าความสนิทสนมที่น่า ประหลาดใจ

 

หลังจากชวนเทียนยีทักทายเฟิงหยูเฮง เขาไม่ได้สนใจนางต่อไป เขากระโจนออก จากรถม้าของราชสํานักและเดินไปทางเฟิงเซียงหรู แล้วกล่าวอย่างเคารพ “ท่านอาจารย์ลูกศิษย์มารับท่านอาจารย์ไปงานเลี้ยง”

 

เฟิงเซียงหรูขมวดคิ้วขณะก้าวถอยหลัง จากนั้นนางกล่าวอย่างไม่สุภาพ “ใครบอกให้พระองค์มารับข้า รีบกลับไป ข้าจะไปกับพี่รอง !”

 

“ข้าจะกลับไปทําอะไรอีก” ชวนเทียนยี่โบกมือ “ในที่สุดเสด็จพ่อก็อนุญาตให้ข้าออกมาและมีส่วนร่วมในงานเลี้ยงในพระราชวังแห่งนี้ ทําไมข้าจะกลับไปอีก ? ” ในขณะที่พูดเขามองชุดที่เพิ่งเชียงหรูสวมใส่พร้อมกับเครื่องประดับศีรษะหยกสีชมพู เขาพยักหน้าด้วยความพึงพอใจอย่างมาก“ถูกต้อง ข้ากําลังบอกว่าชุดนี้ดูดี เจ้ายังเด็กอยู่ เจ้าจะทําตัวแก่แดดได้อย่างไร”

 

แต่เดิมเฟิงเซียงหรูมีบุคลิกที่ดีและอ่อนแอเล็กน้อย แต่หลังจากสองปีหลังนางสอน การเย็บปักให้กับชวนเทียนยี่ อารมณ์ของนางก็ไม่สามารถควบคุมได้ด้วยเหตุผลบางอย่างจนถึงจุดที่เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาพบกัน มันจะสิ้นสุดลงในการเผชิญหน้าที่ร้อนระอุคราวนี้ก็เหมือนกัน เมื่อคําพูดของซวนเทียนยีหลุกออกมา นางก็ตอบโต้ทันที “พระองค์กําลังพูดว่าใครแก่แดด ? พระองค์เป็นคนแก่ ! พระองค์เป็นคนที่อายุเกิน 30 ปีแล้ว แต่พระองค์ยังไม่ทําอะไรที่เหมาะสม พระองค์ใช้เวลาในการเรียนเย็บปัก ช่างเป็นอนาคตอันสดใสอะไรเช่นนี้ !”

 

ชวนเทียนยี่พยายามจะปิดปากของนาง แต่เพิ่งเซียงหรูหลีกเลี่ยงสิ่งนี้ จากนั้นเฟิงเซียงหรูก็เหยียบเท้าของเขาแล้วกล่าวว่า “ย่าคนนี้ ! ไม่อยากพูดอะไร ! ข้ามีอนาคตที่สดใสและข้ามีธุรกิจที่เหมาะสมในการจัดการ แต่ตอนนี้ข้าสามารถทําสิ่งเหล่านั้นได้หรือไม่เพคะ”

 

เฟิงเซียงหรูตกใจ จากนั้นนางก็จําได้ว่าเขาเป็นองค์ชาย ในอดีตเขาจัดการเรื่องที่ค่อนข้างสําคัญและเขาวางแผนที่จะรับมอบบัลลังก์ด้วยซ้ํา ในที่สุดเมื่อเขาได้รับการสอนให้เงียบ ๆ หากเขาฟื้นจิตวิญญาณการต่อสู้ของเขาเนื่องจากการยั่วยุของนาง นั่นจะไม่ใช่ความรับผิดชอบที่นางจะแบกรับได้

 

เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ นางเปลี่ยนคําพูดของนางอย่างรวดเร็ว “พระองค์เรียนรู้การเย็บปักก็ ค่อนข้างดีการเย็บปักสามารถทําให้คนสงบได้ กลับไปเถิด ข้าจะไปงานเลี้ยงกับพี่รอง”

 

ชวนเทียนยจะอนุญาตให้นางเข้าไปในรถม้าของเฟิงหยูเฮงได้อย่างไร ในขณะที่เขากล่าวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว “ดูที่นี่ เจ้าคืออาจารย์ของข้า นี่คือสิ่งที่ทุกคนในเมืองหลวงรู้ ครั้งนี้เสด็จพ่ออนุญาตให้ข้าออกจากตําหนักของข้าและเข้าสู่พระราชวังจักรพรรดิ ข้านําผ้าข้าปักเองโดยเฉพาะโดยหวังว่าจะขอบคุณเสด็จพ่อ ท่านอาจารย์ช่วยข้าด้วย ข้าจะช่วยส่งท่านอาจารย์เข้าไปในพระราชวังด้วยตัวเอง คําพูดนี้จะต้องถึงพระกรรณของเสด็จพ่ออย่างแน่นอน และท่านพ่อจะสามารถเห็นได้ว่าข้ามีการเปลี่ยนแปลงและรู้วิธีที่จะมีชีวิตที่เหมาะสม ในอนาคตเสด็จพ่อไม่ต้องเป็นห่วงข้าอีกต่อไปแค่ปฏิบัติต่อมันเหมือนช่วยข้าออกไป”

 

เฟิงเซียงหรูรู้สึกว่านางเริ่มใจอ่อนลงเล็กน้อยเมื่อเขาพูดถึงเรื่องนี้ หลังจากคิดถึงเรื่องปีที่แล้วชวนเทียนยี่ก็เชื่อฟังมาก นอกจากทํางานปักแล้วเขาไม่ได้ทําอะไรอีกเลย เขาใช้เวลาทกวันในตําหนักปิง สําหรับองค์ชาย นี่เป็นปัญหาสําหรับเขา

 

ชวนเทียนยโจมตีจิตใจของนางให้อ่อนลงขณะที่เหล็กร้อน “วันนี้เป็นเทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วง ทุกคนกําลังเข้าไปในพระราชวังเพื่อให้เสด็จพ่อมีความสุข หากฮ่องเต้ได้ยินว่าข้าสามารถอุทิศตัวเองอย่างเต็มที่เพื่อเรียนรู้งานปักจากเจ้าและไม่สร้างความวุ่นวาย และลดตัวลงเพื่อนําเจ้าเข้ามาในพระราชวังเป็นการส่วนตัว เสด็จพ่อจะมีความสุขมากที่ได้ยินเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นบุตรชายหรือเรื่องใด ไม่ใช่เพียงหน้าที่ของเราที่จะทําให้คนมีความสุขที่สุดหรอกหรือ ! เจ้าคิดอ ย่างไร ?”

 

เฟิงเซียงหรูทําอะไรไม่ได้ นางไม่เคยรู้สึกว่าชวนเทียนยีพูดได้ดีอย่างวันนี้ เขาพูดได้อย่างราบรื่นมาก และทําให้นางไม่สามารถปฏิเสธได้ นางขอโทษที่เฟิงหยูเฮง “พี่รอง ข้าขอโทษแล้วข้าต้องนั่งในรถม้าของพระองค์เจ้าค่ะ !

 

เฟิงหยูเองไม่รังเกียจและพยักหน้าด้วยรอยยิ้มโดยกล่าวว่า “เอาเลย ! เราจะพบกันในพระราชวัง”

 

“เจ้าคะ” เฟิงเซียงหรูโค้งคํานับก่อนเตรียมมุ่งหน้าไปในทิศทางอื่น เป็นผลให้ชวนเทียนยี่ยืนอยู่กับที่ในขณะที่นางก้าวไปข้างหน้าและเกือบชน ทําให้เฟิงเซียงหรูยกเท้าของนางขึ้นมาแล้วเตะเขา“หลีกไปให้พ้นทาง!”

 

ชวนเทียนยี่ย้ายออกไปอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ทําท่าให้คนขับช่วยเฟิงเชียงหรูเข้าไปในรถเขาประสานมือไปที่เฟิงหยูเฮงและผู้คนที่ดูจากด้านข้าง “เด็กสาวนั้นไร้ความคิด เราอนุญาตให้ทุกคนเห็นบางสิ่งที่ไร้สาระ ! ไร้สาระจริง ๆ !”

 

เพิ่งเซียงหรูหันกลับมาด้วยความโกรธและถาม “พระองค์เรียกใครว่าเด็กผู้หญิงตัวเล็ก? เป็นอาจารย์วันหนึ่งเท่ากับเป็นบิดาชั่วชีวิต !”

 

“ใช่แล้ว” ชวนเทียนยี่ตกลงอย่างรวดเร็ว “เป็นอาจารย์วันหนึ่งเท่ากับเป็นบิดาชั่วชีวิต” จากนั้นเขาก็ยิ้มและเข้าไปในรถม้าของราชสํานัก

 

คนขับตั้งรถม้าปล่อยให้เฟิงหยูเฮงหัวเราะขณะนั่งอยู่หน้ารถ หวงซวนถามนางว่า “คุณหนูหัวเราะอะไรเจ้าคะ ?”

 

นางยักไหล่ “ไม่มีอะไรหรอก ข้ารู้สึกว่าเจ้าไม่สามารถมองใครบางคนผ่านสายตาเดียวกันได้เจ้าจะต้องทําการตัดสินใจของเจ้าหลังจากประสบการณ์ไม่กี่ครั้ง ยกตัวอย่างองค์ชายสี่ในวันนี้ ใครจะคิดว่าคนที่ทํางานร่วมกับคุณหนูสามในตอนนี้จะเป็นเช่นนี้ ?”

 

คําพูดเหล่านี้ทําให้หวงซวนรู้สึกอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่นางก็ยังคงกระตุ้นให้เฟิงหยูเฮงกลับไปในรถม้าเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกมองโดยผู้สังเกตการณ์ จากนั้นนางก็เรียกร้องให้คนขับเคลื่อนตัวไปข้างหน้าเพื่อรับจาวเหลียนที่รอพวกนางอยู่ที่ทางเข้าบ้าน

 

วันนี้หลี่เฉิงไม่ได้ติดตาม คนเดียวที่มากับเขาคือบ่าวรับใช้ตามปกติ จาวเหลียนสวมชุดสีแดงเหมือนเคย แต่ชุดนี้เพิ่งตัดมาใหม่ ด้วยความเย่อหยิ่งที่ผสมกับความประพฤติอันละเอียดอ่อนของเขาที่มองเห็นได้ในภาคเหนือ เสื้อผ้าให้ความรู้สึกมีเสน่ห์จากเจียงหนาน ส่วนโค้งของร่างกายนั้นสง่างามมาก และใครก็ตามที่เห็นจะต้องการมองไม่ละสายตา

 

เฟิงหยูเองไม่สามารถอดกลั้นได้และถามว่า “เจ้าจะไปงานเลี้ยงหรือมีส่วนร่วมในการประกวดสาวงามหรือ ? ”

 

จาวเหลียนไม่ใส่ใจกับคําพูดของนาง และขยับผมของเขากลับมาเล็กน้อยก่อนจะกล่าวว่า“ข้าเห็นทุกสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น คุณหนูสามนั้นเข้ากับองค์ชายสี่ได้ดีจริง ๆ”

 

เฟิงหยูเฮงมองเขาจากด้านข้างแล้วกล่าวว่า “ตามที่ข้าเห็น มันไม่จําเป็น เฟิงเซียงหรูไม่ชอบองค์ชายสี่”

 

“ฮะ ! สิ่งต่าง ๆ เช่นความรู้สึกสามารถปลูกฝัง ! ตอนนี้นางไม่ชอบพระองค์ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าพรุ่งนี้นางจะไม่ชอบพระองค์ ตราบใดที่ผู้คนได้รับโอกาสมากขึ้นและได้รับแรงผลักดันในเวลาที่เหมาะสม ข้าพูดได้ว่าในฐานะพี่สาว เจ้าไม่สามารถดูสิ่งนี้ได้ราวกับว่าไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเจ้า”

 

เฟิงหยูเฮงยิ้ม และถามว่า “ทําไมเจ้าถึงสนใจเซียงหรู ?”

 

อย่างไรก็ตามหวงซวนหยิบบทสนทนานี้ขึ้นมา และกล่าวว่า “ข้าได้ยินมาว่าองค์ชายเหลียนไปที่บ้านของตระกูลเฟิงเมื่อไม่นานมานี้ และมันเป็นการเชื้อเชิญส่วนตัวจากคุณหนูสี่นางจะต้องเปิดเผยความลับของบ้านของตระกูลเฟิง เจ้าเคยได้ยินหรือไม่ว่าคุณหนูสามตระกูลเฟิงครั้งหนึ่งเคยได้รับความช่วยเหลือจากองค์ชายเจ็ด มีความรู้สึกบางอย่างระหว่างสองคนนี้หรือ ?”

 

จาวเหลียนไม่ซ่อนมันเพียงแค่กล่าวว่า “องค์ชายเจ็ดไม่เหมาะกับนาง”

 

เฟิงหยูเฮงหัวเราะ “แล้วเขาจะเหมาะกับใคร ? เจ้าหรือ ?”

 

“แน่นอน !” จาวเหลียนคุยโม้โอ้อวด “ในเรื่องของรูปลักษณ์ พระองค์เหมาะสมกับข้า”

 

“ข้ารู้สึกว่าองค์ชายสี่เหมาะกับเจ้า” เฟิงหยูเฮงกล่าวว่า

 

จาวเหลียนส่ายหัวเหมือนกลองเม็ด “ไม่ต้องการ ไม่จําเป็น ข้าไม่ชอบองค์ชายสี่”

 

“ฮะ ! สามารถปลูกฝังความรู้สึกได้ !” เฟิงหยูเฮงคัดลอกสิ่งที่จาวเหลียนเพิ่งพูดไป “วันนี้เจ้าอาจไม่ชอบพระองค์ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าพรุ่งนี้เจ้าจะไม่ชอบพระองค์ ตราบใดที่มีคนสร้างโอกาสให้กับเจ้า ในขณะที่ให้โอกาสเจ้าสองคนในช่วงเวลาวิกฤติ สิ่งนี้อาจได้ผลจริง ๆ”

 

จาวเหลียนพูดไม่ออกโดยสิ้นเชิง เขาทุ่มหินทับเท้าเท้าของเขาเอง เขาได้แต่กล้ํากลืนต่อความขมขึ้นภายในเท่านั้น แต่เขาก็ยังรู้สึกไม่ดี ดังนั้นเขาจึงยังคงโต้เถียงว่า “ถ้าเจ้ามีหัวใจที่จะช่วยเหลือผู้อื่นจริง ๆ เมื่อเราเข้าไปในพระราชวัง เจ้าต้องช่วยสร้างโอกาสให้ข้ามีโอกาสได้พูดคุยกับองค์ชายเจ็ด”

 

อย่างไรก็ตามเฟิงหยูเฮงกล่าวว่า “ถ้าข้ามีหัวใจนั้นจริง ๆ ข้าจะตบเจ้าอย่างแรง และรักษาอาการปวยของเจ้า”

 

จาวเหลียนตัวสั่นและไม่กล้าส่งเสียงอีก

 

รถม้าของราชสํานักมุ่งตรงไปในทิศทางของพระราชวัง เมื่อพวกเขาใกล้ถึงประตู รถม้าช้าลงอย่างรวดเร็ว ในตอนท้ายมันไม่สามารถเคลื่อนไหวต่อไปได้

 

จาวเหลียนร้องออกมา “ทําไมเราไม่เคลื่อนไหว ? ทําไมเราไม่เคลื่อนไหว ?”

 

หวงซวนยกม่านขึ้น และมองกลับไปกล่าวว่า “มีคนจํานวนมากเกินไป รถม้าของราชสํานักไม่สามารถเข้าไปได้ พวกเขาทั้งหมดเป็นคนบ้า คิดถึงเด็กที่เข้าร่วมในงานเลี้ยงในพระราชวังและพวกเขาปิดกั้นเส้นทางทั้งหมด”

 

“เช่นนั้นให้พวกเขายืนเฉย ๆ !” จาวเหลียนคุ้นเคยกับการอยู่ในเฉียนโจว ในใจของเขาไม่มีสิ่งใดที่ยั่งยืน และรออยู่ เฟิงหยูเฮงเตือนเขา “ที่นี่คือราชวงศ์ต้าชุน หากเจ้าไม่มีความเห็นอกเห็นใจใด ๆ เพียงคิดเกี่ยวกับเวลาที่เจ้าถูกขังอยู่ในคุกที่มืดและชิ้นนั้น”

 

เมื่อนางพูดอย่างนี้ จาวเหลียนก็ยอมแพ้ เขาห่อเหี่ยวและไม่ได้ส่งเสียงอีก สําหรับหวงซวนนางยังคงมองไปรอบ ๆ ด้านนอกรถม้า ในขณะที่มองนางพูดกับคนขับ เฟิงหยูเฮงเริ่มให้บทเรียนกับจาวเหลียน “งานเลี้ยงสําหรับเทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วงแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มแขกผู้ชายและ แขกผู้หญิงไม่สามารถเข้าทางประตูเดียวกันได้ สิ่งที่เรากําลังเข้าสู่คือประตูรุย* ซึ่งนําไปสู่พระราช วังด้านใน แขกผู้ชายจะเข้าสู่ประตูหลักนั่นคือประตูเต๋อหยาง”

 

จาวเหลียนพูดอย่างนี้ “เกี่ยวกับผู้ชายที่เหนือกว่าผู้หญิง”

 

เพิ่งหยูเฮงกล่าวอย่างเฉยเมย “จริง ๆ แล้วข้าไม่เคยได้ยินผู้ชายที่เติบโตแล้วไม่เหมาะสมที่จะเป็นผู้ชาย และกลับกลายเป็นผู้หญิงมาก่อน”

 

จาวเหลียนยอมแพ้อีกครั้งและไม่สนใจนาง เขายกม่านขึ้นและมองออกไปข้างนอกด้วยตัวเอง โชคดีที่เขารู้ที่จะปกปิดใบหน้าของเขาด้วยม่านเพื่อหลีกเลี่ยงการเปิดเผยใบหน้าของเขาอย่างเปิดเผย

 

เมื่อม่านยกขึ้น มีการสนทนาบางส่วนที่ลอยมา เปิงหยูเฮงได้ยินคนพูดถึงรถม้าของนางว่า “ดูสิรถม้านี้ของใครมันสวยมาก”

 

“ดูเหมือนว่าจะทําให้ผู้หญิงนั่งอยู่คนเดียวที่อยู่ในเมืองหลวงที่มีสถานะที่จะมีคือองค์หญิงหรูหยางนางเป็นองค์หญิงในราชวงศ์นี้สถานะของนางนั้นสูงส่งและนางก็เป็นคนที่มีจุดสนใจมาก”

 

“ไม่จําเป็น ! ” มีคนเสนอความคิดเห็นที่แตกต่างกัน “องค์หญิงหรูหยางย่อมได้รับความสนใจเป็นธรรมดา แต่ถ้าจะพูดว่าองค์หญิงหรูหยางเป็นคนเดียวในเมืองหลวงที่จะนั่งในรถม้าแบบนี้ พวกเจ้าอย่าลืมว่ายังมีองค์ชายและองค์หญิงจีอัน !”

 

Related

ตอนที่ 687 ห้องจัดเลี้ยงของเทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วง

 

นับตั้งแต่หลู่เหยาแต่งงานกับตระกูลเหยา เฟิงหยูเฮงไม่ได้ไปที่คฤหาสน์ตระกูลเหยาบ่อยหาก มีเรื่องใดเกิดขึ้นนางก็จะให้เหยาเซียนออกมาพูดคุยด้วยตัวเอง ชัดเจนว่าไม่ว่าตระกูลเหยาจะดีเพียงใดความสัมพันธ์ของนางกับพวกเขาก็คือการพบพวกเขาสองสามครั้ง ไม่มีการสนับสนุนที่แท้จริงว่าเกี่ยวข้องกันผนวกกับเรื่องของหลู่เหยาเข้าไป ทําให้ทั้งสองฝ่ายรู้สึกอึดอัดใจเมื่อพบกัน ดังนั้นจึงไม่ควรพบกัน

 

แต่วันนี้ซูชื่อยืนอยู่ตรงนั้นและโบกมือให้นาง หากนางจะทําราวกับว่านางมองไม่เห็นก็ยากที่จะทําเช่นนี้ เฟิงหยูเฮงก้าวในทิศทางของคฤหาสน์เหยา เมื่อนางเริ่มเคลื่อนไหว ซูชื่อก็รีบไปหานางทันทีมีบ่าวรับใช้อยู่ข้างหลังนาง ถือสิ่งของในมือของนาง

 

เพิ่งหยูเฮงเชิญซูชื่อเข้ามาในคฤหาสน์และเดินตรงไปที่ห้องโถงใหญ่ หลังจากนั่งและดื่มชาแล้วในที่สุดซูชื่อก็กล่าวว่า “ข้าอยากจะมาตั้งแต่เช้า แต่ข้าได้ยินทหารยามบอกว่าองค์หญิงหรูหยางและสหายมาเที่ยวที่คฤหาสน์ในปัจจุบัน ดังนั้นข้าจึงเป็นแขก คิดว่าคงเป็นการดีที่จะไม่ขัดจังหวะและกลับไปรอที่บ้าน” นางยังคงมองเฟิงหยูเฮงด้วยความรัก นอกจากความอบอุ่นและความสนิทสนมในแววตาของนางแล้วยังมีความละอายเล็กน้อย

 

เฟิงหยูเฮงเห็นนางเช่นนี้และถอนหายใจโดยใช้ความคิดริเริ่มเพื่อปลอบใจนาง “ถ้าท่านป้าเป็นเช่นนี้เพราะเรื่องงานแต่งงานของลูกพี่ลูกน้องคนโตก็ไม่จําเป็นต้องคิดมากข้าไม่เคยใส่ใจข้าไม่สามารถอนุญาตให้ความคุ้นเคยของเราในฐานะครอบครัวหายไปได้เพราะหลู่เหยาคนเดียว”

 

“ฮะ ! อาเฮงพูดถูก” ซูชื่อหันหน้าหนีและเช็ดน้ําตา จากนั้นนางก็ถอนหายใจ “จะพูดไป ตั้งแต่หลู่เหยาแต่งงานกับคฤหาสน์ เจ้าไม่เคยมาเยี่ยมและข้าก็รู้สึกเสียใจด้วย ท่านป้าอีกสองคนของเจ้าแนะนําให้ข้ามาเยี่ยมบ่อย ๆ แต่ข้าก็รู้สึกว่าข้าเป็นหนี้เจ้า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ข้าก็ไม่สามารถหยิ่งทะนงตนได้ อาเฮง ถ้าข้ารู้ว่าคนในตระกูลหญ่จงใจจะสร้างปัญหาการแต่งงานครั้งนี้ก็จะถูกยกเลิกแม้ว่าข้าจะต้องล้มเหลวกับซูเอ๋อก็ตาม”

 

สิ่งที่นางกําลังพูดถึงคือการที่คนในตระกูลหญ่ใส่ร้ายว่าเฟิงหยูเฮงเป็นฆาตกร อย่างไรก็ตามเฟิงหยูเฮงไม่ต้องการที่จะพูดถึงเรื่องนี้อีก นางเอ่ยว่า “ไม่ว่าในอย่างใดอาเฮงนั้นเป็นผู้เยา ว์ การละเลยที่จะมาเยี่ยมเป็นความผิดของข้า ข้าทําให้ท่านป้าต้องกังวล เรื่องราวของวันนั้นผ่านไปแล้ว อย่านํามันขึ้นมาอีก ตราบใดที่ลูกพี่ลูกน้องคนโตมีชีวิตอย่างมีความสุข และเรื่องนั้นไม่บิดเบือน” นางหยุดถามครู่หนึ่งแล้วถามบางสิ่งที่นางกังวลเกี่ยวกับ “หลู่เหยาสร้างปัญหาในคฤหาสน์หรือไม่เจ้าคะ ? ”

 

ซูชื่อคิดสักพักแล้วกล่าวว่า “ไม่มีอะไรเกิดขึ้น นางถือว่าเป็นคนค่อนข้างเชื่อฟัง นางสามารถมาคารวะได้ทุกวัน เมื่อท่านปู่ของเจ้าอยู่ข้างใน นางจะไปด้านข้างของเขาก่อนเพื่อถามว่าเขาเป็นอย่างไรก่อนที่จะมาหาข้า ถ้าท่านปู่ของเจ้าไม่อยู่ นางจะมากินข้าวกับข้าเป็นบางครั้งเมื่อไม่กี่วันที่ ผ่านมาข้าได้ยินมาว่านางหาสร้อยข้อมือหยกไม่เจอ นางสร้างความวุ่นวายโดยบอกว่าบ่าวรับใช้เป็นคนเอาไปและนางก็ตีบ่าวรับใช้ในเรือน แม้กระนั้นมันถูกพบในกล่องของนางเองนางบอกว่านางเข้าใจผิด แต่มันก็น่าเสียดายสําหรับบ่าวรับใช้ในเรือนของนาง พวกนางถูกทุบตีจนไม่สามารถลุกขึ้นยืนได้ อาเฮง เจ้าไม่รู้เรื่องนี้ แต่ตระกูลเหยานั้นไม่มีธรรมเนียมในการลงโทษบ่าวรับใช้ด้วยการทุบตี แม้ว่าจะมีบ่าวรับใช้ที่ไม่ดีพวกเขาจะถูกไล่ออกจากคฤหาสน์ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาท่านพ่อพูดว่าทุกคนเท่าเทียมกันแม้ว่าจะมีคนทําความผิด พวกเขาก็จะได้รับการจัดการโดยทางการแทนที่จะถูกลงโทษโดยเจ้านายข้าไม่เคยคิดเลยว่าหลู่เหยาจะทําตัวเลวทรามแม้นางจะดูเด็กและอ่อนแอ

 

เฟิงหยูเฮงสังเกตเห็นความไม่พอใจของซูชื่อที่มีต่อหลู่เหยา และนางอดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างขมขืน “จากครอบครัวหนึ่งไปอีกครอบครัวหนึ่ง การปรับตัวไม่ใช่สิ่งที่ทําได้อย่างรวดเร็วในโลกนี้ ไม่มีครอบครัวที่สอนบุตรในลักษณะเดียวกับที่ครอบครัวเหยาทํา ท่านปาไม่ควรยึดถือจริงจังเกินไป ให้เวลานางอีกหน่อย บางทีในครึ่งปีนางจะสามารถคุ้นเคยกับตระกูลเหยาได้เจ้าค่ะ”

 

ซูชื่อรู้สึกตกใจเล็กน้อย “อาเฮง เจ้ากําลังพูดถึงหลู่เหยาหรือไม่ ? เจ้าไม่ได้เกลียดนางหรือ ? ”ก่อนหน้านี้มีความรู้สึกไม่ดีทุกอย่างระหว่างหลู่เหยาและเฟิงหยูเฮง อย่างไรก็ตามนางไม่เคยคิดว่านางจะได้ยินคําพูดเหล่านี้ในวันนี้

 

เฟิงหยูเฮงยิ้มอย่างขมขึ้น “ท่านป้า นั่นจะขึ้นอยู่กับสิ่งที่ข้าตอบสนอง หากแยกออกจากตระกูลเหยา ข้าไม่ชอบหลู่เหยาแน่นอน แต่ถ้าเพิ่มตระกูลเหยาลงไปในแล้ว อาเฮงก็สามารถพูดได้ว่านางเป็นคนที่ลูกพี่ลูกน้องคนโตชอบ ไม่ว่านางจะดีหรือไม่ดีมันไม่ใช่ญาติที่มีแซ่แตกต่างกันชีวิตแบบไหนที่พวกเขาสามารถมีชีวิตอยู่ได้จะขึ้นอยู่กับโชคชะตาของพวกเขาเองเจ้าค่ะ”

 

ซูชื่อเข้าใจว่า “ข้าเข้าใจสิ่งที่อาเฮงพูด แต่ในใจของข้า ข้าไม่สามารถเอาชนะเรื่องนี้ได้ข้ารู้สึกว่าลูกสะใภ้คนนี้ไม่ได้ทําให้ขู่เอ๋ออยู่ในเส้นทางที่ดี ข้าคิดด้วยว่าบางทีข้าอาจจะกังวลตัวเองกับบุตรน้อยเกินไปข้าไม่รู้ด้วยซ้ําว่าซู่เอ๋อรู้จักหลู่เหยา ถ้าข้ารู้เร็วกว่านี้ บางทีสิ่งต่าง ๆ อาจจะไม่พัฒนาอย่างที่มันเป็นอาเฮงเจ้าไม่รู้เรื่องนี้แต่มีเรื่อง… ข้า” ซูชื่อเป็นทุกข์เล็กน้อยและหยุดแต่นางก็ยังคงกัดฟันและกล่าวว่า“ในวันแต่งงาน ยายจากพระราชวังมาตรวจร่างกายของหลู่เหยาผลที่ตามมาก็คือนางบริสุทธิ์และข้าถอนหายใจด้วยความโล่งอกแต่อาเฮงเจ้าต้องรู้ว่าเมื่อพวกเขามาเคารพในเช้าวันที่สอง”

 

เพิ่งหยูเฮงไม่ประหลาดใจเพียงแค่ถามซูชื่อ “มีอะไรเจ้าคะ?”

 

“เฮ้อ” ซูชื่อถอนหายใจ และกล่าวว่า “สําหรับข้าที่จะแต่งเข้าตระกูลเหยามีภูมิ หลังเล็กน้อยท่านพ่อในวัยเด็กของข้ายังเป็นหมอหลวงและทํางานภายใต้ท่านปู่ของเจ้า ลุงของเจ้าและข้าก็คุ้นเคยเช่นกัน ดังนั้นเราจึงแต่งงานกัน ท่านพ่อของข้าเป็นคนที่รู้จักยาแม้ว่าข้าจะไม่ใช่หมอ ข้าก็รู้จักยานิดหน่อย เลือดนั่นไม่ถูกต้องชัดเจน”

 

เพิ่งหยูเฮงเข้าใจแล้วนางอดไม่ได้ที่จะเสียใจ หลู่เหยาจะแต่งงานกับตระกูลหมอหลวงนี้นอกจากนี้ยังเป็นที่น่าเสียดายที่นางทํางานอย่างหนักเพื่อให้ละครเรื่องนี้ดําเนินต่ออย่างไรก็ตามการกระทําของนางถูกพบเห็นทั้งหมด

 

“โชคดีที่ท่านป้าใจดีและซื่อสัตย์ ไม่เปิดเผยนาง” เฟิงหยูเฮงกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า “ในความเป็นจริงหลังจากที่ทุกคนพูด และทําเพราะลูกพี่ลูกน้องคนโตยอมรับเรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งที่เราสามารถพูดได้เจ้าค่ะ”

 

ซูชื่อพยักหน้า “นั่นคือเหตุผล ข้าไม่ได้โต้เถียงกับนางที่จะเผชิญหน้ากับขู่เอ๋อ แต่แค่คิดเกี่ยวกับมันก็ทําให้ข้ารู้สึกไม่สบายใจ ข้ากังวลว่าเด็กดีอย่างซูเอ๋อต้องทนทุกข์กับความเจ็บปวดนี้โดยไม่ทําอะไรเลย” นางถอนหายใจอีกครั้ง และเอื้อมมือไปเช็ดน้ําตา นางโบกมือและไม่ได้กล่าวเรื่องนี้ต่อนางมีบ่าวรับใช้ที่ถือของส่งมอบให้เฟิงหยูเฮงแทน “อีกสองวันจะเป็นเทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วง ข้ารู้ว่าเจ้าจะเข้าร่วมในงานเลี้ยง ดังนั้นข้าจึงรีบจัดตัดชุดให้เจ้า ข้ายังเตรียมชุดเครื่องประดับ ข้ารู้ว่าสิ่งนี้จะไม่ดีเท่าที่เจ้ามีอย่างแน่นอน ลองดูสิ ถ้าเจ้าชอบก็แค่สวมมัน ถ้าเจ้าไม่ชอบก็ปล่อยไปทุกอย่างปกติดี” ดวงตาของซูชื่อเป็นสีแดงซึ่งทําให้เฟิงหยูเฮงไม่สามารถทําตัวห่างเห็นและเฉยต่อไปได้ นางลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วและไปรับเสื้อผ้ากับเครื่องประดับ จากนั้นส่งไปที่หวงซวน จากนั้นนางก็เดินไปข้างหน้าเพื่อจับมือของซูชื่อและกล่าวว่า “ท่านป้าอย่าพูดอะไรแบบนี้เจ้าค่ะ ทุกคนรู้ว่าอาเฮงและตระกูลเฟิงเข้ากันไม่ได้ ข้าคิดว่าตระกูลเหยาเป็นครอบครัวของข้า ถ้าท่านป้าพูดเรื่องแบบนี้ ท่านป้าและอาเฮงก็จะห่างเหินกันจริง ๆ ปีหน้าข้าจะต้องแต่งงาน ข้าต้องไม่ถูกทิ้งไว้โดยไม่มีบ้านให้มาเยี่ยมหลังจากแต่งงานแล้วเจ้าค่ะ”

 

เมื่อนางพูดสิ่งนี้ ซูชื่อรู้สึกสบายใจ นางลูบหลังอย่างรวดเร็วและเห็นด้วยซ้ํา ๆ ในเวลาเดียวกันนางจําได้ว่าเรื่องของเฟิงหยูเฮงมีอายุมากขึ้นและแต่งงาน นางเตรียมตัวที่จะอําลา “เจ้าเกิดในเดือนที่สี่ ไม่ว่าเจ้าจะนับอย่างไรก็มีเวลาเหลือน้อยกว่าหนึ่งปี หากเจ้าคิดเกี่ยวกับมัน มันค่อนข้างเร็ว ครอบครัวยังไม่ได้เตรียมการแม้แต่น้อย ข้าต้องรีบกลับไปและเริ่มเตรียมตัว ในปีหน้าอาเฮงของเราก็จะออกเรือนแล้ว ตระกูลเหยาจะต้องมีการเตรียมการที่ยิ่งใหญ่อย่างแน่นอนเจ้าสามารถผ่อนคลายได้ ไม่มีอะไรต้องกังวลป้า ๆและลุงๆของเจ้าเจ้าสามารถวางใจได้ !”

 

ในที่สุดก็ส่งซูชื่อกลับไปด้วยอารมณ์ที่ดี เฟิงหยูเฮงถอนหายใจและเริ่มไตร่ตรอง จากนั้นนางก็กลับไปที่เรือนของนางและพูดกับหวงซวน “ให้คนไปตรวจสอบดูว่าเหยาซูและหลู่เหยารู้จักกันที่ไหน นี่เป็นสิ่งที่คนวางแผนหรือไม่ ?”

 

หวงซวนพยักหน้า และถามว่า “คุณหนูคิดหรือไม่ว่าตระกูลหญ่จะทําสิ่งนี้โดยเจตนาเจ้าคะ ?

 

“หืมม !” นางกล่าวด้วยความโกรธ “ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ตระกูลหลู่ ข้าปฏิเสธที่จะอยู่ ในโลกเดียวกับเจ้า !”

 

หลายวันผ่านไป และเทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วงในวันที่ 15 ของเดือนแปดก็มาถึง

 

งานเลี้ยงในพระราชวังแห่งนี้แตกต่างจากในปีก่อนๆ ตอนเที่ยงเริ่มต้อนรับแขกแล้ว เนื่องจากมีแขกมากมาย แขกผู้ชายและแขกผู้หญิงจึงนั่งแยกกันในตอนแรก แขกผู้ชายไปกับฮ่องเต้เพื่อหารือเกี่ยวกับเรื่องของอาณาจักร ในขณะที่แขกผู้หญิงอยู่กับฮองเฮาในอุทธยานเพื่อเพลิดเพลินกับงานเลี้ยง

 

เฟิงหยูเฮงกินอาหารกลางวันเพียงไม่กี่คําก่อนจะเปลี่ยนชุด และนั่งในรถม้าของราชสํานัก เสี้อผ้าและเครื่องประดับที่นางสวมเป็นชุดของซูชื่อที่ตัดให้ ชุดสีเขียวอ่อน และมีกลีบดอกไม้ประดับประดาปกมันไม่ฉูดฉาดและดูสวยงามมาก

 

นางไม่ได้ขอชุดและเครื่องประดับมากเกินไป เหตุผลที่นางสวมสิ่งเหล่านี้คือเพื่อให้ตระกูลเหยาได้เห็น อย่างไรก็ตามนางยังคงรู้สึกดีต่อตระกูลเหยาและสนับสนุนความรู้สึกของซูชื่อในการเป็นมารดาที่รัก

 

นางไม่ได้ออกเดินทางแต่เนิ่น ๆ และหยุดไว้ที่ด้านหน้าทางเข้าของคฤหาสน์เหยาอย่างจงใจนางถามยามเฝ้าประตูว่าสมาชิกของตระกูลเหยาออกไปแล้วหรือยัง พวกเขาบอกว่าจะมีหลายคนในวันนี้ และพวกเขาจะต้องเข้าแถวเป็นเวลานาน ดังนั้นนางไม่ได้ถามอะไรอีกแล้วรีบให้รถม้าไปที่บ้านของตระกูลเฟิง นางต้องไปรับเฟิงเชียงหรู และคนแซ่เฟิงที่ส่งใครบางคนมาในตอนเช้าบอกว่านางต้องพาเขาไป

 

หวงซวนกล่าวกับเฟิงหยูเฮง “เราไม่จําเป็นต้องรีบ คุณหนูตอนนี้คุณหนูเป็นองค์หญิง ไม่จําเป็นต้องเข้าแถวกับคนอื่น เหมือนองค์หญิงหรูหยาง เพียงแค่นําป้ายประจําตัวของคุณหนูมาและเราก็สามารถเข้าออกได้ตลอดเวลาเจ้าค่ะ”

 

เพิ่งหยูเฮงพยักหน้า “ใช่ แต่ข้าไม่ใช่องค์หญิงของราชวงศ์ วิธีที่เทียนเก้อทําหน้าที่เป็นวิธีที่นางควรทํา ไม่มีใครรู้สึกว่านางไม่ควร แต่ถ้าข้าทําอย่างที่นางทํา ข้ากลัวว่ามันจะทําให้ผู้คนประณาม”

 

เจ้านายและบ่าวรับใช้ไม่พูดต่อ รถม้าของราชสํานักรีบไปยังบ้านของตระกูลเฟิง วันนี้ถนนมีชีวิตชีวามาก และมีรถม้ามุ่งหน้าไปยังพระราชวังทุกแห่ง ถนนมีคนเยอะมากและช้ามากโชคดีที่รถม้าของราชสํานักค่อนข้างน่าประทับใจ สําหรับคนนอก มันเป็นรถม้าที่เป็นของราชสํานักดังนั้นพวกนางจึงไม่ช้านัก

 

หลังจากมาถึงหน้าบ้านของตระกูลเฟิง เฟิงเซียงหรูก็รออยู่ข้างนอกแต่ไม่พบเฟิงเฟินได้เมื่อเห็นว่ารถม้าของเฟิงหยูเฮงกําลังจะมาถึง ใบหน้าของเฟิงเชียงหรูก็เปิดเผย รอยยิ้มในที่สุดเมื่อนางเดินไปไม่กี่ก้าว

 

แต่เมื่อรถม้าของราชสํานักมาหยุดและก่อนที่หวงซวนจะช่วยนางด้านใน รถของราชสํานักอีกคันก็กําลังรีบมา ในเวลาเดียวกันคนในรถม้ากําลังตะโกน “โปรดรอสักครู่ ! คุณหนูสามโปรดรอสักครู่เจ้าค่ะ !”

 

Related

ตอนที่ 686 นี่เป็นเหมือนน้องสาวของอาเฮง

 

ใครจะรู้ว่าถ้าเป็นการเคารพในงานเลี้ยงสําหรับเทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วงหรือถ้าชวนเทียนรู้สึกสํานึกผิดแต่ชุดก็ไม่ได้มีอะไรผิดปกติ แม้แต่ดอกไม้เล็ก ๆ ที่เขาปักลงบนสะโพกก็ดูเหมือนจะมีการเย็บอย่างจริงจัง แม้ว่าพวกมันจะไม่ได้เย็บขึ้นมาอย่างประณีตหากมีคนไม่ได้เพ่งมองมันก็ดูดี

 

เฟิงเซียงหรูมองที่ชุดแล้วหันไปทางเสื้อผ้าบนโต๊ะ นางลอบถอนใจและกล่าวกับบ่าวรับใช้ “ลืมไปเถิดข้าจะใส่ชุดพวกนี้ !”

 

บ่าวรับใช้พอใจมากและทิ้งเครื่องประดับไว้ก่อนออกเดินทาง ชานชูช่วยนางพับชุด อีกครั้งแล้วเปิดกล่องเครื่องประดับ มันเป็นชุดเครื่องประดับศีรษะหยกสีชมพู พวกมันดูน่ารักมากแต่ก็ไม่ได้ขาดความสง่างาม พวกมันเหมาะสมกับคุณหนูสาม “ช่างสวยเหลือเกิน” บ่าวรับใช้คนนั้นอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “องค์ชายสี่ใส่ใจอย่างชัดเจน คุณหนูควรยอมรับความรู้สึกเหล่านี้เจ้าค่ะ”

 

เฟิงเซียงหรูไม่สนใจที่จะยอมรับพวกมันหรือไม่ นางเก็บเสื้อผ้าชุดเดิมอย่างระมัดระวัง แต่ไม่ได้มองเสื้อผ้าที่ชวนเทียนยี่ส่งมาให้นาง

 

ชานซูต้องการที่จะพูดคําแนะนําเพิ่มเติมอีกสองสามคํา แต่ในเวลานี้เสียงของเฟิงเฟินไดมาจากสนาม มันเป็นน้ําเสียงแปลก ๆ “ พี่สามอยู่ข้างในหรือไม่ ? ”

 

เฟิงเซียงหรูขมวดคิ้วของนางเล็กน้อย นางไม่ชอบโต้ตอบกับเฟิงเฟินได สําหรับปีที่ผ่านมานางหลีกเลี่ยงถ้านางทําได้ อย่างไรก็ตามไม่มีอะไรที่นางจะทําได้ ถ้าเฟิงเฟินไดมาหานางที่เรือนใครจะ รู้ว่าเฟิงเฟินไดจะมีความคิดชั่วร้ายอะไรในครั้งนี้

 

“คุณหนูเจ้าคะ” ชานชูพูดอย่างไม่มีความสุข “ข้าจะให้พวกนางกลับไป ข้าจะบอกพวกนางว่าคุณหนูนอนหลับและไม่อยากพบใครเจ้าค่ะ”

 

“ไม่ต้อง” เฟิงเซียงหรูนั่งลงบนเก้าอี้ของนาง “การที่นางมาในวันนี้ถ้าไม่พบข้า พรุ่งนี้นางก็จะมาหาข้าใหม่ ถ้านางต้องการมาและทําให้ข้าไม่มีความสุข มันเป็นสิ่งที่ข้าไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ลืมมันไปเถิด ให้นางเข้ามา”

 

หลังจากมีการพูดกันแล้ว ประตูก็เปิดออกด้วย ก่อนที่ชานชูจะเชิญพวกนาง เข้าไปข้างในเฟิงเฟินไดเจรจาต่อรองแม้บ่าวใช้จะพยายามรั้งนางไว้ในขณะเดียวกันนางก็ดบ่าวรับใช้ที่หยาบคาย “เจ้าไม่รู้ถึงความรุนแรงของสิ่งต่าง ๆ มีที่ไหนในบ้านของข้าที่ข้าไปไม่ได้ในบ้านนี้พวกเจ้าทุกคนกําลังกินอาหารและนอนในห้องของข้า แต่เจ้ากล้าที่จะหยุดข้าหรือ ?”

 

บ่าวรับใช้ที่ถูกด่าก็เงียบลง ขณะที่พวกนางสั่นด้วยความกลัวขณะที่มองเฟิงเซียงหรู เมื่อเฟิงเซียงหรูโบกมือนาง พวกนางถอยหลังในขณะที่รู้สึกว่ามีของหนักขึ้น

 

ชานชูยืนอยู่กับที่และไม่เคลื่อนไหว นางมองเฟิงเฟินไดอย่างระมัดระวัง เฟิงเฟินไดจ้องมองที่ด้านข้างของนาง “อะไรกัน ? เจ้าไม่เห็นว่ามีแขกมาหรือ ? ทําไมเจ้าไม่ยกน้ําชามาล่ะ”

 

เฟิงเซียงหรูไม่สามารถทนรับฟังและกล่าวว่า “บ้านเฟิงไม่ส่งเงินมาแม้แต่หนึ่งเหรียญเงินในแต่ละเดือน ข้ายังไม่ได้กินอะไรเลยจากน้องสี่ ข้ามีความเป็นอยู่ที่ไม่ดีและข้าไม่มีชาหากน้องสี่กระ หายน้ํา ชานชูเทน้ําเปล่าให้”

 

“เจ้าค่ะ” ซานชูออกจากเรือนอย่างมีความสุข

 

เฟิงเฟินไดกัดฟันกล่าว “เฟิงเซียงหรู อย่าได้ดีใจเกินไป แม้ว่าเจ้าจะไม่ได้กินข้าวของข้า แต่ที่ดินที่เจ้าอาศัยอยู่ก็ได้รับมาจากว่าที่สามีของข้า มันจะดีที่สุดถ้าเจ้าคิดก่อนจะพูดคิดดูให้ดีว่าเจ้ามี สิทธิ์หรือไม่ ! อย่าใช้เวลาในการเรียนรู้อะไรนอกจากการกล่าววาจาไร้สาระจากเฟิงหยูเฮง”

 

เฟิงเซียงหรูโกรธมากและกล่าวอย่างไม่สุภาพมาก “ข้าไม่อยู่ที่นี่ได้อย่างไร บ้านของตระกูลเฟิงเป็นของหมั้นซึ่งองค์ชายห้ามอบให้ โฉนดเป็นชื่อของท่านพ่อ ทําไมเจ้ายังพูดว่ามันเป็นของเจ้า” เมื่อมีการคัดค้านเรื่องนี้ นางไม่ได้รอที่เฟิงเฟินไดพูดและกล่าวต่อว่า “น้องสี่เจ้าควรชื่นช มยินดีที่ข้าไม่ได้เรียนรู้อะไรมากมายจากพี่รอง ไม่อย่างนั้นเวลาที่เจ้ามาหาเรื่องข้ามันคงเป็นไปไม่ ได้ที่เจ้าจะจากไป หรือบางทีเจ้ารู้สึกอย่างแท้จริงว่าข้าควรเรียนรู้อีกเล็กน้อยจากนั้นข้าก็จะไปเรีย

 

นรู้ สําหรับเจ้า เจ้าควรคิดให้ดี เมื่อถึงเวลานั้นถ้าเจ้ายังคงเจ้ากี้เจ้าการอยู่ เจ้าจะอดทนต่อการแก้แค้นได้หรือไม่ ? ”

 

เมื่อคําเหล่านี้ถูกพูดออกไปแล้ว จาวเหลียนก็ปรบมือให้อย่างสุดใจและกล่าวว่า “นี่เป็นเหมือนอาเฮงมาก แน่นอนเจ้ามีนิสัยเหมือนพี่สาวของเจ้า”

 

เฟิงเซียงหรูเห็นเขายืนอยู่ด้านหลังเฟิงเฟินได้ อย่างไรก็ตามนางไม่เข้าใจว่าองค์ชายเหลียนแห่งเฉียนโจวมาอยู่กับเฟิงเฟินไดได้อย่างไร นางมองเขาด้วยความสับสน และเห็นเขาเดินไปหานาง เขาจับมือนางไว้อย่างอบอุ่นเขากล่าวว่า “เซียงหรู ข้ามาพบเจ้า”

 

เมื่อได้รับคําพูดเหล่านี้ เฟิงเฟินไดรู้สึกว่านางไม่มีหน้าอีกต่อไป และเอ่ยออกมาอย่างกระวนกระวายใจ“พี่สาวเหลียน”

 

จาวเหลียนหันมามองนาง แล้วกล่าวว่า “ขอบคุณคุณหนูสีมากที่พาข้ามาที่นี่ ข้าสามารถเห็นการต่อสู้และแผนการของตระกูลใหญ่ ข้าคิดในอดีตว่านี่เป็นสิ่งที่มีอยู่ในพระราชวังเท่านั้นแต่ใครจะรู้ว่าบ้านของตระกูลเฟิงก็เหมือนกับพระราชวังของฮ่องเต้”

 

เขาทําตัวแบบสบาย ๆ แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง เชิงเฟินไดรู้สึกว่าการจ้องมองของจาวเหลียนดูมีอํานาจตามธรรมชาติ มันเป็นสิ่งที่ผู้คนไม่สามารถป้องกันและไม่มีทางเลือกนอกจากต้องเชื่อฟังมันเป็นเช่นนั้นนางก็พยักหน้าไม่รู้ตัวและเริ่มขยับเท้าของนางอย่างช้า ๆ

 

เฟิงเฟินได้ตระหนักว่ามีบางอย่างผิดปกติ ในตอนนี้ความปรารถนาที่จะซุบซิบของจาวเหลียนหายไปที่ไหน ? เขายังขาดความอ่อนโยนต่อผู้หญิง สิ่งที่เหลืออยู่ทั้งหมดเป็นสิ่งที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ดวงตาของเขาก็มีความตาย

 

เฟิงเฟินไดรู้ทันทีว่านางถูกหลอกลวง แทนที่จะพูดว่านางวางแผนที่จะให้คุณหนูเหลียนคนนี้เข้ามาในบ้านมันจะเป็นการดีกว่าถ้าจะบอกว่าเขาใช้นางเพื่อทําความเข้าใจเกี่ยวกับบ้านของตระกูลเฟิงสําหรับเหตุผลที่ทําให้เฟิงเฟินได้ไม่รู้จัก เหตุผลที่จาวเหลียนเข้ามาในบ้านของตระกูลเฟิงและซื้อบ้านข้าง ๆ จากนั้นก็เพราะเขาต้องการที่จะเห็นว่าคนแบบไหนที่จะทําให้เฟิงหยูเฮงโกรธมากขนาดนั้น เขาเป็นองค์ชายแห่งอาณาจักรที่ไม่มีตัวตนอีกต่อไปเฉียนโจวหายไปและสิ่งเดียวที่เขามีความสัมพันธ์ภายในเมืองหลวงคือเฟิงหยูเฮงคนเดียวกล่าวอย่างชัดเจนว่าเขาไม่ได้ใช้งานและรู้สึกเหมือนทําให้เฟิงเป็นไดรู้สึกฉลาดในขณะที่ผลักนางไปที่คมมีด

 

ภายใต้แรงกดดันเช่นนี้ เฟิงเฟินไดหนีออกจากห้องของเฟิงเซียงหรูได้อย่างสับสน จาวเหลียนไม่ช่วยนางต่อไป เขายังคงเป็นองค์ชายและเขาก็ยังต้องแบกความต้องการของเขามันเป็นเรื่องของการที่เขาต้องการเปิดเผยหรือไม่

 

ในห้อง จาวเหลียนยังคงยึดเฟิงเซียงหรูต่อไป ในขณะที่ขอให้นางบอกเขาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับชวนเทียนชั่วในเวลาเดียวกันเฟิงเฟินไดก็เตรียมที่จะไปที่ตําหนักหลี่เพื่อถามความเป็นมาของจาวเหลียน

 

วันนี้จาวเหลียนอยู่กับเฟิงเซียงหรู ที่คฤหาสน์ขององค์หญิงยินดีต้อนรับชวนเทียนเก้อ, เหรินซีเฟิงและเฟิงเทียนหยูเป็นแขก

 

เปยฟูหรงมีสติได้ราว 3 ชั่วยามต่อวัน เฟิงหยูเฮงได้ยินว่าพวกนางจะมา และบอกให้พวกนางมาเยี่ยมอย่างรวดเร็วเมื่อเปยฟูหรงตื่น เช่นนี้สหายที่ดีจะสามารถมีความสุขได้ด้วยกัน

 

แต่การที่จะเรียกมันว่าเป็นการรวมตัวที่ดี มันก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการเช็ดน้ําตาขณะ ที่มองเปยฟูหรงในขณะที่ถอนหายใจว่าชีวิตของนางนั้นขมขืน ซวนเทียนเก้อยกย่องว่านางสามารถตัดสินใจได้อย่างถูกต้องระหว่างเฉียนโจวและราชวงศ์ต้าชุน เป็นเพราะนางไม่ได้ขายราชวงศ์ต้าชุนและไม่ขายเฟิงหยูเฮงซึ่งสามารถช่วยนางได้

 

เปยฟูหรงมีความชัดเจนมากในประเด็นนี้ ดังนั้นนางจึงบอกชวนเทียนเก้อทันที “แม้ว่าท่านพ่อของข้าไม่ได้ถูกควบคุมอย่างลับ ๆ โดยคนของเฉียนโจว ข้าก็จะไม่เลือกเฉียนโจวอีกด้านหนึ่ง คืออาณาจักรของท่านพ่อข้า ในอีกด้านหนึ่งคือครอบครัวของข้า อีกด้านหนึ่งเป็นอาณาจักรที่ข้าเติบโตขึ้นมา ในอีกด้านหนึ่งคือตระกูลของฮ่องเต้ที่ขับไล่ข้าออกมาเพื่อต่อสู้เพื่อราชบัลลังก์ตั้งแต่ข้ารู้ความจริงนี้ ข้าไม่เคยคิดถึงมารดาคนนั้นมากนักนาง…ไม่คู่ควร”

 

เปยฟูหรงยังคงอ่อนแอมาก คําพูดที่นางพูดแฝงความโกรธมากแต่อ่อนแอ หลังจาก คุยกันซักพักนางก็จะไอเล็กน้อยเพิ่งหยูเฮงปลอบโยนทุกคน “นางจะดีขึ้นอย่างรวดเร็วหลังจาก อีกไม่กี่เดือนข้าสามารถรับประกันได้ว่านางจะสามารถใช้ชีวิตได้อย่างอิสระก่อนปีใหม่แม้ว่ารูปร่า งหน้าตาของนางจะไม่สามารถกู้คืนได้เต็มสิบส่วน แต่ส่วนใหญ่ก็จะหายดี”

 

เปยฟูหรงรู้สึกซาบซึ้ง แต่นางก็รู้ว่านี่เป็นเส้นทางที่เต็มไปด้วยอันตรายที่นางเลือก หากนางทําผิดพลาดไปก่อนหน้านี้ นางจะไม่ได้สัมผัสกับฉากนี้ ไม่เพียงแต่นางจะตาย แต่บิดาของนางก็ไม่สามารถอยู่รอดได้ สหายเหล่านี้ก็คงจะต้องผิดหวัง

 

พวกนางพูดนานขึ้นเล็กน้อย ในช่วงเวลานี้เหรินซีเฟิงกล่าวว่าผู้คนเริ่มเข้าคฤหาสน์ขององค์หญิงเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับการแต่งงาน มีคนทุกประเภท เชิงเทียนหยุยังกล่าวว่านางมีสถานการณ์ที่คล้ายกันและมีคนที่ตระกูลชื่นชอบ บางทีเรื่องจะตัดสินใจเร็ว ๆ นี้

 

เฟิงหยูเฮงได้ยินและถอนหายใจ สาวๆ ของยุคโบราณแต่งงานเร็ว มันเร็วขนาดนั้นที่พวกเขาไม่แน่ใจด้วยซ้ําว่าคนประเภทใดที่พวกเขาควรชอบหรือไม่ควรชอบ แต่พวกนางถึงวัยออกเรือนแล้วแต่หลังจากคิดไปเล็กน้อยแม้ว่าพวกนางจะชัดเจนเกี่ยวกับประเภทของคนที่พวกนางชอบมันจะเป็นอย่างไร การแต่งงานในสมัยโบราณขาดเสรีภาพ ทุกอย่างถูกตัดสินโดยตระกูล ในความเป็นจริงยิ่งผู้หญิงคนหนึ่งมาจากครอบครัวที่โดดเด่นพวกเขาทําอะไรไม่ถูก

 

เปยฟูหรงไม่สามารถนั่งได้นานเกินไป พวกนางคุยกันซักพักหนึ่งก่อนออกเดินทาง พวกนางจะมาเยี่ยมอีกครั้งหลังจากงานเลี้ยงฉลองเทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วง

 

ก่อนออกเดินทางเฟิงหยูเฮงมาส่งพวกนางออกไป หลังจากช่วยเหลือเหรินซีเฟิง และซวนเทียนหยูขึ้นรถของพวกนาง ซวนเทียนเก้อก็ไม่รีบที่จะจากไป แล้วดึงนางไปที่ด้านข้างเพื่อคุยกันอีกครั้ง “อาเฮง เจ้ารู้หรือไม่ว่าเมื่อวานนี้ท่านฮูหยินเหยาไปที่พระราชวัง ? “

 

เฟิงหยูเฮงตกตะลึง “พระราชวังหรือ ? พระราชวังไหน ?”

 

ชวนเทียนเก้อถอนหายใจ “พระราชวังเหวินซวน”

 

นางไม่แปลกใจเกินไปที่พูดว่า “นางไปพบท่านป้า”

 

อย่างไรก็ตามนางเห็นชวนเทียนเก้อส่ายหัวแล้วบอกนางว่า “การพบท่านแม่ของข้าเป็นเรื่องโกหกเป้าหมายที่แท้จริงคือการได้รับเทียบเชิญเข้าร่วมงานเลี้ยงของเทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วง”

 

เฟิงหยูเฮงสับสนในเวลานี้ “นางต้องการเทียบเชิญเพื่ออะไร ? เป็นไปได้หรือไม่ว่านางต้องการเข้าไปในพระราชวัง ? นางสามารถมาถามข้าได้ ข้า…” นางไม่สามารถพาตัวเองไปจบประโยคได้เหยาชื่อสามารถขอนางได้อย่างไร ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองได้จบลงไปในระดับนี้ ไม่มีคำทักทายที่เป็นมิตรแม้แต่น้อย ดังนั้นสิ่งที่จะพูดคืออะไร

 

เมื่อเห็นว่าเฟิงหยูเฮงดูเจ็บปวด ชวนเทียนเก้อกระทืบเท้าของนาง “อาเฮง มีบางอย่างที่เจ้าต้องเตรียมตัวให้พร้อม ท่านฮูหยินเหยาไม่ต้องการเทียบเชิญให้ตัวเอง นางบอกว่าเป็นของบุตรสาวของนางคนที่เหมือนเจ้า, เสี่ยวหยา ! ท่านแม่บอกว่านางจะช่วยในครั้งนี้ นางยังต้องการที่จะเห็นว่าเสียวหยาซ่อนความคิดแบบไหนไว้ มันเป็นความคิดท่านฮูหยินเหยาเองหรือไม่ท่านแม่บอ กว่าถ้าเสี่ยวหยามีเจตนาไม่ดีท่านแม่จะไม่เมตตาแม้ว่านางจะถูกท่านฮูหยินเหยาเกลียดตลอดชีวิต ท่านแม่ก็จะกําจัดนางออกไป”

 

เฟิงหยูเฮงตกใจและรู้สึกปวดใจเล็กน้อย แต่มันก็ถูกผลักลงมาอย่างแรง

 

เหยาชิคิดว่าเสี่ยวหยาเป็นนาง และนางก็ตกสู่โลกแห่งจินตนาการของนางเอง ตอนนี้จริง ๆแล้วนางไปขอเทียบเชิญสําหรับเสี่ยวหยา นางไม่คิดว่าจะมีแผนการใด ๆ ที่นี่ เหยาชื่อไม่มีความสามารถในการวางแผนอย่างใดอย่างหนึ่ง นางกําลังเจ็บปวดอยู่ข้างใน

 

ชวนเทียนเก้อเข้าใจความรู้สึกของนาง ดังนั้นนางจึงไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติมเพียง แต่บอกนางว่า “มันใช้ได้ดีตราบใดที่เจ้าเข้าใจ โชคดีที่พวกเราทุกคนจะอยู่ที่นั่นในวันงานเทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็จะได้รับการจัดการ ข้าไม่ได้อยู่ในสภาพจิตใจที่ดีในวันนี้และข้ากังวลว่าจะมีบางอย่างเกิดขึ้นระหว่างงานเลี้ยง” หลังจากที่นางพูดจบนางก็ไม่ได้อยู่ต่อไป

 

เมื่อมองดูรถม้าของชวนเทียนเก้อออกไป เฟิงหยูเฮงก็กลับไปที่คฤหาสน์ของนาง สายตาของนางเกิดขึ้นเพื่อกวาดผ่านคฤหาสน์เหยา อย่างไรก็ตามนางเห็นป้าใหญ่ซูชื่อมองมาที่นาง

 

Related

ตอนที่ 685 ชุดไปร่วมงานเลี้ยงของเฟิงเซียงหรู

 

การเปลี่ยนแปลงของเหยาชื่อได้รับการสังเกตจากพระชายาเหวินซวนมาเป็นเวลา นานในตอนแรกมันไม่ใช่ว่านางไม่ได้พยายามแนะนําอีกฝ่าย แต่ยิ่งนางทํามากขึ้น นางก็พบมากขึ้นเรื่อยๆว่าเหยาชื่อไม่ได้ตั้งใจจะกลับไปสู่อดีต ความคิดที่ว่า “บุตรสาวคนนั้นไม่ใช่บุตรสาวคนเดิมของข้า” ได้เกิดขึ้นแล้วในใจของนาง ไม่มีใครที่สามารถเปลี่ยนความคิดของนางได้

 

ในอดีตนางคิดว่ามันเป็นความคิดที่ดื้อรั้นที่เกิดจากยาเปลี่ยนวิญญาณ แต่จริง ๆ แล้วนางรู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้เป็นความคิดเดิมของเหยาชื่อ มันเป็นเพียงว่านางไม่เคยกล้าที่จะเอ่ยออกมาในอดีต ในตอนต่อมาก่อนที่จะกําจัดยาเปลี่ยนวิญญาณที่สามารถเปลี่ยนวิญญาณได้นางก็ระเบิดบางที่เหยาชื่อรู้สึกมีความสุขมากกว่าที่จะสามารถระบายปัญหานี้ได้ ดังนั้นนางจึงปฏิเสธที่จะตื่นขึ้นหลังจากผลกระทบของยาเปลี่ยนวิญญาณที่หมดไป

 

สําหรับพระชายาเหวินชวน นางไม่ต้องการเห็นเหยาชื่อ นางกําลังหลีกเลี่ยงอีกฝ่าย หากนางไม่ทําเช่นนั้น ด้วยมิตรภาพของพวกนาง แม้ว่าเหยาชื่อจะอาศัยอยู่ในเรือนที่อยู่ไกลออกไป นางจะยังคงไปเยี่ยมอีกฝ่ายบ่อยกว่านี้ อย่างไรก็ตามตอนนี้นางอยู่ห่างจากอีกฝ่ายด้วยความเคารพน่าเสียดายที่นางยังคงซ่อนตัวไม่ทันเมื่อเหยาชื่อมาเยี่ยม นางมาขอเทียบเชิญไปร่วมงานเลี้ยงของพระราชวังในเทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วง นางบอกว่ามันสําหรับบุตรสาวของนาง และนางก็จําได้ทันที่ว่าผู้หญิงคนนั้นที่เหมือนกับเฟิงหยูเฮง

 

นางกํานัลปลอบใจนางว่า “พระชายาอย่ามัวแต่กังวลเรื่องครอบครัวของคนอื่น ถ้าอ งค์หญิงในพระราชวังรู้ว่าพระชายาเป็นห่วงคนอื่น นางจะไม่มีความสุขเลยเพคะ”

 

พระชายาเหวิรชวนถอนหายใจและพยักหน้า จากนั้นนางก็หยุดคิดเรื่องเหยาชื่อ

 

หลังจากเฟิงเฟินไดใช้องค์ชายเจ็ดเป็นข้ออ้างในการทําความรู้จักจาวเหลียนแล้ว จาวเหลียนก็มาเยี่ยมที่บ้านของตระกูลเฟิงทุกวัน เขาจะดื่มชาและกินขนมอบกับเฟิงเฟินได ในเวลาเดียวกันพวกเขาจะพูดเกี่ยวกับการกระทําหลายอย่างขององค์ชายเจ็ด น่าเสียดายเฟิงเฟินไดรู้น้อยมากเกี่ยวกับองค์ชายเจ็ด ในอดีตนางสามารถยืมชื่อเฟิงเซียงหรูเพื่อพูดอะไรสักอย่าง แต่เพิ่งเซียงหรูและชวนเทียนชั่วมีปฏิสัมพันธ์เพียงไม่กี่ครั้ง หลังจากพูดถึงเรื่องนี้สองสามวันแล้วจะพูดอะไร อีก หัวข้อนั้นค่อย ๆ เย็นลง และมันก็กลายเป็นเฟิงเฟินไดอธิบายว่าองค์ชายเจ็ดนั้นงดงามและ สง่างามเพียงใด

 

เปลือกนอกนั้นจาวเหลียนดูตั้งใจฟังแต่เขาลอบหัวเราะในใจ เขาแค่คิดว่าคุณหนูสี่ตระกูลเฟิงคนนี้อยากจะทําอะไรบางอย่างเช่นแต่งเรื่องราว แต่ไม่ได้ทําการบ้าน ความสามารถในการพูดของนางเลวร้ายยิ่งกว่าพี่รองของนาง ! แต่เขาไม่รู้แน่ชัดว่าทําไมนางถึงพยายามพาเขาเข้าไปในบ้านของตระกูลเฟิง มันไม่ควรที่จะปราบเฟิงเซียงหรูใช่หรือไม่ ? จาวเหลียนคิดเกี่ยวกับมันไม่ควรเป็นเหตุผลที่เง่า เขาจะสังเกตต่อไป

แต่เมื่อนึกถึงเฟิงเซียงหรู ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยเห็นนางมาก่อนเมื่อเชิงหยูเฮงกลับมา พวกเขา ทานอาหารด้วยกัน แต่ในเวลานั้นเขายังไม่ได้พบกับองค์ชายเจ็ดเขารู้น้อยลงเกี่ยวกับเรื่องระหว่างเพิ่งเซียงหรูและองค์ชายเจ็ด นั่นเป็นเหตุผลที่ไม่ได้สนใจที่จะมองดูนางระหว่างมื้ออาหารเมื่อคิดถึงตอนนี้เขาไม่สามารถจําได้อย่างชัดเจนว่าเพิ่งเชียงหรูหน้าตาเป็นเช่นไร

 

“น้องสาวเฟิงเฟินได เจ้าช่วยพาข้าไปหาคุณหนูสามได้หรือไม่ ? ” จาวเหลียนหยิบคําขอนี้ขึ้นมา “ข้าได้ยินเจ้าพูดถึงนางในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา”

 

เฟิงเฟินไดพยักหน้า “ได้” จากนั้นนางถามดงหยิง “วันนี้พี่สามอยู่บ้านหรือไม่”

 

ดงหยิงตอบทันที “อยู่เจ้าค่ะ ! บ่าวรับใช้ผู้นี้ได้ยินบ่าวรับใช้ของคุณหนูสามพูดเกี่ยวกับการเตรียมงานเลี้ยงของเทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วงเช้านี้ คุณหนูสามจึงไม่ได้ออกไปข้างนอกวันนี้เจ้าค่ะ”

 

“ทีมม” เฟิงเฟินไดพูดด้วยความรังเกียจ “จริง ๆ แล้วนางมีสิทธิ์เข้าร่วมงานเลี้ยงในพระราชวังด้วยหรือ ? ข้าไม่รู้จริง ๆ ว่ามันคือเฟิงหยูเฮงที่ให้เกียรตินาง หรือถ้าเป็นองค์ชายสี่ให้โอกาสนาง” หลังจากที่นางพูดจบนางมองไปที่จาวเหลียน และพูดด้วยแรงจูงใจที่ซ่อนเร้น “แน่นอนอาจเป็นไปได้ว่านางหลอกองค์ชายเจ็ด”

 

จาวเหลียนไม่สนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ ในขณะที่เขากระตุ้นให้เฟิงเฟินไดพาเขาไปพบเฟิงเซียงหรูเฟิงเฟินไดไม่รอช้า นางลุกขึ้นยืนทันที่พาเขาออกไปข้างนอก

 

มันเพิ่งเกิดขึ้นที่เชิงจินหยวนอยู่ในบ้านในวันนี้ เขายังได้ยินว่าแม่นางเหลียนมาแล้ว ในขณะนี้เขายืนอยู่ที่สนามหญ้ารออีกฝ่าย การพุ่งเข้ามาในเรือนของบุตรสาวของเขาไม่ดีนัก แต่สนามหน้า บ้านเป็นสถานที่ที่จาวเหลียนจะต้องผ่านเมื่อออกจากบ้าน เขาอยู่ที่นั่นโดยปฏิเสธที่จะเชื่อว่าเขา จะไม่สามารถมองเห็นอีกฝ่ายได้

 

ในขณะที่เขากําลังคิดเกี่ยวกับมัน เขาเงยหน้าขึ้นและเห็นเฟิงเฟินไดนําเด็กสาวที่สวยเป็นพิเศษมาในทิศทางของเขา เฟิงจินหยวนรู้สึกกังวลเล็กน้อย ฝ่ามือของเขามีเหงื่อและความรู้สึกเหมือนเด็กหนุ่มไม่เห็นเจอผู้หญิงเติมเต็มหัวใจ มันทําให้เขารู้สึกเสียเวลา

 

เฟิงเฟินไดก็เห็นเฟิงจินหยวน และนางก็อดไม่ได้ที่จะขดริมฝีปากของนางด้วยรอยยิ้ม นางต้องการให้เฟิงจินหยวนเห็นนางกับจาวเหลียน เช่นนี้นางอาจให้บิดาคนนี้หยุดพยายามที่จะประจบประแจงเฟิงหยูเฮง เขาจะฟังนางต่อไปแทน แม้ว่าเฟิงจินหยวนจะไม่มีคุณค่าใด ๆ อีกต่อไปแต่นางก็ยังเป็นเด็กผู้หญิงที่ยังไม่ได้แต่งงาน ในอนาคตนางยังคงต้องแต่งงานออกจากบ้านตระกูลเฟิงถ้าเพิ่งจินหยวนไม่ไว้หน้านางงานแต่งงานของนางจะไร้เกียรติโดยสิ้นเชิง

 

ในขณะที่คิด เพิ่งจินหยวนก็เริ่มมุ่งหน้าไปแล้ว จาวเหลียนเหลือบตาของเขา และซ่อนตัวอยู่ข้างหลังเฟิงเฟินไดด้วยความรังเกียจ จากนั้นเขาก็กล่าวว่า “อย่าเข้ามา ! ชายและหญิงไม่ควรเข้าใกล้กันเกินไป นายท่านเฟิงได้โปรดเคารพตนเองบ้าง”

 

เฟิงจินหยวนยืนอยู่เฉย ๆ เขาถูมือของเขา เขายิ้ม “แม่นางเหลียน เจ้ามา” ความพยายามที่หมดหวังในการประจบสอพลอทําให้แม้แต่เฟิงเฟินไดต้องการที่จะเตะเขาจนตาย

 

จาวเหลียนเป็นคนที่สุภาพน้อยกว่า “เจ้าเป็นคนเลวหรือไม่ ? ทําไมดูเหมือนว่าน้ําลาย ไหลออกมา ?”

 

เฟิงจินหยวนเช็ดปากของเขาอย่างรวดเร็ว จริง ๆ แล้วมันค่อนข้างชื้น เขารู้สึกอายเล็กน้อยแต่การจ้องมองของเขาไปที่จาวเหลียน เพื่อให้สามารถมองและชื่นชมบุคคลนี้จากระยะใกล้เฟิงจินหยวนรู้สึกว่านี่เป็นความหรูหราที่ยอดเยี่ยม

 

เฟิงเฟินไดพบว่าเป็นการยากที่จะเฝ้าดูและจ้องมองที่เพิ่งจินหยวนต่อไป นางกล่าวว่า “ท่านพอต้องการอะไรหรือไม่ ? หากไม่มีสิ่งใดโปรดถอยไป เรากําลังจะไปคุยกับพี่สาม”

 

“หืม ? ” เฟิงจินหยวนตื่นตกใจ “เจ้าไปหานางทําไม ? ”

 

“ผู้หญิงมีเรื่องที่จะคุยกัน ทําไมบิดาอย่างเจ้าถึงได้อยากรู้ไปทุกเรื่อง ? ” จาวเหลียนรู้ สึกหงุดหงิดอย่างมากกับเฟิงจินหยวน ขณะที่นางสะกิดเฟิงเฟินไดด้วยแขนของนาง “ตระกูลของเจ้าไม่มีผู้หญิงบ้างหรือ ? ทําไมบิดาของเจ้าถึงดูเหมือนว่าเขาไม่ได้เห็นผู้หญิงสักคนมาสักร้อยปีแล้ว ?”

 

เฟิงเฟินได้กล่าวว่า “มีฮูหยินใหญ่และฮูหยินรอง น่าเสียดายที่พวกเขาทั้งคู่ไม่ได้กลับมาหลายเดือนแล้ว ท่านพ่อหวังว่าจะได้พบกับผู้หญิงที่งดงามเพื่อนํากลับบ้าน แต่ข้าไม่รู้ว่าคนงามแบบไหนที่จะเข้ามาในบ้านของตระกูลเฟิง” หลังจากพูดอย่างนี้นางไม่สนใจว่าเฟิงจินหยวนยังคงขวางทางอยู่ นางดึงจาวเหลียนไปข้างหน้า

 

เฟิงจินหยวนรู้สึกอายเกินกว่าจะเข้าไปขวางผู้หญิงทั้งสองได้ และเขาก็ย้ายไปด้านข้างอย่างรวดเร็ว จากนั้นทั้งสองก็หนีไปอย่างมีความสุข เมื่อจาวเหลียนเหลียวกลับมา เขากล่าวด้วยน้ําเสียงดัง “ข้าจะเข้าร่วมในงานเลี้ยงเทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วงในอีกไม่กี่วัน น้องสาวเฟิงเฟินไดผู้ที่อยู่ในตระกูลของเจ้าไปหรือไม่ ? ”

 

ทั้งสองคุยกันขณะเดิน เฟิงจินหยวนที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังรู้สึกไม่สบายใจอย่างมากจากคําพูดเหล่านั้นงานเลี้ยงเทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วง จาวเหลียนจะเข้าร่วมในงานเลี้ยงนี้ นั่นเป็นสถานการณ์ที่ครั้งหนึ่งเขาเคยมีสิทธิ์เข้าร่วม ! อย่างไรก็ตามเขาต้องจับเจ่าอยู่ในบ้านเขาได้แต่ถอนหาย

 

เขาส่ายหน้าอย่างไร้ประโยชน์ แม้กระนั้นหัวใจของเขายังคงรู้สึกไม่สมส่วน มีวิธีใดบ้างที่เขาจะเข้าไปในพระราชวังได้อีกครั้ง ?

 

ในเรือนของเฟิงเซียงหรู ประตูของนางถูกปิดอย่างแน่นหนา อันชิไปที่ร้านปักแล้วนางก็อยู่ในห้องคนเดียว นอกจากนี้นางยังไล่บ่าวรับใช้ทั้งหมดของนางออกมา แม้กระนั้นนางกําลังอชุดในมือของนาง

 

เป็นชุดที่องค์ชายเจ็ดมอบให้นางในตอนนั้น มันก็ต้องให้นางมีส่วนร่วมในงานเลี้ยงในพระราชวัง นางไม่เคยเต็มใจที่จะสวมใส่เสื้อผ้าเหล่านี้และเก็บไว้เสมอ ตามปกติอันซิมักจะจับตาดูนางอย่างใกล้ชิดและไม่ยอมให้นางมอง แต่วันนี้นางไม่สามารถทนได้ เอาเสื้อผ้าออกมาได้ ทันใดนั้นนาง ก็คิดย้อนกลับไป นางนั่งในเรือแล้วตกลงไปในน้ํา นางได้รับการช่วยเหลือจากองค์ชายเจ็ด และที่ สําคัญที่สุดเขาห่อนางไว้ในเสื้อคลุมของเขาเองนางลืมทุกอย่างเกี่ยวกับทุกสิ่งทุกอย่างที่อันชิแนะ นําให้นาง แต่ใครจะรู้ว่าเรื่องนี้จะยึดมั่นในใจของนาง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่สามารถลืมได้

 

เฟิงเซียงหรูยืนขึ้นแล้วถือเสื้อผ้าไว้ข้างหน้านางเพื่อเปรียบเทียบ อย่างไรก็ตา มมันชัดเจนว่าสั้นเกินไปนางยิ้มอย่างขมขึ้น นางโตขึ้นอย่างรวดเร็วในวัยนี้ เสื้อผ้าที่ตัดในฤดูใบไม้ผลิไม่สามารถสวมใส่ในฤดูใบไม้ร่วงได้อีกต่อไป ยิ่งไปกว่านั้นชุดตัดเมื่อปีที่แล้วนางรู้สึกสับสนเล็กน้อย นางอายุ 12 ขวบ และมารดาของนางบอกว่ามันเป็นอายุที่นางควรจะเริ่มพูดคุยเรื่องการแต่งงานบุตรสาวของตระกูลปกติจะมีใครมาเยี่ยมเพื่อขอแต่งงานเมื่อพวกเขาอายุ 12 พวกเขาจะเลือกและเลือกอย่างระมัดระวัง โชคไม่ดีที่ตระกูลเฟิงตกอับเช่นนั้น บุตรสาวของอนุที่พยายามดิ้นรนเพื่อสร้างภาพลักษณ์จะไม่ถูกถามถึงแม้แต่น้อย ทุกคนหลีกเลี่ยงตระกูลเฟิงให้สุดความสามารถ

 

ครั้งหนึ่งนางเคยได้รับพระกรุณาธิคุณจากฮ่องเต้ทําให้นางมีสิทธิ์ตัดสินใจแต่งงานของนางเอง เฟิงจินหยวนจะไม่พูดอะไรในเรื่องนี้ แต่การตัดสินใจด้วยตัวเองนางสามารถนับจํานวนผู้ชายที่นางรู้จักได้ด้วยนิ้วมือข้างเดียว นางจะตัดสินใจเองได้อย่างไร อันชิได้กระตุ้นนางหลายครั้งแม้พูดถึงครอบครัวปกติไม่กี่คน นางพูดต่อไปว่าเด็กผู้หญิงไม่ควรมองหาใครบางคนที่ร่ํารวยและมีอํานาจเมื่อแต่งงาน สิ่งที่ควรค้นหาคือความมั่นคง ในตระกูลใหญ่มีฮูหยินและอนุมากมาย แม้ว่านางจะมีพลังมากมาย แต่ก็ไม่สามารถเปรียบเทียบกับความมั่นคงและความสงบสุขของครอบครัวเล็ก ๆได้

 

ไม่ใช่ว่าเฟิงเซียงหรูไม่เข้าใจตรรกะนี้ แต่ผู้คนโดยเฉพาะเด็กผู้หญิง เมื่อพวกเขาสนใจบุคคลคนหนึ่งยากที่พวกเขาจะยอมรับทางเลือกอื่น นางจะพาตัวเองไปยอมรับมันได้อย่างไร ? ไม่ใช่ว่านางไม่ได้คิดถึงมัน อย่างไรก็ตามไม่ว่านางจะคิดอย่างไร นางก็ไม่รู้สึกสับสน แทนที่จะยอมรับมันจะเป็นการดีกว่าถ้าจะไม่แต่งงาน นางจะใช้เวลาตลอดชีวิตในการสอนองค์ชายสี่ว่าจะเย็บปักอย่างไร

 

นางขว้างเสื้อผ้าไปวางบนโต๊ะอย่างแรง และไม่ต้องการที่จะมองมันอีกต่อไป อย่างไรก็ตามนางไม่สามารถหยุดตัวเองจากการพับได้อย่างถูกต้องเพราะกลัวว่านางจะทําลายมันได้เพียงเล็กน้อย

 

ในท้ายที่สุดนางไม่สามารถวางมันลง เฟิงเชียงหรูคิดว่าในชีวิตนี้มันจะยากสําหรับคนอื่นที่จะเข้าไปในใจนางใช่ไหม?

 

เสียงเคาะมาจากนอกประตู ชานชูเข้ามาขณะถือห่อผ้า มีบ่าวรับใช้คนหนึ่งตามหลังนางถือกล่องไม้ เมื่อมันถูกนําตัวมาถึงนาง ชานชูกล่าวว่า “คุณหนู สิ่งนี้ถูกส่งมาจากตําหนักปิง พวกเขาบอกว่าคุณหนูจะเข้าร่วมในงานเลี้ยงสําหรับเทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วง นอกจากนี้ยังมีกล่องนี้ซึ่งมีเครื่องประดับบางอย่างที่องค์ชายปิงเลือกให้คุณหนูเจ้าค่ะ”

 

เฟิงเซียงหรูก็จําคนที่ถือกล่องไว้ได้ ไม่ใช่บ่าวรับใช้จากตําหนักปิง นางยิ้มอย่างหงุดหงิด “พระองค์ทรงใส่ใจลงไปในสิ่งนี้ แต่ข้าจะใส่ชุดนี้เพื่ออะไร? ข้ามีชุดมากมายในตู้เสื้อผ้าที่ไม่เคยใส่มาก่อนข้าแค่ต้องเลือกชุดที่เหมาะสม สําหรับเครื่องประดับ ข้าไม่ขาดอะไรเลย เจ้ากลับไปได้แล้ว”

 

บ่าวรับใช้มีรอยยิ้มบนใบหน้าของนาง และกล่าวว่า “คุณหนูสามคิดถึงบ่าวรับใช้คนนี้ อย่าบังคับบ่าวรับใช้คนนี้ให้นํามันกลับไปเจ้าค่ะ ! คุณหนูก็รู้อารมณ์ของพระองค์ ในที่สุดพระองค์ก็สามารถเลือกชุดและเครื่องประดับสําหรับคุณหนู หากคุณหนูไม่ยอมรับพวกมัน พระองค์จะไม่กล้าทําอะไรกับคุณหนู แต่บ่าวรับใช้ผู้นี้จะโชคร้าย ได้โปรดยอมรับมันด้วยเจ้าค่ะ !”

 

บ่าวรับใช้รู้วิธีเกลี้ยกล่อมเฟิงเซียงหรู เพียงคําพูดไม่กี่คําของนางก็ทําให้จิตใจของเฟิงเซียงหรูอ่อนลงบ่าวรับใช้คนนี้กล่าวทันที “คุณหนูสามยังไม่รู้ใช่ไหมเจ้าค่ะ? ในระหว่างงานเลี้ยงนี้ฮ่องเต้ให้องค์ชายสี่เข้าพระราชวัง ! พระองค์บอกว่าคุณหนูเป็นอาจารย์ของพระองค์ในระหว่างงานเลี้ยงฮองเฮาจะทรงถามว่าการศึกษาของพระองค์จะเป็นอย่างไร ในเวลานั้นพระองค์จะพบคุณหนูสามอย่างแน่นอน สําหรับจุดนี้เพียงอย่างเดียวคุณหนูสามสวมชุดที่ดีกว่า ! เพียงแค่สวมมันเพื่อช่วยให้พระองค์พัฒนาสถานการณ์ของพระองค์เจ้าค่ะ” ในขณะที่นางพูดนางก็เปิดกล่องบรรจุเสี้อผ้า “นี่ยังมีดอกไม้เล็ก ๆ ที่พระองค์ปักเองเจ้าค่ะ”

 

เฟิงเซียงหรูหน้ามืดลงคงจะดีกว่านี้ถ้านางไม่ได้พูดเรื่องนี้ เมื่อได้ยินว่าชวนเทียนยี่ปักดอกไม้ให้ทําไมถึงมีความรู้สึกเป็นลางร้าย ?

 

ตอนที่ 684 แผนอันยิ่งใหญ่ของโลกนี้

 

เฟิงหยูเฮงรู้แผนการของฮ่องเต้ในการส่งมอบบัลลังก์ เขาแค่คิดถึงซวนเทียนหมิง แต่ในเวลาเดียวกันนางก็รู้ว่าเมื่อวันนั้นมาถึงใครบางคนจะใช้พระชายาหยุนเพื่อสร้างปัญหาโดยเชื่อว่าการมอบตําแหน่งนี้จะไม่ยุติธรรม

 

แม้ว่าองค์ชายในเมืองหลวงจะเข้ากันได้ดีกับชวนเทียนหมิง แต่ก็มีบางสิ่งที่ไม่จําเป็นต้องพูดตราบใดที่มีการพูดเพียงครั้งเดียว มันคงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ผู้คนจํานวนมากจะคิดถึงมันอีกครั้งที่ผู้คนคิดเช่นนี้ไม่ว่าชวนเทียนหมิงจะขึ้นครองบัลลังก์อย่างไรก็ไม่สามารถกําจัดอิทธิพลของพระชายาหยุนได้

 

นางถอนหายใจอย่างแผ่วเบาและลูบหน้าเสือขาวในอ้อมแขนของนาง แล้วกล่าวว่า “เมื่อเจ้าสามารถมาบอกข้าเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ เจ้าควรมีวิธีจัดการกับมันใช่หรือไม่ ?”

ชวนเทียนหมิงพยักหน้า “มีวิธีหนึ่งแต่เป็นวิธีที่โง่ที่สุดและตรงที่สุด”

 

“ใช้ทหารหรือ ? ”

 

“ใช่” เขาพูดอย่างจริงจัง “ราชวงศ์ต้าชุนถูกส่งต่อมาหลายศตวรรษ และระบบกฎหมาย ของมันจะไม่เปลี่ยนแปลงอย่างง่ายดาย หากคนรุ่นต่อไปต้องการโดดเด่น ตัวเลือกเดียวอคุณธรรมของทหาร เพียงแค่พิจารณาจากข้อดีทางทหารของข้าในปัจจุบัน มันชัดเจนว่ายังไม่เพียงพอในการปิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ข้าทําได้เพียงคว้าชัยชนะเพื่อที่จะปิดปากพวกเขาต่อไปในปัจจุบันทั้งสี่อาณาจักรมีความไม่แน่นอน แม้แต่กูโมทางทิศตะวันตกก็ได้เห็นความไม่แน่นอนบางอย่างที่เกิดจากความขัดแย้งภายใน ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าคงหนีไม่พ้นที่จะมีความขัดแย้งที่พรมแดน นี่จะเป็นโอกาสเช่นกัน” เขามองไปที่เฟิงหยูเฮงและกล่าวอย่างไร้ประโยชน์ “จริง ๆ แล้วข้าไม่ต้องการบัลลังก์ ในอดีตข้าคิดเสมอว่าพี่ใหญ่เหมาะกับตําแหน่งนั้นมากที่สุด แม้เขาจะไม่มีความแข็งแกร่งเช่นข้า แต่เขาไม่ได้ขาดอํานาจและความกล้าหาญ เขาไม่ได้เจียมเนื้อเจียมตัวเหมือนพี่เจ็ด แต่เขาใช้เวลาหลายปีในการทําธุรกิจ ทําให้เขากลายเป็นคนที่สื่อสารกับคนนอกได้ดี นอกจากนี้ด้วยพรสวรรค์ของเขาในการสะสมความมั่งคั่ง หากราชวงศ์ต้าชุนตกเป็นของเขา การที่ท้องพระคลังจะถูกเติมเต็มจะเป็นสิ่งที่อาจเกิดขึ้นในไม่ช้า”

 

เฟิงหยูเฮงคิดสักพักแล้วกล่าวว่า “นี่เป็นวิธีที่เสด็จพ่อจะรักษาความสงบ หากเป็นไปตามที่เจ้าพูด และทั้งสี่อาณาจักรมีความไม่แน่นอน ข้าไม่เชื่อว่าเขามีพลังที่จะทําให้โลกสงบลงได้”

 

ชวนเทียนหมิงยิ้ม และเอื้อมมือไปลูบหัวของนาง “เด็กโง่ การไปที่สนามรบเพื่อฆ่าศัตรูเป็นหน้าที่ขององค์ชายและแม่ทัพ ไม่ต้องพูดถึงเขา แม้ว่าจะเป็นข้าก็ตาม เมื่อข้าขึ้นครองบัลลังก์นั้นคงเป็นไปไม่ได้เลยที่ข้าจะไปรบในสนามรบด้วยตัวเอง จะมีแม่ทัพให้คําแนะนําแก่ข้าและข้าราช สํานักเพื่อดูแลอาณาจักร มันเป็นแค่…”

 

“อะไรนะ ?”

 

“เป็นเรื่องน่าเสียดายที่พี่ใหญ่ไม่มีบุตรเมื่ออายุยังน้อย เลยทําให้เสด็จพ่อยอมแพ้ ตอนนี้เขามีลูก แต่เขามีอายุมากกว่าแล้ว สําหรับเด็กมันช้าไปหลายปี มันเป็นเรื่องยากอย่างแท้จริงที่จะได้รับตําแหน่งผู้ปกครองของอาณาจักร

 

เฟิงหยูเฮงได้ยินเรื่องนี้และรู้สึกไม่สบายใจ “ชวนเทียนหมิง เราได้พูดถึงเรื่องนี้แล้ว ในอนาคตแม้ว่าเจ้าจะขึ้นครองบัลลังก์ ถ้าเจ้ากล้าที่จะเอานางสนมคนใดเข้ามาในพระราชวัง ข้าก็จะทําให้พระราชวังของฮ่องเต้ลุกเป็นไฟและจากไป ข้ารับประกันได้ว่าเจ้าจะไม่สามารถตามหาข้าเจอ”

 

ชวนเทียนหมิงนิ้วกระตุกด้วยความโกรธ “ทําไมเจ้าทําแบบนี้ เรื่องที่องค์ชายผู้นี้สัญญาไว้แล้วข้าจะต้องทําตามสัญญาอย่างแน่นอน เจ้าไม่ต้องกังวล สําหรับเรื่องที่ขากําลังพูดถึงเสด็จพ่อยกบัลลังก์ให้ข้า ข้าไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้อีกต่อไป ข้าได้แต่กัดฟันและยอมรับและการยอมรับนี้จะต้องเป็นธรรมชาติมาก ข้ากลัวว่าอีกไม่กี่ปีข้างหน้าจะเป็นเรื่องยากสําหรับเรา”

 

นางงุนงง “ปัญหาอะไร ? การต่อสู้ ? ข้าจะไปกับเจ้า”

 

เขาส่ายหัว “ข้าไม่ได้พูดถึงเรื่องนั้น ข้าไม่สามารถให้เจ้าติดตามข้าไปได้ ข้าต้องการสะสมความสําเร็จทางทหาร และข้อดีเหล่านี้จําเป็นต้องเป็นทหารอย่างสมบูรณ์ มันจะต้องแยกออกจากการสนับสนุน โดยเฉพาะจากผู้หญิง อาเฮง เจ้าเข้าใจหรือไม่ ?”

 

นางเข้าใจ แน่นอนนางเข้าใจ ซวนเทียนหมิงไม่ได้พูดอย่างชัดเจน แต่นางไม่ใช่คนโง่ นางเข้าใจที่เขาพูด พระชายาหยุนให้เงาแก่ชวนเทียนหมิง ดังนั้นนางจะไม่ทําทําไม ? ผู้คนประณามชวนเทียนหมิงที่พึ่งพาเสด็จแม่ของเขาและพวกเขาก็บอกว่าเขาพึ่งพาชายาในเวลาเดียวกันยิ่งนางมีพลังมากเท่าไหร่ เฟิงหยูเฮงก็ยิ่งหนีจากความสําเร็จของคนของนางมากขึ้นเท่านั้น การคิดเช่นนี้เป็นความผิดของนาง

 

“ครั้งต่อไปที่เจ้าไปต่อสู้ ข้าจะไม่ไปด้วย” นางกล่าวขึ้น “ไม่จําเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับข้า ข้าจะไม่คิดมากเพราะเรื่องนี้ ไม่เป็นไรถ้าข้าอยู่ในเมืองหลวง ในขณะที่เจ้าออกไปต่อสู้ ข้าจะคอยดูแลเจ้าคนเหล่านั้นที่กําลังสร้างปัญหา ข้าจะกําจัดความคิดใด ๆ ที่พวกเขาได้ทําไปความเจริญรุ่งเรืองในโลกไม่ใช่สิ่งที่ได้มาจากการต่อสู้ของมนุษย์ เรื่องในอาณาจักรและเรื่องถูกหรือผิดก็เป็นหัวข้อของการศึกษาเช่นกัน”

 

ชวนเทียนหมิงยิ้มอย่างมีความสุข เขารู้ว่าเด็กผู้หญิงคนนี้จะเข้าใจ สําหรับใครบางคนที่ฉลาดเหมือนนาง นางจะไม่ช่วยเขาพัฒนาโลกได้อย่างไร ?

 

เฟิงหยูเฮงวางลูกเสือไว้บนโต๊ะ จากนั้นจับมือทั้งสองของชวนเทียนหมิง “นอกจากการต่อสู้เพื่อให้โลกสงบสุข เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าถึงแม้ระบบกฎหมายของราชวงศ์ต้าชุนจะผ่านไปหลายศตวรรษ เป็นเรื่องที่ต้องปรับปรุง

 

“โอ้ ? ” ชวนเทียนหมิงยกคิ้ว “ข้าอยากได้ยินรายละเอียด

 

สายตาของนางเปล่งประกายด้วยความภาคภูมิใจ และกล่าวว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่ามีร้านห้องโถงสมุนไพรกแห่งข้าเป็ดภายในอาณาจักรของเรา ? ”

 

ชวนเทียนหมิงส่ายหน้า เขาไม่รู้จริง ๆ

 

“ร้านค้าทั้งหมด 16 แห่ง” นี่คือความภาคภูมิใจของเฟิงหยูเฮง “เจ้าคิดว่าทองคํา และเงินภายในคฤหาสน์ขององค์หญิงถูกทิ้งให้อยู่ที่นั่นเพื่อให้ขึ้นรางั้นหรือ ? ข้าได้ขยายร้านห้องโถงสมุนไพรอย่างไม่รู้จบ นี่ไม่ใช่แค่เพื่อให้เราได้เห็นในสถานที่ต่าง ๆ เพื่อให้พวกเขาตระหนักถึงวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของพวกเขาอย่างแท้จริง ร้านห้องโถงสมุนไพรเป็นร้านขายยาและเป็นโรงหมอผู้คน สามารถไปรับคําแนะนําทางการแพทย์และได้รับยาในสถานที่เดียวกัน ยาที่พวกเขาได้รับนั้นไม่ได้เป็นเพียงสมุนไพรทางการแพทย์ตามปกติ นอกจากนี้ยังมียาเม็ดและยาน้ําที่ข้าน้ําออกจากมิติของข้าที่ไปพร้อมกับอุปกรณ์สนับสนุนบางอย่าง ในปัจจุบันร้านห้องโถงสมุนไพรในเมืองหลวงท่านปูดูแล ในช่วงปีที่ผ่านมาเราอยู่ที่ภาคเหนือ ท่านปู่ฝึกอบรมบุคลากรด้านการแพทย์จํานวนหนึ่งซึ่งก้าวหน้ากว่าหมอในยุคนี้เล็กน้อย แม้ว่าระดับของพวกเขาจะยังไม่อยู่ในระดับเดียวกับท่านปูหรือข้า แต่ก็มีโชคดีที่มีเวลามากในการปรับและฝึกฝนพวกเขา คนเหล่านี้ถูกส่งออกจากมณฑลไปยังพื้นที่อื่น ๆ เพื่อทํางานในร้านห้องโถงสมุนไพร”

 

ซวนเทียนหมิงมีความเข้าใจเกี่ยวกับแผนการของนางเล็กน้อย “ข้าจําได้ว่าครั้งหนึ่งเจ้าเคยบอกข้าเกี่ยวกับคําพูดแปลก ๆ มันคืออะไร… การดูแลสุขภาพแห่งชาติ”

 

“ถูกต้อง” เฟิงหยูเฮงอธิบายความคิดของนางต่อไป “การดูแลสุขภาพแห่งชาติที่เรียกว่าไม่เพียงแต่จะช่วยให้พลเมืองได้รับการรักษาทางการแพทย์ในระดับสูงสุดเท่านั้น แต่ยังเพื่อให้แน่ใจว่าพลเมืองจะสามารถพบหมอและกินยา ร้านห้องโถงสมุนไพรที่อยู่นอกเมืองหลวงไม่ต้องจ่ายค่ารักษาราคาแพงเหมือนกับที่อยู่ที่นี่ แต่กลับราคาลดลงและอ่อนไหวต่อผู้คนมากขึ้นซวนเทียนหมิง ข้าจะไม่ตามติดเจ้าเป็นเงาตามตัว แต่ข้าจะเป็นอีกหนึ่งในแรงสนับสนุนจากภายนอกในการหาประโยชน์ทางการทหารของเจ้า ข้าจะให้ทุกคนรู้ว่าเหตุผลที่องค์หญิงจีอันทํางานหนักเพื่อราชวงศ์ต้าชุนเพราะผู้ชายของนางเป็นผู้ปกครองของอาณาจักร ไม่อย่างนั้นนางจะไปไหนก็ได้ที่นางพอใจข้าเชื่อว่าทุกคนจะปฏิบัติต่อข้าในฐานะแขกผู้มีเกียรติ”

 

นางกลายเป็นคนที่กระตือรือร้นในการพูด และจบลงด้วยการให้ชวนเทียนหมิงคร่าว ๆ ถึงประโยชน์ที่สังคมได้รับจากการรักษาพยาบาล ในเรื่องนี้ความสามารถในการเข้าใจของซวนเทียนหมิงนั้นไม่ดี หลังจากทั้งหมดมันเป็นสิ่งที่ไม่ได้อยู่ในยุคนี้ เฟิงหยูเองไม่ได้บังคับเรื่องนี้ เพียงแต่บอกว่านางจะเขียนเรื่องทั้งหมดนี้เพื่อให้เขาอ่านและทําความเข้าใจอย่างช้า ๆ

 

ความช่วยเหลือที่เฟิงหยูเฮงจัดหาให้ชวนเทียนหมิงนั้นไม่เคยน่าสังเวชเลย ยิ่งกว่านั้นนางได้วางแผนที่จะทําการเปลี่ยนแปลงบางอย่างกับราชวงศ์ต้าชุน แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงแบบกวาดนั้นไม่สามารถเข้าใจได้ง่ายนัก แต่นางก็อยากลองรถม้าที่ลากแล้วบริการรับส่งจดหมาย ประกันสุขภาพและประกันการเกษียณอายุ

 

ในอดีตนางเชื่อว่านางเข้ามาในช่วงเวลานี้ขัดกับหลักการของฟ้าดิน ดังนั้นนางจึงไม่ควรก่อความวุ่นวายใด ๆ ในโลก แต่เมื่อเวลาผ่านไปนางก็เริ่มรู้สึกว่าตั้งแต่นางมาแล้ว มันเป็นโอกาสที่ดีอ ย่างชัดเจน สิ่งเหล่านี้ที่เป็นของในโลกสมัยใหม่จะถูกนําออกมาทีละน้อยราชวงศ์ต้าชุนนี้ เริ่มเปลี่ยนจากช่วงเวลาที่นางถูกปลุกให้ตื่นด้วยสายฟ้าในภูเขาทางตะวันตกเฉียงเหนือ

 

ทั้งสองคุยกันอย่างมีความสุข และชวนเทียนหมิงอยู่ในคฤหาสน์ของบุตรสาวของจักรพรรดิก่อนออกเดินทางตอนกลางคืน สําหรับเปิงหยูเฮง นางมีลูกเสือขาวเป็นเพื่อน และนางรู้สึกว่าความสนุกในชีวิตประจําวันของนางเพิ่มขึ้นเล็กน้อย

 

มันเป็นเพียงแค่ชีวิตที่เป็นเช่นนั้น ในขณะที่นางรู้สึกมีความสุขจะมีบางคนที่รู้ สึกตรงกันข้ามจะมีใครซักคนที่ทําให้นางเดือดร้อนอยู่เสมอ ตัวอย่างเช่นเหยาชื่อ

 

บ่ายวันนั้นเหยาชื่อออกไปข้างนอกแต่ไม่ยอมให้เสี่ยวหยาไปกับนาง นางพาสาวใช้ 2 คนที่อยู่กับนางไปด้วย เหยาเซียนได้ส่งเหยาชื่อไปยังลานกว้างแห่งหนึ่ง อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้ขัดขวางไม่ให้นางไปไหนมาไหน มันเป็นเพียงว่าทุกครั้งที่เหยาชื่อออกไปข้างนอก จะมีใครบางคนติดตามนางเสมอ เมื่อพวกเขาพบว่ามีบางอย่างผิดปกติ พวกเขาก็จะพานางกลับมาทันที

 

เมื่อบ่ายโมงเหยาชื่อไปที่พระราชวังเหวินซวน เหยาเซียนได้แจ้งล่วงหน้า พระชายาเหวินซวนและเหยาชื่อสนิทกัน ถ้านางต้องการไปและระบาย บ่าวรับใช้ไม่ต้องอยู่ด้วย

 

แต่ใครจะรู้ว่าเมื่อเหยาชื่อกลับมา นางก็กลับมาพร้อมกับเทียบเชิญเข้าร่วมงานเลี้ยงเทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วง

 

แน่นอนองครักษ์เงาในเรือนของนางไม่รู้เรื่องนี้ เหยาชื่อได้มอบเทียบเชิญให้เสี่ยวหยาเพียงอย่างเดียวหลังจากไล่บ่าวรับใช้ทั้งหมดออก นางบอกเสี่ยวหยา “ข้าเป็นฮูหยินขั้นหนึ่งงานเลี้ยงของเทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วงเป็นเรื่องใหญ่ เจ้าไปไม่ได้อย่างไร รับสิ่งนี้และเข้าไปในพระราชวังในคืนนั้น”

 

เสี่ยวหยาไม่เคยคิดเลยว่าเหยาชื่อจะกลับมาพร้อมเรื่องแบบนี้อีกแล้วหลัง จากออกไปข้างนอกนางไม่รู้ว่าจะต้องทําอะไร แต่เมื่อนางได้รับเทียบเชิญ ความรู้สึกคาดหวังก็จะเกิดขึ้น

 

นางดูแลเหยาชื่ออยู่พักหนึ่ง และได้ยินเหยาชื่อเรียกนางว่าอาเฮงทุกวัน พวกเขา ต้องกินด้วยกันและนอนด้วยกัน นางเป็นเหมือนมารดาอย่างแท้จริง และทําให้นางจําได้ทันทีเมื่อมารดาของนางยังมีชีวิตอยู่ ในขณะที่รู้สึกสับสน นางรู้สึกชัดเจนน้อยลงว่านางเป็นเสี่ยวหยาหรือเฟิงหยูเฮง ในความเป็นจริงมีหลายครั้งที่นางไม่สามารถตอบสนอง แม้กระทั่งเมื่อบ่าวรับใช้เรียกนางว่าเสี่ยวหยา นางจะตอบกลับเร็วที่สุดเมื่อเหยาชื่อเรียกนางว่าอาเฮง

 

แต่นางไม่รู้ นางจะเข้าร่วมงานเลี้ยงนี้ด้วยตัวตนใด เป็นเสี่ยวหยาหรือ ? นางไม่มีชื่อเสียงและไม่มีสถานะ มันคือเฟิงหยูเฮงหรือเปล่า ตัวจริงก็จะไปด้วย นั่นจะไม่ถูกเปิดเผยทันทีหรอกหรือ ?

 

เหยาชื่อมองเห็นความวิตกกังวลในใจของนางและกล่าวว่า “เจ้าคือบุตรสาวของข้า จําสิ่งนี้ไว้เจ้ามีเพียงหนึ่งตัวตน เจ้าคือบุตรสาวของเหยาชื่อ ทุกสิ่งที่นางมี เจ้าควรจะมี เป็นนางที่มาแทนที่เจ้าตอนนี้เจ้ากลับมาแล้ว เจ้าจะต้องไม่อ่อนแอเหมือนเมื่อก่อน เจ้าต้องคิดย้อนกลับไปว่าเราต้องทนทุกข์เพราะเราอ่อนแอ ในครั้งนี้เจ้าต้องพยายามทําเพื่อข้า !”

 

เสี่ยวหยารู้สึกสับสนจากสิ่งที่นางพูด เหยาชื่อเห็นว่านางไม่ตอบขณะถือเทียบเชิญดังนั้นนางจึงกล่าวต่อ “ไม่ต้องกังวล หากเจ้ามีปัญหาในพระราชวังไปหาพระชายาเหวินชวน จําไว้ว่าให้เรียกท่านป้านางเป็นสหายที่ดีที่สุดของข้า”

 

ในที่สุดเสียวหยาก็พยักหน้ารับสิ่งที่นางพูด เหยาชื่อมีความสุขมาก นางดึงเสี่ยวหยาไปดูเครื่องประดับที่นางซื้อไว้ นอกจากนี้ยังมีเสื้อผ้าบางชุดที่นางไม่ได้สวมได้

 

อย่างไรก็ตามใครจะรู้ว่าภายในพระราชวังเหวินซวน เสาหลักของการสนับสนุนที่เหยาธิได้บอกเสี่ยวหยา พระชายาเหวินชวนถอนหายใจพูดอยู่ว่า “เหยาชื่อ โอ้ เหยาชื่อ ข้าจะช่วยเจ้าในครั้งนี้ แต่จะไม่มีอีกเป็นครั้งที่สอง บุตรสาวที่เจ้าพูดถึง มันจะดีถ้านางเชื่อฟัง ถ้านางเป็นคนที่มีจิตใจชั่วร้าย อย่าโทษข้าในการทําความสะอาดบ้านเรือนแทนตระกูลเหยา !”

 

ตอนที่ 683 เสี่ยวไปน่ารักสุด ๆ

 

คนบนหลังคาไม่สามารถนั่งนิ่งได้อีกต่อไป การเปลี่ยนท่าทางนางคลานไปข้างหน้าเล็กน้อยนางรู้สึกว่านางแต่เลื่อนลง “แมว” ที่ดูมีอํานาจยืนโซเซเดินเข้ามาในสนาม มันยังคงสงบเมื่อถูกล้อมรอบด้วยการต้อนรับที่อบอุ่นของบ่าวรับใช้และอวดความน่ารักที่เป็นพิเศษ สี่ขาอ้วนยังคงทํางานหนักต่อไป แต่ก็ยังทนไม่ไหว มันยังคงมุ่งหน้าและเดินไปข้างหน้าเล็กน้อยก่อนที่จะหยุด มันมองไปรอบ ๆ แล้วมองผ่านสายตาอันอบอุ่นของบ่าวรับใช้ จ้องมองบนคนบางคนบนหลังคา หลังจากมองไประยะหนึ่งมันก็เปล่งเสียง “อ้าว” ออกมา

 

บ่าวรับใช้ทั้งหมดถอยห่างออกไปพร้อมกัน ใครบางคนก็จําได้ว่ามันคืออะไร “มันไม่ ใช่แมวมันเป็นเสือ ! มันคือเสือ !”

 

ด้วยการตะโกนนี้ ทุกคนถอยอีกครั้งจนกระทั่งไม่มีที่ให้ถอยอีกแล้ว แต่ขาของพวกนางยังคงสั้นและพวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะมองขึ้น พวกนางหวังว่าเจ้านายของพวกนางจะสามารถแก้ไขสถานการณ์ที่ยากลําบากนี้ได้

 

ใครจะรู้ว่าเฟิงหยูเฮงตกตะลึงบนหลังคา นางกระพริบตาในขณะที่มองลูกเสือน้อยที่น่ารักสุดๆจากนั้นก็เริ่มคุยกับมันจากระยะไกล “เฮ้ ! ใครเป็นเจ้าของเจ้า ? ดูเหมือนว่าเจ้าเพิ่งเกิดมาไม่นานมานี้ใช่ไหม ? เจ้าถูกทอดทิ้งหรือ ?”

 

เสือตัวเล็กจะเข้าใจสิ่งที่นางพูดได้อย่างไร นางดูเหมือนจะแตกต่างจากคนอื่นเล็กน้อยและนางดูดีมาก ดังนั้นมันจึงอยู่บนพื้นและรอให้อีกฝ่ายลงมา แต่เฟิงหยูเองไม่ได้เคลื่อนไหวเป็นเวลานาน มันกลายเป็นความกังวลเล็กน้อยและตบพื้นด้วยอุ้งเท้า ตัวเจ้าเล็กที่มีหน้าตาไม่พอใจ

 

เฟิงหยูเฮงหัวเราะ “มันค่อนข้างภูมิใจใช่ไหม ! เจ้าเป็นเสือใช่หรือไม่ ? เจ้าไม่ ใช่แมวหรอกหรือ ? ” มันเป็นธรรมชาติของสัตว์เหล่านี้ในโลกยุคโบราณหรือเปล่าที่ลูกเสือตัวน้อยสามารถเดินไปมาได้ด้วยตัวเอง ? เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ สองปีมาแล้วตั้งแต่นางมาที่ราชวงศ์ต้าชุนทําไมนี่เป็นครั้งแรกที่นางเจอมัน ?

 

ขณะที่นางกําลังจะพูดกับเสืออีกสองสามคํา เสียงที่คุ้นเคยก็มาจากนอกสนาม ตามนี้มีเสื้อคลุมสีม่วงเข้ามา และหยุดอยู่ข้างหลังเสือ บ่าวรับใช้คุกเข่าพูดพร้อมเพรียง “คารวะองค์ชายหยูเพคะ”

 

คนที่มาคือชวนเทียนหมิง เขาโบกมือแล้วไล่ทุกคนออกไป จากนั้นเขาก็ถเท้าของเขากับก้นของเสือตัวน้อย “เฮ้”

 

เสือตัวน้อยหันกลับมาและเช็ดใบหน้าอย่างไม่มีความสุขมาก จากนั้นก็ขยับไปด้า นข้างเล็กน้อยก่อนที่จะนอนลงอีกครั้ง

 

ชวนเทียนหมิงไม่ได้ต่อสู้กับมันมากเกินไป เขาเงยหน้าขึ้นมองสาวน้อยบนหลังคาที่อยู่ในตําแหน่งที่แปลกมากจากนั้นก็ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ เขาก้าวไปข้างหน้าไม่กี่ก้าวและเอื้อมมือออกไป “อาเฮงลงมา”

 

เฟิงหยูเฮงกระโดดลงจากหลังคาอย่างมีความสุข และตกลงมาในอ้อมกอดของเขา ซวนเทียนหมิงกล่าวอย่างไม่สุภาพว่า “เจ้าอ้วนขึ้น” ต่อจากนี้เสือตัวน้อยก็ร้องอีกครั้งและเขาอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว และกลาวว่า “จริง ๆ แล้วยากกว่าการดูแลเด็กมาก”

 

เฟิงหยูเฮงหลุดจากเขาไปแล้วอุ้มเสือตัวเล็กขึ้นมา “เจ้าได้ลูกเสือตัวนี้มาจากที่ไหน ?” มันเป็นเสือขาวตัวเล็ก ๆ และดูเหมือนว่ามันเพิ่งจะเกิดมาไม่นาน มันอ้วน และน่ารักมาก ๆ

 

ชวนเทียนหมิงดึงนางขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้หินในสนามก่อนที่จะกล่าวว่า “เมื่อเสด็จแม่อยู่ตะวันออก ทหารที่นั่นจับเสือคู่หนึ่งในปาและเลี้ยงพวกมันในคฤหาสน์แม่ทัพเพื่อแก้อาการเบื่อของเสด็จแม่ เมื่อพวกเขากลับมาถึงเมืองหลวง เสด็จแม่บอกว่านายอยากพาพวกมันกลับมา แต่พี่เจ็ดปฏิเสธ ใครจะรู้ว่านางจะส่งข้อความลับไปยังคฤหาสน์แม่ทัพตะวันออก บอกว่าถ้าใครมาเมืองหลวงในเทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วงให้นําเสือมาเมืองหลวงด้วย เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เจ้าเมืองได้นําเสือมาจริง ๆ มีลูกเสือ 2 ตัว ตัวหนึ่งเป็นตัวผู้และอีกตัวเป็นตัวเมีย เสื้อตัวเมียได้อุ้มท้องลูกเสือหลังจากที่มันเกิดมา มีตัวที่ตายและอีกตัวก็อ่อนแอ พี่เจ็ดคิดว่ามันดูน่าสงสารและให้ข้าเอามาให้เจ้าเขาให้ เจ้าลองรักษามันดู ไม่ว่าในกรณีใดมันยังมีชีวิตอยู่”

 

ชวนเทียนหมิงพูดพร้อมกับส่ายหัว เสด็จแม่ของเขาก่อเรื่องยุ่งมากเกินไป

 

เฟิงหยูเฮงไม่คิดว่าเป็นเช่นนี้ ในขณะที่ฟังนางยกนิ้วโป้งขึ้นมา “เสด็จแม่ทรงอํานาจจริง ๆ ! พระสนมของฮ่องเต้คนอื่นเลี้ยงแมวหรือสุนัข แต่เสด็จแม่ของเราเลี้ยงเสือ !” อัศจรรย์

 

“ใช่” ชวนเทียนหมิงยิ้มอย่างขมขื่น “อย่ารบกวนมันเลย เพียงแค่ดูว่าลูกเสือตัวเล็กนี้สามารถช่วยได้หรือไม่ ข้าคิดว่ามันดูค่อนข้างดี ถ้าเจ้าชอบก็ให้มันอยู่ที่นี่ในฐานะสหายก็ไม่เลวเป็นเพียง ที่ข้าไม่รู้ว่าสามารถควบคุมมันได้หรือไม่เมื่อมันโตขึ้น มันจะดีที่สุดถ้ามันไม่ทําร้ายเจ้า”

 

“มันเป็นไปไม่ได้สําหรับเสี่ยวไปที่จะทําร้ายข้า” เพิ่งหยูเฮงพูดถึงเสือน้อยในฐานะเพื่อนสนิทโดยธรรมชาติ และต่อมาเมื่อเสือขาวตัวน้อยได้ยินสิ่งที่นางพูดแล้ว มันลูบใบหน้าเล็ก ๆ ของมันที่ด้านหลังมือของนาง สิ่งนี้ทําให้เฟิงหยูเฮงรู้สึกพึงพอใจอย่างมากและสัญชาตญาณของมารดาของนางก็ทํางานทันที นางเอื้อมมือไปที่แขนเสื้อของนางและดึงอาหารทารกออกมาจากเคาน์เตอร์ทันที จากนั้นนางก็เรียกให้บ่าวรับใช้ต้มน้ํา หลังจากนั้นก็ชงนม นางจับเสือขาวตัวน้อยทันทีแล้ววางหัวนมไว้ในปาก

 

เสือตัวเล็กไม่ชอบกินตั้งแต่มันเกิดและอดอาหารจนมันสั่น เมื่อดมกลิ่นนม ดวงตาของมันก็สว่างขึ้น ถือขวดนมด้วยอุ้งเท้าหน้า มันเริ่มดูด

 

ชวนเทียนหมิงพบว่าภาพนี้น่าสนใจ “มันดื่มได้จริง ๆ !” เขายังได้ดื่มนมสูตรนี้กับเฟิงหยู เฮงอย่างไรก็ตามเขาไม่เคยคิดว่าเสือตัวเล็ก ๆ ที่ไม่ยอมดื่มแม้แต่นมแม่ก็จะดื่มนมที่เฟิงหยูเฮง ทําให้เพียงแค่ดูทําให้เขารู้สึกประหลาดใจ “ดูเหมือนว่าการส่งมันที่นี่เป็นตัวเลือกที่ถูกต้อง ข้าคิดว่าลูกเสือตัวน้อยนี้จะไม่สามารถมีชีวิตรอดได้เสียแล้ว”

 

เฟิงหยูเฮงไม่ชอบฟังสิ่งเหล่านี้ “ทําไมเจ้าถึงเรียกมันว่าลูกเสือตัวน้อย เรียกมันว่าเสี่ยวไป”

 

ชวนเทียนหมิงเงยหน้าขึ้นมอง เขาไม่ได้คิดจริง ๆ ว่าชื่อเสี่ยวไปนั้นดีเป็นพิเศษ มันขาดความคิดริเริ่มอย่างสมบูรณ์” แต่มันดีกว่าเรียกมันว่าลูกเสือตัวน้อย ดังนั้นเขาจึงเรียกมันว่า “เสียวไป” หลังจากพูดอย่างนี้เขาก็ยื่นมือออกมาแล้วลูบมัน

 

เสือตัวน้อยขยับหัวราวกับว่าจะบอกว่าอย่ารบกวนคนที่ดื่มนมซึ่งทําให้คนสองคนหัวเราะเสียงดัง

 

ในเวลานั้นเฟิงหยูเฮงคิดว่าเสือตัวน้อยเป็นสัตว์ตัวเล็ก ไม่ว่ามันจะสามารถเลี้ยงดูได้หรือไม่และจะไม่บังคับให้ต้องอยู่ในกรง เพราะมันไม่สามารถต้านทานสัญชาตญาณตามธรรมชาติของมันได้อย่างน้อยที่สุดเสือตัวนี้น่ารักและน่ารักมาก ๆ มันทําให้นางลังเลที่จะปล่อยลูกเสือไปอย่างไรก็ตามใครจะรู้ว่ามันจะเป็นเสื้อตัวนี้ที่จะช่วยชีวิตนางหลายปีต่อมา

 

แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องราวในภายหลัง เมื่อย้อนกลับไปยังปัจจุบันเสี่ยวไปนี้ได้กลายเป็นที่ที่นชอบของเฟิงหยูเฮงอย่างชัดเจน ในขณะที่อุ้มมัน นางปฏิเสธที่จะวางมันลง ซวนเทียนหมิงทําได้แค่มองดูว่าสัตว์ตัวเล็ก ๆ ยังคงอยู่ในอ้อมแขนของชายาของเขาหลังจากกินนมอิ่มแล้ว มันก็จะถูกับพื้นที่สําคัญบางอย่างที่ทําให้เขาโกรธและต้องการที่จะทุบตีมัน

 

ในขณะที่โกรธเขาถามนางว่า “เงินที่ได้มาจากการหลอกลวงอยู่ที่ไหน ?”

 

เฟิงหยูเฮงกล่าวอย่างเป็นธรรมชาติ “ส่วนหนึ่งถูกส่งไปที่ร้านห้องโถงสมุนไพร อีกส่วนหนึ่งถูกส่งไปยังคลังขององค์หญิง”

 

ชวนเทียนหมิงจ้องมองหญิงสาว “สกปรกมาก ! ไม่ว่าในอย่างไรควรมีส่วนหนึ่งสําหรับองค์ชายผู้นี้ที่ช่วยเจ้ารีดไถเงินเงิน 80 ล้านเหรียญเงินไม่ใช่หรือ ?”

 

“มันเหมือนกัน แม้ว่าข้าจะมอบให้เจ้า เจ้าจะไม่ละอายใจเลยหรือ ? ” นางพูดอย่างเศร้าใจ “และแม้ว่ามันจะถูกนําไปใส่ไว้ในคลังของคฤหาสน์ขององค์หญิง เมื่อข้าแต่งงานกับเจ้าในอนาคตมันก็จะเป็นเช่นนั้น นํามาเป็นส่วนหนึ่งของสินเดิม หลังจากมีการพูดและทํา มันก็จะยังคงเป็นของเจ้า เฮ้อ ! ” นางถอนหายใจยาว ๆ “มันน่าเสียดายที่เจ้าเป็นองค์ชาย ไม่งั้นข้าจะพาเจ้าเข้ามาแบบนี้ข้าไม่จําเป็นต้องได้รับสินสอดที่มากมาย แค่คิดว่าต้องมอบมันความรู้สึกก็แย่มาก”

 

ชวนเทียนหมิงยิ้มอย่างขมขึ้น “เจ้าเริ่มรู้สึกผิดแล้ว เป็นไปได้หรือไม่ว่าเงิน 80 ล้านเหรียญเงินจะอนุญาตให้คฤหาสน์ขององค์หญิงขึ้นสู่สรวงสวรรค์ ? มันสามารถใช้ความมั่งคั่งและอํานาจในการบังคับให้พระราชวังของข้าล่มสลายหรือไม่ ? เมื่อข้าแต่งงานกับเจ้าในปีหน้าและมอบเอกสาร แสดงรายการทรัพย์สินทั้งหมดให้กับเจ้า เจ้าจะรู้ว่าเจ้าไม่ได้ขาดทุน”

 

แน่นอนเฟิงหยูเฮงรู้ว่านางไม่ได้ขาดทุน ด้วยบิดาที่ลําเอียงเช่นฮ่องเต้ ชวนเทียนหมิงจะขาดความมั่งคั่งได้อย่างไร เพียงแค่ดูของหมั้นที่เขาให้ไว้ในบ้านของตระกูลเฟิงก็ชัดเจนว่าเขามีเท่าไหร่

 

เมื่อนางนึกถึงของหมั้น นางจําเรื่องอื่นได้ว่า “ใช่ พูดตามปกติก่อนแต่งงาน 3 วันควร มีของกํานัลอีกรอบเจ้าต้องไม่นําของกํานัลเหล่านั้นไปที่บ้านของตระกูลเฟิง”

 

ชวนเทียนหมิงพยักหน้า “อย่ากังวล ข้าเข้าใจสิ่งเหล่านี้”

 

ดังนั้นนางจึงไม่พูดต่อไป เขาบอกว่าเขาเข้าใจซึ่งหมายความว่าเขาเข้าใจอย่างแน่นอน การพูดของนางทําให้นางรู้สึกอายเล็กน้อยที่พูดเกี่ยวกับของหมั้นกับคู่หมั้นของนาง! แต่นางแค่ต้องการเปลี่ยนหัวข้อการสนทนา อย่างน้อยที่สุดนางก็อยากทําให้บรรยากาศสงบลง แม้ว่าชวนเทียนหมิงมาวันนี้เพื่อเอาเสือตัวน้อยมาให้ตามความเข้าใจของว่าที่สามีของนาง แต่มีบางอย่างในใจของเขา

 

แน่นอนหลังจากหัวข้อนี้จบลงทั้งสองก็เงียบสนิท หลังจากผ่านไปนานชวนเทียนหมิง ก็กล่าวว่า “อีกไม่นานเทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วงก็จะมาถึง”

เฟิงหยูเฮงพยักหน้า “ใช่เจ้าหน้าที่จํานวนมากมาจากต่างมณฑล เห็นได้ชัดว่านี่เป็นเวลาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่จุดเริ่มต้นของเวลา”

 

“อืม” ซวนเทียนหมิงพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “เมื่อเฉียนโจวพ่ายแพ้ เสด็จพ่อรู้สึกมีความ สุขซงซุยตะวันออกไม่ได้สร้างปัญหาเช่นกัน ซึ่งถือได้ว่าเป็นการทํางานหนักของพี่เจ็ด นอกจากนี้เขาควบคุมที่นั่นด้วยเช่นกัน ยังมีเรื่องของการสร้างอยู่เสมอ ตามที่ข้าเห็นเขามักจะพูดจาโดยไม่กลั่นกรองถ้าเขาดื่มมากเกินไป”

 

นางขมวดคิ้ว “เจ้าหมายถึงว่าเสด็จพ่อจะประกาศตัวรัชทายาทในระหว่างงานเลี้ยงนี้หรือไม่ ?

 

“มันเป็นไปได้” ชวนเทียนหมิงทําอะไรไม่ถูก “ปกติจะมีคนหยุดเสด็จพ่อ สิ่งที่กังวลคือถ้าเสด็จพ่อดื่มมากเกินไป หากไม่มีใครหยุดเขา ข้าก็ไม่สามารถขึ้นไปปิดปากเสด็จพ่อต่อหน้าผู้คนมากมายได้”

 

เฟิงหยูเฮงคิดแล้วกล่าวว่า “ถ้าเรากําลังพูดถึงความมั่นคงสําหรับรากฐานของอาณาจักร การแต่งตั้งองค์รัชทายาทไว้ล่วงหน้าเป็นสิ่งที่ดี”

 

“แม้ว่าจะมีการแต่งตั้ง เจ้าคิดว่าทุกคนจะพอใจหรือไม่ ? ” ชวนเทียนหมิงยิ้มอย่างขมขื่น “ข้ารู้ว่าเสด็จพ่อกําลังคิดอะไรอยู่ หากเขาพูดออกมา ตําแหน่งรัชทายาทกุฏก็จะเป็นของข้า แต่อาเฮง สิ่งที่ผู้คนคิดว่าเป็นสิ่งที่ผู้คนเห็น เจ้าคิดว่าเหตุผลใดที่เสด็จพ่อถึงรอเมื่อต้องการมอบตําแหน่งองค์รัชทายาทให้แก่ข้า”

 

“เพราะ…” นางคิดนิดหน่อย “ก่อนที่ข้าจะกลับมาที่เมืองหลวง เจ้าได้ต่อสู้เพื่อชัยชนะในภาคตะวันตกเฉียงเหนือ แม้ว่าเจ้าจะได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ข่าวที่ว่าเจ้าไม่สามารถมีบุตรได้ก็ถูกเสด็จพ่อสั่งให้กระจายข่าว มันคือการกําจัดเจ้าจากความคิดขององค์ชายคนอื่น มันคือการปกป้องเจ้าเมื่อคิดจากเรื่องนี้ เมื่อเจ้ายิ่งแข็งแกร่งขึ้นก็ทําให้เสด็จพ่อไม่มีทางเลือกนอกจากต้องเปิดเผยความจริง เสด็จพ่อจับคนทรยศบางคนด้วยความช่วยเหลือของเจ้า ต่อมาเราก็ตัดสินเฉียนโจวในฐานะที่เป็นคู่หมั้นของเจ้า ข้าได้มอบทักษะการหลอมเหล็กให้ราชวงศ์ต้าชุน โดยปกติแล้วการพูดว่าเจ้าเป็นองค์รัชทายาทแล้ว”

 

ซวนเทียนหมิงส่ายหัว “เปรียบเทียบข้อดีของการทหาร ? คุณธรรมของทหารขององค์ชายแปดในภาคใต้นั้นไม่เลวร้ายไปกว่าของข้า นอกจากนี้ยังมีองค์ชายหก เจ้าคิดว่าเสด็จพ่อกําลังทําอะไรอยู่ คนของเราออกไปแล้วมองหาสิ่งที่เหลืออยู่สุดท้ายของเฉียนโจว ข่าวที่พวกเขานํากลับมาบอกว่าองค์ชายหกกําลังทําสิ่งเดียวกัน ! และทําไมพี่เจ็ดจึงไปทางตะวันออก ? เป็นเพราะพี่หกได้เกิดแนวคิดของการไปทางตะวันออกแล้ว เรื่องกับซงซุยสามารถแยกออกได้ทุกเวลาถ้าท่านพ่อไม่ได้ไป องค์ชายหกจะต้องหายไปอย่างแน่นอนเมื่อเวลานั้นมาถึง มันจะเป็นอีกมณฑลหนึ่งสําหรับพวกเขาที่จะแบ่งตําแหน่งของข้าในฐานะองค์รัชทายาทจะเป็นที่ถกเถียงกันมากขึ้นสิ่งสํา คัญที่สุดคือ…” เขาหยุดและมองที่เพิ่งหยูเฮงอย่างไร้ประโยชน์

 

ใจของนางขยับ และรีบพูดว่า “เจ้าหมายถึงว่าเจ้ากลัวว่าจะมีใครบางคนใช้เสด็จแม่เพื่อพูดในสิ่งต่าง ๆ ? พวกเขาคิดว่าเสด็จพ่อจะมอบบัลลังก์ให้เจ้าเพราะเสด็จแม่หรือ ?”

 

“มันไม่ใช่ความกลัวมันเป็นความจริงที่มีคนพูดแล้ว !”

 

ตอนที่ 682 น้ําหอมที่เป็นเอกลักษณ์

 

งานเลี้ยงสําหรับเทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วงกําลังใกล้เข้ามา แต่ละตระกูลเริ่มกังวลเกี่ยวกับผู้คนที่จะเข้าร่วม มีขุนนางที่ต่ํากว่าขั้นสี่บางคนเริ่มพยายามใช้ความสัมพันธ์ของพวกเขาเพื่ออนุญาตให้บุตรสาวของพวกเขาเข้าร่วมและได้เห็นโลกกว้าง และแทนที่จะบอกว่าเป็นการให้พวกนางได้เห็นโลกกว้าง มันจะเป็นการดีกว่าถ้าจะบอกว่าพวกนางต้องการให้ “โลก” เห็นพวกนาง ทุกครั้งที่พระราชวังจัดงานเลี้ยง มันไม่มีอะไรมากไปกว่าโอกาสแฝงสําหรับพวกเขาที่จะรู้จักผู้คน และผู้คนในปัจจุบันจะเป็นบุตรของผู้มีอํานาจ สําหรับเจ้าหน้าที่ระดับล่างนี้ พวกเขาหวังว่าพวกเขาจะสามารถใช้วิธีนี้เพื่อให้บุตรสาวของพวกเขาได้รับความสนใจจากบุตรของตระกูลใหญ่

 

ในขณะที่เมืองหลวงดูยุ่งมาก

 

เฟิงจินหยวนไม่สนใจงานเลี้ยงในพระราชวังมานานแล้ว เมื่อตกจากตําแหน่งเสนาบดีมาหลายปี จิตใจของเขาก็สงบลงเล็กน้อย เขาสับสน ทําไมคุณหนูเหลียนผู้ซึ่งสนิทสนมกับเฟิงหยูเฮง ถึงมาสนิทกับเฟิงเฟินได

 

ในส่วนที่เกี่ยวกับคําถามนี้ เฟิงเฟินได้ให้คําตอบเขาตอนอาหารค่ํา “มีอะไรที่ไม่เข้าใจบ้าง? ไม่ว่าความสัมพันธ์ของพี่สาวเหลียนกับเฟิงหยูเฮงจะดีแค่ไหน แต่ก็ไม่สามารถเทียบได้กับการอยู่ข้างๆเราในฐานะเพื่อนบ้าน มันง่ายกว่าที่จะเข้าใกล้ การได้พบกันบ่อยครั้งจะทําให้เราใกล้ชิดกันมากขึ้น นอกจากนี้เฟิงหยูเฮงก็เป็นถึงองค์หญิง นางจะยุ่งแค่ไหน นางจะมีเวลาคุยกับพี่สาวเหลียนได้อย่างไร” นางเรียกอีกฝ่ายว่าสาวเหลียน ทั้งที่ๆนางเรียกพี่สาวแท้ๆของนางด้วยชื่อ แม้ว่าเฟิงจินหยวนจะรู้สึกว่ามันไม่เหมาะสม แต่เขาก็ไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะแก้ไขในเวลาเช่นนี้ เขายังคงถามเฟิงเฟินไดต่อ “เจ้าพูดคุยเรื่องอะไรกัน?”

 

มุมปากของเฟิงเฟินไดขดตัว “โดยปกติสิ่งที่ผู้หญิงคุยกัน ท่านพ่อไม่ควรที่จะถามเรื่องนี้ไม่ ใช่หรือ ? ”

 

“ไม่ๆๆ” เฟิงจินหยวนโบกมือของเขาซ้ําๆ “ข้าไม่ได้ตั้งใจจะถามแบบนั้น” จากนั้นเขาก้มหน้าลงแล้วกินอาหาร จากนั้นเขาก็รู้สึกไม่สมเหตุผล และถามว่า “พรุ่งนี้นางจะมาหรือไม่ ?”

 

เฟิงเฟินไดกล่าวอย่างเย็นชา “นางคงจะมา นางบอกว่านางจะมาคุยกับข้าบ่อยๆ ท่านพ่อสนใจพี่สาวเหลียนหรือ ?”

 

ใบหน้าแก่ของเฟิงจินหยวนเปลี่ยนเป็นสีแดง และเขาไม่รู้ว่าควรตอบอย่างไร เชิงเฟินไดพูดในสิ่งที่นางคิดโดยไม่คํานึงถึง “เมื่อพูดเรื่องนี้ ไม่สามารถตําหนิท่านพ่อได้ ด้วยความงามของพี่สาวเหลียน ไม่ต้องพูดถึงผู้ชายแม้แต่เด็กผู้หญิงที่รุ่นราวคราวเดียวกับข้าก็อดไม่ได้ที่จะจ้องมองนาง นางงดงามมากจริง ๆ เมื่อเปรียบเทียบกับนางแล้ว คุณหนูใหญ่ของคฤหาสน์เฟิงก็ไม่อาจคิดว่าตัวเองเป็นผู้หญิงที่งดงามที่สุดในเมืองหลวง”

 

นางหยิบยกเรื่องเฟิงเฉินหยูขึ้นมาพูดอีกครั้ง และเฟิงจินหยวนไม่ดื้อรั้นเหมือนเมื่อก่อน เพราะนั่นคืออดีตและสิ่งต่างๆก็เปลี่ยนไป มองย้อนกลับไปจากตอนนี้ สิ่งต่างๆ ไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิด

 

เฟิงเฟินไดพูดต่อไป ยิ่งนางพูดมากเท่าไหร่นางก็ยิ่งขุดลงไปในหัวใจของเฟิงจินหยวนมากกล่าวว่า “ถึงแม้ว่าบ้านของเราจะมีฮูหยินใหญ่, ฮูหยินรองและแม่รองอัน ดูเหมือนท่านพ่อไม่ทราบว่าเป็นเวลาหลายเดือนที่พวกนางใช้ข้ออ้างในการดูแลอาการป่วยของฮองเฮา พวกนางไม่สนใจเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครอบครัว ฮูหยินใหญ่คืออะไร ท่านพ่อควรคิดเกี่ยวกันพวกนาง แม่รองอันมุ่งไปที่การหาเลี้ยงชีพทั้งหมด ร้านปักของนางเป็นที่นิยมในเมืองหลวง อย่างไรก็ตาม นางไม่ได้สนใจเรื่องในบ้านและปฏิเสธที่จะให้การสนับสนุนทางการเงิน นอกจากนี้ยังมีองค์หญิงผู้ซึ่งไม่ค่อยใส่ใจเกี่ยวกับความอยู่รอดของบ้านตระกูลเฟิง ท่านพ่อพูดความจริง นานนับปี ท่านพ่อชอบคนนี้และคนนี้ แต่ท้ายที่สุดใครคือคนที่ให้ประโยชน์สูงสุดสําหรับท่านพ่อ ไม่ใช่บุตรสาวคนที่สี่ของท่านพ่อหรอกหรือ!”

 

เฟิงจินหยวนได้รับการกระตุ้นอารมณ์จากการวิเคราะห์ของนาง และเขาได้แต่พยักหน้า และกล่าวอย่างทอดถอนใจ “ถูกต้อง! สามีและภรรยาควรเป็นนกที่มีขนลายเดียวกัน การที่พวกนางบินไปด้วยตัวเองเมื่อเผชิญกับปัญหาคือความผิดของข้า ไม่ต้องพูดถึงเรื่องข้าไร้ความสามารถ ข้ายังได้รับบาดเจ็บอีกด้วย”

 

“ท่านพ่อไม่ต้องคิดแบบนี้” เฟิงเฟินไดเปล่งเสียงของนาง นางวางชามแล้วกล่าวอย่างจริงจัง “อาการบาดเจ็บแน่นอน แต่ท่านพ่อต้องไม่พูดอย่างง่ายๆ และปล่อยให้มันกลายเป็นสิ่งที่ทําให้ท่านพ่อทุกข์ หากท่านพ่อเชื่อว่าท่านพ่อไม่สามารถทําได้ ต่อไปคนอื่นจะคิดอย่างไร ท่านพ่อคือต้น แบบของตระกูลเฟิง ท่านพ่อไม่ใช่ขันที่ในพระราชวัง!”

 

เมื่อนางพูดถึงขันที เฟิงจินหยวนรู้สึกหงุดหงิด อย่างไรก็ตามเขาไม่สามารถพูดอะไรได้ เขายังต้องฝืนยิ้ม

 

เฟิงเฟินไดกล่าวต่อ “นั่นเป็นเหตุผลที่ข้าคิด พวกเขากล่าวก่อนหน้านี้ว่าตระกูลของขุนนางขั้นต่ําไม่สามารถมีอนุระดับสูงได้ แต่ราชวงศ์ต้าชุนไม่ได้กล่าวว่าตระกูลทั่วไปไม่สามารถมีอนุแบบลับๆได้ ฮูหยินทั้งสองจับจุดตรงนี้ว่าเราไม่สามารถทําอะไรได้ มันเป็นผลมาจากพวกนางได้รับการสนับสนุนจากพระราชวัง แต่ถ้าท่านพ่อสนใจพี่สาวเหลียน ข้าก็อยากช่วยการนํานางเข้ามาในบ้านจะทําให้มีบรรยากาศที่ดีมาก เมื่อสาวงามแต่งเข้าตระกูล คนนอกคนไหนที่กล้าที่จะดูถูกบ้านของเรา?”

 

คําเหล่านี้สามารถจับหัวใจของเฟิงจินหยวนได้ ความสุขปรากฎบนใบหน้าของเขาในขณะที่เขาพูดด้วยความกระวนกระวายใจ “ความหมายของเจ้าคือเจ้าหวังว่าพ่อจะพาแม่นางเหลียนเข้ามาในบ้านหรือ?”

 

เฟิงเฟินไดพยักหน้า “ทําไมท่านพ่อถึงคิดเป็นอื่น? ข้าทําอย่างดีที่สุดเพื่อเข้าใกล้นาง ข้าไม่ได้เป็นคนขี้เกียจ ถ้าข้ามเวลา ข้าก็จะเย็บเสื้อผ้าให้องค์ชายห้า”

 

เฟิงจินหยวนตบต้นขาของเขาแล้วถอนหายใจ “จริงๆแล้วเฟิงเฟินไดนั้นเป็นคนละเอียดลออที่สุด แต่…” เขาคิดว่าเขาบาดเจ็บ และไม่สามารถช่วยได้ แต่พูดไม่ได้ “แต่ด้วยสถาน การณ์ปัจจุบันของข้า นางจะทํายังไง”

 

“มันเป็นเรื่องของความพยายาม” เชิงเฟินไดพูดจายิ้มกว้าง “ทั้งสองทางมีเวลามากมาย นางอยู่บ้านข้างๆ และไม่กลัวที่จะวิ่งหนี ตราบใดที่ท่านพ่อมีความปรารถนานี้ เราก็สามารถวางแผนอย่างช้าๆ และไม่กลัวความล้มเหลว”

 

ในขณะที่นางพูด บ่าวรรับใช้คนหนึ่งเดินเข้ามาในห้องและกล่าวกับเฟิงเฟินไดว่า “ตําหนักหลี่ ส่งเสื้อผ้ามาให้คุณหนูสี่โดยบอกว่าพวกมันถูกเตรียมไว้สําหรับคุณหนูเข้าร่วมงานเลี้ยงเจ้าค่ะ” เฟิงเฟินไดพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม นางหยุดกินและตามบ่าวใช้ออกไปดูเสื้อผ้า นี่ทําให้เฟิงจินหยวนที่นั่งที่โต๊ะของตัวเองเพื่อคิดเกี่ยวกับสิ่งที่เฟิงเฟินไดพูด ยิ่งเขาคิดถึงมันมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งมีความสุขมากเท่านั้น จิตใจของเขาเต็มไปด้วยความคิดเกี่ยวกับวันที่จาวเหลียนแต่งงานเข้าบ้านตระกูลเฟิง แต่เขาไม่เคยคิดเลยว่าเฟิงเฟินไดจะมาที่ห้องอาหารแห่งนี้หรือไม่ถ้านางไม่มีอะไรจะพูด เช่นเดียวกับอันชิ และเฟิงเซียงหรู นางจะอยู่ที่เรือนของตัวเองเพื่อกิน และอยู่ห่างจากบิดาของนาง ด้วยความเคารพ

 

ในด้านนี้องค์ชายห้าส่งเสื้อผ้าให้เฟิงเฟินไดสวมใส่สําหรับงานเลี้ยงในพระราชวัง ในอีกด้านหนึ่งสมาชิกของตระกูลเหยากําลังเตรียมตัวทั้งครอบครัวเพื่อเข้าสู่พระราชวังเพื่อจัดงานเลี้ยง แน่นอนรวมถึงหลู่เหยา

 

หลู่เหยาแต่งงานกับเหยาซูในฐานะจอหงวนที่ได้คะแนนสูงสุดในปีนี้ เหยาซู่มีสิทธิ์พาภรรยาของเขาไปงานเลี้ยง สําหรับสมาชิกคนอื่นๆของตระกูลเหยาเพราะพวกเขามีตําแหน่งหวางโจว และเนื่องจากตําแหน่งของเหยาเซียน พวกเขาก็มีสิทธิ์ที่จะเข้าพระราชวัง

 

นอกเหนือจากนี้ตระกูลหลู่ก็ค่อนข้างยุ่งเช่นกัน ในฐานะเสนาบดีฝ่ายซ้ายของราชสํานัก ภรรยาและบุตรสาวของเขาจะเข้าพระราชวังได้ตามธรรมชาติ คราวนี้เขาไม่เพียงแต่พาเก้อซื่อและบุตรสาวของเขา, หลู่หยานบุตรสาวของฮูหยินใหญ่ของเขาเท่านั้น เขาพบคนที่เตรียมเสื้อผ้าให้กับบุตรสาวแล้ว

 

ถึงแม้หลู่ปิงจะหวาดกลัวด้วยสิ่งนี้ บิดาของนางก็ออกคําสั่งแล้วและนางก็ต้องทําตาม อย่างไรก็ตามหลู่หยานก็ไม่เข้าใจว่าทําไมบิดาของนางถึงทําเช่นนี้ และนางก็ไม่กล้าถามหลู่ซ่ง นางโกรธอยู่ข้างใน

 

เก้อซื่อปลอบใจนางว่า “ท่านพ่อของเจ้าเป็นคนคิดเอง นางเป็นแค่บุตรสาวของอนุนางจะได้ดีสักแค่ไหน? ทําไมเจ้าถึงโกรธ?”

 

“ท่านแม่! ” ดวงตาของหลู่หยานเบิกกว้างมาก “นี่ไม่ใช่เรื่องที่ข้าโกรธนางหรือไม่ ไม่ใช่ว่าลูกจะมีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่ ไม่ใช่ว่าท่านแม่ไม่รู้เรื่องอาการปวยของนาง เมื่อตระกูลหลู่นั่งด้วยกัน ข้าจะต้องนั่งกับนางอย่างแน่นอน เมื่อกลิ่นที่น่ารังเกียจของนางแพร่กระจายก็เป็นไปไม่ได้ที่ผู้คน จะเข้ามาใกล้เพื่อตามหาว่ามาจากที่ไหน ท้ายที่สุดข้ากลัวว่าความผิดจะตกอยู่กับตระกูลหญ่ของเรา จะเกิดอะไรขึ้นถ้ามีคนคิดว่ามันเป็นข้า ในอนาคตข้าจะยังสามารถออกเรือนได้หรือไม่”

 

นี่คือสิ่งที่เก้อซื่อและหลู่ข่งคิด เมื่อเห็นว่าหลู่หยานโตขึ้น นางก็อดไม่ได้ที่จะปลอบใจนาง “ท่านพ่อของเจ้าคิดไว้แล้ว คนในภาคใต้ส่งน้ําหอมที่เป็นเอกลักษณ์ เห็นได้ชัดว่ามีกลิ่นหอม ทั้งหอมและหวานเหมือนน้ําผึ้ง โดยไม่คํานึงถึงกลิ่นที่มีอยู่ตราบใดที่มีน้ําหอมที่เป็นเอกลักษณ์ กลิ่นเหม็นจะถูกปกปิดทันที รอบๆ จะมีเพียงกลิ่นของน้ําผึ้ง ท่านพ่อของเจ้าสั่งตัดชุดให้หลู่ปิงแล้วจะใส่น้ําหอมที่เป็นเอกลักษณ์ ใส่ให้ชุ่มไปสามวันสามคืน แล้วมันจะสามารถปิดกั้นกลิ่นกายได้”

 

หลู่หยานกล่าวเบาๆด้วยความไม่พอใจ “ข้าเคยได้ยินน้ําหอมที่ไม่เหมือนใครเช่นนี้ มันเป็นสิ่งที่มาจากผลไม้เล็กๆในทะเลทราย มันแพงมากและผู้คนในภาคกลางจะพบว่ามันยากมากที่จะได้รับขวดเล็กๆ กูซูส่งน้ําหอมเข้าไปในพระราชวัง 10 ขวดในแต่ละปีเท่านั้น ตอนนี้ท่านพ่อกําลังใช้มันกับเสื้อผ้าของหลู่ปิง นั่นเป็นเงินเท่าไหร่! ข้าไม่เคยเห็นสิ่งที่ดีมาก่อนเลย ท่านพ่อมีอคติจริงๆ

 

เก้อซื่อกลอกตา “สิ่งใดที่เจ้าเร่งรีบอย่างนี้? วันที่ดีของเจ้ายังมาไม่ถึง เจ้ากําลังต่อสู้กับบุตรสาวของอนุเพื่ออะไร นอกจากนี้ยังมีน้ําหอมที่นํามาไม่มากนัก เหตุผลที่เสื้อผ้าสามารถแช่ในนั้นคือมันผสมกับน้ํา เจ้าคิดว่าทั้งอ่างเต็มไปด้วยน้ําหอมแช่เสื้อผ้าหรือ ? แม้แต่พระสนมของฮ่องเต้ในพระราชวังก็ยังลังเลที่จะใช้มันอย่างนั้น เอาล่ะ อย่ากังวลกับเรื่องนี้ ตราบใดที่เจ้าจําได้ว่ายังคงทําบุญอยู่เรื่อยๆ ทุกสิ่งที่หลู่ปิงทําในบุตรสาวของอนุจะเป็นการปูทางให้เจ้า”

 

หลู่หยานม้วนริมฝีปากของนางด้วยรอยยิ้มเล็กๆ “ท่านแม่พูดถูก นางเป็นบุตรสาวของอนุนางไม่สามารถพลิกสวรรค์ได้”

 

หลู่ปิงพลิกสวรรค์หรือไม่เป็นเรื่องที่ตระกูลหญ่ต้องกังวล ในตอนเช้าในคฤหาสน์ขององค์หญิง, เฟิงหยูเฮงฉีดยาให้เป่ยฟูหรง จากนั้นนางปืนขึ้นไปบนหลังคาเพื่อดูทิวทัศน์

 

กลางฤดูใบไม้ร่วงในเมืองหลวงนั้นยอดเยี่ยมมาก ต้นไม้ในสวนมีผลไม้สุกมากมาย นาง นั่งบนหลังคาและกํากับบ่าวรับใช้ด้านล่างเพื่อตั้งบันไดสําหรับเก็บผลไม้ หวงซวนนําเสื้อผ้าออกมาจากในห้องเพื่อดูซ้ําโดยหวังว่าเฟิงหยูเฮงจะสนใจชุด ใครจะรู้ว่าคุณหนูของนางไม่พอใจกับชุดใดๆ ไม่มีอะไรที่นางสามารถทําได้และได้แต่เจรจาต่อรองได้อย่างขมขื่น “ถ้าสั่งตัดตอนนี้คงไม่ทันเจ้าค่ะ! เสื้อผ้าเหล่านี้สั่งตัดเมื่อเร็วๆนี้ ข้าคิดว่าพวกมันดูดีทีเดียว ไม่มีอะไรที่ไม่เหมาะสมกับพวกมัน”

 

เฟิงหยูเฮงส่ายหัว “พวกมันดูไม่ดีและฉูดฉาดเกินไป”

 

“แต่มันเป็นงานเลี้ยงสําหรับเทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วง ทุกคนจะต้องสวมใส่เสื้อผ้าที่สวยงาม คุณหนูยังเป็นเด็กสาว คุณหนูควรสวมเสื้อผ้าที่มีความขูดฉาดเจ้าค่ะ”

 

เฟิงหยูเฮงส่ายหน้าของนางอีกครั้ง “ถ้าเด็กทุกคนคิดถึงการสวมใส่เสื้อผ้าที่ฉูดฉาด บรรดาฮูหยินจะสวมใส่อะไร ? สิ่งที่ถูดฉาดควรจะถูกปล่อยให้ฮูหยินวัยกลางคนและวัยชรา ค้นหาเสื้อผ้าที่ เรียบง่ายและสง่างามสําหรับเด็กสาว ตราบใดที่มันดูไม่เหมือนว่าข้าไปร่วมงานศพ มันก็ใช้ได้”

 

หวงซวนกระทืบเท้าของนางด้วยความโกรธ “คุณหนูไม่เคยกลั่นกรองคําพูด มันเป็นวันที่ดีพร้อม ทําไมคุณหนูถึงพูดถึงงานศพ แต่ต้องบอกว่ามีเสื้อผ้าที่เรียบง่ายและสง่างาม คุณหนูจําได้หรือไม่เจ้าคะเมื่อองค์ชายเจ็ดกลับมาจากตะวันออกและมอบผ้าให้คุณหนูเป็นพับๆ ? นั่นใหม่มาก แม้ว่ามันจะสายเกินไปที่จะตัดพวกมันตอนนี้ ถ้าเรามีช่างตัดเสื้อของพระราชวังมา ก็สามารถทําได้ทันอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”

 

เฟิงหยูเฮงพยักหน้า “ใช่แล้ว พี่เจ็ดมีรสนิยม ทําตามนั้น นําวัสดุไปยังตําหนักหยอย่างรวดเร็ว ให้คนช่วยเอาไป”

 

หวงซวนถูกไล่จากคฤหาสน์ แม้กระนั้นนางยังคงนั่งอยู่บนหลังคา เมื่อนางไขว่ห้าง นางนั่งกินผลไม้ในเวลานี้นางเห็นสิ่งมีชีวิตวิ่งเข้าไปในสนาม มันเล็กมากและมีขนยาว การเคลื่อนไหวของมันไม่คล่องแคล่วและดูเหมือนว่าเพิ่งเกิดมา มันไม่สามารถยืนได้อย่างมั่นคง

 

หญิงสาวคนหนึ่งตกใจ “อ้า! แมวตัวนี้มาจากไหน น่ารัก! “

 

เฟิงหยูเฮงมองไปครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า “มันน่ารักมาก มันไม่ใช่แค่น่ารัก แต่แมวก็ดูมีอํานาจอยู่เหมือนกัน จริงๆแล้วมันมีคําว่าราชาบนหน้าผาก!”

 

ตอนที่ 681 ความคิดของเฟิงเฟินได

 

การใช้เฟิงเชียงหรูและองค์ชายเจ็ดเป็นเหยื่อล่อ เฟิงเฟินไดประสบความสําเร็จในการเชิญจาวเหลียนเข้ามาในบ้านของตระกูลเฟิงก่อนที่จะพาเขาไปที่เรือนของนางเอง

 

ในเวลานี้เด็กที่ถูกทิ้งไว้โดยฮันชิกําลังร้องไห้และก่อให้เกิดความยุ่งยาก จาวเหลียนเป็นคนที่พูดโดยไม่ได้กลั่นกรอง โดยเอ่ยถามเฟิงเฟินไดว่า “โอ้! คุณหนูสี่ นี่เป็นบุตรของเจ้าหรือ? ” คําถามนี้ทําให้เฟิงเฟินไดโกรธจนแทบจะกระอักเลือดออกมา

 

โชคดีที่คงหยิงนั้นฉลาดและอธิบายได้อย่างรวดเร็ว “เป็นบุตรของญาติเจ้าค่ะ พวกเขาเอามาฝากเลี้ยง”

“โอ้” จาวเหลียนพยักหน้าและไม่พูดต่อในหัวข้อนี้

 

เฟิงเฟินไดต้องอดทนต่อความโกรธที่พลุ่งพล่านเต็มอกของนาง รอยยิ้มยังคงอยู่บนใบหน้าของนางอย่างต่อเนื่อง ขณะที่นางเชิญพวกเขาเข้ามา ในขณะที่เดินนางก็นึกตําหนิเขาในใจ ผู้หญิงคนนี้ดูงดงามมาก แต่ทําไมนางถึงรู้สึกว่าอีกฝ่ายไร้ความคิด? นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้พบกัน นี่เป็นเรื่องที่ควรพูดหรือไม่ แม้จะถามว่านางคลอดบุตรหรือไม่ บุตรสาวที่ยังไม่ได้แต่งงานจะให้กําเนิดบุตรได้อย่างไร เมื่อคิดอย่างนี้นางก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเกลียดเด็กมากขึ้น

 

เมื่อพูดถึงเด็กคนนั้นตอนนี้อายุ 1 ขวบ และเขาได้รับการดูแลจากแม่นมและบ่าวรับใช้ อย่างไรก็ตาม ในท้ายที่สุดเขาก็เป็นข้อห้ามสําหรับสมาชิกของตระกูลเฟิง ไม่มีใครอยากถามหาเขา มีเพียงแม่นมและบ่าวรับใช้สาวที่ดูแลเขาด้วยหัวใจทั้งหมดเพราะพวกเขาได้รับค่าจ้างจากคฤหาสน์ขององค์หญิง โชคดีที่เฟิงหยูเฮงคอยปกป้องเขาอยู่เสมอ เฟิงเฟินไดจึงก็ไม่กล้าทําอะไรกับเด็กคนนี้อีกต่อไป หลังจากนางต้องทนทุกข์ทรมาณหลังจากทําร้ายเด็ก

 

โชคไม่ดีฮันชิวิตกกังวลเมื่อตั้งท้องและนางก็คลอดเขาก่อนกําหนด เด็กมีความพิการแต่กําเนิด หมอจากห้องโถงสมุนไพรล้วนส่ายหน้าหลังจากมาตรวจร่างกาย พวกเขาบอกว่าเขาบอกว่าเด็กจะมีชีวิตรอดอยู่ได้ไม่เกิน 3 ขวบ เมื่อเป็นแบบนี้เฟิงเฟินไดจึงเลิกคิดที่จะฆ่าเขา

 

จาวเหลียนเป็นคนแรกที่ไปเยี่ยมชมบ้านตระกูลเฟิง อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้มีเจตนาที่จะชื่นชมตระกูลเฟิง เมื่อเข้ามาในห้อง เขาก็จับเฟิงเฟินไดและถามว่า “พูดเร็วๆว่าอะไรคือสถานการณ์ระหว่างคุณหนูสามกับองค์ชายเจ็ด”

 

เฟิงเฟินไดไม่รีบร้อนอีกต่อไป ขณะบ่าวรับใช้ส่งน้ําชานาง และบ่าวรับใช้อีกคนเอา ขนมอบให้ หลังจากจัดวางทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว นางถามด้วยความสับสน “พี่รองของข้าไม่ได้บอกเจ้าเลยหรือ?”

 

จาวเหลียนส่ายหัว “นางไม่เคยเล่าให้ข้าฟัง!”

 

“นั่นเป็นเรื่องจริง” เฟิงเฟินไดพูดราวกับว่านางคิดไว้ “ถ้าแม่นางเป็นที่ต้องใจขององค์ชายเจ็ด เจ้าจะเป็นศัตรูของพี่สาม พี่รองจะช่วยคนนอกขโมยผู้ชายจากน้องสาวของนางเองได้อย่างไร”

 

“นั่นไม่ใช่สาระสําคัญ!” เฟิงเฟินไดพยายามที่จะยั่วยุเขาอย่างจงใจ แต่จาวเหลียนไม่ได้คิดอะไรเลย “อาเฮงช่วยและไม่ช่วยตามความต้องการของนาง ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ไม่สําคัญสําหรับเรา ข้าแค่จะถามเจ้าว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุณหนูสามและองค์ชายเจ็ด”

 

“เกี่ยวกับสิ่งนั้น! เรื่องราวจะยาวถ้าเราพูดถึงเรื่องนี้! ” เฟิงเฟินไดพูดอย่างจงใจในน้ําเสียงที่ได้รับผลกระทบ เมื่อจาวเหลียนแสดงว่ามันไม่สําคัญว่าจะใช้เวลานานกว่านี้เล็กน้อย ไม่จําเป็นต้องสรุป และนางอาจใช้เวลาพูดอย่างละเอียด จากนั้นเฟิงเฟินไดก็เริ่มเล่าความสัมพันธ์เล็กๆน้อยๆ ระหว่างเฟิงเซียงหรูและองค์ชายเจ็ดในขณะที่ใส่ไข่เข้าไปเพิ่มมากมาย

 

เมื่อนางไปถึงส่วนที่เกี่ยวกับองค์ชายเจ็ดที่ส่งชุดให้เฟิงเซียงหรู จาวเหลียนกระทืบเท้าของเขาด้วยความโกรธ “ฮะ ! มันเป็นความผิดของข้าที่มาถึงเมืองหลวงข้าไป”

 

เฟิงเฟินไดลอบยิ้มให้กับตัวเองในใจและยังคงพูดถึงเรื่องเล็กน้อย ขณะที่นางพูด นางสามารถถ่ายทอดความรักเล็กน้อยในความสัมพันธ์ระหว่างเฟิงเซียงหรูและองค์ชายเจ็ด นางยังย้ําว่าเฟิงเซียงหรูไปที่ตําหนักจุนด้วยตัวนางเอง

 

จาวเหลียนรู้สึกอิจฉาอย่างมากเมื่อได้ยินอย่างนี้ ในตอนท้ายเขาร้องขอเฟิงเฟินไดอย่างตรงไปตรงมา “เจ้าช่วยแนะนําข้าให้รู้จักกับคุณหนูสามได้หรือไม่?”

 

เฟิงเฟินไดส่ายหน้า “น่าเสียดายที่วันนี้นางไม่อยู่”

 

“นางไปที่ตําหนักจุนงั้นหรือ? ” สีหน้าของจาวเหลียนเผยให้เห็นความอิจฉาเล็กน้อยในตอนนี้ “เพื่อให้สามารถไปที่ตําหนักจุนได้ตลอดเวลา คุณหนูคนที่สามคือเทพธิดา”

 

ใครจะรู้ว่าเฟิงเฟินไดจะยิ้มแย้มแจ่มใสอย่างเยือกเย็น “ตําหนักจุนอะไร! นางไปที่ตําหนักปิง”

 

“ตําหนักปิง นั่นคือตําหนักอะไร ? องค์ชายบังคือใคร ? ” จาวเหลียนไม่คุ้นเคยกับองค์ชายของราชวงศ์ต้าชุนมากนัก เขารู้จักกับองค์ชายหยู, ชวนเทียนหมิง และองค์ชายจุน,ชวนเทียนฮั่ว เขาไม่สามารถจดจําชื่อขององค์ชายคนอื่นได้

 

เมื่อคําถามนี้ถูกถามเฟิงเฟินไดก็มั่นใจอีกครั้งว่าการตัดสินของจาวเหลียนก่อนหน้านี้นั้นถูกต้อง นางขาดความใส่ใจ! เห็นได้ชัดว่าขาดความรอบคอบ ดูเหมือนว่าสวรรค์ยังคงยุติธรรม! พวกเขาให้ใบหน้าที่งดงามมากแก่นาง อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่ได้ให้สมองแก่นาง นี่มันน่ายินดีเสียจริง!

 

นางบอกกับจาวเหลียน “องค์ชายปิงเป็นองค์ชายสีของราชวงศ์ต้าชุน ในอดีตพระองค์เคยทําสิ่งเลวร้ายมาก่อนและถูกกักบริเวณในตําหนักของพระองค์เอง พระองค์และพี่สามเข้ากันได้ดี เมื่อพี่สามถูกรังแกจากคุณหนูตระกูลหลู่ องค์ชายปิงก็ออกหน้าให้นาง”

 

“หืม ? ” จาวเหลียนเริ่มสับสน “เจ้าไม่เพียงแค่บอกว่าคุณหนูสามและองค์ชายเจ็ดมีความรู้สึกที่ดีต่อกันหรือ ? ทําไมนางถึงลงเอยกับองค์ชายสี่ ? โอ้ เจ้าหมายความว่าองค์ชายสี่ให้ความสนใจกับคุณหนูสาม แต่คุณหนูสามนั้นชอบองค์ชายเจ็ด นั่นถูกต้องหรือไม่?”

 

เฟิงเฟินไดส่ายหัวของนาง “ตบมือข้างเดียวไม่ดัง หากพี่สามไม่สนใจ ทําไมนางจะต้องไปที่ตําหนักปิงครั้งแล้วครั้งเล่า ต้องบอกว่านางมีความรู้สึกที่มีต่อองค์ชายเจ็ดด้วยเช่นกัน แต่องค์ชายเจ็ดก็แตกต่างจากคนทั่วไป ข้าคิดว่า…. พี่สามไม่สามารถกุมหัวใจขององค์ชายเจ็ดได้ ดังนั้น นางจึงคว้าองค์ชายสี่และไม่ยอมปล่อย! ฮะ นั่นเป็นความสามารถของนาง นางแตกต่างจากเรา พี่รองหมั้นกับองค์ชายเก้าและข้าหมั้นกับองค์ชายห้า มีแต่พี่สามที่โชคดีในครอบครัวของเรา”

 

คําพูดของเฟิงเฟินไดทําให้จาวเหลียนโกรธมาก มันต้องบอกว่าเขาเป็นคนไม่น่าเชื่อถือและหยิ่งในบางครั้งในเฉียนโจว แต่เขาก็ไม่ใช่คนโง่ เขายังสามารถเห็นสิ่งต่างๆ จากมุมมองเชิงตรรกะ เมื่อเขาเผชิญหน้ากับตวนมู่อันกัว ทั้งสองฝ่ายมีอํานาจเท่าเทียมกัน แต่ผู้คนไม่คํานึงถึงสิ่งที่พวกเขาเจอ พวกเขาจะต้องไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับอารมณ์ของพวกเขา จาวเหลียนไม่เคยให้ความสนใจกับผู้อื่นในชีวิตของเขา ไม่ว่าเขาจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงก็ตาม แม้แต่เพิ่งหยูเฮงในเวลานั้น เขาก็แค่หวังที่จะเข้าใกล้เพื่อที่จะได้รับการปฏิบัติตามเป้าหมายของเขา แต่การคํานวณของมนุษย์ ไม่สามารถเปรียบเทียบกับการคํานวณของสวรรค์ หลังจากมาถึงราชวงศ์ต้าชุนและพบชวนเทียนฮั่ว เหตุผลทั้งหมดของเขาก็บินออกไปนอกหน้าต่าง เกี่ยวกับสิ่งที่เฟิงเฟินไดพูด เขาไม่ได้คิดถึงมัน เขาเริ่มคิดว่าเฟิงเซียงหรูเป็นเด็กผู้หญิงที่ “ไม่มั่นคงและไร้ศีลธรรม” และเขาก็รู้สึกขุ่นเคืองมาก

 

เฟิงเฟินไดมองไปที่สีหน้าของคนที่อยู่ตรงหน้านาง และนางก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มในใจ นางแค่คิดว่าการคํานวณของนางถูกต้องแล้ว! คุณหนูเหลียนผู้นี้สนใจองค์ชายเจ็ดจริง ๆ ดังนั้นนางจึงผลักดันอีกครั้ง “คุณหนูเหลียนไม่จําเป็นต้องคิดมาก เพียงแค่รอ และดูว่านางมีการเคลื่อนไหวอื่นๆอย่างไร และควรได้รับการดูแลอย่างไร นางไม่สามารถควบคุมองค์ชายทั้งสองพระองค์ได้ในท้ายที่สุดนางจะต้องเลือกเพียงคนเดียว”

 

“เลือก? นางจะเป็นฝ่ายเลือกงั้นหรือ? บนพื้นฐานแบบใด? ” จาวเหลียนรู้สึกผิดอย่างแท นชวนเทียนชั่ว “องค์ชายเจ็ดเป็นคนดี แต่พระองค์ต้องยอมให้ใครบางคนเลือกระหว่างตัวเขากับคนอื่น!” ในสภาวะทางอารมณ์ของเขา คําพูดทุกประเภทถูกโยนออกไป เขาจับมือของเฟิงเฟินได กล่าวว่า “น้องสาวที่ดี เจ้าต้องช่วยข้าจับตามองเฟิงเซียงหรู เจ้าอย่ายอมให้นางทําร้ายองค์ชายเจ็ด”

 

เฟิงเฟินไดพยักหน้าอย่างรวดเร็ว “ไม่ต้องกังวล เมื่อเราเข้ากันได้ แน่นอนข้าจะช่วยเจ้าจับตามอง แม้ว่านางจะเป็นพี่สาวของข้า แต่ความสัมพันธ์ระหว่างพี่สาวในตระกูลใหญ่เป็นสิ่งที่พี่สาวควรเข้าใจ นางกับข้าไม่เคยเข้าใกล้กัน ดังนั้นมันจึงไม่ดีขึ้นอีกแล้ว การที่เราจะได้อยู่ด้วยกัน กินและดื่มด้วยกัน จะต้องเป็นโชคชะตา เนื่องจากเราอยู่ใกล้กันมาก เพียงมาที่เรือนข้าทุกวัน ข้าจะบอกเจ้าเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวทางด้านนั้นตลอดเวลา” ด้วยคําพูดเพียงไม่กี่คํา ทั้งสองเริ่มคุยกันในฐานะพี่น้องสตรี

จาวเหลียนพยักหน้าเขา “เช่นนั้นข้าจะมาที่นี่ทุกวัน ใช่แล้ว ข้ามีเรื่องต้องกลับไปที่บ้านของข้า ข้าขอตัวกลับก่อน ช่วยข้าจับตาดูด้วย พรุ่งนี้ข้าจะมาหาใหม่”

 

“น้องสาวจะไปส่งพี่สาวกลับ” เฟิงเฟินไดยิ้มและเดินไปส่งจาวเหลียนด้วยตัวเอง

 

ในขณะที่ทั้งสองกําลังพูดอยู่ บ่าวรับใช้ในเรือนของเฟิงเฟินไดได้แพร่กระจายคําพูดของการมาถึงของจาวเหลียนไปยังฝั่งของเฟิงจินหยวน เฟิงจินหยวนไม่เชื่อเมื่อเขาได้ยิน แต่สิ่งที่บ่าวรับใช้พูดนั้นมีเหตุผล พวกเขายังกล่าวอีกว่าทั้งสองนั่งอยู่ในห้องกินขนมอบและดื่มชาด้วยกัน ทั้งสองคุยกันมา 1 ชั่วยามแล้ว

 

ณ จุดนี้ เฟิงจินหยวนไม่สามารถนั่งนิ่งได้อีกต่อไปรีบวิ่งไปที่เรือนของเฟิงเฟินได สถานที่ที่เขาอาศัยอยู่นั้น เขาต้องผ่านลานด้านหน้าไปยังเรือนของเฟิงเฟินได เมื่อเขามาถึงกลางลาน เขาเห็นเฟิงเฟินไดเดินมาส่งจาวเหลียนไปที่ประตู เฟิงเฟินไดกลับมาหลังจากส่งคนไปได้ค่อนข้างไกล รอยยิ้มนั้นยังคงอยู่บนใบหน้าของนางขณะที่นางพูดกับบ่าวรับใช้ นางกล่าวว่า “คุณหนูเหลียนไม่เพียงแต่งดงามเท่านั้น นางยังมีบุคลิกที่ดี ข้าไม่เคยคิดเลยว่านางกับข้าจะเข้ากันได้ดี ดงหยิงเตรียมขนมอบที่ท่านพี่เหลียนชอบทานไว้เยอะๆ นางจะกลับมาอีกครั้ง”

 

ดงหยิงช่วยออกมาจากด้านข้าง “คุณหนูไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะ ข้าจะเตรียมไว้ให้”

 

เฟิงจินหยวนไม่เชื่อในตอนแรก แต่เขาไม่มีทางเลือกนอกจากเชื่อในตอนนี้ เดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เขาถามอย่างใจจดใจจ่อ “ทําไมเจ้าถึงอยู่กับคุณหนูเหลียน ?”

 

ภาพแห่งความสําเร็จส่งประกายไปทั่วใบหน้าของเฟิงเฟินได อย่างไรก็ตามนางพูดด้วยความรังเกียจ “โอ้! ข้าคิดว่าเป็นใคร นี่ไม่ใช่ผู้ใหญ่ของตระกูลเฟิงหรอกหรือ? ท่านพ่อยอมเอ่ยปากพูดกับข้าก่อนในวันนี้เพื่ออะไร? ข้าคิดว่าท่านพ่อจะไม่ยอมรับบุตรสาวคนนี้อีกต่อไป และกําลังเตรียมที่จะเก็บข้าวของของท่านพ่อให้ไปอยู่ในคฤหาสน์ขององค์หญิง”

 

เมื่อเร็ว ๆ นี้ เฟิงจินหยวนขัดแย้งกับเฟิงเฟินไดจริงๆ และเขาก็คิดว่าจะขอความช่วยเหลือจากเฟิงหยูเฮงในอนาคต แต่เมื่อเปรียบเทียบเวลา เฟิงเฟินไดได้พูดคุยกับจาวเหลียน ตอนนี้เขาได้ยินบุตรสาวคนนี้พูดถึงคุณหนูเหลียนในฐานะพี่สาว ความสัมพันธ์ระหว่างสองคนนี้ดีมาก เขาจะเต็มใจจากไปอย่างไร

 

ดังนั้นเขาจึงบังคับตัวเองให้อดทนต่อความอัปยศอดสู และกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เฟินได สิ่งที่เจ้าพูด เราเป็นบิดาและบุตรสาว เราพึ่งพาซึ่งกันและกันเพื่อความอยู่รอด ข้าจะไปอยู่ในคฤหาสน์ที่เต็มไปด้วยสมบัติของพี่รองเจ้าได้อย่างไร แม้ว่านางจะเชิญข้า ข้าก็ยังเป็นห่วงเจ้าอยู่บ้าง เจ้าไม่มีมารดาผู้ให้กําเนิดอยู่เคียงข้างเจ้า หากข้าไม่ให้ความสําคัญกับเจ้า ใครจะเป็นคนวางแผนให้เจ้า”

 

เฟิงเฟินไดแค่นเสียงเมื่อได้ยินสิ่งเหล่านี้ นางแค่คิดว่าบิดาคนนี้รู้วิธีการเจรจาให้ราบรื่น เมื่อต้องรับมือกับคนแบบนี้ นางต้องพูดอะไรบางอย่าง มันเป็นเรื่องน่าเสียดายที่ตอนนี้การแสดงความโปรดปรานนั้นสายเกินไป ใบหน้าของเขาถูกมองผ่านบุตรๆ ของเขาอย่างสมบูรณ์ เหตุผลที่นางพยายามอย่างหนักเพื่อสร้างความสัมพันธ์นี้กับจาวเหลียนเป็นเพียงความพยายามของตัวเอง เพื่อให้เฟิงจินหยวนรู้ว่านางจะไม่ถูกทอดทิ้ง สําหรับความรู้สึกระหว่างบิดากับบุตรสาว นางไม่เคยใส่ใจเลยสักครั้ง

 

“ท่านพ่อพูดถูก การแบ่งปันในความยากลําบากไม่มาก การอดทนต่อความยากลํา บากด้วยกันเป็นประสบการณ์ที่ไม่มีวันลืม ในท้ายที่สุดเราเป็นคนที่พึ่งพาซึ่งกันและกันเพื่อความอยู่รอด” นางกล่าวซ้ําสิ่งที่เขาพูด แล้วกลับไปที่เรือนของนางโดยไม่หันกลับมามอง

 

เฟิงจินหยวนต้องการไล่ตามนางเพื่อขอพูดด้วยอีกเล็กน้อย แต่เขาก็ยังรั้งไว้ ความสัมพันธ์ของเขากับเฟิงเฟินไดเพิ่งได้รับการซ่อมแซม เขาไม่สามารถใช้อํานาจมากเกินไป เขาต้องการที่จะย้าย แต่เขาเพิ่งได้ยินว่าคุณหนูเหลียนจะมาในวันพรุ่งนี้ การคิดสิ่งต่างๆ ในเวลานั้นจะไม่สายเกินไป

 

ในเวลานี้เมื่อจาวเหลียนกลับไปที่บ้านของเขา ยามของเขาก็ปรากฏตัวขึ้นทันที เขาพูดอย่างไร้ประโยชน์ “นายท่าน ท่านคิดอะไรอยู่ ? ท่านยังจําเป้าหมายของท่านที่พวกเรามาที่ราชวงศ์ต้าชุนได้หรือไม่? เพื่อให้องค์หญิงจีอันรักษาอาการป่วยของท่าน!”

 

จาวเหลียนโบกมือ “ข้ารู้ในขณะที่ข้าอยู่ที่นั่น หาชายาที่จะนํากลับไปก็ไม่เลว!” หลังจากที่เขาพูดจบ เขาขดมุมปากของเขาเล็กน้อยโดยพูดว่า “น่าสนใจมาก ! ข้าอยากจะเห็นธาตุแท้ของบุตรสาวตระกูลเฟิง, เฟิงเฟินได งั้นหรือ ? นางเป็นคนเช่นไร ? ”

 

ตอนที่ 680 ประโยชน์ของการรู้จักผู้มีอิทธิพล

 

จาวเหลียนพักอยู่ในคฤหาสน์ขององค์หญิงมาพักหนึ่งคืน และเขาก็กวนใจนางมาหนึ่งคืน เมื่อนางไปนอนตอนกลางคืน เขาจะนั่งข้างนอกประตูของนาง ในขณะที่ท่องเที่ยวและพูดจาโผงผางโดยไม่มีที่สิ้นสุด เขาก็จะตบประตูนางอย่างไม่ยอมหยุด ไม่มีใครสามารถทําอะไรกับเขาได้

 

เฟิงหยูเฮงไม่ได้คิดมาก ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด ถ้านางไม่สามารถนอนหลับได้ภายในห้องของนาง นางก็สามารถนอนหลับได้ในมิติของนาง หลังจากเช้าวันรุ่งขึ้นนางก็พบว่าจาวเหลียนเป็นคนที่ร่าเริง นางอดไม่ได้ที่จะรู้สึกชื่นชม

 

จะต้องมีการกล่าวว่าเหตุผลที่จาวเหลียนรบกวนการทํางานของเฟิงหยูเฮงก็คือเขาต้องการที่จะขอร้องบางเรื่อง “ พาข้าไปที่พระราชวังเพื่อเข้าร่วมงานเทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วงได้หรือไม่? “

 

ในเวลานี้เฟิงหยูเฮงเพิ่งทานอาหารเช้าเสร็จแล้วก็ดื่มชา จาวเหลียนนั่งข้างนางด้วยท่าทางน่าสมเพช สิ่งที่ขาดหายไปคือการโค้งคํานับ

 

เฟิงหยูเฮงรู้สึกไร้ประโยชน์อย่างแท้จริง นางไม่มีทางเลือกนอกจากต้องอธิบายให้เขาฟังอย่างอดทน “ถึงแม้ว่าเฉียนโจวจะล่มสลายไปแล้ว แต่เจ้าก็ยังคงเป็นราชวงศ์คนสุดท้ายของเฉียนโจว สิ่งที่เจ้าควรพิจารณาคืออะไร? ” *

 

“หญิงงามคนล่าสุดที่ไม่มีใครรู้จัก” จาวเหลียนเกิดความคิดขึ้น “หญิงงามคนล่าสุดที่ไม่มีใครรู้จัก”

 

หวงซวนผู้ทํางานอยู่ข้างๆไม่สามารถทนฟังได้ นางต้องกล่าวออกมาและเตือนเขาว่า “ในฐานะคนที่ไม่ได้ใช้เวลาศึกษามาก ถึงแม้ข้าจะรู้ว่าคํานี้ใช้อธิบายผู้หญิง องค์ชายเหลียนมองว่าตนเองเป็นผู้หญิงหรือ !”

 

จาวเหลียนแก้ไขนาง “ดูสิ เพิ่งมีคนกล่าวว่าเฉียนโจวล่มสลายไปแล้ว ทําไมเจ้ายังเรียกข้าว่าองค์ชายเหลียน โปรดจําไว้ว่าในโลกนี้ไม่มีองค์ชายเหลียนอีกต่อไปแล้ว เจ้าสามารถเรียกข้าว่า… แม่นางเหลียน”

 

หวงซวนพูดไม่ออกและกลอกตาของนางยืนอยู่ด้านหลังเฟิงหยูเฮง นางไม่ต้องการให้ความสนใจกับคนผู้นี้แม้แต่น้อย

 

เฟิงหยูเฮงยังคงกล่าว “สิ่งสุดท้ายที่ดี ความหมายของข้าคือเจ้าเป็นคนที่เฉียนโจวทิ้ง ไว้ข้างหลัง หากไปที่งานเลี้ยงของราชวงศ์ต้าชุนอย่างเปิดเผย เจ้าไม่กลัวว่าเจ้าจะต้องเปิดเผยตัวตนของเจ้าโดยใครบางคน และถูกลากออกไปทุบตีหรอกหรือ?”

 

หวงซวนไม่สามารถกลั้นและพูดเสริมทันที “ พวกเขาจะมุ่งเน้นไปที่การตบตีใบหน้า! พวกเขาจะตบตีเจ้าจนกว่าเจ้าจะเสียโฉม!”

 

องค์ชายเหลียนตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวและปิดใบหน้าของเขาโดยไม่รู้ตัว “ราชวงศ์ต้าชุนเป็นอาณาจักรที่เจริญแล้ว พวกเขาจะทําสิ่งนี้ได้อย่างไร พวกเจ้าไม่ได้พูดหรอกหรือว่าจะไม่ทุบที่ใบหน้าเมื่อถูกทุบตี? ”

 

เฟิงหยูเฮงตะคอกเล็กน้อย “นั่นไม่ใช่สําหรับคนที่ไร้ยางอาย”

 

จาวเหลียนยิ้มและไม่โกรธแม้แต่น้อย เขาเขยิบเข้ามานั่งข้างๆเฟิงหยูเฮง ทั้งสองอยู่ใกล้พอที่จะให้เขาวางมือลงบนแขนของนาง และขอร้องต่อไปว่า “เสี่ยวหยา เจ้าแค่สัญญากับข้า!”

 

“ข้าชื่ออาเฮง”

 

“เอาล่ะ อาเฮงก็อาเฮง ถ้าอย่างนั้นอาเฮงพาข้าเข้าไปในพระราชวัง ข้ารับประกันได้ว่าข้าจะไม่สร้างปัญหา แล้วข้าจะไปพบฮ่องเต้ก่อนไปคารวะฝ่าบาทได้หรือไม่?”

 

เฟิงหยูเฮงทําอะไรไม่ถูก “เจ้าคิดว่าสามารถเข้าเฝ้าฮ่องเต้ได้ง่ายดายนักหรือ? มันมีความอ่อนไหวพอแล้วเมื่อเจ้าอยู่ในเมืองหลวงด้วยตัวตนของเจ้า หากไม่ใช่เพราะองค์ชายเก้าและข้าระงับสิ่งต่างๆ เจ้าคิดว่าจะเข้ามาในเขตแดนของราชวงศ์ต้าชุนได้หรือไม่ ? เชื่อฟังคําสั่ง ทําไมเจ้าถึงพยายามดิ้นรนกับคนมากมาย? ”

 

จาวเหลียนก้มหน้าลง และกล่าวอย่างเย้ยหยัน “ข้าแค่อยากจะเข้าเฝ้าในพระราชวังเท่านั้น?

 

“เข้าเฝ้าใคร ?” เฟิงหยูเฮงขมวดคิ้ว “เจ้าต้องการที่จะเข้าเฝ้าฮ่องเต้จริงๆหรือ? ”

 

“ไม่ใช่ฮ่องเต้ ! เสี่ยวหยู… อาเฮง เจ้าจงใจพูดเช่นนี้ใช่หรือไม่? เจ้ารู้ดีว่าคนที่ข้าอยากพบคือ เทพเซียนเช่นองค์ชายเจ็ด เจ้าแค่อยากให้ข้าสารภาพออกมา !”

 

เฟิงหยูเฮงก็โกรธเช่นกัน “ข้ายังจําช่วงเวลาที่เราอยู่ในเฉียนโจวได้ มีคนบอกข้าอย่างจริงจังเกี่ยวกับประสบการณ์ที่น่าขมขึ้นของพวกเขา และได้รับความเห็นอกเห็นใจของข้า ข้าตกลงที่จะ รักษาอาการปวยของเจ้า! มันคืออะไร ? เจ้าไม่ต้องการการรักษาแล้วหรือ? แทนที่จะเป็นผู้ชายที่เหมาะสม เจ้าต้องการเปลี่ยนเป็นผู้หญิงหรือ? เจ้าคนแซ่เฟิง ไม่ว่าเจ้าต้องการที่จะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงก็ไม่สําคัญกับข้า แต่หยุดคิดเพ้อเจ้อเกี่ยวกับองค์ชายเจ็ด! ฮะ ไม่ว่าเจ้าจะทําร้ายใคร ก็ต้องไม่ใช่พี่เจ็ด! ” หลังจากพูดจบนางก็เกิดความคิดและนึกถึงเรื่องหนึ่ง นางจึงกล่าวต่อ “เจ้าคิดว่าท่านพ่อของข้าเป็นอย่างไร เขาสนใจเจ้า”

 

แหวะ !

 

จาวเหลียนเกือบอาเจียนออกมา “บิดาของเจ้างั้นหรือ? น่าขยะแขยงมาก ! ไม่ดี ไม่ดี ! อาเฮง ไม่ว่าในกรณีใดเราก็เป็นสหายกัน แค่นําข้าเข้ามาไปในพระราชวังครั้งนี้เพื่อคิดถึงเรื่องที่ข้าช่วยเจ้าในเฉียนโจวได้หรือไม่? แค่ครั้งเดียว ในอนาคตเจ้าจะไม่ติดหนี้ข้าอีกต่อไปได้หรือไม่ ?” ในขณะที่เขาพูด เขาโบกมืออย่างจงใจ ให้เฟิงหยูเฮงเห็นนิ้วที่หายไปหนึ่งนิ้วของเขา

 

เฟิงหยูเฮงรู้สึกว่าศีรษะของนางบวม ผู้ชายคนนี้ตั้งใจทําอย่างแน่นอน เขารู้ว่านางจะยอมแพ้ เมื่อนางเห็นนิ้วที่หายไป ดังนั้นเขาจึงโบกมือให้นางเห็น แต่ไม่มีอะไรที่นางจะทําได้ การที่จาวเหลี่ยนตัดนิ้วของเขาในวันนั้นเป็นสิ่งที่ทําให้นางตกใจอย่างยิ่ง เมื่อคิดถึงตอนนี้ มันยังคงเป็นความทรงจําที่สดใหม่มาก

 

หลังจากนั้นไม่นานนางก็พยักหน้า “ลืมไปเถิด ข้าต้องเป็นหนี้เจ้าในชีวิตก่อนหน้านี้ กลับไปและเตรียมตัว ในวันงานเลี้ยงข้าจะไปรับเจ้าด้วยรถม้าของข้าเป็นการส่วนตัว”

จาวเหลียนทําให้เฟิงหยูเฮงตอบตกลงได้และเขากระโดดอย่างมีความสุข จากนั้นเขาก็ไม่อยากอยู่ในคฤหาสน์ขององค์หญิงอีกต่อไป เขารีบกลับไปเตรียมเสื้อผ้าของเขา เขาวิ่งไปเหมือนสายลม

 

หวงซวนมองไปที่คนที่วิ่งหนีโดยไม่ต้องกังวลกับการปรากฏตัว และอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเป็นกังวล “เขาจะจับองค์ชายเจ็ดได้จริงหรือเจ้าคะ? ”

 

เฟิงหยูเฮงเผชิญกับใบหน้า “ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงๆ ข้าจะตบเขาด้วยเข็มเดียว และรักษาอาการปวยของเขา”

 

เมื่อพูดถึงจาวเหลียน หลังจากเขาออกจากคฤหาสน์ขององค์หญิง เขาก็ขึ้นรถม้าแล้วกลับไป เขาต้องการที่จะกลับไปอย่างรวดเร็วและเตรียมความพร้อม เขาต้องการหา เสื้อผ้าที่สวยที่สุดของเขา ไม่ว่าเขาจะสามารถจับองค์ชายเจ็ดได้หรือไม่ องค์ชายเจ็ดก็จะตัดสินใจในวันงานเลี้ยงแน่นอน

 

รถม้าวิ่งไปตามถนน ขณะที่พวกเขาหันไปทางถนนซึ่งเป็นที่ตั้งของบ้านเหลียน รถม้าของพวกเขาก็ปะทะกับรถม้าอีกคันหนึ่ง เนื่องจากความเร็วสูงเกินไปจึงทําให้ม่านหน้าต่างเปิดออก จาวเหลียนจ้องมองไปข้างหน้าและไม่ได้สังเกตเห็นอะไร แต่เฟิงเฟินไดผู้ที่นั่งอยู่ในรถม้าอีกคันเห็นเขาอย่างชัดเจน

 

ตงหยิงยังเห็นจาวเหลียนและอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “งดงามจริง ๆ ! ”

 

ในเรื่องนี้เฟิงเฟินไดไม่เถียง นางเพียงแต่พยักหน้า “จริง นางงดงามมากจริงๆ งดงามกว่าเฟิงเฉินหยู นางดูดีกว่ามาก” เพียงแค่เหลือบมองอย่างรวดเร็วทําให้เฟิงเฟินไดสามารถผ่านการตัดสินเช่นนี้กับจาวเหลียน และนางก็จําได้ว่าเมื่อหลี่เฉิงมาเยี่ยม นางอดไม่ได้ที่จะยิ้ม แต่ยิ้มอย่างขมขื่น “ข้าสงสัยว่ามันอาจเป็นเพราะนางเกิดมางดงามเกินไปและได้รับคําชมมาตลอด ดังนั้นน้องสาวของนางจึงเป็นแบบนั้น การเรียกพี่สาวของนางว่าสามี มันเป็นเรื่องน่าเศร้าจริงๆ”

 

ในเวลานี้ตงหยิงยังจําเรื่องนี้ได้และกล่าวกับเฟิงเฟินได้อย่างรวดเร็วว่า “คุณหนู คุณหนูยังจําข่าวลือเกี่ยวกับองค์ชายเจ็ดที่หยุดรถม้าเพราะสาวงามคนหนึ่งในวันที่เขากลับมาที่เมืองหลวงได้หรือไม่เจ้าคะ ?”

 

เฟิงเฟินไดพยักหน้า “ข้าจําได้ มันแพร่กระจายไปทั่ว เห็นได้ชัดว่าความงามของผู้หญิงคนนั้นเกินกว่าธรรมชาติให้มา ถ้าหากมีการกล่าวว่าองค์ชายเจ็ดเป็นเทพเซียน ผู้หญิง งคนนั้นก็เป็นนางจิ้งจอก มีคนเป็นจํานวนมากที่บอกว่าเมื่อพวกเขายืนอยู่ด้วยกันพวกเขาเหมาะสมกันราวกับกิ่งทองใบหยกจริงๆ ” ขณะที่นางพูด นางหยุดและตอบโต้ทันที “เป็นไปได้หรือไม่ว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นคนเดียวกับคนนี้? คนที่อยู่ข้างบ้านเรา”

 

ตงหยิงพยักหน้า “ข้าถามมาแล้วเจ้าค่ะ มันคือนางจริงๆ ”

 

“นางสนใจองค์ชายเจ็ดหรือ ? ” เฟิงเฟินไดหัวเราะในทันใด “นี่เป็นเรื่องยากจริงๆ ! องค์ชายเจ็ดคือคนประเภทนั้น เขาจะพึงใจหญิงสาวธรรมดาได้อย่างไร”

 

“ไม่จําเป็นเสมอไปเจ้าค่ะ” ตงหยิงกล่าวว่า “เมื่อคนผู้นั้นงดงามเหมือนนาง นางจะเป็นผู้หญิงธรรมดาได้อย่างไรเจ้าคะ นอกจากนี้นางกลับมาพร้อมกับคุณหนูรอง ใครจะรู้ว่านางมีภูมิหลังแบบไหน คุณหนูนางได้รับความสนใจจากองค์ชายเจ็ดคือเรื่องของนาง แต่ข้าต้องการพูดเรื่องอื่น มันเป็นบางสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเรามากเจ้าค่ะ”

 

“หืม ? ” เฟิงเฟินไดงงงวย “เรื่องอะไรที่เกี่ยวข้องกับเรา? เราไม่รู้จักนาง”

 

“คุณหนูไม่รู้จักนาง แต่นายท่านรู้จักเจ้าค่ะ!” ตงหยิงเล่าอย่างรวดเร็วถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้นกับเฟิงจินหยวน หลังจากพูดจบแล้วนางรู้สึกว่ายังไม่เพียงพอ นางยังคงพูดเกี่ยวกับเฟิงจินหยวนหยุดจาวเหลียนนอกคฤหาสน์ขององค์หญิง หลังจากพูดจบแล้วนางก็กล่าวว่า “ข้าได้ยินบ่าวรับใช้ที่อยู่ข้างๆนายท่านพูดถึงเรื่องนี้ ความเชื่อมั่นนั้นสูงมากเจ้าค่ะ”

 

เฟิงเฟินไดหน้าซีดเมื่อได้ยินสิ่งนี้ มือของนางกําแน่น และไม่สามารถช่วยได้ แต่ทุบพวกเขาต่อรถม้าด้วยความโกรธ นางกล่าวว่า “ไร้ยางอายจริงๆ!”

 

ในขณะที่พวกเขาพูด รถม้าได้หยุดแล้ว คนขับด้านนอกยกผ้าม่านแล้วกล่าวว่า “คุณหนูสี่ ถึงแล้วขอรับ”

 

เฟิงเฟินไดมองออกไปข้างนอก แน่นอนพวกเขามาถึงด้านนอกทางเข้าบ้านของตระกูลเฟิง มองไปข้างหน้าอีกนิดมีรถม้าจอดอยู่ด้านนอกบ้านของจาวเหลียน มันเป็นสิ่งที่เพิ่งผ่านพวกนางไป สาวงามกําลังลงจากรถม้าด้วยความช่วยเหลือจากบ่าวรับใช้ หลังจากที่เท้าของนางแตะพื้นนางก็เดินไปมุ่งหน้าเข้าไปในบ้านของนาง

 

ใครจะรู้ว่าเฟิงเฟินไดจะกล้าทําเช่นนั้น นางตะโกนไปที่บ้านของจาวเหลียน “แม่นางเหลียน! รอสักครู่!”

 

เสียงตะโกนดังมาก และทําให้ตงหยิงและคนขับรถม้ากลัว แม้แต่จาวเหลียนก็ยังสะดุ้ง ตกใจหันมามองไม่รู้ตัว เขาชี้ไปที่ตัวเองด้วยความสับสนถามว่า “เจ้าเรียกข้าหรือ ?”

 

เฟิงเฟินไดรีบกระโจนออกจากรถไม่แม้แต่จะรอให้บ่าวรับใช้ช่วยนาง เมื่อนางออกจากรถม้า นางเกือบข้อเท้าแพลง แต่นางยืดตัวขึ้นอย่างรวดเร็วและเดินไปที่จาวเหลียนพร้อมกล่าวอย่างอบอุ่น “เจ้าคือแม่นางเหลียนใช่หรือไม่! คําร่ําลือไม่อาจสู้ตัวจริงได้ เจ้าเป็นคนที่งดงามมากจริงๆ

 

จาวเหลียนขมวดคิ้ว แต่เขากลับผ่อนคลายอย่างรวดเร็วอีกครั้ง ถ้าอดีตมีคนคิดว่าเขา เป็นผู้หญิงเช่นนี้ เขาจะอารมณ์เสียแน่นอน แต่เมื่อเร็วๆนี้สถานการณ์ของเขาเปลี่ยนไป เขาไม่ต้องการที่จะรักษาอาการปวยของเขาอีกต่อไป เขาเฝ้าฝันถึงองค์ชายเจ็ดของราชวงศ์ต้าชุนมาก นั่นเป็นเหตุผลที่เขาไม่เกลียดการเป็นที่รู้จักของคนอื่นในฐานะเด็กสาวอีกต่อไป แต่ “เจ้าเป็นใคร ?” สีหน้าของเขาไม่เปลี่ยนแปลง เขาดึงมือของเขากลับมาทันทีและจ้องมองที่เฟิงเฟินไดโดยถามว่า “เจ้าเป็นใคร ?”

 

ในเวลานี้ตงหยิงก็วิ่งไปด้วย แม้ว่านางจะไม่เข้าใจในสิ่งที่คุณหนูของนางกําลังทําอยู่ แต่ รอยยิ้มบนใบหน้าของเฟิงเฟินไดบอกนางว่านางมีแผนอย่างแน่นอน ดังนั้นนางจึงแนะนําอย่างรวดเร็ว “แม่นางเหลียน ข้าคือคุณหนูสี่ตระกูลเฟิง ที่อยู่ติดกับบ้านของแม่นางเหลียน”

 

“โอ้” จาวเหลียนจําได้ว่า “เจ้าคือเฟิงเฟินได”

 

“เจ้ารู้จักข้าด้วยหรือ? ” เฟิงเฟินไดเผยให้เห็นความตกใจของนาง

 

“ข้าได้ยินมาอาเฮงพูดถึงเจ้า” จาวเหลียนไม่ประทับใจกับเฟิงเฟินไดมากเท่าที่เขาถามอย่างเยือกเย็น “ที่เจ้าเรียกข้ามีอะไรหรือไม่? หากมีเรื่องจะพูดก็พูดมา ข้ายุ่งอยู่”

 

เฟิงเฟินไดไม่โกรธ ความคิดยังคงปรากฏอยู่ในใจของนาง เมื่อไม่นานมานี้เฟิงจินหยวนไม่ชอบที่จะเอาใจเฟิงหยูเฮง ไม่ดูตัวเองว่าสําคัญ นางต้องการดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้านางสนิทสนมกับคุณหนูเหลียน ด้วยความใกล้ชิดนี้ นางจะเป็นคนแรกที่ได้รับประโยชน์จากความใกล้ชิดของนางกับผู้ที่มีอิทธิพล นางสามารถเชิญผู้คนจากบ้านข้างๆมาเยี่ยมชมเป็นครั้งคราว เฟิงจินหยวนจะคิดอย่างไร?

 

นางปิดปากแล้วยิ้มอย่างเงียบๆ นางกล่าวว่า “ข้าได้ยินว่าแม่นางเหลียนหยุดรถม้าขององค์ชายเจ็ดในวันนั้น ข้าชื่นชมเจ้าอย่างมาก แม่นางเหลียนอาจไม่รู้แต่คุณหนูสามตระกูลเฟิง, เฟิงเซียงหรูนั้นสนิทสนมกับองค์ชายเจ็ด พวกเขามีความรู้สึกเชื่อมโยงกันระหว่างทั้งสอง น่าเสียดายที่นางไม่มีพลังเช่นเดียวกับคุณหนูเหลียน !”

 

เมื่อคําเหล่านี้ถูกพูดออกมา แน่นอนตาของจาวเหลียนก็เบิกกว้างขึ้นในทันที

 

ตอนที่ 679 กระอักเป็นเลือดและการสูญเสีย

 

จีหลิงเทียนเกือบกระอักเป็นเลือด เงิน 80 ล้านเหรียญเงินไม่มากหรือ ? องค์หญิงจีอันผู้ยิ่งใหญ่

 

แต่เมื่อมองไปที่เจ้าเมืองและพลเมืองที่ดูจากข้างนอก พวกเขาทั้งหมดมีลักษณะเป็นธรรมชาติมากพวกเขาไม่รู้สึกว่าการชดใช้ที่ร้องขอเช่นนี้ไม่มีเหตุผลหรือไม่ยุติธรรมเกินไป หรืออาจจะบอกว่าคนเหล่านี้ไม่มีแนวคิดว่าเงิน 80 ล้านเหรียญเงินมากเพียงใด ? พวกเขาคิดว่ามันเหมือนกับเงิน 8 เหรียญเงินหรือ ?

 

จีหลิงเทียนไม่เข้าใจและอดไม่ได้ที่จะถามว่า “ท่านรู้หรือไม่ว่าเงิน 80 ล้านเหรียญเงินหมายถึงอะไร ? ”

 

ซูจิงหยวนเป็นคนแรกที่ตอบ “ตามธรรมชาติเรารู้ นั่นคือจํานวนเงินที่ข้าจะไม่สามารถหาได้ในช่วงชีวิตนี้”

 

นอกจากนี้ยังมีพลเมืองที่โดดเด่นกว่านอกศาลที่ตะโกนว่า “เพียงพอที่จะซื้อครึ่งหนึ่งของเมืองเล็ก ๆ !”

 

ผู้คนพูดทั่วสถานที่แสดงความเข้าใจถึง 80 ล้านเหรียญเงิน และพวกเขาแต่ละคนมีเห ตุผลพอสมควรจีหลิงเทียนได้ยินเรื่องนี้ และพบว่าพวกเขาทุกคนเข้าใจ ! แต่เนื่องจากพวกเขาเข้าใจแล้วทําไมจึงไม่มีความประหลาดใจเกี่ยวกับองค์หญิงที่เรียกร้องค่าชดเชยเช่นนี้ ?

 

เมื่อเห็นว่าจีหลิงเทียนไม่ตอบสนองเป็นเวลานาน คนจากฝูงชนข้างนอกไม่สามารถทนได้และตะโกนออกมาว่า “เฮ้ เจ้าเมืองหลานโจว เจ้าไม่อยากจ่ายหรือ ? หรือเจ้าคิดว่าสิ่งนี้จ่ายมากเกินไป ? ไม่ถูกต้อง ! ฮูหยินของเจ้าสามารถจ่าย 80 ล้านเหรียญเงินเพื่อซื้อหยกเมื่อคิดถึงเรื่องนี้แล้ว ตระกูลของเจ้าคงไม่ขาดแคลนเงิน ทําไมเจ้าไม่ยอมรับการจ่ายค่าชดเชยให้กับองค์หญิง”

 

จีหลิงเทียนเข้าใจ ปรากฏว่านี่คือสิ่งที่พวกเขารอคอย เขาเก็บกดความรู้สึกรังเกียจในใจและไม่มีที่ระบาย ในช่วงเวลานี้เขาต้องการที่จะดูว่าองค์หญิงจีอันมีรูปลักษณ์แบบไหน เหตุใดนางจึงได้รับความรักจากทุกคนในเมืองหลวงเช่นนี้

 

ในขณะที่วิพากษ์วิจารณ์นางในความคิดของเขา ฉิงหยูกล่าวเตือนเขาขึ้นมาว่า“ข้าลืมไปตอนนี้ค่าชดเชยเหล่านี้ไม่ใช่ความคิดขององค์หญิง ท้ายที่สุดแล้วเมื่อวานนี้องค์ชายหยูก็อยู่ด้วย ข้าอยากจะบอกกับใต้เท้าจีว่าท่านฮูหยินและบ่าวรับใช้พูดเรื่องที่ไม่สมควรพูดกับองค์ชายเก้าพวกนางพูดจาลบหลู่องค์ชาย ใต้เท้าจีควรยินดี ถ้าไม่ใช่เพราะกลัวว่าจะทําลายศาลานิพพาน ท่านฮูหยินของใต้เท้าจจะถูกฆ่าโดยแส้ขององค์ชายเก้าทันทีและจะไม่ถูกตัดสินโทษเบาเช่นนี้ หากใต้เท้าขี่ต้องการปฏิเสธที่จะจ่ายค่าชดเชยเหล่านี้ นั่นก็เป็นเรื่องดีเช่นกันองค์ชาย ได้กล่าวว่าเนื่องจากใต้เท้าเป็นขุนนางจึงสามารถแก้ไขได้โดยใช้วิธีการจัดการกับขุนนางใต้เท้าจี จะไปที่ตําหนักหยูกับข้าหลังจากเลิกศาลแล้วก็ได้ จากนั้นตามองค์ชายเก้าเข้าสู่พระราชวังและมีพระราชโองการในเรื่องการลงโทษล่วงเกินองค์หญิงและองค์ชายเราจะดูว่ามันเป็นตั๋วแลกเงิน 80 ล้านเหรียญเงินหรือท่านฮูหยินของใต้เท้าที่มีค่ามากกว่ากัน”

 

ฉิงหยูไม่ได้พูดจาสุภาพแม้แต่น้อยเมื่อพูด คําพูดของนางทําให้ใบหน้าของจีหลิงเทียนซีดและเขาก็ไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไป

 

การดูหมิ่นองค์ชายเป็นความผิดร้ายแรง ยิ่งกว่านั้นคนที่โดนดูถูกก็คือองค์ชายเก้า นั่นไม่ใช่แค่เรื่องของความผิด เขาจ้องมองเจียงชื่อและจีเซียง เมื่อเห็นว่าทั้งคู่ได้ก้มหน้าลง เขารู้ว่าฉิงหยูน่าจะพูดความจริงได้มากที่สุด เขาลอบถอนใจและโทษตัวเองว่าเขาเอาใจฮูหยินของเขามากเกินไปในภาคใต้ทุกอย่างไปตามที่นางต้องการ ภาคใต้เป็นดินแดนของเขา ดังนั้นจะมีใครที่กล้าพูดไม่ดีกับฮูหยินของเจ้าเมืองสิ่งนี้ไม่เพียงทําให้ฮูหยินของเขาพัฒนานิสัยที่ไม่ดีบางอย่างเท่านั้น แต่ยังทําให้บ่าวรับใช้ที่อยู่ข้างนางไม่ยอมสนใจกฎของโลกมากยิ่งขึ้น

 

น่าเสียดายที่ตอนนี้มันสายไปเสียแล้ว จีหลิงเทียนคิดซ้ําคิดย้อนไปถึงสิ่งที่องค์ชายแปดพูดก่อนที่จะออกเดินทาง แม้แต่องค์ชายแปดที่สง่างามก็ยังรู้สึกหวาดกลัวต่อองค์ชายเก้าและองค์หญิงจีอัน แม้ว่าเขาไม่พอใจเขาจะทําอะไรได้ ?

 

ลืมมันซะ !

 

“ตกลง !” เขาพยักหน้า “เราจะจ่าย ใต้เท้าซูจะยอมให้บ่าวรับใช้ส่วนตัวของข้ากลับไปนําตั๋วแลกเงินมา”

 

ซูจิงหยวนย่อมไม่หยุดเขา ดังนั้นเขาจึงพักศาล เมื่อบ่าวรับใช้ส่วนตัวของจีหลิงเทียนส่งมอบตั๋วแลกเงิน ซึ่งถูกส่งมอบให้ฉิงหยู หลังจากนั้นก็คือเจียงซื่อถูกปล่อยตัวจากศาลและจีหลิงเทียน ได้รับการเตือน “ใต้เท้าจีต้องจําไว้ว่าต้องขอบคุณองค์หญิงจีอัน”

 

ความโกรธภายในของจีหลิงเทียนกําลังจะระเบิด เขาจะคิดยังไงเกี่ยวกับการสนทนาอย่างเฉยเมยคว้าตัวเจียงชื่อได้ เขาจากไปโดยไม่หันกลับมามอง จีเซียงเดินตามหลังพวกเขาอย่างไรก็ตาม ใครจะรู้ว่าหลังจากออกจากราชสํานัก นางจะถูกจีหลิงเทียนเตะไปตามถนนการเตะนี้ ค่อนข้างทรงพลังทําให้จีเชียงมีเลือดออก มีบางคนที่ขมวดคิ้วเมื่อเห็นสิ่งนี้แต่ก็มีบางคนที่คิดว่า นี่เป็นสิทธิของเจ้านาย บ่าวรับใช้แบบนี้สมควรแล้วที่จะโดนทุบตีแม้แต่ซูจิงหยวนก็หันมามองสิ่ง นี้ บ่าวรับใช้ไม่มีสิทธิมนุษยชน และเจ้านายมีสิทธิ์ตัดสินใจว่าพวกนางจะอยู่หรือตาย เขากล่าวกับ ฉิงหยู “ดูแลหยกให้ดีและรีบส่งกลับไปให้องค์หญิง !”

 

ฉิงหยูยิ้มและขอบคุณเขา จากนั้นนางก็เดินเข้ามาอีกนิดหน่อยและกล่าวกับเขาว่า “อ งค์หญิงของเราบอกว่านางกับองค์ชายหยูจะจดจําความเมตตาของใต้เท้าซูที่ทําหน้าที่ช่วยในครั้งนี้

 

ซูจิงหยวนกล่าวขอบคุณซ้ํา ๆ จากนั้นจึงเดินออกไปส่งฉินหยูด้วยตนเอง

 

เมื่อฉิงหยูกลับไปที่คฤหาสน์ขององค์หญิงมันเป็นเวลาเที่ยงแล้ว เฟิงหยูเฮงกําลังทานอาหารกลางวันเมื่อเห็นนางมาถึง นางกล่าวทันที“เอาตั๋วแลกเงิน 60 ล้านเหรียญเงินใส่ ไว้ในคลังส่วนที่เหลืออีก 20 ล้านจะถูกส่งไปยังร้านห้องโถงสมุนไพรเพื่อมอบให้กับวังหลินเพื่อใช้ในการเปิดสาขาเพิ่มเติม

 

ฉิงหยูยิ้มและกล่าวว่า “คุณหนู คุณหนูมั่นใจได้อย่างไรว่าจะชนะคดีนี้เจ้าคะ ?”

 

เฟิงหยูเฮงยักไหล่ “ถ้ากรณีนี้ไม่สามารถชนะได้ ซูจิงหยวนจะเสียตําแหน่งในฐานะเจ้าเมือง”

 

หวงซวนยังคงหัวเราะเยาะนาง “ฉิงหยู เจ้ายังคงถือกล่องไว้ในมือของเจ้า มีความต้องการที่จะถามว่าคุณหนูรู้หรือไม่ ? ”

 

ฉิงหยูมองดูที่กล่องไม้ในมือของนางแล้วยิ้มอย่างขมขื่น “ข้าสับสนมาก” หลังจากพูดจบนางวางกล่องไว้บนโต๊ะแล้วเปิดฝา “บ่าวรับใช้คนนี้ตรวจสอบแล้วไม่มีอะไรหายไป และมันก็ไม่ได้รับความเสียหายเจ้าค่ะ”

 

หวงซวนเห็นหยกเป็นครั้งแรก นางพูดไม่ออกด้วยความตกใจ แต่นางเป็นบ่าวรับใช้ที่ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ นางไม่ค่อยไวต่อสิ่งเหล่านี้เหมือนกับฉิงหยูนางเพิ่งรู้ว่ามันสวยงามอย่างไรก็ตามนางไม่สามารถมองเห็นว่าทําไมมันจึงมีราคาสูงมาก

 

เฟิงหยูเฮงพยักหน้าและกล่าวว่า “ทิ้งไว้ที่นี่ เดี๋ยวข้าเก็บมันเอง โอ้ใช่เจ้าเห็นเจ้าเมืองหลานโจวหรือไม่ ? ”

 

ฉิงหยูกล่าวว่า “มาเจ้าค่ะ เขาเป็นคนที่มีความเย่อหยิ่ง ในระหว่างการพิจารณาคดีเขา เต็มไปด้วยความโกรธและเขาได้แสดงความไม่พอใจกับคุณหนูเมื่อบ่าวรับใช้คนนี้เห็นว่าหากข้าไม่ได้เอ่ยชื่อองค์ชายเก้าขึ้นมาในตอนท้ายเพื่อข่มขู่เขา เขาก็จะไม่ยอมแพ้เจ้าค่ะ”

 

เฟิงหยูเฮงกล่าวอย่างเย็นชา “ทางใต้กําลังได้รับการสนับสนุนจากองค์ชายแปด แม้แต่เจ้าเมืองที่ต่ําต้อยก็มีความเย่อหยิ่งเช่นนี้ ข้าไม่รู้จริง ๆ ว่าสถานการณ์แบบไหนจะเกิดขึ้นเมื่อองค์ชายแปดกลับมาตอนปีใหม่”

 

ฉิงหยูถามด้วยความกังวลว่า “คุณหนูคิดเรื่ององค์ชายแปดใช่หรือไม่เจ้าคะ ?”

 

เฟิงหยูเฮงถอนหายใจยาวและให้หวงซวนเรียกบ่าวรับใช้มานําจานไปจากนั้นนางก็กล่าวว่า “องค์ชายของเจ้ารู้หรือไม่ว่าพวกเขาส่วนใหญ่ไม่ดีในราชวงศ์ต้าชุนปัจจุบันนอกจากองค์ชายใหญ่ซึ่งทุ่มเทอย่างเต็มที่ในการทําธุรกิจ และองค์ชายรองที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเมืองซึ่งหนึ่งในนั้น ทําให้ข้ารู้สึกสบายใจ ? แม้แต่องค์ชายห้าที่ไม่น่าเชื่อถือก็ไม่มีผู้ใดรู้ว่าใจเขาคิดอย่างไร องค์ชายแปดได้จัดตั้งกําลังของเขาในภาคใต้เป็นเวลาหลายปีเขาได้ก่อตั้งกองทัพที่มั่นคงและเขาได้จัดตั้งอาณาจักรเล็ก ๆ ขึ้น แม้ว่าราชวงศ์ต้าชุนจะยังคงจัดการอยู่แต่เจ้าก็รู้ว่าคนในภาคใต้มีบุคลิก ที่ดื้อรั้น เป็นเรื่องง่ายที่จะปกครองพวกเขาด้วยการบังคับเหมือนองค์ชายแปดแต่การที่พวกเขา เชื่อฟังราชสํานักของราชวงศ์ต้าชุนซึ่งอยู่ไกลก็ยากเกินไป”

 

หวงซวนขมวดคิ้วเมื่อได้ยินสิ่งนี้ “คุณหนูกําลังพูดว่าองค์ชายแปดต้องการใช้กําลังในภาคใต้เพื่อก่อกบฏหรือเจ้าคะ”

 

ฉิงหยูปิดปากของหวงซวน “สิ่งนี้ไม่ควรพูดมั่วชั่วออกมา !”

 

อย่างไรก็ตามเฟิงหยูเฮงโบกมือให้นางแล้ว “มันไม่เป็นไร เรากําลังพูดถึง มันจะดีกว่าถ้าไม่มีใครได้ยินมัน แต่ถึงแม้ว่าคนที่มีแรงจูงใจซ่อนเร้นได้ยินและแพร่กระจาย มันก็แค่ทําหน้าที่เป็นเครื่องเตือนใจให้ผู้คนที่อยู่ห่างไกลในภาคใต้ จากการที่องค์ชายเก้าได้เรียกเจ้าหน้าที่จํานวนมากจากนอกเมืองหลวงมาเพื่อจัดงานเทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วงนี้เพื่อดูปฏิกิริยาจากแต่ละมณฑล ไม่ว่าจะเกี่ยวกับทางใต้หรือเฉียนโจว มันจะขึ้นอยู่กับทัศนคติของเจ้าหน้าที่สิ่งสําคัญที่ สุดคือเราต้องเลือกคนที่มีแรงจูงใจซ่อนเร้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าหน้าที่จากภาคใต้เราจําเป็นต้อง มีความเข้าใจ”

 

พวกเขาทั้งสองเข้าใจในสิ่งที่เฟิงหยูเฮงหมายถึง ในขณะที่ไม่มีใครส่งเสียง สถานการณ์ในราชสํานักมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ไม่มีใครสามารถบอกได้อย่างชัดเจนว่าพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น สําหรับบ่าวรับใช้อย่างพวกนาง พวกนางแค่ต้องกังวลเกี่ยวกับความเป็นอยู่ที่ดีของเจ้านายของพวกนาง พวกนางไม่แน่ใจเกี่ยวกับการคุกคามเพียงเล็กน้อย หลังจากคิดบางอย่างพวกเขายังคงกังวล

 

แต่เฟิงหยูเฮงไม่กังวลในเรื่องเล็กน้อยและผ่านพ้นปัญหาไปอย่างรวดเร็ว เมื่อนางกล่าวอีกครั้งนางหัวเราะขณะกล่าวว่า “เจ้าเมืองหลานโจวนั้นร่ํารวยจริง ๆ ! 80 ล้านเหรียญเงิน เขาสามารถน้ํามันออกมาได้ด้วยคําพูดเพียงไม่กี่คํา ด้วยสิ่งนี้ดูเหมือนว่าเขาได้วางแผนบางอย่างสําหรับการเดินทางมาเมืองหลวงนี้ ข้าชอบที่จะอยู่กับคนร่ํารวยเสมอ ในเมื่อเขามอบเงินให้เราเราจะส่งของกํานัลให้เขา”

 

หวงซวนรู้สึกงงงวย “คุณหนูหมายถึง…”

 

“องค์ชายรองรับผิดชอบการสืบสวนการทุจริตของเจ้าหน้าที่อยู่เสมอ ข้าเห็นว่าพระองค์ไม่มีงานทําเมื่อเร็ว ๆ นี้ ในระหว่างงานแต่งงานของตระกูลเหยา, เฟยหยูกําลังพูดถึงองค์ชายรองเตรียมที่จะพาเขาเดินทางไปที่เจียงหนานหลังจากงานเลี้ยงฉลองเทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วงเราจะไม่ ให้พระองค์ทํางานได้อย่างไร ให้พระองค์ตรวจสอบ” เจ้าเมืองที่ต่ําต้อยอาจมีความมั่งคั่งจํานวนมาก และน้ํามันมาสู่เมืองหลวงได้อย่างไร มีไว้เพื่ออะไร

 

ทุกคนรู้ว่าไม่มีความเป็นไปได้ที่ดีหลังจากทําผิดกฎหมาย แต่ฮูหยินใหญ่จีซึ่งมาจากทางใต้ที่ห่างไกลไม่ได้ใส่ใจ แม้แต่องค์ชายแปดก็ได้เตือนพวกเขาล่วงหน้าพวกเขายังคงไปกับสายลมเมื่อจีหลิงเทียนตระหนักถึงความผิดพลาดร้ายแรงของเขามันสายเกินไปที่จะกลับใจ

 

แน่นอนว่านี่จะเป็นเรื่องเล่าในภายหลัง ในปัจจุบันเหลือเวลาอีกไม่กี่วันในการจัดงานเทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วง ไม่มีการเร่งรีบที่จะบอกองค์ชายรองให้ตรวจสอบจีหลิงเทียนเฟิงหยูเฮงวาง แผนที่จะพูดคุยกับเขาเป็นการส่วนตัวระหว่างงานเลี้ยง มีอีกเรื่องที่นางจําได้ ดังนั้นนางจึงแจ้งฉิงหยู “เมื่อเจ้าไปส่งเงินไปที่ร้านห้องโถงสมุนไพรบอกท่านปูว่าข้าอยากพบท่านปู แค่บอกท่านปูว่ามีบางอย่างที่ข้าต้องการความช่วยเหลือจากท่านปู”

 

ฉิงหยูปฏิบัติตามและออกไปทันที

 

เหยาเซียนมาถึงคฤหาสน์ขององค์หญิงในตอนบ่าย เฟิงหยูเฮงบอกเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้กับพระชายาหยุน เหยาเซียนดูเหมือนจะไม่ปฏิเสธเพียงแค่กล่าวว่า “ข้ารู้สึกว่าไม่มีอะไรมาก ข้าอาจจะไปพบนางและดูว่าความสัมพันธ์แบบไหนที่เรามีให้กัน”

 

เชิงหยูเฮงถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเขาเห็นด้วย จากนั้นนางก็กล่าวว่า “เช่นนั้นเราจะไปในวันงานเทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วง เราทั้งคู่ต้องเข้าไปในพระราชวัง และมันจะช่วยให้เรามีโอกาสพิเศษ”

 

ทั้งสองตัดสินในเรื่องนี้แล้วไปหาเปยฟูหรง นับตั้งแต่เปยฟูหรงไอเป็นเลือด อาการของนางเริ่มดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ในปัจจุบันนางจะสามารถมีสติได้ไม่กี่ชั่วยามต่อวัน เหยาเซียนเปลี่ยนยาและบอกกับเฟิงหยูเฮง “นางจะหายภายในสามเดือน เมื่อปีใหม่มาถึง นางจะสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระโดยไม่มีปัญหา”

 

จากนั้นเฟิงหยูเฮงก็สงบลง

 

ด้วยกรณีของหยกที่สวยงามซึ่งใช้เวลาสองวันในวันที่เจ้าเมืองได้แก้ไขเรื่องนี้ มันกลายเป็นเรื่องราวที่ทุกคนในโรงน้ําชาและโรงเตี้ยมพูดคุยกันได้ นอกจากนี้ยังมีนักเล่าเรื่องที่เล่าเรื่องนี้ให้กับ คนที่ทานอาหารหรือดื่มน้ําชาที่โรงน้ําชาเหล่านี้คนที่ฟังจะปรบมือให้เรื่องราวเหล่านี้

 

เฟิงหยูเองไม่เคยให้ความสนใจกับสิ่งเหล่านี้ หากผู้คนต้องการกระจายสิ่งเหล่านี้พวกเขาสามารถทําได้ นางไม่สนใจ นอกจากนี้ยังมีเรื่องที่ทําให้นางปวดหัวอย่างมาก

 

ตอนที่ 678 นี่คือข้อตกลง

 

ไม่ว่าพวกเขาจะกลัวหรือไม่นั้นเป็นสิ่งที่เฟิงหยูเฮงไม่สนใจ นับตั้งแต่นางมาที่ราชวงศ์ต้าชุนวันเวลาของนางก็ไม่เคยสงบสุขทั้งลมและคลื่น เป็นไปได้ไหมที่นางจะกลัวเจ้าเมืองหลานโจว ? นางจะกลัวองค์ชายแปดหรือ ? นางจัดการกับศัตรูทีละคน นางรู้ว่ายิ่งมีสิ่งอื่นเข้ามามากเท่าไหร่ นางก็จะยิ่งเป็นเหมือนเจ้านายมากขึ้นเท่านั้น ไม่มีประเด็นที่จะกลัว นางทําได้แคฝึกฝนตัวเอ งต่อไปเรื่อย ๆ หลังจากรีบเร่ง นางจะเป็นอิสระอย่างสมบูรณ์

 

เจียงชื่อถูกซูจิงหยวนจับตัวไปและไม่กลับมาตลอดทั้งคืน ในวันต่อมาเช่นเดียวกับจีหลิงเทีย นตัดสินใจที่จะตามหาเฟิงหยูเฮงและคิดหาวิธีที่จะตกลงเรื่องนี้เป็นการส่วนตัวก่อนถึงเทศ กาลกลางฤดูใบไม้ร่วง ข่าวมาจากทางการ กรณีของเจียงชื่อที่นําหยกขององค์หญิงไปจะนําขึ้นมา พิจารณาในวันนี้ จีหลิงเทียนได้รับเชิญให้เข้าร่วม

 

จีหลิงเทียนไม่มีทางเลือกนอกจากเปลี่ยนวิถีชีวิตของเขาในจุดนั้นโดยมุ่งหน้าไปยังสํานัก งานของทางการก่อน เขากําลังคิดในตอนแรกว่าตั้งแต่เขาถูกเรียกตัวให้ไปร่วมงาน อ งค์หญิงก็เป็นหนึ่งในแขกรับเชิญการประชุมที่ใดก็ได้ยังคงประชุม มันจะดีกว่าถ้าไปที่สํานักงานของทางการ ยิ่งไปกว่านั้นคดีของฮูหยินจะถูกพิจารณาในศาลถ้าเขาไม่ไปดูเขาจะรู้สึกไม่สบายใจ

 

ใครจะรู้ว่าหลังจากมาถึงสํานักงานของทางการ เขาไม่ได้พบเฟิงหยูเฮงนอกจากเจียงซื่อและจีเชียงแล้วยังมีคนสําคัญอีกคนหนึ่งเห็นได้ชัดว่าบุคคลที่ดูแลศาลานิพพาน ฉิงหยู

 

จีหลิงเทียนกัดฟันแน่นและได้แต่ถามซูจิงหยวนว่า “ใต้เท้าชูสิ่งนี้หมายความเช่นไร ? เนื่องจากเจ้าหน้าที่ผู้นี้ถูกเรียกมาที่นี่ทําไมข้าไม่เห็นองค์หญิงที่นี่ ?”

 

ซูจิงหยวนงงงวย “ทําไมองค์หญิงต้องมาที่นี่ด้วย ?”

 

“หืม ! ” จีหลิงเทียนกล่าวด้วยน้ําเสียงเย็นชาว่า “แม้แต่เจ้าหน้าที่ผู้นี้ก็ต้องมาเหตุใดนางจึงไม่ต้องมา ?”

 

ซูจิงหยวนเข้าใจว่า “ดูเหมือนว่าใต้เท้าขี่กําลังเปรียบเทียบตัวเองกับองค์หญิงข้าจะแจกแจง ให้ท่านฟัง เจ้าเมืองในราชวงศ์ต้าชุนเริ่มต้นจากขุนนางขั้นห้าแต่เนื่องจากเป็นเขตปกครองในชายแดนภาคใต้และด้วยเมืองหลานโจวเป็นดินแดนขนาดใหญ่และมีสภาพแวดล้อมที่ไม่ซ้ํากันเจ้าเมืองของเขตปกครองหลานโจว อาจเป็นขุนนางขั้นสาม แต่จะได้รับการปฏิบัติในระดับเดียวกับขุนนางขั้นสองใต้เท้าจีข้าพูดถูกต้องหรือไม่ ?”

 

จีหลิงเทียนลุกขึ้นนั่งตรง ๆ เห็นได้ชัดว่าเขาพอใจมากกับคําอธิบายนี้พยักหน้าและพูดว่า “ถูกต้อง”

 

“ถ้าอย่างนั้นข้าก็ไม่เข้าใจ ! ” ซูจิงหยวนกล่าวเสียงดัง “ขุนนางขั้นสองช่างกล้าตีตนเสมออ งค์หญิงงั้นหรือ ? ใต้เท้าจี ท่านสับสนเนื่องจากความโกรธเพราะการลักขโมยของฮูหยินหรือไม่ ? นั้นคือองค์หญิงไม่ใช่ขุนนางของราชสํานักนางเป็นสมาชิกของราชวงศ์ ! ” เจ้ากิน มากเกินไปและไม่มีอะไรดีไปกว่านี้แล้วหรือ ? เขาหยุดตนเองจากการพูดสุดท้าย หากสิ่งนี้ไม่ ได้เกิดขึ้นในศาลซูจิงหยวนจะดูถูกเขาอย่างแน่นอนกับการล่วงเกินที่ไม่เหมาะสม เขายังเป็นเจ้าเมืองของเมืองหลวงด้วย เขาไม่ได้ต่ําต้อยไปกว่าจีหลิงเทียน

 

แม้ว่าในกรณีนี้ ใบหน้าของจีหลิงเทียนเปลี่ยนเป็นสีแดงและสีขาวจากที่พูดหลังจากได้ยินผู้ช มต่างหัวเราะกันเขารู้สึกว่าเขาไม่สามารถเข้าร่วมการพิจารณาคดีนี้ได้อีกต่อไป เมื่อคิดถึง เขาจะเขย่าโลกในหลานโจวได้อย่างไรในตอนนี้เขาต้องทนรับความอับอายในขณะที่อยู่ในเมืองหลวง

 

แต่ไม่ว่าเขาจะฟังหรือไม่ก็ไม่ก็ขึ้นอยู่กับเขา ซูจิงหยวนทุบค้อนบนโต๊ะและตะโกนเสียงดัง “ทุกคนในศาลคุกเข่า !”

 

การเบิกความได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว !

 

เจียงชื่อและจีเชียงถูกขังคุกหนึ่งคืน พวกนางลืมท่าทางหยิ่งผยองจนเกือบหมดสิ้น เมื่อพวก นางเห็นว่าที่พึ่งของนางถูกทําให้อับอายไม่มีอะไรเหลืออยู่ในใจนอกจากความกลัว พวกเขาตอ บทุกอย่างที่ชูจิงหยวนถามในขณะที่ตัวสั่น พวกนางสามารถให้คําอธิบายที่ชัดเจน แต่เมื่อซูจิงหยวนได้ถามเกี่ยวกับส่วนที่สําคัญที่สุดของคดี เจียงชื่อที่มีชีวิตชีวาและตอบเสียงดัง “ไม่ ได้เป็นอย่างที่เจ้าพูด ! องค์หญิงจีอันไม่ได้สูญเสียหยกที่สวยงาม หยกนั้นถูกขายให้กับข้าในราคา 80 ล้านเหรียญเงิน !”

 

และซูจิงหยวนกําลังรอนางบอกแบบนี้ “แล้วฮูหยินได้มอบเงิน 80 ล้านเหรียญเงินหรือไม่ ?” 

 

เจียงซื่อส่ายหน้า “ตอนนั้นมีเงินไม่พอ นางบอกข้าว่าสามารถนําหยกกลับมาก่อนและจ่าย เงินเมื่อข้าได้เงินครบ”

 

ฉิงหยูผู้ซึ่งมาเพื่อการพิจารณาคดีปล่อย “ฟู” และหัวเราะ “ใต้เท้าซูทุกคนในเมืองหลวง คุ้นเคยกับองค์หญิงจีอันนางเคยมีส่วนร่วมในการทําการค้าแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ?”

 

ซูจิงหยวนส่ายหน้า “นั่นจะเป็นไปได้อย่างไร ไม่ต้องพูดถึงหยกอันสวยงามสักชิ้นถึงแม้ว่ามันจะเป็นผ้าเช็ดหน้าองค์หญิงก็ไม่เคยอนุญาตให้ใครนํามันกลับไปก่อนแล้วค่อยจ่ายเงินในภาย หลัง”

 

คนที่ส่งมาจากคฤหาสน์ขององค์หญิงเพื่อเข้าร่วมศาลเอามือตบหน้าผากองค์หญิงเป็นคนต ระหนี่ขนาดนี้จริงหรือ ?

 

แต่ซูจิงหยวนยังกล่าวต่อ “แต่เมื่อพูดถึงการขายหยกจํานวน 80 ล้านเหรียญเงินข้าต้องถามท่านฮูหยินท่านรู้จักหยกนี้หรือไม่ ?”

 

เจียงซื่อพยักหน้าซ้ํา ๆ “ข้ารู้”

 

ซูจิงหยวนยกมือขึ้นแล้วตะโกนเสียงดัง “พาตัวช่างฝีมือเปยมา”

 

เจ้าหน้าที่ศาลบางคนพาช่างออกมาจากห้องโถงด้านข้างอย่างรวดเร็วเมื่อจีหลิงเทียนเห็นช่าง ฝีมือเปยมา เขาอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วในฐานะช่างฝีมือที่ดีที่สุดย่อมรู้จักหยกดีที่สุดซูจิงหยวนผู้นี้ได้เรียกเขามาตรวจสอบหยก

 

เช่นเดียวกับที่เขาคิดสิ่งนี้ ช่างฝีมือเปยเริ่มมองกล่องหยกแล้วสิ่งนี้ยังคงดําเนินต่อไปเป็นระ ยะเวลาครึ่งถ้วยชาก่อนที่เขาจะหยุดมองเขาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจซ้ํา ๆ “มันเป็นหยกชิ้นพิเศษ มันหายากมากและเป็นสมบัติที่มีค่า”

 

คําพูดเหล่านี้มาจากปากของช่างฝีมือเปย และรับประกันได้ว่าหยกมีคุณภาพดีเยี่ยม

 

ชูจิงหยวนจึงถามเจียงซื่อ “ท่านฮูหยินเห็นด้วยกับการประเมินของช่างฝีมือเปยหรือไม่ ? ”

 

ในเรื่องนี้เจียงชื่อไม่ได้มีข้อคัดค้านใด ๆ ดังนั้นนางก็พยักหน้า “ใช่”

 

“เมื่อเห็น ท่านฮูหยินคิดว่าหยกกล่องนี้มีมูลค่าเท่าไหร่ ? ” ซูจิงหยวนถามเจียงซื่อ “มันมาก กว่า 80 ล้านเหรียญเงิน”

 

ในเรื่องที่เกี่ยวกับหยกซึ่งเจียงชื่อชอบมากที่สุด ในใจของนางนางเคยคิดเรื่องราคามาครั้งหนึ่ง แล้ว เมื่อได้ยินซูจิงหยวนถามเกี่ยวกับเรื่องนี้นางกล่าวทันที “หากข้ามองไม่พลาด ข้ารู้ว่าหยกชิ้น นี้เป็นชิ้นที่มีคุณภาพสูงสุดเงิน 80 ล้านเหรียญเงินฟังดูไม่ค่อยดี แต่ถ้าเทียบกับหยกชิ้นนี้ มันก็น้อยเกินไปจริง ๆ”

 

ซูจิงหยวนไม่ได้พูดอะไรมากนัก เขาเพียงแต่มองไปที่ช่างฝีมือเปยช่างฝีมือเปยคิดไต ร่ตรองเล็กน้อย และให้ราคาที่เป็นกลางมาก“เงิน 80 ล้านเหรียญทองถึงจะสมควรกับมูลค่า ของหยก ! ”

 

คําพูดเหล่านี้ทําให้ทุกคนในศาลพากันสูดหายใจเข้าอย่างแรงคนเหล่านั้นอยู่ด้านนอกศาล พวกเขาชะเง้อคอเพื่อดูชิ้นส่วนของหยกที่มีมูลค่า 80 ล้านเหรียญทอง น่าเสียดายที่หยกอยู่ที่ด้า นหน้าของศาล พวกเขาจะเห็นได้อย่างไร

 

จีหลิงเทียนนั่งอยู่ข้าง ๆ และรู้สึกคึกคักในใจ เขามีลางสังหรณ์ที่ไม่เพียงแต่เป็นกรณีนี้หาย ไปอย่างแน่นอน แต่มันก็จะเป็นการสูญเสียที่น่ากลัว

 

ในที่สุดซูจิงหยวนก็พูดขึ้นมาอีกครั้งถามเจียงชื่อ “ช่างฝีมือเปยเป็นช่างฝีมือดีที่สุดในโลก ท่านเห็นด้วยกับการประเมินเกี่ยวกับราคาหรือไม่ ?”

 

เจียงชื่อถอนหายใจและพยักหน้า “เห็นด้วย”

 

ดังนั้นซูจิงหยวนจึงกล่าวอีกครั้ง “หยกนี้มีมูลค่าถึง 80 ล้านเหรียญทองแต่ท่านฮูหยินบอ กว่าองค์หญิงจีอันต้องการที่จะขายให้กับท่านในราคา 80 ล้านเหรียญเงิน ท่านฮูหยินแน่ใจหรือว่าท่านฮูหยินฟังราคาไม่ผิด ?”

 

เจียงชื่อกล่าวในทันทีว่า “องค์หญิงอาจไม่รู้เรื่องหยก !”

 

เมื่อพูดคําเหล่านี้ฉิงหยูตอบทันที “นั่นไม่เป็นเช่นนั้น ! แม้ว่าองค์หญิงจะไม่รู้ในช่วงเริ่มต้นองค์ชายเก้าเสนอราคา 50 ล้านเหรียญทอง แต่นางไม่สามารถจ่ายได้”

 

เจียงชื่อผงกศีรษะ “ใช่ นั่นคือเหตุผลที่เจ้าลดราคาให้”

 

ผู้คนทั้งในและนอกศาลเริ่มหัวเราะ การที่ลดราคาจาก 80 ล้านเหรียญทองเป็น 80 ล้านเหรียญเงินองค์หญิงเสียสติหรือไม่ ?

 

เจียงชื่อยังรู้สึกว่าเหตุผลนี้ไม่เข้าท่า ในเวลานี้จีเซียงที่คุกเข่าอยู่ข้างนางโดยไม่ได้กล่าวก็กล่าวว่า“นั่นเป็นเพราะพวกเขาค้นพบตัวตนของท่านฮูหยินของข้า ! นั่นเป็นเหตุผลว่าทําไมพวกเขาต้องการประจบพวกเราโดยการจ่ายในราคา 80 ล้านเม็ดเงิน”

 

“อะไรนะ ?” ซูจิงหยวนและฉิงหยูอุทานพร้อมกัน จิงหยวนจึงกล่าวว่า “พูดอีกครั้ง 2 ข้าได้ยินไม่ชัด”

 

จีเชียงกล่าวซ้ํา “ข้าบอกว่าตอนแรกพวกเขาไม่รู้จักตัวตนของท่านฮูหยินของเรานั่นเป็นเหตุผลที่พวกเขาเรียกร้องเงินจํานวนมาก ! หลังจากที่พวกเขาพบว่าท่านฮูหยินของเราเป็นฮูหยินใหญ่ของเจ้าเมืองหลานโจว จึงเริ่มเกิดกลัวและยอมลดราคาให้ ! เมื่อคิดเกี่ยวกับมัน มันก็พอจะปะติดปะต่อได้ !”

 

บูม!

 

ทุกคนในศาลและรอบ ๆ ศาลเริ่มหัวเราะอีกครั้ง !

 

ครั้งนี้แม้แต่จีหลิงเทียนก็ยังไม่สามารถนั่งนิ่ง ๆ ได้ เขาลุกขึ้นยืนเพื่อเตะบ่าวรับใช้แม้กระนั้น เขาก็ถูกเจ้าหน้าที่หยุด

 

ซูจิงหยวนทุบค้อนอีกครั้ง และตะโกนเสียงดัง ๆ “ฟัง !”

 

ต่อไปนี้เจ้าหน้าที่โดยรอบตะโกนพร้อมเพรียง “เงียบ ! “

 

เจียงซื่อสั่นอีกครั้งและได้ยินซูจิงหยวนถามนางว่า “องค์หญิงผู้สง่างามและว่าที่พระชายา เอกขององค์ชายหยู,องค์ชายเก้ากําลังบอกว่านางจะกลัวตัวตนที่ต่ําต้อยของเจ้าเมืองหลานโจว และเพื่อสร้างความสัมพันธ์บางอย่าง นางจึงลดราคาหยกกล่องนี้ลง ? ” หลังจากพูดอย่างนี้ เขาหันไปหาจีหลิงเทียนและกล่าวว่า “ใต้เท้าจีท่านคิดอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้”

 

จีหลิงเทียนหลับตาลงเล็กน้อย และความโกรธในใจของเขาก็ยิ่งลุกโชน ! บ้าไปแล้ว ! แน่ นอนว่าเขาจะบีบคอบ่าวรับใช้คนนี้ให้ตายเมื่อเขากลับไป นางไม่สามารถทําสิ่งใดได้อย่างแท้จ ริงและมีแนวโน้มที่จะทําลายทุกอย่าง

 

เขาสงบลงแล้วตอบว่า “นางเป็นแค่บ่าวรับใช้และไม่เข้าใจสิ่งต่าง ๆ ใต้เท้าซูไม่ควรสนใจสิ่งที่ นางพูดองค์หญิงจีอันเป็นเชื้อพระวงศ์โดยปกติแล้วนางจะดูถูกเจ้าหน้าที่ผู้ต่ําต้อยคนนี้ นางจะหวาดกลัวได้อย่างไร”

 

เจียงชื่อกําลังจะร้องไห้ขณะที่นางจ้องมองจีเซียงด้วยความโกรธ จีเซียงก็รู้ว่านางพูดผิด นางคุกเข่าไม่กล้าส่งเสียง ในตอนแรกนางไม่ได้คิดอย่างนี้ แต่นางก็คุ้นเคยกับการโต้กลับอย่างรวดเร็วและนางก็คุ้นเคยกับการอยู่ในภาคใต้ที่ไม่มีใครกล้าต่อต้านพวกเขาดังนั้นคําพูดเหล่านั้นก็ทะลักออกมา มันสายเกินไปแล้วที่จะเสียใจ

 

ซูจิงหยวนกล่าวอีกครั้ง “เจียงซื่อ เรื่องที่ท่านขโมยหยกขององค์หญิง ท่านยอมรับควา มผิดหรือไม่ ? ”

 

เจียงชื่อรู้สึกว่านางได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม หากนางยอมรับมัน นางจะรู้สึกผิดเพราะนางไม่ได้ขโมยจริง ๆ หากนางไม่ยอมรับมันก็จะมีการพิจารณาคดีทั้งหมดและเปิดเผยความจริงทั้งหมด นางไม่มีเหตุผลใดที่จะยืนหยัด ในขณะนี้นางเข้าใจว่าเหตุผลที่หญิงสาวไม่อนุญาตให้นางจ่ายเงินมัดจํา มันเป็นเพราะแบบนี้ หากมีการตําหนิใด ๆ ที่จะได้รับ จะเป็นไปได้ว่าไม่มีใครใน ภาคใต้ที่กล้าที่จะต่อต้านพวกเขา เมื่อพวกเขามาถึงเมืองหลวงพวกเขาไม่คุ้นเคยที่จะด้อย กว่าคนอื่น เมื่อนึกถึงตอนนี้ข่าวลือเรื่ององค์หญิงจี้อันนั้นชอบแก้แค้นแล้วไม่ผิดจากข่าวลือเลยแม้ แต่น้อย

 

เจียงชื่อไม่ได้พูด จีหลิงเทียนเป็นคนกล่าวขึ้นมา “ยอมรับเช่นกัน ท่านเสนอมาเถิดว่าเรื่องนี้ควรแก้ไขอย่างไร ?”

 

ซูจิงหยวนมองไปที่ลิ้งหยู “ก่อนที่จะมาที่นี่ ฉิงหยูได้รับคําสั่งจากองค์หญิงจีอัน การจัดงานฉลองเทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วงกําลังจะมาถึง มันจะเป็นการดีที่สุดถ้าเรื่องนี้ไม่ ได้ไปไกลเกินไปเพื่อเห็นแก่หน้าเจ้าเมืองหลานโจวที่มาถึงเมืองหลวง มันจะดีที่สุดถ้ามันถูกตกลงกันในศาล”

 

จีหลิงเทียนพยักหน้า “ขอบคุณองค์หญิงที่เข้าพระทัย”

 

ซูจิงหยวนกล่าวต่อ “ถ้าอย่างนั้นฉิงหยูโปรดพูด ควรจะตกลงกันอย่างไร !”

 

ฉิงหยูยิ้มและมองไปที่จีหลิงเทียน “องค์หญิงกล่าวว่าการตกลงกันในศาลเป็นการจ่าย เงินสักหน่อยนางจะปฏิบัติต่อสิ่งนี้เหมือนกันเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น”

 

“ได้” จีหลิงเทียนยอมรับสิ่งนี้ “ถ้าอย่างนั้นองค์หญิงต้องการอะไร ? ”

 

ฉิงหยูยิ้มอย่างชั่วร้ายยิ่งขึ้น “มันไม่มาก เงินแค่ 80 ล้านเหรียญเงิน !”

 

ตอนที่ 677 กับดักหยกที่สวยงาม

 

คืนนั้นข่าวที่น่าตกใจเริ่มแพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวงมีการกล่าวกันว่ากล่องหยกขององค์หญิงหาย หยกชิ้นนั้นไร้ที่ติและเพิ่งถูกนําออกมาจากเหมืองมันเป็นหยกที่สามารถหาพบได้ในรอบพันปี

 

ข่าวแพร่กระจายอย่างรวดเร็วในหมู่ประชาชน เมื่อมาถึงโรงเตี้ยมมันกลายเป็นประเด็นที่พูด ถึงกันมากที่สุดในตอนกลางคืน

 

ใครกล้าที่จะขโมยหยกขององค์หญิงจีอัน ? และมีบางสิ่งที่มีค่ามากขนาดนั้น?พวกเขาไม่อยากมีหัวของพวกเขาต่อแล้วหรือ ?

 

ในที่สุดคําร่ําลือไปถึงหูเจ้าเมืองซูจิงหยวน เขาไม่กล้าถ่วงเวลาเขารีบไปที่คฤหาสน์ของอ งค์หญิงเพื่อขอข้อมูล เมื่อเขาได้รับการยืนยันว่ากล่องหยกของหยูเฮงหายเขาเข้าใจว่ามันถูกขโมย A ที่ศาลานิพพานโดยผู้ที่เรียกตัวเองว่าเป็นฮูหยินใหญ่ของเจ้าเมืองหลานโจวนอกจากนี้เขายัง เข้าใจว่านี่อาจเป็นกับดักที่เฟิงหยูเฮงวางไว้ แต่การวางกับดักทําได้ดีแต่เดิมเขาเป็นคนภายใต้คํา สั่งขององค์ชายเจ็ด หลังจากดํารงตําแหน่งเจ้าเมืองนอกจากจะทําให้เกิดสันติภาพและความปลอดภัยให้กับพลเมืองแล้วเขายังต้องร่วมมือกับองค์หญิงจีอันในหลายเรื่อง

 

ดังนั้นซูจิงหยวนพยักหน้าและไปจัดการคดีโดยไม่พูดอะไรอีก

 

หวงซวนไม่ได้อยู่กับเฟิงหยูเฮงในระหว่างวัน ตอนนี้เมื่อนางได้ยินสิ่งนี้นางปาดเหงื่อ “คุณหนูจะเกิดอะไรขึ้นเจ้าคะ ? ถ้าฮูหยินใหญ่ของเจ้าเมืองหลานโจวไม่ส่งคืนหยกหรือถ้าหยกถูกทําลายละเจ้าคะ ?”

 

เฟิงหยูเฮงกล่าวอย่างระมัดระวัง “ไม่ต้องกังวล นางไม่กล้าทําแน่นอน”

 

คําพูดของนางทําให้หวงซวนรู้สึกสบายใจทันที

 

ในเวลานี้ข่าวใหญ่ดังกล่าวก็มาถึงโรงเตี้ยมที่สถานีพักม้าด้วย เนื่องจากเทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วงกําลังใกล้เข้ามาและชัยชนะจากการโจมตีเฉียนโจวพระราชวังของฮ่องเต้จึงวางแผนจัดงานเลี้ ยงครั้งยิ่งใหญ่เจ้าหน้าที่จํานวนมากจากนอกมณฑลเดินทางมาถึงเมืองหลวง ที่ทําการได้รับการ เติมเต็มในเวลาอันรวดเร็วด้วยเหตุนี้พวกเขาอาศัยอยู่ในสถานที่เดียวกันโดยไม่คํานึงถึงตําแหน่ง รอเทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วงที่จะมาถึง

 

เรื่องขององค์หญิงที่สูญเสียหยกชิ้นงามได้แพร่กระจายไปยังโรงเตี้ยมที่สถานีพักม้าที่ทําการผู้คนที่ได้ยินก็เริ่มคาดเดาได้ว่าคน ๆ นั้นจะขโมยหยกชิ้นหนึ่งจากใต้จมูกขององค์หญิงจีอัน ได้อย่างไรและพวกเขาเป็นคนแบบไหน อย่างไรก็ตามใครจะรู้ว่าณ ชั้นสามของที่ทําการนี้ ฮูห ยินใหญ่ของเจ้าเมืองหลานโจว,เจียงซื่อกําลังมองหยกขาว แม้แต่จีเซียงบ่าวรับใช้ของนางก็มาและไปหลายครั้งโดยไม่สังเกตเห็นนาง เมื่อจีเซียงเดินไปหานางและเปล่งเสียงของนางออกมานางก็พูดด้วยความโกรธว่า “เจ้าทําอะไร ? เจ้าไม่รู้หรือว่าหยกนั้นบอบบางที่สุด ? การกระทําของเจ้าจะรบกวนหยกหากหัวใจของหยกวุ่นวายรูปร่างของหยกก็จะเปลี่ยนไปด้วย”

 

จีเชียงจะเข้าใจสิ่งที่ลึกซึ้งเช่นนี้ได้อย่างไร นางรู้สึกตื่นตระหนกโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนาง มองกล่องหยกนี้ นางกระทืบเท้าของนางด้วยความไม่พอใจ “ท่านฮูหยินเรามีปัญหาแล้วเจ้าค่ะ”

 

“หืม ? ” เจียงชื่อไม่เข้าใจ “เกิดปัญหาขึ้น ? มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น ?”

 

“คือกล่องหยกนี้เจ้าค่ะ” จีเซียงชี้ไปที่สิ่งที่อยู่บนโต๊ะแล้วกล่าวว่า “นับตั้งแต่ท่านฮูหยินกลับ มา ท่านฮูหยินเอาแต่เฝ้าดูสิ่งนี้โดยไม่ออกไปข้างนอกท่านฮูหยินจึงไม่ได้ยินข่าว มีข่า วแพร่หลายออกมาว่าองค์หญิงจีอันทําหยกที่งดงามหายรูปร่างหน้าตาเหมือนกับหยกในกล่องนั่นเจ้าค่ะ !”

 

เจียงชีขมวดคิ้วเมื่อได้ยินสิ่งนี้ “องค์หญิงจีอัน ? นางมาเกี่ยวข้องอะไรกับหยกที่ข้าซื้อ ?”

 

จีเซียงเป็นห่วงมากจนไม่มีอะไรที่นางจะทําได้ นางทําได้แค่เตือนเจียงซื่อ “ท่านฮูหยินซื้อ มาหรือเจ้าคะ ? ท่านฮูหยินจ่ายเงินแล้วหรือ ? ในความเป็นจริงท่านฮูหยินไม่ได้จ่ายเงิน ! ท่านฮูหยินได้หยกนี้มาอย่างไรเจ้าคะ ?”

 

“แต่…” เจียงชื่อเริ่มเข้าใจทันที แต่นางอดไม่ได้ที่จะถาม “แต่วันนี้ข้าไม่เห็นองค์หญิง ! แม้ว่าหยกนี้จะเป็นของนาง มันก็ถูกขโมยโดยคนอื่นก่อนแล้วขายให้ข้า”

 

“ฮาๆ ท่านฮูหยิน ! ” จีเซียงกระทืบเท้านาง “ท่านฮูหยินยังไม่เข้าใจอีกหรือเจ้าคะ ? พวกเราถูกหลอก ! เด็กสาวที่ขายหยกคือองค์หญิง ! บ่าวรับใช้นี้เพิ่งไปสอบถามศาลานิพพานนั้นเป็นร้าน ค้าขององค์หญิงนางเป็นเจ้าของ มีโอกาสมากที่นางจะไปปรากฏที่นั่นเจ้าค่ะ !”

 

เจียงซื้อถอนหายใจอย่างหนัก แต่นางก็ยังไม่เชื่อว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นได้ นางถามจีเซียง “แต่ไม่มีความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างองค์หญิงและข้าทําไมนางต้องพยายามทําร้ายข้า ?”

 

จีเซียงก้มศีรษะลงและไม่ขยับเป็นเวลานาน เช่นเดียวกับเจียงชื่อที่กําลังจะสอบถามเพิ่ม บ่า วรับใช้ที่อยู่ด้านหน้าของนางก็คุกเข่าลงบนพื้นทันที “ท่านฮูหยินโปรดยกโทษให้ข้าด้วยเจ้าค่ะ เมื่อคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มันต้องเป็นเพราะพฤติกรรมของบ่าวรับใช้ผู้นี้ที่ทําให้องค์หญิงโกรธเจ้าค่ะ”

 

คําพูดเหล่านี้ดึงความคิดของเจียงชื่อกลับไปสู่ฉากในร้านขายเครื่องประดับคงจะดีกว่านี้ถ้า นางไม่คิดย้อนกลับไป เมื่อนางเริ่มคิดมันทําให้นางรู้สึกตกใจแต่แน่นอนพวกเขาไม่เคยปฏิบัติต่อ อีกฝ่ายอย่างเท่าเทียมกันตั้งแต่เริ่มต้นนอกจากนี้ในช่วงเวลานี้พวกเขาพูดอย่างไม่สุภาพเมื่อคิด ถึงตอนนี้ มันเป็นไปได้ที่พวกเขาจะวางกับดัก

 

เจียงชื่อเป็นกังวลเล็กน้อย “ถ้าอย่างนั้นเราจะทําอย่างไรดี จีเซียงลุกขึ้นคุกเข่าไม่ช่วยอะไร คิดเร็วว่าควรแก้ไขปัญหานี้อย่างไร ตอนนี้เรารีบส่งตั๋วแลกเงินไปก่อน”

 

จีเชียงกล่าวอย่างไร้ประโยชน์ “แต่ท่านใต้เท้ายังไม่กลับมาเลยเจ้าค่ะท่านฮูหยินจะเอาเงิน 80 ล้านเหรียญเงินมาจากที่ไหนเจ้าคะ ?”

 

เจียงชื่อได้ยินเรื่องนี้และห่อเหี่ยว นางไม่มีเงินเพียงพอและสิ่งของอยู่ในมือของนาง พวกเขาต้องการทําอะไรกันแน่ ?

 

“องค์หญิงจีอันเป็นคนหนึ่งที่มีแซ่อื่นใช่หรือไม่ ? ” นางคิดว่ามีบางสิ่งที่สําคัญ และถามว่า “ในท้ายที่สุดองค์หญิงที่มีแซ่แตกต่างกันนั้นไม่ใช่พวกราชนิกูลเมื่อคิดถึงเรื่องนี้นางไม่มีอํานาจ มากนัก เพียงปล่อยให้พวกเขาทําให้เกิดความยุ่งยากเมื่อสามีกลับมาเรื่องนี้ย่อมได้รับการแก้ไขอ ย่างแน่นอน” เหตุผลที่เจียงชื่อให้ความไว้วางใจสามีของนางอย่างมากก็คือว่าหลานโจวอยู่ที่ชาย แดนทางตอนใต้ของราชวงศ์ต้าชุน แม้ว่าพวกมันจะเป็นเขตการปกครองทั้งหมด เขตการปกครองที่ชายแดนไม่สามารถเปรียบเทียบกับที่อยู่ในกลางอาณาจักร เพื่อรักษาสันติภาพ ราชสํานักจึงปฏิบัติกับเขตการปกครองเหล่านี้ด้วยความกรุณาแม้ว่าเขตการปกครองของหลานโจวไม่สา มารถเปรียบเทียบกับตําแหน่งเสนาบดีแต่ก็ค่อนข้างใกล้เคียง นางสงบสติอารมณ์และบอกจีเซียง “ไม่ต้องกังวล ! ทุกอย่างปกติดี”

 

จีเซียงรู้สึกไร้พลังเล็กน้อย พวกเขาอยู่ที่ชายแดนภาคใต้และอยู่ไกลจากเมืองหลวงมากพวก เขารู้เรื่องนี้น้อยมาก นอกจากนี้พวกเขาไม่ได้ถามคําถามที่เหมาะสมใด ๆ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่รู้ เรื่องในเมืองหลวงมากขึ้นแต่หลังจากที่นางได้ยินเกี่ยวกับข่าว นางได้สอบถามเกี่ยวกับองค์หญิงจีอัน, เฟิงหยูเฮง มันคงจะดีกว่านี้ถ้ายังไม่มีคําตอบ หลังจากสอบถาม บ่าวรับใช้เกือบทรุดลงกับพื้นและเริ่มร้องไห้ด้วยความกลัว ! ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นางก็ไม่เคยคิดเลยว่าจะมีองค์หญิงที่มีแซ่แตกต่างกันไป ยิ่งความหนักใจก็ไม่ได้ว่านางเองแข็งแกร่งชีวิตของนางดีขึ้นกว่าเดิมจริง ๆ แล้ว นางเป็นว่าที่พระชายาของราชาแห่งนรก, องค์ชายเก้า แม้ว่าครอบครัวของพวกเขาจะสามารถคว บคุมพื้นที่เดียวของเขตปกครองหลานโจว พวกเขาไม่สามารถควบคุมโลกทั้งใบได้ บุคคลประเภทนี้ไม่สามารถทําให้ขุ่นเคือง !

 

บ่าวรับใช้นั้นวิตกกังวลมากจนนางเริ่มร้องไห้ ยิ่งนางมองดูที่ความมั่นใจของท่านฮูหยินของ นาง นางรู้สึกกังวลมากขึ้นเท่านั้น นางจึงเล่าสิ่งที่นางถามเกี่ยวกับองค์หญิงในขณะที่ร้องไห้ ในท้า ยที่สุดนางเตือน “ท่านฮูหยินคงจําได้ว่าผู้นําของสามมณฑลทางเหนือของตระกูลตวนถูกทุบตี ใช่หรือไม่เจ้าคะ ? มันเป็นองค์หญิงและองค์ชายเก้าที่นําทหารมาจัดการเจ้าค่ะ!”

 

หัวใจของเจียงซื่อสั่นไหวเมื่อได้ยินสิ่งนี้ ท่านฮูหยินผู้มั่งคั่งที่อาศัยอยู่ในภาคใต้จะรู้เกี่ยวกับ เรื่องเหล่านี้ได้อย่างไร ได้ยินตอนนี้มันฟังดูเหมือนเป็นนิทาน และนางไม่กล้าเชื่อ “มีเด็กผู้หญิง แบบนี้ในโลกจริงหรือ ?”

 

จีเซียงพยักหน้า “นั่นคือสิ่งที่องค์หญิงจีอันเป็น ท่านฮูหยิน เราควรทําอย่างไรเจ้าค่ะ ข้าได้ยิน มาว่าองค์หญิงจีอันเป็นผู้ช่วยผู้บังคับการและจะต้องแก้แค้นให้ได้ คําพูดของนางทําให้นางสูญเสีย หยกอันงดงาม มันชัดเจนว่านางประกาศสงครามกับเรา ! เกิดอะไรขึ้นถ้าท่านใต้เท้ากลับมาใน ภายหลัง”

 

ขณะที่นางกําลังพูด ประตูก็ถูกผลักเปิดด้วย “ปัง” คนสองคนในห้องตกใจและเห็นเจ้า เมืองหลานโจว, จีหลิงเทียนผลักประตูเข้ามาด้วยท่าทางที่มืดมนเขาจ้องตรงไป ที่กล่องหยกขาวบนโต๊ะ

 

เจียงชื่อใช้แขนของนางปิดหยกโดยไม่รู้ตัว เรียกด้วยความกลัว “ท่านพี่ ! “

 

จีหลิงเทียนทําท่าให้บ่าวรับใช้อยู่ข้างหลังเขาปิดประตูเดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เขาบัด เจียงชื่อและมองเข้าไปในกล่องเขาอดไม่ได้ที่จะตบโต๊ะ “ข้าจําได้ว่าเมื่อเช้าเจ้าพูดว่าเจ้าจะไปดู เครื่องประดับหลังจากได้ยินเรื่องนี้ข้ากลัวว่าเจ้าจะไปที่ร้านซึ่งบริหารงานโดยองค์หญิงแต่ใครจะ รู้ว่าเจ้าจะไปที่นั่นจริง ๆ ” เขาชอบฮูหยินใหญ่คนนี้มาก หลังจากทั้งหมดมีความรู้สึกจากความรักในวัยเด็กแม้ตอนนี้มีอนุที่งดงามมากมายในตระกูลของเขา ฮูหยินใหญ่ก็ยังเป็นคนที่เขาให้ความสําคัญมากที่สุด “ฮูหยินของข้าช่างโง่เขลาอะไรเช่นนี้เมื่อเจ้ารู้ว่าศาลานิพพานเป็นร้านขาย เครื่องประดับที่ใหญ่ที่สุดและดีที่สุดในเมืองหลวงทําไมเจ้าถึงไม่ถามเกี่ยวกับเจ้าของ เพื่อให้สา มารถเป็นเจ้าของร้านค้าที่ดีที่สุดในเมืองหลวงได้ จะต้องเป็นคนเช่นไรโดยไม่มีใครหนุนหลัง”

 

เจียงชื่อรู้สึกเศร้าใจมากและน้ําตาก็ปรากฏในดวงตาของนาง “ข้าแค่ซื้อเครื่องประดับมา ข้า จะรู้ได้อย่างไรว่าคนที่ทรงพลังเช่นนี้จะสนับสนุนพวกเขาข้าจะคิดได้อย่างไรว่าองค์หญิงที่สง่างาม จะไม่อยู่ในคฤหาสน์ของนางจริง ๆ แล้วไปกับผู้ชายคนหนึ่ง ? รอสักครู่” นางหยุดและคิดย้อนไปถึงฉากจากวันนั้น และนางอดไม่ได้ที่จะกล่าวว่า “องค์หญิงกล้าที่จะพบปะกับผู้ชายเป็นการส่วนตัวด้วยหรือ ? ”

 

หลิงเทียนรู้สึกงุนงงเมื่อได้ยินอย่างนี้ “การพบปะกับผู้ชายคนหนึ่งคืออะไร ?”

 

จีเชียงจัดการเพื่อตอบสนองในเวลานี้ และอธิบายอย่างรวดเร็วเกี่ยวกับชายที่เฟิงหยูเฮงอยู่ด้วยระหว่างวันพวกเขาคิดในตอนแรกว่าพวกเขาได้รับข้อมูลบางอย่างที่สามารถนํามาใช้รับมือกับเฟิงหยูเฮง หากนางผลักดันพวกเขาไปไกลเกินไป พวกเขาสามารถนํามันขึ้นมาคุกคามนางได้แต่ใครจะรู้ว่าคําเหล่านี้จะทําให้ผิวของหลิงเทียนซีดเผือดในตอนท้ายใบหน้าของเขาซีด

 

เขาถามว่า “เจ้าบอกว่าเจอผู้ชาย ผู้ชายคนนั้นสวมเสื้อคลุมสีม่วงและดูดีใช่หรือไม่ ? ”

 

จีเซียงพยักหน้า “ใช่”

 

หลิงเทียนถอนหายใจนาน “ไม่เป็นไรถ้าเขาดูรูปงาม แต่เจ้ารู้หรือว่าเสื้อคลุมสีม่วงนั้นเป็นตัวแทนของอะไร ?” เมื่อเห็นว่าทั้งสองอยู่ในอาการรุนงงเขากล่าวต่อ “องค์ชายเก้าของราชสํา นักชอบสีม่วงและเขามักจะสวมชุดสีม่วงในช่วงหลายปีที่ผ่านมาสิ่งนี้ไม่เคยเปลี่ยนแปลง เมื่อคิดถึงว่าองค์หญิงผู้นั้นจะได้พบกับใครในที่ส่วนตัวได้อย่างไร ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคนที่อยู่ข้างนางเป็นองค์ชายเก้า”

 

ในขณะที่เขาพูด มีเสียงดังมาจากข้างนอกห้อง มีกลุ่มคนจํานวนมากที่วิ่งเข้าไปในห้องโถง บ่าวรับใช้ส่วนตัวของหลิงเทียนไปที่ประตูเพื่อดูแล้วหันกลับมากล่าวว่า “ท่านใต้เท้า ท่านฮูหยินแย่แล้วขอรับ ทหารของเมืองหลวงมาขอรับ”

 

หลังจากนี้ก็มีการกล่าวว่าทหารของเมืองหลวงขึ้นมาที่ชั้นสามมุ่งตรงไปที่ห้องของพวกเขา

 

ต้องเผชิญกับเจ้าเมืองซึ่งมาหาด้วยตัวเอง เจียงซื่อไม่มีอํานาจที่จะพูดหลิงเทียนไม่สามารถชักช้า การลงมือของซูจิงหยวนเขาทําได้แค่เฝ้าดูว่าภรรยาของเขาและบ่าวรับใช้ถูกจับไปเขาพูดได้เพียงสองสามคํากับซูจิงหยวน “เจ้าหน้าที่คนนี้จะให้คําอธิบายกับองค์หญิงในเรื่องนี้ข้าหวังว่าใต้เท้าซูจะไม่สร้างความลําบากให้กับฮูหยินของข้าโดยพิจารณาจากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา”

 

เจ้าหน้าที่ในเมืองเดินทางมาถึงอย่างรวดเร็วและจากไปอย่างรวดเร็ว ในเวลาเพียงไม่กี่นาที่พนักงานอัยการได้กลับสู่สถานะเดิม

 

หลิงเทียนขมวดคิ้วและนั่งอยู่ในห้อง เขาคิดกลับไปกลับมาเกี่ยวกับวิธีจัดการเรื่องนี้ เขาคิดมา กยิ่งขึ้นเกี่ยวกับสิ่งที่องค์ชายแปดซึ่งอาศัยอยู่ทางภาคใต้เล่าให้เขาฟังถึงเส้นทางของเขาสู่เมืองหลวง เขาจะต้องมีความเป็นอยู่ที่ดีในเมืองหลวงและเขาต้องใส่ใจอย่างใกล้ชิดที่จะไม่ขัดแย้งกับองค์ชายเก้าและชายาของเขาวันที่ดีจะมาถึงและไม่จําเป็นต้องรีบเร่ง น่าเสียดายที่ฮูหยินของเขาทําลายสิ่งต่าง ๆ

 

หลิงเทียนกําหมัดของเขาแน่นและตบโต๊ะ “องค์หญิงจีอัน เจ้ากล้าที่จะวางกับดักแบบนี้กับเจ้าหน้าที่คนนี้เจ้าคิดว่าทุกคนกลัวเจ้าหรือ ?”

 

ตอนที่ 676 แผนการของคฤหาสน์เสนาบดีฝ่ายซ้าย

 

เมื่อบ่าวรับใช้ได้ยินหลู่ปิงพูดถึงองค์หญิงจีอัน นางจําได้ว่าเมื่อนางไปส่งของขวัญให้หลู่เหยา นางเคยได้ยินในภายหลังเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างงานเลี้ยงของตระกูลเหยา นางอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเป็นกังวล “คุณหนู การทําธุรกิจกับองค์หญิงจี่อันไม่ใช่เรื่องง่ายเจ้าค่ะ” นี่เป็นความประทับใจที่นางเกิดขึ้น หลังจากที่ได้พบเฟิงหยูเฮงจากระยะไกล นางเย็นชาดุจน้ําแข็ง และทําให้ผู้คนอยู่ห่างจากตัวนางเอง

 

หลู่ปิงรู้สึกหงุดหงิด และถามว่า “นี่ไม่ดี แล้วความหวังของข้าล่ะ ?” หลู่ปิงเป็นคนที่ไม่ค่อยโกรธ หลังจากใช้เวลาหลายปีในฐานะบุตรที่เกิดจากอนุและมีอาการปวยซับซ้อน นางเรียนรู้ที่จะอดทนอย่างอดทน แม้เมื่อนางต้องรับมือกับการเยาะเย้ยจากเก้อซื่อ, หลู่เหยา และหลู่หยาน นางก็เรียนรู้ที่จะไม่เถียง แม้ว่านางจะมีอาการป่วยซับซ้อน นางก็ไม่สามารถรู้สึกกังวลกับสมาชิกในตระกูล ไม่ว่านางจะดีหรือไม่ดี ครอบครัวในปัจจุบันของนางจะไม่เป็นเสาหลักสุดท้ายของการสนับสนุน แทนที่จะใช้เวลาทั้งหมดของนางในการต่อสู้ มันจะเป็นการดีกว่าที่จะให้ความสนใจกับการคิดถึงอนาคตของนาง

 

“เจียนเอ๋อ ทําไมท่านพ่อยืนกรานที่จะให้ข้าไปร่วมงานเลี้ยงครั้งนี้? หากอาการป่วยของข้าไม่หายขาด ท่านพ่อจะเต็มใจพาข้าไปได้อย่างไร?”

 

เมื่อนางถามเช่นนี้ เจียนเอ๋อก็ไม่มีทางเลือกนอกจากตอบกลับ แต่นางก็ยังเป็นแค่บ่าวรับใช้ นางมีความสามารถในการวิเคราะห์สถานการณ์ได้อย่างไร หลังจากคิดมาเป็นเวลานาน ในที่สุดนางก็กล่าวว่า “ปีนี้คุณหนูใหญ่อายุ 17 ปี บางที่ท่านใต้เท้าคงมีความกังวลเช่นกันเจ้าค่ะ”

 

หลู่ปิงเย้ยหยัน “กังวลหรือ? นั่นอาจจะเป็นบุตรสาวคนที่สองของเขาที่สร้างปัญหานั้น แม้ว่าจะได้รับการแก้ไขแล้ว แต่ก็เป็นผลที่ทําให้ทุกคนในตระกูลหลู่ตกใจที่รู้เกี่ยวกับสถานการณ์ สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่ายายจากพระราชวังฝีมือตกลงหรือนางรับสินบน แต่ไม่คํานึงถึงสถานการณ์ความเป็นจริง เป็นที่รู้จักกันโดยด้านอื่นๆ ในอนาคตใครจะรู้ว่ามีปัญหาอะไรเกิดขึ้น แน่นอนตระกูลหลู่กําลังรู้สึกกังวล พวกเขาเป็นกังวลที่จะผลักข้าออกไปหวังว่าจะได้รับการรับรอง นอกจากหลู่เหยา และหลู่หยาน แต่ใครจะรู้ว่าเขาจะเตรียมการอะไรไว้ให้ข้า”

 

เจียนเอ๋อเติบโตขึ้นมาในตระกูลหลู่ตั้งแต่เด็ก นางเข้าใจในความหมายของคําพูดของสาวน้อย นางคิดแล้วกล่าวว่า “ลองคิดดู ตอนนี้มีเพียงองค์ชายหกเท่านั้นที่ยังไม่ได้เข้าร่วม บางทีท่านใต้เท้ากําลังคิด…”

 

“เป็นไปไม่ได้” หลู่ปิงส่ายหัว “องค์ชายหกไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง และเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะมีส่วนร่วมในงานเลี้ยงของเทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วงถึงแม้ว่าพระองค์จะกลับมา สถานะในฐานะบุตรสาวของอนุจากคฤหาสน์ของเสนาบดีฝ่ายซ้ายสามารถเป็นพระชายาเอกของราชวงศ์ได้หรือ?

 

เจียนเอ๋องงงวย “ทําไมจะไม่ได้เจ้าคะ? คุณหนูสี่ตระกูลเฟิงยังสามารถเป็นพระชายาเอกขององค์ชายห้าได้ นางก็เป็นบุตรสาวของอนุ! ยิ่งกว่านั้นคุณหนูก็งดงามมาก ในโลกนี้ไม่สามารถพบหญิงงามเช่นนี้ได้อีก ทําไมถึงทําไม่ได้เจ้าคะ ?”

 

หลู่ปิงยิ้มอย่างขมขื่น “เด็กสาวจากตระกูลเฟิงโชคดีมาก เจ้าไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับความยากลํา บากที่จะต้องพบเจอกับตําแหน่งพระชายาเอก นางลงเอยกับคนแปลกๆ อย่างองค์ชายห้า ถ้าเป็นองค์ชายคนอื่น มันคงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้” ในขณะที่นางกล่าว นางโบกมือ “ลืมมันเถิด อย่าพูดถึงเรื่องนี้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด เหลืออีกหลายวันจนกว่าจะถึงงานเลี้ยงของเทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วง ท่านพ่อจะจัดการเช่นใด ท่านพ่อจะมาบอกข้าไม่ช้าก็เร็ว สิ่งที่เราควรกังวลในตอนนี้คืออาการป่วยของข้า ลองพูดมาสิว่า บอกเด็กๆว่าถ้าข้าไปหาองค์หญิง ข้าควรจะจ่ายค่ารักษาอย่างไร

 

ได้ยินนางพูดว่านางต้องการไปหาเฟิงหยูเฮง เจียนเอ๋อรู้ว่าการให้คําแนะนํานางไร้จุดหมาย อาการปวยนี้ทําให้นางคิดถึงเด็กที่นางคิดถึงมานานหลายปี หากองค์หญิงสามารถรักษามันได้ นั่นจะคุ้มค่ามาก นางคิดแล้วกล่าวว่า “ข้ากลัวว่านางจะไม่ขาดแคลนเงินทองเจ้าค่ะ”

 

หมู่ปิงถอนหายใจนาน “แม้ว่านางจะขาดแคลนเงินทอง ข้าก็ไม่สามารถจ่ายได้มากขนาดนั้น ไม่ใช่ว่าเจ้าไม่รู้ว่าเงินออมของข้าในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเป็นอย่างไร แต่นอกจากเงิน ข้าจะให้อะไรกับนางอีก? นางต้องการอะไร? ” ยิ่งคิดหลู่ปิงยิ่งรู้สึกว่าเรื่องนี้จะไม่ง่ายอย่างที่คิดเพราะนางสงสัยในตอนแรก นางอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว

 

ในคฤหาสน์หลู่ แผนการหลายแผนการหมุนวน บุตรสาวแต่ละคนมีแผนการที่วางไว้สําหรับพวกนาง หลู่ซ่งและฮูหยินคนที่สองคือเก้อซือ พวกเขามุ่งความสนใจไปที่องค์ชายและขุนนางทุกคน เสนาบดีหลู่กําลังหวังที่จะทําลายคําสาปแช่งที่ว่าเสนาบดีที่ยังเหลือของราชวงศ์ต้าชุนจะต้องพบกับจุดจบที่ไม่ดี เขาวางหลักประกันหลายอย่างเพื่อพยายามปกป้องความมั่งคั่งของตระกูลหลู่ ถ้าเฟิงหยูเฮงให้ความสนใจ นางก็จะสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนว่าคฤหาสน์หลู่ปัจจุบันคล้ายกับคฤหาสน์เฟิงในอดีต พวกเขาทั้งสองมีบุตรสาวแสนสวยคนหนึ่ง อย่างไรก็ตามใครจะรู้ว่าตระกูลหลู่วางแผนจะทําอะไรกับบุตรสาวที่งดงามของพวกเขา

 

ในที่อยู่ตระกูลเฟิง เฟิงจินหยวนนั่งในห้องหนังสือของเขาด้วยใบหน้าที่มืดมน หมอของห้องโถงสมุนไพรได้มาตรวจร่างกาย พวกเขาขอค่าธรรมเนียมการตรวจสอบ 10 เหรียญเงิน แต่นั่นไม่ใช่ทั้งหมด สิ่งสําคัญที่สุดคือพวกเขาบอกเขาว่ามันนานเกินไปจริงๆ ตั้งแต่ได้รับบาดเจ็บ มันเป็นไปไม่ได้เลยที่มันจะหายเป็นปกติ แม้ว่าหมอผีซางคังจะรักษามัน มันจะเป็นไปไม่ได้ สิ่งนี้ทําให้ความหวังที่เริ่มจุดประกายขึ้นมาภายในตัวเขาดับลงอีกครั้ง เขานั่งอยู่ในห้องหนังสือกับตัวเอง เป็นเวลา 2 ชั่วยาม อย่างไรก็ตามจิตใจของเขายังคงเป็นหมอกควัน เขาไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่

 

แต่การปิดกั้นตัวเองไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะให้เวลาเขารู้สึกหดหู่ใจ หลังจากอาหารเย็น เฟิงเฟินไดก็รีบวิ่งด้วยเสียงตะโกน โดยไม่รอให้ใครประกาศการมาถึงของนาง นางผลักประตูเปิดออกและรีบไปถามว่า “ข้าได้ยินมาว่าท่านพ่อเชิญหมอมาตรวจร่างกาย ?”

 

เฟิงจินหยวนได้รับความหวาดกลัว เมื่อหันไป เขาพบว่าเฟิงเฟินไดยืนอยู่ตรงข้ามโต๊ะของเขาด้วยความโกรธ เขาอดไม่ได้ที่จะโกรธและกล่าวว่า “ใครอนุญาตให้เจ้าเข้ามา? เจ้ารู้กฎหรือไม่? ”

 

เฟิงเฟินไดเยาะเย้ย “กฎหรือ? ท่านพ่อกําลังพูดเรื่องกฏกับข้า หากท่านพ่อต้องการพูดคุยเกี่ยวกับกฏต่างๆ ให้สวมบทบาทเป็นตระกูลใหญ่ อย่าพึ่งพาบุตรสาวที่ยังไม่ได้แต่งงานกับความต้องการพื้นฐานทั้งหมดของท่านพ่อ! เมื่อท่านพ่อกู้คืนตัวเอง ท่านพ่อค่อยมาพูดคุยกับข้าเกี่ยวกับกฎ ข้าแค่ขอถามท่านพ่อว่านําเงินจากไหนมาจ่ายค่าหมอ? ข้าได้ยินหมอสองคนคิดค่าตรวจเงิน 10 เหรียญเงิน เดือนนี้องค์ชายห้าไม่ได้ส่งเงินมาให้จํานวนมาก ท่านพ่อหาเงินได้จากที่ไหน? ”

 

“จองหอง! ” เฟิงจินหยวนโกรธ และทันใดนั้นตบโต๊ะ “มีความจําเป็นสําหรับเจ้าที่จะต้องกังวลเกี่ยวกับการที่เงินมาจากไหนหรือไม่? ”

 

“ข้าไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับมัน! ” ดวงตาของเฟิงเฟินไดกําลังยิงแสงออกมา “แต่ข้าแค่อยากถามท่านพ่อ หมอนหยกในห้องของข้าหายไป ท่านพ่อเห็นมันหรือไม่เจ้าคะ?”

 

“ข้า…” เฟิงจินหยวนอึกอักนิดหน่อยและเขาก็รู้สึกหงุดหงิด อย่างไรก็ตามเขายังยืนยัน “ข้าจะรู้ได้อย่างไร ! เจ้าควรถามบ่าวรับใช้ในห้องของเจ้าเกี่ยวกับสิ่งของในห้องของเจ้า เจ้ามาถามข้าทําไม พูดเหมือนข้าไปที่ห้องของเจ้า!”

 

ท่านพ่อไม่เห็นหรือ ? ” เฟิงเฟินไดกล่าวอย่างเยือกเย็น “แต่ข้าได้ยินมาว่าท่านพ่อจ่ายเงิน 150 เหรียญเงินสําหรับค่าเล่าเรียนของเฟิงจื่อหรู เงินนี้ท่านพ่อได้มาจากที่ไหน? อย่าปฏิเสธที่จะยอมรับมัน ในเมื่อข้ากล้าที่จะมาถามท่านพ่อในวันนี้ ข้าตรวจสอบเรื่องนี้มาแล้ว ท่านพ่อ เราเป็นบุตรของท่านพ่อ เพื่อที่จะได้เก็บค่าเล่าเรียนให้กับบุตรชายของท่านพ่อ ท่านพ่อต้องขโมยสิ่งของของบุตรสาว ผิวหน้าของท่านพ่อหนาแค่ไหน?”

 

เฟิงจินหยวนโดนดูถูกอย่างหนักจนเขาอยากจะคลานเข้าไปในรอยแตก เขารู้ว่าเรื่องนี้จะถูกเปิดเผย แต่เขาไม่รู้จริงๆว่าเขาควรจัดการกับมันอย่างไร เมื่อเผชิญหน้ากับถ้อยคําเหล่านี้ ไม่มีอะไรที่เขาจะทําได้นอกจากฟัง

 

เมื่อนึกถึงตอนนี้ เฟิงหยูเฮงเคยหัวเราะเยาะเขาครั้งหนึ่ง เมื่อเทียบกับเฟิงเฟินไดมันไม่สามารถพิจารณาได้มากนัก ท้ายที่สุดนางมียศและตําแหน่ง นางเป็นองค์หญิงที่สง่างามและมีข้อดีทุกอย่าง สถานะของนางจะสูงกว่าเฟิงเฟินไดหลายเท่า ความมั่งคั่งที่นางมีนับไม่ถ้วนมากกว่าเฟิงเฟินได หากเขาต้องเลือกคนที่เขาจะถูกเยาะเย้ย เขาจะต้องอยู่ในมือของเฟิงหยูเฮง เขาไม่ต้องการรับฟังคําพูดดูถูกของเฟิงเฟินไดอีกครั้ง

 

เมื่อคิดอย่างนี้ มันก็เหมือนกับว่าเขาได้รับความกล้าหาญ เขากล่าวว่า “แล้วถ้าข้าเอามันไปล่ะ? จื่อหรูเป็นเด็กผู้ชายและเขาเป็นทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลเฟิง แล้วเจ้าล่ะ? ในท้ายที่สุด เจ้าเป็นบุตรสาวที่จะแต่งงาน หากเจ้ารู้ว่าแซ่ของเจ้าคือเฟิง เจ้าควรคิดถึงครอบครัวของเจ้า ลืมมันไปเถิด ข้ารู้ว่าเจ้าไม่มีความคิดเหล่านั้น สิ่งที่องค์ชายห้ากําลังทําเพื่อตระกูลเฟิง มันไม่เหมือนตระกูลเฟิงที่ไม่จดจําความเมตตา แต่พระคุณนี้เมื่อเทียบกับความอัปยศที่มารดาผู้ให้กําเนิดของเจ้า นํามาให้กับตระกูลเฟิงนั้นแตกต่างกันมากเกินไป เพียงแค่ดูมันในขณะที่เขาตอบแทนเรา เจ้าสามารถเลือกที่จะไม่สนใจเกี่ยวกับตระกูลเฟิง เจ้าสามารถเลือกที่จะไม่สนใจข้าซึ่งเป็นบิดาของเจ้า เจ้าสามารถสาปแช่งและดูถูกข้าได้ แต่เจ้าต้องชัดเจนว่าเจ้าไม่มีสถานะที่เหมือนกับพี่สาวคนที่สองของเจ้า เจ้าไม่มีอิทธิพลเหมือนนาง เมื่อเจ้าแต่งงานในอนาคต เจ้าไม่มีคฤหาสน์ขององค์หญิงอย่างนาง หรือเจ้าไม่มีคนรับใช้และองครักษ์เงาคอยปกป้องเจ้า เจ้ายังไม่มีสหายที่มีชื่อเสียง เจ้ายังต้องใช้เกี้ยวเจ้าสาวของเจ้าเดินทางออกจากบ้านของตระกูลเฟิง เจ้าจะต้องแต่งงานในฐานะบุตรสาวของตระกูลเฟิง อย่าลืมว่าเจ้ายังเป็นบุตรสาวของอนุ โชคชะตาของตระกูลเฟิงเชื่อมโยงกับเจ้าอย่างใกล้ชิด”

 

คําดูถูกที่ยาวนานของเฟิงจินหยวนดูเหมือนจะนําความมั่นใจกลับมา ดูเหมือนว่าเขาจะกลับไปสู่อดีตเมื่อพวกเขายังคงอยู่ในคฤหาสน์ของตระกูลเฟิง บุตรของเขาจะเชื่อฟังเขา และไม่มีใครกล้าพูดอะไรต่อหน้าเขา

 

เฟินเฟินไดก็กลัวจุดยืนนี้เช่นกัน นางจ้องมองที่เขาอย่างว่างเปล่าโดยไม่รู้ว่าควรพูดอะไร

 

เฟิงจินหยวนยิ้มอย่างเย็นชาและโบกมือ “กลับไป ข้าจะอยู่ที่นี่อีกสักครู่” หลังจากพูดจบ เขาไม่รอให้เฟิงเฟินไดตอบ มีชายคนหนึ่งเข้ามาเพื่อตามนางออกไปทันที

 

เฟิงเฟินไดถูกไล่ในความงุนงง และนางก็กลับไปที่เรือนด้วยความงุนงง เฉพาะเมื่อนางมาถึงทางเข้าเรือนของนาง นางเริ่มตอบสนอง นางอดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลกใจและกล่าวว่า “ตงหยิง เขามีสิทธิ์หรือไม่? เขาพูดว่าอะไร?”

 

หญิงสาวที่อยู่ข้างๆนาง ตงหยิงได้ยินสิ่งที่เฟิงจินหยวนพูด ในขณะนี้นางต้องปลอบคุณหนูของนาง นางกล่าวว่า “คุณหนูอย่าโกรธเลยเจ้าค่ะ นายท่านคือคนที่เคยเป็นเสนาบดี แม้ว่าเขาจะไม่มีทางเลือกนอกจากต้องหยุด เขายังมีสิ่งที่เขามีอยู่ สิ่งที่เขาพูดถูกต้อง ก่อนที่คุณหนูจะแต่งงาน จะเป็นการดีที่สุดที่จะไม่รุกรานตระกูลเฟิง หากสถานการณ์ของตระกูลเฟิงน่าเกลียดเกินไป เมื่อคุณหนูแต่งงานจะเป็นเรื่องที่น่ากลัวเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น…”

 

“ยิ่งกว่านั้นคืออะไร”

 

“ยิ่งกว่านั้นบ่าวรับใช้นี้รู้สึกเสมอว่านายท่านฟื้นพลังนี้ได้หลังจากเข้ามาเยี่ยมคฤหาสน์ขององค์หญิง ข้าสงสัยว่าคุณหนูรองอาจทําให้เขาได้รับสิ่งที่ดี เขารู้สึกว่าเขาได้รับการสนับสนุนบางอย่าง ดังนั้นเขาจึงกล้าที่จะต่อต้านคุณหนูหลังจากกลับมาเจ้าค่ะ”

 

เฟินได้เริ่มกล่าว “แน่นอน! ถ้าเป็นเช่นนี้ในอดีตเฟิงจินหยวนคนเก่าจะไม่กล้าพูดกับข้าแบบนี้ ตอนนี้บุตรสาวคนที่สองของเขากลับมาแล้ว เขารู้สึกว่าเขามีเสาค้ํายัน !” นางโกรธมาก กัดฟันของนาง “เฟิงหยูเฮง ทําไมเจ้าต้องกลับมา? ทําไมเจ้าไม่ตายในสนามรบที่เฉียนโจว? ตราบใดที่เจ้าอยู่ที่นี่ วันของข้าจะแย่ ในที่สุดข้าก็เข้าใจตระกูลเฟิง แต่เจ้าต้องมาหาข้า ไม่ช้าก็เร็ว ข้าจะบอกให้เจ้ารู้ว่าตอนจบแบบไหนจะเกิดขึ้นกับคนที่ต่อต้านข้า !”

 

ตอนที่ 675 พี่เจ็ดเป็นเทพเซียนที่น่ายําเกรง

 

เมื่อคําพูดของเฟิงหยูเฮงถูกพูดแล้ว ฉิงหยูก็เข้าใจ มันกลับกลายเป็นว่าคุณหนูของนางได้วางกับดัก คุณหนูของนางชั่วร้ายมาก

 

อย่างไรก็ตามซวนเทียนหมิงหัวเราะและคํานวณ “เมื่อหยกหายไป ย่อมหาคนที่ขโมยพบเป็นธรรมดา หยกจะถูกนํากลับมาและพวกเขาจะต้องจ่ายค่าชดเชย 80 ล้านเหรียญเงิน นั่นจะถือว่าเป็นการชดเชย”

 

เฟิงหยูเฮงเป็นกังวลเล็กน้อย “80 ล้านเหรียญเงินไม่ใช่เงินจํานวนเล็กน้อย พวกเขาจะเต็มใจหรือไม่ อย่างที่ข้าเห็นนางจะไม่สามารถนําเงินจํานวนนั้นมาได้ในตอนนี้ นางพูดก่อนหน้านี้ว่านางจะต้องใช้เวลารวบรวมมันด้วยกัน เงิน 50 ล้านเหรียญเงินนั้นเตรียมพร้อมแล้ว แล้วขอแค่ 50 ล้านเหรียญเงิน! อย่าบังคับพวกเขามากเกินไป ใครจะรู้ บางทีอาจมีโอกาสอีกครั้งที่จะหลอกลวงคนเหล่านี้ในอนาคต”

 

ซวนเทียนหมิงพยักหน้า “เราจะทําตามที่ชายารักกล่าว”

 

ฉิงหยูเอามือตบหน้าผาก สองคนนี้จบลงด้วยการแก้ไขปัญหาเช่นนี้ได้อย่างไร พวกเขาจะเห็นด้วยหรือไม่ แต่หลังจากคิดบางอย่าง ถ้าองค์ชายเก้าและองค์หญิงจีอันพูดขึ้นมา ใครกล้าที่จะไม่เห็นด้วย ? แล้วถ้าเป็นเจ้าเมืองหลานโจวล่ะ เมื่อมาถึงเมืองหลวง พวกเขาไม่ควรคิดว่าตัวเอง เป็นเจ้าหน้าที่ที่ทรงอํานาจโดยเฉพาะขุนนางเก่าที่ถูกเลือกจะมีตําแหน่งสูงกว่า

 

ทั้งสองดื่มชาอีกหนึ่งถ้วย ก่อนที่เฟิงหยูเฮงจะให้คําแนะนํากับฉิงหยู หลังจากนี้นางก็ติดตามซวนเทียนหมิงและจากไป ถนนยังคงมีชีวิตชีวามาก อย่างไรก็ตามนางไม่มีความสุขเลย นางกล่าว “ถ้าคนดูดีเกินไปก็ไม่ดีเหมือนกัน แม้แต่การมาซื้อของก็สามารถดึงดูดความสนใจได้มากมาย ถ้าเจ้าไม่สวมหน้ากาก ความเป็นตัวตนของเจ้าง่ายกว่าที่จะซ่อน แต่ใบหน้าของเจ้าทําให้เกิดความปั่นป่วนจริงๆ!” นางถอนหายใจ “เจ้าช่วยทําอะไรบางอย่างเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหานี้ได้หรือไม่?” ในขณะที่พูดสิ่งนี้นางชี้ไปที่หญิงสาวที่กําลังมองมาทางพวกเขา บางคนถึงกับตามมา นี่เป็นสิ่งที่น่าปวดหัวอย่างแท้จริง

 

ซวนเทียนหมิงรู้สึกดีกับมันมากบอกกับนางว่า “นั่นหมายความว่าเจ้าเลือกผู้ชายได้ค่อนข้างดี”

 

เฟิงหยูเฮงไม่มีความสุข ความสามารถในการเลือกผู้ชาย? ซวนเทียนหมิง เจ้าเลือกข้าไม่ได้หรือ ? ข้าไม่มีทางเลือกใดๆใช่ไหม! นอกจากนี้แม้ว่าข้าต้องเลือก ใบหน้าของเจ้าจะไม่เป็นที่หนึ่งแน่นอน”

 

“โอ้ ?” คนที่มีความมั่นใจในตัวเองสูงงงงวย “ถ้าข้าไม่ใช่ที่หนึ่ง ดวงตาของเจ้าจะเลือกใครอีก”

 

“พี่เจ็ด!” นางตอบอย่างเป็นธรรมชาติมาก “ในโลกนี้มีใครที่น่ามองยิ่งกว่าพี่เจ็ดหรือไม่? “

 

ซวนเทียนหมิงพ่ายแพ้ เขารู้ว่าถ้าเขาเปรียบเทียบกับใบหน้าของพี่เจ็ดแล้ว เขาจะไม่มีที่ยืน ลืมมันไปเถอะ เขาเป็นคนหนึ่งที่ชิงลงมือก่อน เมื่อคิดถึงตอนนี้เขาต้องขอบคุณการหมั้นจากเมื่อหลายปีก่อน แม้ว่าเขาจะเคยต่อต้านมันมากเมื่อตอนที่เขาคิดเกี่ยวกับมัน ตอนนี้เขาชนะอย่างแท้จริง แน่นอนว่าเขาต้องขอบคุณการต่อสู้ในภาคตะวันตกเฉียงเหนือด้วย เขาเข้าใจเป็นอย่างดีว่าถ้าเขาไม่เคยพบผู้หญิงคนนี้ในภูเขาทางตะวันตกเฉียงเหนือ และได้พบกับนางเป็นคนแรก ผู้หญิงคนนี้อาจไม่ได้เลือกเขาจริงๆ ถ้าผู้หญิงคนนี้ไม่ชอบเขา เขาก็เชื่อมั่นว่าด้วยนิสัยของเฟิงหยูเฮง แม้ว่าจะเป็นการแต่งงานที่จัดขึ้นโดยฮ่องเต้ก็จะถูกนางยกเลิก

 

เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้พูด เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆเผยอปากและยิ้ม อย่างไรก็ตาม คอของนางถูกใครบางคนรัดพร้อมคําเตือน “เจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้เปลี่ยนใจไปรักคนอื่น พี่เจ็ดเป็นเทพเซียนที่น่าเคารพนับถือ เจ้าสามารถดูได้ แต่ลืมเกี่ยวกับการดูหมิ่นเขา”

 

นางพยักหน้าอย่างจริงจัง “ไม่ต้องกังวล พี่เจ็ดคือเทพเซียน ข้าเข้าใจกระจ่างในจุดนี้”

 

ซวนเทียนหมิงยิ้มอย่างขมขื่นที่ด้านใน มันไม่เหมือนกับว่าเขาไม่สามารถบอกได้ว่าพี่เจ็ดรู้สึกอย่างไร ถ้านางชี้นําความรู้สึกของนางต่อคนอื่น เขาจะไม่ตอบสนองเช่นนี้ แต่เมื่อเป็นซวนเทียนฮั่ว มันไม่ได้ทําให้เขาไม่อาจปฏิเสธได้ มันก็เหมือนกับที่เฟิงหยูเฮงกล่าวไว้ พี่เจ็ดจะต้องได้รับการเคารพบูชา แม้แต่เขาก็รู้สึกแบบนั้น

 

หลังจากที่ทั้งสองออกจากศาลานิพพานแล้ว พวกเขาก็มุ่งหน้าไปที่ร้านขายวัตถุโบราณของเฟิงหยูเฮง หลังจากมาถึงพวกเขาไม่ได้อยู่นาน พวกเขาเดินไปรอบๆเพียงครั้งเดียวก่อนออกเดินทาง และมุ่งหน้าไปยังร้านห้องโถงสมุนไพร

 

ในบรรดาธุรกิจไม่กี่แห่งที่นางเป็นเจ้าของ ร้านห้องโถงสมุนไพรได้รับการยอมรับมากที่สุด หรืออาจจะกล่าวได้ว่าร้านห้องโถงสมุนไพรไม่ใช่แค่ธุรกิจของนาง มันเป็นอาชีพของนางในยุคนี้นอกจากราชวงศ์ มันเป็นรากฐานของอิทธิพลของนาง ก่อนที่นางจะไปภาคเหนือ นางได้ฝึกฝนกลุ่มหมอ สอนพวกเขาเกี่ยวกับการแพทย์แผนปัจจุบัน ต่อมาเหยาเซียนมาดูแลด้านนี้ซึ่งเพิ่มอัตราการสอนข้อมูลทางการแพทย์ เช่นนั้นหมอที่ร้านห้องโถงสมุนไพรอาจได้รับการพิจารณาว่าเป็นกึ่งหมอจากศตวรรษที่ 21 แม้ว่าพวกเขาจะไม่ทันสมัยมาก แต่พวกเขาก็มีความรู้พื้นฐานเป็นอย่างดี แน่นอนว่าสถานที่แห่งนี้จะไม่ขาดการมีส่วนร่วมของหมอซางคั่ง เมื่อปัจจุบันชางคงได้รับอาการบาดเจ็บจากภายนอกที่ต้องได้รับการผ่าตัด สถานที่ร้านห้องโถงสมุนไพรอยู่ในหัวใจของพลเมืองกําลังจะไปไกลเกินกว่าแพทย์หลวงในพระราชวัง

เมื่อเฟิงหยูเฮงและซวนเทียนหมิงมาถึง พวกเขาพบหมอสองคนที่ออกไปพบผู้ป่วย พวกเขากําลังถือชุดเครื่องมือแพทย์และนางก็เลยถาม “เจ้าสองคนกลับมาจากที่ไหน?”

 

หมอสองคนไม่คิดว่าเฟิงหยูเฮงจะปรากฏตัวขึ้นทันที และพวกเขาก็ยืนตัวแข็งอยู่ครู่หนึ่ง แต่พวกเขาจํานางได้อย่างรวดเร็ว และจําได้ว่าต้องคํานับและแสดงความเคารพ สําหรับพวกเขา เฟิงหยูเฮงไม่ใช่แค่เจ้านายของพวกเขา นางยังเป็นอาจารย์ของพวกเขาด้วย ไม่ว่าพวกเขาจะอายุเท่าไร พวกเขาจะต้องแสดงความเคารพและชื่นชมเมื่อเห็นเจ้านายของพวกเขา

 

เฟิงหยูเฮงหยุดพวกเขาอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าพวกเขาจะพูดอะไร นางจะไม่ยอมให้พวกเขาแสดงความเคารพต่อหน้าร้านห้องโถงสมุนไพร นางกล่าวอย่างเงียบๆว่า “อย่าทําแบบนี้ เข้ามาพูดกันเร็ว”

 

ทุกคนพากันเดินเข้าไปในห้องโถงสมุนไพร หนึ่งในนั้นกล่าวว่า “เราเพิ่งกลับมาจากบ้านของตระกูลเฟิง เราดูอาการเจ็บป่วยของนายท่านเฟิงขอรับ”

 

อีกคนกล่าวต่อ “นายท่านเฟิงจ่ายค่าธรรมเนียมการตรวจ แม้ว่าเขาจะไม่มีความสุขที่จะต้องจ่าย แต่เขาก็ไม่ได้ปฏิเสธที่จะจ่าย แต่อาการบาดเจ็บของเขารุนแรงเกินไป เป็นเวลา 1 ปีแล้ว ข้ากลัวว่าแม้แต่ซางคังจะลงมือ มันก็ไม่น่าที่จะสามารถเชื่อมต่อใหม่ได้ขอรับ”

 

“ยิ่งไปกว่านั้นเพียงแค่เชื่อมต่อมันจะไม่มีจุดหมาย จากคําสอนของผู้อาวุโสเหยา เราจะต้องเชื่อมต่อเส้นประสาทอีกครั้ง นี่คือสิ่งที่เราไม่สามารถทําได้ บางที… บางที่ผู้อาวุโสเหยาหรือคุณหนูอาจจะทําได้ และมีความหวังเพียงเล็กน้อยขอรับ”

 

เฟิงหยูเฮงโบกมือของนาง นางรู้ว่านี่จะเป็นผลลัพธ์ ด้วยความล่าช้า 1 ปีและอยู่ในพื้นที่ลับเช่นนั้น มันจะรักษาอย่างไร การเชื่อมต่อเส้นประสาทใหม่นั้นง่ายที่จะพูด แต่มันยากเกินไปที่จะทํา มันคงจะดีถ้าเส้นประสาทยังไม่ตาย แต่ถ้าพวกมันตายไปแล้วแม้ว่านี่จะเป็นศตวรรษที่ 21 ก็คงไม่มีอะไรที่จะทําได้ “ไม่เป็นไร ถ้าเจ้าพยายามอย่างดีที่สุดแล้ว เขาเองก็รู้สถานการณ์ของตัวเอง ข้าบอกเขาก่อนแล้วว่าไม่มีความหวังมาก”

 

ขณะที่พวกเขาพูด พวกเขาเข้าไปในพื้นที่ด้านหลังของห้องโถงสมุนไพร และพนักงานได้รายงานไปยังผู้จัดการร้านวังหลินแล้ว ในตอนนี้วังหลินออกมาเพื่อต้อนรับพวกเขา เมื่อเห็นเพิงหยูเฮง เขารู้สึกดีใจมาก เขาคุกเข่าทันทีโดยไม่สนใจเฟิงหยูเฮงที่หยุดเขา “ทันทีที่คนต่ําต้อยได้ยินว่าคุณหนูกลับมาที่เมืองหลวง และอยากไปที่คฤหาสน์เพื่อแจ้งให้คุณหนูทราบ แต่ข้าก็กลัวว่าจะรบกวนคุณหนูขอรับ ผู้อาวุโสเหยากล่าวว่าคุณหนูจะมาตรวจไม่ช้าก็เร็ว และบอกให้พวกเราพักอย่างสบายใจระหว่างรอ ในที่สุดคุณหนูก็กลับมาแล้วขอรับ”

 

วังหลินรู้สึกเคารพเฟิงหยูเฮงมาก หากไม่ใช่เพราะเฟิงหยูเฮงที่ส่งเสริมเขา ใครจะรู้ว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไรในวันนี้ แต่ตอนนี้เขาเป็นเจ้าของห้องโถงสมุนไพร เมื่อใดก็ตามที่เขาเดินไปข้างนอก คนที่มีอํานาจและคนมีชื่อเสียงจะต้องไว้หน้าเขาเล็กน้อยเพราะการสนับสนุนของเฟิงหยูเฮง แม้แต่เจ้าหน้าที่ระดับสูงก็ไม่กล้าทําตัวแย่ต่อเขาและจะสุภาพมากเมื่อไปหายา ดังนั้นเขาต้องการที่จะตอบแทน เขาพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อเปิดห้องสมุนไพรกว่าร้อยแห่งในดินแดนของราชวงศ์ต้าชุน ในปัจจุบันที่ไกลที่สุดได้ไปถึงมณฑลทางตะวันตกสุดของหยูโจว

 

เฟิงหยูเฮงยังคงอยู่ในร้านห้องโถงสมุนไพรเป็นเวลายาวนาน นางออกมาช่วยเมื่อเห็นผู้ป่วยเป็นจํานวนมาก จากนั้นนางก็ดึงยาตะวันตกและยาจีนจํานวนมากออกจากมิติของนางเพื่อส่งไปยังวังหลิน นอกจากนี้นางยังมอบหมายให้วังหลินและหมอของร้านห้องโถงสมุนไพรส่งคนไปที่คฤหาสน์ขององค์หญิงทันทีหากมีใครต้องการยา นางจะไม่ออกเมืองหลวงในช่วงเวลานี้ ทุกคนชื่นชมยินดี

 

ตอนเย็นห้องโถงสมุนไพรปิดทําการทั้งคืน ด้วยซวนเทียนหมิงที่ทําหน้าที่เป็นพนักงาน และพนักงานของห้องโถงสมุนไพร ร้านขายเครื่องประดับ และร้านขายของเก่าได้รับเชิญไปยังโรงเตี๊ยมครัวเทพ พลเมืองทั่วไปเหล่านี้สามารถให้บริการองค์หญิงจี่อันได้ และพวกเขาก็สามารถเพลิดเพลินไปกับงานฉลองที่องค์ชายเก้าจัด พวกเขายังสามารถเพลิดเพลินกับอาหารที่โต๊ะเดียวกัน พวกเขาทุกคนประทับใจมาก

 

ในขณะที่พวกเขากําลังเพลิดเพลินกับบรรยากาศที่ร่าเริง ในคฤหาสน์หลู่มีผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ในเรือนที่ห่างไกลและถอนหายใจซ้ําๆ

 

หญิงสาวที่อยู่ข้างๆ นางพยายามปลอบนางซ้ําๆ “คุณหนูใหญ่อย่าเศร้าโศกไปเลยเจ้าค่ะ ครั้งนี้เป็นเพราะปลาที่กินเมื่อวานนี้ นั่นเป็นเหตุผลว่าทําไมกลิ่นวันนี้ถึงแรง ครั้งต่อไปที่เราออกไปข้างนอก หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีรสชาติคาวเจ้าค่ะ”

 

คุณหนูใหญ่ตระกูลหลู่ หลู่ปิงเป็นคุณหนูที่เกิดมาจากอนุในตระกูลหลู่ นางอายุ 17 ปีในปีนี้ นางถึงวัยออกเรือนเมื่อสองปีก่อน อย่างไรก็ตามไม่มีใครถามหานาง คฤหาสน์หลู่ซ่อนตัวนาง ไม่เคยพูดถึงนางออกไปข้างนอก พวกเขาไม่เคยอนุญาตให้นางออกจากคฤหาสน์ มีข่าวลือว่าคุณหนูใหญ่ตระกูลหลู่นั้นงดงามอย่างน่าเหลือเชื่อและค่อนข้างน่ารักกว่าเฟิงเฉินหยู ตระกูลหลู่ซ่อนนางไว้เพื่อให้นางเป็นความลับและรอคนที่เฉพาะเจาะจง นอกจากนี้ยังมีผู้คนที่กล่าวว่าคุณหนูใหญ่ตระกูลหลู่มีความพิการจึงทําให้ตระกูลหลู่ไม่ยอมช่วยนาง

 

แต่ไม่มีใครรู้ว่าหลู่ปิงเป็นคนที่งดงามมากๆ ไม่ต้องพูดถึงเมื่อเทียบกับเฉินหยูแม้จะเทียบกับจาวเหลียน นางก็สวยไม่แพ้กัน แต่นางมีโรคซับซ้อน นับตั้งแต่นางเกิดนางมีกลิ่นตัวเหม็น และกลิ่นนี้ก็แย่ลงเมื่อนางโตขึ้น แม้ว่านางจะพบว่ามันจะไม่สังเกตเห็นได้ชัดหากนางไม่ได้กินอาหารบางอย่าง และนางสามารถซ่อนมันด้วยการแต่งหน้า แต่นี่ไม่ใช่วิธีการใดๆในการรักษาสาเหตุที่แท้จริง ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาตระกูลหลู่ได้ค้นหาหมอที่มีชื่อเสียงทุกอย่าง อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครสามารถรักษาอาการปวยของหลู่ปิงได้

 

แน่นอนว่าไม่ใช่ว่าตระกูลหลู่ไม่เคยคิดถึงเหยาเซียนมาก่อน แต่ก็น่าเสียดายที่เมื่อเหยาเซียนยังคงอยู่ในเมืองหลวง ตระกูลหลู่เป็นตระกูลของขุนนางระดับล่าง พวกเขาไม่สามารถเชิญแพทย์หลวงได้ นอกจากนั้นพวกเขาไม่ต้องการให้คนอื่นรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้ทําตามความคิดนี้

 

ในตอนแรกมันคงจะดีถ้าบุตรสาวของอนุมีอาการป่วยซับซ้อน ไม่มีความหวังในบุตรสาวของอนุเพื่อผลลัพธ์ใดๆ ตระกูลหญ่ได้ยอมแพ้ในตัวหลู่ปิง อย่างไรก็ตามไม่มีใครคิดว่าหลู่ปิงจะโตขึ้นแล้วงดงามมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อนางอายุ 15 และถึงอายุการแต่งงานได้จริงๆ มันก็เป็นอย่างที่ข่าวลือกล่าว นางเป็นหญิงงามที่หายาก

หลู่ซ่งยินดีที่จะยอมแพ้ต่อบุตรสาวที่งดงามคนนี้ เขาซ่อนนางไว้ในเรือนและคิดถึงวิธีอื่นในการหาหมอที่มีชื่อเสียง ด้วยสิ่งนี้ เขาซ่อนนางไว้ 2 ปี

 

หมู่ปิงถอนหายใจและกล่าวอย่างช่วยไม่ได้ “ถ้าไม่ใช่เพราะท่านพ่อยืนยันให้ข้ามีส่วนร่วมในงานเลี้ยงของเทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วง ข้าจะไม่เสี่ยงออกไปซื้อเครื่องประดับ แต่เขียนเอ๋อมองมาที่ข้า ข้าจะไปได้อย่างไร ข้ากลัวว่าอาการป่วยของข้าจะได้รับการเปิดเผยเมื่อข้าทํามากเกินไป ตระกูลหลู่จะต้องเผชิญกับอะไรบ้าง”

 

บ่าวรับใช้ไม่รู้ว่าเจ้านายของนางคิดอะไรอยู่ และถอนหายใจไปกับนางเท่านั้น ขณะที่นางถอนหายใจ นางได้ยินเสียงพึมพําของคุณหนูของนาง “ทุกคนบอกว่าองค์หญิงจี่อันเป็นหมอเทวดา และความสามารถทางการแพทย์ของนางได้รับการฝึกฝนโดยอาจารย์ชาวเปอร์เซีย อย่างไรก็ตาม ข้าสงสัยว่าอาการป่วยของข้าจะได้รับการรักษาหรือไม่ถ้าเราไปถามนาง?”

 

ตอนที่ 674 ข้าหลอกเงินเจ้า

 

เงิน 500 เหรียญเงินไม่ใช่จํานวนน้อย แต่เป็นที่ชัดเจนว่ามันไม่มากนักสําหรับฮูหยินคนนี้ เนื่องจากนางดึงตั๋วแลกเงินออกมาอย่างมีความสุขมากและส่งให้ จากนั้นนางจ้องตรงไปที่กล่องไม้

 

ซวนเทียนหมิงวางกล่องไม้ไว้บนโต๊ะ และเฟิงหยูเฮงส่งสัญญาณให้ฉิงหยูเปิด เมื่อชิ้นส่วนของหยกสีขาวบริสุทธิ์ปรากฏต่อหน้าฮูหยิน นางรู้สึกได้ทันทีว่าการใช้จ่ายเงิน 500 เหรียญเงินนี้อย่างคุ้มค่ามาก นางไม่เคยเห็นหยกชิ้นงามเช่นนี้มาก่อน แม้ว่ามันจะยังไม่ได้เจียระนัยและกลายเป็นเครื่องประดับที่สมบูรณ์ แต่ก็ยังเพียงพอที่จะดึงดูดความสนใจของนาง ฮูหยินเป็นคนที่มีความรู้เกี่ยวกับอุตสาหกรรมและเข้าใจทันทีว่านี่เป็นสมบัติที่มีมูลค่าสูงมาก

 

แต่นางต้องการมัน ยิ่งนางมีสมบัติมากเท่าไหร่นางก็ต้องการได้มากขึ้น แม้ว่าราคาจะสูงขึ้นหลายเท่า นางเชื่อมั่นว่าตระกูลของนางจะสามารถจ่ายได้

 

นางกล่าวว่า “ข้าต้องการหยกในกล่องนี้ โปรดแจ้งราคา !”

 

ฉิงหยูมองไปที่เฟิงหยูเฮงและไม่ได้พูดอะไรเลย นางรู้ว่าเฟิงหยูเฮงวางแผนขายหยกชิ้นนี้แล้ว ตราบใดที่อีกฝ่ายสามารถจ่ายเงินได้ มันก็ไม่สําคัญว่าพวกเขาจะขายให้ใคร แต่แน่นอนว่ามันมีค่าเท่าไหร่มันก็ยากที่จะประเมิน

 

เฟิงหยูเฮงเงยหน้าขึ้นมองฮูหยินแล้วยิ้มแล้วกล่าวว่า “ฮูหยินเป็นคนใจกว้างจริงๆ ฮูหยินสามารถจ่ายค่าหยกที่ดีมากชิ้นนี้ได้หรือไม่? ”

 

บ่าวรับใช้ตอบกลับทันทีสําหรับเจ้านายของนาง “เจ้าแค่ต้องกังวลเกี่ยวกับการเสนอราคา มันเป็นเพียงเงินเล็กน้อยใช่หรือไม่ ฮูหยินของเราไม่ขาดเงินแม้แต่น้อย”

 

“โอ้” นางพยักหน้าและคิดกับตัวเอง ราคาเท่าไหร่ดี ?

 

ในเวลานี้ซวนเทียนหมิงซึ่งนั่งนิ่งอยู่ข้างๆเงียบๆ กล่าวว่า “50 ล้านเหรียญ

 

“50 ล้านเหรียญ ? ” บ่าวรับใช้ที่อยู่ข้างฮูหยินก็ตกใจ 50 ล้านเหรียญเงินเป็นเงินจํานวนมาก

 

แต่เฟิงหยูเฮงมองเขา สายตาของนางพูดชัดๆว่า : แค่ 50 ล้านเหรียญหรือ ? แต่นางก็ตอบรับทันทีว่าซวนเทียนหมิงมองตาของเขา นางรู้ว่าเขาเข้าใจ ดังนั้นนางจึงไม่พูด

 

อย่างไรก็ตามบ่าวรับใช้พยายามที่จะต่อรอง “แม้ว่าหยกจะมีค่ามาก แต่ราคาก็แพงเกิน ไป เพียงแค่กล่องสิ่งเหล่านี้ไม่คุ้มค่าเงินมาก 5 ล้านเหรียญเงิน ตกลงหรือไม่? ”

 

ฉิงหยูรู้สึกว่าบ่าวรับใช้คนนี้ไม่สามารถเรียนรู้บทเรียนของนางได้อย่างแท้จริง แม้หลังจากถูกตบนางก็ยังพูดมาก นางทนไม่ได้ แต่พูดอย่างใจเย็น “เจ้านายกําลังพูดอยู่ เจ้าอย่าเพิ่งพูดแทรก?”

 

“เจ้า…”

 

“หุบปาก!” ฮูหยินดุนาง “หุบปากแทนข้า!” หลังจากพูดอย่างนี้นางก็หันกลับมาสนใจหยก ยิ่งนางมองนางก็ยิ่งไม่เต็มใจแบ่งมัน ยิ่งนางดูมากเท่าไหร่นางก็ยิ่งรู้สึกว่าหัวใจของนางถูกดึงเข้าไปหาหยกชิ้นหนึ่ง และพวกเขาก็กลายเป็นหนึ่งเดียวกัน ราวกับว่าหยกกล่องนี้เป็นชีวิตของนาง หากมีคนต้องการให้พวกเขาแยกจากนาง นางจะต่อสู้กับพวกเขาแน่นอน “50 ล้านหรือ ตกลง จีเซียงกลับไปบอกให้บ่าวรับใช้นําตั๋วแลกเงินมา” การจ้องมองของนางไม่เปลี่ยนเพียงบอกบ่าวรับใช้ว่า “ข้าต้องนําหยกกล่องนี้กลับไป”

 

“ฮูหยิน! ” จีเชียงตกใจ “ในการเดินทางครั้งนี้เราไม่ได้นําตั๋วแลกเงินมามากขนาดนั้น แม้ว่าเราจะมี 50 ล้านเหรียญเงิน แต่ข้าก็กลัวว่าท่านใต้เท้าจะต้องใช้เพื่ออย่างอื่นบ้างเจ้าค่ะ มันหายากที่เรามาถึงเมืองหลวง เราต้องเตรียมเงินสําหรับการติดสินบน ถ้าทุกคนใช้เงินซื้อสิ่งเหล่านี้ ถ้าท่านใต้เท้าต้องการเงิน เราจะทําอย่างไรเจ้าคะ”

 

สิ่งที่บ่าวรับใช้บอกสมเหตุสมผล โชคไม่ดีที่ฮูหยินของนางได้รับความประหลาดใจจากหยกชิ้นนี้ ใครสนใจความต้องการหรือสินบน ตอนนี้สิ่งที่นางต้องการก็คือนหยกนี้กลับบ้าน ไม่ว่าเงินนั้นจะมีประโยชน์อื่นหรือไม่ก็ตาม สิ่งนี้ได้ถูกทิ้งไปจากความคิดของนาง

 

“ข้าบอกให้เจ้าเอามา ดังนั้นก็ไปเอามาให้ได้ หากสามีถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ ข้าจะรับผิดชอบ เจ้าเป็นห่วงเรื่องอะไร ไปเอาตั๋วแลกเงินมาเร็ว” นางรีบไล่บ่าวรับใช้ไป และไม่มีอะไรที่บ่าวรับใช้อย่างนางจะทําได้ นางทําได้เพียงเชื่อฟังและหันออกไป

 

ฮูหยินนั่งบนเก้าอี้ที่พนักงานนามา แต่ร่างกายทั้งหมดของนางเอนตัวลงบนโต๊ะเพื่อถือกล่องหยก มันให้ความรู้สึกของคนโลภในกามโอบกอดหญิงงาม สิ่งที่ขาดไปก็คือน้ําลายที่ไหลของนาง

 

วันนี้นางได้พบสมบัติอย่างแท้จริง จากประสบการณ์หลายปีที่นางได้พบเห็นหยก ก่อนที่นางจะคู่ควรกับการถูกเรียกว่าหายากที่สามารถมองเห็นได้ทุกๆพันปีเท่านั้น เงิน 50 ล้านเหรียญ เงินฟังดูเหมือนเป็นจํานวนมาก แต่คนที่รู้ว่าอุตสาหกรรมสามารถบอกได้ว่ากล่องหยกนี้ไม่เพียงแต่คุ้มค่าเงิน 50 ล้านเหรียญเงิน แต่ราคานั้นสูงแค่ไหนแม้นางจะไม่สามารถคาดการณ์ได้ เป็นเพราะเหตุนี้นางจึงไม่สนใจเรื่องการใช้เงินของสามีมากเกินไป ไม่ว่าจะเป็นการติดสินบนหรือเพื่อปรับปรุงความสัมพันธ์

 

เฟิงหยูเฮงมองดูความสุขของนางและไม่สามารถช่วยได้ ได้แต่ถอนหายใจกับตัวเอง นางแค่คิดว่าผู้หญิงจริงๆไม่ได้ป้องกันอะไรจากสิ่งนี้? ดูที่การปรากฏตัวของฮูหยินนี้ ถ้านางไม่ขายหยกนี้ให้นาง อาจต้องมีการหลั่งเลือด

 

แต่…. จากนั้นนางก็หันมามองซวนเทียนหมิงกล่าวอย่างใจเย็นถามว่า “50 ล้านเหรียญไม่น้อยไปหน่อยหรือ ? ”

 

ซวนเทียนหมิงส่ายหัว “ไม่”

 

“แต่ข้ารู้สึกว่ามันน้อยไป ข้าต้องการที่จะขายในราคาที่สูงยิ่งขึ้น”

 

อย่างไรก็ตามฮูหยินกล่าวว่า “ไม่ต้องกังวล ข้าจะไม่ทําธุรกิจที่จะทําให้เจ้าขาดทุน”

 

เฟิงหยูเฮงรู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อย เมื่อพนักงานยกน้ําชามา บ่าวรับใช้จะกลับมาหลังจากดื่มชาเสร็จสองถ้วยเท่านั้น มีผู้คุ้มกันลับเฝ้าตามหลังนาง มันเกิดขึ้นหลังจากที่นางเดินขึ้นบันไดและเห็นฮูหยินของนาง นางพูดกับผู้คุ้มกันลับ “เรามาถึงแล้ว รอที่รถม้าข้างนอก”

 

ผู้คุ้มกันลับพยักหน้าแล้วเดินลงบันได เมื่อฮูหยินเห็นบ่าวรับใช้กลับมา นางก็โบกมือให้บ่าวรับใช้ทันที บ่างรับใช้วางตั๋วแลกเงินไว้ในมือ นางไม่ได้นับและส่งให้เฟิงหยูเฮง “นับเอง”

 

เฟิงหยูเฮงและซวนเทียนหมิงไม่ได้รับ ฉิหยูมองดูทั้งสอง และไม่ได้รับเช่นกัน

 

ฮูหยินงงงวย “นําตั๋วแลกเงินมาแล้ว นํากล่องไปได้ !”

 

ซวนเทียนหมิงกล่าวว่า “ฮูหยินคงเข้าใจข้าผิด หรือบางที่ท่านไม่เข้าใจสิ่งที่ข้าพูด”

 

“หืม? ” ฮูหยินตกใจ “ข้าไม่เข้าใจอะไร? ข้าเข้าใจผิดอะไร?”

 

ซวนเทียนหมิงกล่าวว่า “50 ล้านเหรียญ ข้ากําลังพูดถึงเหรียญทองไม่ใช่เหรียญเงิน แม้ว่าฮูหยินจะให้ตั๋วแลกเงิน ควรเป็นเหรียญทอง”

 

เฟิงหยูเฮงยิ้มและถอนหายใจด้วยความโล่งอก ทองคํา 50 ล้านเหรียญทอง ราคานี้เป็นแบบนี้แหละ แต่ในขณะที่นางมีความสุข ฮูหยินก็สับสน แม้แต่บ่าวรับใช้ก็อ้าปากค้างไม่รู้จะพูดอะไร

เงิน 50 ล้านเหรียญทอง ฮูหยินกลับลงไปนั่ง ความอบอุ่นที่ครั้งหนึ่งตอนนี้เหมือนถูกถังน้ําเย็นสาดลงมา

 

มันเป็นอย่างที่นางบอกว่าจะซื้อหยกที่สวยงามขนาดนั้นได้อย่างไรด้วยเงินเพียง 50 ล้านเหรียญเงิน แต่ถ้าเป็นเหรียญทอง ไม่ต้องพูดถึงตอนนี้แม้ว่านางจะกลับไปที่หลานโจว นางก็มีไม่เพียงพอ เงิน 50 ล้านเหรียญทองสามารถเปรียบเทียบได้กับท้องพระคลังของอาณาจักรสองคนนี้ พวกเขาต้องการขโมยเงินใช่หรือไม่

 

“อย่าให้มันมากเกินไป” ความตกใจของฮูหยินลดลงเล็กน้อยเพราะนางมองไปที่ซวนเทียนหมิงและเฟิงหยูเฮงอย่างเย็นชา เป็นครั้งแรกที่บ่าวรับใช้ไม่จําเป็นต้องพูดขณะที่นางถ่มน้ําลายออกมาอย่างเย็นชา “ข้าเคารพพวกเจ้าก็พอสมควรแล้ว ควรจะรู้จักพอ หากเจ้าโลภมากเกินไป อย่าโทษข้าว่าข้าไม่สุภาพ !”

 

“หืมม” เฟิงหยูเฮงยักไหล่ นางกลัวใคร!

 

ซวนเทียนหมิงดูถูกเหยียดหยามยิ่งกว่านาง ขณะจิบชา เขาปิดฝากล่องที่มีหยก

 

ในที่สุดบ่าวรับใช้ที่ปากไวก็ทนไม่ไหวและเริ่มสาปแช่ง “คนที่ต่ําต้อยกลับคําพูดของเจ้า เมืองหลวงมีคนไร้ยางอายอย่างพวกเจ้าได้อย่างไร!”

 

ด้วยคําสาปของนางเช่นนี้ ฉิงหยูจึงต้องการที่จะตบนางอีกครั้ง อย่างไรก็ตามบ่าวรับใช้หลบ สิ่งนี้ทําให้ฉิงหยูเรียกคนมาด้วยความโกรธ

 

สําหรับเฟิงหยูเฮง เมื่อนางพูดในครั้งนี้นางพูดกับฮูหยินว่า “ข้าจะให้คําแนะนําแก่ท่าน ทําความสะอาดปากของบ่าวรับใช้ด้วย อย่าเชื่อว่าจะไม่มีใครทําร้ายข้า ข้าไม่สามารถใช้วิธีนี้ในการแก้ไขปัญหาได้ นโยบายของเราคือการดําเนินการโดยไม่มีการโต้แย้งถ้าเป็นไปได้ หากท่านยังพูดไม่หยุด อย่าตะโกนด้วยความเจ็บปวดถ้าท่านโดนทําร้าย”

 

“เจ้ากล้าหรือ! ” บ่าวรับใช้นั้นตกตะลึงอย่างมาก “ฮูหยินของข้าคือฮูหยินใหญ่ของเจ้าเมืองหลานโจว เจ้ากล้าที่จะต่อต้านเราจริงๆหรือ ?”

 

ในที่สุดตัวตนของพวกนางถูกเปิดเผย แต่ตัวตนนี้ไม่ได้ทําให้เกิดคลื่นใดๆ แม้แต่ฉิงหยูก็กล่าวด้วยการดูถูกเหยียดหยาม “สมาชิกในตระกูลของเจ้าเมืองที่ต่ําต้อยของหลานโจวกล้าที่จะมาทําตัวหยาบคายที่เมืองหลวง”

 

อย่างไรก็ตามเฟิงหยูเฮงพึมพํา “หลานโจว! มันดูเหมือนเป็นสถานที่ที่มีขนาดใหญ่มาก อยู่ทางใต้ใช่หรือไม่? ”

 

ซวนเทียนหมิงพยักหน้า “ใช่ อยู่ทางใต้”

 

ทั้งสองเริ่มสนทนากันระหว่างกัน เฟิงหยูเฮงถามว่า “ข้าได้ยินมาว่าหลานโจวเป็นดินแดนที่กว้างใหญ่และอุดมสมบูรณ์ ผลไม้ที่ปลูกในหลานโจวนั้นหวานเป็นพิเศษ”

 

ซวนเทียนหมิงตอบ “ถูกต้องแล้ว ที่หลานโจวติดต่อกับกูซู อุณหภูมิร้อนและแห้งแล้ง นั่นเป็นเหตุผลที่ผลไม้ที่ปลูกมีหวานมาก ข้าได้ยินมาว่ากูซูและหลานโจวเริ่มสนิทสนมกับการค้าขายแล้ว เมื่อพ่อค้าเดินผ่านเมืองหลานโจวก็ดีกว่าเมืองอื่นๆ”

 

“โอ้ ! นั่นเป็นเหตุผลว่าทําไมเจ้าเมืองหลานโจวจึงเห็นใจในการใช้จ่ายของนาง และสามารถใช้จ่าย 50 ล้านเหรียญเงิน แต่ในที่สุดนางก็ยังขาดแคลนเงิน เมื่อพูดถึงทองคํา นางไม่มีอํานาจเลย ฮ่าๆๆ !” นางถอนหายใจ “โชคไม่ดี ดูเหมือนว่าฮูหยินจะไม่สามารถเอาหยกกล่องนี้กลับไปได้”

 

เฟิงหยูเฮงยิ้มอย่างมีเลศนัย รอยยิ้มจากฮูหยินเกลียดที่นางไม่สามารถเดินหน้าต่อไปและฉีกยิ้มออกจากกัน แต่เมื่อความโกรธของนางไปถึงจุดสูงสุด นางก็ได้ยินเฟิงหยูเฮงกล่าวว่า “อ้า ! ฮูหยิน ทําไมท่านไม่แสดงตัวตนของท่านก่อนหน้านี้ ? หากเรารู้ว่าท่านเป็นครอบครัวของเจ้าหน้าที่ที่ทรงอํานาจเช่นนี้ ข้าจะไม่ไว้หน้าท่านได้อย่างไร”

 

ดวงตาของฮูหยินเป็นประกายขึ้นมา “หมายความว่าอย่างไร”

 

เฟิงหยูเฮงกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “เงิน 50 ล้านเหรียญทองคือการหลอกคนนอก เนื่องจากฮูหยินมีภูมิหลังเช่นนี้ เราย่อมไม่สามารถบอกราคาแพงเช่นนี้ได้” ในขณะที่นางพูดนางไตร่ตรองว่า “เงินประมาณ 80 ล้านเหรียญเงินนั้นเป็นอย่างไร ตกลงหรือไม่ ? ”

 

“หืม? ” ฮูหยินนั้นตกใจและไม่อยากจะเชื่อเลย “นี่เป็นเรื่องจริงหรือโกหก? ” นางเริ่มเห็นแววแห่งความหวังอย่างแท้จริง !

 

“แน่นอน มันเป็นเรื่องจริง” ทัศนคติของเฟิงหยูเฮงจริงใจมาก “เป็นเงิน 80 ล้านเหรียญเงิน ฮูหยินมี 50 ล้านเหรียญเงินที่นี้ อย่างไรก็ตาม 30 ล้านเหรียญเงินยังขาดไป ตามที่ท่านเห็นมัน…”

 

“ตอนนี้ข้ายังไม่มี แต่ข้าจะเอามาให้เจ้าในอีกไม่กี่วันข้างหน้า” ฮูหยินได้ทุ่มหมดตัก นางกัดฟันยืนตั๋วแลกเงินในมือออกไป “นี่จะถือเป็นการมัดจํา ข้าขอน้ําหยกกลับไปด้วย ในปัจจุบันเรากําลังอยู่ในที่ทําการ แล้วเจ้าส่งคนไปเอาเงินที่นั่นได้”

 

เฟิงหยูเฮงผลักตั๋วแลกเงินกลับไป “เนื่องจากฮูหยินเป็นฮูหยินของเจ้าเมืองหลานโจว เราจะเอาเงินฝากจากท่านได้อย่างไร เราเชื่อมั่นในตัวท่าน ท่านสามารถนําหยกนี้กลับไปด้วยได้ ในอีกสองวัน ข้าจะไปเอาเงินด้วยตัวเอง เมื่อเวลานั้นมาถึง เพียงมอบเงิน 80 ล้านเหรียญเงินให้ข้า”

 

“จริงๆหรือ ?”

 

“จริง”

 

ฮูหยินเห็นเพิงหยูเฮงพยักหน้า และไม่ได้พูดอะไรสักคําก่อนที่จะก้าวไปข้างหน้าเพื่อหยิบกล่อง นางไม่ยอมปล่อยให้บ่าวรับใช้ถือ นางพยักหน้าให้เฟิงหยูเฮง และกล่าวว่า “ขอบคุณมาก” จากนั้นนางก็ลงบันไดอย่างรวดเร็ว

 

ฉิงหยูค่อนข้างกังวล “คุณหนู คุณหนูไม่กลัวว่านางจะหนีไปหรือเจ้าคะ? ในท้ายที่สุดไม่ว่านางจะเป็นฮูหยินของเจ้าเมืองหลานโจวก็ตาม”

 

เฟิงหยูเฮงยิ้มแล้วกล่าวว่า “ตัวตนของนางไม่เป็นปัญหา คนปกติไม่สามารถนาตั๋วแลกเงินจํานวนมากออกมาได้ในคราวเดียว แต่…” นางยิ้มอย่างมีเลศนัยแล้วกล่าวว่า “ในอีก 2 ชั่วยาม ให้ไปแจ้งทางการ แค่บอกว่าองค์หญิงจีอันทํากล่องใส่หยกสีขาวบริสุทธิ์หายไป 1 กล่อง ราคาสูงมาก”

 

ตอนที่ 673 ทุกการกระทํามีค่าใช้จ่าย

 

ท่านฮูหยินคนนี้จี้จี้ตามปกติ ในความเป็นจริงนางดูเครื่องประดับก่อนที่นางจะดูถูกเหยียดหยาม สิ่งเหล่านั้นที่ดูเหมือนว่าเป็นสินค้าที่เหนือกว่าของเฟิงหยูเองนั้นไม่คุ้มกับนาง แม้แต่บ่าวรับใช้ที่อยู่ข้าง ๆ นางก็เปล่งเสียงแผ่วเบาและกล่าวว่า “ถ้าไม่ใช่เพราะเราเดินทางมาไกลเช่นนี้ เราจะนําเครื่องประดับดี ๆ มาด้วยอย่างแน่นอน เราคิดว่าเมืองหลวงจะเป็นขุมทรัพย์ และเราจะได้อะไรก็ได้ที่เราต้องการ แต่ใครจะรู้ว่าสถานที่แห่งนี้เป็นที่รู้จักดีที่สุดในเมืองหลวงจะมีแต่สินค้าคุณภาพต่ําเท่านั้น”

 

ฉิงหยูหัวเราะด้วยความโกรธ นางมองที่ท่านฮูหยินและถามว่า “ถ้าสิ่งเหล่านี้เป็นของที่มีคุณภาพต่ํา ข้าอยากถามท่านฮูหยินว่าอะไรถือว่าดีเจ้าคะ ?”

 

“หึ ! ” ท่านฮูหยินผู้มั่งคั่งไม่ได้พูด แต่บ่าวรับใช้ถาม “ข้าต้องถามเจ้าว่าถ้าพระสนม ของฮ่องเต้ในพระราชวังต้องการซื้อของ เจ้าเต็มใจส่งของเหล่านี้ไปที่พระราชวังหรือไม่ ? ”

 

ฉิงหยูยิ้ม และตอบว่า “โดยธรรมดาเราทําไม่ได้เจ้าค่ะ พระสนมของฮ่องเต้จะได้รับเครื่องประดับที่มีคุณภาพสูงกว่านี้เจ้าค่ะ”

 

“แล้วมีหรือไม่ ! ” ดวงตาของบ่าวรับใช้ดุร้าย “มันชัดเจนว่าเจ้ากําลังดูถูกท่านฮูหยินของ ข้านําสิ่งที่เจ้าส่งเข้ามาพระราชวังอย่างรวดเร็ว อย่าเสียคําพูดของเจ้า”

 

ฉิงหยูปล่อยเสียงเย็นออกมา “ท่านฮูหยินต้องการของที่สามารถส่งเข้าไปในพระราชวังได้งั้นหรือเจ้าคะ ? ถ้าอย่างนั้นข้าขอถามท่านฮูหยินว่าท่านเป็นพระสนมของฮ่องเต้หรือไม่เจ้าคะ ?”

 

“ทําไมเจ้าช่าง…” บ่าวรับใช้อุทาน แม้กระนั้นนางก็ถูกหยุดโดยท่านฮูหยิน จากนั้นนางก็ถามถึงหยู “เราพูดก่อนหน้านี้ว่าเรามาจากทางใต้ โดยธรรมชาติแล้วเราไม่สามารถประกาศตัวเองว่าเป็นพระสนมของฮ่องเต้ได้ แต่ข้าต้องถามเจ้า ถ้าเราไม่พูด เจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเราไม่ได้มาจากพระราชวัง ถ้าข้าเป็นเจ้า ข้าจะไม่ทําให้พระสนมของฮ่องเต้ขุ่นเคือง”

 

ฉิงหยูมองไปที่ท่านฮูหยินราวกับว่านางเป็นคนโง่แล้ว พูดหลังจากนั้นไม่นาน “แน่นอนท่านฮูหยินมาจากทางใต้ ไม่เช่นนั้นใครก็ตามที่อยู่ใกล้เมืองหลวงจะไม่พูดสิ่งนี้ ท่านฮูหยิน ถ้าท่านฮูหยินเป็นพนะสนมของฮ่องเต้จริง ๆ ท่านฮูหยินจะว่าง่ายกว่านี้เจ้าค่ะ”

 

“อ๋อ” ท่านฮูหยินงงงวย “เจ้าหมายถึงอะไร ? ”

 

ฉิงหยูเล่าให้นางฟัง “เพราะพระสนมของฮ่องเต้จะไม่มาที่นี่อย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น พวกนางจะไม่มาที่นี่เพื่อพยายามสร้างปัญหาเจ้าค่ะ”

 

“เจ้ากําลังบอกว่าท่านฮูหยินของเราสร้างปัญหาหรือ ? ” บ่าวรับใช้เริ่มตะโกน “เจ้าทําธุรกิจหรือไม่ ? เรามาที่นี่พร้อมเงินเพื่อซื้อของ แต่เจ้าบอกว่าเรากําลังสร้างปัญหาให้เจ้าเดือดร้อน”

 

ฉิงหยูโบกมือของนาง “แต่ข้าได้นําเครื่องประดับที่ดีที่สุดที่สามารถขายได้มาแล้ว แต่ท่านฮูหยินไม่พอใจ นั่นเป็นเพียงวิธีการทําธุรกิจ ร้านนี้ไม่มีสิ่งที่ท่านฮูหยินต้องการ และท่านฮูหยินสามารถไปที่ร้านอื่นได้เจ้าค่ะ ท่านฮูหยินไม่สามารถก่อปัญหาเพราะไม่มีอะไรที่ท่านฮูหยินชอบวันนี้ ท่านพูดว่าศาลานิพพานมีสินค้าคุณภาพต่ํา ข้าไม่ได้โต้เถียงกับท่านเพราะท่านมาไกลท่านฮูหยิน ได้โปรดกลับไป !” หลังจากที่นางพูดจบ นางก็สั่งให้พนักงานเก็บเครื่องประดับต่างๆบนโต๊ะทัน

 

บ่าวรับใช้นั้นขุ่นเคืองมาก อย่างไรก็ตามนางก็รู้สึกว่าฉิงหยูยากที่จะจัดการ นางมองที่ท่านฮูหยิน และได้ยินท่านฮูหยินกล่าวว่า “จะเอาเครื่องประดับที่ขายให้กับพระสนมของฮ่องเต้ในพระราชวังได้อย่างไร ? หากมีอะไรที่ข้าชอบก็ไม่มีปัญหาเรื่องเงินสําหรับเจ้า”

 

ฉิงหยูส่ายหัว “ไม่ใช่เจ้าค่ะ”

 

” ทําไมไม่ล่ะ ? ”

 

“ท่านฮูหยินไม่มีคุณสมบัติเจ้าค่ะ”

 

ทั้งสองเดินไปมา แต่มันทําให้ท่านฮูหยินรู้สึกละอายใจ อย่างไรก็ตามบ่าวรับใช้ไม่มีความสุขอีกครั้ง ตะโกยอย่างดุเดือดว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้ากําลังพูดอะไร ? ท่านฮูหยินของเราไม่มี คุณสมบัติ ? ก็แค่เครื่องประดับเอง ท่านฮูหยินของเราจะไม่มีคุณสมบัติได้อย่างไร”

 

ฉิงหยูรู้สึกว่าการอธิบายเหตุผลต่อทั้งสองคนนั้นเป็นเรื่องยากจริง ๆ และนางก็อดไม่ได้ที่จะลุกขึ้นและกล่าวว่า “เพราะนั่นเป็นสิ่งที่พระสนมของฮ่องเต้เท่านั้นที่สามารถใช้ได้ ถ้าท่านฮูหยินรู้สึกว่าตําแหน่งของท่านอยู่ในระดับเดียวกับพระสนมของฮ่องเต้ ข้าจะไม่รังเกียจที่จะส่งให้ท่านฮูหยินทันทีเพื่อให้พระสนมของฮ่องเต้ทําการตัดสินใจขั้นสุดท้าย นอกจากนี้ข้าจะเตือนท่านฮูหยินว่าพระสนมของฮ่องเต้เป็นเจ้านายทุกคนเหนือระดับที่แน่นอน ท่านฮูหยินคิดว่าท่านมีสถานะอย่างไร?”

 

ฉิงหยูนั้นเด็ดเดี่ยวมากเมื่อนางพูดสิ่งนี้ ไม่มีใครในเมืองหลวงหรือในพระราชวังที่ไม่รู้ว่าองค์หญิงจีอัน, เฟิงหยูเฮงเป็นเจ้าของร้านขายเครื่องประดับแห่งนี้ จะไม่มีอะไรดีกว่าที่จะทําและสร้างปัญหาที่นี่ ? แม้แต่พระสนมของฮ่องเต้ก็ยังต้องเผชิญหน้า แม้ว่าฮองเฮาจะมา พระองค์ก็จะพูดอย่างกรุณา แน่นอนว่าพระองค์จะไม่ทําตัวแบบนี้และวางตัวอย่างสุภาพ คนตรงหน้าพวกเขาไม่รู้จักที่ต่ําที่สูงจริง ๆ

 

“ท่านฮูหยิน ข้าจะไม่ส่งท่านฮูหยินนะเจ้าคะ” ฉิงหยูเป็นคนที่ไม่สุภาพเลย ไล่พวกเขาออกไป

 

บ่าวรับใช้อยากจะพูดอะไรเพิ่มเติม แม้กระนั้นนางก็ถูกหยุดโดยท่านฮูหยิน นางไม่ลงบันได นางเดินไปรอบ ๆ ชั้นสามจนกระทั่งนางมองไปที่ชวนเทียนหมิงและเฟิงหยูเฮง อย่างไรก็ตามนางปล่อยเสียง “เหอะ” และจ้องตรงไปที่กล่องซวนเทียนหมิงกําลังถือ

“พวกเจ้าสองคนมาซื้อของด้วยหรือไม่ ? ” นางถามชวนเทียนหมิงโดยตรง

 

ชวนเทียนหมิงภูมิใจในตัวคนมากเพียงใด ! เขาเป็นคนที่ใคร ๆ ก็สามารถพูดกับเขาได้ถ้าพวกเขาต้องการงั้นหรือ ? เขากลอกตาทันทีแล้วเอนกายลงบนเก้าอี้เพื่อพักผ่อน

 

ท่านฮูหยินรู้สึกอับอายและบ่าวรับใช้นั้นโมโหรีบกล่าวว่า “เฮ้! ท่านฮูหยินกําลังพูดกับเจ้า เจ้าหูหนวกหรือ ?”

 

ครั้งนี้มีการกล่าวว่าผู้คนในศาลานิพพานกลัวมาก ฉิงหยูรีบเดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วต่อหน้าชวนเทียนหมิง นางกระซิบเบา ๆ ว่า “องค์ชายอย่าพึ่งโกรธนะเพคะ สถานที่แห่งนี้ไม่สา มารถต่อสู้ได้ หากสิ่งต่าง ๆ แตก เงินขององค์ชายเองก็จะสูญหายไปเจ้าค่ะ”

 

เมื่อชวนเทียนหมิงได้ยินสิ่งนี้ ความโกรธของเขาก็ลดลง มือที่ยื่นเข้าไปในแขนเสื้อของเขาเพื่อดึงแส้กลับมา ฉิงหยูก็พูดถูก ! ถ้าเขาลงมือที่นี่และทําลายสิ่งของ ชายาของเขาจะรู้สึกเป็นทุกข์อย่างยิ่ง เขาไม่สามารถเฆี่ยนตีพวกนางได้

 

“ข้าขอให้บ่าวรับใช้ของท่านฮูหยินมีมารยาทด้วยเจ้าค่ะ !” ฉิงหยูหันกลับมา และส่งเสียงของนาง “นี่เป็นสถานที่ที่ดําเนินธุรกิจที่เหมาะสม มันไม่ใช่สถานที่ที่ทนต่อความอหังการ ! ธุรกิจทั้งหมดในเมืองหลวงได้รับความคุ้มครองจากทางการ หากบ่าวรับใช้ของท่านฮูหยินไม่รู้วิธีการพูดอย่างแท้จริง ข้าสามารถส่งนางไปยังทางการเพื่อรับการสอนได้”

 

คําพูดของฉิงหยูหยาบคายสิ้นดีและสายตาของนางเยือกเย็น ท่านฮูหยินเข้าใจวิธีการอ่านสถานการณ์อย่างชัดเจน เมื่อเห็นว่าคนงานในร้านกล้าพูดกับนางแบบนี้ ทั้ง ๆ ที่รู้ว่านางเป็นท่านฮูหยินของขุนนาง นางรู้ว่าผู้สนับสนุนร้านนี้มีเบื้องหลังบางอย่าง นางจําสิ่งที่สามีพูดในระหว่างเดินทาง เขาบอกว่าเมืองหลวงไม่สามารถเปรียบเทียบกับมณฑลรอบนอกได้ ราชวงศ์อยู่ใกล้ และบุคคลที่พบเห็นทั่วไปอาจมีความสัมพันธ์ในทางใดทางหนึ่งกับตระกูลขนาดใหญ่ร้านค้า บางแห่งในเมืองหลวงอาจเป็นของผู้มีอํานาจยิ่งใหญ่ เป็นไปได้ว่าร้านบางร้านอาจเป็นของราชวงศ์ นั่นเป็นสาเหตุที่นางต้องระวังอย่างมากในเมืองหลวง นางต้องไม่ทําตัวประมาทเหมือนที่นางทําในภาคใต้

 

ดังนั้นนางจึงห้ามไม่ให้บ่าวรับใช้ของนางพูดอีกต่อไป จากนั้นนางก็เดินผ่านฉิงหยูและถามเฟงหยูเฮงด้วยรอยยิ้ม “เจ้ามากับสุภาพบุรุษคนนี้หรือ ?”

 

เฟิงหยูเฮงกลอกตาใส่นาง “ท่านฮูหยินต้องการถามคําถามข้า ข้าขอบอกท่านฮูหยินก่อนได้ที่จะถามคําถาม ท่านฮูหยินไม่สามารถใช้คําว่า “เจ้า” ได้ ท่านต้องใช้ทําว่า “แม่นาง” ” หลังจากพูดจบนางส่ายหัว “คนจากทางใต้ไม่รู้กฎจริง ๆ”

 

ท่านฮูหยินโกรธ แต่นางก็พยายามอย่างเต็มที่ที่จะระงับมันโดยถามซ้ําคําถามของนาง “ข้าขอถามแม่นางได้หรือไม่เจ้ามากับสุภาพบุรุษคนนี้หรือไม่ ? ”

 

เฟิงหยูเฮงพยักหน้า “ใช่”

 

อีกด้านหนึ่งกล่าวว่า “ข้าเห็นว่าเจ้ามีกล่องไม้ที่ดูแพงมาก สําหรับกล่องไม้ที่มีราคาแพงเช่นนี้สิ่งที่อยู่ในกล่องจะค่อนข้างแพง นั่นเป็นสิ่งที่ถูกซื้อที่ศาลานิพพานนี้หรือไม่ ?”

 

ฉิงหยูก็โกรธเช่นกันและตอบแทนเฟิงหยูเฮงทันที “ไม่จําเป็นที่ท่านฮูหยินต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้”

 

อย่างไรก็ตามเฟิงหยูเฮงหยุดนางแล้วกล่าวพร้อมกับยิ้มว่า “ถูกต้องแล้ว อันที่จริ งมันเป็นหยกที่ดีข้ากําลังเตรียมที่จะนํามันกลับไปทําเครื่องประดับ”

 

ดวงตาของท่านฮูหยินสว่างขึ้น หยก นางรักหยกมากที่สุด นางต้องการเยี่ยมชมเมืองหลวงเพื่อค้นหาหยกคุณภาพเยี่ยม ใครจะรู้ว่าจริง ๆ แล้วนางจะจบลงด้วยการวิ่งเข้าไปเจอสมบัติดังกล่าว

 

นางถามอย่างรวดเร็ว “ข้าขอดูได้หรือไม่ ? ”

 

เฟิงหยูเฮงงงงวย “ทําไมข้าต้องให้เจ้าดู ?”

 

“ถ้าท่านฮูหยินของเราคิดว่าดี เราจะซื้อในราคาที่สูง เรารับประกันได้ว่าเจ้าจะไม่ขาดทุนบ่าวรับใช้พูดเร็ว และไม่สามารถหยุดตัวเองจากการแทรกแซง

 

หลังจากท่านฮูหยินได้ยินเรื่องนี้ นางก็พยักหน้าแสดงว่านางมีความตั้งใจเช่นนั้น

 

ผลก็คือเมื่อนางพยักหน้า ซวนเทียนหมิงหัวเราะและกล่าวว่า “ไม่มีสิ่งแปลก ๆ ในโลกนี้เลยจริง ๆ ข้าไม่เคยเห็นเรื่องแปลก ๆ หรือเห็นคนโง่มาหลายปีแล้ว”

 

อย่างไรก็ตามเฟิงหยูเฮงไม่รู้สึกว่ามันตลก เพราะนางคิดอย่างรวดเร็วและกล่าวว่า “เจ้าสามารถดูได้ แต่เจ้าไม่สามารถดูได้ฟรี ๆ”

 

“โอ้ อย่างนั้นหรือ ? ” ท่านฮูหยินเริ่มให้ความสนใจ และถามว่า “บอกหน่อยสิว่าจะได้รับการพิจารณาเท่าไหร่”

 

รอยยิ้มกลับกลอกปรากฏบนริมฝีปากของนาง อย่างไรก็ตามพวกนางไม่ได้สังเกตเห็น เฟิงหยูเฮงกล่าวว่า “ท่านฮูหยินมีสายตาที่ดีโดยตระหนักถึงวัสดุที่ในกล่องนี้ว่าไม่ธรรมดามันเป็นอย่างที่ ท่านพูด สิ่งที่อยู่ในกล่องที่ทําด้วยวัสดุที่ไม่ธรรมดาจะไม่ใช่หยกธรรมดาแต่สําหรับวิธีการออก จะธรรมดาไปหน่อย และไม่ว่าจะเป็นการล่อลวงท่านฮูหยินใช้สิ่งที่ข้าสามารถรับผิดชอบ กล่องนี้เป็นของข้าและของข้างในก็เป็นของข้าด้วย หากท่านฮูหยินอยากดู ข้าก็จะให้ท่านฮูหยินดู ขอข้าคิดดูก่อน” หลังจากคิดเล็กน้อยนางกางนิ้วห้านิ้วของนาง “ค่าดู 500 เหรียญเงิน”

 

“อะไรนะ ?” บ่าวใช้ร้องตะโกน “เจ้าจะโกงพวกเราหรือ ?”

 

เฟิงหยูเฮงพยักหน้า “ถูกต้อง ข้าโกงเงิน ใครบอกท่านฮูหยินของเจ้าให้ยืนกรานที่จะดูของของข้า ทําไมข้าต้องแสดงสิ่งของของข้าให้คนอื่นดู ?”

 

“เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร” บ่าวรับใช้ดูถูกเหยียดหยาม แม้ว่าเฟิงหยูเฮงจะสวมเสื้อผ้าที่ค่อนข้างดี แต่นางก็ยังด้อยกว่าเมื่อเทียบกับท่านฮูหยินของนาง คนแบบนี้ส่วนใหญ่เป็นคุณหนูที่มีเงินเพียงเล็กน้อย อย่างน้อยที่สุดพวกเขาจะคิดถึงคุณหนูจากครอบครัวของขุนนาง พวกเขาไม่สามารถมีสถานะสูงเกินไป ดังนั้นคําพูดที่นางพูดจึงไม่สุภาพมากขึ้น “ท่านฮูหยินของข้าต้องการเห็นของของเจ้า นั่นคือความโปรดปรานที่มอบให้เจ้า อย่าดูถูกเมื่อได้รับ”

 

เพี้ยะ !

 

ฉิงหยูยกมือขึ้นตบหน้าของบ่าวรับใช้อย่างรุนแรง มีรอยมือปรากฏที่ใบหน้าบ่าวรับใช้ “เจ้าไม่ใส่ใจกับคําพูดของเจ้า ข้าจะสอนบทเรียนให้เจ้า นอกจากนี้ยังจะช่วยให้เจ้านายของเจ้ามีปัญหาในการเสียหน้าเมื่อออกไปข้างนอก”

 

บ่าวรับใช้รู้สึกงงงวยจากการถูกโจมตี นางอยู่กับเจ้านายคนนี้มาหลายปีแล้ว เมื่อพวกเขาอยู่ในภาคใต้พวกเขาจะเคลื่อนไหวตามที่พวกเขาพอใจ ไม่ว่าพวกเขาจะทําอะไร ไม่มีใครกล้าทําอะไร พวกเขาทําไมหลังจากที่พวกเขามาถึงเมืองหลวง คนที่ทําธุรกิจกล้าที่จะตบนางแบบนี้ ?

 

และการตบนี้ก็ทําให้นางตกใจ นางไม่สนใจบ่าวรับใช้ของนาง นางชี้ไปที่เฟิงหยูเฮงและถามฉิงหยู “นางมีความสัมพันธ์เช่นไรกับเจ้า ?”

 

ฉิงหยูตอบว่า “เจ้านายและบ่าวรับใช้”

 

“เจ้าของศาลานิพพาน ?”

 

ฉิงหยูพยักหน้า “ใช่”

 

ท่านฮูหยินงงงวย นางเป็นเพียงเจ้าของร้านขายเครื่องประดับ แต่นางก็มีผลงานที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ นางไม่สามารถช่วยได้ แต่มองที่เพิ่งหยูเฮงอีกครั้ง นางอยากถามว่าผู้หญิงตัวเล็กคนนี้เป็นใคร

 

แต่ในเวลานี้นางได้ยินเฟิงหยูเฮงถามนางอีกครั้งว่า “ท่านอยากดูหรือไม่ ถ้าอยากดูจ่ายมาเงิน 500 เหรียญเงิน ?”

 

ตอนที่ 672 รอในขณะที่ซื้อของ และเต็มใจที่จะใช้จ่าย

 

เฟิงหยูเฮงจําได้ว่าเมื่อหลู่เหยาแต่งงานกับคฤหาสน์เหยาในวันนั้นมีของขวัญพร้อมกับเจ้าสาวให้กับคฤหาสน์ ตามกฎหลังจากที่พวกเขาดูเหยาซูพาเจ้าสาวเข้ามาในคฤหาสน์ พวกเขาจะหันหลังกลับโดยทิ้งบ่าวรับใช้ที่จะมากับเจ้าสาว ในเวลานั้นนางมองและนางเห็นบ่าวรับใช้สองสามคนในกลุ่มนั้น คนที่นางเพิ่งเห็นดูเหมือนจะอยู่ในกลุ่มนั้น

 

“มีคนจากตระกูลหลู่” นางเกาคางและพูดกับชวนเทียนหมิง “ดูเหมือนว่าข้าเคยเห็นบ่าวรับใช้คนนั้นมาก่อนเมื่อตระกูลหญ่มาส่งของขวัญระหว่างงานแต่งงาน”

 

ผู้คนในตระกูลหญ่มาซื้อเครื่องประดับเป็นเรื่องปกติ แต่ชวนเทียนหมิงรู้สึกงงงวย “เจ้าบอกว่านางมีอาการป่วยซับซ้อน อากรป่วยอะไร ? ข้าไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับคุณหนูตระกูลหญ่ที่มีอาการป่วยซับซ้อน”

 

เฟิงหยูเฮงหัวเราะเยาะเขาว่า “ถ้าทุกคนรู้เรื่องนี้ มันจะเป็นอาการปวยที่ซับซ้อนได้อย่างไร”

 

ชวนเทียนหมิงยักไหล่ “แต่ออกมาแบบนี้นางไม่กลัวที่จะถูกค้นพบหรือ?”

 

นางคิดเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “บางทีนางอาจรู้สึกกังวลและอยากมาดูเครื่องประดับ นางสวมผ้าคลุมหน้า และข้าก็เป็นคนหนึ่งที่สามารถบอกได้ว่ามีอะไรผิดปกติ บางคนอาจคิดว่านางใช้เครื่องประทินผิวที่มีคุณภาพต่ํา”

 

ชวนเทียนหมิงสนใจเล็กน้อย “อาการปวยที่ซับซ้อนที่เจ้าพูดถึงมันคืออะไร ? อาการปวยออะไร ? ”

 

เฟิงหยูเฮงคิดเล็กน้อย “อาจเรียกว่ากลิ่นตัวหรือกลิ่นเหงื่อ ถ้าพระราชวังคัดเลือกสนม พวกเขาจะทําการประเมินอย่างแม่นยําเกี่ยวกับปัญหานี้ ข้าได้ยินมาว่ามีคนจํานวนมากตกรอบเพราะปัญหาแบบนี้ พวกเขาจะมีปัญหาในการแต่งงานตลอดชีวิต หลังจากที่ทุกคนต้องมีภรรยาที่มีกลิ่นตัวเหม็น ราชสํานักของราชวงศ์ต้าชุนของเราไม่ได้มีคนเช่นนี้มาเป็นเวลาหลายปี เมื่อคิดถึงเด็ก ๆ ของตระกูลหลู่นั้นไม่จําเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ มันเป็นแค่ข้าไม่รู้ว่าคุณหนูคนไหน ของตระกูลหลู่” นางใช้ข้อศอกของนางเพื่อสะกิดชวนเทียนหมิง “มีคุณหนูที่คนในตระกูลหลู่”

 

ชวนเทียนหมิงคิดอยู่พักหนึ่งแล้วกล่าวว่า “ดูเหมือนว่ามี 3 คน คุณหนูใหญ่เกิดมาจากอนุและมีคุณหนู 2 คนที่เกิดจากฮูหยินใหญ่ แต่พวกเขาเกิดมาจากมารดาที่แตกต่างกัน ท่านฮูหยินคนปัจจุบันของคฤหาสน์หลู่คือเก้อซื้อ”

 

ในขณะที่พวกเขาพูดกัน ฉิงหยูได้ออกมาจากศาลานิพพานแล้ว เมื่อเห็นพวกเขานางก็ทักทายแล้วกล่าวว่า “ให้พวกเขากําจัดกลิ่นภายในก่อน องค์ชายและคุณหนูรอสักครู่ก่อนเจ้าค่ะ” ขณะที่นางพูด นางมองไปรอบ ๆ ถนน แต่ผู้หญิงคนนั้นหายไปแล้ว ฉิงหยูขมวดคิ้วและกล่าวว่า “คุณหนูจากตระกูลไหน มันไม่ได้ดูเหมือนว่านางขาดแคลนเงิน แต่เครื่องสําอางที่นางใช้นั้นแย่มากเจ้าค่ะ!มันเป็นสาเหตุที่ทําให้คนอื่นคลื่นไส้”

 

เฟิงหยูเฮงถามนางว่า “นางสั่งซื้อเครื่องประดับหรือไม่ ?”

 

ฉิงหยูพยักหน้า “นางสั่งเครื่องประดับ 2 ชุด และทั้งคู่ทําจากวัสดุราคาแพง นอกจากการจ่ายเงินมัดจําส่วนแรก นางยังจ่ายเงินมัดจําสําหรับวัสดุตามกฎของเรา นางค่อนข้างใจดีกับการใช้จ่าย”

 

“ไม่จริง” เฟิงหยูเฮงคิดสักพักแล้วกล่าวว่า “สาวน้อยคนนั้นมีอาการปวยซับซ้อน ไม่ จําเป็นต้องคิดมากนางเป็นลูกค้า ดังนั้นเพียงปฏิบัติต่อนางเหมือนลูกค้าคนอื่น ในกรณีที่เลวร้ายที่สุดให้เตรียมห้องส่วนตัวในครั้งต่อไปที่นางมา อย่าปล่อยให้มันขัดจังหวะการทํางานของร้าน”

 

ฉิงหยูปฏิบัติตาม ในเวลานี้พนักงานคนหนึ่งบอกว่ากลิ่นข้างในหายแล้วและเชิญพวกเขาเข้าไปข้างใน ฉิงหยูกล่าวกับเฟิงหยูเฮง “เหมืองหยกได้ส่งวัสดุจํานวนมาก และพวกมันทั้งหมดมีคุณ

 

ภาพสูงสุด คุณหนูจะขึ้นมาชั้นบนเพื่อดูว่ามีอะไรที่คุณหนูชอบหรือไม่เจ้าคะ หากคุณหนูต้องก็ให้ช่างฝีมือทําเครื่องประดับให้ ข้ารู้สึกว่าวัสดุเหล่านั้นดูดีมากเจ้าค่ะ”

ในท้ายที่สุดเฟิงหยูเฮงเป็นผู้หญิงเมื่อได้ยินว่ามีของดี นางวิ่งขึ้นบันไดอย่างมีความสุขการ

 

ชวนเทียนหมิงอยู่ข้างหลังนางด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น แต่เขาก็ขึ้นบันได เฟิงหยูเฮงพูดกับเขาว่าสุภาพบุรุษจะเต็มใจรอผู้หญิงเมื่อพวกนางซื้อของและเต็มใจที่จะจ่ายเงินเมื่อนางต้องการเขา เห็นด้วยกับประเด็นที่สอง แต่การรอเมื่อผู้หญิงไปซื้อของเป็นการทดสอบความอดทนของเขา

 

แต่มากับชายาของเขาเป็นสิ่งที่เขามีความสุขที่จะทํา นอกจากนี้ชายาคนนี้เป็นที่น่าพอใจมาก ทั้งสองจะไม่เบื่ออีกฝ่ายและเฟิงหยูเฮงเป็นขุมสมบัติที่เคลื่อนไหว นางยังมีมิติที่ย้ายไปกับนาง สิ่งนี้ทําให้ชวนเทียนหมิงใส่ใจมากกว่าเดิม

 

กลุ่มของพวกนางขึ้นไปที่ชั้นสามและฉิงหยูก็นํากล่องหยกออกมา กลุ่มไม่ได้เข้าไปในห้องส่วนตัว พวกเขานั่งอยู่ในห้องโถงของชั้นสาม กล่องหยกถูกเปิดออกต่อหน้านาง แม้สําหรับคนที่คุ้นเคยกับการดูเครื่องประดับจากยุคสมัยใหม่เช่นเฟิงหยูเฮง นางก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากชม “สวยมาก ! ”

 

หยกขาวบริสุทธิ์มีพื้นผิวที่อบอุ่น มันให้ความรู้สึกว่ามีวิญญาณบางอย่าง มันทําให้ผู้คนรู้สึกราวกับว่าพวกเขารู้สึกถึงมือที่เป็นของคนที่เป็นญาติพี่น้องของพวกเขา มันไม่ได้รู้สึกไม่คุ้นเคยเลยแม้แต่น้อยและนางก็ไม่ต้องการที่จะปล่อย นางต้องการที่จะจับมันไว้ตลอดไป

 

ทันใดนั้นนางก็รู้สึกตกใจเมื่อมองที่ชวนเทียนหมิงกล่าวว่า “หยกนี้มีจิตวิญญาณ”

 

แน่นอนว่าหยกไม่สามารถมีจิตวิญญาณได้ อย่างไรก็ตามซวนเทียนหมิงรู้ว่าคําพูดของนางหมายความว่าอย่างไร เขาจึงบอกนางว่า “นี่คือคุณค่าของหยกที่ดี มิฉะนั้นทําไมถึงพูดว่าหยกเลือกคนและคนเลือกหยก เมื่อพวกมันเลือกเจ้าของแล้ว คนผู้นั้นจะต้องดูแลหยกและหยกจะเสริมแต่งบุคคลนั้น ทั้งสองสนับสนุนซึ่งกันและกันเพื่อให้หยกมีความสวยงามยิ่งขึ้นและเพื่อให้บุคคลนั้นเจริญรุ่งเรืองมากยิ่งขึ้น”

 

เขาเอื้อมมือไปแตะชิ้นหยกและหัวใจของเขาก็ถูกจับเช่นกัน อย่างไรก็ตามเขาไม่แปลกใจเหมือนกับเฟิงหยูเฮงกล่าวว่า “มันเป็นหยกที่ดีจริง ๆ สิ่งที่สามารถพบได้ทุก ๆ พันปีเท่านั้น” หลังจากที่เขาพูดจบเขาถามฉิงหยู “มีหยกที่มีคุณภาพใกล้เคียงกันกี่ชิ้นที่ถูกส่งมา ?”

 

ฉิงหมูตอบว่า “ไม่มากเจ้าค่ะ มีเพียงก้อนเดียวเท่านั้น พวกมันทั้งหมดถูกเลือกโดยหัวหน้า แต่วัสดุอื่น ๆ ก็ดีมาก แม้ว่าพวกมันจะไม่สามารถเปรียบเทียบกับชิ้นนี้ได้ แต่พวกมันก็ยังคงเป็นระดับสูงสุดเมื่อวางในร้านนี้ แน่นอนว่าพวกมันไม่ได้เลวร้ายไปกว่าสิ่งที่ส่งเข้ามาในพระราชวังตลอดหลายปีที่ผ่านมาเจ้าค่ะ”

 

เฟิงหยูเฮงมีความสุขมากที่ได้ยินเรื่องนี้ นางถือหยกชิ้นใหญ่ไว้ในมือนางถอนหายใจ “หยกชิ้นนี้จะขายได้ราคาเท่าไหร่ ?”

 

“คุณหนู นี่เป็นสิ่งที่เห็นได้ทุก ๆ พันปี” ฉิงหยูหัวเราะและกล่าวว่า “ท่านคิดว่าจะขายได้เท่าไหร่ ? วัสดุนี้ถูกเก็บไว้เป็นพิเศษสําหรับคุณหนู มันเป็นเครื่องประดับสําหรับตัวเองหรือสําหรับการแกะสลัก นั่นจะดีกว่าการขายให้คนอื่นเจ้าค่ะ”

 

ชวนเทียนหมิงพยักหน้า กล่าวว่า “ถูกต้อง เจ้าขาดเงินหรือ ? มีแต่สิ่งดี ๆ ที่หาได้ยาก หากเจ้าขายมันไป เจ้าจะไม่เห็นชิ้นหยกที่ดีอีกแล้ว”

 

เฟิงหยูเฮงรู้สึกเจ็บปวดมาก “ถ้าเจ้าทําเป็นเครื่องประดับ ข้าไม่ชอบสวมเครื่องประดับ เจ้าเห็นข้าปักปั่นมากมายบนหัวของข้าหรือไม่ แต่นั่นเป็นเพราะข้าเข้าร่วมงานเลี้ยงของพี่เจ็ดเมื่อวานนี้ นั่นทําให้ข้าต้องสวมเครื่องประดับ มีกึ่งานเลี้ยงที่จะข้าจะต้องใส่มัน ! นอกจากนี้สิ่งที่ข้ามีไม่เลว”

 

ชวนเทียนหมิงรู้สึกงงมาก นางคนนี้เป็นผู้หญิงจริง ๆ หรือไม่? เขากล้าที่จะรับประกันว่าหากเป็นผู้หญิงคนอื่นที่เผชิญกับสิ่งดี ๆ แบบนี้ ดวงตาของพวกนางจะจ้องมองตรงไปที่มัน ไม่ต้องพูดถึงว่ามันถูกมอบให้นาง แม้ว่าจะไม่ใช่ก็ตาม พวกนางจะต้องหาถึงวิธีที่จะได้มา นอกจากนี้ยังมีบางคนที่จะทําทุกอย่างเพื่อให้ได้มา ทําไมเมื่อมันมาถึงชายาของเขา นางพยายามที่จะผลักดันสิ่งที่ได้รับให้กับนาง ?

 

ดีมาก เขาไม่ได้ลืมว่าความตั้งใจของชายาของเขาคือการผลักมันออกไป มันเป็นการ ขายเพื่อเงิน “เจ้าขาดเงินเท่าไหร่ ? ”

 

เฟิงหยูเฮงเงยหน้าขึ้นมอง “เจ้าคิดว่ามีเงินมากหรือ ? ” หลังจากพูดอย่างนี้นางถามฉิงหยูว่า “ไม่ต้องกังวลว่าข้าจะเก็บไว้หรือไม่ แค่ประมาณราคาก่อน กล่องนี้ราคาเท่าไหร่ ?”

 

ฉิงหยูเป็นทุกข์มาก แต่เมื่อเห็นว่าชวนเทียนหมิงพยักหน้าอย่างไร้ประโยชน์ นางกล่าวว่า “ราคานี้ค่อนข้างยากที่จะประเมินเพราะมีคนน้อยมากที่จะซื้อมัน มันจําเป็นต้องมีเสมอเพื่อให้สามารถใช้งานได้ สิ่งที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นสามารถขายเพื่อเงินได้เท่านั้น สําหรับกระบวนการนี้คุณภาพของงานก็จะคํานึงถึงคุณค่าด้วยเช่นกัน ตัวอย่างเช่น หากช่างฝีมือเปยถูกขอให้ทํางานชิ้นนี้เขาจะสามารถเพิ่มมูลค่าของมันได้ จะไม่เป็นการพูดเกินจริง”

 

ชวนเทียนหมิงเลือกหัวข้อนี้ “สําหรับสิ่งที่ดีนี้ไม่มีใครในโลกนี้ที่สามารถสัมผัสบางอย่างเช่นนี้ ได้นอกจากช่างฝีมือเปย”

 

“ถ้าอย่างนั้นมันก็จะแพงเกินไป” แม้แต่ฉิงหยูก็ถอนหายใจ “ไม่มีทางที่บ่าวรับใช้คนนี้จะประมาณได้ ไม่มีทางเลยจริง ๆ เจ้าค่ะ”

 

เฟิงหยูเฮงคิดแล้วถาม “ถ้าเทียบกับทองคํา 5 ล้านเหรียญทองที่ส่งโดยเฉียนโจว ?”

 

ชวนเทียนหมิงตอบเรื่องนี้ให้นางฟัง “วัสดุที่ไม่ได้ถูกแตะต้องนี้มีมากกว่าทองคํานั่น”

 

เฟิงหยูเฮงบิดกล่องอย่างเด็ดขาด “ลืมมันไป เก็บไว้ในที่ปลอดภัย ไม่มีใครได้รับอนุญาตให้สัมผัสหยกก้อนนี้”

 

ฉิงหยูกล่าวอย่างไร้จุดหมาย “คุณหนู เปลี่ยนเป็นเครื่องประดับเสริมสําหรับตัวเจ้าเอง”

 

ชวนเทียนหมิงแนะนํา “เราไม่ขาดเงิน อย่างไรก็ตามเจ้าต้องการเงินมาก ข้าก็จะมอบเงินให้”

 

“สิ่งที่เจ้าจะให้ ก็จะเป็นของข้าในอนาคตหรือไม่ ? ” เฟิงหยูเฮงขมวดคิ้ว “มีจุดใดบ้างในการเคลื่อนย้ายไปมา ? สิ่งนี้จะต้องถูกเก็บไว้อย่างถูกต้องสําหรับข้า ในอนาคตหากข้าต้องการหลอกลวง ข้าจะหลอกลวงคนนอกบางคน ถ้าข้าหลอกลวงพวกเขาดี ข้าจะได้อาณาจักรเล็กๆ”

 

ชวนเทียนหมิงมีความเข้าใจอย่างถ่องแท้เกี่ยวกับความสามารถในการหลอกลวงของนาง ดังนั้นเขาจึงถือกล่อง “องค์ชายผู้นี้จะเป็นผู้ดูแลเอง”

 

เฟิงหยูเฮงพอใจมาก

 

ในขณะที่พวกเขากําลังพูดอยู่ พนักงานคนหนึ่งพาลูกค้าอีกคนไปที่ชั้นสาม เป็นท่านฮูหยินผู้มั่งคั่งอายุอยู่ในช่วงอายุ 30 ต้น ๆ และอยู่ข้าง ๆ พนักงาน นางแต่งตัวดีมาก สวมชุดฤดูใบไม้ร่วงที่เขียวขจีนางดูร่ํารวยและสง่างาม

 

เมื่อเห็นว่ามีลูกค้าสําคัญรายหนึ่งขึ้นมาที่ชั้นสาม ฉิงหยูขออภัยอย่างรวดเร็วและรีบไปรับนางเป็นการส่วนตัว ต้องบอกว่านี่เป็นครั้งแรกที่เฟิงหยูเฮงใช้เวลานั่งนาน ๆ ในร้านขายเครื่องประดับแห่งนี้ การเฝ้ามองอึ้งหยดูแลลูกค้า นางรู้สึกว่ามันค่อนข้างแปลกใหม่ นางตัดสินใจนั่งดูรอบ ๆ ต่อมาท่านฮูหยินผู้มั่งคั่งพูดขึ้นในเวลานี้ และกล่าวว่า “ครอบครัวของข้าและข้ามาจากทางใต้ เพราะมันอยู่ไกลข้าเลยไม่ได้นําสิ่งที่มีราคาแพงเป็นพิเศษมา อย่างไรก็ตามใครจะรู้ว่าเราจะมาถึงช่วงงานเลี้ยงฉลองกลางฤดูใบไม้ร่วง ดังนั้นข้ามาที่นี่แบบฉุกระหุก นําสินค้าที่ดีที่สุดของเจ้ามาให้ข้าเลือกเรื่องราคาไม่ใช่ปัญหา”

 

ฉิงหยูได้ยินนางพูดแบบนี้ นางจะเข้าร่วมงานเลี้ยงในพระราชวัง ดังนั้นนางจึงมองไปที่เฟิงหยูเฮงโดยไม่รู้ตัว เฟิงหยูเฮงเงียบถามชวนเทียนหมิง “ท่านฮูหยินของตระกูลไหน ? เจ้าจํานางได้ หรือไม่ ? ”

 

ชวนเทียนหมิงยิ้มอย่างขมขึ้น “แม้ว่าข้าจะจําบรรดาขุนนางได้ ข้าจะรู้จักผู้หญิงในครอบครัวของพวกเขาได้อย่างไร ? ”

 

นางคิดเรื่องนี้และคิดแบบเดียวกัน ดังนั้นนางจึงส่ายหัวไปที่ลิ้งหยู ฉิงหยูยังคงดูแลนางอย่างอบอุ่น

 

พนักงานคนหนึ่งนํากล่องเครื่องประดับออกมา และฉิงหยูกล่าวว่า “นี่เป็นเครื่องประดับที่ดีที่สุดของร้าน แน่นอนว่าท่านผู้หญิงยังสามารถเลือกวัสดุและให้บางคนสร้างมันในแบบที่ท่านต้องการ ที่นี่เรามีทุกอย่างตั้งแต่หยกจนถึงผลึกตลอดจนถึงทองคํา เนื้อทองคํามีตั้งแต่ระดับต่ําไปถึงระดับสูงด้วยคุณภาพสูงสุดเท่ากับสิ่งที่ส่งเข้ามาในพระราชวัง” ขณะที่นางแนะนําสิ่งเหล่านี้นางพูดว่า “แต่ถ้าท่านฮูหยินรีบให้เสร็จก่อนงานเลี้ยง ข้ากลัวว่าการสั่งทําให้ตอนนี้จะสายเกินไป ท่านฮูหยินสามารถเลือกที่เครื่องประดับที่ทําเสร็จแล้วได้ เนื่องจากงานเลี้ยงสําหรับเทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วงศาลานิพพานของเราได้เตรียมการล่วงหน้า เรามีเครื่องประดับจํานวนมากที่ ผลิตขึ้นให้ท่านฮูหยินและคุณหนูเลือกเจ้าค่ะ”

 

ฉิงหยูเป็นคนที่มีความสามารถดีในธุรกิจ คําพูดของนางสง่างาม แต่ท่านฮูหยินผู้มั่งคั่งมองดูเครื่องประดับตรงหน้าและส่ายหน้าด้วยท่าทางเหยียดหยาม “ไม่ดี ไม่ดี ทุกคนบอกว่าสถานที่แห่งนี้เป็นร้านขายเครื่องประดับที่ดีที่สุดในเมืองหลวง แต่สิ่งเหล่านี้ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ดีสําหรับ ข้าหากเจ้ามีสิ่งที่มีคุณภาพเท่านี้ มันคือสิ่งที่ดีที่สุดในเมืองหลวงหรือไม่ ?”

 

 

ตอนที่ 671 หญิงสาวที่มีโรคซับซ้อน

 

เมื่อนางพูดถ้อยคําเหล่านี้ นางก็ได้รับแรงจากหมอนของนาง มีคนจับของนาง และถามนางอย่างไม่สุภาพว่า “เจ้าทําพลาดและต้องการใช้ข้าราวกับเป็นสาวใช้หรือ ?”

 

นางตื่นขึ้นมา แต่คําพูดที่นางพูดทําให้คนโกรธมากขึ้น “ข้ายังคงสามารถบอกความแตกต่างระหว่างผู้ชายกับผู้หญิงได้ ข้าคิดว่าเจ้าเป็นขันที่”

 

คนบางคนพูดไม่ออก มือจับคอนางดึงกลับขึ้นเล็กน้อย เขาต้องจัดระเบียบผู้หญิงคนนี้ ขึ้นเล็กน้อย

 

เฟิงหยูเฮงตกอยู่ในสถานการณ์ลําบากจากการถูกบีบคอและดิ้นรนเพื่อหลุดพ้น นางมองเขาขมวดคิ้ว “ข้าไม่ได้ใช้เจ้าซักครั้ง เจ้าอยากบีบคอข้าให้ตายเพราะอะไร ? ข้ากระหายน้ําไม่ได้หรือ ?

 

“ข้าไม่ใช่สาวใช้ของเจ้า ถ้าเจ้ากระหายน้ํา” แม้ว่าเขาจะพูดอย่างนี้ชวนเทียนหมิงยังคงลุกขึ้นและเทชาใส่ถ้วยให้นางอย่างช่วยไม่ได้ “เตรียมไว้เมื่อเช้านี้สําหรับเจ้า มันเป็นชาที่ช่วยให้เจ้าหายเมาค้าง ดื่ม ! ” เมื่อเห็นนางรับถ้วยชาและดื่มก่อนที่จะไอ เขาได้แต่แค่นเสียงว่า “เจ้าสมควรดื่มมัน ! ”

 

เฟิงหยูเฮงไม่สามารถทะเลาะโต้เถียงกับเขาและส่งถ้วยคืน จากนั้นนางก็นอนลงบนเตียงในขณะที่กําลังก้มศีรษะและคราง “ข้าปวดหัวและข้าก็รู้สึกเวียนหัว ซวนเทียนหมิง ข้าพักผ่อนไม่เพียงพอแน่นอน ให้ข้านอนต่ออีกหน่อย !”

 

ชวนเทียนหมิงจ้องนาง “ถ้าเจ้าไม่อายก็นอนต่อ ข้าจะบอกเจ้าว่านี่คือตําหนักจุน ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยง และบ่าวรับใช้นอกห้องกําลังหัวเราะเยาะเจ้า”

 

นางเริ่มตื่น แต่นางไม่ได้มุ่งเน้นไปที่ประเด็นที่นางขี้เกียจอยู่บนเตียง “บ่าวรับใช้ของตําหนักจุนกล้าหัวเราะเยาะข้าหรือ ? พี่เจ็ดไม่ห่วงใยตนเองในเรื่องเหล่านี้หรือไม่? ทําไมลูกน้องถึงหัวเราะเมื่อคนหลับ บอกข้าทีว่าคนใดหัวเราะข้า ข้าจะให้พี่เจ็ดไล่พวกเขาออกจากตําหนักในภายหลัง!พวกเขาน่ารําคาญจริง ๆ”

 

ชวนเทียนหมิงยิ้มอย่างขมขึ้น ชายาผู้นี้ช่างดื้อรั้นจริง ๆ !

 

เด็กหญิงตัวเล็กจับหัวของนาง และเริ่มโต้เถียง “ข้าดื่มหนักมากเกินไป ! เมื่อคืนนี้ข้าเมามากหรือไม่ ? ”

 

“เพราะสุราที่เจ้าดื่มนั้นแตกต่างกัน !” เขาอธิบายอย่างไร้ประโยชน์ว่า “สุราเมื่อคืนไม่ได้เป็นสุราธรรมดา อายุมากว่า 100 ปีแล้ว มันค่อนข้างบริสุทธิ์ มันคงจะแปลกถ้าเจ้าไม่เมาข้าไม่กล้าดื่ม มาก เจ้ากระดกมันราวกับว่ามันเป็นน้ํา เราไม่สามารถหยุดเจ้าได้”

 

เพิ่งหยูเองเท่านั้นที่จําสถานการณ์เมื่อคืนก่อนและพึมพํากับตัวเอง “ถ้าข้ารู้เร็วกว่านั้น ข้าจะกินยาเพื่อลดผลกระทบของแอลกอฮอล์” จากนั้นนางก็ค่อย ๆ ปืนขึ้นจากเตียงแล้วใส่รองเท้า นางยังรู้สึกอ่อนแออยู่เล็กน้อย “พี่เจ็ดอยู่ที่ไหน ? เจ้าสองคนตื่นสายหรือไม่ ?”

 

ชวนเทียนหมิงส่ายหัว “ตื่นแต่เช้าแล้ว พี่เจ็ดไปขึ้นราชสํานักแล้ว”

 

“โอ้ แล้วเจ้าล่ะ ? เจ้าไม่จําเป็นต้องขึ้นราชสํานักหรือ ?”

 

“ข้ากลับมาจากราชสํานักแล้ว”

 

ดีมาก ! นางยอมรับความพ่ายแพ้ ปรากฏว่าในเวลาที่นางหลับ พวกเขาสามารถทําสิ่งต่างๆมากมาย “ข้าจะเข้าไปในมิติของข้าเพื่ออาบน้ํา ข้าจะไม่สร้างปัญหาให้บ่าวรับใช้ของตําหนักจุน”นางพูดกับชวนเทียนหมิง “ข้าจะกินยาแก้เมาค้าง คอยเฝ้าดูข้าอยู่ข้างนอก” หลังจากพูดอย่างนี้นางก็หายตัวไปในพริบตา

 

อย่างไรก็ตามซวนเทียนหมิงได้ระลึกถึงการสนทนาระหว่างเขากับซวนเทียนหยั่วเมื่อคืนที่ผ่านมาเปิงหยูเฮงเอ่ยถึงอาจารย์ชาวเปอร์เซียของนางเสมอ และเขาเชื่อมานานแล้วว่ามันถูกสร้างขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ แต่ถ้ามีคนมาใช้วันนี้เพื่อทําให้เกิดปัญหาจริง ๆ เขาจะต้องคิดว่าจะต่อสู้กับสิ่งนี้

 

หลังจากนั้นไม่นานเด็กสาวที่เงียบขรึมก็ปรากฏขึ้น นางไม่มีนและอ่อนแอไปกว่านี้อีกแล้ว หลังจากล้างหน้า และเตรียมพร้อมแล้วนางก็ดูเหมือนมนุษย์ที่เหมาะสม อารมณ์ของเขาดีขึ้นมากในขณะที่เขากอดนางขณะกล่าวว่า “ไปเถิด เดินไปตามถนน เจ้าบ่นเกี่ยวกับองค์ชายผู้นี้เสมอว่า ไม่ได้ใช้เงินเมื่อเดินไปตามถนน วันนี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไปเดินเล่นกันเถิด”

 

ในความเป็นจริงเฟิงหยูเฮงไม่สนใจที่จะเดินเล่นไปรอบ ๆ และไม่ชอบซื้อของ แต่นางก็ตื่นเต้นที่จะซื้อของกับชวนเทียนหมิง นางถามเขาว่า “เจ้านําเงินมาหรือ ?”

 

เขาสายหัว “ไม่ได้เอามา แต่เจ้าสามารถไปเอาจากคนของพี่เจ็ดได้ ข้าจะคืนมันทีหลัง”

ดังนั้นทั้งสองจึงออกจากพระราชวังไปซื้อของอย่างมีความสุข

 

ตั้งแต่ตอนเที่ยงพวกเขาต้องทานอาหารกลางวันก่อน พวกเขาไม่ได้ทานในตําหนักจุนและไปทานข้างนอกแทน ซวนเทียนหมิงเป็นคนที่ใช้ฐานะของเขาเล็กน้อย เข้าไปที่โรงเตี้ยมครัวเทพแต่เฟงหยูเฮงปฏิเสธ พวกเขาสุ่มเลือกแผงลอยริมถนนและดับความหิวโหยที่นั่น

 

บ่ายวันนั้นทั้งสองเป็นเหมือนคู่รักที่เดินเล่นไปรอบ ๆ ครึ่งหนึ่งของเมืองหลวง พวกเขายังซื้อของบางอย่างซึ่งส่วนใหญ่เป็นอาหาร ดังที่เพิ่งหยูเฮงกล่าวไว้ “เครื่องประดับที่ดีที่สุดมาจากช่างฝีมือเปย สินค้าทองคําและหยกที่ดีที่สุดมาจากพระราชวังของฮ่องเต้ ถ้าข้าต้องการพวกมัน ข้าจะไปร้องขอจากพวกเขา มีของดีอะไรให้ซื้อที่นี่ ยิ่งกว่านั้นข้ามีร้านเครื่องประดับของตัวเองเป็นไป ได้หรือไม่ที่ข้าต้องไปที่นั่นและซื้อของจากร้านค้าของข้าเอง ?”

 

ชวนเทียนหมิงไม่ได้คัดค้านเรื่องนี้ มันก็เหมือนกับที่เฟิงหยูเฮงพูด สิ่งที่ดีที่สุดในโลกคือในพระราชวังของฮ่องเต้หรือตําหนักของเขาเอง ตราบใดที่นางต้องการบางสิ่ง นางจะไม่ได้อะไรนางคนนี้ ไม่ได้เป็นคุณหนูรองตระกูลเฟิงอีกต่อไปแล้ว ด้วยความสําเร็จที่ยิ่งใหญ่ หากนางต้องการของบางอย่างจากพระราชวัง ก็ไม่จําเป็นต้องให้เขาพูดเพื่อนาง นางสามารถขอได้ด้วยตัวเอง ชายชราเกือบปฏิบัติกับนางได้ดีกว่าปฏิบัติต่อเขา

 

แต่มีเรื่องที่เขาคิด และเขารีบจับมือนางไว้อย่างรวดเร็ว “เมื่อเจ้ากลับไปที่คฤหาสน์ ข้าจะส่งคนไปวัดตัวเจ้า จะถึงเทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วงในอีกไม่กี่วัน จะมีงานเลี้ยงในพระราชวัง”

 

เฟิงหยูเองไม่ได้เข้าร่วมงานเลี้ยงในพระราชวังเป็นเวลานาน นับตั้งแต่ที่พวกเขาออกเดินทางไปเฉียนโจว พระราชวังไม่ได้จัดงานเลี้ยงมากมาย การได้ยินอย่างไม่คาดคิดเกี่ยวกับงานเลี้ยงนมีความสดใหม่ และนางก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงเทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วงในปีนั้น เฉินหยูยังมีชีวิตอยู่และนางได้รับรางวัลปิ่นปักผมหงส์เพลิงจากบุหนี่ชาง ในเวลาเพียงไม่กี่ปี ผู้คนเหล่านั้นก็ไม่ได้อยู่อีกต่อไป

 

“เมื่อพวกเขาอยู่ใกล้ ๆ มีการต่อสู้แย่งชิงอํานาจและข้ารู้สึกรําคาญ เมื่อพวกเขาจากไปและคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ข้ารู้สึกว่าพวกเขาทุกคนมีชีวิตเป็นของตัวเอง” นางไม่สามารถหยุดตัวเองจากการถอนหายใจ “ถ้าตระกูลเฟิงไม่มีเงินซื่อ เฟิงเฉินหยูก็ไม่สร้างปัญหา เพิ่งจื้อฮาวไม่ทําอะไรโง่บางที่คฤหาสน์เฟิงก็ยังคงเป็นคฤหาสน์เฟิง เฟิงจินหยวนก็จะไม่ตกต่ําลงสู่สถานะปัจจุบันของเขา”

 

อย่างไรก็ตามชวนเทียนหมิงยักไหล่และยิ้มให้นาง พลางเอ่ยเตือนนางว่า “เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าทุกอย่างเกิดจากเฟิงจินหยวน ไม่ว่าจะเป็นเฉินชื่อหรือเฟิงเฉินหยู พวกนางเป็นเพียงเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ระหว่างผู้หญิงในคฤหาสน์ถ้ามันถูกเปิดเผย มันจะไม่มีอันตรายในท้ายที่สุดมันก็คือเฟิงจินหยวนเองที่ไม่สามารถควบคุมอคติของเขาเองได้ สิ่งนี้ทําให้เขาต้องเดินไปในทางที่ผิด ไม่สามารถตําหนิคนอื่นได้”

 

“ถูกต้อง !” เฟิงหยูเฮงพยักหน้าและนึกถึงเรื่องนี้กับองค์ชายเหลียน นางอดที่จะแค่นเสียงเย็นชาออกมาและกล่าวว่า “ถึงจุดนี้เขาก็ยังไม่เชื่อฟัง คาดเดาสิ่งที่เขาทํา 2 ทุกวันนี้เขาสนใจจาวเหลียน เขาไม่ได้แยกความแตกต่างระหว่างชายและหญิง เขาไม่ละอายที่จะเกาะติดอีกฝ่าย”

 

คําพูดของนางทําให้ชวนเทียนหมิงหัวเราะ “เมื่อพูดถึงความแตกต่างระหว่างชายและหญิงเจ้าได้รับมรดกจริง ๆ ! ย้อนกลับไปเมื่อเจ้าไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร เจ้าคิดว่าเขาเป็นผู้หญิงที่งดงาม”

 

เฟิงหยูเฮงไม่พอใจใบหน้า “นั่นไม่ใช่ความล้มเหลวด้านการมองคนสําหรับข้า แต่จาวเหลียนก็เช่นกัน เขาสามารถมีชีวิตอยู่ได้ทุกที่ แต่เขายืนยันที่จะอยู่ข้างบ้านของตระกูลเฟิงเขาไม่กลัวการป ลุกปั่นเพื่อความบันเทิง”

 

ทั้งสองคุยกันขณะเดิน เงยหน้าขึ้นมองพวกเขามาถึงทางเข้าร้านเครื่องประดับในใจกลางเมืองหลวงแล้ว เฟิงหยูเฮงเงยหน้าขึ้นมอง และเห็นว่าคําว่า “ศาลาหงส์เพลิง” บนป้ายได้ถูกเปลี่ ยนเป็น “ศาลานิพพาน” ในปัจจุบัน นางไม่พอใจนิดหน่อย “นี่ไม่ใช่หงส์เพลิงเลยหรือ ? ฉิงหยูนั้น ปราศจากความกังวลจริง ๆ เปลี่ยนเป็นแบบนั้น”

 

อย่างไรก็ตามซวนเทียนหมิงสังเกตเห็นบางสิ่งที่แตกต่างจากนาง เขากําลังดูแขก “ดูเหมือนว่างานเลี้ยงเทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วงได้นําการค้ามาสู่ร้านค้าของเจ้าบ้าง อย่างที่ข้าเห็นบรรดาฮูหยินและคุณหนูมาที่ร้านของเจ้า ส่วนใหญ่มาจากตระกูลที่มีสิทธิ์เข้าร่วมงานเลี้ยงของพระราชวัง เมื่อนึกถึงรายได้ในเดือนนี้น่าจะสูงมาก”

 

เฟิงหยูเฮงยิ้มเหมือนอาชญากร และกล่าวกับเขาว่า “ข้าจะบอกเจ้าว่าข้าไม่เห็นรายได้จาก ร้านค้านอกจากเงินที่จ่ายให้คนงานแล้ว ทุกอย่างจะถูกส่งไปยังร้านห้องโถงสมุนไพรเพื่อใช้งาน”

 

ชวนเทียนหมิงงงงวย “ร้านห้องโถงสมุนไพรกําลังขาดแคลนเงินหรือ ? ร้านต้องการเงินจากร้านค้าอื่น ๆ เพื่อช่วยมากขนาดนั้นเลยหรือ ?”

 

นางส่ายหัว “มันไม่ได้สูญเสียเงิน แต่ข้าสั่งให้เปิดโรงหมออีกหลายแห่งไม่ใช่แค่ในเมืองหลวง มันต้องอยู่ในมณฑลอื่นด้วย เช่นนี้ต้นทุนเริ่มต้นจะไม่ต่ํา แค่พึ่งรายได้ของร้านนี้ก็ไม่พอ ข้าต้องการเพิ่มมากขึ้นด้วยตัวเอง นั่นเป็นเหตุผลที่การพึ่งพาธุรกิจที่เหมาะสมเหล่านี้ช้า”

 

เขาสามารถได้ยินบางสิ่งบางอย่างของเงื่อนงํา “มันคืออะไรเจ้าต้องการทําบางสิ่งที่ไม่เหมาะสม

 

เฟิงหยูเฮงยิ้มเหมือนอาชญากร “ตัวอย่างเช่นการหลอกลวงต่างอาณาจักรที่ไร้ยางอาย ทองหลายล้านเหรียญทองที่ถูกโกงในแต่ละครั้ง !”

 

เขาพูดไม่ออก เด็กผู้หญิงคนนี้ได้กลายเป็นคนติดการหลอกลวง

 

ในเวลานี้พวกเขาเห็นเด็กสาวสองคน หนึ่งในนั้นปิดปากและจมูกอย่างแน่นหนาพูดอย่างไม่พอใจ “ข้ามองใกล้ ๆ คุณหนูสวมชุดสีแดง ใครจะรู้ว่านางใส่เครื่องสําอางแบบไหนมันหนามากจริง ๆ”

 

สหายที่อยู่ข้าง ๆ นางยังกล่าวอีกว่า “มันไม่ได้หนาเกินไป ข้าได้กลิ่นบางอย่างจากนาง มันน่าขยะแขยงจริง ๆ”

 

ทั้งสองเดินจากไปพร้อมกับพูด ติดตามสิ่งนี้ แขกอีกกลุ่มหนึ่งก็รีบออกมา ผู้คนจํานวนมากพูดด้วยความโกรธว่า “ถ้าเจ้าไม่มีเงินก็จงอยู่บ้าน เมื่อเจ้าออกมา ไม่มีใครดีใจที่ได้พบเจ้าไม่ว่าจะด้วยวิธีใดเจ้ากําลังปิดหน้าเจ้า ทําไมต้องแต่งหน้าหนามาก ? ด้วยการใช้เครื่องสําอางคุณภาพต่ําเจ้าจะทําให้เราปวดหัว”

 

ผู้คนก็เห็นด้วยมากขึ้น พวกเขาทุกคนชี้ไปที่คุณหนูในศาลานิพพสยที่ใช้เครื่องสําอางคุณภาพต่ํากลิ่นที่น่ารังเกียจลอยไปตลอดทางจนถึงชั้นสาม ผู้คนไม่สามารถเข้าไปข้างในได้อย่างแท้จริง

 

ในที่สุดก็มีคนออกมามากขึ้นเรื่อย ๆ ในท้ายที่สุดผู้หญิงคนหนึ่งสวมชุดสีแดงยาวออกมาข้างนอกพร้อมกับก้มหน้าลง ใบหน้าของนางปกคลุมด้วยม่าน มุมมองไม่ชัดเจน และนางมีบ่าวรับใช้อยู่ข้าง ๆ ดึงนางออกมาอย่างรวดเร็ว

 

มันเป็นอย่างที่ทุกคนพูด มีกลิ่นตัวแรงมากที่มาจากร่างกายของผู้หญิงคนนั้น มันไม่ได้มีกลิ่นหอมหรือน่ารังเกียจ แต่มันก็ไม่เป็นที่พอใจมาก แต่เฟิงหยูเฮงไม่สามารถเปรียบเทียบกับคนอื่นได้ เมื่อกลิ่นนี้เข้าจมูก นางก็รู้อะไรบางอย่าง เมื่อนางเห็นเด็กสาวจากไปอย่างกังวล นางกล่าวกับชวนเทียนหมิงว่า “เป็นคนที่น่าสงสารมาก”

 

ชวนเทียนหมิงสับสน “นางเป็นคนที่น่าสงสารอย่างไร? ไม่มีเงินซื้อเครื่องสําอางที่ดีงั้นหรือ? ”เขาเงยหน้าขึ้นมองศาลานิพพานแล้วกล่าวว่า “คนที่ไม่มีเงินจะมาที่นี่เพื่อซื้อเครื่องประดับหรือ ? สิ่งที่เจ้ามีที่นี่ไม่ได้ราคาถูก ชั้นแรกไม่เป็นไร แต่ยิ่งชั้นสูงของก็ยิ่งแพงข้าเห็นผู้หญิงคนนั้นลงมาที่บันได เห็นได้ชัดว่านางขึ้นไปชั้นบน”

 

เฟิงหยูเฮงส่ายหน้า “ข้าไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ มันเป็นกลิ่นที่มาจากร่างกายข องนาง ไม่ใช่ว่านางใช้ผลิตภัณฑ์แต่งหน้าคุณภาพต่ําในทางตรงกันข้ามนางใช้สิ่งที่มีคุณภาพสูงซึ่งมีชื่อเสียงมากข้ากําลังบอกว่านางน่าสงสารเพราะนางมีอาการป่วยซับซ้อน และใช้การแต่งหน้าที่โด่งดังจํานวนมากเพื่อปกปิดมันนางไม่มีวิธีปกปิดกลิ่นจากร่างกายของนางในทางตรงกันข้ามนางกําลังทําสิ่งต่าง ๆ ที่เลวร้ายยิ่งขึ้นโดยปกปิดมันไว้”

 

ขณะที่นางพูดนางเริ่มคิดอะไรบางอย่าง เมื่อชวนเทียนหมิงดึงที่แขนของนาง นางกล่าวว่า “ผู้หญิงคนนั้นใบหน้าของนางมีผ้าคลุมหน้าปกปิด แต่ทําไมบ่าวรับใช้ที่อยู่ข้างนางดูคุ้น ๆ ?”

 

ตอนที่ 670 ชวนเทียนชั่วเป็นสิ่งมีชีวิตพิเศษในโลกนี้

 

พิณน้ําแข็งทํามาจากน้ําแข็งพันปี ดังนั้นมันจะไม่ละลายแม้ว่าจะอยู่ภายใต้ดวงอาทิตย์ที่สุดใสในวันฤดูร้อน สายทําจากเส้นไหมจากไหมน้ําแข็ง ทุกครั้งที่มีการสั่นสะเทือนจะเกิดสายหมอกเย็น ๆ ขึ้น และผู้คนที่ฟังเครื่องดนตรีจะถูกปกคลุมด้วยน้ําค้างแข็งทําให้พวกเขา ต้องถอยกลับ

 

ชวนเทียนหมิงกล่าวกับเฟิงหยูเฮง “จุดแข็งของพี่เจ็ดถูกสร้างขึ้นเมื่อห้าปีก่อน โครงสร้างของพิณนั้นไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันกับน้ําแข็งพันปีของเฉียนโจว แต่มันเป็นแกนน้ําแข็งจากศูนย์กลางของขั้วโลกเหนือ มีเพียงชิ้นเดียวในโลกนี้ และพี่เจ็ดได้รับมัน” ในขณะที่พูดเขามองไปที่ชวนเทียนฮั่วซึ่งยักไหล่และยิ้ม “แต่เขาไม่เคยเต็มใจที่จะพูดว่าเขาจัดการดึงแกนน้ําแข็งออกมาได้อย่างไร”

 

เฟิงหยูเฮงเริ่มสนใจและมองซวนเทียนฮั่วอย่างอ้อนวอนให้ซวนเทียนฮั่วบอกว่านางว่าเจอน้ําแข็งชิ้นนี้อย่างไร ซวนเทียนฮั่วส่ายหัวเพียงกล่าวว่า “ต้นกําเนิดนั้นยาก อย่าพูดถึงมันเลย”

 

ชวนเทียนหมิงเดาว่านี้จะเป็นผลลัพธ์ และดูเหมือนจะไม่ผิดหวังเป็นพิเศษโดยกล่าวว่า “นับตั้งแต่ที่นําพิณกลับมา พี่เจ็ดได้เล่นต่อหน้าคนอื่นเพียงครั้งเดียว ครั้งนั้นที่มีการเล่น ทุกคนที่ฟังจบลงด้วยการมีน้ําค้างแข็งเกาะ หลังจากเพลงจบลง คนรับใช้ในพระราชวังก็นําเตาอั้งโล่มาให้ความอบอุ่นแก่ผู้คน”

 

เฟิงหยูเฮงเดาะลิ้นของนางเมื่อได้ยินสิ่งนี้ “นี่นับเป็นพิณได้อย่างไร เห็นได้ชัดว่าเป็นอาวุธ ข่าวลือที่ว่าคนโบราณที่สามารถฆ่าคนด้วยเสียง แต่ดูเหมือนว่าพี่เจ็ดมีความสามารถนี้หรือไม่ ? ”

 

ชวนเทียนยั่วยิ้มอย่างแผ่วเบา แต่ไม่ได้ตอบกลับ อย่างไรก็ตามนางมองเห็นรอยยิ้มของเขาความชื่นชมและความอยากรู้อยากเห็นในใจของนางไม่สามารถช่วยได้ แต่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย

 

ขณะที่พวกเขาพูดมี บ่าวรับใช้ที่นํากล่องไม้ยาวมาไว้ในสนาม เปิงหยูเฮงสังเกตเห็นว่าพวกเขาไม่ใช่บ่าวรับใช้ธรรมดา แต่พวกเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญจากตําหนักจุน แต่แม้ว่าพวกเขาจะเป็นผู้เชี่ย วชาญเช่นนี้ แต่เมื่อพวกเขายกกล่องที่ปกคลุมด้วยน้ําแข็งขึ้นมาร่างกายของพวกเขาก็ยังสั่นเทา

 

ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่สามารถพกพาได้ มันเป็นเพราะมันเย็น แม้ว่าความเย็นที่มาจากน้ําแข็งจะไม่แผ่กว้างเพราะชั้นน้ําแข็งปกคลุมสิ่งต่าง ๆ ในรัศมีเล็ก ๆ เป็นเรื่องปกติ เมื่อกล่องไม้ถูกแช่แข็งในน้ําแข็ง ผู้คนเหล่านั้นจึงถือก้อนน้ําแข็งได้อย่างมีประสิทธิภาพ ความยากลําบากสามารถจินตนาการได้

 

ในที่สุดกล่องไม้วางอยู่บนโต๊ะไม้ และชวนเทียนหมิงใช้ความคิดริเริ่มที่จะสาดด้วยสุรา เฟิงหยูเฮงโน้มตัวไปข้างหน้าเพื่อให้ใบหน้าของนางใกล้กับกล่องไม้ พลังความเย็นแรงวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วทําให้นางสั่นเทา

 

“ระวัง” ชวนเทียนฮั่วเตือน “น้ําแข็งก้อนนี้เย็นมาก หากเจ้าจับเจ้าจะตกใจ”

 

อย่างไรก็ตามเฟิงหยูเฮงไม่รู้สึกเย็นเกินไป นางเอื้อมมือไปแตะกล่อง นางรู้สึกความเย็นแล่นเข้าสู่ร่างกายของนาง แต่ก็สะดวกสบายมาก “ดีมาก” นางพูด “สบายดี”

 

ทั้งสองเผยให้เห็นการแสดงออกที่น่าตกใจกับชวนเทียนฮั่ว โดยกล่าวว่า “เพื่อให้สามารถพูดได้ว่าความเย็นที่มาจากน้ําแข็งนี้จะสบาย นอกจากข้า เจ้าเป็นคนแรกที่พูดแบบนี้”

 

“จริงหรือเจ้าคะ ? ” เฟิงหยูเองชื่นชมยินดี จากนั้นนางก็มองไปที่ชวนเทียนหมิงพร้อมกับการยั่วยุ

 

ชวนเทียนหมิงยิ้มอย่างขมขืน “นางจะแสดงออกทันทีที่ได้รับผลประโยชน์ใด ๆ นางไม่เคยรู้จักคําว่าถ่อมตัว” ขณะพูดเขาเดินไปข้างหน้า และดึงเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ กลับมาไม่กี่ก้าวจากนั้นก็นั่งไขว่ห้างบนพื้น

 

ชวนเทียนชั่วยังใช้ความแข็งแกร่งด้านในเพื่อละลายน้ําค้างแข็งบนกล่อง และเปิดมัน จากนั้นเขาก็เอาน้ําแข็งมาจากกล่อง เขาไม่ต้องนั่งที่โต๊ะ แล้วเขาก็แบกมันและวางพื้นดิน วางพิณบนหัวเข่าของเขา เขามองไปที่ทั้งสองและยิ้มอย่างแผ่วเบา ขยับมือของเขาไปที่สายพิณที่คมชัด และอากาศเย็นเต็มลาน

 

ชวนเทียนหมิงมองเฟิงหยูเฮงด้วยความกังวลเล็กน้อยเพื่อดูว่านางจะทนได้หรือไม่ อย่างไรก็ตามเขาเห็นว่าผู้หญิงคนนั้นกําลังจ้องตรงไปที่พิณ นางไม่เพียงแต่รู้สึกไม่สบายตัว แต่นางก็ขยับเข้ามาใกล้ขึ้นอีกเล็กน้อย จากนั้นนางก็ยื่นมือออกมาสูดลมหายใจลึก ๆ พูดโดยไม่ปิดบังอะไรเลย“เย็นสบายจริง ๆ”

 

องค์ชายทั้งสองหัวเราะเสียงดังโดยบอกว่าอาเฮงน่าอัศจรรย์ยิ่งกว่าน้ําแข็ง

 

สําหรับคนที่ไม่มีความรู้เรื่องเพลงโบราณ เฟิงหยูเฮงไม่สามารถบอกได้ว่าเพลงประเภทใดที่ซวนเทียนชั่วกําลังเล่นอยู่ แต่ท่วงทํานองยังคงเหมือนเดิม นางยังสามารถบอกได้ว่ามีบางอย่างฟังดูดีหรือไม่ ชวนเทียนฮั่วเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในโลก นางเคยได้ยินมาก่อน อย่างไรก็ตามการฟังพิณน้ําแข็งบรรเลวนั้นเป็นสิ่งแปลกใหม่

 

ชื่อเสียงของพิณน้ําแข็งนั้นสมควรจะได้รับ ผมของซวนเทียนหมิงและเฟิงหยูเฮงปกคลุมด้วยน้ําค้างแข็งหลังจากเพลงบรรเลงจบ แม้แต่ขนตาก็มีน้ําแข็งเกาะ อย่างไรก็ตามสิ่งนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการกระทําของทั้งสอง นอกจากนี้ยังไม่มีความรู้สึกของความหนาวเย็นเจาะร่างกาย ของพวกเขามันเป็นพื้นดินที่ปกคลุมไปด้วยใบไม้ในฤดูใบไม้ร่วงที่ค่อย ๆ กลายเป็นสีขาว ฤดูใบไม้ร่วงได้กลายเป็นฤดูหนาวทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ลึกลับในฤดูกาล

 

ชวนเทียนฮั่วเล่นพิณ ในขณะที่ชวนเทียนหมิงและเชิงหยูเฮงดื่มสุรา เคล็ดลับของเฟิงหยูเฮงค่อย ๆ ดีดตัวขึ้น โดยไม่สนใจท่วงทํานองของซวนเทียนฮั่ว นางก็เริ่มร้องเพลง เพลงนี้ทําให้องค์ชายทั้งสองรู้สึกประหลาดใจอย่างที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน การร้องเพลงที่เป็นอิสระและเป็นธรรมชาติของเฟิงหยูเองไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่ในโลกนี้ ไม่สามารถถูกจับหรือรู้สึกได้แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญที่น่าสนใจอ ย่างซวนเทียนชั่วก็ยังคงต้องใช้เวลาในการปรับการบรรเลงให้สอดคล้องกับทํานองเพลงของนางอย่างไรก็ตามโดยไม่ทราบความกลมกลืนนี้สร้างเสียงที่ไพเราะที่สุดในโลก

 

“เมื่อไรดวงจันทร์จะแจ่มใสและสว่าง ขอให้ท้องฟ้ามืดครึมพร้อมกับสุราหนึ่ง จอกในมือของข้า ในสวรรค์ในคืนนี้ข้าสงสัยว่าจะเป็นฤดูอะไร” นางยังคงร้องเพลงต่อไปจนกระทั่ง “ขอให้ทุกคนมีชีวิตยืนยาว ดังนั้นเราอาจแบ่งปันความงามของดวงจันทร์แม้ว่าเราจะอยู่ห่างกันพันไมล์” * เสียงของเด็กหญิงตัวน้อยค่อยลงเรื่อย ๆ ชวนเทียนหมิงยกโทษให้ ดีมาก นางเมาแล้วก็หลับไป

 

ชวนเทียนฮั่วต้องการปลุกนางให้ตื่นโดยถามว่า “เนื้อเพลงเหล่านี้คืออะไร ? มันไพเราะจริง ๆ

 

อย่างไรก็ตามเฟิงหยูเฮงไม่ใช่คนโง่ นางพูดกับพวกเขาด้วยรอยยิ้มว่า “อาจารย์ชาวเปอร์เซียของข้าเป็นคนสอน ! ข้าเป็นคนเดียวเท่านั้นที่รู้จักพวกเขา” หลังจากพูดอย่างนี้นางก็เอียงหน้าขึ้นแล้วหลับไป

 

เสียงอันน่าพิศวงหยุดลง และซวนเทียนหมิงกอดคนที่หลับอยู่บนตักของเขา อย่างไรก็ตามเขาได้ยินชวนเทียนชั่วกล่าวว่า “อาจารย์ชาวเปอร์เซียผู้นั้น สิ่งที่นางพูดจะเกิดปัญหาไม่ช้าก็เร็วข้าเคยไปเปอร์เซีย ที่ซึ่งมีแต่ธรรมชาติแบบนั้นจะอยู่ที่ไหนกัน ?”

 

ชวนเทียนหมิงถอนหายใจ และกล่าวว่า “ข้าเคยพิจารณาเรื่องนี้มาก่อน เพียงแต่ไม่มีวิธีที่ดีกว่าในการแก้ไขปัญหานี้ในขณะนี้ นางไม่เคยพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับนาง แม้ว่าเจ้าจะเข้าใจอย่างชัดเจนว่านางแตกต่างจากคนอื่น แต่นางทําได้ดีที่สุดเพื่อพยายามซ่อนจากคนอื่น”

 

“ข้าแค่กลัวว่ามันจะถูกใช้โดยคนที่มีแรงจูงใจซ่อนเร้น” ซวนเทียนชั่วมองหน้าเขาอย่างกังวลแต่ไม่มีอะไรที่เขาจะทําได้ เขายิ้มได้อย่างขมขึ้นต่อผู้ที่เมาสุราพูดอย่างจริงใจว่า “ข้าหวังว่าทุกอย่างจะไปได้ด้วยดี”

 

คืนนั้นทั้งสองยังคงอยู่ในตําหนักจุน เมื่อชวนเทียนหมิงพานางไปที่เตียง เขาได้ยินคนตัวเล็ก ๆในอ้อมกอดของเขาตื่นขึ้นมาอย่างง่วงนอน และกล่าวว่า “ข้าได้ยินทุกอย่างที่พวกเจ้าสองคนพูด ขอบคุณ” จากนั้นดวงตาของนางก็ปิดลง และนางก็หลับไป

 

เขาต้องการปลุกคนผู้นี้นั้นให้ตื่นขึ้นมาและพูดคุยกันสักครู่ แต่ผู้หญิงคนนี้ดื่มสุรามากที่สุดนางจะตื่นขึ้นมาได้อย่างไรอย่างง่ายดาย เขานอนไม่หลับ ดังนั้นเขาจึงวางนาง ลงแล้วเดินไปรอบ ๆ ในสนาม

 

เมื่อเขาเดินไปที่ป่าไผ่ขนาดเล็กในพระราชวัง เขาพบว่าซวนเทียนยั่วยังคงอยู่ที่นั่น แสงจันทร์สีขาวส่องบนไม้ไผ่สีเขียวและบนร่างเป็นสีขาว แม้แต่ชวนเทียนหมิงก็ต้องยอมรับว่าฉากนี้ไม่แตกต่างจากสวรรค์

 

คนในปาเห็นเขาเดินไปและพูดด้วยรอยยิ้ม “เป็นเวลานานแล้วที่ข้าได้ออกกําลังกาย หมิงเอ๋อมาประลองกับพี่เจ็ดสักหน่อย”

 

แน่นอนว่าชวนเทียนหมิมีความสุขที่ได้ทําเช่นนั้น และดึงดาบที่ยืดหยุ่นออกมาเพื่อเผชิญหน้ากับพัดของชวนเทียนฮั่วเช่นนี้พวกเขาเริ่มประลองในป่าไผ่

 

ซวนเทียนชั่วมีความเชี่ยวชาญด้านดนตรีมากที่สุด และเขาไม่เคยใช้ศิลปะการต่อสู้กับผู้อื่น อย่างไรก็ตามไม่มีใครสงสัยว่าเขาไม่รู้จักศิลปะการต่อสู้เลย ไม่มีใครที่เชื่อว่าศิลปะการต่อสู้ของเขาจะอ่อนแอ ในทางตรงกันข้ามเขาได้รับการยอมรับในโลกว่าเป็นเทพเซียน ในใจพวกเขามีความรู้สึกว่าทุกสิ่งที่องค์ชายเจ็ด, ซวนเทียนฮั่วทําถูกต้อง ทุกสิ่งที่เขาทําเขาจะเป็นเหมือนเทพเซียนหากเทพเซียนบอกว่าเขารู้ศิลปะการต่อสู้ เขาจะเป็นตัวปลอมได้แม้จะไม่เคยใช้”

 

และในโลกนี้ไม่มีใครรู้ชวนเทียนฮั่วดีกว่าองค์ชายเก้า, ชวนเทียนหมิง

 

เมื่อผู้เชี่ยวชาญแลกเปลี่ยนหมัดจะมีบางครั้งที่พวกเขาจะไม่ชกทางกายภาพ พวกเขาจะใช้พลังงานแทน ดาบจะไม่โจมตีพัด แทนที่จะกระทบกับออร่าที่มาจากพัด เทพเจ้าแห่งสงครามในเสื้อคลุมสีม่วง และเทพบุตรในชุดคลุมสีขาวเคลื่อนไหวไป แม้แต่แสงจันทร์ก็สูญเสียความแวววาวดั้งเดิมไปเล็กน้อย

 

ในที่สุดการต่อสู้ก็สิ้นสุดลงด้วยการเสมอกัน ซวนเทียนหมิงถอนหายใจ “ในโลกนี้ใครจะรู้ว่าองค์ชายเจ็ดเป็นผู้เชี่ยวชาญศิลปะการต่อสู้”

 

ชวนเทียนหัวตอบ “ในโลกนี้ใครจะรู้ว่าองค์ชายเก้า, ชวนเทียนหมิง จะไม่ด้อยกว่าข้าเลย”

 

ทั้งสองหัวเราะเสียงดังแล้วค่อย ๆ เข้ามาใกล้กันก่อนที่จะยืนด้วยกัน

 

“พี่เจ็ด ในการเดินทางไปทางตะวันออกของท่านมีความสุขหรือไม่ ? ” ชวนเทียนหมิงเอนกายจึงต้นไผ่และถามเขา

 

ชวนเทียนหัวยิ้มอย่างขมขึ้น “ไม่มีปัญหา ก่อนอื่นเสด็จแม่ก็ปรากฏตัวขึ้นจากใต้ ที่นั่งในรถม้าจากนั้นจือหรูและเด็กผู้หญิงตัวเล็กปรากฏตัวในฟูโจว เจ้าคิดว่าสิ่งเหล่านี้ถือว่าเป็นการเผชิญหน้าที่มีความสุขหรือไม่ ? ”

 

ชวนเทียนหมิงส่ายหัว “ท่านก็รู้ว่าข้าไม่ได้ถามเรื่องนี้”

 

ความเงียบก็เกิดขึ้นระหว่างคนทั้งสอง ในท้ายที่สุดมันคือชวนเทียนหมิงที่พูดออกมาว่า “นอกจากนางแล้ว ข้าจะให้อะไรกับท่านก็ได้ในโลกนี้ พี่เจ็ด”

 

คนที่อยู่ตรงหน้าเขาขมวดคิ้วกล่าวว่า “หมิงเอ๋อ นอกจากนางแล้ว ข้าสามารถขออะไรจากเจ้าในโลกนี้ได้ มีเพียงนางคนเดียวที่ไม่มีขีดจํากัด” ในขณะที่พูด เขาโบกมือของเขาด้วยรูปลักษณ์ของเทพบุตรที่ถูกเนรเทศ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเรื่องปกติจะมีช่วงเวลาที่ยากลําบากในการทําให้ข้าช้าลงพี่เจ็ดจะพูดตามความจริงในคืนนี้ แม้ว่าจะเป็นอาเฮง แต่ความสมดุลนี้ไม่สามารถหยุดชะงักได้สําหรับข้า ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหรืออาเฮง หรือแม้ว่าจะเป็นเสด็จพ่อและเสด็จแม่ก็ไม่ขอร้องข้า ข้าจะช่วยเจ้าปกป้องอาณาจักรนี้มาครึ่งชีวิต เมื่อมั่นคงแล้วข้าจะจากไป โลกนี้กว้างใหญ่ นั่นคือชะ ตากรรมของฉัน”

 

ชวนเทียนหมิงสามารถเข้าใจได้โดยธรรมชาติ และเขาก็สามารถเข้าใจในสิ่งที่ชวนเทียนฮั่วถาม บุคคลนี้ไม่ควรถูกมองจากมุมมองปกติความคิดของเขาไม่เพียงแต่ครอบคลุมตัวเองแม้แต่ ชวนเทียนหมิงก็มีหลายครั้งที่เขาไม่เข้าใจอีกฝ่าย

 

“กลับไปนอนได้แล้ว” ชวนเทียนชั่วรีบเร่งเขาอย่างรวดเร็ว “ข้าจะอยู่ที่นี่คนเดียวชั่วครู่” 

 

เทพเจ้าสงครามในชุดคลุมสีม่วงออกไป เทพบุตรในชุดคลุมสีขาวอยู่ในป่าคนเดียว เช่นเดียวกับตอนที่เขายังไม่มามีคนหนึ่งมาและคนหนึ่งในดวงจันทร์ ใครจะรู้ว่าดวงจันทร์กําลังส่องสว่างในป่า ถ้าหัวใจของบุคคลนั้นโหยหาดวงจันทร์ แต่มันให้ความรู้สึกราวกับว่าเป็นหนึ่งเดียวในขณะ เดียวกันก็แยกกัน

 

ชวนเทียนฮั่วถูกกําหนดให้เป็นเอกลักษณ์ที่ไม่ซ้ําใคร

 

ประมาณเที่ยงของวันรุ่งขึ้น ในที่สุดคนบางคนก็ตื่นขึ้นมาจากการนอนด้วยอาการเมา ค้างพวกเขารู้สึกปวดหัวและพวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะร้องออกมา

 

ความทรงจําของนางเต็มไปด้วยหมอกจากการดื่ม และนางเรียกหวงชวนให้นําด้น้ําดื่ม มาเอื้อมมือออกไปด้านข้างนางชนเข้ากับคน

 

นางรู้สึกถึงดวงตา จมูก และปาก จากนั้นก็ดมกลิ่น มันเป็นกลิ่นที่คุ้นเคย ยกแผ่นผ้าและตะโกน “หมิงเอ๋อ ไปยกน้ําชามาให้องค์หญิง”

 

ตอนที่ 669 สาวสวยและหนุ่มรูปงาม

 

องค์ชายเจ็ดได้เชิญนางไปร่วมงานเลี้ยงครอบครัว เฟิงหยูเฮงมีความสุขที่ได้เข้าร่วม ตอนนี้ยังซวนและบานซ์ไม่อยู่ มีเพียงหวงซวนที่อยู่กับนาง ดังนั้นหวงซวนจึงแนะนํานางว่า “มีองครักษ์เงา มากมายในคฤหาสน์ คุณหนูเลือกมา 1 คน หรือจะให้ข้าเรียกโจวชูหรือหยวนเฟยมาเจ้าคะ เรารู้จักพวกเขาด้วยเจ้าค่ะ”

 

เฟิงหยูเฮงพูดไม่ทัน “ข้ากําลังจะไปที่ตําหนักจนไม่ใช่ที่อื่นข้าจะพาองครักษ์เงาไปด้วยทําไมยิ่งกว่านั้นเจ้าไม่ได้ยินหรือไม่ว่ารถม้าของราชสํานักจะถูกส่งมาในตอนเย็น ? เจ้าคิดว่าพี่เจ็ดจะไม่จัดการป้องกันข้าหรือ ?”

 

หวงซวนคิดอยู่เล็กน้อย สิ่งนี้ก็เป็นจริงและรู้สึกว่านางคิดมากเกินไปเมื่อถึงเฟิงหยูเฮงไป พวกเขากลับมาที่ลานบ้านอย่างมีความสุข

 

วันนี้เป็นวันพักผ่อนจริง ๆ ฉิงหยูได้ไปเยี่ยมในช่วงบ่ายโดยบอกว่าผู้คนจากร้านห้องโถงสมุนไพรได้นัดพบเฟิงจินหยวนในเช้าวันพรุ่งนี้ และถามว่าพวกเขาควรจะรักษาอย่างไร เฟิงหยูเฮงกล่าวเพียงว่าคิดค่าธรรมเนียมตามอัตราปกติ พวกเขาจะไม่ขาดทุนหรือหลอกลวงเขา ฉิงหยูแสดงท่าทางว่านางเข้าใจ

 

ในตอนเย็นนางยืนอยู่หน้าทางเข้าของคฤหาสน์ในขณะที่สวมชุดฤดูใบไม้ร่วงสีฟ้าทะเลสาบ นางเห็นเปยขื่อขับรถม้าราชสํานักมาด้วยตัวเองมาในทิศทางของนาง หวงซวนก็สงบลง เฟิงหยูเฮงหัวเราะเยาะนางเพราะคิดมากเกินไปแล้วจึงขึ้นรถม้าอย่างมีความสุข ต้องบอกว่าเมื่อหวงชวนเป็นคนโง่ นางเป็นคนโง่จริง ๆ แต่เมื่อนางจริงจัง นางจริงจังมาก นางรู้ว่าเปยฟูหรงอาศัยอยู่ในคฤหาสน์ขององค์หญิง และเปยชื่อกําลังยุ่งอยู่กับองค์ชายเก้าและไม่มีโอกาสได้มาเยี่ยม ดังนั้นนางจึงไปและแทนที่เปยชื่อ นอกรถม้า เปยขื่อกล่าวขอบคุณ “จะมีการขอบคุณอย่างมากในอีกไม่กี่วันข้างหน้า” หลังจากพูดอย่างนี้เขาก็หันหลังกลับและบินเข้าไปในรถม้า

 

เฟิงหยูเฮงไม่สนใจมากว่าใครเป็นคนดูแลนางไว้ในรถ มันเป็นเปยขื่อที่ถูกยับยั้งเล็กน้อยนั่งตรงข้ามนาง เขาลูบมือแต่ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร นางรู้สึกงุนงงกับสิ่งนี้ “เปยคือ เจ้าเป็นคนแรกที่ข้าพบนอกจากชวนเทียนหมิงไม่แปลกที่เราจะไม่คุ้นเคยกัน มันไม่ควรมีอยู่ ? ความกล้าที่จะชี้ดาบมาที่คอของข้าอยู่ที่ไหน ? ตัวตนของเจ้าอยู่ที่ไหน ? ”

 

เปยขื่อส่ายหัว “มันไม่คุ้นเคย ใครพูดอะไรเกี่ยวกับที่ไม่คุ้นเคย!” จากนั้นเขาก็พูดอย่างไร้ประโยชน์ “พระชายา พระชายาไม่อาจยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดได้อีก ไม่ใช่สิ่งที่ข้าทําเพื่อเห็นแก่เจ้านายของข้า ? ถ้ามีใครบางคนปรากฏตัวในป่าในภูเขาใครจะรู้ว่าเขาเป็นใครขอรับ !”

 

เฟิงหยูเฮงหัวเราะ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนี้ข้าเป็นคนแบบไหน ? แม้แต่ท่านแม่ของข้าเองก็ไม่ยอมรับข้าในฐานะบุตรสาวของนาง” คําพูดเหล่านี้พูดออกมาอย่างไร้ประโยชน์

 

เปยขื่อยักไหล่และกล่าวโดยไม่สนใจว่า “ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด พระชายาเป็นที่รักขององค์ชายเก้า ใครจะสนใจว่าพระชายาเป็นคุณหนูรองตระกูลเฟิงหรือเป็นองค์หญิงจีอัน องค์ชาย เก้าก็ชอบพระชายาพระชายาต้องไม่ทําอันตรายต่อผู้อื่น สิ่งนี้สําคัญกว่าสิ่งอื่นใด” เมื่อการสนท นาเริ่มต้นขึ้นเขาก็ไม่ได้ยับยั้งการแสดงต่อไปเพื่อเริ่มต้นกับบุคคลภายนอกเขาและเฟิงหยูเองต้องรู้จักกันตั้งแต่เนิ่น ๆ เขาควรทําตัวให้คุ้นเคย ดังนั้นเขาจึงยิ้มและถามนางว่า “คุณหนูเปยเป็นอย่าง ไรบ้างขอรับ ?”

 

ในที่สุดเมื่อถูกถามคําถามนี้ เฟิงหยูเองก็ไม่ได้ล้อเล่นต่อไปโดยพูดตามความเป็นจริง “นางดีขึ้น ไม่กี่วันก่อนหน้านี้มีเลือดที่ปนพิษก็เริ่มออกมา อีกไม่กี่วันนางก็น่าจะฟื้น ยาแก้พิษที่เตรียมโดยท่านปูมีประสิทธิภาพมาก ตอนนี้เราค่อย ๆ ฟื้นฟูร่างกายที่ถูกพิษกัดเซาะ นอกจากนี้ข้าเพิ่มบางสิ่ง แม้ว่าข้าจะบอกเจ้าก็ไม่เข้าใจ แต่มันเป็นเพียงเพื่อประโยชน์ของการรักษานางเจ้าต้องเชื่อใจข้า” สิ่งต่าง ๆ เช่นคอลลาเจน และโปรตีน นางจะอธิบายได้อย่างไร

 

เปยจื่อซาบซึ้งและต้องการคํานับขอบคุณเฟิงหยูเฮง อย่างไรก็ตามเขาถูกหยุด “ข้าจะยอมรับการคํานับจากเจ้าได้อย่างไร ? แม้ว่าเจ้าจะต้องมอบคลานรอจนกว่าวันแต่งงานของข้า เจ้าก็จะทําตอนนี้ฟูหรงผ่านอันตรายเหล่านี้เพื่อให้ข้าปลอดภัย ในเวลานั้นขาสามารถที่จะประสบความสําเร็จในการเข้าสู่ภาคเหนือ มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับนางที่ทําให้คนเฉียนโจวทําให้เข้าใจผิดข้าต้องขอบคุณนางจริง ๆ”

 

เมื่อพูดถึงประสบการณ์ครั้งนั้น เปยชื่อก็ยังไม่สามารถหยุดความคิดเกี่ยวกับมันได้ มีคนถูกวางยาพิษอยู่ใต้จมูกของเขาถ้าไม่ใช่เพราะเพิ่งหยูเฮงที่อยู่ที่นั่น นางคงเสียชีวิต

 

เฟิงหยูเฮงเห็นว่าอารมณ์ของเขาไม่ดี นางจึงไม่พูดอะไรอีก ส่วนที่เหลือของการเดินทางตกอยู่ในความเงียบ และพวกเขาก็มาถึงหน้าตําหนักจุนอย่างรวดเร็ว

 

ทั้งสองลงจากรถม้า และตามบ่าวรับใช้จากตําหนักจุนไปยังลานภายใน ในท้ายที่สุดพวกเขาหยุดอยู่หน้าลานกว้าง

 

เมื่อเร็วๆ นี้มีการเปลี่ยนแปลงใหญ่ในตําหนักจุน พระชายาหยุนทําให้เกิดความ ปั่นปวนเล็กน้อยในช่วงเวลาสั้น ๆ ที่นางอยู่ที่นั่นโดยเฉพาะในสนาม ดอกไม้เปลี่ยนไป และมีเพียงต้นแปะก๊วยเหลืออยู่เท่านั้น เมื่อถึงฤดูใบไม้ร่วงเกือบจะดินปกคลุมไปด้วยใบไม้สีเหลือง และดูสวยงามมาก

 

นางยืนดูอยู่นอกสนามสักพักแต่มีความคุ้นเคยที่มาจากข้างใน “เจ้าเพิ่งมาถึงที่นี่ เจ้ามองอะไร เข้ามาเร็ว”

 

เฟิงหยูเฮงย่นจมูกเล็ก ๆ ของนางแล้วกล่าวอย่างหงุดหงิด “ข้าไม่สามารถมองดูรอบ ๆ ได้หรือ ? ในฐานะองค์ชายแห่งตําหนักหยู เจ้าต้องวางท่าเป็นเจ้าของตําหนักจุนด้วยหรือ ? พี่เจ็ดยังไม่ได้พูดอะไรเลย !”

 

เสียงหัวเราะของซวนเทียนชั่วมาจากข้างใน ต่อจากนี้ชวนเทียนหมิงพูดอย่างไร้ปัญหา “ข้าทําอะไรไม่ได้เลย เมื่อข้ายังเด็กมีพระสนมของฮ่องเต้ที่ชั่วช้าชี้มาที่ข้า และพูดกับเสด็จพ่อถ้าเด็กคนนี้ ถูกทําลาย ในอนาคตจะไม่มีใครที่สามารถรั้งเขาไว้ได้ เขาจะทําอะไรโดยไม่สนใจกฎหมายหรืออาณาจักร และจะปฏิเสธสมาชิกทุกคนในตระกูล แต่ดูที่สถานการณ์ปัจจุบัน แม้แต่เด็กผู้หญิงตัวเล็กก็ยังกล้าตะโกนใส่ข้า ข้าใช้ชีวิตแบบไหนกันแน่ ?”

 

หลังจากพูดอย่างนี้แล้ว เขาก็หันหลังกลับและเดินไปหาหญิงสาวที่กําลังเดินข้ามมา “มาเถิดศัตรูธรรมชาติของฉัน !”

 

เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ นั่งอยู่ข้างเขาอย่างมีความสุข และเปยชื่อยังคงอยู่นอกส นาม ในลานทั้งหมดมีเพียง 3 คนเท่านั้นที่อยู่ที่นั่น มันค่อนข้างน่าพอใจ

 

ใต้ร่มไม้มีโต๊ะหินพร้อมเก้าอี้หิน ใบไม้ร่วงหล่นวางอยู่ใกล้เท้าของพวกเขา และกลิ่นของดอกไม้หอมเตะจมูก ใครจะรู้ว่าพระชายาหยุนได้พบดอกไม้ปาเหล่านี้ทั้งหมดที่บานในฤดูใบไม้ร่วงเพื่อ เติมเต็มสนามหญ้า มันไม่ใช่รูปลักษณ์เรียบง่ายแบบเดียวกันอีกต่อไปเมื่อชวนเทียนชั่วใช้ชีวิตของ เขาเอง อย่างไรก็ตามมันดูยอดเยี่ยมยิ่งขึ้น

 

“ต้นไม้สวยมาก ดอกไม้ก็สวย และสุราชั้นดี” นางเข้าใกล้สุราดี ๆ บนโต๊ะแล้วสูดดม นางอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “สุรานี้ถูกเก็บไว้อย่างน้อย 50 ปีใช่หรือไม่ ?”

 

ชวนเทียนยั่วส่ายหัว “เดาอีกครั้ง”

 

“ไม่ใช่ ? ถ้าอย่างนั้น…. 80 ปี ? ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งผ่านมา 100 ปีแล้ว”

 

ซวนเทียนหมิงตบหัวของนางแล้วบอกกับนางว่า “มันถูกเก็บไว้เป็นเวลา 120 ปีเต็ม มันถูกทิ้งไว้ตรงหน้าโดยบรรพบุรุษของเรา”

 

“เหล้าองุ่นจากบรรพบุรุษ!” เฟิงหยูเฮงไม่ได้รั้งและคว้าจอกเล็ก ๆ ไว้ มองหน้าชวนเทียนหมิงแล้วดื่มลงไป ความรู้สึกแสบร้อนทําให้ลําคอของนางเต็มไปด้วยกลิ่นอันหอมหวานทันทีหลังจาก เข้าไปในท้องของนางแล้วลมหายใจของนางก็ยังมีกลิ่นของสุราเล็กน้อย “ปรากฏว่าคนเมาไม่ใช่คนที่โลภอยากดื่มสุรา มันเป็นสุราที่ดึงดูดผู้คน” หลังจากชวนเทียนหมิงสงบนางจ้องมองจอกสุ ราของซวนเทียนฮัว

 

ซวนเทียนหมิงได้แต่หยิบจอกเปล่าออกมาแล้วเติมให้เต็ม ในเวลาเดียวกันเขาเตือน “มันง่ายที่จะเมาจากสุราชั้นดี แม้ว่าเจ้าจะไม่เมาทันที แต่หลังจากนั้นผลกระทบที่รุนแรงมาก”

 

อย่างไรก็ตามนางไม่สนใจเลย “ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด เราอยู่ในตําหนักของพี่เจ็ด ถ้าข้าเมา เขาจะไม่จัดห้องนอนให้ข้าหรือ ? พี่เจ็ด ?”

 

ชวนเทียนฮั่วยิ้มอย่างขมขึ้น “ได้ แต่ความรู้สึกเมาค้างไม่ดีเท่าตอนดื่ม”

 

“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ” เมื่อนางเห็นมันตราบใดที่นางสามารถดื่มสุรานี้ได้ทุกอย่างก็ดี

 

ชวนเทียนหมิงถอนหายใจ “ข้าแต่งงานกับเจ้าแล้ว”

 

อย่างไรก็ตามนางโต้แย้งว่า “ยังไม่ได้แต่งงาน”

 

“อย่างไรก็ตามปีหน้านี่เอง” เขากล่าว “เจ้าเกิดในเดือนสี่ งานแต่งงานของเราจะถูกกําหนดไว้สําหรับวันที่เจ้ามีอายุมากขึ้น เมื่อฤดูใบไม้ร่วงผ่านไป เราจะส่งคนไปที่พระราชวังเริ่มเตรียมการ”

 

ในท้ายที่สุดนางเป็นผู้หญิงที่จะแต่งงาน ด้วยการกล่าวถึงสิ่งนี้นางรู้สึกอายเล็กน้อย เฟิงหยูเฮงยกมือขึ้นและดื่มสุราอีกจอกเปลี่ยนหัวข้อ “ทําไมพี่เจ็ดคิดจะจัดงานเลี้ยงวันนี้ ?” แต่หลังจากดูที่โต๊ะนอกจากสุราและใบไม้ที่ร่วงแล้ว

 

ซวนเทียนฮั่วกล่าวอย่างจริงจังมาก “เจ้าสองคนไปภาคเหนือ และข้าก็ไปตะวันออก เราไม่ได้พบกันเป็นเวลาหนึ่งปี ที่สําคัญที่สุด…” เขามองไปรอบ ๆ พร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาและกล่าวว่า “ท่านแม่ตกแต่งสถานที่ใหม่ และข้าควรเชิญพวกเจ้ามาดู ถ้าเจ้าคิดว่าดีข้าจะไม่เปลี่ยนมันมันเป็นเช่นนี้ในอนาคต”

 

เฟิงหยูเฮงหัวเราะ “แบบนี้หรือ ? ตําหนักจุนมีความเท่าเทียมกันทางเพศ ? ” แต่หลัง จากมองไปรอบ ๆ ด้านนางก็เริ่มถอนหายใจ “เสด็จแม่ต้องการอะไรมากกว่าชีวิตก่อนหน้านี้ของนาง หากนางไม่สามารถกลับมาทางร่างกายได้ นางจะกลับมาด้วยจิตวิญญาณสําหรับเรา เราไม่ เคยมีประสบการณ์มาก่อน นั่นเป็นเหตุผลที่เราไม่สามารถกลับไปที่นั่นได้ ดังนั้นเราสามารถมองด้วยตาของเราเพื่อรับข้อมูลเชิงลึก ”

 

ซวนเทียนหมิงยังกล่าวอีกว่า “น่าเสียดายที่เจ้ามา ที่นั่นคือตําหนักจุนของข้า ข้าอยากให้เจ้าไปที่ตําหนักหยเพื่อปลุกพวกเขา”

 

ด้วยการกล่าวถึงพระชายาหยุน พี่ชายสองคนก็เริ่มรู้สึกเกินจริงเล็กน้อย ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติมและเริ่มดื่ม

 

เพิ่งหยูเฮงมีความสุขที่ได้ดื่มรู้สึกว่าสุรานี้หวานมากและมีกลิ่นผลไม้เล็กน้อย มันมีกลิ่นเหมือนดอกไม้เล็กน้อยและกลิ่นที่ค้างอยู่ ดังนั้นนางจึงดื่มจอกแล้วจอกเล่ากับทั้งสอง ทั้งสาม ดื่มกันไปมากกว่าครึ่งไห

 

นางนั่งที่ฝังของซวนเทียนหมิงและได้กลิ่นสุราจาง ๆ จากร่างกายของเขา นางยังสามารถเห็นว่าใบหน้าของเขาเริ่มมีสีแดงเล็กน้อย แต่ชวนเทียนชั่วดูราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผิวของเขา ไม่เปลี่ยนแปลง เขาไม่ได้พูดอะไรมากขึ้น และผมของเขาก็ถูกลมพัดทําให้เขาดูเหมือนเทพ

 

เมื่อนางดูต่อไปนางก็เริ่มตะลึง นางจ้องที่ชวนเทียนชั่วมานานจนกระทั่งชวนเทียนหมิงเริ่มรู้สึกอิจฉา หลังจากโดนตบศีรษะอย่างแรง นางก็จัดการตอบโต้ได้ อย่างไรก็ตามนางหัวเราะอย่างโง่เขลาและกล่าวว่า “พี่เจ็ดดูดีจริงๆ ไม่น่าแปลกใจที่พวกเขาทุกคนชอบท่านพี่”

 

ชวนเทียนหมิงส่ายหัวอย่างไร้ประโยชน์ นางคนนี้มีความเชี่ยวชาญมากที่สุดในการหลงรัก เขายังจําได้ครั้งแรกที่พวกเขาได้พบกัน ดวงตาของเด็กผู้หญิงที่น่ารังเกียจคนนี้เกือบจะกลายเป็นคนที่ ดูไม่น่าดู

 

อย่างไรก็ตามชวนเทียนฮั่วต้องการพูด และถามนางอย่างจงใจ “คนแบบไหนที่ชอบข้า ?”

 

เฟิงหยูเฮงดื่มสุรามากเกินไปและรู้สึกปวดหัวอย่างมาก นางไม่ได้พูดด้วยความรอบคอบอีกต่อไป คนสองคนที่อยู่ข้างนางเป็นคนที่ทําให้นางรู้สึกสบายใจเหลือเกินดังนั้นนางจึงวางข้อศอกไว้บนโต๊ะ และวางใบหน้าเล็ก ๆ ไว้ในมือ บอกคนทั้งสองว่า “คนที่ชอบเจ้ามากที่สุดคือ เฉียนหยินเพื่อประโยชน์ของเจ้า นางเดินทางไกลมาก”

 

ชวนเทียนฮั่วยิ้มอย่างขมขึ้นและไม่ต้องการพูดคุยเกี่ยวกับบุคคลนั้น ขอให้นางอีกครั้ง “มีคนอื่นอีกหรือ ? ”

 

“นั่นคือ” เปิงหยูเฮงพยักหน้า “ยังมีเซียงหรู นางชอบท่านพี่จริง ๆ ข้าเห็นมัน นางเป็นคนที่ชอบพระองค์จริง ๆ เจ้าค่ะ”

 

ชวนเทียนหมิงหัวเราะเยาะนาง “เจ้ามาทําหน้าที่เป็นผู้จับคู่ให้น้องสาวตัวเองงั้นหรือ ?”

 

เฟิงหยูเฮงส่ายหัว “ไม่ พี่เจ็ดคือการดํารงอยู่ที่หายากในโลกนี้ ไม่มีใครที่คู่ควรกับเขา เขาควร…ไม่…” นางเลือกคําพูดของนาง “ควรท่องไปทั่วโลกอย่างอิสระเหมือนเทพเซียน ที่ไร้ข้อจํากัดใด ๆ”

 

คําพูดเหล่านี้เป็นสิ่งที่ชวนเทียนชั่วคาดหวังไว้หลายปี และความหวังนี้ก็เป็นสิ่งที่ชวนเทียนหมิงรู้อย่างชัดเจน ทั้งสองมองหน้ากัน ชวนเทียนฮั่วกล่าวว่า “จากคนที่ข้ารู้จัก อาเฮงเป็นหนึ่งเดีย

 

เด็กหญิงตัวน้อยยิ้มและฟังคําสรรเสริญนี้ พยักหน้า นางยอมรับสิ่งนี้โดยไม่มีคําถาม

 

“เพียงแค่ทิวทัศน์ที่สวยงาม และช่วงเวลาที่ดีนั้นไม่เพียงพอ เพียงแค่มีความรู้สึกใกล้ชิดไม่เพียงพอ หมิงเอ๋อ อาเฮง เจ้าต้องการที่จะฟังพี่เจ็ดเล่นเพลงหรือไม่ ?”

ดวงตาของซวนเทียนหมิงเป็นประกายขึ้นมา และได้ยินชวนเทียนฮั่วเสียงดังสั่งบ่าวรับ ใช้นอกลาน “เอาพิณน้ําแข็งขององค์ชายผู้นี้มา” ในไม่ช้ามันก็เต็มไปด้วยอารมณ์

 

ตอนที่ 668 เขาจะปล่อยวางอย่างง่ายดายได้อย่างไร

 

เฟิงหยูเฮงทําอย่างที่นางพูดเสมอ และสิ่งนี้อาจทําให้ใบหน้าของเฟิงจินหยวนเปลี่ยนเป็นสีแดง แต่ไม่ว่าคําพูดนั้นจะชื่อหรือไม่ก็ตาม สิ่งที่นางพูดนั้นเป็นความจริง แม้ว่าเฟิงจินหยวนจะอายเขาก็ต้องยอมรับอย่างเชื่อฟัง เป็นเพียงว่าหลังจากยอมรับแล้วเขาก็ไม่รู้ว่าควรตอบอย่างไร

 

เฟิงหยูเฮงหันไปหาเฟิงจื่อหรูและกล่าวว่า “ไปเล่นข้างนอกก่อน ข้ามีเรื่องที่จะคุยกับท่านพ่อ”

 

เด็กเล็กก็รู้ว่าจะมีบางครั้งที่เขาควรหลีกเลี่ยงสถานการณ์บางอย่าง ดังนั้นเขาจึง วิ่งออกไปเล่นอย่างมีความสุข ตอนนี้เหลือเพียงเฟิงจินหยวนและเฟิงหยูเฮง ทําให้เพิ่งจินหยวนรู้สีกว่าเขาได้รับความเคารพมากขึ้นโดยกล่าวว่า “ข้าไร้ยางอาย แต่อาเฮงเป็นเพราะท่านแม่ของเจ้าที่แทงข้า โดยปกติแล้วเจ้าควรให้คําอธิบายแก่ข้า”

 

เขารู้สึกตื่นตระหนกและยินดีที่จะพูดอะไร อย่างไรก็ตามคําพูดเหล่านี้ทําให้เฟิงหยูเฮงเกิดความโกรธแค้นมาก นางคุ้นเคยกับเฟิงจินหยวนที่ไร้เหตุผล นางรู้ว่าจะไม่มีที่สิ้นสุดถ้านางโกรธ ดังนั้นนางจึงระงับมันและบอกเขาอย่างจริงจังว่า “ถ้าท่านรู้สึกว่ามีบางสิ่งที่จะโต้แย้งในเรื่องนี้ให้ไปที่ทางการเพื่อร้องเรียน บอกว่าเหยาชื่อทําให้ท่านพ่อพิการ ไม่ว่าจะเป็นการชดใช้ด้วยเงินหรือชุดใช้ด้วยชีวิต นั่นคือเรื่องระหว่างท่านสองคน มันไม่เกี่ยวข้องกับข้า ท่านพ่อก็รู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างนางกับข้า นั่นเป็นเหตุผลที่ท่านไม่สามารถข่มขู่ข้าในเรื่องนี้”

 

เฟิงจินหยวนตกตะลึง เขาคิดว่าเฟิงหยูเฮงอาจโกรธ แต่เขาไม่เคยคิดว่านางจะพูดสิ่งเหล่านี้ หลังจากคิดถึงสถานการณ์ที่ผ่านมาของเหยาซื้อแล้ว ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ใกล้จะแตกหัก เมื่อก่อนเขาก็หัวเราะเหยาชื่ออย่างเย่อหยิ่งเพราะความโง่ และหัวเราะเยาะเฟิงหยูเฮงที่โดดเดี่ยวอย่างแท้จริง แต่ใครจะรู้ว่านางจะใช้เหตุผลนี้เพื่อบอกปัดเขา ในขณะเดียวกันเพิ่งจินหยวนก็ไม่พูดอะไรเลย เรื่องแบบนี้มันยากที่จะพูดถึง เขาพูดถึงมันแล้วนางก็ปฏิเสธ เขาจะทําอะไรได้อีก ?

 

เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกมีความสุขกับค่าเล่าเรียน 150 เหรียญเงิน หากเขารู้ก่อนหน้านี้ว่าเฟิงหยูเฮงจะปฏิเสธที่จะรักษาและใช้คําพูดนี้ทําให้เขาพูดไม่ออก เขาจะไม่ต้องกังวลกับ การขูดรีดเงินด้วยกัน คฤหาสน์ขององค์หญิงมีเงินมากมาย ไม่ได้จนถึงขั้นที่ไม่สามารถส่งเด็กไปเล่า – เรียนได้ แต่มันก็สายเกินไป มันสายเกินไปแล้ว!

 

เพิ่งจินหยวนรู้สึกเสียใจที่ได้ทํามัน !

 

แต่เมื่อเขารู้สึกท้อแท้ ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเฟิงหยูเฮงกล่าวว่า “แม้ว่าข้าจะไม่สะดวกในการตรวจสอบร่างกายของท่านพ่อ ข้าสามารถให้คนจากร้านห้องโถงสมุนไพรมาดูท่านพ่อ”

 

นัยน์ตาของเฟิงจินหยวนสว่างขึ้น “ห้องโถงสมุนไพร ? สามารถรักษาได้หรือไม่”

 

เพิ่งหยูเฮงยักไหล่ “ข้าไม่รู้ แต่หมอที่ร้านห้องโถงสมุนไพรนั้นเป็นคนที่ข้าสอนด้วยตัวเอง ไม่ว่าอะไรก็ดีกว่าหมอทั่วไป ในความเป็นจริงพวกเขาไม่ได้แย่ไปกว่าหมอหลวง หากท่านพ่อต้องการลอง ข้าจะให้พวกเขาไปหาภายหลัง”

 

เฟิงจินหยวนถูมือของเขา เขาพบประกายแห่งความหวังในขณะที่มืดมนที่สุดของเขา ! เขาคิดว่าไม่มีความหวัง แต่ใครจะรู้ว่าบุตรสาวคนนี้ไม่ได้ใจร้ายเกินไป ดังนั้นเขาพยักหน้าซ้ํา ๆ “ได้ดี! จากนั้นข้าจะขอให้หมอร้านห้องโถงสมุนไพรตรวจดู !”

 

เพิ่งหยูเฮงเตือนให้เขานึกถึงอีกครั้งว่า “ท่านพ่ออย่าเพิ่งดีใจเกินไป มันนานมากจริง ๆโอกาสที่จะประสบความสําเร็จในการรักษานั้นมีเพียงหนึ่งในสิบส่วนเท่านั้น”

 

คําพูดเหล่านี้เหมือนถูกราดด้วยน้ําเย็น โชคดีที่เพิ่งจินหยวนสามารถอดทนและขอบคุณซ้ํา ๆ ก่อนออกจากคฤหาสน์ขององค์หญิง สําหรับการที่เปิงหยูเฮงช่วยหางานให้เขา เขาไม่กล้าเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมา การเจรจาต่อรองและประสบความสําเร็จอีกครั้งกับบุตรสาวคนนี้ก็ดีพอแล้ว เขาไม่สามารถโลกได้ ไม่ว่าในกรณีใด การรักษาอาการบาดเจ็บของเขาเป็นสิ่งสําคัญที่สุด เรื่องของงานสามารถพูดได้ในภายหลัง

 

เพิ่งจินหยวนออกไปอย่างมีความสุข อย่างไรก็ตามหวงซวนถามเฟิงหยูเฮงด้วยความไม่พอใจ “คุณหนูคุณหนูต้องการจะให้หมอจากร้านห้องโถงสมุนไพรรักษาเขาจริง ๆ หรือเจ้าคะ ? จะเป็นอย่างไรถ้าเขาได้รับการรักษาจริง ๆ ?”

 

วังชวนสายตา “หมอรักษาคนเป็นเรื่องดี ทําไมเจ้าถึงเป็นห่วงว่าการรักษาเขาจะประสบความสําเร็จ ? ”

 

หวงซวนตอบ “นั่นจะขึ้นอยู่กับว่าใครกําลังได้รับการรักษา คนอย่างเฟิงจินหยวนจะพอใจกับตัวเองถ้าเขาได้รับการรักษา”

 

เฟิงหยูเฮงหัวเราะแล้วกล่าวว่า “ข้าบอกไปแล้วว่าโอกาสที่เขาจะประสบความสําเร็จก็คือหนึ่งในสิบส่วน”

 

หวงซวนพึมพํา “ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นการสูญเสียยาที่ดีของร้านห้องโถงสมุนไพรเจ้าค่ะ”

 

“ใครบอกว่าเป็นเรื่องเสียผลประโยชน์” เฟิงหยูเฮงมองนางด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย “ร้านห้องโถงสมุนไพรของข้าเป็นธุรกิจ อย่างไรก็ตามเมื่อมีการใช้ยา เขาจะต้องจ่ายเงิน เป็นไปได้หรือไม่ที่เจ้าคิดว่าเขาจะได้รับการรักษาโดยไม่ต้องจ่ายเงิน ? ”

 

เมื่อได้ยินสิ่งนี้ หวงซวนก็หัวเราะ “คุณหนูจะเก็บเงินเขาหรือ ? ฮ่าๆๆ ! ” บ่าวรับใช้นี้กําลังหัวเราะพร้อมกับสร้างฉากที่สวยงามมากขึ้น “คุณหนูเพิ่งเห็นหรือ ? เมื่อเฟิงจินหยวนส่งมอบ150เหรียญเงินเขามีรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา แต่ดวงตาของเขาก็ร้องไห้ ! ถ้าร้านห้องโถงสมุนไพรต้องการเงินจากเขา ข้าคิดว่าเขาอาจจะต้องขายทุกอย่างในบ้านเจ้าค่ะ”

 

วังชวนหัวเราะเมื่อนางได้ยินเรื่องนี้ แต่ในเวลาเดียวกันนางกล่าวด้วยความสับสน “เฟิงจินหยวนได้รับเงินนั้นมาจากที่ไหน ? เป็นไปได้หรือไม่ที่องค์ชายห้ามอบให้ ? ไม่ใช่ว่าบ้านตระกูลเฟิงกําลังอยู่ในความดูแลขององค์ชายห้าหรอกหรือ ? เงิน 150 เหรียญเงินไม่ใช่เงินจํานวนเล็กน้อยเลยเจ้าค่ะ”

 

อย่างไรก็ตามเฟิงหยูเฮงกล่าวว่า “เจ้าสนใจทําไมว่าเงินมาจากไหน เนื่องจากเขาสามารถนําเงินมาให้ได้ หมายความว่ายังมีบางสิ่งที่เขาสามารถทําได้ ไม่มีใครรู้ว่าเขาได้มาอย่างเหมาะสมหรือไม่”

 

ในขณะที่คฤหาสน์ขององค์หญิงกําลังสงสัยเกี่ยวกับที่มาของเงินของเฟิงจินหยวน ในบ้านของตระกูลเฟิง เฟิงเฟินไดมองหาหมอนหยกของนางทุก ในขณะที่ค้นหานางพึมพํา “ข้าเอามันออกมาจริง ๆ ตงหยิง เจ้าเปลี่ยนที่เก็บมันหรือไม่ ? ”

 

ตงหยิงส่ายหน้าของนาง “หมอนหยกนั่นถูกมอบให้กับคุณหนูแล้วเจ้าค่ะ คุณหนูชอบมันมากแต่ก็บอกว่ามันอึดอัดที่จะนอนต่อ จากนั้นคุณหนูเก็บมันไว้ในตู้เสื้อผ้า บ่าวใช้นี้จําได้ว่ามันอยู่ในชั้นบนของตู้เสื้อผ้า มันจะหายไปได้อย่างไรเจ้าคะ”

 

ทั้งสองต่างสับสน ทางด้านของเฟิงเซียงหรู นางรู้สึกสลดใจเช่นกัน บ่าวรับใช้คนหนึ่ง กําลังบอกนางว่า“มีคนจากตําหนักปิงมาพร้อมกับข้อความ นางบอกว่าองค์ชายสี่รู้สึกว่าดอกโบตั้นที่พระองค์ปักเมื่อวานนี้ยังดูไม่ดีนัก พระองค์อยากจะเชิญคุณหนูไปสอนพระองค์เจ้าค่ะ”

 

เซียงหรูโกรธมากจนนางกระแทกถ้วยชาตรงหน้านาง

 

เมื่อเร็ว ๆ นี้อารมณ์ของนางค่อนข้างแย่ แต่เมื่อนางใช้เวลากับองค์ชายสี่ นางก็ไม่สามารถระงับอารมณ์ของนางได้ เมื่อได้ยินว่าคนผู้นั้นสร้างปัญหามากขึ้นนางอดไม่ได้ที่จะโกรธแต่กล่าวว่า “สอนอะไร ! พระองค์ได้รับการสอน 800 ครั้ง หากพระองค์ไม่มีพรสวรรค์ พระองค์ต้องฝึกฝน พระองค์จะให้ข้าสอนอะไรอีก”

 

บ่าวรับใช้ไม่กล้าพูดอะไรเลย อย่างไรก็ตามนางคิดกับตัวเองว่า เป็นไปได้หรือไม่ว่าเจ้าต้องการที่จะให้องค์ชายสี่มีความสามารถในการเย็บปักถักร้อย ? ในท้ายที่สุดพระองค์เป็นคนที่โตแล้ว แค่เชื่อฟังก็พอแล้ว หลังจากคิดไปเล็กน้อย ความคิดที่ถูกบังคับให้อยู่ในใจนางนานหลายเดือนก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง และนางก็อดไม่ได้ที่จะพูดกับเฟิงเซียงหรู “ในความเป็นจริง องค์ชายสี่ปฏิบัติต่อคุณหนูอย่างดี”

 

เสียงของนางตอนที่พูดเบามาก แต่เฟิงเซียงหรูก็ยังได้ยินมันและนางก็อดไม่ได้ที่จะพูดอย่างโกรธเคือง “พระองค์ปฏิบัติอย่างไร? พระองค์สามารถไปรักษาคนที่เขาต้องการได้ดี ! ส่งคนไปตอบพระองค์ ให้พระองค์ปักด้วยตัวเอง ถ้าพระองค์ยังไม่ปักดอกโบตั๋น 100 ดอกให้เสร็จข้าจะไม่ไปพบพระองค์ !”

 

หญิงสาวออกไปอย่างรวดเร็วเพื่อตอบโต้บ่าวรับใช้จากตําหนักปิง แต่เฟิงเซียงหรูรู้สึกว่ารู้สึกรําคาญและสับสนจากสิ่งที่เพิ่งพูดไป

 

ได้รับการปฏิบัติที่ดี ? นางไม่เห็นคุณค่าที่จะได้รับการปฏิบัติที่ดีในปัจจุบันนางรู้สึกหดหูใจมากที่สุดเนื่องจากนางถูกชวนเทียนยี่รั้งตัวไว้ และไม่สามารถไปมีส่วนร่วมในงานแต่งงานของตระกูลเหยาโอกาสที่จะทําให้นางได้พบกับองค์ชายเจ็ด นางไม่รู้ว่ามันจะผ่านไปอีกกี่เดือนหรือกี่ปีก่อนที่นางจะได้พบเขาอีกครั้งหรือแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้พบนาง อย่างน้อยนางก็สามารถมองเขาจากที่ไกล ไม่จําเป็นต้องคุยกันตราบใดที่นางสามารถเห็นเขาและรู้ว่าเขายังอยู่ดีนางก็จะรู้สึกสบายใจ

 

น่าเสียดายที่โอกาสที่ยอดเยี่ยมนี้ถูกทําลายโดยชวนเทียนยี่ เมื่อนางคิดถึงมันในภายหลังทําไมนางถึงรู้สึกว่าชวนเทียนยี่กําลังทํามันอย่างตั้งใจ ? เพียงเพราะเขาเป็นองค์ชาย เขาก็ไร้เหตุผล?แล้วทําไมนางถึงต้องฟังเขา ในท้ายที่สุดนางเริ่มสับสนมากว่าทําไมนางจะต้องฟังชวนเทียน

 

เฟิงเซียงหรูส่ายหัวอย่างแรง และรู้สึกว่าสิ่งต่าง ๆ เป็นระเบียบ วันนี้มีความชัดเจนและสดใสแต่ทําไมพวกเขาถึงกลายเป็นสับสนวุ่นวาย ?

 

อีกสองวันต่อมาเฟิงหยูเฮงช่วยเฟิงจื่อหรูเข้าไปในรถม้าเพื่อส่งเขาไปยังเสี่ยวโจว วังซวนและบานชูไปปกป้องเขา ในเวลาเดียวกันองครักษ์เงา 5 คนถูกส่งโดยคฤหาสน์ขององค์หญิงไปด้วย ก่อนออกเดินทาง เฟิงจื่อหรูไม่ได้เอ่ยถึงการไปเยี่ยมเหยาชื่อ และเฟิงหยูเฮงก็อยากจะหลีกเลี่ยงนางเช่นกัน เมื่อเร็ว ๆ นี้เรื่องของเหยาชื่อทําให้นางไม่รู้ว่านางควรพูดกับเด็กคนนี้อย่างไร

 

หวงซวนช่วยนางกลับเข้าไปในคฤหาสน์หลังจากดูรถม้าออกไป ในขณะที่เดินนางถามว่า “คุณหนูผู้หญิงที่ชื่อหยิงเฉายังคงถูกควบคุม คุณหนูคิดว่านางจะถูกเลิกควบคุมเมื่อไหร่เจ้าค่ะ ?”

 

เฟิงหยูเฮงขมวดคิ้ว เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ คนนั้นกลับมาที่เมืองหลวงพร้อมกับเฟิงจื่อหรู เมื่อนางกลับมานางได้สั่งให้นางถูกควบคุม แต่ก็ไม่ได้ให้เหตุผลอะไรเลย นางเพิ่งบอกกับเฟิงจื่อหรูว่านางจะเรียนรู้สิ่งที่ผู้หญิงควรเรียนรู้จากบ่าวรับใช้ในการเดินทางไปเสี่ยวโจวนี้ เพิ่งจื่อหรูก็รู้กฎของสํานักศึกษา ดังนั้นเขาไม่ได้พูดถึงการพานางไป เรื่องนี้ช่วยไม่ให้เฟิงหยูเฮงกังวล

 

นางพูดกับหวงซวน “ตอนนี้ยังนางไว้ก่อน ผู้หญิงคนนั้นดูดีในอดีต แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างมีความรู้สึกบางอย่างตั้งแต่นางกลับมา”

 

หวงซวนกล่าวอีกว่า “สิ่งที่คุณหนูพูดมาถูกต้องแล้ว ข้าและวังชวนก็พูดถึงเรื่องนี้ แม้ว่าผู้หญิงคนนั้นจะดูเด็ก แต่นางก็ดูเหมือนว่าจะมีความคิดมากมาย โดยปกติแล้วบ่าวรับใช้จะถูกซื้อจากพ่อค้าทาสและจะถูกทําให้เชื่องจากพ่อค้าทําร้าย พวกเขาจะฉลาดเท่ากับนางได้อย่างไรเจ้าค่ะ”

 

เฟิงหยูเฮงเห็นด้วยกับเรื่องนี้ “ถูกต้อง สิ่งที่เจ้าพูดเกี่ยวกับการทําให้เชื่องโดยการทุบตีนั้นสําคัญที่สุด คิดเกี่ยวกับบ่าวรับใช้ในคฤหาสน์นี้ ส่วนใหญ่ซื้อจากพ่อค้าบ่าวรับใช้ พ่อค้าทาสต่างจากพ่อค้าบ่าวรับใช้ บ่าวรับใช้ที่พวกเขาฝึกอบรมมีไว้เพื่อเห็นแก่การถูกส่งไปยังตระกูลใหญ่และเพื่อหารายได้เพิ่มเติม นั้นเป็นสาเหตุที่คนที่อยู่ภายใต้การควบคุมของพวกเขาจะไม่ถูกทําร้ายคนที่มีหน้า ตาดีจะได้รับการดูแลอย่างดี แม้แต่บางตระกูลที่สนใจจะพานางไปเป็นอนุก็เป็นไปได้แต่พ่อค้าทา สต่างกัน ทาสในการควบคุมมีคุณภาพต่ํา นอกจากนี้ส่วนใหญ่เป็นเด็กเล็กส่วนใหญ่ไม่สามารถ ขายในราคาสูง พวกเขามักจะถูกทําร้ายนั่นเป็นเหตุผลที่บ่าวรับใช้มีความสามารถสามารถซื้อได้จากพ่อค้าบ่าวรับใช้ในขณะที่คนที่ซื้อจากพ่อค้าทาสสามารถใช้เพื่อทํางานหนักเท่านั้น”

“คุณหนูคิดว่าเด็กหญิงตัวเล็กๆมีเจตนาที่ไม่ดีหรือไม่เจ้าคะ ?”

 

“มีความรู้สึกแบบนั้นเล็กน้อย” เฟิงหยูเฮงกล่าวว่า “การหลบหนีพระราชวังของฮ่องเต้คือความคิดและความสามารถของเฟิงจื่อหรูที่ข้าเชื่อ แต่การเดินทางจากเมืองหลวงไปทางทิศตะวันออกมีบางอย่างที่ยิ่งใหญ่ แม้ว่าผู้หญิงคนนั้นจะรู้สึกว่าเป็นภาระหน้าที่ แม้แต่ในฐานะบ่าวรับใช้ แม้ว่านางจะไม่สามารถโน้มน้าวเขาและไปกับเขาได้ด้วยความสามารถในการเอาชีวิตรอดของนาง แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะเดินทางได้อย่างราบรื่นแม้องครักษ์เงาที่ถูกส่งโดยจางหยวน อย่างที่ข้าเห็นนางไม่ใช่คนที่ได้รับการฝึกฝนจากการค้าทาส นางดูเหมือนจะเป็นคนที่คุ้นเคยกับการเดินทางแทน”

 

หวงซวนรู้สึกกังวลเล็กน้อย กล่าวอย่างใจจดใจจ่อว่า “ถ้าอย่างนั้นจะให้บ่าวรับใช้ผู้นี้พาตัวนางออกมาเพื่อให้คุณหนูสอบถามหรือไม่เจ้าคะ ?”

 

เฟิงหยูเฮงโบกมือของนาง “ไม่ต้องรีบเลย ปล่อยไว้ก่อน แค่จับตาดูนาง ข้าต้องการดูว่านางจะลงมือด้วยตัวเองหรือไม่ถ้านางตกอยู่ในสภาพแบบนี้”

 

เมื่อทั้งสองพูดกัน พวกเขาเกือบจะเข้าไปในสนามแล้ว ในเวลานี้บ่าวรับใช้ชายรีบวิ่งมาอย่างรวดเร็ว ในขณะที่วิ่งเขาตะโกนว่า “คุณหนูรอก่อนขอรับ !”

 

ทั้งสองหยุด และมองกลับไปโดยเห็นว่าบ่าวใช้กําลังชี้นําคนอื่น เฟิงหยูเฮงรู้สึกว่าพวกเขาคุ้นเคยกันบ้าง “เจ้า…. มาจากตําหนักจุนหรือไม่ ? ”

 

หญิงสาวโค้งคํานับทันที “ดวงตาขององค์หญิงนั้นเฉียบคม หม่อมฉันมาจากตําหนักจุนจริง ๆ เพคะองค์ชายส่งข้ามาเรียนองค์หญิงว่าได้รับเชิญไปที่ตําหนักจุนเพื่อร่วมงานเลี้ยงครอบครัวนอก

 

จากนี้พระองค์ยังกล่าวว่าพระองค์และองค์ชายเก้าได้ตกลงกันแล้ว และจะส่งรถม้าราชสํานักมารับท่านในตอนเย็นเจ้าค่ะ”

 

ตอนที่ 667 ท่านพ่อ ท่านช่างน่าเคารพอย่างแท้จริง

 

เหยาซู่เรียก “ฮูหยิน” ทําให้หลู่เหยาซึ่งกําลังนอนหลับอยู่ในห้องชั้นนอกยิ้มด้วยความพึงพอใจ จากนั้นนางตอบว่า “ท่านพี่มีอะไรให้ข้าช่วยหรือไม่ ? ” ในขณะที่นางพูดนางยังคงได้ยินเสียงฝีเท้าตามทิศทางของนาง พวกมันเบามากเพราะเขาไม่ได้สวมรองเท้า แต่การหายใจของเขาหนักขึ้น ทําให้ห้องทั้งห้องมีบรรยากาศแปลก ๆ

 

หลู่เหยาพอใจมากในขณะที่มองเหยาซู่เดินมาที่เตียงของนาง นางไม่อนุญาตให้มีคําอธิบายใด ๆ กอดเขาและรีบกลับไปที่เตียงเจ้าสาว เมื่อถอดเสื้อผ้าออกแล้วมันเป็นฉากที่มีเสน่ห์

 

คืนนั้นเหยาซู่รู้สึกราวกับว่าเขามีความฝันอันยาวนาน ในความฝันนี้เขาเข้าถึงเนื้อถึงตัวหลู่เหยาที่เพิ่งแต่งงาน อย่างไรก็ตามมันไม่จริงมาก ด้วยความงุนงงเขารู้สึกลังเลเล็กน้อย แต่ถ้าเขายอมรับการฝืนใจนี้ เขารู้สึกว่าเขาปล่อยให้หลู่เหยาลดลง ด้วยความขัดแย้งภายในนี้เขานอนหลับอย่างไม่สบายใจและสั่นมาก เมื่อเขาตื่นขึ้นในตอนเช้าในวันรุ่งขึ้นผ้าปูที่นอนของเขาเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ

 

เขาเป็นคนที่เงียบขรึมและรู้สึกราวกับว่าเขาไม่ได้นอนเลย เขาคิดว่าทุกอย่างเป็นส่วนหนึ่งของความฝัน แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่ามันเกิดขึ้นจริง เขาหันไปมองหลู่เหยาและเห็นว่านางนอนอยู่บนเตียงใต้ผ้าปูที่นอนบางผืน นางมองเขาด้วยความสํานึกผิด

 

“ท่านพี่ตื่นแล้วหรือ ? ” หลู่เหยาตื่นก่อนเขา เสียงของนางค่อนข้างแหบแห้ง และดวงตาของนางก็แดงเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่านางร้องไห้ เหยาซู่ต้องการถามสิ่งที่เกิดขึ้นกับนาง แต่ได้ยินว่าหลู่เหยากล่าวว่า “เป็นเพราะฮูหยินผู้นี้ไม่ดี ฮูหยินผู้นี้ทําให้ท่านพี่โกรธและรู้สึกเศร้าใจมาก แต่เมื่อคืนท่านพี่คงดื่มมากเกินไป ข้าไม่มีแรงมากพอและไม่สามารถทําอะไรได้” ยิ่งนางพูดมากเท่าไหร่ เสียงของนางก็ยิ่งเงียบ ในตอนท้ายนางก็ก้มหน้าลงและจ้องมองผ้าผืนขาวบนเตียง ในที่สุดน้ำตาก็เริ่มร่วงหล่น

 

เหยาซู่เคยเป็นคนที่ใจดีมากและไม่ได้มีความเกลียดชังสําหรับหลู่เหยาในใจของเขา ก่อนที่ยาจะออกฤทธิ์เต็มที่ เขาได้คิดในสิ่งต่าง ๆ ผ่านมาแล้ว นอกจากนี้เขายังไม่รู้ว่าเทียนถูกดัดแปลงซึ่งทําให้เขารู้สึกราวกับว่าเขาทนไม่ได้ เมื่อได้ยินสิ่งที่หลู่เหยาพูด และเห็นฉากนี้ หัวใจของเขาก็เริ่มรู้สึกว้าวุ่นใจ

 

เขาลุกขึ้นนั่งแล้วดึงฮูหยินของเขาเข้ามากอด เขาปลอบโยนนางด้วยคําพูดที่สุภาพและกล่าวกับนางว่า “เมื่อแต่งเข้าตระกูลเหยา เจ้าเป็นภรรยาของข้า ทุกสิ่งที่ทําไปแล้วควรจะทํา ไม่ต้องกังวล เราจะไม่พูดถึงเรื่องในอดีต ตระกูลเหยานั้นใจดีและไม่มีใครจะรังแกเจ้า” ขณะที่เขาพูดเขาเห็นว่าหลู่เหยายังคงจ้องมองที่ผ้าขาว เขาสามารถคาดเดาสิ่งที่นางเป็นห่วง ลุกขึ้นจากเตียงเขาหาของที่แหลมและนิ่มลงบนแขนทําให้เลือดออกแล้วเช็ดเลือดบนผ้าปูที่นอน จากนั้นนางก็รู้สึกพึงพอใจมาก

 

หลู่เหยาถอนหายใจด้วยความโล่งอกและกอดแขนของเหยาซู่ และปฏิเสธที่จะปล่อยนางเอา ปากของนางทาบลงบนแผลแล้วดูดไปพักหนึ่ง เมื่อเห็นว่ามันไม่มีเลือดออกแล้วนางก็ปล่อยน้ำตาคลอ เหยาซูรู้สึกลึกลับมากยิ่งขึ้น

 

คู่หนุ่มสาวนอนอยู่บนเตียงสักครู่แล้วพูดสิ่งที่คุ้นเคยบางอย่างก่อนที่สาวใช้จะเข้ามาเพื่อปลุกพวกเขา หลังจากแต่งตัวเสร็จพวกเขาไปยกน้ำชาให้กับผู้อาวุโสในครอบครัว จากนั้นฮูหยินจะนําผ้าเปื้อนเลือดมาให้ซูซื่อ เมื่อเห็นซูซื่อยิ้มและพยักหน้า หลู่เหยาก็ผ่อนคลายในที่สุด เมื่อนางมองเหยาเซียน นางก็รู้สึกว่าสายตาของเขาแหลมคมมาก เนื่องจากมีความคล้ายคลึงกับเฟิงหยูเฮงเล็กน้อย หัวใจของนางจึงสั่นเล็กน้อย

 

จากการแต่งงานครั้งนี้หลู่เหยาได้รอดพ้นจากสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยอันตราย อย่างไรก็ตาม ใครจะรู้ว่าในคฤหาสน์หลู่, คุณหนูสามหลู่หยานเกือบทําให้เกิดความวุ่นวาย บ่าวรับใช้หรู่ยี่พยายามปลอบใจนาง และในที่สุดก็จัดการให้นางสงบลง แต่หลู่หยานไม่เข้าใจว่า “มีสิ่งแปลก ๆ มากมายในโลกนี้ เป็นไปได้หรือไม่ที่ยายของพระราชวังได้รับผลตอบแทน”

 

หรูยี่ถอนหายใจ “มันไม่ใช่เรื่องงานที่จะติดสินบนคนของพระราชวังเจ้าค่ะ ! ยายคนนั้นใช้ชีวิตของนางในพระราชวัง สิ่งที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน นางเป็นคนที่คนปกติสามารถซื้อได้หรือไม่เจ้าคะ ?”

 

“ถ้าอย่างนั้นมันก็แปลก ! ” หลู่หยานกล่าวซ้ำตัวเอง “เห็นได้ชัดว่าหลู่เหยานั้นไม่บริสุทธิ์ เรื่องเลวทรามระหว่างนางกับหลูโชวนั้นเป็นสิ่งที่ข้ารู้ ผลการตรวจเป็นไปได้อย่างไรว่านางบริสุทธิ์ เป็นไปได้หรือไม่ที่ยายแก่มากและตรวจไม่ดี ? ดวงตาของนางไม่แหลมคมอีกต่อไปแล้วหรือ ?”

 

ในท้ายที่สุดหรูยี่่เป็นบ่าวรับใช้และไม่สามารถบอกได้ว่าความจริงคืออะไร นางสามารถแนะนํานางได้เท่านั้น “เรื่องนี้ผ่านไปแล้ว คุณหนูสามอย่าคิดมากเลยเจ้าค่ะ อนาคตของคุณหนูจะดีขึ้นกว่าเดิม นางจะเพลิดเพลินไปกับการเป็นจุดเด่นเป็นเวลาสองสามปี เมื่อเวลานั้นมาถึงนางจะไม่ต้องคุกเข่ากับเขาอีกหรือไม่เจ้าค่ะ”

 

เมื่อสิ่งนี้ถูกกล่าว หลู่หยานก็ดีใจเล็กน้อย แต่เมื่อนางจําสิ่งต่าง ๆ จากวันก่อนหน้านี้ นางรู้สึกโกรธ “อนาคตที่ดี ? ข้ากลัวว่าอนาคตอันยิ่งใหญ่นี้จะถูกทําลายโดยนาง ! ร้านค้าส่วนใหญ่ของตระกูลถูกส่งมอบ ข้าได้ยินท่านพ่อบอกเมื่อวานนี้ การกระทําเมื่อวานนี้เป็นสิ่งที่ดีที่สุด เมื่อข้าแต่งงานข้าจะมีสินเดิมอะไรบ้าง ? ท่านพ่อมุ่งเน้นไปที่การมีความสัมพันธ์กับตระกูลเหยา อย่างไรก็ตามเขาไม่เคยคิดเลยว่าสถานการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้นจริงหรือไม่? ข้าพูดได้ว่าเฟิงหยูเฮงอยู่ด้วย ใครจะได้ประโยชน์จากนางบ้าง”

 

เมื่อได้ยินสิ่งนี้หรูยี่่ก็ตัวสั่น เมื่อวันก่อนนางได้ไปที่คฤหาสน์เหยาและได้เห็นองค์หญิงจี่อัน แน่นอนว่าการจ้องมองของนางนั้นเย็นยะเยือกและน่าตกใจอย่างยิ่ง

 

ไม่ต้องพูดถึงความสับสนในด้านของหลู่หยาน แม้แต่หลู่ซ่งและเก้อซื้อก็ไม่สามารถนอนหลับได้เนื่องจากการตรวจร่างกาย ทั้งสองไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อนึกย้อนกลับไป พวกเขาขังหลู่เหยาและหลู่โชวยาวไว้ในห้อง พวกเขาเห็นรอยเลือดบนเตียงอย่างชัดเจน ทําไมยายถึงบอกว่านางเป็นสาวบริสุทธิ์ ?

 

ทุกคนในคฤหาสน์หลู่ที่รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้รู้สึกสับสน

 

แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นการผ่านอุปสรรค์นี้เป็นสิ่งที่ดีในปัจจุบันหลู่ซ่งยังคงสั่นด้วยความกลัว เมื่อยายในพระราชวังบอกว่าหลู่เหยานั้นไม่บริสุทธิ์ หลู่เหยาจะไม่มีโอกาสได้อยู่อีกต่อไป แม้แต่ตระกูลของเขาก็จะต้องทนทุกข์เช่นกัน ! แล้วถ้าเขาเป็นคนแรกที่ออกจากตําแหน่งเสนาบดี แม้ว่าคนอื่นจะไม่เข้าใจมัน เขาจะทํายังไง เขาสามารถนําไปเปรียบเทียบกับคนอื่น ๆ ได้ แต่เมื่อเปรียบเทียบกับตระกูลเหยาแล้วไม่มีการเปรียบเทียบเลย

 

หลู่ซ่งถอนหายใจ เก้อซื้อถอนหายใจ แต่นางถอนหายใจไปกับการกระทําที่ได้รับ เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้นเมื่อบุตรสาวของนางแต่งงาน นางควรทําอะไร!

 

ผู้คนในตระกูลหลู่ต่างก็สับสน ในคฤหาสน์ขององค์หญิง เฟิงหยูเฮงส่งช่างฝีมือเป่ยกลับพระราชวังด้วยตัวเอง เพื่อให้แน่ใจว่าช่างฝีมือเป่ยถึงพระราชวังโดยเฉพาะเขานั่งอยู่ในรถม้าของราชสํานัก นางยังมีองครักษ์เงา 2 คนตามมาด้วย หลังจากจัดการเรื่องต่าง ๆ ในพระราชวังในไม่กี่วัน นางก็รู้สึกสบายใจที่จะส่งช่างฝีมือเป่ยกลับไป

 

หลังจากรถม้าของราชสํานักหันออกจากตรอก นางก็หันหน้าไปและพบรถม้าอีกคันวิ่งไปในทิศทางของนาง หลังจากผ่านไปอีกไม่กี่ก้าวก็หยุดอยู่หน้าทางเข้าคฤหาสน์ขององค์หญิง หลังจากนี้เฟิงจินหยวนก็กระโดดออกมา เมื่อเห็นเพิงหยูเฮงอยู่ เขาถอนหายใจยาวและกล่าวว่า “ข้ากลัวว่าเจ้าจะไม่อยู่ในคฤหาสน์ ทหารยามของเจ้าไม่ยอมให้ข้าเข้าไป”

 

เฟิงหยูเฮงพยักหน้า “ทหารยามอยู่ทางด้านขวา” จากนั้นนางยิ้มเยาะ “เมื่อเราพบกันแล้วท่านพ่อมีอะไรจะพูดก็พูดมา”

 

นางพาเฟิงจินหยวนไปที่ห้องโถงใหญ่ เฟิงจื่อหรูก็วิ่งออกมา เด็กสองคนเห็นบิดาที่ขาดความรับผิดชอบ เมื่อเห็นว่าเฟิงจินหยวนมองไปที่เฟิงจื่อหรู เฟิงหยูเฮงกระแอมเบา ๆ แล้วถามว่า “ท่านพ่อมาวันนี้มีเรื่องอะไรหรือเจ้าคะ ?”

 

“อ่า! ใช่แล้ว !” เฟิงจินหยวนตอบสนองเชิงบวกอย่างสมบูรณ์ เมื่อเข้าไปในกระเป๋าของเขา เขาก็ดึงตั๋วแลกเงินออกมาอย่างรวดเร็ว “นี่เป็นค่าเล่าเรียนสําหรับจื่อหรูที่ข้าเตรียมไว้ มีทั้งหมด 150 เหรียญเงิน ลองนับดู”

 

“หืม ? ” เฟิงหยูเฮงรับตั๋วแลกเงินด้วยความประหลาดใจนิดหน่อย มันเป็นตัวแลกเงินของร้านแลกเงินในเมืองหลวง มันครบถ้วน 150 เหรียญเงินไม่ขาดไม่เกิน นางแปลกใจเล็กน้อย “ท่านพ่อเอาเงินนี้มาจากไหน ?”

 

เฟิงจินหยวนโบกมือของเขา “ที่อยู่ของตระกูลเฟิงมีรากฐานเล็กน้อย เจ้าไม่จําเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ การศึกษาของจื่อหรูเป็นสิ่งสําคัญที่สุด”

 

เมื่อได้ยินเขาพูดแบบนี้ เฟิงหยูเองก็ไม่สามารถถามต่อ ดังนั้นนางจึงพยักหน้า และส่งตัวแลกเงินให้วังซวน “จัดการมัน เมื่อจื่อหรูกลับไปที่เสี่ยวโจวในอีกไม่กี่วัน นํามันไปด้วย”

 

เมื่อเห็นว่าตั๋วแลกเงินถูกส่งมอบ ในที่สุดเฟิงจินหยวนก็ยิ้มราวกับว่าน้ำหนักถูกยกขึ้นแล้ว แต่ใครจะรู้ว่ามันเป็นเพราะในที่สุดเขาก็มีงานบางอย่างเพื่อส่งบุตรชายของตัวเองไปสํานักศึกษา หรือถ้าเป็นเพราะในที่สุดเขาก็มีหน้าที่จะขอให้เฟิงหยูเฮงช่วย

 

เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้จากไป เฟิงหยูเฮงรู้ว่ามีเรื่องอื่นอีกแน่นอน แต่ถ้าเฟิงจินหยวนไม่พูด นางก็จะไม่รีบ นางให้บ่าวรับใช้นําชามาด้วย จิบไม่กี่ครั้งนางก็เริ่มคุยกับเฟิงจื่อหรู

 

บทสนทนานี้ไม่มีที่สิ้นสุด เฟิงจินหยวนกลัวว่าเรื่องของเขาจะถูกลืม ดังนั้นเขาจึงเริ่มที่จะกล่าว “อาเฮง ข้ามีเรื่องที่ขาอยากจะถามเจ้า”

 

“เจ้าค่ะ” เฟิงหยูเฮงหันไปมองเขา “ท่านพ่อต้องการถามอะไร ?”

 

เฟิงจินหยวนสงบใจลงกล่าวว่า “เจ้าก็รู้ว่าข้าและเหยาซื้อทะเลาะกัน นางต้องการทําร้ายข้า ข้าแค่อยากจะถามว่าอาการบาดเจ็บครั้งนี้ มันยังสามารถรักษาได้หรือไม่”

 

เฟิงหยูเฮงไม่คิดว่าคําขอของเขาจะเป็นเรื่องนี้ แต่หลังจากนึกถึงฉากที่เฟิงจินหยวนเห็นจาวเหลียน นางก็พัฒนาความเข้าใจเล็กน้อย แต่เมื่อนางคิดว่าเพราะสิ่งนี้ ท่าทางของนางก็เย็นชาลงเล็กน้อย นางกล่าวทันทีด้วยน้ำเสียงที่ไม่สุภาพ “ตอนนี้ถ้าท่านพ่อต้องการบุตรชาย ท่านพ่อก็มี หากท่านพ่อต้องการบุตรสาว ท่านพ่อมี บุตรสาวคนหนึ่งเป็นองค์หญิงและเป็นว่าที่พระชายา บุตรชายก็เป็นลูกศิษย์ของเย์โหรั่งด้วย ท่านพ่อยังไม่พอใจอีกหรือ ท่านยังต้องการกระจายเชื้อสายของตระกูลเฟิงอีกหรือ ? ” ในขณะที่พูด นางมองเฟิงจินหยวนด้วยความดูถูกเหยียดหยามและกล่าวว่า “มันช้าไปหรือ ?”

 

ใบหน้าของจินหยวนเปลี่ยนเป็นสีแดงสดจากสิ่งที่นางพูด นอกจากนี้เขาก็เป็นบิดาของนาง เพื่อให้บุตรสาวของเขาใช้สิ่งต่าง ๆ แบบนี้เพื่อเยาะเย้ยเขา เขาจะไม่รู้สึกอับอายได้อย่างไร แต่เขามาวันนี้ด้วยเป้าหมายแบบนี้ เขาวางแผนล่วงหน้า โดยไม่คํานึงถึงสิ่งที่น่าเกลียดที่เฟิงหยูเฮงพูด เขาจะต้องอดทน ตราบใดที่เขาสามารถรักษาอาการบาดเจ็บนี้ได้ ดังนั้นเขาจึงได้แต่ขอร้อง “ข้ายังเป็นผู้ชาย นอกจากนี้ยังมีอนุในบ้าน และข้าต้องคิดเพื่อพวกนาง”

 

เฟิงหยูเฮงก็หัวเราะ บิดาคนนี้ช่างน่าเคารพเหลือเกิน เขายังสามารถพูดสิ่งนี้ได้ แต่การพูดความจริงนั้นไม่เป็นอันตราย เนื่องจากพวกเขากําลังพูดอย่างเปิดเผยและทุกคนพูดความจริง นางถามเฟิงจินหยวน “อย่าพูดว่าข้าไม่รู้สถานการณ์อาการบาดเจ็บของท่านพ่อในปัจจุบัน แต่หลังจากผ่านไปนานมากแม้ว่าข้าจะเป็นหมอเทวดา ข้ากลัวว่ามันจะสิ้นหวัง ยิ่งไปกว่านั้น” นางจ้องที่เฟิงจินหยวน ดวงตาของนางเริ่มมองไปที่ท่อนล่างของเขาด้วยความตั้งใจที่ไม่ดี จากนั้นนางกล่าวว่า “เมื่อท่านพ่อไม่อายที่จะให้ข้ารักษา ข้าก็จะรักษาให้”

 

ตอนที่ 666 กลอุบายสําหรับพิธีแต่งงาน

ที่บ่าวรับใช้พูดถึงในห้องเก็บยาคือเป่ยฟูหรง ตั้งแต่เฟิงหยูเฮงนํานางออกจากมิติของนาง นางถูกเก็บไว้ในห้องเก็บยา นางจะฉีดยาให้เปี่ยฟูหรงทุกวันในเวลาที่กําหนด และบ่าวรับใช้ที่เชื่อถือได้มักจะดูแลนาง

 

เป่ยฟูหรงไม่เคยตื่นขึ้นมา มันไม่ได้เป็นผลมาจากการให้ยาแก่นาง แต่มันเป็นผลมาจากร่างกายของนางทรุดโทรมเร็วเกินไปซึ่งทําให้ประสาทของนางทนไม่ไหวและอ่อนแรงลง จากนั้นนางก็ตกอยู่ในอาการโคม่า แม้ว่าเฟิงหยูเองไม่ค่อยกังวลมากนัก แต่นางก็รู้ว่าจะมีสักวันที่เปี่ยฟูหรงจะตื่นขึ้นมา แม้ว่าสุขภาพจะเสื่อมถอยลดลงอย่างรวดเร็ว แต่การฟื้นตัวจะช้า ผลลัพธ์ของยาทําให้ร่างกายของฟูโหร่งปรับตัว

 

แต่ไม่ว่านางจะพูดอะไร นางก็ไม่สามารถหมดสติได้ตลอดเวลา การตื่นขึ้นควรถือเป็น จุดตรวจการรักษาในอนาคตจะสามารถทํางานได้พร้อมกันกับนางเท่านั้น ผลลัพธ์ก็จะดีขึ้นอีกเล็กน้อย

 

เฟิงหยูเฮงเดินตามบ่าวรับใช้และรีบไปที่เรือนของนางขณะถามเกี่ยวกับสถานการณ์ บ่าวรับใช้กล่าวว่า “ก่อนหน้านั้นร่างกายของนางสั่น ต่อมานางเริ่มพูดเหลวไหล และมันก็ฟังไม่รู้เรื่องว่านางพูดอะไร นางหลับตาตลอด ก่อนหน้านี้นางไอเป็นเลือดเต็มปาก บ่าวรับใช้คนนี้เห็นว่าคงไม่ดีและคิดว่าจะไปเรียกคุณหนูรองมาดูเจ้าค่ะ”

 

เฟิงหยูเฮงพยักหน้าและไม่ได้ถามอะไรเลย นางเพิ่มความเร็วในการเดินและเข้าไปในห้องเก็บยาอย่างรวดเร็ว มีหญิงสาวอีก 2 คนอยู่ในห้องเก็บยาที่ดูแลเปยฟูหรง เมื่อเห็นว่าเฟิงหยูเฮงกลับมาพวกเขาทั้งคู่ถอนหายใจด้วยความโล่งอกโดยมีหนึ่งในนั้นยื่นผ้าเช็ดหน้าให้เฟิงหยูเฮงมองเห็น ในเวลาเดียวกันนางกล่าวว่า “ภายในหนึ่งชั่วยามนางไอออกมาเป็นเลือด 2 ครั้ง และมันก็ดําทั้งสองครั้งเจ้าค่ะ”

 

เฟิงหยูเฮงมองผ้าเช็ดหน้าและเข้าใจ นางบอกกับบ่าวรับใช้ “นี่เป็นเลือดที่ปนเปื้อน มันมีสารพิษที่อยู่ในร่างกาย ท่านปู่กับข้าใช้เข็มฉีดยาและรักษานานมาก ในที่สุดเราก็พยายามให้มันออกมาเล็กน้อย ให้ความสนใจมากขึ้น ขากลัวว่านางจะไอออกเป็นเลือดสีดําแบบนี้ต่อไปอีกสองสามวัน หลังจากนั้นนางก็จะเริ่มตื่นขึ้น ในช่วงเวลานี้จะต้องมีคนอยู่ดูแลนางตลอดเวลา มันเหมือนกันในตอนกลางคืน” ในขณะที่นางกล่าว นางกล่าวกับวังซวน “พาคนมาเพิ่มอีกสองสามคน ให้พวกนางเฝ้าระวังอยู่ตลอดเวลา”

 

เมื่อได้ยินว่าสิ่งต่าง ๆ กําลังดีขึ้น บ่าวรับใช้จึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก บ่าวรับใช้เริ่มเปลี่ยนเสื้อผ้าของเป๋ยฟูหรงแล้ว หวงซวนที่อยู่ข้างนอกผลักประตูเปิดเข้าในเวลานี้ และเดินไปข้างเฟิงหยูเฮงและกระซิบเบา ๆ ว่า “ข้าเห็นช่างฝีมือเปยยืนอยู่นอกสนามตลอดเวลานี้ บางครั้งเขาก็จะมองมาที่นี่ เขาน่าจะได้ยินเกี่ยวกับข่าวจากทางด้านนี้ และคงอยากมาเยี่ยมคุณหนูเป่ยเจ้าค่ะ”

 

ช่างฝีมือเป่ยไม่ได้พบบุตรสาวของเขาเป็นเวลา 1 ปีและคิดถึงนางมาก แต่เมื่อเขาพบเป่ยฟูหรงตอนนี้ ความรู้สึกยินดีที่ได้พบหน้าของเขาก็กลายเป็นความเกลียดชังที่รุนแรง มือกําแน่นทุบบนโต๊ะ หน้าผากของเขามีรอยย่นแน่น

 

อย่างไรก็ตามเฟิงหยูเฮงยิ้มอย่างขมขื่น “ท่านลุงเปยอย่าคิดมากเจ้าค่ะ ตอนนี้ร่างกายของฟูหรงนั้นดีขึ้นมากแล้ว เหตุผลที่ข้าไม่เคยให้ท่านลุงเป่ยพบนาง คือข้ากลัวว่าท่านลุงเป่ยจะทนเห็นนางสภาพแบบนี้ไม่ได้ ไม่ต้องกังวล การรักษาโรคนี้ถูกวินิจฉัยโดยท่านปู่ เรามีความมั่นใจเก้าในสิบส่วนที่เราสามารถฟื้นฟูฟูหรงให้เป็นปกติได้ แม้ว่านางจะไม่สามารถกลับคืนสู่ตัวเองได้อย่างสมบูรณ์ แต่นางจะไม่แตกต่างมากนัก ท่านลุงเปี่ยสบายใจได้เจ้าค่ะ”

 

ช่างฝีมือเป่ยไม่ได้กล่าวอะไร เขาไม่ได้ให้ความสนใจกับคําคัดค้านของเฟิงหยูเฮง ในขณะที่เขาคุกเข่าลงบนพื้นและคํานับนางอย่างเหมาะสม เมื่อเขายืนขึ้นอีกครั้งเขาพึมพํา “ข้าคิดว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น พวกนางก็มีสายเลือดเดียวกัน แม้ว่าพวกเขาจะใช้เด็กคนนี้ พวกเขาจะไม่ทําอะไรที่รุนแรง อย่างไรก็ตามข้าคิดผิด ความสัมพันธ์ในครอบครัวคืออะไรพวกเขากล้าลงมือกับสายเลือดของตัวเอง”

 

เขาพูดเรื่องนี้ขึ้นมา แต่เฟิงหยูเฮงไม่ต้องการรับมัน มันเป็นความสัมพันธ์ที่เริ่มต้นด้วยความโชคร้าย ย้อนกลับไปเมื่อมีสถานการณ์ระหว่างนาง คังอี้และรุ่ยเจีย ช่างฝีมือเป่ยเคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้แต่ไม่สามารถนําขึ้นมาได้ แม้กระนั้นนางไม่รู้ว่าเขาไม่ได้เกลียดนาง แต่แม้ว่าเขาจะทําหลังจากเหตุการณ์นี้ เฉียนโจวก็ทําร้ายจิตใจเขาอย่างรุนแรง

 

ช่างฝีมือใบกล่าวกับเฟิงหยูเฮง “ งานแต่งงานของตระกูลเหยาได้ข้อสรุปแล้ว ผู้เฒ่าคนนี้ไม่มีข้อแก้ตัวที่จะอยู่ที่นี้ต่อไป องค์หญิงได้โปรดส่งข้ากลับพระราชวังเถิดพะยะค่ะ”

 

เฟิงหยูเฮงถามเขาว่า “ถ้าท่านลุงเป่ยไม่อยากกลับ ท่านลุงเปี๊ยก็สามารถอยู่ที่คฤหาสน์ของข้าต่อไปได้ หรือท่านลุงใบสามารถกลับไปที่คฤหาสน์ใบ ข้าจะส่งองครักษ์เงาไปด้วย จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นแน่นอนเจ้าค่ะ”

 

ช่างฝีมือเป่ยส่ายหน้า “ไม่เป็นไร ข้ารู้สึกว่ามีบางคนในพระราชวังที่ควบคุมสถานการณ์ ถึงแม้ว่าเฉียนโจวจะล่มสลายไปแล้ว ภัยคุกคามก็ยังไม่ได้กําจัดให้หมดไป องครักษ์เงาในพระราชวังยังไม่เป็นที่รู้แน่ชัดในเวลานี้ ในการเดินทางกลับไปที่พระราชวัง มีบางสิ่งที่ข้าต้องการขอให้องค์หญิงช่วยข้าด้วยพะยะค่ะ”

 

เฟิงหยูเฮงพยักหน้า “ได้เจ้าค่ะ”

 

“มีไม่มากจริง ๆ ข้าแค่อยากจะขอให้องค์หญิงบอกกับตําหนักแต่ละแห่งว่าช่างฝีมือเป่ยนั้นแก่มาก และกลัวว่าข้าจะไม่สามารถทํางานต่อไปได้อีกนานหลายปี ในขณะที่ข้ายังสามารถสร้างพวกมันได้ ข้าจะสร้างอีกไม่กี่อย่าง ไม่จําเป็นต้องดําเนินการต่อไปเหมือนเมื่อก่อน ถ้าพระสนมของฮ่องเต้ในแต่ละตําหนักต้องการบางอย่าง มันก็ใช้ได้ทั้งหมดขอรับ”

 

ความตั้งใจของเขาชัดเจนมาก เมื่อเปิดประตูเขาจะได้พบปะผู้คนมากขึ้นเพื่อค้นหาว่าเข็มนั้นซ่อนอยู่ที่ไหนในพระราชวัง นี่เป็นตัวเลือกเดียว

 

เฟิงหยูเฮงพยักหน้าและตกลง ทั้งสองพูดกันครู่หนึ่งก่อนที่จะตกลงกันที่จะกลับไปที่พระราชวังในเช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากที่นางออกไป ช่างฝีมือเป่ยจับไหล่ของเปยฟูหรงสักพัก จากนั้นพวกเขาก็แยกย้ายกันไป

 

สําหรับวันนี้มันถูกกําหนดให้ไม่สงบโดยเฉพาะในเวลากลางคืน

 

กับภรรยาใหม่ที่แต่งงาน คฤหาสน์เหยามีงานแต่งงาน เหยาซู่ลากพี่น้องดื่มและกินโดยไม่อยากกลับ ส่วนหลู่เหยานั้น นางไม่มีบ่าวรับใช้ที่มาจากตระกูลหลู่อีกต่อไปแล้ว การดูแลก็ไม่สะดวกมาก เมื่อนางพยายามส่งคนไปพบเหยาซู่ บ่าวรับใช้ที่ถูกส่งไปสามครั้ง แต่ไม่สามารถพาเขากลับมาได้

 

ฮูหยินใหม่นั่งอยู่ในห้องเจ้าสาวอย่างงุ่มง่ามจนกระทั่งหลังของนางเริ่มปวด เมื่อเข้าใกล้เที่ยงคืนนางได้ยินเสียงฝีเท้ามาจากบ้าน

 

บ่าวรับใช้คนหนึ่งวิ่งไปที่ทางเข้า แล้วหันกลับมากล่าวกับนางว่า “คุณชายใหญ่กลับมาแล้วเจ้าค่ะ ดูเหมือนว่าคุณชายจะดื่มหนักไปหน่อยเจ้าค่ะ”

 

หลู่เหยาแสดงออกอย่างรวดเร็ว และกล่าวว่า “ไม่เป็นไร วันนี้เป็นวันที่ดี เจ้าบ่าวที่ดื่มหนักเป็นเรื่องปกติ” เนื่องจากสถานการณ์ในระหว่างวันเป็นอย่างที่เคยเป็น จึงไม่จําเป็นต้องให้นางสวมผ้าคลุมหน้าอีกต่อไป เมื่อนางลุกขึ้นยืน นางจึงสั่งให้บ่าวรับใช้นําน้ำสะอาดมาเพื่อทําความสะอาดตัวให้เหยาซู่ จากนั้นนางก็ส่งคนไปต้มซุปเพื่อช่วยให้มีสติ เช่นนี้นางส่งบ่าวรับใช้ทั้งสองที่อยู่ในห้องออกมา จากนั้นนางใช้เวลาก่อนที่เหยาขู่จะเข้ามาในห้องเพื่อเดินข้ามไปยังจุดที่เทียนอยู่ นางรีบถอดปืนออกจากหัวเพราะมีที่ว่างอยู่ข้างใน หลู่เหยาบิดจากด้านบนและเทผงลงในหลุมเทียนอย่างรวดเร็ว ผงที่ผสมกับและผสมกับขี้ผึ้งเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็วโดยไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ

 

หลังจากทําเช่นนี้นางหยิบกรรไกรขึ้นมาหนึ่งใบ และเริ่มตัดตรงกลางของเทียน ในเวลานี้เหยาซู่ผลักประตูเข้ามา และเห็นนางตัดเทียน เขาอดไม่ได้ที่จะถาม “เจ้าทําอะไร?”

 

หลู่เหยาวางกรรไกรและไปช่วยประคองเขา เมื่อเห็นว่าคู่บ่าวสาวอยู่ในห้อง บ่าวรับใช้ก็ไม่สามารถดูแลพวกเขาได้อีก ดังนั้นพวกนางจึงถอยออกมา หลู่เหยาช่วยประคองเหยาซู่ให้นั่งบนเตียงขณะที่กล่าวกับเขาว่า “การตัดจุดศูนย์กลางของเทียนนั้นเป็นกฏสําหรับคืนแรกของการแต่งงาน มันเป็นสัญลักษณ์ที่ดี ข้าได้ยินว่าสามีจะกลับมาแล้ว ดังนั้นข้าจึงรีบตัดแกนกลางของเทียนหวังว่าเราจะอยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิตเจ้าค่ะ”

 

เหยาซู่มองหลู่เหยา อย่างไรก็ตามการจ้องมองของเขาไม่มีความรักแบบเดียวกับที่เคยทํามาก่อน ในระหว่างวันหลู่เหยาได้ขอร้องบางอย่างกับเขาเกี่ยวกับการที่นางมีมลทินตั้งแต่อายุยังน้อยและพยายามฆ่าตัวตายสองสามครั้ง อย่างไรก็ตามนางไม่สามารถทําอะไรเกี่ยวกับมัน การได้รับการช่วยเหลือจากครอบครัว นางขอร้องให้เขาช่วยนาง เขาสามารถฆ่านางได้ด้วยตัวเอง แม้ว่านางตาย นางก็จะตายในอ้อมแขนของคนที่นางรัก ถ้ามันถูกเปิดเผยในตอนนั้นนางคงจะฆ่าตัวตายด้วยการเอาหัวพุ่งชนเสา 

 

เหยาซู่มีความรู้สึกต่อหลู่เหยาและไม่สามารถรับมือกับคําที่นางร้องขอได้ ยิ่งกว่านั้นนางยังตกเป็นเหยื่อ ในเมื่อเขาแต่งงานกับนาง เขาควรดูแลนางอย่างเหมาะสม แต่เขาก็ยังเป็นผู้ชาย เขาคิดว่าผู้หญิงที่เขาแต่งงานจะบริสุทธิ์ไร้มลทิน อย่างไรก็ตามใครจะรู้ว่านางไม่บริสุทธิ์อีกต่อไป เขารู้สึกอึดอัดเล็กน้อยเขาจึงชวนพี่น้องไปดื่มและไม่กลับจนดึก

 

เขาสามารถหลีกเลี่ยงได้สักพัก แต่เขาไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ตลอดไป เพื่อไม่ให้บิดา มารดา ลุง ป้า และปู่ของเขาเห็นว่ามีอะไรผิดปกติ เขายังคงกัดฟันตัวเองและกลับมา ตอนนี้เขาเห็นหลู่เหยา เขาไม่รู้สึกเหมือนที่เคยทํามาก่อน

 

หลู่เหยาจะไม่เข้าใจสิ่งที่เหยาชูกําลังคิดอยู่ได้อย่างไร นางไม่ได้ยืนยัน แต่เพียงผู้เดียวที่คอยช่วยล้างเหยาซู่อย่างไม่แยแส เปลี่ยนชุด ถอดรองเท้าและถุงเท้าออก หลังจากนางช่วยเขานอนแล้ว นางก็หยิบหมอนจากอีกด้านหนึ่งแล้วถอย

 

เหยาซู่ตกตะลึงและถามด้วยความสับสน “เจ้าจะไปไหน ? ”

 

หลู่เหยายิ้มอย่างขมขึ้น “สามีที่แต่งงานกับภรรยาคนนี้ และให้เกียรติตระกูลหลู่นั้นดีต่อภรรยาผู้นี้มากแล้ว ข้าไม่กล้าใช้ร่างกายที่มีมลทินเพื่อดูแลสามี สามีพักผ่อนเถิดเจ้าค่ะ ภรรยาคนนี้จะไปนอนห้องด้านนอก ถ้าสามีมีเรื่องอะไรก็เรียกข้าได้”

 

หลังจากพูดแบบนี้นางก็ถอย และปิดกั้นเตียงด้วยม่าน

 

การกระทําของนางทําให้เหยาซู่รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย และเขารู้สึกเป็นทุกข์เล็กน้อยโดยเฉพาะคําพูดที่ว่า “ข้าไม่กล้าใช้ร่างกายที่มีมลทินของข้าเพื่อดูแลสามี” นี้ทําให้เหยารู้สึกว่าเขาไม่มีเหตุผล ภรรยาของเขาได้รับความเดือดร้อน แต่ไม่เพียงแสดงความกังวลเท่านั้น เขายังรู้สึกรังเกียจ นี้เป็นวิธีที่บุตรชายของตระกูลเหยาควรทําหรือไม่

 

แม้ว่าเขาจะคิดแบบนี้ แต่เขาก็ไม่สามารถพาตัวเองไปลากหลู่เหยากลับมาได้ ท้ายที่สุดแล้วทุกคนรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในคืนแต่งงานในห้องเจ้าสาว หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เขาจะคิดมาก ในขณะที่เขารู้สึกว่าถ้าเขานําหลู่เหยากลับมา มันจะทําให้นางรู้สึกว่าเขาเป็นผู้ชายที่มีหัวใจที่โหดเหี้ยม

 

เมื่อคิดอย่างนี้เขาก็ตัดสินใจข้ามสะพานนั้นเมื่อเขาไปถึงที่นั่น เขาจะต้องปกป้องหัวใจของหลู่เหยา เมื่อนางไม่รู้สึกภาระใด ๆ อีกต่อไป มันจะไม่สายเกินไปที่จะทําให้การแต่งงานเสร็จสมบูรณ์

 

ด้วยแผนนี้ในใจเขาสงบลงและหลับตาลง แต่ใครจะรู้ว่าเป็นเพราะเขาดื่มมากเกินไปทําให้เขาตื่นตัว หรือเป็นผลของเทียนในห้องเจ้าสาวแม้ว่าจะไม่มีเจ้าสาวอยู่ข้างเขาก็คงหนีไม่พ้นความกระสับกระส่าย เหยาซู่นอนบนเตียงและรู้สึกว่าร่างกายของเขาร้อนเป็นพิเศษ สิ่งลึกลับกระตุ้นร่างกายของเขา และแม้กระทั่งลมหายใจก็ร้อนแรง ด้วยความรู้สึกนี้ เขาลุกขึ้น และมองผ่านม่าน เขาตะโกนอย่างไม่รู้ตัว “ฮูหยิน !”

 

ตอนที่ 665 ฮ่องเต้และพระชายาหยุนกลับรถม้าคันเดียวกัน

 

การที่พระชายาหยุนต้องการพบเหยาเซียนไม่ได้อยู่นอกเหนือความคาดหมายของเฟิงหยูเฮง นางไม่เข้าใจเลยว่าพระชายาหยุนเกี่ยวข้องอะไรกับเหยาเซียน

 

นางถามเหยาเซียนเกี่ยวกับคําถามนี้ แต่เหยาเชียนก็ไม่สามารถเข้าใจได้ ความทรงจําเดิมของเจ้าของร่างเดิมสามารถระลึกได้ว่าพระชายาหยุนถูกเขียนเมื่อนางเข้าไปในพระราชวังเหยาเซียนได้ช่วยรักษาผิวหนังของพระชายาหยุน แต่ก็ไม่มีอะไรมากกว่านั้น แต่พระชายาหยุนดูเหมือนจะมีความคิดอื่น ๆ บางอย่างที่ทําให้เฟิงหยูเฮงมองไปข้างหน้าตลอดเวลาโดยไม่รู้ว่ามันคืออะไร

 

ตอนนี้พระชายาหยุนหยิบยกขึ้นมา นางก็คิดอย่างจริงจังแล้วถามอย่างรอบคอบว่า “เสด็จแม่อภัยที่อาเฮงต้องถาม แต่การที่เสด็จแม่จะพบท่านปู่ของข้า จะทําให้เสด็จพ่อไม่พอใจถ้าเสด็จพ่อรู้หรือไม่เจ้าคะ ? ”

 

จากนั้นพระชายาหยุนก็ตกตะลึงแล้วก็ตอบโดยตระหนักว่าเด็กคนนี้มีแนวโน้มที่จะเข้าใจผิด นางอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะ “ชายชราและเหยาเซียนเป็นเพื่อนกัน แต่สําหรับข้า เขาเป็นแค่ผู้อาวุโส มีอะไรที่ชายชราคนนั้นจะไม่พอใจ ชายชราจะคิดมากขนาดนั้นเลยหรือ ?”

 

เฟิงหยูเฮงได้ยินนางพูดอย่างนี้และสงบลง แต่นางก็ยังคิดอยู่เล็กน้อย และกล่าวว่า “การพบท่านปู่ก็ดี แต่เสด็จแม่ยังต้องติดตามเสด็จพ่อกลับไปที่พระราชวัง เสด็จแม่ก็รู้ว่าตระกูลเหยากําลังฉลองกันอยู่ ข้ากลัวว่าคฤหาสน์จะยุ่งมากในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องรอจนกว่าภรรยาที่เพิ่งแต่งงานไปเยี่ยมบ้านเก่าของนางหลังจากนี้ 3 วัน ก่อนที่สิ่งต่าง ๆ จะสงบลง เมื่อถึงเวลานั้นอาเฮงจะพาท่านปู่เข้ามาในพระราชวังเพื่อพบเสด็จแม่ได้หรือไม่เจ้าคะ ?”

 

พระชายาหยุนไม่ได้ตอบและไตร่ตรองสักพัก นางเพียงพยักหน้า “ลืมมันไปซะ ข้าจะกลับพระราชวัง” เมื่อสิ่งนี้ถูกกล่าวแล้ว ภาพลักษณ์ของความเฉยเมยก็หายไปเล็กน้อยและถูกแทนที่ด้วยภาพลักษณ์ที่เหมือนกับตอนที่เฟิงหยูเฮงไปเยี่ยมตําหนักศศิเหมันต์ พระราชวังในอดีต

 

พระชายาหยุนไม่ใช่คนที่ไม่เข้าใจภาพรวมที่ใหญ่กว่านี้ ตอนนี้นางไม่ได้อยู่ในพระราชวังแล้ว ฮ่องเต้ก็ตามนางมาที่ตําหนักจุน หากมีบางอย่างเกิดขึ้นในราชสํานัก นี้ไม่ใช่ความรับผิดชอบที่นางสามารถทนได้ แม้ว่านางจะไม่สนใจอาณาจักรนี้ แต่นางก็ยังต้องคิดถึงองค์ชายทั้งสอง

 

เมื่อนางตัดสินใจ พระชายาหยุนก็ไม่รอต่อไป นางเป็นคนร่าเริงและยืนขึ้นทันที หลังจากดื่มชาถ้วยสุดท้าย นางก็เงยหน้าขึ้นเล็กน้อยแล้วกล่าวกับเฟิงหยูเฮงว่า “ส่งขากลับพระราชวัง! ” 

 

เฟิงหยูเฮงรีบไปที่ด้านข้างของนางเพื่อสนับสนุนนาง นํานางออกไปทีละก้าว บ่าวรับใช้ข้างนอกมีความมั่นใจว่าเฟิงหยูเฮงจะสามารถโน้มน้าวพระชายาหยุนให้กลับไปที่พระราชวังได้ พวกนางไม่แปลกใจและเดินตามมาอย่างเงียบ ๆ พวกนางทั้งหมดดูสง่างามและสงบ เพราะพวกนางเป็นบ่าวรับใช้ในพระราชวังที่เคยอยู่ตําหนักศศิเหมันต์

 

พระชายาหยุนออกมา แม้ว่านี่จะเป็นไปตามที่คาดหวัง แต่ก็ไม่คาดคิดเช่นกัน เหตุผลที่มัน “คาดไม่ถึง” ไม่ใช่ว่านางไม่ต้องการกลับไป แทนที่จะเป็นเช่นนั้นนางอยากจะปรากฏตัวต่อหน้าฮ่องเต้เช่นนี้

 

ดวงตาของฮ่องเต้จ้องมองไปข้างหน้า ถ้ามีคนกล่าวว่าเขาเคยมีแต่ความรู้สึกทางอารมณ์ในช่วงก่อนหน้านี้ เขารู้สึกมีความสุขอย่างมากในครั้งนี้ ยิ่งไปกว่านั้นมันเป็นเวลากลางวัน วันนั้นชัดเจนว่ามีฝนตกในตอนเช้า แต่ตอนนี้มันชัดเจนกับดวงอาทิตย์ส่องแสงในท้องฟ้า มันส่องหน้าพระชายาหยุนทําให้ฮ่องเต้จ้องมอง

 

พระชายาหยุนมองเขาแล้วแค่นเสียง “เหอะ” ด้วยความรังเกียจแล้วกล่าวว่า “เจ้าไม่ได้บอกให้ข้ากลับไปที่พระราชวังหรือ ? เจ้าจะไปหรือไม่ ? หากเจ้าจําข้าไม่ได้ ให้กลับไป”

 

จางหยวนจู่โจมฮ่องเต้อย่างรวดเร็วจากนั้นยิ้ม และกล่าวว่า “พระชายาหยุนนั้นพูดถูกต้อง เราจะรีบกลับไป” เมื่อเห็นว่าฮ่องเต้ยังคงแสดงออกอย่างน่าตกใจ เขาจึงบีบมือของฮ่องเต้ด้วยความโกรธด้วยมือที่ซ่อนไว้ที่แขนเสื้อกว้างของเขา ความเจ็บปวดทําให้ฮ่องเต้กระโดดขึ้นมา และในที่สุดก็ได้ยินจางหยวนกล่าวว่า “พระชายาหยุนกําลังรอให้ฝ่าบาทพานางกลับไปที่พระราชวังด้วยตัวเองพะยะค่ะ ! “

 

ข่าวดีนี้ระงับความเจ็บปวดจากการถูกบีบมือ ฮ่องเต้ลืมความเจ็บปวดทันทีและเอื้อมมือออกไปรับมือพระชายาหยุนจากเฟิงหยูเฮง เป็นผลให้นางแสดงท่าที่เย็นชา นางเริ่มเดินออกไปอย่างไม่คาดคิด ฮ่องเต้ทําได้เพียงตามหลังนางเหมือนเป็นทหารที่ต่ำต้อย แต่เขาก็เป็นทหารที่ต่ำต้อยที่มีความสุขมาก

 

ทุกคนมองตามฮ่องเต้และพระชายาหยุน ขณะที่ทั้งสองขึ้นไปในรถม้าของราชสํานัก มันเป็นรถม้าของซวนเทียนฮั่ว ตําหนักจุนได้แต่ส่งองครักษ์เงานับไม่ถ้วนเพื่อแอบตามไปอย่างลับ ๆ เท่านั้น จากนั้นพวกเขาจะรู้สึกสบายใจที่จะปล่อยให้พวกเขาออกไป ซวนเทียนหมิงถอนหายใจ “พวกเขาอาจมีวันแบบนี้ก็ได้ !”

 

ซวนเทียนฮั่วยิ้ม “ข้าไม่คิดว่าข้าจะมีวันได้เห็นเสด็จพ่อและเสด็จแม่นั่งอยู่ในรถม้าคันเดียวกัน”

 

อย่างไรก็ตามเฟิงหยูเฮงคิดอย่างรวดเร็วและกล่าวว่า “เจ้าทั้งสองคนลองเดา เจ้าคิดว่าทั้งสองคนจะพูดเรื่องอะไรในรถม้า”

 

ซวนเทียนหมิงตะคอกอย่างเย็นชา “ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็จะไม่มีอะไรมากไปกว่าการทะเลาะ”

 

ซวนเทียนฮั่วกล่าวเสริม “เสด็จพ่อจะพ่ายแพ้อย่างแน่นอน”

 

แน่นอนว่าบุตรชายทั้งสองคนเข้าใจบิดาและมารดาดีที่สุด ก่อนที่รถม้าของราชสํานักจะเดินทางไปได้ไกล พระชายาหยุนก็เริ่มทําการโจมตีในขณะที่จ้องมองด้านข้างของฮ่องเต้ “นั่งไปฝั่งนั้น อยู่ห่างจากข้า !”

 

ฮ่องเต้เชื่อฟังและขยับไปด้านข้างเล็กน้อย

 

“ขยับออกไปอีก !”

 

ฮ่องเต้ขยับออกไปอีกครั้ง

 

“มากกว่านั้นอีก !”

 

เมื่อสิ่งต่าง ๆ เกิดขึ้น ฮ่องเต้ผู้น่าสงสารก็จบลงด้วยการเขยิบไปทั้งหมด 6 ครั้ง ในที่สุดในครั้งที่ 7 เขาทรุดตัวลง “เบี้ยนเปี้ยน หากเจ้ายังจะไล่ข้า ขาข้างหนึ่งแขวนอยู่ข้างนอกแล้ว ถ้าข้าเขยิบอีกครั้ง ข้าจะออกไปข้างนอกแล้ว” หลังจากพูดอย่างนี้ เขายังอธิบายต่อไป “ไม่ใช่ว่าเราไม่ต้องการออกไปข้างนอก ! เพียงว่าตัวตนของเรานั้นค่อนข้างอึดอัดใจ ไม่ใช่ว่าเราไม่ต้องการทําตามที่เจ้าต้องการ”

 

ใครจะรู้ว่าพระชายาหยุนจะไม่สนใจเรื่องนี้เลย นางพูดเพียงส่วนหนึ่งของคําพูดของเขา “ไม่ใช่ว่าเจ้าไม่ต้องการออกไปข้างนอกหรือ ? เจ้ากําลังบอกว่าเจ้าต้องการออกไปข้างนอก ? ”

 

ฮ่องเต้ตกใจ และโบกมือของเขาซ้ำๆ “ไม่ๆ ข้าไม่อยากออกไปไหน เปี้ยนเปี้ยนเจ้าก็รู้ว่าข้าไม่สามารถทนคิดถึงเจ้าได้ ข้าต้องการที่จะมองเจ้าอีก ทําไมขาต้องออกไปข้างนอก ? ”

 

พระชายาหยุนกล่าวอย่างเย็นชา “มองอย่างอิสระหรือไม่”

 

ฮ่องเต้ไม่สามารถตอบโต้ได้ หากเขาไม่ได้มองอิสระ มันจะเป็นอะไรอีก ? เขาต้องใช้เงินเพื่อมองหรือไม่ ?

 

จากนั้นเขาก็ได้ยินพระชายาหยุนกล่าวว่า “เจ้าซ่อมแซมตําหนักศศิเหมันต์ได้อย่างไร ? ”

 

ในที่สุดเมื่อมีเรื่องที่จะพูดคุย ฮ่องเต้สงบลง อย่างน้อยที่สุดมีเรื่องที่จะพูดคุย เขาจะไม่ถูกไล่ออกจากรถม้า เขาขยับกันอย่างระมัดระวังเล็กน้อย ไม่ว่าในกรณีใดขาที่ถูกเคลื่อนย้ายออกจากรถจะถูกดึงกลับเข้าไปด้านใน พระชายาหยุนเห็น แต่ไม่ได้พูดอะไร จากนั้นเขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกแล้วกล่าวว่า “ตําหนักศศิเหมันต์นั้นถูกไฟไหม้อย่างรุนแรง เรา… ข้าคิดอยู่แล้วว่าจะสร้างใหม่ได้ มันจะถูกสร้างใหม่ตามที่เจ้าต้องการ เพียงแค่บอกคนสร้าง เจ้าสามารถมีทุกสิ่งที่เจ้าต้องการสร้าง ราชวงศ์ต้าชุนร่ำรวยและไม่ขาดเงิน”

 

พระชายาหยุนรู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อย “ข้าได้ยินฮั่วเอ๋อพูดว่าเจ้ากําลังจ่ายเงินเพื่อซ่อมแซมตําหนักศศิเหมันต์เอง”

 

ฮ่องเต้หัวเราะ “แน่นอน ! แต่นั่นเป็นเพียงการเริ่มต้น ต่อมาเจ้าหน้าที่เห็นว่าเราใช้จ่ายเงินไปเยอะแล้ว พวกเขาจึงเริ่มบริจาคเงิน หลังจากการบริจาคทั้งหมดมีเงินค่อนข้างมาก มันเพียงพอที่จะสร้างตําหนักศศิเหมันต์ที่สวยงามได้”

 

พระชายาหยุนไม่ได้พูดอะไรอีกเลย แต่นางก็ค่อนข้างพอใจกับเจ้าหน้าที่ที่ใส่ใจ ไม่อย่างนั้นเพียงแค่ใช้เงินของชายชราจริง ๆ ……. นางรู้สึกลังเลเล็กน้อย แต่… “เจ้าไม่ได้วางแผนที่จะวางเพลิงเองใช่หรือไม่” นางขมวดคิ้ว “เพื่อให้เกิดไฟแบบนี้โดยไม่มีเหตุผล เจ้าไม่คิดถึงสาเหตุบ้างหรือ ? ”

 

ฮ่องเต้กล่าวอย่างรวดเร็ว “มันถูกสอบสวนแล้ว รองหัวหน้าทหารองครักษ์เป็นคนก่อเหตุ เขาเป็นพี่ชายของพระสนมจิง พระสนมจิงนั้นไม่สามารถรอได้และจัดการกับปัญหาที่แก้ไม่ตก นางเชื่อว่าการเผาเจ้าตายจะทําให้ทุกอย่างจะกลับเป็นปกติ จากนั้นนางก็เริ่มจุดไฟเผา ตอนนี้ทั้งคู่ตายไปแล้วเรื่องนี้ก็สรุปเช่นนี้”

 

“พระสนมจิงงั้นหรือ ? ” พระชายาหยุนคิด และหนักหน่วง แต่ก็นึกหน้านางไม่ออก นางอดไม่ได้ที่จะรู้สึกมีความสุข “มีอะไรดีเกี่ยวกับการมีภรรยามากมาย วันนี้มันเป็นคนหนึ่งที่ทําร้ายข้า พรุ่งนี้มันจะเป็นอีกคนหนึ่งที่ทําร้ายข้า ถ้าฮั่วเอ๋อและหมิงเอ๋อเลียนแบบเจ้า ข้าจะตีทั้งสองคนให้ตาย”

 

“อย่าทําอย่างนั้น” ฮ่องเต้เชื่อในเรื่องนี้ “ตามบุคลิกของฮั่วเอ๋อ มันก็เพียงพอแล้วที่เขาจะมีชายาหนึ่งคน หมิงเอ๋อมีอาเฮงอยู่ข้างเขา หากเขากล้าที่จะมีสนม ข้าคิดว่าก่อนที่เจ้าจะตีเขา อาเฮงก็คงตีเขาตายก่อนที่เจ้าจะลงมือ”

 

“ควรมีภรรยาที่ดุร้ายเช่นนี้” พระชายาหยุนกล่าวว่านางโกรธแค้นมากขึ้น “ซวนชัน ถ้าไม่ใช่เพราะข้าไม่รู้ศิลปะการต่อสู้และไม่สามารถตีเจ้าได้ ข้าจะทําอย่างแน่นอน เจ้าจะตายเมื่อ 20 ปีที่แล้ว”

 

ฮ่องเต้สั่นและรีบจับมือคํานับขอบคุณอย่างรวดเร็ว “ภรรยาที่รัก ขอบคุณมากที่ไม่ทําข้า”

 

“เจ้าบ้า !” พระชายาหยุนโกรธ “ใครคือภรรยาของเจ้า ? ภรรยาที่เหมาะสมของเจ้าคือฮองเฮา นางนั่งอยู่ในตําหนักกลาง ข้าจะทําอะไรได้”

 

“ไม่ ถ้าเจ้าชอบตําแหน่งนั้น ข้าจะมอบให้เจ้า” ฮ่องเต้ไม่คลุมเครือเกี่ยวกับเรื่องนี้ “เจ้ารู้เรื่องนี้ ข้าเป็นฮ่องเต้ ในอดีตเมื่อฮองเฮาคนก่อนยังมีชีวิตอยู่ นางผลักดันข้าเสมอเพื่อเพิ่มขนาดของครอบครัว ตอนนี้ครอบครัวมีการเติบโตที่มากขึ้นหรือน้อยลง เราไม่ได้ไปที่ตําหนักในเป็นเวลานานกว่า 20 ปี ฮองเฮาหรือพระสนม พวกนางกลายเป็นเพียงการตกแต่งเมื่อนานมาแล้ว หากเจ้าต้องการ เจ้าสามารถเลือกสิ่งที่เจ้าต้องการได้ เจ้าสามารถเป็นอะไรก็ได้ที่เจ้าต้องการ”

 

“ข้าเห็นคุณค่าของสิ่งที่ถูกสาปแช่งของเจ้าหรือ ? ” พระชายาหยุนโกรธเมื่อนางกล่าวว่า “ซวนชัน ข้ากําลังบอกเจ้า อย่าเชื่อว่าการตายของพนะสนมจึงหมายถึงบทสรุปของเรื่องนี้ หญิงชราคนนี้ไม่ได้โง่ ! มีคนอื่นที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้อย่างแน่นอน มีบางคนกําลังสร้างทะเลที่ดุเดือดขึ้น หากเจ้าไม่มีความสามารถในการตรวจสอบอย่างถูกต้อง ข้าจะตรวจสอบด้วยตัวเองหลังจากที่กลับไป เมื่อข้าจับคนที่พยายามทําร้ายข้า ข้าจะให้หมิงเอ๋อเข้ามาในพระราชวังและเริ่มจุดไฟ ถ้าข้าไม่เผาพวกนางจนตาย ก็ไม่ใช่หยุนเปียนเปี้ยน”

 

“ตกลง !” ฮ่องเต้ตอบตกลงทันที “เผา ! เผาตามที่เห็นสมควร ตราบใดที่เจ้ามีความสุข เจ้าสามารถเผาทุกสิ่งที่เจ้าต้องการ !”

 

จางหยวนได้ยินคําเหล่านี้อย่างชัดเจนเขานั่งอยู่นอกรถม้า เขาเช็ดเหงื่อเย็น เขาคิดกับตัวเองว่าเจ้าทั้งสองมีความสุข แต่ถ้าเจ้าเผาสิ่งเช่นนั้นจริงๆ ราชสํานักจะไม่แย่หรือ ? แม้ว่าคลังสมบัติของชาติจะมีเยอะ แต่นี่ไม่ใช่วิธีที่จะทําให้วุ่นวาย

 

แต่เห็นได้ชัดว่าพระชายาหยุนกําลังพูดอยู่ เมื่อเห็นว่าฮ่องเต้ตื่นขึ้นมา นางก็หยุดพูดทันทีเกี่ยวกับการจุดไฟเผาพระราชวัง นางเตือนฮ่องเต้ว่า “ตําหนักในของเจ้าไม่ปลอดภัย หลายปีที่ผ่านมาแม้ว่าข้าจะไม่ออกไปไหน ข้าก็ไม่ได้ตาบอดหรือหูหนวกเลย อย่าเชื่ออย่างแท้จริงว่าโลกนี้สงบสุข เมื่อเกิดปัญหาตามมา เจ้าอย่าเสียใจเลย”

 

เมื่อนางพูดจบแล้วนางก็ไม่พูดอะไรอีก นางนั่งเฉย ๆ ไม่ว่าฮ่องเต้จะพูดอะไรนางก็จะไม่ตอบกลับ

 

รถม้าวิ่งตรงไปที่พระราชวัง ผู้คนบนท้องถนนคิดเพียงว่าองค์ชายเจ็ดกําลังเข้าพระราชวัง พวกเขาไม่สามารถจินตนาการได้ว่าผู้คนที่นั่งอยู่ข้างในจะเป็นฮ่องเต้องค์ปัจจุบันและพระชายาหยุนผู้หยิ่งยโส

 

เมื่อย้อนกลับไปที่ตําหนักจุน เฟิงหยูเฮงปฏิเสธคําเชิญของซวนเทียนฮั่ว “เข้ามานั่ง” นางลากซวนเทียนหมิงเมื่อไม่นานมานี้

 

ขณะที่ทั้งสองกําลังเดินเล่นอยู่ อากาศหลังฝนตกสดชื่นมาก มันมีกลิ่นสดชื่นและน่ารื่นรมย์ เป็นเพียงว่านางยังไม่สามารถเข้าใจได้นางจึงบอกซวนเทียนหมิงว่านางสัญญาว่าจะให้พระชายาหยุนพบเหยาเซียน ทั้งสองได้พูดคุยเรื่องนี้ในอดีต ตอนนี้มันถูกนําขึ้นมาอีกครั้งยังไม่มีคําตอบ ทําอะไรไม่ถูกพวกเขาทําได้เพียงรอให้ทั้งสองพบกันเพื่อค้นหาความจริง

 

ซวนเทียนหมิงส่งเฟิงหยูเฮงกลับไปที่คฤหาสน์ขององค์หญิงก่อนที่จะกลับไปที่ตําหนักหยู ในรถม้าของราชสํานัก สําหรับเฟิงหยูเฮงเมื่อนางเข้าไปในประตูของคฤหาสน์ นางเห็นบ่าวรับใช้วิ่งมาหา “คุณหนูรีบไปดูเร็วเจ้าค่ะ สภาพของห้องเก็บยานั้นกระจัดกระจายไปหมดแล้วเจ้าค่ะ !”

 

ตอนที่ 664 คําขอของพระชายาหยุน

 

เมื่อเขาออกไป ซวนเทียนหมิงก็พาเฟิงหยูเฮงไปกับเขาด้วย ซวนเทียนฮั่วเห็นสิ่งนี้ และไม่ได้ถามทั้งสามคนอยู่ในรถม้าของราชสํานักที่รออยู่ข้างนอก

 

ทหารยามที่มาพร้อมกับข้อความก็ขึ้นรถด้วย เมื่อทุกคนนั่ง เขาก็กล่าวทันที “ฝ่าบาททรงเสด็จกลับมาอีกครั้ง คราวนี้มันแตกต่างจากเมื่อก่อน ฝ่าบาทนําเสื้อผ้าจํานวนมากมาด้วย ฝ่าบาททรงตรัสว่าฝ่าบาทจะอยู่ที่นั่น ฝ่าบาทจะอยู่ที่นั่นจนกว่าพระชายาหยุนจะกลับไปที่ตําหนักศศิเหมันต์”

 

“เหลวไหล!” ความโกรธของซวนเทียนหมิงพุ่งออกมา “ถ้าเสด็จพ่อไม่กลับไป ราชสํานักจะทําอย่างไร ? พวกขุนนางจะเข้าเฝ้าถวายรายงานกันได้อย่างไร? มันจะถูกปิดตายหรือไม่”

 

ทหารรักษาการณ์กล่าวว่า “ฝ่าบาทบอกว่าให้องค์ชายเจ็ดและองค์ชายเก้าเป็นผู้แทนพระองค์ดูแลเรื่องของราชสํานัก ตราประทับหยกถูกทิ้งไว้ที่ห้องโถงสวรรค์ องค์ชายสามารถใช้มันได้ตามที่องค์ชายต้องการพะยะค่ะ”

 

ครั้งนี้องค์ชายทั้งสองคิดมากแล้วกล่าวพร้อมกันว่า “ไม่เอา !”

 

จากนั้นพวกเขามองหน้ากันและเงียบไป เมื่อรถมาของราชสํานักมาถึงที่ทางเข้าของตําหนัก จุนพวกเขาพบว่าประตูถูกปิด ทหารยามสองคนยืนอยู่ข้างนอกดูจริงจังมาก

 

เมื่อกลุ่มออกจากรถม้าและเข้าไปในตําหนัก บ่าวรับใช้คนหนึ่งเดินไปข้างหน้าเพื่อรับพวกเขาทันที ทั้งสามถูกพาไปที่เรือนที่ซวนเทียนฮั่วอยู่โดยตรง เมื่อเข้าไปในลาน พวกเขาพบว่าฮ่องเต้และจางหยวนนั่งอยู่ในสนามขณะคุยเรื่องอะไรบางอย่าง ฮ่องเต้พูดด้วยรอยยิ้มที่สดใส ในขณะที่จางหยวนหันศีรษะของเขาไม่ต้องการที่จะมองอีกฝ่าย

 

ซวนเทียนฮั่วก้าวไปข้างหน้าโดยไม่สนใจที่จะทําความเคารพ เขาถามด้วยเสียงดัง “ทําไมเสด็จพ่อกลับมาอีกครั้ง? ”

 

ฮ่องเต้ไม่มีความสุขมาก “มันคืออะไร เราไม่สามารถมาที่ตําหนักของเจ้าหรือ? อย่าลืมว่าเราเป็นคนมอบตําหนักนี้ให้เจ้า มันดีพอแล้วที่เราจะไม่ขอเงินจากเจ้า จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเรามาอยู่ที่นี่สองสามวัน ? มันแปลกตรงไหน? ”

 

ซวนเทียนฮั่วรู้สึกว่าชายชราผู้นี้ไร้เหตุผลจริงๆ แต่เขาไม่สามารถโต้เถียงกับอีกฝ่ายได้ เขาทําได้แค่พยายามอย่างดีที่สุดเพื่อให้คําแนะนําเขา “เสด็จแม่อยู่ที่นี่และสร้างปัญหามากมายให้กับ ข้าตําหนักจนแห่งนี้ได้เพิ่มทหารอีกสิบชั้น ถ้าเสด็จพ่อบอกว่าเสด็จพ่อจะมา ข้าก็อาจจะไม่นอนและคอยปกป้องเสด็จพ่อกับเสด็จแม่”

 

“ถ้าอย่างนั้นก็ให้ระวัง” ฮ่องเต้พูดเรื่องใหญ่ “นึกถึงเมื่อเจ้ายังเด็ก พระชายาหยุนดูแลเจ้าทุกคืนโดยไม่นอน หากเจ้าเริ่มมีอาการไอหรือเหงื่อเริ่มออก นางจะรู้สึกแย่ยิ่งกว่าเจ้า เมื่อเจ้าโตขึ้น มันเป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะไม่ปกป้องนาง”

 

“สิ่งเหล่านั้นต่างกันพะยะค่ะ” ซวนเทียนฮั่วยังคงแนะนําเขาต่อไป “เสด็จพ่อคือฮ่องเต้และมีราชกิจมากมายในแต่ละวัน เสด็จพ่อจะใช้เวลาทั้งวันคิดเกี่ยวกับเรื่องของตําหนักในได้อย่างไร หน้าที่ของบรรพบุรุษตระกูลที่ดูแลราชวงศ์ต้าชนต้องการให้เสด็จพ่อจัดการด้วยตัวเอง ถ้าเสด็จพ่อบอกว่าเสด็จพ่อจะมาอยู่ในตําหนักจุน เสด็จพ่อจะดูแลเรื่องของอาณาจักรได้อย่างไรพะยะค่ะ”

 

“ถ้าเราต้องคอยจัดการทุกสิ่ง เราจะเลี้ยงเจ้าทั้งสองคนเพื่ออะไร” ฮ่องเต้จ้องมองพวกเขา ขณะกล่าวว่า “ในที่สุดเราก็สามารถเลี้ยงดูเจ้าทั้งสองคนได้จนเติบใหญ่ แต่เจ้าไม่รู้ด้วยซ้ําว่าการจัดการรายงานหรือไม่ เราให้โอกาสเจ้าทั้งสองคนดูแลอาณาจักร เจ้าเข้าใจการกํากับดูแลอาณาจักรหรือไม่ เพียงแคให้เจ้าทั้งสองคนเรียนรู้วิธีการดูแล เราจะรู้สึกสบายใจเมื่อเราอยู่ที่นี่”

 

ซวนเทียนหมิงทนไม่ได้ที่จะฟังต่อไป ยิ่งมีการกล่าวถึงความเหมาะสมที่น้อยลง เขาจึงก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว และคว้าแขนของเขาโดยไม่ให้คําอธิบายใดๆ “เสด็จพ่อ ข้าจะพาท่านพ่อกลับวัง”

 

“ฮะ !” ฮ่องเต้ไม่คิดว่าองค์ชายเก้าจะทําเช่นนี้ เขาสูญเสียความสมดุลและถูกลากไปจริงๆ แต่ฮ่องเต้เฒ่าคนนี้ถือได้ว่าไม่ยอมแพ้ เขาตอบสนองด้วยการคว้าต้นไม้ข้างๆ แขนข้างหนึ่งเท่านั้นที่คว้ามันไว้ และขาที่โอบรอบต้นไม้ เขาตะโกนดังๆ“ปล่อย ! ปล่อยเรา ! เจ้ากล้าดียังไง ถ้าเราบอกว่าไม่ไป เราก็ไม่ไป นอกจากตําหนักจุน เราจะไม่ไปไหนทั้งนั้น !”

 

ซวนเทียนหมิงปล่อย แล้วหันกลับมามองเขาถามด้วยเสียงหนัก “เสด็จพ่อต้องการทําอะไร?”

 

ฮ่องเต้กล่าวราวกับว่าเป็นเรื่องธรรมชาติ “อยู่ที่นี่กับพระชายาหยุน เมื่อใดที่นางกลับวัง ข้าก็จะกลับ

 

ซวนเทียนหมิงกัดฟันของเขาด้วยความโกรธ “การที่เสด็จแม่จะกลับขึ้นอยู่กับว่าการซ่อมแซม ตําหนักศศิเหมันต์จะเสร็จสิ้นเมื่อใด แทนที่จะกลับไปที่พระราชวังเพื่อดูแลพระราชวัง เสด็จพ่อมาที่นี่เพื่อสร้างปัญหาให้มากขึ้นใช่หรือไม่? เสด็จพ่อจะพักที่ไหน ? ”

 

ฮ่องเต้ชี้ไปที่ห้องบรรทมของซวนเทียนฮั่ว “นั่นไง? ข้าจะนอนที่นั่น !”

 

ซวนเทียนฮั่วหน้ามืดครื้ม “แล้วข้าจะอยู่ที่ไหนพะยะค่ะ ?”

 

“พวกเจ้าสองคนสามารถอยู่ที่ห้องโถงสวรรค์!” ในขณะที่เขาพูด เขาชี้ไปที่เฟิงหยูเฮง “พาผู้ หญิงคนนี้ไปด้วย มีห้องข้าง ๆ มากมาย เพียงพอสําหรับพวกเจ้าที่จะอยู่”

 

“เสด็จพ่อ” ซวนเทียนฮั่วไร้พลังมาก “ถ้าเสด็จพ่อทําเช่นนี้ ราชสํานักจะตกอยู่ในความวุ่นวาย แม้ว่าราชวงศ์ต้าชุนจะมีเสถียรภาพมากในขณะนี้ แต่ก็ไม่สามารถทนต่อความวุ่นวายแบบนี้ได้ หากขุนนางเก่าแก่เหล่านั้นรู้ว่าเสด็จพ่อมาซ่อนตัวที่นี้เพราะเสด็จแม่ พวกเขาจะรายงานด้วยปากกาว่าเสด็จแม่เป็นภัยคุกคามต่ออาณาจักร

 

“ข้าจะคอยดูว่าใครจะกล้า!” การจ้องมองของฮ่องเต้เริ่มดุดัน “ข้าจะทุบตีใครก็ตามที่กล้าเสี่ยงตาย”

 

จางหยวนกรอกตาของเขา “ราชสํานักกล้าทํา ฝ่าบาท พวกเขาทั้งหมดจะถูกทุบตีจนตายหรือไม่ ? บรรพบุรุษของเราไม่สามารถกลับไปที่พระราชวังได้หรือไม่? เมื่อฝ่าบาทกลับไป ฝ่าบาทสามารถไปไหนมาไหนได้ตามต้องการ ไม่ว่าในกรณีใด ฝ่าบาทจะอยู่ในพระราชวัง หากคนที่มีแรงจูงใจซ่อนเร้นพบว่าฝ่าบาทอาศัยอยู่ที่นี่หรือเกิดอุบัติเหตุบางอย่าง จะจัดการอย่างไรพะยะค่ะ? ” จาวหยวนพูดขึ้น เขาโกรธมาก ไม่สนใจว่าองค์ชายทั้งสองอยู่ข้างๆ เขาอีกต่อไป เขาก็เริ่มด่าฮ่องเต้ “ตามที่บ่าวรับใช้คนนี้เห็นมัน ฝ่าบาทนิสัยเสียแล้วพะยะค่ะ! หากไทเฮายังคงมีชีวิตอยู่ ข้าต้องการที่จะดูว่าฝ่าบาทกล้าที่จะทําตัวเช่นนี้หรือไม่พะยะค่ะ !”

 

ฮ่องเต้จ้องมองจางหยวน “เจ้าต้องการที่จะขัดคําสั่งหรือ? เจ้ารู้หรือไม่ว่าสถานะของเจ้าคืออะไร ? เจ้ากําลังพูดกับใคร? ” หลังจากพูดอย่างนี้เขาพูดกับซวนเทียนหมิง “เจ้าเก้ามาทุบตีเขาแทนข้า ขันทีผู้นี้แท้จริงแล้วไม่มีความเคารพข้าแม้แต่น้อย ในสายตาของเขา เขาไม่ได้สนใจฮ่องเต้ผู้นี้อย่างแท้จริง”

 

ซวนเทียนหมิงแค่นเสียง “หึ” จากนั้นกลอกตา “ทําไมข้าต้องตีเขา? เขาพูดผิดตรงไหน ? ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของเสด็จพ่อเอง! เสด็จพ่อไม่เคารพตัวเอง ดังนั้นใครจะเคารพเสด็จพ่อ? ”

 

ฮ่องเต้รู้สึกว่าไม่มีใครในเรือนนี้ที่อยู่ข้างเขา ชั่วครู่หนึ่งเขารู้สึกเศร้าใจมาก ในเวลานี้บ่าวรับใช้คนหนึ่งวิ่งออกจากสนามหลังบ้าน เมื่อมาถึงที่ด้านหน้านางก็โค้งคํานับแล้วกล่าวว่า “ พระชายาหยุนกล่าวว่าหากฮ่องเต้ไม่เสด็จกลับไป นางจะย้ายเข้าไปในคฤหาสน์ขององค์หญิง และจะไม่อยู่ที่นี่”

 

ฮ่องเต้ตกใจแล้วรีบกล่าวว่า “ข้าจะไปด้วย”

 

เฟิงหยูเฮงขอร้อง “เสด็จพ่อ ลูกสะใภ้ยังไม่แต่งงานเลย ถ้าเสด็จพ่อไปที่คฤหาสน์ของลูกสะใภ้และพักอยู่ที่นั่น หากมีคนพูดออกไป มันจะไม่ดีเพคะ!”

 

ฮ่องเต้ตอบอย่างเป็นธรรมชาติมาก “ถ้าอย่างนั้นอย่าให้ใครรู้ !”

 

ซวนเทียนฮั่วกล่าวอย่างไร้ปัญหา “ไม่มีกําแพงที่กั้นลมได้ในโลกนี้พะยะค่ะ”

 

ฮ่องเต้ส่ายหน้า “ข้าไม่สนใจ ไม่ว่านางจะไปที่ไหน ข้าจะตามไป หรือหากเจ้าคนใดมีความสามารถในการโน้มน้าวใจนางให้กลับไปที่พระราชวัง นั่นจะดีที่สุด”

 

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้แล้วซวนเทียนหมิงก็นึกถึง แต่มันคงไม่ดีเกินไปถ้าเขาหรือซวนเทียนฮั่วไป พวกเขาทําได้เพียงฝากความหวังนี้ไว้ที่เฟิงหยูเฮง ทั้งสองมองไปที่เฟิงหยูเฮงพร้อมกัน จนกระทั่งเฟิงหยูเฮงอ้อนวอนขอการอภัย “เอาล่ะ ข้าจะไปดู แต่ไม่ว่ามันจะใช้ได้หรือไม่ ข้าก็ไม่สามารถรับประกันอะไรได้”

 

หลังจากพูดแบบนี้นางตามหลังบ่าวรับใช้ ในขณะที่เดินนางก็เริ่มคิด พระชายาหยุนจะมีความรู้สึกไวต่อการบีบบังคับหรือหลอกลวงมากขึ้นหรือไม่ นางควรใช้คําใดในการแนะนํานางอย่างแม่นยํา?

 

ขณะที่นางกําลังคิดอยู่บ่าวใช้ที่เดินนําก็กล่าวว่า “ก่อนหน้านี้ข้าได้ยินพระชายาหยุนบอกว่า วันนี้คุณชายใหญ่ตระกูลเหยาแต่งงาน ดังนั้นวันนี้ควรเป็นวันแห่งการเฉลิมฉลองขององค์หญิง”

 

เฟิงหยูเฮงคิดเกี่ยวกับมัน ด้วยเหตุผลบางอย่าง ตระกูลเหยาที่ไม่รู้จักพระชายาหยุนให้ความสนใจอย่างใกล้ชิดกับตระกูลเหยา บางทีนี่อาจเปิดเส้นทาง ดังนั้นนางจึงเริ่มคิดเกี่ยวกับมัน ในขณะที่ท่าทีของนางผ่อนคลาย นางพูดกับบ่าวใช้ด้วยอารมณ์ที่ดีมาก “ขอบคุณมาก !”

 

อย่างรวดเร็วพวกนางมาถึงห้องนอนของพระชายาหยุน บ่าวรับใช้เปิดประตูให้เฟิงหยูเฮงเข้าไป จากนั้นนางก็ยืนอยู่ข้างนอกพร้อมกับคนอื่นๆ เมื่อเฟิงหยูเฮงเข้ามาในห้อง พระชายาหยุนก็นั่งที่โต๊ะดื่มชา ชานี้มาพร้อมกับช็อคโกแลตที่เฟิงหยูเฮงจัดเตรียมไว้ให้ก่อนหน้านี้ นางถึงกับคิดจะละลายช็อคโกแลตในชาของนาง เมื่อเห็นเฟิงหยูเฮงมา นางโบกมือให้เฟิงหยูเฮง “อาเฮงมาที่นี่ การดื่มชาแบบนี้อร่อยมาก ลองดูสิ”

 

เฟิงหยูเฮงคิดว่ายังมีผงโกโก้สองถุงอยู่ในมิติของนาง อย่างไรนางจึงคิดว่านางจะพาออกมาให้พระชายาหยุนภายหลัง แต่นางไม่ได้มาดื่มชาในเวลานี้ นางเปลี่ยนความคิดและกล่าวว่า “วันนี้เป็นงานแต่งงานของเหยาซู่ เขาเป็นหลานชายคนโตของท่านปู่ของข้า เขาแต่งงานกับบุตรสาวของฮูหยินใหญ่จากคฤหาสน์เสนาบดีฝ่ายซ้าย ในระหว่างการเฉลิมฉลองมีบางสิ่งเกิดขึ้น และอาเฮงคิดว่าจะมาบอกเสด็จแม่เกี่ยวกับเรื่องนี้เพื่อบรรเทาความเบื่อของเสด็จแม่”

 

ในตอนแรกพระชายาหยุนมีสีหน้าที่ไม่แยแส อย่างไรก็ตามคิ้วของนางขมวดเล็กน้อยเมื่อได้ยินว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นระหว่างงานแต่งงานของตระกูลเหยา นางถามทันที “เกิดอะไรขึ้น ? ” หลัง จากคิดเล็กน้อยนางก็เริ่มคิดอย่างลึกซึ้ง “เสนาบดีฝ่ายซ้าย ? บิดาของเจ้าเคยเป็นเสนาบดีฝ่ายซ้ายใช่หรือไม่ ? มีเสนาบดีฝ่ายซ้ายคนใหม่แล้วหรือ? ”

 

เฟิงหยูเฮงพยักหน้า “อาเฮงก็พึ่งรู้เรื่องนี้หลังจากกลับมาที่เมืองหลวง บุตรสาวของฮูหยินใหญ่ คือคุณหนูรองของคฤหาสน์เสนาบดีฝ่ายซ้าย นางแต่งเข้าตระกูลเหยาแล้ววันนี้ มันเป็นแค่…” นางไม่ได้ซ่อนอะไรเลย นางเล่าให้พระชายาหยุนฟังทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในระหว่างวัน นางไม่ได้กังวลว่าพระชายาหยุนอาจเปิดเผยได้เพราะแม้ว่าพระชายาหยุนจะมีบุคลิกที่ดี แต่ก็เป็นเรื่องดีสําหรับคนของนางเท่านั้น สําหรับคนอื่นๆ นางเป็นคนสันโดษ ผู้คนที่นางสามารถโต้ตอบด้วยมีน้อยมาก ยิ่งกว่านั้นทุกคนในราชสํานักรู้เรื่องของวันนี้ คนจํานวนมากที่เข้าร่วมในงานเลี้ยง แม้ว่าพวกเขาต้องการซ่อนมันก็ไม่สามารถซ่อนได้ เพียงหลู่เหยาที่เป็นสาวพรหมจารีเท่านั้นจึงอาจถือว่าเป็นความลับ อย่างไรก็ตามนางเชื่อมั่นว่าพระชายาหยุนจะรู้ว่าอะไรสําคัญ

 

แน่นอนว่าหัวข้อนี้เป็นหัวข้อที่ดีมาก หลังจากได้ยินเรื่องนี้ ใบหน้าของพระชายาหยุนก็มืดลงเพราะนางยังคงนิ่งไปนาน อย่างไรก็ตามนางกล่าวว่า “หลานชายของเหยาเซียน เขาจะทนต่อการถูกรังแกแบบนี้จากคนอื่นได้อย่างไร ?”

 

เฟิงหยูเฮงกล่าวทันที “นี่คือสิ่งหนึ่ง ประการที่สองคฤหาสน์ของเสนาบดีฝ่ายซ้ายได้เลี้ยงดูพี่ น้องคู่หนึ่งขึ้นมา แต่พวกเขาก็มีความกล้าที่จะส่งบุตรสาวแบบนั้นเข้าสู่ตระกูลเหยา ดูเหมือนว่าความคิดของตระกูลหลู่นั้นไม่ได้ดีไปกว่าของเฟิงจินหยวน เมื่อคนประเภทนี้นั่งอยู่ในตําแหน่งเสนาบดีฝ่ายซ้าย อาเฮงจึงกังวลว่าราชสํานักจะตกอยู่ในความวุ่นวายเจ้าค่ะ”

 

พระชายาหยุนเย็นชาวางถ้วยชาไว้ในมือของนาง “ข้าสงสัยว่าชายชราผู้นั้นยังมีความกล้าหาญและสามารถจัดระเบียบสิ่งต่างๆ ให้เป็นระเบียบได้หรือไม่”

 

เฟิงหยูเฮงกล่าวต่อไปว่า “ไม่ว่าเสด็จพ่อจะสามารถจัดระเบียบพวกเขาได้หรือไม่ก็ตาม เสด็จพ่อต้องอยู่ที่ราชสํานักของตัวเองเพื่อจัดระเบียบพวกเขา แต่ตอนนี้เสด็จพ่อกําลังเตรียมที่จะอยู่ที่ตําหนักจนและไม่ยอมกลับพระราชวัง ข้าเป็นห่วงจริงๆ เจ้าค่ะ หากมันเป็นเช่นนี้ราชสํานักจะวุ่นวายมาก”

 

พระชายาหยุนตกใจแล้วตอบกลับ “เจ้ามาเพื่อแนะนําข้าให้กลับไปใช่หรือไม่? ”

 

เฟิงหยูเฮงถอนหายใจอย่างแผ่วเบาและพยักหน้า “ใช่แล้วเจ้าค่ะ ข้าหวังว่าเสด็จแม่จะพิจารณาถึงภาพรวม เราไม่สามารถทําอะไรเกี่ยวกับเสด็จพ่อได้ และเราได้แต่ขอร้องเสด็จแม่ อย่าลดระดับตัวเองลงไปเช่นเสด็จพ่อ”

 

พระชายาหยุนคิดกับตัวเองอยู่พักหนึ่ง และไม่ได้ตอบทันที นางเพียงแค่ขอเฟิงหยูเฮง “ข้าสามารถกลับไปถ้าเจ้าต้องการ แต่มีบางอย่างที่ต้องช่วยข้าให้สําเร็จ”

 

เฟิงหยูเฮงกล่าวอย่างรวดเร็ว “เสด็จแม่ได้โปรดพูดมาเจ้าค่ะ ตราบใดที่อาเฮงสามารถทําได้ อาเฮงจะทําให้เจ้าค่ะ”

 

“อ๊ะ” พระชายาหยุนพยักหน้า และหยุดก่อนที่จะกล่าวว่า “ข้าอยากพบเหยาเซียน”

 

ตอนที่ 663 เหตุการณ์อันยิ่งใหญ่ที่น่าจดจําในปีหน้า

 

ยกที่ดินหรือจ่ายค่าชดเชย?

 

หลู่ซ่งคิดในทางปฏิบัติแล้วว่าเขาผิดพลาด อย่างไรก็ตามเขาได้ยินซวนเทียนหมิงกล่าวว่า “มันคืออะไร สิ่งที่องค์ชายผู้นี้พูดไม่ชัดเจนหรือ?”

 

ชัดเจน มันชัดเจนมาก มันเป็นเช่นที่หลายคนได้ยิน ในเวลานี้พวกเขาหันหน้าไปมอง มีบางคนที่พอใจในความโชคร้ายของเขาและคนอื่นๆ ที่เริ่มรู้สึกกลัว พวกเขาเริ่มคิดว่าความโกรธขององค์ชายเจ็ดไม่สามารถกระตุ้นให้เกิดอะไรขึ้น

 

แต่ซวนเทียนฮั่ววกลัวว่าเขายังไม่เข้าใจ ในขณะที่เขาอธิบายอย่างละเอียดในสิ่งที่เขากล่าว “เหตุผลก็เป็นเช่นนี้เรื่องนี้นําเจ้าเมืองมาเพราะมันเป็นตระกูลหมู่ที่ใส่ร้ายองค์หญิงจี่อันสําหรับการฆาตกรรมหมู่โชว สําหรับเจ้าเมือง เขาทําการสอบสวนต่อหน้าสาธารณะและเปิดเผยความจริง ด้วยความจริงที่เปิดเผยว่าหลูโชวไม่ได้ถูกองค์หญิงฆ่า สาเหตุของคดีนี้มาจากตระกูลหลู่ เนื่องจากตระกูลเจ้าเป็นต้นเหตุ เจ้าต้องทําการชดใช้ให้กับองค์หญิง นั่นเป็นเหตุผลที่องค์ชายผู้นี้ถามตระกูลหลู่ของเจ้า เจ้าจะยอมยกที่ดิน หรือจ่ายค่าชดเชย ? ”

 

หลู่ซ่งเช็ดเหงื่อ เขารู้ว่าเขาไม่สามารถหลบหนีจากสถานการณ์นี้ได้ ดังนั้นเขาจึงกัดฟันและถามว่า “กระหม่อมขอถามองค์ชายจนว่าควรจ่ายค่าชดเชยอย่างไรพะยะค่ะ ?”

 

ซวนเทียนฮั่วพูดอย่างตรงไปตรงมา “โฉนดที่ดินของร้านค้า ที่อยู่และพี่พื้นที่เพาะปลูกทั้งหมดของคฤหาสน์หลู่ องค์ชายผู้นี้จะไม่รับพวกมันทั้งหมด มีเพียงครึ่งเดียวเท่านั้นที่จะถูกยึดครอง แต่องค์ชายผู้นี้จะเลือกดูว่าเป็นผืนไหน สําหรับการชดใช้นั่นย่อมจะเป็นเงิน”

 

หลู่ซ่งเหงื่อออกหนักขึ้น ครึ่งหนึ่งของโฉนด ? และเขาจะเลือกพวกมัน? ถ้าอย่างนั้นจะไม่ดี ตระกูลหลู่จะกินอะไรในอนาคต เขาตัดสินใจทันที มันไม่ดีเลย เขาไม่สามารถยอมยกที่ดินได้อย่างแน่นอน ดังนั้นเขาจึงรวบรวมความกล้าหาญมาถามว่า “แล้วสําหรับการจ่ายค่าชดเชย กระหม่อมต้องจ่ายเท่าไหร่พะยะค่ะ ?”

 

ซวนเทียนฮั่วกล่าวอย่างใจเย็น “สําหรับการชดเชยเช่นนี้ องค์หญิงจี่อันได้กระทํามาก่อน เมื่อคิดย้อนหลังเฉียนโจวจ่ายเงินชดเชยแล้ว ซงซุยจ่ายเงินให้ราชสํานักด้วยความช่วยเหลือของนาง นั่นเป็นเหตุผลที่องค์ชายผู้นี้คิดว่าพื้นฐานของการจ่ายเงินค่าชดเชยมีอยู่”

 

หลู่ซ่งสะดุ้ง “องค์ชาย !!” เขากลัวจริง ๆ “เฉียนโจวจ่ายให้องค์หญิงอันเป็นเงิน 5 ล้านเหรียญทอง ! แม้ว่าเจ้าหน้าที่ผู้นี้จะเพิ่มคนในตระกูลของข้าเข้าไป คงไม่มีทองคํามากนักพะยะค่ะ!

 

ซวนเทียนฮั่วพยักหน้า “องค์ชายผู้นี้จะไม่สร้างปัญหาให้เจ้ามากเกินไป นั่นเป็นเหตุผลว่าทําไมการชดเชยให้เจ้าจึงเป็นเงินเพียง 5 ล้านเหรียญเงินเท่านั้น”

 

หลู่ซ่งสูดหายใจเข้าอย่างแรง เงิน 5 ล้านเหรียญเงิน องค์ชายเจ็ดเจ้าเล่ห์จริงๆ จํานวนนั้นเป็นจํานวนเงินที่เขาสามารถทนได้ แต่มันก็เป็นจํานวนเงินที่เจ็บปวดมากที่ต้องจ่าย ขณะนี้มีเพียง 2 วิธี วิธีแรกเขาสามารถทําให้องค์ชายเจ็ดขุ่นเคือง ซึ่งรวมถึงการทําให้องค์ชายเก้า, องค์หญิงจี่อัน, องค์ชายใหญ่และองค์ชายรองขุ่นเคือง องค์ชายทุกคนที่เขาปรารถนาจะมีความสัมพันธ์ที่ดี วิธีที่สองคือการมอบเงิน 5 ล้านเหรียญเงินอย่างมีความสุข แม้ว่ามันจะไม่ใช่ความมั่งคั่งทั้งหมดของตระกูลหลู่ แต่มันก็สัมผัสกับรากฐานของมันอย่างแท้จริง แม้ว่าตระกูลหลู่จะไม่ประสบปัญหาใดๆ จากการสูญเสีย 5 ล้านเหรียญเงิน พวกเขาจะไม่สามารถทําอย่างอิสระเหมือนที่เคยมีในอดีต

 

หลู่ซ่งยืนอยู่พร้อมขมวดคิ้ว เขาเริ่มพิจารณาแล้วเมื่อเงิน 5 ล้านเหรียญเงินหายไป ตระกูลหลู่จะทําอย่างไรดีที่สุดเพื่อให้ได้เงิน 5 ล้านคืนที่สูญเสียไปกลับมาอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อเขาไตร่ตรอง เหงื่อเย็นๆก็ปรากฏขึ้นราวกับว่ามีบางอย่างผิดปกติ ! เขาไม่สามารถจ่ายเป็นเงินได้

 

เขาไม่ได้อยู่ในตําแหน่งของเขาในฐานะขุนนางขั้นหนึ่งมานานมาก เงินเดือนของเจ้าหน้าที่อยู่ที่นั่นเพื่อให้ทุกคนได้เห็น รายได้ของตระกูลหลู่จากร้านค้าของเขาก็อยู่ที่นั่นเช่นกันเพื่อให้ทุกคนได้เห็น รายได้จํานวนนี้มาจากการทํางานอย่างซื่อสัตย์นั้นไม่ตรงกับรายได้ที่แท้จริงของคฤหาสน์! นอกจากนี้ใครจะรู้ว่าวิธีการแบบใดที่หลู่เหยาใช้เพื่อหลอกยายให้พูดว่านางบริสุทธิ์ นี่เป็นการเผชิญหน้ากับองค์หญิงจี่อัน ถ้าเขาใช้เงินจํานวนนี้จริงๆ คงหนีไม่พ้นที่เขาจะสังเกตเห็นโดยองค์ชายเหล่านี้ที่ต้องการระบายให้เฟิงหยูเฮง พวกเขาจะเริ่มปะติดปะต่อและรู้ว่าเขามีความผิดฐานทุจริต

 

เมื่อคิดเช่นนี้หัวใจของหมู่ข่งก็เกือบจะกระโจนออกมา ในขณะที่เขาคิดกับตัวเองว่าเขาล้มเหลว ดังนั้นเขาจึงไม่ลังเลอีกต่อไปในขณะที่เขากล่าวกับซวนเทียนฮั่ว “เจ้าหน้าที่ผู้นี้จะยอมมอบที่ดินและจะส่งคนกลับไปเอาโฉนดมาพะยะค่ะ”

 

บ่าวรับใช้จากตระกูลหลู่รีบวิ่งกลับไปที่คฤหาสน์อย่างรวดเร็วภายใต้คําสั่งของเขา เมื่อพวกเขากลับมา พวกเขาถือกล่องในมือของพวกเขาเต็มไปด้วยโฉนดของตระกูลหลู่

 

ซวนเทียนฮั่วรู้ว่าไม่มีทางที่หลู่ซ่งจะปลอมแปลงโฉนดเหล่านี้ โฉนดทั้งหมดมีสําเนาอยู่ในสํานักงานของทางการ แน่นอนถ้าคฤหาสน์หลู่มีส่วนหนึ่งของสําเนาเหล่านี้ภายใต้ชื่อของคนอื่นๆ พวกเขาไม่สามารถตรวจสอบได้ แต่เมื่อมองสิ่งต่างๆ ที่นําขึ้นมา ซวนเทียนฮั่วรู้สึกว่ามีอย่างน้อยแปดในสิบส่วน

 

เขาตรวจสอบโฉนดเหล่านี้อย่างรอบคอบและตรวจสอบความถูกต้องแต่ละโฉนดอย่างรอบคอบ บางครั้งเขาจะถามหลู่ซ่ง “ร้านนี้เป็นร้านที่อยู่ 20 ลี้ นอกมุมตะวันออกของเมืองหลวงขอรับ”

 

หลู่ซ่งพยักหน้าซ้ําๆ

 

เฟิงหยูเฮงรู้สึกอยากจะนินทาและอยากไปดู อย่างไรก็ตามนางถูกหยุด โดยซวนเทียนหมิง บอกนางอย่างเงียบ ๆ ว่า “ไม่ต้องกังวล พี่เจ็ดจะไม่ยอมให้เจ้าขาดทุน แค่รอดูว่าเทพเซียนจะห ลอกลวงความมั่งคั่งให้เจ้าได้อย่างไร”

 

นางปิดปากและยิ้มแล้วกล่าวว่า “ความมั่งคั่งนี้มาง่ายมาก ถ้ามันเป็นแบบนี้ข้าก็อยากให้ใครบางคนกล่าวโทษข้ากับทางการทุกวัน เมื่อพวกเขาพ่ายแพ้ ข้าก็ได้รับเล็กน้อย มันเร็วกว่าการหารายได้ด้วยตัวเอง”

 

ซวนเทียนหมิงโกรธ นี่เป็นชายาแบบไหน? นางช่วยแสดงความเป็นผู้ใหญ่บ้างได้หรือไม่ ? ไม่ว่าในกรณีใดนางยังเป็นองค์หญิงผู้มีเกียรติ ทําไมนางใช้เวลาทุกวันคิดเรื่องเงิน ? มิติของนางแทบจะเต็มไปด้วยสมบัติ ภายใต้คฤหาสน์ขององค์หญิงก็เต็มไปด้วยทองคําและเงิน ทําไมนางถึงยังไม่พอใจ นางมีความอยากมากแค่ไหน! เขาคิดอย่างรอบคอบ เขาไม่รู้ว่าควรจะทิ้งคลังสมบัติของราชวงศ์ต้าชุนไว้หรือไม่เพื่อจัดการในอนาคต ผู้หญิงคนนี้จะไม่ใช้เวลาทั้งวันนั่งในคลังเงิน นับเงินโดยไม่สนใจเขาหรอกหรือ ?

 

เฟิงหยูเฮงไม่เข้าใจว่าซวนเทียนหมิงกําลังคิดอะไรอยู่ นางมุ่งเน้นไปที่การจ้องมองที่ซวนเทียนฮั่ว ในเวลาเพียงไม่กี่นาทีนางเห็นว่าโฉนดครึ่งหนึ่งได้ถูกจับไว้ในมือของเขาแล้ว ในเวลานี้ส่วนที่เหลือจะถูกนํากลับเข้าไปในกล่องจากนั้นก็ถูกส่งกลับไปที่หลู่ซ่ง จากนั้นเขาก็ยกมือขึ้น “อีกครึ่งหนึ่งใต้เท้าหลู่ต้องการที่จะนับอีกครั้งหรือไม่”

 

หลู่ซ่งรู้สึกเจ็บปวด แม้กระนั้นเขาไม่กล้านับไม่ว่าจะพูดอะไร เขากล่าวซ้ําๆว่า “ไม่พะยะค่ะ ไม่ต้องมีสิ่งใดที่เลือกโดยฝ่าบาท ฝ่าบาทสามารถตรวจสอบกับทางการได้พะยะค่ะ”

 

“อืม” ซวนเทียนฮั่วพยักหน้า จากนั้นเขาก็มองไปที่เฟิงหยูเฮงเพื่อกําจัดความเย็นชาขณะที่ มองหลู่ซ่ง ทันใดการแสดงออกของเขากลับสู่ใบหน้าที่สงบและยิ้มแย้มตามปกติ เขามอบโฉนดให้กับนาง “ดูสิว่าเจ้าพอใจหรือไม่ หากเจ้าไม่พอใจ ข้าจะเพิ่มเข้าไปอีก”

 

โดยธรรมชาติแล้วเฟิงหยูเฮงก็ดีใจที่ได้ยินคําเหล่านี้ แต่หลู่ซ่งกําลังร้องไห้อยู่ข้างใน แค่นี้ไม่เพียงพอหรือ ? มันจะยังคงขึ้นอยู่กับอารมณ์ขององค์หญิงหรือไม่? ถ้าผู้หญิงคนนี้ส่ายหัว องค์ชายเจ็ดของเขาจะถามอะไรเขา น่องของเขาตึงเล็กน้อย แน่นอนว่าคนในราชวงศ์ไม่สามารถทําให้ขุ่นเคืองได้ ไม่ว่าจะเป็นองค์ชายเก้าที่เจ้าอารมณ์หรือองค์ชายเจ็ดที่อ่อนโยน ทั้งคู่ก็จะกลายเป็นปีศาจเมื่อไม่มีความสุข ไม่ว่าคนใดคนหนึ่งก็ไม่สามารถทําให้ขุ่นเคืองได้

 

ในขณะที่เขาคิดเกี่ยวกับมัน เขาอดไม่ได้ที่จะจ้องมองไปที่หลู่เหยา เขาแค่คิดว่าเรื่องทั้งหมดนี้เป็นผลมาจากผู้หญิงคนนั้น เพื่อเห็นแก่นางที่มีงานแต่งงานอันรุ่งโรจน์ตระกูลหลู่จึงส่งของกํานัลไปมอบให้ตระกูลเหยา ใครจะรู้ว่าจะมีการเพิ่มความเป็นอยู่ที่ดีของตระกูลด้วย

 

แต่เมื่อเขาจ้องมองหลู่เหยา เขาก็พบว่าหลู่เหยาก็มองเขาเช่นกัน สายตาของนางเต็มไปด้วยความโกรธมากยิ่งกว่าเขา มันเต็มไปด้วยความเกลียดชังที่ไม่สามารถละเลยได้ ทันใดนั้นเขาก็นึก ถึงเรื่องนี้กับหลู่โชวเมื่อหลายปีก่อนนี้ ดังนั้นเขาจึงรู้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ตระกูลทิ้งบุตรสาวคนนี้ ความโกรธก่อนหน้านี้ก็ลดลงเล็กน้อย

 

ลืมไปเลยว่านางแต่งงานกับตระกูลเหยาแล้ว ในอนาคตเขาจะพึ่งพาความสัมพันธ์ในอนาคตของนางกับเฟิงหยูเฮง ไม่ว่าองค์ชายคนไหนจะขึ้นครองบัลลังก์ เขาจะมีสมบัติสองอย่างด้านบน ตระกูลหลู่ไม่เพียงมีแหล่งที่มาแห่งความรุ่งโรจน์เท่านั้น

 

ในเวลานี้เฟิงหยูเฮงพลิกโฉนดและพยักหน้าอย่างพึงพอใจ จากนั้นนางก็พูดกับหลู่ซ่ง “ท่านเสนาบดี องค์หญิงผู้นี้จะส่งคนไปที่ที่ทําการของทางการทันที วันนี้ไปโอนโฉนดกันเถิด !”

 

หลู่ซ่งดึงความคิดของเขาอย่างรวดเร็วและกล่าวว่า “แน่นอนพะยะค่ะ”

 

แต่เฟิงหยูเฮงดูเหมือนจะจําบางสิ่งได้ในขณะที่นางหันหน้ามา และโบกมือให้เหยาจิงจุน “ท่านลุงใหญ่มา”

 

เหยาจิงจุนไม่ชัดเจนเกี่ยวกับจุดประสงค์และก้าวไปข้างหน้า แต่เขาได้ยินเฟิงหยูเฮงกล่าวกับเขาว่า “เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นในตระกูลเหยา อาเฮงไม่ต้องการสิ่งเหล่านี้ พวกมันทั้งหมดจะได้รับการพิจารณาเป็นค่าชดใช้จากคฤหาสน์หลู่ถึงคฤหาสน์เหยา ท่านลุงใหญ่เดินทางไปกับเสนาบดีหลู่ โอนโฉนดทั้งหมดให้เป็นของตระกูลเหยาเร็ว” หลังจากพูดจบ นางเหลือบไปที่หลู่เหยาแล้วกล่าวว่า “สิ่งเหล่านี้จะมอบให้กับตระกูลเหยา แต่ไม่ว่าตอนนี้หรือในอนาคต ถูกวางไว้ภายใต้ชื่อลูกพี่ลูกน้อง ลูกพี่ลูกน้องคนโตคัดค้านหรือไม่? ”

 

แน่นอนเหยาซู่เข้าใจความหมายที่เฟิงหยูเฮงกล่าว หากพวกมันอยู่ภายใต้ชื่อของเขา นั่นหมายความว่าพวกมันจะกลับไปอยู่ในมือของหมู่เหยา เขาเข้าใจเหตุผลนี้จึงพยักหน้าอย่างมีความสุข “เป็นเหมือนที่อาเฮงพูด”

 

เหยาจิงจุนไม่คิดว่าเฟิงหยูเฮงจะส่งมอบเงินมากมายโดยไม่ทุกข์ร้อนใดๆ ด้วยความตกใจเขาถอนหายใจว่าหลานสาวของเขาเป็นอย่างไร หลายปีที่ผ่านมาตระกูลเหยาของพวกเขาได้ยินเรื่อง บางอย่างจากเมืองหลวงโดยบอกว่าหลานสาวของพวกเขาแตกต่างจากเมื่อก่อน แม้กระนั้นเขาไม่เคยคิดว่านางจะแตกต่างจากระดับนี้

 

“ท่านลุงใหญ่” เฟิงหยูเฮงแค่วางมือ “เอาไป อาเฮงช่วยอะไรไม่ได้อีกแล้ว ยึดสิ่งเหล่านี้ไว้เพื่อช่วยตระกูล” ขณะที่นางพูดนางหันไปมองซวนเทียนฮั่ว “พี่เจ็ดจะไม่ตําหนิข้าใช่หรือไม่เจ้าคะ? “

 

ซวนเทียนฮั่วหัวเราะและกล่าวว่า “ข้ามอบสิ่งต่างๆให้กับเจ้า พี่เจ็ดรับผิดชอบในการรับพวกมันมาเพื่อเจ้าเท่านั้น เจ้าจะใช้มันอย่างไรก็ได้”

 

โฉนด 20 ใบทําให้ตระกูลหลู่ตกอยู่ในความเจ็บปวด อย่างไรก็ตามสําหรับซวนเทียนฮั่ว มันไม่ได้มากมายอะไรนัก เหยาจิงจุนไม่ได้โต้แย้งต่อไป ยิ่งกว่านั้นเหยาเซียนยังกล่าวอีกว่า “เอาไป อาเฮงมอบสิ่งเหล่านี้ให้เจ้า ดังนั้นเจ้าจะดื้อรั้นทําไม ? ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด นางจะแต่งงานในปีหน้า เราจะต้องให้สินสอดสําหรับนาง”

 

เมื่อได้ยินเช่นนี้ เหยาจิงจุนก็รับโฉนดมา เขาออกไปพร้อมกับหลู่ซ่งไปยังสํานักงานของทางการ

 

สําหรับเหยาเซียน การบอกว่านางจะแต่งงานในปีหน้า สิ่งนี้ทําให้ใบหน้าเล็กๆของเฟิงหยูเฮงเปลี่ยนเป็นสีแดง เมื่อมองไปรอบๆ ทุกคนในปัจจุบันดูเหมือนว่าทุกคนจะได้รับรู้ ปีต่อไปจะเป็นปีที่องค์หญิงจี่ถึงวัยออกเรือน! อายุที่มากขึ้นหมายถึงการแต่งงาน นี่เป็นสิ่งที่องค์ชายเก้าพูดไว้ก่อนหน้านี้ เมืองหลวงจะมีเหตุการณ์ที่น่าจดจําอย่างมากในปีหน้า

 

ในทันที่ทุกคนเปลี่ยนความสนใจและเริ่มพูดอย่างมีความสุขกับงานแต่งงานที่ยิ่งใหญ่ของเฟิงหยูเฮงและซวนเทียนหมิง

 

ซวนเทียนหมิงดีใจมากที่ได้ยินเรื่องนี้และยินดีเป็นอย่างยิ่ง เรื่องนี้ทําให้เฟิงหยูเฮงจ้องมองเขาด้วยความโกรธ

 

อย่างไรก็ตามในขณะนี้บ่าวรับใช้ชายวิ่งเข้ามาจากด้านนอกคฤหาสน์ ข้างหลังเขาเป็นคนที่ดูเหมือนทหารยาม ทหารยามนั้นมาถึงด้านข้างของซวนเทียนฮั่ว และโน้มตัวกระซิบของเขา ใบหน้าของซวนเทียนฮั่วขรึมลงอีกครั้งทันทีในขณะที่เขายืนขึ้นและออกไปโดยไม่พูดอะไรสักคํา

 

ตอนที่ 662 ยกที่ดินให้หรือจ่ายค่าชดเชย

 

ยายกุยกล่าวว่า “หญิงพรหมจรรย์” ไม่ได้มีความหมายอะไรมากสําหรับคนนอก แต่สําหรับเฟิงหยูเฮงและกลุ่มของนาง นี่เป็นเหมือนสายฟ้าฟาด นางเห็นหลู่ซ่งเปิดเผยความประหลาดใจอย่างชัดเจน แม้ว่าเขาจะซ่อนมันในทันที แต่เขาก็ยังทิ้งร่องรอยไว้

 

เมื่อเห็นใบหน้าที่งุนงงของเฟิงหยูเฮง ยายกุยก็มองไม่เห็นอะไร ดูเหมือนว่านางต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง อย่างไรก็ตามนางถูกหยุดโดยเฟิงหยูเฮงโบกมือของนาง นางหันไปพูดกับเหยาซู่ “ลูกพี่ลูกน้องคนโตไปกับท่านยายเป็นการส่วนตัว ลูกพี่ลูกน้องคนโตควรมีความชัดเจนในเรื่องนี้ เรื่องของหลู่โชวได้รับการแก้ไขแล้ว และพระราชวังก็ให้เกียรติกับงานแต่งงานนี้เช่นกัน งานแต่งงานนี้ยังคงเป็นงานแต่งงาน ข้าเชื่อว่าท่านปู่ ท่านลุง และท่านป้าของข้าจะไม่เอาความอีกต่อไป”

 

เหยาซู่มองเฟิงหยูเฮงอย่างซาบซึ้ง จากนั้นนําหลู่เหยาไปเผชิญหน้ากับสมาชิกของตระกูลเหยาก่อนที่จะคุกเข่า หลู่เหยาให้คํามั่นแก่สมาชิกของตระกูลเหยาว่า “ลูกสะใภ้เข้ามาในตระกูลทุกวันนี้ อย่างไรก็ตามข้าไม่ต้องการให้บ่าวรับใช้ของข้าสร้างปัญหาใดๆสําหรับการเฉลิมฉลองที่จบลงด้วยเงื่อนไขที่ไม่ดีนั้น เป็นความผิดของลูกสะใภ้ทั้งหมดเจ้าค่ะ” น้ําเสียงของนางจริงจังและการจ้องมองของนางก็มีความจริงใจอย่างสมบูรณ์ “ลูกสะใภ้รู้ความผิดของตัวเอง ตั้งแต่นี้ไปข้าจะเป็นภรรยาที่เหมาะสม ข้าจะสนับสนุนและรับใช้ท่านปู่ และข้าจะเคารพท่านป้าและท่านลุงในขณะที่รักพี่น้องที่อายุน้อยกว่า ข้าจะปฏิบัติต่อตระกูลเหยาเหมือนตระกูลของข้าเอง และข้าขอให้คนรุ่นเก่าให้อภัยความผิดพลาดของข้าในวันนี้เจ้าค่ะ” หลังจากที่นางพูดจบนางก็คํานับอีกครั้ง

 

แต่เดิมคนในตระกูลเหยาเป็นคนดี นอกจากเหยาเซียนซึ่งยังคิดอยู่กับตัวเอง คําพูดของหลู่เหยาทําให้ท่าทีของคนอื่นๆอ่อนลง แม้แต่เหยาจิงจุนก็ไม่สามารถตําหนินางได้อีกต่อไป เหยาขู่คุกเข่าอยู่ข้างๆหลู่เหยาแต่ไม่ได้พูดอะไร แต่ทัศนคติของเขาชัดเจน เขายืนหยัดที่จะเผชิญปัญหาร่วมกับภรรยาของเขา

 

ซูซื่อเป็นคนแรกที่สูญเสียการควบคุม นางเดินไปข้างหน้าเพื่อสนับสนุนสู่เหยาขณะที่ตบหลังมือนางกล่าวว่า “ดี หยุดร้องไห้เร็ว วันนี้ไม่สามารถตําหนิเจ้าได้ มีพี่ชายอยู่ด้วย เมื่อหญิงสาวกําลังจะแต่งงานพี่ชายของเจ้าออกจากเมืองหลวงและกลับมาไม่ทันส่งเจ้าออกจากคฤหาสน์ การรีบวิ่งมาเพื่อมอบของกํานัลก็เป็นความเข้าใจเช่นกัน ในเรื่องของบ่าวรับใช้ หญิงสาวที่ดีเชื่อฟังแม่ เมื่อใช้บ่าวรับใช้ให้เลือกคนที่เชื่อฟังมากกว่านี้ แม้ว่ามีความสามารถในการต่อสู้ก็จะดี แต่ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ว่าพวกเขาจะโดดเด่นยิ่งขึ้น มีแนวโน้มว่าพวกนางจะสร้างปัญหาให้กับเจ้านายของพวกนางด้วย”

 

หลู่เหยาเต็มไปด้วยความกตัญญ นางพยักหน้าอย่างแรง ในขณะที่พยักหน้านางเช็ดน้ําตา แต่เมื่อทําตามนี้นางได้ยินเหยาซ่กล่าวว่า “ไม่เพียงแต่บ่าวรับใช้ที่รู้ศิลปะการต่อสู้จะไม่ดี ส่งแม่นมและบ่าวรับใช้คนอื่นกลับตระกูลหมู่ทั้งหมด !”

 

หลู่เหยาตื่นตกใจ สองคนนั้นยังคงคุกเข่าอยู่บนพื้น เมื่อได้ยินเหยาซู่พูดอย่างนี้ พวกนางต้องการที่จะส่ายหน้าของพวกนางเพื่อต่อสู้เพื่อตัวเอง แต่เหยาซู่สะบัดแขนเสื้ออย่างรุนแรงด้วยความคิดของเขาที่ตั้งไว้แล้ว “เจ้าทั้งสองมีเจตนาที่ไม่ดี เมื่อสิ่งต่างๆเกิดขึ้น เจ้าไม่ยอมรับความผิดของเจ้า เจ้าสาดโคลนใส่อาเฮง เป็นเพราะอาเฮงมีความสามารถบางอย่าง ทําให้นางจึงไม่ถูกเจ้ากลั่นแกล้ง หากเป็นคนอื่น พวกเขาจะไม่ถูกฆ่าอย่างไม่ยุติธรรมหรือ? ในวันแรกที่เข้ามาถึงคฤหาสน์แทนที่จะช่วยคุณหนูของเจ้าสะสมบารมี เจ้าทําสิ่งที่น่ากลัวแบบนี้ คนเช่นนี้ไม่เหมาะที่จะอยู่ในคฤหาสน์เหยาของเรา !” หลังจากที่เขาพูดจบแล้ว เขาก็หันหลังกลับไปมองหลู่ซ่งผู้ซึ่งยังคงคุกเข่าที่เท้าของซวนเทียนฮั่วและถามด้วยเสียงดัง “ท่านเสนาบดีหลู่เห็นด้วยกับขุนนางผู้ต่ําต้อยหรือไม่ขอรับ ? ”

 

หลู่ซ่งจะพูดอะไรได้อีกในตอนนี้? แม้ว่าสถานะของเขาจะเป็นขุนนางขั้นหนึ่งในการเผชิญหน้ากับตระกูลเหยา แต่ตําแหน่งขุนนางขั้นหนึ่งของเขาก็ไม่ได้มีความหมายอะไรมากนัก เหยาเซียนผู้มีอิทธิพลนั้นยืนอยู่ตรงนั้น เสนาบดีอย่างเขาจะกล้าเงยหน้าขึ้นหรือ?

 

ดังนั้นเขาจึงตกลงอย่างรวดเร็ว “สิ่งที่ลูกเขยนั้นพูดถูกต้อง แต่ในอนาคตเจ้าต้องไม่เรียกข้าว่าเสนาบดีหลู่ เจ้าต้องเรียกข้าว่าพ่อตา”

 

เหยาซู่พยักหน้าและไม่พูดอะไรเลย แต่เมื่อเขามองกลับไป เขาจงใจหลบตาเหยาเซียน และเฟิงหยูเฮง เขารู้ว่าคนที่จับผิดเก่งที่สุดในครอบครัวคือลูกพี่ลูกน้องของเขา, เฟิงหยูเฮงและท่านปู่เหยาเซียน เนื่องจากสิ่งต่างๆเป็นเช่นนี้ เขาหวังว่าเขาจะผ่านช่วงเวลาที่ยากลําบากไปได้

 

เมื่อเห็นว่าคดีกับตระกูลเหยาและตระกูลหลู่ได้รับการแก้ไขแล้ว พวกเขาก็สงบสุข คฤหาสน์เหยาสั่งให้ห้องครัวเตรียมอาหารอีกครั้ง งานเลี้ยงยังคงต้องดําเนินการต่อไป พวกเขาไม่สามารถปล่อยให้บรรยากาศอึดอัดเพราะเรื่องนี้ นอกจากนี้การสูญเสียชีวิตก็เป็นการดีที่สุดที่จะใช้การเฉลิมฉลองเพื่อชําระล้าง

 

ยายกุยกล่าวอําลาและถูกนําตัวออกไปโดยเฟิงหยูเฮง หลังจากที่พวกเขาอยู่ห่างไกลจากความวุ่นวายของเรือน ยายกุยดึงเฟิงหยูเฮงลากไปด้านข้างสองสามก้าว จากนั้นนางยอมรับผิดว่า “องค์หญิง บ่าวรับใช้ผู้นี้มีความผิดเจ้าค่ะ”

 

เฟิงหยูเฮงถามว่า “ท่านยายกําลังพูดถึงความบริสุทธิ์ของหลู่เหยาหรือ? ”

 

ยายกุยพยักหน้า “ไม่อาจปิดบังความจริงจากองค์หญิงได้ แต่บ่าวรับใช้คนนี้พูดเรื่อง โกหก คุณหนูตระกูลหลู่นั้นไม่ใช่หญิงพรหมจรรย์เลย ไม่เพียงแต่นางไม่บริสุทธิ์เท่านั้น ยังเป็นที่ชัดเจนว่านางผ่านผู้ชายมาแล้วตั้งแต่ตอนที่นางยังเป็นเด็ก เมื่อนางถูกตรวจสอบ คุณชายใหญ่ตระกูลเหยายืนอยู่อีกด้านนอก คุณหนูตระกูลหลู่เป็นคนเจ้าความคิด หลังจากบ่าวรับใช้ชราผู้นี้ตรวจเสร็จ นางก็เดินไปที่อีกด้านหนึ่งทันทีและคุกเข่าให้คุณชายใหญ่ตระกูลเหยา บ่าวรับใช้ชราผู้นี้ถูกไล่ออกจากห้อง แต่ได้ยินเสียงเบาๆ ของคุณหนูตระกูลหลู่ที่กําลังร้องไห้ คุณชายใหญ่นั้นตะโกนด้วยความโกรธเล็กน้อยก่อนที่เสียงของเขาจะเบาลง ข้าไม่รู้ว่าคุณหนูตระกูลหลู่พูดอะไรจึงทําให้คุณชายใหญ่ออกหน้าขอให้บ่าวรับใช้ชราผู้นี้ไม่เปิดเผยเรื่องนี้ เมื่อถูกเรียกกลับมา เขาบอกบ่าวรับใช้ผู้นี้ว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับชื่อเสียงของตระกูลเหยา และตระกูลเหยาไม่ใช่ตระกูลของฮ่องเต้ นี่เป็นเรื่องของตระกูลเหยา มันไม่เกี่ยวข้องกับตระกูลของฮ่องเต้ และเขาขอให้บ่าวรับใช้ชราคนนี้ไว้หน้าเขาและไม่อนุญาตให้เรื่องนี้เปิดเผยออกไป ไม่มีสิ่งใดที่บ่าวรับใช้ชราสามารถทําได้ และได้แต่ทําตามที่คุณชายใหญ่พูด องค์หญิงโปรดยกโทษให้ข้าด้วย”

 

เฟิงหยูเฮงยิ้มอย่างขมขึ้น นี่คือบางสิ่งที่เหยาซูร้องขอ ใครที่นางสามารถตําหนิ? ในท้ายที่สุด เรื่องนี้เป็นเรื่องของตระกูลเหยา นางใช้แซ่อื่นและนางเป็นเพียงลูกพี่ลูกน้องของเขา นางได้ทําสิ่งที่นางทําได้แล้ว และให้พวกเขารู้ว่าพวกเขาต้องรู้อะไร ส่วนนางจะถูกขับไล่หรือเก็บไว้ มันจะขึ้นอยู่กับเหยาซู่

 

“ท่านยายทํางานหนัก” นางจับมือยายกุย “การเดินทางครั้งนี้เป็นสิ่งที่ขัดกับกฎแล้ว อาเฮงดีใจมากยายเดินทางมา จะจําเป็นต้องให้อภัยได้อย่างไรเจ้าค่ะ”

 

“อ่า ! องค์หญิง การได้รับใช้ท่านถือเป็นวาสนาแล้วเพคะ” เมื่อคําเหล่านี้ออกมา ตั๋วแลกเงินก็ ถูกยัดไว้ในมือของนาง ขณะที่นางได้ยินเฟิงหยูเฮงกล่าวว่า “ขอบคุณมากสําหรับการทํางานหนักของท่านยาย เมื่อลูกพี่ลูกน้องคนโตปรารถนาที่จะไม่เปิดเผยสิ่งนี้ท่านยายจะช่วยจัดการ” 

 

ยายคนนี้จะไม่เข้าใจเจตนาของนางได้อย่างไร ดังนั้นนางจึงรีบกล่าวว่า “องค์หญิงไม่ต้องกังวล ลูกสะใภ้ของตระกูลเหยาได้รับการยกย่องจากพระราชวังผ่านการตรวจร่างกายครั้งนี้ นี้เป็นเกียรติสําหรับตระกูลเหยา”

 

เฟิงหยูเฮงพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ จากนั้นนางก็มีรถม้าส่งยายกุยกลับไป

 

เมื่อนางหันหลังกลับ เหยาเซียนที่ออกมายืนอยู่ไม่ไกลเกินไป เฟิงหยูเฮงถอนหายใจและเดินไปบอกเหยาเซียนเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นจนจบ จากนั้นนางก็เปิดเผยความคิดของนาง “ท่านปู่ เรื่องนี้ไม่สามารถควบคุมได้ เหยาซู่เลือกเส้นทางนี้ เราปล่อยให้เขาเดินไปตามทางที่เขาเลือก มันเป็นเพียงที่หลู่เหยาแต่งงานเข้าคฤหาสน์แล้ว ดังนั้นจึงจําเป็นต้องจับตาดูนาง อย่าปล่อยให้นางสร้างปัญหาอีก และยอมให้ผู้อื่นถูกกลั่นแกล้ง”

 

“หึมม” การแสดงออกของเหยาเซียนเป็นสิ่งที่น่าเกลียดมาก และเขาอดไม่ได้ที่จะสาปแช่ง “ไว้หน้า ? บุตรของตระกูลเหยาจะเป็นคนโง่ได้อย่างไร เมื่อหญิงสาวเช่นนี้เข้ามาในตระกูลเหยาจะอยู่อย่างสงบสุขในอนาคตอย่างไร นางรู้จักใช้ความเมตตาของผู้คนในคฤหาสน์ อย่างไรก็ตามสิ่งนี้จะทําให้ทุกคนในคฤหาสน์อยู่บนขอบเหว เขาดูผิดจริงๆ !” เขาดูถูกเหยาฟู ในเวลาเดียวกันเขาก็คร่ําครวญในยุคนี้ว่า “สมองของเด็กในยุคนี้มีอะไรบ้างที่ต้องการชื่อเสียง แต่ไม่มีเหตุผล ? เขาไม่รังเกียจที่จะนําผู้หญิงแบบนั้นเข้ามาใช่ไหม ?”

 

เฟิงหยูเฮงยิ้มอย่างขมขึ้น “ท่านปู่ ถ้าท่านพูดแบบนี้ ถ้าอย่างนั้นท่านก็เป็นคนที่สับสน

 

“หืม?” เหยาเซียนไม่สามารถตอบสนองได้ซักพัก “ข้ากลายเป็นคนสับสนได้อย่างไร ? ”

 

เฟิงหยูเฮงกล่าวว่า “ท่านปู่สับสนกับยุคนี้ ! ไม่ใช่เด็กในยุคนี้ที่มีปัญหากับสมอง ลองคิดดู หา กสิ่งนี้เกิดขึ้นในศตวรรษที่ 21 มันจะถูกพิจารณาเป็นสถานการณ์หรือไม่? ”

 

เหยาเซียนก็ตกใจแล้วเข้าใจทันที่ว่านางหมายถึงอะไร ถูกต้อง! ยุคโบราณยังคงมีบางสิ่งบางอย่างเช่นการตรวจร่างกาย แต่ด้วยสังคมที่พัฒนาไปสู่ศตวรรษที่ 21 ใครจะสนใจว่าภรรยาของพวกเขาบริสุทธิ์หรือไม่ ผู้คนหยุดคิดเกี่ยวกับแนวคิดนั้น ยุคสมัยใหม่นิยมเสรีภาพในความรักและเสรีภาพในการแต่งงาน การแต่งงานเป็นหัวข้อยอดนิยม หลู่เหยาเกิดผิดยุค หากสิ่งนี้เป็นไปตามวิธีคิดที่ทันสมัย ไม่ว่าหลู่เหยาจะมีความตั้งใจดีหรือไม่และไม่ว่านางจะบริสุทธิ์หรือไม่ก็ตาม แม้จะเป็นสิ่งที่เขาจะพิจารณาก็ตาม”

 

เมื่อคิดเช่นนี้เหยาเซียนผ่อนคลายมากขึ้น อย่างไรก็ตามเขาได้ยินเฟิงหยูเฮงกล่าวกับตัวเองว่า “ข้าไม่รู้จริงๆว่าวิวัฒนาการของสังคมไปได้ดีหรือไม่ดี”

 

เหยาเซียนยิ้มอย่างขมขึ้นและลากนางกลับเข้าไปในคฤหาสน์

 

เมื่อพวกเขากลับมา หลู่ซ่งยืนขึ้นแล้ว อาจเป็นเพราะเขาคุกเข่าเป็นเวลานาน แต่เขาก็ไม่ได้ขยับได้ดีนัก นับตั้งแต่เขามาก็คงไม่ดีที่จะจากไปทันที เขารีบไปด้านข้างเหยาจิงจุนและขอโทษซ้ําแล้วซ้ําอีก

 

เฟิงหยูเฮงพูดกับเหยาเซียนอย่างเงียบๆ “คนในตระกูลเหยานั้นไร้เดียงสาและใจดีเกินไป สิ่งที่ข้ากังวลมากที่สุดคือเมื่อหลู่เหยาสร้างปัญหา ตระกูลเหยาจะสามารถต่อสู้ได้หรือไม่”

 

เหยาเซียนไม่สามารถทําอะไรได้ “แต่ละคนมีชีวิตของตัวเอง หากสมาชิกของตระกูลเหยาสามารถใช้โอกาสนี้เพื่อเติบโต พวกเขาจะไม่ถูกทําให้อับอายโดยหลู่เหยา หากพวกเขาปล่อยให้เด็กผู้หญิงตัวเล็กจัดระเบียบ ตระกูลเหยากําลังมุ่งสู่ความเสื่อมโทรมและจะได้รับอันตรายจากคนอื่นในอนาคต แต่เจ้าไม่ควรกังวล เวลาหลายปีที่อาศัยอยู่ในหวางโจวทําให้ตระกูลเหยาแตกต่างจากเมื่อก่อน อย่างน้อยที่สุดถ้ามีอะไรคล้ายกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเจ้าและมารดาของเจ้า ตระกูลเหยาจะมีความสามารถในการปกป้องสิ่งที่ต้องการการปกป้อง นอกจากนี้ยังมีพลังในการต่อสู้กลับ”

 

เฟิงหยูเฮงพยักหน้า “ก็ดีถ้าเป็นแบบนั้น” ทั้งสองไม่พูดต่อไปเมื่อพวกเขาเข้าไปในสนามด้านหน้าอีกครั้ง

 

เฟิงหยูเฮงไปคุยกับซวนเทียนหมิงตามปกติ อย่างไรก็ตามเหยาเซียนถูกหยุดโดยหลู่ซ่ง หลู่ซ่งนับถือเหยาเซียนมาก ด้วยสถานการณ์ที่ยังเป็นความผิดของคฤหาสน์ของเขา เขาไม่กล้ากระทําอย่างรีบเร่งในเรื่องเล็กน้อย เขาขอโทษต่อเหยาเซียนจนกระทั่งเหยาเซียนพยักหน้ารับการขออภัย จากนั้นเขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก

 

คําขอโทษที่เขาเป็นหนี้นั้นได้รับมอบไปแล้ว อย่างไรก็ตามเขาไม่สามารถออกได้ทันที เขามองไปที่องค์ชายเจ็ด, ซวนเทียนฮั่วอีกครั้ง หลังจากทั้งหมดมันเป็นองค์ชายเจ็ดที่ได้เรียกเขาไป ตอนนี้เขาได้รับการเก็บศพและขอโทษ มันควรจะเป็นเวลาที่เขาจะจากไป แต่ก่อนที่เขาจะจากไป เขาจะคํานับซวนเทียนฮั่ว

 

ดังนั้นหลู่ซ่งจึงเดินไปแสดงความเคารพอย่างระมัดระวัง “องค์ชายจุน พระองค์เจ้าหน้าที่ผู้ นี้ทําให้พระองค์พอพระทัยหรือไม่ ? ”

 

ซวนเทียนฮั่วพยักหน้าให้เขา

 

ในที่สุดหลู่ซ่งรู้สึกสบายใจกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นเจ้าหน้าที่ผู้นี้ก็สบายใจ พูดไปแล้วกระหม่อมรู้สึกละอายใจต่อตระกูลเหยา ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปกระหม่อมจะสนิทสนมยิ่งขึ้นอย่างแน่นอนพะยะค่ะ”

 

ซวนเทียนฮั่วไม่ได้กล่าวถึงสิ่งนี้มากนักเพียง แต่เตือนเขาว่า “สิ่งที่สําคัญคือตระกูลหลู่ องค์หญิงจี่อัน องค์ชายผู้นี้โกรธมากในเรื่องนี้”

 

“เอ่อ…” หลู่ซ่งคิดกับตัวเองว่าสิ่งนี้ไม่ดี “องค์ชายหมายถึงให้เจ้าหน้าที่ผู้นี้คุกเข่าและขอโทษองค์หญิงจีอัน”

 

“ขอโทษงั้นหรือ?” ซวนเทียนฮั่วพูดกับตัวเองว่า “นั่นเป็นความตั้งใจที่ดีทีเดียว เนื่องจากเจ้าต้องการที่จะขอโทษ เจ้าวางแผนที่จะยกที่ดินหรือจ่ายค่าชดเชย ? ”

 

ตอนที่ 661 ผลการตรวจร่างกายเป็นจริง

 

คําขอร้องของหลู่เหยานั้นดูน่ากลัว แต่ทั้งสองก็คํานับฟ้าดินแล้ว พวกเขาเป็นคู่แต่งงานที่ถูกต้องแล้วและไม่อาจถือว่าไม่เหมาะสม

 

เหยามีจิตใจที่ใจดี เมื่อเห็นว่าผู้กระทําผิดเกี่ยวกับการเสียชีวิตของหลู่โชวได้ถูกค้นพบแล้ว และแม้ว่าเขาจะรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยเกี่ยวกับคนของหมู่เหยาที่กล่าวหาเฟิงหยูเฮง แต่ตอนนี้นางเป็นภรรยาของเขาแล้ว พวกเขาทําพิธีอย่างเหมาะสม และมันก็ถูกยื่นต่อทางการอย่างเหมาะสม ไม่ว่าในกรณีใด เขาจะให้ความคุ้มครองแก่ภรรยาของเขา ดังนั้นเขาไม่ได้พูดอะไรเลย และช่วยหลู่เหยานำยายกุยไปยังเรือนเจ้าสาว

 

ด้วยสิ่งที่เกิดขึ้นในงานแต่งงานไม่มีใครอยู่ในอารมณ์ที่จะฉลองอีกต่อไป แต่ผู้คนสนุกกับการนินทา ผลการตรวจร่างกายของหลู่เหยายังไม่ออกมา ดังนั้นจึงไม่มีใครรีบออกไป พวกเขาค่อย ๆ จิบชาที่บ่าวรับใช้นำมาให้ในเวลาเดียวกันพวกเขาต้องการหัวเราะให้กับการที่หลู่ซ่งยังคงคุกเข่าอยู่แทบเท้าขององค์ชายเจ็ด

 

เฟิงจื่อหรูอยู่ข้าง ๆ พี่สาวของเขา และกล่าวกับนางอย่างเงียบ ๆ ว่า “นางร้ายกาจจริง ๆ ข้าไม่รู้จริง ๆ ว่าลูกพี่ลูกน้องเห็นอะไรในตัวนาง”

 

เฟิงหยูเฮงหัวเราะและกล่าวว่า “เจ้ายังเด็กแต่เจ้ามีความเข้าใจไม่น้อย” แต่หลังจากคิดเล็กน้อย เด็กส่วนใหญ่จะไม่โตเร็วกว่านี้ใช่ไหม เมื่อนึกย้อนกลับไปเมื่อนางเฟิงกลับมาสู่เมืองหลวง เฟิงเซียงหรูและเฟิงเฟินไดมีอายุไม่เกินสิบปี เฟิงเซียงหรูยังดูไร้เดียงสาอยู่ แต่เฟิงเฟินไดก็รู้จักพยายามหว่านเสน่ห์ใส่ซวนเทียนหมิง เมื่อมองย้อนกลับไปที่เฟิงจื่อหรูซึ่งอายุเก้าขวบ นางไม่กล้าปฏิบัติต่อเขาเหมือนเป็นเด็กอีกต่อไป

 

เมื่อมองอีกครั้งที่หลู่ซ่งที่คุกเข่า เขารู้สึกว่าเขาไม่อาจเงยหน้ามองผู้ใดได้อีกต่อไป ขุนนางขั้นหนึ่งที่มีเกียรติ ต้องมาคุกเข่าแบบนี้ต่อหน้าผู้คนมากมาย ถ้าอยู่ในราชสํานักก็คงไม่เป็นไร แต่นี่เป็นเพียงคฤหาสน์ตระกูลเหยา สถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ?

 

แต่การพร่ำบ่นในใจของเขาและความรู้สึกอับอายนั้นไร้ประโยชน์ คนที่ให้เขาคุกเข่าคือองค์ชายเจ็ด, ซวนเทียนฮั่ว โดยปกติเขาใจดีและอ่อนโยนต่อทุกคน อย่างไรก็ตามทุกคนรู้ว่าเขาไม่เคยโกรธใครมาก่อน ทุกวันนี้ตระกูลหลู่ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ หลู่ซ่งคิดกับตัวเองว่าสถานการณ์เช่นนี้น่าจะผ่านพ้นไปได้ไม่ยาก

 

เฟิงหยูเฮงเอียงศีรษะของนางขยับตัวเล็กน้อยเพื่อพูดกับซวนเทียนหมิง “เดาสิ พี่เจ็ดจะจัดการกับเสนาบดีหลู่อย่างไร”

 

ซวนเทียนหมิงยักไหล่ “ข้าไม่รู้ แต่มันจะทรมานพอ การทําให้องค์ชายผู้นี้ขุ่นเคืองเพียงแต่ถูกข้าเฆี่ยนตี แต่การทําให้พี่เจ็ดขุ่นเคืองนั้นสามารถทําให้เกิดผลลัพธ์อะไรก็ได้ขึ้นอยู่กับโชคของหลู่ซ่งและผลการตรวจร่างกาย

 

ซวนเทียนเก้อเข้ามาในเวลานี้และเริ่มซุบซิบกับทั้งสอง “หากว่าหลู่เหยาไม่มีร่างกายที่บริสุทธิ์แล้ว เรื่องนี้จะจัดการอย่างไร ? ” ในขณะที่นางพูด นางมองไปที่เฟิงหยูเฮงอย่างจริงจัง “อาเฮง, ตระกูลเหยาจะรับลูกสะใภ้เช่นนี้หรือไม่ ? ”

 

เฟิงหยูเฮงกล่าวเยาะเย้ย “ถ้านางไร้ยางอายและเสียความบริสุทธิ์ก่อนแต่งงาน องค์หญิงผู้นี้ไม่สามารถทําอะไรกับตระกูลเหยาได้ แม้ว่าลูกพี่ลูกน้องคนโตจะเกลียดข้า สิ่งนี้จะเป็นสิ่งที่ข้าต้องทํา” อย่างน้อยที่สุดนางก็ไม่อนุญาตให้เหยาเซียนมองคนที่น่ารังเกียจเช่นนี้ทุกวัน นางไม่ได้มีความรู้สึกลึกซึ้งมากเกินไปสําหรับคนอื่น ๆ ของคฤหาสน์ ท้ายที่สุดแล้วเวลาที่พวกเขาอยู่ด้วยกันนั้นสั้น พวกเขาทุกคนเป็นคนดี แต่เมื่อพูดถึงความรู้สึก ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับเจ้าของร่างเดิม ต้องเป็นกรณีที่เหยาซื่อไร้ความสามารถและทําให้สายเลือดเหล่านี้อ่อนแอลง แต่ด้วยการนําเสนอของเหยาเซียน ทุกสิ่งต่างออกไป ทั้งสองสนิทกัน เขาเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่สามารถแทนที่ใครได้

 

“ข้าชอบนิสัยเช่นนี้ของเจ้า ! ” ซวนเทียนเก้อกล่าวชมนางอย่างจริงใจ “มีคนแบบนี้เท่านั้นที่จะไม่ถูกกลั่นแกล้ง”

 

ซวนเทียนหมิงตะโกนอย่างเย็นชา “เจ้าคิดว่าเจ้าเก่งกว่านางหรือ ? องค์ชายผู้นี้ได้ยินว่าเมื่อเราอยู่ในภาคเหนือ บุตรชายของตระกูลเหลียนไปสอบถามเรื่องการแต่งงาน และเจ้าโยนของขวัญทั้งหมดที่พวกเขานํามาที่ทางเข้าของพระราชวัง”

 

“เหอะ” ซวนเทียนเก้อแสดงความรังเกียจนาง “นั่นไม่ใช่ทั้งหมดที่ข้าได้เรียนรู้จากพวกเจ้าหรือ ? ข้าสงสัยว่ามันเป็นพี่ชายคนไหนที่สอนให้ข้าวว่าไม่ต้องอดทนต่อคนที่ข้าไม่ชอบแต่ยังมาเยี่ยม เพียงแค่กดพวกเขาลงและให้พวกเขาเต้นแร้งเต้นกาก่อนที่จะพูด ไม่ว่าอย่างไรข้าไว้หน้าพวกเขาแล้วและไม่ได้ทุบตีพวกเขาเลย”

 

ซวนเทียนหมิงยิ้มอย่างขมขึ้น นี้ไม่ใช่สิ่งที่เขาสอนนางมาตั้งแต่เด็ก ในรุ่นนี้ ตระกูลซวนมีทายาทผู้หญิงเพียงคนเดียว มีเด็กชายที่โตแล้ว 9 คนซึ่งบางครั้งอาจขัดแย้งในธุรกิจอย่างเป็นทางการของพวกเขา หลังจากคิดเล็กน้อย ซวนเทียนเก้ออายุถึงวัยออกเรือนแล้ว แต่ด้วยสถานะของนางในฐานะองค์หญิงของราชวงศ์ต้าชุน นางมีสิทธิ์ในการตัดสินใจด้วยตัวเองหรือ ?

 

ในทันที่ความคิดทั้งสามนี้และบรรยากาศก็เริ่มมืดครื้ม เฟิงจื่อหรูสังเกตว่ามีบางอย่างผิดปกติและไปถึงมือของซวนเทียนเก้อเงียบ ๆ กล่าวว่า “พี่เทียนเก้อ แต่งงานกับญาติของเราได้หรือไม่ ! เรายังมีลูกพี่ลูกน้องมากมาย และพวกเขาทั้งหมดเป็นเด็กดี ตระกูลเหยานั้นดีจริง ๆ ท่านพี่จะไม่ถูกรังแกถ้าท่านพี่แต่งงานกับตระกูลของเรา”

 

ซวนเทียนเก้อปล่อย “ฟู” แล้วหัวเราะ นางกล่าวว่า “องค์หญิงในพระราชวังจะถูกรังแกได้ อย่างไร

 

เฟิงหยูเฮงหัวเราะด้วยเช่นกัน “มันดีพอแล้วที่นางไม่รังแกคนอื่น”

 

ในขณะที่พวกเขาพูดคุยกัน เฟิงเฟินไดก็เดินมาด้านข้างพร้อมท่าทางเป็นกังวล

 

พูดไป องค์ชายห้าซวนเทียนหยานค่อนข้างเป็นห่วงเกี่ยวกับเฟิงเฟินไดโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาเห็นเฟิงเฟินไดมุ่งหน้าไปด้วยท่าที่ยั่วยุ ซวนเทียนหยานยังคิดว่าจะถึงนางกลับมา แต่มีคนจํานวนมากในบริเวณใกล้เคียงและไม่สามารถเรียกนางได้

 

ในเวลานี้เฟิงเฟินไดมาถึงแล้ว ครั้งแรกที่นางคารวะองค์ชายเก้าและซวนเทียนเก้อ จากนั้นนางก็กล่าวกับเฟิงจื่อหรูว่า “น้องชายกลับมาที่เมืองหลวง แต่ไม่ได้ไปที่บ้านตระกูลเฟิง พี่สี่คิดถึงเจ้าจริง ๆ ”

 

เฟิงจื่อหรูมีความสุภาพต่อหน้าคนอื่นเสมอ ดังนั้นเขาจึงทักทายเฟิงเฟินไดด้วยความเคารพแล้วกล่าวว่า “พี่สี่” คําพูดที่ออกมาจากปากของเขาก็ไม่ได้ขาดศักดิ์ศรี “ถ้าพี่สี่พูดเช่นนี้ เพื่อให้จื่อหรูไปเล่นที่บ้านตระกูลเฟิง เลือกวันที่เหมาะสม จื่อหรูจะเตรียมของกํานัลและไปเยี่ยมเยียน แต่ถ้าท่านพี่บอกว่าจะกลับบ้าน ข้าสามารถไปได้ตลอดเวลา”

 

คําพูดเหล่านี้ทําให้เฟิงเฟินไดอารมณ์เสีย นางคิดกับตัวเองซ้ำ ๆ ว่าพี่น้องคู่นี้ถอดแบบกันมาไม่มีผิด คําพูดของเฟิงจื่อหรูเริ่มคล้ายกับพี่สาวมากขึ้นเรื่อย ๆ อย่างไรก็ตามนางไม่รู้ว่าเหยาซื่อให้กําเนิดตัวประหลาดทั้งสองคนนี้ได้อย่างไร เมื่อคิดถึงนิสัยอ่อนแอของเหยาซื่อ มันแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากพี่น้องสองคนนี้ ! แต่นางจําได้ทันทีว่าเหยาซื่อได้แทงเฟิงจินหยวน ดังนั้นนางจึงรู้ว่านางไม่ยอมทนอีกต่อไป เมื่อนางระเบิดอารมณ์ออกมา นางจะพุ่งตรงไปใช้มีด

 

นางตัดสินตัวเอง เป้าหมายของนางในการมาที่นี้คือไม่ต้องสนใจกับเฟิงจื่อหรู นางจะทําให้เฟิงหยูเฮงอารมณ์เสีย ในขณะนี้นางดูอย่างตกใจแล้วแกล้งถาม “วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายใหญ่ของคฤหาสน์เหยา แต่ทําไมข้าไม่เห็นท่านฮูหยินเหยามาร่วมงาน ? นางเป็นน้าของคุณชายใหญ่ ! ” จากนั้นนางก็มองไปที่เฟิงหยูเฮงด้วยรอยยิ้มที่มีเจตนาไม่ดี “เป็นไปได้หรือไม่ว่าพี่รองยังไม่มีโอกาสไปเยี่ยมท่านฮูหยินเหยาหลังจากกลับไปเมืองหลวง ? นี่เป็นความผิดพลาดของพี่รอง ไม่ว่าอย่างไรนางก็เป็นมารดาของท่าน”

 

ซวนเทียนหมิงหันหลังกลับ และไม่ต้องการให้ความสนใจกับเฟิงเฟินได ข้อโต้แย้งระหว่างเด็กผู้หญิงนั้นน่ารําคาญจริง ๆ โชคดีที่เฟิงหยูเฮงจะไม่มีทางพ่ายแพ้ ไม่เช่นนั้นเขาคงต้องสอดมือเข้าไปยุ่งเกี่ยว เขาไม่ได้สนใจที่จะปิดปากคุณหนูสี่ตระกูลเฟิงแม้แต่น้อย

 

เมื่อเขาหันกลับมา เขาก็เห็นองค์ชายห้ามองมาทางเขาเป็นเชิงขอโทษ ซวนเทียนหมิงมองออกไปและไม่ได้มองต่อไป เขาไม่ต้องการคําขอโทษใด ๆ หากมีการขอโทษ แส้ของเขาจะมีไว้ทําไม ? เป็นเรื่องดีถ้าชายาของเขาไม่ได้รับความทุกข์ทรมานใดๆ แต่เมื่อนางถูกรังแก แม้ว่าเขาจะทําลายโลก เขาจะหาทางแก้แค้นจนกว่าชายาของเขาจะมีความสุข

 

เมื่อได้ยินคําพูดของเฟิงเห็นได เฟิงหยูเฮงก็ไม่รีบตอบ นางหยิบถ้วยชาของนางอย่างใจเย็นและจิบไม่กี่ครั้ง สําหรับเฟิงเฟินได นางยืนอยู่ตรงหน้าอีกฝ่ายในขณะที่รู้สึกอึดอัดใจ

 

ในที่สุดเมื่อเฟิงหยูเฮงตัดสินใจตอบ นางก็กล่าวว่า “น้องสี่ห่วงใยท่านแม่มาก เมื่อนึกถึงมัน ดูเหมือนว่าความเมตตาจะถูกจดจําเสมอ ! พี่รองไม่รู้จะขอบคุณเจ้าอย่างไรดี เอาอย่างนี้ เมื่องานเลี้ยงสิ้นสุดลงแล้วไปหาข้าที่คฤหาสน์เหยาเพื่อเยี่ยมนาง ! ท่านแม่บอกว่านางอยากทานองุ่นจากฟานเจี้ยง เมื่อคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ตําหนักขององค์ชายห้าคงจะมี น้องสี่ควรนํามาด้วย หากเจ้าไปเยี่ยม มันจะไม่สุภาพหากไปเยี่ยมโดยไม่มีของกํานัล”

 

เมื่อนางพูด เสียงของนางไม่ได้เบานัก และองค์ชายห้าอยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่ก้าว เขาได้ยินทุกคําพูดที่เฟิงหยูเฮงพูด คงจะดีถ้าชื่อของเขาไม่ได้ถูกพูดถึง แต่เนื่องจากเขาถูกกล่าวถึง เขาก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องพูดทันที “ถ้าท่านฮูหยินเหยาชอบองุ่นแดง องค์ชายผู้นี้จะส่งให้อย่างเต็มใจ คุณหนูจะไปที่ตําหนักหลีเพื่อรับมันในภายหลัง องค์ชายผู้นี้ก็จะไปเยี่ยมเช่นกัน พูดไป เราก็จะมีความเกี่ยวข้องกันในอนาคต เราควรไปเที่ยวด้วยกัน”

 

เฟิงเฟินไดได้ยินสิ่งนี้ ไม่เพียงแต่นางไม่ได้รับชัยชนะเท่านั้น นางยังต้องสูญเสียอีก นางรู้สึกไม่พอใจอย่างยิ่งและต้องการที่จะพูดอะไรเพิ่มเติม แม้กระนั้นองค์ชายห้าก็มองนางเป็นเชิงตักเตือนนางว่าอย่าสร้างปัญหาอีกต่อไป

 

เฟิงเฟินไดจะไม่ฟังคนอื่นแต่นางจะฟังสิ่งที่องค์ชายห้าพูด ดังนั้นนางจึงปิดปากของนางทันทีและหันกลับมา แต่เมื่อนางเห็นเด็กผู้หญิงที่โต๊ะเดิมของนางมองมา พวกเขารู้ว่านางไม่ได้ชนะ นางไม่ต้องการกลับไปและถูกพวกเขาหัวเราะเยาะ เมื่อนางมองอีกครั้ง มีเก้าอี้ว่างเปล่าอยู่ถัดจากองค์ชายห้า นางจึงหันกลับเดินไปอย่างรวดเร็ว

 

องค์ชายห้าไม่มีข้อคัดค้านใด ๆ ไม่ว่าในกรณีใด มันจะง่ายกว่าที่จะจับตาดูนาง อยู่ใกล้ ๆ เขาพยักหน้าขอโทษเฟิงหยูเฮงก่อนจะกลับไปหาเฟิงเฟินได

 

ในเวลานี้ไม่นานหลังจากที่หลู่เหยาได้ไปตรวจสอบห้องหอ ทุกคนชะเง้อมอง อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่เห็นนางกลับมา พวกเขาไม่สามารถช่วยได้ แต่เริ่มพูดคุยเรื่องนี้

 

เฟิงหยูเฮงยังรู้สึกว่ามันนานไปนิดหน่อย ขณะที่นางกําลังจะส่งคนไปดูพวกเขา ได้ยินคนกล่าวว่า “พวกเขากลับมาแล้ว !”

 

เมื่อมองดูแล้วกลุ่มของหมู่เหยากลับมาพร้อมกับยายกุยจากทางเล็ก ๆ และนางก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความโล่งอก

 

ซูชื่อเองก็เดินไปทักทายยายกุยและพานางกลับมาด้วยความเคารพ นางไม่ได้บอกอะไรกับหลู่เหยา เพราะนางยังคงสงบและสบายใจ นางไม่ได้แสดงความอบอุ่นเช่นเดียวกับเมื่อต้อนรับเจ้าสาวคนใหม่

 

ในเวลานี้การจ้องมองของทุกคนมุ่งเน้นไปที่ยายกุย ขณะที่พวกเขารอดูว่านางจะพูดอะไรที่จะทําให้ทุกคนมีเรื่องซุบซิบนินทากันทั่วเมืองหรือไม่

 

อย่างไรก็ตามเฟิงหยูเฮงมองผ่านยายกุยแล้วมองตรงไปที่เหยา นางเฟิงเห็นว่าเขาประคองหลู่เหยาด้วยมือข้างหนึ่งและจับไหล่นางเบา ๆ กับอีกมือ ดูเหมือนว่าเขาจะแสดงออกด้วยความรักอย่างมาก

 

ในเวลานี้นางได้ยินยายกุยประกาศผลการตรวจร่างกายเสียงดัง “จากการตรวจร่างกายคุณหนูตระกูลเหยาคือ… หญิงพรหมจรรย์ ! ”

 

ตอนที่ 660 ผู้ร้ายตัวจริง

 

เนื่องจากหญิงสาวที่ถวายตัวเข้าพระราชวังจะต้องตรวจร่างกายของนางก่อน จึงมียายหลายคนที่คอยตรวจร่างกาย ยายเหล่านี้มีสายตาที่แหลมคม หากมีสิ่งผิดปกติเล็กน้อยเกี่ยวกับผู้หญิง นางก็จะสังเกตเห็นด้วยตาของพวกนาง เห็นได้ชัดว่าเด็กผู้หญิงนั้นบริสุทธิ์ ถ้าพวกนางทําอะไรที่ไม่เหมาะสมออกไปก็จะพบได้อย่างชัดเจน ไม่รู้ว่ามันถูกค้นพบได้อย่างไร

 

ในอดีตเฟิงหยูเฮงได้ข้อสรุปของนางเองเมื่อได้ยินเรื่องนี้ นางรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่แน่นอนว่ายายไม่เพียงแค่ตรวจร่างกาย พวกนางยังได้เรียนรู้บางสิ่งที่คล้ายกับการใช้จิตวิทยาโดยใช้การสังเกต พวกนางจะสามารถเดาสถานการณ์ได้มากหรือน้อย

 

แต่เมื่อพระชายาหยุนเข้ามาในพระราชวังเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน พระราชวังของฮ่องเต้ก็ไม่ต้อนรับใครใหม่ ยายเหล่านั้นไม่ได้ทํางานมากนัก เช่นนี้มีคนจํานวนหนึ่งออกมาจากพระราชวัง คนที่ดูถูกเก็บไว้ก็ไม่มีอะไรทํา พวกนางมีตําแหน่งเพียงแค่ในนาม

 

ต่อมาฮองเฮาก็มอบหน้าที่ให้พวกนางตรวจร่างกายของพระชายาเอกที่แต่งงานกับองค์ชาย สิ่งนี้ทําให้พวกนางมีค่าเล็กน้อย

 

ยายกุยมีประวัติการตรวจยาวนานที่สุดและนางเป็นคนที่มีสายตาแหลมคมที่สุด เมื่อได้ยินว่าองค์หญิงจี่อันได้ส่งคนมาเชิญนางที่พระราชวัง นางก็มาทันที ในเรื่องนี้เฟิงหยูเฮงพอใจมาก

 

แต่ในขณะที่นางรู้สึกพึงพอใจ คนอื่น ๆ ก็รู้สึกผิดหวัง หลู่เหยามองนางจากความกลัวขณะที่นางนั่งบนพื้น ใบหน้าของนางซีดเหมือนคนตาย แม้แต่หลู่ซ่งที่คุกเข่าที่เท้าของซวนเทียนฮั่วก็ตื่นตระหนก ขมวดคิ้วแน่น เขาไตร่ตรองบางอย่าง

 

เฟิงหยูเฮงมองด้วยสายตาเย็นชา จากนั้นนางก็ดูสมาชิกของตระกูลเหยา และพวกเขาทุกคนก็มีใบหน้าที่โกรธ งานแต่งงานที่ดีพร้อมได้กลายเป็นงานศพ สถานการณ์แบบนี้เป็นอย่างไร ? เหยาเซียนจ้องมองหลู่ซ่งมากยิ่งขึ้น เขาไม่ยอมปล่อยให้สถานการณ์เป็นเช่นนี้โดยไม่มีคําอธิบายที่เหมาะสม

 

ยายกุยยังเป็นคนที่คุ้นเคยกับการได้เห็นฉากแบบนี้ แม้ว่านางจะมองศพด้วยความกลัวบนพื้นดิน แต่นางก็ได้สติขึ้นมาได้ในทันที นางเดินไปที่เฟิงหยูเฮงและคุกเข่าลงบนพื้นเพื่อคํานับและกล่าวเสียงดังว่า “บ่าวรับใช้คารวะองค์หญิงเพคะ !”

 

เนื่องจากเฟิงหยูเฮงส่งคนมาเชิญนาง นางจึงคารวะเฟิงหยูเฮงก่อน หลังจากเฟิงหยูเฮงเรียกให้นางลุกขึ้น นางก็คารวะองค์ชาย

 

หลังจากคารวะองค์ชาย นางก็ไม่ได้ให้ความสนใจใด ๆ กับเจ้าหน้าที่ ในขณะที่นางเดินตรงไปข้างเฟิงหยูเฮง

 

ในเวลานี้ซูจิงหยวนผู้ที่นั่งอยู่ในที่นั่งหลักกล่าวว่า “เจ้าหน้าที่ ! นําบ่าวรับใช้ตระกูลหลู่ที่อยู่ข้างนอกเข้ามา”

 

คําพูดเหล่านี้ทําให้คนในตระกูลหลู่หยุดนิ่ง หลู่ซงงงมาก บ่าวรับใช้ของตระกูลหลู่หรือ ? บ่าวรับใช้ของตระกูลหลู่ของเขาที่ถูกส่งมายังคฤหาสน์เหยาอยู่ที่นี่ทั้งหมดแล้วไม่ใช่หรือ ข้างนอกจะมีใครอีก ?

 

ขณะเขาสงสัยเขาเห็นเจ้าหน้าที่ของทางการพาคนอื่นเข้ามา คนนั้นแต่งตัวเหมือนบ่าวรับใช้ เมื่อหลู่เหยาเห็น หัวใจของนางก็จมลงทันที เป็นหนึ่งในบ่าวรับใช้ของหลู่หยาน

 

นับตั้งแต่นางยังเด็ก นางไม่ถูกกับหลู่หยาน เพราะทั้งคู่เป็นบุตรสาวของฮูหยินใหญ่และมารดาของนางเสียชีวิตไปเร็วมาก หลู่หยานก็หวังว่าด้วยนางจะสามารถเขี่ยอีกฝ่ายให้หลุดจากตําแหน่งบุตรสาวของฮูหยินใหญ่ นี้หมายความว่าตระกูลหล่มีบุตรสาวของฮูหยินใหญ่เพียงคนเดียวเท่านั้น เช่นนี้สถานะของหลู่หยานจะมีค่ามากกว่า น่าเสียดายที่แผนการของนางไม่สําเร็จ อย่างไรก็ตามใครจะรู้ว่าบ่าวรับใช้ของหลู่หยานจะมาสร้างปัญหา

 

ใจของหลู่เหยากําลังสั่นเทา แม้ว่าเจ้าเมืองจะยังไม่ได้กล่าวว่าหลักฐานของเขาคืออะไร นางก็สามารถคาดเดาได้ว่ามันคืออะไร มันไม่มีอะไรมากไปกว่าเรื่องระหว่างนางกับหลู่โชว นางมองหลู่ซ่งอย่างไม่พอใจ

 

จนถึงขณะนี้หลู่เหยายังไม่สามารถเข้าใจได้ว่าทําไมหลู่ซ่งให้กําเนิดบุตรชายคนโต แต่ไม่ได้เก็บเขาไว้ในคฤหาสน์หรือยอมรับเขา หลังจากนางพัฒนาความรู้สึกกับหลู่โชว นางจะบอกว่าพวกเขาเป็นพี่น้องกันหรือ ? หากจะพูดถึงผู้ที่ควรถูกตําหนิ มันจะเป็นหลู่ซ่ง ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้เกิดจากหลู่ซ่ง !

 

หลู่เหยาเก็บความโกรธนี้ไว้ในอกของนาง และคิดกับตัวเองว่าถ้านางไม่สามารถผ่านการทดสอบนี้ได้ นางก็จะพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อลากบิดาที่ขาดความรับผิดชอบนี้ไปด้วยกัน !

 

จะเห็นได้ว่าหลู่เหยากําลังจ้องมองที่หลู่ซ่งพร้อมด้วยท่าทางที่ดุเดือดและรุนแรงขึ้น จากนั้นนางคุกเข่าต่อหน้าเจ้าเมือง

 

หลู่ซ่งรู้ว่าบุตรสาวสองคนของเขาไม่ถูกกัน อย่างไรก็ตามเขาไม่เคยคิดเลยว่าเจ้าเมืองจะไปรับบ่าวรับใช้ของหลู่หยานมาในการพิจารณาคดีนี้ บ่าวรับใช้นี้ทํางานในคฤหาสน์มาหลายปีแล้วและได้รับการอบรมจากตระกูล หากมีสิ่งใดเปิดเผยออกไป ทุกอย่างในวันนี้จะจบลง

 

อย่างไรก็ตามด้วยสถานการณ์อย่างที่เคยเป็น มันไม่ได้เป็นสถานการณ์ที่เขาสามารถควบคุมได้อีกต่อไป เขาได้ยินซูจิงหยวนกล่าวว่า “แม่นาง เจ้าหน้าที่ผู้นี้ได้ตัดสินว่าการตายของคุณชายใหญ่ตระกูลหลู่ไม่เกี่ยวข้องกับคุณหนูรองตระกูลหลู่ ผู้กระทําผิดได้รับการพิจารณาว่าเป็นนาง สิ่งที่จําเป็นตอนนี้คือหลักฐาน สําหรับเจ้า เจ้าต้องการแสดงหลักฐานนี้หรือไม่ ? ”

 

“บ่าวรับใช้ที่ถูกเลี้ยงดูโดยตระกูลหลู่ ! ” ในที่สุดหลู่ซ่งก็กล่าวว่า “เจ้าต้องตอบคําถามของผู้ว่าการอย่างถูกต้อง”

 

คําว่า “บ่าวรับใช้ที่ถูกเลี้ยงดูจากตระกูลหลู่” ทําให้นางลังเลเล็กน้อย ในเวลาเดียวกันนางสามารถตอบสนอง นางจําได้แค่สิ่งที่คุณหนูสามมอบหมายให้นาง อย่างไรก็ตามนางลืมไปว่าบิดาและมารดาของนางทั้งคู่อยู่ในคฤหาสน์ การให้การครั้งนี้ไม่เพียงแต่เกี่ยวข้องกับชีวิตของคุณหนูรอง มันเชื่อมต่อกับโชคชะตาของตระกูลหลู่ด้วย !

 

ในช่วงเวลาที่นางลังเล แม่นมของหลู่เหยาก็ขยับเล็กน้อยโดยไม่มีใครสังเกต ด้วยการใช้ร่างกายของนางในการให้ความคุ้มครอง นางกระซิบเบา ๆ ว่า “คุณหนูต้องคิดถึงการปกป้องตัวเอง ท่านต้องไม่ลังเลใจในเวลาเช่นนี้”

 

หลู่เหยาตกใจและไม่เข้าใจความหมายของนาง แม่นมยังคงดําเนินต่อไปอย่างรวดเร็ว “สุดท้ายแล้วพวกเขากําลังตามหาคนที่ฆ่าคุณชายใหญ่ เขาไม่ได้ถูกคุณหนูฆ่า ท่านต้องไม่ยอมรับเรื่องไร้สาระที่เจ้าเมืองพล่ามออกมา และมีคดีฟ้องร้องท่าน”

 

ปากของหลู่เหยาขยับเล็กน้อยขณะที่สายตาของนางจับจ้องไปที่บ่าวรับใช้อ้วน บ่าวรับใช้คนนั้นเริ่มรู้สึกไม่ดีขึ้นมา แต่มันก็สายเกินไปสําหรับทุกอย่าง สถานะของนางได้ตัดสินใจเกี่ยวกับชะตากรรมของนาง ในช่วงเวลาที่นางทําหน้าที่แทนหลู่เหยาและฆ่าหลู่โชว นางควรจะคิดถึงผลลัพธ์ นางรู้สึกว่านางจะตาย อย่างไรก็ตามนางไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว

 

“ใต้เท้าซู ! ” หลู่เหยาเปิดปากของนางแล้วพูดออกมาเสียงดังต่อหน้าบ่าวรับใช้ “ใต้เท้าซูไม่จําเป็นต้องสาดโคลนใส่ข้า ท่านแค่หวังที่จะใช้ข้าเพื่อเปิดเผยตัวฆาตกรที่แท้จริง เอาล่ะ ข้าจะพูด แม้จะเพิกเฉยต่อความรู้สึกของการเป็นเจ้านายและบ่าวรับใช้ด้วยกันมาหลายปี วันนี้เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับชีวิตของคน ข้าไม่ลังเลอีกต่อไป” ขณะที่นางพูด นางผลักบ่าวรับใช้อ้วนไปข้างหน้า และกล่าวเสียงดังว่า “ผู้ร้ายอยู่ตรงนี้ บ่าวรับใช้คนนี้ชื่อแพนชุน และนางอยู่กับข้าเป็นเวลาหลายปี นางรู้จักศิลปะการต่อสู้และมีความชํานาญในการใช้เข็มมากที่สุด ก่อนหน้านี้หลังจากที่นางเห็นพี่ใหญ่ให้ของขวัญกับข้า บ่าวรับใช้ผู้นี้รีบไล่ตาม ข้ารู้ว่านางกับพี่ใหญ่มีความสัมพันธ์กัน พี่ชายเอ่ยถึงความคิดที่จะพานางไปเป็นอนุ ดังนั้นข้าจึงไม่หยุดนาง อย่างไรก็ตามข้าไม่เคยคิดเลยว่านางจะหันหลังกลับและทําสิ่งเลวทราม แพนชุนนี้เป็นคนสุดท้ายที่พบพี่ใหญ่”

 

แพนชุนถูกผลักไปข้างหน้าและได้ยินกับหูของตัวเองว่าหลู่เหยาสร้างเรื่องไร้สาระเช่นนี้ อย่างไรก็ตามนางก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชม แต่ตัวเองที่พลาดไปกับการมีสติปัญญาในเวลาเช่นนี้ แต่ผู้ที่เติมเต็มสติปัญญานั้นก็คือชีวิตของนาง !

 

เมื่อหลู่เหยาพูดจบแล้ว หลู่ซ่งก็เริ่มระบายออกตามที่พวกเขาได้ยินเขากล่าวว่า “เสนาบดีคนนี้เห็นว่าเจ้ามีความสามารถเล็กน้อย ดังนั้นข้าจึงให้นางอยู่ข้างคุณหนูเพื่อปกป้องนาง อย่างไรก็ตามข้าไม่เคยคิดเลยว่าเจ้าจะเลวทรามต่ำช้า ! เสนาบดีผู้นี้ปฏิบัติต่อครอบครัวของเจ้าอย่างดีตลอดหลายปีที่ผ่านมา สิ่งใดในครอบครัวของเจ้าที่ไม่ได้พึ่งพาเสนาบดีคนนี้เพื่อความอยู่รอด ทําไมเจ้าถึงต้องการทําร้ายบุตรชายของข้า”

 

หลู่ซ่งใช้กลอุบายเดียวกันอีกครั้ง การใช้ครอบครัวมาข่มขู่ทําให้บ่าวรับใช้ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องยอมรับ ในขณะที่นางยอมรับความผิดของนาง นางก็พบข้อแก้ตัวในคดีฆาตกรรม “คุณชายใหญ่บอกว่าเขาจะพาข้าไปเป็นอนุ แต่เขาพูดอะไรที่โหดเหี้ยมครั้งนี้ และบอกให้ข้ายอมแพ้ ข้าโกรธมากและทําทุกอย่าง เพื่อฆ่าเขา”

 

เมื่อพูดคําเหล่านี้ออกมาสมาชิกของตระกูลหลู่ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก หลู่เหยาทรุดตัวลงบนพื้นและเริ่มร้องไห้อีกครั้ง

 

เฟิงหยูเฮงมองตานางแล้วมองไปที่สมาชิกของตระกูลเหยา นางเห็นภาพที่ไม่เชื่อ ขณะที่ซูจิงหยวนมองไปที่นาง อย่างไรก็ตามนางพยักหน้าอย่างช่วยไม่ได้ ผู้ร้ายคือแพนชุน และไม่สามารถลากหลู่เหยาเข้ามาเกี่ยวข้องได้ โอกาสที่นางรอคอยที่จะจัดการกับหลู่เหยาไม่ใช่เป็นเช่นนี้

 

ซูจิงหยวนกล่าวซ้ำอีกครั้งแล้วพบว่ามีเลือดกระเด็นมาติดบนตัวของแพนชุนบางจุด หลังจากขอคําแนะนําจากองค์ชาย เขาประกาศการตัดสินอย่างเป็นทางการ

 

แพนชุนได้ฆ่าคุณชายใหญ่ตระกูลหลู่ และจะถูกลงโทษด้วยการประหารชีวิต

 

เมื่อเจ้าหน้าที่ของทางการพาแพนชุนออกจากคฤหาสน์ไปขังคุก ทันใดนั้นแพนชุนก็เริ่มหัวเราะเสียงดัง ในขณะที่หัวเราะ นางตะโกนไปที่หมู่เหยา “คุณหนูรอง, บ่าวรับใช้ผู้นี้จะรอคุณหนูอยู่ในนรก ลงมาเร็ว ๆ นะเจ้าคะ !”

 

หลู่เหยาหยุดสะอื้นและมองไปที่ยายกุยโดยไม่รู้ตัว หลู่ซ่งคิดกับตัวเองว่าเรื่องนี้ไม่ดีและเปลี่ยนหัวข้ออย่างรวดเร็ว “ใต้เท้าซู เนื่องจากคดีได้รับการแก้ไขแล้ว โปรดอนุญาตให้เสนาบดีคนนี้พาบุตรชายที่เสียชีวิตของข้ากลับไปที่คฤหาสน์เพื่อเตรียมงานศพขอรับ !”

 

ใครจะรู้ว่าซูจิงหยวนจะไม่ไว้หน้าของเขาในฐานะเสนาบดีฝ่ายซ้าย เขาถ่มน้ำลาย “ศพจะต้องถูกนําตัวไปโดยตระกูลหลู่ แต่จะต้องจากไปหรือไม่ขึ้นอยู่กับองค์ชายเจ็ด เจ้าหน้าที่ผู้นี้ไม่สามารถพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้” เขาหันไปมองเหยาเซียนแล้วกล่าวว่า “ใต้เท้าเหยา เจ้าหน้าที่ผู้นี้ทํางานเสร็จแล้ว ยังมีอะไรที่ไม่เหมาะสมอีกหรือไม่ หากไม่มีอะไรอื่นเจ้าหน้าที่ผู้นี้ขอตัวกลับก่อนขอรับ”

 

เหยาเซียนพยักหน้าและกล่าวว่า “ไม่มีอะไรแล้ว ขอบใจมาก”

 

“ใต้เท้าเหยาเกรงใจเกินไปแล้ว” จิงหยวนพูดจบแล้วก็หันไปคํานับเฟิงหยูเฮง และองค์ชาย จากนั้นเขานําลูกน้องออกจากคฤหาสน์เหยา ก่อนออกเดินทางเขาบอกลูกน้องของเขาให้นําศพของหลู่โชวมา เขาบอกหลู่ซ่งว่า “มันเป็นวันแห่งการเฉลิมฉลอง อย่าทําให้ตระกูลเหยาอารมณ์เสีย เจ้าหน้าที่ผู้นี้จะช่วยส่งศพนี้กลับไปให้ใต้เท้าหลู่ที่คฤหาสน์”

 

หลู่ซ่งจะพูดอะไรได้ ? เมื่อมองดูผู้คนของซูจิงหยวนที่ปลีกตัวไป เขาก็กัดฟัน

 

ในเวลานี้เฟิงหยูเฮงพายายกุยไปข้างหน้า และกล่าวว่า “คดีได้รับการแก้ไขแล้ว แต่เรื่องของเราที่นี่ยังไม่ได้ข้อสรุป” นางมองไปที่หมู่เหยา “องค์หญิงผู้นี้จะให้รางวัลเจ้า ข้าจะอนุญาตให้เจ้า เพลิดเพลินไปกับการตรวจสอบพระสนมของฮ่องเต้และพระชายาเอกขององค์ชายได้รับ”

 

ยายกุยก้าวไปข้างหน้าและกล่าวกับหลู่เหยา “คุณหนูหลู่ ลุกขึ้นแล้วตามข้ามา !”

หลู่เหยาสั่น “ไปไหนหรือเจ้าคะ ? ”

 

ยายกุยกล่าวว่า “ไปที่ห้องหอ หรือบางทีตระกูลเหยาได้เตรียมห้องอีกห้องหรือไม่ ? ”

 

หลู่เหยาส่งเสียงประหลาดใจ “ข้าไม่ไป ! ข้าไม่อยากไป ! เจ้า เจ้ากําลังทําให้ข้าอัปยศ ! ”

 

เฟิงหยูเฮงแกล้งทําเป็นไม่รู้เรื่อง “คุณหนูหลู่ อย่าพูดแบบนี้ พระสนมของฮ่องเต้จะคิดอย่างไรกับเรื่องนี้? พวกนางทุกคนผ่านการตรวจสอบนี้แล้ว”

 

“ข้า…” หลู่เหยาพูดไม่ออก ถ้านางพูดต่อไปมันจะเป็นการไม่เคารพต่อพระสนมของฮ่องเต้ และนั่นก็ไม่ใช่ความผิดที่นางสามารถรับได้ หลังจากคิดมาซักพักนางก็เกิดความคิดขึ้นมาทันใดนั้นก็พูดว่า “เอาล่ะ แต่ข้าขอร้อง” หลังจากที่นางพูด นางมองไปที่เหยาซู่แล้วพูดออกมาอย่างน่าสมเพชว่า “เหยาเอ๋อกลัว สามีไปกับเหยาเอ๋อได้หรือไม่ ? “

 

ตอนที่ 659 จัดการกรณีจัดฉาก

 

คนที่ไปเรียกหลู่ซ่งเป็นหนึ่งในผู้ใต้บังคับบัญชาของซวนเทียนฮั่ว เป็นไปตามความตั้งใจของ ซวนเทียนฮั่ว เขาบอกเล่าคําพูดขององค์ชายเจ็ดเกี่ยวกับการเก็บศพโดยตรง สําหรับผู้ที่ถูกเรียกให้มาเก็บศพยังไม่รู้และสับสน

 

ส่วนเจ้าเมือง ซูจิงหยวน ที่เข้ามาอยู่ข้างหลังเขาเขาได้รับการรายงานจากบานซู หลังจากนั้นเขาจึงติดตามบ่าวใช้จากตระกูลเหยาและรีบมา เขาไม่ได้มาคนเดียวในขณะที่เขานําคนของทางการและเจ้าหน้าที่ชันสูตรศพมาด้วย การปรากฏตัวของเขาทําให้เสนาบดีหลู่ซ่งสับสน

 

แต่เมื่อเขาเข้าไปในประตูของคฤหาสน์เหยาและเห็นศพบนพื้น เขาก็ตื่นตระหนกขึ้นมาทันที

 

เขาหยุดและจ้องมองที่ศพ ความสยองขวัญปรากฏบนใบหน้าของเขา แต่ก็ดูถูกเหยียดหยาม และโกรธยิ่งกว่าเดิม ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น หลู่ซ่งไม่เคยคิดเลยว่าคนที่เขาส่งออกจากเมืองหลวงจะกลับมาทันที แล้วเขาก็มาปรากฏในคฤหาสน์เหยา แต่ทําไมเขาถึงตาย ? บ้า ! ไม่ว่าจะตายเร็วหรือช้า ทําไมเขาจะต้องตายในเวลาเช่นนี้ และมันเกิดขึ้นในคฤหาสน์ของตระกูลเหยา หลู่ซ่งมองหลู่เหยา จากนั้นทุกคนก็อยู่ในนั้น เขาไม่สามารถช่วยได้ แต่เริ่มรู้สึกเสียใจ ถ้าเขารู้เร็วกว่านี้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นวันนี้ เขาคงจะบีบคอบุตรชายอกตัญญผู้นี้จนตายไม่ช้า

 

“ใต้เท้าหลู่ ทําไมยืนอยู่ตรงนั้น ไม่เข้ามาข้างใน? องค์ชายเจ็ดยังคงรอคําตอบของเจ้าอยู่” องครักษ์เงาไปเชิญเขา เขาพูดกับหลู่ซ่งอย่างไม่สุภาพ สิ่งที่ขุนนางขั้นหนึ่ง เมื่อเขาเห็นมัน เขาก็ไม่ได้พูดอะไรเลย

 

เนื่องจากเขาถูกเรียกโดยซวนเทียนฮั่ว คนอื่นไม่ได้พูดอะไรอีก พวกเขารอซวนเทียนฮั่วจัดการกับเขา แต่ซวนเทียนฮั่วทําราวกับว่าเขาไม่เห็นอีกฝ่าย เขายืนอยู่ตรงนั้นด้วยมือของเขาประสานกันไว้ด้านหลัง สายตาของเขามองไป แต่เขาไม่สนใจหลู่ซ่ง

 

หลู่ซ่งเป็นคนที่สามารถอดทนได้ เขาคุกเข่าอยู่บนพื้นโดยไม่พูดอะไรซักคํา โดยไม่คํานึงถึงตําแหน่งขุนนางขั้นของเขา มันนับอะไรต่อหน้าองค์ชาย เขายังชัดเจนมากว่าเขาลงเอยในตําแหน่งเสนาบดีที่เหลือได้อย่างไร มันเป็นเพียงแค่ว่ามีตําแหน่งว่างที่จะต้องบรรจุ และฮ่องเต้ไม่พบใครที่เหมาะสมแทน ดังนั้นเขาจึงได้รับการแต่งตั้ง แต่หลังจากเป็นเสนาบดีก็มีแรงกดดันค่อนข้างมาก เขาเป็นเจ้าหน้าที่ที่มีงานสําคัญมาก ในแง่ลบ ผู้ที่อยู่ในราชวงศ์ต้าชุนไม่รู้ว่าอ่องเต้จะให้ใครก็ตามที่เขาไม่ชอบกลายเป็นเสนาบดีฝ่ายซ้าย เมื่อใครคนหนึ่งดํารงตําแหน่งเสนาบดีในตําแหน่งที่มั่นคง พวกเขาจะถูกระงับอีกครั้งและอีกครั้ง นี่เป็นกรณีของเฟิงจินหยวน ผู้บุกเบิก และบรรพบุรุษของเขาก่อนหน้านั้น ตําแหน่งเสนาบดีฝ่ายซ้ายของราชวงศ์ต้าชุนไม่เคยมีตําแหน่งที่ง่ายต่อการจัดการ

 

แน่นอนว่าไม่ใช่เสนาบดีที่เหลือทั้งหมดที่โชคร้าย ในยุคก่อนหน้ามีผู้มีความสามารถโผล่ออกมา อย่างไรก็ตามพวกเขาวางเดิมพันอย่างชาญฉลาดโดยให้บุตรสาวของพวกเขามีส่วนร่วมกับองค์ชายที่จะขึ้นครองบัลลังก์

 

หลู่ซ่งก็หวังเช่นกันในวันนี้ ตราบใดที่เขาสามารถปรับปรุงตําแหน่งของเขาในขณะที่ดํารงตําแหน่งเสนาบดีฝ่ายซ้าย ความอัปยศอดสูของวันนี้จะเป็นเช่นไร แม้ว่าในปัจจุบันฮ่องเต้จะส่งมอบบัลลังก็ให้กับองค์ชายเก้า ใครจะรู้อนาคต สุขภาพของฮ่องเต้ค่อนข้างดี และองค์ชายเหล่านั้นไม่ได้อยู่ที่นั่นเพื่ออะไรเลย เขาต้องดูว่าใครจะชนะอย่างแน่นอน และใครจะแพ้ในเกมหมากรุกนี้

 

ในขณะที่เขาคิดอยู่ ซวนเทียนฮั่วก็เริ่มกล่าว โดยถามเขาว่า “คนที่ตายแล้ว เขาเป็นบุตรชายของเจ้าหรือไม่ ? ”

 

หลู่ซ่งตอบอย่างรวดเร็ว “พะยะค่ะ นั่นคือบุตรชายคนโตของข้า เขาชื่อหลู่โชวพะยะค่ะ” ในขณะที่เขามุ่งความสนใจไปที่ภาพรวมที่ใหญ่กว่า เขาลืมไปว่าบิดาควรมีปฏิกริยาตอบโต้เมื่อบุตรชายคนโตของพวกเขาที่กําลังจะตายในทันใด

 

นี่ไม่ได้ทําให้เพียงซวนเทียนฮั่วรู้สึกแปลกใจ แม้แต่บรรดาเจ้าหน้าที่ ฮูหยินและคุณหนูก็สับสน พวกเขาไม่สามารถช่วยได้ พวกเขาเริ่มพูดคุยเรื่องนี้ เมื่อหลู่ซ่งได้ยินสิ่งที่พวกเขาคุยกัน เขาก็สามารถตอบโต้กับสิ่งที่กําลังเกิดขึ้น แต่ทันใดนั้นการเริ่มร้องไห้กับบุตรชายของเขาก็จะเป็นเพียงการเสแสร้ง ชั่วครู่หนึ่งเขาไม่รู้ว่าควรทําอะไร

 

ซวนเทียนฮั่วไม่เร่งรีบ ยกเก้าอี้ขึ้นจากด้านข้างเขานั่งลง และดูเจ้าหน้าที่ชันสูตรศพที่ทํางานอยู่

 

เจ้าหน้าที่ชันสูตรศพก็ได้ยินสิ่งที่บานซูพูดไว้ก่อนหน้านี้ การสอบสวนนี้สะดวกยิ่งขึ้น ขณะที่เขามองตรงไปที่คอ ในขณะที่มองเขากล่าวว่า “คอถูกแทงด้วยสิ่งมีคมทําให้เขาเสียชีวิต ยาวประมาณ 2 นิ้ว” ขณะที่เขาพูด เขาเปิดปลอกคอของผู้ตายและถอดเสื้อออก จากนั้นเขาก็เริ่มสืบสวนเพิ่มเติม “มีรอยขีดข่วนจากเล็บที่ด้านหลังของคอและมีวัชพืชในเส้นผม มีกลิ่นคาวผสมกับกลิ่นเปียก มันไม่ใช่กลิ่นของฝนดังนั้นเขาถูกแช่ในบ่อน้ำ ส้นเท้าของรองเท้าเสียหาย ดังนั้นเขาคงจะถูกลากโดยใครบางคน เขาตายก่อนเที่ยง”

 

เจ้าหน้าที่ชันสูตรศพรายงานสิ่งเหล่านี้อย่างราบรื่น จากนั้นมองไปที่ซูจิงหยวน และพยักหน้า “เขาถูกฆ่าตายขอรับ”

 

ซูจิงหยวนมีท่าทางเย็นชาขณะที่เขาหันไปมองหลู่เหยา อย่างไรก็ตามเขาหันไปหาเหยาเซียนแล้วกล่าวว่า “ใต้เท้าเหยา ข้าคงต้องกลับไปสอบสวนหาตัวผู้ร้ายหรือจะให้สอบสวนพวกเขาที่นี่ขอรับ”

 

เหยาเซียนโบกมือ “สอบสวนทันที ! ข้าต้องการเห็นว่าคนแบบไหนที่กล้าฆ่าคนในคฤหาสน์เหยา จากนั้นหลังจากที่ฆ่าเขา พวกเขากล่าวหาหลานสาวที่รักของข้า”

 

ซูจิงหยวนหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนที่เขาจะมา เขาได้ยินบานซูพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาแค่คิดกับตัวเองว่าคนในตระกูลหลู่นั้นกล้าหาญจริง ๆ พวกเขากล้าที่จะสาดโคลนใส่องค์หญิง หากนี้ไม่ใช่ความบ้าคลั่ง มันคืออะไร ?

 

เมื่อได้รับอนุญาตจากเหยาเซียน เขาก็เริ่มสืบสวนคดีทันที เขานั่งแล้วในที่นั่งหัวของเหยาจิงจุน หลังจากกระบวนการของคดี เขาพบคนทุกคนที่อยู่รอบ ๆ สถานที่เกิดเหตุ จากนั้นเขาก็ทําการตรวจสอบอย่างละเอียด และมุ่งเน้นไปที่เฟิงหยูเฮง และทุกคนในเรือนหอ

 

แต่เฟิงหยูเฮงไม่ต้องกังวล ซูจิงหยวนเป็นหนึ่งในคนของนาง นางเชื่อมั่นในความสามารถของคนผู้นี้ในการจัดการคดี

 

แน่นอนซูจิงหยวนอยู่ฝ่ายเดียวกับนาง และพยายามวางเป้าหมายโดยตรงกับบ่าวรับใช้ของตระกูลหลู่ที่อยู่ในเรือนหอ

 

ทั้งสามคุกเข่าตรงนั้น ในขณะที่แม่นมยังคงเน้นย้ำความสงสัยแก่เฟิงหยูเฮง ลูกน้องของซูจิงหยวนไม่สุภาพในเรื่องเล็กน้อยเพราะพวกเขายกกระบองยาวและเหวี่ยงกลับมาที่นาง การโจมตีครั้งนี้ทําให้เลือดออกจากปากของนาง จากนั้นนางก็ได้ยินเสียงตะโกนดังขึ้น “เงียบ” นางไม่กล้าพูดอีกคํา

 

ซูจิงหยวนเป็นคนฉลาด เขารู้ว่าการโต้เถียงเรื่องนี้กับบ่าวรับใช้จะไม่มีวันสิ้นสุด บ่าวรับใช้จะปฏิเสธที่จะยอมรับมัน และเขามีความสามารถที่จะยึดติดกับพวกนาง แต่ถ้าเขาต้องการให้คดีนี้แก้ไขได้อย่างรวดเร็ว นั่นก็เป็นไปไม่ได้

 

แต่มันก็ไม่ดีถ้าเขาไม่แก้ไขมันทันที่ เหยาเซียนกําลังรอและแพทย์หลวงคนนี้เป็นคนที่ได้รับการสนับสนุนจากฮ่องเต้ และเขาเป็นปู่ของเฟิงหยูเฮง ไม่ว่าเขาจะใหญ่โตแค่ไหน เขาก็ไม่กล้าทําให้อีกฝ่ายขุ่นเคือง ดังนั้นเขาจึงเริ่มคิดอย่างรวดเร็ว

 

“คุณหนูตระกูลหลู่ หรือควรเรียกท่านฮูหยินคนใหม่ของตระกูลเหยา ท่านรู้หรือไม่ว่าความผิดของท่านคืออะไร” ทันใดนั้นซูจินหยวนแสดงความคิดเห็นนี้ออกมา เรื่องนี้ทําให้หลู่เหยากลัวสิ่งที่นางคิด แม้แต่คนที่อยู่ในปัจจุบันก็ตกใจมาก

 

หลู่เหยาไม่ได้คุกเข่าตั้งแต่แรก แต่เมื่อชูจิงหยวนตั้งชื่อนาง ผู้ใต้บังคับบัญชาก็จะดูแลเรื่องนี้ทันที พวกเขานําหลู่เหยาและจับนางไว้บนพื้นบังคับให้นางคุกเข่า

 

หลู่เหยาไม่พอใจและตะโกนซ้ำ ๆ “ทําไมเจ้าถึงจับข้า ! ข้าเป็นคุณหนูรองของคฤหาสน์เสนาบดีฝ่ายซ้าย ทําไมเจ้าถึงทํากับข้าอย่างนี้”

 

ซูจิงหยวนพูดจาเย้ยหยัน “ท่านพ่อของเจ้าเป็นเสนาบดีคนปัจจุบันยังคงคุกเข่าอยู่บนพื้น เจ้ากําลังพูดถึงเรื่องอะไร ? ”

 

หลู่เหยาตกใจและมองไปที่หลู่ซ่ง จากนั้นนางก็พบว่าหลูซ่งคุกเข่าที่ด้านข้างขององค์ชายเจ็ด องค์ชายเจ็ดยังไม่บอกให้เขาลุกขึ้น และเขาก็ไม่กล้าลุกขึ้น ใจของนางสั่นและนางไม่กล้าที่จะต่อสู้อีกต่อไป อย่างไรก็ตามนางยังพูดอย่างไม่เต็มใจ “ใต้เท้าซูเข้ามาสอบสวนเรื่องนี้ เหยื่อคือพี่ชายของข้า ท่านพาข้ามาที่นี่เพื่ออะไร ? ”

 

ชูจิงหยวนกล่าวอย่างเย็นชา “เจ้าหน้าที่ผู้นี้เรียกเจ้า ข้ามีเหตุผลของข้าเอง แล้วถ้าเขาเป็นพี่ชายของเจ้า มีคนที่สามารถทําสิ่งเลวทรามนี้กับพี่น้องของพวกเขาได้”

 

“เจ้า” หลู่เหยาไม่เคยคิดเลยว่าซูจิงหยวนจะออกแถลงการณ์ตามอําเภอใจ ระบุโทษนางโดยตรง แต่นางก็ไม่กลัว นางกล่าวด้วยเหตุผล “อย่าโจมตีคนอื่นโดยไม่มีมูล ข้าจะฆ่าพี่ชายของตัวเองได้อย่างไร ? นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ ! ยิ่งกว่านั้นเขาเป็นคนที่โตแล้วและข้าเป็นผู้หญิงที่อ่อนแอ ข้าจะมีความสามารถในการฆ่าเขาได้อย่างไร ? ”

 

คําพูดเหล่านี้สมเหตุสมผล แต่ซูจิงหยวนกล่าวอย่างดูถูกเหยียดหยาม ในเวลาเดียวกันเขาโบกมือให้ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาและกล่าวว่า “ไปถอดรองเท้าของคุณหนูตระกูลหลู่”

 

“เจ้าทําอะไร ? ทําไมต้องถอดรองเท้าของข้าด้วย ? ” หลู่เหยารู้สึกตกใจเล็กน้อย ไม่มีเหตุผลชัดเจน รองเท้าของนางถูกถอดออกต่อหน้าทุกคน สําหรับผู้หญิง นี่เป็นความอัปยศที่ยิ่งใหญ่ แม้แต่เหยาซูก็ทนไม่ได้ที่จะดูต่อไป เขาต้องการที่จะก้าวไปข้างหน้าและพูดคําไม่กี่คํา แต่เขากลับถูกเหยาจิงจุนดึงกลับมา

 

เจ้าหน้าที่สามารถจัดการเสียงร้องของหมู่เหยาได้ พวกเขารีบถอดรองเท้าและนําพวกมันไปให้ซูจิงหยวน ซูจิงหยวนมองที่พื้นรองเท้าแล้วเยาะเย้ย “มีโคลนอยู่ด้านล่างของรองเท้า นอกจากนี้ยังมีหญ้าติดอยู่บ้าง ดูเหมือนว่าคุณหนูหลู่จะเป็นคนที่อยู่ในที่เกิดเหตุ”

 

หลู่เหยาตะโกนอย่างโกรธเคือง “ข้าไปก่อนหน้านี้ ข้าไปพบกับท่านพี่ หลังจากพูดคุยและรับของขวัญของข้ากลับไป เป็นเรื่องปกติที่จะมีโคลนอยู่ใต้รองเท้าของข้า วันนี้มีฝนตกหนัก ใต้เท้าซูมีหลักฐานอย่างอื่นหรือไม่ ? ”

 

“โอ้ ? ” ซูจิงหยวนแค่นเสียง “นี่นับเป็นหลักฐานไม่ได้หรือ ? หยิบมันขึ้นมา” จากนั้นเขาก็โยนรองเท้าให้เจ้าหน้าที่ชันสูตรศพ และให้เขาดมกลิ่นโคลนใต้รองเท้าแล้วมองไปที่พื้น

 

เจ้าหน้าที่ชันสูตรดมกลิ่นและกล่าวว่า “มีกลิ่นคาวนิดหน่อยและไม่มีกลิ่นเหมือนฝน มันมีกลิ่นเหมือนน้ำจากใกล้สระน้ำ” จากนั้นเขามองที่พื้นรองเท้า “มีจุดน้ำและมันถูกสาดด้วยน้ำ” หลังจากพูดอย่างนี้เขาก้าวไปข้างหน้า และมีลูกน้องจับนิ้วของหลู่เหยาสําหรับเขาที่จะตรวจสอบ จากนั้นเขาก็กล่าวว่า “มีร่องรอยของผิวหนังใต้เล็บ ด้านหลังของคอของผู้เสียชีวิตแสดงให้เห็นว่ามีรอยขีดข่วน มันมีสีที่คล้ายกันมากเมื่อเล็บของสาวน้อยหลู่หายไป” หลังจากดูเครื่องประดับศีรษะเขาก็ชี้ไปที่ก็บบาง ๆ แล้วกล่าวว่า “ปลายบนั้นคล้ายกับของที่แทงเข้าไปในคอของผู้ตาย”

 

หลู่เหยาตกใจมาก “นั่นเป็นไปได้อย่างไร” เมื่อนางคว้าคอด้านหลังของหลู่โชวจะมีรอยขีดข่วนได้อย่างไร ? ปืนที่หัวของนาง… มันอาจทําร้ายใครบางคนได้หรือไม่ ?

 

ในขณะที่นางรู้สึกตื่นตระหนก นางมองไปที่บ่าวรับใช้รูปร่างอ้วนเล็กน้อยที่ด้านข้างของนาง บ่าวรับใช้เข้าใจได้ดีมาก นางเป็นคนที่ฆ่าเขาไม่ใช่หลู่เหยา อย่างไรก็ตามซูจิงหยวนได้เล็งไปที่หลู่เหยา หลู่เหยานั้นค่อนข้างขี้ขลาด ตอนนี้นางมองไปที่บ่าวรับใช้ นางต้องการจะขายอีกฝ่ายออกไปอย่างแน่นอน นางยังไม่อยากตายและพูดอย่างรวดเร็วว่า “เป็นไปไม่ได้! คุณหนูของเราจะฆ่าพี่ชายของนางได้อย่างไร ไม่มี…ไม่มีแรงจูงใจ !” หลังจากพูดอย่างนี้นางดูเหมือนจะเข้าใจเหตุผลที่ซูจิงหยวนโยนความผิดให้หลู่เหยา มันคือการใช้ความกลัวและความวิตกกังวลของหลู่เหยาเพื่อค้นหาจุดอ่อนของนาง เมื่อหลู่เหยาตื่นตระหนก ผู้ร้ายตัวจริงจะถูกค้นพบ เมื่อถึงเวลานั้นนางจะต้องยอมรับว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เจ้าเมืองคนนี้ช่างเจ้าแผนการเสียจริง !

 

บ่าวรับใช้ของนางกัดฟัน อย่างไรก็ตามนางได้ยินชูจิงหยวนกล่าวว่า “เจ้าต้องการแรงจูงใจหรือไม่ ? เอาล่ะ ! เจ้าหน้าที่คนนี้มีแรงจูงใจที่นี่ด้วย ! ”

 

ในเวลานี้มีใครบางคนวิ่งออกมาจากประตู และยืนอยู่ตรงกลางของสนามกล่าวว่า ” ท่านยายผู้ตรวจร่างกายจากพระราชวังมาถึงแล้วขอรับ”

 

ตอนที่ 658 ความรู้สึกลึกซึ้งระหว่างพี่น้อง แต่ลึกซึ้งขนาดไหน ?

 

ทุกคนกลับไปที่ลานหน้าบ้านภายใต้การแนะนําของตระกูลเหยา แม้แต่หลู่เหยา และบ่าวรับใช้ทั้งสามของนางก็ไปพร้อมกัน ไม่กลับไปที่ห้องหอ แม้แต่ศพก็ถูกลากไปที่กลางลานหน้าบ้าน

 

เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นจึงไม่สามารถจัดงานเลี้ยงต่อได้ พวกบ่าวรับใช้เดินไปเก็บชามและ จานอย่างรวดเร็ว ร่มก็ถูกเก็บออกเช่นกัน ฝนผ่านไปและท้องฟ้าก็สงบลง แต่บรรยากาศกลับยิ่งมืดมนขึ้น

 

น้ำรวมอยู่ในศพและร่างกายของเขาเปียกโชก เส้นผมของเขากระจัดกระจายไปหมด แต่ผู้คน ไม่ใส่ใจกับสิ่งเหล่านี้ หลังจากที่มีฝนตกหนักในวันนี้ และหลู่โชวไม่ได้เป็นคนเดียวที่เปียกโชกไป ด้วยสายฝน บางคนเข้ามาในคฤหาสน์เหยาก็เปียก บ่าวรับใช้จัดสถานที่ให้พวกเขาผลัดเปลี่ยน เสื้อผ้าอย่างเร่งด่วน

 

แต่รายละเอียดนี้ไม่ได้หลุดรอดไปจากสายตาของเฟิงหยูเฮง นางจ้องที่ศพครู่หนึ่งจากนั้นก็เริ่มยิ้มให้กับตัวเอง

 

ซวนเทียนหมิงถามนางว่า “เจ้ายิ้มทําไม ?”

 

นางยักไหล่ “มีวัชพืชน้ําอยู่ในผมและมีบ่อน้ําเล็ก ๆ ในเรือนหอ เขาถูกพามาจากที่นั่น”

 

“โอ้” ซวนเทียนหมิงพยักหน้าแล้วคิดสักหน่อยแล้วดําเนินการต่อ “จากนั้นเจ้าคิดว่ามีคนฆ่า เขาและทิ้งศพไว้ในสระน้ำ จากนั้นก็มีคนอื่นมาดึงศพออกไป”

 

เฟิงหยูเฮงยิ้มอีกครั้ง “ใครฆ่าเขา ? ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็เป็นเพียงส่วนน้อยเท่านั้น สําหรับคนที่ดึงเขาออกมา…” นางเงยหัวขึ้นเล็กน้อยแล้วค่อย ๆ มองขึ้นไปในอากาศ “บานซู ถ้าเจ้าสามารถดึงศพออกมาได้ เจ้าก็เห็นว่าใครทําเช่นนั้น”

 

เสียงแหลมมาจากอากาศบาง ๆ ก่อนที่ร่างจะปรากฏขึ้นต่อหน้าทั้งสองในทันมี

 

องครักษ์เงาจําเป็นต้องมีความสามารถเช่นนี้ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะต้องซ่อนตัวได้ดีแม้ในพื้นที่ที่แออัด พวกเขาก็ต้องปรากฏตัวได้อย่างรวดเร็วโดยไม่มีใครสังเกตเห็น แม้ว่าบางคนสังเกตเห็นความรู้สึกที่ถูกปล่อยออกมาก็จะเป็นหนึ่งในยามปกติที่ยืนอยู่ตรงนั้น

 

ซวนเทียนหมิงถามบานซู “บอกมาว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร ?”

 

บานซูตอบทันที “เขาไม่ได้ถูกหลู่เหยาฆ่า เป็นหนึ่งในบ่าวรับใช้ของนาง คนที่อ้วนเล็กน้อย แต่หลังจากที่คุณหนูไป หลู่เหยาและชายคนนั้นก็พบกันอีกครั้ง เขาลากตัวหลู่เหยาไปที่หินซึ่ง อยู่ข้างสระน้ํา เมื่อข้าเห็นพวกเขาดูไม่เหมือนเป็นพี่น้องกัน พวกเขาดูเหมือนเป็นคนรักมากกว่า ทั้งสองกอดกันอยู่พักหนึ่ง”

 

“โอ้ ? ” เฟิงหยูเฮงขมวดคิ้วเพราะความปรารถนาที่จะนินทากระพริบผ่านดวงตาของนาง“เกิดอะไรขึ้นที่นี้ ? เล่ามาอย่างละเอียดเร็ว !”

 

ไม่มีสิ่งใดที่บานซูทําได้ “ข้าจะเล่าอย่างละเอียดได้อย่างไร ทั้งสองวิธี ไม่ว่าทางใดก็เหมือนกัน แต่หลู่เหยายังเดินทางต่อไปหลังจากนั้น หญิงสาวคนหนึ่งมาและเสื้อผ้าของหมู่โชวไม่เรียบร้อย หญิงสาวคนนั้นมีความสามารถในการต่อสู้และปิดปากหลู่โชวทันที ด้วยมือของนาง นางถือ เข็มเย็บปักและแทงเข้าที่คอของหลู่โชวขอรับ” บานซูพูดค่อนข้างเฉยเมยและไม่มีอารมณ์ใด ๆ เพียงแค่ระบุรายละเอียดของคดี “หลังจากถูกแทงจนตาย บ่าวรับใช้หลู่จัดเสื้อผ้าของหมู่โชวและ ผูกก้อนหินกับเขา จากนั้นก็โยนเขาลงไปในบ่อ ข้าเห็นว่าเรื่องนี้น่ารังเกียจเกินไป ถ้าศพไม่ถูกน้ำ ออกมา คุณชายใหญ่ตระกูลเหยาจะต้องทนทุกข์ทรมานในคืนแรกในห้องเจ้าสาว !”

 

มันฟังดูค่อนข้างชอบธรรมและเฟิงหยูเฮงก็พยักหน้า “เจ้าทําได้ดี ถ้าหลู่เหยารู้ว่าอะไรดีสําหรับนางและไม่สร้างปัญหาใด ๆ ข้าคงไม่อยากทําให้นางโชคร้ายในระหว่างการแต่งงาน หลังจากทั้งหมดนี้เกี่ยวข้องกับชื่อเสียงของตระกูลเหยา แต่ด้วยสิ่งที่พวกเขาทํา มันเป็นอย่างที่เจ้าพูด หากสิ่งต่าง ๆ เป็นเช่นนี้ คงไม่เป็นธรรมต่อตระกูลเหยา บานซูไปที่สํานักงานของเจ้าเมืองแล้ว เล่าให้เขาฟังเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นอกจากนี้ให้เขาเตรียมตัวด้วย”

 

บานซูพยักหน้าและออกไป ซวนเทียนหมิงดูน่ากลัว แต่นางไม่รู้ว่าเขากําลังคิดอะไรอยู่ ด้านเหยาจิงจุนได้ส่งใครบางคนไปยังทางการเพื่อรายงานคดี ไม่มีใครเหลืออยู่ ขณะที่ประตูของคฤหาสน์เหยาถูกปิดแน่น ทุกคนกําลังรอความจริงและรอข้อสรุป

 

สําหรับคนที่ใส่ร้ายเฟิงหยูเฮง บ่าวรับใช้ของตระกูลหลู่นั้นมีคนไม่มากที่คิด มันเป็นเช่น ซวนเทียนหมิงกล่าวว่า แม้ว่าเฟิงหยูเฮงจะฆ่าเขา แต่มันคืออะไร ? ยิ่งกว่านั้น องค์หญิงจะฆ่าบุตรชายของเจ้าหน้าที่คนหนึ่งเพื่ออะไร ? วันนี้จําเป็นต้องฆ่าเขาอย่างลับ ๆ หรือไม่ ? นางจะฆ่าเขาอย่างเปิดเผยก็ได้ ใครจะรู้ว่าคนในตระกูลหญ่กําลังคิดอะไรอยู่

 

หลู่เหยานั่งข้าง ๆ ด้วยการสนับสนุนของบ่าวรับใช้ เมื่อมองไปที่ศพบนพื้นดินนางร้องไห้สะอึก สะอื้นตลอด เหยาซู่ที่อยู่ข้างนาง อย่างไรก็ตามท่าทางของเขาดูย่ําแย่มาก บางครั้งเขาจะมอง ไปที่เฟิงหยูเฮงด้วยความสํานึกผิด เขาอยากจะพูดมากกว่านี้จริง ๆ แต่ทุกครั้งที่เขากําลังจะขยับ แขนเสื้อของเขาจะถูกดึงโดยหลู่เหยาทุกครั้งที่เขาพยายามเขาก็หยุด

 

เฟิงหยูเฮงดูเหมือนจะประมาท แต่ในความเป็นจริงนางจดจ่ออยู่กับบ่าวรับใช้ที่อ้วนเล็กน้อยที่บานซูพูดถึง ในตอนนี้บ่าวรับใช้คนนั้นกําลังประคองหลู่เหยาด้วยมือข้างหนึ่งประคองไหล่ของนาง และมืออีกข้างหนึ่งไว้บนแขนของนาง ดวงตาของเฟิงหยูเฮงสังเกตเห็นว่ามีหนังด้านหนาอยู่ ในช่องว่างระหว่างนิ้วชี้และนิ้วกลางที่มือขวาของนาง เมื่อเห็นสิ่งนี้นางรู้ว่ามันเกิดจากการฝึกฝน ศิลปะการต่อสู้บางประเภท

 

แต่บ่าวรับใช้คนนี้ไม่มีความเชี่ยวชาญด้านศิลปะการต่อสู้โดยเฉพาะ อย่างน้อยนางก็แย่กว่านี้มาก แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้นนางก็ยังคงได้รับความช่วยเหลือจากฝั่งหลู่เหยา บานซูกล่าวว่านางใช้ เข็มแทงคอของหลู่โชว เมื่อนึกถึงมันแล้ว หนังด้านหนาที่อยู่ระหว่างนิ้วชี้กับนิ้วกลางจะถูกนํามาใช้เพื่อฝึกทักษะนี้

 

ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดนางก็ไม่ต้องทําอะไร เฟิงหยูเองก็เริ่มเดินไปรอบ ๆ ผู้คนต่างก็ประหลาดใจ และมองไปที่นาง พวกเขาเห็นนางมุ่งหน้าไปที่หลู่เหยา ทุกย่างก้าวที่นางเดินไป เมื่อมาถึงตรงหน้า หลู่เหยา หลู่เหยาก็ไม่สามารถหยุดตัวเอง นางถอยหลังจนทําให้เก้าอี้พลิกคว่ํา

 

บ่าวรับใช้ยกเก้าอี้ขึ้นมาอย่างรวดเร็วในขณะที่หลู่เหยาก็สามารถสงบลงได้เล็กน้อยโดยมีเหยา ขู่ปลอบโยนนาง อย่างไรก็ตามนางก็ตัดสินใจที่จะเริ่มโจมตีครั้งแรกโดยวิ่งไปพูดกับเฟิงหยูเฮง “เรื่องของพี่ชายของข้า เจ้าต้องอธิบายกับข้า !”

 

เหยาซูโกรธหลู่เหยาเป็นครั้งแรก แล้วกล่าวเสียงดังว่า “ทําไมเจ้าถึงยังไร้เหตุผล ? พี่ชาย ของเจ้าตายอย่างกะทันหัน แต่มันเกี่ยวข้องกับอาเฮงอย่างไร ? ท่านพ่อส่งคนไปนําเจ้าเมืองมาแล้ว ข้าเชื่อว่าเจ้าเมืองจะสามารถค้นหาความจริงของเรื่องนี้ได้”

 

เหยาซูไม่เคยโกรธหลู่เหยาเลย นี่เป็นครั้งแรกและหลู่เหยาก็รู้สึกงงงวยกับเสียงตะโกนนี้ นางไม่สามารถเชื่อได้ว่าคนที่พูดแบบนี้คือเหยาซู่ที่ปฏิบัติต่อผู้คนอย่างอ่อนโยน เมื่อนางตอบสนอง น้ำตาก็เริ่มไหลอีกครั้งและทําให้ผู้คนรู้สึกสงสาร

 

เหยาชู้ไม่รู้ว่าเขาควรทําอะไรชั่วขณะ

 

ในขณะนี้แม่นมของหลู่เหยากล่าวกับเหยาซู่ว่า “นายน้อยอย่าโกรธเลยเจ้าค่ะ คุณหนูรู้สึกกังวลเช่นกัน มันเป็นความเจ็บปวดของพี่ชายของนางที่ทําให้นางพูดสิ่งที่ไม่เหมาะสมเช่นนั้น คุณหนูมีเพียงท่านเท่านั้นหลังจากแต่งงานกับท่าน ท่านต้องไม่ช่วยคนนอกในขณะที่เพิกเฉยเรื่องนี้เจ้าค่ะ!”

 

เฟิงหยูเฮงเกือบหัวเราะออกมาดัง ๆ แม่นมให้ความช่วยเหลือที่ดีจริง ๆ เหยาซูรู้สึกอ่อนโยน แต่คําเหล่านี้ทําให้ความโกรธของเขาสว่างขึ้น

 

แน่นอนว่าเมื่อแม่นมพูดเสร็จ พวกเขาได้ยินเหยาซูกล่าวด้วยความโกรธว่า “เจ้าเรียกใครว่าคนนอก ? อาเฮงเป็นลูกพี่ลูกน้องของข้า นางไม่ใช่คนนอก !”

 

แม่นมไม่รู้ว่านางควรพูดอะไรหลังจากถูกตะโกนใส่ นางเริ่มร้องไห้กับหลู่เหยาขณะที่มองศพของหลู่โชว

 

ในเวลานี้เฟิงหยูเฮงก็ออกเดินอีกครั้ง มันไม่ได้มีต่อหลู่เหยา แต่กลับไปหาบ่าวรับใช้อ้วน ขณะที่นางจับมือขวาของนางแล้วถูมันด้วยฝ่ามือของนาง “ข้าเห็นว่าเจ้าที่อยู่ข้างเจ้านายของเจ้า เจ้าไม่ได้พูดเร็วเกินไป เมื่อคิดถึงเรื่องนี้เจ้าเป็นคนที่เชื่อฟังมาก”

 

บ่าวรับใช้รู้สึกตกใจแล้วกล่าวอย่างอาย ๆ ว่า “ขอบคุณสําหรับคําชมเจ้าค่ะ”

 

อย่างไรก็ตามเฟิงหยูเฮงส่ายหัวของนาง “มันไม่อาจถือได้ว่าเป็นคําชม โดยปกติแล้วสุนัขที่กัด จะไม่เห่า” คําที่ออกมานั้นทําให้ทุกคนฟังหยุด ไม่มีใครคิดว่าองค์หญิงก็จะพูดอะไรที่ไม่สุภาพ แต่มันชัดเจนมากว่าเฟิงหยูเฮงยังพูดไม่จบ นางจับมือทั้งสองของบ่าวรับใช้แล้วมองอย่างระมัดระวัง ในขณะที่มองนางกล่าวว่า “ใครจะรู้ว่าเจ้าใช้แรงงานเท่าไหร่ในตระกูลหลู่ เมื่อมองมือของเจ้ามันหยาบกร้านแค่ไหน มันช่างน่าเวทนาจริง ๆ”

 

หลังจากพูดแบบนี้นางก็ปล่อยมือของบ่าวรับใช้และไม่สนใจนาง นางมองไปที่หลู่เหยาและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ความรู้สึกลึกซึ้งระหว่างพี่น้อง? แต่พวกเขาลึกซึ้งกันแค่ไหน ?”

 

หลู่เหยาตกใจ และใบหน้าของนางก็ซีด

 

“อย่ากลัวเลย”เฟิงหยูเฮงกล่าวว่า “ข้าไม่กินคน ข้าไม่สนใจว่าใต้เท้าหลู่ต้องการทําสิ่งสกปรกมากแค่ไหน แต่เมื่อเจ้าแต่งงานกับตระกูลเหยา เจ้าควรรับผิดชอบต่อการกระทําของเจ้า วันนี้ข้า ไม่ได้ให้ของกํานัลอะไรมากมาย ตอนนี้ข้าทํามันได้ ! วังชวน ! ” นางหันไปเรียกวังชวน จากนั้น นางก็ถอดป้ายประจําตัวที่ห้อยลงมาจากเอวของนางแล้วส่งมอบ “นำแผ่นป้ายประจําตัวขององค์ หญิงผู้นี้ไปยังพระราชวัง และเชิญยายจากพระราชวังที่ตรวจสอบศพของพระสนมของฮ่องเต้มายัง คฤหาสน์คุณหนูตระกูลหลู่กําลังจะแต่งงาน ให้สามารถให้ยายที่ตรวจสอบร่างของพระสนมของ ฮ่องเต้มาตรวจสอบร่างกายของนาง นี้เป็นเกียรติที่ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริงสําหรับนาง”

 

วังชวนปฏิบัติตามและจากไป มองหลู่เหยาอีกครั้ง ริมฝีปากล่างของนางเริ่มสั่น

 

ความคิดของเหยาซู่นั้นค่อนข้างง่ายและเขาขาดประสบการณ์ชีวิต ถึงแม้ว่าจะไม่จําเป็นต้องมี การตรวจร่างกายสําหรับการแต่งงานของบุตรของเจ้าหน้าที่ เพราะมันเป็นยายที่ตรวจสอบร่าง กายของพระสนมของฮ่องเต้ มันเป็นสิ่งที่ดี ดังนั้นเขาไม่ได้พูดอะไร

 

แต่เมื่อเหยาจิงจุนได้ยินสิ่งนี้ มันทําให้เขารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ เขาไม่สามารถช่วยได้ แต่ มองที่เฟิงหยูเฮงและเห็นเฟิงหยูเฮงพยักหน้าให้เขาเล็กน้อย เขาไม่สามารถหยุดตัวเองจากความรู้สึกโกรธได้

 

ในเวลานี้เหยาเซียนคุกเข่าอยู่ข้างศพและตรวจสอบมัน ในขณะที่ตรวจสอบ เขากล่าวว่า “ตระกูลเหยาของข้าไม่ได้มีความสามารถอื่น ๆ แต่มีความเชี่ยวชาญในการแพทย์ ข้าเห็นว่าบุตรชายของตระกูลหล่ถูกอะไรบางอย่างแทงที่คอของเขา เข็มแทงเข้าไปในลําคอ แล้วเขาก็เสียชีวิต เมื่อเจ้าเมืองมาถึงพร้อมเจ้าหน้าที่ชันสูตรศพก็สามารถตรวจสอบได้อีกครั้ง” หลังจากพูดจบเขาก็ยืนขึ้นแล้วเดินไปข้างเฟิงหยูเฮง เขากล่าวกับเฟิงหยูเฮงโดยไม่มองใครเลย “เจ้าเป็นหลานของเหยาเซียน ดังนั้นเจ้าจึงเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลเหยาของข้า เจ้าจะตัดสิน ใจเรื่องในวันนี้และมีวิธีการจัดการ ข้าต้องการดูว่าคนบางคนที่มีเจตนาไม่ดีต้องการเห็นตระกูลเหยาของข้าล่มสลายอย่างไร”

 

คําพูดของเหยาเซียนทําให้สมาชิกตระกูลเหยาสนับสนุนมากยิ่งขึ้น ในตอนแรกการแต่งงานรับหลู่เหยาเข้าสู่ครอบครัวเป็นสิ่งที่ไม่มีใครนอกจากเหยาซูพึงพอใจ พวกเขาทุกคนต่างหวังในความสงบ และความสุขไม่ใช่ความสัมพันธ์กับเจ้าหน้าที่ระดับสูง แต่เหยาซูชอบนาง พวกเขาก็จะติดสินใจใจหลังจากแต่งงานเข้าตระกูล แต่ใครจะรู้ว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นในวันแต่งงาน สิ่งนี้ทําให้ทุกคนในตระกูลเหยาบ่นเกี่ยวกับตระกูลหลู่

 

ตอนนี้เหยาเซียนอนุญาตให้เฟิงหยูเฮงทําการตัดสินใจ พวกเขาทั้งหมดพยักหน้า เหยาจิงจุน ยังกล่าวอีกว่า “อาเฮงเป็นองค์หญิงและเป็นบุคคลที่มีสถานะสูงสุดในตระกูลเหยาของเรา เป็นเรื่องธรรมดาที่จะเคารพการตัดสินใจของนาง”

 

เมื่อทั้งสองแสดงความคิดของพวกเขา หลู่เหยาก็หดหูอย่างสมบูรณ์ ขณะที่นางกําลังจะสารภาพกับเหยา นางก็ได้ยินรายงานมาจากทางเข้า “ท่านเสนาบดีหลุ่มาถึงแล้ว! ท่านเจ้าเมืองก็มา ถึงแล้วขอรับ !”

 

ตอนที่ 657 ความโกรธเกรี้ยวขององค์ชายเก้าและองค์ชายเจ็ด

 

“องค์หญิง ! ” จู่ ๆ แม่นมก็หันไปหาเฟิงหยูเฮงและพูดด้วยท่าทางที่น่ายินดี “บ่าวรับใช้ได้ยิน หญิงสาวคนหนึ่งบอกว่าองค์หญิงมาทางนี้ ข้าสงสัยว่าองค์หญิงเห็นหรือไม่ว่าใครฆ่าคุณชายใหญ่ของเรา ข้าขอร้ององค์หญิงช่วยพูดให้กระจ่างด้วยเจ้าค่ะ !” ในขณะที่พูดสิ่งนี้นางเริ่มที่จะรู้

 

ในทันทีทันใดทุกคนจ้องมองที่เฟิงหยูเฮง เฟิงหยูเฮงจําได้ว่าพวกเขาชนบ่าวรับ ใช้ในขณะที่กลับไปที่สนามหน้าบ้าน เมื่อนึกถึงมัน บ่าวรับใช้คนนั้นต้องพูดแน่นอน นี่ไม่ใช่ปัญหามากนัก แต่เนื่องจากการตายของหลู่โชวทําให้นางตกที่นั่งลําบาก

 

แต่มันคืออะไร สงสัยนาง ? ช่างเป็นเรื่องตลก

 

เฟิงหยูเฮงแค่นเสียงเย็นชา “ใช่ ข้ามาที่นี่เพราะเฟยหยูและจือหรูบอกว่ามีชายแปลกหน้ายืนอยู่ใกล้กับเรือนหอ ในขณะที่พวกเขากําลังวิ่งเล่นกัน”

 

แม่นมตกใจแล้วรีบกล่าวว่า “ชายแปลกหน้า ? องค์หญิง คําพูดเช่นนี้หมายความเช่นไร ? คุณหนูของเราเพิ่งแต่งเข้าคฤหาสน์เหยา องค์หญิงต้องไม่กล่าวหาเราเช่นนี้ !”

 

เฟิงหยูเฮงงงงวย “กล่าวหาอะไร ? ข้ากล่าวหาใครเมื่อไหร่ ?”

 

ลิ้นของแม่นมแข็ง แต่นางก็ยังกล่าวอย่างไม่เต็มใจ “องค์หญิงเพิ่งพูดว่ามีชายแปลกหน้ายืนอยู่ใกล้เรือนหอ สิ่งนี้ไม่ดีสําหรับชื่อเสียงของท่านฮูหยินคนใหม่เจ้าค่ะ”

 

“นั่นคือหลู่เหยาที่พบกับผู้ชายคนนี้อย่างลับ ๆ ชื่อเสียงอะไรที่ต้องเป็นห่วง” หวงซวนไม่สามารถทนฟังได้อีกต่อไป “เมื่อเรามาถึง เราเห็นคุณหนูของเจ้าพูดอย่างสนิทสนมกับคนตายผู้นี้ พวกเขาแอบพูดคุยกัน”

 

“นี่” แม่นมก็ตกใจอย่างยิ่งแล้วก็เริ่มปฏิเสธ “ไม่ หยุดพูด ! ” เมื่อนางพูดนางก็รีบไปหา เหยาจิงจุนแล้วกล่าวเสียงดังว่า “ท่านใต้เท้า ท่านต้องช่วยคุณหนูของเรานะเจ้าคะ ! ใช่ คุณหนูออกมาพบคุณชายใหญ่ แต่นั่นเป็นเพราะคุณชายใหญ่ออกจากเมืองหลวงไปนาน เขาไม่ได้กลับมา ตอนที่คุณหนูออกจากคฤหาสน์ตระกูลหลู่ เมื่อเขามาถึง เขาต้องการที่จะมาพูดคุยกับคุณหนู พวกเขาเป็นพี่ชายและน้องสาว เป็นเรื่องปกติที่พวกเขาจะเจอกัน เขายังมอบหยกหรูอี้”ฝังทองคําให้กับนาง หากท่านใต้เท้าไม่เชื่อให้ส่งคนไปที่เรือนหอเพื่อตรวจสอบได้เจ้าค่ะ บ่าวรับใช้รู้ว่าการที่ คุณหนูออกไปนั้นไม่เหมาะสม แต่ไม่ว่าอย่างไรก็เขาเป็นพี่ชายของนาง มันแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับ สิ่งที่องค์หญิงหมายถึงเจ้าค่ะ !” แม่นมเริ่มมีอารมณ์ ในขณะที่พูดนางเช็ดน้ําตาจากนั้นก็ตะโกนใส่ เฟิงหยูเฮงอย่างขมขึ้น “องค์หญิง ขอให้มีเมตตาและให้อภัยคุณหนูของเราด้วยเจ้าค่ะ !” 

 

เฟิงหยูเฮงเกือบจะหัวเราะเมื่อได้ยินเรื่องนี้ และคิดว่าแม่นมคนนี้ไม่รีบร้อนเกินไปที่จะใส่ร้ายนาง มีบางอย่างที่ขาดหายไปที่นี้ !

 

แต่ทุกคนเข้าใจคําพูดของแม่นม เรื่องนี้ค่อนข้างง่าย มันเป็นเพียงพี่ชายที่มาหาน้องสาวของเขาและให้ของขวัญแต่งงาน เกิดอะไรขึ้นกับสิ่งนั้น ? เรื่องที่สําคัญยังคงเป็นสาเหตุที่พี่ชายเสียชีวิต ความหมายของแม่นมนี้คือ ..

 

“เฮ้ ! ” ทันใดนั้นซวนเทียนเก้อกกล่าวและถามแม่นม “สมองเจ้ามีอะไรผิดปกติหรือไม่ ? คุณชายใหญ่ของเจ้าตายไปแล้ว แต่เจ้าไม่ได้ขอให้ท่านใต้เท้าของตระกูลเหยาช่วยหาตัวผู้กระทําความผิด ทําไมเจ้าถึงกล่าวโทษอาเฮง ? ลืมตาของเจ้าแล้วมอง นางเป็นคนที่เจ้าสามารถที่จะล่วงเกินได้ หรือไม่? เจ้าเป็นคนบ้าจริง ๆ !”

 

ใบหน้าของแม่นมซีดในขณะที่มีอนางเริ่มสั่น นางคิดกับตัวเองว่าการกล่าวโทษครั้งนี้ยากที่จะผ่านไป ไม่ต้องพูดถึงองค์หญิง นอกจากนี้ยังมีองค์หญิงของราชวงศ์ต้าชุนช่วยนาง นางควรทําอย่างไรเพื่อให้ได้สิ่งนี้สําเร็จ ? หันหัวของนางเพื่อดูศพของหลู่โชว การดูถูกเหยียดหยามบนใบหน้าของนาง อย่างไรก็ตามนางกลับสู่ภาวะปกติได้อย่างรวดเร็ว

 

แม่นมไม่รู้ว่านางควรพูดอะไรอยู่พักหนึ่ง เป็นหนึ่งในบ่าวรับใช้หญิงที่มาพร้อมกับหลู่เหยาที่พูดด้วยเสียงสั่น “ผู้ร้ายไม่ได้เป็นองค์หญิงใช่หรือไม่เจ้าคะ ? นางเพิ่งมาทางนี้ !”

 

“ฮ่าๆๆ!”เฟิงหยูเฮงหัวเราะ เมื่อมองดูบ่าวรับใช้ทั้งสามที่คุกเข่า นางรู้สึกว่าถ้านางโต้เถียงกับพวกนาง มันเป็นการดูถูกความฉลาดของนางอย่างแท้จริง ! แต่นางไม่สามารถเลือกที่จะไม่พูดอะไร ท้ายที่สุดมีคนดูอยู่มากมาย เป็นไปได้ว่าจะมีคนโง่บ้าง สถานการณ์นี้เกิดขึ้นในคฤหาสน์ เหยา แม้ว่านางจะไม่ได้ทําเพื่อเอาใจพวกเขา นางก็ต้องอธิบายให้ตระกูลเหยาฟัง ดังนั้นนางหยุดยิ้ม อย่างไรก็ตามมุมปากของนางยังคงหยักสูงอยู่ สําหรับใครก็ตามที่มองดี ๆ รูปร่างหน้าตาในปัจจุบันของนางก็คล้ายกับองค์ชายเก้าซวนเทียนหมิงมาก

 

นางถามบ่าวรับใช้ “มีคนไม่กี่คนที่เดินไปมา ทําไมข้าจึงเป็นผู้ร้าย ? องค์หญิงผู้นี้และคุณชายของพวกเจ้าไม่เคยรู้จักกัน ทําไมข้าต้องฆ่าเขา ?”

 

บ่าวรับใช้กล่าวอย่างมีเหตุผล “องค์หญิงและคุณชายใหญ่นั้นไม่รู้จักกัน แต่องค์หญิงและ คุณหนูของเราเข้ากันไม่ได้ เป็นการยากที่จะหลีกเลี่ยงผู้บริสุทธิ์ที่ถูกตามทัน นอกจากนี้ยังมีผู้คน จํานวนมากเดินไปมาและมีบ่าวรับใช้จํานวนมาก แต่คุณชายใหญ่คือผู้ชาย นอกจากนี้เขายังมีความเชี่ยวชาญในศิลปะการต่อสู้อีกด้วย บ่าวรับใช้คนธรรมดาจะฆ่าคุณชายได้อย่างไรเจ้าคะ เมื่อคิดเกี่ยวกับมัน มีเพียงคนเดียวที่มีความสามารถในการต่อสู้เช่นองค์หญิงเท่านั้นที่สามารถทําได้ เจ้าค่ะ”

 

ยิ่งนางพูดมากเท่าไร เสียงก็ยิ่งเงียบลงเท่านั้น ไม่ใช่ว่านางรู้สึกว่านางไม่ยุติธรรม เนื่องจากนางวางแผนที่จะใส่ร้ายคนอื่นแล้ว นางจะไม่ถูกหยุดยั้งด้วยเหตุผลเช่นนั้น เป็นเพียงว่านางได้ เห็นจ้องมองของซวนเทียนหมิง เมื่อมองไปด้านข้างโดยไม่ตั้งใจ การจ้องมองนั้นเป็นเหมือนการจ้องมองของหมาป่า และมันทําให้นางกลัวจนกัดลิ้นตัวเอง

 

การวิเคราะห์ของบ่าวรับใช้นี้มีเหตุผลมาก แต่คนปัจจุบันไม่ใช่คนโง่ พวกเขาต่างก็ชัดเจนใน เรื่องตัวตนของเฟิงหยูเฮง เนื่องจากการเป็นปฏิปักษ์กับหลู่เหยา นางจะฆ่าคุณชายใหญ่ของตระกูลหลู่ในคฤหาสน์เหยา นี่คือสิ่งที่องค์หญิงจะไม่ทําจนกว่าสมองของนางจะเต็มไปด้วยน้ํา

 

ก่อนที่เฟิงหยูเฮงจะพูด องค์ชายใหญ่โกรธและตะโกนเสียงดัง “ไร้สาระที่สุด !”

 

องค์ชายรองเห็นด้วยและกล่าวว่า “บ่าวรับใช้ของตระกูลหลู่ เจ้าบ้าไปแล้วหรือ ? เจ้ารู้หรือไม่ ว่าการใส่ร้ายองค์หญิงเป็นความผิดประเภทใด ? ”

 

แม่นมที่ดุร้ายกล่าวด้วยเสียงสั่น “แต่ถ้า… ถ้าเป็นเรื่องจริงละเจ้าคะ ?”

“ท่านพี่ ! ” เมื่อแม่นมพูดเสร็จเสียงกรีดร้องดังมาจากทางเรือนหอทันที หลังจากนั้นมีหญิง สาวคนหนึ่งสวมชุดแต่งงานสีแดงพุ่งเข้ามา ถ้าไม่ใช่หลู่เหยา จะเป็นใครจะไปได้

 

เหยาซูเดินไปหานางโดยไม่รู้ตัว หลู่เหยาวิ่งไปหาเขาและเหยาชู้สนับสนุนนาง อย่างไรก็ตามนางจ้องมองไปที่ศพ น้ำตาเริ่มไหลออกมาไม่สามารถควบคุมได้

 

“ท่านพี่ !” นางรีบวิ่งไปข้างศพแล้วร้องไห้ นางตะโกนเสียงดัง “ท่านพี่ ใครช่างโหดร้ายขนาดนี้ ? ใครที่ฆ่าท่าน ? ท่านพี่! ท่านรีบกลับจากนอกเมืองเพื่อมางานแต่งงานของข้า หยกหรูอี้ที่ ท่านส่งให้ เรายังไม่ได้ส่งให้สามีของข้า แต่ท่านตายไปแล้ว ! ท่านพี่ ! อย่าทําให้ข้ากลัว ลืมตาของ ท่านดูข้า ข้า เหยาเอ๋อ ! ข้าเป็นน้องสาวที่ท่านรักใคร่มาตลอดชีวิต ! ท่านพี่ !”

 

เสียงร้องของหลู่เหยานั้นจริงใจทําให้บรรดาฮูหยินและคุณหนูร้องไห้ตามนาง

 

เหยาซูปลอบนางจากข้าง ๆ “เหยาเอ๋อ อย่าทําลายสุขภาพของเจ้า ลุกขึ้นเร็ว”

 

“สามี ! ” หลู่เหยาเริ่มขอร้องต่อหน้าเหยาชู “สามีต้องให้ความเป็นธรรมกับท่านพี่นะเจ้าคะ ! ท่านพี่เสียชีวิตในคฤหาสน์เหยา สามีต้องไม่เพิกเฉยต่อสิ่งนี้นะเจ้าค่ะ !”

 

เหยาซูรู้สึกเศร้าใจกับหลู่เหยา แต่เหยาจิงจุนไม่ชอบฟังสิ่งที่นางพูด และกล่าวอย่างเย็นชา “ใครบอกว่าเรื่องจะถูกเพิกเฉย ? ตระกูลของข้าคือตระกูลเหยา ในเมื่อเรื่องนี้เกิดขึ้นมันจะต้องมี การตรวจสอบ ใครกล้ามาที่ตระกูลเหยาของข้าและฆ่าคน ข้าต้องถามว่าใครมีความกล้าหาญเช่น นี้จริง ๆ !”

 

หลู่เหยาสั้น ทุกคนบอกว่าท่านใต้เท้าของตระกูลเหยาเป็นคนที่มีความสงบสุข แต่เหยาจิงจุนก็ ไม่น่ากลัวเมื่อเทียบกับบิดาของนางเมื่อโกรธ

 

“เหยาเอ่อลุกขึ้นก่อน ลุกขึ้นพูด” เหยาซูยังดึงหลู่เหยาลุกขึ้นจากพื้น

 

ในเวลานี้แม่นมและบ่าวรับใช้รีบวิ่งไปข้างหลู่เหยา ทั้งคู่ร้องไห้ “คุณชายใหญ่เสียชีวิตอย่างไม่ ยุติธรรม เรื่องนี้ไม่สามารถไม่เกี่ยวข้องกับองค์หญิงจีอัน ! มาที่นี่จากนั้นก็กลับอย่างรวดเร็ว องค์ หญิงมีความเป็นปฏิปักษ์ต่อคุณหนู อย่างไรก็ตามใครจะรู้ว่าศัตรูคนนี้จะไปลงเอยที่คุณชาย ใหญ่ คุณชายใหญ่ตายอย่างไม่ยุติธรรมจริง ๆ !”

 

เฟิงหยูเฮง ?

 

ความคิดของหลู่เหยาหมุนตัวเร็วในความเป็นจริงนางได้ยินอย่างแผ่วเบาเกี่ยวกับสถานการณ์ที่นี่ก่อนหน้านี้ นางรู้ว่าบ่าวรับใช้ของนางได้เปลี่ยนเป้าหมายของพวกนางไปที่เฟิงหยูเฮงแล้ว ขณะนี้ยังไม่มีแนวทางปฏิบัติอื่น ๆ การแสดงร่วมกับพวกนางจะเป็นตัวเลือกที่ปลอดภัยที่สุด ดังนั้นนางกัดฟันและกล่าวเสียงดังกับเฟิงหยูเฮง “ทําไมเจ้าต้องฆ่าพี่ชายของข้า ? หากเจ้ามีอะไรให้มาลงที่ข้า ทําไมต้องฆ่าพี่ชายของข้าด้วย”

 

“บทละครนี่ช่างสวยงามจริง ๆ ความรักอันลึกซึ้งระหว่างพี่น้อง !” ซวนเทียนหมิงพูดออกมา ในที่สุดก่อนที่เฟิงหยูเฮงจะพูด เขาก็ทนไม่ไหวที่จะฟังต่อไป

 

ซวนเทียนหมิงเป็นองค์ชายคนเล็ก แม้กระนั้นเขาก็เป็นคนที่สามารถทําให้เกิดความรู้สึกสยองขวัญต่อผู้อื่นได้ง่ายที่สุด ในขณะนี้ใบหน้าของเขาไม่มีร่องรอยความขุ่นเคือง ในขณะที่เขายังคงมีความเฉยเมยตามปกติ แขนใหญ่ของเขาวางอยู่บนไหล่ของเฟิงหยูเฮงเพื่อช่วยปัดใบไม้ที่ร่วงหล่น ลงบนผมของนางออก อย่างไรก็ตามคําพูดที่เขาพูดนั้นทําให้สมาชิกของตระกูลหลู่เริ่มเหงื่อ ออกด้วยความกลัว “อย่าพูดถึงว่าชายาขององค์ชายผู้นี้ไม่ได้ฆ่าเขา ต่อให้นางทําแบบนั้นล่ะ ? เจ้า ถูกเรียกว่า…หลู่อะไรนะ ? องค์ชายผู้นี้ไม่เข้าใจ เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร? เจ้าคิดว่าตระกูลหญ่อยู่ใน สายตาขององค์ชายผู้นี้หรืออย่างไร ใครจะรู้ว่าราชวงศ์ต้าชุนจะมีคนที่กล้าที่จะยั่วโมโหชายา อันเป็นที่รักขององค์ชายผู้นี้ ตระกูลหลู่ของเจ้าเตรียมตัวที่จะรองรับความโกรธขององค์ชายผู้นี้ หรือไม่ ? จะทนต่อการแก้แค้นขององค์ชายผู้นี้ได้หรือไม่”

 

ริมฝีปากของเขาม้วนงอด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย ขณะที่เขายืนอยู่ข้างเฟิงหยูเฮง ฉากที่สวยงามเหมือนภาพ แต่ภาพนี้น่ากลัวและสามารถฆ่าคนได้ มันเป็นภาพที่หลู่เหยาเองก็ไม่กล้าแม้แต่จะมอง กลัวว่าซวนเทียนหมิงจะฆ่านางอย่างรวดเร็ว

 

ไม่มีใครในตระกูลหลู่กล้าที่จะพูดอีกครั้ง อย่างไรก็ตามพวกนางได้ยินเสียงอ่อนโยนและสง่างามพูดจากกลุ่มองค์ชายกล่าวกับบ่าวรับใช้ “ไปที่คฤหาสน์หลู่และนําเสนาบดีหญ่มา หากเขาถามเหตุผล บอกเพียงว่าให้เขามาเก็บศพ ! ”

ซวนเทียนหัวไม่เคยพูดเกินความจําเป็น และเขาไม่ค่อยพูดอะไรที่ดุร้ายต่อหน้าคนอื่น คําพูดเหล่านี้ทําให้ทุกคนจ้องมองคําว่า “เก็บศพ” ทําให้ทุกคนรู้ว่าตระกูลหญ่ไม่เพียงทําให้องค์ชายเก้าขุ่นเคือง นอกจากนี้ยังทําให้องค์ชายเจ็ดขุ่นเคืองอีกด้วย

 

องค์ชายเก้าคือผู้ที่จะเริ่มจุดไฟเพื่อค้นหาการแก้แค้นเหนือสิ่งเล็กน้อยใด ๆ

 

องค์ชายเจ็ดไม่โกรธใครง่าย ๆ แต่เมื่อเขาโกรธ การลงโทษจะยิ่งรุนแรงกว่าสิ่งที่องค์ชายเก้าจะมอบให้!

 

ตอนที่ 656 ความตายของหลู่โชว

 

เจ้านายและบ่าวรับใช้กลับไปที่สนามหน้าบ้าน เฟิงหยูเฮงไม่ได้พูดอะไร นางคิดถึงสถานการณ์ตลอดเวลา แม้แต่วังซวนและหวงซวนก็ยังนึกถึงฉากก่อนหน้านี้

 

หลังจากได้ยินข้อสงสัยของเฟิงหยูเฮง ทั้งสองก็รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างเกี่ยวกับพี่น้องเหล่านั้นแต่พวกเขาไม่สามารถพูดได้ว่าพวกเขาเห็นอะไร

 

ขณะที่พวกเขาเดิน บ่าวรับใช้คนหนึ่งวิ่งไปตามทางด้วยความหวาดกลัว วิ่งไปทิศทางของพวกเขา ตอนแรกนางชนหวงซวน หวงซวนขมวดคิ้วและถามว่า “เกิดอะไรขึ้น ? ทําไมถึงถึงดูเร่งรีบขนาดนี้ ? เจ้ามาจากเรือนไหน ?”

 

บ่าวรับใช้ตกใจในตอนแรก เมื่อนางเงยหน้าขึ้นมอง นางเห็นเฟิงหยูเฮง นางก็รีบยื่นมือออกจากแขนของนาง นางกําลังถือจานขนมอยู่ในมือของนาง นางตอบว่า “เรียนคุณหนู บ่าวรับใช้คนนี้ดูแลเรื่อนของคุณชายใหญ่ แม่นมของท่านฮูหยินให้ข้าไปที่ครัวเพื่อเอาขนมสองสามชิ้นเจ้าค่ะ โดยบอกว่านางเป็นห่วงว่าท่านฮูหยินคนใหม่จะหิวมาก และไม่สามารถทนรอคุณชาย ใหญ่กลับไปตอนกลางคืน ข้ากลัวว่าท่านฮูหยินคนใหม่จะรู้สึกอับอายจากการที่ผู้คนได้ยินเรื่องนี้ ดังนั้นข้าจึงรีบเจ้าค่ะ ทําให้ข้าชนแม่นางเจ้าค่ะ ได้โปรดอย่าตําหนิข้าเลยเจ้าค่ะ”

 

เฟิงหยูเฮงพยักหน้า กลัวเจ้าสาวจะหิวนั้นมีเหตุผล ดังนั้นนางจึงไม่ได้พูดอะไร และอนุญาตให้ บ่าวรับใช้ไปได้

 

ลานด้านหน้ายังคงมีชีวิตชีวา โต๊ะไหนเหยาซูไปดื่มขอบคุณจะเห็นว่าเขาถูกรั้งตัวไว้เป็นเวลานาน กลับไปที่ที่นั่งของนาง มีคนแตะไหล่ของนางจากด้านหลังในขณะที่นางนั่งลง นางหันหลังกลับและเห็นว่ามันเป็นซวนเทียนเก้อ

 

“เจ้ามาถึงที่นี่เมื่อไหร่” นางดึงซวนเทียนเก้อมานั่งข้างนาง “ข้าไม่เห็นเจ้าตอนที่พวกเขาอยู่ในห้องจัดพิธีแต่งงาน”

 

“ข้าเพิ่งมาถึงที่น” ซวนเทียนเก้อกล่าวว่า “มีบางเรื่องที่บ้าน ทําให้ข้ามาช้า ข้าไม่เห็นช่วงเวลาที่มีชีวิตชีวาที่สุด เป็นอย่างไรบ้างเจ้าสาวงดงามหรือไม่ ? ”

เฟิงหยูเฮงยิ้มอย่างขมขึ้น “เจ้าจะมีเหตุผลมากกว่านี้ได้หรือไม่ เจ้าสาวมีผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวตลอดเวลา ข้าจะเห็นได้อย่างไรว่านางงดงามหรือไม่”

 

ซวนเทียนเก้อยิ้มเยาะ “เพียงแค่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เจ้าสามารถรู้ได้ว่านางจะไม่งดงามเป็นพิเศษ รากฐานของตระกูลหลู่เป็นเช่นนั้น ข้าไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าเจ้าบ่าวของตระกูลเหยาสนใจบุตร สาวของตระกูลหลู่ได้อย่างไร ข้าได้ยินมาว่าเป็นเจ้าบ่าวที่ต้องการสิ่งนี้”

 

เฟิงหยูเฮงยังไม่เข้าใจสิ่งนี้ และกล่าวว่า “เป็นไปได้มากว่านางตรงตามที่เขาชอบ”

 

ซวนเทียนเก้อยักไหล่ และไม่ได้ดําเนินการกับหัวข้อนี้ นางถามเฟิงหยูเองว่า “ข้าเห็นน้องสี่ ของเจ้ามาทําไมข้าไม่เห็นเซียงหรู ?”

 

เฟิงหยูเฮงบอกนางว่า “นางควรจะมา แต่เซียงหรูส่งคนมาในตอนเช้าพร้อมกับข้อความ ที่บอกว่าองค์ชายสี่มีงานปักที่พระองค์ทําไม่ถูกต้อง และนางถูกเรียกตัวไปที่ตําหนักปิงตอนเช้าวันนี้ ไม่ว่าจะพูดอย่างไรอะไรนางก็ไม่ยอม ข้ากลัวว่านางจะมาไม่ทันตามกําหนดสําหรับงานเลี้ยงนี้”

 

“ฮะ !” ความปรารถนาของซวนเทียนเก้อที่จะนินทาลุกฮือขึ้นมา “เจ้าคิดว่าพี่สี่ชอบเซียงหรูหรือไม่ ? ”

 

เฟิงหยูเฮงตกใจ และจําได้ว่าองค์ชายสีโกรธมากเมื่อหลู่เหยาแกล้งเซียงหรู แต่จะพูดถึงความชอบ… “นั่นมันไม่น่าจะเป็นไปได้ใช่หรือไม่ ? ”

 

“ทําไมมันถึงจะเป็นไปไม่ได้ !” ซวนเทียนเก้อเล่าต่อ “เจ้าไม่ได้อยู่ในเมืองหลวงมานาน เจ้าคงไม่รู้ พี่สี่เรียนรู้การเย็บปักอย่างจริงจัง บางครั้งเขาจะเรียกคุณหนูสามตระกูลเฟิงไปที่ตําหนักวิ่งเพื่อสอน หลังจากสอนเสด็จพี่เสร็จ นางจะกินข้าวด้วย ไม่เพียงแค่นี้ เสด็จพี่ใช้ความคิดริเริ่มในการจ่ายค่าเล่าเรียนให้กับคุณหนูสามตระกูลเฟิงทุกเดือน แม้ว่ามันจะ ถูกส่งกลับมาสองสามครั้ง แต่ด้วยความอุตสาหะของตําหนักปิง เซียงหรูก็ยอมรับมัน หากพระองค์ไม่มีความรู้สึกดีต่อเชียงหรู เสด็จพี่จะจริงจังหรือไม่ ? 

 

เฟิงหยูเฮงรู้สึกสับสน “พระองค์ถูกจําคุกไปแล้ว พระองค์ยังมีเงินอยู่หรือ ? มันไม่ได้ถูกยึดทั้งหมดหรอกหรือ ? ”

 

ซวนเทียนเก้อยิ้มเยาะ “เจ้าไม่เคยได้ยินหรือว่าอูฐที่อดตายยังใหญ่กว่าม้า ? * ไม่ว่าอย่างไร เสด็จพี่ก็เป็นองค์ชายและการยึดสิ่งของของเสด็จพี่เป็นเพียงการแสดง เสด็จพี่ใช้เงินได้ต่อ ตําหนักปิงมีรากฐานที่สร้างมานานหลายปี มันจะล่มสลายด้วยคําเพียงไม่กี่คําได้อย่างไร”

 

เฟิงหยูเฮงยิ้มอย่างหงุดหงิด “แต่เซียงหรูอาจจะไม่ได้รู้สึกอะไรกับองค์ชายสี่”

 

“ฮะ! นั่นไม่ใช่สิ่งที่เราต้องกังวล เท่าที่ข้าเห็นเชียงหรูไม่ได้ปฏิเสธเสด็จพี่อย่างเด็ดขาด บางทีมันอาจจะเกิดขึ้นจริง ๆ ” ซวนเทียนเก้อหัวเราะ แต่นางก็เริ่มรู้สึกกังวลเล็กน้อยหลังจากหัวเราะ ไปครู่หนึ่ง “พี่สี่ยังถูกขังอยู่ในตอนนี้ ข้าสงสัยว่ามันจะดีหรือไม่ดีสําหรับเซียงหรูถ้าท่านพี่ขอ บนางจริง ๆ เซียงหรูเป็นน้องสาวของเจ้าหากเจ้าต้องการให้นางแต่งงานกับคนที่ดีกว่านี้ เจ้าย่อมสามารถทําได้”

 

เฟิงหยูเฮงถามนางว่า “เจ้ากําลังพูดถึงใครที่ดีกว่านี้ ? ”

 

ซวนเทียนเก้อตกใจแล้วคิดเล็กน้อย กล่าวว่า “สถานะอันสูงส่งเป็นขององค์ชาย แต่องค์ชาย…มีองค์ชายที่ดีเหลืออยู่ไม่มาก องค์ชายใหญ่และองค์ชายรองนั้นแก่มาก และมีพระชายาแล้ว ถ้าเซียงหรูแต่งเข้าตําหนักของพวกเขาตามสถานะของตระกูลของนาง นางจะไม่มีสถานะมากนัก แต่ด้วยสถานะของเจ้า คงไม่มีใครกล้าพอที่จะประมาทนาง องค์ชายสามตายไปแล้ว และองค์ชายสี ถูกขังอยู่ องค์ชายห้ากําลังจะแต่งงานกับคุณหนูสีตระกูลเฟิง ในขณะที่องค์ชายหกและองค์ชาย แปดออกนอกเมืองหลวง องค์ชายเก้าเป็นของเจ้า การคํานวณแบบนี้มีเหลือเพียงองค์ชายเจ็ดคนเดียว”

 

ซวนเทียนเก้อหน้ามืดครึ้ม เหมือนว่าองค์ชายเหล่านี้จะไม่น่าเชื่อถือมาก !

 

เฟิงหยูเฮงส่ายหัวและกล่าวว่า “ข้าไม่เคยเชื่อเลยว่าการแต่งงานกับตระกูลขุนนางจะดีแน่นอน พี่เก้าของเจ้าเป็นตัวอย่าง ถ้าเขาอยากจะแต่งอนุเข้าตําหนัก ข้าจะไม่แต่งงานกับเขา”

 

“หืม ?” ซวนเทียนเก้อตกตะลึง “เจ้าต้องบอกว่าเจ้าต้องการให้เซียงหรูหาชายที่จะอุทิศตนให้กับนางตลอดชีวิตหรือ ? อาเฮง เจ้าต้องรู้ว่ามันยากมากที่จะหาผู้ชายแบบนั้นในโลกนี้ !”

 

“ไม่มีข้อกําหนดเช่นนี้ ท้ายที่สุดแล้วแต่ละคนมีความคิดที่แตกต่างกัน แต่มันจะเป็นการดีที่สุดถ้านางสามารถแต่งงานกับคนที่เข้ากับความต้องการของนางได้” จากนั้นนางตบมือซวนเทียนเก้อ “เอาล่ะ หยุดมองคนอื่น สําหรับเจ้า เจ้าอายุมากกว่าข้าไม่กี่ปี แม้ว่าเสด็จพ่อจะยกย่องเจ้า แต่ข้าก็กลัวว่าเจ้าจะไม่สามารถอยู่ได้นานกว่านี้ ? เจ้าจะจบลงด้วยการเป็นหญิงชราและยังไม่ได้แต่งงาน”

 

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ซวนเทียนเก้อก็รู้สึกหดหูใจและพูดอย่างไร้ความสุข “ข้ายังไม่อยากแต่งงานเลย” ขณะที่นางกล่าว นางถอนหายใจ “สิ่งที่ข้ากลัวไม่ใช่เสด็จลุงที่คอยดูแลข้า ฝ่าบาทกลับไม่คิด ว่าข้าควรจะแต่งงานอย่างไร ท้ายที่สุดข้าเป็นองค์หญิงเพียงคนเดียวของราชวงศ์ต้าชุน หลีกเลี่ยง ไม่ได้ที่ข้าจะต้องแต่งงานด้วยเหตุผลทางการเมือง มันเป็นแค่เรื่องของวิธีและสถานที่”

 

หัวข้อกําลังตกต่ําและไม่ต้องการพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้ต่อไป ดังนั้นทั้งสองจึงไป เล่นกับเพิ่งซื้อหรูและซวนเฟยหยู จากนั้นพวกเขาคุยกันเรื่องเปยฟูหรงซักพัก ขณะที่เหยาซูกําลังดื่มสุรา พวกเขาก็ได้ยินเสียงกรีดร้องดังมาจากทางไปสู่เรือนด้านใน บ่าวรับใช้จํานวนหนึ่งวิ่งออกมาด้วยความตื่นตระหนก และมองไปรอบ ๆ ก่อนที่จะหยุดจ้องมองบนโต๊ะที่เฟิงหยูเฮงนั่งอยู่

 

พื้นที่นี้มีเจ้านายของตระกูลเหยาเป็นจํานวนมาก บ่าวรับใช้สองคนทะเลาะกันด้วยใบหน้าที่น่ากลัว หนึ่งในนั้นเริ่มร้องไห้

 

ในเวลานี้ซูชื่อนั่งอยู่และไม่สามารถช่วยได้ นางขมวดคิ้วและด่าว่า “มันเป็นงานแต่งงานที่เป็นมงคล พวกเจ้าทําอะไร ? “

 

เนื่องจากเสียงกรีดร้องฉับพลัน ผู้คนส่วนใหญ่จึงมองไปในทิศทางของพวกเขา บ่าวรับใช้คนหนึ่งบอกซูชื่อ “ท่านฮูหยินใหญ่ มีคนตายในสนามเจ้าค่ะ !”

 

“อะไรนะ ? ” ซูชื่อตกใจมาก ข่าวฉับพลันนี้ทําให้นางไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของนางได้ เสียงของนางดังขึ้นเล็กน้อยทําให้คนที่ไม่สังเกตมาก่อนอดที่จอมองไม่ได้

 

เฟิงหยูเฮงได้ยินข่าวนี้และขมวดคิ้วเล็กน้อย นางดูเหมือนจะเดาอะไรบางอย่าง และรีบสั่งให้บ่าวรับใช้ของนางอย่างรวดเร็ว “วังชวนไปดูกับพวกนาง” หลังจากพูดอย่างนี้ นางวางมือไว้ บนหลังมือของซูชื่อและกล่าวอย่างใจเย็น “ท่านป้าไม่ต้องกังวลเจ้าค่ะ ไปตรวจสอบก่อน” หลังจากพูดอย่างนี้ นางโบกมือให้บ่าวรับใช้ที่ส่งเสียงกรีดร้องออกมา ผู้ติดตามสองคนเข้ามาแล้วนางก็ ถามหนึ่งในนั้น “บอกรายละเอียดมาว่าเกิดอะไรขึ้น ? ”

 

ผู้ติดตามนั้นช่างมีความกล้าหาญกว่าบ่าวรับใช้ เมื่อได้ยินเพิงหยูเฮงถาม พวกนางเปิดเผยสิ่ง ที่พวกนางเห็นอย่างรวดเร็ว “พวกข้าเดินรอบคฤหาสน์ตามปกติ เราพบศพบนเส้นทางไปยังเรือนหอ เป็นผู้ชายและเขาดูไม่คุ้นเคย เขาไม่ใช่คนจากคฤหาสน์ของตระกูลเหยาเจ้าค่ะ”

 

“โอ้ ? ” นางยังคงคาดเดาอยู่ แต่นางก็ไม่เข้าใจ ถ้าเป็นคนผู้นั้น เขาจะตายได้อย่างไรในเวลาเพียงไม่กี่นาที ? “ร่างกายของเขามีบาดแผลหรือไม่ ? ”

 

บ่าวรับใช้พยักหน้า “มีเลือดออกที่คอของเขา ดูเหมือนว่ามีอะไรบางอย่างเจาะคอของเขาเจ้าค่ะ

 

“เกิดอะไรขึ้น ? ” ในเวลานี้เหยาจิงจูนก็เดินมาด้วย บ่าวรับใช้เล่าสิ่งที่เกิดขึ้นอีกครั้ง จึงจุน โกรธและหันไปเดินตามทางของปัญหา

 

เฟิงหยูเฮงเห็นสิ่งนี้และไม่ได้ซ่อนมันอีกต่อไป นางประคองซูชื่อและนาคนอื่นไปด้วย

 

เมื่อได้ยินว่ามีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น แขกย่อมตามไปดูเป็นธรรมดา นอกจากท่านฮูหยินที่กลัวบรรดาคุณหนูและเด็ก ๆ ทุกคนต่างก็เดินเข้าไปในสวนหลังบ้าน

 

ในช่วงนี้วังซวนกลับมา พยักหน้าให้เฟิงหยูเฮง ดังนั้นนางจึงเข้าใจ

 

ไม่นานพวกเขาก็มาถึงสถานที่ที่เกิดเหตุ แน่นอนเขาคือคนที่มาตามหาหลู่เหยา เขากลายเป็นศพ นอนบนพื้น เลือดยังไหลออกมาจากลําคอของเขา

 

สมาชิกของตระกูลเหยาเดินไปข้างหน้าเพื่อตรวจสอบ ซวนเทียนหมิงย้ายไปที่ด้านข้างของเฟิงหยูเฮง และถามอย่างเงียบ ๆ “เจ้ารู้จักคนนี้หรือไม่”

 

เฟิงหยูเฮงกล่าวกับเขาอย่างเงียบๆ “ถ้าข้าเดาไม่ผิดคงจะเป็นบุตรชายคนโตของตระกูลหลู่”

 

“บุตรชายคนโตของตระกูลหลู่ ? ” ซวนเทียนหมิงไม่ประทับใจคนผู้นี้มากนัก หลังจากคิดไปครู่หนึ่ง เขาส่ายหัวและถามด้วยความสับสน “ทําไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ ? และตายที่คฤหาสน์ของตระกูลเหยา ?”

 

ทุกคนกําลังคิดถึงคําถามเหล่านี้กับตัวเอง สําหรับเหยาจิงจุน เขาเริ่มถามทุกคนแล้วว่า “จําชายคนนี้ได้หรือไม่ ?”

 

ชายผู้กล้าหาญก้าวไปข้างหน้า และมองอย่างระมัดระวัง ในที่สุดเขาก็ชี้ไปที่ศพด้วยความประหลาดใจ และกล่าวว่า “นี่…นี่คือบุตรชายคนโตของตระกูลหลู่ หลู่โชว !”

 

“หลู่โชว ? ” เหยาจิงจุนเคยได้ยินนี้มาก่อน ท้ายที่สุดแล้วตระกูลเหยาและตระกูลหญ่กําลังจะแต่งงานกัน เขาค่อนข้างชัดเจนว่าใครเป็นใครในตระกูลหลู่ เป็นหมู่โชวที่ชอบออกจากเมืองหลวง ดังนั้นเขาไม่เคยพบเมื่อเห็นว่าบุคคลที่ถูกชี้ไปได้รับการยอมรับว่าเป็นหลู่โชว ความสงสัยในใจของ เขาก็ยิ่งลึกซึ้งยิ่งขึ้น “บ่าวรับใช้” เขาสั่งเสียงหนัก “ไปที่เรือนหอและนาบ่าวรับใช้ที่มากับเจ้าสาวจากคฤหาสน์หลู่มาด้วย”

 

เร็วมาก บ่าวรับใช้ 2 คนและแม่นมที่อยู่กับหลู่เหยาถูกนําตัวมา เมื่อพวกเขาเห็นว่ามีศพ พวกเขาก็ตกใจหน้าซีด บ่าวรับใช้คนหนึ่งเป็นลม

 

เหยาจิงจุนถามด้วยน้ําเสียงต่ํา “เจ้าจําคนผู้นี้ได้หรือไม่ ?”

 

แม่นมแกร่งที่มีสติมากที่สุดตอบอย่างรวดเร็ว “เรียนท่านใต้เท้า… เขาเป็นบุตรชายคนโตของ คฤหาสน์หลู่ ชื่อหลู่โชวเจ้าค่ะ”

 

เมื่อได้ยินแบบนี้ ใครบางคนจากตระกูลหลู่ยืนยันความเป็นตัวตนของผู้เสียชีวิตเหยาซู่เป็นกังวลเล็กน้อย เขาอดไม่ได้ที่จะถามว่า “ไม่ได้บอกหรือว่าบุตรชายคนโตของตระกูลหลู่นั้นออกจาก เมืองหลวงแล้วจะไม่มางาน ? เขาไม่ได้อยู่ในรายชื่อแขกที่ลงทะเบียน เขาปรากฏตัวที่นี้ได้อย่างไร?”

 

บ่าวรับใช้ของตระกูลหลู่ไม่รู้วิธีตอบ แต่แม่นมคิดอย่างรวดเร็วและนางมองเฟิงหยูเฮง

 

ตอนที่ 655 ชายแปลกหน้า

เฟิงหยูเฮงไม่รู้ว่าซวนเฟยหยูกำลังพูดถึงกับชายแปลกหน้าคนไหน มีแขกมากมาย และเป็นการยากที่จะป้องกันไม่ให้คนซึ่งอยู่ที่ห้องโถงรับรองเพื่อเดินไปยังส่วนอื่น ๆ ของคฤหาสน์ นี่อาจเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าชายแปลกหน้าปรากฏตัวนอกเรือนหอ นั่นเป็นการยากที่จะอธิบาย

ในเวลานี้ฝนก็หยุดแล้ว นางพาน้องทั้งสองคนไปหาฉินซื่อแล้วแนะนำให้เด็กสองคนไม่ให้วิ่งเล่นอีก จากนั้นนางก็ลุกขึ้นยืน นำวังซวนและหวงซวนออกไป

คฤหาสน์ของตระกูลเหยาปัจจุบันเป็นสถานที่ที่นางไม่คุ้นเคย ปัจจุบันเหยาซู่อาศัยอยู่ในเรือนที่เฟิงจื่อเฮาเคยอาศัยอยู่ พูดว่ามันค่อนข้างไกลจากสนามหน้าบ้าน

ทั้งสามเดินไปในทิศทางนั้น อย่างไรก็ตามหญิงสาวทั้งสองไม่รู้ว่าสิ่งที่พวกนางคิดถึงคือการวางแผน

ในขณะเดียวกันชายแปลกหน้าที่ซวนเฟยหยูบอกนั้นอยู่นอกเรือนหอของคู่บ่าวสาว ขณะนี้เขากำลังพูดอยู่กับบ่าวรับใช้สองคน โดยมีคนหนึ่งกล่าวว่า “แขกที่มาฉลองควรไปที่สนามหน้าบ้าน ! ”

เป็นที่ชัดเจนว่าคนผู้นี้อยู่ที่นี่เป็นเวลานาน มันเป็นเช่นนั้นที่บ่าวรับใช้ของตระกูลเหยาเริ่มรู้สึกหงุดหงิด ที่สำคัญที่สุดคือมันไม่สามารถยอมรับได้ ชายคนหนึ่งมาที่เรือนหอของเจ้าสาวที่เพิ่งแต่งงานใหม่และยืนกรานที่จะพบนาง สถานการณ์แบบนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร

ชายคนนั้นฟังคำแนะนำของบ่าวรับใช้ แต่ไม่เต็มใจที่จะยอมแพ้ขอร้องต่อไป “ขอให้ข้าได้พบนางอีกครั้ง ข้ามีบางสิ่งที่ข้าต้องคุยกับนางจริง ๆ ”

“เจ้าทำแบบนั้นไม่ได้” บ่าวรับใช้สองคนนั้นแน่วแน่มาก และพวกเขาก็เรียกให้คนอื่น ๆ มาปิดกั้นทางเข้าอย่างแน่นหนา

เสียงอึกทึกจากภายนอกรบกวนคู่บ่าวสาวที่อยู่ในห้อง หลู่เหยาซึ่งนั่งอยู่บนเตียงเจ้าสาวทันใดนั้นผ้าคลุมของนางก็ดูน่ากลัว

ผู้คนที่อยู่ในห้องของนางเป็นบ่าวรับใช้สองคนกับแม่นมที่มากับนาง เมื่อเห็นว่าคุณหนูของพวกนางไม่สบาย พวกนางก็รีบปลอบนาง แม่นมรีบดึงผ้าคลุมหน้าและกล่าวอย่างรวดเร็ว “คุณหนู ! วันนี้เป็นวันแต่งงานของคุณหนู ผ้าคลุมหน้าต้องไม่ถูกสัมผัส คุณหนูต้องรอจนกว่าเจ้าบ่าวจะกลับมาในเวลากลางคืนเพื่อเปิดผ้าคลุมหน้าเจ้าค่ะ”

หลู่เหยาเต็มใจฟังเรื่องนี้ได้อย่างไรในเวลานี้ ใบหน้าของนางซีดเซียวจากความกลัว ขณะที่นางคว้ามือของแม่นมแล้วถามด้วยเสียงสั่น “เจ้าได้ยินหรือไม่ ? เป็นเขาที่มา ? ฮะ ? เขามาที่นี่หรือ ? ”

เสียงของนางเต็มไปด้วยความกลัวอย่างที่สุด แม่นมอายุมากแล้วและหูของนางก็ไม่ดีอีกต่อไป ซักพักนางไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น และความสับสนบนใบหน้าของนาง

สำหรับบ่าวรับใช้คนหนึ่งที่อยู่ข้างนางกล่าวว่า “ดูเหมือนว่าจะมีเสียงจากภายนอก และ…เป็นเสียงของผู้ชายเจ้าค่ะ”

เพียงแค่คำพูดเหล่านี้ทำให้แม่นมดูเหมือนจะจำบางสิ่งบางอย่างที่น่ากลัวได้ ในขณะที่นางเกือบจะตกใจ ในที่สุดหลู่เหยากล่าวอย่างรวดเร็วว่า “เขา เขา ! ใช่ เป็นเขา ! ข้าได้ยินไม่ผิดแน่นอน เราควรทำอย่างไร ข้าควรทำอย่างไรดี ? “

แม่นมก็ตื่นตระหนกเล็กน้อย แต่นางก็ยังหนักแน่นกว่าหลู่เหยา ในขณะที่ปลอบหลู่เหยา นางพูดกับบ่าวรับใช้สองคน “ออกไปดูข้างนอกเร็ว และดูว่าใครเป็นต้นเหตุของความวุ่นวาย”

บ่าวรับใช้สองคนพยักหน้าแล้วออกไป เมื่อพวกนางกลับมา สีหน้าของพวกนางก็แสดงความสยองขวัญเช่นกัน หนึ่งในนั้นกล่าวว่า “มันคือเขาจริง ๆ เขามาแล้วเจ้าค่ะ ! ”

หลู่เหยาอ้าปากของนางด้วยความตกใจ “เป็นไปได้อย่างไร ? เขาจะมาทำไม ? ท่านพ่อไม่ได้ส่งเขาออกนอกเมืองหลวงหรอกหรือ ? ท่านพ่อบอกว่าเขาจะไม่กลับมาไม่ใช่หรือ ? ทำไมเขาถึงมาปรากฏตัวที่นี่ ? ”

บ่าวรับใช้สามคนไม่รู้ว่าควรพูดอะไร แม่นมคิดซักครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “เมื่อเขามา เราต้องหาทางจัดการกับเขา แล้ว… คุณหนูไม่ไปหาเขาหรือเจ้าคะ”

“ข้าไม่ไป ! ” หลู่เหยาตะโกน “แม่นม เจ้าบ้าไปแล้วหรือ ? เจ้าต้องการให้ข้าไปพบเขาจริง ๆ หรือ ? ”

แม่นมกล่าวอย่างรวดเร็วว่า “คุณหนูได้ยินบ่าวรับใช้คนนี้ ในเวลาเช่นนี้การแสร้งสมยอมเป็นเรื่องที่ฉลาดที่สุด เราทุกคนชัดเจนเกี่ยวกับพฤติกรรมของเขา ตอนนี้เขาสร้างความวุ่นวายข้างนอกมานานแล้ว มันก็ชัดเจนว่าเขาไม่มีความตั้งใจที่จะจากไปหากไม่ได้พบคุณหนู แต่ที่นี่คือคฤหาสน์ของตระกูลเหยา ไม่ใช่คฤหาสน์ของตระกูลหลู่ หากยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป มันถูกสังเกตเห็นโดยผู้คนจำนวนมากขึ้น นั่นจะเป็นปัญหาใหญ่เจ้าค่ะ ! คุณหนูออกไปพบเขาและพูดสองสามคำเพื่อส่งเขาออกไปก่อน ต่อมาบ่าวรับใช้คนนี้จะคิดหาวิธีการติดต่อกับคฤหาสน์ของตระกูลหลู่ และให้เจ้านายส่งคนมาจัดการเรื่องนี้อย่างรวดเร็วเจ้าค่ะ”

บ่าวรับใช้คนหนึ่งกล่าวว่า “ถูกต้อง คุณหนู เรื่องเร่งด่วนที่สุดในตอนนี้คือต้องให้เขากลับไปอย่างรวดเร็ว วันนี้มีคนจำนวนมากในคฤหาสน์ของตระกูลเหยา ถ้าคนอื่นเห็น เรื่องจะแย่กว่าเดิมเจ้าค่ะ”

บ่าวรับใช้อีกคนกล่าว “ชายคนนั้นพูดจาเหลวไหลและกล้าพูดอะไรเสมอ หากคุณหนูไม่ได้ส่งเขาออกไปอย่างรวดเร็ว ข้ากลัวว่าเรื่องนี้จะบานปลายกว่าเดิมเจ้าค่ะ”

หลู่เหยาเข้าใจเหตุผลนี้เช่นกัน แต่ตอนนี้นางเป็นเจ้าสาว แทนที่จะนั่งในห้องเจ้าสาวของนาง นางจะออกไปข้างนอกเพื่อพบผู้ชาย ท้ายที่สุดยังมีบ่าวรับใช้จากตระกูลเหยาที่อยู่เรือน !

แม่นมนั้นเข้าใจสิ่งที่นางกำลังคิดและกล่าวอย่างรวดเร็ว “ตอนนี้ไม่มีอะไรให้เรากลัว ท้ายที่สุดตัวตนของเขาคือสิ่งที่มันเป็น มันจะอธิบายได้ง่ายถ้ามีคนถาม ตราบใดที่ตัวตนของเขาได้รับการชี้แจงก็ดีกว่าข้อแก้ตัวอื่น ๆ ”

“มันจะดีหรือ ? ” หลู่เหยายังคงกังวลอยู่เล็กน้อย แต่ด้วยสถานการณ์ในสถานะปัจจุบันของนาง นางไม่สามารถลังเลใจได้ต่อไป นางยิ้มและลุกขึ้นยืน แต่ความเกลียดชังส่องประกายแวววาวผ่านดวงตาของนาง “ลืมไปเถิด ข้าจะไปหาเขา ตามข้ามา พวกเจ้าจะต้องจัดการสถานการณ์ต่อไปนี้”

เช่นเดียวกับที่หลู่เหยาจะออกไปข้างนอก กลุ่มของเฟิงหยูเฮงกำลังจะมาถึง

หวงซวนกระซิบวังซวนอย่างเงียบ ๆ “เดาสิว่าใครคือคนแปลกหน้า ? ”

แม้ว่าวังซวนจะไม่ชอบนินทาเหมือนหวงซวน แต่นางก็อยากรู้อยากเห็นมาก และก็เดาอย่างคร่าว ๆ ว่า “สหายเก่าหรือ ? ”

ก่อนที่หวงซวนจะตอบโต้ เฟิงหยูเฮงหัวเราะ “มีสหายเก่ามากมาย แต่เราต้องดูว่าพวกเขาสนิทกันแค่ไหน การที่คุณหนูตระกูลหลูแต่งงานกับตระกูลเหยานั้นเป็นสิ่งที่ข้าไม่ชอบ แต่พี่ชายใหญ่ชอบนาง ดังนั้นจึงไม่มีอะไรที่ข้าจะทำได้ ท้ายที่สุดนี่คือตระกูลเหยาไม่ใช่ตระกูลเฟิง มีบางสิ่งที่ข้าไม่สามารถควบคุมได้แม้ว่าข้าต้องการ แต่จะเป็นการดีที่สุดถ้าหลู่เหยาเชื่อฟังและไม่มีความคิดที่ชั่วร้าย ไม่งั้นข้าจะไม่ยกโทษให้นาง”

บ่าวรับใช้สองคนรู้ว่าคุณหนูของพวกนางโกรธ ท้ายที่สุดบรรยากาศอันเงียบสงบของคฤหาสน์ของตระกูลเหยานั้นเป็นสิ่งที่ทุกคนที่เยี่ยมชมสามารถเพลิดเพลินได้ เมื่อคิดว่าตระกูลอันยิ่งใหญ่นี้กำลังถูกขัดจังหวะโดยหลู่เหยา ใครจะไม่รู้สึกขมขื่นสักหน่อย

“เรามาถึงที่นี่แล้ว” เฟิงหยูเฮงหยุดและนำทั้งสองมาข้าง ๆ พวกนางซ่อนตัวอยู่หลังแผนที่ “ดูสิ” นางชี้ออกไป ทั้งสองมองตามและเห็นหลู่เหยาสวมชุดแต่งงานของนางและพูดคุยกับชายหนุ่มคนหนึ่งที่เรือนที่ห่างไม่เกิน 20 ก้าว “ไปใกล้หน่อย ระวังด้วย”

เฟิงหยูเฮงเป็นผู้นำในการเคลื่อนตัวเข้าใกล้ไม่กี่ก้าว นางหยุดทันทีเมื่อนางมั่นใจว่าได้ยิน

เมื่อทั้งสามเข้าสู่ตำแหน่ง พวกนางได้ยินเสียงของหลู่เหยาค่อนข้างกังวล “ท่านพ่อส่งเจ้าออกไปจากเมืองหลวงไม่ใช่หรือ ? เจ้ากลับมาเมื่อไหร่ ? ”

ชายคนนั้นไม่ได้พูดอะไรและจับมือของหลู่เหยา เรื่องนี้ทำให้หลู่เหยาพยายามดึงกลับ อย่างไรก็ตามนางไม่สามารถหลุดพ้นได้ เสียงของชายคนนั้นมีอารมณ์เล็กน้อยในขณะที่เขากล่าวซ้ำ ๆ ว่า “ข้าขอโทษ ข้าขอโทษเหยาเอ๋อ ข้าไม่ควรออกจากเมืองหลวง แต่ข้าไม่เคยคิดเลยว่าตระกูลเหยาจะจัดการแต่งงานกับเจ้าในขณะที่ข้าไม่อยู่ เหยาเอ๋อ ข้าขอโทษ ข้าควรรีบกลับไปก่อนหน้านี้”

หลู่เหยากระทืบเท้าของนางอย่างกะทันหัน แต่นางรู้ว่านางไม่สามารถกระตุ้นเขาได้อีกในเวลาเช่นนี้ นางจึงรีบกล่าวว่า “เจ้าไม่ต้องพูดขอโทษ ไม่จำเป็นสำหรับเรา มีคนมากมายในคฤหาสน์ของตระกูลเหยา เจ้ามาถึงเรือนด้านใน ไม่สะดวกอย่างแท้จริง รีบกลับไปหาข้าที่บ้าน เมื่อข้าไปบ้านในสามวัน มันจะง่ายกว่าที่เราจะพูดคุยกันในคฤหาสน์หลู่”

“แต่…”

“มีเวลาไม่มาก” หลู่เหยาตัดเขาออก “ทำตามที่ข้าพูด และเชื่อฟังข้ารออยู่ที่บ้าน เราไม่ได้พบกันมาหลายเดือนแล้ว และต้องพูดอย่างเหมาะสม”

“เหยาเอ๋อ” ชายนั้นไม่เต็มใจมาก “ข้าออกไปเพียงไม่กี่เดือน เจ้าก็กลายเป็นภรรยาของคนอื่นได้อย่างไร ท่านพ่อไม่ได้บอกกับข้าเช่นนี้ ! ถ้าข้ารู้ว่ามันจะเป็นแบบนี้ ข้าจะไม่ออกจากเมืองหลวง แม้ว่าข้าจะพ่ายแพ้ต่อความตาย เหยาเอ๋อ นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการใช่หรือไม่ ? ”

หลู่เหยาพยักหน้า “ใช่ ทุกอย่างที่เจ้าพูดนั้นถูกต้อง แต่ไม่มีอะไรที่เราพูดในตอนนี้ เจ้าก็รู้ว่าแม้ว่าข้าจะเป็นบุตรสาวของฮูหยินใหญ่ แต่ข้าไม่ใช่บุตรสาวแท้ ๆ ของนาง นั่นเป็นเหตุผลที่ข้าไม่มีที่ยืนในคฤหาสน์นั้น ความหวังทั้งหมดของพวกเขาอยู่ในน้องสาวคนที่สาม นั่นเป็นเหตุผลที่ข้าไม่ได้พูดในเรื่องการแต่งงานครั้งนี้ เข้าใจตำแหน่งของข้า หากมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับการแต่งงานในวันนี้ท่านพ่อ… ท่านพ่อจะตีข้าจนตาย”

ชายผู้นั้นตกตะลึง ใครจะรู้ว่าเขากลัวสิ่งที่หลู่เหยาพูดหรือทำอะไร เขาเงียบไปพักใหญ่

หลังจากนั้นไม่นานเมื่อทุกคนคิดว่าชายคนนั้นจะไม่พูดอะไรออกมาอีกและจะจากไป ทันใดนั้นชายคนนั้นก็ดึงหลู่เหยาเข้ามากอดแน่น เขาฝังใบหน้าของเขาไว้ในผมของนาง และดูเหมือนว่าเขากำลังถือสมบัติล้ำค่า

เฟิงหยูเฮงมองเห็นสิ่งนี้และขมวดคิ้วแน่น ขณะที่หวงซวนกล่าวจากด้านข้างว่า “หลู่เหยานิสัยแย่จริง ๆ จริง ๆ แล้วนางมีชายอีกคนหนึ่งอยู่ข้างนอก และผู้ชายคนนี้มาหา นี่ไม่ใช่การดูหมิ่นตระกูลเหยามากเกินไปหรือ ตระกูลหลู่สอนบุตรแบบไหน ? บุตรสาวไร้ยางอายเช่นนี้เกิดมาได้อย่างไร ? ”

วังซวนก็โกรธด้วยเช่นกัน “นางแต่งงานกับคฤหาสน์เหยา สร้างรอยมลทินให้คฤหาสน์ของเหยามากเกินไป แต่…” เมื่อวังซวนพูดจึงมีข้อสงสัยปรากฏบนใบหน้าของนาง

ในเวลานี้เฟิงหยูเฮงก็พูด อย่างไรก็ตามนางกล่าวว่า “พวกเจ้าทั้งสองคนไม่คิดหรือว่าหลู่เหยาดูเหมือนผู้ชายคนนี้ ? ”

หวงซวนรู้สึกงงงวย “เขาเป็นผู้ชายและนางผู้หญิง พวกเขาจะคล้ายกันได้อย่างไรเจ้าคะ ? ”

วังซวนส่ายหัว “ใช่เจ้าค่ะ บริเวณระหว่างคิ้วของพวกเขาคล้ายกัน รูปหน้าของพวกเขาก็คล้ายกัน”

“หืม ? ” หวงซวนได้ยินและมองอย่างระมัดระวัง แต่นางบอกไม่ได้จริง ๆ

สำหรับวังซวน นางเริ่มสงสัยว่า “ข้าได้ยินมาว่าคฤหาสน์ของเสนาบดีมีบุตรชายคนโตที่เกิดมาจากมารดาคนเดียวกับหลู่เหยา ตลอดสองปีที่ผ่านมาเขาถูกใต้เท้าหลู่ส่งออกจากเมืองหลวงเพื่อจัดการธุรกิจบางอย่าง เป็นได้ไหม… ที่จะเป็นเขา ? ”

“พี่ชายและน้องสาว?” หวงซวนตกใจมาก แต่เมื่อนางคิดอย่างรอบคอบเกี่ยวกับการสนทนาจากก่อนหน้านี้ นางก็สามารถปะติดปะต่อเรื่องราวได้ สิ่งที่น่าสงสัยน้อยลงในทันที นางเริ่มวิเคราะห์ด้วยตัวเอง “พี่ชายออกจากเมืองหลวงไปนานและไม่รู้ว่าน้องสาวจะแต่งงานในวันนี้ มารดาของพวกเขาจากไปอย่างรวดเร็ว ดังนั้นความผูกพันของพวกเขาจึงลึกซึ้งอย่างแน่นอน เมื่อรู้ว่าน้องสาวของเขากำลังจะแต่งงานเขาย่อมรู้สึกเสียใจเล็กน้อย เขาต้องการมาคุยด้วย นี่คือ…ไม่ไร้ที่ติ แต่สามารถให้อภัยได้”

ด้วยการวิเคราะห์นี้ไม่มีอะไรผิดปกติจริง ๆ

ในเวลานี้หลู่เหยาพูดตามความจริง “พี่ใหญ่ ท่านแม่ของเราล่วงลับไปนานแล้ว เจ้าเป็นญาติโดยตรงของเหยาเอ๋อ พี่ใหญ่รออีกไม่กี่วัน เมื่อเหยาเอ๋อไปเยี่ยมที่บ้านภายในสามวัน เราจะต้องได้คุยกันอย่างแน่นอน”

หวงซวนถอนหายใจ “พี่น้องคู่นี้น่าสงสารจริง ๆ”

การกระทำของพวกเขาถูกเฝ้าดูจนจบ และไม่มีอะไรให้ดูมากนัก ทางด้านนั้นหลู่เหยาและพี่ชายก็กล่าวอำลากัน ชายผู้นั้นได้ออกไปแล้ว ในขณะที่หลู่เหยากลับไปที่เรือนของนางอย่างรวดเร็ว

แต่เฟิงหยูเฮงกล่าวในเวลานี้ “ทำไมข้าถึงรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติเกี่ยวกับพี่น้องสองคนนั้น ? ”

 

ตอนที่ 654 งานแต่งงานของเหยาซู่

วันที่หก เดือนแปดถูกกำหนดโดยตระกูลหลู่ ดังที่เสนาบดีฝ่ายซ้ายหลู่ซ่งกล่าวว่าวันนั้นมีการคำนวณอย่างรอบคอบจากคนที่พวกเขาไปถาม มันเป็นวันมงคลมาก

เหยาเซียนไม่เคยสนใจสิ่งเหล่านี้เลย ไม่ว่าอย่างไร วันที่หกฟังดูดี ดังนั้นเขาจึงพยักหน้าเห็นด้วย

อย่างไรก็ตามใครจะรู้ว่าวันนี้จะมีฝนตกหนัก ฝนตกตั้งแต่เช้าตรู่และตกอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีวี่แววว่าจะหยุด แม้เหยาซู่จะไปพบเจ้าสาว ไม่มีอะไรที่ตระกูลเหยาทำได้ และทำได้แค่เตรียมเสื้อกันฝนเพื่อให้เหยาซูออกไปอย่างรวดเร็ว ด้านนอกของเกี้ยวนั้นถูกคลุมด้วยผ้ากันฝนเพื่อป้องกันไม่ให้เปียก

เหยาซูรีบไปและในที่สุดก็มาถึงประตูบ้านของตระกูลหลู่ ตระกูลหลู่ไม่สามารถตำหนิใครได้ เพราะนี่เป็นวันที่พวกเขาได้เลือกและฝนก็ตกในวันทำพิธีมงคลนี้ พวกเขาไม่มีที่ระบายความผิดหวัง มันน่าเสียดายที่เสื้อผ้าที่สวยงามของหลู่เหยาจะลงเอยด้วยการเปียกน้ำไม่ว่านางจะระมัดระวังแค่ไหนก็ตาม

ภายใต้ชุดแต่งงานสีแดงสดของนาง ใบหน้าของหลู่เหยาเป็นสีเขียวเล็กน้อยด้วยความโกรธ ในใจของนางพร่ำบ่นเกี่ยวกับคนที่เลือกวันนี้ วันนี้เป็นฤกษ์ดี เห็นได้ชัดว่าเป็นวันที่โชคร้าย

โชคดีที่เกี้ยวเจ้าสาวของตระกูลเหยานั้นเหมาะสมมาก นางก้มเอวแล้วเข้าสู่เกี้ยว และทิ้งสายฝนไว้ข้างนอกทันที มุมปากของหลู่เหยาม้วนเป็นรอยยิ้ม อย่างไรก็ตามนางรู้สึกกังวลเล็กน้อย หลังจากคิดไปมานางไม่สามารถหาที่มาของความกังวลนี้ได้

ในเวลานี้มีผู้คนจำนวนมากรวมตัวกันรอบ ๆ ทางเข้าของคฤหาสน์ของตระกูลเหยา แม้ว่าฝนจะตกแต่ผู้คนก็ยังคงอารมณ์ดี เพราะนี่เป็นงานมงคลครั้งแรกตั้งแต่ตระกูลเหยากลับมาที่เมืองหลวง อีกทั้งคนที่แต่งงานคือบุตรสาวของฮูหยินใหญ่คฤหาสน์ของเสนาบดีฝ่ายซ้าย นี่เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งในเมืองหลวง

ผู้คนเริ่มพูดคุยกันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ “ต้องบอกว่าตระกูลเหยามีความเกี่ยวข้องอย่างลึกซึ้งกับท่านเสนาบดี เมื่อนึกย้อนกลับไปบุตรสาวคนเดียวแต่งงานกับคฤหาสน์ของเสนาดีฝ่ายซ้าย ตอนนี้หลานชายคนโตกำลังแต่งงานกับอีกคนจากคฤหาสน์ของเสนาบดีฝ่ายซ้าย”

“แต่เสนาบดีทั้งสองไม่สามารถเปรียบเทียบกันได้ ไม่มีโอกาสที่จะกลับมาอีกอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตามตระกูลหลู่อยู่ที่จุดสูงสุดและได้รับการไว้วางใจจากฮ่องเต้”

“ฮะ ! นั่นไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะพูด ใครบ้างที่สามารถบอกได้อย่างถูกต้องว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต เสนาบดีฝ่ายซ้ายของราชสำนักของเราไม่เคยมีจุดจบที่ดีเลย ใครจะรู้ว่าตระกูลหลู่นี้จะสามารถอยู่รอดได้นานแค่ไหน”

เสียงกระซิบกระซาบแบบนี้ถูกกลบไปด้วยเสียงฝนตกหนัก ที่ทางเข้าของคฤหาสน์ตระกูลเหยา พวกผู้ใหญ่ก็ออกไปต้อนรับแขก แต่คนรุ่นใหม่คอยที่จะสวมใส่เสื้อผ้าพิเศษของพวกเขา ในเรื่องที่เกี่ยวกับพี่ชายคนโตของพวกเขาแต่งงาน น้องชายเหล่านี้สนใจมาก

เฟิงหยูเฮงก็ไปรับแขกในฐานะลูกพี่ลูกน้อง แม้แต่เฟิงจื่อหรูก็ยังยืนเคียงข้างนาง เสียงประกาศดังขึ้นมาว่าเจ้าสาวจะมาถึงแล้ว

เร็วมาก ขบวนของเหยาซู่เข้ามาในสายตาของพวกเขา วงมโหรีที่เคยประจำการอยู่ใกล้ทางเข้าของคฤหาสน์ของตระกูลเหยาเริ่มบรรเลงทันที ในขณะที่เริ่มจุดประทัดแม้ฝนจะตก

ในที่สุดเหยาซู่ก็หยุดอยู่ตรงหน้าทางเข้าคฤหาสน์ เมื่อเกี้ยวแต่งงานวางลง เขากระโดดลงจากม้าและเดินไปที่ด้านข้างของเกี้ยวเพื่อรอให้เจ้าสาวออกมา

ไม่มีการเตะประตูเกี้ยวหรือยิงธนูสำหรับพิธีการของตระกูลเหยา การแต่งงานหมายความว่าพวกเขาจะเป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องทำการข่มภรรยาให้อยู่ในโอวาท

ในความเป็นจริงทุกคนรู้ว่าผู้หญิงที่ได้แต่งงานเข้าคฤหาสน์ของตระกูลเหยานั้นนับว่าโชคดีมาก ไม่ต้องพูดถึงความน่ากลัวของเฟิงหยูเฮงที่เป็นญาติของพวกเขา และจะทำให้พวกเขามีความมั่นคงมาสามชั่วอายุคน นอกจากนี้ยังมีกฎของตระกูลเหยาที่กล่าวว่าผู้ชายจะต้องไม่แต่งอนุเข้าบ้าน นี่เป็นสิ่งที่น่าอิจฉาอยู่แล้ว มีภรรยาเพียงคนเดียวในชีวิตของพวกเขา มันยากขนาดนี้ที่จะเกิดขึ้นในโลกนี้ !

หลู่เหยาออกจากเกี้ยว และเหยาซู่ช่วยประคองนางในขณะที่ถือร่มสีแดง แม้ว่ามันจะไม่สามารถป้องกันชุดแต่งงานจากการเปียกฝนได้ แต่หลู่เหยาก็ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี เหยาซู่กางร่มส่วนใหญ่ไว้บนหัวของนาง

ในเวลาเดียวกันเจ้าหน้าที่จัดงานแต่งงานโปรยเหรียญทองแดงบางส่วนไปยังฝูงชนที่กำลังมองหา ผู้คนพากันกล่าวว่า “ขอแสดงความยินดี” ขณะที่หยิบเงินรางวัลขึ้นมา

บางคนได้ยินเสียงแผ่วเบาว่า “การแต่งงานในวันที่ฝนตก เจ้าสาวคนนี้ช่างน่าทึ่งจริง ๆ ข้าสงสัยว่าเจ้าบ่าวจากตระกูลเหยาจะสามารถทำให้นางเชื่องได้หรือไม่”

ขณะที่พวกเขาพูดกัน เจ้าสาวและเจ้าบ่าวก็ขึ้นบันไดแล้ว ด้วยเหตุผลบางอย่างหลู่เหยาก็สะดุดเมื่อเฟิงหยูเฮงเดินผ่าน ร่างกายทั้งหมดของนางเริ่มเซถลาไปหาเฟิงหยูเฮง

เฟิงหยูเฮงไม่เปล่งเสียงของนางและช่วยประคอง มันดูราวกับว่านางเพิ่งช่วยยืดเส้นยืดสายของนาง แต่นางก็ใช้กำลังนิดหน่อยเพื่อจับหลู่เหยาขึ้นมา

“พื้นลื่น ลูกพี่ลูกน้องต้องระวัง” มีรอยยิ้มบนใบหน้าของนาง แต่เสียงของนางไร้อารมณ์

ภายใต้ผ้าคลุมหน้าเจ้าสาว หลู่เหยาก็แค่นเสียงออกมาเบา ๆ และไม่ได้ขอบคุณนาง นางหันกลับมาอย่างเชื่องช้า เหยาซู่เป็นคนที่ขอบคุณเฟิงหยูเฮงอย่างรวดเร็ว เมื่อทั้งสองยืนมั่นคงอีกครั้ง พวกเขาก็เริ่มเดินเข้าไปในคฤหาสน์

ในเวลานี้แขกคนหนึ่งที่มีสายตาแหลมสังเกตเห็นสร้อยข้อมือทองคำที่หลู่เหยาได้สวมใส่และพวกเขาก็อุทาน “สร้อยข้อมือนั้นสวยงามจริง ๆ ! ”

ใครบางคนอยากรู้กล่าวอย่างรวดเร็ว “มันจะไม่สวยได้อย่างไร? นั่นคือสิ่งที่ช่างฝีมือเป่ยทำเองตามคำขอร้องขององค์หญิงจี่อัน”

ช่างฝีมือเป่ย ? สวรรค์ บุคคลแบบนี้ยังต้องทำตามคำขอร้องขององค์หญิงจี่อัน

“แน่นอน ตระกูลหลู่แต่งงานกับตระกูลเหยา แม้ดูเหมือนว่าบุตรสาวของเสนาบดีจะแต่งงาน แต่ใครจะรู้ว่าตระกูลหลู่เป็นคนที่ได้รับการจัดการที่ดี”

ผู้คนเริ่มถกเถียงกัน แม้กระนั้นพวกเขาก็เริ่มตามหลังเจ้าสาวและเจ้าบ่าว เนื่องจากฝนตกหนัก ตระกูลเหยาจึงตั้งร่มขนาดใหญ่ที่สนามหน้าบ้านไว้ล่วงหน้า เมื่อผู้คนกำลังเดินอยู่ใต้ร่ม พวกเขาไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับการเปียกปอน

เฟิงหยูเฮงลากเฟิงจื่อหรูและเดินตามลูกพี่ลูกน้องเข้าไปข้างใน เฟิงจื่อหรูยังเล็ก และดูตื่นเต้น ลูกพี่ลูกน้องคนที่สอง, เหยาเซินได้อุ้มเขาขึ้นมาเพื่อให้เขามองเห็นชัด ๆ

ห้องโถงหลักของลานคือห้องโถงจัดงานแต่งงาน ในเวลานี้เหยาเซียนนั่งที่ด้านซ้ายของห้องโถงจัดงานแต่งงาน บิดาของเหยาซู่, จิงจุนนั่งทางด้านขวา และที่ยืนอยู่ที่ฝั่งของจิงจุนคือภรรยาของเขา, ซูซื่อ

ท่าทางของเหยาเซียนไม่ได้ดูยินดีมากนัก มันดูเคร่งขรึมเล็กน้อย จิงจุนและซูซื่อดูยินดีและไม่สามารถซ่อนมันได้

ท้ายที่สุดแล้วธรรมชาติของตระกูลเหยาก็คือการมีน้ำใจ เมื่อพวกเขาเห็นมันไม่มีคนเลวในโลกนี้ มีเพียงเฟิงจินหยวนเท่านั้นที่ถูกตัดสินอย่างแท้จริง แต่อย่างน้อยที่สุดไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ตราบใดที่มีคนเข้าประตูของตระกูลเหยา พวกเขาก็จะปฏิบัติต่อพวกเขาเป็นอย่างดี หากคนผู้นั้นไม่รู้จริง ๆ ว่าอะไรดีสำหรับพวกเขา พวกเขาจะได้รับการจัดการ

บุคคลที่ทำหน้าที่จัดงานแต่งงานในวันนี้คือเสนาบดีฟู่ชิงที่เหมาะสม เขาถูกฮ่องเต้ส่งมา ครั้งแรกเสนาบดีที่เหมาะสมนี้อยู่ใกล้ชิดกับองค์ชายเก้าและเฟิงหยูเฮง ประการที่สองคือให้เขาทำงานร่วมกับเสนาบดีฝ่ายซ้าย นี่จะทำให้ราชสำนักรู้สึกใกล้ชิดยิ่งขึ้น

ก่อนอื่นพวกเขาคำนับฟ้าดิน จากนั้นพวกเขาคำนับบิดามารดา และทั้งคู่ก็คำนับซึ่งกันและกัน ก่อนที่พวกเขาจะถูกส่งไปยังห้องหอ ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น นอกจากหลู่เหยาลื่นจนเกือบจะล้มในขณะที่อยู่นอกคฤหาสน์งานแต่งงานนี้ก็เสร็จสมบูรณ์โดยไม่มีปัญหาใด ๆ แม้ว่าการลื่นนั้นก็ถูกมองว่าปกติมากเพราะฝนตกหนัก

เฟิงหยูเฮงไม่คิดว่าจะมีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นเมื่อหลู่เหยาล้ม ในเวลานั้นนางเห็นว่าหลู่เหยาเหยียบชุดของตัวเองโดยไม่ได้ตั้งใจนอกจากพื้นที่ลื่น การสูญเสียความสมดุลอาจไม่เป็นเรื่องปกติอีกต่อไป มันเป็นเพียงแค่การลื่นล้มที่พุ่งตรงมาหานาง อีกฝ่ายต้องการสร้างปัญหากับนางทันทีหลังจากแต่งงานเข้าตระกูลเหยาหรือไม่ ? นางยิ้มอย่างขมขื่นและคิดกับตัวเอง : หลู่เหยา เจ้ากำลังแต่งงานกับตระกูลเหยา ไม่ได้เป็นคฤหาสน์ขององค์หญิง ยิ่งกว่านั้นตระกูลหลู่ต้องการที่จะประจบประแจงกับข้าและซวนเทียนหมิง การกระทำของเจ้าขัดแย้งกับความปรารถนาของบิดาของเจ้าเอง !

เมื่อเจ้าสาวและเจ้าบ่าวถูกส่งไปยังห้องหอ ผู้ดูแลให้แขกกลับไปที่หน้าบ้านและนั่งลงใต้ร่ม

เนื่องจากความเคารพของฮ่องเต้ต่อการแต่งงานครั้งนี้ และความสัมพันธ์ของฮ่องเต้กับเหยาเซียน และเพื่อที่จะให้ไว้หน้าหลู่ซ่ง องค์ชายทุกคนในเมืองหลวงจึงเข้าร่วม พวกเขายังนำพระชายาของพวกเขามาด้วย แม้แต่องค์ชายห้าก็พาเฟิงเฟินไดมาด้วย

สำหรับเฟิงหยูเฮง นางเป็นองค์หญิง นางควรจะได้รับเกียรติ แต่นางก็เป็นญาติของตระกูลเหยาด้วย เป็นเรื่องธรรมดาที่นางจะนั่งกับสมาชิกของตระกูลเหยา

มีเพียงเฟิงเฟินไดซึ่งมองมาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง ด้วยความไม่พอใจในสายตาของนาง มันเป็นไปไม่ได้ที่เฟิงหยูเฮงจะไม่สังเกตเห็น อย่างไรก็ตามนางไม่ได้คิดมาก นางแค่ยิ้มตอบ สายตาของนางดูราวกับว่านางกำลังมองคนแปลกหน้าอยู่ เรื่องนี้ทำให้เฟิงเฟินไดโกรธมากจนบิดผ้าเช็ดหน้าในมือของนาง

พระชายารองทั้งสองคนขององค์ชายใหญ่อุ้มลูกมาด้วย เด็กสองคนน่ารักมาก และเฟิงหยูเฮงมีความสุขมากที่ได้เห็นพวกเขา นางยังดึงอาหารสำหรับทารก 2 กระป๋องออกมาจากมิติของนางและส่งมอบให้

ในส่วนที่เกี่ยวกับของกำนัลของเฟิงหยูเฮง ทุกคนรู้ว่ามันไม่ธรรมดาโดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากได้ยินเกี่ยวกับวิธีการชงและโภชนาการที่ให้ไว้ พระชายารองทั้งสองต่างก็ขอบคุณเฟิงหยูเฮง

ซวนเฟยหยูและเฟิงจื่อหรูเริ่มเล่นด้วยกันและเด็กสองคนก็เริ่มวิ่งเล่น พวกเขาจะชนคนอื่นเป็นครั้งคราว แต่เมื่อรู้จักตัวตนของพวกเขา คนเหล่านี้มีความสุขเกินกว่าที่จะถูกชน หากพวกเขาสามารถพูดได้สักคำสองสามคำจะดีแค่ไหน?

ขณะที่พวกเขาเล่น ใครจะรู้ว่าใครเป็นคนแนะนำ แต่เด็กสองคนวิ่งออกไปจากสนามหน้าบ้านและมุ่งหน้าไปที่สนามหลังบ้าน

เฟิงหยูเฮงมองเห็นมันแต่ไม่รีบร้อนที่จะกังวลเกี่ยวกับมัน คฤหาสน์เหยานี้เป็นคฤหาสน์เก่าที่เฟิงจื่อหรูเคยอยู่ เฟิงจื่อหรูค่อนข้างคุ้นเคยกับพื้นที่นี้ ยิ่งไปกว่านั้นเป็นตระกูลเหยาที่อาศัยอยู่ที่นี่ ตระกูลเหยาตั้งแต่เจ้านายจนถึงบ่าวรับใช้ล้วนมีบุคลิกคล้ายกัน นางเข้าใจเรื่องนี้ นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้นางสบายใจที่จะให้เด็กสองคนเล่นอย่างที่พวกเขาพอใจ นางรู้ว่าจะไม่มีอันตรายใด ๆ

ไม่นานเหยาซู่ก็เดินออกจากสนามหลังบ้าน เขายังคงสวมชุดเจ้าบ่าวและเริ่มรับสุราอวยพรจากแต่ละโต๊ะ

ทุกอย่างติดตามอย่างราบรื่นและทุกอย่างเป็นปกติอย่างสมบูรณ์ เฟิงหยูเฮงคิดว่าทุกสิ่งสามารถอธิบายได้อย่างกลมกลืนอย่างสมบูรณ์แบบ

แน่นอน สำหรับตระกูลเหยา นี่คือบรรยากาศที่ควรมีอยู่ แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างนางรู้สึกว่าความสงบสุขในวันนี้ปะปนไปด้วยความกระวนกระวายใจเล็กน้อย นางไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะเกิดอะไรขึ้น

ไม่นานซวนเฟยหยูและเฟิงจื่อหรูก็วิ่งกลับมา คราวนี้พวกเขาไม่ได้เล่นและหัวเราะเสียงดังอีกต่อไป พวกเขาทั้งคู่วิ่งไปหาเฟิงหยูเฮง

เฟิงหยูเฮงกอดเด็กแน่น ๆ ในขณะที่เช็ดเหงื่อออกจากหน้าผากของพวกเขา นางถามเฟิงจื่อหรู “มันเป็นเจ้าที่พาพระนัดดาวิ่งไปรอบ ๆ ”

เฟิงจื่อหรูขมวดคิ้วแต่ไม่พูด

หัวใจของเฟิงหยูเฮงเต้นแรง จากนั้นนางเห็นว่าซวนเฟยหยูต้องการพูด ดังนั้นนางจึงถามว่า “มันคืออะไร ? เกิดอะไรขึ้นกับเจ้าทั้งสองคน”

ซวนเฟยหยูพยักหน้าและย้ายไปที่ด้านข้างของเฟิงหยูเฮงและกระซิบบอกนางว่า “พี่นางฟ้า จื่อหรูและข้าไปที่สนามหลังบ้านเพื่อเล่นกัน นอกเรือนหอ เราเห็นชายแปลกหน้า…”

ตอนที่ 653 สวรรค์และโลก

 

อดีตเสนาบดีฝ่ายซ้ายที่ยอดเยี่ยมในตอนนี้กำลังตกอยู่ในภาวะเลวร้ายเพราะไม่มี 150 เหรียญเงิน เมื่อเฟิงจินหยวนออกจากคฤหาสน์ขององค์หญิง เขาไม่เข้าใจว่าเขาตกจากสวรรค์สู่พื้นได้อย่างไร ทำไมเขาถึงตกอับอย่างนี้

น่าเสียดายหลังจากคิดไปทางซ้ายและขวา เขายังมาถึงข้อสรุปเดียวกัน : เขาเลือกที่จะกอดขาผิด

ค่าเล่าเรียนของบุตรชายของเขาหรือ ? ระหว่างทางกลับไปบ้านของตระกูลเฟิงจากคฤหาสน์ขององค์หญิง เฟิงจินหยวนมีความคิดเช่นนั้น เขาควรจะจัดการค่าเล่าเรียนให้กับเฟิงจื่อหรูอย่างไร หากเขาไม่สามารถส่งมอบเงินจำนวนนั้นได้ เขาควรจะหาวิธีที่จะให้เฟิงหยูเฮงจัดการปัญหาของเขาได้อย่างไร เขาควรบอกให้เฟิงหยูเฮงช่วยหางานให้เขามีรายได้อย่างไร

เขาไปด้วยความตั้งใจเดิมในการขอความช่วยเหลือ ในท้ายที่สุดเขากลับมาพร้อมหนี้ เฟิงจินหยวนพบว่าบุตรสาวคนที่สองนี้ไม่ประสบความพ่ายแพ้แม้ครั้งเดียว !

ในพริบตาเขาก็กลับไปที่บ้านของตระกูลเฟิง เขาลงจากรถม้าแล้ววิ่งไปหาเฟิงเฟินไดซึ่งเพิ่งกลับมา เฟิงจินหยวนต้องการถามเฟิงเฟินไดว่านางไปที่ไหน แต่ไม่มีคำพูดออกมาเมื่อเขาอ้าปาก ไม่ว่าจะพูดอะไร เขาก็ยังต้องพึ่งพาบุตรสาวคนที่สี่ซึ่งเขาไม่สามารถทำให้ทุกคนโกรธเคืองในคราวเดียวกันได้

เขาเตรียมที่จะลดศีรษะของเขาและเดินเข้าไป แต่การที่เขาไม่สนใจเฟิงเฟินไดนั้นไม่ได้หมายความว่าเฟิงเฟินไดจะปล่อยให้เขาจากไปอย่างง่ายดาย ในเรื่องที่เกี่ยวกับบิดาคนนี้ เฟิงเฟินไดก็ทนมาเกินพอแล้ว นางดูหมิ่นเฟิงจินหยวน เมื่อนางเห็นว่าเฟิงจินหยวนกลับมาอยู่ในสภาวะเสียใจ นางรู้ทันทีว่าสิ่งต่าง ๆ ไม่เป็นไปด้วยดี นางจึงอดไม่ได้ที่จะเยาะเย้ยเขาว่า “เป็นอย่างไรเมื่อท่านพ่อไปถามองค์หญิงซึ่งเป็นบุตรสาวคนที่สอง ให้นางหางานที่ดีให้ท่านพ่อ ท่านพ่อพบปัญหาอื่นหรือไม่ ? ”

เฟิงจินหยวนกล่าวด้วยน้ำเสียงที่สงบ “ข้ายังไม่ได้เอ่ยเรื่องนี้นาง”

“ท่านพ่อยังไม่ได้เอ่ยหรือ ? ” เฟิงเฟินไดรู้สึกงงงวย “ข้าได้ยินมาว่าท่านพ่อรออยู่ข้างนอกคฤหาสน์ขององค์หญิงตลอดทั้งวันทั้งคืน เป็นไปได้อย่างไรที่ท่านพ่อไม่ได้พูดคุยเรื่องสำคัญ ? ท่านพ่อทำอะไรอยู่ ? ”

เฟิงจินหยวนก็รู้สึกหดหู่ใจเช่นกัน เขาทำอะไร ? เขาไม่บรรลุเป้าหมายและลงเอยด้วยการเป็นหนี้ แต่เขาไม่สามารถพูดสิ่งนี้กับเฟิงเฟินได ค่าเล่าเรียนของเฟิงจื่อหรูเป็นสิ่งที่เขาต้องทำ ด้วยการแสดงความรับผิดชอบในเรื่องนี้เท่านั้น เขาหวังว่าจะให้เฟิงหยูเฮงเริ่มเปลี่ยนความรู้สึกของนางที่มีต่อเขา

ปัจจุบันเขาชัดเจนมากในหลาย ๆ เรื่อง เฟิงเฟินไดและองค์ชายห้าเป็นเพียงประโยชน์เล็กน้อยในตอนนี้ ถ้าตระกูลเฟิงต้องการที่จะกลับมาและถ้าเขาต้องลุกขึ้นยืนอีกครั้งของตระกูล เขาต้องพึ่งพาเฟิงหยูเฮง

ด้วยความคิดนี้ เฟิงจินหยวนจึงไม่ได้คิดว่าการยั่วยุและการสบประมาทของเฟิงเฟินไดมากเกินไป เขาเข้าใจ เมื่อความสัมพันธ์แบบบิดา – บุตรสาวกับเฟิงหยูเฮงหายไปแล้ว เฟิงเฟินไดจะได้รับการพิจารณาอย่างไร ? นางเป็นบุตรสาวของอนุและองค์ชายห้าเป็นเพียงองค์ชายที่ไม่ได้รับความโปรดปราน เขาจะเปรียบเทียบกับองค์ชายเก้าได้อย่างไร

เขายืดตัวตรงและมองเฟิงเฟินไดอย่างเย็นชาพูดอย่างแข็งขัน “ข้าออกไปทำธุระ เจ้ากังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ? ”

ทันใดนั้นเฟิงจินหยวนก็เข้มงวดขึ้นทำให้เฟิงเฟินไดตื่นตกใจ นางส่งเสียงกรีดร้องออกมาอย่างไม่รู้ตัว “ท่านพ่อเสียสติไปแล้วหรือ ? หลังจากได้รับการสนับสนุนจากเฟิงหยูเฮง ท่านพ่อมาที่นี่เพื่อทำตัวเย่อหยิ่งกับข้าหรือ ? ท่านพ่อกำลังคิดอะไรอยู่ ? ” เฟิงเฟินไดไม่เคยมีใครสนใจ ยืนอยู่หน้าทางเข้า นางเริ่มโต้เถียงกับเฟิงจินหยวน “ขณะนี้ท่านพ่ออาศัยอยู่ในสถานที่ของข้า กินข้าวของข้า สวมใส่เสื้อผ้าของข้า แต่ท่านพ่อยังกล้าที่จะทำตัวเย่อหยิ่งกับข้าอีกหรือ ? ท่านพ่อเสียสติไปแล้วหรือ ? ”

เฟิงจินหยวนโกรธจัด “เจ้าเป็นบุตรสาวของข้า ! ข้าเลี้ยงดูเจ้าเติบโตขึ้นมา ! เป็นไปได้หรือไม่ที่เจ้าจะรู้สึกไม่ผูกพันกับตระกูลเฟิงและไม่สามารถแบ่งภาระของมันได้ อย่าคิดว่าข้าจะตกต่ำเพราะสิ่งนี้ ข้าจะบอกเจ้าว่าข้าจะกลับมาอีกครั้งในที่สุด ไม่ช้าก็เร็ว ตระกูลเฟิงจะกลับสู่ความรุ่งเรืองเหมือนในอดีต เมื่อถึงเวลานั้นบุตรสาวของอนุอย่าเสียใจก็แล้วกัน ! ”

ความมั่นใจฉับพลันของเฟิงจินหยวนทำให้เฟิงเฟินไดตื่นตกใจ ขณะที่นางกำลังจะตอบกลับ บ่าวรับใช้ที่อยู่ด้านข้างของนางดึงนางเข้ามา และกระซิบ “คุณหนูเป็นไปได้มากที่สุดที่องค์หญิงสัญญาว่าจะให้ผลประโยชน์บางอย่างเจ้าค่ะ”

เฟิงเฟินไดใจหาย “วูบ” และทันใดนั้นนางก็ตระหนักว่ามันเป็นไปไม่ได้แม้แต่น้อยที่เฟิงหยูเฮงและเฟิงจินหยวนจะคืนดีกัน เหตุผลที่นางกล้าแสดงออกอย่างหยิ่งยโสก็คือเฟิงจินหยวนต้องพึ่งพานางและองค์ชายห้าเพื่อมีชีวิตรอดต่อไป แต่เมื่อเฟิงหยูเฮงพูด การกระทำปัจจุบันของเฟิงจินหยวนจะไม่ไร้สาระ

เฟิงหยูเฮงมีอำนาจที่จะทำให้ตระกูลเฟิงกลับสู่ความรุ่งเรืองในอดีต นางยังจำได้ว่าองค์ชายห้าเคยกล่าวไว้ว่าถ้าองค์หญิงต้องการเช่นนั้น การฟื้นตัวของตระกูลเฟิงจะเกิดขึ้นในคืนเดียว

นางตัวแข็งทื่อและสงสัยเกี่ยวกับความเป็นไปได้นี้อย่างต่อเนื่อง นางอดไม่ได้ที่จะเริ่มรู้สึกกลัว นางไม่ต้องการกลับไปยังอดีต นางไม่ต้องการกลับไปสู่ช่วงเวลาที่นางไม่มีสิทธิ์พูด เป็นบุตรสาวของอนุ แต่ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับเฟิงหยูเฮง นางมีความสามารถในการควบคุมมันหรือไม่ ?

ขณะที่นางกำลังคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ นางเห็นม้าวิ่งมาหยุดพักที่บ้านของตระกูลเฟิง

คนที่ลงจากหลังม้าดูเหมือนยาม บนพื้นฐานของเสื้อผ้าจะเห็นได้ว่าเขาเป็นทหารองครักษ์ของคฤหาสน์องค์หญิง ทหารองครักษ์นั้นกระโดดลงจากม้าแล้วมาถึงหน้าเฟิงจินหยวน เขาส่งกล่องไม้ไปให้เฟิงจินหยวนพร้อมกล่าวว่า “ท่านเฟิง นี่คือสิ่งที่องค์หญิงบอกให้ข้าเอามาส่งให้ท่าน”

เฟิงจินหยวนงงงวย “มันคืออะไร ? ทำไมนางไม่ให้ข้าก่อนหน้านี้ ? ”

ทหารองครักษ์กล่าวว่า “องค์หญิงลืมขอรับและเพิ่งจำได้ สิ่งที่อยู่ข้างในนั้นคือของกำนัลที่องค์หญิงนำกลับมาจากเฉียนโจว พวกมันทั้งหมดมาจากราชวงศ์เฉียนโจว ท่านเฟิงโปรดรับมัน”

เฟิงจินหยวนรู้สึกถึงอารมณ์เล็กน้อย มันถูกพรากไปจากราชวงศ์เฉียนโจว เขารู้ว่าเฟิงหยูเฮงและซวนเทียนหมิงเอาชนะเฉียนโจวแล้ว ใคร ๆ ก็นึกได้ว่าสมบัติประเภทใดวางอยู่ในกล่องเล็ก ๆ อันงดงามนี้ บุตรสาวคนที่สองของเขานั้นมีลิ้นที่เฉียบคมแต่จิตใจที่อ่อนโยน ดูเหมือนว่าเขาเสียเวลารอทั้งวันทั้งคืนไม่ได้ไร้สาระ

“เอาล่ะ ข้าจะยอมรับมัน ฝากขอบคุณนางให้ข้าด้วย” เฟิงจินหยวนถือกล่องไว้ในมือแล้วมองทหารองครักษ์ออกไป เมื่อเขาหันกลับมาเขาเห็นเฟิงเฟินไดจ้องตรงไปที่กล่องไม้ ความโลภและไม่เต็มใจเต็มดวงตาของนาง เฟิงจินหยวนสูดหายใจเข้าอย่างเย็นชาแล้วเดินเข้าไปในเรือน

อย่างไรก็ตามเฟิงเฟินไดกัดฟันของนางและไล่ตามอย่างรวดเร็ว นางหยุดเฟิงจินหยวนก่อนที่เขาจะไปได้ไกลและกล่าวว่า “ท่านพ่อจะไม่เปิดดูสักหน่อยหรือว่ามีอะไรอยู่ข้างใน ? ”

เฟิงจินหยวนรู้ดีว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ บุตรสาวคนที่สี่นี้เป็นคนโลภมาก หากมีสิ่งดี ๆ อยู่ข้างใน นางจะพยายามทำให้ดีที่สุดเพื่อให้ได้มา แต่เขาไม่กลัว สิ่งที่นำมาจากตระกูลของเฉียนโจวจะไม่เลวร้าย กล่องดูเหมือนจะไม่เบา เมื่อถึงเวลาเขาสามารถส่งมอบสิ่งของ 1 ชิ้นและใช้มันเพื่อตอบแทนองค์ชายห้าสำหรับความใจดีในการดูแลตระกูลเฟิง เช่นนั้นตระกูลเฟิงจะไม่เป็นหนี้เขาอีกต่อไป

เขาคิดแบบนี้พยักหน้า “เอาล่ะถึงแม้ว่าสิ่งของใด ๆ ที่นำออกมาจะมีค่ามาก เพื่อขอบคุณองค์ชายห้าที่ดูแลพวกเราเป็นเวลา 1 ปี ข้าจะเลือกบางสิ่งเพื่อตอบแทนพระองค์” ในขณะที่พูดสิ่งนี้ เปิดกล่องอย่างระมัดระวัง

อย่างไรก็ตามฉากที่คาดหวังไม่ได้ปรากฏขึ้นมา กล่องเต็มไปด้วยนิ้วมากมาย พวกมันทั้งหมดแออัดอยู่ในนั้นพร้อมกับเลือด ทำให้เฟิงจินหยวนส่งเสียงตะโกนด้วยความตกใจแล้วขว้างกล่องลงพื้น

เฟิงเฟินไดก็ได้รับความหวาดกลัวเช่นกัน เมื่อมองไปที่พื้น นางก็ตกใจจนขาสั่น นางยืนอยู่ได้ด้วยความช่วยเหลือจากบ่าวรับใช้เท่านั้น

เฟิงจินหยวนกล่าวอย่างหงุดหงิด “นี่อะไรนะ ? สิ่งนี้คืออะไร ? ”

ในเวลานี้บ่าวรับใช้คนหนึ่งวิ่งมาจากทางเข้า และกล่าวเสียงดัง “ท่านเฟิง ผู้ใต้บังคับบัญชาที่ขี่ม้ามาก่อนหน้านี้กลับมาพร้อมกับข้อความก่อนออกเดินทาง เขาบอกว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงนิ้วมือของสมาชิกทั้งหมดของราชวงศ์เฉียนโจว พวกเขาส่งมอบให้ท่านเฟิงเพื่อให้ท่านเฟิงจดจำไว้ว่ามือของนายน้อยจื่อหรูพิการ”

ยามเฝ้าประตูบอกเสร็จก็วิ่งกลับออกไป

พื้นดินเกลื่อนด้วยนิ้วที่ถูกตัดและเกือบทำให้เฟิงจินหยวนกลายเป็นอัมพาต เขาจ้องมองด้วยความงุนงงเมื่อความตื่นตระหนกในใจของเขาถึงขีดจำกัด

แต่เฟิงเฟินไดฟื้นตัวอย่างรวดเร็วมาก บังคับให้ตัวเองมองดูนิ้วที่ถูกตัดบนพื้นนางเริ่มส่งเสียง นางพูดด้วยน้ำเสียงที่เย้ยหยันมากกว่านี้ “หลังจากออกเดินทางท่านพ่อจะได้รับเกียรติ ข้าคิดว่าท่านพ่อสามารถได้รับผลประโยชน์บางอย่างจากการไปที่คฤหาสน์ขององค์หญิงและคิดว่าเฟิงหยูเฮงเปลี่ยนใจที่จะช่วยท่านพ่อ ใครจะรู้ว่าจริง ๆ แล้วท่านพ่อจะได้รับนิ้วมือที่ถูกตัด ! ทำร้ายบุตรสาวของตัวเองและฆ่าบุตรชายของตัวเอง ท่านพ่ออย่าได้คิดแม้แต่จะกลับมารุ่งเรืองได้ในชีวิตนี้ ! ”

ต้องเผชิญกับการสบประมาทของเฟิงเฟินได เฟิงจินหยวนไม่ได้มีพลังที่จะต่อสู้กลับ นั่งอยู่บนพื้น จิตใจของเขาสับสนวุ่นวาย

ในเวลานี้ภายในคฤหาสน์ขององค์หญิง เฟิงจื่อหรูเงยหน้าขึ้นและถามเฟิงหยูเฮง “ท่านพี่คิดว่าท่านพ่อสามารถจ่าย 150 เหรียญเงินได้หรือไม่ ? ”

เฟิงหยูเฮงกล่าวว่า “เป็นไปไม่ได้แน่นอน แต่ถ้าเขาเต็มใจคิดบางอย่าง เขาควรจะสามารถหามันได้”

“โอ้” เฟิงจื่อหรูคิดมาซักพักแล้วถามว่า “ถ้าอย่างนั้นถ้าท่านพ่อไม่สามารถหาจำนวนนั้นได้ล่ะ ? ท่านพี่ เป็นไปได้หรือไม่ที่ท่านพี่ไม่มีเงิน 150 เหรียญเงิน และจื่อหรูจะไม่สามารถกลับไปเรียนได้ในเสี่ยวโจวได้ ? ”

เฟิงหยูเฮงยิ้มอย่างขมขื่น “เจ้าเด็กโง่ เจ้าคิดจริง ๆ หรือว่าเราขาดเงินจำนวนนี้ ! ไม่ต้องพูดถึง 150 เหรียญเงิน ต่อให้เป็นเงิน 1,500,000 เหรียญเงิน พี่สาวของเจ้าก็สามารถจ่ายได้ นอกจากนี้เจ้ายังมีพี่เขยของเจ้า ? เจ้าเป็นห่วงเรื่องอะไร เหตุผลที่ข้าให้เขาใช้เงินนี้คือการให้เขารับผิดชอบในความเป็นพ่อ และเหตุผลที่ข้าส่งกล่องนิ้วไปให้เขาเพื่อบอกให้เขารู้ว่าการกระทำในอดีตของเขาทั้งหมดไม่ได้ถูกลืม หากเขาต้องการเป็นพ่ออีกครั้ง ข้าจะไม่คัดค้าน แต่ถ้าเขายังมีความคิดที่ไม่ดี จื่อหรู โปรดจำไว้ว่าเจ้าต้องไม่สุภาพต่อใครบางคนที่พยายามจะฆ่าเจ้า”

เฟิงจื่อหรูพยักหน้าอย่างแข็งขันด้วยสายตาที่เปล่งประกาย ซึ่งเป็นแววตาที่ไม่สมควรมีในคนที่ยังเยาว์วัยเช่นเขา “ท่านพี่ไม่ต้องกังวล จื่อหรูไม่ลืมเกี่ยวกับความทุกข์ในอดีต ไม่ว่าจะเป็น 3 ปีในภาคตะวันตกเฉียงเหนือ หรือเวลาที่เรากลับมา ข้าจดจำไว้ในใจของข้าทุกอย่าง ทุกคนใฝ่ฝันเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างบิดากับบุตร แต่ถ้าเขายังคงปฏิบัติต่อเราเหมือนเมื่อก่อน จื่อหรูจะไม่สุภาพอย่างแน่นอน ! ”

เฟิงหยูเฮงยิ้มอย่างพึงพอใจ “จื่อหรูของข้าโตขึ้นแล้ว”

“เฟิงจื่อหรูอายุ 9 ขวบแล้ว” เขาย้ำ “ข้าโตแล้ว ข้าสามารถปกป้องท่านพี่ได้”

“เอาล่ะ ข้าจะได้รับการปกป้องจากเจ้าในอนาคต” นางกอดเฟิงจื่อหรู อย่างไรก็ตามมีบางอย่างที่นางต้องบอกเขาว่า “ข้าจะพาเจ้าไปที่บ้านอีกแห่งเพื่อพบท่านแม่ นางคิดถึงเจ้ามาก”

เฟิงจื่อหรูตกตะลึง และขัดกับมัน อย่างไรก็ตามเขาไม่ปฏิเสธ เขาพยักหน้า “ท่านพี่สามารถตัดสินใจได้”

“อืม” นางกล่าวต่อ “เราจะไปทานอาหารเย็นกับตระกูลของท่านปู่ เราจะไปเยี่ยมท่านลุง ท่านป้า และลูกพี่ลูกน้องกัน”

“ข้าจะกลับเสี่ยวโจวเมื่อไหร่ ? ” เด็กนั้นเงยหน้าขึ้น และถามนาง

เฟิงหยูเฮงคิดเล็กน้อย “หลังจากงานแต่งงานของลูกพี่ลูกน้องคนโตเสร็จ”

“ขอรับ” เฟิงจื่อหรูพยักหน้า แล้วกล่าวว่า “มันน่าเสียดายที่เมื่อข้าจากไป ท่านพี่จะเป็นคนเดียวที่เหลืออยู่ในคฤหาสน์ขององค์หญิง ท่านพี่เติบโตอย่างรวดเร็ว เมื่อท่านพี่อายุมากขึ้น ท่านพี่สามารถแต่งงานเข้าตำหนักหยู เช่นนั้นข้าก็สบายใจเมื่อข้าไปสำนักศึกษา”

ปีที่ 23 ตามกฎของเทียนหวู่ งานแต่งงานของเหยาซู่เกิดขึ้นในวันที่หก เดือนที่แปด…

ตอนที่ 652 เสือดาวไม่สามารถเปลี่ยนจุดของมัน

 

เฟิงหยูเฮงรู้สึกว่านางเป็นคนใจกว้างเกินไป นางเป็นคนโง่ได้ยังไงที่รู้สึกสงสารเฟิงจินหยวนในเวลาเช่นนี้ ? นางคิดได้อย่างไรว่าคนผู้นี้จะเปลี่ยนไปหลังจากได้รับประสบการณ์เช่นนี้ ?

เสือดาวไม่สามารถเปลี่ยนจุดของมัน นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการอธิบายคนอย่างเฟิงจินหยวน

เฟิงจื่อหรูไม่รู้ว่าสถานการณ์แบบไหนที่เกิดขึ้นในคฤหาสน์ขององค์หญิงในตอนเช้า เขาได้แต่ถามว่า “ผู้หญิงคนไหน ? “

เฟิงหยูเฮงกล่าวว่า “คนที่เจ้าพบเมื่อกี้”

“โอ้” เฟิงจื่อหรูพยักหน้า แต่ก็ยังงงว่า “ท่านพ่อกำลังมองหานางหรือ ? ”

เฟิงหยูเฮงตะคอกอย่างเย็นชา “เจ้าคิดอย่างไร ? ”

เฟิงจื่อหรูฉลาดมากและเข้าใจบิดาของเขาเป็นอย่างดี เมื่อพี่สาวของเขาพูดอย่างนี้แล้ว เขาก็เข้าใจทันที อย่างไรก็ตามเขายังจำสิ่งที่พี่สาวของเขาพูดไว้ก่อนหน้านี้ ดังนั้นเขาจึงกล่าวกับเฟิงจินหยวน “ไม่ว่าจะเป็นคนหรือสถานการณ์ ท่านพ่อต้องไม่มองแค่ผิวเผิน ยกตัวอย่างเช่นผู้หญิงที่ท่านพ่อพูดถึง มีความเป็นไปได้ว่านางเป็นผู้ชาย”

คำเหล่านี้อาจไม่เป็นปกติอีกต่อไป ความตั้งใจดั้งเดิมคือการพูดว่าสายตาของเฟิงจินหยวนนั้นไม่ดีสำหรับการมองจาวเหลียนในฐานะผู้หญิง แต่เมื่อเฟิงจินหยวนได้ยิน ความหมายของพวกเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขารู้สึกว่าเด็กเหลือขอกำลังเยาะเย้ยเขา และสถาพร่างกายของเขา แทนที่จะกล่าวว่า “ผู้หญิงอาจเป็นผู้ชาย” มันเป็น“ผู้ชายอาจเป็นผู้หญิง”

เฟิงจินหยวนอารมณ์เสียทันที เขารู้สึกว่าบุตรชายคนนี้เกิดมาเพื่อจุดประสงค์เดียวคือการทำให้เขาขายหน้า จะเป็นการดีกว่าที่จะบีบคอเด็กคนนี้จนตาย

แต่เมื่อความโกรธเริ่มลุกลาม มันก็ถูกปราบปรามทันที ในที่สุดเขาก็ยังสามารถรักษาเหตุผลได้เล็กน้อย เขารู้เหตุผลที่เขามาในวันนี้มาเพื่อขอความช่วยเหลือ หากเขาเริ่มทะเลาะกับเฟิงจื่อหรู บางทีเขาอาจจะต้องรอด้วยความเปล่าประโยชน์

ดังนั้นเขาจึงระงับความโกรธอย่างรุนแรง เขาต้องการพูดเข้าประเด็นหลักกับเฟิงหยูเฮง อย่างไรก็ตามเขาได้ยินเฟิงหยูเฮงพูดเป็นครั้งแรกว่า “ท่านพ่อรออยู่หน้าคฤหาสน์ขององค์หญิงมาทั้งคืน จะต้องมีบางสิ่งที่ท่านพ่อต้องการจากข้า”

“ฮื่อ ! ” เฟิงจินหยวนตอบจากจิตใต้สำนึก

อย่างไรก็ตามเขาได้ยินเฟิงหยูเฮงกล่าวต่อ “มันไม่ควรที่จะถามคำถามนี้ใช่หรือไม่เจ้าคะ ? ” ในขณะที่นางพูดสิ่งนี้ ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความรังเกียจ

เฟิงจินหยวนส่ายหัวซ้ำ ๆ “ไม่ ไม่แน่นอน”

นางพยักหน้า “นั่นเป็นเรื่องดี” จากนั้นนางเดินเข้าไปในคฤหาสน์ขณะที่กล่าวว่า“เข้ามาสิ ข้ามีบางอย่างที่จะพูดคุยกับท่านพ่อด้วย”

เฟิงจินหยวนตกตะลึง มีบางอย่างที่นางต้องการคุยกับเขาคืออะไร ? ฟังดูดี ! เนื่องจากเฟิงหยูเฮงต้องการคุยอะไรกับเขา มันก็เท่ากับให้เขามีช่องทางเจรจาต่อรอง แน่นอนว่าไม่สามารถพิจารณาการเจรจาต่อรองได้อย่างแท้จริง อย่างน้อยเขาก็จะไม่อยู่เฉยในเวลานี้

เมื่อคิดอย่างนี้เขาก็ตื่นตัวมากขึ้น เขาตามหลังเฟิงหยูเฮงและไปที่ห้องโถงใหญ่ พวกเขานั่งลงและบ่าวรับใช้ก็เริ่มเทน้ำชา เฟิงจินหยวนรู้สึกกังวลและรีบถามว่า “เจ้าต้องการขออะไรจากข้า ? ”

“หืม ? ” เฟิงหยูเฮงตกใจ “ขอ ? ” จากนั้นนางก็หัวเราะ “ท่านพ่อเป็นคนตลก มีอะไรที่ข้าจะขอท่านพ่อได้ นอกจากนี้แม้ว่าข้าจะร้องขอ ท่านพ่อสามารถทำอะไรได้บ้าง”

เฟิงจินหยวนรู้สึกเหมือนลิ้นของเขาถูกมัด หากนางไม่ได้ขออะไร นางหมายถึงอะไร นางต้องการคุยเรื่องอะไรกับเขา

ก่อนที่เขาจะถาม เฟิงหยูเฮงก็เริ่มกล่าวอีกครั้ง “มีเรื่องจริงแต่ก็ไม่ใช่คำขอ ข้าคิดว่ามันควรจะเป็นคำเตือน” ในขณะที่พูดนางดึงเฟิงจื่อหรูเล็กน้อยซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเดียวกับนาง นางพูดกับเฟิงจินหยวน “เฟิงจื่อหรูเป็นบุตรชายของฮูหยินใหญ่ตระกูลเฟิง ท่านพ่อยังไม่ลืมเรื่องนั้นใช่หรือไม่เจ้าคะ ? ”

เฟิงจินหยวนสับสน “ข้าจะลืมเรื่องนี้ได้อย่างไร”

“ถ้าอย่างนั้นก็ดี” นางพยักหน้า และกล่าวต่อ “ในฐานะบิดา ท่านพ่อมีหน้าที่รับผิดชอบในการเลี้ยงบุตรของท่านให้เติบโต ท่านพ่อไม่มีข้อคัดค้านในเรื่องนี้ใช่หรือไม่ ? ”

เฟิงจินหยวนยังไม่เข้าใจ อย่างไรก็ตามเขารู้ว่าสิ่งที่เฟิงหยูเฮงพูดนั้นถูกต้อง เขาจึงกล่าวว่า “แน่นอน”

“อืม” เฟิงหยูเฮงพอใจมาก และในที่สุดก็เข้าสู่หัวข้อหลัก “เนื่องจากเป็นกรณีนี้ ท่านพ่อจะเตรียมค่าเล่าเรียนการเรียนเพื่อส่งจื่อหรูไปสำนักศึกษาตั้งแต่ฤดูใบไม้ร่วงนี้จนถึงฤดูใบไม้ร่วงต่อไป จื่อหรูจะกลับไปที่เสี่ยวโจวเพื่อเข้าเรียนที่สำนักหยุนหลู่เจ้าค่ะ”

“หืม ? ” ในที่สุดเฟิงจินหยวนตอบโต้ในที่สุด “เจ้าพูดว่าอะไรนะ ? ”

เฟิงหยูเฮงกล่าวซ้ำ “ข้าบอกให้ท่านพ่อเตรียมค่าเล่าเรียนสำหรับจื่อหรู”

“ค่าเล่าเรียน?” ใจของเฟินเฟิงจินหยวนก็ “พองฟู” ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าคำพูดของเฟิงหยูเฮงหมายถึงอะไร เฟิงจื่อหรูเป็นบุตรชายของฮูหยินใหญ่ตระกูลเฟิง และเขาเป็นหัวหน้าตระกูลเฟิง การเตรียมเงินให้กับบุตรชายของฮูหยินใหญ่นั้นเป็นเรื่องปกติ  แต่… แต่เขามีเงินเท่าไหร่?

เฟิงจินหยวนมีสีหน้าที่น่าอึดอัดใจมากบนใบหน้าของเขา ในปัจจุบันยังไม่มีเงินอยู่ในกองทุนของตระกูลเฟิง พวกเขาพึ่งพาเงินที่องค์ชายห้าส่งมาในแต่ละเดือนเพื่อความอยู่รอด แต่ใครจะรู้ว่าองค์ชายห้าคำนวณได้อย่างไร นอกจากค่าใช้จ่ายของบ่าวรับใช้และค่าใช้จ่ายตามปกติ เงินที่เหลือไม่ถึงหนึ่งในร้อยส่วนจากที่ได้รับมา มันจะเป็นกรณีที่ใช้เงินสำรองเพียงหนึ่งเดือนหมด เดือนถัดไปจะมาถึง มันเรียงกันอย่างสมบูรณ์แบบ ตอนนี้เขาถูกขอให้จ่ายค่าเล่าเรียนสำหรับเฟิงจื่อหรู เขาประสบปัญหาอย่างแท้จริง

เฟิงหยูเฮงมีความชัดเจนในสถานการณ์และเย้ยหยันตัวเอง อย่างไรก็ตามนางไม่ได้พูดอะไรอีก แต่เฟิงจื่อหรูก็ไม่มีความสุข เขาถามพร้อมขมวดคิ้ว “เป็นไปได้หรือไม่ที่ท่านพ่อไม่ต้องการจ่ายค่าเล่าเรียนให้เฟิงจื่อหรู ท่านพ่อทราบหรือไม่ว่าเฟิงจื่อหรูเป็นทายาทตระกูลเฟิง”

เฟิงจินหยวนกล่าวอย่างรวดเร็ว “ไม่ ไม่ ข้าจะพูดยังไงดี”

“เนื่องจากไม่เป็นเช่นนั้น เหตุใดเมื่อพี่สาวถามเรื่องค่าเล่าเรียน ท่านพ่อดูเป็นทุกข์ ท่านพ่อเคยเป็นเสนาบดีและท่านพ่อเป็นจอหงวนที่ได้คะแนนสูงสุด เป็นไปได้หรือไม่ที่ท่านพ่อไม่รู้ว่าต้องเรียนหนังสือ ? เป็นไปได้หรือไม่ว่าท่านพ่อไม่ต้องการให้ตระกูลเฟิงฟื้นขึ้นมา ? อ๋อ” ขณะที่เขาพูดทันใดนั้นเขาก็รู้บางสิ่งบางอย่าง “ข้าลืมไป ความหวังของท่านพ่อที่มีต่อตระกูลเฟิงไม่เคยอยู่กับบุตรชาย ตามที่ท่านพ่อเห็นมัน เด็กผู้ชายที่กลายเป็นบัณฑิตชั้นยอดจะเป็นแค่ขุนนางเท่านั้น แต่ผู้หญิงนั้นแตกต่างกัน เด็กผู้หญิงสามารถปีนขึ้นไปยังตำแหน่งสูงสุด มันเป็นเช่นนั้นที่ผู้คนนับไม่ถ้วนจะต้องมีการพิจารณาสำหรับพวกเขา ตระกูลมารดาของพวกเขาก็จะเติบโตไปพร้อมกับพวกเขาอยู่ใต้คนเพียงคนเดียวและเหนือผู้อื่นทั้งหมด ท่านพ่อ การวิเคราะห์ของข้าถูกต้องหรือไม่ขอรับ ? ”

คำเหล่านี้ได้สรุปสิ่งที่เฟิงจินหยวนคิดไว้อย่างสมบูรณ์ในอดีตที่ผ่านมา มันเป็นเช่นนั้นที่เฟิงจินหยวนรู้สึกงุนงงเล็กน้อย ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่บุตรชายคนเล็กเริ่มเข้าใจเหตุผลเช่นนี้ ?

เมื่อคิดเช่นนี้เขาก็นึกถึงเฟิงหยูเฮงทันที ใช่ มันต้องเป็นเฟิงหยูเฮงที่สอนเฟิงจื่อหรูเกี่ยวกับความคิดแบบนี้ มิฉะนั้นด้วยอายุของเฟิงจื่อหรูและเขาไม่ได้อยู่บ้าน เขาจะวิเคราะห์อย่างละเอียดได้อย่างไร ?

เมื่อเขาคิดถึงสิ่งนี้ เขาไม่สามารถหยุดตัวเองจากการมองไปที่เฟิงหยูเฮง ทัศนคติของเขาก็กลายเป็นศัตรูกัน

เฟิงหยูเฮงไม่ได้คิดมาก แต่เฟิงจื่อหรูโกรธมาก เขาถามเฟิงจินหยวน “ท่านพ่อมาหาท่านพี่เพื่ออะไร ? มีบางอย่างที่จื่อหรูพบมักจะค่อนข้างแปลก เนื่องจากท่านพ่อต้องการใช้บุตรสาวในการบรรลุเป้าหมายเสมอ ทำไมท่านพ่อจึงปฏิบัติต่อท่านพี่อย่างแย่ ๆ ไม่ต้องพูดถึงว่าพี่ใหญ่เสียชีวิตไปแล้ว แม้ว่านางจะยังมีชีวิตอยู่ด้วยพื้นฐานของความสามารถของพี่ใหญ่ นางก็ไม่สามารถเปรียบเทียบกับท่านพี่ในเรื่องของวาสนาได้ ยิ่งกว่านั้นท่านพ่ออาจมองไม่เห็นสถานการณ์อย่างชัดเจนในตอนนั้นหรือ ? อย่างแม่นยำว่าใครคือคนที่ฮ่องเต้ต้องการมอบโลกให้ ท่านพ่อไม่รู้จริง ๆ หรือ ? จื่อหรูไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าตระกูลเฟิงปฏิบัติต่อพี่รองของเขาแบบนี้ได้อย่างไร แม้นางจะสร้างความชอบมากมาย”

เฟิงจินหยวนต้องการหารอยแตกเพื่อคลานจากการถูกดุโดยบุตรชายคนนี้ อย่างไรก็ตามเขาได้ยินเฟิงหยูเฮงหัวเราะเยาะ จากนั้นเขาก็เห็นนางลูบหัวของเฟิงจื่อหรูและกล่าวว่า “ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะพูดเรื่องนี้กับท่านพ่อ ท่านพ่อไม่ต้องการจ่ายค่าเล่าเรียนด้วยซ้ำ กับพ่อแบบนี้ ไม่ว่าอนาคตของเราจะสดใสแค่ไหน เราก็ไม่สามารถช่วยเหลือเขาได้แม้แต่น้อย แค่ปฏิบัติกับเขาเหมือนคนแปลกหน้า”

“ไม่ ไม่ ! เจ้าทำแบบนั้นไม่ได้ ! ” เฟิงจินหยวนกลายเป็นกังวล “อาเฮง เจ้าพูดเรื่องอะไร ความสัมพันธ์ทางสายเลือดจะต้องไม่ถูกตัดทิ้ง เราจะปฏิบัติต่อกันเหมือนคนแปลกหน้าได้อย่างไร ? ”

เฟิงหยูเฮงถามเขาว่า “ท่านพ่อเห็นเราเป็นศัตรูเสียด้วยซ้ำ เช่นนี้ไม่ถือว่าท่านพ่อเป็นคนแปลกหน้าอีกหรือ ?  ท่านพ่อต้องการอะไรอีก”

เฟิงจื่อหรูยังกล่าวอีกว่า “ใช่! เพื่อที่จะกำจัดข้าและท่านพี่ ท่านพ่อใช้เงินไปมาก เงินทั้งหมดนี้รวมเข้าด้วยกันก็เพียงพอแล้วสำหรับค่าเล่าเรียน ใช่หรือไม่ ? ท่านพ่อใจดีจริง ๆ ”

เฟิงจินหยวนหักล้างมันโดยตรง “ไม่ใช่เช่นนั้น ! นี่เป็นข้อกล่าวหาที่ไม่มีมูล พวกมันทั้งหมดถูกกล่าวหาไม่มีมูล ! ”

ใบหน้าเล็ก ๆ ของเฟิงจื่อหรูป่องด้วยความโกรธ อย่างไรก็ตามเฟิงหยูเฮงคุ้นเคยกับการกระทำของเฟิงจินหยวน นางเพิ่งดึงเฟิงจื่อหรูเข้าสู่อ้อมกอดของนางเพื่อทำให้เขาสงบลง จากนั้นนางจึงถามว่า “แล้วความหมายของท่านพ่อคืออะไร ? ”

“เฟิงจื่อหรูเป็นบุตรชายของฮูหยินใหญ่ตระกูลเฟิงของข้า ข้าจะต้องจ่ายค่าเล่าเรียนแน่นอน ข้าสงสัยว่าหนึ่งปีค่าเล่าเรียนที่สำนักหยุนหลู่เท่าไหร่ ? ”

เฟิงหยูเฮงหัวเราะกับตัวเอง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เฟิงจื่อหรูไปสำนักศึกษา ครั้งที่แล้วฮูหยินผู้เฒ่าถอนเงินกองกลางและนางจ่ายเพิ่มส่วนใหญ่ ด้วยวิธีนี้การออกไปครั้งแรกของเฟิงจื่อหรูจะไม่แย่ แต่เฟิงจินหยวนไม่เข้าใจสิ่งนี้ ตอนนี้นางขอค่าเล่าเรียนโรงเรียน เขาก็เห็นด้วย อย่างไรก็ตามนางไม่รู้ว่าเขาจะมีปฏิกิริยาอย่างไรหลังจากได้ยินจำนวน

“150 เหรียญเงิน” เฟิงหยูเฮงกล่าวอย่างใจเย็น “นั่นเป็นเพียงค่าเล่าเรียน ถ้าเราเพิ่มอาหาร ที่พักและสิ่งจำเป็นประจำวัน 200 เหรียญเงินจะเป็นจำนวนเงินขั้นต่ำสำหรับแต่ละปี แต่เรารู้ว่าที่อยู่ของตระกูลเฟิงนั้นไม่ได้ทำกันเหมือนอย่างที่เคยเป็นมาในอดีต นั่นเป็นเหตุผลที่เราจะไม่ขอท่านพ่อมากเกินไป ท่านพ่อจ่ายแต่ 150 เหรียญเงินสำหรับค่าเล่าเรียน ข้าจะจัดการส่วนที่เหลือเอง”

นางพูดอย่างไม่ตั้งใจ อย่างไรก็ตามเฟิงจินหยวนสูดหายใจเข้าอย่างแรง

150 เหรียญเงิน

ต้องบอกว่าองค์ชายห้าให้เงินไม่เกิน 50 เหรียญเงินในแต่ละเดือน, ชัดเจนว่านั่นสำหรับบ่าวรับใช้ และสำหรับความต้องการประจำวันของเขาเอง มันยังไม่เพียงพอสำหรับพี่น้องเฉิง อันชิ เฟิงเซียงหรู หรือเฟิงเฟินได เฟิงเฟินไดมีองค์ชายห้าดูแล อันชิ และเฟิงเซียงหรูมีร้านค้า พี่น้องเฉิงใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในพระราชวังดูแลฮองเฮา

แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้นเขาจะนำ 150 เหรียญเงินออกมาได้อย่างไร แม้ว่าเขาจะไม่ได้กินหรือดื่ม ?

เหงื่อปรากฏขึ้นที่หน้าผากของเฟิงจินหยวน เงินที่ได้รับจากองค์ชายห้าในแต่ละเดือน เขาจะไม่สามารถประหยัดได้มากพอถ้าเขาเริ่มตอนนี้ใช่หรือไม่ ? ในความเป็นจริง 150 เหรียญเงินไม่ใช่เงินจำนวนมาก ถ้าเป็นเช่นนี้ในอดีตเขาคงไม่สนใจมันมากนัก เขาคงจะกลับไปและนำออกมาจากกองกลาง

อย่างไรก็ตามที่อยู่ตระกูลเฟิงในปัจจุบันก็ไม่ได้เจริญรุ่งเรืองอย่างที่เคยเป็นมาก่อน เขาจะหา 150 เหรียญเงินมาจากไหน ?

——————————————————————————————————

TN: ชื่อของบทนี้ใช้สำนวนภาษาจีน “หยุดสุนัขไม่ได้จากการกินอุจจาระ”

ตอนที่ 651 บรรพบุรุษมาเยี่ยม

ดีมาก ! บรรพบุรุษหมายถึงบรรพบุรุษจริง ๆ

เมื่อซวนเทียนฮั่วเห็นทั้งสองคนที่ยืนอยู่ทางเข้าของตำหนัก จิตใจของเขากำลังจะล่มสลาย

ฮ่องเต้และจางหยวนแต่งตัวในฐานะที่ปรึกษาและบ่าวรับใช้ ไม่ว่าเขาจะมองอย่างไร ใครก็รู้ว่าฮ่องเต้หยิบเสื้อผ้าของเขาที่ไหน พวกมันคับไปหน่อยและกระดุมก็ตึงแทบปริ มันดูตลกมาก

ซวนเทียนฮั่วไม่ได้ไปรับพวกเขาที่ทางเข้า เขายืนอยู่ที่สนามหน้าคฤหาสน์ มีทางเล็ก ๆ จนกระทั่งทางเข้า อย่างไรก็ตามเขาสามารถมองเห็นได้ชัดเจน

ฮ่องเต้จ้องมาที่เขาด้วยความโกรธ และตะโกน “เจ้ายังไม่เชื้อเชิญบรรพบุรุษนี้ ! ”

ซวนเทียนฮั่วรู้สึกว่าหัวของเขาบวม อย่างไรก็ตามเขาโบกมือให้ทหารยามที่ประตูอย่างรวดเร็ว “ให้พวกเขาเข้ามา ! ”

ทหารยามไม่เคยคิดว่าชายชราคนนี้จะพูดเรื่องหยาบคายเช่นนี้ แต่เขายังได้รับอนุญาตให้เข้าสู่ตำหนักจุน เมื่อพวกเขามององค์ชายเจ็ด ดูเหมือนว่าเขาจะไม่โกรธ สถานการณ์แบบนี้เป็นแบบไหน ? เมื่อเร็ว ๆ นี้ตำหนักจุนแปลกมาก ! อย่างแรกคือมีผู้หญิงแปลก ๆ และตอนนี้ก็มีชายแปลกหน้า บรรพบุรุษเป็นการใช้คำอย่างส่งเดชใช่หรือไม่ ? องค์ชายเจ็ดเป็นเจ้านาย บรรพบุรุษของเขาจะเป็น…

เจ้าหน้าที่ทุกคนมีความคิดเหมือนกันอย่างชัดเจน ขณะที่พวกเขามองหน้ากันโดยไม่รู้ตัว พวกเขาทั้งหมดเห็นข้อความเดียวกันในสายตาของผู้อื่น บางคนพูดอย่างเงียบ ๆ “ฮ่องเต้ ? ”

คนอื่นพยักหน้า ในโลกนี้ที่นอกจากฮ่องเต้จะกล้าพูดเรื่องแบบนี้กับองค์ชายเจ็ด

ดังนั้นพวกเขาไม่สามารถทำอะไร พวกเขาเพิ่งทำอะไรไป พวกเขาหยุดฮ่องเต้ ! พวกเขาไม่ต้องการอยู่อีกต่อไปหรือ ? พวกเขามีอายุถึงแก่หรือไม่ !

ทุกคนก้มหัวลงและเริ่มนับวันที่เหลือไว้

การพูดของฮ่องเต้และจางหยวนทั้งสองเข้ามาในสนาม และได้รับการต้อนรับเป็นครั้งแรกโดยแมวและสุนัขในตำหนักจุน

สัตว์ไม่สนใจสถานะของบุคคล นอกจากนี้ยังเป็นสัตว์ที่ชอบมนุษย์ เมื่อเห็นว่ามีคนมา พวกมันก็กระโดดไปข้างหน้าอย่างมีความสุข ในขณะที่กระดิกหางของพวกมัน

ฮ่องเต้ตกตะลึงในตอนแรก จากนั้นก็ตอบสนองต่อสิ่งที่เกิดขึ้น เขามองไปรอบ ๆ ตำหนักจุนอย่างประหลาดใจ จากป่า ดอกไม้ไปจนถึงนกที่บินไปรอบ ๆ จากแมว และสุนัขวิ่งไปจนถึงรั้วไม้ไผ่ ในที่สุดเขาก็จ้องมองไปที่ผ้าหลากสีสันสดใสที่แขวนมาจากต้นไม้ ด้วยเหตุผลบางอย่างดวงตาของเขาก็ชื้น

ยกมือขึ้นเช็ดใบหน้าของเขา เขาไม่ได้มีความสง่างามเหมือนเมื่อก่อน มันถูกแทนที่ด้วยรูปลักษณ์ของความแก่ที่เขาไม่เคยต้องการที่จะยอมรับในขณะที่เขาดูคิดถึงมาก

จางหยวนเข้าใจและถอยกลับไปครึ่งก้าวเพื่อไปหาฮ่องเต้

ฮ่องเต้หันไปทางซ้ายแล้วเดินไปที่รั้วที่มีผ้าโปร่งสีฟ้าห้อยลงมา ผ้าโปร่งชิ้นนั้นไม่ใหญ่ มันเป็นแถบยาวและมีความยาวประมาณครึ่งหนึ่งของแขน แม้กระนั้นมันลากความคิดของฮ่องเต้เมื่อ 20 ปีก่อน

ในเวลานั้นเขาออกจากพระราชวังในชุดธรรมดา เขาเป็นคนวัยกลางคนและตั้งใจหลบหนีทหารยามที่ด้านข้างของเขา เขาเดินเข้าไปในภูเขาด้วยตัวเอง ในที่สุดเขาก็พบเป็นหมู่บ้าน เด็กสาวที่อายุถึงการแต่งงานเห็นว่าแขนของเขาถูกสัตว์เลี้ยงตัวเล็ก ๆ กัด และนางก็วิตกกังวลมาก นางหยิบสมุนไพรออกมาจากภูเขา นางฉีกชุดของนางเพื่อรักษาบาดแผล นางยังขอให้หัวหน้าหมู่บ้านในนามของเขาอนุญาตให้เขาพักชั่วคราว

เขาเกิดในตระกูลของฮ่องเต้ ผู้หญิงที่เขาได้พบนั้นล้วนแต่มีเกียรติ พวกเขาจะไม่เปิดเผยเท้าเมื่อเดินหรือไม่เปิดเผยฟันเมื่อยิ้ม พฤติกรรมที่ไม่ดีจะได้รับการแก้ไขโดยครอบครัว

แต่เด็กหญิงของหมู่บ้านนั้นสดใสและเปลี่ยนมุมมองของเขาโดยสิ้นเชิง มันทำให้เขาเข้าใจว่าผู้หญิงม้วนแขนเสื้อขึ้นเผยให้เห็นว่าผิวพรรณบางส่วนนั้นสวยงามจริง ๆ ผู้หญิงสามารถลุยลงไปในแม่น้ำด้วยเท้าเปล่าของพวกนาง ขากางเกงของพวกนางม้วนขึ้นเพื่อจับปลา ผู้หญิงอาจโกรธและสาปแช่งผู้คนได้เช่นกัน พวกนางยังสามารถแสดงความรักต่อคนอื่นต่อหน้า ในเวลาเดียวกันพวกนางสามารถยิ้มได้ราวกับว่าสิ่งเหล่านี้สอดคล้องกับความต้องการของสวรรค์และโลก ไม่จำเป็นต้องรู้สึกเขินอายและไม่ต้องกังวลกับการล้อเลียนผู้อื่น

และถ้าเจ้าตกลงปลงใจกัน เจ้าจะจับมือนางและไปเยี่ยมบิดามารดาของนาง ในไม่กี่คนหลังจากคำนับฟ้าดิน เจ้าสามารถอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข หากเจ้าไม่เห็นด้วย คุณก็จะพูดอย่างชัดเจน หญิงสาวจะไม่รู้สึกละอายใจเกินไป พวกเขาจะยิ้มต่อไปในขณะที่แนะนำให้เจ้าหาผู้หญิงในฝันของคุณ จากนั้นพวกเขาจะหันหลังกลับและร้องเพลงหรือเต้นรำต่อไปหากต้องการ พวกเขาจะโยนความคิดเหล่านี้ไปทางด้านหลังของจิตใจอย่างรวดเร็ว

เขาเป็นคนที่มีความสามารถมาก และรูปร่างหน้าตาของเขาก็ไม่ธรรมดา นอกจากนี้เมื่อเขามาจากราชวงศ์ เขาก็เก่งทั้งในศิลปะการต่อสู้และด้านความรู้ เขามีชื่อเสียงอย่างรวดเร็วในหมู่บ้าน ระหว่างการชุมนุมรอบกองไฟครั้งหนึ่งมีเด็กผู้หญิง 6 คนที่แสดงออกว่ารักเขา แม้กระนั้นเขายอมรับมือของหญิงสาวที่ฉีกชุดของนางเพื่อรักษาบาดแผลของเขา นางชื่อหยุนเปียนเปี้ยน

หยุนเปียนเปี้ยนไม่รู้ว่าเขาเป็นคนแบบไหนในเวลานั้น อย่างไรก็ตามนางมีหน้าที่ผูกมัดที่จะไม่หันหลังกลับ ดังนั้นนางจึงแต่งงานกับเขา ทั้งสองอยู่ด้วยกันเป็นเวลานานมากจนกระทั่งโรคระบาดเริ่มต้น และทำลายสถานการณ์ทั้งหมดนี้ หากไม่ใช่เพราะฮ่องเต้พานางออกไปในเวลาที่เหมาะสม หยุนเปียนเปี้ยนอาจจะเสียชีวิตเช่นกัน

ทั้งสองออกจากภูเขาและทหารองครักษ์มารับพวกเขา พวกเขาพบแพทย์ที่ดีที่สุดที่จะรักษานาง และในที่สุดหยุนเปียนเปี้ยนก็ค้นพบว่าสามีของนางเป็นคนแบบไหน

ฮ่องเต้เริ่มระลึกถึงและไม่ต้องการหยุดเป็นเวลานาน อย่างไรก็ตามซวนเทียนฮั่วไม่สามารถอนุญาตให้เขารำพึงต่อไปได้ ดังนั้นเขาจึงเดินไปข้างหน้าอย่างเงียบ ๆ และเรียกเขา “เสด็จพ่อ” น้ำเสียงของเขาบริสุทธิ์และเก่งที่สุดในการทำให้คนสงบ

ฮ่องเต้ได้สติขึ้นมาและยิ้มอย่างขมขื่น เขายื่นมือออกมาหยิบผ้าโปร่งชิ้นหนึ่ง แม้กระนั้นเขารู้ว่ามันไม่เหมือนเดิม

“เสด็จแม่ของเจ้า… นางสบายดีหรือไม่ ? ” เขาถามซวนเทียนฮั่ว “เจ้าเพิ่งกลับมาที่เมืองหลวง เจ้าพบนางแล้วใช่หรือไม่ ? ”

ซวนเทียนฮั่วพยักหน้า แต่ยิ้มอย่างขมขื่นกล่าวว่า “เมื่อใดที่เสด็จแม่เสียใจกับสถานการณ์ของนาง เสด็จพ่อควรรู้ เพียงแค่มองสิ่งที่นางทำกับตำหนักของข้า นางเป็นคนดีมาก”

ฮ่องเต้ค่อนข้างมีอารมณ์และถามซวนเทียนฮั่ว “เจ้า…เจ้าคิดวิธีที่จะพบนางได้หรือไม่ ? ” ไม่ว่านางจะอยู่ในพระราชวังหรือไม่ก็ตาม เขาไม่กล้าไปพบพระชายาหยุนอย่างผลีผลาม เขาเรียกนางจากข้างนอกแล้วก็ไปรอบ ๆ เขามีความสามารถในการกระตุ้นปัญหา อย่างไรก็ตามเขาไม่มีความกล้าที่จะผลักประตูเปิดและเข้าไปอย่างแน่นอน ในหัวใจของเขา หยุนเปียนเปี้ยนอยู่เหนือสิ่งอื่นใด ย้อนกลับไปถ้าเขาไม่รีบร้อนเพื่อรักษาอาการป่วยของนาง เขาจะทำทุกอย่างเพื่อให้แน่ใจว่าเขาไม่ได้เปิดเผยตัวตนของเขาอย่างง่ายดาย

การร้องขอของฮ่องเต้ทำให้ซวนเทียนฮั่วรู้สึกลำบาก เขากล่าวว่า “เมื่อบ่าวรับใช้มาก่อนหน้านี้ เสด็จแม่บอกว่าถ้าเสด็จพ่อมา นาง…จะไม่พบเสด็จพ่อพะยะค่ะ”

“นางจะไม่ทำ” คำตอบนี้ไม่คาดคิดเกินไป อย่างไรก็ตามเขายังคงพยายาม “ไปบอกเสด็จแม่ของเจ้าว่าเรา…เพียงแค่พูดว่าข้ามาถามและดูว่ามีอะไรที่นางต้องการจะเพิ่มในตำหนักศศิเหมันต์หรือไม่ในขณะที่กำลังซ่อมแซมอยู่”

ซวนเทียนฮั่วทำอะไรไม่ถูก และพูดได้เพียง “ถ้าอย่างนั้นเสด็จพ่อรอสักครู่ ข้าจะไปถามเสด็จแม่ให้พะยะค่ะ”

เขาจากไปอย่างรวดเร็ว ในเวลาเดียวกันเขาก็นำบ่าวรับใช้ทุกคนไปที่สนามหน้าคฤหาสน์ พระชายาหยุนสร้างสวนในลานที่สอง เมื่อเห็นว่าซวนเทียนฮั่วมาถึง นางก็เริ่มพูดโดยไม่รอให้เขาพูด “ข้าบอกว่าข้าจะไม่พบเขา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าเห็นเขาครั้งหนึ่งในพระราชวัง เราจะพบกันทุก ๆ 20 ปี กลับไปบอกเขา”

ซวนเทียนฮั่วกลับมาอย่างสิ้นหวัง แต่เห็นว่าฮ่องเต้ไม่ได้ยืนอยู่อีกต่อไป เขากลับนั่งแทนขาของเขาแทน หันหน้าไปทางรั้วไม้ไผ่และสวน เขากำลังลูบสุนัขตัวเล็ก ๆ ที่อยู่กับเขา

เขาถอนหายใจกับตัวเอง แต่ไม่รู้ว่าจะทำตามสิ่งที่พระชายาหยุนพูด พบกันทุก ๆ 20 ปี เขาจะบอกบิดาคนนี้ได้อย่างไร

เขาถอนหายใจอย่างแผ่วเบาและเดินไปข้างหน้า เขานั่งไขว่ห้างที่ด้านข้างของฮ่องเต้ เขากล่าวว่า “ข้าเพิ่งกลับมาจากทางตะวันออก และอยากจะเข้าไปในพระราชวังเพื่อรายงานหลังจากพบเสด็จแม่ ในเมื่อเสด็จพ่อมา ข้าจะเล่าให้เสด็จพ่อฟังเกี่ยวกับสถานการณ์ในภาคตะวันออกพะยะค่ะ”

ฮ่องเต้พยักหน้า ราวกับว่าเรื่องก่อนหน้าไม่เคยเกิดขึ้น เขากล่าวว่า “พูดมา”

ตำหนักจุนเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ในอีกด้านหนึ่งหลังจากเฟิงหยูเฮงลากเฟิงจื่อหรูกลับไปที่คฤหาสน์ขององค์หญิง นางพบว่าเฟิงจินหยวนยังอยู่ เขานั่งอยู่หน้าคฤหาสน์ขององค์หญิง เขากำลังนั่งหลับ

นางเดินไปข้างหน้าและหยุดอยู่ตรงหน้าเฟิงจินหยวน อย่างไรก็ตามเนื่องจากเขาหลับลึกเกินไป เขาไม่ได้สังเกตว่ามีใครบางคนมานั่งอยู่ข้าง ๆ เขา

เฟิงหยูเฮงมองบิดาคนนี้ เขายังไม่อายุ 40 ปี แต่มีผมสีขาวเล็กน้อย ใบหน้าของเขาก็มีรอยย่น แม้ว่าดวงตาของเขาจะปิด แต่รอยย่นที่มุมดวงตาของเขาก็ยังคงปรากฏให้เห็น

นางยอมรับว่านางไม่เคยเป็นคนใจดี แม้กระนั้นก็ไม่ถึงขนาดที่นางจะไม่ปล่อยให้คนอื่นมีโอกาสในชีวิต แม้ว่าเฟิงจินหยวนพยายามทำร้ายนางหลายครั้ง นางก็ปล่อยให้เขามีชีวิตอยู่

ตัวอย่างเช่นนางรู้ว่าเฟิงจินหยวนมาเพราะอะไร เพื่อให้คนผู้นี้อยู่ข้างนอกตลอดทั้งคืนโดยไม่ต้องออกไป มันไม่ใช่สิ่งที่เฟิงจินหยวนสามารถทำได้ เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ มันเป็นเรื่องยากที่เขาจะขอร้องนาง

เฟิงหยูเฮงคิดเกี่ยวกับมัน หากคำขอไม่มากเกินไปและนางสามารถให้ความช่วยเหลือได้ เป็นไปได้ว่านางจะช่วยได้ ดังนั้นนางจึงเริ่มไอและพยายามทำให้คนที่หลับตื่น

เฟิงจินหยวนตื่นขึ้นมาทันที เมื่อเห็นว่าเฟิงหยูเฮงกลับมา ดวงตาของเขาก็มีความสุขทันที สายตาของเขาก็หยุดที่เฟิงจื่อหรู ความรู้สึกรุนแรงของบิดาที่เขาไม่เคยรู้สึกมาก่อนปรากฏขึ้นทันที

เขากางแขนออกแล้วตะโกนไปที่เฟิงจื่อหรูเต็มไปด้วยความคาดหวัง “มาหาข้า”

เขาคิดในตอนแรกว่าเฟิงจื่อหรูจะวิ่งสู่อ้อมกอดของเขาอย่างมีความสุข เด็กเพียงแค่มองอย่างใจเย็นจากนั้นก็จับมือของเขาอย่างสุภาพ สิ่งนี้ถือได้ว่าเป็นการทักทาย แต่เขาไม่ได้เรียกเฟิงจินหยวนว่าพ่อ

การมองของจินหยวนจับจ้องที่มือซึ่งมีนิ้วหายไปหนึ่งนิ้ว สิ่งนี้ดึงดูดความสนใจของเขาและเตือนให้เขานึกถึงสิ่งที่เขาทำกับบุตรของเขาซ้ำแล้วซ้ำอีก ใบหน้าแก่ของเขาเริ่มเศร้าหมองขึ้นทันที แขนที่เขากางออกยังคงยกอยู่อย่างนั้น เขาไม่สามารถวางลงหรือยกพวกมันขึ้น เขารู้สึกอายมาก

เฟิงหยูเฮงทนไม่ได้ที่จะดูต่อไปและดึงเฟิงจื่อหรูโดยกล่าวเบา ๆ ว่า “ท่านพ่อเรียกเจ้า เจ้าควรพูดอะไรบางอย่าง”

เฟิงจื่อหรูมองไปที่พี่สาวของเขา แม้ว่าเขาจะดูสับสน แต่เขาก็ยังเชื่อฟังนางและพูดออกมาโดยไม่มีอารมณ์ใด ๆ “ท่านพ่อ”

“ฮะ ! ฮะ ! ” เฟิงจินหยวนรู้สึกดีใจและน้ำตาสองสามหยดปรากฏในดวงตาของเขา เขาเช็ดออกไปอย่างรวดเร็ว และในที่สุดก็รู้สึกโล่งใจเล็กน้อย

อย่างไรก็ตามเฟิงจื่อหรูไม่ได้สนใจสิ่งนี้แม้แต่น้อย ราวกับว่าเฟิงจินหยวนกำลังเล่นละครซึ่งทำให้เขารู้สึกอ่อนล้า

“ท่านพ่อไม่กลับบ้านทั้งคืน มีอะไรที่อยากคุยกับข้าหรือไม่ ? ” เฟิงหยูเฮงไม่อยากเสแสร้ง นางเลยถามออกมา

เมื่อเฟิงจินหยวนได้ยินนางถาม เขาก็ลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว เขาไม่ได้นอนตลอดทั้งคืนและเขาก็นั่งอยู่ที่นั่นตลอดทั้งวัน ทำให้เขาเซเล็กน้อยเมื่อยืนขึ้น

ในท้ายที่สุดเฟิงจื่อหรูยังเป็นเด็กอยู่ เขาเกลียดคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แต่เมื่อเขาเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจะเป็นลม เขาก็ยังไปประคองบิดาของเขา

เฟิงจินหยวนรู้สึกดีใจ เขาต้องการจะลูบหัวของเฟิงจื่อหรู แต่เฟิงจื่อหรูหลบและกลับไปที่ด้านข้างของพี่สาวอย่างรวดเร็ว เขาไม่ได้บังคับอะไร เขาหัวเราะเยาะตัวเอง ด้วยเหตุผลบางอย่างเขาจึงถามคำถามที่ทำให้เฟิงหยูเฮงสูญเสียความรู้สึกที่ไม่ดีทั้งหมดของนาง เขากล่าวว่า “ผู้หญิงที่มาหาเจ้าเมื่อเช้านี้ เจ้าสองคนสนิทกับหรือไม่ ? นางไปไหนมา ? ”

ตอนที่ 650 ตำหนักจุนที่แตกต่างอย่างชัดเจน

ซวนเทียนฮั่วกลับมาที่ตำหนักจุนพร้อมกับบ่าวรับใช้ เมื่อเขาปรากฏตัวเมื่อเขาหยุด เขาไม่ได้มองไปในทิศทางที่องค์ชายเหลียนยืนหยู่

จาวเหลียนรู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่ง เขารู้สึกถึงใบหน้าของตัวเองและพูดกับตัวเองว่า “เป็นไปได้หรือไม่ว่าใบหน้านี้ไม่มีประสิทธิภาพแล้ว ? ” จากนั้นเขาก็ถามเฟิงหยูเฮง “ช่วยข้าดูหน่อย เป็นไปได้หรือไม่ว่าข้าแตกต่างจากเมื่อก่อน ? ใบหน้าของข้าเสียโฉมงั้นหรือ ? การแต่งหน้าทำให้งดงามน้อยลงหรือไม่ ? ”

เฟิงหยูเฮงทำอะไรไม่ถูก “อะไรคือความแตกต่างระหว่างใบหน้าของเจ้าเสียโฉมกับการแต่งหน้าทำให้งดงามน้อยลง ? ”

องค์ชายเหลียนไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริง แต่ก็สามารถเดาความหมายคร่าว ๆ ได้ ดังนั้นเขาจึงกล่าวด้วยความมั่นใจในตนเอง “เพราะใบหน้าของข้างดงามที่สุดในโลกจึงไม่มีใครเทียบได้ ไม่เคยมีคนที่เห็นใบหน้านี้และไม่ต้องการที่จะดู แม้แต่เจ้าตวนมู่อันกัวก็ให้ความสนใจเมื่อเขาเห็นหน้านี้ เว้นแต่องค์ชายเจ็ดของราชวงศ์ต้าชุนของเจ้าไม่ใช่ผู้ชาย”

เฟิงหยูเฮงจ้องมาที่เขา “พี่เจ็ดคือผู้ชาย ข้ารับประกันได้ แต่เจ้าต้องเข้าใจบางอย่าง เจ้าไม่ใช่ผู้หญิง”

“ข้าเป็นอย่างไร…” เขาต้องการพูดว่าเขาไม่ใช่ผู้หญิง แต่หลังจากคิดไปเล็กน้อยเขาไม่สามารถพูดได้ เขาจึงเปลี่ยนมัน “ข้าดูไม่เหมือนผู้หญิงตรงไหน ?”

หวงซวนทนไม่ได้ที่จะฟัง และขัดจังหวะ “เจ้าดูเหมือนเป็นใคร เจ้าคิดว่าทุกคนตาบอดเหมือนเฟิงจินหยวนงั้นหรือ ? อย่างน้อยองค์ชายเก้าก็ไม่คิดว่าเจ้าเป็นผู้หญิงเมื่อเขาเห็นเจ้าครั้งแรก ! องค์ชายเจ็ดไม่ได้เลวร้ายยิ่งไปกว่าองค์ชายเก้า มันเป็นธรรมดาที่พวกเขาสามารถบอกได้ หยุดฝันได้แล้ว”

วังชวนพยักหน้า “ถูกต้อง อย่าทำอันตรายองค์ชายเจ็ดเลย”

“เป็นอันตรายต่อเขาอย่างไร ? ” จาวเหลียนตกต่ำมาก แต่ก็ไม่มีอะไรที่เขาจะทำได้ ในเวลานี้รถม้าของซวนเทียนฮั่วหายไปแล้ว ไม่มีจุดมุ่งหมายในการอยู่ที่นี่อีกต่อไป หลังจากใคร่ครวญบางอย่าง เขารู้สึกว่ามันจะเป็นการดีกว่าถ้าจะหาโอกาสที่จะได้พบกับองค์ชายเจ็ด ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดพวกเขาอาศัยอยู่ในเมืองหลวง ยังคงมีโอกาสมากมาย ดังนั้นเขาโบกมือของเขา “ลืมมันไปเถิด ข้าเห็นว่าเสี่ยวหยายุ่งมากเช่นกัน ข้าจะกลับไปก่อน แล้วพบกันใหม่” หลังจากพูดอย่างนี้เขาก็ออกไปโดยไม่หันกลับมามอง

เฟิงหยูเฮงพูดไม่ออก เมื่อชี้ไปที่ด้านหลังของจาวเหลียน นางพูดกับบ่าวรับใช้ทั้งคู่ว่า “ทำไมข้ารู้สึกว่าเขาพาข้าออกมาเพื่อมาดูพี่เจ็ด ? ”

บ่าวรับใช้สองคนพูดพร้อมกันว่า “อย่างที่คุณหนูพูดเจ้าค่ะ”

ในเวลานี้องครักษ์เงาคนหนึ่งปรากฏตัวด้านหลังจาวเหลียน และเฟิงหยูเฮงได้ยินเสียงองครักษ์เงาพูดเบา ๆ ว่า “พระองค์ต้องมั่นคงในเรื่องนี้ การรักษาอาการป่วยของพระองค์เป็นสิ่งสำคัญที่สุด ไม่อย่างนั้นถ้าลูกน้องคนนี้ตายไป ก็ไม่มีหน้าพบไปองค์ชายและพระชายาพะยะค่ะ”

เฟิงหยูเฮงส่ายหัว “ไปกันเถิด เราจะกลับเถิด” หลังจากพูดอย่างนี้นางจับมือของเฟิงจื่อหรู แล้วเดินกลับ

เฟิงจื่อหรูงงงวยและมองไปในทิศทางขององค์ชายเหลียน เขาถามพี่สาวของเขา “พี่สาวคนนั้นเป็นใครขอรับ ? นางงดงามมาก นางสวยกว่าพี่ใหญ่ของเรามากเลยขอรับ”

เฟิงจื่อหรูยังเด็กและไม่เคยเห็นผู้หญิงที่สวยมากขนาดนี้ ในความทรงจำของเขาเฟิงเฉินหยูเป็นคนที่งดงามที่สุด แต่ตอนนี้เขาเห็นองค์ชายเหลียน เฟิงเฉินหยูพ่ายแพ้ทันที

เฟิงหยูเฮงบอกเขาว่า “ไม่ว่าจะเป็นคนหรือไม่ เรื่องสำคัญคือเจ้าไม่ควรมองเพียงผิวเผิน ยกตัวอย่างเช่นตอนนี้ คนผู้นั้นที่เจ้าคิดว่าเขาเป็นผู้หญิง แต่แท้จริงแล้วเขาเป็นผู้ชาย แต่ว่าเขางดงามจริง ๆ มันเป็นเช่นนั้นเสมอ มักจะมีคนที่คิดว่าเขาเป็นผู้หญิง”

เฟิงจื่อหรูตกใจมาก

ในเวลานั้นรถม้าของซวนเทียนฮั่วถึงหน้าตำหนักจุน นับตั้งแต่วินาทีที่เขาออกจากรถม้า เขามองไปที่ด้านในของตำหนัก เขารู้สึกทันทีว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง

ตำหนักจุนเมื่อก่อนได้หายไปแล้ว มันถูกแทนที่ด้วยสนามหญ้าที่เต็มไปด้วยดอกไม้ทุกสี นอกจากนี้ยังมีสัตว์เล็ก ๆ อย่างนกร้อง เมื่อเข้ามาเขาจะได้กลิ่นน้ำหอมที่โชยทันที แม้กระนั้นมันไม่ใช่ไม้จันทน์ที่เขาคุ้นเคยกับการใช้ มันถูกเปลี่ยนเป็นกลิ่นหอมของดอกไม้และผลไม้ แม้ว่ามันจะมีกลิ่นที่ดี แต่เขาก็รู้สึกว่ามันเป็นผู้หญิงมาก ความสงบและความเงียบที่เขาคุ้นเคยหายไปโดยสิ้นเชิง

ซวนเทียนฮั่วตกใจมาก เมื่อก้าวเข้าไปในตำหนัก เขาพบใครบางคนและปิดประตู หลังจากเข้าไปข้างในเพียงไม่กี่ก้าว สุนัขตัวเล็ก ๆ 2 ตัววิ่งเข้ามาแล้วก็วนรอบเขา แต่สุนัขก็ไม่เห่า พวกมันกระดิกหางอย่างมีความสุข

นอกจากนี้ยังมีแมวอ้วนที่วิ่งไปมา และปล่อยแมวสองสามตัวออกไป

ในกลางลานนกตัวเล็ก ๆ ไม่ได้ถูกขังอยู่ในกรง พวกมันบินไปรอบ ๆ ภายในสนาม เมื่อเวลาผ่านไป พวกมันบินรอบ ๆ เขา นี่ดูเหมือนจะเป็นฉากที่มีความสุขมาก

ซวนเทียนฮั่วดูที่ต้นไม้สูงที่ถูกย้ายไปเมื่อไหร่ไม่รู้ นอกจากนี้ยังมีรั้วไม้ไผ่ทั้งสองด้านของลาน ในขณะที่ผ้าโปร่งหลากสีสันแขวนอยู่ระหว่างต้นไม้ เขาเชื่ออย่างแท้จริงว่าเขามาผิดที่ นี่ไม่ใช่ตำหนักจุนของเขา มันเป็นป่าละเมาะที่งดงามแทน ฉากทั้งหมดนั้นค่อนข้างสดชื่น

แต่เมื่อเขาดูบ่าวใช้ในตำหนัก พวกเขาแต่งตัวเปลี่ยนไป พวกเขาไม่ได้สวมเครื่องแบบที่ได้รับมอบหมายอีกต่อไป พวกเขาสวมใส่สิ่งที่ต้องการ ทุกคนสวมใส่สิ่งที่แตกต่าง บ่าวรับใช้ชายส่วนใหญ่สวมผ้ากระสอบ ในขณะที่บ่าวรับใช้หญิงสวมเสื้อผ้าที่มีสีสันสดใส บ่าวรับใช้หญิงสวมรองเท้าปัก ในขณะที่บ่าวรับใช้ชายใช้ผ้าขี้ริ้วหยาบ ๆ เป็นรองเท้า ไม่พูดถึงพวกเขาเท้าเปล่า มีบางอย่างที่มีเท้าของพวกเขายื่นออกมา พวกเขาไม่ดูแลจัดแต่งทรงผมของพวกเขาอีกต่อไป และผมถูกมัดไว้บนหัว นี่เป็นสิ่งเดียวกันสำหรับทั้งชายและหญิง และแม้แต่พ่อบ้านก็ไม่สามารถหลบหนีชะตากรรมนี้ได้

เรื่องนี้ไม่ถือว่าแปลก เมื่อซวนเทียนฮั่วเดินผ่านลานหลัก และมุ่งหน้าไปยังลานที่สองเขาได้ยินเสียงร้องเพลงมาจากข้างใน มีคำไม่กี่คำจากผู้ชายจากนั้นคำสองสามคำจากผู้หญิง พวกเขาร้องเพลงด้วยกันเสียงดังและคล้ายเสียงตะโกน

เขาให้ความสนใจกับเนื้อเพลงชั่วขณะหนึ่ง แล้วก็ค่อย ๆ หาความหมายออกมา

ชายคนนั้นร้องเพลง “เจ้าอยู่ที่ด้านข้างของภูเขา ! ข้าอยู่บนภูเขาด้านนี้ ! เจ้าอยู่ริมฝั่งแม่น้ำฝั่งนู้น ! ข้าอยู่ริมฝั่งแม่น้ำนี้ ! แม่นาง โอ้ แม่นาง ทำไมเจ้าไม่ลองมองข้าอีกสักครั้ง ! ”

ผู้หญิงคนนั้นร้องเพลง “ข้าอยู่บนภูเขาด้านนี้ ! เจ้าอยู่ด้านข้างของภูเขา ! ข้าอยู่ริมฝั่งแม่น้ำนี้ ! เจ้าอยู่ริมฝั่งแม่น้ำนู้น ! ชายผู้กล้าหาญ โอ้ ชายที่กล้าหาญ ทำไมเจ้าไม่ให้ข้าพบเจ้าอีกสักครั้ง ! ”

นี่เป็นเพลงพื้นบ้าน !

ซวนเทียนฮั่วเข้าใจในที่สุด ปรากฎว่าเพลงนี้เป็นเพลงพื้นบ้าน ?

เมื่อเขาเดินผ่านห้องโถงและมาถึงหน้าเรือน ในที่สุดเขาก็เห็นสถานการณ์อย่างชัดเจน เขาเห็นบ่าวรับใช้ของพระราชวังแยกออกเป็น 2 กลุ่ม มีกลุ่มผู้ชายและกลุ่มผู้หญิง กลุ่มละ 5 คน พวกเขายืนอยู่ฝั่งตรงข้ามของลาน พวกเขาเอามือป้องปากและร้องเพลงโต้ตอบกัน เนื้อเพลงชัดเจนว่าเป็นเพลงรัก แต่ผู้คนที่ร้องเพลงนั้นไม่มีความกระตือรือร้นเลย การแสดงออกของพวกเขาล้วนแต่ขมขื่น

บ่าวรับใช้ที่พาซวนเทียนฮั่วกลับมาที่ตำหนัก เขาพูดอย่างเงียบ ๆ ด้วยสีหน้าขมขื่น “องค์ชาย นี่คือสิ่งที่ต้องทำในตำหนักเมื่อไม่นานมานี้ หากไม่ได้ร้องตามความพึงพอใจของนาง เราก็ไม่ได้กินข้าวพะยะค่ะ” ขณะที่เขาพูดเขาชี้ไปข้างหน้าแล้วกล่าวว่า “ในคืนที่องค์ชายเก้าและองค์หญิงจี่อันมาส่งตัวนางที่ตำหนัก พวกเขาบอกพวกเราว่าเราต้องปฏิบัติต่อนางราวกับว่านางเป็นบรรพบุรุษที่เคารพนับถือ และเราต้องทำตามสิ่งที่นางพูด เราไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ หากนางต้องการวางแผนกบฏ เราจะต้องช่วยนางขอรับ” บ่าวรับใช้คนนี้สับสนมาก “แท้จริงแล้วนางผู้นี้เป็นใครพะยะค่ะ ? องค์ชายทรงเห็นหรือไม่ว่านางทำให้ตำหนักแห่งนี้ดูเป็นอย่างไรพะยะค่ะ ? บ่าวรับใช้ของเราต่างก็เป็นห่วงว่าถ้าองค์ชายไม่กลับมาในเร็ววัน และมีวันหนึ่งที่นางบอกว่านางต้องการที่จะก่อกบฏ เราจะต้องช่วยนางหรือไม่ ? ”

ซวนเทียนฮั่วตอบโต้ด้วยใบหน้า “ใช่ เจ้าจะต้องช่วยนาง ไม่ใช่ว่าพวกเขาบอกว่านี่เป็นบรรพบุรุษที่น่าเคารพนับถือ”

“หืม?” คนใช้งงงวย นางยังเด็กมาก แต่นางเป็นบรรพบุรุษที่น่านับถือ

ซวนเทียนหัวโบกมือของเขา “ลืมมันซะ ตราบใดที่นางมีความสุข นางสามารถทำสิ่งที่นางต้องการ ! แค่ทนอีกหน่อย ข้าจะเข้าไปที่พระราชวังเพื่อรายงานก่อน”

เมื่อเห็นว่าซวนเทียนฮั่วจะเข้าไปในพระราชวัง บ่าวรับใช้จึงไม่สามารถหยุดเขาได้ เขาก้าวไปข้าง ๆ แต่ก่อนที่ซวนเทียนฮั่วจะหันกลับไป เสียงตะโกนดังมาจากด้านหลัง “ฮั่วเอ๋อ ! ” ตามมา สายลมอันหอมหวนลอยไปในอากาศ

เขาหันหลังกลับมาเท่านั้น เช่นเดียวกับที่เขายึดมั่นในตัวเองเขาเห็นคนสวมชุดสีขาว ร่างกายทั้งหมดของเขาถูกโอบกอด แขนโอบรอบคอของเขาค่อนข้างแน่น

“ฮั่วเอ๋อ ! ในที่สุดเจ้ากลับมาแล้ว ! ข้าคิดถึงเจ้ามาก ! ”

ซวนเทียนฮั่วรู้สึกอยากร้องไห้ “เสด็จแม่มาทำอะไรที่นี่พะยะค่ะ ? ”

ทหารองครักษ์ที่กลับมาพร้อมกับซวนเทียนฮั่วก็ตกตะลึงอย่างมาก “พี่เทียน ? ”

พระชายาหยุนปล่อยซวนเทียนฮั่วด้วยรอยยิ้ม จากนั้นนางตบไหล่ของทหารองครักษ์ “พูดได้ดี เจ้าพูดได้ดี”

ซวนเทียนฮั่วคว้ามือของพระชายาหยุนและเดินไปที่ห้อง เมื่อพวกเขาเดินผ่านกลุ่มบ่าวรับใช้ที่ร้องเพลง พระชายาหยุนพูดเสียงดังว่า “ตอนนี้พวกเจ้าออกไปได้แล้ว พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่ ข้าอยากคุยกับฮั่วเอ๋อเป็นการส่วนตัว”

บ่าวรับใช้ได้รับคำสั่งนี้ และรีบออกไปด้วยความกลัวว่านางจะเปลี่ยนใจหากพวกเขาชักช้า

ซวนเทียนฮั่วนำพระชายาหยุนเข้ามาในห้องโถงของลาน จากนั้นไล่บ่าวรับใช้ทั้งหมดออกไป จากนั้นเขาจึงปลดผ้าคลุมหน้าของพระชายาหยุนออกไปโดยถามนางว่า “หมิงเอ๋อไม่ส่งเสด็จแม่กลับไปที่ตำหนักศศิเหมันต์หรือพะยะค่ะ ? ทำไมเสด็จแม่ถึงมาอยู่ที่ตำหนักของข้า ? ”

พระชายาหยุนกระพริบตาและพูดอย่างจริงจัง “ข้ากลับพระราชวังไปแล้ว ข้ากลับไปแล้ว”

“เสด็จแม่แอบออกมาอีกครั้งหรือพะยะค่ะ ? ” เขารู้สึกงุนงงเล็กน้อย ความสามารถของพระชายาหยุนมีมากเพียงใด นางสามารถหลบหนีได้เสมอ ?

ใครจะรู้ว่านางสนมหยุนจะส่ายหัว “ข้าไม่ได้แอบ ตาแก่เห็นด้วยกับมัน เมื่อได้รับอนุญาต ข้าก็เดินออกจากพระราชวังภายใต้การเฝ้าดูของเขา”

“เป็นไปได้อย่างไรพะยะค่ะ ? ” ซวนเทียนฮั่วไม่เชื่อนาง “เสด็จพ่อจะยอมให้เสด็จแม่ออกจากพระราชวังได้อย่างไร ? ”

“ทำไมจะไม่ล่ะ ? ฮั่วเอ๋อ เจ้ายังไม่รู้ใช่ไหม มีใครบางคนต้องการทำร้ายข้าในพระราชวัง” พระชายาหยุนดูน่าสงสาร ในขณะที่นางเริ่มระบายความผิดหวังของนางที่ซวนเทียนฮั่ว

สิ่งที่ซวนเทียนฮั่วและซวนเทียนหมิงกลัวที่สุดคือการที่มารดาใช้วิธีนี้ เมื่อพระขชายาหยุนทำสีหน้าเช่นนี้ ทั้งสองก็จะใจอ่อนทันที “มันคืออะไร ? ใครพยายามทำร้ายเสด็จแม่ ? ” ซวนเทียนฮั่วถาม จากนั้นก็รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง “มีคนในพระราชวังที่ต้องการทำร้ายเสด็จแม่งั้นหรือ ? เสด็จพ่อไม่ได้ไปที่ตำหนักในมา 20 ปี พระสนมเหล่านั้นอาจเริ่มเกลียดเสด็จแม่มานานแล้ว”

“คราวนี้แตกต่างกัน พวกเขาลงมือทำจริง ๆ ” สายตาที่ดุร้ายฉายประกายผ่านสายตาของพระชายาหยุนในขณะที่นางกล่าวต่อ “เจ้าอาจยังไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ ไม่มีอะไรเหลืออยู่ เป็นสิ่งที่ดีที่ข้าไม่ได้อยู่ในพระราชวัง ถ้าข้าอยู่ ข้าถูกไฟคลอกตายแน่ ๆ ”

“อะไรนะ” ซวนเทียนฮั่วตกใจมาก แม้ว่าเขาจะเป็นเทพเซียน เขาก็จะไม่ยอมทนให้ใครบางคนใช้วิธีแบบนี้เพื่อพยายามทำร้ายมารดา “มันเป็นใคร ? “

พระชายาหยุนยักไหล่ “ข้าจะรู้ได้อย่างไร ข้า…”

นางกำลังจะพูดต่อ แต่มีเสียงดังมาจากข้างนอกห้องกล่าวว่า “องค์ชาย มีคนที่อยู่นอกพระราชวังขอพบองค์ชายพะยะค่ะ”

ซวนเทียนฮั่วขมวดคิ้ว “วันนี้ข้าไม่รับแขก บอกให้เขากลับไป ! ”

บ่าวรับใช้ที่อยู่ข้างนอกไม่ได้ออกไป เขากล่าวอย่างลังเล “พวกเราพยายามที่จะไล่พวกเขาออกไป แต่คนนั้นพูดว่าองค์ชายต้องมาพบพวกเขา แม้ว่าองค์ชายจะไม่ต้องการก็ตาม”

“โอ้?” ซวนเทียนฮั่วตกใจ “ใครมา ? ”

บ่าวรับใช้ตอบว่า “เขาบอก… บอกว่าพวกเขาเป็น…บรรพบุรุษขององค์ชายพะยะค่ะ ! ”

ตอนที่ 649 การรวมตัวใหม่

เฟิงหยูเฮงไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง ไม่รับการรักษา? หากเจ้าไม่ต้องการจะรับการรักษา เจ้าจะมาหาข้าทำไม?

นางเอื้อมมือไปหาองค์ชายเหลียนและอยากจะถามว่าเขากำลังเล่นอะไรอยู่ เป็นผลให้ไม่เพียงแต่นางไม่สามารถคว้าตัวเขาได้ แต่เมื่อนางมองอีกครั้ง นางก็เริ่มสงสัยว่าดวงตาของเขาหายไปหรือไม่

นางเห็นองค์ชายเหลียนจ้องมองซวนเทียนฮั่วเหมือนเสือที่อดอยากจะตะปบเหยื่อ อะไรคือความแตกต่างระหว่างวิธีการที่เฟิงจินหยวนมองเขา

หวงซวนและวังซวนเอามือแปะหน้าผาก หวงซวนกล่าวว่า “น่าละอายเกินไป เราจะแสร้งทำเป็นไม่รู้จักเขาได้หรือไม่ ? ”

วังซวนส่ายหัวอย่างไร้จุดหมาย “มันสายเกินไปแล้ว”

เฟิงหยูเฮงรู้สึกว่านางยังสามารถแก้ไขสิ่งต่าง ๆ ได้เล็กน้อย ดังนั้นนางจึงพยายามลากองค์ชายเหลียนกลับมาก่อนที่เขาจะไปถึงซวนเทียนฮั่ว เป็นผลให้ในขณะที่องค์ชายเหลียนรีบไปที่ซวนเทียนฮั่วก็มีอีกคนหนึ่งวิ่งเข้าหานาง เฟิงหยูเฮงไม่สามารถตอบสนองได้ทันเวลา เพราะนางเห็นร่างหนึ่งกระโดดออกมาจากรถม้าและพุ่งเข้าหานาง เขาตะโกนว่า “ท่านพี่ ! ข้าคิดถึงท่านพี่มากขอรับ ! ”

คำว่าพี่สาวฟื้นจิตวิญญาณของเฟิงหยูเฮงอย่างสมบูรณ์ หลังจากมองดูอย่างชัดเจน นางก็เห็นว่าคนตัวเล็กวิ่งมาก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเฟิงจื่อหรู

นางกางแขนของนางโดยไม่รู้ตัว องค์ชายเหลียน องค์ชายเจ็ด นางไม่สนใจ นางไม่เจอเด็กคนนี้มาเกือบปีแล้ว นางคิดถึงเขาทุกวันและเป็นห่วงมาก นางเกือบนอนไม่หลับ ในที่สุดเมื่อเขากลับมาอยู่ข้างของนาง เฟิงหยูเฮงต้องการที่จะอุ้มเฟิงจื่อหรูและกอดเขาไว้

แต่ความเป็นจริงพิสูจน์แล้วว่าเมื่อเฟิงจื่อหรูมาถึงตรงหน้าของนาง แขนที่ถูกโอบรอบเอวของเขา อย่างไรก็ตามนางเริ่มตบเขา !

“ข้าสอนเจ้า เจ้าไม่ฟังข้า ! ใครสอนให้เจ้าหนีไปจากบ้าน ! ใครสอนเจ้าให้ไม่ไปเรียน ! ใครสอนให้เจ้าไปที่ชายแดนตะวันออก ! ” มือของเฟิงหยูเฮงตบก้นของจื่อหรูซ้ำ ๆ นี่เป็นฉากที่ไร้ความปราณี และความเจ็บปวดทำให้เฟิงจื่อหรูร้องออกเสียงดัง

“ท่านพี่ ! หยุดตีข้า ข้ารู้ว่าข้าผิด” เด็กต้องการหนี อย่างไรก็ตามเขาไม่สามารถหนีจากเฟิงหยูเฮงได้ไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็ตาม เขากำลังสับสน ตอนนี้เขาอายุ 9 ขวบและเขามีพละกำลังมากกว่าเดิม เขาทำงานด้านนอกเป็นเวลา 1 ปี ความสามารถในศิลปะการต่อสู้ของเขาพัฒนาขึ้นเล็กน้อย ตอนแรกเขาคิดว่าเขาจะสามารถช่วยปกป้องพี่สาวของเขาได้ แม้กระนั้นเขาไม่เคยคิดว่าเขาจะต้องทนทุกข์ทรมานเช่นนี้หลังจากกลับมาที่เมืองหลวง เพียงแค่ความแข็งแกร่งที่เขาได้รับมาก็จะไม่เพียงพอที่จะหลุดพ้นจากหญิงสาวที่อ่อนแอ สิ่งนี้ไม่สามารถทนได้ ! “ท่านพี่” เขาขอร้องอย่างไร้ประโยชน์มากยิ่งขึ้น ในท้ายที่สุดเขาก็กล่าวว่า “ท่านพี่ไว้หน้าข้าด้วย! จื่อหรูเป็นผู้ชาย ! ท่านพี่ตีข้าที่อื่นเถอะ อย่าตีก้นข้าเลย มันน่าขายหน้าเกินไป ! ”

เขาหยุดดิ้นและปิดหน้าด้วยมือทั้งสองของเขา เขากลัวว่าเขาจะได้รับการยอมรับ

เฟิงหยูเฮงไม่รู้ว่านางควรหัวเราะหรือร้องไห้ดี มือของนางหยุดเคลื่อนไหว อย่างไรก็ตามนางกล่าวว่า “เจ้ารู้จักขายหน้าด้วยหรือ ? เจ้ารู้ว่าเจ้าเป็นผู้ชายหรือ ? ถ้าอย่างนั้นข้าขอถามเจ้าว่าสิ่งใดที่คน ๆ หนึ่งควรทำ ใครที่ไร้เหตุผลและแอบไปที่ชายแดน ? เจ้ารู้หรือไม่ว่าการเดินทางนั้นอันตรายเพียงใด ? เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าตกอยู่ในอันตรายกี่ครั้ง ? ”

เฟิงจื่อหรูได้ยินและตกใจ เมื่อคิดถึงการเดินทางจากเมืองหลวงไปยังชายแดนตะวันออกอย่างรอบคอบ เขาอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “ไม่มีอันตรายอะไรมากเลยขอรับ”

เฟิงหยูเฮงชี้นิ้วออกมาอย่างโกรธ ๆ และจิ้มไปหัวของเขาว่า “นั่นเป็นเพราะองครักษ์เงาของฮ่องเต้ตามเจ้าไปอย่างลับ ๆ เพื่อปกป้องเจ้า พวกเขาปกป้องเจ้าจากอันตรายทั้งหมด นั่นคือสิ่งที่ทำให้เจ้ามั่นใจได้ว่าสามารถเดินทางปลอดภัย” จากนั้นนางก็ลดเสียงพูดของนาง “เจ้าต้องรู้ว่าเหล่าองครักษ์เงามีไว้ปกป้องฮ่องเต้ ! ขันทีจางหยวนกลัวว่าจะมีบางอย่างเกิดขึ้นกับเจ้า เขาต้องใช้ความกล้าหาญขนาดไหนเพื่อส่งองครักษ์เงาของฮ่องเต้ไปเพื่อปกป้องเจ้า เจ้าหนูตัวน้อย เจ้าต้องจดจำความมีน้ำใจของเขาไว้”

เฟิงจื่อหรูรู้สึกงุนงงเมื่อได้ยินสิ่งนี้ ปรากฎว่าการเดินทางของเขามีคนแอบปกป้องเขา ? และมันก็เป็นผู้เชี่ยวชาญในระดับนั้น ? ไม่น่าแปลกใจที่เขาจะไปถึงชายแดนตะวันออกได้อย่างง่ายดาย ตอนแรกเขาคิดว่าตัวเองมีพลัง อย่างไรก็ตามเขาไม่เคยคิดเลยว่าความจริงจะเจ็บปวดมากขนาดนี้ !

เขาก้มหน้าลงด้วยความสับสน จับมือของเฟิงหยูเฮง เขาเหวี่ยงพวกมันไปมา “ท่านพี่อย่าโกรธ จื่อหรูรู้ความผิดของตัวเอง ถ้าไม่ใช่เพราะท่านพี่บอกข้า ข้าจะคิดว่าข้ามีพลังมากและจะสามารถป้องกันอันตรายได้ตลอดเวลา อย่างไรก็ตามข้าไม่เคยคิดว่าจะถูกเปิดเผยออกว่าข้าได้รับการคุ้มครองจากคนอื่นเสมอ ดูเหมือนว่าพี่เจ็ดนั้นพูดถูก ข้าไม่ควรทำอย่างนี้ในวัยนี้ ข้าควรกลับไปที่เสี่ยวโจวเพื่อศึกษา”

ดวงตาของเฟิงหยูเฮงสว่างขึ้น “เจ้าคิดเช่นนั้นจริงหรือ ? เจ้าวางแผนจะกลับไปเรียนต่อหรือไม่ ? ”

เฟิงจื่อหรูพยักหน้า “ข้าไม่รู้ว่าท่านอาจารย์ใหญ่จะยังต้องการให้ข้ากลับไปหรือไม่”

“นั่นจะขึ้นอยู่กับความสามารถของเจ้าเอง” เฟิงหยูเฮงคิดว่าน้องชายของนางโตขึ้นแล้ว เขาสามารถเดินทางจากเมืองหลวงไปยังฟู่โจวทางตะวันออก มีบางสิ่งที่นางพยายามปล่อยให้เขาทำด้วยตัวเอง หากเขาไม่สามารถเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ นางก็จะให้ความช่วยเหลือบ้าง เช่นนี้นางจะช่วยให้เด็กคนนี้เติบโตอย่างรวดเร็ว และไม่อ่อนแอเกินกว่าความต้องการของนาง “เจ้าควรคิดอย่างถี่ถ้วนเกี่ยวกับวิธีการขออภัยจากอาจารย์”

เฟิงจื่อหรูพยักหน้าอีกครั้ง “ข้าจะเชื่อฟังท่านพี่ทุกอย่าง ตราบใดที่ท่านพี่ไม่โกรธข้ามันก็ดี”

เฟิงหยูเฮงถอนหายใจและลูบหัวของเฟิงจื่อหรู เด็กคนนี้อายุ 9 ขวบในปีนี้ เขาเกือบจะสูงเท่ากับหน้าอกของนาง อย่างไรก็ตามนางปฏิบัติกับเขาเหมือนเด็ก ๆ เสมอ มีหลายครั้งที่นางหวังว่าน้องชายคนนี้จะเติบโตอย่างรวดเร็วกลายเป็นผู้ชาย และสามารถที่จะอยู่รอดในโลกด้วยตัวเอง แต่ก็มีบางครั้งที่นางหวังว่าเขาจะยังคงเป็นเด็ก และอยู่ข้างนาง ว่าเขาจะปล่อยให้นางบีบแก้มของเขา และนางสามารถปกป้องเขาได้ตลอดเวลา มอบความรักทั้งหมดให้น้องชายของนางจากชีวิตก่อนหน้านี้ซึ่งดูเหมือนเฟิงจื่อหรูในตัวเขา

แต่น้องชายของนางต้องโตขึ้น เขาอายุเพียง 9 ขวบ แต่เขาก็สูงขนาดนี้แล้ว จะมีวันหนึ่งที่เฟิงจื่อหรูจะสูงกว่านาง เมื่อถึงเวลานั้นเขาจะเป็นความภาคภูมิใจของนาง

นางยิ้มแล้วจับไหล่เด็ก เมื่อมองไปทางรถม้าอีกครั้ง ทหารองครักษ์ของซวนเทียนฮั่วได้ลงดาบลงไปที่ด้านหน้าของรถม้า องค์ชายเหลียนหยุดเรื่องนี้อย่างสิ้นเชิง

ในขณะนี้มีทหารองครักษ์ถามเสียงดัง “เจ้าเป็นใคร ? ออกไปไกล ๆ ! ไม่อย่างนั้นอย่าโทษข้าว่าไร้ความปราณี ! ”

ทำไมจาวเหลียนถึงได้เต็มใจที่จะจากไปเช่นนี้ เขายังพูดด้วยเสียงดังว่า “พวกเจ้าออกไปให้พ้นทาง ข้าแค่อยากดูที่องค์ชายเจ็ดเพียงแวบเดียว แล้วเจ้าล่ะ ? ให้องค์ชายมองดูข้าหน่อย เพียงแวบเดียวก็เพียงพอแล้ว ข้าไม่เชื่อว่าองค์ชายจะสามารถละสายตาได้หลังจากที่องค์ชายมองข้าเพียงแวบเดียว ออกไปให้พ้นทาง”

ทหารองครักษ์ของซวนเทียนฮั่วมองว่าเขาเป็นคนบ้า พวกเขาทั้งหมดปกป้องรถม้า สกัดกั้นและลากองค์ชายเหลียนให้ไกลออกไป พวกเขายิ้มและพยักหน้าเมื่อผ่านเฟิงหยูเฮง “องค์หญิง ท่านกลับมาที่เมืองหลวงเมื่อไหร่ขอรับ ? ” หลังจากพูดอย่างนี้พวกเขายืนอยู่ที่ข้างเฟิงหยูเฮง

เฟิงหยูเฮงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “สองสามวันก่อน”

ในขณะที่คนคุ้นเคยเหล่านี้คุยกัน จาวเหลียนยังคงจ้องมองที่ซวนเทียนฮั่วอย่างไม่ละสายตา เขาเห็นซวนเทียนฮั่วยืนขึ้นในรถม้า เปิดม่านออกเล็กน้อยขณะที่เขาก้าวออกจากรถม้า ทุกก้าวและทุกการเคลื่อนไหวมีความสงบและสง่างาม ราวกับว่าเขาเป็นเทพเซียนที่มาจากสวรรค์ แม้แต่ตอนที่เขาเดิน เขาก็ไม่จำเป็นต้องยกเท้า มันราวกับเขาลอยบนก้อนเมฆ

ซวนเทียนฮั่วเดินมาหาเขาแล้ว องค์ชายเหลียนก็เริ่มมีอารมณ์ เขาบ่นซ้ำ ๆ “เจ้าเห็นหรือไม่ว่าเขาเดินออกมา ใช่แล้ว ! อย่างที่ข้าพูดไว้ ไม่มีใครแม้แต่คนเดียวที่สามารถเมินเฉยต่อรูปลักษณ์ของข้าได้ แม้แต่เทพเซียนจากสวรรค์ก็ไม่มีข้อยกเว้น”

แม้ว่ามันจะถูกอธิบายว่าเป็นการพูดกับตัวเอง แต่เสียงของเขาก็ค่อนข้างดัง ถึงจุดที่แม้แต่ฝูงชนรอบข้างก็สามารถได้ยินเสียงได้อย่างชัดเจน

หากนี่คืออดีต และบางคนกล้าที่จะมีความมั่นใจเช่นนี้ต่อหน้าองค์ชายเจ็ด เจ้าจะต้องตะโกนออกไป แต่วันนี้เมื่อฝูงชนต้องการใช้วิธีที่คล้ายคลึงกันเพื่อแสดงความไม่พอใจ แต่เมื่อพวกเขาเห็นใบหน้าขององค์ชายเหลียนก็ไม่สามารถพูดอะไรได้

แน่นอนว่าคนผู้นี้สามารถที่จะพูดเช่นนี้ออกมาได้ !

ผู้คนถอนหายใจ จริง ๆ แล้วมีผู้หญิงที่งดงามขนาดนี้ในโลกหรือ ? หากมีการกล่าวว่าองค์ชายเจ็ดนั้นเป็นเหมือนเทพเซียนที่มาจากสวรรค์ ผู้หญิงคนนี้เป็นเทพธิดาที่มาจากสวรรค์ ! ไม่ ไม่ แม้แต่เทพธิดาก็ไม่ได้ดูงดงามเหมือนนาง  คนเราสามารถที่จะมีใบหน้าที่งดงามขนาดนี้ได้อย่างไร ?

ในทันทีมีบางคนที่มีความคิดที่ว่างเปล่าที่เรียกคืนการดำรงอยู่ที่เรียกว่า “นางจิ้งจอก” หรืออะไรทำนองนั้น

ผู้คนมององค์ชายเจ็ด, ซวนเทียนฮั่วเดินไปข้างหน้าทีละก้าว พวกเขาอดไม่ได้ที่จะเสียใจ แต่สวรรค์นั้นทำการจับคู่ที่ดี เทพเซียนถูกจับคู่กับเทพธิดา พวกเขาเหมาะสมกันมาก ในความเป็นจริง มีบางคนที่เตรียมปรบมือของพวกเขาเพื่อเฉลิมฉลองในความคาดหมายของซวนเทียนฮั่วเดินไปที่จาวเหลียน

ความเชื่อมั่นของจาวเหลียนก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน เมื่อเห็นว่าซวนเทียนฮั่วกำลังเดินมา หัวใจของเขาก็กระโดดมาอยู่ในลำคอ สิ่งที่เขาพูดไว้ก่อนหน้านี้เกี่ยวกับว่าเขาจะได้รับการรักษาอาการป่วยหรือไม่นั้นถูกทิ้งไว้ที่ด้านหลังของจิตใจ เขาไม่เคยคิดเลยว่าองค์ชายเจ็ดของราชวงศ์ต้าชุนจะรูปงามเช่นนี้

ในที่สุดซวนเทียนฮั่วก็หยุด แต่ผลลัพธ์ก็เป็นความผิดหวังอย่างมาก

เขาไม่ได้ยืนอยู่ต่อหน้าจาวเหลียน เขาไม่แม้แต่จะมองไปในทิศทางของจาวเหลียน เขาหยุดห่างจากเฟิงหยูเฮงสองก้าวออกไป และยิ้มอย่างบริสุทธิ์กล่าวกับนางว่า “ข้ากลับมาแล้ว”

เฟิงหยูเฮงพยักหน้า และตอบด้วยน้ำเสียงที่คล้ายกัน “ยินดีต้อนรับกลับเมืองหลวงเจ้าค่ะ”

ไม่มีการสนทนาเพิ่มเติม แต่มันดูราบรื่นและเป็นธรรมชาติ ไม่มีความรู้สึกที่ไม่พึงประสงค์แม้แต่น้อย จริง ๆ แล้วมันเป็นฉากที่น่าพอใจอย่างมากสำหรับทั้งจิตใจและดวงตา มันทำให้คนรู้สึกว่าองค์ชายเจ็ดและองค์หญิงจี่อันยืนอยู่ด้วยกันอย่างสบายใจยิ่งกว่าองค์ชายเจ็ดที่ยืนอยู่กับสาวงามคนนั้น

เฟิงจื่อหรูยิ้มและทำลายบรรยากาศที่สงบสุข เขาจับมือของเฟิงหยูเฮงและกล่าวว่า “พี่เจ็ดสอนข้าหลายอย่าง ตอนนี้ข้ารู้กลยุทธการทหารหลายประเภท และศิลปะการต่อสู้ของข้าได้พัฒนาไปอย่างมากขอรับ”

เฟิงหยูเฮงพยักหน้า และกล่าวกับซวนเทียนฮั่ว “ขอบคุณพี่เจ็ด”

ซวนเทียนหัวส่ายหน้า “ไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้า”

เฟิงหยูเฮงไม่สนใจในเรื่องนั้นต่อไป นางถามเขาว่า “พี่เจ็ดจะกลับไปที่ตำหนักของท่านก่อนหรือจะเข้าไปในพระราชวังของฮ่องเต้เจ้าคะ ? ”

ซวนเทียนฮั่วกล่าวว่า “ข้าคิดว่าข้าจะเข้าไปในพระราชวังของฮ่องเต้ก่อน มีหลายสิ่งที่จะต้องรายงานต่อเสด็จพ่อ”

อย่างไรก็ตามนางแนะนำ “ท่านพี่ควรกลับไปยังตำหนักของท่านพี่ก่อน มีบางสิ่งที่ท่านต้องรู้และหลีกเลี่ยงบางสิ่งที่กำลังถูกเปิดเผย”

“หืม ? ” ซวนเทียนฮั่วตกตะลึง “เกิดอะไรขึ้น ? ” จากนั้นเขาก็คิดอะไรบางอย่าง แล้วโน้มตัวไปข้างหน้าเพื่อถามอย่างเงียบ ๆ “เสด็จแม่กลับไปที่พระราชวังอย่างปลอดภัยใช่หรือไม่ ? ”

นางยิ้มอย่างขมขื่น “ปลอดภัยเจ้าค่ะ จริง ๆ แล้วนางกลับไปที่พระราชวัง แต่… แต่หลังจากเดินทางกลับไปที่พระราชวัง แต่นางก็ออกมาแล้ว”

ซวนเทียนฮั่วรู้สึกงงงวย “ทำไมนางกลับออกมา ? นางไปไหน ? ” เมื่อคำเหล่านี้ออกมา และไม่สามารถช่วยได้ แต่ต้องตกใจ “เจ้าบอกให้ข้ากลับไปที่ตำหนักของข้าก่อน เป็นไปได้หรือไม่…”

เฟิงหยูเฮงพยักหน้า “พี่เจ็ดคาดเดาได้ถูกต้อง”

ซวนเทียนฮั่วพูดไม่ออกเลยว่าเขาไม่ต้องการสิ่งนี้มากแค่ไหน ในเวลานี้ใครบางคนที่ดูเหมือนบ่าวรับใช้ชายวิ่งมาหาพวกเขา ทหารองครักษ์เป็นคนแรกที่จำเขาได้โดยพูดว่า “มาจากตำหนักของเราพะยะค่ะ”

คนที่มานั้นมาจากตำหนักจุนจริง ๆ เมื่อเห็นซวนเทียนฮั่ว เหมือนว่าเขาได้พบทางรอดแล้ว ทันใดนั้นความอ่อนเพลียก็ปรากฏบนใบหน้าของเขา ขณะที่เขาคุกเข่าบนพื้น เขาร้องไห้ “ในที่สุดองค์ชายก็กลับมา รีบกลับตำหนักก่อนพะยะค่ะ”

ตอนที่ 648 องค์ชายเจ็ดกลับเมืองหลวง

เมื่อกลุ่มของเฟิงหยูเฮงออกจากคฤหาสน์เหยา พวกนางได้ยินเสียงของผู้หญิงจากที่ไกลโพ้น เสียงดังกล่าวว่า “ทำไมเจ้าทำเช่นนี้ ? ปล่อยข้านะ ข้าไม่สนใจเจ้าเลยแม้แต่น้อย มันเร็วมากในตอนเช้า แต่เจ้ามาจับตัวข้าอย่างนี้ รู้จักความเหมาะสมหรือไม่ ? ”

เสียงของผู้หญิงดังมากและทำให้ฝูงชนไม่กี่คนมารวมตัวกันเพื่อดู ในขณะที่ถกเถียงฉากต่อหน้าพวกเขา พวกเขาชื่นชมภาพลักษณ์ของผู้หญิง

เฟิงหยูเฮงมอง ถ้าผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่องค์ชายเหลียนจะเป็นใครได้ ! ในขณะนี้ผู้ที่ดึงแขนเสื้อของเขา และปฏิเสธที่จะปล่อยคือบิดาของนาง เฟิงจินหยวน

“องค์ชายเหลียนผู้นี้ลำบากเหมือนกัน ! ” หวงซวนถอนหายใจ “เขาแต่งตัวเหมือนผู้หญิงเพื่อออกมาหลอกลวงคนอื่น”

อย่างไรก็ตามวังซวนไม่ได้คิดแบบนี้ “องค์ชายดูเหมือนอย่างนั้นแล้ว และพระองค์ก็มีสิ่งนั้นแน่นอน หากมีใครที่จะตำหนิก็ควรถูกตำหนิก็ควรตำหนิคนที่ขาดความมุ่งมั่น” ขณะที่พูดอย่างนี้นางพยักเพยิดไปที่เฟิงจินหยวนด้วยคางของนางแล้วกล่าวว่า “เห็นหรือไม่ ? ตาของท่านเฟิงกำลังจะหลุดออกจากเบ้า”

หวงซวนพยักหน้าและประเมินผล “มันไม่ใช่แค่ดวงตาของเขา ดูมือที่จับองค์ชายเหลียน”

เตือนความจำของหวงซวน ทำให้เฟิงหยูเฮงและวังซวนมองไปที่มือของจินหยวน พวกนางเห็นว่าเฟิงจินหยวนดูเหมือนจะดึงแขนขององค์ชายเหลียน แต่มีเพียงไม่กี่นิ้วที่พยายามคลานไปที่ข้อมือเพื่อที่ได้สัมผัส ทุกครั้งที่เขาสัมผัส ใบหน้าของจินหยวนจะอารมณ์แปรปรวนเล็กน้อย

เฟิงหยูเฮงรู้สึกรังเกียจด้วยสายตาแบบนี้และคิ้วของนางก็ขมวดมากขึ้น วังซวนพูดด้วยความรำคาญ “เมื่อตอนที่เขาเป็นเสนาบดี เขายังดูดีกว่านี้ ทำไมตอนนี้เขาถึงแย่ลง ? ”

เฟิงหยูเฮงกล่าวอย่างเย็นชา “ในอดีตเขาแสดงออกอย่างไร มันเป็นเพียงแค่ว่าเราไม่ค่อยได้พบปะกันบ่อยมาก แต่จะพูดถึงคฤหาสน์เฟิงก่อนหน้านี้ มีการขาดแคลนอนุที่เขานำเข้ามาหรือไม่ ? ”

หวงซวนพบสิ่งนี้ยากที่จะเข้าใจเล็กน้อย “หืม ? ไม่ใช่ว่าแท่งหยกของเขาได้รับความเสียหายจากท่านฮูหยินเหยาหรอกหรือเจ้าคะ ? เขาไม่ได้เป็นผู้ชาย ทำไมเขายังคงหมกมุ่นในเรื่องเช่นนี้อีก ? ”

เฟิงหยูเฮงบอกนางว่า “ใครบอกว่าคนที่ไม่ใช่ผู้ชายไม่สามารถไล่ตามผู้หญิงที่งดงามได้ ? ดูอย่างขันทีและบ่าวรับใช้ในพระราชวังที่เข้ามาใกล้ชิด ? เขาไม่สามารถมีบุตรได้ อย่างไรก็ตาม มันไม่ได้หมายความว่าเขาไม่มีรู้สึกถึงบางสิ่งในหัวใจของเขา ยิ่งกว่านั้นด้วยการปรากฏตัวของจาวเหลียน ผู้ชายจะไม่สนใจหรือ ! ”

วังซวนเตือนนางว่า “องค์ชายเก้าจะไม่ทำเช่นนั้นเจ้าค่ะ”

เฟิงหยูเฮงพยักหน้า “อืม นั่นหมายความว่าองค์หญิงงดงามกว่า”

ในขณะที่กลุ่มกำลังพูด เสียงอื่นมาจากด้านข้างของเฟิงจินหยวน เขาไม่สนใจคำพูดเยาะเย้ยของจาวเหลียนแม้แต่น้อย ตราบใดที่จาวเหลียนยืนอยู่ตรงหน้าเขา มันก็ปกคลุมทั่วทั้งโลกของเขา มันทำให้เขาไม่สนใจอะไรนอกจากผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าเขา

เขายังคงยึดมั่นในขณะที่ไม่ยอมปล่อย เขายังกล่าวต่อไปอีกว่า “เจ้าจำข้าไม่ได้หรือ ? เราพบกันเมื่อวานนี้ ข้าเป็นเพื่อนบ้านของเจ้า เจ้านายแห่งคฤหาสน์เฟิง ! ”

ใบหน้าของจาวเหลียนนั้นเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง เขาเหวี่ยงแขนของเขาซ้ำ ๆ แต่ก็หยุดไม่ให้เตะ ปากของเขาก็ไม่ได้พักเช่นกัน “เจ้าเป็นคนขี้โกงงั้นหรือ ? เจ้าไร้ยางอายใช่หรือไม่ ? มีเพื่อนบ้านนับไม่ถ้วน แต่ทำไมเจ้าเป็นคนเดียวที่เข้ามาใกล้เหมือนสุนัขไร้ยางอาย ? ฮะ ! ทุกคนดู คนผู้นี้น่ารังเกียจเกินไปหรือไม่ ? ”

ประชาชนรอบข้างพยักหน้า ทุกคนชี้ไปที่เฟิงจินหยวน เขาน่าขยะแขยงเกินไป

เฟิงหยูเฮงยังรู้สึกว่าเขาน่าขยะแขยงเกินไป และนี่ก็อยู่ตรงหน้าคฤหาสน์ขององค์หญิงของนาง เรื่องนี้ทำให้นางไม่รู้ว่านางควรจะกลับไปที่คฤหาสน์ของนางหรือไม่

วังซวนกล่าวว่า “เราจะกลับไปรอที่คฤหาสน์เหยาดีกว่าเจ้าค่ะ เราสามารถให้บานซูกำจัดคนออกไปได้”

นางรู้สึกว่าสิ่งนี้ดีและกำลังจะออกไป อย่างไรก็ตามนางได้ยินเสียงจาวเหลียนก็ตะโกนว่า “เสี่ยวหยา ! ”

นางเผชิญกับปัญหา นางยังคงก้าวช้าเกินไป

อย่างไรก็ตามเฟิงจินหยวนไม่รู้ว่าเสี่ยวหยาคือใคร เขายังคงจับจาวเหลียนไว้แน่นไม่ยอมปล่อย ผู้หญิงคนนี้เป็นสิ่งเดียวที่มีอยู่ในโลกของเขา แม้ในความฝันของเขาเขาไม่เคยคิดว่าเขาจะได้พบกับผู้หญิงคนนี้หลังจากที่หลับตา จินหยวนรู้สึกว่าสวรรค์นี้ถูกจัดขึ้นอย่างแน่นอน มันเป็นเง็กเซียนฮ่องเต้ที่มอบเทพธิดาที่สืบเชื้อสายของเขาลงมาสู่อาณาจักรมนุษย์เพื่อแก้ไขชีวิตอันหายนะของเขา

แต่เมื่อเขาหันหลังกลับ เขาพบว่ามีผู้หญิงที่งดงามคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าเขา นอกจากนี้ยังมีคนที่เป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายหลักของเขา : เฟิงหยูเฮง

มันเป็นเพียงแค่การดูถูกเหยียดหยามบนใบหน้าของเฟิงหยูเฮงก็เหมือนกับใบหน้าของสาวงามคนหนึ่ง สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกละอายอย่างยิ่ง แต่ถึงแม้ว่าเขารู้สึกละอายใจ เขาก็รู้สึกว่าถ้าเขาได้เห็นใบหน้าของหญิงสาวผู้งดงามมันก็จะคุ้มค่า

ในขณะนี้จาวเหลียนหยุดให้ความสนใจเขา เขาพูดกับเฟิงหยูเฮง “เสี่ยวหยา ข้ามาหาเจ้า เราไปเดินเล่นกันเถิด ข้าไม่คุ้นเคยกับสถานที่นี้ พาข้าไปเดินเล่นหน่อย ! ”

เฟิงหยูเฮงไม่สนใจเขาและมองไปที่เฟิงจินหยวน จากนั้นนางก็มองมือที่กำแขนเสื้อแน่น จะเป็นบุตรสาวคนที่สองของเขาอย่างสุดซึ้ง แม้ว่ามันจะอยู่ตรงหน้าของจาวเหลียนที่งดงาม เขาก็ยังไม่สามารถเพิกเฉยต่อการจ้องมองที่เยือกเย็นของเฟิงหยูเฮง

“ไปกันเถิด” เฟิงหยูเฮงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นทำให้เฟิงจินหยวนกลัว เขาจึงยอมปล่อย จากนั้นเขาก็ได้ยินนางกล่าวว่า “มาที่นี่ตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อที่จะทำให้ข้าเสียหน้า ท่านกำลังทำผลงานได้ดีในฐานะท่านพ่อ”

คำพูดเหล่านี้ทำให้ใบหน้าของจินหยวนรู้สึกแสบร้อนเหมือนถูกไฟเผา เขาไม่รู้ว่าจะแก้ไขปัญหานี้อย่างไร แต่ความคิดของเขายังไม่แล่นในตอนเช้า เขายืนอยู่ที่นั่นตลอดทั้งคืน ! ดังนั้นเขาจึงรีบกล่าวว่า “ข้ามาหาเจ้า ทหารยามของเจ้าไม่ยอมให้ข้าเข้าไป และข้ารอที่นี่ตลอดทั้งคืน”

“โอ้ ? ” เฟิงหยูเฮงมองเฟิงจินหยวนด้วยความเหยียดหยาม “ทหารยามของข้าบอกท่านว่าข้าอยู่ที่คฤหาสน์เหยาใช่หรือไม่ ? ทำไมท่านไม่ไปหาข้าที่คฤหาสน์เหยา ? รออยู่ข้างนอกตลอดทั้งคืน เจ้ายังมีเวลาที่จะยุ่งกับหญิงสาวที่อ่อนน้อมถ่อมตน ทำให้ข้าอับอายขายหน้าจนไม่เหลือชิ้นดี”

หลังจากพูดจบนางก็สะบัดแขนของนางแล้วหันไปรอบ ๆ ดึงจาวเหลียนไปด้วย

จาวเหลียนมาหานางเพื่อไปเดินเล่น สถานการณ์นี้เป็นอย่างที่เขาต้องการ ก่อนออกเดินทางเขาไม่ลืมที่จะหันหลังกลับและมองไปที่จินหยวนทิ้งไว้เบื้องหลัง “เพื่อนบ้าน ข้าจะยกโทษให้เจ้าเพื่อเห็นแก่เสี่ยวหยา หากยังมีอีกครั้งอย่าโทษข้าที่จะตัดมือของเจ้าทิ้ง”

เฟิงจินหยวนยืนสั่นอยู่กับที่และคิดกับตัวเองว่าทำไมผู้หญิงที่เฟิงหยูเฮงคบหาสมาคมถึงมีนิสัยแบบนี้ ? แต่หลังจากที่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของเขาโดยไม่รู้ตัว เขาเคยอยู่กับผู้หญิงทุกแบบมาก่อน แม้กระนั้นก็ไม่เคยมีใครเป็นแบบนี้ หากเขาสามารถเอาชนะนางได้ นั่นจะเป็นความสุขที่สุดในชีวิตของเขา

เมื่อนึกถึงเรื่องนี้เขาก็รู้สึกมั่นใจมากขึ้นที่จะรอเฟิงหยูเฮงต่อไป นางจะต้องกลับมาที่คฤหาสน์ของนางในไม่ช้าก็เร็ว ดูเหมือนว่านางและคนงามนั้นสนิทกันมาก gเมื่อคิดเกี่ยวกับมันการเดินทางครั้งนี้ไม่ได้ไร้ประโยชน์

เฟิงจินหยวนนั่งลงตรงหน้าคฤหาสน์ขององค์หญิง ทหารของจักรพรรดิได้แต่ชื่นชมหนังหน้าของคนผู้นี้ พวกเขาแต่ละคนกำลังคิดว่าคนผู้นี้เป็นอดีตเสนาบดีงั้นหรือ หากจะพูดอะไรที่ไม่เหมาะสม พระเนตรของฮ่องเต้แชเชือนไปหรือไรจึงยกสำแหน่งเสนาบดีให้บุคคลเช่นนี้

คำถามเดียวกันถูกถามโดยจาวเหลียน เขาถามเฟิงหยูเฮงโดยไม่เกรงใจ มีอะไรที่เขาไม่กล้าพูด เขากล่าวทันที “เป็นไปได้หรือไม่ว่าฮ่องเต้ของราชวงศ์ต้าชุนตาบอด ? แม้แต่ปีศาจราคะเช่นบิดาของเจ้าก็ยังสามารถเป็นเสนาบดีได้ ? ”

เฟิงหยูเฮงไม่ได้ตอบคำถามนี้ อย่างไรก็ตามนางเตือนเขาว่า “ถ้าซวนเทียนหมิงได้ยินเจ้าพูดว่าฮ่องเต้ตาบอด เขาจะตัดลิ้นของเจ้าทิ้งอย่างแน่นอน”

“ลืมไปเถิด ! ” จาวเหลียนไม่ได้กลัวสิ่งนี้เลย “ใครจะรู้ว่าซวนเทียนหมิงของเจ้าคิดแบบเดียวกันกับข้าก็ได้ ฮ่าๆๆ อย่าพูดถึงเขา มาพูดถึงบิดาของเจ้ากัน เขาเป็นตัวอย่างที่ยอดเยี่ยมจริง ๆ ! ข้าใช้ชีวิตอยู่เป็นเวลานานและข้าเห็นคนมาเยอะ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าเห็นคนอย่างเขา”

เฟิงหยูเฮงเปล่งเสียง “เหอะ” และกล่าวว่า “เจ้าไม่ชอบคนที่ชอบเจ้าหรือ ? ”

“หืม ? ” จาวเหลียนตกตะลึง “ข้าจะชอบคนเช่นเขาได้อย่างไร ?”

“ไม่อย่างนั้นทำไมเจ้าถึงย้ายไปอยู่ข้างบ้านเขา ? ”

“ข้าแค่อยากรู้อยากเห็น” จาวเหลียนบอกความจริง “มันเป็นแค่ความอยากรู้อยากเห็น ! มาจากภาคเหนือสู่เมืองหลวง เราคุยกันหลายเดือนแล้ว ข้าได้ยินเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับบิดาของเจ้า ถ้าข้าไม่ไปดูด้วยตัวเอง ข้าจะสนองความอยากรู้ของข้าได้อย่างไร”

เฟิงหยูเฮงโบกมือของนาง “ขึ้นอยู่กับเจ้า” จากนั้นนางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งเกี่ยวกับถนนที่พวกเขากำลังเดินอยู่

จาวเหลียนกล่าวว่า “ไม่เป็นไร ไปเดินเล่นกันเถิด”

“แม้ว่าเราจะเดินสุ่ม เราควรจะไปสู่พื้นที่ที่มีชีวิตชีวามากขึ้นใช่หรือไม่ ? เรามาผิดทาง” ขณะที่นางพูด นางก็ย้ายไปข้างหน้าเพื่อนำพวกเขา “ไปทางอื่น มีสิ่งที่น่าดูกว่านี้”

“ฮะ! ไม่ ไม่ ไม่ ! ” จาวเหลียนรีบดึงนางกลับมาอย่างรวดเร็ว “ข้าเคยไปเที่ยวสถานที่ที่มีชีวิตชีวาแล้ว คราวนี้ข้าอยากเดินเล่นในที่ไม่ค่อยมีชีวิตชีวา”

เฟิงหยูเฮงไม่เข้าใจว่าจะต้องเห็นอะไรในที่ที่ไม่มีชีวิตชีวา แต่นางไม่มีอะไรทำ นางไปกับองค์ชายเหลียน เดินไปตามถนน ในเวลาเดียวกันนางก็เริ่มพูดถึงอาการป่วยของเขา “ข้าได้คุยกับท่านปู่เรื่องอาการป่วยของเจ้า บทสรุปที่เรามาถึงไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะเข้าใจ แต่การที่จะพูดให้ง่ายกว่านี้ก็คือเจ้าเต็มไปด้วยสิ่งที่ผู้หญิงต้องการ หากต้องการลองแก้ไขให้ถูกต้องตอนนี้คงไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ เพียงแค่เราจะต้องนำสิ่งต่าง ๆ กลับมา และเติมฮอร์โมนให้เจ้าตามที่เจ้าต้องการ นี่คือวิธีที่มันควรจะทำงานในทางทฤษฎี แต่ก็ยังต้องทำ”

องค์ชายเหลียนพยักหน้า ด้วยอาการของเขาที่ถูกเลี้ยงดูมา เขาฟังอย่างตั้งใจถามเฟิงหยูเฮง “ถ้าอย่างนั้นโอกาสที่จะได้รับการรักษาคืออะไร”

เฟิงหยูเฮงคิดสักพักแล้วกล่าวว่า “ข้าคิดว่ามัน 50–50”

“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ไม่ได้พูดอะไร” เขากลอกตา “ไม่ว่าอย่างไรเจ้าสามารถบอกข้าได้ว่าด้านใดมีโอกาสมากขึ้นเล็กน้อย ด้วยวิธีนี้ข้าสามารถมีความหวัง ใครอยากถูกลากจูงเป็นสาวงามตลอดเวลา ตอนนี้ข้าอยากแทงบิดาของเจ้าจนตายจริง ๆ ”

เฟิงหยูเฮงกล่าวว่า “หากเจ้าอยากแทงเขาก็ทำ ถ้าเจ้าฆ่าเขาจริง ๆ และสถานการณ์จบลงที่ทางการ ข้ารับรองว่าเจ้าจะมีชีวิตอยู่” ในขณะที่นางพูด นางมองไปรอบ ๆ และกำหนดทิศทางที่พวกเขาจะไป “ทำไมเราถึงมาทางตะวันออกของเมือง ? อันที่จริงคนที่นี่ค่อนข้างรวย ร้านค้าที่นี่จะมีสินค้าคุณภาพสูง”

นางคิดว่าจาวเหลียนมาซื้อของบางอย่าง อย่างไรก็ตามนางไม่เคยคิดเลยว่าคนผู้นี้จะชะเง้อคอยาวและมองไปทางทิศตะวันออก

เฟิงหยูเฮงถามว่า “เจ้ามองอะไร ? ”

ก่อนที่เขาจะตอบ รถม้าก็วิ่งไปหาพวกเขาโดยตรง ความเร็วของรถม้าเริ่มช้าลง เมื่อมีคนเดินเท้าอยู่ด้านข้าง ความเร็วก็ลดลงอย่างสมบูรณ์เพื่อให้พลเมืองเคลื่อนไหวได้ง่ายขึ้น ม้าสองตัวดึงแคร่เลื่อนไปมาในพื้นที่ที่จำกัด และคนขับก็ขับรถหนีไป

คนขับรถนี้ไม่เด่นเกินไป แต่จากมุมมองของคนนอกว่าไม่มีอะไรจะสังเกตเห็น แต่ถ้ามีใครสนใจก็จะพบว่ามีแผ่นไม้เล็ก ๆ อยู่ทางด้านซ้ายของรถม้า บนแผ่นไม้นี้มี “เจ็ด” ที่ไม่เด่นเขียนไว้บนแผ่นซึ่งทำให้คนฉลาดสามารถสังเกตเห็นได้ นั่นหมายความว่ารถม้านี้เป็นขององค์ชายเจ็ดของราชวงศ์ต้าชุน, ซวนเทียนฮั่ว

เฟิงหยูเฮงส่งเสียง “เอ๋” ออกมาแล้วเริ่มยิ้ม “พี่เจ็ดกลับมาแล้ว”

ในเวลาเดียวกันบุคคลภายในรถม้าก็มีปฏิกิริยาเช่นกัน รถม้าหยุดและมีคนยกม่านจากด้านใน ใบหน้าของเซียนเทียนฮั่วได้ปรากฎโฉมต่อหน้าทุกคน

ในทันใดนั้นอาการอ้าปากค้างตกใจมาจากพลเมือง เมื่อพวกเขามององค์ชายเหลียน พวกเขาก็ทำตัวเหมือนเฟิงจินหยวนก่อนหน้านี้ ดวงตาแทบจะหลุดออกจากเบ้า

เขาก้าวไปข้างหน้าและโบกมือให้เฟิงหยูเฮง “เสี่ยวหยา รอก่อน ข้าไม่ต้องการที่จะรักษาอาการป่วยของข้า ! ”

ตอนที่ 647 เฟิงจินหยวนยืนกราน

เมื่อเฟิงจินหยวนกำลังเตรียมพร้อมที่จะมุ่งหน้าไปยังคฤหาสน์ขององค์หญิง เฟิงหยูเฮงอยู่ที่คฤหาสน์ของตระกูลเหยาพูดคุยกับเหยาเซียน

ทั้งสองเพิ่งกลับมาจากฝั่งของเหยาซื่อ เสี่ยวหยาไปอยู่กับเหยาซื่อแล้ว บานซูใช้ไปอยู่ที่นั่นเพื่อช่วยให้เสี่ยวหยารู้สึกสบายใจ แต่เขาบอกชัดเจนว่าเขาจะกลับมาอีกครั้งเมื่อพระอาทิตย์ตกดิน

คฤหาสน์เหยายังคงมีชีวิตชีวาอยู่ เพื่อเตรียมการสำหรับงานแต่งงานของเหยาซู่ทั้งครอบครัวจึงเริ่มทำงานอย่างวุ่นวาย เมื่อเฟิงหยูเฮงมาถึง ซูซื่อมองดูลักษณะของโคมไฟ นางชี้ไปที่โคมไฟรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าแล้วพูดกับบ่าวรับใช้ว่า “ไม่ใช่แบบนี้ เปลี่ยนพวกมันทั้งหมดให้เป็นวงกลม มันเป็นงานแต่งงาน ควรมีบรรยากาศเฉลิมฉลอง มันจะดีที่สุดถ้ามีความรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน*” หลังจากพูดอย่างนี้นางพูดกับบ่าวรับใช้ในครัว “ครอบครัวของเราไม่ใช่ครอบครัวของขุนนาง ไม่มีใครที่เป็นขุนนาง นั่นเป็นเหตุผลที่ไม่จำเป็นต้องเข้มงวดกับกฎมากเกินไป ตราบใดที่มีการปฏิบัติพิธีกรรมสิ่งต่าง ๆ ก็ดูสวยงาม และอาหารที่ดีนั่นคือสิ่งที่สำคัญ”

บ่าวรับใช้พยักหน้า และปฏิบัติตาม

เมื่อเห็นว่าเฟิงหยูเฮงมาถึง ซูซื่อก็รีบวิ่งไปอย่างรวดเร็ว แต่เหยาเซียนก็หยุดนางบอกกับนางว่า “อาเฮงจะมาทานอาหารค่ำในคืนนี้ ตอนนี้เรามีเรื่องสำคัญที่จะต้องหารือ อย่ารบกวน”

ซูซื่ได้ยินสิ่งนี้ และถอยกลับอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตามนางยังคงกระซิบอย่างเงียบๆ กับเฟิงหยูเฮง “คืนนี้นอนกับข้า ! ”

เฟิงหยูเฮงทำอะไรไม่ถูก และยิ้มขณะพยักหน้า

ทั้งสองเดินตรงไปที่ห้องหนังสือของเหยาเซียน เหยาเซียนบอกเฟิงหยูเฮงว่า “ตรวจสอบดีเอ็นเอของเสี่ยวหยาแล้ว ไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดระหว่างพวกเจ้าทั้งสองคน”

“จริงหรือเจ้าคะ ? ” เฟิงหยูเฮงตกตะลึง แม้ว่าผลลัพธ์นี้สมเหตุสมผล แต่ก็ทำให้รู้สึกแปลกใจ “แล้วทำไมนางถึงเหมือนข้ามากเจ้าค่ะ”

เหยาเซียนบอกนางว่า “เจ้าไม่จำเป็นต้องคิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเกินไป ในโลกนี้จะมีใครบางคนที่มีลักษณะคล้ายกัน ไม่มีความจำเป็นที่พวกเขาจะต้องเกี่ยวข้อง แต่สำหรับพวกเขาที่จะมีลักษณะคล้ายกันกับฝาแฝดเป็นผลมาจากความศักดิ์สิทธิ์ของผู้สร้าง เจ้ายังเป็นใครบางคนจากยุคปัจจุบัน เจ้าน่าจะเคยเจอสถานการณ์แบบนี้มาก่อน”

เฟิงหยูเฮงพยักหน้า ในชีวิตที่ผ่านมานางมีคนไม่กี่คนที่ดูเหมือนไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือด ผู้คนคิดว่ามันเป็นความลึกลับของโลก อย่างไรก็ตามมันไม่สามารถอธิบายได้โดยพันธุศาสตร์

นางยักไหล่ และยิ้ม “ดูเหมือนว่าข้ากังวลมากเกินไป ข้าคิดว่าเฟิงจินหยวนแอบไปมีบ้านเล็กที่ห่างไกลจากบ้าน”

เหยาเซียนพูดจาเย้ยหยันอย่างเย็นชา “เฟิงจินหยวน หากไม่ใช่เพราะเขาตกอยู่ในสถานการณ์ปัจจุบันของเขา ข้าจะวางแผนจัดการเขาแน่ ๆ ”

เฟิงหยูเฮงถอนหายใจเล็กน้อยกล่าวว่า “ในความเป็นจริงข้าไม่เคยคิดว่าจะโหดร้ายเกินไปในการหาทางแก้แค้นเฟิงจินหยวน หากคนผู้นั้นรู้ว่าการพึงพอใจและมีศักดิ์ศรีหมายถึงอะไร ข้าก็คิดว่ายอมให้เขาใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไปตลอดชีวิต รวมถึงท่านย่าของตระกูลเฟิง ข้าไม่เคยคิดเลยว่านางจะจากไปเร็วขนาดนี้ อย่างไรก็ตามโลกนั้นช่างโหดเหี้ยม สองคนนั้นเก่งทั้งเรื่องการรนหาที่ตาย ในท้ายที่สุดพวกเขาทำให้เกิดสถานการณ์ปัจจุบันของพวกเขาเอง เฟิงจินหยวน ข้าไม่ได้เป็นทุกข์แต่คิดเกี่ยวกับมัน เซียงหรูไม่ได้มีส่วนร่วม ด้วยครอบครัวแบบนี้ ข้ากลัวว่าการแต่งงานจะเป็นเรื่องยากที่จะพูดคุยในอนาคต”

เหยาเซียนก็ถอนหายใจด้วยการกล่าวว่า “ในอดีตเมื่อเราอยู่ในยุคปัจจุบันเวลาว่างมันน่าเบื่อ และข้าอ่านหนังสือเก่า ๆ สองสามเล่ม แต่เรื่องราวในหนังสือเหล่านั้นไม่สดใสเท่าที่กับพบจริง หลังจากที่ข้าเกิดใหม่ในราชวงศ์ต้าชุน ข้าก็เข้าใจว่าสิ่งต่าง ๆ ที่กล่าวถึงในหนังสือเหล่านั้นโหดร้ายน้อยกว่าความเป็นจริง”

ชั่วครู่หนึ่งความคิดของปู่และหลานคู่นี้คิดย้อนไปถึงชีวิตก่อนหน้านี้ แต่ทั้งสองก็เข้าใจว่าตั้งแต่พวกเขามาที่นี่ อดีตคืออดีต ไม่ว่าพวกเขารู้สึกคับข้องใจแต่ก็ไม่สามารถกลับไปแก้ไขได้แล้ว

เฟิงหยูเฮงเปลี่ยนเรื่องถามเหยาเซียน “งานแต่งงานของเหยาซู่นั้นท่านปู่คิดอย่างไร ท่านปู่ได้ยินเรื่องของหลู่เหยาหรือไม่เจ้าคะ?”

เมื่อได้ยินการพูดถึงหลู่เหยา สีหน้าของเหยาเซียนก็กลายเป็นความเศร้าหมองในทันที เขาอดไม่ได้ที่จะโกรธ แต่กล่าวอย่างโกรธแค้นว่า “เด็กผู้หญิงแบบนี้ ถ้ามันขึ้นอยู่กับข้า แน่นอนจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าประตูของตระกูลเหยา แม้ว่าฮ่องเต้จะแทรกแซงเรื่องการแต่งงาน ข้าก็คิดว่าจะมีวิธีขัดขวางมัน น่าเสียดาย…” เขาถอนหายใจ “เหยาซู่เป็นคนที่ต้องการ”

มันก็เป็นความจริงที่ว่าเหยาซู่เองต้องการ มันทำให้เฟิงหยูเฮงไม่สามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวได้ นางยิ้มอย่างขมขื่นและกล่าวว่า “ถูกต้อง เขาต้องการมันเอง เป็นเขาที่ต้องการ ถ้าเราคิดถึงวิธีการอื่นที่จะก่อให้เกิดความวุ่นวายและต่อต้าน ข้าเชื่อมั่นว่าบุตร ๆ ของตระกูลเหยาจะไม่พัฒนาความเกลียดชังเพราะสิ่งนี้ แต่ความรู้สึกไม่สบายใจจะยังอยู่ที่นั่น หลังจากคิดเกี่ยวกับมันจะดีกว่าที่จะลืมมัน ไม่ว่าจะพูดอะไร ข้าก็ยังเป็นคนนอก การปล่อยให้เขาตัดสินใจเองจะดีกว่า”

เหยาเซียนพยักหน้า “นั่นคือเหตุผล ไม่ต้องพูดถึงเจ้ารู้สึกเป็นคนนอก แม้ข้าจะรู้สึกเหมือนเป็นคนนอก ไม่ว่าเราจะผสานรวมเข้ากับโลกนี้อย่างไร ไม่ว่าเราจะผูกตัวเองเข้ากับชะตากรรมของตระกูลของเรา มันยังคงชัดเจนในใจของเราว่าเราเป็นคนนอก เราไม่ได้เป็นเจ้าของร่างกายนี้อย่างแท้จริง ข้าต้องทำอะไรที่ถูกต้องในการตัดสินใจการแต่งงานของหลานชาย ? ยิ่งไปกว่านั้นตระกูลเหยานั้นให้คุณค่าต่อความเสมอภาคเสมอ เมื่อเหยาเซียนยังมีชีวิตอยู่ เขาเคยกล่าวไว้ว่าการแต่งงานของหลาน ตระกูลเหยาไม่ควรเข้าไปยุ่ง ตราบใดที่เด็กเต็มใจ ประตูของตระกูลเหยาจะเปิดกว้างเพื่อรับเจ้าสาว ไม่ว่าพวกนางจะดีหรือไม่ดี ไม่ว่าพวกนางจะมีชีวิตอยู่หรือตายไป พวกมันจะถูกตัดสินโดยบุตรหลาน ตั้งแต่ข้าได้ยึดร่างของเขา ข้าควรทำตามหลักการนี้ ยิ่งไปกว่านั้นไม่ตกหลุมรักอิสระในการใช้ชีวิตที่เราคุ้นเคย”

เฟิงหยูเฮงพยักหน้า “ถูกต้อง ! ” หลังจากที่นางพูดแล้วนางก็มองไปที่เหยาเซียน “ท่านปู่ ข้าพบว่าท่านปู่ใช้ชีวิตมีความเข้าใจชัดเจนมากกว่าข้า มีหลายครั้งที่ข้าเกือบจะลืมเรื่องชีวิตก่อนหน้านี้ ตั้งแต่มาราชวงศ์ต้าชุน หากไม่ใช่ร้านขายยาที่ข้ามี ข้าจะคิดว่าชีวิตก่อนหน้านี้เป็นเพียงความฝันอันยาวนาน ช่างมีอิสระในความรักและการแต่งงาน แค่ได้ยินมันฟังดูเหมือนอะไรบางอย่างจากชีวิตก่อนหน้านี้”

ในความเป็นจริงมันมาจากชีวิตก่อนหน้า ! เหยาเซียนไม่สามารถกลั้นและกล่าวว่า “มีบางครั้งที่การหลีกเลี่ยงนั้นแย่กว่าการเผชิญหน้ากับสิ่งต่าง ๆ โดยตรง ข้าอยากรู้ว่าคลื่นลูกใดของตระกูลหลู่ที่ทำให้เกิด สำหรับเหยาซู่นั้น เขาเติบโตขึ้นอย่างเป็นลูกผู้ชายแล้ว เขาควรจะรับผิดชอบตัวเอง หากเขาไม่สามารถมองเห็นจิตใจของผู้คนอย่างชัดเจน และทำหน้าที่เป็นเจ้าบ่าวเพราะนั่นคือสิ่งที่หนังสือบอกให้เขาทำ เขาก็ไม่มีอนาคตที่สดใสมากนัก ผู้คนควรเติบโตผ่านประสบการณ์ของตนเอง แม้ว่าคนในตระกูลเหยาจะไม่มีอนุ และผู้หญิงจะไม่เป็นอนุ แต่ก็ไม่มีอะไรที่บอกว่าเขาไม่สามารถหย่าได้ หากมีวันที่เหยาซู่ต้องการหย่า ข้าก็จะสนับสนุนเขา”

เหยาเซียนและเฟิงหยูเฮงถอนหายใจ นางไม่ได้อยู่ในห้องหนังสืออีกต่อไป นางกลับไปช่วยคฤหาสน์เหยาแทน สมาชิกของครอบครัวเหยายินดีต้อนรับ ลุง ป้า และลูกพี่ลูกน้องของนางล้อมรอบ นางคุยและหัวเราะ เวลาผ่านไปเร็วมาก

นางทานข้าวเย็นกับตระกูลเหยาและพักที่นั่นในคืนนั้น ซูซื่อใช้ข้ออ้างที่ต้องการคุยกับนางเกี่ยวกับการแต่งงานของเหยาซู่เพื่อเกลี้ยกล่อมและโกงฉินซื่อกับเหมียวซื่อให้ยอมแพ้ที่จะพาเฟิงหยูเฮงไปนอนกับพวกนาง ดังนั้นเฟิงหยูเฮงจึงถูกลากไปที่ห้องของนาง

เฟิงหยูเฮงเข้ามาในห้องและดู เอาล่ะ เตียงก็มีผ้าห่มสีชมพูวางไว้ในบางจุดและชาก็เป็นสีสด พวกบ่าวรับใช้ก็ถือเสื้อผ้าของผู้หญิงจำนวนหนึ่ง ทุกคนยืนอยู่ที่นั่นพร้อมกับรอยยิ้ม

ซูซื่อกล่าวว่า “นี่คือเสื้อผ้าทั้งหมดที่ตัดให้เจ้า อาเฮงอย่าคิดว่าพวกเขาไม่เก่ง ข้าต้องตัดเสื้อผ้าให้ผู้หญิงสวมใส่ตลอดเวลา ตอนนี้ตระกูลเหยากลับมาสู่เมืองหลวงแล้วและเจ้าก็กลับมาเหมือนกัน เพียงแค่ปล่อยสิ่งเหล่านี้ให้ข้าดูแล ข้ารับประกันว่าเจ้าจะสวมใส่ชุดดีกว่าคนอื่น ! ”

ความจริงใจของซูซื่อทำให้เฟิงหยูเฮงประทับใจอีกครั้ง นางพยักหน้าอย่างแรง และบอกกับซูซื่อว่า “ถ้างั้นอาเฮงจะไม่เกรงใจ คฤหาสน์ของบุตรสาวของข้ามีผ้าที่มีค่าอยู่บ้าง ข้าจะให้คนนำพวกเขามาในภายหลัง ในอนาคตเสื้อผ้าของข้าจะให้ท่านป้าเป็นคนตัดเจ้าค่ะ”

ซูซื่อยิ้มอย่างดีใจมากเมื่อได้ยินสิ่งนี้ นางกอดเฟิงหยูเฮง นางมีความสุขมาก ! สวรรค์เห็นใจนาง ในที่สุดนางก็มีบุตรสาวน่ารัก ๆ ที่จะสวมใส่ชุดที่นางตัด

คืนนั้นเฟิงหยูเฮงนอนกับซูซื่อ อย่างไรก็ตามนางไม่เคยคิดเลยว่าเฟิงจินหยวนจะไม่ไปไหนหลังจากเดินทางมาถึงคฤหาสน์ขององค์หญิง ตั้งแต่บ่ายจนถึงท้องฟ้ามืดสนิท เขาเดินไปรอบ ๆ หน้าทางเข้า บางครั้งเขามองไปในทิศทางของคฤหาสน์เหยา อารมณ์ของเขาซับซ้อนมาก

ทหารยามของฮ่องเต้ที่ประตูไม่สามารถทนดูต่อไปได้และแนะนำว่า “ท่านเฟิง ท่านแค่ไปที่คฤหาสน์เหยาเพื่อทักทายพวกเขา ให้บ่าวรับใช้ส่งข้อความไปถึงองค์หญิง ไม่ว่านางจะพบท่านหรือไม่ จะมีข้อความตอบกลับมา มันจะดีกว่ารออยู่ที่นี่คนเดียวขอรับ”

เฟิงจินหยวนโบกมือ “ไม่เป็นปัญหาเลย คฤหาสน์เหยากำลังเตรียมพร้อมสำหรับการเฉลิมฉลองและพวกเขาจะต้องยุ่ง อาเฮงคงไปช่วย ข้าจะไม่รบกวนนาง ข้าจะรอต่อไป”

“แต่ท้องฟ้ามืดแล้ว เป็นไปได้ว่าองค์หญิงจะค้างที่นั่น ท่านเฟิงค่อยกลับมาตอนเช้านะขอรับ ! ”

“ไม่ ๆ ” เฟิงจินหยวนส่ายหัวซ้ำ ๆ “ข้าจะรอที่นี่ ไม่เป็นไรถ้าข้ารอหนึ่งคืน การรอเป็นการแสดงความจริงใจของข้า และนางจะพบข้า”

ทหารยามของฮ่องเต้ไม่สามารถเข้าใจตรรกะนี้ได้อย่างแท้จริง เขายังไม่เชื่ออย่างแท้จริงว่าการที่เฟิงจินหยวนรอทั้งคืนจะทำให้องค์หญิงใจอ่อน มันเป็นเพียงว่าเขาไม่สามารถพาตัวเองไปพูดสิ่งนี้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด ถ้าเขาต้องการรอเขาก็รอได้ พวกเขาจะไม่ยอมให้เขาเข้าไปในคฤหาสน์ องค์หญิงจะกลับมาในตอนเช้า ไม่ว่านางจะต้องการพบเขาหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับโชคชะตาของเฟิงจินหยวนนี้

ในด้านนี้เฟิงจินหยวนเดินไปรอบ ๆ ด้านหน้าของคฤหาสน์ขององค์หญิง ในอีกด้านหนึ่งยามเฝ้าประตูของตระกูลเหยาจะมองไม่เห็นสิ่งนี้ได้อย่างไร ข่าวนี้เข้ามาข้างใน แต่มันก็ไม่ได้ถึงหูของเฟิงหยูเฮง มันหยุดลงเมื่อมาถึงหวงซวน หวงซวนเกลียดเฟิงจินหยวนในระดับหนึ่ง เมื่อได้ยินว่าเฟิงจินหยวนพูดว่าเขาจะรอข้างนอกในคืนนี้ นางหัวเราะ แค่รอ นางคงไม่บอกว่าคุณหนู เพียงแค่ปล่อยให้ชายชรารออยู่ข้างนอกหนึ่งคืน มันจะดีที่สุดถ้าเขานอนแข็งตาย

เวลานี้เฟิงจินหยวนค่อนข้างถาวร เขาบอกว่าเขาจะรอหนึ่งคืนและเขาก็ทำตามที่พูดรอหนึ่งคืน ในตอนกลางคืนเขายังอยู่หน้าทางเข้า ทหารยามของอ่องเต้ที่ประตูมีการเปลี่ยนกะหลายครั้งหลายครา แต่เขาก็ยังไม่ขยับ คนขับรถม้าที่มากับเขานอนหลับอยู่ในรถม้า เขากัดฟันทน เขาหวังว่าความจริงใจของเขาจะสามารถทำให้บุตรสาวของเขาเห็นใจ การหางานทำเป็นเรื่องรองที่ทำให้ปัญหาของเขาได้รับการแก้ไข

มันเป็นเพียงว่าทุกครั้งที่เขามองไปที่คฤหาสน์ของเหยา เขาจะถูกทิ้งให้อยู่กับความรู้สึกคิดถึง นั่นคือคฤหาสน์ของเขา นั่นคือคฤหาสน์ที่มีชื่อเสียงในสมัยก่อนของเสนาบดีฝ่ายซ้าย เขาได้วางแผนการมากมายในนั้น แต่ตอนนี้เขาก็ไม่สามารถที่จะก้าวเข้าไปในคฤหาสน์นั้นได้แม้แต่ครึ่งก้าว

เช่นนี้เฟิงจินหยวนยืนอยู่ด้านหน้าคฤหาสน์ขององค์หญิงจนกระทั่งดวงอาทิตย์ขึ้น ในตอนเช้าวันรุ่งขึ้น วังซวนและหวงซวนตื่น เฟิงหยูเฮงตื่นขึ้นมา และพวกนางเล่าเรื่องนี้ให้นางฟัง ในขณะเดียวกันพวกนางก็บอกข่าวอีกเล็กน้อยกับเฟิงหยูเฮง “คุณหนู ท่านเฟิงกำลังล่อลวงผู้หญิงที่อยู่ด้านหน้าคฤหาสน์ขององค์หญิงเจ้าค่ะ ! ”

——————————————————————————————————

TN: คำศัพท์ที่รวมกันที่ใช้ที่นี่มีคำว่ากลมหรือวงกลม

ตอนที่ 646 ข้ากอดขาผิดคนมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา

การสาปแช่งของเฟิงเฟินไดปล่อยให้เฟิงจินหยวนรู้สึกละอายใจเกินกว่าที่จะแสดงทางใบหน้าของเขา แต่ในเวลาเดียวกันมันก็กระตุ้นความต้องการให้เขาไปหาเฟิงหยูเฮงเพื่อดูว่าจะได้รับการปฏิบัติอย่างไร

แต่เมื่อคิดถึงว่าจะไปหาเฟิงหยูเฮง หน้าผากของเฟิงจินหยวนก็ชุ่มไปด้วยเหงื่อ เขามักจะพยายามสื่อสารกับบุตรสาวคนที่สองของเขา เขายอมรับว่าสิ่งที่เฟิงหยูเฮงพูดนั้นถูกต้อง ความเมตตาที่เขาได้รับจากการเลี้ยงดูนางได้ถูกลบล้างไปนานแล้วโดยความพยายามฆ่านาง เฟิงหยูเฮงไม่ได้ส่งเขาไปที่หลุมฝังศพของเขาก็นับว่าใจกว้างมากพอแล้ว เพื่อไปขอความช่วยเหลือจากนาง นั่นจะไม่ไร้ยางอายหรือ ?

เฟิงจินหยวนรู้สึกขัดแย้ง แต่เฟิงเฟินไดไม่ให้อภัย นางพูดซ้ำ ๆ ว่า “อย่ามัวแต่คิดว่าท่านพ่อเป็นเสนาบดี เมื่อท่านพ่อเป็นเสนาบดี ท่านพ่อไม่รู้จักวิธีการปฏิบัติอย่างถูกต้อง จะเสียใจตอนนี้ก็สายเกินไป ! ข้าไม่สามารถกังวลในตัวท่านพ่อได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด การแต่งงานของข้าก็ถูกกำหนดไว้ แม้ว่าท่านพ่อจะกลับมาตอนนี้ ท่านพ่อยังคงไม่สามารถพูดกับองค์ชายองค์ที่ห้าได้ ข้ากำลังบอกท่านพ่อว่าตั้งแต่เดือนหน้าองค์ชายห้าจะไม่ส่งเงินแม้แต่เหรียญเดียวมาให้ตระกูลเฟิง ครอบครัวนี้จะให้การสนับสนุนท่านพ่อได้อย่างไร ! ”

หลังจากเฟิงเฟินไดพูดจบ นางก็สะบัดแขนเสื้อแล้วเดินจากไป แม้แต่บ่าวรับใช้ที่อยู่ข้าง ๆ นาง ซิ่วหยูก็ตะโกนอย่างเย็นชาใส่เฟิงจินหยวน นางไม่ได้คิดอะไรกับเขาเลย

เมื่อบ่าวรับใช้เห็นสิ่งต่าง ๆ เจ้านายของตระกูลเฟิงทำบาปและได้รับผลตอบแทน เขามีบุตรสาวที่ดีอย่างสมบูรณ์แบบ แต่เขาไม่ได้เลี้ยงดูอย่างเหมาะสม แต่พวกเขาทั้งหมดกลายเป็นปฏิปักษ์ ถ้าสิ่งนี้ไม่ช่วยเขา จะเกิดขึ้นอะไรขึ้น ?

คำพูดของเฟิงเฟินไดได้ยั่วยุเฟิงจินหยวนจนถึงที่สุด เมื่อเห็นว่านางกำลังจะออกจากห้องโถง อารมณ์ของเฟิงจินหยวนก็สูงขึ้น เขายกถ้วยน้ำชาบนโต๊ะขึ้นมาแล้วปามันไปทางด้านหลังศีรษะของเฟิงเฟินได

แรงที่อยู่เบื้องหลังการโยนครั้งนี้แข็งแกร่งมาก มันไม่ได้ฟาดหัวของนาง แต่กระแทกที่ร่างกายของเฟิงเฟินได เฟิงเฟินไดเดินโซเซจากการถูกโจมตีและหันหลังกลับด้วยความตกใจเพื่อเริ่มตั้งคำถาม อย่างไรก็ตามนางเห็นเฟิงจินหยวนชี้มาที่นางแล้วกล่าวว่า “เจ้าวายร้าย ! อย่าคิดว่าการตกต่ำของตระกูลเฟิงจะไม่เกี่ยวข้องกับเจ้าแม้แต่น้อย เจ้าและมารดาของเจ้าใช้โอกาสในขณะที่ข้าไปภาคเหนือเพื่อบรรเทาภัยพิบัติเพื่อทำสิ่งที่ดีเหล่านั้นทั้งหมด ข้ายังไม่ลืมเรื่องนั้น ! นังแพศยานั้นเสียชีวิต แต่เจ้า เมื่อใดก็ตามที่ข้าจำได้ว่านางให้กำเนิดเจ้า ข้าสงสัยว่าเจ้าเป็นบุตรสาวของข้าจริง ๆ หรือไม่ ! ”

เฟิงเฟินไดตกใจมาก ไม่ใช่ว่านางกลัวคำพูดของเฟิงจินหยวน นางรู้ว่าเฟิงจินหยวนโกรธและแสดงพลังที่ว่างเปล่า แต่คำพูดของเฟิงจินหยวนทำให้นางเริ่มคิด

เมื่อฮันชิสามารถทำอะไรบางอย่างกับการให้คนอื่นมอบลูกให้นาง แล้วตอนนี้ล่ะ เมื่อฮันชิให้กำเนิดนาง นางให้กำเนิดนางภายใต้สถานการณ์ปกติหรือไม่ ? ฮันชินั้นมาจากหอนางโลม แม้ว่านางอ้างว่าหาเลี้ยงชีพจากการขายศิลป์และไม่ได้ขายเรือนร่างของนาง แต่สถานที่แบบนั้นไม่สามารถเปรียบเทียบกับครอบครัวที่เหมาะสมที่อันชิ และเหยาซื่อซึ่งเป็นคุณหนูที่เหมาะสม ความรู้สึกของฮันชินั้นเป็นอิสระมากกว่าและนางก็โดดเด่นยิ่งขึ้น เมื่อพูดถึงผู้ชาย นางมีทักษะมากกว่านี้ นางทำได้…

เมื่อคิดเช่นนี้ เฟิงเฟินไดก็รู้สึกสับสนเล็กน้อย มิฉะนั้นทำไมถึงพูดว่าสิ่งที่น่ากลัวที่สุดสำหรับใครบางคนที่มีความคิดที่ดุร้าย มันก็น่ากลัวเช่นกันเมื่อคนคิดไปในทางลบ สิ่งต่าง ๆ ชัดเจนดี แต่เมื่อมีคนบอก มันจะง่ายสำหรับคนที่จะค้นหาความคิดของตัวเอง

ในขณะนี้ สิ่งที่เฟิงเฟินไดคิดก็คือชื่อเสียงของนางเอง !

ในบรรดาบุตรสาว 4 คนของตระกูลเฟิง เฟิงเฉินหยูนั้นงดงามมาก ในเวลาเดียวกันนางเป็นคนที่เหมือนเฟิงจินหยวนมากที่สุด นิสัยท่าทางถอดแบบมาจากเฟิงจินหยวน  เห็นได้ชัดว่าท่านฮูหยินผู้เฒ่านั้นช่างงดงามมากเมื่อนางยังสาว แม้ในวัยชราของนางก็ยังสามารถมองเห็นความงดงามเมื่อวัยเยาว์ของนางได้

นั่นเป็นสาเหตุที่ไม่มีใครแปลกใจเมื่อเฟิงเฉินหยูเกิดมางดงาม

สำหรับเฟิงหยูเฮง แม้ว่านางจะไม่สวยเท่าเฟิงเฉินหยู แต่นางก็มีใบหน้าที่คล้ายกันกับเฟิงจินหยวนและนางค่อนข้างฉลาด บวกกับความงามของเหยาซื่อ แม้ว่านางจะไม่งดงามเท่าเฟิงเฉินหยู นางก็ไม่ได้ด้อยกว่ามากนัก ในความเป็นจริงหลายคนอาจกล่าวได้ว่าคุณหนูรองตระกูลเฟิงมีชื่อเสียงเท่าเทียมกันกับคุณหนูใหญ่ตระกูลเฟิง มันเป็นแค่คหนึ่งงดงามอย่างแท้จริง ในขณะที่อีกคนหนึ่งกล้าหาญ

เมื่อมาถึงเฟิงเซียงหรูอย่างน้อยหกในสิบส่วนเหมือนเฟิงหยูเฮง นี่คือสิ่งที่ทุกคนที่มีตาจะยอมรับ

แต่นางเท่านั้น เฟิงเฟินไดก็ไม่ได้ดูเหมือนพี่สาวของนาง ในความเป็นจริง มันเป็นเรื่องยากที่จะชี้ให้เห็นเพียงสิ่งที่นางได้รับมาจากเฟิงจินหยวน อย่างไรก็ตามเมื่อมองอย่างใกล้ชิดนางก็คล้ายกับฮันชิมาก

ยิ่งนางคิดถึงมันมากเท่าไหร่นางก็ยิ่งตกใจ สายตาของนางสั่นไหวและนางไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับความเจ็บปวดจากการถูกโจมตีอีกต่อไป

ในความเป็นจริงแล้วเฟิงจินหยวนพูดอย่างตั้งใจเพื่อระบายความโกรธของเขา แต่ใครจะรู้ว่าเฟิงเฟินไดจะไม่เริ่มสาปแช่ง นางกลับนิ่งเงียบแทน

เขาเริ่มใจคอไม่ค่อยดีและเขาก็รีบกล่าวว่า “เป็นไปได้หรือไม่…ว่าข้าไม่ใช่บิดาผู้ให้กำเนิดเจ้า ? เจ้าจริง ๆ…”

“ไม่ ! ไม่ใช่ท่านพ่อ ! ” เฟิงเฟินไดตื่นตระหนก โดยกล่าวว่า “ท่านพ่อจะคิดแบบนี้ได้อย่างไร ? แม้ว่าแม่รองฮันจะทำผิด มันก็เกิดขึ้นในภายหลัง มันเกี่ยวข้องกับข้าได้อย่างไร ? ย้อนกลับไปนางเป็นคนสุดท้ายที่เข้าสู่คฤหาสน์ ท่านพ่ออยู่กับนางกี่ปี ความโปรดปรานเช่นนั้นคืนแล้วคืนเล่า เด็กจะเป็นของคนอื่นได้อย่างไร ? ”

เมื่อนางนำเรื่องนี้ขึ้นนางก็หันหลังกลับ รู้สึกว่านางพูดในสิ่งที่ถูกต้อง คำพูดของนางก็สุภาพน้อยลงเล็กน้อย นางจ้องมองที่เฟิงจินหยวนและกล่าวว่า “เป็นไปได้หรือไม่ว่าท่านพ่อจะรู้สึกว่ามีปัญหากับตัวเอง ? แม้ว่าข้าจะไม่เห็นมันด้วยตัวเอง แต่ข้าก็ได้ยินมามากมายในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เมื่อแม่รองเข้ามาในคฤหาสน์ นางได้รับความโปรดปรานมากมาย หากคนอื่นสามารถแอบเข้ามาในช่วงเวลานั้น ท่านพ่อไม่ควรพิจารณาว่าท่านพ่อมีบุตรหรือไม่ มีเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้ท่านแม่สนมมองหาวิธีอื่นหรือไม่ ? หากเป็นเช่นนั้นท่านพ่อควรคิดอย่างรอบคอบเกี่ยวกับเด็กคนอื่น ๆ ในครอบครัว ! ”

ฮึ่ม ! เขาต้องการที่จะเปิดเผยนาง ? จากนั้นนางก็จะลากคนอื่นมาด้วย หากนางจะถูกสอบสวน พวกเขาทั้งหมดจะถูกสอบสวนร่วมกัน นางต้องการดูว่าใครสะอาด นางยังต้องการที่จะดูว่าเฟิงจินหยวนมีความกล้าหาญหรือไม่ !

แน่นอนว่าเฟิงจินหยวนก็ไม่พูดอะไรเลย ขณะที่เขารู้สึกโกรธมาก บ่าวรับใช้จากเรือนของเฟิงเฟินไดรีบวิ่งเข้ามา นางเคารพเฟิงจินหยวนแล้วกล่าวกับเฟิงเฟินไดว่า “คุณหนูสี่รีบกลับไปดูเร็วเจ้าค่ะ คุณชายน้อยกำลังร้องไห้อีกครั้ง และร้องไห้ไม่หยุด ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นเจ้าค่ะ”

ในที่สุดสีหน้าของเฟิงเฟินไดที่เริ่มดูดีขึ้นมาเล็กน้อย แต่ก็จมดิ่งลงทันทีอีกครั้ง ตราบใดที่เด็กถูกเลี้ยงดู นางก็รู้สึกละอายอย่างยิ่ง นางอดไม่ได้ที่จะสาปแช่งฮันชิที่ตายแล้วไปแล้วอีกครั้ง ในเวลาเดียวกันนางโกรธกล่าวว่า “ทำไมเจ้าไม่บีบคอมันให้ตาย ! ”

แม้ว่านี่จะเป็นสิ่งที่นางพูด แต่นางก็ไม่กล้าบีบคอเด็กจนตาย ไม่ต้องพูดถึงการบีบคอจนตาย นางไม่กล้าแม้แต่จะเล่นอุบายใด ๆ กับเด็กคนนี้ การพูดไม่ใช่ว่านางไม่เคยทำสิ่งใดเลยเหมือนเล่นเล่ห์เหลี่ยม นางเคยติดเข็มเย็บผ้าไว้ที่ต้นขาของเด็ก เด็กร้องไห้ด้วยความเจ็บปวดตลอดทั้งคืน แต่ในคืนที่สองนางได้พบกับการลงโทษ ในขณะที่นางหลับ นางตื่นด้วยความเจ็บปวด เมื่อนางตื่นขึ้นมานางพบว่ามีเข็มเย็บผ้าปักที่ต้นขาของนางเมื่อนางหลับ

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเฟิงเฟินไดไม่กล้าทำอะไรเลย

“ลืมมันไปเถิด” ทัศนคติของนางดีขึ้น และนางก็พูดกับเฟิงจินหยวน “บนพื้นฐานของความสัมพันธ์แบบบิดา – บุตร ข้าจะให้องค์ชายห้าแนะนำงานให้” หลังจากพูดอย่างนี้นางก็จากไปอย่างรวดเร็ว

เฟิงจินหยวนไม่เถียงต่อไป เขาก็เหนื่อยเช่นกัน เมื่อเขานั่งลงบนเก้าอี้แล้วเอนหลัง ในปีที่ผ่านมาเขาไม่รู้ว่าเขาต่อสู้กับเฟิงเฟินไดหลายครั้งเช่นนี้ เขาเริ่มหงุดหงิดมากขึ้น แต่เฟิงเฟินไดก็ยิ่งหยิ่งยโสมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้ากับบุตรสาวคนนี้ได้อย่างไร แต่เขาต้องเอื้อมมือออกไปรับค่าจ้างรายเดือนจากว่าที่สามีของนาง หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากองค์ชายห้า ตระกูลเฟิงอาจจะไม่สามารถรับบ่าวรับใช้ด้วยซ้ำ

ในท้ายที่สุดเฟิงจินหยวนก็เคยเป็นเสนาบดีมานานหลายปี มีหลายครั้งที่เขายุ่ง และบางครั้งเมื่อเขาเป็นคนนอกรีต แต่สิ่งที่เขายังมีคือจิตใจที่สับสน

มันเป็นเพียงเมื่อคน ๆ หนึ่งถึงจุดจบที่พวกเขาจะเริ่มหันหลังกลับเส้นทางที่พวกเขาได้เดินมา จากนั้นพวกเขาจะเริ่มพิจารณาว่าพวกเขาลงเอยในสถานการณ์นั้นได้อย่างไร เมื่อเขามองย้อนกลับไป เฟิงจินหยวนก็ตกตะลึงมากขึ้นเรื่อย ๆ เขารู้สึกเสียใจมากขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งเขาดูมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าเขากอดขาผิดคนมาหลายปี

ในอดีตเขาเชื่ออย่างเต็มที่ว่าเฟิงเฉินหยูมีลักษณะของหงส์เพลิง และเขาเลือกที่จะช่วยองค์ชายสาม เขาหวังอย่างเต็มที่ว่าจะผลักดันเฟิงเฉินหยูเข้าไปเป็นฮองเฮา จากจุดนั้นตำแหน่งของตระกูลเฟิงก็คงที่ แต่เมื่อเขามองย้อนกลับไป เขาก็พบว่ามีฮองเฮาพร้อมที่จะนั่งอยู่ในตำแหน่งนั้น แม้กระนั้นไม่เพียงแต่เขาไม่ยอมรับนาง แต่เขาก็พยายามฆ่านางเพื่อกำจัดนาง สิ่งนี้ไม่ได้บ้าหรือ ? พวกนางทั้งหมดเป็นบุตรสาวของเขา แต่เขาก็ไม่ได้พยายามที่จะประจบประแจงกับคนที่มีตำแหน่งมารอแล้ว แต่เขายืนยันที่จะผลักดันอีกคนหนึ่งขึ้นไป เขากำลังคิดอะไรอยู่ในเวลานั้น ?

ความคิดเหล่านี้ยังคงดำเนินต่อไป เขามองเห็นความผิดพลาดของเขาอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น เขาเห็นความหมายของแต่ละก้าวของเฟิงหยูเฮง ภายใต้ความร่วมมือของเฟิงเฉินหยูและฮูหยินผู้เฒ่า ความสัมพันธ์ระหว่างบิดากับบุตรสาวค่อย ๆ กลายเป็นความเกลียดชัง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาพบว่าเฟิงหยูเฮงมีความสามารถในศิลปะการต่อสู้และกลยุทธการศึกหลังจากใช้เวลา 3 ปีในภาคตะวันตกเฉียงเหนือ เขาก็ยังไม่คิดว่ามันเป็นสิ่งที่ดี เขามองนางในฐานะคนที่จะเดินทางขึ้น ย้อนกลับไป สมองของเขาถูกทอดทิ้งจากความวิตกกังวลหรือไม่ ?

ตอนนี้เฟิงหยูเฮงเป็นบุตรสาวของขุนนางชั้นสูงของอาณาจักร นางได้รับตำแหน่งเป็นพระชายาเอกขององค์ชายองค์ที่เก้าซึ่งฮ่องเต้ให้การสนับสนุนมากที่สุด นางมีกองทัพของตัวเองและหลอมเหล็กให้กับราชวงศ์ต้าชุน นางยังเอาชนะเฉียนโจว… ด้วยทั้งหมดนี้ถ้าเขาเลือกเฟิงหยูเฮง ถึงแม้ว่าเขาอาจจะยังเป็นเสนาบดีอยู่ค่าจะแตกต่างกัน ! เสนาบดีที่ถูกต้อง แน่นอนจะไม่อยู่ในระดับเดียวกับเขา !

หากสิ่งที่เขาเลือกกลับมาคือเฟิงหยูเฮง ปัจจุบันเขาจะอยู่ในที่ดินผืนใหญ่ที่เชื่อมต่อกับคฤหาสน์ขององค์หญิง เขาจะคอยต้อนรับเจ้าหน้าที่จำนวนมากที่มาเยี่ยมในแต่ละวัน พวกเขาทั้งหมดจะปฏิบัติต่อเขาอย่างดีเยี่ยม และทั้งหมดนี้เป็นเพราะบุตรสาวที่น่าทึ่งที่สุดในโลก

อย่างที่เฟิงจินหยวนคิด เขาก็เริ่มยิ้มโดยไม่รู้ตัว ราวกับว่าเขาได้กลับไปที่คฤหาสน์เฟิง และเขาก็กลับไปช่วงเวลาหนึ่งที่ภรรยาและบุตรๆ ของเขายังคงอยู่รอบๆ แม้แต่ฮูหยินผู้เฒ่าก็ยังมีชีวิตอยู่ และสิ่งที่เขาให้ความสำคัญไม่ใช่เฟิงเฉินหยู ฮูหยินใหญ่ตระกูลเฟิงไม่ใช่เฉินซื่อ และเหยาซื่อไม่ได้หย่ากับเขา เฟิงหยูเฮงไม่ได้เกลียดเขา และเฟิงจื่อหรูใช้เวลาทุกวันเล่นกับเขา…โอ้ ใช่แล้ว นอกจากบุตรสาวที่เป็นองค์หญิงแล้ว เขาก็ยังมีบุตรชายที่เป็นศิษย์น้องของฮ่องเต้ด้วย จากทั้งหมดนี้ สถานะของเขาจะต่ำกว่าคนเพียงคนเดียวและเหนือกว่าคนอื่น ๆ นับไม่ถ้วน แน่นอน ตราบใดที่เฟิงหยูเฮงยังอยู่ใกล้ ตำแหน่งนี้ก็ไม่สามารถแตะต้องได้

เมื่อมาถึงจุดนี้ เขาจำได้ว่าเมื่อเทียบกับองค์ชายสาม องค์ชายเก้าไม่จำเป็นต้องแข่งขันเพื่อให้ได้รับทุกสิ่ง นี่คือความแตกต่างเดียวกันระหว่างเฟิงเฉินหยูและเฟิงหยูเฮง แต่… เขายังจำได้ว่าขาขององค์ชายเก้าถูกทำลายและอีกฝ่ายไม่มีความหวังที่จะมีบุตร มันเป็นสิ่งที่ทำให้เขาละทิ้งความหวังทั้งหมด อย่างไรก็ตามเขาเห็นความสามารถทางการแพทย์ของเฟิงหยูเฮงในเวลานั้น เขาไม่เคยคิดเลยว่าความสามารถทางการแพทย์ของเฟิงหยูเฮงจะน่าทึ่งมากจนนางสามารถ… รักษาอาการบาดเจ็บแบบนั้นได้ ?

เฟิงจินหยวนบุกเข้าไปในเหงื่อเย็นอีกครั้ง เขากระโดดขึ้นจากเก้าอี้แล้วรีบออกไป บ่าวรับใช้ที่อยู่ด้านนอกได้รับความตกใจถามอย่างเร่งด่วน “ท่านเฟิงลุกขึ้นกะทันหัน ท่านเฟิงจะไปไหนขอรับ?”

“ออกไปให้พ้น ! ” เฟิงจินหยวนผลักบ่าวรับใช้ออกไปและตะโกนเสียงดัง “เตรียมรถม้า เร็ว ข้าต้องการไปที่คฤหาสน์ขององค์หญิง ! ”

ตอนที่ 645 เจ้าไม่ชอบตัวเอง

ข่าวของซวนเทียนฮั่วกลับสู่เมืองหลวงเป็นเรื่องน่าตกใจอย่างยิ่งกับองค์ชายเหลียน เขากอดแขนขององครักษ์เงาแน่น และถามอย่างเร่งด่วนว่า “เจ้าแน่ใจหรือ ? ”

หยุนเสี่ยวพยักหน้า “แน่นอนเจ้าค่ะ เขาจะมาถึงทางเข้าทางตะวันออกในเวลาเที่ยงวันพรุ่งนี้ หลังจากกลับมาที่เมืองหลวงแล้ว เขาจะไปรายงานตัวที่พระราชวังเจ้าค่ะ” แต่หยุนเสี่ยวก็งงเช่นกัน เมื่อมองดูแรงบันดาลใจขององค์ชายเหลียน นางถามด้วยความสับสนว่า “องค์ชายเจ็ดของราชวงศ์ต้าชุนกลับมาที่เมืองหลวง พระองค์มีความสัมพันธ์กันหรือเจ้าคะ ? ” จำเป็นต้องมีการตอบสนองทางอารมณ์หรือไม่ ?

“คนที่เป็นเหมือนเทพเซียนอย่างแท้จริงนั้นควรค่าแก่การชื่นชม ! ” องค์ชายเหลียนเหลือบไปมองหยุนเสี่ยว “คนหัวทื่ออย่างเจ้าเข้าใจหรือไม่ ? ”

หยุนเสี่ยวรู้สึกโมโห “มันไม่ได้บอกว่าพระองค์ควรเรียนรู้ที่จะเป็นคนที่กล้ากว่าหน่อยหรือเจ้าคะ ? พระองค์ ถึงแม้ว่าองค์หญิงจะสัญญาว่านางจะรักษาอาการป่วยของนาง แต่นางก็พูดกลับมาว่านางสามารถรักษาได้เพียงภายนอกเท่านั้น อย่างไรก็ตามนางไม่สามารถเปลี่ยนรากฐานของพระองค์ได้ นางสามารถกู้คืนร่างกายที่เป็นชายของพระองค์ แต่จิตใจของพระองค์ต้องเป็นผู้ชายเช่นกัน ถ้าพระองค์หันความสนใจขององค์ชายเจ็ดมาหาเด็กผู้หญิง ผู้ใต้บังคับบัญชาคนนี้จะรู้สึกสบายใจมากยิ่งขึ้นเจ้าค่ะ”

“พูดจาเวิ่นเว้อ ! ” องค์ชายเหลียนเหล่ “หนึ่งในพวกเรา คนไหนที่เป็นเจ้านาย ? ทำไมก่อนที่ข้าจะพูดมาก เจ้าพูดจาโผงผางมานานและเริ่มสอนข้า ข้ารำคาญเจ้าจริง ๆ เตรียมการบางอย่าง พรุ่งนี้พวกเราจะไปหาเสี่ยวหยาก่อนเที่ยง เราจะให้นางรับสิ่งนี้… พาข้าไปพบเทพเซียนผู้นั้น”

“พระองค์ไม่รู้สึกอายหรือเจ้าค่ะ ? ” หยุนเสี่ยวขมวดคิ้ว และกล่าวว่า “การไปแอบดูคนอื่นด้วยตัวเองก็ตาม ทำไมพระองค์ถึงต้องรบกวนองค์หญิงด้วยเจ้าคะ ? หากนางพบว่าพระองค์ไม่ทำตามสัญญาและไปแอบดูผู้ชายคนหนึ่ง หากนางรู้นางจะดุพระองค์แค่ไหน” จากภาคเหนือจนถึงเมืองหลวง หยุนเสี่ยวค้นพบเกี่ยวกับเฟิงหยูเฮง ปากและบุคลิกของนางที่ไม่กลัวอะไรเลย หากนางต้องการที่จะเริ่มดูถูกองค์ชายเหลียน นางก็จะไม่หยุดเลย

“เจ้าไม่รู้ว่าจะวิเคราะห์สิ่งนั้นได้อย่างไร ! ” องค์ชายเหลียนพูดด้วยรอยยิ้ม “ลองคิดดูสิ นั่นคือองค์ชายเจ็ดของราชวงศ์ต้าชุน แม้ว่าเขาจะทำตัวธรรมดาและไม่ได้กลับมาพร้อมกับเกียรติยศ เขาจะต้องอยู่ในรถม้าอย่างแน่นอน เขาไม่สามารถเดินไปตามถนนได้ ถ้าข้าไปดูด้วยตัวเอง ข้าก็สามารถดูเขาได้จากที่ไกล ๆ เท่านั้นเมื่อรถม้าผ่านไป ความสนุกในสิ่งนั้นคืออะไร แต่ถ้าข้าพาเสี่ยวหยาไปด้วย มันจะแตกต่างกัน เสี่ยวหยาสนิทกับเขามาก และข้าได้ยินมาว่าน้องชายของนางอยู่กับองค์ชายเจ็ด นางจะต้องไปทักทายเขาโดยเร็วที่สุด เราจะไม่สามารถใช้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้เพื่อทำความคุ้นเคยหรือ ! ”

หยุนเสี่ยวขมวดคิ้วอีกครั้ง “พระองค์อยากคุยด้วยหรือเจ้าค่ะ ? พระองค์ต้องการทำอะไร ? สถานที่นี้เป็นเมืองหลวงของราชวงศ์ต้าชุน มันไม่ใช่เฉียนโจว พระองค์ไม่สามารถทำตามที่พระองค์พอใจได้หลังจากมาถึงเมืองหลวงของราชวงศ์ต้าชุน ทำไมพระองค์ถึงต้องทำตัวโดดเด่นยิ่งขึ้นเจ้าคะ ? ”

องค์ชายเหลียนขมวดคิ้วและพูดคัดค้าน “เพระข้าเป็นองค์ชายเหลียนของเฉียนโจว ที่ข้าไปและสิ่งที่ข้าพูดจะมีใครสังเกตเห็นอยู่เสมอ แต่ตอนนี้สิ่งต่าง ๆ ข้าไม่มีอะไรมากไปกว่าคนธรรมดาสามัญ อันที่จริงข้าก็ถือว่าเป็นคนสามัญที่ค่อนข้างร่ำรวย ข้าใช้ชีวิตเหมือนคนธรรมดาสามัญ ใครจะเป็นห่วงตัวข้า”

“แต่ไม่ว่าอย่างไรพระองค์ควรให้ความสำคัญกับผู้หญิงมากขึ้น” หยุนเสี่ยวพูดคำที่นางอยากจะพูดเสมอว่า “พระองค์จะไม่สนใจผู้หญิงมากกว่านี้งั้นหรือ ? หากพระองค์พบบางอย่างที่พระองค์ต้องการเพียงนำพวกเขากลับมา ทำให้บ้านนี้มีชีวิตชีวาขึ้น ! ”

“มีเจ้าพบแค่คนเดียวในบ้านไม่พอหรือ ? ” องค์ชายเหลียนยอมแพ้ “หยุนเสี่ยว ข้าจะบอกเจ้าว่าหลังจากใช้ชีวิตทุกวันกับหลี่เฉิง เจ้าจะเข้าใจหรือไม่ว่าทำไมองค์ชายเก้าต้องการแต่งงานกับเสี่ยวหยาในชีวิตนี้ ในตอนแรกข้าคิดว่าเสี่ยวหยานั้นดุร้ายและมีความสามารถในการควบคุมหัวใจของผู้ชายคนนั้นมาก อย่างไรก็ตามตอนนี้ข้ารู้แล้วว่ามันเป็นเพียงการป้องกันตนเองของซวนเทียนหมิง ผู้หญิงน่ากลัวเกินไป คนหนึ่งไม่พอ จะเกิดอะไรขึ้นหากมีมากกว่านี้ ? ”

หยุนเสี่ยวดูองค์ชายเหลียนเดินเชิดหน้าขณะที่เดินผ่านประตู นางเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าและรู้สึกเสียใจในหัวใจของเขาอย่างไร้ประโยชน์และไร้จุดหมาย “องค์ชาย และพระชายา ถ้าวิญญาณของพระองค์อยู่ในสวรรค์ ขอให้นายท่านหายเป็นปกติโดยไวเถิดเจ้าค่ะ ! ”

ในด้านนี้องค์ชายเหลียนกลับไปที่บ้านของเขา ในอีกด้านหนึ่งเฟิงจินหยวนเข้าสู่ลานบ้านของเขาเองโดยได้รับการสนับสนุนจากเฮ่อจง

เมื่อเฟิงจินหยวนกลับไปที่คฤหาสน์ เฟิงเฟินไดก็อยู่ในห้องโถงให้คำแนะนำกับบ่าวรับใช้ของดงหยิง “หาวิธีที่จะค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเจ้านายบ้านใกล้ ๆ พวกเขาได้มาส่งของกำนัล เตรียมของและส่งไปให้ สิ่งนี้เรียกว่าการแลกเปลี่ยน ด้วยวิธีนี้เจ้าสามารถใช้โอกาสนี้เพื่อทำความรู้จักกับพวกเขา ถามเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับพี่สาวและสามี”

ดงหยิงพยักหน้าและคิดเล็กน้อยถามว่า “คุณหนู บ่าวรับใช้ผู้นี้เห็นคนที่มาก่อนหน้านี้ดูเหมือนจะผิดปกติไปหน่อย” นางชี้ไปที่หัวของนางเองแล้วกล่าวว่า “ดูเหมือนว่านางจะไม่ค่อยมีไหวพริบเจ้าค่ะ”

เฟิงเฟินไดไม่รู้จุดนี้มาก เพียงบอกดงหยิงว่า “ไม่ว่าทางใดก็ถามให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้”

“เจ้าค่ะ” ดงหยิงทำตามและกำลังจะจากไป นางหันไปทางเฟิงจินหยวนเดินจากด้านนอก เขาเดินกะเผลกและดูเหมือนจะได้รับบาดเจ็บ “อ่า ! นายท่านกลับมาแล้วเจ้าค่ะ” นางเดินไปข้างหน้าเพื่อช่วยประคองเขา นำเฟิงจินหยวนไปนั่งข้างในห้องโถง จากนั้นนางก็โค้งคำนับและจากไปอย่างรวดเร็ว

ในตอนแรกเฟิงจินหยวนแค่อยากจะนั่งอยู่ในห้องโถงพักหนึ่ง อย่างไรก็ตามเขาไม่คิดว่าเฟิงเฟินไดจะมานั่งด้วย เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเขินอายเล็กน้อย

อย่างไรก็ตามเฟิงเฟินไดไม่รู้ว่าความเขินอายนี้มาจากที่ใด แต่นางยังจำได้ว่าเหตุผลที่เฟิงจินหยวนออกจากบ้านในวันนี้ นางถามทันที “เรื่องงานของท่านพ่อเป็นอย่างไรบ้าง ? ”

เฟิงจินหยวนส่ายหัวของเขาอย่างผิดหวังมาก

“ยังไม่ได้หรือ ? ” การแสดงออกของเฟินไดน่าเกลียดเล็กน้อย นางเชื่อว่าความอับอายของเฟิงจินหยวนอาจเป็นผลมาจากสิ่งนี้ อย่างไรก็ตามนางก็ยังอดใจไม่ไหว และกล่าวว่า “ท่านพ่อออกไปทุกวันเพื่อหางานทำ เป็นไปได้อย่างไรที่ท่านพ่อไม่สามารถหางานทำได้”

เฟิงจินหยวนแค่นเสียงแต่ไม่ได้พูดอะไร เขาต้องการหางานทำจริง ๆ แต่เขาเคยเป็นเสนาบดี ใบหน้าอันเก่าแก่ของเขาได้รับการยอมรับจากคนจำนวนมาก นอกจากนี้เขาไม่สามารถละทิ้งความสูงส่งของเขาเองได้ สำหรับงานที่ไม่ต้องใช้คุณสมบัติมากมายเขาไม่สามารถทำให้ตัวเองต่ำลงได้ สำหรับงานที่ต้องมีศักดิ์ศรีมากขึ้น เขาไม่สามารถพาตัวเองไปถามคนที่เคยประจบกับเขาในอดีต เช่นนั้นเมื่อเขาออกจากบ้านเพื่อไปหางานทำ เขาจึงหาที่นั่งดื่มชา เขาแค่ทำทีเหมือนออกไปหางานทำเท่านั้น

แต่ยิ่งเขาอยู่เงียบ ๆ ความโกรธของเฟิงเฟินไดก็ยิ่งเพิ่มขึ้น ปัจจุบันนางไม่มีความเคารพและชื่นชมที่นางเคยมีต่อบิดาของนาง สำหรับเฟิงเฟินได เฟิงจินหยวนกลายเป็นเครื่องกีดขวาง ไม่เพียงแต่เขาจะไม่สามารถจัดหาเงินส่วนกลางให้แก่ส่วนรวมของตระกูลได้ แต่องค์ชายห้ายังต้องคอยส่งเงินมาให้ทุกเดือน มันคงจะดีถ้ามันเป็นแค่ครั้งเดียวหรือสองครั้ง แต่มันก็เป็นแบบนี้ทุกเดือน นางกลัวจริง ๆ ว่านางไม่สามารถรอจนกว่านางจะแต่งงานได้ ก่อนที่องค์ชายห้าจะหงุดหงิดกับสถานการณ์แบบนี้ นางอายุเพียง 12 ปี นางยังห่างไกลจากอายุที่จะแต่งงานได้

“ท่านพ่อไม่ได้ไปหางานทำหรือ ? ” เฟิงเฟินไดพูดจี้ใจดำทันที เมื่อนางเห็นท่าทีที่ผิดปกติของเฟิงจินหยวน นางก็ยิ่งโกรธและอดไม่ได้ที่จะสาปแช่ง “เป็นไปได้หรือไม่ที่ท่านพ่อยังคิดว่าท่านพ่อเป็นเสนาบดี ? ขุนนางขั้นหนึ่ง ? ท่านพ่อยังคงสนใจกับใบหน้าของท่านพ่อ แต่ใบหน้าใดที่ท่านพ่อต้องใส่ใจ ? องค์ชายห้าที่ให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ข้าเป็นเรื่องธรรมดา แต่แล้วท่านพ่อล่ะ ? แม่รองและพี่สามต่างก็รู้ว่าพวกเขาต้องพึ่งพาร้านปักของตนเองเพื่อใช้ชีวิตอยู่ ในที่อยู่อาศัยทั้งหมดนี้ท่านพ่อเป็นคนเดียวที่ไม่มีรายได้ เป็นไปได้หรือไม่ที่ท่านพ่อวางแผนที่จะทำเช่นนี้ต่อไป ? ”

เฟิงจินหยวนตกตะลึง เขารู้ว่าสถานการณ์ของตัวเอง เฟิงเฟินไดก็ยิ่งจองหองมากขึ้นเรื่อย ๆ ในตอนแรกเขาคิดว่าเขาจะทนได้แล้วก็ทำได้ ท้ายที่สุดเขายังจำเป็นต้องพึ่งพาองค์ชายห้าเพื่อความอยู่รอด อย่างไรก็ตามเขาไม่เคยคิดว่าเฟิงเฟินไดจะพูดแบบนี้ ในไม่ช้าสีหน้าของเขาก็แสดงให้เห็นถึงความละอายใจ

แต่เฟิงเฟินไดยังพูดไม่เสร็จ นางกล่าวต่อ “ในความเป็นจริงถ้าท่านพ่อต้องการหางานมันไม่ยาก ท่านพ่อไม่ได้มองหาในที่ที่ถูกต้อง”

“หืม ? ” เฟิงจินหยวนงงงวย “เจ้าหมายถึงอะไร ? ”

เฟิงเฟินไดบอกเขาว่า “ท่านพ่อแค่ขาดคนที่จะแนะนำงานให้ท่านพ่อ หากมีคนให้คำแนะนำแก่ท่านพ่อ การหางานที่มีศักดิ์ศรีจะไม่เป็นเรื่องยากแม้แต่น้อย”

“ใครจะให้คำแนะนำข้าได้ ? ” เฟิงจินหยวนตื่นตกใจแล้วกล่าวเสริมว่า “เจ้ากำลังพูดว่าองค์ชายห้าหรือ ? ฮะ ! ถ้าองค์ชายห้าสามารถช่วยข้าด้วยการแนะนำ นั่นจะมีประโยชน์อย่างแท้จริง”

ตามที่เขาเห็นตราบใดที่องค์ชายห้าเอ่ยปาก เขาจะสามารถหางานได้แน่นอน แม้ว่าจะไม่ได้เป็นขุนนางที่มีตำแหน่งอะไรก็ตาม

อย่างไรก็ตามใครจะรู้ว่าเฟิงเฟินไดจะพูดเสียงดังเมื่อได้ยินเรื่องนี้ นางกล่าวว่า “ท่านพ่อรู้จักเพียงแต่การพึ่งพาองค์ชายห้า แต่ท่านพ่อไม่คิดว่าครอบครัวของเราปฏิบัติต่อพระองค์อย่างไรเมื่อพระองค์มาขอหมั้น ไม่เห็นด้วยเลยแม้แต่น้อย ! ความเป็นอยู่ที่ดีของพระองค์นั้นสามารถมีความรู้สึกแบบนี้ได้ค่อนข้างดีอยู่แล้ว ท่านพ่ออย่าได้คาดหวังมากเกินไป”

เมื่อเผชิญกับความเย็นชาของเฟิงเฟินได เฟิงจินหยวนก็ไม่ต้องกังวลเรื่องหน้าตา เขาถามอย่างรวดเร็ว “เนื่องจากไม่ใช่องค์ชายห้า แล้วจะเป็นใครได้อีก ? ”

เฟินไดกระทืบเท้าของนางด้วยความโกรธ “จะเป็นใครได้อีก ? ท่านพ่อลืมไปแล้วหรือว่าท่านพ่อมีองค์หญิงเป็นบุตรสาว ? ต้องบอกว่าคนที่มีอำนาจมากที่สุดนอกพระราชวังจะเป็นองค์ชายเก้า! บุตรสาวคนที่สองของท่านพ่อยังเป็นองค์หญิง และนางคือว่าที่พระชายาหยู ตราบใดที่นางพูด ใครจะกล้าไม่ยอมเผชิญหน้า ท่านพ่อไม่สามารถไปหาเลือดเนื้อเชื้อไขของท่านพ่อเองได้หรือ ? “

เฟิงจินหยวนตกตะลึงอย่างมาก และอุทาน “ไม่ดี ไม่ดี ! ข้าจะไปหานางได้อย่างไร ? ”

เฟินไดเกลียดการที่เขาไม่เติบโต “ทำไมถึงทำไม่ได้ ? ท่านพ่อคือบิดาของนาง ท่านพ่อให้กำเนิดนางและเลี้ยงดูนาง แม้ว่าท่านพ่อจะขับไล่นางไปทางตะวันตกเฉียงเหนือเป็นเวลา 3 ปี แล้วก่อนหน้าล่ะ ? ก่อนที่นางจะไปทางตะวันตกเฉียงเหนืออาจเป็นเพราะนางมีความสามารถเช่นเดียวกับตอนนี้หรือไม่ ? นางสามารถหาเงินเลี้ยงชีพตัวเองได้หรือไม่ ? เป็นเรื่องที่ดีถ้าท่านพ่อไม่โต้เถียงกับนางเพราะนางเป็นบุตรสาวของฮูหยินใหญ่ตระกูลเฟิงและไม่ทำหน้าที่ของมัน แต่มีเหตุผลอะไรที่นางจะทอดทิ้งบิดาของนางเมื่อบิดาต้องการความช่วยเหลือ”

เหงื่อเริ่มปรากฏบนหัวของเฟิงจินหยวน นางต้องการให้เขาไปหาเฟิงหยูเฮงหรือ? แค่คิดมันก็ทำให้หัวเขาเจ็บปวด

แต่เฟินไดกล่าวต่อ “ท่านพ่อจำเป็นต้องคิดอย่างรอบคอบ ตระกูลยังคงมีข้าและพี่สามที่ยังไม่ได้แต่งงาน ! ข้าเข้าร่วมแล้ว แต่พี่สามล่ะ ? ในขณะนี้ยังไม่มีใครมาขอแต่งงาน เป็นไปได้หรือไม่ว่าท่านพ่อตั้งใจจะดูนางแก่และตายในบ้านนี้ ? พี่สามไม่มีความสามารถเช่นเดียวกับเฟิงหยูเฮง และนางก็ไม่มีคุณสมบัติที่โดดเด่น นางไม่เป็นเหมือนข้า บุตรสาวคนที่สี่ของท่านที่รู้วิธีการ เฟิงเซียงหรูเป็นคนที่ปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ของนาง อย่าคาดหวังมากเกินไปในการใช้นางเป็นตัวหมากเจรจาต่อรองเพื่อดึงดูดผู้สูงศักดิ์บางคน นางไม่มีสถานะสำหรับสิ่งนั้นและท่านพ่อไม่มีชื่อเสียง นั่นคือเหตุผลที่เป็นแกนหลักการแต่งงานของเราจะขึ้นอยู่กับหน้าตาของตระกูลเฟิง ไม่เป็นไรถ้าท่านพ่อไม่ใช่เสนาบดี แต่อย่าทำเลยเพื่อที่ท่านพ่อจะได้ไม่ต้องเผชิญหน้าอะไรเลย เมื่อถึงเวลาอย่าโทษว่าเราที่ไม่มีความสุข เมื่อเราจากไปแล้วปฏิเสธที่จะยอมรับท่านพ่อ ! ”

คำพูดของเฟินไดกลายเป็นถ้อยคำที่ดุเดือดและรุนแรงขึ้น เฟิงจินหยวนสั่นเทาด้วยความโกรธ เขาหันหลังกลับและถามเฟินไดว่า “เจ้ารังเกียจข้าหรือ ? ”

“เป็นไปได้หรือไม่ที่ท่านพ่อไม่ดูถูกตัวเอง ? ” เฟินไดรู้สึกงงงวยมากขึ้น “ท่านพ่อไม่มีความตระหนักในตนเอง ท่านพ่อรู้ไหมว่าเมื่อเราออกไปข้างนอก เราจะถูกนินทาลับหลังอย่างไร ! พวกเขาบอกว่าท่านพ่อของเราเป็นขันที ! ”

ใบหน้าของเฟิงจินหยวนสลับกันระหว่างสีแดงกับขาว เขารู้สึกเสียใจที่ไม่ต้องคลานเข้าไปหลังจากได้ยินสิ่งที่เฟินไดพูด แต่ในเวลาเดียวกันเขาคิดอย่างรอบคอบว่าเขาควรจะไปหาเฟิงหยูเฮงหรือไม่ แต่จุดประสงค์ก็คือไม่ต้องหางานทำ ที่สำคัญที่สุดคือทายาทชีวิตที่เหยาซื่อมอบให้มา มันไร้ค่า !

ตอนที่ 644 ธรรมชาติของเฟิงจินหยวน

องค์ชายเหลียนย้ายไปอยู่บ้านใหม่และยังไม่ได้ทำสัญญา ในขณะนี้บ่าวรับใช้กำลังถูกองค์ชายเหลียนกำกับให้ติดป้ายที่เขียนไว้ว่า “คฤหาสน์เหลียน”

บ่าวรับใช้ยืนบนบันไดขณะที่องค์ชายเหลียนกำกับจากข้างล่าง เขากล่าวว่า “ไปทางซ้ายอีกหน่อย อีกหน่อย เจ้าไปไกลเกิน ไปทางขวา ไปทางขวา ไม่ ไม่มันต้องสูงขึ้นอีกหน่อย” เสียงของเขาคมชัดและชัดเจน มันไม่นุ่มเหมือนผู้หญิง และมันก็ยังมีความกล้าหาญอยู่บ้าง มันฟังดูแตกต่างและน่าพอใจอย่างมาก

รถม้าของเฟิงจินหยวนหยุดไปทางด้านข้างของคฤหาสน์เหลียนเล็กน้อย เขายกม่านขึ้นและมองออกไป เขาไม่ละสายตาไปจากองค์ชายเหลียนไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็ตาม

บ่าวรับใช้ของคฤหาสน์เหลียนก็ขาดความสามารถเช่นกัน มันเป็นเพียงป้าย แต่พวกเขาก็ยังไม่สามารถสนองความต้องการขององค์ชายเหลียนได้ หลังจากลองไม่กี่ครั้ง องค์ชายเหลียนเท้าสะโพกและความขุ่นเคืองบนใบหน้าของเขาทำให้ความรู้สึกในหัวใจของเฟิงจินหยวนยากที่จะปราบปราม

คนขับรถม้าของตระกูลเฟิงอยู่ในที่มืดและยกม่านขึ้นเพื่อถามเฟิงจินหยวน “นายท่าน เราจะไม่กลับไปที่บ้านหรือขอรับ ? รถม้าไม่สามารถจอดทิ้งไว้ที่กลางถนนได้ขอรับ ! ”

เฟิงจินหยวนโบกมือของเขาด้วยความขุ่นเคือง ลงจากรถม้า จากนั้นเขาก็ดุคนขับรถม้า “อะไรคือจุดประสงค์ของการพูดสิ่งที่ไร้ค่า ? เพียงแค่นำรถม้ากลับไปก่อน ! ” หลังจากพูดอย่างนี้เขาก็เดินไปหาองค์ชายเหลียน

คนขับรถม้าถูกดุเพราะไม่มีเหตุผลที่ชัดเจนและไม่มีเงื่อนงำว่าเขาทำอะไรผิด เขาเต็มไปด้วยความเศร้าโศกและทุกข์ใจ เขาขับรถม้ากลับขณะมองย้อนกลับไป ด้วยการเหลียวดูนี้เขาพบว่าเฟิงจินหยวนเดินไปที่ด้านข้างของสาวงามข้างประตู รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาให้ความรู้สึกว่ากำลังจะเบ่งบาน

คนขับรถม้าตัวสั่นและคิดกับตัวเองว่าเขาเห็นอะไรแปลก ๆ อย่างแท้จริง นายท่านเฟิงเป็นคนพิการไปแล้วบางส่วน ทำไมเขายังมีความต้องการอีก ? เพียงแค่ขึ้นไปอย่างฟุ่มเฟือย ไม่ต้องพูดถึงว่าผู้หญิงที่งดงามและดูดี ในสถานการณ์ปัจจุบันของตระกูลเฟิง ถึงแม้ว่านางจะทำอะไร ? นายท่านเฟิงจะมีความสามารถหรือไม่ ?

คนขับรถม้ากลับไปที่บ้านด้วยสีหน้าดูถูกเหยียดหยาม ในอีกด้านหนึ่งเฟิงจินหยวนเดินตามองค์ชายเหลียน เขาสูดหายใจเข้าลึก ๆ และป้องมือของเขาอย่างสุภาพ และกล่าวว่า “ขอแสดงความยินดีกับคุณหนู ! ”

จาวเหลียนไม่เคยคิดเลยว่าจะมีใครเรียกเขาทันที เรื่องนี้ทำให้เขาตกใจและเขาก็หันไปรอบ ๆ ขณะที่ตบหน้าอกเขากล่าวว่า “เจ้าเป็นใคร ? เจ้าทำให้ข้าตกใจแทบตาย” เสียงนี้เต็มไปด้วยความไม่พอใจ ทำให้เฟิงจินหยวนถอยห่างออกไปสองสามก้าว

เมื่อตอนที่เขาเห็นเด็กสาวคนนี้สั่งบ่าวรับใช้จากรถม้า เขารู้ว่านางไม่ใช่คนใจอ่อน ตรงกันข้ามกับผู้หญิงที่เขานำเข้ามาในบ้านของเขา มีเหยาซื่อที่สง่างามและถูกควบคุม นอกจากนี้ยังมีอันชิที่อดทน นอกจากนี้ยังมีฮันชิและจินเฉินที่มีเสน่ห์ ไม่รวมถึงคังอี้และพี่น้องเฉิงที่มีอำนาจ แต่เขาไม่เคยพบใครที่งดงามขนาดนี้และเต็มไปด้วยความดื้อรั้น และตรงข้ามกับคุณหนูที่อดทน จิตใจของเฟิงจินหยวนเริ่มไขว้เข ไม่ว่าเขาจะมองนางอย่างไร เขารู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้เป็นหนึ่งในดีที่สุดในโลกอย่างแท้จริง

เพียงแค่มองทำให้เขางุนงงและสูญเสียการติดตามว่าเขาจ้องมองนานแค่ไหน จ้องเขม็งไปเรื่อย ๆ จนข่าวรับใช้ของคฤหาสน์เหลียนทนไม่ไหวที่จะเฝ้าดูต่อไป มีคนหนึ่งในพวกเขาถามว่า “เขาถามว่าเจ้าเป็นใคร ? มีใครบ้างที่จ้องมองผู้หญิงเช่นนี้ ? ”

บ่าวรับใช้ของคฤหาสน์เหลียนที่เพิ่งซื้อมาเมื่อไม่นานมานี้ พวกเขาไม่รู้ภูมิหลังขององค์ชายเหลียน พวกเขาเพิ่งรู้ว่ามีคุณหนูรองที่มีสมองผิดปกติเล็กน้อยที่จะใช้ทั้งวันในการเรียกพี่สาวของนางว่าสามี มันช่างน่าเวทนาจริง ๆ

ด้วยการที่บ่าวรับใช้ที่ส่งเสียงโวยวาย ในที่สุดเฟิงจินหยวนก็ได้สติขึ้นมา เขารีบเอ่ยทักทายองค์ชายเหลียนไปอย่างรวดเร็วจากนั้นกล่าวว่า “คุณหนูได้โปรดอย่าเข้าใจผิด ข้ามาจากตระกูลเฟิงที่อยู่ใกล้เคียง ข้าชื่อเฟิงจินหยวน เมื่อกลับถึงบ้านในวันนี้ข้าผ่านบ้านของเจ้าและเห็นคุณหนูรู้สึกไม่พอใจกับป้าย ดังนั้นข้าคิดว่าจะลงจากรถม้าเพื่อมาสอบถามดูว่าคุณหนูต้องการความช่วยเหลือหรือไม่”

“เฟิงจินหยวน ? ” จิตใจของจาวเหลียนเริ่มทำงานและทราบถึงตัวตนของเขาทันที จาวเหลียนพยักหน้าทันที ชี้ไปที่ป้ายซึ่งแขวนจากด้านบนของประตู เขาพูดว่า “ถ้าเจ้าอยากช่วยข้าจริง ๆ ช่วยข้าแขวนป้ายนั้น ! ”

“นั่นไม่ใช่ปัญหา ข้าจะแขวนป้ายให้เรียบร้อย” เมื่อจาวเหลียนเต็มใจที่จะยอมรับความช่วยเหลือของเขา เฟิงจินหยวนก็ยิ้มอย่างเบิกบาน เขาเงยหน้าขึ้นทันที และพูดกับบ่าวรับใช้ “เจ้าลงมา ข้าจะช่วยคุณหนูแขวนป้ายนี้”

“โอ้ ! ” พวกบ่าวรับใช้ที่ยิ้มแย้มแจ่มใส “สำหรับคนที่ใจดีแบบนี้ ดูร่างกายของเจ้าเอง เจ้าเป็นบัณฑิตใช่หรือไม่ เจ้าอยากจะขึ้นมาแขวนป้ายหรือ ? ข้ากลัวว่าเจ้าจะทำไม่ได้”

“ไร้สาระ ! ” เฟิงจินหยวนเริ่มโกรธ เขาจะถูกเรียกว่าอ่อนแอต่อหน้าสาวงามได้อย่างไร ? นี่เป็นความอัปยศที่ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง ! “ไม่ว่าจะมีคนที่แข็งแกร่งหรือไม่นั้นก็ใช่ว่าจะสามารถตัดสินได้ด้วยการมอง ? แค่รอดูว่าข้าจะแขวนป้ายนี้ได้ดีหรือไม่ ! ”

บ่าวรับใช้หัวเราะและลงมาจากบันไดอย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาก็ยกป้ายขึ้นและบอกกับเฟิงจินหยวน “เช่นนั้นไปข้างหน้า ปีนขึ้นไปก่อน หลังจากที่เจ้าปีนขึ้นไป ข้าจะส่งป้ายให้เจ้า”

เฟิงจินหยวนพยักหน้าและปีนขึ้นบันได อันที่จริงบันไดไม่สูงมากนักและสามารถขึ้นไปถึงชั้นบนสุดได้ด้วยบันไดเพียง 6 ขั้น อย่างไรก็ตามเฟิงจินหยวนรู้สึกว่าขาของเขาเริ่มสั่นเมื่อถึงขั้นที่สี่ จากด้านล่างดูเหมือนว่าเขาจะสูงมาก แต่สำหรับตัวเขาเอง มันเป็นเรื่องที่แตกต่าง

เฟิงจินหยวนเป็นขุนนางมาหลายปีแล้วและมีบ่าวรับใช้มากมายที่บ้าน เขาจะเคยทำงานที่ทำให้เขาต้องต้องปีนขึ้นไปสูง ๆ ได้อย่างไร แต่ตอนนี้เพื่อหญิงงาม เขาได้คุยโม้ต่อหน้าผู้คนมากมาย แม้ว่าเขากลัว เขาจะต้องดำเนินการต่อไป

ดังนั้นเขากัดฟันปีนขึ้นไป เมื่อในที่สุดเขาก็มาถึงขั้นที่หก อย่างไรก็ตามเขาไม่กล้าปล่อยบันได เนื่องจากเขามาถึงจุดสูงสุดจึงไม่มีอะไรอื่นที่จะยึดถือได้ ร่างกายของเขายังคงงออยู่ ก้นของเขายื่นออกมา มันเป็นภาพที่น่าเกลียดอย่างแท้จริง

บ่าวรับใช้ด้านล่างหัวเราะขณะที่มองเขา คนที่ถือป้ายถามว่า “เจ้าเป็นกุ้งหรือ ยืนตัวตรงหรือรอรับป้าย ข้ายังถือป้ายไว้ให้เจ้า”

อย่างไรก็ตามเฟิงจินหยวนไม่กล้ายืนตัวตรงหรือไม่ได้รับสัญญาณ เขางอตัว ขาของเขายังคงสั่น ในขณะที่เขารู้สึกเสียใจอย่างมากกับคำพูดก่อนหน้านี้ของเขา

องค์ชายเหลียนหัวเราะเยาะขณะมองเขา และพูดอย่างไม่สุภาพว่า “เพื่อนบ้านไม่ได้บอกว่าเจ้าจะช่วยข้าแขวนป้ายหรือไม่ ? ทำไมเจ้าถึงปีนขึ้นไปแล้วยังไม่กล้ารับมัน ? ความช่วยเหลือนี้ค่อนข้างสับสน เจ้ากลัวหรือ ? ไม่เป็นไรมันสูงมาก แม้ว่าเจ้าจะล้มลง เจ้าจะไม่ตาย แต่ถ้าเจ้าอยู่เฉย ๆ แบบนี้ ผู้คนจำนวนมากกำลังรวมตัวกันบนถนนสายนี้ เจ้าจะอับอายนะ”

เฟิงจินหยวนกังวลเมื่อได้ยินคำเหล่านี้ เขากัดฟันของเขาทันทีและไม่กังวลเกี่ยวกับความสูงหรือตกลงไป “ส่งป้ายมาให้ข้า”

“เอาล่ะ ! ” บ่าวรับใช้ส่งให้ทันที

เฟิงจินหยวนจับแบบนิ้วโป้งอยู่ด้านในและสี่นิ้วอยู่ด้านนอก เขาเตรียมที่จะยกป้าย แต่เขาทำผิดพลาดจริง ๆ ในการตัดสินว่าป้ายหนักแค่ไหน เมื่อคนข้างล่างปล่อย เขาก็รู้สึกถึงน้ำหนักที่ดึงลงมาบนแขนของเขา เมื่อเขาเสียสมดุล เขาก็รู้สึกว่าตัวเองล้มลง

บ่าวรับใช้ด้านล่างได้รับความตกใจ และพวกเขาก็เดินไปข้างหน้าเพื่อรับ อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่ได้ย้ายไปจับเฟิงจินหยวนแต่พวกเขาพยายามจับป้าย เมื่อพวกเขาจับป้ายได้แล้ว พวกเขาก็นำมันไปทางด้านข้างทันที ปล่อยให้เฟิงจินหยวนตกจากบันไดและล้มลงกับพื้น ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่ไปช่วยเขา

มันเป็นจาวเหลียนที่เริ่มตะโกนไปที่บ้านของตระกูลเฟิง “เฮ้ ! บ่าวรับใช้จากตระกูลเฟิงมาที่นี่เร็ว เจ้านายของพวกเจ้าล้มลงที่นี่”

อันที่จริงยามเฝ้าประตูตระกูลเฟิงได้เห็นสิ่งที่เฟิงจินหยวนกำลังทำอยู่ แต่พวกเขาไม่ต้องการสอดมือเข้าไปยุ่งเเกี่ยวกับเรื่องนี้ ปัจจุบันเฟิงจินหยวนไม่สามารถเปรียบเทียบกับอดีตได้ เขาไม่ได้เป็นเสนาบดีอีกต่อไป เขาเป็นแค่คนธรรมดาสามัญ ในการที่จะกล่าวอย่างไร้เหตุผล เขาก็เป็นขันทีของสามัญชน

บ่าวรับใช้ของตระกูลเฟิงมองเฟิงจินหยวนที่เข้าหาเด็กสาวผู้นั้น ขณะที่ดวงตาของเขาเปล่งประกาย มีการดูถูกเกินพอ พวกเขาไม่ต้องการทำอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ตอนนี้จาวเหลียนเริ่มตะโกน พวกเขาไม่มีทางเลือกนอกจากต้องไป

มีบ่าวรับใช้สองสามคนวิ่งออกมาพร้อมกับเฮ่อจงมุ่งหน้าไปที่องค์ชายเหลียน เมื่อเห็นว่าเฟิงจินหยวนนอนอยู่บนพื้นในขณะที่จับก้น เขาก็อดไม่ได้ที่จะยิ้ม

ในขณะที่หัวใจของพวกเขายังคงเต็มไปด้วยความรังเกียจ พวกเขายังคงต้องดูแลเขา เฮ่อจงเป็นคนแรกที่ก้าวไปข้างหน้าและถามว่า “นายท่านเป็นอะไรหรือไม่ขอรับ ? ”

เมื่อเห็นว่าเฮ่อจงมาถึง เฟิงจินหยวนก็พูดกับเขาอย่างรวดเร็วว่า “เร็วมาก ! ขึ้นไปและช่วยคุณหนูผู้นี้ติดป้าย มันจะต้องถูกแขวนขึ้นไป ! ”

เฮ่อจงสับสน และถามเขาว่า “ทำไมคนของเราต้องขึ้นไปในเมื่อเขาก็มีบ่าวรับใช้ขอรับ ? ”

เฟิงจินหยวนโกรธมากจนเขาอยากจะทุบตีอีกฝ่าย “ข้าบอกให้เจ้าขึ้นไป เจ้าก็ต้องขึ้นไป เหตุใดจึงต้องพูดจาซักถามด้วย ข้า…”

ก่อนที่เขาจะพูดให้จบ เขาก็ถูกขัดจังหวะโดยจาวเหลียนผู้กล่าวว่า “ข้าไม่ต้องการ ไม่ใช่ว่าข้าไม่มีบ่าวรับใช้ ท่านเฟิงเอื้อเฟื้อมาก ช่วยพาท่านเฟิงกลับไปอย่างรวดเร็ว มันเป็นการดีที่สุดที่จะเชิญหมอมาตรวจ มันจะเป็นการดีที่สุดถ้าเขาไม่ได้รับบาดเจ็บในฤดูใบไม้ร่วง” ในขณะที่พูดสิ่งนี้เขาปิดปากและยิ้มอย่างแผ่วเบา หันไปหาบ่าวรับใช้ของเขา เขากล่าวว่า “ไปที่คลังและเอาเงินมา 10 เหรียญเงิน สำหรับการเรียกหมอให้ท่านเฟิง”

“ไม่ต้องการ ไม่จำเป็น ! ” เฟิงจินหยวนรู้สึกอับอายอย่างแท้จริง เขาทนความเจ็บปวดได้และเฮ่อจงช่วยเขาเดินกลับไปที่บ้านของตระกูลเฟิง ในขณะที่เดินเขาไม่ลืมที่จะมองย้อนกลับไปที่จาวเหลียนด้วยความลังเลใจอย่างยิ่ง เขากล่าวว่า “แล้วข้าจะมาขออภัยในภายหลัง”

จาวเหลียนยิ้มให้เขา และตอบว่า “เช่นนั้นข้าจะรอต้อนรับท่านเฟิง”

รอยยิ้มนี้เกือบทำให้สติของเฟิงจินหยวนล่องลอยไป

เฉพาะหลังจากที่ผู้คนกลับไปที่บ้านของตระกูลเฟิง บ่าวรับใช้ก็เริ่มพยายามที่จะแขวนป้ายอีกครั้ง ในเวลาเดียวกันพวกเขาบ่นเกี่ยวกับเฟิงจินหยวนเล็กน้อย

จาวเหลียนมองไปที่บ้านของตระกูลเฟิงและหัวเราะกับตัวเอง มองไปเขาพูดกับองครักษ์เงา หยุนเสี่ยว “ เจ้าเห็นหรือไม่ ? คนผู้นั้นคือบิดาที่ไร้ยางอาย ข้าได้ยินมาว่าเขาถูกแทงโดยมารดาผู้ให้กำเนิดเสี่ยวหยาและสูญเสียแท่งหยก แม้กระนั้นตัณหาของเขาก็ยังไม่หมดไป คนแบบนี้ควรได้รับการจัดการอย่างรุนแรงหรือไม่ ? ”

องครักษ์เงาหยุนเสี่ยวพยักหน้า “ใช่เจ้าค่ะ เมื่อกล้าคิดเช่นนั้นกับพระองค์ เขาจะต้องได้รับบทเรียน”

จาวเหลียนยิ้มเยาะ “เช่นนั้นเจ้าสามารถสอนผู้หญิงที่เรียกตัวเองว่าเป็นชายาของข้าทุกวันได้หรือไม่ ? เจ้านายของเจ้ารู้สึกรำคาญอย่างแท้จริง ! ”

หยุนเสี่ยวส่ายหน้า “นั่นไม่เป็นภัยคุกคามต่อพระองค์ และนางไม่มีเจตนาที่ไม่ดี พระองค์ควรมีปฏิสัมพันธ์กับผู้หญิงมากกว่านี้ ไม่ช้าก็เร็วพระองค์จะต้องเริ่มต้นครอบครัวเจ้าค่ะ”

จาวเหลียนกัดฟันของเขา ! “ข้าจะเริ่มต้นครอบครัวกับน้องสาวของเจ้า ! ”

อย่างไรก็ตามหยุนเสี่ยวไม่ได้คิดมากเพียงบอกเขาว่า “เรื่องที่พระองค์ต้องการให้ข้าถามเกี่ยวกับวิธีแก้ปัญหา องค์ชายเจ็ดที่เหมือนเทพเซียนจะมาถึงเมืองหลวงในวันพรุ่งนี้ตอนเที่ยงเจ้าค่ะ!”

ตอนที่ 643 ทั้งหมดราชสำนักบริจาค

พระสนมจิงเสียชีวิต ข่าวนี้ทำให้ฮองเฮาตกใจเล็กน้อย แม้ว่านางได้เตรียมใจว่าการสร้างความวุ่นวายที่ตำหนักศศิเหมันต์เมื่อคืนที่ผ่านมาเกี่ยวข้องกับพระสนมของฮ่องเต้ นางก็ไม่เคยคิดเลยว่าจะมีบางสิ่งเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว

นางถามฟางอี้ “นางเป็นอะไรตาย ? ”

ฟางอี้กล่าวว่า “มีนางกำนัลคนหนึ่งมารายงานว่านางแขวนคอเพคะ”

“โอ้ ? ” ฮองเฮาคิดเล็กน้อย “ฆ่าตัวตาย” จากนั้นนางคิดย้อนกลับไปถึงการกระทำของพระสนมจิงต่อตำหนักศศิเหมันต์เมื่อคืน แม้ว่านางจะพูดบางสิ่งบางอย่าง แต่ก็ไม่โดดเด่นมาก เมื่อเทียบกับพระสนมหยวนชู มันแตกต่างกันมากเกินไป ทำไมคนแรกที่ตายในเวลานี้จึงเป็นพระสนมจิง ?

เมื่อนางรู้สึกสับสน นางกำนัลอีกคนมาถึงห้องโถงเพื่อรายงาน “รายงานข่าวจากราชสำนักเพคะ ได้มีการกล่าวว่ารองหัวหน้าทหารองครักษ์ได้สารภาพแล้ว เขาจุดไฟโดยมีเป้าหมายในการเผาพระชายาหยุนให้ตายในตำหนักศศิเหมันต์ จากนั้นตำหนักในจะกลับสู่สภาพเดิม แม้ว่าฮ่องเต้จะทรงโปรดปราณนางมากที่สุด แต่อย่างน้อยพระสนมคนอื่นก็จะมีโอกาสได้แข่งขัน แทนที่จะเป็นสถานการณ์ปัจจุบันที่… ที่พวกเขารอคอยที่จะตายเพคะ”

“คนใจร้อน ! ” จมูกของฮองเฮาเกือบจะคดจากความโกรธ “รองหัวหน้าทหารองครักษ์ผู้ต่ำต้อยแทนที่จะห่วงตัวเอง กลับห่วงเรื่องราวของตำหนักใน”

นางกำนัลยังกล่าวต่อไปว่า “น้องสาวของรองหัวหน้าทหารองครักษ์คือพระสนมจิง การกระทำของเขาเพื่อให้น้องสาวของเขามีอนาคตที่ดีขั้น แต่รองหัวหน้าทหารองครักษ์กล่าวว่าพระสนมจิงไม่รู้เรื่องนี้ มันเป็นความคิดของเขาเองทั้งหมด”

ฟางอี้กล่าวขึ้นว่า “ด้วยสิ่งเช่นนี้ สิ่งต่าง ๆ ก็เชื่อมโยงกัน”

ฮองเฮาคิดสักครู่แล้วพยักหน้า “ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เนื่องจากเรื่องราวในตำหนักใน ฮ่องเต้ได้เลื่อนตำแหน่งผู้คนจำนวนมากที่เกี่ยวข้องกับพระสนมของฮ่องเต้เพื่อเอาใจพวกนาง ข้าสามารถจดจำสิ่งที่ผู้คนได้งานในตอนแรก แต่เมื่อหลายปีผ่านไปข้าไม่ได้สนใจอะไรมาก เมื่อคิดถึงตอนนี้ดูเหมือนว่าพระสนมจิงจะมีพี่ชายที่ทำงานอยู่ในพระราชวังของฮ่องเต้ ลืมมันไปเถิด ! ” นางถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “ในเมื่อรองหัวหน้าทหารองครักษ์สารภาพ ความผิดครั้งนี้ก็ไม่อาจทำให้เขามีชีวิตอยู่ต่อไปได้ พระสนมจิงตายไปแล้ว กรณีนี้ควรได้รับการพิจารณาว่าได้รับการแก้ไขแล้ว” นางกล่าวในตอนนี้จากนั้นก็โบกมือไล่นางกำนัล

ฟางอี้รอจนกระทั่งนางกำนัลออกไป ก่อนที่จะกล่าวว่า “พระองค์ตัดสินใจเลือกเช่นนี้หรือไม่ ? ฮ่องเต้จะทรงพอพระทัยกับสิ่งนั้นหรือไม่เพคะ ? ”

ฮองเฮารู้ว่านางจะถามสิ่งนี้ และได้แต่ยิ้มอย่างขมขื่น และกล่าวว่า “ไม่ว่าเขาจะพอใจหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับตัวเอง เรื่องนี้ทำให้เห็นได้ชัดว่าพระสนมจิงถูกหลอกใช้และนางจะยอมรับความผิดของนางด้วยการตายมากกว่าที่จะเปิดเผยผู้กระทำผิด ทำให้เห็นได้ชัดว่านางทำเช่นนี้เพื่อลดความรู้สึกผิดของอีกฝ่าย อย่างไรก็ตามใครจะรู้ว่าทั้งคู่ต่างก็คิดในสิ่งเดียวกัน ในท้ายที่สุดก็ไม่สามารถช่วยคนอื่นได้”

“จากนั้นฮ่องเต้ก็เชื่อว่าบุคคลที่เกี่ยวข้องทั้งหมดนี้คือ…”

“เจ้าต้องจับตามองพระสนมหยวนชูอย่างใกล้ชิดในวันนี้ รายงานการเคลื่อนไหวของนางทันที” ฮองเฮากล่าวด้วยท่าทางเย็นชา นางไม่ใช่คนโง่ สิทธิและความผิดที่เกิดขึ้นในพระราชวังนั้นอาจถูกเพิกเฉยได้ แต่ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่สามารถหลบหนีจากการสังเกตของนางได้ ปัญหาที่น่าเป็นห่วงคือพระสนมหยวนชูเป็นมารดาผู้ให้กำเนิดขององค์ชายแปด เรื่องนี้จะต้องถูกระงับในขณะนี้ อย่างน้อยนางก็ต้องอดทนจนกว่าองค์ชายแปดจะกลับมาที่เมืองหลวง นางจะเห็นว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร ก่อนตัดสินใจขั้นสุดท้าย

ด้วยการกล่าวถึงพระสนมหยวนชู ฟางอี้กล่าวว่า “เห็นได้ชัดว่าหลังจากเกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่ที่ตำหนักศศิเหมันต์เมื่อคืนที่ผ่านมา มีคนเห็นพระสนมจิงมุ่งหน้าไปยังตำหนักชุนชาน แต่นางก็ไม่ได้อยู่นานมาก เมื่อนางออกมา ใบหน้าของนางดูไม่ค่อยดีนัก นางร้องไห้เพคะ”

“อืม” ฮองเฮาพยักหน้าและไม่แปลกใจ เพียงแต่สั่งว่า “เฝ้าดูต่อไป” จากนั้นนางถอนหายใจ “เนื่องจากการคงอยู่ของพระชายาหยุนทำให้ตำหนักในสงบสุขมานานหลายปี ในที่สุดก็มีคนบางคนไม่สามารถทนต่อความเหงาได้”

ด้วยการซ่อมแซมตำหนักศศิเหมันต์ ฮ่องเต้จึงมีชีวิตชีวา ไม่มีการใช้เงินจากท้องพระคลังแต่มาจากเงินส่วนตัวของเขา

ฮ่องเต้ได้ประหยัดเงินเป็นจำนวนมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่ถ้าใช้เพื่อซ่อมแซมตำหนักศศิเหมันต์ จางหยวนก็จะรู้สึกเป็นทุกข์ ขันทีนี้คิดเล็กน้อยและเกิดความคิดขึ้นมา เขากระจายข่าวเกี่ยวกับฮ่องเต้ใช้เงินส่วนพระองค์ในการซ่อมแซมตำหนักศศิเหมันต์ ไม่กี่วันต่อมามีองค์ชายและเจ้าหน้าที่ระดับสูงให้คำมั่นว่าจะบริจาคเงิน จำนวนเงินนั้นมากและมีมากเกินพอสำหรับการซ่อมแซมตำหนักศศิเหมันต์ ฮ่องเต้สึกพอพระทัยเป็นอย่างมาก

หลังจากคืนแห่งความโกลาหลในพระราชวัง โลกภายนอกไม่ได้รับผลกระทบแม้แต่น้อย ในช่วงบ่ายของวันนี้หลี่เฉิงได้นำตะกร้าที่เต็มไปด้วยผลไม้มาที่บ้านของตระกูลเฟิง นางถูกพ่อบ้านนำไปที่ห้องโถงใหญ่ที่เฟิงเฟินไดต้อนรับนาง

เมื่อพ่อบ้านมารายงาน นางบอกว่ามีเพื่อนบ้านใหม่มาเยี่ยม จะต้องเป็นกรณีที่เฟิงเฟินไดได้เห็นองค์ชายเหลียนที่อยู่ใกล้เคียง แม้ว่านางจะไม่รู้ว่าเขาเป็นคนแบบไหน แต่นางก็ตกตะลึงทันทีเมื่อปรากฏตัว แม้ว่าจะเป็นคนที่ภูมิใจและหยิ่งเหมือนเฟิงเฟินได นางก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตกใจหลังจากเห็นองค์ชายเหลียน นอกจากนี้ยังเกิดความรู้สึกที่ต่ำต้อย นางรู้ว่าแม้ว่านางจะตายแล้วเกิดใหม่ นางก็ไม่สามารถมีใบหน้าที่งดงามเช่นนี้ได้ แต่หลังจากคิดไปเล็กน้อย ถ้านางไม่งดงาม แล้วเฟิงหยูเฮงก็ไม่งดงามเช่นกัน เมื่อคิดได้เช่นนี้นางก็รู้สึกดีขึ้นมาก

เมื่อได้ยินว่าเพื่อนบ้านมาเยี่ยม นางคิดว่าเป็นผู้หญิงที่ยอดเยี่ยมมากที่มา นางคิดว่านางจะมองใกล้ ๆ ท้ายที่สุดแล้วมันก็ยากที่จะได้รับภาพลักษณ์ที่ดีจากที่ห่างไกลในวันนั้น แต่นางไม่เคยคิดเลยว่าคนที่เข้ามาในห้องโถงถึงแม้จะมีความงาม แต่ก็ไม่สามารถเทียบได้กับสุดยอดสาวงามนั้น นางปรากฏตัวต่ำกว่ามาตรฐานมากเกินไป นางมีความงามที่ไม่ได้โดดเด่นอะไร

หลี่เฉิงทักทายเฟิงเฟินได และรีบไปข้างหน้าเพื่อกล่าวทักทายว่า “ฮูหยินที่ถ่อมตนผู้นี้คือหลี่เฉิง คารวะคุณหนูตระกูลเฟิงเจ้าค่ะ”

คำที่ชายาที่ถ่อมตนได้รับความสนใจจากเฟิงเฟินได จากนั้นนางมองเครื่องประทินผิวของหลี่เฉิง นางมีรูปร่างหน้าตาของชายาสาวอย่างแน่นอน เฟิงเฟินไดถามนางว่า “เจ้าเป็นบ่าวรับใช้จากบ้านของเพื่อนบ้านหรือไม่ ? ”

หลี่เฉิงตกตะลึงแล้วมองเสื้อผ้าของนาง แม้ว่าพวกมันจะไม่แพงเกินไป พวกมันก็ยังดีกว่าสิ่งที่บ่าวรับใช้สามารถสวมใส่ได้ คุณหนูตระกูลเฟิงเชื่อได้อย่างไรว่านางเป็นบ่าวรับใช้

เมื่อเห็นนางยืนอยู่ตรงนั้นด้วยความงุนงงโดยไม่ยอมรับ เฟิงเฟินไดก็นึกถึงเรื่องหนึ่ง นางกล่าวเสริม “ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าเป็นน้องสาวของคนงามที่อยู่ข้าง ๆ หรือ ? ไม่กี่วันที่ผ่านมาข้าได้ยินคนพูดถึงคนงามที่ย้ายเข้ามาอยู่ข้าง ๆ กับน้องสาว” ขณะพูดนางตรวจสอบหลี่เฉิง นางถามด้วยความงงงวย “เมื่อเจ้าเป็นฮูหยินแล้ว ทำไมเจ้ายังอยู่กับพี่สาวของเจ้า ? โอ้ ใช่แล้ว พี่สาวของเจ้าย้ายมาอยู่ที่บ้านใหม่ ดังนั้นเจ้าจึงมาช่วยนางใช่หรือไม่  ? ”

คำพูดเหล่านี้ทิ้งหลี่เฉิงไว้ในกลุ่มเมฆ อย่างไรก็ตามนางก็เข้าใจเช่นกัน คุณหนูตระกูลเฟิงคนนี้คิดอย่างแน่นอนว่าองค์ชายเหลียนเป็นผู้หญิง นับตั้งแต่ที่นางจากภาคเหนือมา องค์ชายเหลียนได้เตือนตลอดเวลา : ในเมืองหลวงของราชวงศ์ต้าชุน นางต้องไม่อวดอ้างสถานะเดิมของเขา พวกเขาเป็นแค่พลเมืองธรรมดา พวกเขาไม่มีความสัมพันธ์ใด ๆ กับเฉียนโจวแน่นอน

นางไม่ได้รับอนุญาตให้แสดงตัวตน แต่นางสามารถพูดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ในฐานะสามีและภรรยา ดังนั้นหลี่เฉิงพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจังมาก และบอกกับเฟินไดว่า “คุณหนูเฟิงพูดผิดเจ้าค่ะ เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ คนงามที่ไม่ธรรมดาที่คุณหนูเฟิงพูดนั้นเป็นสามีของข้า สามีของข้าเกิดมามีรูปร่างที่สวยมาก หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่คนจะคิดว่าเขาเป็นผู้หญิง”

“อะไรนะ ? ” เฟิงเฟินไดรู้สึกงุนงงเล็กน้อย ชายคนหนึ่ง ? “เป็นไปไม่ได้ ! เป็นไปไม่ได้ ! ” นางพูดขณะยืนขึ้น เห็นได้ชัดว่านางสั่นเล็กน้อย “ในวันนั้นข้าได้ยินว่ามีคนถามผู้หญิงคนนั้น ผู้หญิงคนนั้นยอมรับด้วยตัวเองว่านางย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองหลวงกับน้องสาวของนาง ไม่มีทางที่ข้าจะเข้าใจผิด” ขณะที่นางพูด นางมองหลี่เฉิงอย่างสับสน จากนั้นนางก็ถามด้วยความโกรธเล็กน้อย “เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนโง่งมหรือ ? ต้องบอกว่าใครบางคนที่อาจจะเห็นสาวงามเพียงครั้งเดียวทุก ๆ พันปี แต่แม้ว่าสายตาของข้าจะไม่ดี พวกมันก็ไม่ได้เลวร้ายจนไม่สามารถแยกความแตกต่างระหว่างผู้ชายกับผู้หญิงได้ นางยอมรับเองว่าเจ้าเป็นน้องสาว ดังนั้นอย่าพยายามหลอกลวงคุณหนูผู้นี้ ข้าจะบอกเจ้าว่าข้าเป็นว่าที่พระชายาหลี่ องค์ชายหลี่คือองค์ชายห้าของราชวงศ์ต้าชุน คิดให้ดีเกี่ยวกับความผิดที่จะหลอกลวงข้า”

หลี่เฉิงถอยกลับไปหนึ่งก้าว นางไม่กลัวคำพูดของเฟิงเฟินได อย่างไรก็ตามนางรู้สึกเจ็บเล็กน้อย ในขณะนี้ความคิดของนางไม่เป็นระเบียบ จิตใจของนางเต็มไปด้วยความโกรธ เฟิงเฟินไดกล่าวว่า “นางยอมรับด้วยตัวเองว่าเจ้าเป็นน้องสาว” นางไม่เข้าใจ เห็นได้ชัดว่านางเป็นชายาขององค์ชายเหลียน ดังนั้นนางจะกลายเป็นน้องสาวได้อย่างไร

บ่าวรับใช้ที่อยู่ข้าง ๆ นางรู้มาว่าคุณหนูของนางกำลังป่วยหนัก ดังนั้นนางจึงรีบพูดว่า “ท่านฮูหยินอย่าคิดมากเลยเจ้าค่ะ เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ท่านใต้เท้าต้องสวมเสื้อผ้าผู้หญิงในวันนั้น เพื่อหลีกเลี่ยงการมีคนเข้าใจผิด ท่านใต้เท้าแค่พูดอย่างตั้งใจ ท่านฮูหยินก็รู้นิสัยของท่านใต้เท้าเช่นกัน อย่าคิดมากเลยเจ้าค่ะ” ขณะที่นางพูด นางหยิบตะกร้าผลไม้และขนมอบจากนั้นวางมันลงบนโต๊ะ นางโค้งคำนับเฟินไดและกล่าวว่า “คุณหนูตระกูลเฟิง ท่านฮูหยินเตรียมของบางอย่าง แต่ไม่ทราบว่าคุณหนูตระกูลเฟิงนั้นมีภูมิหลังอันสูงส่ง เราทำให้คุณหนูตระกูลเฟิงลำบากใจ ถือว่าเป็นเรื่องที่แย่มาก เราหวังว่าคุณหนูตระกูลเฟิงจะให้อภัยเราเจ้าค่ะ”

เฟิงเฟินไดไม่ได้สนใจเรื่องนี้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด นางสนใจคนที่เพิ่งย้ายมาอยู่ข้าง ๆ ผู้หญิงคนนั้นเกิดมางดงามมาก นางงดงามมากจนทำให้ใครรู้สึกอิจฉา มันทำให้คนรู้สึกถึงความปรารถนาที่จะเข้าใกล้นาง นางรีบกล่าวว่า “ไม่เป็นไร มันไม่ได้แย่ขนาดนั้น การที่เจ้ามาเยี่ยมเป็นสิ่งที่ควรทำ ในอนาคตเราจะเป็นเพื่อนบ้านกัน หากมีเรื่องใดมาหาข้าได้” ขณะที่นางพูด นางถามทันที “ที่พักของสาวงามผู้นั้นหรือ ? ”

บ่าวรับใช้แก้ไขเฟินไดอีกครั้ง “นั่นไม่ใช่สาวงามเจ้าค่ะ นั่นคือนายท่านของเรา”

เฟินไดขมวดคิ้ว “นายท่าน ? นายท่านผู้นั้นเป็นบิดาของสาวงามใช่หรือไม่ ? ” ลองคิดดูสินี่เป็นความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียว

“ไม่ใช่เจ้าค่ะ” ใครจะรู้ว่าบ่าวรับใช้ส่ายหัวอีกครั้ง “นายท่านคือเจ้าของบ้าน เขาเป็นสามีของท่านฮูหยินของเรา และเป็นคนงามที่คุณหนูตระกูลเฟิงพูดถึงเจ้าค่ะ ! ”

เฟินไดงงงวยอย่างสมบูรณ์ นางยังคงสับสน นางถามอีกครั้ง “แล้วแซ่ของพวกเขาคืออะไร ? ”

บ่าวรับใช้กล่าวว่า “แซ่เหลียนเจ้าค่ะ” หลังจากพูดอย่างนี้นางก็ยังคงอยู่ต่อไป ลากหลี่เฉิงคำนับเฟิงเฟินไดแล้วถอยกลับ

เฟิงเฟินไดไม่ได้หยุดพวกเขา นางงุนงงในขณะที่ยืนอยู่ในห้องโถง นางคิดถึงผู้หญิงที่งดงามมากที่นางเห็นในวันนั้น นางได้ยินอย่างชัดเจนว่าผู้หญิงคนนั้นพูดว่านางเป็นท่านเจ้าของบ้าน และนางได้ยินคนใจดีถามว่านางอาศัยอยู่กับใคร นางตอบว่านางอยู่กับน้องสาวของนาง เป็นไปได้ไหมที่นางทำผิดพลาดจริง ๆ ? นั่นไม่ใช่ผู้หญิง แต่…มันเป็นผู้ชายงั้นหรือ ?

เฟิงเฟินไดส่ายหน้า มันเป็นไปไม่ได้ หากชายคนหนึ่งจะดูมีเสน่ห์และงดงามจะเป็นอย่างไร

หลี่เฉิงกลับไปยังบ้านอย่างงุนงง แม้หลังจากที่นางกลับไปที่เรือนของนาง นางก็ยังสับสนเล็กน้อย ใจของนางยังคงคิดสิ่งที่เฟิงเฟินไดพูด และความสัมพันธ์ระหว่างนางกับองค์ชายเหลียน นางยังถามบ่าวรับใช้ของนางว่า “ข้าเป็นใครกันแน่ ? ”

นี่เป็นสิ่งที่หลี่เฉิงมักจะทำในช่วงหลายปีที่ผ่านมา บ่าวรับใช้ของนางไม่แปลกใจเกินไป นางแค่เกลี้ยกล่อมให้อีกฝ่ายนอน นางไม่สามารถทำอะไรได้อีกแล้ว

ในอีกด้านหนึ่ง องค์ชายเหลียนออกมาจากอีกมุมหนึ่งของบ้านกับกลุ่มบ่าวรับใช้ เขามุ่งตรงไปที่ทางเข้าบ้าน เขาสั่งให้บ่าวรับใช้ติดป้ายที่เพิ่งทำเสร็จเมื่อไม่นานมานี้

ในขณะนี้เฟิงจินหยวนนั่งอยู่ในรถม้าและกลับไปที่บ้านตระกูลเฟิง เมื่อรถผ่านบ้านใกล้เคียง เขาเรียกให้รถหยุด อย่างไรก็ตามเขาจ้องมองไปที่ผู้หญิงซึ่งกำกับบ่าวรับใช้ในการติดป้าย เมื่อเห็นนาง เขาตกใจมาก

ตอนที่ 642 คำขอของเสี่ยวหยา

เฟิงหยูเฮงมองไปที่เสี่ยวหยาและสามารถเดาคำขอของเหยาซื่อได้อย่างคร่าว ๆ นางเห็นเหยาซื่อเดินไปด้านข้างของเสี่ยวหยาและจับมือของเสี่ยวหยา และกล่าวกับนางว่า “อนุญาตให้บุตรสาวของข้าย้ายไปอยู่กับข้า”

แม้ว่านางจะพูดคุยเรื่องนี้กับเฟิงหยูเฮง น้ำเสียงของนางก็แน่วแน่และจะไม่ยอมรับการปฏิเสธ ในความเป็นจริง เฟิงหยูเฮงต้องการถามจริง ๆ ว่าเจ้าไม่ได้มองข้าเป็นบุตรสาวเลยงั้นหรือ ? ความคุ้มครองที่ข้าให้ไว้ระหว่างทางกลับไปยังเมืองหลวงจากตะวันตกเฉียงเหนือรวมถึงพระราชโองการที่ข้าขอจากฮ่องเต้เพื่อให้เจ้าหย่าร้างกับเฟิงจินหยวน และการปกป้องทั้งหมดที่ข้าได้จัดเตรียมไว้ให้เจ้าเพื่อให้เจ้ามีชีวิตที่ดีขึ้น มันมีไว้เพื่ออะไร ?

แต่นางไม่สามารถถามคำถามเหล่านี้ได้ นางคิดว่าบางทีนี่อาจเป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสำหรับเหยาซื่อหรือไม่ ? เสี่ยวหยาเป็นคนที่สามารถเยียวยาจิตใจของเหยาซื่อได้ ความรักระหว่างมารดากับบุตรสาวที่เหยาซื่อไม่สามารถได้รับจากนาง เหยาซื่อจะได้รับจากเสี่ยวหยา

เฟิงหยูเฮงยิ้มอย่างขมขื่น “เนื่องจากเจ้าจำได้นางว่าเป็นบุตรสาวของเจ้า ไม่ว่านางจะอยู่กับเจ้าหรือไม่ก็ตาม ก็ขึ้นอยู่กับนาง ท่านฮูหยินควรถามนาง”

หลังจากที่นางพูดสิ่งนี้ นางก็หันหลังกลับและเดินตามทางที่นางมา ขณะที่เดินนางกล่าวว่า “เจ้าสองคนพูดคุยกัน เจ้าแค่ต้องส่งคนมาบอกข้า ข้าจะจัดการทุกอย่าง ข้าจะไม่ให้เจ้าต้องทนทุกข์ทรมานอย่างแน่นอน” โดยไม่หยุดเดิน นางออกจากลานและกลับไป

เหยาซื่อเฝ้าดูที่ด้านหลังของเฟิงหยูเฮงและถอนหายใจโล่งอกที่มองเห็นได้ หลังจากที่เฟิงหยูเฮงออกไปจากลานภายใน นางก็หันไปถามเสี่ยวหยา “อาเฮงจะกลับไปอยู่กับข้าได้หรือไม่ ? ข้าคิดถึงเจ้าจริง ๆ ”

เสี่ยวหยาขมวดคิ้วและมองนาง หลังจากมองไปสักพัก ความรู้สึกสงสารที่นางรู้สึกต่อหลี่เฉิงก็ปรากฏตัวขึ้น นางพยักหน้าและกล่าวกับเหยาซื่อ “เจ้าค่ะ”

เฟิงหยูเฮงกลับไปที่ลานบ้านของนาง และฉิงหยูยุ่งกับร้านค้า อย่างไรก็ตามวังซวนและหวงซวนยังคงอยู่เคียงข้างนางขณะที่รู้สึกหงุดหงิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีนี้สำหรับหวงซวนเนื่องจากนางไม่สามารถพูดกับตัวเองได้ เมื่อเข้าไปในลานบ้านนางก็เริ่มกล่าวทันที “ข้าคิดอยู่แล้วว่าเสี่ยวหยาไม่ควรพากลับมาที่เมืองหลวง หรือนางไม่ควรอยู่ในคฤหาสน์ นี่เป็นเพียงสาเหตุของปัญหาหรือไม่เจ้าคะ”

วังซวนส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “เมื่อใดก็ตามที่เจ้าพูดหรือทำอะไรก็ตามมันก็ขาดการพิจารณา ถ้าเจ้าคิดมากกว่านี้ เจ้าควรเข้าใจว่าทำไมเสี่ยวหยาถูกพากลับมาและไม่ถูกทิ้งไว้ในภาคเหนือ”

“หืม ? ” หวงซวนรู้สึกงงงวย “ทำไมเจ้าพูดอย่างนั้น ? ”

วังซวนมองเฟิงหยูเฮง เมื่อเห็นผงกศีรษะของนาง นางกล่าวต่อ “เสี่ยวหยานั้นดูคล้ายกับคุณหนูมาก แม้กระทั่งท่านฮูหยินเหยายังเข้าใจผิด บอกเด็ก ๆ ว่าถ้าคนแบบนี้ปรากฏต่อสาธารณะและถูกเอาเปรียบจากคนอื่น จะเกิดปัญหาอะไรขึ้นกับเรา ? ”

หวงซวนคิดเพียงเล็กน้อย นางอดไม่ได้ที่จะหอบหายใจเข้าอย่างรุนแรง “ใช่แล้ว ! ข้าลืมคิดเรื่องนี้ไปได้อย่างไร ถ้าเสี่ยวหยาถูกจับโดยคนเลวบางคน และพวกเขายืนยันว่านางเป็นองค์หญิงจี่อัน จะเกิดผลกระทบมหาศาล แต่…”  นางส่ายหัวของนางอีกครั้ง และกล่าวว่า “คุณหนูอยู่ในเมืองหลวง หากตัวจริงอยู่ที่นี่ ข่าวลือใด ๆ ก็ตามจะไม่หายไปเองหรือเจ้าคะ ? ”

วังซวนพูดแทรกขึ้นมาว่า “สมองของเจ้าคนนี้คิดอยู่ด้านเดียว โดยไม่คำนึงถึงอีกฝ่าย หากสิ่งต่าง ๆ เกิดขึ้นในภาคเหนือ ข่าวลือจะต้องใช้เวลาหลายเดือนกว่าจะถึงเมืองหลวง หากต้องการพึ่งพาด้านนี้เพื่อปัดเป่าข่าวลือเหล่านั้น หลายสิ่งสามารถเกิดขึ้นได้ในช่วงเวลาดังกล่าว”

หวงซวนได้ยินสิ่งนี้และรู้สึกกลัว นางได้แต่กล่าวว่า “ข้าคิดน้อยเกินไป เป็นสิ่งที่ดีที่เสี่ยวหยาถูกพากลับมา”

เฟิงหยูเฮงยิ้มอย่างขมขื่น “ด้วยการแกล้งเป็นตัวปลอม ตัวจริงกลายเป็นตัวปลอม เมื่อคนหนึ่งแกล้ง พวกเขามีบางสิ่งที่พวกเขาทำไม่ได้ สิ่งที่พวกเขาทำจะหายไป การที่จะปฏิเสธข่าวลือใด ๆ ก็เป็นเรื่องดี สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือวันที่ตัวปลอมกลายเป็นตัวจริงและไม่สามารถกลับสู่สภาพเดิมได้อีกต่อไป” นางถอนหายใจอย่างแผ่วเบา เข้าไปในห้องของนางและนั่งลงบนเก้าอี้ จากนั้นนางก็กล่าวว่า “ไปพาเสี่ยวหยาเข้ามา นางน่าจะมาที่ลานบ้าน”

หลังจากพูดอย่างนี้บ่าวรับใช้ทั้งสองก็หันหลังกลับ แน่นอน พวกเขาเห็นเสี่ยวหยาเดินผ่านห้องโถงที่คดเคี้ยว และผ่านประตูของลานสักสองสามแห่ง

วังซวนเดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วเพื่อรับนาง นำนางไปที่ห้องโถง หวงซวนให้บ่าวรับใช้นำชามา พวกเขาเท่านั้นที่ได้ยินเฟิงหยูเฮงถามเสี่ยวหยา “เจ้ารู้สึกประหลาดใจมากใช่หรือไม่ ? ”

เสี่ยวหยายิ้มอย่างสับสน “หลังจากได้รับประสบการณ์กับหลี่เฉิงมาแล้วก็ไม่น่าแปลกใจเลย มันเป็นเพียงแค่ข้าไม่เคยคิดว่าจะมีคนที่จะสับสนกัการรับรู้ตัวตนบุตรสาวของพวกเขาเอง นอกจากนี้เมื่อองค์หญิงยืนอยู่ตรงหน้านางจริง ๆ แล้ว ไม่สามารถบอกความแตกต่างได้” เสี่ยวหยาพูดขณะที่รู้สึกใบหน้าของตัวเอง “เป็นไปได้หรือไม่ที่เราดูคล้ายกันมากเจ้าค่ะ”

ในความเป็นจริงเฟิงหยูเฮงเคยถามคำถามนี้กับตัวเองมาก่อน เมื่อนางพบกับเสี่ยวหยาเป็นครั้งแรก นางสามารถสังเกตเห็นความแตกต่างได้ง่ายมาก แต่ถ้าในสายตาของคนอื่น ๆ คนส่วนใหญ่คิดว่าพวกเขาเหมือนกันราวกับแกะ

เฟิงหยูเฮงไม่ได้ตอบคำถามของเสี่ยวหยา นางเล่าให้เสี่ยวหยาฟัง “ท่านแม่ของข้าเคยล้มป่วยที่รุนแรงมากครั้งหนึ่ง หลังจากนั้นความคิดของนางก็สับสนเล็กน้อย เสี่ยวหยา ข้าอยากถามเจ้า เจ้าต้องการใช้ชื่อของข้าและไปอยู่กับนางในบ้านหรือไม่ ? ”

เสี่ยงหยาไม่ตอบกลับทันที นางแค่มองเฟิงหยูเฮง ใครจะรู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่

เฟิงหยูเฮงกล่าวต่อ “ข้ารู้ว่าท่านพ่อและท่านแม่ของเจ้าทั้งสองเสียชีวิตแล้ว และไม่มีทางที่ข้าจะให้การดูแลเพิ่มเติมใด ๆ แก่เจ้า ดูเหมือนว่าคำขอของข้าค่อนข้างเกรงใจ แต่เจ้าสามารถปฏิบัติต่อมันได้เหมือนข้าเป็นบุตรกตัญญูต่อท่านแม่ของข้า หากเจ้ายอมรับ เงื่อนไขอื่น ๆ จะขึ้นอยู่กับเจ้า”

เสี่ยวหยายิ้มอย่างขมขื่น “มันอย่างที่เจ้าพูด ท่านพ่อท่านแม่ของข้าจากไปแล้ว ข้าจะสามารถมีเงื่อนไขอะไรได้ ข้าเห็นว่าท่านฮูหยินเหยาก็ดูอ่อนโยนมาก ข้ารู้สึกราวกับนางเป็นท่านแม่ของข้าเอง ! หากองค์หญิงรู้สึกไม่สบายใจ เพียงส่งข้าไปที่บ้าน ข้าไม่สามารถทำอะไรได้อีก แต่ข้าสามารถดูแลท่านฮูหยินเหยาและพูดคุยกับนางได้ ข้า…” นางหยุดสักครู่แล้วก็นึกถึงบางอย่าง อย่างไรก็ตามมันก็ยากที่จะนำขึ้นมา และนางก็ลังเลด้วยตัวเอง

เฟิงหยูเฮงเห็นความลังเลและไม่รีบถาม นางนั่งอยู่ที่นั่นอย่างเงียบ ๆ ระหว่างรอให้เสี่ยวหยาพูดด้วยตัวเอง การหยุดชั่วคราวนี้ใช้เวลาสักพักหนึ่งถ้วยชาก่อนที่เสี่ยวหยาจะถามว่า “ข้าเห็นว่าพวกเจ้าทุกคนมีองครักษ์เงาอยู่ข้างกาย ที่อยู่นั้นควรมีคนปกป้องด้วยใช่หรือไม่”

เฟิงหยูเฮงพยักหน้า “ใช่”

วังซวนยังกล่าวเพิ่มเติม “ที่พักแห่งนั้นจัดโดยนายท่านผู้เฒ่า นอกจากบ่าวรับใช้ที่ทำงานที่นั่นแล้วยังมีทหารของจักรพรรดิอีกหลายนายที่องค์หญิงส่งไป สามารถมั่นใจได้ว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น”

เสี่ยวหยาได้ยินสิ่งนี้และลังเลอีกครั้ง

อย่างไรก็ตามเฟิงหยูเฮงสามารถทำความเข้าใจได้เล็กน้อยโดยใช้ความคิดริเริ่มที่จะถามว่า “บางทีการปกป้องที่เจ้าต้องการไม่ได้มาจากทหารทั่วไปใช่หรือไม่ ? ”

เสี่ยวหยาตกใจและถูมือของนางเข้าด้วยกัน หลังจากนั้นไม่นานนางก็กล่าวว่า “ใช่” นางพูดกับเฟิงหยูเฮง “คนที่ช่วยชีวิตข้านอกเมืองกวนโจว ข้าต้องการการปกป้องจากเขา”

“ไม่ได้ ! ” บางคนก็ตะโกนออกมาทันใด บุคคลนั้นคือหวงซวน นางรู้ว่าคนที่ช่วยเสี่ยวหยาในวันนั้นคือบานซู ตอนนี้นางได้ยินว่าเสี่ยวหยาขอตัวบานซู นางก็โกรธทันที “นั่นเป็นองครักษ์เงาที่องค์ชายเก้าจัดให้คุณหนู นอกจากนางแล้ว เขาไม่สนใจชีวิตของคนอื่น”

เสี่ยวหยาเป็นเพียงเด็กผู้หญิงตัวเล็กที่อ่อนแอ นางจะทนเสียงตะโกนที่ดังและก้าวร้าวของหวงซวนได้อย่างไร ในเรื่องที่เกี่ยวกับบานซู นางไม่มีความหวังมากในการเริ่มต้น ตอนนี้นางได้ยินหวงซวนพูดอย่างนี้ นางไม่แปลกใจเลย นางกล่าวอย่างรวดเร็วว่า “ถ้าไม่ได้ก็ลืมไปเสีย ทุกอย่างปกติดี ข้า ข้าแค่พูดเผื่อไว้เฉย ๆ ” จากนั้นนางมองไปที่เฟิงหยูเฮง “ข้าจะยังคงไปกับท่านฮูหยินเหยา นอกจากนี้ท่านแม่ของข้าเคยพูดในเวลานั้นว่าเจ้าเป็นผู้มีพระคุณต่อครอบครัวของเรา ไม่ว่าเมื่อไรพระคุณนี้จะต้องได้รับการทดแทน” นางยืนขึ้นและคำนับต่อเฟิงหยูเฮง นางไม่ได้พูดอะไรอีกก่อนที่จะจากไปอย่างเศร้าใจ

เมื่อเห็นการจากไปของนาง หวงซวนรีบวิ่งไปที่เฟิงหยูเฮงอย่างรวดเร็วและพูดซ้ำ ๆ ว่า “คุณหนูส่งบานซูไปที่นั้นไม่ได้เจ้าค่ะ เราให้บานซูอยู่ทางนี้ หากมีอุบัติเหตุบางอย่างเกิดขึ้น เราจะทำอย่างไร แม้ว่าคฤหาสน์นี้จะไม่ขาดแคลนองครักษ์เงา แต่พวกเขาไม่สามารถเปรียบเทียบกับคนที่เราคุ้นเคย คุณหนูคิดเหมือนกันใช่หรือไม่เจ้าคะ ? ”

เฟิงหยูเฮงและวังซวนยิ้มขณะมองหวงซวน ทั้งคู่เข้าใจความรู้สึกของนาง มุมปากของพวกเขาหยักโค้งขึ้นมา รอยยิ้มของพวกเขาทำให้ใบหน้าของหวงซวนรู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมา “พวกเจ้าสองคนหัวเราะเยาะข้าทำไม ? ข้าคิดถึงคุณหนู สิ่งที่ข้าพูดคือความจริง”

“ข้ารู้” วังซวนหุบยิ้มของนาง “ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังคิดถึงคุณหนู เราทุกคนล้วนเห็นแก่คุณหนู” จากนั้นนางพูดกับเฟิงหยูเฮง “หวงซวนพูดถูกเจ้าค่ะ คนอื่นไม่สามารถเปรียบเทียบกับบานซูได้”

เฟิงหยูเฮงพยักหน้า “ข้าชัดเจนในเรื่องนั้น ไม่ว่าเขาจะไปหรือไม่ก็ตาม ในท้ายที่สุดมันก็ขึ้นอยู่กับความคิดของบานซู”

เสียงพูดไม่พอใจดังออกมากมาจากอากาศ “ข้าจะไม่ไป ! ”

เฟิงหยูเฮงกล่าวด้วยใบหน้าที่ซีดขาว “ปรากฎตัวออกมาพูด อย่ามาพูดราวกับว่าเจ้าเป็นผี”

เมื่อได้ยินแบบนี้ ร่างของคนผู้นั้นปรากฏพร่ามัว บานซูออกมา “ข้าบอกว่าจะไม่ไป ดังนั้นข้าจะไม่ไป หากคุณหนูยืนยันที่จะส่งข้าไปที่นั่น ข้าจะวิ่งกลับมาแม้ว่ามันจะหมายความว่าข้าจะถูกประหารขอรับ”

เฟิงหยูเฮงส่ายหัว “ใครจะประหารเจ้า ? ”

“องค์ชาย ! ” บานซูพูดอย่างจริงจังมาก “องค์ชายกล่าวว่าเมื่อพระองค์ส่งข้ามาหาคุณหนู คุณหนูก็เป็นเจ้านายของข้า ในอนาคตหากมีวันหนึ่งที่คุณหนูบอกให้ข้าฆ่าพระองค์ ข้าก็จะต้องทำตามที่คุณหนูสั่ง ไม่อย่างนั้นพระองค์จะสั่งคนมาฆ่าข้าขอรับ”

วังซวนและหวงซวนพยักหน้าอย่างพร้อมเพรียง “องค์ชายพูดอย่างนั้นจริง ๆ พวกเราเหมือนกันเจ้าค่ะ”

เฟิงหยูเฮงย่อมเข้าใจความรู้สึกที่ซวนเทียนหมิงมีต่อนางเป็นอย่างดี เป็นเพียงว่านางหวังอย่างแท้จริงว่าเสี่ยวหยาจะสามารถร่วมเดินทางไปกับเหยาซื่อได้อย่างเต็มที่ หากความรู้สึกของความบาดหมางเกิดจากเรื่องนี้มันจะไม่ดี

เมื่อเห็นนางลังเล วังซวนกล่าวว่า “เราต้องคิดอีกเล็กน้อย มาดูกันว่าเราสามารถช่วยเสี่ยวหยาด้วยวิธีอื่นได้อย่างไรเจ้าค่ะ”

รูปร่างของบานซูแกว่งไปแกว่งมาและหายไปอีกครั้ง ก่อนออกเดินทาง เขาพูดทิ้งท้ายไว้ว่า “คุณหนูสามารถทำสิ่งที่คุณหนูต้องการ แต่ข้าจะไม่ไปขอรับ”

หวงซวนยิ้มอย่างมีความสุขพูดกับเฟิงหยูเฮง “คุณหนูจะต้องยอมแพ้ในตอนนี้ บานซูเองที่ไม่ต้องการไปเจ้าค่ะ” แต่นางก็ยังสับสน “เสี่ยวหยาต้องการอะไรอีก ? ”

“ลืมมันไปเถิด” เฟิงหยูเฮงโบกมือ “เรื่องนี้ลืมไปก่อน อย่างน้อยในเวลานั้น เสี่ยวหยาได้ตกลง ทุกวันที่ผ่านไปจะเป็นวันที่ดี ใครจะรู้ว่าเมื่อไรที่ฮูหยินไม่รู้จักนางอีกแล้ว”

ในขณะนี้นางยังไม่เต็มใจที่จะเรียกมารดาของนาง เรื่องนี้ทำให้หวงซวนและวังซวนอ้าปากค้าง อย่างไรก็ตามไม่มีอะไรที่พวกเขาสามารถทำได้

ในวันนั้นพระราชวังของฮ่องเต้กำลังรีบซ่อมแซมตำหนักศศิเหมันต์ กลุ่มคนงานก่อสร้างทำงานซ่อมแซม ราชสำนักยังรีบเร่งในการจัดการการสอบสวนในขณะที่ฮองเฮากำลังเข้มงวดกับตำหนักใน

แต่ในคืนนั้นฟางอี้ได้แจ้งข่าวชิ้นหนึ่งแก่ฮองเฮาซึ่งไม่น่าแปลกใจมากนัก “พระสนมจิงได้เสียชีวิตแล้วเพคะ”

ตอนที่ 641 เหยาซื่อกลับมา

เฟิงหยูเฮงไม่ได้มีโอกาสทานอาหารเช้าก่อนที่จะนำหวงซวนออกจากตำหนักหยู ปีนเข้าไปในรถม้าราชสำนัก นางรีบไปที่คฤหาสน์ของนางเอง

หวงซวนบอกกับนางว่า “หลังจากมารายงานข่าว วังซวนกลับไปก่อน ฮ่า ๆ ข้าก็ไม่เข้าใจเช่นกัน ทำไมท่านฮูหยินถึงกลับมาที่คฤหาสน์โดยด่วน ? ท่านผู้เฒ่าไม่ได้บอกให้นางไม่ออกจากบ้านเล็ก ๆ ของนางหรือเจ้าคะ ? ”

เฟิงหยูเฮงก็รู้สึกหมดหนทาง นางไม่รู้ว่าทำไมเหยาซื่อจึงออกจากบ้านของนางทันทีและไปที่คฤหาสน์ขององค์หญงิ และมันก็เกิดขึ้นจนนางเห็นเสี่ยวหยา

เมื่อนางตื่นขึ้นมาในเช้าวันนี้หวงซวนบอกนางเกี่ยวกับข่าวนี้ เฟิงหยูเฮงรู้สึกว่าศีรษะของนางบวม ! ในเรื่องที่เกี่ยวกับเสี่ยวหยา นางได้วางแผนที่จะพานางไปเยี่ยมเหยาซื่อ แต่เมื่อนางจะไปเยี่ยมและลักษณะตัวตนนางยังต้องถูกมองทะลุ ตั้งแต่เหยาซื่อถูกวางยาพิษ ความรู้สึกของนางค่อนข้างไวโดยเฉพาะเมื่อเกี่ยวกับนาง มันมีความรู้สึกปฏิเสธอย่างแรง มันเป็นเช่นนั้นหลังจากกลับมาที่เมืองหลวงนางไม่กล้าไปเยี่ยม นางกลัวว่าจะทำให้ประสาทสัมผัสของเหยาซื่อแสดงถึงการพัฒนาในที่สุด

อย่างไรก็ตามใครจะรู้ว่าเหยาซื่อจะพบเสี่ยวหยาก่อน นางไม่รู้จริง ๆ ว่าสถานการณ์แบบไหนที่จะเผยออกมาในคฤหาสน์ขององค์หญิง

เมื่อได้รับการกระตุ้นสองสามครั้ง รถม้าก็มาถึงหน้าทางเข้าคฤหาสน์ขององค์หญิง เมื่อเฟิงหยูเฮงออกจากรถม้า นางคิดว่ายามจะมารายงานเกี่ยวกับสถานการณ์ของเหยาซื่อทันที แต่หลังจากยืนอยู่นอกรถม้าอยู่พักหนึ่ง ทหารองครักษ์ก็โบกมือให้นางอย่างอ่อนโยนและไม่ได้พูดอะไร สิ่งอื่นใดเรื่องนี้ทำให้เฟิงหยูเฮงรู้สึกแปลกใจมาก

เมื่อนางเข้าไปในเรือน ฉิงหยูก้าวไปข้างหน้าแล้วพูดกับเฟิงหยูเฮงด้วยรอยยิ้ม “คุณหนู ข้าไปหาช่างฝีมือเป่ยและนำเครื่องประดับมา 2 ชุดเจ้าค่ะ” ในขณะที่พูดสิ่งนี้ เข้าไปในลานบ้าน ในเวลาเดียวกันนางกล่าวว่า “ท่านฮูหยินเหยากลับมาและคิดว่าเสี่ยวหยาเป็นคุณหนู นางลากเสี่ยวหยาเข้าไปในเรือนเก่าของนางและเริ่มพูดคุยอย่างมีความสุข เมื่อบ่าวใช้ของเราเห็น มันดูเหมือนว่านางจะมองเสี่ยวหยาในฐานะบุตรสาวของนางเอง และนางก็บังคับให้เสี่ยวหยาเรียกนางว่าท่านแม่ด้วยเจ้าค่ะ”

เฟิงหยูเฮงไม่สามารถอธิบายสิ่งที่นางรู้สึกได้ นางรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย ท้ายที่สุดแล้วเสี่ยวหยามีใบหน้าที่คล้ายกับมารดาของนางอย่างมากจากชีวิตก่อนหน้านี้ของนาง แต่ในขณะเดียวกันนางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก หากเหยาซื่อมองว่าเสี่ยวหยาเป็นคนที่ให้ความสงบสุขแก่ใจนาง นั่นคงไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร นางไม่รู้ว่าจะทำตัวอย่างไรเมื่อนางยืนอยู่ต่อหน้าทั้งสอง ท้ายที่สุดแล้วความสับสนนี้ไม่สามารถคงอยู่ได้ตลอดไป นางรู้สึกว่าบางสิ่งจะดีขึ้นเมื่อชี้แจง

ทั้งสามเดินไปที่เรือนเก่าของเหยาซื่อ เมื่อเข้ามาพวกนางเห็นวังซวนยืนอยู่กลางลานขณะที่มองดูคนสองคนที่นั่งอยู่ในศาลาเล็ก ๆ ในสนาม เมื่อเห็นว่าเฟิงหยูเฮงมาถึงแล้ว นางก็ก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วและกระซิบเบา ๆ ว่า “ในที่สุดคุณหนูก็กลับมา”

หวงซวนมองเห็นว่าการแสดงออกของวังซวนเป็นเรื่องเล็กน้อย นางดูสงบแต่ตอนนี้มันดูเศร้าสร้อย ดังนั้นนางจึงถามว่า “เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า ? ”

วังซวนถอนหายใจและกล่าวว่า “ไม่มีอะไรผิดปกติกับข้า แต่ข้าแค่คิดถึงคุณหนู” นางพูดขณะที่ชี้ไปที่ศาลาเล็ก ๆ “ท่านฮูหยินเหยาเชื่อมั่นอย่างมากว่าเสี่ยวหยาเป็นบุตรสาวของนาง หากไม่ใช่เพราะข้าหยุดนาง พวกนางจะต้องไปที่ห้องเพื่อพูดคุยเจ้าค่ะ”

เฟิงหยูเฮงขมวดคิ้วเล็กน้อยขณะมองไปที่ศาลาเล็ก ๆ นางเห็นเหยาซื่อจับมือเสี่ยวหยา ในขณะที่ใบหน้าที่เป็นธรรมชาติปรากฏบนใบหน้าของนาง ไม่ใช่ว่านางไม่เคยเห็นการแสดงออกนี้จากเหยาซื่อ อย่างไรก็ตามพวกนางทั้งหมดอยู่ในความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม เหยาซื่อกังวลกับนางมานานแล้วตั้งแต่นางมายังโลกนี้ แต่มันก็ขาดความสนิทสนมอยู่เสมอ ไม่เคยมีความรักแบบไม่จำกัด เช่นเดียวกับที่นางแสดงออกกับเฟิงจื่อหรู

ในตอนแรกนางแค่คิดว่าเหยาซื่อเป็นเช่นนั้น นางคิดว่านางสนิทสนมกับเฟิงจื่อหรูมากกว่าเพราะเฟิงจื่อหรูอายุน้อยกว่า เขาอายุน้อยและน่ารักที่สุด แต่หลังจากนั้นนางก็เข้าใจว่าในจิตใจของเหยาซื่อ นางไม่ใช่บุตรสาวของอีกฝ่ายแล้ว มันเปลี่ยนไปนานแล้ว มันแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากเมื่อก่อน จนถึงจุดที่คนที่เรียกว่ามารดาไม่สามารถแสร้งทำต่อไปและเลือกที่จะทำลายมันได้อีกต่อไป

แต่ความรู้สึกของนางในฐานะที่เป็นมารดายังคงอยู่ แต่นางไม่มีที่ระบายความรู้สึกที่เกี่ยวข้องกับบุตรสาวของนาง

วันนี้การปรากฏตัวของเสี่ยวหยานั้นเทียบเท่ากับการฟื้นฟูเซลล์มารดาในตัวของเหยาซื่อ มันเป็นเช่นนั้นที่ความรักของมารดาของนางนั้นยากที่จะหยุด

นางหยุดบ่าวรับใช้ทั้งสามคนและบอกพวกนางว่าไม่จำเป็นตาม จากนั้นนางก็เริ่มเดินไปที่ศาลาเล็ก ๆ อย่างช้า ๆ เมื่อนางเข้าใกล้ได้นิดหน่อย นางสามารถได้ยินเหยาซื่อพูดกับเสี่ยวหยา “ข้าจำได้ว่าเจ้าไม่ชอบกินเห็ดในตอนแรก แต่หลังจากถูกส่งไปที่ภูเขาแล้วไม่มีอาหารอื่น ๆ เลย ในเวลานั้นข้าไม่รู้จะทำอย่างไร คนที่นิสัยดีในหมู่บ้านให้ซักเสื้อผ้าให้เพื่อแลกกับอาหาร อย่างไรก็ตามข้าลงเอยโดยทำลายเสื้อผ้าของพวกเขาในขณะที่ซักพวกมัน ต่อมาคนอื่นส่งงานเย็บปักมาให้ข้า และข้าก็ปักเข็มแทงมือของตัวเองจนผ้าเปื้อนเลือด ในตอนท้ายข้าไม่สามารถเย็บได้แม้แต่ชิ้นเดียว ไม่มีใครมาช่วยเราทีละน้อย เจ้าถูกทิ้งไว้โดยไม่มีทางเลือกอื่น ไม่มีการสูญเสียที่เจ้าได้เรียนรู้จากท่านปู่มาก่อน เจ้าบอกว่าเจ้าจำเห็ดและผักป่าได้ ดังนั้นเจ้าจึงออกไปบนภูเขาด้วยตัวเอง เจ้าจะตื่นแต่เช้าทุกวันแล้วออกเดินทาง เจ้าจะกลับเมื่อท้องฟ้ามืดเท่านั้น เมื่อเจ้ากลับมา เจ้าจะนำตะกร้าที่เต็มไปด้วยเห็ดกลับมาเสมอ อย่างน้อยก็พอสำหรับพวกเราสามคนที่จะกินเป็นเวลาครึ่งเดือน”

เสี่ยวหยามองเหยาซื่อด้วยรอยยิ้ม ทุกครั้งที่เหยาซื่อพูดจบแล้วนางก็พยักหน้าแล้วพูดว่า “วันนั้นช่างขมขื่นมากเจ้าค่ะ”

เหยาซื่อกล่าวต่อ “การพูดถึงชีวิตบนภูเขาในเวลานั้น เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะจุดไฟยังไง มันเป็นเพื่อนบ้านของเราที่สอนเราถึงวิธีเริ่มจุดไฟ แม้แต่เตาไฟก็เป็นของพวกเขา โชคดีจริง ๆ ที่แม่รองอันของเจ้าเอาเงินใส่ไว้ในถุงเสื้อของจื่อหรูก่อนที่เราจะจากไป ไม่ว่าอย่างไรก็ใช้มันซื้อผ้าห่มให้เราและให้เราซ่อมแซมบ้านหลังเล็ก ๆ ที่ต่ำต้อยจนฝนไม่รั่ว ต่อมาเจ้าใช้เห็ดครึ่งตะกร้าเพื่อแลกกับชามและช้อน สิ่งนี้ทำให้เรามีชีวิตที่ดีขึ้นเล็กน้อย”

ยิ่งเหยาซื่อพูด นางยิ่งมีอารมณ์มากขึ้นเท่านั้น นางไม่ได้ซ่อนรูปลักษณ์ความทรงจำของนาง ปกติแล้วช่วงเวลาที่ใช้ชีวิตในภูเขาเป็นช่วงเวลาที่ลำบากที่สุด อย่างไรก็ตามการมองย้อนกลับไปในตอนนี้ทำให้นางยิ้มได้

เฟิงหยูเฮงได้ยินนางกล่าวว่า “ต่อมาผู้คนในหมู่บ้านเห็นเราเพลิดเพลินกับเห็ด และอยากจะเข้าไปในภูเขาเพื่อเก็บเห็ด แต่พวกเขารู้ได้อย่างไร หลังจากกินเห็ดที่พวกเขาเก็บมา พวกเขาจะถูกพิษ และมันก็เป็นอาเฮงที่ใช้สมุนไพรที่พบในภูเขาเพื่อรักษาพวกเขา จากนั้นเจ้าสอนพวกเขาว่าควรรับประทานเห็ดแบบไหน แต่เมื่อเคยถูกงูกัด ใคร ๆ ก็จะต้องระวังแม้แต่เชือกธรรมดา ดังนั้นจึงไม่มีใครอยากกินสิ่งเหล่านั้นอีกเลย นั่นเป็นเหตุผลที่พวกเราสามคนกินเห็ดมากมายในช่วงหลายปีที่ผ่านมา” ขณะที่นางพูด นางกล่าวซ้ำอีกครั้ง “แต่เจ้าไม่ชอบกินเห็ด ดังนั้นจื่อหรูกับข้าได้กินมากที่สุด เจ้ากินแค่ต้มผักป่า หลายปีที่ผ่านมาเจ้าผอมมาก”

เป็นครั้งคราวที่เสี่ยวหยาไม่รู้ว่าควรตอบกลับเช่นไรและได้แต่ยิ้มได้ในขณะที่พูดเบา ๆ ว่า “ใช่แล้วเจ้าค่ะ ! ”

เหยาซื่อไม่ได้ตำหนินาง นางมองเสี่ยวหยาครั้งแล้วครั้งเล่า ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความพึงพอใจ “นี่คือบุตรสาวของข้า ข้ารู้สึกว่าบุตรสาวของข้าออกไปเล่นเท่านั้นและจะมีวันหนึ่งที่นางกลับมา น่าเสียดายที่จื่อหรูไม่ได้อยู่ที่นี่ ไม่อย่างนั้นเขาจะมีความสุขที่ได้เห็นเจ้าอย่างแน่นอน หลังจากกลับมาที่เมืองหลวงมานานแล้ว เขายังไม่ได้ไปหาพี่สาวของเขาเลย”

ในขณะที่เหยาซื่อพูด, เสี่ยวหยาเห็นว่าเฟิงหยูเฮงหยุดอยู่ข้างนอกศาลาเล็ก ๆ ใบหน้าของนางดูสับสนขณะที่นางมองไปที่เฟิงหยูเฮง

เหยาซื่อกำลังจับตามองเสี่ยวหยาอย่างใกล้ชิด การเคลื่อนไหวเล็ก ๆ ของนางสังเกตเห็นได้ทันที จากนั้นนางก็ตกใจและหันไปรอบ ๆ ตามสายตาของเสี่ยวหยา ที่นั่นนางเห็นเฟิงหยูเฮง

ในขณะที่สายตาของพวกเขาประสานกัน เฟิงหยูเฮงสามารถเห็นความกลัวในดวงตาของเหยาซื่ออย่างชัดเจน หัวใจของนางเริ่มรู้สึกไม่สบายใจ มารดาของนางกลัวนางจริง ๆ สถานการณ์แบบนี้เป็นแบบไหน ?

โชคดีที่เหยาชิหายกลัวอย่างรวดเร็ว แม้กระนั้นมันก็ถูกแทนที่ด้วยความไม่คุ้นเคยและสงบสุขอย่างเห็นได้ชัด

เหยาซื่อยืนขึ้นแล้วนำเสี่ยวหยาไปทางเฟิงหยูเฮง ในขณะที่เดิน นางยิ้มแล้วกล่าวว่า “อาเฮง เจ้ายังไม่ได้พบกับองค์หญิงใช่หรือไม่ ? มาทักทายนาง นี่คือองค์หญิงจี่อัน ในอนาคตนางจะเป็นพระชายาขององค์ชายเก้า”

เสี่ยวหยาไม่รู้ว่านางควรทำอะไร อย่างไรก็ตามนางได้ยินเฟิงหยูเฮงกล่าวว่า “ท่านฮูหยินบอกให้เจ้าคำนับ ดังนั้นจงคำนับ”

เสี่ยวหยารู้สึกไร้ประโยชน์และได้แต่ทำตามที่เฟิงหยูเฮงพูดเท่านั้นโดยกล่าวว่า “เด็กหญิงผู้ต่ำต้อยคนนี้คารวะองค์หญิงเจ้าค่ะ” เมื่อนางยืนขึ้นความสับสนในดวงตาของนางก็ยิ่งเด่นชัดยิ่งขึ้น นางต้องการให้เฟิงหยูเฮงอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างแท้จริง ในสายตาของเสี่ยวหยา เหยาซื่อในปัจจุบันเป็นเหมือนหวู่หลี่เฉิง นางชัดเจนในทุกสิ่งแต่นางก็สับสนกับคนที่อยู่ใกล้ที่สุด

เฟิงหยูเฮงมองที่เหยาซื่อและถามอย่างแผ่วเบาว่า “ท่านฮูหยินเหยามีเวลามาวันนี้ได้อย่างไร ตั้งแต่กลับมาจากทางเหนือข้าไม่ได้มีโอกาสไปเยี่ยมท่านฮูหยิน ข้าหวังว่าท่านฮูหยินเหยาจะยกโทษให้ข้า”

เหยาซื่อไม่คิดว่าเฟิงหยูเฮงจะพูดแบบนี้กับนาง แต่นางก็พอใจกับท่าทางเช่นนี้มาก นางจึงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่มีปัญหา เจ้างานเยอะ แค่คิดถึงข้าก็ดีมากแล้ว”

เฟิงหยูเฮงพยักหน้าและถามว่า “ท่านฮูหยินใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นได้หรือไม่เจ้าค่ะ ? ”

เหยาซื่อกล่าวว่า “ดี ทุกอย่างสบายดี” ขณะที่นางพูดนางจับมือเสี่ยวหยาไว้และกล่าวว่า “แม้ว่าที่พักซึ่งท่านตาของอาเฮงซื้อให้ขนาดไม่ได้ใหญ่มาก แต่ก็ค่อนข้างงดงาม มีบ่าวรับใช้ไม่กี่คนที่นั่น พวกนางมักจะมากับข้าและช่วยบรรเทาความเบื่อของข้า มันเป็นแค่…” นางหยุดชั่วครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “แค่ข้าคิดถึงอาเฮงและจื่อหรูจริง ๆ นั่นคือเหตุผลที่ข้ามาหา ใครจะรู้ว่าอาเฮงจะกลับมาจริง ๆ ” นางมองเสี่ยวหยาด้วยความดีใจ

เฟิงหยูเฮงไม่สามารถอธิบายความรู้สึกในใจของนางได้ เหยาซื่อปฏิเสธนางเช่นนี้ ไม่มีการสูญเสียว่านางไม่ใช่วิญญาณของเจ้าของร่างเดิม ไม่เช่นนั้นนางจะไม่รู้สึกเจ็บปวดเท่าไหร่ที่นางจะรู้สึก

“นั่น…” เหยาซื่อถามอย่างระมัดระวัง “เจ้าหรือไม่ว่าจื่อหรูจะกลับมาเมื่อไหร่ ? ”

เฟิงหยูเฮงบอกนางว่า “วันนี้ หรือสองวันเจ้าค่ะ เมื่อเขากลับมา ข้าจะให้เขาไปคารวะท่านฮูหยิน”

เหยาซื่อตอบอย่างมีความสุข “ถ้าเช่นนั้นจื่อหรูจะอยู่กับข้าได้หรือไม่ ? ที่เรือนนั้นมีห้องและก็เพียงพอสำหรับผู้คนอีกสองคนที่จะอาศัยอยู่ที่นั่น”

อย่างไรก็ตามเฟิงหยูเฮงส่ายหัวของนางอย่างชัดเจนในเรื่องนี้ และกล่าวกับนางว่า “นี่เป็นไปไม่ได้แน่นอน จื่อหรูยังต้องการเข้าสำนักศึกษา หลังจากกลับมาเยี่ยมครอบครัวและฮ่องเต้ เขาจะเดินทางกลับเสี่ยวโจว ท่านฮูหยินควรรู้ว่าเด็กผู้ชายต้องให้ความสำคัญกับการศึกษาของพวกเขา ข้าหวังว่าท่านฮูหยินจะเข้าใจ”

เหยาซื่อกลัวเฟิงหยูเฮง เมื่อได้ยินนางพูดอย่างเคร่งครัด นางแสดงความคิดของนางอย่างรวดเร็ว “ข้าเข้าใจ ข้าเข้าใจจื่อหรูต้องเรียน นั่นเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ไม่เป็นไรที่จะให้เขาไป แต่…” นางคิดมาเล็กน้อยแล้วพูดอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “แต่มีสิ่งหนึ่งที่เจ้าต้องสัญญากับข้า ! ”

 

ตอนที่ 640 องค์ชายเก้าคืนสถานะผู้ชายของเขา

เฟิงหยูเฮงถูกพาตัวออกจากรถม้าขององค์ชายเก้า ราวกับว่านางเป็นแมวตัวเล็กนางถูกอุ้ม ไม่ว่านางจะตะโกนหรือทุบตีเขามากแค่ไหนก็ไม่มีผล แขนของซวนเทียนหมิงค่อนข้างแข็งแกร่ง จากทางเข้าพระราชวังไปจนถึงห้องนอน ท่าทางของเขาไม่เปลี่ยนแปลง หลังจากเข้าไปในห้อง เขาเตะประตูปิดพวกมันด้วยเสียง “บูม” เฟิงหยูเฮงคิดกับตัวเองว่ามันจบแล้ว

มันจบแล้ว ซวนเทียนหมิงโยนนางขึ้นไปบนเตียง !

มันจบแล้ว ซวนเทียนหมิงเริ่มถอดเสื้อผ้าของเขา !

มันจบแล้ว ซวนเทียนหมิงเริ่มถอดเสื้อผ้าของนาง !

เฟิงหยูเฮงต้องการปิดตาของนางจริง ๆ แต่เมื่อมีใครบางคนสัมผัสร่างกายของพวกเขา ดวงตาของนางไม่สามารถควบคุมตัวเองและจ้องตรงไปที่เนื้อตัวของเขา เอ่อ ? มุมปากของนางชื้นเล็กน้อย นางเช็ดพวกเขา น่าอับอาย มันเป็นน้ำลาย !

นางปีนขึ้นไปบนเตียงและไม่ใส่ใจกับเสื้อผ้าที่ไม่เป็นระเบียบของนาง นางเอื้อมมือไปแตะร่างกายของเขา อย่างไรก็ตามนางถูกผลักลงไปบนเตียงโดยเขา

เนื้อแนบเนื้อ

“นั่นเอ่อ…” ใบหน้าของนางร้อนนิดหน่อย “สหายของเจ้าซุกซนเล็กน้อย”

“ไม่จริง” ซวนเทียนหมิงกล่าวอย่างไร้ยางอาย “มันบอกว่าต้องการสื่อสารความรู้สึก”

“ข้าควรสาปแช่งเจ้าที่ทำตัวไม่เหมาะสมหรือไม่ ? ”

“ขึ้นอยู่กับเจ้า” เขาผลักนางลงอีกเล็กน้อยและทำให้นางรู้สึกสับสน “ในตอนนี้ใครเล่าที่บอกว่าองค์ชายผู้นี้ดูไม่ดีเท่ากับพี่เจ็ด ? ”

นางตอบคำถามนี้อย่างมีความสุขมาก “เสด็จแม่”

ซวนเทียนหมิงกัดฟัน “แล้วใครเล่าที่เห็นด้วยกับคำพูดนั้น ? ” ขณะที่เขาพูดสะโพกของเขาขยับเล็กน้อยทำให้ใบหน้าของเฟิงหยูเฮงเปลี่ยนเป็นสีแดง

“ข้าแค่…ต้องการสนับสนุนเสด็จแม่” นางต้องการหลีกเลี่ยง “เอ่อ เจรจากับสหายของเจ้าและทำใจให้สงบลง นี่… นี่ไม่ดีเลย”

“องค์ชายผู้นี้รู้สึกว่าสิ่งนี้ดีมาก” เขาพามันเข้ามาใกล้นาง “มองดูใกล้ ๆ สิ ระหว่างข้ากับพี่เจ็ด ใครดูดีกว่ากัน ? ”

เฟิงหยูเฮงลืมตาของนางให้กว้างเพื่อมองดูซักพัก จากนั้นนางรู้สึกว่านางไม่สามารถต่อต้านความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของนางได้ ดังนั้นนางจึงเปลี่ยนวิธีพูด “เจ้าดูเท่กว่า ในขณะที่พี่ชายคนที่เจ็ดดูอ่อนโยนกว่า แต่ละคนมีข้อดีของตนเอง”

“ถ้าเช่นนั้นที่รักชอบคนไหนมากกว่า ? ” เขายิ้มอย่างชั่วร้ายบนใบหน้าของเขา เขาก้มศีรษะลงที่กระดูกไหปลาร้าทำให้เฟิงหยูเฮงเริ่มหัวเราะคิกคัก “พูดมา ! “

“เจ้า ! ข้าชอบเจ้า ! ” นางอ่อนแอเมื่อถูกกระตุ้นและหัวเราะจนท้องของนางเจ็บ อย่างไรก็ตามนางไม่คิดว่าร่างนี้จะก่อให้เกิดคลื่นความกดดันในสถานที่หนึ่ง คนที่พิงนางเริ่มหอบหายใจแรงขึ้น

มีคนบางคนแนบหน้าติดที่กระดูกไหปลาร้าของนางและรู้สึกสนุกกับมันมาก เฟิงหยูเฮงต้องการถามว่าเจ้าจะกินคอเป็ดหรือไม่* แต่ในสถานการณ์แบบนี้นางรู้สึกว่าการพูดแบบนี้จะนำมาซึ่ง “การแก้แค้น” อีกรอบ นางจึงอดทนและไม่ได้พูด แต่มันก็จั๊กจี้มากจริง ๆ !

นางไม่สามารถควบคุมเสียงหัวเราะของนางได้และขออภัยซ้ำ ๆ อย่างไรก็ตามซวนเทียนหมิงกล่าวว่า “เจ้ารู้จักที่จะขออภัยในตอนนี้หรือ ? ดูเหมือนว่าจะสายไปแล้ว”

มือของเขาเริ่มซุกซนเคลื่อนไปตามเสื้อผ้าของนางและพยายามเข้าไปข้างใน เฟิงหยูเฮงรีบกล่าวทันที “ไม่ดี ไม่ดี ! ซวนเทียนหมิง ข้ายังไม่บรรลุนิติภาวะ ร่างกายของข้ายังไม่เต็มที่ จากมุมมองทางการแพทย์ การทำสิ่งนี้ไม่ดีอย่างแน่นอน มันจะทำให้เกิดปัญหาทางการแพทย์บางอย่าง เจ้าต้องไม่ใจร้อน เจ้าต้องคิดให้ดี ! ข้าจะป่วย ! ”

หัวของซวนเทียนหมิงพองตัวและลุกขึ้นนั่งบนเตียงอย่างไร้ประโยชน์ จากนั้นก็คลุมผ้าห่มให้นาง “แพทย์ทุกคนมีเหตุผลหรือไม่ ? นี่เป็นครั้งแรกที่องค์ชายผู้นี้เห็นผู้หญิงอย่างเจ้า เจ้าแปลกกว่าใคร ! ”

เฟิงหยูเฮงชำเลืองมองและสังเกตเห็นคำใบ้ นางลุกขึ้นคว้าผ้าห่มแล้วถามด้วยใบหน้าที่ไม่มีอารมณ์ “ถ้าอย่างนั้นเจ้าจะบอกได้เลยว่ามีผู้หญิงคนอื่นอีกหรือ ? ซวนเทียนหมิง มีผู้หญิงคนอื่นวิ่งเข้านอนอยู่บนเตียงของเจ้าหรือไม่ ? ด้วยการหยอกล้อแค่นี้ พวกนางทั้งหมดยินดีหรือ ? ข้าจะบอกว่า มันไม่ใช่เวลาสำหรับองค์หญิงผู้นี้เพื่อตรวจสอบตำหนักนี้หรอกหรือ ? หากมีเรือนพร้อมนางกำนัลที่เจ้าร่วมเตียงด้วยหรือมีนางสนม ป้าผู้นี้จะตัดหัวพวกนางอย่างประณีตและรวดเร็ว”

ซวนเทียนหมิงหัวเราะ “ชายารักได้โปรดตรวจสอบ ตำหนักหยูขอเชื้อเชิญองค์หญิงจี่อันมาตรวจสอบด้วยความเคารพ”

“ฮึ ! ” เฟิงหยูเฮงรู้ว่าคนผู้นี้ไม่มีงานอดิเรกแบบนั้น และนางก็รู้ว่านางไม่สามารถจับเขาในเรื่องนี้ได้ ดังนั้นนางจึงเปลี่ยนหัวข้อ “บอกข้ามาว่าเจ้ามีรายได้เท่าไหร่ต่อหนึ่งเดือน ? เจ้ามีบ่าวรับใช้กี่คนและค่าใช้จ่ายของเจ้าเท่าไหร่ เจ้ามีร้านค้า บ้านพักและที่ดินเท่าไร ?  มีค่าใช้จ่ายประจำปีทั้งหมดเท่าไร ? เจ้ามีธุรกิจกี่แห่งและมีรายได้เท่าไหร่ ? ตอนนี้เจ้ามีทรัพย์สมบัติมากเพียงใดในตำหนักของเจ้า และมีตั๋วแลกเงินเท่าไหร่ ? ใครจะเป็นผู้จัดการเงินให้กับครอบครัวของเราในอนาคต ? ”

ซวนเทียนหมิงรู้สึกปวดหัวขึ้นมาตุบ ๆ “เรื่องเงินเจ้าจะเป็นคนจัดการอย่างแน่นอน แต่ข้ามีรายได้เท่าไรและมีเงินเก็บเท่าไหร่นั้นเป็นสิ่งที่ข้าไม่รู้จริง ๆ ! เจ้าต้องขอให้นางกำนัลอาวุโจวแจ้ง”

“หืมม!” เฟิงหยูเฮงกล่าวเสียงดัง “เมื่อคำถามที่ดูดีระหว่างเจ้ากับพี่เจ็ด เจ้าควรไปถามนางกำนัลอาวุโจว ! ” หลังจากพูดแบบนี้นางก็นอนลง และกอดตัวเองใต้ผ้าห่ม “นอน ! ”

ซวนเทียนหมิงลูบจมูก เมื่อใดที่กระแสน้ำย้อนกลับ ? เห็นได้ชัดว่าสิ่งต่าง ๆ ไม่ได้เช่นนี้

เขาล้มตัวลงนอนและต้องการกอดเด็กสาวที่อยู่ข้าง ๆ เขา แต่เด็กสาวห่อตัวเองเป็นบะจ่าง เขาพยายามสองสามครั้งเพื่อเอามือเข้าไปข้างในแต่ก็พบกับความล้มเหลว เขาทำอะไรไม่ถูก เขากอดนางบนผ้าห่ม “ห่มผ้าให้ข้าด้วย”

“ไม่” เฟิงหยูเฮงตอบ

“ข้าหนาว” ซวนเทียนหมิงพยายามอ้อน

“ก็ห่มผ้าเองสิ ! ”

ซวนเทียนหมิงเงียบและนอนหลับขณะกอดบะจ่าง อีกครึ่งชั่วยามต่อมาเฟิงหยูเฮงได้ยินเสียงหายใจของคนที่กอดนางเข้ามาพร้อมกับสูดดม นางรู้สึกแขนที่เอวของนางและมันเย็นมาก

ในช่วงต้นฤดูใบไม้ร่วงในเมืองหลวงอุณหภูมิลดลงและกลางคืนก็หนาวมาก

หัวใจของนางก็เจ็บปวดและนางหันกลับมาอย่างรวดเร็วเพื่อห่มผ้าให้ซวนเทียนหมิง จากนั้นนางก็รู้สึกว่าหน้าอกของเขาเย็นมากและนางก็รู้สึกหงุดหงิดยิ่งขึ้น

ซวนเทียนหมิงดมกลิ่นไม่กี่ครั้งจากนั้นก็ดึงเฟิงหยูเฮงเข้าไปกอด จูบที่หน้าผากของนาง เขาซึบซับความรู้สึกนั้นก่อนที่จะพยักหน้า “หวาน”

นางทุบตีเขาด้วยความโกรธ “เจ้าแกล้งหลับ ! คนนิสัยไม่ดี” ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดพวกเขาตื่นขึ้นมาและไม่สามารถหลับได้อีกต่อไป นางก็ลุกขึ้นแล้วเอาหมอนนุ่ม ๆ มาวางไว้ด้านหลังนาง เมื่อเห็นซวนเทียนหมิงเงยหน้าขึ้นมอง นางเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อนางเห็นพระสนมหยวนชูในพระราชวัง จากนั้นนางก็ถามว่า “ข้าเคยเห็นองค์ชายแปดครั้งเดียวเท่านั้น หลังจากนั้นไม่มีข่าวเกี่ยวกับเขา เขาเป็นคนแบบไหน ? เขาไปไหนมา ? ”

ซวนเทียนหมิงเห็นว่านางพูดถึงเรื่องนี้ เขาจึงลุกขึ้นนั่งข้างเตียงแล้วบอกนางว่า “พี่แปดเป็นคนที่มีภูมิหลังทางทหาร อย่างไรก็ตามศิลปะการต่อสู้ของเขาไม่ค่อยดีนัก มันจะถูกต้องที่จะบอกว่าการคำนวณและแผนการของเขานั้นไม่มีใครเทียบ เขาเป็นที่ปรึกษาของฮ่องเต้ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยแสดงออกอย่างชัดเจนว่าเขายืนอยู่ข้างไหน แต่ก็เป็นเพราะเหตุนี้ที่ทำให้ตำแหน่งของเขาชัดเจนขึ้น เขากำลังยืนอยู่เพื่อตัวเอง ในปัจจุบันเขาอยู่ในภาคใต้ ด้วยการใช้สถานภาพของเขาในฐานะแม่ทัพ เขาได้เข้าร่วมกับกองทัพภาคใต้เพื่อช่วยขับไล่การโจมตีในภาคใต้ มีรายงานว่ามีการจัดการกับความขัดแย้งในภาคใต้เป็นส่วนใหญ่ และมีการสร้างสำนักงานของรัฐ ซึ่งกลายเป็นจุดอำนาจ” เขาหยุดครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “เสด็จพ่อดูเหมือนจะโง่ แต่จริง ๆ แล้วเสด็จพ่อชัดเจนมาก เสด็จพ่อมุ่งมั่นที่จะมอบบัลลังก์ให้กับข้า แต่เสด็จพ่อก็ทำอะไรไม่ถูกกับองค์ชายที่ภูมิใจในตัวเขา นอกจากนี้ยังมีคนที่ชอบพี่สามและพี่สี่ บัลลังก์จะถูกส่งอย่างราบรื่นได้อย่างไร เสด็จพ่อให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ในครอบครัวเสมอ ด้วยข้อยกเว้นประการที่สาม เขาจะส่งมอบการลงโทษให้กับบุตรชายของท่านพ่อ หากเสด็จพ่อไม่จำเป็นต้องประหารชีวิตพวกเขา หากเสด็จพ่อสามารถเปลี่ยนแปลงพวกเขาได้ เสด็จพ่อจะไม่ลงโทษพวกเขา นั่นเป็นสาเหตุที่การต่อสู้ของตระกูลซวนเพื่อครองบัลลังก์นั้นสัมพันธ์กับทั้งมั่นคงและยืดหยุ่น”

นี่เป็นครั้งแรกที่เฟิงหยูเฮงถามอย่างจริงจังเกี่ยวกับองค์ชายแปดที่ไม่ค่อยได้เห็น อย่างไรก็ตามนางไม่คิดว่าเขาจะเป็นคนที่ยากที่จะรับมือ หลังจากคิดถึงพระสนมหยวนชู นางก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างหงุดหงิด “ดูเหมือนว่าพระสนมหยวนชูจะถูกกดดันและถูกควบคุม แต่ไม่ถูกลงโทษอย่างหนัก”

“อืม” ซวนเทียนหมิงพยักหน้า “อย่าเร่งรีบกับเรื่องนี้ เมื่อคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เสด็จพ่อจะให้ฮองเฮาจัดการเรื่องนี้อย่างแน่นอน อย่ามองว่าฮองเฮาไม่ได้มีส่วนร่วมในข้อพิพาทใด ๆ เมื่อถึงเวลาต้องดูแลเรื่องบางเรื่อง นางจะไม่ปฏิเสธความรับผิดชอบ ข้าเชื่อว่านางจะเลือกวิธีการที่เหมาะสมในการแก้ไขปัญหานี้ ไม่จำเป็นที่เราจะต้องกังวล”

ประเด็นนี้เป็นสิ่งที่เฟิงหยูเฮงเชื่อถือได้ นางนึกถึงซวนเทียนหมิง “ช่างฝีมือเป่ยได้ถูกนำกลับไปยังคฤหาสน์ของข้าแล้ว ในวันที่เขาออกจากพระราชวัง เขาก็ถูกติดตาม หลังจากนั้นข้าให้บานซูไปตรวจสอบ อย่างไรก็ตามเขาไม่พบอะไรเลย ข้าไม่รู้ว่าเขาอ่อนแอเกินไปหรือว่าฝ่ายตรงข้ามมีฝีมือ”

อย่างไรก็ตามซวนเทียนหมิงกล่าวว่า “แน่นอนว่าไม่ใช่ช่างฝีมือเป่ยที่ไวเกินไป หลังจากถูกกักตัวไว้ในพระราชวังเป็นเวลาเกือบหนึ่งปี เขาไม่ใช่คนโง่ ผู้คนที่ใส่ใจกับงานฝีมือ พวกเขาใส่ใจตนเอง ไม่ว่าจะมีอะไรผิดปกติหรือไม่ ข้าเชื่อมั่นในคำบอกเล่าของช่างฝีมือเป่ย เพียงแค่ให้เขาซ่อนตัวในที่ของเจ้า เจ้าต้องระวังด้วยว่าฝ่ายตรงข้ามจะมาเยี่ยม”

“นั่นไม่ควรเกิดขึ้น” เฟิงหยูเฮงคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “ผู้คนที่เกี่ยวข้องกับฟูหรงถูกส่งโดยผู้ปกครองของเฉียนโจว ตอนนี้ผู้ปกครองของเฉียนโจวเสียชีวิตแล้ว คนเหล่านั้นควรหยุดแล้ว ไม่มีเฉียนโจวอีกต่อไป ดังนั้นจึงไม่มีประเด็นใดที่พวกเขาจะยังคงพยายามควบคุมช่างฝีมือเป่ยและฟูหรง”

อย่างไรก็ตามซวนเทียนหมิงไม่เชื่อว่าเป็นเช่นนี้ “คนประเภทนั้นไม่ได้ทำเพื่อจุดประสงค์บางอย่าง ลองคิดดูสิถ้าเจ้าเจอกับอันตราย ถึงแม้ว่าเจ้าจะไม่สั่งบานซู มันเป็นไปได้หรือไม่ที่เขาจะไม่ไปที่เจียงฮูเพื่อขอร้อง ? ”

เฟิงหยูเฮงส่ายหัว “โดยปกติบานซูจะทำแน่นอน… เจ้าหมายความว่าข้าควรระวังว่าผู้คนจากเฉียนโจวจะพยายามแก้แค้นให้กับผู้ปกครองของพวกเขาหรือ ? ”

“เพียงแค่ป้องกันโอกาสนั้น ! ” ซวนเทียนหมิงถอนหายใจ “หลังจากการพูดคุยทั้งหมดนี้มันเป็นเพียงการคาดเดา มันจะดีที่สุดถ้าพวกเขาไม่พยายามแก้แค้น หากพวกเขาทำเช่นนั้นจริง ๆ เราแค่ต้องตื่นตัวมากขึ้น” เขากอดไหล่ของนาง “มีเวลาไม่ถึงหนึ่งปีจนกว่าเจ้าจะอายุมากขึ้น องค์ชายผู้นี้ควรเริ่มเตรียมตัวสำหรับงานแต่งงานที่ยิ่งใหญ่ของเราในปีหน้า”

“เร็วมาก ! ” เฟิงหยูเฮงถอนหายใจและนับนิ้วของนาง นางมาถึงโลกนี้เมื่อร่างนี้มีอายุ 12 ปี ในพริบตามันผ่านมา 2 ปีแล้ว “ซวนเทียนหมิง” นางตรวจดูและถามเขาว่า “งานแต่งงานของเราจะยิ่งใหญ่มากหรือไม่ ? ”

“แน่นอน” เขาภูมิใจมาก “งานแต่งงานของข้าจะเขย่าโลกอย่างแน่นอน”

นางหัวเราะเมื่อสายตาของนางเต็มไปด้วยความคาดหวัง งานแต่งงานที่ยิ่งใหญ่จะเกิดขึ้นในปีหน้า นางไม่สามารถแต่งงานในชีวิตก่อนหน้าของนาง อย่างไรก็ตามนางสามารถพบเนื้อคู่ที่สมบูรณ์แบบในชีวิตนี้ และนางจะมีปู่ของนางเองในการเข้าร่วม สวรรค์ไม่เคยทำร้ายนางเลย

ทั้งสองเริ่มการสนทนาอีกครั้งอันเป็นผลมาจากการพูดคุยเกี่ยวกับความยิ่งใหญ่ของงานแต่งงาน พวกเขาพูดจนพวกเขาหลับไปด้วยกัน เมื่อนางลืมตาอีกครั้ง หวงซวนบอกกับเฟิงหยูเฮงว่า “องค์ชายไปที่ราชสำนักแล้วเจ้าค่ะ และบอกพวกเราว่าไม่ต้องปลุกคุณหนูเจ้าค่ะ” หลังจากพูดจบนางก็ดึงเฟิงหยูเฮงลุกขึ้นและกล่าวอย่างเร่งด่วนว่า  “คุณหนูลุกขึ้นเร็วเจ้าค่ะ มีข่าวดีที่บ่าวรับใช้ผู้นี้จะต้องบอกคุณหนูเจ้าค่ะ ! “

——————————————————————————————————

ตอนที่ 639 ใครดูดีกว่ากัน

หลังจากพระชายาหยุนกล่าวสิ่งนี้ นางคว้าซวนเทียนหมิงและเฟิงหยูเฮงก่อนที่จะเดินออกจากพระราชวัง

ฮ่องเต้ยืนอยู่ข้างหลังและไม่ไล่ตาม เขาตะลึง จางหยวนถอนหายใจด้วยความโล่งอก อย่างไรก็ตามเขาไม่สามารถเข้าใจได้อย่างแท้จริงว่าพระชายาหยุนปรากฎตัวในตำหนักศศิเหมันต์ได้อย่างไร ? องค์ชายเก้าพานางกลับมาและส่งนางเข้าไป เขาทำเช่นนั้นหรือไม่ ? และต้องทำโดยที่ไม่มีใครรู้

ใครจะรู้ได้ว่าเมื่อเกิดเพลิงไหม้ที่ตำหนักศศิเหมันต์ พระชายาหยุนยังอยู่นอกพระราชวัง ซวนเทียนหมิงต้องขี่ม้าเร็วเพื่อพบกับซวนเทียนฮั่วและพยายามพานางกลับมาก่อน เพื่อให้พระชายาหยุนเข้ามาในพระราชวังแห่งนี้และเข้าไปโดยไม่มีใครเห็นก็เป็นสิ่งที่ซวนเทียนหมิงทำไม่ได้ สิ่งนี้สามารถทำได้โดยเฟิงหยูเฮง ทั้งสองคนหลอกลวงและโกหกพระชายาหยุนให้ปิดตา จากนั้นพวกเขาจึงจัดการใช้มิติของนางเพื่อพานางกลับเข้าไปข้างใน

จางหยวนและฮ่องเต้ยืนอยู่ในขณะที่ยิ้มอย่างโง่เขลา ตรงหน้าพระชายาหยุน และองค์ชายเก้าก็หายไปแล้ว จากนั้นเขาก็เตือนเขาว่า “ฝ่าบาทอย่ามัวแต่หัวเราะต่อไปพะยะค่ะ เรื่องที่พระชายาหยุนสั่งนั้นจำเป็นต้องทำพะยะค่ะ”

คำพูดเหล่านี้เตือนฮ่องเต้ รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาหายไปขณะที่เขาหันกลับมาแล้วเดินกลับไปที่ฝูงชน เขาไปอยู่ข้างฮองเฮาด้วยสีหน้ามืดมน “องครักษ์เงา ขุนนางและบ่าวรับใช้ในพระราชวัง ในคืนนี้ทั้งหมดจะถูกส่งไปยังราชสำนัก จางหยวนแจ้งคำสั่งของเรา สั่งราชสำนักเพื่อตรวจสอบหาสาเหตุที่ไฟไหม้ที่ตำหนักศศิเหมันต์ ภายใน 3 วันและค้นหาผู้กระทำผิด ยิ่งไปกว่านั้น” เขาหันไปมองฮองเฮา “ตำหนักในของเจ้าต้องการคำอธิบายแก่เรา เราจะให้เวลาเจ้า 3 วัน ลงโทษคนที่รับผิดชอบอย่างรุนแรง” หลังจากคิดไปอีกเล็กน้อยเขาจึงหันไปมองพระสนมหยวนชู และนี่เองที่ทำให้พระสนมหยวนชูสั่น นางคุกเข่าอีกครั้งอย่างรวดเร็ว

ฮองเฮาก้าวไปข้างหน้าและกล่าวว่า “ฝ่าบาท กฎหมายจะต้องไม่ลงโทษคนส่วนใหญ่ หลังจากที่ข้าสอบสวนเรื่องก่อนหน้านี้ การลงโทษจะถูกมอบลงไป”

ฮ่องเต้พยักหน้าและไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม ในท้ายที่สุดเขาก็มองไปที่ตำหนักศศิเหมันต์ แล้วออกคำสั่ง “ซ่อมแซมให้เร็วที่สุด” จากนั้นเขาก็หันหลังกลับและไปห้องโถงจาวเหอทันที

พระสนมของฮ่องเต้ทั้งหมดถอนหายใจด้วยความโล่งอก พวกนางไม่เข้าใจ พระชายาหยุนอยู่ในพระราชวังอย่างชัดเจน เหตุใดบทสนทนาก่อนหน้านี้จึงเป็นไปในเชิงที่ว่าพระชายาหยุนหนีออกจากพระราชวัง อารมณ์ของพวกนางเพิ่งถูกกวน แต่เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ?

ซึ่งแตกต่างจากบรรยากาศที่ไม่มั่นคงจากพระสนมของฮ่องเต้ เมื่อฮ่องเต้กลับไปที่ห้องโถงจาวเหอ อารมณ์ของเขานั้นดีมาก

กว่า 20 ปีแล้ว ! ในที่สุดเขาก็เห็นหยุนเปียนเปี้ยน ไม่น่าแปลกใจที่ผู้คนพูดว่าชีวิตเป็นเพียงแค่เหตุการณ์ที่คดเคี้ยว ก่อนหน้านี้เขารู้สึกสิ้นหวังอย่างชัดเจน และเขารู้สึกว่าเปียนเปี้ยนหนีออกจากพระราชวังแล้ว เขาเริ่มคิดว่าเขาต้องการอาณาจักรนี้หรือผู้หญิงที่งดงามคนนั้น เขาเริ่มวางแผนที่จะส่งมอบอาณาจักรให้แก่องค์ชายเก้าอย่างรวดเร็ว

ใครจะรู้ ใครจะรู้ว่าผู้หญิงคนนั้นจะหนีเข้าไปในห้องเย็นเพื่อหนีไฟ เปี้ยนเปี้ยนเป็นคนฉลาด ห้องเย็นนั้นเต็มไปด้วยน้ำแข็งและไฟไม่สามารถเข้าไปข้างในได้ นางฉลาดมาก

ฮ่องเต้คิดอย่างมีความสุขเกี่ยวกับเรื่องนี้ พระชายาหยุนจะอยู่ตำหนักขององค์ชายเจ็ดก็ดี มันเป็นตำหนักของบุตรชายนาง ! นางสามารถอยู่ที่นั่นได้ถ้านางต้องการ ไม่ว่านางจะไปที่ไหน ผู้คนในพระราชวังไม่สามารถพูดอะไรได้มากนัก องค์ชายเจ็ดเป็นคนหนักแน่นเสมอ นอกจากนี้เขายังเชื่อมั่นว่าองค์ชายเจ็ดจะสามารถดูแลพระชายาหยุนได้เป็นอย่างดี มันเป็นเพียงแค่…เขารู้สึกถึงใบหน้าของเขาเอง ผิวของเขาไม่ดีเท่าเมื่อ 20 ปีก่อน มีริ้วรอยมากขึ้นเรื่อย ๆ แม้แต่ความหยาบกร้านก็สามารถเทียบได้กับความขรุขระของมือของเขา มันไม่ดีเลย

“จางหยวน ! ” เขาพูดกับขันทีที่ด้านข้างของเขา “ไปบอกอาเฮง พรุ่งนี้ให้นางเตรียมยาบางอย่างที่สามารถทำให้เราดูอ่อนกว่าวัยให้ข้าด้วย”

จางหยวนไร้ประโยชน์ “จะมีหรือพะยะค่ะ ? ”

“จะไม่มีสักวิธีได้อย่างไร ? เจ้าไม่เห็นเปี้ยนเปี้ยนหรือ นางดูอ่อนเยาว์มากแค่ไหน มีบางอย่างที่ผู้หญิงคนนี้เตรียมไว้”

จางหยวนกลอกตาและบอกความจริงกับฮ่องเต้ว่าเป็นการยากที่จะยอมรับได้ “พระชายาหยุนมีพื้นฐานที่ดี มันไม่เกี่ยวกับยาพะยะค่ะ”

“เจ้าหมายถึงพื้นฐานของข้าไม่ดีหรือ ? ”

“ฝ่าบาททรงลองคิดดูพะยะค่ะ” จางหยวนเล่าให้เขาฟังอย่างจริงจัง “พระสนมของฮ่องเต้ทุกคนมีวิธีการในการดูแลตัวเอง พวกนางกินอะไรทุกวันเมื่อเทียบกับที่ฝ่าบาทกินทุกวัน พ่อครัวเตรียมรังนกไว้ให้ฝ่าบาท แต่ฝ่าบาทบอกว่าเป็นสิ่งที่ผู้หญิงกิน ดังนั้นฝ่าบาทไม่กินมัน พ่อครัวเตรียมโสมให้ ฝ่าบาทบอกว่ามันทำให้ฝ่าบาทเลือดกำเดาไหลออกมา พระสนมของพระราชวังส่งข้อมูลเพิ่มเติมให้ฝ่าบาทเป็นระยะโดยไม่มีเหตุผล แต่ฝ่าบาทจะพูดอะไร อ่า เราไม่ใช่ผู้หญิง นำสิ่งเหล่านี้ออกไป ! ฝ่าบาทจะมารู้สึกเสียใจในตอนนี้จะไม่สายเกินไปหรือพะยะค่ะ ? สายไปแล้วแล้วพะยะค่ะ ! “

ดวงตาของฮ่องเต้พองด้วยความโกรธ “ถ้าอย่างนั้นจะไม่มีอะไรเลยหรือ ? เราติดอยู่กับสิ่งนี้หรือไม่ ? ไม่น่าแปลกใจที่เปี้ยนเปี้ยนไม่อยากพบข้า นางงดงามมาก และเราก็เป็นแบบนี้ นี่เป็นเรื่องที่ทำให้นางเสียใจมาก”

จางหยวนหัวเราะ “โอ้ ! ฝ่าบาท ถ้าฝ่าบาทมีความตระหนักนี้ ฝ่าบาทก็อาจจะปล่อยให้พระชายาหยุนออกไปนอกพระราชวัง เท่าที่กระหม่อมเห็น นางดูเหมือนไม่ต้องการกลับมาเลยพะยะค่ะ”

“แย่แล้ว ! ” ฮ่องเต้จ้องมองอีกครั้ง “ถ้านางอยู่ข้างนอก เราจะออกไปข้างนอกด้วย ฮ่าๆ อย่าพูดเรื่องไร้สาระ ช่วยเราคิดว่าจะดูแลใบหน้าของเราอย่างไร”

จางหยวนยักไหล่ “เอาล่ะ กระหม่อมจะไปสอบถามฮองเฮาในวันพรุ่งนี้เพื่อดูว่านางมีเคล็ดลับในการรักษารูปร่างหน้าตาของนางหรือไม่ แต่ฝ่าบาทต้องไม่ปฏิเสธในครั้งนี้”

“เราจะไม่ปฏิเสธมัน เราจะไม่ทำอย่างนั้นจริง ๆ ” ในขณะที่เขาพูด รอยยิ้มที่ไม่สามารถเอาชนะได้ปรากฏบนใบหน้าของเขาอีกครั้ง ในที่สุดเขาก็ได้พบหน้าเปี้ยนเปี้ยน ไฟนี้มันคุ้มค่าจริง ๆ ! มันคุ้มค่ามาก !

ในวันนี้ฮ่องเต้ได้คิดมากกับใบหน้าแก่ ๆ ของเขา ในอีกด้านหนึ่งกลุ่มพระชายาหยุนมาถึงทางเข้าพระราชวังแล้ว

ทหารรักษาการณ์ที่เฝ้าประตูได้รับรายงานก่อนหน้านี้กล่าวว่าพระชายาหยุนจะออกจากพระราชวังไปอยู่ในตำหนักจุน และไม่มีใครได้รับอนุญาตให้หยุดนาง ในขณะนี้ประตูของพระราชวังได้เปิดกว้างแล้ว ทุกคนคุกเข่าขณะรอพระชายาหยุนมาถึง คนที่กล้าหาญบางคนเงยหน้าขึ้นแล้วมองรูปลักษณ์ในตำนานของพระชายาหยุน

พระชายาหยุนพูดกับซวนเทียนหมิงด้วยรอยยิ้ม “เสด็จพ่อของเจ้าแก่มาก”

มุมปากของซวนเทียนหมิงกระตุก “ใครจะเป็นเหมือนเสด็จแม่ขอรับ”

“นั่นเป็นเรื่องจริงด้วยเช่นกัน” พระชายาหยุนมีความภาคภูมิใจและดึงมือของเฟิงหยูเฮง “ต้องบอกว่าหน้าข้าก็ไม่ได้ดูดีมากขนาดนี้ อาเฮงให้ผลิตภัณฑ์จำนวนมากเพื่อรักษารูปลักษณ์ของข้า หมิงเอ๋อก็เห็น ใบหน้าของข้ามันไม่นุ่มมากหรอกหรือ ? ”

ซวนเทียนหมิงมีสีหน้าหม่นหมองและเคลื่อนไหวเร็วขึ้นเล็กน้อย ในที่สุดเมื่อออกจากพระราชวังและเข้าสู่รถม้าราชสำนัก พระชายาหยุนก็หัวเราะเสียงดังอีกครั้ง “บอกว่าพูดบ้างแล้วความพยายามบางอย่างถูกนำมาใช้เพื่อนำสิ่งนี้กลับมา หลังจากใช้เวลาสั้น ๆ ในพระราชวัง ข้าได้กลับออกมาแล้ว ! ชายชราคนนั้นตลกจริง ๆ ข้าเพิ่งเดินออกจากพระราชวังอย่างไม่เป็นทางการ และเขาไม่ได้หยุดข้า ฮะ พูดได้หรือไม่ว่าเขาไม่สนใจเรื่องนี้อีกต่อไปแล้ว ? ไม่อย่างนั้นถ้านี่เป็นเหมือนเมื่อก่อนเขาอาจกอดขาของข้าไว้ก็ได้”

ซวนเทียนหมิงมองไปที่ด้านข้างของนาง “เสด็จพ่อไม่มีความรู้สึกใด ๆ กับเสด็จแม่ เสด็จแม่ควรจะมีความสุขไม่ใช่หรือ ? ทำไมถึงมองข้าเหมือนเสด็จแม่รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย”

พระชายาหยุนจ้องมอง “อะไรที่ทำให้ผิดหวัง เขาสามารถให้ความสนใจถ้าเขาต้องการ มันจะดีกว่าถ้าเขาไม่ใส่ใจ ด้วยวิธีนี้ข้าสามารถอาศัยอยู่ในตำหนักของฮั่วเอ๋อได้ การเรียงลำดับของชีวิตนั้นถือได้ว่าเป็นอิสระและไร้ข้อจำกัดอย่างแท้จริง ฮ่าๆ เจ้าไม่รู้เรื่องนี้ แต่ฮั่วเอ๋อค่อนข้างกลัวข้า ฮ่าๆๆๆ !”

เฟิงหยูเฮงเอามือตบหน้าผาก นี่เป็นบุคลิกแบบไหน?

ซวนเทียนหมิงกัดฟันของเขาด้วยความโกรธ “จะมีครั้งเดียวเท่านั้น ถ้ามันเกิดขึ้นอีกครั้ง ข้าจะไม่สนใจเสด็จแม่อีก ! ข้าจะดูว่าเสด็จแม่จะจัดการเรื่องนี้อย่างไร หากเรื่องที่ท่านแม่หนีออกจากพระราชวังถูกเปิดเผย ! ”

พระชายาหยุนคัดค้านสิ่งนี้ “เมื่อข้าไม่ได้อยู่ในพระราชวัง ฮองเฮาก็จะมีความสุขมาก พวกเขาทั้งหมดต่างก็กระหายที่จะไม่อยู่ที่นั่น”

เฟิงหยูเฮงกล่าวอย่างไร้ปัญหา “ที่สำคัญที่สุดพวกนางใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้เพื่อสร้างปัญหา ถ้าพวกนางบังคับให้เสด็จพ่อลงโทษเสด็จแม่ นั่นจะเป็นอย่างไรเจ้าคะ”

พระชายาหยุนบอกเฟิงหยูเฮง “นั่นจะเป็นเวลาที่จะทดสอบความรู้สึกของเขา ! ”

ซวนเทียนหมิงถามนางว่า “แล้วจะไปอยู่ที่ตำหนักหยูกับข้าหรือไม่ ? หรือจะไปอยู่ในคฤหาสน์ของอาเฮง ? พี่เจ็ดต้องทนทุกข์เพราะเสด็จแม่เป็นเวลาหลายเดือน ในที่สุดเขาก็มีโอกาสกลับมาที่เมืองหลวง และจะได้อยู่อย่างสงบสุข อย่าไปสร้างปัญหามากกว่านี้ได้หรือไม่ ? ”

หัวพระชายาหยุนส่ายหน้าดิก ๆ  “ไม่ดีไม่ดี ข้าจะไม่ไปกับเจ้า ฮั่วเฮ๋อดูแลข้าดีที่สุด”

“ข้าก็ดูแลท่านแม่เช่นกัน”

“แต่ฮั่วเอ๋อดูแลข้าดีกว่าเจ้า” พระชายาหยุนบอกความจริง และซวนเทียนหมิงเกือบกระอักเลือดออกมา แม้แต่เฟิงหยูเฮง ชายาของเขาก็พยักหน้าพร้อมกล่าวเพิ่มเติมว่า “แน่นอน” เขาแทบจะบ้า

พระชายาหยุนกล่าวว่า “แม้เจ้าจะถอดหน้ากากออก แต่ใบหน้าของเจ้ายังดูไม่ดีเท่าฮั่วเอ๋อ นอกจากนี้ฮั่วเอ๋อยังเชื่อฟังข้าอีกด้วย เจ้าไม่เชื่อฟังข้า”

ซวนเทียนหมิงดูเหมือนจะเข้าใจ “ปรากฎว่าเสด็จแม่แค่มองหาใครสักคนที่จัดการได้ง่าย ? เสด็จแม่ไม่สามารถรังแกพี่เจ็ดเพียงเพราะเสด็จแม่คิดว่าเขาเป็นคนที่จัดการที่ง่ายขอรับ”

“เขาไม่ใช่คนที่จัดการได้ง่ายเลย” พระชายาหยุนอดไม่ได้ที่จะนึกถึงเมื่อนางนึกถึงเวลาในฟู่โจว “ข้าไม่เคยคิดเลยว่าหลังจากเลี้ยงดูบุตรชายคนนั้นซึ่งเป็นเหมือนเทพเซียนแต่ก็น่ากลัวเมื่อโกรธ” นางไม่ต้องการที่จะพูดถึงหัวข้อนี้ต่อไป นางจึงพูดกับเฟิงหยูเฮง “ดูเหมือนว่าจื่อหรูให้คำมั่นสัญญากับฮั่วเอ๋อโดยบอกว่าเขาจะเรียนต่อที่เสี่ยวโจว”

เฟิงหยูเฮงรู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างยิ่งเมื่อได้ยินอย่างนี้ และพยักหน้าอย่างซ้ำ ๆ “เสด็จแม่ การเลือกที่จะอยู่ในตำหนักจุนเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง พี่เจ็ดสามารถสร้างความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างความถูกต้องและความผิด หากเป็นองค์ชายเก้าก็จะกระตุ้นให้จื่อหรูเชื่อว่าเขาไม่จำเป็นต้องเรียนต่อเจ้าค่ะ”

ทั้งสองยืนอยู่ข้างเดียวกันอย่างรวดเร็วในการต่อสู้กับอีกฝ่าย ไม่มีสิ่งอื่นใดที่ซวนเทียนหมิงทำได้ ผู้หญิงสองคนที่ทำให้เกิดอาการปวดหัวมากที่สุดอยู่ที่นี่ แต่ที่นี่เขาก็ไม่มีอะไรสามารถทำได้ นอกจากการยอมรับชะตากรรมของเขาและฟังคำตำหนิ เขาจะทำอะไรได้อีก

โชคดีที่พวกเขามาถึงตำหนักจุนเร็วมาก องรักษ์เงามาล่วงหน้าเพื่อทักทายพวกเขา และมีกลุ่มคนที่ยืนอยู่ตรงทางเข้าเพื่อต้อนรับพวกเขา ซวนเทียนหมิงแจ้งพ่อบ้านของตำหนักจุนว่า “อย่าเผยแพร่สิ่งนี้ และรับรองความปลอดภัยของพระชายาหยุน”

พระชายาหยุนย้ายเข้ามาที่ตำหนักจุนด้วยความรู้สึกที่สดชื่นอีกครั้ง ตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่นางมาเยี่ยมเยียนตำหนักจุนมันก็หลายปีผ่านไปแล้ว ในการกลับมาอีกครั้งในคืนนี้ พ่อบ้านของตำหนักจุนคิดว่าไม่นานนักก่อนที่ข่าวลือเรื่ององค์ชายเจ็ดซุกซ่อนผู้หญิงในตำหนักจะเกิดขึ้นอีกครั้ง ฮ่าๆๆ นี่เป็นสถานการณ์ที่ไร้ประโยชน์จริง ๆ !

ซวนเทียนหมิงส่งพระชายาหยุนแล้วจับเฟิงหยูเฮงแล้วลากนางเข้าไปในรถม้า ในขณะที่เฟิงหยูเฮงเปล่งเสียงกรีดร้อง รถม้าก็เริ่มเคลื่อนไปที่ตำหนักหยู

เฟิงหยูเฮงรู้สึกว่าบรรยากาศนี้ผิดแปลกไปเล็กน้อย ดังนั้นนางจึงดิ้นรนและกล่าวว่า “ข้าต้องการกลับไปที่คฤหาสน์ขององค์หญิง ข้าไม่ต้องการไปที่ตำหนักหยู ! ”

ซวนเทียนหมิงปฏิเสธ “ไม่ ! ”

“ทำไม ? ” เฟิงหยูเฮงถาม

“เพราะองค์ชายผู้นี้ต้องการที่จะฟื้นฟูสถานะของข้าในฐานะผู้ชาย ! ”

ตอนที่ 638 พระชายาหยุนระบายอารมณ์ของนาง

เมื่อกลุ่มของฮ่องเต้เข้ามา พระชายาหยุนนั่งอยู่บนพื้นห้องเย็น มีองุ่น 1 จาน และ…ดินปกคลุมเต็มเปลือกองุ่น ใบหน้าองนางดูซีดมากแม้ในห้องเย็นนี้ พวกเขามองพระชายาหยุนวางองุ่นที่ปอกเปลือกไว้ในปากของนาง หลังจากพ่นเมล็ดออกมาในที่สุดนางก็เงยหน้าขึ้นมองฮ่องเต้

เมื่อทั้งสองมองหน้ากัน และเฟิงหยูเฮงรู้สึกราวกับว่ามีกระแสไฟฟ้าในอากาศ ในทันทีมันทำให้ห้องเก็บของที่มีแสงสว่างเพียงพอสว่างขึ้นเล็กน้อย

การพบกันครั้งแรกหลังจากถูกแยกจากกันเป็นเวลากว่า 20 ปี คนแรกที่ฟื้นตัวได้คือพระชายาหยุน นางพยายามอย่างเต็มที่ที่จะปกปิดอารมณ์ในแววตาของนาง และเริ่มทำตัวราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นโบกมือแล้วกล่าวว่า “ดูสิ ไม่ง่ายเลยที่ข้าจะถูกไฟค

ลอกเผาตาย” แต่ความรู้สึกอ่อนโยนและอารมณ์อ่อนไหวเหล่านั้นถูกพบเห็นโดยเฟิงหยูเฮง

นางรู้ว่าพระชายาหยุนรักฮ่องเต้ แต่ความรักแบบนี้ก็ครอบงำอยู่ด้วย นางไม่สามารถจัดการแบ่งปันความรักของฮ่องเต้กับพระสนมมากมายได้ ไม่ว่าจะเป็นหัวใจ หรือบุคคลก็ไม่เป็นไร ความหยิ่งจองหองของหยุนเปียนเปี้ยนไม่ยอมให้นางเป็นเพียงพระชายา แม้ว่าบุคคลนั้นจะเป็นฮ่องเต้ แต่ก็ยังไม่ดี

พระชายาหยุนปอกเปลือกองุ่นที่ติดอยู่กับมือของนางออก นางเงยหน้าขึ้นมองฮ่องเต้และกล่าวว่า “สถานการณ์เป็นอย่างไร ภรรยาที่อายุมากที่สุดและอายุน้อยที่สุดของเจ้าก่อกบฏหรือไม่ ? ข้าไม่ได้ออกจากตำหนักศศิเหมันต์มานานกว่า 20 ปี ชื่อเสียงในฐานะผู้ปกครองของเจ้าลดลงจนถึงระดับนี้ได้อย่างไร เจ้าไม่สามารถหยุดคนที่จะมาเผาตำหนักศศิเหมันต์ได้ ? ”

คำพูดของนางฉลาดแกมโกงและน้ำเสียงของนางไม่ค่อยดีนัก แต่ดวงตาของนางจ้องมองที่ฮ่องเต้อย่างต่อเนื่อง พวกเขาไม่ได้เกลียดชัง พวกเขาไม่อยากจากอีกฝ่ายาไป

“แก่แล้ว” หลังจากนั้นไม่นานนางก็พูดอย่างนี้แล้วพูดด้วยน้ำเสียงต่ำ “ผู้ชายมีอายุไม่ได้สง่างาม น่าเกลียดมาก” หลังจากพูดอย่างนี้นางหันกลับมามอง นางบังคับให้ตัวเองเบือนหน้าหนีจากฮ่องเต้ อย่างไรก็ตามนางไม่สามารถหยุดน้ำตาที่เริ่มรวมตัวกันที่หางตาของนางได้

ฮ่องเต้ไม่ได้ยินสิ่งที่พระชายาหยุนพูดภายใต้ลมหายใจของนาง ในขณะนี้เขากำลังคิดเกี่ยวกับผู้หญิงคนนี้ที่อยู่ตรงหน้าเขา เขามองนางราวกับว่าทุกช่วงเวลาที่เขาไม่ได้มองนางเป็นเรื่องเสียเปล่า ไม่ว่าเขาจะพูดอะไร เขาก็ไม่เต็มใจที่จะป้องกันสายตาของเขา เขาก้าวไปข้างหน้าไม่กี่ก้าวเพื่อพยายามช่วยเหลือพระชายาหยุน ในขณะที่กล่าวว่า “เปี้ยนเปิ้ยนรีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว พื้นดินจะหนาวแค่ไหน”

อย่างไรก็ตามพระชายาหยุนโอบแขนของนางแล้วหยุดเขา “อย่ามาที่นี่ ! ข้าไม่ได้เรียกเจ้ามาที่นี่เพื่อช่วยชีวิตข้า ข้าแค่อยากจะถามเจ้าด้วยตัวเอง: เจ้าเป็นคนที่มีอำนาจเหนือผู้อื่นในพระราชวังของฮ่องเต้หรือไม่ ? ”

ฮ่องเต้ตกใจเมื่อได้ยินคำถามนี้ เขากล่าวอย่างไม่รู้ตัว “แน่นอนเรามีอำนาจเหนือผู้ใด”

“แล้วทำไมยังมีคนที่กล้าเผาตำหนักศศิเหมันต์ ? ” พระชายาหยุนเริ่มโกรธ “ข้าซ่อนตัวจากพวกนางและไม่ได้แข่งขันกับพวกนาง ข้าซ่อนตัวมานานกว่า 20 ปี แต่นั่นไม่เพียงพอหรือ ? พวกนางจะไม่ปล่อยข้าไปหรือ ? พวกนางยืนยันที่จะส่งข้าไปที่หลุมฝังศพของข้า ? ซวนชัน เจ้าอาจไม่รู้เรื่องนี้ แต่ถ้าข้าไม่ได้หนีมาอย่างรวดเร็ว ข้าจะต้องถูกไฟคลอกตายในห้องบรรทมของข้า ! ”

ยิ่งนางพูดมากเท่าไหร่ ความโกรธแค้นของนางก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น นางลุกขึ้นจากพื้นแล้วจับแขนเสื้อของฮ่องเต้ลากเขาออกมา องครักษ์เงาอยู่ด้านข้างยิ้มเยาะเมื่อเห็นสิ่งนี้ นี่คือพระชายาหยุน ! ในพระราชวังมีเพียงพระชายาหยุนและจางหยวนเท่านั้นที่กล้าทำแบบนี้ !

พระชายาหยุนเดินออกจากห้องเย็นโดยตรงแล้วชี้ไปที่ตำหนักศศิเหมันต์ที่ถูกไปไหม้โดยกล่าวด้วยเสียงอันดัง “ดูสิ ในที่สุดสถานที่ที่ข้าอยู่มานานหลายปีได้ถูกทำลายโดยไฟนี้ ใครก็ตามที่ต้องการเผาตำหนักศศิเหมันต์ อยากจะเผาข้าให้ตาย ! ”

ในเวลานี้ในที่สุดฮ่องเต้ก็สงบสติลง มีคนจงใจวางเพลิงอย่างที่ซวนเทียนหมิงพูดก่อนหน้านี้ ตอนนี้พระชายาหยุนพูดขึ้นมาอีกครั้ง เขาก็มั่นใจแล้วว่ามีคนวางแผนการสมคบคิดอยู่เบื้องหลังไฟนี้ เขาต้องการให้ผู้คนเริ่มทำการสอบสวนทันที แต่พระชายาหยุนจะกระชากแขนของเขาเป็นครั้งคราวในขณะที่จับแขนเสื้อของเขา นี่ทำให้หัวใจของฮ่องเต้คันยุบยิบ เขาโหยหาคนผู้นี้มานานกว่า 20 ปี และในที่สุดเขาก็มาถึงตรงหน้านาง แม้ว่าฉากนั้นไม่ได้อบอุ่นเกินไป แต่ในที่สุดเขาก็ได้พบนาง !

เขามองพระชายาหยุนและมีรอยยิ้มปรากฎบนใบหน้าของเขา ไม่น่าแปลกใจที่นางพบว่าเขาแก่แล้ว เมื่อเทียบกับเปี้ยนเปิ้ยน เป็นที่ชัดเจนว่าเขาแก่แล้ว สำหรับเปี้ยนเปี้ยนมันเหมือนกับว่า 20 ปีที่ผ่านมาไม่มีอะไรเลย นางยังดูเด็กและงดงามมาก ไม่มีรอยตีนกาที่หางตาของนาง นางดูแลตัวเองอย่างไร ?

เขาแค่มองพระชายาด้วยความรัก และในที่สุดก็จัดการปลุกระดมความไม่สบายของพระชายาของฮ่องเต้ โดยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเวลาหรือสถานที่ หรือสิ่งที่ผู้คนอยู่ใกล้ นางยกมือขึ้นและตบหัวของฮ่องเต้ ตบนี้ทำให้จางหยวนยิ้มเยาะและพูดกับตัวเองว่า : บรรพบุรุษผู้น่ารัก อย่าเอาชนะความโง่เง่าของฮ่องเต้

ในขณะที่ด้านนี้กำลังสวดอ้อนวอนว่าฮ่องเต้จะไม่พ่ายแพ้อย่างไร้สาระ แต่ฮ่องเต้ก็เริ่มหัวเราะอย่างโง่เขลา “เปี้ยนเปี้ยนทำงานได้ดี”

พระชายาหยุนเตะเขาด้วยความโกรธ “ซวนชัน ! เจ้ามองข้าเพื่ออะไร เจ้าอยากพบข้า แล้วเป็นคนวางเพลิงใช่หรือไม่ ? เจ้าคือฮ่องเต้ เจ้าทำสิ่งที่เหมาะสมสักครั้งได้หรือไม่ ? มีบางคนที่กล้าที่จะวางเพลิงในพระราชวัง แต่ทำไมเจ้ายังทำตัวเหมือนว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี อย่าบอกข้าว่าไฟเริ่มต้นโดยไม่มีเหตุผล ข้าไม่เชื่อ ! ”

หลังจากพูดจบนางก็จ้องมองฮ่องเต้อย่างรุนแรง มือที่จับแขนเสื้อของเขาปล่อย และนางก็หันหลังกลับ เมื่อกลับไปที่ด้านของซวนเทียนหมิง นางโอบแขนไว้รอบแขนของซวนเทียนหมิงและกล่าวว่า “ไปเถิด ข้าจะออกจากพระราชวัง”

ฮ่องเต้ตะลึงและตะโกนว่า “เจ้าพูดว่าอะไร? ออกจากพระราชวังหรือ ? เจ้าจะไปไหน ? ”

พระชายาหยุนโกรธมาก “ข้าจะทำอย่างไรถ้าข้าไม่ออกจากพระราชวัง ? ตำหนักศศิเหมันต์ถูกเผาไปแล้ว เป็นไปได้หรือไม่ที่เจ้าต้องการให้ข้าอยู่ที่นี่ต่อไป ? ”

ฮ่องเต้เกระทืบเท้าของเขา “ฮะ ! ถ้าไม่มีตำหนักศศิเหมันต์ก็ยังมีสถานที่อีกมากมายไม่ใช่หรือ ? พระราชวังแห่งนี้มีขนาดใหญ่มาก สถานที่ใดก็ได้ที่เจ้าชอบ เราสามารถเปิดให้เจ้าได้”

พระชายาหยุนปล่อยเสียงเดาะลิ้นออกมา และพยายามทำให้เกิดปัญหา “ถ้าอย่างนั้นถ้าข้าสนใจตำหนักของฮองเฮาล่ะ ? ”

“ได้ ! ” ฮ่องเต้ไม่ได้ต่อต้านในเรื่องเล็กน้อยและพยักหน้าทันที “ถ้าเจ้าชอบตำหนักนั้น เจ้าสามารถอยู่ในนั้นได้ เราจะให้ฮองเฮาออกไป ยังไม่เพียงพอ ไม่ต้องพูดถึงตำหนักของนาง ถึงแม้ว่าเจ้าจะต้องการห้องโถงสวรรค์ เราก็จะมอบให้เจ้า”

“พอแล้ว” พระชายาหยุนโบกมือด้วยความขุ่นเคือง “ข้าไม่ใช่พระสนมเจ้าเล่ห์ และเจ้าก็ไม่ใช่ผู้ปกครองที่ไร้ศีลธรรม ที่เจ้าพูดมามีจุดประสงค์อะไร ? ”

ขณะที่นางพูดนางดึงซวนเทียนหมิงออกมา ฮ่องเต้รีบตามไปด้านหลังอย่างรวดเร็ว ขณะพยายามโน้มน้าวนาง “เปี้ยนเปี้ยนอย่าพึ่งโกรธ เจ้าอย่าพึ่งโกรธ หากเจ้าไม่ชอบตำหนักปัจจุบันของเจ้า ข้า… ข้า ข้าจะมอบตำหนักใหม่แก่เจ้า ตราบใดที่เจ้าขอ ข้าจะเปลี่ยนแปลงสิ่งต่าง ๆ ด้วยตัวเอง ข้าแค่ขอให้เจ้าอย่าโกรธข้า ได้หรือไม่ ? ”

พระชายาหยุนยังคงดูน่าเบื่อขณะที่เดินออกไป เฟิงหยูเฮงแนะนำนางอย่างเงียบ ๆ จากด้านข้าง “เสด็จแม่ เสด็จพ่อต้น่าสงสารมากเจ้าค่ะ”

พระชายาหยุนกล่าวอย่างเย็นชา “เขาน่าสงสารหรือ ตอนนี้เขาดูน่าสงสาร ? ย้อนกลับไปที่บ้านนั้นเขาโกหกข้า เขาบอกว่าเขาไม่มีครอบครัวและต้องการอยู่กับข้าอย่างมีความสุขตลอดชีวิตของข้า ทำไมเขาไม่คิดด้วยว่าเขาจะมีวันอันน่าสมเพชเช่นนี้ ? เขามีความสามารถในการโกหกที่ดี ดังนั้นเขาจึงต้องรับผลของการกระทำเช่นนี้”

เฟิงหยูเฮงก้มศีรษะของนางลงและเงียบไป เสด็จพ่อ ลูกสะใภ้ทำหน้าที่ของข้าแล้ว ข้าพูดทุกอย่างที่ข้าควรพูด ตอนนี้เป็นปัญหาของเสด็จพ่อที่ไร้ความสามารถเมื่อเสด็จพ่อยังเด็ก !

“ไม่เช่นนั้น ข้าจะพูดอย่างนั้นทำไม ไม่มีคนดี ! ” ใบหน้าของพระชายาหยุนเต็มไปด้วยความโกรธ อย่างไรก็ตามเมื่อคำเหล่านี้ถูกพูดนางก็ตระหนักว่าการแสดงออกของนางเองน่าเกลียดเล็กน้อยด้วยความเย็นชาที่มาจากนาง นางเพิ่มอย่างรวดเร็ว “บุตรชายของข้าเป็นข้อยกเว้น”

ซวนเทียนหมิงพยักหน้า “เสด็จแม่ยังมีเหตุผล”

ทุกคนออกจากทางเข้าของตำหนักศศิเหมันต์นี้ ผู้คนข้างนอกมองตรงไป เมื่อเห็นพระชายาหยุนปรากฏตัว พระสนมหยวนชูเป็นคนแรกที่ได้รับผลกระทบ นางดูเหมือนจะตกใจมากทันที

ฮองเฮามองดูนางอย่างเฉยเมย จากนั้นก็ปล่อยความโกรธออกมาโดยไม่พยายามซ่อนมัน พระสนมของฮ่องเต้คนอื่นก็สามารถเข้าถึงได้เช่นกัน ปรากฏว่าพระชายาหยุนอยู่ในตำหนักและไม่ได้ออกไปนอกพระราชวัง แล้วคนแบบไหนที่แจ้งข่าวกับพวกเขาว่า “พระชายาหยุนหนีออกจากพระราชวัง” และอะไรทำนองนั้น

โดยไม่รู้ตัวพวกเขาหันไปมองพระสนมหยวนชู และพระสนมหยวนชูก็รู้ว่าเป็นการยากมากสำหรับนางที่จะหลบหนีความรับผิดชอบนี้ นางไม่ได้พูดอะไรเลย และคุกเข่าต่อหน้าฮองเฮาโดยกล่าวว่า “ฮองเฮา ที่พระสนมผู้นี้กล่าวเป็นเพียงการคาดเดา คำพูดของข้าก่อนหน้านี้มีความกังวล แต่คนที่ก่อความวุ่นวายครั้งนี้ไม่ได้เป็นพระสนมผู้นี้แต่มันเป็นพี่สาวน้องสาว  พระนางทรงทราบความผิดพลาดของข้าและหวังว่าพระนางจะทรงเห็นแก่องค์ชายแปดยกโทษให้พระสนมผู้นี้ พระสนมผู้นี้จะสำนึกในพระเมตตาของพระนางเพคะ”

ฮองเฮามองที่พระสนมหยวนชูและขมวดคิ้วของนาง ไม่ใช่ว่านางไม่ต้องการช่วยเหลือพระสนมหยวนชู มันเป็นเพียงว่าพระสนมหยวนชูนั้นพูดถูก นางไม่ใช่พระสนมคนเดียวที่ก่อความวุ่นวาย ถ้านางตำหนินางสนมหยวนชูเพียงคนเดียวนั้นจะไม่มีใครกล้าพูดอะไร แต่เมื่อองค์ชายแปดกลับมา เรื่องนี้จะต้องอธิบายให้เขาฟัง

นางถอนหายใจกับตัวเองแล้วกล่าวว่า “ลืมไปเถิด ลุกขึ้น ข้าจะไปพูดกับฮ่องเต้ให้ แต่จะได้ผลหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับโชคของเจ้า”

พระสนมหยวนชูรีบคำนับฮองเฮาอย่างรวดเร็ว “นางสนมนี้ต้องขอบคุณพระองค์ และจะไม่ลืมพระคุณของพระองค์อย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”

ในเวลานี้เสียงของพระชายาหยุนก็ถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้ง และพูดกับฮ่องเต้ว่า “จงไปเป็นฮ่องเต้ที่เหมาะสม ! อย่าลืมตรวจสอบเรื่องนี้ เมื่อเจ้าได้รับข้อมูลแล้วให้แจ้งข้อมูลแก่ข้า ใครที่จะทำลายตำหนักศศิเหมันต์ของข้าคนนี้ ต้องจัดการพวกเขาอย่างเหมาะสม” หลังจากพูดอย่างนี้นางกวาดสายตาเย็นชาผ่านกลุ่มพระสนมของฮ่องเต้ และทำให้พวกเขาก้มหน้าลง

ทุกคนถอนหายใจกับตัวเอง เป็นเวลากว่า 20 ปีแล้วที่การปรากฏตัวของพระชายาหยุนนั้นเหมือนกับเมื่อก่อน ราวกับว่ารูปลักษณ์ของนางถูกแช่แข็งในเวลาและอายุก็ไม่เหลือร่องรอยใด ๆ เลย

“หมิงเอ๋อ” พระชายาหยุนพูดกับซวนเทียนหมิง “ไปกันเถิด ไปส่งข้าออกจากพระราชวัง”

ซวนเทียนหมิงไม่ได้พูดอะไรมาก ทุกสิ่งที่มารดาต้องการเขาก็จะทำ ลากเขาออกไป เขาก็ตามมา แต่ฮ่องเต้ไม่เต็มใจ ! เขาจ้องไปที่ซวนเทียนหมิงอย่างโกรธเคือง และกล่าวเสียงดัง “เสด็จแม่ของเจ้าไร้เหตุผล และเจ้าก็ไร้เหตุผลเช่นกัน? ทำไมเจ้าถึงแสดงออกมาด้วยกัน ฮ่าๆๆ เปี้ยนเปี้ยน ! ไปที่ห้องโถงจาวเหอของข้าก่อนเพื่อพำนักชั่วคราว หมิงเอ๋อ ข้าจะให้คนมาซ่อมตำหนักศศิเหมันต์ทันที ข้ารับประกันได้ว่ามันจะเหมือนเดิม ไม่เป็นไร ช้าก่อน ช้าก่อน อย่ารีบออกไป ! เจ้ากำลังจะไปไหน ? ”

เสียงร้องสุดท้ายนี้ในที่สุดก็ทำให้พระชายาหยุนหยุด นางหันหลังกลับและพูดกับฮ่องเต้อย่างมีความสุข “เหอะ ! เจ้ามีพระสนมมากมายไม่ใช่หรือ เจ้าพอใจในสิ่งใด มันไม่เหมือนข้าที่ไม่มีการสนับสนุน ! ”

ฮ่องเต้ตกตะลึง “เจ้ามีการสนับสนุนอะไร ? ”

“บุตรชายของข้า ! ” พระชายาหยุนกล่าวเสียงดังว่า “ซวนชันฟังข้า ข้าต้องการออกจากพระราชวัง ข้าต้องการย้ายไปอยู่ตำหนักจุน ! หากเรื่องไม่ได้รับการแก้ไข และหากตำหนักศศิเหมันต์ไม่ได้ถูกซ่อมแซมให้เหมือนเดิม ข้าจะไม่กลับมาอีก ! ”

 

ตอนที่ 637 ฮ่องเต้เข้ามาหา

การมาถึงของซวนเทียนหมิงและเฟิงหยูเฮงทำให้กลุ่มคนจุดประกายความหวัง ในขณะเดียวกันก็เติมเต็มกลุ่มด้วยความสิ้นหวัง

ฮ่องเต้และจางหยวนหวังว่าพวกเขาจะมา เมื่อพวกเขามาถึง ฮ่องเต้ก็มีเสาค้ำยัน จางหยวนถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่ในด้านของพระสนมหยวนชู พวกนางรู้ชัดเจนว่าพระชายาหยุนไม่ได้อยู่ในพระราชวัง แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างเพียงแค่เห็นซวนเทียนหมิงและเฟิงหยูเฮงก็ทำให้พวกนางรู้สึกกลัวโดยไม่มีเหตุผลชัดเจน พวกนางเริ่มรู้สึกว่าสถานการณ์นี้อาจเปลี่ยนไป

หยู่ซู่เตือนนางอย่างเงียบ ๆ จากด้านข้าง “พระสนมอย่ากลัวเพคะ พวกเขาไม่รู้เวทมนตร์ พวกเขาจะนำคนที่ไม่ได้อยู่ในพระราชวังออกมาได้อย่างไร แม้ว่าพวกเขาจะพานางเข้ามาในพระราชวังทันที พวกเขาก็ทำไม่ได้หากไม่มีใครสังเกตเห็น”

แม้ว่านางจะพูดแบบนี้ แต่ใจพระสนมหยวนชูก็ยังคงทรุดลงเล็กน้อย

ในขณะนี้ซวนเทียนหมิงและเฟิงหยูเฮงมาถึงตรงหน้าฮ่องเต้แล้วพร้อมคุกเข่าพร้อมเพรียง “บุตรชาย (ลูกสะใภ้) คารวะเสด็จพ่อ”

ฮ่องเต้เดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วและช่วยทั้งสองลุกขึ้น ด้วยท่าทางที่กระวนกระวายเขากล่าวว่า “ตำหนักศศิเหมันต์ถูกไฟไหม้ และหาตัวเสด็จแม่ของเจ้าไม่พบ หมิงเอ๋อ เราจะทำอย่างไรดี ? ไฟใหญ่มาก หวังว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับนาง”

ซวนเทียนหมิงลูบมือของฮ่องเต้และปลอบใจเขาว่า “เสด็จพ่อไม่ต้องตกใจ ข้าเชื่อว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเสด็จแม่ สิ่งต่างๆ จะไม่เกิดขึ้นตามที่ต้องการสำหรับคนที่พยายามทำร้ายเสด็จแม่”

“เฮ้อ ! ” ฮ่องเต้หายใจเข้าอย่างแรง ก่อนหน้านี้เขาเพิ่งตกอยู่ในความหวาดกลัวตาบอด มันเป็นเพียงในขณะนี้ที่เขาสังเกตเห็นความแปลกประหลาดของไฟนี้

ริมฝีปากของซวนเทียนหมิงขดตัวและเย้ยหยัน และหันไปมองกลุ่มที่อยู่ไกลออกไป สายตาของเขาจ้องมองตรงไปยังพระสนมหยวนชู

“เจ้าเป็นคนที่พูดว่าเสด็จแม่ขององค์ชายผู้นี้หายไปหรือไม่?” น้ำเสียงของเขาเย็นชาและไม่มีอารมณ์ใด ๆ

องค์ชายเก้าของตระกูลซวน นอกจากการอยู่ใกล้ชิดกับมารดาและแสดงความเคารพต่อฮองเฮาเล็กน้อย เขาไม่มีความรู้สึกใด ๆ ต่อพระสนมของฮ่องเต้คนอื่น ในความเป็นจริงเขาไม่ได้เต็มใจที่จะสุภาพและพูดกับพวกนางในฐานะของพระสนมของฮ่องเต้ นี่เป็นเรื่องจริงโดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งที่กำหนดโดยซวนเทียนหมิง

คำถามนี้ทำให้พระสนมหยวนชูไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไร นางถอยหลังไม่กี่ก้าว แต่กลับได้ยินว่าซวนเทียนหมิงถามต่อไปว่า “มารดาผู้ให้กำเนิดองค์ชายแปด ทำไมองค์ชายผู้นี้ฟังดูแล้วรู้สึกว่าเจ้าบอกว่าพระชายาหยุนไม่ได้อยู่ในพระราชวัง ? ทุกคำพูดที่เจ้าพูดนั้นทำให้เสด็จพ่อคิดมาก ด้วยการใช้ความรู้สึกของเสด็จพ่อที่มีต่อพระชายาหยุน เจ้าทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดในอารมณ์ของเสด็จพ่อ องค์ชายผู้นี้ต้องถามเจ้าว่าถ้าเสด็จพ่อสิ้นพระชนม์จากความวิตกกังวล เจ้าหรือครอบครัวของเจ้าสามารถรับผิดชอบได้หรือไม่ ? และองค์ชายแปดนั้นสามารถรับผิดชอบได้หรือไม่ ? ถ้าเจ้าวางแผนอย่างไม่หยุดหย่อน ความพยายามที่จะลองและทำให้เสด็จพ่อโกรธ เจ้าตั้งใจทำอะไร ? ”

จากคำถามทั้งหมดเหล่านี้ทำให้นางมีปัญหา หัวใจของพระสนมหยวนชูเต้นแรง และมันก็เกือบจะทะลุจากหน้าอกของนาง ในที่สุดหลังจากซวนเทียนหมิงพูดจบ นางก็คุกเข่าต่อฮ่องเต้ “ฝ่าบาท พระสนมผู้นี้ไม่ได้คิดเช่นนั้น พระสนมผู้นี้ไม่ได้มีความหมายเช่นนั้นจริง ๆ เจ้าค่ะ ! ”

ฮ่องเต้ไม่ได้คิดมากในตอนแรก แต่คำพูดของซวนเทียนหมิงทำให้ชัดเจน หลังจากคิดเกี่ยวกับมันถูกต้องแล้ว ในตอนแรกเขากังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของพระชายาหยุน แต่เนื่องจากคำพูดของพระสนมหยวนชู เขาจึงเริ่มกังวลว่าพระชายาหยุนอยู่ในพระราชวังหรือไม่ เขาเริ่มคิดด้วยว่าควรทำอย่างไรถ้าพระชายาหยุนหนีไปจริง ๆ ?

ตอนนี้เขาเข้าใจกระจ่างแล้ว ความโกรธเต็มในหัวใจของเขา เมื่อมองดูพระสนมหยวนชูที่คุกเข่า เขาก็ตะโกนด้วยความโกรธว่า “พานางออกไป ! พานางออกไป ! ถอดนางออกจากตำแหน่งพระสนมของฮ่องเต้ ไม่อนุญาตให้นางปรากฏตัวต่อหน้าเราอีก ! ”

คำเหล่านี้เป็นเหมือนถังน้ำเย็นที่สาดหัวใจพระสนมหยวนชู นางทรุดตัวลงบนพื้น ไม่กล้าที่จะเชื่อว่านี่เป็นเรื่องจริง

ในขณะนี้ทหารองครักษ์บางคนได้มาถึงพร้อมจะดึงนางออกไป นางรู้ว่าถ้านางไม่ได้ต่อสู้กลับ มันจะจบลงอย่างแท้จริง ดังนั้นนางจึงพยายามอย่างที่สุดที่จะต่อสู้ ในเวลาเดียวกันนางพูดเสียงดัง “ฝ่าบาทกล้าที่จะเดิมพันกับพระสนมผู้นี้หรือไม่เพคะ ? หากพระชายาหยุนอยู่ในพระราชวัง พระสนมผู้นี้จะยอมรับการลงโทษ แต่ถ้านางไม่อยู่ที่นี่ ฝ่าบาทต้องให้การตัดสินที่เป็นธรรมแก่พระสนมผู้นี้ด้วย ! ” หลังจากตะโกนมาเป็นเวลานาน นางเห็นว่าฮ่องเต้เพิกเฉยนาง จากนั้นนางก็พูดอย่างเร่งด่วน “เป็นไปได้หรือไม่ว่าฝ่าบาทไม่กล้ารับคำเดิมพันของหม่อมฉัน ? ”

ฮ่องเต้โกรธมาก “มีอะไรให้เราไม่กล้า ? แม้ว่าเปี้ยนเปี้ยนจะโกรธเราและปฏิเสธที่จะพบเราเป็นเวลา 20 ปี แน่นอนว่านางจะไม่หนีออกจากพระราชวัง ! ”

ในเวลานี้เฟิงหยูเฮงเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง “ข้าต้องถามเจ้าว่าตำหนักศศิเหมันต์มีที่ซ่อนตัวจากภัยพิบัติหรือสถานที่เย็น ๆ เพื่อซ่อนจากไฟหรือไม่ ? ” นางถามนางกำนัลของตำหนักศศิเหมันต์ โดยไม่มองไปที่ทหารองครักษ์แม้แต่น้อย

นางกำนัลและขันทีของตำหนักศศิเหมันต์รู้อย่างชัดเจนว่าพระชายาหยุนไม่ได้อยู่ที่นั่น แต่ตอนนี้ที่องค์ชายเก้าและองค์หญิงจี่อันมาแล้ว พวกเขาตอบคำถามด้วยความจริง ขันทีคิดมาสักพักแล้วกล่าวว่า “ต้องบอกว่าสถานที่ที่ดีที่สุดในตำหนักศศิเหมันต์ของเราคือห้องเย็น ย้อนกลับไปเมื่อตำหนักศศิเหมันต์ถูกสร้างขึ้น พระชายาหยุนไม่สามารถทนกับความร้อนได้ ดังนั้นฝ่าบาทได้ขุดห้องเย็นเพื่อนางเป็นพิเศษ ทุกวันในช่วงฤดูร้อนก้อนน้ำแข็งจะถูกนำออกมาเพื่อทำให้เย็นลง หรือทำให้ผลไม้เย็น”

นางพยักหน้าและมองดูควันที่มาจากตำหนักศศิเหมันต์ นางหันมาพูดกับฮ่องเต้ว่า “เสด็จพ่อ เนื่องจากเราได้ตรวจค้นพื้นที่ผิวแล้ว ต่อไปนี้ควรจะค้นหาในบริเวณที่ลับ เสด็จแม่เป็นคนฉลาดเสมอ ในช่วงเวลาที่เกิดไฟไหม้แบบนี้ไม่ต้องพูดถึงการถูกไฟคลอกจนตาย แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ถูกไฟคลอกจนตาย ใครจะรู้ว่ามีแผนการที่ซ่อนอยู่ ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะถามหาความรับผิดชอบ แต่เมื่อไฟดับแล้วผู้คนจะถูกส่งเข้าไปเพื่อค้นหาเพคะ”

ฮ่องเต้หายใจเข้าลึก ๆ และคิดกับตัวเองว่าเขาโกรธด้วยความโกรธ แน่นอนองค์ชายเก้าและชายาของเขาจะนำความคิดใหม่บางอย่างมา เขาสั่งองครักษ์เงาของเขาทันที “ตามพวกเราเข้าไปข้างใน ! ”

จางหยวนตัวสั่นด้วยความกลัว และคว้าแขนเสื้อของฮ่องเต้ “ฝ่าบาททำไม่ได้ ! พวกเขาสามารถไปได้ แต่ฝ่าบาทไปไม่ได้พะยะค่ะ ! แม้ว่าจะไม่มีเปลวไฟขนาดใหญ่สถานการณ์ปัจจุบันนี้เป็นสิ่งที่อันตรายที่สุด โครงสร้างของอาคารถูกไฟไหม้ ใครจะรู้ว่าพวกมันจะพังลงมาเมื่อไหร่ ใครจะรับผิดชอบถ้ามันหล่นลงมาทับฝ่าบาทพะยะค่ะ ? ”

ฮ่องเต้กล่าวด้วยความโกรธ “เราจะรับผิดชอบ ! ”

“ไม่ได้ ไม่ได้พะยะค่ะ” จางหยวนยังคงจับเขาไว้ “ฝ่าบาทไม่สามารถรับผิดชอบได้ ไม่ได้อย่างแน่นอนพะยะค่ะ”

ซวนเทียนหมิงยังกล่าวอีกว่า “ใช่ เสด็จพ่อไม่สามารถเข้าไปข้างในได้” จากนั้นเขาก็พูดกับองครักษ์เงา “เจ้ายังยืนอยู่ข้าง ๆ เพื่ออะไร ? เข้าไปข้างในเร็ว ! ”

องครักษ์เงาพยักหน้าแล้วก็รีบไปที่ตำหนักศศิเหมันต์ด้วยความพร่ามัว

ฮ่องเต้ได้ยินสิ่งที่ซวนเทียนหมิงพูดและไม่คัดค้านอีก แม้กระนั้นเขาก็จ้องมองอย่างระมัดระวังที่ตำหนักศศิเหมันต์ที่คุกรุ่นอยู่ ในใจของเขา เขาหวังว่าองครักษ์เงาสามารถนำพระชายาหยุนออกมาได้

ฮองเฮาหันไปรอบ ๆ และสั่งบ่าวรับใช้ “ไปตามหมอหลวงมาเร็ว หากพระชายาหยุนได้รับบาดเจ็บ นางสามารถได้รับการรักษาในทันที”

ซวนเทียนหมิงไม่ได้พูดอะไรเลย แม้กระนั้นเขาพยักหน้าให้ฮองเฮาเพื่อยอมรับความปรารถนาดีนี้ ไม่ว่าจะมีการพูดอะไรก็ตามฮองเฮาถือได้ว่ามีส่วนได้เสียในเรื่องนี้

แต่ฮ่องเต้กล่าวว่า “เราหวังว่าเปี้ยนเปี้ยนจะไม่ได้รับบาดเจ็บ เมื่อเทียบกับนางที่ได้รับบาดเจ็บ เราอยากให้นางหนีออกจากพระราชวัง เรายอมเสียนางไปมากกว่าปล่อยให้นางต้องได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย”

เสียงของเขาไม่ดังมากและฉากตรงหน้าก็เงียบเช่นกัน พระสนมแทบทุกคนได้ยินคำพูดนี้

ทันใดนั้นมีบางคนไม่สามารถกลั้นน้ำตาได้และร้องไห้ออกมา น้ำตาของพวกนางเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก และนางก็ร้องไห้เพื่อเด็กและบุตรของนาง นางทนความขมขื่นได้ 20 ปี อย่างไรก็ตามในท้ายที่สุดนางยังไม่สามารถเปรียบเทียบกับพระชายาหยุนได้ เป็นเพียงวันนี้ที่พวกนางเข้าใจว่าพระชายาหยุนมีความหมายต่อฮ่องเต้มากเพียงใด เขายอมเสียนางมากกว่าทนเห็นนางบาดเจ็บ นี่คือฮ่องเต้ แต่เขาก็มอบความรักมากมายให้กับผู้หญิงคนนั้น ไม่ใช่คนเดียวที่จะหวังได้

ด้านหน้าทางเข้าของตำหนักศศิเหมันต์ ผู้คนจำนวนมากขึ้นรวมตัวกัน แทบทุกคนในพระราชวังของฮ่องเต้วิ่งไปรอฟังผลสุดท้ายของไฟไหม้นี้

หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งในที่สุดองครักษ์เงาก็ออกมาจากพระราชวัง คราวนี้พวกเขานำข่าวชิ้นหนึ่งที่ช่วยชีวิตฮ่องเต้ได้ “พระชายาหยุนอยู่ในห้องเย็นพะยะค่ะ แต่ข้าไม่สามารถพานางออกมาได้ พระชายากล่าวว่านางต้องการให้ฮ่องเต้เข้าไปข้างในเพื่อรับนางออกมาพะยะค่ะ”

เมื่อได้ยินแบบนี้ ฮ่องเต้ก็กระโดดไปมาอย่างมีความสุข เขาไม่อยากจะเชื่อหูของเขาเอง จับองครักษ์เงา เขาถามด้วยความไม่เชื่อ “เจ้าพูดอะไร พูดอีกครั้ง ! ”

องครักษ์เงากล่าวซ้ำอีกครั้ง “พระชายาหยุนบอกว่าอยากให้ฮ่องเต้เข้าไปรับนางพะยะค่ะ”

“แต่มันอันตรายมาก ! ” ใครบางคนในกลุ่มพระสนมของฮ่องเต้กล่าวคัดค้าน “มันอันตรายเกินไปที่ฝ่าบาทจะเข้าไปข้างใน”

ฮองเฮาก็เป็นกังวลเล็กน้อยเช่นกัน แต่นางเข้าใจเมื่อมีบางสิ่งที่ควรพูด หลังจากหลายปีที่ผ่านมานางได้เรียนรู้กฎ : ตราบใดที่มันเกี่ยวข้องกับพระชายาหยุน นั่นคือสิ่งที่ไม่ควรคัดค้าน

จางหยวนผู้จับแขนเสื้อของเขาไว้และปล่อยให้ไปเมื่อเห็นเฟิงหยูเฮงส่ายหัวของนางเล็กน้อย เขาคิดว่าเนื่องจากองค์หญิงไม่คัดค้าน การเข้าไปข้างในจึงไม่ควรเป็นปัญหามากเกินไปใช่หรือไม่ แต่เขารู้สึกว่ามีความคลาดเคลื่อน พระชายาหยุนไม่ได้อยู่ในพระราชวังอย่างชัดเจน ดังนั้นนางจะเข้าไปในห้องเย็นได้อย่างไร เมื่อมองดูแล้วดูเหมือนว่าองค์ชายเก้าและองค์หญิงเพิ่งเข้ามาในพระราชวัง มันเป็นไปไม่ได้สำหรับพวกเขาที่จะส่งพระชายาหยุนมาก่อน !

ซวนเทียนหมิงเดินไปข้างหน้าเป็นการส่วนตัว และช่วยฮ่องเต้กล่าวว่า “ข้าจะไปกับเสด็จพ่อ”

เฟิงหยูเฮงยังตามมาด้วย

เช่นนี้ในที่สุดฮ่องเต้ก็ได้เข้ามาในตำหนักศศิเหมันต์หลังจาก 20 ปี เมื่อเท้าของเขาก้าวผ่านธรณีประตูของตำหนักศศิเหมันต์ ซวนเทียนหมิงจะรู้สึกว่ามือของบิดาของเขาสั่นเทาด้วยสีหน้าอารมณ์ที่ไม่สามารถซ่อนเร้นได้

ในขณะนี้แม้ว่าจะเป็นซวนเทียนหมิงและเฟิงหยูเฮงทั้งสองก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอย่างมีความสุข

จากทางเข้าสู่ห้องเย็น ฮ่องเต้ทรงเดินโซเซเป็นเวลานาน ในที่สุดหลังจากมาถึงห้องเย็น เขาก็หยุดและถามซวนเทียนหมิง “นางอยู่ที่นั่นจริงหรือ ? ”

ซวนเทียนหมิงกล่าวว่า “องครักษ์เงาเห็นนางแล้วพะยะค่ะ”

“แต่ทำไมเราถึงรู้สึกไม่สบายใจเช่นนี้ ? นี่เป็นเหมือนความฝัน ตอนนี้พวกเขาบอกว่าเปี้ยนเปี้ยนไม่ได้อยู่ในพระราชวัง และเราคิดว่าถ้านางวิ่งหนี เราจะออกไปข้างนอกเพื่อตามหานาง อาณาจักรนี้จะถูกทิ้งให้เจ้าจัดการ เจ้าต้องเป็นฮ่องเต้ที่ดี แค่มีฮองเฮาเพียงคนเดียว และพระโอรส 1 คนก็เพียงพอแล้ว อย่าใช้เวลามากเกินไป การดูแลเด็กหนึ่งคนดีกว่าสิ่งอื่นใด สิ่งที่หลงทางในเวลากลางคืนอย่างอิสระ ในที่สุดมันแค่ทำให้เจ้าปวดหัว”

ซวนเทียนหมิงพยักหน้า “เสด็จพ่อไม่ต้องห่วง ข้าไม่มีพระสนมอีกแน่นอน สำหรับเด็ก ๆ นั่นก็ขึ้นอยู่กับชายาของข้าว่านางอยากมีกี่คนพะยะค่ะ”

เฟิงหยูเฮงมองไปที่เขาด้านข้าง แต่ไม่ได้พูด

ฮ่องเต้ยังคงไม่สบายใจ และถามต่อไปว่า “นางอยากพบข้าจริง ๆ หรือ ? อาเฮง ! รีบมาดูข้า ชุดของข้าดูดีหรือไม่ ? ” ในขณะที่พูดสิ่งนี้เขาจ้องที่จางหยวน “เจ้าไม่คิดแม้แต่จะใส่เสื้อผ้าสวย ๆ ให้ข้า ลองดูนี่คืออะไร นอกจากนี้ผมของข้ายุ่งหรือไม่ ฮะ ! ” เขาเริ่มรู้สึกใบหน้าของเขา “มันจบแล้ว มันจบแล้ว ใบหน้านี้แก่แล้ว เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาเราเห็นว่าหางตาของเรากำลังหย่อนลงมา เราควรทำอย่างไรดี ? ”

ในขณะที่เขาลังเลที่ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร เขาก็ได้ยินเสียงเย็นชาของผู้หญิงคนหนึ่งพูดเสียงดังจากภายในห้องเย็น “ซวนชัน ! ถ้าเจ้ายังไม่เข้ามาตอนนี้ ข้าจะตายแล้ว ! ”

ตอนที่ 636 การต่อต้านของพระชายา

คำพูดเหล่านี้ทำให้ฮ่องเต้ตัวแข็งทื่อ เขาไม่เข้าใจและตะโกนเสียงดัง “หากเจ้าหานางไม่พบก็หาต่อไป ! ”

องครักษ์เงากล่าวอีกครั้งว่า “ฝ่าบาท พวกเราไม่พบตัวพระชายาหยุนพะยะค่ะ ! ”

เมื่อคำเหล่านี้ถูกพูดออกมา ผู้คนจำนวนมากเริ่มที่จะวิ่งออกจากพระราชวัง พวกเขาทั้งหมดมาถึงตรงหน้าฮ่องเต้ และพูดในสิ่งเดียวกันว่า “ฝ่าบาท เราหาพระชายาหยุนไม่เจอพะยะค่ะ”

ทันทีหลังจากนี้นางกำนัลกลุ่มใหญ่ก็ออกมาข้างนอก นอกจากนี้ยังมีองครักษ์เงาบางส่วนของตำหนักศศิเหมันต์ช่วยนางกำนัลและขันทีออกมาจากทะเลเพลิง ฮ่องเต้มองดูสิ่งนี้ ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดง เขาก้าวไปข้างหน้าไม่กี่ก้าวแล้วก็คว้าองครักษ์เงา และถามด้วยเสียงดัง “เจ้านายของเจ้าอยู่ไหน ? ”

ใบหน้าขององครักษ์เงานั้นเป็นสีแดงสดและร้อนจากเปลวไฟ ในตอนนี้นางไม่รู้ว่านางควรตอบฮ่องเต้อย่างไร นางยังคงสนับสนุนหัวหน้านางกำนัลตำหนักศศิเหมันต์ แม้แต่ซูหยูก็ลังเลเช่นกัน นางก้มหน้านิ่งเงียบ

ฮ่องเต้ขมวดคิ้วแน่น เมื่อลางสังหรณ์เต็มในใจ เขาไม่ได้ใส่ใจกับการดึงของจางหยวนอีกต่อไป เขาพยายามดึงตัวเองออกจากจางหยวนและพุ่งเข้าหาทะเลเพลิง

จางหยวนได้รับความตื่นตระหนกและตะโกนอย่างรวดเร็ว “องครักษ์เงา ! หยุดฝ่าบาท ! “

องครักษ์เงาของฮ่องเต้ไม่ได้อยู่ที่นั่นโดยไม่ได้ทำอะไร แม้ว่าส่วนหนึ่งถูกตั้งข้อหาในกองไฟเพื่อช่วยชีวิตผู้คน ส่วนที่เหลือจะไม่ห่างจากฮ่องเต้แม้แต่ครึ่งก้าวแม้ว่าพวกเขาจะตายก็ตาม เมื่อเห็นว่าฮ่องเต้กำลังจะพุ่งเข้าหากองเพลิง องครักษ์เงานับไม่ถ้วนก็ปรากฏตัวต่อหน้าจางหยวน ในไม่ช้าพวกเขาก็หยุดฮ่องเต้

อย่างไรก็ตามฮ่องเต้ทรงใช้กำลังของเขาไปแล้ว เขาหมดหวังที่จะเป็นอิสระจากองครักษ์เงา เขาตะโกนว่า “ปล่อยเราไป ! ปล่อยเราไปเถิด ! พวกเจ้าไม่ต้องการจะชีวิตอยู่อีกต่อไปใช่หรือไม่ ! ทหารยามเอาพวกเขาไปตัดหัว ! ไปกันเถิด เราต้องเข้าไปข้างในเพื่อช่วยพวกเขา เปี้ยนเปี้ยน ! เปี้ยนเปี้ยน ! ”

ผู้คนต่างหวาดกลัว ฮองเฮาได้รับผลกระทบมากที่สุดจากสิ่งนี้ นางคุกเข่าต่อหน้าฮ่องเต้ด้วยมือทั้งสองจับมือของเขา และขอร้องขณะที่ร้องไห้ “ฝ่าบาททรงสงบใจด้วย ฝ่าบาทคือโลกของราชวงศ์ต้าชุน ชีวิตของฝ่าบาทมีค่าพอและไม่ได้เป็นของพระชายาหยุน มันเป็นของทุกคนในราชวงศ์ต้าชุน ! มีคนจำนวนมากที่ดับไฟ หากฝ่าบาทเรียกจากภายใน จะไม่เป็นประโยชน์กับความพยายามนี้เพียงเล็กน้อย แต่จะทำผู้คนที่ดับไฟเกิดปัญหาในความล่าช้า ถ้าฝ่าบาทต้องการช่วยพระชายาหยุน ฝ่าบาทควรรอข้างนอก รอนางออกมา เช่นนี้บ่าวรับใช้จะได้ช่วยพวกเขาอย่างเต็มที่ หม่อมฉันขอให้ฝ่าบาททำพระทัยให้เย็นลงก่อนเพคะ ! ”

เมื่อฮองเฮาคุกเข่าและขอร้อง พระสนมคนอื่น ๆ ของฮ่องเต้ก็คุกเข่าเช่นกัน ในขณะที่ในอากาศมีแต่เสียงร้องให้คร่ำครวญของพวกนาง

ฮ่องเต้สั่นสะเทือนด้วยความโกรธ แม้กระนั้นเขาสงบสติลงได้เล็กน้อย เขาถามซูหยู “เมื่อไฟเริ่มไหม้ ใครอยู่กับเจ้านายของเจ้า ? ”

ในขณะนี้ซูหยูก็สงบลงเช่นกัน นางอยู่ตรหน้าฮ่องเต้ และตอบว่า “ก่อนที่ไฟจะลุกลาม พระชายาหยุนเข้านอนแล้วเพคะ เมื่อพระชายาหยุนเข้านอน นางไม่ให้นางกำนัลอยู่ในห้อง นั่นเป็นสาเหตุที่ไม่มีนางกำนัลในห้องบรรทมดูแลนาง แต่นางกำนัลไม่ได้ไปไกล มีคนอยู่นอกประตูและในสนาม ไฟเริ่มไหม้จากสนามข้างหน้า หลังจากนั้นไม่นานไฟก็เริ่มขึ้นที่ด้านหลัง พวกนางกำนัลและขันทีรีบดับไฟ เมื่อนางกำนัลผู้นี้เข้าไปในห้องนอนเพื่อปลุกพระชายา ข้าก็พบว่าห้องนอนนั้นว่างเปล่าแล้วเพคะ”

หลังจากที่นางพูดจบ นางมองไปที่องครักษ์เงาหญิงที่อยู่ข้าง ๆ และองครักษ์เงาหญิงก็กล่าวทันที “หม่อมฉันคิดว่าพระชายาเห็นไฟและหนีออกมาก่อนเพคะ”

“นางจะไปไหนได้บ้าง ? ” ฮ่องเต้กระทืบเท้าของเขา และสั่งบรรดานางกำนัลและขันทีทันที “ค้นหาต่อไป ไปดูในสถานที่ที่จะซ่อน ! ”

โชคดีที่ไฟก็เริ่มลดลง ณ จุดนี้ องครักษ์เงาเปียกโชกด้วยน้ำและไม่เป็นไรเมื่อเข้าไปข้างใน หลังจากผ่านไปซักพักองครักษ์เงาที่เข้าไปด้านในเพื่อค้นหาก็กลับออกมา อย่างไรก็ตามพวกเขารายงานสิ่งเดียวกันกับองค์ฮ่องเต้ “ไม่พบพระชายาหยุนในตำหนักศศิเหมันต์พะยะค่ะ”

ในที่สุดก็มีเสียงที่มาจากกลุ่มพระสนมของฮ่องเต้ที่ถามว่า “เป็นไปได้หรือไม่ที่พระชายาหยุนไม่ได้อยู่ในพระราชวัง ? ”

ทุกคนมองไปทางต้นเสียง เป็นผู้หญิงที่ไม่เด่นและสถานะของนางไม่ดีนัก อย่างไรก็ตามฮองเฮาก็จำนางได้ทันทีและถามว่า “พระสนมจิง เจ้าหมายความเช่นไร ? ”

คนที่พูดนั้นเป็นพระสนมจิง พวกเขาเพิ่งเห็นนางเงยหน้าขึ้นมองฮ่องเต้ด้วยความโลภ ราวกับว่านางจะพลาดถ้านางมองไปครู่หนึ่ง ราวกับว่านางต้องการที่จะแกะสลักภาพของชายผู้นี้ในดวงตาของนาง

ฮองเฮาเห็นว่านางเพ่งสมาธิไปที่การจ้องมองฮ่องเต้เท่านั้นโดยไม่ตอบกลับ ใบหน้าของนางก็เย็นชา นางยืนขึ้นและเดินไปสองสามก้าวหยุดอยู่ตรงหน้าพระสนมจิงและกล่าวอีกครั้งว่า “ดูเหมือนว่าพระสนมจิงจะรู้สึกไม่สบายวันนี้ นางกำนัลส่งพระสนมจิงกลับไปที่ตำหนักของนาง”

ก่อนที่บ่าวรับใช้จะเคลื่อนไหว พระสนนหยวนชูก็เปล่งเสียงของนาง อย่างไรก็ตามนางดุพระสนมจิง “พระสนมจิง เจ้าสามารถกินอาหารของเจ้าเต็มที่ แต่เจ้าต้องไม่พูดไร้สาระ เจ้าหมายถึงอะไรที่บอกว่าพระชายาหยุนไม่ได้อยู่ในพระราชวัง ? ถ้านางไม่อยู่ในพระราชวัง นางจะอยู่ที่ไหน ? เจ้าคิดว่านางหนีออกจากพระราชวังหรือ ? ”

อย่างไรก็ตามคำพูดเหล่านี้ผลักดันให้พระชายาหยุนกลับมาเป็นหัวข้อหลักของการสนทนา

ฮ่องเต้ฟังด้วยความสับสน ทันใดนั้นเขารู้สึกว่าใจสั่น ราวกับว่าความคิดนี้สามารถมองเห็นได้เต็มตา มันเหมือนกับว่าพระสนมจิงและพระสนมหยวนชูเป็นเหมือนคำยืนยัน

เขาไม่กล้าคิดต่อไป และไม่กล้าสั่งให้คนเข้าไปค้นหาต่อไป เขาถามคำถามจางหยวนโดยสังเขป “สิ่งที่พวกนางพูดเป็นความจริงหรือโกหก ? ”

จางหยวนจ้องมองพระสนมหยวนชูอย่างโกรธเคืองและดุเดือด แสงจ้านี้ทำให้พระสนมหยวนชูเชื่อว่าขันทีนี้กำลังจะฆ่านางเพื่อปิดปากนาง พวกนางได้ยินเสียงจางหยวนพูดกับฮ่องเต้ทันที “พระชายาหยุนอาจหนีออกจากตำหนักศศิเหมันต์เพราะไฟ ลองคิดดูสิว่ามันจะต้องเป็นความหมายของพระสนมทั้งสองที่บอกว่านางไม่ได้อยู่ในพระราชวัง”

ทันใดนั้นฮ่องเต้ก็เห็นแสงสว่าง “ใช่ นางไม่ได้อยู่ในตำหนักศศิเหมันต์ ไม่เป็นไร เมื่อไฟไหม้ใครจะไม่หนีไป ? เปี้ยนเปิ้ยนไม่ใช่คนโง่ อะไรที่ทำให้เจ้ายังคงยืนอยู่ท่ามกลางความสับสน?” ด้วยไฟของตำหนักศศิเหมันต์เกือบจะดับแล้ว ควันหนาก็ถูกระงับด้วยถังน้ำ ฮ่องเต้ชี้นำทหารของฮ่องเต้ที่จ้องมองอย่างว่างเปล่า “รีบไปค้นหารอบ ๆ ส่วนที่เหลือของพระราชวัง หลังจากพบนางแล้วให้นำตัวพระชายาหยุนมาทันที!”

พระสนมของฮ่องเต้ก็ปฏิบัติตามและจากไป จางหยวนเช็ดเหงื่อออกจากหน้าผากของเขา เขาก็รู้สึกหดหู่ใจเช่นกัน ตอนนี้เขาแค่ต้องการถ่วงเวลาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เมื่อเขาไม่สามารถหยุดได้อีกต่อไปแล้ว เขาก็ได้แต่ยอมรับชะตากรรมของเขา เมื่อถึงเวลานั้นเขาจะใช้ความตายเพื่อยับยั้งอีกฝ่าย เขาไม่เชื่อว่าฮ่องเต้จะสามารถเห็นเขาตายต่อหน้าเขาได้ เขายังคงต้องการออกไปจากพระราชวังเพื่อค้นหา

พวกทหารยามของพระราชวัง เพราะนี่เป็นคำสั่งของฮ่องเต้ พวกเขาจึงเคลื่อนไหวเร็วมาก หนึ่งชั่วยามต่อมาทุกคนกลับไปที่ทางเข้าของตำหนักศศิเหมันต์ เป็นอีกครั้งที่รองหัวหน้าของทหารองครักษ์รายงานถึงฮ่องเต้ “ฝ่าบาท เราได้ค้นหาทั่วพระราชวังแล้วขอรับ แต่ก็ไม่พบพระชายาหยุนพะยะค่ะ”

“อะไรนะ?” ร่างกายของฮ่องเต้เซไปมา หากไม่มีจางหยวนและฮองเฮาที่ช่วยสนับสนุนเขาจากด้านหลัง เขาจะล้มลงอย่างแน่นอน

มันจะต้องเป็นช่วงเวลาที่พระสนมหยวนชูเลือกที่จะพูดอีกครั้งว่า “เป็นไปได้หรือไม่ที่พระสนมจิงพูด… นั่นจะเป็นเรื่องจริง ? พระชายาหยุนหนีออกจากพระราชวังจริง ๆ หรือ ? ”

ครั้งนี้มีการกล่าวแบบนี้ พระสนมของฮ่องเต้ที่ใช้เวลา 20 ปีในพระราชวังของฮ่องเต้โดยไม่มีอะไรเริ่มรู้สึกโกรธแค้น เนื่องจากการคงอยู่ของพระชายาหยุน พวกนางจึงถูกฝังลึกในพระราชวังของฮ่องเต้เพื่อใช้ชีวิตของพวกนาง ในอดีตยังคงมีการแข่งขันกันระหว่างพระสนมของฮ่องเต้ แม้ว่าพวกนางจะเป็นอันตรายอย่างยิ่ง พวกนางจะรู้สึกโกรธ และอย่างน้อยก็มีวิธีรู้ว่าพวกนางยังมีชีวิตอยู่ แต่ตั้งแต่พระชายาหยุนปรากฏตัวก็ไม่มีประเด็นใดในการแข่งขันเพิ่มเติมเพราะฮ่องเต้ปฏิบัติต่อทุกคนเหมือนกัน นอกจากการไปดื่มชากับฮองเฮาเป็นครั้งคราว ตำหนักในเป็นสถานที่ที่เขาไม่ได้เดินเข้าไปนานกว่า 20 ปี ห้องโถงจิงซีกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่จำเป็น บ่าวรับใช้ของห้องโถงนั้นรู้สึกสบายกว่าผู้คนในบ้านพักคนชรา อย่างไรก็ตามไม่มีใครสนใจ หญิงสาวเหล่านั้นในเวลานั้นควรจะตั้งหลักอย่างไร เมื่อพวกนางแก่ตัวลงเรื่อย ๆ เส้นผมก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีขาว มีพระสนมของฮ่องเต้บางคนที่ไม่สามารถรั้งตัวเองได้ และมีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับทหารองครักษ์ ผู้ที่ถูกค้นพบจะถูกตีจนตาย คนที่ไม่ถูกค้นพบมีชีวิตอยู่อย่างดื้อรั้น นอกจากนี้ยังมีบางคนที่มีผมของพวกนางเปลี่ยนเป็นสีขาวในคืนเดียว ไม่นานหลังจากนั้นพวกนางก็จะสูญเสียความคิดของพวกนาง

ทั้งหมดนี้เกี่ยวข้องกับพระชายาหยุน ทั้งหมดนี้เป็นปัญหาที่เกิดจากคนในตำหนักศศิเหมันต์

คำพูดของพระสนมหยวนชูและพระสนมจิงทำให้พวกนางมีความสามารถที่จะระบายความในใจของพวกนางพร้อมกับใครบางคนตะโกน “แล้วอะไรคือจุดที่เราใช้เวลาอยู่คนเดียวในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ? ”

คำถามเช่นนี้เริ่มได้ยิน “เราทุกคนเป็นพระสนมของฝ่าบาท หากเราไม่สามารถได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาท เราสามารถยอมรับสิ่งนั้นได้ แต่บนพื้นฐานใดที่นางไม่สามารถมาพบฝ่าบาท และบังคับให้ฝ่าบาทไม่ไปพาเรา นางไม่แม้แต่อยู่ในพระราชวัง ทำไมนางยังบังคับเราให้เดินบนเส้นทางที่รกร้าง ? ”

“ฮื่ออๆๆ!” ในที่สุดคนก็เริ่มร้องไห้ และตะโกนด้วยเสียงดัง “เมื่อข้าเข้ามาในพระราชวัง ข้าอายุเพียง 16 ปี ข้ามีคนที่ข้าชอบ แต่พระราชวังยังคงคัดเลือกข้ามา ข้ายอมแพ้กับคนที่ข้าชอบ และยอมแพ้ที่จะอยู่เคียงข้างท่านพ่อและท่านแม่เพื่อความกตัญญู ข้าไม่มีแรงบันดาลใจในการได้รับตำแหน่งสูง ข้าแค่หวังว่าฝ่าบาทจะปฏิบัติต่อข้าดี แต่ฝ่าบาทมาเยี่ยมข้า 3 ครั้ง ข้าไม่มีแม้กระทั่งบุตร ณ จุดนี้ข้าเป็นพระสนม ในพริบตาข้าอายุเกือบ 40 ปีแล้ว ใครจะจ่ายชดใช้ให้ข้ากับสองทศวรรษนี้ ใครจะชดใช้ให้ข้า”

เมื่อนางร้องไห้ ผู้คนก็เริ่มร้องไห้มากขึ้น ในที่สุดบางคนก็เริ่มประณามพระชายาหยุน “ถ้านางอยู่ในพระราชวังนั่นน่าจะดี แต่นางไม่อยู่ที่นี่ ฝ่าบาทจะต้องให้คำอธิบายแก่เรา ! ”

“ใช่! ให้คำอธิบายแก่เรา ! ”

“จับพระชายาหยุน และส่งนางไปยังคุกของคณะกรรมการลงโทษ”

“พระสนมของฮ่องเต้ที่หนีออกจากพระราชวังต้องถูกแขวนคอทันที ! ”

ฮ่องเต้มองสถานการณ์นี้ว่าเขาไม่สามารถควบคุมได้อีกต่อไป เมื่อได้ยินเสียงร้องไห้และเสียงกรีดร้องของพระสนมเหล่านี้ ความสิ้นหวังในสายตาของเขาก็ยิ่งลึกขึ้น

เขาไม่ได้สนใจว่าผู้หญิงเหล่านี้กำลังร้องไห้และกรีดร้อง อย่างไรก็ตามเขาใส่ใจมากขึ้นเกี่ยวกับพระชายาหยุนไม่ได้อยู่ในพระราชวัง ถ้านางอยู่ที่นี่ทุกอย่างน่าจะดี เขาสามารถโบกแขนเสื้อของเขาและปิดปากผู้หญิงที่ส่งเสียงดังเหล่านี้ทั้งหมด หรือหากพวกนางต้องการมัน เขาสามารถปล่อยให้พวกนางออกจากพระราชวังเมื่อพวกนางต้องการ แต่ถ้าพระชายาหยุนไม่อยู่ที่นี่ เขาจะทำอะไรได้ ?

ฮ่องเต้นีขมวดคิ้วและมองดูความวุ่นวายและเสียงอึกทึกครึกโครมนี้ด้วยความโกรธ ก่อนจะกล่าว “ทุกคนหุบปากของพวกเจ้า ! พวกเจ้าไม่พอใจตำแหน่งของตัวเองงั้นหรือ ? เอาล่ะ ข้าจะทำให้พวกเจ้ามีบ้านที่ดีเพื่อกลับไป ! ” นางชี้ไปที่พระสนมที่บ่นเรื่องเข้ามาในพรราชวังตอนอายุสิบหกแล้วกล่าวว่า “พานางไปที่ตำหนักเย็นสำหรับคนนี้ ไม่จำเป็นต้องปล่อยนางออกมา ! ”

คนที่ได้รับคำสั่งรีบไปข้างหน้าทันทีและนำพระสนมออกไปอย่างรวดเร็ว เสียงร้องดังขึ้นไม่มีจุดหมายอย่างสมบูรณ์

ฮ่องเฮามองไปที่พระสนมคนอื่นและถามว่า “มีใครอีกบ้างที่อยากไปและดูแลนาง ? ”

ทันใดนั้นทุกคนก็เงียบทันที หลังจากเสียงก็หายไป พวกนางฟื้นความรู้สึกของพวกนางอย่างรวดเร็ว คนส่วนใหญ่เริ่มรู้สึกกลัวผลของการระเบิด

แต่ในท้ายที่สุดมีคนที่ไม่พอใจกับผลลัพธ์นี้ตามที่พระสนมหยวนชูถามว่า “ตอนนี้สิ่งที่ควรทำคืออะไร ? พระชายาหยุนควรได้รับการพิจารณา…นางหายตัวไป ? ”

ก่อนที่ฮองเฮาจะสามารถพูดได้ เสียงที่ดูเหมือนมาจากสวรรค์ดังขึ้นมาจากทางเดินเล็ก ๆ “ใครที่กระจายเรื่องของเสด็จแม่ขององค์ชายผู้นี้ไม่ได้อยู่ในพระราชวัง ? ใครกันที่ตั้งใจจะพูดว่าเสด็จแม่ขององค์ชายผู้นี้หายไป ? ”

ในขณะเดียวกันบ่าวรับใช้ในพระราชวังก็ประกาศเสียงดังว่า “องค์ชายหยูมาถึงแล้ว ! องค์หญิงจี่อันมาถึงแล้ว ! ”

ตอนที่ 635 ความหวาดกลัวตอนกลางคืนที่ตำหนักศศิเหมันต์

พระสนมจิงจ้องที่พระสนมหยวนชูในขณะที่คิดกับตัวเอง อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นางก็ไม่สามารถคิดได้ว่าพระสนมหยวนชูจะบอกอะไรกับนาง ?

จริง ๆ แล้วนางมีพี่ชายที่ประสานงานในพระราชวัง ในความเป็นจริงความรู้สึกสำนึกผิดต่อพระสนมของฮ่องเต้มีอยู่ในหัวใจของฮ่องเต้ แต่นั่นเป็นเพียงวิธีที่ผู้คนเป็น ในอดีตมันเป็นสิทธิ์ของเขาในฐานะฮ่องเต้ที่จะหลับนอนกับพระสนมทุกคน การเยี่ยมเยียนตำหนัก ในขณะที่เขาพอใจเป็นเรื่องปกติอย่างสมบูรณ์ แต่เมื่อเขาพบหยุนเปียนเปียน เขาก็รู้สึกว่าการได้พบกับผู้หญิงคนอื่นเป็นบาป นั่นคือเหตุผลที่ฮ่องเต้ดูแลครอบครัวของพระสนมเป็นอย่างดี แม้แต่พระสนมที่ต่ำต้อยก็สามารถให้พี่ชายของนางกลายเป็นผู้บัญชาการทหารรักษาการณ์ของฮ่องเต้ได้

พระสนมหยวนชูไม่มีสมาชิกในครอบครัวที่มีความสามารถนี้ นั่นคือเหตุผลที่นางหันมามองพระสนมของฮ่องเต้

ทั้งสองมองหน้ากันมาเป็นเวลานาน พระสนมหยวนจิงหมดความอดทน นางถามว่า “เนื่องจากเจ้าต้องการใช้ข้า เจ้าควรแจ้งข้าให้รู้ว่ามันเกี่ยวข้องกับอะไร มีประโยชน์อะไรสำหรับข้า”

พระสนมหยวนชูยิ้ม “ถ้าเรากำลังพูดถึงผลประโยชน์แล้วชีวิตที่คล้ายคลึงกับเมื่อ 20 ปีก่อนจะปรากฏขึ้นอีกครั้ง น้องสาวรู้สึกว่าสิ่งนี้ล่อลวงเพียงพอหรือไม่ ? ”

พระสนมจิงตกใจมาก “กลับไปมีชีวิตอีกครั้งเมื่อ 20 ปีก่อน? พี่สาวชู เจ้ายังไม่ได้แก่เลยไม่ใช่หรือ ? เป็นไปได้อย่างไร ? ”

“ถ้าข้าบอกว่าเป็นไปได้ก็เป็นไปได้” พระสนมหยวนชูโน้มตัวไปข้างหน้า “ตราบใดที่พระชายาหยุนถูกกำจัดไป เรื่องนี้จะเป็นไปได้”

พระสนมจิงรู้สึกว่าพระสนมหยวนชูเสียสติ สำหรับตัวนางเอง นางพูดกับผู้หญิงบ้าคนนี้มานานมากแล้ว นางลุกขึ้นทันทีและพูดกับนางกำนัลอย่างเย็นชา “ส่งพระสนมหยวนออกไป ถ้าพระสนมชูไม่สบายให้ไปพบหมอหลวง ตลอดระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมา ไม่ได้มีพระสนมของฮ่องเต้เพียงหนึ่งคนหรือสองคนที่เป็นบ้า เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ พระสนมหยวนชูกำลังเดินตามรอยเท้าของพวกนาง”

เมื่อเห็นว่าพระสนมจิงมองนางว่าเป็นคนบ้าคนหนึ่ง พระสนมหยวนชูไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี หยู่ซู่ผู้ซึ่งอยู่กับนางกล่าวกับพระสนมจิงว่า “พระสนมของข้าไม่ได้เป็นบ้า คนที่เป็นบ้าคือพระชายาหยุน เวลานี้เราไม่จำเป็นต้องดูแลนาง นางเองที่ออกไป พระสนมจิงอาจไม่รู้ แต่ปัจจุบันพระชายาหยุนไม่ได้อยู่ในพระราชวัง นางหนีออกไป และตำหนักศศิเหมันต์ก็ว่างเปล่า”

“ว่างเปล่า ? ” พระสนมจิงตกตะลึงอีกครั้ง แม้ว่าพวกนางทั้งหมดจะคุ้นเคยกับพระชายาหยุนที่หยาบคายและทัศนคติที่ไร้กังวล แต่ทว่านางมีความกล้าหาญที่จะหนีออกจากพระราชวัง นี่มันช่างน่าทึ่งเกินไป

“น้องสาว เจ้าคิดว่าฮ่องเต้จะรู้สึกอย่างไรเมื่อได้ยินเรื่องนี้ พระสนมของฮ่องเต้ที่หนีออกพระราชวัง แม้ว่าฮ่องเต้ต้องการปกป้องนาง จะมีดวงตาที่คอยเฝ้าดูฝ่าบาทอยู่ ผู้หญิงคนนั้นทำให้ชื่อเสียงของผู้ปกครองราชวงศ์ต้าชุนมัวหมอง เจ้าคิดว่าขุนนางชราเหล่านั้นจะยอมผ่อนผันต่อเรื่องนี้หรือไม่ ? นี่เป็นโอกาสที่ดีที่จะจัดการพระชายาหยุน ตราบใดที่พระชายาหยุนถูกลบออกไป พระราชวังแห่งนี้ก็จะเป็นเหมือนในอดีต น้องสาวก็จะมีโอกาสดูแลฝ่าบาทด้วย เช่นนั้นเจ้าจะไม่ได้เป็นเพียงพระสนมอีกต่อไปแล้ว”

คำพูดของพระสนมหยวนชูได้สัมผัสหัวใจของพระสนมจิง พระชายาหยุนหนีออกจากพระราชวังเป็นโอกาสที่เกิดขึ้นทุก ๆ พันปี ! น่าเสียดาย…“ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งนี้กับพี่ชายของข้าคืออะไร ? ”

พระสนมหยวนชูหัวเราะแล้วโบกมือให้พระสนมจิง “น้องสาวเข้ามาใกล้ ๆ ”

ในเวลานี้เฟิงหยูเฮงที่เข้านอนทันใดนั้นก็ลุกขึ้นนั่งบนเตียง ด้วยเหตุผลที่ไม่ชัดเจน นางเริ่มรู้สึกว้าวุ่นใจ ทำให้นางนอนไม่หลับต่อไป

นางลุกขึ้นจากเตียง สวมรองเท้าและเสื้อคลุม แม้หลังจากที่เปิดประตูและยืนอยู่กลางสนามท่ามกลางลมยามค่ำคืนที่พัดเข้ามา นางก็ยังไม่รู้สึกโล่งใจที่จะรู้สึกขุ่นเคือง

วังซวนนอนข้าง ๆ เมื่อได้ยินการเคลื่อนไหวนี้นางก็รีบตามหา นางเห็นเฟิงหยูเฮงยืนอยู่คนเดียวที่กลางสนาม และนางอดไม่ได้ที่จะถาม “คุณหนูเป็นอะไรหรือเจ้าคะ ? ”

นางส่ายหัว “ข้าไม่รู้ ข้าแค่รู้สึกไม่สบายใจ ข้ารู้สึก… ว่ามีอะไรบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้น”

ในเวลาเดียวกันเตียงของห้องโถงจาวเหอ จางหยวนกำลังนั่งอยู่บนพื้นพร้อมกับผ้าห่มพันรอบตัวเขา เอนหลังพิงแท่นบรรทม เขาฟังเสียงที่คุ้นเคย เสียงกรนของฮ่องเต้

ทันใดนั้นเขารู้สึกว่าพื้นที่ตรงหน้าของเขามืดลง เมื่อมองดูอีกครั้งเขาพบว่ามันเป็นองครักษ์เงาซึ่งปรากฏตัวต่อหน้าเขา องครักษ์เงายกนิ้วชี้ที่ด้านหน้าริมฝีปากเพื่อให้ท่าทางนิ่งเงียบ ในขณะเดียวกันเขาก็ขอร้องให้จางหยวนตามเขาออกไปข้างนอก

จางหยวนสับสนแต่เขายังคงติดตาม ทั้งสองมาถึงกลางสนาม แต่เขาเห็นองครักษ์เงายกมือขึ้นและชี้ไปในทิศทางหนึ่ง เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่อาจเงียบกว่านี้ได้ “ตำหนักศศิเหมันต์ถูกไฟไหม้”

“อ้อ…” จางหยวนเกือบกรีดร้อง “อะไรนะ” โชคดีที่เขาสามารถใช้มือปิดปากได้ทัน จากนั้นเขาก็สามารถหยุดตัวเองจากการปลุกฮ่องเต้ที่หลับใหล เขาถามองครักษ์เงา “จริงหรือ ? ”

องครักษ์เงากล่าวอย่างไร้ประโยชน์ “ในเวลาเช่นนี้ข้าจะโกหกหรือไม่? ทหาร และบ่าวรับใช้เริ่มทำงานเพื่อดับไฟ เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ข่าวจะมาถึงที่นี่อย่างรวดเร็ว ขันทีจางคิดถึงบางสิ่งอย่างรวดเร็ว”

ความคิดใดที่ขันทีจะคิดขึ้นมาได้ ข่าวนี้ทำให้เขาใกล้จะล่มสลาย “ข้ากลัวว่าบางสิ่งจะเกิดขึ้นในพระราชวัง แต่มันก็เกิดขึ้นกับตำหนักศศิเหมันต์ พูดว่า…เหรอ ? ” ใจของจางหยวนปั่นว่า “เดี๋ยวก่อน เดี๋ยวก่อนมีอะไรผิดปกติกับสถานการณ์นี้ การป้องกันของตำหนักศศิเหมันต์นั้นปลอดภัยที่สุดเสมอ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นมานานหลายปีแล้ว ทำไมตอนนี้ถึงเกิดไฟไหม้ ? ” เขาพูดกับองครักษ์เงา “ข้ากลัวว่าจะมีเหตุการณ์ลับอยู่บ้าง ไปตรวจสอบและดูว่าไฟนี้เริ่มต้นอย่างไร”

องครักษ์เงาพยักหน้าและหายไปในทันที

จางหยวนยืนอยู่ที่นั่นและรอสักพัก เขาคิดว่าถ้ามันเป็นเพียงไฟไหม้เล็กน้อย มันจะดับไปอย่างง่าย ๆ ตำหนักศศิเหมันต์เป็นสถานที่สำคัญในพระราชวังเสมอ ทหารองครักษ์ให้การรักษาความปลอดภัยในพื้นที่อย่างดี ในเวลาเดียวกันเมื่อมีบางสิ่งเกิดขึ้นกับตำหนักศศิเหมันต์ มันจะถูกแก้ไขอย่างรวดเร็ว เขาอธิษฐานอย่างเงียบ ๆ ในใจว่าไฟนี้จะดับอย่างรวดเร็ว เขาหวังว่าไฟนี้ไม่ได้เป็นผลมาจากแผนการของใครบางคน เขาหวังว่าไฟนี้จะไม่ปลุกฮ่องเต้ที่หลับใหล

อย่างไรก็ตาม สวรรค์ไม่เคยทำตามที่คนต้องการ เมื่อเห็นว่าแสงสีแดงมาจากทิศทางของตำหนักศศิเหมันต์ ใบหน้าของจางหยวนก็ซีด

“มันจบแล้ว มันจบแล้ว” เขาก้าวถอยหลังไปสองสามก้าวแล้วถอนหายใจอย่างขมขื่น “ตอนนี้จบแล้ว”

ในเวลานี้บ่าวรับใช้ของห้องโถงจาวเหอก็เริ่มวิ่งหนี เมื่อเห็นขันทีจางในสนามพวกเขาพูดอย่างรวดเร็วว่า “ขันทีจางแย่แล้ว ตำหนักศศิเหมันต์ถูกไฟไหม้ ไฟแรงขึ้นเรื่อย ๆ กำลังจะหลุดจากการควบคุมเร็ว ๆ นี้ ! ”

จางหยวนกัดฟันของเขาด้วยความโกรธ เขารู้ว่าเขาไม่สามารถปิดบังเรื่องนี้ได้อีกต่อไปและพูดง่าย ๆ ด้วยเสียงที่ดัง “แล้วเจ้าจะยืนอยู่ที่นี่ทำไม ? ไปเรียกทุกคนเร็ว พาพวกเขาไปดับไฟที่ตำหนักศศิเหมันต์ ! ไปเร็ว ๆ ! “

เขาเตะขันทีที่ก้นทำให้ขันทีนั้นหนีไป ขณะที่วิ่งเขาตะโกนว่า “ตำหนักศศิเหมันต์ไฟไหม้ ! ลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ! ”

จางหยวนให้ถอนหายใจยาว ในเวลานี้เขาได้ยินเสียงฮ่องเต้ตะโกนจากภายในห้องโถง “จางหยวน ! ย้ายก้นมาที่นี่ ! ”

จางหยวนไม่ได้อยากกลับเข้าไปข้างในแม้แต่น้อย เมื่อเขาเข้าไปข้างใน เขาลืมว่ามีธรณีประตู้ขวางอยู่และสะดุดล้มลงกับพื้นเหมือนลูกบอล เขากลิ้งไปข้างใน

ฮ่องเต้มองลูกบอลกลิ้งไปที่ด้านข้างของเขา เขามีแรงกระตุ้นเล็กน้อยที่จะยกเท้า และเตะอีกฝ่าย แต่เขาก็สามารถกลั้นไว้ได้ เขาเอื้อมมือไปช่วยพยุงจางหยวนลุกขึ้นมา จากนั้นเขาก็ถามว่า “ข้างนอกเกิดอะไรขึ้น ? ทำไมเราถึงได้ยินคนพูดถึงตำหนักศศิเหมันต์ ? ” ในขณะที่เขาพูด เขามองออกไปข้างนอก หลังจากนั้นครู่หนึ่งเขาถามด้วยความสับสน “มันกี่โมงแล้ว ทำไมจึงมีแสงสีแดงมาจากข้างนอก”

จางหยวนคว้าฮ่องเต้ไว้และช่วยเขาขึ้นจากแท่นบรรทม จากนั้นเขาก็ไปดึงเสื้อผ้า และช่วยเขาสวมถุงเท้าและรองเท้า สิ่งนี้ทำให้ฮ่องเต้ตกตะลึง “มันคืออะไร ? ข้าตื่นสายหรือ ? ถึงเวลาเข้าราชสำนักเช้าแล้วหรือ ?”

จางหยวนส่ายหัว “ไม่ใช่ขอรับ ตอนนี้เที่ยงคืนอยู่พะยะค่ะ”

ฮ่องเต้เริ่มโกรธ “เจ้าบ้าหรือ ! เจ้าใส่ชุดให้ข้าทำไมเวลาเที่ยงคืน ? ”

จางหยวนบอกเขาว่า “นอนไม่ได้แล้วพะยะค่ะ ตำหนักศศิเหมันต์ไฟไหม้ ตอนนี้เปลวไฟเต็มท้องฟ้าแล้ว เราจำเป็นต้องไปดู แต่ฝ่าบาทต้องไม่คิดมาก ฝ่าบาทไม่สามารถไปช่วยดับไฟได้ ฝ่าบาทดูได้อย่างเดียว ฝ่าบาทต้องทิ้งมันไว้กับบ่าวรับใช้พะยะค่ะ” ก่อนที่เขาจะพูดจบ เขารู้สึกว่ามีใครบางคนดันไหล่อย่างแรง เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมอง ฮ่องเต้ก็หายไปแล้ว

จางหยวนกระทืบเท้าของเขาและรีบไล่ตามอย่างรวดเร็ว ทั้งสองรีบไปในทิศทางของตำหนักศศิเหมันต์

ในขณะเดียวกันข่าวเรื่องตำหนักศศิเหมันต์ถูกไฟลุกลามไปถึงทุกมุมของพระราชวัง รวมถึงด้านของฮองเฮาเมื่อมีคนส่งข่าว

ต้องมีการกล่าวกันว่าพระสนมของฮ่องเต้คนอื่นไม่กล้าออกไปดูเหตุการณ์นี้ แต่ฮองเฮาก็สามารถไปได้ ในขณะที่สั่งบ่าวรับใช้ให้เตรียมชุดของนาง นางเริ่มคิดกับตัวเอง ต้องบอกว่านางไม่อยากจะเชื่อเลยว่าตำหนักศศิเหมันต์จะเกิดไฟได้โดยไม่มีเหตุผล ตำหนักศศิเหมันต์เป็นพื้นที่ที่ได้รับการปกป้องมากที่สุดเสมอ สถานที่อื่นสามารถลุกไหม้ได้ แต่จะเป็นไปไม่ได้ เว้นแต่… เว้นแต่จะมีคนวางเพลิงโดยเจตนา

ใจของนางจำได้ทันทีว่าพระสนมหยวนชูพูดอะไร อย่างไรก็ตามนางไม่สามารถคิดได้ว่าพระสนมหยวนชูจะมีความสามารถในการจุดไฟในตำหนักศศิเหมันต์ได้อย่างไร ยิ่งนางคิดถึงมันมากเท่าไหร่ นางก็ยิ่งรู้สึกกังวลมากขึ้นเท่านั้น นางอดไม่ได้ที่จะรีบฟางอี้ “เร็ว ๆ ”

ทางด้านฮองเฮารีบไปในทิศทางของตำหนักศศิเหมันต์ พระสนมของจักรพรรดิในพระราชวังอื่นก็ลุกขึ้นเช่นกัน พระสนมหยวนชูยืนขึ้นที่ลานของนางและมองไปในทิศทางของตำหนักศศิเหมันต์ด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าของนาง พระสนมจิงก็มองด้วยอารมณ์ที่ดูรอข่าวเพิ่มเติม อารมณ์เหล่านี้ไม่ได้เป็นการแสดงความเคารพต่อพระสนมหยวนชู และพวกเขาไม่ได้คำนึงถึงการกระทำของนางหรือไม่ สถานการณ์นี้เกินความคาดหมายของนางแล้ว ใจของนางเต็มไปด้วยความคิดเกี่ยวกับฉากที่สวยงามที่พระสนมหยวนชูอธิบายให้นางฟัง จิตใจของนางเต็มไปด้วยฉากชีวิตที่สวยงามที่นางจะได้รับหลังจากการล่มสลายของพระชายาหยุน นางไม่กังวลเลยเกี่ยวกับสิ่งที่อาจเกิดขึ้นหากสถานการณ์นั้นถูกเปิดเผย

หลังจากนั้นไม่นานฮ่องเต้และฮองเฮาก็มาถึงหน้าทางเข้าของตำหนักศศิเหมันต์ เนื่องจากไฟแรงมากจึงมีพระสนมของฮ่องเต้บางคนที่ทนไม่ไหวแล้วออกมาดูอีก เพราะหลายคนออกมาแม้ว่าฮ่องเต้จะโกรธ เขาไม่ได้ลงโทษพวกนาง นี่เป็นแนวคิดที่เรียกว่ากฎหมายไม่ลงโทษคนส่วนใหญ่ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมถึงแม้พระสนมหยวนชู และพระสนมจิงก็วิ่งไป

จางหยวนจับแขนของฮ่องเต้แน่นและเกลียดว่าเขาไม่สามารถนั่งลงบนพื้นได้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาจะไม่ยอมให้ฮ่องเต้บุกเข้าไปในทะเลเพลิง ฮ่องเต้มองดูทะเลเพลิงที่อยู่เบื้องหน้าเขาและดูความสิ้นหวัง เขาถามจางหยวนว่า “องค์ชายเก้าอยู่ที่ไหน ? เขาอยู่ในพระราชวังหรือไม่ ? องครักษ์เงาอยู่ที่ไหน ให้รีบเข้าไปข้างในเพื่อช่วยพวกนางอย่างรวดเร็ว ! ”

จางหยวนบอกเขาว่า “องครักษ์เงาเข้าไปข้างในแล้วขอรับ ฝ่าบาทไม่ต้องกังวล พวกเขาจะช่วยพระชายาหยุนออกมาได้อย่างแน่นอนพะยะค่ะ”

“ขันทีจางก็ควรจะเคลื่อนไหวเร็วขึ้น ! ” พระสนมหยวนชูมาถึงข้าง ๆ ฮ่องเต้ และอุทานจางหยวนอย่างไร้ประโยชน์ “ด้วยไฟที่ร้อนจัดถ้าเจ้าไม่รีบ ข้ากลัวว่าร่างกายจะไม่สามารถแยกแยะได้”

“หุบปาก ! ” จักรพรรดิตบหน้าพระสนมหยวนชู “ถ้าเจ้าพูดต่อ เราจะให้คนโยนเจ้าออกไป ! ” แม้ว่าเขาจะพูดแบบนี้คำพูดของพระสนมหยวนชู ดังนั้นเขาจึงตะโกนอย่างเร่งด่วน “เร็ว! ทุกคนรีบเข้าไปข้างในเพื่อช่วยพวกเขาออกมา ! พวกเจ้ารีบพาพวกเขาออกมา ! ”

ในเวลานี้ทหารคนหนึ่งแต่งตัวเป็นองครักษ์เงาของฮ่องเต้รีบออกจากไฟ ยังมีเปลวไฟบางส่วนบนร่างกายของเขาซึ่งถูกดับโดยคนข้างนอก บุคคลนั้นวิ่งไปหาฮ่องเต้และกล่าวเสียงดัง “กราบทูลฝ่าบาท ภายในตำหนักศศิเหมันต์แห่งนี้ ไม่เจอตัวพระชายาหยุนพะยะค่ะ”

 

ตอนที่ 634 แผนการของพระสนมหยวนชู

ข่าวของหลู่เหยาแขวนคอทำให้ทั้งสองหลู่ซ่งและเหยาซู่ตกใจอย่างมาก ทั้งสองไม่ได้พูดอะไรเลย และเริ่มพุ่งไปในทิศทางของเรือนของหลู่เหยา

พวกเขายังอยู่ค่อนข้างไกล พวกเขาได้ยินเสียงหญิงสาวร้องไห้เสียงดัง เหยาซู่ไม่สามารถระงับอารมณ์ของเขาได้ เขาวิ่งเข้าไปในเรือนหน้าของหลู่ซ่งและผลักประตูเปิดออก เขาเปิดประตูอย่างรวดเร็ว เหยาซู่หยุดและจ้องตรงไปข้างหน้าเขา ใบหน้า และลำคอของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงทันที

ในเวลาเดียวกันบ่าวรับใช้ในห้องก็เริ่มกรีดร้อง เสียงกรีดร้องของพวกเขาทำให้เหยาซู่หันกลับมาอย่างรวดเร็ว

หลู่ซ่งตามเข้ามา ในเวลานี้บ่าวรับใช้มีการจัดการเพื่อปกปิดเนื้อตัวของหลู่เหยา หลู่ซ่งถามว่า “เกิดอะไรขึ้น ? ”

บ่าวรับใช้คุกเข่าขณะร้องไห้ต่อหน้าหลู่ซ่ง และบอกเขาว่า “คุณหนูคิดมากกับเรื่องที่เกิดขึ้นเจ้าค่ะ คุณหนูไล่พวกเราออกจากห้อง พวกเราคิดว่าคุณหนูอยากอยู่คนเดียว เราไม่เคยคิดเลยว่าคุณหนูจะทำแบบนี้เจ้าค่ะ นายท่าน พวกเรารีบพาคุณหนูลงมา คอของคุณหนูก็มีรอยแดงและคุณหนูหายใจลำบาก พวกเรารีบถอดเสื้อผ้าเพื่อช่วยให้คุณหนูหายใจ ในที่สุดคุณหนูก็เริ่มหายใจ… ” เมื่อนางพูดก็มองเหยาซู่อย่างเศร้าใจ “แต่ชายหนุ่มคนนี้เพิ่งพบคุณหนู ! ”

หลู่ซ่งคิดว่ามีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น เมื่อเขาได้ยิน เขาโบกมือ “ไม่ต้องตกใจกับสิ่งเล็กน้อยเช่นนี้ นี่คือบุตรชายคนโตของตระกูลเหยา เขาเป็นคนที่จะแต่งงานกับเหยาเอ๋อ ไม่สามารถมองเขาเป็นคนนอกได้”

“นี่…” หญิงสาวพูดด้วยความยากลำบาก “แต่นายท่าน ถ้าเรื่องนี้แพร่ออกไป… คุณหนูจะไม่อับอายหรือเจ้าคะ ! ”

หลู่ซ่งได้ยินเรื่องนี้และรู้สึกถึงหัวใจของเขาขยับ จากนั้นเขาก็มองหลู่เหยา แต่เขาเห็นว่าบ่าวรับใช้สวมเสื้อให้นางแล้ว มีรอยแดงที่คอของนางแต่ไม่รุนแรงมาก หากมองไม่ถี่ถ้วนก็จะไม่เห็น แต่ตาของเหวยเหอยังคงมองเห็นเหยาชู เขาตอบโต้ทันที และหันไปถามเหยาซู่ “หลานชาย เจ้าเห็นอะไรหรือไม่ ? ”

เหยาซู่ตอบอย่างจริงใจ “ท่านลุงหลู่ไม่ต้องกังวลขอรับ คนที่มีศักดิ์ศรีจะไม่พูดคำโกหกและพวกเขาจะรับผิดชอบ เหยาเอ๋อเป็นคู่หมั้นของข้าแล้ว การที่ข้าได้เห็นในวันนี้ถือได้ว่าเป็นโชคชะตา” เขาหันกลับมาเล็กน้อย และพูดกับหลู่เหยาว่า “เหยาเอ๋อ ข้าอาจไม่สามารถให้บางสิ่งบางอย่างที่ยิ่งใหญ่แก่เจ้าเป็นของหมั้นซึ่งราชวงศ์สามารถทำได้ ข้าไม่สามารถจัดงานแต่งงานที่ยิ่งใหญ่เหมือนกับองค์ชาย แต่เหยาเอ๋อ ข้าสาบานในนามของตระกูลเหยาของข้าว่างานแต่งงานของเจ้าจะไม่เลวร้าย ทุกคนในวันแต่งงานไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าข้าต้องรับผิดชอบต่อการกระทำในวันนี้ แต่การที่ข้าจะแต่งงานกับเจ้าเป็นสิ่งที่ข้าต้องการ ไม่ใช่เพียงเพราะมันเหมาะสม ข้าหวังว่าเจ้าจะแต่งงานกับข้าด้วยความเต็มใจ และเจ้าจะเป็นผู้หญิงที่งดงาม เช่นเมื่อเราพบกันครั้งแรก ไม่ต้องกังวลข้าได้ไปพูดกับลูกพี่ลูกน้องจากตระกูลเฟิงแล้ว นางจะไม่คัดค้านการแต่งงานของเรา เหยาเอ๋อจงมีความสุข ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นข้าจะช่วยเจ้า”

คำพูดเหล่านี้ทิ้งน้ำตาร้อนไว้บนใบหน้าของหลู่เหยา มันทำให้หลู่ซ่งพยักหน้าบิดาและบุตรสาวมองหน้ากันสามารถเห็นคำว่า “สบายใจ” ในสายตาของอีกฝ่าย

การไปเยี่ยมของเหยาซู่ครั้งนี้ทำให้ตระกูลหลู่เพื่อให้พวกเขาสบายใจ หลู่ซ่งปลอบโยนหลู่เหยาสักพักหนึ่งแล้วจึงปลดโซ่ออก ที่เขาวางไว้เมื่อนางออกไปข้างนอก จากนั้นเขาก็ส่งเหยาซู่ออกไป

หลู่เหยาถูกนำตัวกลับไปที่เตียงของนางโดยบ่าวรับใช้ของนาง เมื่อประตูถูกปิด นางเยาะเย้ย และลูบคอนางตะโกน “เจ็บมาก”

บ่าวรับใช้ที่อยู่ข้าง ๆ นางพูดอย่างรวดเร็ว “คุณหนูทนอีกหน่อยเจ้าค่ะ หากคุณหนูไม่ได้ทำ นายน้อยจากตระกูลเหยาจะเชื่อได้อย่างไรเจ้าค่ะ ? ข้ากลัวว่ามันจะไม่สามารถรับมือกับเจ้านายได้”

หลู่เหยาตะโกนอย่างเย็นชา “ทำไมต้องกลัวท่านพ่อ เขาทราบแน่นอนว่าสิ่งที่ข้าทำนั้นเป็นเรื่องหลอกลวง การส่งข้าเข้ามาในตระกูลเหยานั้นไม่มีอะไรยิ่งไปกว่าการเป็นตัวหมาก เขาต้องการใช้ประโยชน์จากความสัมพันธ์ในตระกูลเหยากับองค์ชายเก้าเพื่อปกป้องตำแหน่งในอนาคตของเขา นั่นเป็นสาเหตุที่ท่านพ่อต้องช่วยข้า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น การแต่งงานครั้งนี้จะต้องเกิดขึ้น” นางพูดขณะยิ้มอย่างมีความสุข “ดูสิ เหยาซู่ไม่ได้ถูกทำให้เชื่องหรือ ในโลกนี้ไม่มีชายใดที่ไม่สามารถเชื่องได้ มันขึ้นอยู่กับเคล็ดลับผู้หญิงที่จะใช้”

ชวนตาวพยักหน้าและยกย่อง “คุณหนูฉลาดจริง ๆ เจ้าค่ะ หลังจากแต่งงานกับคฤหาสน์ตระกูลเหยาแล้ว ตระกูลหลู่ก็ยังคงต้องดูแลคุณหนู ไม่ว่าคุณหนูสามจะมีความสุขแค่ไหน นางยังคงแสดงความเหนือกว่าในบ้านของนาง คุณหนูเป็นรากฐานที่แท้จริงของตระกูลหลู่”

เมื่อได้ยินถึงการกล่าวถึงคุณหนูสามของตระกูลหลู่, หลู่หยาน การจ้องมองของหลู่เหยาก็เย็นลงเล็กน้อย น้องสาวคนนั้นก็เป็นคนที่น่ารำคาญเช่นกัน !

นางพบว่าหลู่หยานเป็นสิ่งที่อุจาดนัยน์ตา แต่ในเวลาเดียวกันหลู่หยานก็ไม่ชอบหลู่เหยา ย้อนกลับไปเมื่อนางส่งคนของนางไปที่ศาลาหงส์เพลิงเพื่อทำลายเครื่องประดับของหลู่เหยา นางต้องการสร้างปัญหามากขึ้นระหว่างนางกับองค์หญิงจี่อันมันจะเป็นการดีที่สุดที่องค์หญิงจี่อันโกรธตนซึ่งส่งผลให้การแต่งงานถูกยกเลิก

น่าเสียดายที่สิ่งต่าง ๆ ไม่เป็นไปตามที่ต้องการ การแต่งงานของหลู่เหยาจบลงด้วยความมั่นคงมากขึ้นด้วยเหตุนี้ หลู่หยานยืนพิงเสาในห้องโถงยาวในขณะที่มองไปที่เรือนของหลู่เหยา และกำหมัดของนาง

“เป็นบทละครที่ดีจริง ๆ ” หลู่หยานมองไปข้างหน้าพึมพำ “ไม่เป็นไร ผู้ชนะของเกมนี้จะไม่ได้รับการตัดสินจากการที่เจ้าแต่งงานกับคฤหาสน์เหยา และจะไม่ได้รับการตัดสินจากการแต่งงานกับองค์ชายเฉิง ในท้ายที่สุดมันก็ขึ้นอยู่กับว่าใครจะขึ้นครองบัลลังก์ พี่สาวที่ดีของข้า เจ้าต้องรู้ว่าเราไม่ได้แข่งขันกันในฐานะเด็กผู้หญิง เรากำลังเปรียบเทียบกันเรื่องผู้ชาย ! ”

ตระกูลหลู่ได้รับการรับรองจากเหยาซู่ และในที่สุดก็ได้รับความมั่นใจ ย้อนกลับไปในด้านของตระกูลเหยา พวกเขาเริ่มดูแลเรื่องที่เกี่ยวข้องกับงานแต่งงานของเหยาซู่

ตระกูลเหยาเป็นประชาธิปไตยมาโดยตลอด นอกเหนือจากกฎเกณฑ์ที่เหยาเซียนกำหนดไว้ว่า “ผู้ชายจะต้องไม่มีอนุ และผู้หญิงจะไม่เป็นอนุ” พวกเขามักจะให้ความเคารพต่อความปรารถนาของคนรุ่นใหม่เสมอ ตัวอย่างเช่นการแต่งงานของเหยาซู่และหลู่เหยา แม้ว่าหลู่ซ่งจะถามฮ่องเต้หลายครั้ง และแม้ว่าฮ่องเต้จะนำมันมากับเหยาเซียนหลายต่อหลายครั้ง หากแต่เหยาซู่ไม่ต้องการปฏิเสธ

แต่เป็นเพราะเหยาซู่ยอมรับว่าตระกูลเหยาเลือกที่จะเคารพการตัดสินใจของเด็ก ตราบใดที่เขาต้องการ ตระกูลเหยาก็ต้องยอมรับ อย่างไรก็ตามใครจะรู้ว่าคนผู้นี้ต้องการภรรยาที่จะทำให้พวกเขารู้สึกเสียใจอย่างมาก

“คุณหนูยังเป็นห่วงนายน้อยคนโตของตระกูลเหยาหรือเจ้าคะ ? ” ตอนนี้เป็นเวลากลางคืน และเฟิงหยูเฮงนั่งข้างเตียงของนาง เอนใกล้กับหน้าต่าง นางยังไม่อยากนอน วังซวนเห็นว่านางยังไม่ง่วงนอนและเตรียมชาดอกมะลิอ่อน ๆ ไว้คุยกับนาง

เมื่อได้ยินการพูดถึงเหยาซู่แล้ว เฟิงหยูเฮงก็กล่าวว่า “เขาต้องการ มีอะไรที่ข้าสามารถพูดได้ ข้าเป็นห่วงท่านปู่ หลังจากที่หลู่เหยาเข้ามาในคฤหาสน์ มันก็คงจะดีถ้านางรู้ว่าจะควบคุมตนเอง หากนางยังคงสร้างปัญหาต่อไปเมื่อท่านปู่ต้องลุกขึ้นมาจัดการตอนอายุขนาดนี้ เขาจัดการกับมันได้อย่างไร ลืมมันไปเถิด” นางโบกมือ “ในท้ายที่สุดมันคืออนาคต นั่นไม่ใช่เหตุผลที่ข้านอนไม่หลับในคืนนี้”

“ถ้าอย่างนั้นทำไมมันถึงเป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ” วังซวนงง “มีอะไรอีกบ้างที่ทำให้คุณหนูกังวลเจ้าคะ ? ”

เฟิงหยูเฮงขมวดคิ้วของนาง ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความลังเล หลังจากนั้นไม่นานนางก็กล่าวว่า “ข้าก็พูดไม่ออกเหมือนกัน มันเป็นเพียงความรู้สึกที่สับสน ข้ารู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้น แต่ข้าไม่สามารถเข้าใจได้ว่ามันคืออะไร ด้วยความรู้สึกนี้ในใจของข้า ข้าจึงไม่รู้สึกสบายใจ “

วังซวนผลักชาหอมมะลิให้นาง “ชาชนิดนี้มีรสชาติที่ดีที่สุดที่อุณหภูมิแบบนี้ ช่วยลดการอักเสบ คุณหนูลองดื่มดูเจ้าค่ะ”

เฟิงหยูเฮงหยิบถ้วยชาขึ้นมาแล้วนำไปที่ริมฝีปากของนาง อย่างไรก็ตามนางไม่สามารถพาตัวเองไปดื่มได้ มีปัญหาอะไร

คืนนี้เริ่มมีเมฆมาก ดวงจันทร์ที่สามารถมองเห็นได้ถูกปกคลุมหลังจากนั้นไม่นาน ในพระราชวังของฮ่องเต้ พระราชวังทั้งหมดปิดประตูและจุดเทียนออกมา ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด ฮ่องเต้ไม่เคยเยี่ยมชมพระราชวังมานานกว่า 20 ปี พระสนมของฮ่องเต้คุ้นเคยกับชีวิตที่ถูกควบคุมนี้แล้ว ไม่มีแม้แต่ความหวังเหลืออยู่ในใจอีกต่อไป

บนเส้นทางเล็ก ๆ ในพระราชวังแห่งนี้ โคมไฟที่ไหวอยู่ในมือของบ่าวรับใช้ขณะที่พวกเขารีบเดินไปข้างหน้า ด้านข้างของบุคคลนี้คือผู้หญิงสวมเสื้อคลุมและหมวก ขณะที่เดินพวกเขามองไปรอบ ๆ โชคดีที่เส้นทางเล็ก ๆ นี้เงียบสงบ เพราะฮ่องเต้ไม่ได้แวะเวียนมา แม้แต่ทหารองครักษ์ก็ผ่อนคลายการลาดตระเวน ในขณะนี้นอกจากสองสิ่งนี้จะไม่มีใครเห็นอีก

ทั้งสองเดินตรงไปที่ทางเข้าพระราชวังก่อนที่จะหยุด มีนางกำนัลคอยอยู่หน้าพระราชวังแห่งนี้ เมื่อเห็นพวกเขามาถึงนางรีบเปิดประตู และนำพวกเขาเข้าไปข้างใน

นี่คือตำหนักหยงหนิง ไม่มีตำหนักองค์หญิง มีพระสนมระดับสูงอยู่ที่นี่เท่านั้น พระสนมระดับสูงคนนั้นเห็นคนที่มาถึงโค้งคำนับแล้วกล่าวว่า “คารวะพระสนมชูเจ้าค่ะ”

คนที่มาคือพระสนมหยวนชู !

ทั้งสองนั่งอยู่ และพระสนมหยวนชูมองเด็กผู้หญิงที่อายุน้อยกว่านาง แต่หญิงสาวนั้นดูเหมือนจะแก่กว่า นางถอนหายใจแล้วส่ายหัวแล้วกล่าวว่า “น่าเสียดาย ถ้าเราเปรียบเทียบภาพลักษณ์พระสนมจิงระดับสูงในเวลานั้นจะดีที่สุด น่าเสียดายมาก ! เมื่อไม่มีโอกาสได้พบพระชายาหยุนก็ถูกนำตัวเข้ามาในปีที่สองหลังจากที่เจ้าเข้ามาในพระราชวัง เจ้าไม่มีโอกาสตั้งครรภ์ด้วยซ้ำ เจ้าไม่มีโอกาสเข้าใกล้ เช่นนี้เจ้าอยู่ที่นี่ในตำหนักใน เสียเวลาไปโดยไร้ประโยชน์ 20 ปี นี่คือการลงโทษ ! ”

พระสนมหยวนชูได้กล่าวถึงเรื่องร้องเรียนที่นางมีต่อพระสนมของฮ่องเต้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ริมฝีปากพระสนมจิงสั่นเทาและมีรสหวานคาวเพิ่มขึ้นในลำคอของนาง และมันถูกระงับอย่างแรง นางยิ้มอย่างขมขื่น “ถูกต้อง ในที่สุดชีวิตของข้าก็ไม่ดีเท่ากับพี่สาวชู เจ้ายังมีบุตร มีหลายครั้งที่ข้าคิดว่าแม้ว่าข้าจะมีบุตรสาวมันก็คงจะดีมาก แต่บุตรสาวในราชวงศ์ต้าชุนก็ยิ่งหายากยิ่งกว่าบุตรชาย”

พระสนมหยวนชูมองพระสนมจิงซึ่งเป็นภาพของความชั่วร้ายที่กระพริบผ่านดวงตาของนาง “น้องสาว เจ้าปรารถนาจะมีชีวิตแบบนี้ต่อไปหรือ ? โดยไม่ต้องกลับไปที่บ้านเก่าของเจ้า และอยู่อย่างไร้ความหวังเพียงอยู่ในพระราชวังขนาดใหญ่แห่งนี้ แม้ว่าเจ้าจะใช้เวลาทุกวันในการนับนกพิราบ เจ้าก็ควรนับพวกมันทั้งหมดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ตอนนี้เส้นผมของเจ้ากำลังจะเปลี่ยนเป็นสีขาว เป็นไปได้หรือไม่ว่าน้องสาวยอมแพ้ ? ”

พระสนมจิงรู้สึกงงงวย “ข้าจะทำอะไรได้นอกจากยอมรับชะตากรรมของข้า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ดูเหมือนว่าจะไม่มีพระสนมที่เคยเผชิญหน้ากับทหารองครักษ์ แต่พวกเขาไม่ได้โดนแยกร่างด้วยห้าม้า เป็นไปได้หรือไม่ที่พี่สาวมีความคิดเช่นนี้ ? ”

พระสนมหยวนชูส่ายหัว “ตามที่เจ้าพูด ไม่ว่าอย่างไรข้าก็มีบุตรชาย ข้าจะมีความคิดอื่นได้อย่างไร ข้ากำลังคิดหาทางให้น้องสาว และปรารถนาจะหาทางออกให้กับน้องสาว”

“พี่สาว สิ่งนี้หมายความเช่นไร ? ” พระสนมจิงเริ่มให้ความสนใจ “ตอนกลางวันมีนางกำนัลบอกข้าว่าท่านต้องการพบข้าในคืนนี้ แต่ข้าไม่สามารถเข้าใจเหตุผลของท่านที่อยากพบข้า”

พระสนมหยวนชูปิดปากนางและยิ้มบาง ๆ “ใช่แล้ว ! เจ้ากับข้าไม่ค่อยได้คุยกัน แต่ข้ามาเยี่ยมกะทันหัน เจ้าจะไม่เชื่อสิ่งที่พูด แต่นี่เป็นสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวในทุก ๆ พันปี ข้าจะไม่ซ่อนมันจากเจ้า เหตุผลที่เจ้าได้รับเลือกคือเจ้ามีพี่ชายที่ทำงานอยู่ในพระราชวัง และบุคคลที่รับผิดชอบในทหารรักษาการณ์ของฮ่องเต้คืนนี้คือเขา”

ตอนที่ 633 เหยาซู่ร้องขอ

เฟิงหยูเฮงพบกับเหยาซู่ในห้องโถงใหญ่ของคฤหาสน์ อย่างไรก็ตามเหยาซู่ดูเหมือนจะดื่มสุราเยอะเหมือนอย่างที่บ่าวรับใช้พูด จนถึงจุดที่แม้ว่าจะไม่มีสัญญาณว่าเขาเมา แต่นางก็ยังสามารถได้กลิ่นแอลกอฮอล์แรง ๆ

“ดึกแล้ว พี่ชายใหญ่มาหาอาเฮงมีเรื่องอะไรหรือเจ้าคะ ? ” นางถามอย่างแผ่วเบา แม้ว่าผู้คนในตระกูลเหยานั้นดี แต่พวกเขาไม่สามารถเปรียบเทียบความรู้สึกของปู่ และหลานที่นางแบ่งปันกับเหยาเซียนได้ ในส่วนที่เกี่ยวกับคนอื่น ๆ ของตระกูลเหยานางมีเวลาเพียง 1 วันในการอยู่กับพวกเขา มันไม่เพียงพอที่จะเข้าใกล้มาก นางจะคิดถึงบรรยากาศของครอบครัวเป็นครั้งคราว นี่คือเหตุผลที่นางไม่ต้องการให้หลู่เหยาทำลาย

ก่อนที่เหยาซู่จะพูด เขาก็สะอึกออกมาสองสามครั้งทำให้กลิ่นแอลกอฮอล์ในห้องโถงมีความชัดเจนมากขึ้น เขารู้สึกอายเล็กน้อยและใช้มือปิดปาก อย่างไรก็ตามเขาวางมันลงซักพักหนึ่งและกล่าวกับเฟิงหยูเฮง “ข้าอนุญาตให้น้องสาวเห็นอะไรที่ไร้สาระ คืนนี้ข้าดื่มสุราเพียงเล็กน้อยจริง ๆ แต่มีบางสิ่งที่ข้ากลัวว่าข้าไม่สามารถพูดได้หากไม่ดื่มสุรา”

“พี่ชายใหญ่ตำหนิข้าที่แทรกแซงเรื่องของตระกูลหลู่หรือไม่ ? ” เฟิงหยูเฮงก็ตรงไปที่หัวข้อหลัก นางรู้ว่าเหยาซู่มาหานางในเวลาเช่นนี้ น่าจะหมายถึงว่ามันเกี่ยวข้องกับตระกูลหลู่ แทนที่จะรอเขา จากนั้นไม่พูดถึงมัน จะดีกว่าถ้านางนำมันขึ้นมาก่อน

แน่นอนคำพูดของเฟิงหยูเฮงทำให้เหยาซู่เริ่มตั้งความคิดในการเคลื่อนไหว ไม่นานหลังจากนั้นดูเหมือนว่าเขาพร้อมที่จะไปทำลาย เขากระทืบเท้าของเขาพยักหน้า “อาเฮง พูดถูก เป็นเรื่องนี้ แต่ข้าไม่โทษเจ้า หลู่เหยารังแกคุณหนูสามตระกูลเฟิงก่อน เจ้าเป็นพี่สาวและสนับสนุนน้องสาวของเจ้าหลังจากกลับมาที่เมืองหลวง นี่คือสิ่งที่ดี นอกจากนี้ข้าได้ยินมาว่าเพื่อเป็นการซ่อมเครื่องประดับเสริมบางอย่างที่เหยาเอ๋อทำหัก อาเฮงเชิญช่างฝีมือเป่ยจากพระราชวังมา พี่ชายใหญ่…มาขอบคุณ”

“โอ้ ? ” นางหัวเราะ เหยาเอ๋อเหรอ ? ความสัมพันธ์ระหว่างเหยาซู่และหลู่เหยาเป็นเรื่องที่คุ้นเคยกันมานานแล้วหรือไม่ ? “มันไม่มีอะไรนอกจากเรื่องเล็ก มันไม่คู่ควรกับคำขอบคุณของพี่ชายใหญ่ที่มาขอบคุณข้า” น้ำเสียงของนางสงบและไม่ฟังสนิทสนมเกินไป

แอลกอฮอล์รีบวิ่งไปที่หัวของเหยาซู่ และเขาไม่ได้สังเกตความเย็นชาในคำพูดของเฟิงหยูเฮง เขากล่าวต่อ “นอกจากการขอบคุณเจ้า ข้าต้องการขอให้อาเฮงให้อภัยเหยาเอ๋อ นางไร้เหตุผลและไม่พอใจ แต่มันจะไม่เกิดขึ้นในอนาคต พี่ชายใหญ่สัญญากับเจ้า มันจะไม่จริง ข้าถาม… ข้าขอให้อาเฮงไม่ขัดขวางการแต่งงานนี้กับเหยาเอ๋อ ข้า…ชอบนางจริง ๆ ”

รอยย่นระหว่างคิ้วของเฟิงหยูเฮงเริ่มลึก นางไม่ได้ตอบและเริ่มไตร่ตรอง ทัศนคติของนางที่มีต่อเรื่องของหลู่เหยานั้นแรงเกินไปหรือไม่ ? ในเรื่องที่เกี่ยวกับตระกูลเหยา นางมีความเกรงใจมากเกินไปและแย่งชิงตำแหน่งเจ้าภาพโดยไม่คำนึงถึงความรู้สึกของตระกูลเหยา เป็นกรณีที่เป็นลูกพี่ลูกน้อง นางควรจะถอยกลับเพื่อหลีกทางให้กับเรื่องของหลู่เหยา และรู้สถานการณ์ระหว่างหลู่เหยากับลูกพี่ลูกน้องคนโตของนาง ? เฟิงเซียงหรูถูกกลั่นแกล้งและนางควรแนะนำเฟิงเซียงหรูให้อดทนกับมันเล็กน้อย ไม่มีคำพูดแบบเก่า มันเป็นการดีกว่าที่จะทำลายมากกว่าจะฉีกชีวิตแต่งงาน การกระทำของนางในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาผิดหรือเปล่า ?

เฟิงหยูเฮงมองไปที่เหยาซู่ คนที่ดื่มมากมักพูดความจริง เหยาซู่เป็นคนที่เชื่อฟัง เขาบอกว่าเขาชอบหลู่เหยาซึ่งหมายความว่าเขาชอบหลู่เหยา แม้ว่านางจะไม่รู้ว่าความรักนี้มีต้นกำเนิดอย่างไร แต่ ณ จุดนี้เหยาซู่มาพร้อมกับคำขอนี้ นางไม่สามารถทำสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างง่ายดายอีกต่อไปตามแผนที่วางไว้

หลู่เหยาแต่งงานกับตระกูลเหยาซึ่งตั้งอยู่ในหิน มันเป็นแค่นั้น… ทำไมนางถึงมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีเกี่ยวกับเรื่องนี้ ?

นางถอนหายใจอย่างแผ่วเบา ในท้ายที่สุดพวกเขาใช้แซ่ที่แตกต่างกัน ตระกูลเหยานั้นแตกต่างจากตระกูลเฟิง เมื่อทำการตัดสินใจในตระกูลเฟิง นางสามารถใช้ตำแหน่งของนางเป็นบุตรสาวของฮูหยินใหญ่ แต่สำหรับตระกูลเหยา นางไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าคนนอก

นางยืนขึ้นและเดินไปไม่กี่ก้าวหยุดก่อนที่จะมาถึงทางเข้าห้องโถง นางก็เปล่งเสียงของนางแล้วกล่าวว่า “ข้าจะทำตามที่เจ้าต้องการ”

เหยาซู่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก และในที่สุดก็ดูเหมือนจะมีชีวิตชีวาเล็กน้อยขอบคุณซ้ำแล้วซ้ำอีก “ขอบคุณอาเฮงมาก พระคุณนี้พี่ชายใหญ่จะจดจำไว้”

เฟิงหยูเฮงยิ้มอย่างขมขื่น “ถ้าพี่ชายใหญ่พูดแบบนี้ เจ้าจะโทษอาเฮงเพราะเป็นคนที่มีจมูกยาวเกินไป เดิมทีข้าไม่ได้ตั้งใจจะเข้าไปยุ่งเรื่องของเจ้าและหลู่เหยา หากไม่ใช่เพราะนางพยายามซ้ำแล้วซ้ำอีกเพื่อกระตุ้นข้า ข้าจะไม่เข้าไปยุ่ง เนื่องจากนางเป็นคนที่พี่ชายใหญ่ชอบ ข้าก็พูดไม่ออกมากนัก เรื่องราวของอดีตจะยังคงอยู่ในอดีต ข้าแค่หวังว่าเราจะสามารถเข้ากันได้อย่างสงบสุข และกลมกลืนในอนาคต นอกจากนี้พี่ชายใหญ่อย่าโทษข้าเพราะพูดออกมา ในฐานะที่เป็นหลานชายคนโตของตระกูลเหยา การกระทำของเจ้า คำพูดและคนที่เจ้าแต่งงานจะต้องรับผิดชอบต่อตระกูลเหยา จากช่วงเวลานี้ไม่ว่าตระกูลเหยาจะรุ่งเรืองขึ้นหรือตกต่ำลง มันจะเกี่ยวข้องกับเจ้าอย่างแน่นอน อย่าให้การแต่งงานสร้างความขัดแย้งในตระกูลเหยา”

เหยาซู่เป็นคนที่เฉียบแหลม เขาจะไม่เข้าใจความหมายที่เฟิงหยูเฮงพูดได้อย่างไร เขากล่าวทันที “อาเฮงไม่ต้องกังวล พี่ชายใหญ่รู้ดีว่าเจ้ากำลังทำเพื่อตระกูลเหยา ข้าจะทำตามคำปฏิญาณวันนี้ หากหลู่เหยาทำสิ่งที่ไม่ดีต่อตระกูลเหยา ข้าจะไม่ยอมทนอย่างแน่นอน ! ”

เมื่อเหยาซู่ออกไป เขาได้สติจากแอลกอฮอล์แล้ว แม้กระนั้นไม่ปรากฏว่ามีร่องรอยของความเสียใจบนใบหน้าของเขา เฟิงหยูเฮงไม่สามารถช่วยได้ แต่สรรเสริญการเลี้ยงดูหลานของตระกูลเหยา แม้ว่าจะมีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้น บทสนทนาของเหยาซู่กับนางเป็นเพียงแค่แง่มุมนี้ เหยาซู่เป็นคนที่มีคุณธรรม เขาไม่ได้เป็นคนโง่หรือไร้เหตุผล นางคิดว่าขุนนางขั้นหนึ่ง ตระกูลหลู่ที่ต้องการการแต่งงานครั้งนี้เป็นผลมาจากการวางแผนของพวกเขาเอง หลู่เหยาประสบความสำเร็จในการกุมหัวใจของเหยาซู่ก่อนงานแต่งงานครั้งใหญ่ เป็นเพียงว่านางไม่สามารถคาดหวังได้อย่างแน่นอนว่าผู้คนในตระกูลเหยานั้นจะยืนหยัดและมีความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างความถูกและผิด ด้วยเสียงของมัน แม้ว่าหลู่เหยาจะแต่งงานกับตระกูลเหยา วันของนางก็คงไม่ง่ายอย่างที่นางคิด

นางกลับไปที่เรือนของนางเองจากห้องโถงใหญ่ ตั้งแต่เหยาซื่อย้ายออกสถานที่ที่นางอยู่ก็ยังว่างเปล่า มีผู้คนมากมายที่กลับมาพร้อมพวกเขาในครั้งนี้ ดังนั้นนางจึงจัดให้องค์ชายเหลียนและหลี่เฉิงพักที่นั่น แต่ว่าคฤหาสน์ดูเงียบมากในคืนนี้ นางถามวังซวน “องค์ชายเหลียนไม่อยู่ที่นี่หรือ ? ”

วังซวนพยักหน้า “ข้าได้ยินมาว่าเขาได้พี่พักแล้วและพร้อมที่จะย้ายเข้า ถ้าเขาไม่อยู่ในคฤหาสน์ ตอนนี้เขาจะต้องอยู่ที่บ้านใหม่ของเขาเจ้าค่ะ”

นางแปลกใจเล็กน้อย “เร็วจัง”

“ไม่จริง” หวงซวนอุทาน และกล่าวว่า “เขาค่อนข้างมีอำนาจ นอกจากนี้ที่ตั้งของที่พักใหม่นั้นน่าจะเป็นที่สนใจของคุณหนูไม่ได้เจ้าค่ะ”

“โอ้?” นางถามว่า “ที่อยู่ใหม่อยู่ที่ไหน ? ”

บ่าวรับใช้สองคนหัวเราะ และวังซวนกล่าวว่า “อยู่ข้าง ๆ ที่อยู่ของตระกูลเฟิง พวกเขาเป็นเพื่อนบ้านกันเจ้าค่ะ”

หลังจากนอนหลับฝันดี นางพบว่าหวงซวนได้วางอาหารเช้าบนโต๊ะแล้วเมื่อนางตื่นขึ้นมา นางลุกขึ้นล้างหน้าแล้วก็เปลี่ยนชุด หลังจากรับประทานอาหารเช้า นางก็ตรงไปที่ห้องเก็บยา

ทุกเช้าเป่ยฟูหรงจะต้องได้รับการฉีดยาในเวลานี้ ใครจะรู้ว่าเหยาเซียนผลิตยาประเภทนี้อย่างไร เนื่องจากผลลัพธ์นั้นน่าทึ่งมาก ด้วยตาเปล่าจะเห็นการฟื้นตัวของกล้ามเนื้อของฟู่โหร่ง นางคำนวณและคิดว่านางจะฟื้นตัวเต็มที่หลังจากผ่านไป 3 เดือน แม้ว่านางจะไม่รู้ว่านางสามารถกลับสู่สภาวะก่อนหน้านี้ชีวิตปกติ และการเคลื่อนไหวของทั้งคู่จะดีหรือไม่ มันจะไม่เหมือนปัจจุบันที่ร่างกายและอวัยวะของนางมีอายุมากขึ้น และนางก็หมดสติอยู่ตลอด

หลังจากออกจากห้องเก็บยา นางเห็นวังซวนพาหญิงสาวที่ไม่คุ้นเคยมา เมื่อเห็นเฟิงหยูเฮง หวงซวนก็รีบเดินไปกระซิบอย่างเงียบ ๆ ในหูของนาง “นางมาจากพระราชวัง นางบอกว่าฮองเฮาต้องการพบคุณหนูเจ้าค่ะ”

เฟิงหยูเฮงพยักหน้า และพูดกับบ่าวรับใช้ “เข้ามาในห้องกับข้า”

นางนำคนเข้ามาในห้องโถง ขณะที่หวงซวนและวังซวนติดตาม เมื่อเฟิงหยูเฮงนั่งอยู่ในห้อง บ่าวรับใช้ก็คุกเข่าและกล่าวว่า “บ่าวรับใช้ผู้นี้คารวะองค์หญิงเพคะ”

เฟิงหยูเฮงพยักหน้า “ลุกขึ้นและพูด” เมื่อเห็นบ่าวรับใช้ยืนขึ้น นางถามว่า “เจ้าช่วยดูแลฮองเฮาหรือไม่ ? ”

บ่าวรับใช้กล่าวว่า “ข้าไม่ได้อยู่ข้างพระองค์บ่อย ๆ อย่างไรก็ตามข้ามีความรับผิดชอบมากขึ้นสำหรับการย้ายไปรอบ ๆ ด้านนอกพระราชวัง ฮองเฮารับสั่งให้บ่าวรับใช้มาหาองค์หญิง เมื่อคืนที่ผ่านมาฮ่องเต้รู้ว่าพระชายาหยุนหลบหนีออกจากพระราชวัง และนำกองทหารขนาดใหญ่กลุ่มหนึ่งล้อมรอบตำหนักศศิเหมันต์ หลังจากเรื่องนี้แม้ว่าจะได้รับการยืนยันในภายหลังว่านี่เป็นอีกหนึ่งกลอุบายของฝ่าบาทที่จะลองและหลอกล่อพระชายาหยุนออกมาพบฝ่าบาท เพราะพระสนมหยวนชูส่งมีคนมาเฝ้าดูอย่างเงียบ ๆ อย่างไม่ยอมแพ้ต่อเป้าหมาย นางหวังว่าองค์หญิงจะมีความเข้าใจบ้างเล็กน้อยเจ้าค่ะ”

หลังจากพูดจบแล้วนางก็ยังคงอยู่ต่อไปโค้งคำนับ “บ่าวรับใช้นี้ส่งสารแล้ว และจะไม่อยู่ต่อเพคะ ข้าขอตัวกลับพระราชวังก่อนเพคะ” หลังจากพูดอย่างนี้นางก็จากไปด้วยตัวเอง

เฟิงหยูเฮงมองหวงซวน และหวงซวนเอาคำใบ้เพื่อส่งนางออกไป วังซวนเหลืออยู่ในห้องกับนาง ทั้งคู่พูดกันมานาน

หลังจากนั้นครู่หนึ่งริมฝีปากสีแดงของเฟิงหยูเฮงก็แยกจากกันเล็กน้อยถามว่า “มีข่าวจากองค์ชายเก้าหรือไม่ ? ”

วังซวนส่ายหัว “ไม่มีเจ้าค่ะ”

นางถอนหายใจอย่างเงียบ ๆ ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้วจะมีบางอย่างเมื่อไหร่ ? อีกไม่กี่วันที่พวกเขาจะหยุดงานในตำหนักศศิเหมันต์ พระชายาหยุน โอ้ พระชายาหยุน ถ้านางไม่กลับมาเร็ว ๆ นี้ไม่มีอะไรน่ากลัวอีกต่อไป แต่ฮ่องเต้ก็รีบออกจากพระราชวังเช่นกัน เมื่อสิ่งนั้นเกิดขึ้นจะเป็นสิ่งที่ดีได้อย่างไร

หลังจากเที่ยงวัน บัณฑิตชั้นสูงเหยาซู่กลับมาจากราชสำนัก เขาไม่ได้กลับตระกูลเหยา เขากลับไปที่คฤหาสน์หลู่แทน มีกล่องขนมอบไปฝาก

หลู่ซ่งออกจากพระราชวังต่อหน้าเขา ไม่นานหลังจากเขากลับถึงคฤหาสน์ เขาได้ยินเกี่ยวกับการมาถึงของเหยาซู่ เขาชื่นชมยินดีข้างใน หลังจากคิดอยู่พักหนึ่งเขาก็ตัดสินใจต้อนรับเขาเป็นการส่วนตัว โดยไม่คำนึงว่าทั้งสองยังไม่ได้แต่งงาน การต้อนรับเขาก็คือการเผชิญหน้ากับตระกูลเหยาและเฟิงหยูเฮง

เหยาซู่เป็นชายที่มีคุณธรรมผู้ซึ่งแยกตัวออกมามาก เขาส่งกล่องขนมอบให้บ่าวรับใช้และพูดด้วยความละอาย “ข้ามาเยี่ยมเป็นครั้งแรก อย่างไรก็ตามเนื่องจากข้ารีบ ข้าไม่ได้เตรียมของกำนัลที่ดีกว่านี้ ข้าหวังว่าท่านใต้เท้าจะไม่ตำหนิเจ้าหน้าที่ผู้ต่ำต้อยนี้ขอรับ”

อ่า ! ” หลู่ซ่งโบกมือแล้วพูดด้วยความไม่พอใจปรากฏบนใบหน้าของเขา “ทำไมต้องถ่อมตน เราจำเป็นต้องปฏิบัติตามกฎเหล่านี้ในราชสำนัก แต่ขณะนี้เราอยู่ที่บ้าน จำเป็นต้องเคร่งครัดพิธีการ จะเรียกข้าว่าพ่อตายังเร็วไปหน่อย แต่ถ้าเจ้าไม่ชอบมันก็เรียกข้าว่าลุงหลู่ก็ได้เช่นกัน”

เมื่อได้ยินสิ่งนี้เหยาซู่ก็ลุกขึ้นยืนคำนับอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตามเขาเปลี่ยนวิธีที่เขาพูดกับหลู่ซ่ง “ท่านลุงหลู่”

หลังจากได้ยินสิ่งนี้ หลู่ซ่งก็ยิ้มอย่างแจ่มใสมาก เมื่อเขามองเหยาซู่ สายตาของเขาก็ดูสนิทสนมขึ้น เขาถามเหยาซู่ “หลานชายมาเยี่ยมวันนี้ ข้าว่าต้องมีจุดประสงค์ใช่หรือไม่”

เหยาซู่ไม่ได้ซ่อนมันโดยกล่าวว่า “โดยไม่ต้องกลัว ลุงหลู่ วันนี้หลานชายมาขอพบเหยา… คุณหนูหลู่เหยา ข้าหวังว่าท่ายลุงหลู่จะอนุญาตขอรับ”

เมื่อได้ยินว่าเขามาพบหลู่เหยา เขาก็ได้ยินสิ่งที่เหยาซู่พูด เห็นได้ชัดว่าเขาจะเรียกชื่อหลู่เหยาด้วยชื่อของนาง แต่เนื่องจากความเหมาะสม เขาจึงเปลี่ยนมัน ความโกรธปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา แต่เขามีความสุขมากที่อยู่ข้างใน “เด็กหญิงคนนั้นไม่มีเหตุผลและถูกขังโดยข้า หากว่านางไม่ถูกลงโทษแบนี้ นางก็ไม่รู้ตัวว่านางทำผิดพลาด ข้าเกรงว่าหลานชายจะไม่สามารถพบนางได้ ! ”

หลังจากเขาพูดสิ่งนี้จะได้ยินเสียง “เสียงลากโซ่” ประตูห้องหนังสือได้รับการกระตุ้นโดยบ่าวรับใช้ หญิงสาวคนหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมกับใบหน้าของนางที่เต็มไปด้วยน้ำตากล่าวว่า “ท่านใต้เท้าแย่แล้วเจ้าค่ะ คุณหนูรองแขวนคอตัวเองเพื่อฆ่าตัวตายเจ้าค่ะ ! ”

 

ตอนที่ 632 ฮ่องเต้โจมตีตำหนักศศิเหมันต์

พระสนมหยวนชูซึ่งเพิ่งตัดสินใจยอมแพ้ในเรื่องนี้ ทันใดนั้นความสนใจของนางก็ถูกล่อลวงความสนใจโดยหรงเจิ้น มันคงดีถ้าแค่ฟัง นางถามหรงเจิ้ง “เกิดอะไรขึ้น ? ”

หยู่ซู่ปิดประตูอย่างรวดเร็วก่อนที่หรงเจิ้งกล่าวว่า “ฮ่องเต้และขันทีจางหยวนไปที่ตำหนักศศิเหมันต์ ทั้งสองสร้างเกิดเสียงอึกทึกครึกโครมอย่างมากขอรับ”

พระสนมหยวนชูขมวดคิ้ว “การเคลื่อนไหวแบบไหนกันนะ ? นี่ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นบ่อยหรือ ? “

หรงเจิ้นส่ายหัว “ครั้งนี้แตกต่าง เห็นได้ชัดว่าฮ่องเต้ไปด้วยความโกรธ ขณะที่เดินฝ่าบาทดูโกรธมาก แม้จะพูดว่าพระชายาหยุนกล้าออกจากพระราชวังได้อย่างไร ควรเป็นโทษประหารชีวิต”

“หืม?” พระสนมหยวนชูตกใจ “ฮ่องเต้ทรงทราบหรือ ? ” จากนั้นนางก็นึกถึงฮองเฮาและเย้ยหยันตัวเอง “หญิงชราผู้นั้น นางยังแสร้งสงบเพื่อต่อหน้าองค์หญิงจี่อัน ใครจะรู้ว่าในพริบตานางก็ไปบอกฝ่าบาท” นางลุกขึ้นยืน “ไปดูกันเถิด”

หยู่ซู่และหรงเจิ้งทั้งคู่ย้ายไปหยุดนาง หยู่ซู่กล่าวว่า “พระสนมอย่าไปเจ้าค่ะ ! ท่านลืมสิ่งที่เกิดขึ้นกับพระสนมหลี่หรือไม่เจ้าคะ ? ”

พระสนมหยวนชูก็หยุดอยู่ในเส้นทางของนางทันทีที่ความทรงจำของพระราชวังฮ่องเต้ที่ปกคลุมไปด้วยฝุ่นก็โผล่ออกมาอีกครั้ง

นางจำไม่ได้ว่าปีไหน นางเพิ่งรู้ว่าฮ่องเต้ไปที่ตำหนักศศิเหมันต์เพื่อทำให้เกิดเสียงอึกทึก พระราชวังแห่งนี้มีพระสนมหลี่ระดับสูงที่ต้องการชมความมีชีวิตชีวา และเดินเข้าไป ด้วยเหตุนี้ฮ่องเต้จึงไม่สามารถเอาพระสนมออกจากอาคารได้ แต่ใครจะรู้ว่าฮ่องเต้จจับคอนางด้วยความโกรธและทำให้นางตาย

นับตั้งแต่ช่วงเวลานั้นไม่มีใครที่กล้าไปยุ่งกับฮ่องเต้เมื่อเขาไปที่ตำหนักศศิเหมันต์ ทุกคนทำตัวราวกับว่าพวกเขาไม่เห็นและไม่ได้ยิน

พระสนมหยวนชูหันกลับมาอีกครั้งและนั่งลงบนเตียงอิฐอุ่น ๆ อย่างไรก็ตามนางยังไม่ยอมแพ้ นางบอกหรงเจิ้งว่า “หาคนที่คล่องแคล่วไปดูสถานการณ์”

หรงเจิ้นปฏิบัติตามและเดินออกไป

ตอนนี้เย็นแล้วและฮ่องเต้ได้นำทหารองครักษ์กลุ่มใหญ่มายืนที่ทางเข้าตำหนักศศิเหมันต์ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว จางหยวนอยู่เคียงข้างเขา เขาท่าทางหนักใจและไม่ต้องการพูด

อาจเป็นเพราะเขาจ้องไปที่ประตูตำหนักศศิเหมันต์นานเกินไปเพราะฮ่องเต้เซไปมาสองครั้งและรู้สึกงุนงงเล็กน้อย ในที่สุดเขาก็ตั้งหลักได้ เขาตะโกนเสียงดังไปที่ตำหนักศศิเหมันต์ “ผู้คนข้างในฟัง ! เปิดประตู ! พระชายาหยุนหนีออกจากพระราชวังเป็นสิ่งที่เรารู้แล้ว เรามาวันนี้เพื่อจับทุกคนที่นี่ ทุกคนที่มีส่วนร่วมในการปิดบังการที่พระชายาหยุนออกจากพระราชวัง จะถูกประหารทั้งครอบครัว ! ”

นี่คือการตะโกนโดยใช้ความแข็งแกร่งภายในที่ไม่ได้ใช้มานานหลายปี เสียงตะโกนนี้มีลักษณะที่น่าประทับใจเล็กน้อย นอกจากนี้ยังมีคบเพลิงส่องสว่างในพื้นที่ทำให้ฉากรู้สึกตื่นเต้นมาก ดูเหมือนว่าบางสิ่งจะแตกออกได้ทุกเวลา

อย่างไรก็ตามยังไม่มีการเคลื่อนไหวจากด้านในของตำหนักศศิเหมันต์

ฮ่องเต้ไม่หดหู่ใจ เขาดำเนินการต่อไป “เรากำลังพิจารณาว่าพระชายาหยุนอยู่ที่นี่มานานแล้ว และเราไม่มีความปรารถนาที่จะทำลายมัน เปิดประตูด้วยตัวเอง หากเจ้าร่วมมือ การลงโทษครอบครัวของเจ้าสามารถเจรจาได้”

จางหยวนจ้องไปที่ด้านข้าง สถานการณ์แบบนี้เป็นแบบไหน ? เขาสูญเสียท่าทางที่น่าประทับใจในประโยคเพียงไม่กี่ประโยค ?

ฮ่องเต้ก็รู้สึกว่านี่เป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม ดังนั้นเขาจึงตะโกนว่า “เปิดประตูอย่างรวดเร็ว ! มันจะดีที่สุดถ้าเจ้ายอมแพ้ ! เจ้าต้องรู้ว่าในพระราชวังแห่งนี้ใครเป็นคนสุดท้ายที่พูดอย่างนั้น ? อย่าคิดว่าเราไม่กล้าพังประตูของเจ้า เราแค่รู้สึกเสียใจสำหรับประตูนี้ และรู้สึกเป็นทุกข์ที่ตำหนักศศิเหมันต์แห่งนี้ หากเจ้ายังคงทำตัวโง่เขลา อย่าโทษเราที่บังคับให้เราเข้าไปจับทุกคน ! ”

คราวนี้มันเป็นทหารยามของฮ่องเต้ที่ล้อมรอบบริเวณที่รู้สึกไม่น่าเชื่อ พวกเขารู้สึกว่ามีความเข้าใจผิดที่ยิ่งใหญ่ พวกเขาไม่ได้มากับฮ่องเต้เพื่อจับพระชายาของฮ่องเต้ที่หนีออกจากพระราชวังหรอกหรือ ? ทำไมพวกเขาถึงรู้สึกเหมือนพวกเขาเป็นโจร ?

ฮ่องเต้ยังคงกล่าวต่อไปว่า “การปล่อยพระชายาให้หนีออกจากพระราชวังอย่างลับ ๆ เจ้ารู้หรือไม่ว่าความผิดนั้นร้ายแรงขนาดไหน ? ผู้คนในตำหนักศศิเหมันต์ได้รับความโดดเด่นยิ่งขึ้น ! เราจะนับหนึ่งถึงสิบเพื่อให้เปิดประตู ไม่เช่นนั้นเราจะไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องพังประตูเข้าไป ! ”

คราวนี้ในที่สุดก็มีเสียงที่มาจากข้างใน มันเป็นเสียงของเด็กสาว ฮ่องเต้สามารถบอกได้ว่ามันเป็นองครักษ์เงาหญิงที่มักจะพูดกับพระชายาหยุนเสมอ แต่เขาได้ยินนางกล่าวว่า “ฝ่าบาท คำพูดที่ฝ่าบาททรงตรัสไว้เมื่อ 20 ปีที่แล้ว ฝ่าบาทจำได้หรือไม่ ! นับตั้งแต่วันที่ตำหนักศศิเหมันต์ถูกสร้างขึ้น ฝ่าบาทบอกว่าเราบ่าวรับใช้ที่ให้ดูแลพระชายาหยุน ให้ฟังพระชายาหยุนเพียงคนเดียวเท่านั้น ไม่ต้องพูดถึงการช่วยนางหลบหนีจากพระราชวัง ถึงแม้ว่านางต้องการจะฆ่าตัวตาย แต่เราก็ต้องช่วยนาง เป็นไปได้หรือไม่ที่ฝ่าบาทได้ลืมสิ่งที่ฝ่าบาททรงตรัสไว้เมื่อ 20 ปีที่แล้ว ? ”

ฮ่องเต้กัดฟันของเขาด้วยความโกรธ “สถานการณ์เปลี่ยนไป ! เราแก่แล้วและจำอะไรไม่ได้ ! เปิดประตูอย่างรวดเร็วและยอมให้เราจับกุม ! ”

องครักษ์เงาหญิงยังคงกล่าวต่อไป “ฝ่าบาทไม่มีจุดประสงค์ในการใช้รูปแบบการต่อสู้ พระชายาหยุนของเรากล่าวว่าหากฝ่าบาทต้องการเล่นเพียงเล่นรอบนอก ทั้งสองวิธีนางไม่ได้ตั้งใจจะนอนหลับตลอดทั้งคืน เพียงแค่ปฏิบัติต่อมันเพื่อบรรเทาความเบื่อหน่ายของนาง ! พระชายายังบอกอีกว่าฝ่าบาทสามารถทุบตำหนักศศิเหมันต์แห่งนี้ได้ถ้าต้องการ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด มันเป็นดินแดนของราชวงศ์ หากมันถูกทำลายก็จะได้รับการซ่อมแซมโดยใช้เงินจากท้องพระคลัง นางคิดว่าประตูนี้น่าเกลียดและต้องการทำประตูใหม่มา โจมตี ! แต่ฝ่าบาทต้องคิดอย่างรอบคอบ พระชายากล่าวว่าหากมีวันหนึ่งที่ฝ่าบาทโจมตีประตู ความเคารพที่มีอยู่ระหว่างท่านทั้งสองจะหายไปโดยสิ้นเชิง ! บ่าวรับใช้ผู้นี้ได้ถ่ายทอดคำพูดของพระชายาหยุนต่อฝ่าบาท โปรดทำตามที่เห็นสมควร ! ” หลังจากพูดอย่างนี้แล้วจะไม่มีเสียงอีกต่อไป

ฮ่องเต้เข้ามาแทนที่ เมื่อมองไปที่ประตูแห่งตำหนักศศิเหมันต์ เขาเริ่มการต่อสู้ภายในอีกรอบ เขาควรโจมตีหรือไม่ หากเขาไม่ทำเช่นนั้น เขาจะเสียโอกาสนี้ไป ถ้าเขาโจมตีแล้วจะเกิดอะไรขึ้นถ้านางโกรธ ?

เขายังคงขัดแย้งกันมานาน ไม่สามารถยืนหยัดต่อไปได้อย่างแท้จริง เขากระทุ้งศอกของเขา “เจ้าคิดว่าอย่างไร ! ”

ใจของจางหยวนล่มสลาย และเขาไม่ต้องการตอบ เขาบอกฮ่องเต้ว่า “ฝ่าบาทคือฮ่องเต้ ฝ่าบาทเคยได้ยินเกี่ยวกับฮ่องเต้ที่ถามความคิดของขันทีหรือไม่พะยะค่ะ ? ”

“ตอนนี้ยังไม่มี ! ” ฮ่องเต้พูดด้วยท่าทางที่กล้าหาญและมั่นใจ “คิดอย่างรวดเร็ว เราควรโจมตีประตูนี้หรือไม่ ? ”

จางหยวนยักไหล่ “อาจโจมตีได้ ! พระชายาหยุนไม่ได้พูดหรือว่านางต้องการประตูใหม่ หากฝ่าบาทกลัวว่านางจะให้ความสนใจฝ่าบาทน้อยลงในอนาคต เพียงแค่บอกว่าฝ่าบาทไม่ได้โจมตีตำหนักศศิเหมันต์ ฝ่าบาทแค่เปลี่ยนประตูให้พระชายา ถ้ายังไม่ได้เข้าไป ก็ให้บ่าวรับใช้คำนวณว่าจะต้องเสียค่าใช้จ่ายเท่าไรในการเข้าประตูนี้”

เมื่อได้ยินแบบนี้ องครักษ์เงาหญิงเปล่งเสียงของนางอีกครั้ง “นางต้องการประตูทองคำบริสุทธิ์ ! ”

“ลืมมันซะ ! ” ฮ่องเต้โบกมือแล้วหันไปออกไป “เราไม่โจมตี ประตูทองคำบริสุทธิ์ หากเราต้องวางประตูทองคำบริสุทธิ์ และคำพูดของพลเมืองที่ได้ยินเรื่องนี้พวกเขาจะพูดอย่างแน่นอนว่าข้าเป็นผู้ปกครองที่เอาแต่ใจตัวเอง ! ไม่ดี ไม่ดี แผนนี้ไม่ดี กลับไปและคิดให้รอบคอบ มีวิธีอื่นที่จะพานางออกมา”

จางหยวนรีบตามไปด้านหลัง แม้กระนั้นเขาถอนหายใจโล่งอกด้านใน เขาไม่กลัวสิ่งอื่นใด เขาแค่กลัวว่าคนในตำหนักศศิเหมันต์จะตกหลุมพราง หากพวกเขาเชื่ออย่างแท้จริงว่าฮ่องเต้รู้เรื่องเกี่ยวกับพระชายาหยุนออกจากพระราชวัง จากนั้นวางแผนที่จะเป็นผู้นำการโจมตีในพระราชวัง ปีแห่งความเงียบงันที่ผ่านมานี้จะไร้ผล

โชคดี โชคดีจริง ๆ ในท้ายที่สุดคนของตำหนักศศิเหมันต์เป็นเพียงนี้ เห็นได้ชัดว่ามันเป็นเมืองที่ว่างเปล่า แต่พวกเขาก็ยังสามารถแสดงได้ดี

หลังจากที่ฮ่องเต้จากไป ฮ่องเต้ก็ออกเดินทาง หลังจากนั้นไม่นานประตูของพระราชวังก็เปิดออกเล็กน้อย และมีหัวเล็ก ๆ โผล่ออกมาเพื่อมองไปรอบ ๆ ก่อนที่จะดึงกลับเข้าไป ประตูถูกปิดด้วย

“น่ากลัว น่ากลัวเกินไป” ในตำหนักศศิเหมันต์ นางกำนัลที่ดูแลพระชายาหยุนตบหน้าอกนางแล้วกล่าวว่า “คราวนี้ข้ากลัวจนตายจริง ๆ ข้าคิดว่าในที่สุดเรื่องของพระชายาจะถูกเปิดเผย หากอฮ่องเต้อดทนได้นานกว่านี้อีกหน่อย เราคงไม่สามารถซ่อนมันต่อไปได้”

ยายแก่กลัวยิ่งกว่านางอีก นางถอนหายใจ “ชีวิตแก่ ๆ ของข้า ! ไม่ช้าก็เร็วจะต้องให้คำอธิบายแก่ฮ่องเต้”

นางกำนัลที่ดูแลตำหนักศศิเหมันต์, ซูหยูให้คนช่วยยายขึ้นมาโดยไม่พูดอะไร “เราทำได้แค่รอเวลา องค์ชายเก้าได้ออกจากเมืองหลวงไปรับพระชายา พวกเขาคงจะกลับมาภายในสองสามวันนี่”

“จริงหรือเจ้าคะ ? ” หญิงสาวในพระราชวังยิ้มเมื่อได้ยินสิ่งนี้ จากนั้นนางก็คุกเข่าและโค้งคำนับอย่างรวดเร็วไปทางทิศตะวันออกสวดอ้อนวอน “สวรรค์โปรดอำนวยพรและปกป้อง โปรดอนุญาตให้พระชายากลับมาอย่างรวดเร็วและปลอดภัยด้วยเจ้าคะ ! ”

นี่คือสิ่งที่ทุกคนในตำหนักศศิเหมันต์ต้องการ พวกเขาหวังมัน เป็นเวลาเกือบหนึ่งปี อย่างไรก็ตามพวกเขายังไม่ได้เห็นร่างของพระชายาหยุน ยางครั้งซูหยูจะสับสน และนางก็รู้สึกว่าพระชายาหยุนอาจไม่กลับมา พวกเขาจะต้องปกป้องตำหนักศศิเหมันต์อันว่างเปล่า พวกเขาจะต้องปกป้องเจ้านายที่ไม่ได้อยู่ที่นั่น โชคดีที่องค์ชายเก้า และองค์หญิงจี่อันกลับมายังเมืองหลวง ในที่สุดตำหนักศศิเหมันต์ก็มีความหวัง

ความมีชีวิตชีวาในด้านนี้ถูกสื่อไปยังพระสนมหยวนชูโดยหรงเจิ้ง หลังจากพูดจบเขาก็ส่ายหัวอย่างไม่มีประโยชน์ “มันเป็นความผิดของบ่าวรับใช้คนนี้ที่ไม่ทำงานอย่างละเอียด ข้าไม่เคยคิดเลยว่านี่จะเป็นอีกหนึ่งแผนของฮ่องเต้ขอรับ”

หยู่ซู่ถอนหายใจ และกล่าวว่า “ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ฮ่องเต้ใช้พลังงานไปไม่น้อยในการพยายามหลอกล่อพระชายาหยุน ใครจะรู้ว่าคนของตำหนักศศิเหมันต์ยากที่จะหลอกลวง”

พระสนมหยวนชูฟังทั้งสอง และไม่ได้พูด หลังจากหยู่ซู่เรียกนางไม่กี่ครั้งนางก็ตอบสนองในที่สุด อย่างไรก็ตามนางกล่าวว่า “การกระทำนี้ไม่ได้ทำอะไรเลย”

“หืม?” หยู่ซู่ตกตะลึง “พระสนมคิดอย่างไรเจ้าคะ ? ”

พระสนมหยวนชูกล่าวว่า “คิดหาวิธีส่งภายใน โดยการให้ฮ่องเต้เข้าไปเท่านั้น จะทำให้พระชายาหยุนหายตัวไปจากตำหนักศศิเหมันต์”

หยู่ซู่ขมวดคิ้ว “แต่พระองค์จะเข้าได้อย่างไรเจ้าคะ ? เพื่อเข้าสู่ตำหนักศศิเหมันต์ ฝ่าบาททำงานหนักมา 20 ปีแล้ว ตอนนี้…”

ริมฝีปากของพระสนมหยวนชูขดตัวขึ้นเล็กน้อย “ฮ่องเต้เข้าไปไม่ได้ ดังนั้นลองคิดถึงวิธีที่จะส่งเขาเข้าไป อย่ารู้สึกกังวล ให้ข้าคนนี้คิดอย่างรอบคอบ”

ภายในคฤหาสน์ขององค์หญิงในเมืองหลวง เฟิงหยูเฮงและเหยาเซียนได้ทำงานร่วมกันเพื่อนำฟู่โหร่งออกจากมิติ ในขณะนี้นางจะถูกอยู่ในห้องเก็บยา เหยาเซียนส่งน้ำยาให้กับเฟิงหยูเฮงเพื่อดูแล้วบอกนางว่า “ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ฉีดวันละครั้ง เมื่อเช้านี้ข้าฉีดให้นางตอนแปดโมง เจ้าควรฉีดนางประมาณแปดโมงเช้า” เมื่อทั้งสองพูด พวกเขาพูดทันสมัยเป็นนิสัยมากขึ้น เฟิงหยูเฮงสามารถค้นหาสไตล์ศตวรรษที่ 21 ของนางเมื่อนางอยู่กับเขา

นางยิ้มอย่างขมขื่น นางอาศัยอยู่ในราชวงศ์ต้าชุนนานเกินไป นานมาแล้วที่นางเกือบลืมว่านางเป็นใคร

เหยาเซียนออกจากคฤหาสน์ขององค์หญิงเพื่อไปคฤหาสน์เหยา เฟิงหยูเฮงออกจากห้องเก็บยา และสั่งให้บ่าวรับใช้หาผ้าปูที่นอนชุดใหม่สำหรับห้องเก็บยา ในเวลานี้มีหญิงสาวคนหนึ่งวิ่งมาหานาง และพูดอย่างเร่งด่วนว่า นายน้อยคนโตของตระกูลเหยาคงจะดื่มมาก และบอกว่าเขาอยากพบคุณหนูเจ้าค่ะ ! ”

ตอนที่ 631 มาตราส่วนย้อนกลับของฮ่องเต้

รถม้าราชสำนักของเฟิงหยูเฮงหยุด และคนขับไม่สามารถหยุดตัวเองจากการสาปแช่ง หวงซวนยืนขึ้นอย่างรวดเร็วและยกม่านขึ้นเพื่อมองออกไปข้างนอก พวกเขาได้ยินเสียงของนางส่งเสียง “อ่า” ตกใจแล้วหันไปรอบ ๆ แล้วพูดกับเฟิงหยูเฮง “เป็นช่างฝีมือเป่ย” ในขณะเดียวกันนางก็บอกคนขับว่า “คนนี้เรารู้จัก”

เฟิงหยูเฮงกล่าวในเวลานี้ “เชิญช่างฝีมือเป่ยขึ้นรถเร็ว” ขณะที่นางพูดนางยืนขึ้น และช่วยช่างฝีมือเป่ยเข้ามาในรถม้าเรียกเขาว่า “ท่านลุงเป่ย”

ช่างฝีมือเป่ยโบกมืออย่างรวดเร็วพูดซ้ำ ๆ ว่า “ข้าไม่กล้า ข้าไม่กล้า ชายชราผู้นี้คารวะองค์หญิง” ขณะที่เขาพูด เขาก็คุกเข่า

เฟิงหยูเฮงหยุดเขาอย่างรวดเร็ว และกล่าวว่า “ท่านลุงไม่จำเป็นที่จะต้องสุภาพ ตามความสัมพันธ์ระหว่างฟูหรงกับข้า ข้าควรเรียกท่านว่าท่านลุง เข้ามานั่งเร็ว”

ช่างฝีมือเป่ยไม่รอช้า เมื่อย้ายเข้าไปในรถม้าราชสำนัก เขานั่งข้าง ๆ และนั่งตรงข้ามจากวังซวนและหวงซวน รถม้าเดินหน้าต่อไป

วังซวนเห็นว่าเขารู้สึกสับสนเล็กน้อย และมีเหงื่อบริเวณหน้าผากของเขาเล็กน้อย หลังจากนั่งลงเขาจะยกม่านขึ้นและมองออกไปเป็นครั้งคราว นางอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอยากรู้อยากเห็นและถามว่า “ช่างฝีมือเป่ยพยายามหลีกเลี่ยงใครหรือ ? ” ในขณะที่พูดนางรินน้ำชาที่เตรียมไว้ในรถม้าลงถ้วยชาให้เขา

ช่างฝีมือเป่ยรับมัน และกระดกมันลงในอึกหนึ่งก่อนที่จะกล่าวว่า “ไม่ปิดบังจากองค์หญิง ข้าได้รับคำสั่งจากฮองเฮาว่าองค์หญิงเชิญข้ามาช่วยแก้ไขเครื่องประดับบางอย่าง ทำให้ข้าได้รับอนุญาตให้ออกพระราชวัง ข้าถูกกักอยู่ในพระราชวังเป็นเวลาเกือบหนึ่งปี ในที่สุดเมื่อข้าถูกปล่อยออกจากพระราชวัง ข้าควรจะรอองค์หญิงที่ประตูของพระราชวัง แต่เพราะเราไม่ได้ออกจากประตูเดียวกันกับการประชุมเชิงปฏิบัติการที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของพระราชวังเก่า ข้ากำลังคิดว่าจะกลับไปที่คฤหาสน์ก่อนเพื่อไปหาฟูหรง ทำให้ข้ารู้สึกเหมือนมีคนติดตามข้าตลอดเวลา หลังจากมองกลับไปสองสามครั้งข้าไม่เห็นใครเลย แต่ความรู้สึกนั้นยังคงอยู่ ในเวลานั้นข้าบังเอิญเห็นรถม้าราชสำนัก จากนั้นข้าก็เรียกความกล้าที่จะหยุด”

“มีคนกำลังติดตามอยู่ ? ” เฟิงหยูเฮงขมวดคิ้วแล้วตะโกน “บานซู ไปดูหน่อย”

นางได้ยินเสียงจาง ๆ ที่แทบจะสังเกตไม่ได้ และรู้ว่ามันต้องจากบานซูไป สงบสติอารมณ์นางกล่าวกับช่างฝีมือเป่ย “ข้าจะตรวจสอบเรื่องนี้ ท่านลุงสบายใจได้เจ้าค่ะ”

จากนั้นช่างฝีมือเป่ยถามเฟิงหยูเฮง “ข้าได้ยินมาว่าองค์หญิงต้องการให้ข้าช่วยซ่อมเครื่องประดับเสริมหรือขอรับ ? ”

เฟิงหยูเฮงเล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างตระกูลหลู่กับศาลาหงส์เพลิงเมื่อวันก่อน ช่างฝีมือเป่ยได้ยินเรื่องนี้แล้วก็กล่าวอย่างเย็นชา “เพราะนี่เป็นองค์หญิงและตระกูลเหยา ข้าจึงทำให้ แต่ถ้าเป็นของตระกูลหลู่คนเดียว ข้าจะไม่ยอมรับงานนี้อย่างแน่นอน”

เฟิงหยูเฮงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ถ้ามันเป็นเพียงเพื่อตระกูลหลู่, อาเฮงก็จะไม่พาท่านลุงเป่ยออกจากพระราชวัง แน่นอน…” นางลดเสียงของนางลง และกล่าวว่า “การซ่อมเครื่องประดับเสริมเป็นเพียงข้อแก้ตัว ที่สำคัญที่สุดคือข้าต้องการพาท่านลุงออกจากพระราชวังเจ้าค่ะ”

ทุกคนในปัจจุบันฉลาด ช่างฝีมือเป่ยอยู่ในพระราชวังมานานแล้ว มีงานจริง ๆ ที่เขาทำไม่ได้และถูกขังไว้ แม้ว่าเขาจะไม่มีเงื่อนงำใด ๆ แต่เขาก็ยังสามารถเดาเหตุผลได้ไม่มากก็น้อย การได้ยินเฟิงหยูเฮงพูดความคิดของเขากลายเป็นความเด็ดเดี่ยวมากยิ่งขึ้น แต่รถม้าราชสำนักที่นั่งอยู่ในปัจจุบันนั้นไม่ใช่สถานที่ที่เหมาะสำหรับการพูดคุย เขาเปลี่ยนหัวเรื่อง เขากล่าวกับเฟิงหยูเฮง “เครื่องมือสำหรับการทำงานเกี่ยวกับเครื่องประดับเสริมล้วนแต่อยู่ในคฤหาสน์ของข้า องค์หญิงต้องการให้ข้าทำงานที่คฤหาสน์ของหรือทำที่ศาลาหงส์เพลิง ? ”

เฟิงหยูเฮงส่ายหัวของนาง “ไม่ว่าที่ไหนก็ไม่ปลอดภัย ท่านลุงตามข้ากลับไปที่คฤหาสน์ขององค์หญิงในฐานะแขก สำหรับเครื่องมือเหล่านั้น ข้าจะส่งคนไปเอาที่คฤหาสน์เองเจ้าค่ะ”

ทั้งสองไม่พูดอะไรอีก และพวกเขาก็มาถึงด้านหน้าของคฤหาสน์ขององค์หญิง

หวงซวนช่วยช่างฝีมือเป่ยลงจากรถม้า ขณะที่วังซวนช่วยเฟิงหยูเฮงออกมา ทุกคนกลับตรงไปที่เรือนของเฟิงหยูเฮง เฟิงหยูเฮงโบกมือและไล่บ่าวรับใช้ที่ดูแลสนามหญ้า จากนั้นนางจึงนำช่างฝีมือเป่ยไปสู่ห้องโถงของเรือนเล็ก ๆ

ช่างฝีมือเป่ยไม่สามารถทนรอได้อีกต่อไป เมื่อเข้ามาในห้องเขาถามทันที “องค์หญิงรู้หรือไม่ว่าฟูหรงอยู่ที่ไหน”

เฟิงหยูเฮงตอบคำถาม “ท่านลุงคิดว่านางน่าจะอยู่ที่ไหน ? ”

“นี่…” ช่างฝีมือเป่ยก็ลังเลเล็กน้อย โดยปกติแล้วเป่ยฟูหรงควรจะอยู่ในคฤหาสน์ แต่เขาอยู่ในพระราชวังมาหลายเดือนแล้วและสิ่งต่าง ๆ ก็ยิ่งอันตรายมากขึ้นในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา เมื่อมาถึงจุดนี้การออกจากพระราชวังทำให้เขารู้สึกราวกับว่ามีใครบางคนกำลังไล่ตามเขา ความปลอดภัยของเป่ยฟูหรงไม่ได้รับการรับรองอีกต่อไป

เขาพูดถึงความรู้สึกในใจของเขากับเฟิงหยูเฮง เฟิงหยูเฮงไม่ซ่อนมันจากเขาต่อไป นางเล่าให้ฟังว่าคนของเฉียนโจวค้นพบเป่ยฟูหรงอย่างลับ ๆ และเล่าเรื่องทุกอย่างให้นางฟัง นอกจากพิษที่ว่าเป่ยฟูหรงโดนแล้ว นางก็ไม่ได้ปิดบังอะไรเลย

ช่างฝีมือเป่ยไม่เคยคิดว่าสถานการณ์ภายนอกจะพัฒนาไปในระดับนี้ เมื่อเขาได้ยินว่าเป่ยฟูหรงได้ติดตามกองทัพไปยังเฉียนโจวจริง ๆ เขารู้สึกตกใจมากขึ้น อย่างไรก็ตามสิ่งที่เฟิงหยูเฮงพูดถึง แม้ว่าเขาจะไม่ได้มีส่วนร่วมก็ตาม เขารู้แน่นอนว่านางกำลังพูดความจริง ประการแรกไม่จำเป็นที่เฟิงหยูเฮงจะหลอกเขา ประการที่สองในเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับคังอี้เมื่อหลายปีก่อน ถ้าด้านของเฉียนโจวไม่ต้องการที่จะเปิดเผยมันคงเป็นไปไม่ได้ที่เฟิงหยูเฮงจะรู้

เขาถอนหายใจยาวแล้วก็พยักหน้า เขายอมรับความสัมพันธ์ที่โชคร้ายของเขา ในขณะเดียวกันเขาก็บอกกับเฟิงหยูเฮงว่า “ในความเป็นจริงแล้วเป่ยฟูหรงนั้นมีอายุมากกว่ารุ่ยเจีย หลังจากที่เราหลบหนีมายังราชวงศ์ต้าชุน เรากลัวว่าตัวตนของเราจะถูกเปิดเผย ดังนั้นข้าจึงเปลี่ยนการลงทะเบียนของนางหลังจากที่นางโตขึ้นอีกเล็กน้อย ข้ายังได้จดทะเบียนปีเกิดของนางในอีกสองปีต่อมา องค์หญิง…” เขาถามอย่างกระวนกระวายใจ “ตอนนี้ฟูหรงเป็นอย่างไรบ้าง ? ”

“สบายใจได้” นางบอกช่างฝีมือเป่ย “ท่านปู่เหยาเซียนพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อรักษานาง ข้าแค่ทำให้นางมีชีวิตอยู่ เกี่ยวกับเครื่องประดับเสริมเหล่านั้นให้แก้ไขอย่างช้า ๆ ไม่มีการรีบเร่ง”

ช่างฝีมือเป่ยถอนหายใจยาว เขารู้ว่าสถานการณ์นั้นซับซ้อน ดังนั้นเขาจึงไม่ถามต่อ ด้วยการรับประกันของเฟิงหยูเฮง เขาเชื่อมั่นว่าทุกสิ่งจะผ่านไปสักวัน เฉียนโจวล่มสลายและคังอี้เสียชีวิต แม้แต่กระดูกเก่าของเขาก็เริ่มมีกลิ่นสกปรก อีกกี่ปีที่เขาจะยึดมั่นเพื่อ ? ในที่สุดเขาหวังว่าเขาจะได้เห็นบุตรสาวของเขาใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบายในชีวิตนี้

หวงซวนพาช่างฝีมือเป่ยไปที่เรือนรับรองแขก จากนั้นนำเครื่องมือทั้งหมดจากคฤหาสน์ไปยังเรือน ช่างฝีมือเป่ยตรงเข้าไปทำงานของเขาและไม่ได้พูดคุยกับบุคคลอื่น

หลังจากเฟิงหยูเฮงข่มขู่พระสนมหยวนชู การโต้เถียงกันที่ตำหนักจิงซี ฮองเฮาเอนหลังพิงเตียงอิฐอุ่น ๆ ด้วยความวิตกกังวลฟางอี้ดูแลนางอย่างดีจากด้านข้าง ปอกองุ่นให้นางทีละลูก

ฮองเฮามองไปที่องุ่นที่ปอกเปลือกแล้วจู่ ๆ ก็ถามฟางอี้ว่า “เจ้าเชื่อในสิ่งที่พระสนมหยวนชูบอกหรือไม่ ? ”

ฟางอี้หยุดปอกองุ่นชั่วครู่ก่อนที่จะเริ่มขึ้นอีกครั้ง ในเวลาเดียวกันนางตอบว่า “อย่างที่บ่าวรับใช้ผู้นี้เห็น ไม่ว่าจะเป็นพระชายาหยุนอยู่ในพระราชวังหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ที่พระสนมหยวนชูรายงานว่ามีเหตุการณ์แปลก ๆ เกิดขึ้น”

“มีการเคลื่อนไหวแปลก ๆ จากตำหนักศศิเหมันต์หรือไม่ ? ” นางคิดก็ถามอย่างไม่แน่นอน “พระชายาหยุนนั้นแปลกเสมอ หากนางเปลี่ยนการจัดการของนางในทันทีทันใดนั้นก็ไม่แปลกเกินไป”

ฟางอี้พยักหน้า “ที่จริงสถานที่ที่ยากที่สุดที่จะเข้าใจคือตำหนักศศิเหมันต์ และฝ่าบาททรงปกป้องอย่างมาก คนนอกไม่สามารถเข้าไปข้างในได้แม้แตคนเดียว ถ้าเราเชื่อว่าคำพูดของพระสนมหยวนชูเป็นเรื่องจริงและฝ่าบาทจะดำเนินการ ถ้าพระชายาหยุนยังคงอยู่ในตำหนักของนาง นั่นจะเป็นความผิดขนานใหญ่ ฝ่าบาทจะไม่ลงเอยด้วยการลงทัณฑ์หรือเพคะ ?  ”

“แต่ถ้าพระชายาหยุนไม่อยู่จริง ๆ ล่ะ ? ” ฮองเฮายิ้มอย่างขมขื่น “ถ้านางไม่อยู่ที่นั่นจริง ๆ ข้าในฐานะฮองเฮาก็จะถูกลงโทษอย่างรุนแรงเพราะไม่สามารถควบคุมพระสนมได้ พระสนมได้หลบหนีไป พระชายาหยุน โอ้ พระชายาหยุน เจ้าทำให้เกิดปัญหาใหญ่สำหรับข้า”

ฟางอี้วางชามองุ่นที่ถูกปอกเปลือกไว้ตรงหน้าฮองเฮา “พระนางทานหน่อยเพคะ นี่คือองุ่นไร้เมล็ดที่เพิ่งนำเข้ามาในพระราชวัง มันจะหวานเมื่อปอกเปลือกเจ้าค่ะ”

ฮองเฮาจะอยู่ในอารมณ์ที่จะกินได้อย่างไร มองไปที่ชามองุ่นราวกับว่านางกำลังดูชามยาหม้อที่มีรสขม นี่ทำให้นางหยิบยาที่เฟิงหยูเฮงทิ้งไว้โดยพูดอย่างมีความสุข “ผู้หญิงคนนั้นเก่งมากจริง ๆ นางยังสามารถผลิตยาประเภทนี้ได้ เป็นเรื่องดีที่นางมีความรู้สึกกตัญญู ไม่งั้นข้าคงฟื้นตัวได้ยาก”

ฟางอี้พูดอย่างไร้ประโยชน์ “มีเรื่องหนึ่งที่ข้าไม่ต้องการพูดถึงเพราะกลัวว่าจะส่งผลให้การฟื้นตัวของพระนางเพคะ ข้ายังคิดเกี่ยวกับการตรวจสอบเป็นการส่วนตัวเพียงรายงานเมื่อสิ่งต่าง ๆ ถูกแยกออก แต่หลังจากคิดเกี่ยวกับมัน ข้าก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเริ่มจากตรงไหน ข้าขอความคิดจากพระนางเพคะ” นางบอกกับฮองเฮาเกี่ยวกับสิ่งที่เฟิงหยูเฮงพูด แล้วถามว่า “พระองค์ควรสอบสวนเรื่องนี้เริ่มต้นจากสำนักแพทย์หลวงหรือตำหนักในเพคะ”

ฮองเฮาไม่ได้พูดมานาน ดูเหมือนนางจะคิดอะไรบางอย่าง ฟางอี้ถามย้ำอีกครั้ง นางจึงตอบ “มีหลายสิ่งที่เกิดขึ้นในพระราชวัง และในที่สุดก็มีคนเริ่มวางแผนต่อต้านหนึ่งนี้ สิ่งที่สามารถทำได้หากมีการตรวจสอบ ? หากมีใครกล้าทำสิ่งนี้ก็หมายความว่าพวกเขาไม่กลัวที่จะถูกสอบสวนเพราะไม่มีอะไรสามารถเปิดขึ้นได้ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมามีการขาดแคลนเรื่องที่ไม่ชัดเจนและไม่ยุติธรรมในพระราชวังหรือไม่?”

“พระองค์หมายถึง…เราจะไม่สอบสวนหรือเจ้าค่ะ”

“ข้าไม่ได้บอกว่าเราจะไม่สอบสวน มันเป็นเพียงแค่ว่ามันไม่สำคัญ” จิตใจของฮองเฮาเต็มไปด้วยความคิดที่ว่าพระชายาหยุนอยู่ในพระราชวังหรือไม่ หากนางไม่เข้าใจสิ่งนี้อย่างชัดเจน นางจะรู้สึกไม่สบายใจ

ฟางอี้คิดไปซักพักแล้วกล่าวว่า “ข้าคิดว่ามีเพียงคนเดียวที่เราสามารถทำงานกับเรื่องนี้ได้ บุคคลนั้นเป็นองค์หญิง ไม่ว่าพระชายาหยุนจะอยู่ในพระราชวังหรือไม่ เราต้องจับตามองพระสนมหยวนชู เมื่อมีการเคลื่อนไหวใด ๆ จากด้านข้างของนาง เราต้องส่งข้อความทันทีจากพระราชวัง สำหรับสิ่งที่ควรทำคิดให้ดีถ้ามีอะไรผิดพลาดจริง ๆ องค์หญิงและองค์ชายเก้าควรรู้สึกกังวลมากกว่าที่เราเป็น หากไม่มีอะไรผิดปกติถือได้ว่าเป็นการมอบความโปรดปรานแก่นางเพคะ”

ฮองเฮาพยักหน้าชื่นชมฟางอี้ “เจ้าฉลาดขึ้นจริง ๆ ” เมื่อความคิดนี้ถูกนำขึ้นมาอารมณ์ของนางก็ดีขึ้น และนางก็เริ่มจิ้มองุ่นเข้าไปในปากของนาง “อืม หวานจริง ๆ ” หลังจากคิด อีกหน่อยนางเตือน “เรื่องนี้ฝ่าบาทจะต้องไม่รู้เรื่องนี้ ถ้าไม่อย่างนั้นฝ่าบาทจะต้องเป็นบ้าเมื่อได้ยินเรื่องเกี่ยวกับพระชายาหยุน ราชสำนักจะต้องไม่ตกอยู่ในความวุ่นวายด้วยเหตุนี้ ! ”

เมื่อพูดถึงตำหนักชุนชาน หลังจากพระสนมหยวนชูถูกข่มขู่โดยเฟิงหยูเฮง นางก็รู้สึกลังเลเล็กน้อย นางคิดอย่างรอบคอบว่านางวู่วามเกินไป แม้ว่าพระชายาหยุนจะไม่ดำรงตำแหน่งที่ทรงพลังที่สุดในพระราชวัง แต่ในจิตใจของจักรพรรดินั้นแตกต่างกัน ไม่ใช่คนเดียวในพระราชวังแห่งนี้รวมถึงฮองเฮาสามารถกุมพระทัยของฮ่องเต้ได้ เหตุผลของเรื่องนี้ก็คือเมื่อฮ่องเต้ได้ออกจากพระราชวังและพบพระชายาหยุนในหมู่บ้านบนภูเขา นับตั้งแต่เขามีพระชายาหยุน เขาไม่ได้รับพระสนมอีกคนเข้าในพระราชวัง ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเขายังคงอยู่คนเดียวในห้องโถงจาวเหอ โดยอาศัยอยู่อย่างขันที ปฏิสัมพันธ์ของเขากับฮองเฮามีไว้เพื่อแสดงเท่านั้น เมื่อมาถึงพระสนมของจักรพรรดิ เขาไม่ต้องการแม้แต่จะเคลื่อนไหว

การดำรงอยู่แบบนี้เมื่อนางแหย่มันโดยไม่คำนึงว่าจะประสบความสำเร็จหรือไม่นางก็จะแหย่ในระดับที่ตรงกันข้ามของฮ่องเต้ หากนางทำสำเร็จ นางอาจจะกุมพระทัยของฮ่องเต้ได้อีกครั้ง แต่หากนางล้มเหลว นางคงหนีความตายไม่พ้น

พระสนมหยวนชูคิดอย่างรอบคอบ และไม่สามารถช่วยได้แต่เริ่มรู้สึกกลัว ตัวสั่นกลับมายืดตัวตรงอย่างสมบูรณ์ ขณะที่นางกำลังจะบอกหยู่ซู่ว่าจะไม่นำมันขึ้นมาอีกนาง เห็นขันทีหรงเจิ้งเข้ามาอีกครั้ง และกล่าวกับนางอย่างเงียบ ๆ ว่า “พระสนมหยวนชู มีความเคลื่อนไหวที่ตำหนักศศิเหมันต์อีกครั้งพะยะค่ะ”

——————————————————————————————————

TN: สเกลย้อนกลับหมายถึงจุดบนมังกรที่เมื่อถูกสัมผัสจะส่งผลให้มังกรบินไปสู่ความโกรธ

ตอนที่ 630 การข่มขู่ที่มาจากองค์หญิงจี่อัน

ฟางอี้เห็นปฏิกิริยาของเฟิงหยูเฮง แต่เชื่อว่านางเพียงต้องการหลีกเลี่ยงการทำสิ่งใดเพื่อกระตุ้นความสงสัยทำให้นางไม่กล้าเดินหน้าต่อไป นางยกผ้าม่านขึ้นก่อนแล้วพูดว่า “องค์หญิงจี่อันมาถึงแล้วเพคะ นางจะมาดูอาการป่วยของพระนางเพคะ”

ในตอนแรกฮองเฮารู้สึกพอใจเล็กน้อยจากการได้ยินสิ่งที่พระสนมหยวนชูกล่าว นอกจากร่างกายของนางยังไม่ค่อยสบายนักเมื่อได้ยินว่าเฟิงหยูเฮงมาถึงแล้วความสุขก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนางในที่สุด “รีบเชิญองค์หญิงเข้ามาเร็ว” หลังจากพูดอย่างนี้นางมองพระสนมหยวนชู “เมื่อพูดถึงบางสิ่งอย่าพูดเรื่องไร้สาระ มารดาขององค์ชายเก้าไม่ใช่คนที่จัดการได้ง่าย โปรดระวังว่าพระสนมผู้มีเกียรติจะไม่สามารถรับมือกับสถานการณ์นี้ได้”

หลังจากได้รับคำเตือนแล้ว นางเห็นเฟิงหยูเฮงเดินอยู่ด้านหลังฟางอี้ ในตอนแรกนางโค้งคำนับฮองเฮาโดยกล่าวว่า “อาเฮงคารวะฮองเฮาเพคะ พระองค์โปรดวางใจ”

ฮองเฮาต่างยิ้มแย้ม ฟางอี้ช่วยนางยืนขึ้น จากนั้นนางก็กล่าวว่า “ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านข้าคิดถึงเจ้าตลอด หากเจ้าไม่ได้มา อาการเจ็บป่วยนี้อาจไม่สามารถรักษาได้”

“พระนางไม่ต้องกังวลเพคะ อาเฮงอยู่ที่นี่แล้ว ! ” นางยิ้มแล้วก้าวไปข้างหน้า เมื่อมองดูพระสนมหยวนซู นางกล่าวว่า “ท่านผู้สูงศักดิ์คนนี้ดูเหมือนจะคุ้นเคย เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ข้าจะต้องเห็นนางในงานเลี้ยงของพระราชวัง อย่างไรก็ตามนางคือพระสนมคนใดเพคะ ? ”

พระสนมหยวนชูรู้สึกว่านางเสียหน้า ไม่ว่าในกรณีใดนางเป็นมารดาผู้ให้กำเนิดองค์ชายแปด แต่องค์หญิงบอกว่าไม่รู้จักนาง ด้วยรอยยิ้มปลอม ๆ นางกล่าวว่า “ข้าคือพระสนมชูของฝ่าบาท เจ้าควรคารวะข้า ! ”

เฟิงหยูเฮงยิ้มและไม่เถียงกับนางมากเกินไป นางเพียงแค่โค้งคำนับและกล่าวว่า “คารวะพระสนมชูเพคะ” จากนั้นนางก็ยืนขึ้นด้วยตัวนางเองโดยไม่พูดอะไรกับพระสนมชู นางเดินไปที่ด้านข้างของฮองเฮา นางไม่ได้พูดอะไรเลยก่อนที่จะจับชีพจรที่ข้อมือของฮองเฮาเพื่อเริ่มตรวจอาการ

ในขณะที่การตรวจชีพจรของฮองเฮา พระสนมหยวนชูก็ไม่พูดอะไรต่อไป อย่างไรก็ตามนางยังคงนั่งอยู่ที่นั่นอย่างลังเลที่จะจากไป นางต้องการดูว่าฮองเฮาเป็นโรคอะไร

หลังจากตรวจสอบไปครู่หนึ่ง เฟิงหยูเฮงก็ไปบอกฮองเฮา “ไม่มีอะไรผิดปกติอย่างจริงจัง มันเป็นเพียงร่างกายอ่อนแอ พระนางเพียงแค่ต้องทานอาหารเสริมเพคะ”

ฮองเฮาถอนหายใจ “หมอหลวงก็กล่าวเช่นนี้ และข้าไม่ได้ขาดแคลนอาหารบำรุง แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ดีขึ้น ข้ารู้สึกหมดหนทาง เมื่อต้นปีข้ายังคงสามารถเดินเล่นรอบสนามได้ อย่างไรก็ตามการลุกออกจากเตียงเป็นเรื่องยากในตอนนี้”

“โอ้ ? ” เฟิงหยูเฮงก็ไม่แปลกใจเหมือนกัน อาการป่วยในพระราชวังฮ่องเต้ทำให้มันดีกว่าอาการเจ็บป่วยนอกบ้าน ประการแรก หมอหลวงมีความระมัดระวังมากกว่าไม่กล้าใช้ยาที่มีศักยภาพมากขึ้น ประการที่สองมีขั้นตอนมากเกินไปในการเตรียมยาจีน ความผิดพลาดในขั้นตอนใด ๆ จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในคุณภาพของยา ความผิดพลาดเล็กน้อยนี้ก็ไม่คาดคิดเช่นกัน นางพูดกับฟางอี้ “ข้ารบกวนท่านป้าด้วยการเอายามาให้ข้าดู หากมียาที่เตรียมไว้ก็นำมาให้ข้าดูเลยเจ้าค่ะ”

ฟางอี้มองไปที่ฮองเฮา และฮองเฮาพยักหน้า “เอาเลย”

นางหันกลับมาแล้วออกไป เมื่อนางกลับมานางถือยาตามใบสั่งแพทย์ ข้างหลังนางเป็นนางกำนัลที่ถือยาเตรียมไว้ กลิ่นรุนแรงมากและขมขื่นที่ทำให้พระสนมหยวนชูขมวดคิ้ว

เฟิงหยูเฮงมองไปที่ใบสั่งยาแล้วดูที่ยาที่เตรียมไว้ นางสามารถระบุได้ว่าสมุนไพรชนิดใดที่อยู่ข้างในโดยไม่จำเป็นต้องดู หลังจากตรวจสอบใบสั่งยา นางก็ส่งคืนให้ฟางอี้และกล่าวกับฮองเฮา “ยาไม่มีปัญหาเจ้าค่ะ เป็นเพียงว่าหมอหลวงนั้นหัวโบราณเกินไป ปริมาณของยาค่อนข้างน้อย ซึ่งทำให้การฟื้นตัวช้าลงเพคะ”

ฮองเฮาขมวดคิ้ว “ยาขมมาก แต่ปริมาณยังต่ำอยู่หรือ ? ”

เฟิงหยูเฮงบอกนางว่า “ไม่ใช่กรณีที่ยามีความขมมากเท่าไหร่ก็ยิ่งมียามากขึ้นเท่านั้น ไม่ว่ายาจะมีรสขมหรือไม่เกี่ยวข้องกับประสิทธิภาพของยาเพคะ” ในขณะที่นางพูด นางก็เอื้อมมือไปที่แขนเสื้อของนาง และรู้สึกถึงรอบ ๆ ด้วยจิตสำนึกของนาง  นางดึงกล่องยาจีนสองสามกล่องออกมาเร็วมาก “พระนางทานยาเหล่านี้เพคะ” นางวางยาไว้บนโต๊ะ “ทานวันละ 3 ครั้ง ครั้งละ 1 เม็ดเจ้าค่ะ พระนางจะดีขึ้นหลังจากกินหมดเพคะ”

“จริงหรือ ? ” ดวงตาของฮองเฮาเป็นประกาย หลังจากเปิดกล่องเพื่อดูยา นางก็อดไม่ได้ที่จะดีใจ “ในที่สุดข้าก็ไม่จำเป็นต้องดื่มยาหม้อที่มีรสขม อาเฮงคงไม่รู้เรื่องนี้ แต่คนที่ไม่ป่วยจะป่วยเล็กน้อยหลังจากดื่มยาหม้อเหล่านั้น มันคือสิ่งที่เจ้าคิดว่าดีที่สุด กลิ่นของผลไม้ก็จางลง นี่หมายความว่าจะไม่น่ารังเกียจอย่างแน่นอนที่จะทาน”

เฟิงหยูเฮงยิ้มและกล่าวว่า “มีบางอย่างที่ช่วยในเรื่องความขม เมื่อรับประทานเข้าไปจะไม่ขมเจ้าค่ะ จะมีรสชาติเปรี้ยวนิด ๆ มันจะมีรสชาติเหมือนลูกพลัมเจ้าค่ะ”

เมื่อได้ยินเรื่องนี้ฮองเฮาต้องการกินทันที “มันสมบูรณ์แบบ ข้าไม่จำเป็นต้องดื่มยาหม้อในชามนี้ ข้าจะกินอันนี้ทันที”

นางแกะบรรจุภัณฑ์และวางยาเม็ดในมือของฮองเฮา “พระองค์สามารถกินมันได้เหมือนผลไม้กัดครั้งเดียว หากพระองค์ต้องการดื่มน้ำในขณะที่กินมัน พระองค์สามารถดื่มได้ หากพระองค์ไม่ต้องการดื่มน้ำให้กินให้หมดก่อนดื่มน้ำตามเจ้าค่ะ”

ฮองเฮาเดินตรงไปข้างหน้า แน่นอนว่ารสชาตินั้นค่อนข้างดี สำหรับคนที่คุ้นเคยกับการดื่มยาหม้อ ยาเม็ดประเภทนี้ที่มีรสชาติของผลไม้เพิ่มเข้ามาเป็นสวรรค์อย่างแท้จริง

ฟางอี้เห็นว่าฮองเฮาไม่ได้ปฏิเสธ และรู้สึกสบายใจ จากนั้นนางก็เริ่มขอบคุณเฟิงหยูเฮง

เฟิงหยูเฮงพูดอย่างสุภาพ “ท่านป้าไม่จำเป็นต้องขอบคุณเจ้าค่ะ หลังจากกลับจากการเดินทางไกล ข้าควรนำสิ่งใหม่ ๆ มามอบให้กับพระองค์ น่าเสียดายที่มีหิมะถล่มในเฉียนโจว และเรามุ่งไปที่การช่วยเหลือผู้คนจากภัยพิบัติ เราไม่สามารถนำสิ่งที่ดีกลับมาได้เจ้าค่ะ”

ฮองเฮาแสดงออกอย่างรวดเร็ว “เรื่องของอาณาจักรมีความสำคัญที่สุด เครื่องประดับเล็ก ๆ น้อย ๆ นั้นข้าไม่สนใจ ข้ามีความสุขที่เจ้าคิดถึงมัน เจ้าที่ยืนอยู่ข้างองค์ชายเก้า… น้องสาวหยุนคงรู้สึกสบายใจขึ้น”

หลังจากคิดถึงมันมานานและหนักหน่วง นางก็ยังนำมันขึ้นมา อย่างไรก็ตามสิ่งที่พระสนมหยวนซูได้กล่าวไว้นั้นเป็นเรื่องที่น่าพิศวง แต่พระสนมหยวนชูเป็นคนที่อยู่ในพระราชวังของฮ่องเต้มาเป็นเวลานาน นางควรรู้ว่านางไม่ควรพูดอะไร ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานางไม่เคยพูดอย่างประมาท นางยังเป็นห่วงว่าถ้าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงในฐานะฮองเฮาแห่งพระราชวัง นางก็จะเป็นคนที่ต้องแสดงความรับผิดชอบ !

เฟิงหยูเฮงสามารถคาดเดาสถานการณ์สำคัญได้ แม้กระนั้นนางยังคงแสร้งทำไม่รู้ตัว นางตอบคำถามของฮองเฮาเพียงระดับผิวเผิน “อาเฮงรู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับความโปรดปรานจากเสด็จพ่อเพคะ”

ฮองเฮาชมเชยนางที่เข้าใจ ทั้งสองคุยกันอย่างสนิทสนมกันมาระยะหนึ่งจนกระทั่งเฟิงหยูเฮงเห็นว่าฮองเฮาดูเหนื่อยเล็กน้อย จากนั้นนางจึงยกเหตุผลหลักที่นางเข้ามาในพระราชวัง “ที่อาเฮงมาวันนี้ อาเฮงมีเรื่องอยากให้พระองค์ช่วยเจ้าค่ะ”

“โอ้ ? ” ฮองเฮาได้ยินและชื่นชมยินดี เฟิงหยูเฮงไม่ค่อยได้ร้องขออะไรจากนางเลย นางจึงพูดว่า “พูดมาเลย ถ้าข้าสามารถทำได้ ข้าจะช่วยเจ้าอย่างแน่นอน”

เฟิงหยูเฮงกล่าวว่า “มันไม่มีอะไรสำคัญ ลูกพี่ลูกน้องคนโตของข้ากำลังจะแต่งงานและคู่หมั้นของลูกพี่ลูกน้องของข้าสั่งทำเครื่องประดับบางอย่างที่ร้านขายเครื่องประดับของข้า ก่อนวันแต่งงานพนักงานของข้าทำเครื่องประดับหักโดยไม่ตั้งใจเพคะ หากทำการแก้ไขมันจะไม่ทันเวลาเจ้าค่ะ ช่างฝีมือในร้านไม่มีทักษะ ดังนั้นข้าอยากขอพระองค์ ข้าอยากขอยืมตัวช่างฝีมือเป่ยไปสักสองสามวันได้หรือไม่เจ้าค่ะ ให้เขาช่วยแก้ปัญหาของอาเฮง”

ฮองเฮาตกใจมาก “เรื่องนี้ใหญ่แค่ไหน ? ” จากนั้นนางก็กล่าวกับฟางอี้ “ทำตามนั้นทันที ให้ช่างฝีมือเป่ยออกจากพระราชวังในวันนี้เพื่อช่วยองค์หญิง”

ฟางอี้พยักหน้าและไปแจ้งบ่าวรับใช้ เฟิงหยูเฮงบรรลุเป้าหมายของนางเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นนางจึงไม่ได้อยู่ต่อไป ก่อนที่นางจะจากไปนางเหลือบไปมองนางสนมหยวนชูและออกไป “พระสนมชูมีข้อพิพาทมากมายในพระราชวัง การพูดถึงคนอื่นลับหลังเช่นนี้ไม่ดี ข้าหวังว่าพระสนมจะดูแลตัวเองนะเพคะ”

“เจ้า” พระสนมหยวนชูไม่เคยคิดว่าเฟิงหยูเฮงจะพูดเช่นนี้ทันที นางโกรธและตะโกนว่า “ไม่สุภาพ ! องค์หญิงผู้ต่ำต้อยจากนอกครอบครัวกล้าที่จะพูดแบบนี้กับข้าหรือ ! เจ้าคิดว่าจะโดนลงโทษแบบใด ! ”

เฟิงหยูเฮงตอบด้วยน้ำเสียงอย่างต่อเนื่องถามนางว่า “พระสนม  ท่านคิดว่าควรจะมีบทลงโทษแบบใด ? ”

“แน่นอนว่าโทษประหาร ! ” นางกำนัลของนางสนมชูกล่าว “แม้ว่าองค์หญิงจะถูกประจบอยู่ข้างนอก พระสนมก็เป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาทเช่นกัน นางเป็นคนที่ให้กำเนิดองค์ชาย เป็นไปได้หรือไม่ที่องค์หญิงรู้สึกว่าตัวตนของเจ้าน่านับถือมากกว่าพระสนมชู”

เฟิงหยูเฮงเย้ยหยันและหันไปถามฮองเฮา “ถ้านางกำนัลพูดเช่นนี้กับอาเฮง พระนางคิดว่าจะต้องจัดการอย่างไรเพคะ ? ”

ฮองเฮาสูดหายใจลึก ๆ นางรู้ว่าเฟิงหยูเฮงเคยได้ยินสิ่งที่พูดก่อนหน้านี้ตามธรรมชาติ ตอนนี้นางตั้งใจจะให้พระสนมหยวนดูดี ในความเป็นจริงสิ่งที่กลุ่มพระสนมหยวนชูได้กล่าวไว้นั้นไม่ผิด แม้ว่าองค์หญิงจะเป็นผู้มีพระคุณ แต่สถานะของนางก็ไม่สามารถเปรียบเทียบได้กับพระสนมของฮ่องเต้ที่ให้กำเนิดองค์ชาย แต่องค์หญิงผู้นี้ไม่ใช่องค์หญิงทั่วไป นางไม่เหมือนฉิงเล่อในอดีต นางเป็นคนที่หลอมเหล็กให้กับราชวงศ์ต้าชุนและสร้างกองทัพเจตจำนงสวรรค์ ในช่วงภัยพิบัติ นางได้ช่วยผู้ลี้ภัย นางเป็นคนที่มีคุณธรรม หนึ่งในความสำเร็จของนางทำให้แม้แต่ฮองเฮาจะต้องต้อนรับนางด้วยรอยยิ้ม แต่พระสนมชูที่ต่ำต้อยไม่แม้แต่จะให้ความสำคัญกับนาง

ฮองเฮาไม่ได้คิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้มากนัก ใบหน้าของนางมืดครึ้มขณะที่นางพูดกับฟางอี้ “ตบหน้านาง 20 ที”

ฟางอี้ไม่ได้พูดอะไร และเดินไปข้างหน้าเพื่อตบหยู่ซู่ 20 ครั้ง

พระสนมหยวนชูมองด้วยความกลัว นางไม่เคยคิดเลยว่าเฟิงหยูเฮงจะอยู่เหนือการควบคุมอย่างแท้จริง นางไม่คิดว่าฮองเฮาจะปกป้องเช่นนั้น นางควรพูดต่อไปอย่างไร?

หยู่ซู่ได้คุกเข่าด้วยความกลัวแล้วไม่กล้าพูดอีกคำ พระสนมหยวนซูดูฉากตรงหน้านาง และพูดจากัดฟันว่า “ข้าจะไปกราบทูลฮ่องเต ! องค์หญิงจี่อัน เจ้ารออยู่ที่นี่”

อย่างไรก็ตามเฟิงหยูเฮงไม่สนใจคำพูดของนางเพียง กล่าวว่า “พระสนมชูจงทำตามที่ท่านต้องการ อาเฮงขอตัวก่อน”

นางกล่าวคำอำลาจากพระราชวัง ฟางอี้ออกมาส่งนางด้วยตัวเอง ในขณะที่เดินนางถามเฟิงหยูเฮงอย่างเงียบ ๆ “องค์หญิงค่อนข้างคลุมเครือเล็กน้อย และข้าต้องการถามอีกครั้ง ไม่มีอะไรผิดปกติกับยาของฮองเฮาใช่หรือไม่เจ้าคะ ? ”

ฟางอี้ดูแลฮองเฮามากว่า 20 ปี นางคิดอย่างถี่ถ้วน เรื่องของยาทำให้นางมีความรู้สึกเล็กน้อย

เฟิงหยูเฮงได้ยินคำถามและไม่ได้ปิดบัง “ในความเป็นจริงสิ่งที่ข้าพูดไม่คลุมเครือเกินไป เป็นกรณีที่หมอหลวงไม่ได้ใช้ยามากพอ”

ฟางอี้สามารถรู้ความหมายที่แท้จริง “เพียงเล็กน้อยเท่านั้น”

นางตอบว่า “นอกจากความขมแล้วก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย”

“เฮ้อ ! ” ฟางอี้หายใจเข้าอย่างรวดเร็ว คำพูดเหล่านี้ทำให้เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่อาการเจ็บป่วยของฮองเฮาไม่ดีขึ้นด้วยความช่วยเหลือของยา แต่กลับกลายเป็นว่านางไม่ได้ทานยาเลย นางใช้เวลาหลายเดือนในการดื่มยาหม้อ นางโกรธมาก “ใครกันที่กล้าทำเช่นนี้ ? ผู้คนในสำนักแพทย์หลวงเริ่มเบื่อชีวิตหรือไม่ ? ”

เฟิงหยูเฮงลดเสียงของนางลง และกล่าวว่า “ต้นกำเนิดของสิ่งนี้อาจไม่เกี่ยวข้องกับสำนักแพทย์หลวง ท่านป้าอย่าเสียงดัง หากท่านไม่สามารถตรวจสอบเรื่องนี้ได้อย่างเปิดเผย ท่านป้าต้องป้องกันอย่างลับ ๆ นี่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนักในพระราชวังหรือ ? ”

ฟางอี้พยักหน้าและกล่าวอย่างเคารพ “ขอบคุณองค์หญิงสำหรับคำแนะนำ ข้าจะรายงานเกี่ยวกับคำแนะนำนี้ต่อฮองเฮา ตำหนักจิงซีของเราจะจดจำมันไว้เจ้าค่ะ”

เฟิงหยูเฮงยิ้มและไม่พูดอะไรอีกเลย หลังจากที่นางออกจากพระราชวังและนั่งอยู่ในรถม้าของนาง วังซวนตบหน้าอกของนาง และกล่าวว่า “การที่คุณหนูค่อนข้างกล้าหาญเช่นกัน พระสนมหยวนชูคือมารดาขององค์ชายแปด นางมีอำนาจเล็กน้อยในพระราชวัง แต่คุณหนูกล้าพูดกับนางเช่นนั้น”

สีหน้าของเฟิงหยูเฮงทรุดตัวลงอย่างไร้จุดหมาย แต่ส่ายหัวของนาง นางจะทำอย่างไรถ้านางไม่มีอำนาจ แม้ว่านางจะไม่ได้ยินสิ่งที่พระสนมหยวนชูพูดแต่ก็ไม่ยากที่จะเดา นางกลัวว่านางสนมหยวนชูไม่มีเจตนาดี นางไม่อนุญาตให้เปิดเผยเรื่องนี้อย่างแน่นอน นางหวังว่าการข่มขู่จากวันนี้จะทำให้พระสนมหยวนชูคิดให้รอบคอบ ท้ายที่สุดไม่ว่าจะเป็นพระชายาหยุนหรือองค์ชายเก้า คนเหล่านี้ไม่ใช่คนที่น่ารังเกียจเล็กน้อย

“องค์ชายได้บอกหรือไม่ว่าองค์ชายกลับเมืองหลวงเมื่อไหร่ ? ” นางถามวังซวน

วังซวนยิ้ม และกล่าวว่า “ถ้าไปรับพระชายาหยุน คงจะะกลับมาภายในวันนี้เจ้าค่ะ”

เฟิงหยูเฮงถอนหายใจยาว และกล่าวว่า “ข้าหวังว่าพวกเขาจะสามารถกลับมาได้ทันเวลา ! ”

อย่างไรก็ตามในเวลานี้รถม้าหยุดอย่างกะทันหัน ม้าร้องออกมาและคนขับตะโกน “คนแบบไหนที่กล้าหยุดรถม้าขององค์หญิง ? ”

ตอนที่ 629 ความลับของพระชายาหยุนถูกเปิดเผย

ทางด้านตะวันออกของพระราชวังฮ่องเต้มีตำหนักชุนชานบนถนนซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตำหนักกลาง มันเป็นที่ซึ่งพระสนมชู, หยวนชูอาศัยอยู่

หยวนชูนี้เข้าสู่พระราชวังตอนอายุ 16 ตอนอายุ 19 นางให้กำเนิดองค์ชายแปด, ซวนเทียนโม ตอนนี้องค์ชายแปดอายุ 23 ปี เขาเกิดในเวลาไล่เลี่ยกับองค์ชายเจ็ดซึ่งอายุ 24 ปี และองค์ชายที่เก้าอายุ 22 ปี แม้ว่านางจะไม่ได้รับความโปรดปรานหลังจากพระชายาหยุนเข้ามาในพระราชวัง แต่พระสนมของฮ่องเต้ทุกคนที่ให้กำเนิดองค์ชายมีความสุขกับชีวิตที่ยิ่งใหญ่

ในคืนนี้หลังจากการดื่มเพื่อช่วยให้นางสงบลง บ่าวรับใช้ที่คอยดูแลนาง หยู่ซู่กล่าวอย่างหวานชื่นว่า “การดูแลของพระสนมนั้นดีมาก พระสนมดูเหมือนอายุ 20 เลยเจ้าค่ะ หากท่านยืนอยู่ข้างองค์ชายแปด บางทีผู้คนอาจคิดว่าเป็นพี่น้องเจ้าค่ะ”

พระสนมหยวนชูจ้องมองนาง “ไร้สาระ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ข้าจะไม่กลายเป็นปีศาจประหลาดหรือ ? ” แต่ใจนางเต็มไปด้วยความสุข นางใช้เวลาหลายวันในการใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารคุณภาพสูง ดังนั้นผิวของนางจะดีกว่าคนทั่วไป แม้กระนั้นนางจะไม่ดูเด็กขนาดนี้ “ช่างเป็นอะไรที่น่าเสียดาย ! ” นางถอนหายใจยาว ๆ “อะไรคือจุดที่ทำให้ผิวพรรณดีขึ้น ? แล้วถ้าข้าเป็นเด็ก นับตั้งแต่นางนั้นเข้ามาในพระราชวัง ฝ่าบาทไม่เคยมาหาข้าอีกเลย อย่าพูดถึงการไปห้องโถงจาวเหอ นังนั่นไม่อนุญาตให้ฝ่าบาทพบนาง มันเป็นการแก้แค้นจริง ๆ ”

หยู่ซู่ปลอบใจนางอย่างรวดเร็ว “พระสนมอย่าพูดอะไรแบบนี้ ผนังมีหูเจ้าค่ะ”

พระสนมหยวนชูก็รู้ว่าพระชายาหยุนเป็นเรื่องต้องห้ามในพระราชวัง หลังจากพูดพึมพำ นางก็ปิดปาก นางเพิ่งคิดเกี่ยวกับองค์ชายแปดที่หยู่ซู่เพิ่งพูดถึง และไม่สามารถช่วยได้ แต่เริ่มกังวล “จริง ๆ แล้วบรรดาองค์ชายแต่งงานกันช้ามาก มันเกือบจะกลายเป็นเหมือนคำสาปของปีศาจ องค์ชายแปดอายุ 23 ปีในปีนี้และเขายังไม่ได้พูดเกี่ยวกับการแต่งงานเลย เขาอยู่ห่างไกลและไม่กลับมา เขาทำให้ข้ารู้สึกเป็นกังวลจริง ๆ ”

“พระสนมอย่าคิดมากเลยเจ้าค่ะ องค์ชายแปดกำลังแบ่งเบาภาระของฮ่องเต้ สำหรับบุตรที่จะประจำการเป็นสิ่งที่ดี นอกจากนี้ยังมีการกล่าวว่าพระองค์สามารถกลับไปที่เมืองหลวงในปีใหม่นี้เจ้าค่ะ”

เมื่อได้ยินว่าบุตรชายของนางจะกลับมา ในที่สุดอารมณ์ของพระสนมหยวนชูก็ดีขึ้นในที่สุด ในเวลานี้ขันทีคนหนึ่งได้เข้ามา ก้าวของเขาค่อนข้างเร่งด่วน และเกือบจะสะดุดเมื่อก้าวข้ามธรณีประตู

หยู่ซู่ขมวดคิ้ว และกล่าวว่า “หรงเจิ้ง ทำไมเจ้าถึงมีแต่แย่ลงเรื่อย ๆ ?”

ชื่อของขันทีคือหรงเจิ้น ในตอนนี้เขามาถึงต่อหน้านางสนมหยวนชูและโค้งคำนับโดยด่วนพลางเอ่ยว่า “พระสนม ข้าได้ยินเรื่องสำคัญบางอย่างมาขอรับ”

พระสนมหยวนชูมองหรงเจิ้งสักครู่แล้วโบกมือให้หยู่ซู่ หยูซู่เข้าใจทันทีว่านางตั้งใจอะไร และรีบไปที่ประตูเพื่อมองรอบ ๆ จากนั้นนางก็ปิดประตูให้แน่น

เมื่อนางกลับมา นางได้ยินหรงเจิ้นพูดกับนางสนมหยวนชู “ข้าได้ยินข่าวแปลก ๆ ที่เกี่ยวข้องกับตำหนักศศิเหมันต์ขอรับ”

ได้ยินว่ามันเกี่ยวข้องกับตำหนักศศิเหมันต์ พระสนมหยวนชูและหยู่ซู่หูเงยหน้าขึ้น หรงเจิ้งกล่าวต่อไปว่า “สิ่งแปลกประหลาดแรกคือทหารยามที่ลาดตระเวนใกล้กับตำหนักศศิเหมันต์กล่าวว่าพระชายาหยุนค่อนข้างสนุกกับการได้ยินเรื่องแปลก ๆ นางมักจะให้พวกโหราจารย์ไปเล่าเรื่องให้นางฟัง แต่ในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมาพวกโหราจารย์ไม่ได้ไปหานางเลยขอรับ”

“นอกจากนี้มีบางอย่างที่แปลก ในอดีตจะมีเสียงบางอย่างมาจากตำหนักศศิเหมันต์ ไม่ว่าจะเป็นเสียงพิณหรือเพลง บุคลิกของพระชายาหยุนค่อนข้างผิดปกติ เป็นการยากที่จะรู้ว่านางสามารถทำสิ่งใดได้บ้าง แม้ว่าประตูของตำหนักศศิเหมันต์จะปิด และไม่ได้รับแขก แต่ห้องก็เป่าเทียนออกมา แต่เช้าโดยไม่มีเสียงเลยแม้แต่น้อยขอรับ”

“นอกจากสิ่งแปลกประหลาดทั้งสามนี้ พระชายาหยุนชอบกินผลไม้ และผลไม้ที่ดีที่สุดในพระราชวังก็ถูกส่งไปยังตำหนักศศิเหมันต์เสมอ แต่ผลไม้ที่นางกินจะไม่มีวันไหนที่ผลไม้ถูกกัดถึงแกน นางบอกว่ามีรสเปรี้ยวเกินไป นางแค่กัดเบาๆ ข้างนอกก่อนที่จะทิ้งมันไป อย่างไรก็ตามบ่าวรับใช้คนนี้ได้ยินบ่าวรับใช้ของหน่วยกำจัดขยะกล่าวว่าในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมาผลไม้ที่ถูกทิ้งโดยคนในตำหนักศศิเหมันต์ถูกกินหมดจด แม้แต่ลูกแพร์ก็สามารถมองเห็นได้ด้วยการกินส่วนที่เปรี้ยวที่สุด ไม่ว่าพวกเขาจะมองอย่างไรเหมือนไม่ใช่พระชายาหยุนกินขอรับ”

“สิ่งสุดท้ายที่แปลกประหลาดคือวันที่องค์ชายเก้าและองค์หญิงจี่อันกลับมายังเมืองหลวง หลังจากที่พวกเขาทานอาหารเย็นกับฮ่องเต้ ทั้งสองก็มุ่งหน้าไปที่ตำหนักศศิเหมันต์ ตอนแรกทั้งสองไม่ได้อยู่ในเมืองหลวงมาหลายเดือนแล้ว การเข้าพบพระชายาหยุนเป็นเรื่องปกติที่สุด แต่ทั้งคู่ก็เดินไปก่อนที่จางหยวนจะหยุด ใครจะรู้ว่ามีใครพูดอะไรบ้าง หลังจากนั้นพวกเขาไม่ได้กลับไปที่ตำหนักศศิเหมันต์”

หรงเจิ้นเล่าสิ่งที่แปลกเกี่ยวกับตำหนักศศิเหมันต์ภายในลมหายใจเดียว อย่างไรก็ตามพระสนมหยวนชูและหยู่ซู่เบิกตากว้าง ผู้หญิงที่สามารถอยู่ในพระราชวังได้เพราะพระสนมของจักรพรรดินั้นเฉียบคมมาก บ่าวรับใช้ที่สามารถดูแลพระสนมของฮ่องเต้ได้หลายปีก็ไม่ได้ถูกเลี้ยงดูมาโดยไร้ประโยชน์ ทั้งสองคิดอย่างรวดเร็วและเข้าใจปัญหาทันที

หยู่ซู่เป็นคนแรกที่กล่าว “ผู้คนจากคณะดาราศาสตร์ไม่ไปที่นั้นไม่แปลก บุคลิกภาพของพระชายาหยุนมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลง เป็นไปได้ว่านางไม่ชอบฟังอีกต่อไป แต่ถ้าไม่มีแม้แต่เสียงเพลงและเสียงพิณ มันก็ผิดปกติเล็กน้อย”

พระสนมหยวนชูกล่าวต่ออีกว่า “ไม่ฟังเรื่องราวอีกต่อไป และสิ่งต่าง ๆ ที่มีชีวิตชีวาไม่สามารถอธิบายได้อย่างง่ายดายอีกต่อไป แต่การกินผลไม้ทำให้สิ่งต่าง ๆ ชัดเจนเล็กน้อย ไม่ต้องพูดถึงพระชายาหยุน แม้แต่ข้าก็ไม่เคยกินใกล้แกนเกินไป ใครไม่รู้ว่ามันมีรสเปรี้ยว สำหรับผลไม้ที่ถูกทิ้งออกมาจากตำหนักศศิเหมันต์เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันในลักษณะที่ปรากฏ นั่นหมายความว่าพระชายาหยุนไม่ได้กิน”

นางคิดเพิ่มอีกเล็กน้อย “เป็นไปไม่ได้ที่องค์ชายเก้าและองค์หญิงจี่อันซึ่งออกจากเมืองหลวงไป 1 ปี เมื่อกลับมาจะไม่ไปเยี่ยมพระชายาหยุน…”

“พระชายาหยุนไม่ได้อยู่ในพระราชวัง” หยู่ซู่ย้ำถึงสถานการณ์ พูดอย่างตรงไปตรงมาแม้นางจะตกใจ

“มีใครรู้เรื่องนี้อีก ? ” นางสนมหยวนชูถามหรงเจิ้น “ข่าวมาจากไหน ? ”

หรงเจิ้นตอบกลับอย่างรวดเร็ว “ไม่มีใครอื่นนอกจากองครักษ์ที่เราใช้บ่อย ๆ มันน่าเชื่อถือขอรับ”

พระสนมหยวนชูพยักหน้า เช่นเดียวกับที่นางกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง หรงเจิ้นกล่าวเสริม “พระสนมมีอีกเรื่องหนึ่ง เช้าวันนี้องค์ชายเก้าได้ออกจากเมืองหลวงไป และยังไม่ได้กลับมาขอรับ”

ในทันใดพระสนมหยวนชูก็กระโดดขึ้นมาจากเตียงอิฐที่ทนความร้อนของนาง “องค์ชายเก้าออกจากเมืองหลวงหรือ ? ” นางบิดผ้าเช็ดหน้าของนางขณะที่จิตใจของนางทำงานอย่างรวดเร็ว ยิ่งทำงานได้มากเท่าไหร่นางก็ยิ่งรู้สึกว่าการวิเคราะห์ของหยู่ซู่นั้นถูกต้อง “พระชายาหยุนไม่ได้อยู่ในพระราชวังอย่างแน่นอน นอกจากนี้ฮ่องเต้ก็ไม่รู้ว่านางได้ออกจากตำหนักไปแล้ว!”

หยู่ซู่กล่าวเพิ่มเติม “พระสนมของฮ่องเต้ออกจากพระราชวังโดยไม่ได้รับอนุญาตและมีโทษถึงประหารชีวิต แม้ว่าฮ่องเต้จะปกป้องนาง กฎอยู่ที่นั่น ตราบใดที่มีหลักฐาน พระชายาหยุนจะต้องตายอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”

หรงเจิ้งกล่าวด้วยท่าทางประหลาด “ยิ่งกว่านั้นพระชายาหยุนออกจากพระราชวังมาเกือบปีแล้ว เป็นเวลานานเช่นนี้บางทีนางอาจหนีไปกับใครบางคน แม้แต่เด็กก็สามารถเกิดมาได้ ! ”

พระสนมหยวนซูกล่าวในทันทีว่า “ไปกันเถิด เรากำลังจะไปพบฮองเฮา”

อย่างไรก็ตามหยู่ซู่หยุดนางแล้วชี้ไปที่ด้านนอกโดยกล่าวว่า “วันนี้สายมากแล้วเจ้าค่ะ มันจะดีกว่าถ้าจะพูดเมื่อไปคารวะฮองเฮา ฮองเฮาไม่ได้มีสุขภาพที่ดีในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา นางจะนอนก่อนที่จะถึงเวลาดับไฟ ข้ากลัวว่าตอนนี้จะมีผลตรงกันข้ามเจ้าค่ะ”

พระสนมหยวนชูได้ยินเรื่องนี้และรู้สึกว่ามันถูกต้อง ดังนั้นนางจึงนั่งลง หน้าตาของความปีติที่ยากต่อการปกปิดปรากฏบนใบหน้าของนางเพราะเรื่องนี้ หยู่ซู่แนะนำให้นางทราบ “พระสนมนอนพักผ่อนก่อนเจ้าค่ะ เพื่อไปคารวะฮองเฮาในวันพรุ่งนี้ ด้วยวิธีนี้ท่านสามารถพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้ ฮองเฮาเป็นคนดีตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องอื่น แต่นางก็กังวลกับพระสนมของฮ่องเต้ นางจะต้องอธิบายให้ฮ่องเต้ มิฉะนั้นถ้าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง ตำแหน่งของนางในฐานะฮองเฮาคงยากที่จะรักษาไว้ได้เจ้าค่ะ”

ตำหนักชุนชานไม่มีคนดีภายในนั้น พระสนมหยวนชูกำลังคิดถึงวิธีจัดการกับพระสนมหยุน ในด้านของเฟิงหยูเฮง นางไม่รู้ว่ามีใครสังเกตเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อพระชายาหยุนออกจากพระราชวัง

เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นนางให้วังซวนหาชุดราชสำนักที่เหมาะสมและมีสีอ่อน นางต้องพาช่างฝีมือเป่ยออกไปจากพระราชวัง และสิ่งนี้จะทำให้นางต้องไปเยี่ยมพระราชวัง เครื่องประดับที่ผลิตโดยช่างฝีมือใบส่วนใหญ่ใช้สำหรับพระสนมของฮ่องเต้ นางรู้ว่านางสามารถไปหาฮองเฮาเพื่อขอความช่วยเหลือเรื่องนี้เท่านั้น

วังซวนช่วยนางสวมใส่เสื้อผ้าขณะที่กล่าวว่า “ฮองเฮามีน้ำใจ และปฏิบัติต่อคุณหนูเป็นอย่างดี เมื่อคิดถึงเรื่องนี้แล้ว การยืมตัวช่างฝีมือเป่ยนั้นเป็นเรื่องง่ายเจ้าค่ะ”

เฟิงหยูเฮงไม่ได้พูดอะไร นางไม่รู้สึกว่าเรื่องนี้จะเป็นเรื่องง่าย ช่างฝีมือเป่ยอยู่ในพระราชวังเป็นเวลาเกือบหนึ่งปีโดยไม่ออกมา จะต้องมีคนขัดขวางสิ่งต่าง ๆ แต่นางไม่รู้ว่าใครกำลังทำอยู่ ฮองเฮาก็ไม่สบายเช่นกัน ใครจะรู้ว่าใครได้รับงานนี้จากฮองเฮา

เมื่อนางออกจากคฤหาสน์ บ่าวรับใช้ที่ประตูบอกนางว่าฉิงหยูได้พาองค์ชายเหลียนไปหาที่พัก เฟิงหยูเฮงคิดกับตัวเองว่านางแค่หวังว่าองค์ชายเหลียนจะสามารถหาที่อยู่ได้อย่างรวดเร็ว นางไม่ชอบการมีชีวิตชีวามากเกินไปในคฤหาสน์ขององค์หญิงแห่งนี้

นางนั่งรถม้าของนางและนำจิตใต้สำนึกเข้ามาในมิติของนาง มันเต็มไปด้วยหลอดทดลองที่เหยาเซียนกำลังทดลองอยู่ เป่ยฟูหรงยังคงนอนอยู่ในห้อง ในขณะที่เหยาเซียนยังคงทำงานอย่างวุ่นวายในห้องผ่าตัด

เมื่อคืนที่แล้วเหยาเซียนออกมาพร้อมที่จะบอกกับเฟิงหยูเฮงว่าเขาจะทดลองเกี่ยวกับแบคทีเรียที่ทำหน้าที่ตรงกันข้าม เมื่อถึงเวลาเขาจะฉีดให้นาง หากไม่มีอะไรที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น สำหรับฟู่โหร่ง นางสามารถนำตัวออกจากมิติคืนนี้ และวางไว้ในห้องเก็บยาเพื่อพักผ่อน

การเดินทางดำเนินต่อไปโดยที่ไม่มีใครพูด วังซวนและหวงซวนไม่รู้ว่าเฟิงหยูเฮงคิดอะไรอยู่ พวกนางรู้สึกว่าคุณหนูมีเรื่องที่ต้องใช้ความคิดอยู่ในใจ พวกนางเพิ่งจะเข้าไปในพระราชวังเพื่อขอความช่วยเหลือจากช่างฝีมือเป่ย แต่พวกเขารู้สึกเหมือนออกไปต่อสู้กับศัตรู

เร็วมาก พวกเขามาถึงพระราชวัง ทั้งสามเดินผ่านทางเข้าด้านข้าง เมื่อทหารองครักษ์เฟิงหยูเฮงมาถึง พวกเขาก็ทักทายนางอย่างอบอุ่นในขณะที่ช่วยดูแลรถม้าของจักรพรรดิและให้ความเคารพ เฟิงหยูเฮงพูดคำสุภาพเล็กน้อยก่อนนำบ่าวรับใช้ 2 คนของนางไปที่ตำหนักกลาง

ตำหนักกลางที่ฮองเฮาอาศัยอยู่เมื่อไม่นานมานี้มีการเปลี่ยนชื่อมาจากตำหนักจิงซีโดยฮ่องเต้เอง เนื่องจากอาการเจ็บป่วยนี้ โหราจารย์กล่าวว่าชื่อเดิมของตำหนักกำลังรบกวนความสมดุลจึงเปลี่ยนชื่อ

เมื่อเฟิงหยูเฮงมาถึง พระสนมของฮ่องเต้ก็คารวะและคุกเข่า ป้าของฮองเฮา ฟางอี้กล่าวว่า “ในที่สุดองค์หญิงก็มาถึงเจ้าค่ะ ฮองเฮาพูดถึงท่านเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาเจ้าค่ะ”

นางยิ้มอย่างรวดเร็วและกล่าวว่า “ข้าเพิ่งกลับมาที่เมืองหลวงและมีหลายสิ่งที่ต้องทำ เลยไม่ได้มาคารวะฮองเฮาในเวลาที่เหมาะสม เป็นความผิดของอาเฮง วันนี้ข้าจะทำทุกอย่างทันที ขณะที่ข้าอยู่ที่นี่ ข้าจะตรวจสุขภาพของฮองเฮา ทำไมท่านถึงป่วยมานานแล้วโดยไม่ได้รับการรักษา ? “

เมื่อได้ยินว่าเฟิงหยูเฮงจะตรวจสุขภาพของฮองเฮา ฟางอี้ก็มีความสุขมาก “ข้าจะไม่ปิดบังท่าน แต่เรารอให้ท่านมาดู หมอหลวงต่างก็มาตรวจ แต่ไม่มีใครสามารถพูดอะไรได้อย่างแน่นอน นางดื่มยาหม้อที่มีรสขมทุกวันโดยไม่มีสัญญาณที่จะดีขึ้นเลยเจ้าค่ะ”

ทั้งสองพูดขณะที่เดินเข้าไป ฟางอี้ลดเสียงของนางลงแล้วกล่าวว่า “ตอนนี้พระสนมหยวนชูอยู่เจ้าค่ะ นางมีเรื่องพูดกับฮองเฮาเจ้าค่ะ”

หลังจากพูดอย่างนี้ พวกเขาได้ยินเสียงฮองเฮาตะโกนอย่างดุเดือดจากภายใน “เจ้ากล้ามาก ! พระสนมหยวนชู เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้ากำลังพูดอะไร เจ้ารู้หรือไม่ว่าเรื่องราวการกล่าวเท็จเกี่ยวกับพระสนมของฮ่องเต้จะส่งผลให้เกิดอะไรขึ้น ? ”

เฟิงหยูเฮงตกใจและก้าวเดินช้า ๆ …

ตอนที่ 628 ตรงตามที่ต้องการ

หลู่ซ่งไม่กล้าหวังว่าความสัมพันธ์ฉันมิตร เขากล่าวความจริง “เจ้าหน้าที่ผู้นี้มาขอโทษองค์หญิง บุตรสาวของเจ้าหน้าที่ผู้นี้ไม่มีเหตุผลและใช้เล่ห์เหลี่ยมเพื่อกลั่นแกล้งคุณหนูสามของตระกูลเฟิง นี่คือสิ่งที่ข้าค้นพบหลังจากเหตุการณ์เกิดขึ้น บุตรสาวของข้า หลู่เหยา ถูกกักตัวไว้ในบ้านแล้ว ถ้าข้าไม่ได้มาขอโทษองค์หญิงด้วยตัวเอง ข้าจะรู้สึกไม่สบายใจอย่างแท้จริง”

เฟิงหยูเฮงไม่ได้เลือกหัวข้อนี้ นางถามหลู่ซ่ง “องค์หญิงผู้นี้ได้ยินว่าคุณหนูรองของเสนาบดีได้หมั้นหมายกับจอหงวนอันดับหนึ่งจากตระกูลเหยา และเจ้าเป็นคนที่ร้องขอการแต่งงานครั้งนี้จากเสด็จพ่อ เรื่องนี้เป็นความจริงหรือไม่ ? ”

หลู่ซ่งตกใจ และระมัดระวังคำพูดของเขามากขึ้น “อันที่จริงแล้วข้าร้องขอจากฮ่องเต้ ด้วยการพูดของข้ากลัวว่าองค์หญิงอาจหัวเราะ แต่มันเป็นเรื่องบังเอิญ บุตรสาวของข้าและจอหงวนอันดับหนึ่งพบกันสองสามครั้ง และพบว่าพวกเขาเข้ากันได้ดี จากนั้นข้าก็นำเรื่องนี้ไปทูลขอฮ่องเต้เพื่อขอพระราชทานการหมั้นครั้งนี้ขอรับ”

เก้อซื่อเข้าใจก็กล่าวว่า “ใช่เจ้าค่ะ การหมั้นหมายนี้ได้รับพระราชทานจากฮ่องเต้ แต่ก็เป็นสิ่งที่เด็ก ๆ ต้องการ เป็นการแต่งงานที่ยิ่งใหญ่จริงๆ”

นางดูมีความสุขบนใบหน้าของนางขณะที่นางคิดถึงการใช้การแต่งงานครั้งนี้เพื่อเข้าใกล้องค์หญิงจี่อัน อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่คิดว่าเฟิงหยูเฮงจะกล่าวว่า  “หญิงสาวที่ยังไม่ได้แต่งงานหรือแต่งงานแล้วควรหลีกเลี่ยงการเข้าใกล้คนอื่นมากเกินไป เสด็จพ่อเห็นด้วยกับการแต่งงานครั้งนี้ แต่ถ้าเสด็จพ่อทำไม่ได้ สิ่งนี้จะไม่นำความหายนะมาสู่ชีวิตที่ขาดหายไปของตระกูลหลู่”

คำพูดของนางสงบ อย่างไรก็ตามตระกูลหลู่รู้สึกตกใจ พวกเขาไม่รู้ว่าควรพูดอะไร

ในเวลานี้ที่เรือนด้านนอกห้องโถง ฉิงหยูกำลังนำหญิงสาวที่ไม่คุ้นเคยมา ท้องฟ้ามืดครึ้มเล็กน้อย และมีหญิงสาวคนหนึ่งถือโคมไฟนำทาง

เมื่อมาถึงที่ทางเข้า ฉิงหยูก็เห็นว่ามีแขกอยู่ข้างใน นางจึงถอยกลับไปที่ทางเข้าและรอสักครู่ หลังจากนั้นไม่นานหวงซวนก็ออกมาและกระซิบกระซาบกับฉิงหยูอยู่พักหนึ่งก่อนจะกลับเข้าไปในห้องโถงเพื่อรายงานต่อเฟิงหยูเฮงอย่างเงียบ ๆ เฟิงหยูเฮงตกตะลึงและเปล่งเสียงพูดว่า “โอ้ ! เกิดเรื่องเช่นนี้จริง ๆ หรือ ? ” จากนั้นนางก็มองออกไปข้างนอกทางเข้า “ฉิงหยูเข้ามา เสนาบดีหลู่ก็มาที่นี่ด้วย เราสามารถหาวิธีแก้ไขปัญหานี้ได้”

ใจของหลู่ซ่งสั่นและคิดกับตัวเองว่าคงจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกใช่หรือไม่ ? อย่างไรก็ตามเมื่อหันกลับมาเขาเห็นว่ามีคน 2 คนเข้ามา เขาจำคนหนึ่งได้ เขาจำชื่อของหญิงสาวไม่ได้ แต่นางเป็นหนึ่งในบุตรสาวคนที่สองจากบ่าวรับใช้ของฮูหยินใหญ่

เก้อซื่อสามารถจำชื่อได้ นางก็รีบถามว่า “รุ่ยยี่หรือ ? ทำไมเจ้าถึงอยู่ที่นี่ ? “

บ่าวรับใช้ชื่อลุ่ยเห็นได้ชัดไม่ได้คิดว่าทั้งเจ้านายและตระกูลหลู่จะมาด้วย นางกลัวจนคุกเข่าลง

ในเวลานี้ฉิงหยูยังคงเดินหน้าต่อไปเพื่อทักทายซวนเทียนเก้อและเฟิงหยูเฮง จากนั้นนางก็หันไปคำนับหลู่ซู่และเก้อซื่อ “บ่าวรับใช้ ฉิงหยู คารวะท่านเสนาบดี และท่านฮูหยินเจ้าค่ะ” นางไม่ต่ำต้อยหรือหยิ่ง ไม่ว่านางจะถืออะไรอยู่ ท่าทางนางที่คำนับดีกว่ารุ่ยยี่ที่คุกเข่า

เฟิงหยูเฮงถามนางว่า “ที่หวงซวนพูดเป็นความจริงหรือไม่ ? ”

ฉิงหยูพยักหน้าลุกขึ้นยืนเพื่อเปิดกล่องไม้ในมือของนาง “คุณหนูดูนี่เจ้าค่ะ นี่คือเครื่องประดับเสริมที่ได้รับคำสั่งซื้อจากคุณหนูรองของตระกูลหลู่ ศาลาหงส์เพลิงของเรายอมรับงานนี้และมอบสินค้าในวันนี้ ผลที่ตามมาคือคุณหนูรองของตระกูลหลู่ไม่มา นางส่งบ่าวรับใช้จากคฤหาสน์มาแทน เมื่อพนักงานจากศาลาหงส์เพลิงนำเครื่องประดับออกมา มือของพวกเขาชนกันทำให้กล่องตกลงกับพื้น และทำให้เครื่องประดับบางชิ้นตกลงไปที่พื้น เครื่องประดับเสริมหยกสองชิ้นแตก แต่นี่ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนที่สุด เราสามารถซ่อมแซมได้ โชคไม่ดีที่บ่าวรับใช้คนนี้เสียการทรงตัวแล้วเหยียบเครื่องประดับเสริมที่หลุดออกไปในทันที ทำให้แปดในสิบส่วนของสินค้าถูกทำลายเจ้าค่ะ”

ฉิงหยูกล่าวด้วยน้ำเสียงที่น่าสงสารขณะที่นางจ้องมองบ่าวรับใช้ด้วยท่าทางไม่พอใจ อย่างไรก็ตามเฟิงหยูเฮงนั้นมีความอ่อนไหวเล็กน้อยต่อคำว่าศาลาหงส์เพลิง  สถานที่พำนักแห่งสุดท้ายของผู้ปกครองของเฉียนโจวคือศาลาหงส์เพลิง ความบังเอิญทำให้นางรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย ดูเหมือนว่านางจะต้องเปลี่ยนชื่อร้านเครื่องประดับนั้น

หลังจากที่ฉิงหยูพูดจบ บ่าวรับใช้ที่คุกเข่าก็เริ่มปกป้องตัวเอง “ไม่ใช่เช่นนั้นเจ้าค่ะ ! ไม่ใช่บ่าวรับใช้คนนี้ที่ทำให้ตก กล่องยังอยู่ในมือของพนักงานและมันก็ไม่ได้ส่งมอบให้ข้าเลย สำหรับบ่าวรับใช้ผู้นี้ที่เหยียบเครื่องประดับ เป็นเพราะมีบ่าวรับใช้ชายคนหนึ่งชนข้าจากด้านหลัง โปรดอย่าเชื่อเรื่องไร้สาระ ! ”

นางชี้ไปที่ฉิงหยูซ้ำ ๆ อย่างไรก็ตามฉิงหยูเริ่มหัวเราะ “บ่าวรับใช้ของตระกูลหลู่มันเป็นเพียงกล่องเครื่องประดับ ไม่ต้องพูดถึงศาลาหงส์เพลิง แม้ว่าข้าจะใช้เงินของตัวเอง ข้าก็ยังสามารถจ่ายได้ เครื่องประดับที่สั่งโดยคุณหนูรองของตระกูลหลู่ไม่เคยมีราคาแพงเลย เมื่อรวมเข้าด้วยกัน ราคาไม่เกิน 300 เหรียญเงิน ใช้เครื่องประดับเหล่านี้สำหรับงานแต่งงานมันดูด้อยไปเล็กน้อย ผู้หญิงคนนี้ได้บอกเจ้าแล้วในร้านว่าเราจะจ่ายค่าเสียหายให้ทั้งหมด ชิ้นส่วนบางส่วนจะถูกเปลี่ยนเป็นชิ้นที่มีคุณภาพสูงขึ้น และเราจะไม่ขอเก็บเงินจากเจ้าอีกแน่นอน แต่เจ้าไม่พอใจ เจ้าทำให้เรื่องนี้วุ่นวายและทำให้เรื่องนี้มาถึงหูขององค์หญิง แค่พูดออกมา เจ้าต้องการแก้ไขปัญหานี้อย่างไร ? ”

บ่าวรับใช้ยืนตัวแข็งเล็กน้อย ในตอนแรกนางได้เตรียมบางอย่างที่นางสามารถใช้ได้ นางต้องการจะบอกว่านางต้องการสิ่งเดียวกัน แต่สถานการณ์ปัจจุบันจะไม่อนุญาตให้พวกนางทำ เช่นนี้พวกนางสามารถโจมตีชื่อเสียงของศาลาหงส์เพลิงได้เช่นกัน สิ่งนี้จะทำให้องค์หญิงจีอันเสียชื่อเสียงด้วย แต่นางไม่เคยคิดเลยว่านายท่านและท่านฮูหยินจะมาด้วย นิสัยของคุณหนูรองนั้นนายท่านและท่านฮูหยินรู้ดีแก่ใจว่าเป็นอย่างไร

นางยืนตัวแข็งอยู่ตรงนั้นไม่กล้าทำเสียง อย่างไรก็ตามหลู่ซ่งก็พูดจาดุ และกำลังจะดุนาง แต่ได้ยินเฟิงหยูเฮงกล่าวว่า “บ่าวรับใช้นั้นถูกต้อง เรื่องนี้ศาลาหงส์เพลิงผิดจริง โดยไม่คำนึงถึงค่าใช้จ่ายของสินค้า สิ่งที่สำคัญคือมันเป็นสิ่งที่คุณหนูรองหลู่เหยาชอบ ข้ากลัวว่าผู้หญิงคนนี้จะหวังว่าเราสามารถซ่อมแซมเครื่องประดับเสริมเหล่านั้นได้ ใช่หรือไม่ ? ”

บ่าวรับใช้พยักหน้าอย่างว่างเปล่า เฟิงหยูเฮงกล่าวต่อ “จากนั้นเราจะทำตามที่เจ้าต้องการ แต่งานประเภทนี้ยากเกินไปและระยะเวลาสั้นเกินไป ศาลาหงส์เพลิงของข้าไม่สามารถทำได้ เมื่อเราเริ่มต้นด้วยความผิดพลาดและคุณหนูหลู่เหยาจะแต่งงานกับตระกูลเหยา และกลายเป็นฮูหยินของลูกพี่ลูกน้องของข้า ข้าจะเข้าพระราชวังเพื่อขอตัวช่างฝีมือเป่ยมาช่วย เราจะให้เขาทำเครื่องประดับเสริมสำหรับว่าที่ฮูหยินของลูกพี่ลูกน้องของข้า ใต้เท้าหลู่ ท่านคิดว่าการจัดการแบบนี้ดีหรือไม่ ? ”

หลู่ซ่งงุนงงเล็กน้อย เฟิงหยูเฮงเปลี่ยนทิศทางอย่างฉับพลันและชาญฉลาด ตอนนี้นางรับรู้ถึงความสัมพันธ์ ทำไมเขาถึงรู้สึกราวกับว่ามีบางสิ่งซ่อนเร้นในเรื่องนี้ แต่เพื่อให้เขาคิดเกี่ยวกับมัน เขาไม่สามารถคาดเดาได้ เมื่อเห็นว่าเขาต้องตอบคำถาม เขายืนขึ้นอย่างรวดเร็วและกล่าวว่า “ถ้าองค์หญิงกรุณา เจ้าหน้าที่ผู้นี้ขอบคุณองค์หญิงสำหรับความเมตตาในนามของบุตรสาวของข้าขอรับ”

เก้อซื่อก็มีความสุขบนใบหน้าของนาง ช่างฝีมือป่ยก็มีชื่อเสียงมาก พระสนมของพระราชวังทุกคนต้องการเครื่องประดับบางชิ้นที่เขาทำด้วยมือ และไม่ง่ายเลยที่จะได้รับสักชิ้น แต่องค์หญิงจี่อันก็บอกว่าไปขอความช่วยเหลือจากช่างฝีมือเป่ย หลู่เหยาทำบุญมามากเท่าไรในชาติที่แล้ว ? การสวมใส่เครื่องประดับที่ทำโดยช่างฝีมือเป่ยในงานแต่งงานซึ่งจะนำความสุขมาสู่ครอบครัวของนางอย่างแท้จริง

เมื่อเห็นว่าตระกุลหลู่เห็นด้วย ในที่สุดเฟิงหยูเฮงก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “เมื่อเป็นเช่นนั้น เรื่องนี้จะถูกจัดการ” นางและซวนเทียนเก้อมองหน้ากัน และซวนเทียนเก้อเข้าใจทันทีว่านางคิดอะไรอยู่

หลังจากส่งหลู่ซ่งและฮูหยินของเขาออกไป ฉิงหยูเต็มไปด้วยความไม่พอใจกล่าวกับเฟิงหยูเฮงว่า “คุณหนู นี่ชัดเจนว่าพวกเขากำลังทำสิ่งนี้อย่างจงใจ”

เฟิงหยูเฮงยิ้มแล้วกล่าวว่า “ไม่เป็นไร มันจะดีกว่าถ้ามีเจตนา นี่คือผลลัพธ์ที่ต้องการ อย่านำเรื่องนี้ไปใส่ใจ ทำในสิ่งที่ต้องทำ เมื่อคิดถึงเรื่องนี้แล้ว ตระกูลหลู่จะไม่กล้ามาและสร้างปัญหาในร้านค้าของเราอีกต่อไป เจ้าเพียงแค่ต้องให้ความสนใจมากขึ้นในแต่ละวัน”

ฉิงหยูไม่ได้พูดอะไรอีก ซวนเทียนเก้อก็จะกลับด้วย เฟิงหยูเฮงออกไปเพื่อส่งซวนเทียนเก้อ ทั้งสองจัดเรียงมตินี้เสร็จแล้ว เฟิงหยูเฮงจะไปเยี่ยมตำหนักเหวินซวนเพื่อสร้างความพึงพอใจให้กับซวนเทียนเก้อ

เมื่อหันหลังกลับ อันชิพาเฟิงเซียงหรูออกมา

เมื่อเห็นเฟิงหยูเฮง เฟิงเซียงหรูก็รีบวิ่งไปทันที ดึงที่แขนของนาง นางไม่ต้องการปล่อย เฟิงหยูเฮงหัวเราะกับนาง “เจ้าโตขึ้นอีกปีแล้ว เจ้าเป็นผู้หญิงตัวใหญ่อยู่แล้วทำไมเจ้าถึงยังสนิทกับพี่สาวมาก ? แม้แต่จื่อหรูก็ยังโตขึ้น”

เฟิงเซียงหรูกระทืบเท้าของนางด้วยความอาย และถามเฟิงหยูเฮง “พี่รอง ในอนาคตข้าจะมาอยู่ที่นี่ได้หรือไม่เจ้าคะ ? ”

นางกล่าวว่า “แน่นอน เจ้ามาได้” แต่หลังจากมองที่อันชิ นางกล่าวเสริมว่า “เจ้าต้องโตขึ้นด้วย วันที่เจ้าสามารถใช้เวลาอยู่ที่บ้านกับมารดาของเจ้านั้นน้อยลงเรื่อย ๆ ดังนั้นการใช้เวลากับแม่รองอันจะดีที่สุด”

อันชิยกผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตา ดังนั้นเฟิงเซียงหรูจึงไม่ต้องการที่จะอยู่ข้างนางต่อ

เฟิงหยูเฮงหัวเราะ และกล่าวว่า “มีคนมากมายที่คฤหาสน์ในวันนี้ เมื่อข้าได้จัดที่พักให้พวกเขาทั้งหมด ข้าจะพาเจ้ามาพักที่นี่ มันดึกแล้วรีบกลับบ้านเร็ว ข้าจะให้รถม้าของข้าไปส่ง”

นางจงใจเลือกให้อันชิและเฟิงเซียงหรูนั่งอยู่ในรถม้าของนาง เช่นนี้มันจะเป็นการเตือนตระกูลเฟิง นางจะไม่ปล่อยให้มารดาและบุตรสาวคู่นี้โดนกลั่นแกล้งมากเกินไป

ในที่สุดก็ส่งทุกคนออกไป นางก็ถอนหายใจ อย่างไรก็ตามนางสั่งฉิงหยู “มีองค์ชายจากเฉียนโจวกลับมากับข้า พรุ่งนี้พาเขาออกไปดูรอบ ๆ ช่วยเขาหาบ้าน ให้เขาใช้เงินซื้อเอง เขาไม่สามารถอยู่ในคฤหาสน์ขององค์หญิงต่อได้”

หวงซวนได้ยินเรื่องนี้และหัวเราะ “ถ้าองค์ชายเหลียนรู้ว่าคุณหนูรีบไล่เขา เขาจะร้องไห้อย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”

เฟิงหยูเฮงยิ้มแย้มแจ่มใส ตอนนี้นางไม่มีเวลาให้ความสนใจกับคนแซ่เฟิง เหตุผลที่นางมีทัศนคติแบบนี้ต่อร้านขายเครื่องประดับก็คือนางต้องการที่จะนำช่างฝีมือเป่ยออกจากพระราชวัง ไม่ว่าเขาจะถูกนำกลับมาในภายหลังหรือไม่ อย่างน้อยนางก็จะสามารถชี้แจงบางสิ่งได้ หากมีอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจริง ๆ สิ่งต่าง ๆ จะลำบากมากขึ้น

ตอนเย็นที่เริ่มต้นฤดูใบไม้ร่วงสดใสเสมอ ภายในของพระราชวัง ช่างฝีมือเป่ยเพิ่งทำต่างหูทองคำคู่หนึ่งผ่านการหลอม พวกเขาพิจารณาสินค้าที่เสร็จสมบูรณ์ เพื่อนร่วมงานของเขาอดไม่ได้ที่จะสรรเสริญ “งานฝีมือของช่างฝีมือเป่ยเป็นสิ่งที่เราไม่สามารถหวังได้แม้จะทำงาน 100 ปี ! สำหรับการทำงานที่ซับซ้อนเช่นนั้นจะถูกสลักลงบนพวกมัน ไม่เพียงแค่นี้หลังจากที่ทองคำที่หลอมออกมา ทำไมมันถึงสวยงามกว่าของเรามาก”

ช่างฝีมือเป่ยยิ้ม แต่ไม่พูด การขัดทองเป็นสิ่งที่เขาทำได้ดีที่สุด เขากล้าที่จะรับประกันได้ว่าในโลกนี้ไม่มีใครที่สามารถขัดทองได้ดีกว่าเขา และประณีตกว่านี้

เขายื่นต่างหูไปให้คนงานโดยไม่ได้ตั้งใจเขายืนขึ้น และออกจากโรงงาน และไปที่สนาม

คราวนี้เขาเข้าพระราชวังมาเกือบปีแล้ว มันนานกว่าที่เขาเคยอยู่ในอดีต พูดถึงมันมันค่อนข้างแปลก ทุกครั้งที่เขาส่งงานของเขาและต้องการออกจากพระราชวัง คำสั่งใหม่จะถูกส่งลงมา เช่นนี้สิ่งต่าง ๆ จะถูกลากออกไปจนถึงจุดนี้ เขาไม่รู้ว่าเป่ยฟูหรงกำลังทำอะไรอยู่ มันนานมากแล้ว แต่นางไม่ได้เข้ามาในพระราชวังเพื่อพบเขา มันเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงอย่างแท้จริง

ในเวลาเดียวกันภายในพระราชวังชั้นใน ขันทีที่มีขาพิการกระซิบบอกกับทหารยามที่เผยให้เห็นการแสดงออกที่น่าตกใจ…

ตอนที่ 627 ความกดดันขององค์หญิง

ทั้งราชวงศ์ต้าชุนมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถใช้น้ำเสียงแบบนี้ในการเรียกชื่อของเฟิงหยูเฮงโดยตรง โดยเฉพาะในหมู่สาว ๆ มีเพียงคนเดียวเท่านั้น

เฟิงหยูเฮงเงยหน้าขึ้นถามหวงซวน “องค์หญิงหวู่หยางอยู่ในพระราชวังของฮ่องเต้พร้อมกับฮองเฮาไม่ใช่หรือ ? “

หวงซวนก็สับสนเช่นกัน “นั่นคือที่เขาพูดกันเจ้าค่ะ นางออกมาเมื่อไหร่ ? ”

ขณะที่พวกเขากำลังพูดถึงมัน ซวนเทียนเก้อได้เข้ามาในห้องแล้ว หลังจากดูกลุ่มที่มีชีวิตชีวานั่งอยู่รอบ ๆ โต๊ะ นางก็ไม่มีความสุขอีกครั้ง “อาเฮง เจ้าออกไปแค่ปีเดียว และข้าเป็นห่วงเจ้าทุกวัน ในขณะที่หวังว่าเจ้าจะได้กลับมาในไม่ช้าก็เร็ว ข้าเผาเครื่องหอมทุกวันเพื่อสวดภาวนาเพื่อให้เจ้าปลอดภัย เป็นผลให้หลังจากเจ้ากลับมาแล้ว ไม่เพียงแต่เจ้าไม่ได้มาเล่นกับข้า แต่เจ้ายังไม่ได้เชิญข้าเข้าร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำนี้ นี่มันช่างน่าเศร้าใจจริง ๆ ”

แม้ว่านี่จะเป็นสิ่งที่นางพูด แต่นางก็ไม่ได้สงวนไว้เลย นางนำเก้าอี้ไปนั่งข้าง ๆ เฟิงหยูเฮง ผลักองค์ชายเหลียนออกไปด้านข้าง

เฟิงหยูเฮงสั่งให้บ่าวรับใช้นำอุปกรณ์มาให้อีกชุด แล้วถามซวนเทียนเก้อ “ข้าอยากเรียกเจ้า แต่หลังจากข้าได้ยินเรื่องสถานการณ์ของฮองเฮาเป็นเรื่องเร่งด่วน ข้าเลยไม่ได้ไป”

ซวนเทียนเก้อพยักหน้า “ข้าไปนั่งพักหนึ่ง ข้ากลับมาตอนบ่าย” เมื่อนางพูดนางสังเกตเห็นว่าเก้าอี้ขององค์ชายเหลียนขยับเข้ามาใกล้ขึ้นเล็กน้อย ดังนั้นนางจึงใช้แขนของนางผลักหลัง “นั่งห่างออกไปเล็กน้อย”

ในช่วงเวลาแห่งความประมาท องค์ชายเหลียนเกือบตกเก้าอี้จากการถูกผลัก อย่างไรก็ตามซวนเทียนเก้อไม่ได้ช่วยเขาเลย หลังจากมองไปรอบ ๆ โต๊ะ นางก็จ้องมองเฟิงเซียงหรูด้วยรอยยิ้ม นางโน้มตัวเข้าใกล้เฟิงหยูเฮงและตบไหล่ของเซียงหรู “เซียงหรู! องค์หญิงผู้นี้คิดถึงเจ้ามาก ! ”

เซียงหรูตกเก้าอี้จากการถูกตบที่ไหล่

อันชิได้รับความหวาดกลัวและช่วยนาง จากนั้นนางได้ยินเฟิงเซียงหรูถามซวนเทียนเก้อด้วยสีหน้าขมขื่น “ทำไมดูเหมือนว่าองค์หญิงแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ เพคะ ? ”

ซวนเทียนเก้อยิ้ม และบอกพวกเขาว่า “พี่รองนำอาจารย์สอนศิลปะการต่อสู้มาสอนเฟยหยู และข้าไปเรียนกับเขา”

เฟิงหยูเฮงพยักหน้า “นี่เป็นความคิดที่ดี การมีทักษะจะไม่ทำให้ร่างกายของเจ้าช้าลงโดยเฉพาะอย่างยิ่งศิลปะการต่อสู้ นี่คือสิ่งที่ควรเรียนรู้สำหรับสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด”

ซวนเทียนเก้อกล่าวเห็นด้วย “ข้าก็คิดแบบนี้เช่นกัน ไม่ว่าจะมีการพูดอะไรคนที่อยู่ในสถานะของเราก็ไม่มีปัญหากับคนที่วางแผนต่อต้านเรา เราไม่สามารถรอองครักษ์เงามาช่วยเราได้ ยิ่งกว่านั้นถ้าว่าที่สามีไม่เชื่อฟังเจ้า เราสามารถทำให้เขาบาดเจ็บปางตายได้ด้วยฝ่ามือของข้า”

องค์ชายเหลียนยิ้มเยาะเมื่อได้ยินสิ่งนี้ “ทุกคนบอกว่าผู้หญิงในภาคเหนือมีความกล้าหาญ ดูเหมือนว่าความคิดทั้งหมดนั้นจะไม่ถูกต้อง ! ”

อย่างไรก็ตามเฟิงหยูเฮงหัวเราะให้ซวนเทียนเก้อ “มันคืออะไร ? เจ้าไม่อยากแต่งงานไม่ใช่หรือ ? เจ้ามีคนที่ชอบหรือ ? ”

ด้วยนิสัยของซวนเทียนเก้อมันทำให้นางไม่กลัวหัวข้อนี้เลย นางแสดงความรู้สึกของนางทันที “ลา!” เสี่ยวหยาเพิ่งนำเนื้อชิ้นหนึ่งใส่ปากนาง แต่ไม่สามารถพาตัวเองไปกินได้ หลังจากลังเลอยู่พักหนึ่งนางก็วางมันลงในจานเพราะนางได้ยินซวนเทียนเก้อกล่าวต่อ “อาเฮง ข้าแค่กลัวว่าข้าจะไม่โชคดีเหมือนเจ้า ในภาพรวมราชวงศ์ของราชวงศ์ต้าชุน มีเพียงข้าในฐานะบุตรสาว พี่ชายของข้าทุกคนแต่งงานช้า และมีบุตรช้า พี่ใหญ่และพี่รองเท่านั้นที่มีบุตร เป็นผลให้พวกเขาเป็นเด็กชายทั้งหมด บอกเด็ก ๆ ว่าหากมีความต้องการอะไรบางอย่าง เช่น การแต่งงานทางการเมือง เป็นไปได้หรือไม่ที่ข้าจะต้องถูกนำออกมาโดยที่ไม่สามารถทำตามใจของข้าได้ ? ”

ความคิดเรื่องการแต่งงานทางการเมืองถูกนำขึ้นโดยซวนเทียนเก้อ และนางก็ไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดจนเกินไป อย่างไรก็ตามนางดูเหมือนจะไร้ประโยชน์ เฟิงหยูเฮงปลอบใจนางว่า “บางทีราชวงศ์ต้าชุนจะไม่ต้องการการแต่งงานทางการเมือง ทุกอาณาจักรรอบ ๆ ราชวงศ์ต้าชุนเป็นรัฐบริวาร เฉียนโจวก็เอาชนะได้เช่นกัน ไม่ต้องกังวลโดยไม่จำเป็น”

ซวนเทียนเก้อพยักหน้า “ไม่เป็นไร ข้าได้เตรียมใจไว้แล้ว เสด็จลุงปฏิบัติต่อข้าอย่างดี ดังนั้นการแบ่งเบาภาระของราชวงศ์ต้าชุน บางอย่างเป็นสิ่งที่ข้าควรทำ” หลังจากพูดอย่างนี้นางไม่ได้พูดเรื่องนี้ต่อ นางหันไปมององค์ชายเหลียนแทน ในขณะที่มองนางถอนหายใจซ้ำ ๆ “ดูดีมาก ดูดีมากจริง ๆ ! ”

ความมั่นใจขององค์ชายเหลียนเพิ่มขึ้นในทันทีแม้หลังจากที่ซวนเทียนเก้อผลักเขาล้มลงไปกองกับพื้น เขานั่งตัวตรงเล็กน้อยและยืดอกพร้อมยิ้มอย่างสดใส

ด้วยเหตุนี้คำพูดถัดไปของซวนเทียนเก้อจึงทำให้เขากลับมาปรากฏตัวก่อนหน้านี้ “ข้าได้ยินมาว่าองค์ชายเหลียนโจว เฉียนโจวหาที่หลบภัยกับพี่เก้าและอาเฮงเพื่อกลับสู่เมืองหลวง อย่างไรก็ตามด้วยรูปร่างหน้าตาของเจ้า ข้าควรจะเรียกเจ้าว่าพี่ชายเหลียนหรือพี่หญิงเหลียน ? ”

เฟิงหยูเฮงไม่สามารถกลั้นหัวเราะไว้และเริ่มหัวเราะ

องค์ชายเหลียนเหลือบไปมองนางอย่างเย็นชา และกล่าวว่า “องค์หญิงเรียกข้าว่าองค์ชายเหลียนเถิด”

“แต่อาณาจักรของเจ้าหายไปแล้ว เจ้าจะเป็นองค์ชายได้อย่างไร ? ” เสียงของซวนเทียนเก้อไม่หวั่นไหวแม้แต่น้อยเมื่อโจมตีผู้อื่น “เอาล่ะ ข้าจะเรียกองค์ชายเหลียน ฮ่า ๆ ที่อยู่ข้างคือ…”

“ข้าเป็นพระชายาเอกขององค์ชายเหลียน แซ่ของข้าคือหวู่” หลี่เฉิงลุกขึ้นอย่างรวดเร็วเพื่อตอบกลับ

ซวนเทียนเก้อโบกมือแล้วบอกนางว่า “นั่งลง” ในขณะเดียวกันนางสับสนก็ถามองค์ชายเหลียนว่า “เจ้าแต่งงานแล้วหรือ ? ” นางเริ่มคิดกับตัวเองว่าถ้าผู้หญิงแต่งงานกับสามีแบบนี้ แรงกดดันจะมีมากแค่ไหน การใช้เวลาทุกวันเพื่อดูใบหน้าที่ดูดีนับครั้งไม่ถ้วน นี่เป็นความทุกข์อย่างแท้จริง

ในส่วนที่เกี่ยวกับสิ่งที่ซวนเทียนเก้อถาม องค์ชายเหลียนไม่รู้วิธีตอบกลับ หากเขาพูดโดยตรง เขากลัวว่าหลี่เฉิงจะบ้าคลั่ง ถ้าเขายอมรับมันเขาจะรู้สึกอึดอัดใจ เขาค่อนข้างหดหู่อย่างแท้จริง

เฟิงหยูเฮงดึงแขนเสื้อของซวนเทียนเก้อและกล่าวอย่างเงียบ ๆ “ข้าจะเล่าให้เจ้าฟังในภายหลัง” นางโบกมือให้ทุกคน “ทานข้าวกันต่อเถิด”

อาหารที่ปรุงโดยพ่อครัวของโรงเตี้ยมครัวเทพล้วนเป็นที่ชื่นชอบ แม้แต่อันชิก็กำลังกินอย่างมีความสุข

เฟิงหยูเฮงกลับมาแล้วและนั่นทำให้หัจิตใจของอันชิสงบลงในที่สุด การอาศัยอยู่ในบ้านของตระกูลเฟิงกับเฟิงจินหยวนและเฟิงเฟินไดนั้น แม้ว่าพี่น้องเฉิงจะปกป้องพวกนางได้ดีมาก แต่พวกนางก็ไม่สามารถพึ่งพาผู้อื่นให้เจริญรุ่งเรืองได้เสมอไป เฟิงเฟินไดบางครั้งจะวิ่งไปตามหาเฟิงเซียงหรูเมื่อนางไม่มีความสุข นางต้องการระบายเล็กน้อย เช่นเดียวกับเฟิงหยูเฮงกลับมาที่เมืองหลวงและก้าวเข้ามาในบ้านของตระกูลเฟิง นางก็สนับสนุนเฟิงเซียงหรูในการจัดการเรื่องของคุณหนูรองของคฤหาสน์ของเสนาบดีคนใหม่ เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ตระกูลเฟิงจะไม่เดือดร้อนกับเฟิงเซียงหรูอีกต่อไป

ขณะที่พวกเขากำลังรับประทานอาหาร เฟิงหยูเฮงได้บอกสถานการณ์ของเป่ยฟูหรงกับซวนเทียนเก้อ เฟิงหยูเฮงบอกซวนเทียนเก้อ และซวนเทียนเก้อเริ่มไตร่ตรองเรื่องนี้ อย่างไรก็ตามนางกล่าวด้วยความสับสน “ถ้าเจ้ากำลังพูดว่าช่างฝีมือเป่ยนั้นตกอยู่ในอันตรายในเมืองหลวง ดูเหมือนจะไม่เป็นเช่นนั้น ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมาเขาอยู่ที่พระราชวังทำงานเกี่ยวกับเครื่องประดับ ข้าไม่เคยได้ยินว่าเขาออกจากพระราชวังเลย ? ”

นี่คือสิ่งที่เฟิงหยูเฮงเป็นห่วงมากที่สุด นางลดเสียงของนางแล้วกล่าวกับซวนเทียนเก้อ “นั่นหมายความว่าอันตรายอยู่ในพระราชวัง”

หลังจากที่นางพูดเรื่องนี้ มีบ่าวรับใช้คนหนึ่งวิ่งเข้ามาจากข้างนอกรายงานว่า “คุณหนูรองเจ้าคะ เสนาบดีฝ่ายซ้ายและท่านฮูหยินหลู่มาขอพบคุณหนูเจ้าค่ะ”

เฟิงหยูเฮงเยาะเย้ย“ พวกเขามาเร็วจริง ๆ เชิญพวกเขาไปที่ห้องโถง”

เมื่อนางพูดสิ่งนี้ นางก็ลุกขึ้นยืน อย่างไรก็ตามนางถูกดึงกลับโดยซวนเทียนเก้อ “เราเพิ่งทานอาหารอยู่ ทำไมพวกเขาถึงมารบกวนเราเมื่อพวกเขาต้องการ ? ” นางจึงพูดกับหญิงสาวว่า “พาพวกเขาไปที่ห้องโถง บอกพวกเขาว่าองค์หญิงบอกให้รอ เราจะไปหาพวกเขาเมื่อเรากินเสร็จแล้ว”

บ่าวรับใช้มองที่เฟิงหยูเฮง เมื่อเห็นว่าเฟิงหยูเฮงไม่มีข้อคัดค้านใด ๆ นางก็โค้งคำนับจากนั้นก็แยกย้ายกันไป

เฟิงหยูเฮงไม่มีการคัดค้านใดๆ นางได้ผ่านการเคลื่อนไหว แต่จริง ๆ แล้วนางกำลังรอให้ซวนเทียนเก้อพูด หากพูดคำเดียวกันจากปากของนางผลจะไม่เหมือนเดิม

ซวนเทียนเก้อย่อมเข้าใจความรู้สึกของเฟิงหยูเฮงเป็นอย่างดี สหายที่ดีเหล่านี้สามารถรู้สิ่งที่คนอื่นต้องการโดยไม่พูด ทั้งสองจึงพูดคุยกันอย่างต่อเนื่องด้วยอาหารบนโต๊ะ

ในอีกด้านหนึ่ง บ่าวรับใช้รีบกลับไปที่ทางเข้าของคฤหาสน์อย่างสุภาพเชิญเสนาบดี, หลู่ซ่ง และเก้อซื่อเข้าไปรอในห้องโถงใหญ่ หญิงสาวพูดหลังจากเสิร์ฟชาแล้ว “คุณหนูของเรากำลังทานอาหารเย็นอยู่ ท่านเสนาบดีและท่านฮูหยินโปรดรอสักครู่เจ้าค่ะ”

หลู่ซ่งกล่าวอย่างรวดเร็ว “ไม่เป็นไร ข้ามาเร็ว โปรดบอกองค์หญิงว่าไม่ต้องรีบร้อน”

บ่าวรับใช้ยิ้มและถอยกลับไปที่ด้านข้างไม่พูดอะไรอีก นางยืนอยู่ตรงนั้นเพื่อคอยดูแลพวกเขา นางทำให้พวกเขาอยู่ด้วยกันไม่กี่ชั่วยาม ก่อนที่เก้อซื่อจะรู้สึกทนไม่ไหวเพียงเล็กน้อย นางบอกกับตัวเองว่าองค์หญิงจี่อันหยิ่งเกินไป ออกจากห้องรับแขกเพื่อรอสักครู่ก็ดี แต่พวกเขาถูกทิ้งให้รอนาน พวกเขาดื่มชาไป 4 ถ้วยไปแล้ว นางไม่สามารถแม้แต่นำตัวเองไปจิบอีก เป็นผลให้คนที่พวกเขารอยังไม่มาถึง สิ่งนี้ไม่ชัดเจนเพียงแค่ปล่อยให้แห้งหรือไม่ ตระกูลหลู่ยังเป็นตระกูลอันดับต้น ๆ พวกเขาจะได้รับความอัปยศเช่นนี้ได้อย่างไร

นางเหลือบมองหลู่ซ่งและเขาก็มีความขุ่นเคืองบนใบหน้าของเขา เมื่อเห็นท่านฮูหยินมองเขา เขาคิดกับตัวเองเล็กน้อย เมื่อจ้องมองบ่าวรับใช้ เขากำมือไว้แล้วก็แบ ก่อนจะถอนหายใจสองครั้ง

บ่าวรับใช้หัวเราะข้างใน แต่ใบหน้าของนางยังคงนิ่ง “ท่านเสนาบดีกระหายน้ำหรือไม่เจ้าคะ ? บ่าวรับใช้จะได้รินน้ำชาให้อีกถ้วยเจ้าค่ะ”

ขณะที่นางพูดสิ่งนี้นางเริ่มเดิน หลู่ซ่งบอกอย่างรวดเร็ว “ไม่ ! เสนาบดีคนนี้ไม่กระหายน้ำ” แทนที่จะรู้สึกกระหายน้ำ เขาเต็มอิ่มจนจะอ้วก

บ่าวรับใช้หยุด และหันกลับทันทีถามว่า “ท่านเสนาบดีรู้สึกเป็นห่วงใช่หรือไม่เจ้าคะ? ท่านต้องการให้บ่าวรับใช้คนนี้ไปเรียนคุณหนูอีกรอบหรือไม่เจ้าคะ ? ”

“ข้าไม่กล้า” เจ้าหน้าที่สามารถเร่งองค์หญิงผ่านมื้ออาหารของนางได้อย่างไร หลู่ซ่งก็ครุ่นคิดกับตัวเองแล้วกล่าวว่า “ถ้าองค์หญิงจี่อันสั่งให้เจ้าหน้าที่ผู้นี้รอ เจ้าหน้าที่ผู้นี้ก็จะรอ”

บ่าวรับใช้นั้นตกตะลึงแล้วจึงแก้ไข “ท่านเสนาบดีเข้าใจผิดเจ้าค่ะ ไม่ใช่องค์หญิ

งที่ต้องการให้ท่านรอเจ้าค่ะ”

“หืม ? ” ทั้งคู่ตกตะลึง เก้อซื่องงงวย และถามว่า “ถ้าอย่างนั้นจะเป็นใคร ? ” ใครอาจหาญถึงเพียงนี้ ?

บ่าวรับใช้ยิ้ม และกล่าวว่า “คำสั่งนี้ได้รับจากองค์หญิงหวู่หยางเจ้าค่ะ องค์หญิงกำลังรับประทานอาหารร่วมกับคุณหนูของเรา”

หลู่ซ่งและเก้อซื่อเกือบหายใจไม่ออกด้วยน้ำลายของพวกเขาเอง เพียงเฟิงหยูเฮงก็เพียงพอสำหรับพวกเขาที่จะจัดการ ตอนนี้ยังมีองค์หญิงพ่วงเข้ามาอีกคน มีใครบ้างไม่รู้ว่าราชวงศ์ต้าชุนมีองค์หญิงเพียงคนเดียว ! นั่นคือบุตรของพระอนุชาฮ่องเต้ อ๋องเหวินซวนก็เป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้อีกด้วย ผู้ที่กล้าที่จะล่วงเกินองค์หญิงหยางหวู่ ไม่ต้องพูดถึงขุนนางขั้นหนึ่ง แต่แม้ว่าองค์ชายจะขัดใจนาง พวกเขาก็จะถูกเรียกเข้ามาในพระราชวังเพื่อรับการสั่งสอนและลงโทษ

หลู่ซ่งเช็ดหน้าผากของเขายืนขึ้นเพื่อกล่าวว่า “เป็นเจ้าหน้าที่ผู้ต่ำต้อยที่เข้าใจผิดไปเอง”

บ่าวรับใช้ยิ้มแต่ไม่ส่งเสียง ในเวลานี้เสียงมาจากนอกห้องโถง ซวนเทียนเก้อเปล่งเสียงของนางกล่าวว่า “จริง ๆ แล้วข้าไม่สามารถแม้แต่จะรับประทานอาหารที่เหมาะสมได้ ถ้าองค์หญิงผู้นี้ไม่ยอมให้อาเฮงมาที่นี่อีกต่อไป ข้ากลัวว่าท่านใต้เท้าและท่านฮูหยินจะโกรธด้วยใช่หรือไม่ ? จากนั้นในวันพรุ่งนี้ข่าวลือจะแพร่กระจายไปทั่วว่าองค์หญิงจี่อันเลือกที่จะทำตัวไร้มารยาทต่อท่านเสนาบดี ท่านหลู่ถูกต้องหรือไม่ ? ”

หลู่ซ่งก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วและคุกเข่าบนพื้นเมื่อได้ยินเรื่องนี้ เก้อซื่อก็ยังคุกเข่าในขณะที่เขากล่าวว่า “เจ้าหน้าที่ผู้นี้ไม่กล้า องค์หญิงทรงตรัสเกินไปแลว เจ้าหน้าที่ผู้นี้ไม่กล้าจริง ๆ พะยะค่ะ ! ”

ซวนเทียนเก้อและเฟิงหยูเฮงเข้ามาในเวลาเดียวกัน เมื่อพวกเขาเดินผ่านทั้งสอง เฟิงหยูเฮงกล่าวว่า “ท่านเสนาบดีโปรดลุกขึ้น”

จากนั้นหลู่ซ่งจึงลุกขึ้นยืนแล้วยืนเงียบ ๆ อยู่ด้านข้าง หลังจากมองดูทั้งสองที่ด้านหน้า ซวนเทียนเก้อเลือกที่จะนั่งด้านล่าง ขณะที่เฟิงหยูเฮงนั่งที่ด้านบนมองดูพวกเขาด้วยรอยยิ้มจาง ๆ บนใบหน้าของนาง เมื่อเทียบกับเฟิงหยูเฮงแล้ว ซวนเทียนเก้อก็ไม่สุภาพมาก เมื่อมองไปที่หลู่ซ่ง นางถามโดยตรง “เจ้ามาที่คฤหาสน์ขององค์หญิงเพื่ออะไรกัน ? อาเฮงมีความสัมพันธ์กับเจ้าไม่มาก”

 

ตอนที่ 626 องค์ชายแปด, องค์ชายเฉิง

ใบหน้าของสมาชิกในตระกลูหลู่มืดลงหลังจากได้ยินรายงานนี้ แม้แต่หลู่เหยาก็ไม่เคยคิดว่าเฟิงหยูเฮงจะให้คนมาส่งผ้าชดใช้ นางโกรธพูดกับหลู่ซ่ง “ท่านพ่อ องค์หญิงจี่อันนั้นทำตัวน่าขายหน้าเสียจริง ! ”

หลู่ซ่งเกลียดที่เขาไม่สามารถตบบุตรสาวจนเสียชีวิต ในที่สุดเขาก็สามารถไปถึงตำแหน่งเสนาบดีฝ่ายซ้ายได้ แต่ทำไมบุตรสาวคนโตของูฃฮูหยินใหญ่จึงเบาปัญญา “ถ้านางทำให้เจ้าขายหน้า นั่นก็สมควรแล้ว ! ” เขาชี้ไปที่หลู่เหยาแล้วกล่าวว่า “ถ้าเจ้ารู้ว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นในวันนี้ ทำไมเจ้าถึงปล่อยให้บ่าวรับใช้คนนั้นไปสร้างปัญหาที่ร้านเย็บปัก เจ้าไปทำให้น้องสาวของนางขายหน้าก่อน นั่นคือองค์หญิงที่ได้รับตำแหน่งทางทหารและการแพทย์ของนาง แม้แต่ฮ่องเต้ก็ต้องไว้หน้านาง แต่เจ้ากลับทำให้น้องสาวของนางต้องอับอาย นางไม่ได้ฆ่าเจ้าก็นับว่าเป็นโชคดีของเจ้า เจ้าคงสนุกสินะ ! ”

หลังจากพูดอย่างนี้เขาก็สะบัดแขน และพูดกับฮูหยินเก้อซื่อ “ไปกับเสนาบดีคนนี้ ไปดูคนจากคฤหาสน์ขององค์หญิง”

เก้อซื่อพยักหน้าทันที ก่อนออกเดินทางนางไม่ลืมที่จะจ้องมองที่หลู่เหยาอย่างโกรธเคือง “เจ้าทำไม่ถูกต้อง ! ”

ในเวลานี้วังซวนได้ถูกพาเข้าไปในห้องโถงใหญ่ของคฤหาสน์ของเสนาบดีฝ่ายซ้าย นางนั่งอยู่ในห้องรับแขกและจิบชา ข้าง ๆ นางมีบ่าวรับใช้สองสามคนจากคฤหาสน์ขององค์หญิงที่ถือผ้า แม้ว่าพวกนางจะเป็นบ่าวรับใช้ธรรมดา แต่พวกนางก็มีลักษณะที่ผิดปกติ ด้วยรอยยิ้มจาง ๆ บนใบหน้าดูเหมือนว่าพวกนางจะอยู่ที่นั่นเพื่อชื่นชม

เมื่อเห็นว่าหลู่ซ่งและเก้อซื่อเข้ามา วังซวนวางถ้วยน้ำชาของนางและยืนขึ้น นางก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าวและโค้งคำนับ “วังซวน บ่าวรับใช้ผู้นี้คารวะท่านเสนาบดี และท่านฮูหยินหลู่เจ้าค่ะ”

หลู่ซ่งไม่สามารถพูดกับบ่าวรับใช้มากเกินไปเพียง แต่กล่าวว่า “เจ้าสุภาพเกินไป” จากนั้นเขาก็ให้ภรรยาของเขาเอง

เก้อซื่อเป็นคนฉลาด นางเดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วเพื่อช่วยประคองวังซวนลุกขึ้น ด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าของนาง นางดูใจดีมาก “ได้โปรดรีบยืนขึ้นเถิด วังซวนที่อยู่ข้างองค์หญิงใช่หรือไม่ เจ้างามจริง ๆ ” นางมองวังซวนด้วยสีหน้าจริงใจ ในขณะเดียวกันนางยัดบางอย่างใส่มือของวังซวนจากใต้แขนเสื้อของนางก่อนที่จะปล่อยนางไป “นั่งเถิด”

วังซวนยิ้มและจับสิ่งที่ท่านผู้หญิงหลู่วางไว้ในมือของนางอย่างสงบ มันเป็นทองคำแท่งที่ค่อนข้างหนัก “ท่านเสนาบดีและท่านฮูหยินนั้นสุภาพเกินไป บ่าวรับใช้คนนี้มาวันนี้เพื่อนำผ้าเสฉวนมาเป็นค่าชดเชยแทนน้องสาวขององค์หญิงเจ้าค่ะ” เมื่อนางพูดสิ่งนี้ นางจึงดึงผ้าจากบ่าวรับใช้ ในขณะที่แสดงมัน นางอธิบายให้คู่สามีภรรยาของตระกูลหลู่ฟังว่า “เราได้ดูผ้าเสฉวนที่ถูกทำลายแล้ว และพบว่ามันมีคุณภาพต่ำ องค์หญิงบอกกับบ่าวรับใช้คนนี้เป็นพิเศษว่าจะเลือกผ้า 6 พับสำหรับคุณหนูรอง นอกจากการทำชุดแต่งงาน ส่วนที่เหลือสามารถใช้ในการทำเสื้อผ้าที่จะสวมใส่ เป็นการขอโทษสำหรับความผิดพลาดที่เกิดขึ้นจากคุณหนูสามตระกูลเฟิงและองค์ชายสี่”

ในขณะเดียวกันนางพูดถึงเฟิงเซียงหรู และนางเน้นย้ำถึงองค์ชายสี่ซวนเทียนยี่ แน่นอนว่าหลู่ซ่งและภรรยาของเขากลัวอย่างมากเมื่อได้ยินการกล่าวถึงองค์ชายสี่ เก้อซื่อถามอย่างรวดเร็ว “องค์ชายสี่ ? ทำไมต้องขออภัยในความผิดพลาดของพระองค์ด้วย ? ”

หลู่ซ่งกำมือของเขาและถอนหายใจอย่างนุ่มนวลแก้ไข “แม้แต่คุณหนูสามตระกูลเฟิงก็ไม่มีความผิด เรื่องนี้เป็นความผิดครั้งแรกของหลู่เหยา การที่องค์หญิงไม่ได้ลงโทษในความผิดของหลู่เหยาก็เป็นพระคุณอย่างยิ่งใหญ่”

“ใช่ ถูกต้อง” เก้อซื่อแก้ไขคำพูดของนางอย่างรวดเร็ว “ข้าพูดผิดไป ควรเป็นพวกเราที่ไปขอโทษองค์หญิง” ขณะที่นางพูด นางถามอย่างกังวลใจ “แต่องค์ชายสี่…”

วังซวนยิ้ม “คุณหนูรองไม่ได้บอกอะไรหรือเมื่อนางกลับมาหรือ ? เป็ดคู่ธรรมดาในชุดแต่งงานไม่ได้ถูกปักโดยคุณหนูสามตระกูลเฟิง แต่พวกมันถูกปักองค์ชายสี่”

“อะไรนะ ? ” หลู่ซ่งตกตะลึง “องค์ชายสี่ปัก ? ” จากนั้นเขาก็นึกถึงเรื่องเล็กน้อย เมื่อย้อนกลับไปองค์ชายองค์ที่สี่ถูกลดตำแหน่งให้เป็นคนธรรมดาสามัญและถูกควบคุมตัว แต่ดูเหมือนว่าฮ่องเต้จะไม่ลงโทษเขาอีกต่อไป เพียงแต่กล่าวว่า : ให้เขาเรียนเย็บปักถักร้อยจากคุณหนูสามตระกูลเฟิง หรือบางสิ่งบางอย่างเพื่อผลที่…

“องค์ชายสี่ได้รับคำสั่งจากฮ่องเต้ให้เรียนรู้การเย็บปักถักร้อยจากคุณหนูสามตระกูลเฟิง รับสั่งของฝ่าบาทถือได้ว่าเป็นเด็กฝึกงานของคุณหนูสามตระกูลเฟิง” วังซวนแจกแจงรายละเอียดให้ตระกูลหลู่ฟัง “ข้าได้ยินมาว่าพระองค์จะต้องเรียกสาวน้อยคนที่สามว่าอาจารย์ เมื่อใดก็ตามที่พระองค์พบนาง เมื่อได้ยินว่าอาจารย์ของเขาถูกสั่งให้เป็นช่างปัก พระองค์ก็หงุดหงิดมาก”

นางไม่พูดต่อไป เมื่อนางสัมผัสกับสิ่งเหล่านี้ ตระกูลหลู่ก็ควรเข้าใจเช่นกัน เพียงแค่สมมติว่าตำแหน่งของเสนาบดีไม่ได้หมายความว่าพวกเขาสามารถล่วงเกินและเป็นหัวหน้าคนที่พวกเขาต้องการ

ใบหน้าของหลู่ซ่งและเก้อซื่อนั้นดูซีดเซียวไปเล็กน้อย หลู่ซ่งผู้ซึ่งนั่งอยู่ที่เบาะนั่งแล้วยืนขึ้นและไม่ได้กังวลกับการยืนของเขา เขาป้องมือให้วังซวนและกล่าวว่า “ขอบคุณมากสำหรับคำแนะนำ เสนาบดีผู้นี้จะต้องมีคำอธิบายให้กับองค์หญิง หวังว่าองค์หญิงจะสบายใจขึ้น”

วังซวนพยักหน้า เพื่อให้สามารถดำรงตำแหน่งเสนาบดีฝ่ายซ้ายต่อจากเฟิงจินหยวน แน่นอนว่าเขาจะต้องไม่โง่เกินไป มันขึ้นอยู่กับว่าเขาเลือกที่จะเข้าใกล้ใคร นางไม่ได้อยู่อีกต่อ นางกล่าวว่า “องค์หญิงกล่าวว่าหากมีเวลาไม่พอที่จะทำชุดแต่งงาน และปัก นางสามารถให้ช่างปักในพระราชวังช่วยได้เจ้าค่ะ” หลังจากพูดอย่างนี้ นางโค้งคำนับและออกไป

พ่อบ้านของคฤหาสน์ส่งนางออกไปจากคฤหาสน์ก่อนกลับไปรายงานตัวที่หลู่ซ่ง “นายท่าน นางกลับไปแล้วขอรับ”

หลู่ซ่งถอนหายใจและโบกมือเพื่อขับไล่พ่อบ้าน จากนั้นเขาก็กลับไปที่ที่นั่งของเขาพร้อมกับความโกรธบนใบหน้าของเขา

เก้อซื่อเดินรอบกลางห้องสองสามครั้งก่อนที่จะหยุดในที่สุด อย่างไรก็ตามนางรู้สึกงงงวยมากและถามว่า “องค์หญิงจี่อันไม่ถูกกับตระกูลเฟิงไม่ใช่หรือ ? นางปฏิบัติต่อพวกเขาแย่ยิ่งกว่าศัตรู ? ย้อนกลับไป ท่านก็รู้ว่าเมื่อเฟิงจินหยวนตกจากตำแหน่งเสนาบดีส่วนหนึ่งเป็นเพราะตัวเองอย่างแน่นอน แต่ก็ไม่สามารถไม่เกี่ยวข้องกับองค์หญิงจี่อัน สำหรับองค์หญิงที่วางแผนต่อต้านบิดาของนางเอง นางจะช่วยพูดเพื่อตระกูลเฟิงได้อย่างไร ? นอกจากนี้รายงานที่เราได้รับกล่าวว่าในบ้านเฟิง น้องสาวของนางที่เกิดจากอนุก็ไม่ถูกกับนาง ! ”

หลู่ซ่งตบโต๊ะอย่างกะทันหันและกล่าวเสียงดังว่า “โง่ ! ” จากนั้นเขาก็ถอนหายใจ “เฟิงจินหยวนทำให้ตัวเองตกต่ำ ! บุตรสาวของอนุจากตระกูลเฟิงที่ต่อสู้กับองค์หญิง เจ้าลืมไปแล้วหรือ? รายงานดังกล่าวบอกว่าเป็นบุตรสาวคนที่สี่ที่ไม่ถูกกับองค์หญิง ไม่ได้พูดถึงบุตรสาวคนที่สาม”

“อะไรคือความแตกต่าง ? ” เก้อซื่องงงวย สำหรับบุตรสาวของอนุ ทุกคนก็เหมือนกัน ถ้านางไม่ถูกกับบุตรสาวคนที่สี่ นางจะเข้ากันได้ดีกับบุตรสาวคนที่สามได้อย่างไร

อย่างไรก็ตามหลู่ซ่งก็ส่ายหัวแล้วกล่าวว่า “ความแตกต่างนั้นยอดเยี่ยมมาก คนเดียวในตระกูลเฟิงที่ชอบพอกับองค์หญิงจี่อันก็คือคุณหนูสาม ความสัมพันธ์ของพวกนางดีมาก ถึงจุดที่เมื่อองค์หญิงออกจากเมืองหลวง นางถึงกับขอให้องค์ชายเจ็ดช่วยดูแลน้องสาวคนนี้”

“นั่นเป็นเรื่องจริงหรือ ? ” เก้อซื่อได้รับความหวาดกลัว

หลู่ซ่งพยักหน้า “มันเป็นเรื่องจริงและข้าก็เพิกเฉย ข้าลืมเตือนเหยาเอ๋อ ข้าไม่เคยคิดเลยว่านางจะโอ้อวดอำนาจด้วยการทำสิ่งนี้จริง ๆ ” ในขณะที่พูดสิ่งนี้เขายืนขึ้น และออกจากห้องเพื่อเดินไปสู่ห้องการศึกษา เก้อซื่อรีบตามหลังไป

ในห้องหนังสือ หลู่เหยายังคงคุกเข่าอยู่ที่นั่นด้วยความเหนื่อยล้า หลู่ซ่งมองนาง และพูดด้วยความผิดหวัง “ถ้าข้ารู้ว่าเจ้าจะทำสิ่งนี้ ข้าจะไม่ให้เจ้าหมั้นกับตระกูลเหยาไม่ว่าเจ้าจะพูดอะไร” ขณะที่พูดอย่างนี้เขาก็ส่ายหัว อย่างไรก็ตามไม่มีอะไรอย่างอื่นที่เขาสามารถทำได้ เขากล่าวได้เพียงว่า “ไปเลย ปิดประตูและสำนึกผิดถึงผลจากการกระทำของเจ้า เจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากเรือนไปก่อนงานแต่งงาน คืนนี้ท่านแม่ของเจ้าและข้าจะไปที่คฤหาสน์ขององค์หญิงเพื่อขอโทษด้วยตัวเอง”

หลู่เหยาออกจากห้องหนังสืออย่างเงียบ ๆ ในทันใดหลังจากที่นางปิดประตู ความดุร้ายปรากฏอยู่ในดวงตาของนาง

องค์หญิงจี่อันไม่สนิทกับตระกูลเฟิงใช่หรือไม่ ? อย่ารีบเร่ง เมื่อข้าแต่งงานกับตระกูลเหยา สักวันหนึ่งข้าทำให้เจ้าไปอยู่ในสถานะที่คล้ายกันกับตระกูลเหยา เรามารอดูกัน

เมื่อเห็นว่าหลู่เหยาออกไปจากห้อง ในที่สุดเก้อซื่อก็กล่าวขึ้นว่า “ท่านพี่อย่าโกรธเกินไป จากนิสัยขององค์หญิงจี่อัน การที่ไม่ได้ทำอะไรกับเหยาเอ๋อมากนักและส่งผ้าเสฉวนมาให้ นั่นหมายความว่านางไว้หน้าท่านพี่เล็กน้อย”

หลู่ซ่งส่ายหัวอย่างไร้จุดหมาย “นางจะไว้หน้าข้าได้อย่างไร เห็นได้ชัดว่านางไว้หน้าตระกูลเหยา เจ้าไม่คิดดี ๆ เกี่ยวกับสิ่งที่วังซวนเพิ่งพูด ? ปัญหานี้เกิดจากเหยาเอ๋อทำให้คนสองคนซึ่งไม่ควรทำให้โกรธเคืองต้องขุ่นเคือง หนึ่งในนั้นคือองค์หญิงจี่อัน และอีกคนเป็นองค์ชายสี่ที่ถูกกักตัวไว้ ! ”

“ท่านพี่หมายถึง…”

“ทำไมชุดแต่งงานที่นางยืนยันว่าถูกปักโดยคุณหนูสามตระกูลเฟิงจึงลงเอยด้วยการปักโดยองค์ชายสี่ นี่ทำให้เห็นได้ชัดว่าองค์ชายสี่กำลังระบายอาการคิดถึงคุณหนูสามของตระกูลเฟิง ! แม้ว่าพระองค์จะเป็นองค์ชายที่ได้รับการลดระดับเป็นสามัญชน แต่พระองค์ก็ยังคงเป็นเชื้อพระวงศ์ พระองค์ยังคงอาศัยอยู่ในตำหนักปิง ซึ่งหมายความว่าความสัมพันธ์ระหว่างบิดากับบุตรชายยังคงมีอยู่ และชีวิตขององค์ชายสี่จะไม่ถูกตัดขาด หลู่เหยานี้น่าความผิดหวังอย่างแท้จริง”

เก้อซื่อคิดในใจของนางและสูดหายใจเข้าอย่างรวดเร็ว เวลานี้สิ่งต่าง ๆ ได้เกินการควบคุมของนางเล็กน้อย ! นางขมวดคิ้วและถามหลู่ซ่ง “ในความเป็นจริง นิสัยของหลู่เหยาไม่ได้พึ่งจะเป็นแบบนี้แค่วันหรือสองวัน นางเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก นางแสดงท่าทีแบบหนึ่งต่อหน้าผู้คนและอีกแบบหนึ่งอยู่ด้านหลัง ในช่วงวัยเด็กหยานเอ๋อมักจะบอกว่าพี่สาวของนางกลั่นแกล้งนาง แต่ท่านพี่ก็ไม่เชื่อนาง กลับลงโทษหยานเอ๋อหลายต่อหลายครั้ง” ยิ่งนางคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไร นางก็ยิ่งโกรธมากขึ้น นางอดไม่ได้ที่จะบ่น แต่ “ท่านพี่ควรไว้วางใจในตัวของเหยาเอ๋อ นางสูญเสียมารดาไปตั้งแต่เกิด และน่าสงสารมาก แต่หยานเอ๋อก็เป็นบุตรของเราด้วยเช่นกัน แต่ท่านพี่ก็ไม่ควรให้เกียรติคนอื่นมากกว่ากัน”

หลู่ซ่งถอนหายใจ และกล่าวว่า “ฮูหยิน เจ้าอยู่กับข้าตลอดหลายปีที่ผ่านมา แต่เจ้าเข้าใจว่าข้าไม่รักหยานเอ๋อเลยงั้นหรือ ? ” เมื่อเห็นว่าเก้อซื่อไม่เข้าใจ เขากล่าวต่อ “การแต่งงานของเหยาเอ๋อเข้าสู่ตระกูลเหยา ในกรณีที่องค์ชายเก้าขึ้นครองบัลลังก์ เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ตระกูลเหยาก็จะสูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ถ้าไม่ใช่องค์ชายเก้าล่ะ ? ”

เก้อซื่อตกตะลึง “ท่านพี่กำลังพูด…”

“จดหมายมาจากองค์ชายแปด เมื่อหยานเอ๋อเริ่มเข้าสู่วัยแต่งงาน เขาจะขอแต่งงานกับหยานเอ๋อในฐานะพระชายาเอกของตำหนักเฉิง“

ในที่สุดเก้อซื่อก็สามารถรู้สึกสบายใจขึ้น นางพูดด้วยรอยยิ้ม “ท่านพี่ ขอบคุณที่ให้ความสำคัญกับหยานเอ๋อ”

หลู่ซ่งโบกมือ “ไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้ ไปเตรียมตัว หลังอาหารเย็นเราจะไปเยี่ยมเยียนคฤหาสน์ขององค์หญิงจี่อัน”

ค่ำวันนั้นในคฤหาสน์ขององค์หญิงมีชีวิตชีวามาก จำนวนคนที่เฟิงหยูเฮงพากลับมาจากทางเหนือนั้นมากแล้ว เมื่อเพิ่มอันชิและเฟิงเซียงหรู ผู้คนกลุ่มใหญ่นั่งรอบโต๊ะและทานอาหาร องค์ชายเหลียนจะอธิบายบรรยากาศว่า “สุดยอด ! ” เขาลากเสี่ยวหยามายืนอยู่ข้างเฟิงเซียงหรู ในขณะที่เปรียบเทียบเขากล่าวว่า “ดูสิ มันชัดเจนว่าเป็นน้องสาวตัวน้อยของเสี่ยวหยา แต่นางดูเหมือนเจ้ามาก ! ”

เฟิงหยูเฮงแก้ไขเขาอย่างไร้จุดหมาย “คนที่อยู่ตรงหน้าเจ้าคือเสี่ยวหยาตัวจริง”

“ฮะ มันเหมือนกันหมด” องค์ชายเหลียนรู้สึกค่อนข้างกังวลกับชื่อ เขาชี้ไปที่เสี่ยวหยาตัวจริง  เขากล่าวว่า “นางชื่อเสี่ยวหยา”

เสี่ยวหยาก็รู้สึกหมดหนทางเช่นกัน และกล่าวว่า “องค์ชายสามารถเรียกข้าได้ตามที่องค์ชายต้องการเพคะ”

หลี่เฉิงนั่งข้าง ๆ และบางครั้งจะตักอาหารให้องค์ชายเหลียน และดูเหมือนฮูหยินทั่วไป เปลี่ยนชุดแต่งงานสีแดงและล้างแต่งหน้าหนาบนใบหน้าของนางออก เป็นคนไร้เดียงสาและงดงามนั่งอยู่ที่นั่น และเป็นที่สะดุดตามาก

เฟิงเซียงหรูไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าทำไมผู้คนที่พี่รองของนางเจอล้วนแต่แปลก แต่บรรยากาศนี้ค่อนข้างดีจริง ๆ ไม่มีใครวางท่าใด ๆ และรอยยิ้มบนใบหน้าของทุกคนเป็นของจริง นานแค่ไหนที่นางได้เพลิดเพลินกับบรรยากาศแบบนี้ ?

แต่ในเวลานี้พวกเขาก็ได้ยินเสียงตะโกนที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจอย่างมาก “เฟิงหยูเฮง! เจ้ากำลังกินของอร่อย แต่เจ้าไม่เรียกข้า ! ”

 

แพทย์เทวะ หัตถ์ปีศาจ

แพทย์เทวะ หัตถ์ปีศาจ

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 300 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)



นายทหารนาวิกโยธินระดับสูง ที่เป็นแพทย์อัจฉริยะผู้เชี่ยวชาญทั้งแพทย์สมัยใหม่ของโลกตะวันตกและแพทย์แผนโบราณของจีน ถูกโชคชะตาเล่นตลก นางเสียชีวิตจากการระเบิดของเฮลิคอปเตอร์ นางฟื้นคืนชีพอีกครั้งในอีกโลกที่แตกต่าง ในจักรวรรดิต้าชุน บิดาของนางคือเสนาบดีฝ่ายซ้าย เพราะชาติตระกูลที่ตกอับของมารดา ตัวนาง มารดาและน้องชายจึงไม่เป็นที่รักของท่านย่า พวกนางถูกใส่ร้ายอย่างโหดเหี้ยม จากนั้นจึงถูกตระกูลเนรเทศออกไปอยู่ยังหมู่บ้านทุรกันดาร ญาติฝ่ายบิดาและคนในตระกูลล้วนเกลียดชังพวกนาง

การเกิดใหม่ในครั้งนี้ นางจะต้องตอบแทนพวกมันอย่างสาสม เข็มเล่มหนึ่ง มีดผ่าตัดเล่มหนึ่ง ชีวิตของพวกเจ้าก็จะตกอยู่ในมือของข้า ข้าจะไม่กลัวแผนสกปรกของพวกเจ้าอีกต่อไป ข้าสามารถทำให้พวกเจ้าพิการ สามารถสังหารพวกเจ้าได้อย่างไร้ร่องรอย

สำนักแพทย์เทวะจะถือกำเนิด ชื่อเสียงความมั่งคั่งจะเข้ามา นางจะเป็นที่ยอมรับของฮ่องเต้แต่เดี๋ยวก่อน เรื่องทั้งหมดนั่นยกไว้เถอะ แล้วข้าจะต้องแต่งงานกับองค์ชายบ้าผู้นี้นะเหรอ นี่มันเรื่องอะไรกัน….!

Options

not work with dark mode
Reset